149
ิ
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
– นักเรียนเคยเห็นคนที่เป็นอัมพาตหรือไม่ (แนวค าตอบ เคย)
ื่
้
ี่
– คนทเป็นอัมพาตไม่สามารถพูดหรือเคลอนไหวร่างกายได เนื่องจากระบบใดของร่างกายถูกทาลาย (แนว
ค าตอบ ระบบประสาท)
ิ
2) นักเรียนร่วมกันตอบค าถามและแสดงความคดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเชอมโยงไปสู่การเรียนรู้เรื่อง ส่วนตางๆ
่
ื่
ของระบบประสาท
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
้
ั
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
ื
้
ั้
ั
(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
ุ่
ุ่
้
(1) ครูแบ่งกลมนักเรียนแลวเปิดโอกาสให้นักเรียนในกลมน าเสนอข้อมูลเกี่ยวกับระบบประสาทและการแสดง
ุ่
ั
พฤตกรรมที่ครูมอบหมายให้ไปเรียนรู้ลวงหน้าให้เพื่อนๆ ในกลมฟัง จากนั้นให้แตละกลุ่มสงตวแทนมาน าเสนอข้อมูลหน้า
่
่
่
ิ
ห้องเรียน
้
ี่
ึ
(2) ครูตรวจสอบว่านักเรียนท าภาระงานทไดรับมอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบจากการจดบันทกของนักเรียน
และถามค าถามเกี่ยวกับภาระงาน ดังนี้
– อวัยวะที่ส าคัญในระบบประสาทมีอะไรบ้าง (แนวค าตอบ สมอง ไขสันหลัง และเส้นประสาท)
ุ
่
่
ุ
ึ
ี่
– ระบบประสาททาหน้าทอะไร (แนวคาตอบ ควบคมและสงความรู้สกไปยังอวัยวะทกสวนของร่างกายให้
ท างานตามที่ต้องการ)
(3) ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนตงประเดนค าถามที่นักเรียนสงสยจากการทาภาระงานอย่างน้อยคนละ 1 คาถาม ซึ่ง
ั
็
ั้
ครูให้นักเรียนเตรียมมาล่วงหน้า และให้นักเรียนช่วยกันตอบและแสดงความคิดเห็น
(4) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับภาระงาน โดยครูชวยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า ระบบประสาท
่
ประกอบด้วยสมอง ไขสันหลัง และเส้นประสาท ซึ่งท าหน้าที่ร่วมกันในการควบคุมและส่งความรู้สึกไปยังอวัยวะทุกส่วนของ
ร่างกายให้ท างานตามที่ต้องการ
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
(1) ครูให้นักเรียนศกษาเรื่องระบบประสาท จากใบความรู้หรือในหนังสือเรียน โดยครูชวยอธิบายให้นักเรียนเขาใจ
่
ึ
้
ี่
ุ
ึ
ว่า ร่างกายมีกลไกการทางานทเชอมโยงกันอย่างเป็นระบบ โดยระบบททาหน้าทในการควบคมและสงความรู้สกไปยัง
่
ี่
ื่
ี่
อวัยวะทุกส่วนของร่างกายให้ท างานตามที่ต้องการนี้เรียกว่า ระบบประสาท
่
ั
ั
้
ั
ี่
ระบบประสาทของมนุษย์ประกอบด้วยสมองและไขสนหลง โดยทบริเวณไขสนหลงมีเสนประสาทแผขยายออกไป
ั
่
่
ี่
ุ
่
ั่
ึ
ุ
ทวร่างกาย อวัยวะตางๆ เหลานี้ทาหน้าทร่วมกันในการควบคมการทางานและการรับความรู้สกของอวัยวะทกสวนใน
ร่างกาย
ื
(2) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน สบค้นข้อมูลเกี่ยวกับเซลล์ประสาท ตามขั้นตอนดังนี้
150
่
ื
ื
ิ
้
่
– แตละกลมวางแผนการสบคนข้อมูล โดยแบ่งหัวข้อย่อยให้เพื่อนสมาชกชวยกันสบคนตามทสมาชกกลม
้
ุ่
ุ่
ี่
ิ
ช่วยกันก าหนดหัวข้อย่อย เช่น ตัวเซลล์และใยประสาท
่
ุ่
่
ุ่
ื
ิ
ื
้
ี่
– สมาชกกลมแตละคนหรือกลมย่อยชวยกันสบคนข้อมูลตามหัวข้อย่อยทตนเองรับผดชอบ โดยการสบคน
้
ิ
จากหนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต
ิ
ิ
ุ่
ั้
ุ่
ี่
้
– สมาชกกลมน าข้อมูลทสืบคนได้มารายงานให้เพื่อนๆ สมาชกในกลมฟัง รวมทงร่วมกันอภิปรายซักถามจน
คาดว่าสมาชิกทุกคนมีความรู้ความเข้าใจที่ตรงกัน
็
่
ึ
ั
– สมาชิกกลุ่มช่วยกันสรุปความรู้ที่ได้ทั้งหมดเปนผลงานของกลุ่ม และชวยกันจดท ารายงานการศกษาค้นคว้า
เกี่ยวกับเซลล์ประสาท
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
ิ
่
ิ
(4) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน
ิ
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
– เซลล์ประสาทประกอบด้วยส่วนส าคัญกี่ส่วน อะไรบ้าง (แนวค าตอบ 2 ส่วน คือ ตัวเซลล์และใยประสาท)
– ตัวเซลล์ประกอบด้วยอะไรบ้าง (แนวค าตอบ นิวเคลียสและไซโทพลาซึม)
– เดนไดรตและแอกซอนคออะไร และทาหน้าทอะไร (แนวคาตอบ เดนไดรต คอ ใยประสาทททาหน้าท ี่
์
ื
ี่
ี่
์
ื
น ากระแสประสาทเข้าสู่ตัวเซลล์ และแอกซอน คือ ใยประสาทที่ท าหน้าที่น ากระแสประสาทออกจากตัวเซลล์)
์
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัตกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า เซลลประสาทเป็น
ิ
องค์ประกอบย่อยของสมองและไขสันหลัง ประกอบด้วยตัวเซลล์และใยประสาท
4) ขั้นขยายความร (Elaboration)
ู้
ั
ั
้
(1) ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับเซลลประสาทให้นักเรียนเข้าใจว่า สมองและไขสนหลงประกอบดวยเซลล์ประสาท
์
จ านวนมาก เซลล์ประสาทประกอบด้วยส่วนส าคญ 2 ส่วน คือ ตัวเซลลและใยประสาท โดยใยประสาทแบ่งเป็น 2 ประเภท
์
ั
ได้แก่ เดนไดรต์และแอกซอน
ิ
(2) ครูอธิบายเพิ่มเตมเกี่ยวกับการเคลื่อนทของกระแสประสาทให้นักเรียนเข้าใจว่า ในภาวะปกติ กระแสประสาท
ี่
ี
ี่
ั
์
ื
จะเคลื่อนที่ไปตามเซลลประสาท โดยอาศยการเคลื่อนทของประจุไฟฟ้าของธาตุโลหะ 2 ชนิด คอ โซเดยมและโพแทสเซียม
ี่
โดยภายในเซลล์ประสาทมีโพแทสเซียมสูงกว่าโซเดียม ในขณะทภายนอกเซลล์ประสาทมีโซเดียมสูงกว่าโพแทสเซียม แต่เมื่อ
มีสิ่งเร้ามากระตนจะเกิดการเคลื่อนที่ของกระแสประสาทภายในเซลล์ โดยประจุไฟฟ้าจากภายนอกเซลล์จะแพร่ผ่านเขามา
ุ้
้
ั
ี่
ี่
์
ภายในเซลลประสาท ทาให้บริเวณนี้เกิดการเปลยนแปลงขั้วไฟฟ้าทนท และยังมีผลไปกระตนให้เกิดการเปลยนแปลง
ี
ุ้
ี่
็
ขั้วไฟฟ้าในบริเวณถัดไปด้วย ท าให้เกิดการเคลื่อนทของกระแสประสาทลักษณะเปนระลอกต่อเนื่อง นอกจากเซลล์ประสาท
ี่
์
จะมีการเคลื่อนทของกระแสประสาทภายในเซลล์แล้ว เซลลประสาทยังต้องสงกระแสประสาทจากเซลล์หนึ่งไปยังอีกเซลล ์
่
หนึ่งด้วย
์
ื
่
้
(3) นักเรียนคนคว้าคาศพทภาษาตางประเทศเกี่ยวกับสวนตางๆ ของระบบประสาท จากหนังสอเรียน
่
ั
่
ภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต และน าเสนอให้เพื่อนในห้องฟัง คัดค าศัพท์พร้อมทั้งค าแปลลงสมุดส่งครู
151
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
ุ
ี่
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัตกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
ิ
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
็
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
ื่
ี่
– กระแสประสาทเคลอนทภายในเซลลไดอย่างไร (แนวคาตอบ ในภาวะปกติกระแสประสาทจะเคลอนทไป
้
์
ื่
ี่
์
ั
ู
ี
์
ื่
ี่
ตามเซลลประสาท โดยอาศยการเคลอนทของโซเดยมและโพแทสเซียม โดยภายในเซลลประสาทมีโพแทสเซียมสงกว่า
โซเดยม ในขณะทภายนอกเซลลประสาทมีโซเดยมสงกว่าโพแทสเซียม แตเมื่อมีสงเร้ามากระตนจะเกิดการเคลอนทของ
ี
ี่
์
ู
ี
ุ้
ิ่
่
ี่
ื่
์
ุ
้
กระแสประสาทภายในเซลล โดยประจไฟฟ้าจากภายนอกเซลล์จะแพร่ผ่านเขามาภายในเซลลประสาท ท าให้บริเวณนี้เกิด
์
ุ้
ี่
้
ั
ี่
ี
การเปลยนแปลงขั้วไฟฟ้าทนท และยังมีผลไปกระตนให้เกิดการเปลยนแปลงขั้วไฟฟ้าในบริเวณถัดไปดวย ทาให้เกิดการ
เคลื่อนที่ของกระแสประสาทลักษณะเป็นระลอกต่อเนื่อง)
ขั้นสรุป
็
ี่
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับส่วนต่างๆ ของระบบประสาท โดยร่วมกันเขยนเปนแผนทความคิดหรือผังมโน
ี
ทัศน์
10. สื่อการเรียนร ู้
1. หนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต
2. หนังสือเรียนภาษาต่างประเทศ
3. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
4. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1
่
ี่
5. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
6. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้
ั
ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
ิ
1. ซักถามความรู้เรื่องส่วนต่างๆ ของ 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
ระบบประสาท รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ สังเกตการท างานกลุ่ม
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ 2. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน 2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ กลุ่ม
152
บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................
2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………
ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู
153
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)
ิ
แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
มีองค์ประกอบครบ
มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................
