The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by prasopchock.pra, 2021-06-10 05:47:28

แผนการจัดการเรียนการสอนวิทย์พื้นฐาน ม.2

149



9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้


ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
– นักเรียนเคยเห็นคนที่เป็นอัมพาตหรือไม่ (แนวค าตอบ เคย)


ื่

ี่
– คนทเป็นอัมพาตไม่สามารถพูดหรือเคลอนไหวร่างกายได เนื่องจากระบบใดของร่างกายถูกทาลาย (แนว
ค าตอบ ระบบประสาท)


2) นักเรียนร่วมกันตอบค าถามและแสดงความคดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเชอมโยงไปสู่การเรียนรู้เรื่อง ส่วนตางๆ

ื่
ของระบบประสาท
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้


จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน


ั้

(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
ุ่
ุ่

(1) ครูแบ่งกลมนักเรียนแลวเปิดโอกาสให้นักเรียนในกลมน าเสนอข้อมูลเกี่ยวกับระบบประสาทและการแสดง
ุ่

พฤตกรรมที่ครูมอบหมายให้ไปเรียนรู้ลวงหน้าให้เพื่อนๆ ในกลมฟัง จากนั้นให้แตละกลุ่มสงตวแทนมาน าเสนอข้อมูลหน้า




ห้องเรียน

ี่

(2) ครูตรวจสอบว่านักเรียนท าภาระงานทไดรับมอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบจากการจดบันทกของนักเรียน
และถามค าถามเกี่ยวกับภาระงาน ดังนี้
– อวัยวะที่ส าคัญในระบบประสาทมีอะไรบ้าง (แนวค าตอบ สมอง ไขสันหลัง และเส้นประสาท)






ี่

– ระบบประสาททาหน้าทอะไร (แนวคาตอบ ควบคมและสงความรู้สกไปยังอวัยวะทกสวนของร่างกายให้
ท างานตามที่ต้องการ)
(3) ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนตงประเดนค าถามที่นักเรียนสงสยจากการทาภาระงานอย่างน้อยคนละ 1 คาถาม ซึ่ง



ั้

ครูให้นักเรียนเตรียมมาล่วงหน้า และให้นักเรียนช่วยกันตอบและแสดงความคิดเห็น
(4) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับภาระงาน โดยครูชวยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า ระบบประสาท

ประกอบด้วยสมอง ไขสันหลัง และเส้นประสาท ซึ่งท าหน้าที่ร่วมกันในการควบคุมและส่งความรู้สึกไปยังอวัยวะทุกส่วนของ
ร่างกายให้ท างานตามที่ต้องการ
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
(1) ครูให้นักเรียนศกษาเรื่องระบบประสาท จากใบความรู้หรือในหนังสือเรียน โดยครูชวยอธิบายให้นักเรียนเขาใจ



ี่


ว่า ร่างกายมีกลไกการทางานทเชอมโยงกันอย่างเป็นระบบ โดยระบบททาหน้าทในการควบคมและสงความรู้สกไปยัง

ี่

ื่
ี่

อวัยวะทุกส่วนของร่างกายให้ท างานตามที่ต้องการนี้เรียกว่า ระบบประสาท





ี่
ระบบประสาทของมนุษย์ประกอบด้วยสมองและไขสนหลง โดยทบริเวณไขสนหลงมีเสนประสาทแผขยายออกไป



ี่




ั่


ทวร่างกาย อวัยวะตางๆ เหลานี้ทาหน้าทร่วมกันในการควบคมการทางานและการรับความรู้สกของอวัยวะทกสวนใน
ร่างกาย

(2) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน สบค้นข้อมูลเกี่ยวกับเซลล์ประสาท ตามขั้นตอนดังนี้

150








– แตละกลมวางแผนการสบคนข้อมูล โดยแบ่งหัวข้อย่อยให้เพื่อนสมาชกชวยกันสบคนตามทสมาชกกลม

ุ่
ุ่
ี่

ช่วยกันก าหนดหัวข้อย่อย เช่น ตัวเซลล์และใยประสาท

ุ่

ุ่




ี่
– สมาชกกลมแตละคนหรือกลมย่อยชวยกันสบคนข้อมูลตามหัวข้อย่อยทตนเองรับผดชอบ โดยการสบคน


จากหนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต


ุ่
ั้
ุ่
ี่

– สมาชกกลมน าข้อมูลทสืบคนได้มารายงานให้เพื่อนๆ สมาชกในกลมฟัง รวมทงร่วมกันอภิปรายซักถามจน
คาดว่าสมาชิกทุกคนมีความรู้ความเข้าใจที่ตรงกัน