2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้
เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
น าไปใช้ได้จริง
ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้
4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………
ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
154
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 22
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ระบบและความสัมพันธ์ในร่างกายมนุษย์ จ านวน 22 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ศูนย์ควบคุมระบบประสาท เวลาสอน 1 ชั่วโมง
ู้
1. มาตรฐานการเรียนร
ิ่
ี
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัตของสงมีชวิต หน่วยพื้นฐานของสงมีชวิต การลาเลยงสารเข้าและออกจากเซลล ์
ี
ี
ิ
ิ่
ี่
ี่
ั
ั
ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าทของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ทท างานสมพันธ์กัน ความสมพันธ์ของโครงสร้าง
และหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ของพืชที่ท างานสัมพันธ์กัน รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
ั
2. ตัวชี้วดชั้นปี
ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าที่ของอวัยวะในระบบประสาทส่วนกลางในการควบคุมการท างาน ต่างๆ ของร่างกาย
(ว 1.2 ม. 2/10)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายศูนย์ควบคุมระบบประสาทได้ (K)
2. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
4. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
5. สื่อสารและน าความรู้เรื่องศูนย์ควบคุมระบบประสาทไปใชในชีวิตประจ าวันได้ (P)
้
4. สาระส าคัญ
ระบบประสาทมีสมองและไขสันหลังเป็นศูนย์กลางควบคุมการท างาน
5. สาระการเรียนร ู้
ระบบประสาทและการแสดงพฤติกรรม
– ศูนย์ควบคุมระบบประสาท
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
้
4. ความสามารถในการใชทักษะ/กระบวนการและทักษะในการด าเนินชีวิต
5. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
้
155
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
1. สืบค้นข้อมูลศูนย์ควบคุมระบบประสาท
2. ออกแบบแบบจ าลองแสดงทิศทางการเคลื่อนที่ของกระแสประสาทเข้าและออกจากไขสันหลัง
ิ
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูให้นักเรียนทบทวนความรู้เดิมที่ได้เรียนรู้มาแล้วโดยใช้ค าถามต่อไปนี้
– ถ้าอวัยวะใดผิดปกติร่างกายจะไม่สามารถควบคุมสั่งการได้ (แนวค าตอบ สมอง)
2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเชอมโยงไปสการเรียนรู้เรื่อง ศนย์
ิ
ื่
ู
ู่
ควบคุมระบบประสาท
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
ั
้
ื
ั
ั้
้
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
– สมองอยู่ส่วนใดของร่างกาย (แนวค าตอบ อยู่ภายในกะโหลกศีรษะ)
– ไขสันหลังอยู่ส่วนใดของร่างกาย (แนวค าตอบ อยู่ภายในช่องกระดูกสันหลัง)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
่
ู
ุ
ื
(1) ครูให้นักเรียนศกษาเรื่องศนย์ควบคมระบบประสาท จากใบความรู้หรือในหนังสอเรียน โดยครูชวยอธิบายให้
ึ
ู
ุ
้
นักเรียนเขาใจว่า ศนย์ควบคุมระบบประสาทหรือระบบประสาทส่วนกลาง ท าหน้าที่ควบคมการทางานของร่างกายทั้งหมด
ประกอบด้วยสมองและไขสันหลัง
ี่
ั
ุ
่
ื
ั้
ี
ี
ี่
สมองเป็นอวัยวะสาคญทบรรจอยู่ภายในกะโหลกศรษะ แบ่งเป็น 2 สวน คอ ชนนอกมีสเทาเป็นทรวมของเซลล ์
ประสาท และชั้นในมีสขาวเป็นส่วนของใยประสาทที่ยื่นออกมาจากเซลลประสาท สมองของมนุษย์มีพัฒนาการสูงที่สด ทา
์
ี
ุ
ั
้
ั
ิ
ี่
ั
หน้าทควบคมการคด การเคลอนไหว การรับสมผส การมองเห็น การทรงตว การหายใจและการเตนของหัวใจ การไดยิน
ื่
้
ุ
การดมกลิ่น การรับรส และการพูด
ไขสันหลงเปนสวนทต่อจากสมองลงไปตามแนวช่องกระดกสนหลัง มีแขนงเสนประสาทแตกออกไปจากไขสนหลง
ั
้
ู
็
ั
่
ั
ี่
ั
ั
ั
์
้
ั
์
ี
่
้
ี
มากมาย ไขสนหลงดานนอกมีเนื้อสขาวและไม่มีเซลลประสาท สวนดานในมีเนื้อสเทาและมีเซลลประสาท ไขสนหลงทา
ั
หน้าที่น ากระแสประสาทไปสู่สมอง และจากสมองไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย
(2) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับศูนย์ควบคุมระบบประสาท ตามขั้นตอนดังนี้
– แตละกลมวางแผนการสบคนข้อมูล โดยแบ่งหัวข้อย่อยให้เพื่อนสมาชกชวยกันสบคนตามทสมาชกกลม
่
ิ
ุ่
ี่
้
ิ
ุ่
่
้
ื
ื
ช่วยกันก าหนดหัวข้อย่อย เช่น สมองและไขสันหลัง
ื
้
– สมาชกกลมแตละคนหรือกลมย่อยชวยกันสบคนข้อมูลตามหัวข้อย่อยทตนเองรับผดชอบ โดยการสบคน
่
ุ่
้
ื
ี่
ุ่
ิ
ิ
่
จากหนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต
156
ุ่
ั้
ุ่
ี่
– สมาชกกลมน าข้อมูลทสืบคนได้มารายงานให้เพื่อนๆ สมาชกในกลมฟัง รวมทงร่วมกันอภิปรายซักถามจน
ิ
้
ิ
คาดว่าสมาชิกทุกคนมีความรู้ความเข้าใจที่ตรงกัน
่
็
ึ
ั
– สมาชิกกลุ่มช่วยกันสรุปความรู้ที่ได้ทั้งหมดเปนผลงานของกลุ่ม และชวยกันจดท ารายงานการศกษาค้นคว้า
เกี่ยวกับศูนย์ควบคุมระบบประสาท
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
(4) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน
ิ
ิ
ิ
่
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
– สมองมีความสาคญอย่างไร (แนวคาตอบ สมองเป็นศนย์กลางการควบคมการทางานทกสวนของร่างกาย
่
ุ
ั
ุ
ู
้
้
ั
ั
ั
ื่
ิ
ไดแก่ การคด การเคลอนไหว การรับสมผส การมองเห็น การทรงตว การหายใจและการเตนของหัวใจ การไดยิน การดม
้
กลิ่น การรับรส และการพูด)
– ไขสนหลงดานนอกและดานในแตกตางกันอย่างไร (แนวคาตอบ ไขสนหลงดานนอกมีเนื้อสขาวและไม่มี
่
้
ี
ั
ั
้
ั
ั
้
เซลล์ประสาท ส่วนไขสันหลังด้านในมีเนื้อสีเทาและมีเซลล์ประสาท)
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า สมองและไขสันหลังเปน
็
ศูนย์กลางการควบคุมการท างานและส่งความรู้สึกไปยังอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
ิ่
ุ้
ี
ิ
ั
ั
่
(1) ครูอธิบายเพิ่มเตมเกี่ยวกับอวัยวะรับสมผสให้นักเรียนเข้าใจว่า เมื่อมีสงเร้ามากระตน เชน แสง เสยง อุณหภูมิ
้
และความชน สิ่งเร้าเหล่านี้จะกระตุ้นอวัยวะรับสัมผัส ซึ่งประกอบดวยตา หู จมูก ลิ้น และผิวสัมผัส ให้ส่งกระแสประสาทไป
ื้
ยังสมองหรือไขสันหลงโดยผานทางเส้นประสาท จากนั้นสมองหรือไขสนหลงจะส่งกระแสประสาทไปกระตนหรือยับยั้งการ
ั
่
ุ้
ั
ั
ท างานของอวัยวะนั้น ๆ ท าให้เราสามารถแสดงพฤติกรรมตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
้
ิ
(2) ครูให้นักเรียนออกแบบแบบจาลองแสดงทศทางการเคลอนทของกระแสประสาทเขาและออกจากไขสนหลงท ี่
ั
ั
ี่
ื่
เข้าใจง่ายและเก็บรักษาได้นาน แล้วน าผลงานที่ได้มาน าเสนอหน้าห้องเรียน
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
ุ
ี่
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
ี่
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ทได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
็
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
ุ
– สมองมีการควบคมการทางานของอวัยวะรับสมผสให้ทาหน้าทในลกษณะใด (แนวคาตอบ เมื่อมีสงเร้ามา
ิ่
ั
ี่
ั
ั
ั
ั
กระตุ้น อวัยวะรับสัมผสจะส่งกระแสประสาทไปยังสมอง จากนั้นสมองจะส่งกระแสประสาทกลับไปกระตุ้นอวัยวะรับสัมผส
ให้ตอบสนองต่อสิ่งเร้านั้น)
157
ื่
่
้
ั
ั
– ไขสนหลงทาหน้าทอะไร (แนวคาตอบ เชอมตอการทางานระหว่างสมองและเสนประสาท และเป็น
ี่
ศูนย์กลางควบคุมการตอบสนองของร่างกายอย่างทันทีทันใดหรือปฏิกิริยารีเฟล็กซ์)
ขั้นสรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับศนย์ควบคมระบบประสาท โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนทความคดหรือผงมโน
ุ
ู
ี่
ิ
ั
ทัศน์
10. สื่อการเรียนร ู้
1. หนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต
2. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
่
3. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1
ี่
4. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
5. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้
ั
ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
1. ซักถามความรู้เรื่องศูนย์ควบคุมระบบ 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะกระบวนการทาง
ิ
ประสาท รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ วิทยาศาสตร์โดยใช้แบบวัด
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทาง
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน 2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น วิทยาศาสตร์
รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ 2. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
ิ
วัดเจตคตต่อวิทยาศาสตร์ สังเกตการท างานกลุ่ม
3. ประเมินทักษะการแก้ปัญหา
โดยการสังเกตการท างานกลุ่ม
4. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
กลุ่ม
158
บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................
2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………
ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู
159
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)
ิ
แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
มีองค์ประกอบครบ
มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................
2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้
เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
น าไปใช้ได้จริง
ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้
4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………
ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
160
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 23
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ระบบและความสัมพันธ์ในร่างกายมนุษย์ จ านวน 22 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง พฤติกรรม เวลาสอน 1 ชั่วโมง
ู้
1. มาตรฐานการเรียนร
ิ
ิ่
ี
ี
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัตของสงมีชวิต หน่วยพื้นฐานของสงมีชวิต การลาเลยงสารเข้าและออกจากเซลล ์
ี
ิ่
ี่
ั
ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าทของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ทท างานสมพันธ์กัน ความสมพันธ์ของโครงสร้าง
ี่
ั
และหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ของพืชที่ท างานสัมพันธ์กัน รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
ั
2. ตัวชี้วดชั้นปี
ุ
่
ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าทของอวัยวะในระบบประสาทสวนกลางในการควบคมการทางานตางๆ ของร่างกาย
่
ี่
(ว 1.2 ม. 2/10)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายพฤติกรรมของมนุษย์ได้ (K)
2. สังเกตพฤติกรรมของมนุษย์ที่มีต่อสิ่งเร้าบางชนิดได้ (K)
3. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
4. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
5. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
6. สื่อสารและน าความรู้เรื่องพฤติกรรมไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
พฤติกรรมในมนุษย์แบงเป็น 2 ประเภท คอ พฤติกรรมที่มีมาแตก าเนิดเปนพฤตกรรมที่แสดงออกโดยไม่ตองเรียนรู้
่
็
ื
่
ิ
้
และพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้เป็นพฤติกรรมที่แสดงออกโดยการเรียนรู้จากการอยู่ร่วมกัน
5. สาระการเรียนร ู้
ระบบประสาทและการแสดงพฤติกรรม
– พฤติกรรม
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
161
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
สังเกตพฤติกรรมของมนุษย์
ิ
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูให้นักเรียนทบทวนความรู้เดิมที่ได้เรียนรู้มาแล้วโดยใช้ค าถามต่อไปนี้
ิ่
่
– เราสามารถแสดงพฤตกรรมตอบสนองตอสงเร้าไดเพราะอะไร (แนวค าตอบ เพราะสมองหรือไขสันหลังจะ
ิ
้
ส่งกระแสประสาทไปกระตุ้นหรือยับยั้งการท างานของอวัยวะรับสัมผัส)
2) นักเรียนร่วมกันตอบค าถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับค าตอบ เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้เรื่อง พฤติกรรม
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
ื
้
ั
ั
้
ั้
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
– ร่างกายของนักเรียนจะแสดงออกอย่างไรเมื่อเท้าเหยียบตะปู (แนวค าตอบ กระตุกเท้า)
– การกระตุกเท้าเมื่อเหยียบตะปูมีอะไรเป็นสิ่งเร้า (แนวค าตอบ การสัมผัสตะปู)
– การกระตุกเท้าเมื่อเหยียบตะปูและการว่ายน้ าได้เมื่อพลัดตกน้ า พฤติกรรมใดเป็นพฤติกรรมที่แสดงออกโดย
ไม่ต้องเรียนรู้ (แนวค าตอบ การกระตุกเท้าเมื่อเหยียบตะปู)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
ื
ึ
ิ
(1) ครูให้นักเรียนศกษาเรื่องพฤตกรรม จากใบความรู้หรือในหนังสอเรียน โดยครูชวยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า
่
ี่
ิ
ั้
พฤตกรรมเป็นการตอบสนองตอสงเร้าของมนุษย์ เป็นอาการทแสดงออกเพื่อการตอบโตตอสงเร้าทงภายในและภายนอก
ิ่
้
่
ิ่
่
ร่างกาย
สิ่งเร้าภายในร่างกาย เช่น ฮอร์โมน เอนไซม์ ความหิว ความกระหาย และความต้องการทางเพศ
สิ่งเร้าภายนอกร่างกาย เช่น แสง เสียง ความดัน อุณหภูมิ อาหาร น้ า และการสัมผัสสารเคมี
(2) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน ปฏิบัติกิจกรรม สังเกตพฤติกรรมของมนุษย์ ตามขั้นตอน ดังนี้
– ให้นักเรียนจบคกันสงเกตพฤตกรรมของเพื่อนเมื่อโบกมือใกล้นัยน์ตา หรือเมื่อใชมือสมผัสกับวัตถุทเยนจด
ั
็
ั
ี่
้
ั
ู่
ิ
ั
แล้วบันทึกผลที่สังเกตได้ลงในตารางบันทึกผล
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
ิ
(4) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน
่
ิ
ิ
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
162
้
– เมื่อร่างกายไดรับสงเร้าจะตอบสนองตอสงนั้นทนทเป็นเพราะอะไร (แนวคาตอบ เพราะมนุษย์มีระบบ
ิ่
่
ิ่
ี
ั
ประสาทท าหน้าที่ควบคุม และสั่งการเพื่อตอบสนองต่อสิ่งเร้า)
ี่
ื
– นักเรียนจะสรุปความหมายของคาว่า “สงเร้า” ว่าคออะไร (แนวคาตอบ สงเร้า คอ สงทเป็นสาเหตให้
ื
ิ่
ิ่
ุ
ิ่
สิ่งมีชีวิตเกิดการแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ)
ุ้
ี่
– สิ่งเร้าทมากระตุ้นให้มนุษย์แสดงพฤติกรรมมีอะไรบ้าง ยกตัวอย่างประกอบ (แนวค าตอบ สิ่งเร้าที่มากระตน
ให้มนุษย์แสดงพฤติกรรม เช่น แสงท าให้หรี่ตาและอุณหภูมิสูงท าให้เหงื่อออก)
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัตกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า เมื่อมีสงเร้ามากระตน
ิ่
ุ้
ิ
่
ิ
ั
มนุษย์จะแสดงพฤตกรรมเพื่อตอบโตทนท ซึ่งการแสดงพฤตกรรมดงกลาวของมนุษย์เป็นการป้องกันอันตรายเพื่อการ
ิ
้
ั
ี
ด ารงชีวิตและเผ่าพันธุ์เอาไว้
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
ิ
้
ิ
ิ
(1) ครูอธิบายเพิ่มเตมเกี่ยวกับพฤตกรรมให้นักเรียนเขาใจว่า พฤตกรรมทเกิดขึ้นบางอย่างสามารถแสดงออกโดยไม่
ี่
ต้องเรียนรู้ เนื่องจากเป็นพฤติกรรมที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม เรียกพฤติกรรมแบบนี้ว่า พฤตกรรมที่มีมาแตก าเนิด เช่น การ
ิ
่
กะพริบตาเมื่อมีวัตถุก าลังจะกระเด็นเข้าตา การกระตุกเท้าเมื่อเหยียบตะปู พฤติกรรมที่มีการตอบสนองต่อสิ่งเร้าทันทีทันใด
นี้ เรียกว่า ปฏิกิริยารีเฟลกซ์ นอกจากนี้ยังมีพฤตกรรมทมีมาแตก าเนิดทมีความซับซ้อน เชน การดดนมของทารก สวน
ี่
่
ู
ี่
่
็
่
ิ
ิ
พฤติกรรมที่แสดงออกโดยการเรียนรู้จากการอยู่ร่วมกัน เรียกว่า พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ ซึ่งสวนใหญ่เกิดจากการคด
่
หาเหตผลและการได้รับจากประสบการณ์ เช่น การเล่นดนตรีและกีฬา ซึ่งพฤตกรรมทเกิดจากการเรียนรู้นี้เป็นพฤตกรรมท ี่
ุ
ิ
ิ
ี่
สามารถควบคุมได้
ื
่
ิ
ั
(2) นักเรียนคนคว้าคาศพทภาษาตางประเทศเกี่ยวกับพฤตกรรม จากหนังสอเรียนภาษาตางประเทศหรือ
่
์
้
อินเทอร์เน็ต และน าเสนอให้เพื่อนฟัง คัดค าศัพท์พร้อมทั้งค าแปลลงสมุดส่งครู
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
ี่
ุ
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
็
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
– พฤติกรรมที่มีมาแต่ก าเนิดแตกต่างจากพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ในลักษณะใด (แนวค าตอบ พฤติกรรม
ี่
ิ
้
ที่มีมาแตก าเนิดสามารถแสดงออกไดทันทีโดยไม่ต้องเรียนรู้ เนื่องจากเป็นพฤตกรรมทถ่ายทอดทางพันธุกรรม แต่พฤติกรรม
่
ี่
ทเกิดจากการเรียนรู้จะแสดงออกโดยการเรียนรู้จากการอยู่ร่วมกัน ซึ่งเกิดจากการคดหาเหตผลและการไดรับจาก
้
ุ
ิ
ประสบการณ์)
ิ
ี่
– พฤตกรรมทมีการตอบสนองตอสงเร้าทนททนใดเรียกว่าอะไร และถูกควบคมโดยสงใด (แนวคาตอบ
ั
่
ุ
ิ่
ั
ี
ิ่
ปฏิกิริยารีเฟล็กซ์ ซึ่งถูกควบคุมโดยไขสันหลัง)
ขั้นสรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับพฤติกรรม โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์
163
10. สื่อการเรียนร ู้
1. ใบกิจกรรม สงเกตพฤติกรรมของมนุษย์
ั
2. หนังสือเรียนภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต
3. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
4. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1
่
ี่
5. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
6. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
ั
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้
ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
ิ
1. ซักถามความรู้เรื่องพฤติกรรม 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะกระบวนการทาง
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ วิทยาศาสตร์โดยใช้แบบวัด
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทาง
2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น วิทยาศาสตร์
รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ 2. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ สังเกตการท างานกลุ่ม
3. ประเมินทักษะการแก้ปัญหา
โดยการสังเกตการท างานกลุ่ม
4. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
กลุ่ม
164
บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................
2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………
ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู
165
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)
ิ
แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
มีองค์ประกอบครบ
มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................
2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้
เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
น าไปใช้ได้จริง
ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้
4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………
ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
166
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 24
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ระบบและความสัมพันธ์ในร่างกายมนุษย์ จ านวน 22 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง สารเสพติด เวลาสอน 1 ชั่วโมง
ู้
1. มาตรฐานการเรียนร
ิ่
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัตของสงมีชวิต หน่วยพื้นฐานของสงมีชวิต การลาเลยงสารเข้าและออกจากเซลล ์
ิ
ี
ิ่
ี
ี
ี่
ั
ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าทของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ทท างานสมพันธ์กัน ความสมพันธ์ของโครงสร้าง
ี่
ั
และหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ของพืชที่ท างานสัมพันธ์กัน รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
ั
2. ตัวชี้วดชั้นปี
ู
ตระหนักถึงความสาคญของระบบประสาท โดยการบอกแนวทางในการดแลรักษา รวมถึงการป้องกันการ
ั
กระทบกระเทือนและอันตรายต่อสมองและไขสันหลัง (ว 1.2 ม. 2/11)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายผลของสารเสพตดที่มีต่อระบบอวัยวะตางๆ ได้ (K)
่
ิ
2. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
4. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
ี
ิ
5. สื่อสารและน าความรู้เรื่องสารเสพตดไปใช้ในชวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
การรับสารเสพติดเข้าสู่ร่างกายมีผลท าให้พฤติกรรมของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
5. สาระการเรียนร ู้
ระบบประสาทและการแสดงพฤติกรรม
– พฤติกรรม
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
้
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
สืบค้นข้อมูลสารเสพติด
167
ิ
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูให้นักเรียนทบทวนความรู้เดิมที่ได้เรียนรู้มาแล้วโดยใช้ค าถามต่อไปนี้
– พฤติกรรมของมนุษย์คืออะไร (แนวค าตอบ การตอบสนองต่อสิ่งเร้า ซึ่งเป็นอาการที่แสดงออกเพื่อการตอบ
โต้ต่อสิ่งเร้าทั้งภายในและภายนอกร่างกาย)
ื
ิ
ิ