– สมาชิกกลุ่มช่วยกันสรุปความรู้ที่ได้ทั้งหมดเปนผลงานของกลุ่ม และชวยกันจดท ารายงานการศกษาค้นคว้า
เกี่ยวกับเซลล์ประสาท
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม



(4) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน

ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
– เซลล์ประสาทประกอบด้วยส่วนส าคัญกี่ส่วน อะไรบ้าง (แนวค าตอบ 2 ส่วน คือ ตัวเซลล์และใยประสาท)
– ตัวเซลล์ประกอบด้วยอะไรบ้าง (แนวค าตอบ นิวเคลียสและไซโทพลาซึม)


– เดนไดรตและแอกซอนคออะไร และทาหน้าทอะไร (แนวคาตอบ เดนไดรต คอ ใยประสาทททาหน้าท ี่


ี่
ี่



น ากระแสประสาทเข้าสู่ตัวเซลล์ และแอกซอน คือ ใยประสาทที่ท าหน้าที่น ากระแสประสาทออกจากตัวเซลล์)

(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัตกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า เซลลประสาทเป็น

องค์ประกอบย่อยของสมองและไขสันหลัง ประกอบด้วยตัวเซลล์และใยประสาท
4) ขั้นขยายความร (Elaboration)
ู้



(1) ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับเซลลประสาทให้นักเรียนเข้าใจว่า สมองและไขสนหลงประกอบดวยเซลล์ประสาท

จ านวนมาก เซลล์ประสาทประกอบด้วยส่วนส าคญ 2 ส่วน คือ ตัวเซลลและใยประสาท โดยใยประสาทแบ่งเป็น 2 ประเภท


ได้แก่ เดนไดรต์และแอกซอน

(2) ครูอธิบายเพิ่มเตมเกี่ยวกับการเคลื่อนทของกระแสประสาทให้นักเรียนเข้าใจว่า ในภาวะปกติ กระแสประสาท
ี่

ี่



จะเคลื่อนที่ไปตามเซลลประสาท โดยอาศยการเคลื่อนทของประจุไฟฟ้าของธาตุโลหะ 2 ชนิด คอ โซเดยมและโพแทสเซียม
ี่
โดยภายในเซลล์ประสาทมีโพแทสเซียมสูงกว่าโซเดียม ในขณะทภายนอกเซลล์ประสาทมีโซเดียมสูงกว่าโพแทสเซียม แต่เมื่อ
มีสิ่งเร้ามากระตนจะเกิดการเคลื่อนที่ของกระแสประสาทภายในเซลล์ โดยประจุไฟฟ้าจากภายนอกเซลล์จะแพร่ผ่านเขามา
ุ้


ี่
ี่


ภายในเซลลประสาท ทาให้บริเวณนี้เกิดการเปลยนแปลงขั้วไฟฟ้าทนท และยังมีผลไปกระตนให้เกิดการเปลยนแปลง

ุ้
ี่

ขั้วไฟฟ้าในบริเวณถัดไปด้วย ท าให้เกิดการเคลื่อนทของกระแสประสาทลักษณะเปนระลอกต่อเนื่อง นอกจากเซลล์ประสาท
ี่

จะมีการเคลื่อนทของกระแสประสาทภายในเซลล์แล้ว เซลลประสาทยังต้องสงกระแสประสาทจากเซลล์หนึ่งไปยังอีกเซลล ์

หนึ่งด้วย




(3) นักเรียนคนคว้าคาศพทภาษาตางประเทศเกี่ยวกับสวนตางๆ ของระบบประสาท จากหนังสอเรียน




ภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต และน าเสนอให้เพื่อนในห้องฟัง คัดค าศัพท์พร้อมทั้งค าแปลลงสมุดส่งครู

151


5) ขั้นประเมิน (Evaluation)

ี่
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัตกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง

มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่

ได้ไปใช้ประโยชน์

(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น

ื่
ี่
– กระแสประสาทเคลอนทภายในเซลลไดอย่างไร (แนวคาตอบ ในภาวะปกติกระแสประสาทจะเคลอนทไป


ื่
ี่





ื่
ี่
ตามเซลลประสาท โดยอาศยการเคลอนทของโซเดยมและโพแทสเซียม โดยภายในเซลลประสาทมีโพแทสเซียมสงกว่า
โซเดยม ในขณะทภายนอกเซลลประสาทมีโซเดยมสงกว่าโพแทสเซียม แตเมื่อมีสงเร้ามากระตนจะเกิดการเคลอนทของ