– พฤตกรรมของมนุษย์แบ่งเปนกี่ประเภท อะไรบ้าง (แนวค าตอบ แบงเปน 2 ประเภท คอ พฤตกรรมที่มีมา
่
็
็
แต่ก าเนิดและพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้)
2) นักเรียนร่วมกันตอบค าถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับค าตอบ เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้เรื่อง สารเสพติด
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
ั
้
ื
ั้
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
้
ั
(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
้
ิ่
ิ่
– นอกจากสงเร้าภายในร่างกายและสงเร้าภายนอกร่างกายแลว การรับสงใดเข้าสร่างกายก็มีผลทาให้
ู่
ิ่
พฤติกรรมของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม (แนวค าตอบ สารเสพติด)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
(1) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน ปฏิบัติกิจกรรม สืบค้นข้อมูลสารเสพติด ตามขั้นตอน ดังนี้
– สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับสารเสพติด โดยค้นคว้าในประเด็นต่างๆ ต่อไปนี้
• สารเสพติด
• สุขภาพ
• สถิติผู้ติดสารเสพติด
ิ
ิ
ี่
้
ื
– น าข้อมูลทสบคนไดมาอภิปรายร่วมกันว่า ถ้าประชากรในประเทศโดยเฉพาะเยาวชนตดสารเสพตดจะมี
้
ผลกระทบต่อประเทศอย่างไร แล้วร่วมกันเสนอแนะแนวทางการป้องกันและแก้ไข
– จัดนิทรรศการเผยแพร่ความรู้ภายในโรงเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
่
(3) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน
ิ
ิ
ิ
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
– ระบบอวัยวะใดของร่างกายที่ได้รับผลกระทบจากการเสพสารเสพติดมากที่สุด (แนวค าตอบ ระบบประสาท)
168
– ถ้าประชากรซึ่งเป็นเยาวชนของประเทศติดสารเสพติดเป็นจ านวนมากจะมีผลกระทบต่อประเทศในลักษณะ
ั
่
ิ
ุ
ุ
ี่
ใด (แนวคาตอบ ทาให้เกิดปัญหาอาชญากรรมและอุบัตเหตตางๆ เป็นภาระของสงคม ประเทศขาดบุคลากรทมีคณภาพ
ส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในอนาคต)
ิ
ั
้
– นักเรียนมีวิธีป้องกันและแก้ไขปัญหาสารเสพตดทเกิดขึ้นกับเยาวชนของชาติไดในลกษณะใด (แนวคาตอบ
ี่
ั
ี่
ั้
้
่
ิ
้
ั
จัดกิจกรรมทช่วยป้องกันแก้ไขปญหาสารเสพตด ไดแก่ 1. การจดตงชมรมกีฬาตานสารเสพติด โดยการจัดการแขงขันกีฬา
้
ึ
ขึ้นอย่างต่อเนื่อง 2. จัดการเดนรณรงค์ต้านสารเสพติดในทองถิ่นทก ๆ ปี 3. จดสารวัตรนักเรียนทั้งในและนอกสถานศกษา
ุ
ั
ิ
เพื่อตรวจตราเอาผิดกับเยาวชนผู้ติดสารเสพติดอย่างจริงจัง)
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า สารเสพติดเป็นสิ่งที่เสพ
ิ
เข้าไปแล้วท าให้เกิดความต้องการทจะเสพเพิ่มมากขึ้น และผลจากการเสพจะให้โทษแก่ร่างกาย ซึ่งสารเสพติดทแพร่ระบาด
ี่
ี่
อยู่ในปัจจุบันมีหลายชนิด
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
้
้
ิ
้
(1) ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับสารเสพตดให้นักเรียนเขาใจว่า สารเสพติดเมื่อเขาสู่ร่างกายในเวลาติดต่อกันแลว จะ
ิ
สามารถออกฤทธิ์และส่งผลตอระบบอวัยวะตางๆ ในร่างกาย และยังสงผลไปถึงสภาพจิตใจและพฤตกรรมการแสดงออกท ี่
่
่
่
เปลี่ยนไปจากปกติด้วย
สารเสพตดมีหลายประเภท สามารถแบ่งตามลักษณะการออกฤทธิ์ได คือ สารเสพตดชนิดกดประสาท สารเสพตด
ิ
ิ
้
ิ
ชนิดกระตุ้นประสาท สารเสพติดชนิดหลอนประสาท และสารเสพติดชนิดออกฤทธิ์ผสมกัน
ื่
(2) ครูเชอมโยงความรู้เข้ากับบูรณาการอาเซียน โดยครูอธิบายเกี่ยวกับวันต่อต้านสารเสพติดโลกว่า วันต่อต้านสาร
เสพติดโลกตรงกับวันที่ 26 มิถุนายน ของทุกปี โดยในประเทศไทยมีการตั้งค าขวัญเพื่อรณรงค์การต่อต้านสารเสพติดทุกปี
ิ
ั
้
การก าจัดสารเสพติดต้องใช้ความร่วมมือกับต่างประเทศดวย เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการก าจดสารเสพตด โดย
ู้
ความร่วมมือของประเทศสมาชิกอาเซียนเน้นใน 4 จด คอ ไม่ให้มีผเข้าไปเกี่ยวข้องกับสารเสพตด ป้องกันพื้นที่ปัจจยเสยง
ุ
ื
ี่
ิ
ั
ป้องกันพฤติกรรมซ้ า และป้องกันชุมชน
(3) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน เล่นเกมหาคู่ แล้วให้แต่ละกลุ่มจับคชนิดของสารเสพติดและลักษณะการออก
ู่
ฤทธิ์ให้ถูกต้อง กลุ่มใดได้คะแนนมากกว่าเป็นฝ่ายชนะ
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
ี่
ุ
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
็
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
– นักเรียนมีวิธีดูแลรักษาระบบประสาทให้ทางานเปนปกติไดอย่างไร (แนวค าตอบ ป้องกันการเกิดอุบัติเหตท ี่
ุ
้
็
่
ื
ี
ี่
ี่
้
ิ
กระทบกระเทอนตออวัยวะในระบบประสาท หลกเลยงการใชสารเสพตด หลกเลยงภาวะเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ ออก
ี
ก าลังกายสม่ าเสมอ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์)
ี่
– นักเรียนสามารถหลีกเลยงสิ่งที่จะทาให้การท างานของระบบประสาทมีประสิทธิภาพลดลงไดอย่างไร (แนว
้
ค าตอบ ไม่เสพสารเสพติดทุกชนิด)
169
ขั้นสรุป
1) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับสารเสพติด โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์
ั่
ั
2) ครูมอบหมายให้นักเรียนไปศกษาคนคว้าเนื้อหาของบทเรียนชวโมงหน้า เพื่อจดการเรียนรู้ครั้งตอไป โดยให้
ึ
้
่
นักเรียนศึกษาค้นคว้าล่วงหน้าในหัวข้อระบบสืบพันธุ์
3) ครูให้นักเรียนเตรียมประเด็นค าถามที่สงสัยมาอย่างน้อยคนละ 1 ค าถาม เพื่อน ามาอภิปรายร่วมกันในห้องเรียน
ครั้งต่อไป
10. สื่อการเรียนร ู้
ิ
1. ใบกิจกรรม สืบค้นข้อมูลสารเสพตด
2. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
่
3. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1
4. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
ี่
5. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
ั
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้
ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
ิ
ิ
1. ซักถามความรู้เรื่องสารเสพตด 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ สังเกตการท างานกลุ่ม
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ 2. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ กลุ่ม
170
บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................
2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………
ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู
171
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)
ิ
แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
มีองค์ประกอบครบ
มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................
2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้
เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
น าไปใช้ได้จริง
ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้
4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………
ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
172
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 25
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ระบบและความสัมพันธ์ในร่างกายมนุษย์ จ านวน 22 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ระบบสืบพันธุ์เพศชาย เวลาสอน 1 ชั่วโมง
1. มาตรฐานการเรียนร
ู้
ี
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัตของสงมีชวิต หน่วยพื้นฐานของสงมีชวิต การลาเลยงสารเข้าและออกจากเซลล ์
ี
ิ่
ิ
ิ่
ี
ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าทของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ทท างานสมพันธ์กัน ความสมพันธ์ของโครงสร้าง
ั
ี่
ี่
ั
และหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ของพืชที่ท างานสัมพันธ์กัน รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
2. ตัวชี้วดชั้นปี
ั
1. ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าที่ของอวัยวะในระบบสืบพันธุ์ของเพศชายและเพศหญิง โดยใช้แบบจ าลอง (ว 1.2
ม. 2/12)
2. อธิบายผลของฮอร์โมนเพศชายและเพศหญิงที่ควบคุมการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มสาว (ว 1.2
ม. 2/13)
ู
ู่
ี่
ิ
3. ตระหนักถึงการเปลยนแปลงของร่างกายเมื่อเข้าสวัยหนุ่มสาว โดยการดแลรักษาร่างกายและจตใจของตนเอง
ในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลง (ว 1.2 ม. 2/14)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายหน้าที่ของอวัยวะในระบบสืบพันธุ์เพศชายได้ (K)
2. อธิบายผลของฮอร์โมนเพศชายที่ควบคุมการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นได้ (K)
3. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
4. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
5. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
6. สื่อสารและน าความรู้เรื่องระบบสืบพันธุ์เพศชายไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
ระบบสืบพันธุ์เปนระบบททาให้สงมีชวิตมีการสบพันธุ์ เพื่อดารงพันธุ์และถ่ายทอดลกษณะเฉพาะของสงมีชวิตแต ่
ั
ื
็
ี่
ี
ิ่
ี
ิ่
ละชนิดจากบรรพบุรุษไปสู่รุ่นต่อไป
ิ
่
ุ
ระบบสบพันธุ์เพศชายประกอบด้วยอวัยวะทส าคญ ได้แก่ อัณฑะ หลอดเก็บอสจ หลอดน าอสจิ ทอปัสสาวะ ตอม
ื
ี่
ั
ุ
่
สร้างน้ าเลี้ยงอสุจิ ต่อมลูกหมาก และต่อมคาวเปอร์
5. สาระการเรียนร ู้
ระบบสืบพันธุ์
– ระบบสืบพันธุ์เพศชาย
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
173
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
้
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
สืบค้นข้อมูลระบบสืบพันธุ์เพศชาย
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ิ
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
ั้
– ตงแตวัยเด็กจนถึงปัจจบันนักเรียนมีการเปลยนแปลงลักษณะของร่างกายอย่างไร (แนวคาตอบ มีความสง
ุ
่
ี่
ู
และน้ าหนักเพิ่มขึ้น)
็
– ระบบใดในร่างกายของนักเรียนที่ยังพัฒนาไม่สมบูรณ์เมื่ออยู่ในวัยเดก แต่จะพัฒนาสมบูรณ์และทาหน้าที่ได ้
อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น (แนวค าตอบ ระบบสืบพันธุ์)
ิ
ื่
2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเชอมโยงไปสการเรียนรู้เรื่อง ระบบ
ู่
สืบพันธุ์เพศชาย
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
ั
้
ื
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
ั้
ั
้
(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
่
(1) ครูแบงกลมนักเรียนแล้วเปิดโอกาสให้นักเรียนในกลุ่มน าเสนอข้อมูลเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ที่ครูมอบหมายให้ไป
ุ่
เรียนรู้ล่วงหน้าให้เพื่อนๆ ในกลุ่มฟัง จากนั้นให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนมาน าเสนอข้อมูลหน้าห้องเรียน
้
ี่
(2) ครูตรวจสอบว่านักเรียนท าภาระงานทไดรับมอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบจากการจดบันทกของนักเรียน
ึ
และถามค าถามเกี่ยวกับภาระงาน ดังนี้
ุ
– อวัยวะทส าคัญในระบบสืบพันธุ์เพศชายมีอะไรบ้าง (แนวคาตอบ อัณฑะ หลอดเก็บอสจิ หลอดน าอสจิ ทอ
ี่
ุ
่
ปัสสาวะ ต่อมสร้างน้ าเลี้ยงอสุจิ ต่อมลูกหมาก และต่อมคาวเปอร์)
ู
่
ู
ั
ื
– อวัยวะทสาคญในระบบสบพันธุ์เพศหญิงมีอะไรบ้าง (แนวคาตอบ รังไข่ ทอน าไข่ มดลก ปากมดลก และ
ี่
ช่องคลอด)
– ระบบสบพันธุ์มีความสาคญอย่างไร (แนวค าตอบ ทาให้สงมีชวิตมีการสบพันธุ์เพื่อดารงพันธุ์และถ่ายทอด
ื
ี
ิ่
ื
ั
ลักษณะเฉพาะของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดจากบรรพบุรุษไปสู่รุ่นต่อไป)
(3) ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนตงประเดนค าถามที่นักเรียนสงสยจากการทาภาระงานอย่างน้อยคนละ 1 คาถาม ซึ่ง
ั
็
ั้
ครูให้นักเรียนเตรียมมาล่วงหน้า และให้นักเรียนช่วยกันตอบและแสดงความคิดเห็น
174
(4) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับภาระงาน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า ระบบสืบพันธุ์เป็นระบบท ี่
ท าให้สิ่งมีชีวิตมีการสืบพันธุ์เพื่อด ารงพันธุ์และถ่ายทอดลักษณะเฉพาะของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดจากบรรพบุรุษไปสู่รุ่นต่อไป
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
ื
ึ
(1) ครูให้นักเรียนศกษาเรื่องระบบสบพันธุ์ จากใบความรู้หรือในหนังสือเรียน โดยครูชวยอธิบายให้นักเรียนเขาใจ
้
่
็
ั
ี
ิ่
ื
ว่า ระบบสืบพันธุ์เปนระบบที่ท าให้สงมีชีวิตมีการสบพันธุ์เพื่อด ารงพันธุ์และถ่ายทอดลกษณะเฉพาะของสิ่งมีชวิตแต่ละชนิด
ื
ื
่
ู่
ั
ิ่
จากบรรพบุรุษไปสรุ่นตอไป การสบพันธุ์ในสงมีชวิตแบ่งเป็น 2 ประเภท คอ การสบพันธุ์แบบอาศยเพศและการสบพันธุ์
ื
ื
ี
แบบไม่อาศัยเพศ ซึ่งการสืบพันธุ์ของมนุษย์เป็นการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศเท่านั้น
ู่
เมื่อเข้าสวัยหนุ่มสาวหรือวัยรุ่น ทั้งเพศชายและเพศหญิงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย อันเนื่องมาจากการ
ท างานของฮอร์โมนเพศที่กระตุ้นให้ระบบสืบพันธุ์สมบูรณ์ขึ้น ในช่วงเวลาที่เขาสู่วัยรุ่น เพศชายอายุระหว่าง 11–16 ปี ส่วน
้
้
ื
็
ี่
เพศหญิงอายุระหว่าง 10–15 ปี โดยร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทสังเกตเหนไดชัดเจน คอ ในเพศชายมีไหล่กว้าง เสียง
่
แตกห้าว มีหนวด เครา ขนรักแร้ และขนบริเวณอวัยวะเพศ และมีการสร้างและหลงน้ าอสจ สวนเพศหญิงมีเตานมขยาย
้
ั่
ิ
ุ
ี่
ใหญ่ สะโพกผาย มีขนรักแร้และขนบริเวณอวัยวะเพศ และเริ่มมีประจาเดอน นอกจากการเปลยนแปลงทสงเกตไดจาก
ี่
ื
้
ั
ภายนอกแลว อวัยวะในระบบสบพันธุ์ก็จะเจริญและพัฒนาจนทาหน้าทสบพันธุ์ได เรียกวัยทสามารถสบพันธุ์ไดนี้ว่า วัย
้
ื
้
ื
ี่
ี่
ื
้
เจริญพันธุ์
(2) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์เพศชาย ตามขั้นตอนดังนี้
ิ
ุ่
่
ื
ุ่
– แตละกลมวางแผนการสบคนข้อมูล โดยแบ่งหัวข้อย่อยให้เพื่อนสมาชกชวยกันสบคนตามทสมาชกกลม
้
ี่
่
ิ
ื
้
ช่วยกันก าหนดหัวข้อย่อย เช่น อวัยวะในระบบสืบพันธุ์เพศชายและการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นของเพศชาย
้
ี่
ิ
ื
่
ุ่
่
– สมาชกกลมแตละคนหรือกลมย่อยชวยกันสบคนข้อมูลตามหัวข้อย่อยทตนเองรับผดชอบ โดยการสบคน
ิ
ุ่
ื
้
จากหนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต
้
ั้
ี่
– สมาชกกลมน าข้อมูลทสืบคนได้มารายงานให้เพื่อนๆ สมาชกในกลมฟัง รวมทงร่วมกันอภิปรายซักถามจน
ิ
ุ่
ิ
ุ่
คาดว่าสมาชิกทุกคนมีความรู้ความเข้าใจที่ตรงกัน
็
่
– สมาชิกกลุ่มช่วยกันสรุปความรู้ที่ได้ทั้งหมดเปนผลงานของกลุ่ม และชวยกันจดท ารายงานการศกษาค้นคว้า
ึ
ั
เกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์เพศชาย
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
ู
(4) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน
ิ
่
ิ
ิ
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
– อวัยวะใดท าหน้าที่สร้างอสุจิและฮอร์โมนเพศชาย (แนวค าตอบ อัณฑะ)
ื
ู่
– การเปลี่ยนแปลงของร่างกายเมื่อเข้าสวัยรุ่นของเพศชายคออะไร (แนวค าตอบ มีไหลกว้าง เสียงแตกห้าว มี
่
หนวด เครา ขนรักแร้ และขนบริเวณอวัยวะเพศ และมีการสร้างและหลั่งน้ าอสุจิ)
ั
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบตกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า ฮอร์โมนเพศชายซึ่งถูก
ิ
สร้างมาจากอัณฑะจะกระตุ้นให้ระบบสืบพันธุ์เพศชายสมบูรณ์ในช่วงเวลาที่เข้าสู่วัยรุ่น ท าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของ
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
175
้
ื
ิ
ื
ครูอธิบายเพิ่มเตมเกี่ยวกับระบบสบพันธุ์เพศชายให้นักเรียนเข้าใจว่า ระบบสบพันธุ์เพศชายประกอบดวยอวัยวะท ี่
ส าคัญ ได้แก่ อัณฑะ มี 2 ข้าง อยู่ภายในถุงอัณฑะ ท าหน้าที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศชาย คือ อสุจิ และสร้างฮอร์โมนเพศชาย
คอ ฮอร์โมนเทสทอสเทอโรน นอกจากนี้ ระบบสบพันธุ์ของเพศชายยังประกอบดวยอวัยวะอื่นๆ อีก เชน หลอดเก็บอสจ ิ
้
ื
ื
่
ุ
หลอดน าอสุจิ ท่อปัสสาวะรวมถึงต่อมต่างๆ เช่น ต่อมสร้างน้ าเลี้ยงอสุจิ ต่อมลูกหมาก และต่อมคาวเปอร์
ื
โดยทั่วไปเพศชายจะเริ่มสร้างอสจิเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น คออายุประมาณ 11 ปี และจะสร้างไปตลอดชีวิต เมื่ออัณฑะ
ุ
็
สร้างอสุจิขึ้น อสจิจะเคลื่อนมาพักที่หลอดเก็บอสุจิ ซึ่งเปนแหลงให้อสุจิเจริญเตบโตเต็มที่ แล้วจึงถูกลาเลียงมาตามหลอดน า
ิ
่
ุ
ุ
ั่
อสุจิก่อนที่อสจิจะถูกขับออกทางท่อปัสสาวะ ต่อมสร้างน้ าเลี้ยงอสุจิจะหลงของเหลวที่มีอาหารส าหรับอสุจิ ต่อมลูกหมากจะ
่
ั่
่
ี่
ั่
หลงของเหลวทเป็นเบสอ่อนเพื่อลดความเป็นกรดในชองคลอด และตอมคาวเปอร์จะหลงของเหลวสาหรับหลอลนทอ
่
ื่
่
ปัสสาวะ แล้วอสุจิจึงถูกขับออกจากร่างกายตรงปลายสุดขององคชาต
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
ุ
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
ี่
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
็
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม
ขั้นสรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์เพศชาย โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์
10. สื่อการเรียนร ู้
1. หนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต
2. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
่
3. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1
4. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
ี่
5. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
ั
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้
ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
1. ซักถามความรู้เรื่องระบบสืบพันธุ์เพศ 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
ิ
ชาย รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ สังเกตการท างานกลุ่ม
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ 2. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน 2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
่
วัดเจตคติตอวิทยาศาสตร์ กลุ่ม
176
บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................
2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………
ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู
177
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)
ิ
แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
มีองค์ประกอบครบ
มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................
2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้
เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
น าไปใช้ได้จริง
ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้
4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………
ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
178
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 26
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ระบบและความสัมพันธ์ในร่างกายมนุษย์ จ านวน 22 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ระบบสืบพันธุ์เพศหญิง เวลาสอน 1 ชั่วโมง
ู้
1. มาตรฐานการเรียนร
ี
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัตของสงมีชวิต หน่วยพื้นฐานของสงมีชวิต การลาเลยงสารเข้าและออกจากเซลล ์
ี
ิ่
ี
ิ่
ิ
ี่
ี่
ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าทของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ทท างานสมพันธ์กัน ความสมพันธ์ของโครงสร้าง
ั
ั
และหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ของพืชที่ท างานสัมพันธ์กัน รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
2. ตัวชี้วดชั้นปี
ั
1. ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าที่ของอวัยวะในระบบสืบพันธุ์ของเพศชายและเพศหญิง โดยใช้แบบจ าลอง (ว 1.2
ม. 2/12)
2. อธิบายผลของฮอร์โมนเพศชายและเพศหญิงที่ควบคุมการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มสาว (ว 1.2
ม. 2/13)
ู
ิ
ี่
3. ตระหนักถึงการเปลยนแปลงของร่างกายเมื่อเข้าสวัยหนุ่มสาว โดยการดแลรักษาร่างกายและจตใจของตนเอง
ู่
ในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลง (ว 1.2 ม. 2/14)
4. อธิบายการตกไข่ การมีประจ าเดือน การปฏิสนธิ และการพัฒนาของไซโกตจนคลอดเป็นทารก (ว 1.2 ม. 2/15)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายหน้าที่ของอวัยวะในระบบสืบพันธุ์เพศหญิงได้ (K)
2. อธิบายผลของฮอร์โมนเพศหญิงที่ควบคุมการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นได้ (K)
3. อธิบายการตกไข่และการมีประจ าเดือนได้ (K)
4. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
5. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
6. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
7. สื่อสารและน าความรู้เรื่องระบบสืบพันธุ์เพศหญิงไปใช้ในชวิตประจ าวันได้ (P)
ี
4. สาระส าคัญ
ระบบสืบพันธุ์เพศหญิงประกอบด้วยอวัยวะที่ส าคัญ ได้แก่ รังไข่ ท่อน าไข่ มดลูก ปากมดลูก และช่องคลอด
5. สาระการเรียนร ู้
ระบบสืบพันธุ์
– ระบบสืบพันธุ์เพศหญิง
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
179
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
้
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
สืบค้นข้อมูลระบบสืบพันธุ์เพศหญิง
ิ
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูให้นักเรียนทบทวนความรู้เดิมที่ได้เรียนรู้มาแล้วโดยใช้ค าถามต่อไปนี้
– เพศชายจะเข้าสู่วัยรุ่นเมื่ออายุเท่าใด (แนวค าตอบ 11–16 ปี)
– เพศหญิงจะเข้าสู่วัยรุ่นเมื่ออายุเท่าใด (แนวค าตอบ 10–15 ปี)
ิ
2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเชอมโยงไปสการเรียนรู้เรื่อง ระบบ
ู่
ื่
สืบพันธุ์เพศหญิง
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
้
ั
ั้
้
ื
ั
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
่
– วัยรุ่นเพศชายและวัยรุ่นเพศหญิงมีการเปลยนแปลงของร่างกายแตกตางกันหรือไม่ (แนวคาตอบ แตกตาง
ี่
่
กัน)
ี่
่
ี่
– สงใดททาให้วัยรุ่นเพศชายและวัยรุ่นเพศหญิงมีการเปลยนแปลงของร่างกายแตกตางกัน (แนวคาตอบ
ิ่
ฮอร์โมนเพศชายและฮอร์โมนเพศหญิง)
– อวัยวะใดทาหน้าทสร้างฮอร์โมนเพศชาย และอวัยวะใดทาหน้าทสร้างฮอร์โมนเพศหญิง (แนวคาตอบ
ี่
ี่
อัณฑะท าหน้าที่สร้างฮอร์โมนเพศชาย และรังไข่ท าหน้าที่สร้างฮอร์โมนเพศหญิง)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
่
ื
(1) ครูให้นักเรียนศกษาเรื่องระบบสบพันธุ์เพศหญิง จากใบความรู้หรือในหนังสอเรียน โดยครูชวยอธิบายให้
ื
ึ
นักเรียนเข้าใจว่า ระบบสบพันธุ์เพศหญิงประกอบด้วยอวัยวะทส าคญ ไดแก่ รังไข่ มี 2 ข้าง อยู่บริเวณปีกมดลกแต่ละข้าง
ื
้
ี่
ู
ั
ู
ี่
ุ
ทาหน้าทสร้างเซลลสบพันธุ์เพศหญิง คอ ไข่ และสร้างฮอร์โมนเพศหญิง เชน อีสโทรเจนทาหน้าทควบคมเกี่ยวกับมดลก
ื
่
์
ี่
ื
ช่องคลอด ต่อมน้ านมลักษณะต่างๆ ของเพศหญิง และโพรเจสเทอโรนซึ่งจะท างานร่วมกับอีสโทรเจน เพื่อควบคุมการเจริญ
่
ี่
ของมดลก ชวยเปลยนแปลงเยื่อบุมดลกเพื่อเตรียมรับไข่ทปฏิสนธิแลว รังไข่แตละข้างอยู่ใกลกับปลายของทอน าไข่ทมี
ี่
้
ู
ี่
ู
่
้
่
ลักษณะเป็นปากแตร ส่วนปลายอีกข้างหนึ่งของท่อน าไข่จะเปิดเข้าสู่มดลูก บริเวณทมดลกเปิดเข้าสู่ช่องคลอดเรียกว่า ปาก
ี่
ู
มดลูก
180
(2) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์เพศหญิง ตามขั้นตอนดังนี้