ี่



ุ้
ิ่

ี่
ื่



กระแสประสาทภายในเซลล โดยประจไฟฟ้าจากภายนอกเซลล์จะแพร่ผ่านเขามาภายในเซลลประสาท ท าให้บริเวณนี้เกิด

ุ้

ี่


ี่

การเปลยนแปลงขั้วไฟฟ้าทนท และยังมีผลไปกระตนให้เกิดการเปลยนแปลงขั้วไฟฟ้าในบริเวณถัดไปดวย ทาให้เกิดการ
เคลื่อนที่ของกระแสประสาทลักษณะเป็นระลอกต่อเนื่อง)
ขั้นสรุป

ี่
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับส่วนต่างๆ ของระบบประสาท โดยร่วมกันเขยนเปนแผนทความคิดหรือผังมโน

ทัศน์
10. สื่อการเรียนร ู้
1. หนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต
2. หนังสือเรียนภาษาต่างประเทศ
3. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
4. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1

ี่
5. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
6. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1

11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้


ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)

1. ซักถามความรู้เรื่องส่วนต่างๆ ของ 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
ระบบประสาท รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ สังเกตการท างานกลุ่ม
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ 2. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน 2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน

วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ กลุ่ม

152


บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน

1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................


2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………


3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………


4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………


ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………


ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………






ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู

153


ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย


ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)

แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
 มีองค์ประกอบครบ

 มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................

2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้

 เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
 ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป

3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่

 น าไปใช้ได้จริง
 ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้


4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………






ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา

154


แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 22
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา

รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ระบบและความสัมพันธ์ในร่างกายมนุษย์ จ านวน 22 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ศูนย์ควบคุมระบบประสาท เวลาสอน 1 ชั่วโมง


ู้
1. มาตรฐานการเรียนร
ิ่

มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัตของสงมีชวิต หน่วยพื้นฐานของสงมีชวิต การลาเลยงสารเข้าและออกจากเซลล ์




ิ่
ี่
ี่


ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าทของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ทท างานสมพันธ์กัน ความสมพันธ์ของโครงสร้าง
และหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ของพืชที่ท างานสัมพันธ์กัน รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์

2. ตัวชี้วดชั้นปี
ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าที่ของอวัยวะในระบบประสาทส่วนกลางในการควบคุมการท างาน ต่างๆ ของร่างกาย
(ว 1.2 ม. 2/10)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายศูนย์ควบคุมระบบประสาทได้ (K)
2. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
4. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
5. สื่อสารและน าความรู้เรื่องศูนย์ควบคุมระบบประสาทไปใชในชีวิตประจ าวันได้ (P)

4. สาระส าคัญ
ระบบประสาทมีสมองและไขสันหลังเป็นศูนย์กลางควบคุมการท างาน
5. สาระการเรียนร ู้

ระบบประสาทและการแสดงพฤติกรรม
– ศูนย์ควบคุมระบบประสาท
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์

1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน

1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา


4. ความสามารถในการใชทักษะ/กระบวนการและทักษะในการด าเนินชีวิต
5. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี


155


8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
1. สืบค้นข้อมูลศูนย์ควบคุมระบบประสาท
2. ออกแบบแบบจ าลองแสดงทิศทางการเคลื่อนที่ของกระแสประสาทเข้าและออกจากไขสันหลัง


9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้


ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูให้นักเรียนทบทวนความรู้เดิมที่ได้เรียนรู้มาแล้วโดยใช้ค าถามต่อไปนี้
– ถ้าอวัยวะใดผิดปกติร่างกายจะไม่สามารถควบคุมสั่งการได้ (แนวค าตอบ สมอง)

2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเชอมโยงไปสการเรียนรู้เรื่อง ศนย์

ื่


ู่
ควบคุมระบบประสาท
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้




ั้

จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
– สมองอยู่ส่วนใดของร่างกาย (แนวค าตอบ อยู่ภายในกะโหลกศีรษะ)
– ไขสันหลังอยู่ส่วนใดของร่างกาย (แนวค าตอบ อยู่ภายในช่องกระดูกสันหลัง)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)




(1) ครูให้นักเรียนศกษาเรื่องศนย์ควบคมระบบประสาท จากใบความรู้หรือในหนังสอเรียน โดยครูชวยอธิบายให้





นักเรียนเขาใจว่า ศนย์ควบคุมระบบประสาทหรือระบบประสาทส่วนกลาง ท าหน้าที่ควบคมการทางานของร่างกายทั้งหมด
ประกอบด้วยสมองและไขสันหลัง
ี่