ื
้
ิ
– แตละกลมวางแผนการสบคนข้อมูล โดยแบ่งหัวข้อย่อยให้เพื่อนสมาชกชวยกันสบคนตามทสมาชกกลม
่
ุ่
ี่
้
ุ่
ิ
่
ื
ี่
ื
่
ู่
ช่วยกันก าหนดหัวข้อย่อย เชน อวัยวะในระบบสบพันธุ์เพศหญิงและการเปลยนแปลงของร่างกายเมื่อเข้าสวัยรุ่นของเพศ
หญิง
ี่
ุ่
ิ
ิ
– สมาชกกลมแตละคนหรือกลมย่อยชวยกันสบคนข้อมูลตามหัวข้อย่อยทตนเองรับผดชอบ โดยการสบคน
่
ุ่
ื
่
้
ื
้
จากหนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต
ิ
ั้
ุ่
ุ่
ิ
้
– สมาชกกลมน าข้อมูลทสืบคนได้มารายงานให้เพื่อนๆ สมาชกในกลมฟัง รวมทงร่วมกันอภิปรายซักถามจน
ี่
คาดว่าสมาชิกทุกคนมีความรู้ความเข้าใจที่ตรงกัน
็
่
ั
ึ
– สมาชิกกลุ่มช่วยกันสรุปความรู้ที่ได้ทั้งหมดเปนผลงานของกลุ่ม และชวยกันจดท ารายงานการศกษาค้นคว้า
เกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์เพศหญิง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
(4) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน
ิ
ิ
ิ
่
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
– อวัยวะใดท าหน้าที่สร้างไข่และฮอร์โมนเพศหญิง (แนวค าตอบ รังไข่)
ื
– การเปลี่ยนแปลงของร่างกายเมื่อเขาสวัยรุ่นของเพศหญิงคออะไร (แนวค าตอบ มีเต้านมขยายใหญ่ สะโพก
้
ู่
ผาย มีขนรักแร้และขนบริเวณอวัยวะเพศ และเริ่มมีประจ าเดือน)
้
ั
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเขาใจว่า ฮอร์โมนเพศหญิงซึ่งถูก
สร้างมาจากรังไข่จะกระตนให้ระบบสบพันธุ์หญิงสมบูรณในชวงเวลาทเข้าสวัยรุ่น ทาให้เกิดการเปลยนแปลงของร่างกาย
์
ื
่
ี่
ู่
ุ้
ี่
ต่างๆ เช่น มีเต้านมขยายใหญ่ สะโพกผาย มีขนรักแร้และขนบริเวณอวัยวะเพศ และเริ่มมีประจ าเดือ
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
ิ
็
้
(1) ครูอธิบายเพิ่มเตมเกี่ยวกับการตกไข่ให้นักเรียนเข้าใจว่า เมื่อไข่เจริญเตมทพร้อมทจะไดรับการปฏิสนธิหรือ
ี่
ี่
เรียกว่า ไข่สุก ไข่จะเคลื่อนที่ออกจากรังไข่เข้าสู่ท่อน าไข่ เรียกกระบวนการนี้ว่า การตกไข่
ิ
(2) ครูอธิบายเพิ่มเตมเกี่ยวกับประจาเดอนให้นักเรียนเข้าใจว่า การมีประจาเดอนจะถูกควบคมโดยฮอร์โมนเพศ
ุ
ื
ื
้
หญิง ในช่วงของการตกไข่ฮอร์โมนจะไปกระตุ้นให้เยื่อบุผนังมดลูกหนาขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมรับไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว ถา
ุ
ู
ั
ั้
ู
ไข่ไม่ได้รับการปฏิสนธิ ไข่จะฝอและสลายตวไป เยื่อบุผนังมดลกจะเสอมสภาพและลอกหลดจากผนังมดลกพร้อมทงมีเลือด
่
ื่
ไหลปนออกมาทางช่องคลอด ซึ่งก็คือประจ าเดือนนั่นเอง
โดยปกติผู้หญิงจะมีประจ าเดอนเมื่ออายุประมาณ 10 – 13 ปี และจะมีทุกเดือนไปจนถึงอายุประมาณ 45 – 50 ปี รอบของ
ื
่
ื
การมีประจาเดอนแตละรอบแตกตางกันไปในแตละคน โดยทั่วไปประมาณ 28 วัน ซึ่งพบว่าการตกไข่จะเกิดขึ้นประมาณ
่
่
กึ่งกลางของรอบเดือน
่
ื
ื
(3) ครูอธิบายเรื่องน่ารู้ เรื่องการปวดทองเนื่องจากการมีประจาเดอนให้นักเรียนเข้าใจว่า ในแตละเดอน
้
ิ
้
ประจ าเดือนอาจมีมากหรือน้อยก็ไดขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและจตใจของแต่ละบุคคล อารมณและความวิตกกังวลตางๆ ก็มี
่
์
ผลทาให้การหลงฮอร์โมนของตอมใตสมองผดปกต ทาให้ประจาเดอนมาไม่ปกตได ในบางคนการมีประจาเดอนทาให้มี
ื
่
้
ิ
ื
้
ิ
ิ
ั่
181
้
ี
่
้
่
ี่
ิ
อาการปวดศรษะ เมื่อยลา หงุดหงิด หรือปวดทอง ซึ่งอาการเหลานี้เป็นอาการปกตทเกิดขึ้นโดยไม่เป็นอันตราย แตถ้ามี
้
อาการผิดปกติเกิดขึ้น เช่น ประจ าเดือนมีชาหรือเร็วเกินไป มีนานกว่าปกติ หรือไม่มีเลย ควรไปพบแพทย์
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
ี่
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
ุ
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
็
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
– เซลล์สืบพันธุ์เพศหญิงคืออะไร (แนวค าตอบ ไข่)
– ฮอร์โมนเพศหญิงคืออะไร (แนวค าตอบ ฮอร์โมนอีสโทรเจนและโพรเจสเทอโรน)
– ประจาเดือนเกิดจากอะไร (แนวค าตอบ การเสื่อมสภาพและลอกหลดของเยื่อบุผนังมดลูกที่หนาขึ้นแตไม่ได ้
ุ
่
รับการฝังตัวของไข่ออกจากผนังมดลูกเมื่อฮอร์โมนเพศหญิงมีปริมาณลดลง)
ขั้นสรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์เพศหญิง โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์
10. สื่อการเรียนร ู้
1. หนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต
2. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
3. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1
่
ี่
4. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
5. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้
ั
ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
ิ
1. ซักถามความรู้เรื่องระบบสืบพันธุ์เพศ 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
หญิง รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ สังเกตการท างานกลุ่ม
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ 2. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน 2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
ิ
วัดเจตคตต่อวิทยาศาสตร์ กลุ่ม
182
บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................
2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………
ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู
183
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)
ิ
แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
มีองค์ประกอบครบ
มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................
2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้
เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
น าไปใช้ได้จริง
ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้
4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………
ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
184
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 27
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ระบบและความสัมพันธ์ในร่างกายมนุษย์ จ านวน 22 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การปฏิสนธิ การตั้งครรภ์ และการคลอด เวลาสอน 1 ชั่วโมง
ู้
1. มาตรฐานการเรียนร
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัตของสงมีชวิต หน่วยพื้นฐานของสงมีชวิต การลาเลยงสารเข้าและออกจากเซลล ์
ี
ี
ิ
ิ่
ี
ิ่
ั
ั
ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าทของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ทท างานสมพันธ์กัน ความสมพันธ์ของโครงสร้าง
ี่
ี่
และหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ของพืชที่ท างานสัมพันธ์กัน รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
2. ตัวชี้วดชั้นปี
ั
อธิบายการตกไข่ การมีประจ าเดือน การปฏิสนธิ และการพัฒนาของไซโกตจนคลอดเป็นทารก (ว 1.2 ม. 2/15)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายการปฏิสนธิ การตั้งครรภ์ และการคลอดได้ (K)
2. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
4. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
5. สื่อสารและน าความรู้เรื่องการปฏิสนธิ การตั้งครรภ์ และการคลอดไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
เมื่อเพศหญิงมีการตกไข่และไข่ไดรับการปฏิสนธิกับอสจจะทาให้ไดไซโกต ไซโกตจะเจริญเตบโตเป็นเอ็มบริโอ
ิ
ุ
้
้
ิ
และฟีตัสจนกระทั่งคลอดเป็นทารก
5. สาระการเรียนร ู้
ระบบสืบพันธุ์
– การปฏิสนธิ การตั้งครรภ์ และการคลอด
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
้
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
สืบค้นข้อมูลการปฏิสนธิ การตั้งครรภ์ และการคลอด
185
ิ
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูให้นักเรียนทบทวนความรู้เดิมที่ได้เรียนรู้มาแล้วโดยใช้ค าถามต่อไปนี้
– กระบวนการที่ไข่เคลื่อนที่ออกจากรังไข่เข้าสู่ท่อน าไข่เรียกว่าอะไร (แนวค าตอบ การตกไข่)
ุ
่
– เมื่อไข่ทไม่ไดรับการปฏิสนธิฝอและเยื่อบุผนังมดลกลอกหลดออกจากผนังมดลกจะทาให้เกิดอะไร (แนว
ู
้
ี่
ู
ค าตอบ ประจ าเดือน)
2) นักเรียนร่วมกันตอบค าถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับค าตอบ เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้เรื่อง การปฏิสนธิ
การตั้งครรภ์ และการคลอด
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
ั้
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
ั
้
ื
้
ั
(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
้
– เมื่อไข่ได้รับการปฏิสนธิกับอสุจแลว เพศหญิงจะมีประจ าเดือนในรอบเดือนถัดไปหรือไม่ (แนวคาตอบ ไม่มี
ิ
ประจ าเดือนในรอบเดือนถัดไป)
– การปฏิสนธิเกิดขึ้นเมื่อใด (แนวค าตอบ นิวเคลียสของอสุจิรวมเข้ากับนิวเคลียสของไข่)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
ึ
่
(1) ครูให้นักเรียนศกษาเรื่องการปฏิสนธิ จากใบความรู้หรือในหนังสือเรียน โดยครูชวยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า
การปฏิสนธิเกิดขึ้นเมื่อมีการตกไข่ในเพศหญิง โดยเมื่อไข่สุกและออกจากรังไข่แล้ว ไข่จะเคลื่อนที่เข้าสู่ทอน าไข่ ในระยะนี้ถ้า
่
้
ู
มีการร่วมเพศ อสุจิของเพศชายจานวนหลายล้านตวจะแหวกว่ายผ่านปากมดลกเขาไปในโพรงมดลกจนถึงท่อน าไข่ และจะ
ั
ู
ุ
มีอสจิเพียงตัวเดียวเทานั้นที่เข้าผสมกับไข่ และภายในเวลา 10 – 12 ชั่วโมง นิวเคลียสของอสจิจะรวมเขากับนิวเคลียสของ
้
่
ุ
ไข่ เกิดการปฏิสนธิขึ้น
ิ
ิ
(2) ครูอธิบายเพิ่มเตมเกี่ยวกับการตงครรภ์ให้นักเรียนเข้าใจว่า ภายหลังการปฏิสนธิ นิวเคลียสของอสุจจะรวมเข้า
ั้
์
์
์
์
กับนิวเคลยสของไข่ เกิดเป็นเซลลใหม่ 1 เซลล เรียกว่า ไซโกต ไซโกตจะแบ่งเซลลจาก 1 เซลลเป็น 2 เซลล จาก 2 เซลล ์
ี
์
ี่
ู
ี่
เปน 4 เซลล์ และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิดเปนกลุ่มเซลล กลมเซลล์นี้จะเคลื่อนทไปยังผนังมดลกทหนาขึ้นพร้อมรอรับการฝง
็
์
ั
ุ่
็
ตวของไข่ทไดรับการปฏิสนธิ และภายในเวลา 6 – 7 วัน กลมเซลลก็จะฝงตวบริเวณผนังมดลก เรียกกลมเซลลทมีการ
ุ่
ู
์
ั
ั
์
ุ่
ั
้
ี่
ี่
ี่
ิ
เปลยนแปลงถึงระยะนี้ว่า เอ็มบริโอ เอ็มบริโอจะเจริญเตบโตและมีการพัฒนาอวัยวะต่างๆ จนถึงสปดาห์ท 8 จะมีอวัยวะ
ี่
ั
ครบ ถือเป็นระยะสิ้นสุดภาวะเอ็มบริโอ หลังจากนี้เอ็มบริโอจะเจริญเติบโตไปเป็นฟีตัสในครรภ์และเจริญเติบโตต่อไป
(3) ครูอธิบายเพิ่มเตมเกี่ยวกับการคลอดให้นักเรียนเข้าใจว่า เมื่อฟีตสในครรภ์เจริญเตบโตจนมีอายุประมาณ 8
ิ
ั
ิ
หรือ 9 เดือน นับจากวันแรกของการมีประจ าเดือนครั้งสดท้าย ซึ่งถือเป็นช่วงครบก าหนดคลอด เมื่อถึงก าหนดคลอด รกจะ
ุ
เริ่มเสื่อมสภาพ ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองจะกระตุ้นให้กล้ามเนื้อผนังมดลูกบีบตว กล้ามเนื้อหน้าท้องหดตว ท าให้ปากมดลก
ู
ั
ั
เปิด ถุงน้ าคร่ าแตก มดลูกบีบตัวอย่างแรง ดันให้ทารกออกมาทางช่องคลอด
186
้
(4) ครูอธิบายเรื่องน่ารู้ เรื่องนมน้ าเหลืองให้นักเรียนเขาใจว่า ภายหลังจากการคลอด ต่อมใต้สมองจะหลั่งฮอร์โมน
ื
ื
ิ
็
่
ี
ุ้
ั
ออกมาเพื่อกระตนการผลตน้ านม ทาให้แม่มีน้ านมซึ่งมีลกษณะขุ่นเลกน้อย สคอนข้างเหลอง เรียกว่า นมน้ าเหลอง ซึ่งมี
ุ
ื
ส่วนผสมแตกต่างจากน้ านมธรรมดา คอ มีไขมันน้อย หรือไม่มีไขมันเลย นมน้ าเหลืองเป็นน้ านมชดแรกทมีประโยชน์และ
ี่
คุณค่าทางอาหารสูง เหมาะส าหรับทารก หลังจากนั้นประมาณวันที่ 3 – 4 หลังคลอด จึงมีการผลิตน้ านมธรรมดา
(5) ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับแฝดให้นักเรียนเข้าใจว่า ในบางครั้งขณะที่ไซโกตแบงเซลล์จาก 1 เซลลเปน 2 เซลล ์
่
็
์
ิ
่
์
นั้น เซลลอาจแยกออกจากกันเป็น 2 สวน แต่ละส่วนมีการเจริญเตบโตต่อไปภายในมดลูกจนเปนทารก เมื่อคลอดออกมาจะ
็
ไดทารกมากกว่า 1 คนในคราวเดยวกัน ทารกทคลอดลักษณะนี้เรียกว่า แฝด ซึ่งมีอยู่ 2 ประเภท คอ แฝดร่วมไข่และแฝด
้
ื
ี
ี่
ต่างไข่
้
ิ
ุ่
ื
ิ
ั้
(6) ครูแบ่งนักเรียนกลมละ 5 – 6 คน ปฏบัตกิจกรรม สบคนข้อมูลการปฏิสนธิ การตงครรภ์ และการคลอด ตาม
ขั้นตอน ดังนี้
– สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิสนธิ การตั้งครรภ์ และการคลอด โดยค้นคว้าในประเด็น ต่างๆ ต่อไปนี้
• การปฏิสนธิ
• การตั้งครรภ์
• การคลอด
– น าข้อมูลที่ได้มาอภิปรายร่วมกัน แล้วน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(7) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
ิ
่
(8) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน
ิ
ิ
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
ั
ี่
ั
่
ู
ื
– หน้าทของมดลกคออะไร (แนวคาตอบ เป็นทฝงตวของเอ็มบริโอจนถึงก าหนดคลอด เป็นแหลงเกิด
ี่
ประจ าเดือน และเป็นทางผ่านของอสุจิเข้าไปผสมกับไข่ที่ท่อน าไข่)
– การตั้งครรภ์มีกระบวนการเกิดอย่างไร อธิบาย (แนวค าตอบ การตั้งครรภ์เกิดขึ้นเมื่อเพศหญิงเกิดการตกไข่
ิ
้
ี่
้
้
ุ
และมีอสุจของเพศชายเข้าไปในช่องคลอดและเขาผสมกับไข่ทบริเวณท่อน าไข่ตอนปลายใกลรังไข่ ซึ่งถือเป็นจดเริ่มตนของ
การตั้งครรภ์)
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัตกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า การปฏิสนธิเป็น
ิ
จุดเริ่มต้นของการตั้งครรภ์ เมื่อทารกเจริญเติบโตอยู่ในครรภ์จนกระทั่งมีอายุครรภ์ประมาณ 9 เดือน ถือเป็นช่วงครบก าหนด
คลอด
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
นักเรียนคนคว้าคาศพทภาษาตางประเทศเกี่ยวกับการปฏิสนธิ การตงครรภ์ และการคลอด จากหนังสอเรียน
ื
้
ั
่
์
ั้
ภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต และน าเสนอให้เพื่อนฟัง คัดค าศัพท์พร้อมทั้งค าแปลลงสมุดส่งครู
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
ุ
ี่
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
187
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
็
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
้
– การปฏสนธิมีขั้นตอนการเกิดในลกษณะใด (แนวค าตอบ การปฏสนธิเกิดขึ้นเมื่ออสุจ 1 ตัว เขาผสมกับไข่ท ี่
ิ
ิ
ิ
ั
บริเวณท่อน าไข่ และภายใน 10–12 ชั่วโมง นิวเคลียสของอสุจิจะรวมเข้ากับนิวเคลียสของไข่)
ึ
ี
ิ
้
ิ
– เพราะอะไรอสุจที่เข้าผสมกับไข่จงมีเพียงตัวเดยว (แนวคาตอบ เพราะเมื่ออสุจตัวหนึ่งเข้าผสมกับไข่ได้แลว
เยื่อหุ้มเซลล์ของไข่จะหนาขึ้น ท าให้อสุจิตัวอื่นๆ ไม่สามารถเข้ามาผสมได้อีก)
– ระยะเอ็มบริโอสิ้นสุดลงเมื่อใด (แนวค าตอบ เมื่อเอ็มบริโอมีอวัยวะต่างๆ ครบ)
– สิ่งใดช่วยป้องกันอันตรายให้กับทารกในขณะที่เจริญอยู่ในครรภ์ (แนวค าตอบ ถุงน้ าคร่ า)
ขั้นสรุป
ิ
ั้
ี
ิ
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับการปฏสนธิ การตงครรภ์ และการคลอด โดยร่วมกันเขยนเป็นแผนที่ความคด
หรือผังมโนทัศน์
10. สื่อการเรียนร ู้
1. ใบกิจกรรม สืบค้นข้อมูลการปฏิสนธิ การตั้งครรภ์ และการคลอด
2. หนังสือเรียนภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต
3. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
4. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1
่
5. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
ี่
6. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
ั
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้
ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
ิ
1. ซักถามความรู้เรื่องการปฏิสนธิ การ 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
ตั้งครรภ์ และการคลอด รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ สังเกตการท างานกลุ่ม
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ 2. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน 2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ กลุ่ม
188
บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................
2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………
ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู
189
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)
ิ
แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
มีองค์ประกอบครบ
มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................
2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้
เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
น าไปใช้ได้จริง
ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้
4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………
ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
190
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 28
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ระบบและความสัมพันธ์ในร่างกายมนุษย์ จ านวน 22 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การคุมก าเนิด เวลาสอน 1 ชั่วโมง
ู้
1. มาตรฐานการเรียนร
ี
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัตของสงมีชวิต หน่วยพื้นฐานของสงมีชวิต การลาเลยงสารเข้าและออกจากเซลล ์
ี
ิ่
ิ่
ิ
ี
ี่
ั
ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าทของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ทท างานสมพันธ์กัน ความสมพันธ์ของโครงสร้าง
ี่
ั
และหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ของพืชที่ท างานสัมพันธ์กัน รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
ั
2. ตัวชี้วดชั้นปี
1. เลือกวิธีการคุมก าเนิดที่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่ก าหนด (ว 1.2 ม. 2/16)
2. ตระหนักถึงผลกระทบของการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร โดยการประพฤติตนให้เหมาะสม (ว 1.2 ม. 2/17)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายการคุมก าเนิดได้ (K)
2. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
4. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
5. สื่อสารและน าความรู้เรื่องการคุมก าเนิดไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
การคมก าเนิดเป็นการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดการตงครรภ์ขึ้น โดยป้องกันไม่ให้เกิดการปฏิสนธิหรือไม่ให้มีการฝงตว
ั
ั้
ั
ุ
ของเอ็มบริโอ
5. สาระการเรียนร ู้
ระบบสืบพันธุ์
– การคุมก าเนิด
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
้
191
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
สืบค้นข้อมูลการคุมก าเนิด
ิ
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูให้นักเรียนทบทวนความรู้เดิมที่ได้เรียนรู้มาแล้วโดยใช้ค าถามต่อไปนี้
– ทารกที่คลอดออกมามากกว่า 1 คนในคราวเดียวเรียกว่าอะไร (แนวค าตอบ แฝด)
้
ึ
ี้
– เพราะอะไรจงควรเลยงทารกดวยน้ านมแม่มากกว่าน้ านมวัว (แนวคาตอบ เพราะน้ านมแม่มีสารอาหาร
ครบถ้วนและเพียงพอต่อความต้องการของทารก ทารกที่ดื่มน้ านมแม่จะได้รับโปรตน กรดไขมันจ าเป็น และภูมิต้านทานเชอ
ื้
ี
โรค ท าให้ทารกเจริญเติบโต มีพัฒนาการของสมอง และสุขภาพที่ดี)
ื่
ิ
ู่
2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเชอมโยงไปสการเรียนรู้เรื่อง การ
คุมก าเนิด
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
ื
ั้
้
ั
ั
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
้
(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
ี่
ี
่
้
้
– ในกรณทยังไม่พร้อมจะมีบุตร หรือมีบุตรเพียงพอตอความตองการแลว สามารถป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดการ
ตั้งครรภ์ขึ้นได้ด้วยวิธีใด (แนวค าตอบ การคุมก าเนิด)
้
ิ
– การคมก าเนิดทาได้ดวยวิธีใด (แนวค าตอบ วิธีธรรมชาต การคมก าเนิดโดยใชอุปกรณ์ การคุมก าเนิดโดยใช ้
้
ุ
ุ
สารเคมี และการผ่าตัดท าหมัน)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
ื
(1) ครูให้นักเรียนศกษาเรื่องการคมก าเนิด จากใบความรู้หรือในหนังสอเรียน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเขาใจ
้
ึ
ุ
ุ
ิ
ว่า การคมก าเนิด หมายถึง การป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดการตงครรภ์ขึ้น มีหลายวิธี ไดแก่ วิธีธรรมชาต การคมก าเนิดโดยใช ้
ุ
ั้
้
อุปกรณ์ การคุมก าเนิดโดยใช้สารเคมี และการผ่าตัดท าหมัน
(2) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน ปฏิบัติกิจกรรม สืบค้นข้อมูลการคุมก าเนิด ตามขั้นตอน ดังนี้
– สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับการคุมก าเนิด โดยค้นคว้าในประเด็นต่างๆ ต่อไปนี้
• วิธีธรรมชาต ิ
• การคุมก าเนิดโดยใช้อุปกรณ ์
• การคุมก าเนิดโดยใช้สารเคมี
• การผ่าตัดท าหมัน
– น าข้อมูลที่ได้มาอภิปรายร่วมกัน แล้วน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
192
ิ
(4) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน
่
ิ
ิ
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
– การคุมก าเนิดวิธีใดป้องกันโรคที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ได้ (แนวค าตอบ การใช้ถุงยางอนามัย)
– การใส่ห่วงคุมก าเนิดในเพศหญิงจะใส่ไว้บริเวณใด (แนวค าตอบ โพรงมดลูก)
ิ
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัตกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า การคมก าเนิดเป็นการ
ุ
้
้
ุ
ั้
ิ
ป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดการตงครรภ์ขึ้น มีหลายวิธี ไดแก่ วิธีธรรมชาต การคมก าเนิดโดยใชอุปกรณ การคมก าเนิดโดยใช ้
์
ุ
สารเคมี และการผ่าตัดท าหมัน
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
ื
นักเรียนค้นคว้าคาศัพท์ภาษาต่างประเทศเกี่ยวกับการคุมก าเนิด จากหนังสอเรียนภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต
และน าเสนอให้เพื่อนฟัง คัดค าศัพท์พร้อมทั้งค าแปลลงสมุดส่งครู
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
ุ
ี่
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
็
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
ั
็
ุ
ี
– วิธีคุมก าเนิดที่ได้ผลดที่สุดคอวิธีใด เพราะเหตใด (แนวคาตอบ การผ่าตดท าหมัน เพราะเปนการตัดทางผ่าน
ื
ของอสุจิและไข่)
ุ
้
ั้
– การรับประทานยาคมก าเนิดชวยป้องกันไม่ให้เกิดการตงครรภ์ไดอย่างไร (แนวคาตอบ ยาคมก าเนิดจะไป
ุ
่
ยับยั้งไม่ให้มีการตกไข่หรือท าให้สภาพของมดลูกไม่เหมาะสมต่อการฝังตัวของเอ็มบริโอ)
ขั้นสรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับการคุมก าเนิด โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์
10. สื่อการเรียนร ู้
1. ใบกิจกรรม สืบค้นข้อมูลการคุมก าเนิด
2. หนังสือเรียนภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต
3. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
4. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1
่
5. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
ี่
6. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
193
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้
ั
ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
ิ
1. ซักถามความรู้เรื่องการคุมก าเนิด 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ สังเกตการท างานกลุ่ม
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ 2. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ กลุ่ม
194
บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................
2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………
ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู
195
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)
ิ
แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
มีองค์ประกอบครบ
มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................
2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้
เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
น าไปใช้ได้จริง
ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้
4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………
ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
196
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 29
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ระบบและความสัมพันธ์ในร่างกายมนุษย์ จ านวน 22 ชั่วโมง
ื่
แผนการจัดการเรียนรู้ เรอง เทคโนโลยีช่วยให้มีบุตร เวลาสอน 2 ชั่วโมง
ู้
1. มาตรฐานการเรียนร
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัตของสงมีชวิต หน่วยพื้นฐานของสงมีชวิต การลาเลยงสารเข้าและออกจากเซลล ์
ี
ิ่
ี
ิ
ิ่
ี
ั
ั
ี่
ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าทของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ทท างานสมพันธ์กัน ความสมพันธ์ของโครงสร้าง
ี่
และหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ของพืชที่ท างานสัมพันธ์กัน รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
2. ตัวชี้วดชั้นปี
ั
อธิบายการตกไข่ การมีประจ าเดือน การปฏิสนธิ และการพัฒนาของไซโกตจนคลอดเป็นทารก (ว 1.2 ม. 2/15)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายเทคโนโลยีช่วยให้มีบุตรได้ (K)
2. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
4. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
ื่
ุ
5. สอสารและน าความรู้เรื่องเทคโนโลยีช่วยให้มีบตรไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
ปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่สามารถแก้ปัญหาการมีบุตรยากได้ เช่น การสร้างเด็กหลอดแก้วและการท ากิฟต
์
5. สาระการเรียนร ู้
ระบบสืบพันธุ์
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
้
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
สืบค้นข้อมูลเทคโนโลยีช่วยให้มีบุตร
197
ิ
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
– นักเรียนเคยทราบเรื่องคู่สามีภรรยาที่มีบุตรยากหรือไม่ (แนวค าตอบ เคย)
ุ
็
– สาเหตใดที่ทาให้คู่สามีภรรยามีบุตรยาก (แนวคาตอบ สามีมีจานวนอสจิน้อยหรือไม่แขงแรง และภรรยามี
ุ
ท่อน าไข่อุดตัน หรือเอ็มบริโอไม่ฝังตัวที่ผนังมดลูก)
ื่
ู่
2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับค าตอบ เพื่อเชอมโยงไปสการเรียนรู้เรื่อง เทคโนโลยี
ช่วยใหมีบุตร
้
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
ื
้
ั
ั
้
ั้
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
– ปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่สามารถแก้ปัญหาการมีบุตรยากหรือไม่ (แนวค าตอบ มี)
ี่
– ยกตัวอย่างเทคโนโลยีทสามารถแก้ปัญหาการมีบุตรยาก (แนวคาตอบ การสร้างเดกหลอดแก้วและการทา
็
กิฟต์)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
ึ
(1) ครูให้นักเรียนศกษาเรื่องเทคโนโลยีชวยให้มีบุตร จากใบความรู้หรือในหนังสอเรียน โดยครูชวยอธิบายให้
่
ื
่
้
ุ
นักเรียนเข้าใจว่า การคมก าเนิดเหมาะสาหรับคู่สามีภรรยาที่ไม่พร้อมจะมีบุตร หรือมีบุตรเพียงพอต่อความต้องการแลว แต ่
ุ
ิ
ในกรณทคสามีภรรยาทตองการมีบุตรแตมีบุตรไดยาก ซึ่งอาจเปนเพราะอสจมีจานวนน้อยหรือไม่แข็งแรง ทอน าไข่ตบตน
ี
็
่
ี
ี่
ู่
ั
ี่
่
้
้
ู
ั
่
ั
้
ั
่
ี่
ุ
หรือเอ็มบริโอไม่ฝงตวในผนังมดลก ปัจจบันจงมีเทคโนโลยีหลายอย่างทสามารถแก้ปัญหาการมีบุตรยากดงกลาวได เชน
ึ
การสร้างเด็กหลอดแก้วและการท ากิฟต ์
(2) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน ปฏิบัติกิจกรรม สืบค้นข้อมูลเทคโนโลยีช่วยให้มีบุตร ตามขั้นตอน ดังนี้
– สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีช่วยให้มีบุตร โดยค้นคว้าในประเด็นต่างๆ ต่อไปนี้
• การสร้างเด็กหลอดแก้ว
• การท ากิฟต ์
– น าข้อมูลที่ได้มาอภิปรายร่วมกัน แล้วน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
่
ิ
ิ
(4) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน
ิ
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
198
่
ุ
็
– เดกหลอดแก้วเกิดจากอะไร (แนวคาตอบ เกิดจากการน าไข่ออกมาจากรังไข่ของฝายหญิงมาผสมกับอสจ ิ
ิ
ู
้
ของฝ่ายชายภายนอกร่างกาย เมื่อเกิดการปฏสนธิแล้วจึงน าตัวอ่อนที่ได้ฉีดกลับเขาไปในมดลกของฝ่ายหญิงเพื่อให้เกิดการ
ฝังตัวและเจริญเติบโตต่อไป)
– การสร้างเดกหลอดแก้วเป็นวิธีการทชวยขจดปัญหาของผหญิงทไม่สามารถมีบุตรตามธรรมชาตไดเพราะ
ู้
่
ี่
ี่
็
ิ
้
ั
อะไร (แนวค าตอบ เพราะเป็นการน าไข่ออกมาจากรังไข่และท าการปฏสนธิภายนอกร่างกายของผู้หญิงที่ทอน าไข่ตีบตน จง
ิ
ั
่
ึ
สามารถแก้ปัญหาในผู้หญิงที่ท่อน าไข่ตีบตันหรือเป็นพังผืดบริเวณท่อน าไข่ได้)
– การท ากิฟตมีขั้นตอนใดบ้าง อธิบาย (แนวคาตอบ แพทย์จะให้ผหญิงทต้องการมีบุตรรับประทานฮอร์โมน
ี่
์
ู้
์
้
เพื่อไปกระตนให้ไข่ตกจากรังไข่ แล้วตรวจดูจานวนไข่ที่สุกด้วยวิธีอัลตราซาวนด ถ้าพบว่าไข่สุก แพทย์จะเจาะหน้าท้องแลว
ุ้
ั่
ุ
ั
ุ
ี่
ดูดไข่เข้าไปในหลอดฉีด จากนั้นจะบรรจอสจิทเตรียมไว้โดยมีฟองอากาศคน แลวฉีดไข่และอสจกลบเข้าไปในท่อน าไข่ ไข่
้
ุ
ิ
และอสุจิจะเข้าผสมกันเองภายในท่อน าไข่ตามวิธีธรรมชาติ และถ้าไข่ได้รับการผสมแล้วก็จะเคลื่อนไปฝังตัวในมดลูกต่อไป)
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า การสร้างเดกหลอดแก้ว
ิ
็
และการท ากิฟต์สามารถแก้ปัญหาการมีบุตรยากได้ ช่วยให้มีโอกาสตั้งครรภ์เพิ่มมากขึ้น
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
ั
ู่
ี่
ุ่
ี่
้
่
ุ่
่
(1) ครูแบ่งนักเรียนกลมละ 5 – 6 คน เลนเกมหน้าทอะไร แลวให้แตละกลมจบคอวัยวะกับหน้าทของอวัยวะให้
ถูกต้อง กลุ่มใดได้คะแนนมากกว่าเป็นฝ่ายชนะ
(2) นักเรียนคนคว้าคาศพท์ภาษาตางประเทศเกี่ยวกับเทคโนโลยีช่วยให้มีบุตร จากหนังสอเรียนภาษาต่างประเทศ
ั
ื
้
่
หรืออินเทอร์เน็ต และน าเสนอให้เพื่อนฟัง คัดค าศัพท์พร้อมทั้งค าแปลลงสมุดส่งครู
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
ุ
ี่
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
็
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
– การน าอสุจิและไข่มาผสมกันภายนอกร่างกายจนแบ่งเซลล์เป็นตวอ่อน แล้วจึงฉีดตัวอ่อนกลับเข้าไปทางช่อง
ั
คลอด เป็นขั้นตอนของการท าสิ่งใด (แนวค าตอบ การสร้างเด็กหลอดแก้ว)
– การสร้างเด็กหลอดแก้วจะท าในกรณีใด (แนวค าตอบ ฝ่ายหญิงท่อน าไข่อุดตัน)
ขั้นสรุป
้
1) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับเทคโนโลยีช่วยใหมีบุตร โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์
ั
ั
ั
2) ครูดาเนินการทดสอบหลงเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบหลงเรียน เพื่อวัดความก้าวหน้า/ผลสมฤทธิ์
ทางการเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ของนักเรียน
3) ครูเชื่อมโยงเนื้อหาจากบทเรียนนี้กับหน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เพื่อให้นักเรียนเตรียมความพร้อม โดยการใชค าถาม
้
กระตุ้น ดังนี้
ิ
๊
ั
้
ุ
ั
– ถ้านักเรียนและเพื่อนชวยกันออกแรงผลกโตะให้ชดกับผนังห้อง การกระทาดงกลาวจะถูกควบคมดวย
่
่
อวัยวะใด (แนวค าตอบ สมอง)