ั้



ี่
สมองเป็นอวัยวะสาคญทบรรจอยู่ภายในกะโหลกศรษะ แบ่งเป็น 2 สวน คอ ชนนอกมีสเทาเป็นทรวมของเซลล ์
ประสาท และชั้นในมีสขาวเป็นส่วนของใยประสาทที่ยื่นออกมาจากเซลลประสาท สมองของมนุษย์มีพัฒนาการสูงที่สด ทา








ี่

หน้าทควบคมการคด การเคลอนไหว การรับสมผส การมองเห็น การทรงตว การหายใจและการเตนของหัวใจ การไดยิน
ื่


การดมกลิ่น การรับรส และการพูด
ไขสันหลงเปนสวนทต่อจากสมองลงไปตามแนวช่องกระดกสนหลัง มีแขนงเสนประสาทแตกออกไปจากไขสนหลง







ี่












มากมาย ไขสนหลงดานนอกมีเนื้อสขาวและไม่มีเซลลประสาท สวนดานในมีเนื้อสเทาและมีเซลลประสาท ไขสนหลงทา

หน้าที่น ากระแสประสาทไปสู่สมอง และจากสมองไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย
(2) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับศูนย์ควบคุมระบบประสาท ตามขั้นตอนดังนี้
– แตละกลมวางแผนการสบคนข้อมูล โดยแบ่งหัวข้อย่อยให้เพื่อนสมาชกชวยกันสบคนตามทสมาชกกลม


ุ่
ี่


ุ่




ช่วยกันก าหนดหัวข้อย่อย เช่น สมองและไขสันหลัง


– สมาชกกลมแตละคนหรือกลมย่อยชวยกันสบคนข้อมูลตามหัวข้อย่อยทตนเองรับผดชอบ โดยการสบคน

ุ่


ี่
ุ่



จากหนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต

156


ุ่
ั้
ุ่
ี่
– สมาชกกลมน าข้อมูลทสืบคนได้มารายงานให้เพื่อนๆ สมาชกในกลมฟัง รวมทงร่วมกันอภิปรายซักถามจน



คาดว่าสมาชิกทุกคนมีความรู้ความเข้าใจที่ตรงกัน




– สมาชิกกลุ่มช่วยกันสรุปความรู้ที่ได้ทั้งหมดเปนผลงานของกลุ่ม และชวยกันจดท ารายงานการศกษาค้นคว้า
เกี่ยวกับศูนย์ควบคุมระบบประสาท
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
(4) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน




ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
– สมองมีความสาคญอย่างไร (แนวคาตอบ สมองเป็นศนย์กลางการควบคมการทางานทกสวนของร่างกาย













ื่

ไดแก่ การคด การเคลอนไหว การรับสมผส การมองเห็น การทรงตว การหายใจและการเตนของหัวใจ การไดยิน การดม

กลิ่น การรับรส และการพูด)
– ไขสนหลงดานนอกและดานในแตกตางกันอย่างไร (แนวคาตอบ ไขสนหลงดานนอกมีเนื้อสขาวและไม่มี










เซลล์ประสาท ส่วนไขสันหลังด้านในมีเนื้อสีเทาและมีเซลล์ประสาท)
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า สมองและไขสันหลังเปน

ศูนย์กลางการควบคุมการท างานและส่งความรู้สึกไปยังอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
ิ่
ุ้





(1) ครูอธิบายเพิ่มเตมเกี่ยวกับอวัยวะรับสมผสให้นักเรียนเข้าใจว่า เมื่อมีสงเร้ามากระตน เชน แสง เสยง อุณหภูมิ

และความชน สิ่งเร้าเหล่านี้จะกระตุ้นอวัยวะรับสัมผัส ซึ่งประกอบดวยตา หู จมูก ลิ้น และผิวสัมผัส ให้ส่งกระแสประสาทไป
ื้
ยังสมองหรือไขสันหลงโดยผานทางเส้นประสาท จากนั้นสมองหรือไขสนหลงจะส่งกระแสประสาทไปกระตนหรือยับยั้งการ


ุ้


ท างานของอวัยวะนั้น ๆ ท าให้เราสามารถแสดงพฤติกรรมตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ


(2) ครูให้นักเรียนออกแบบแบบจาลองแสดงทศทางการเคลอนทของกระแสประสาทเขาและออกจากไขสนหลงท ี่


ี่

ื่
เข้าใจง่ายและเก็บรักษาได้นาน แล้วน าผลงานที่ได้มาน าเสนอหน้าห้องเรียน
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง

ี่
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
ี่
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ทได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่

ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น

– สมองมีการควบคมการทางานของอวัยวะรับสมผสให้ทาหน้าทในลกษณะใด (แนวคาตอบ เมื่อมีสงเร้ามา
ิ่



ี่





กระตุ้น อวัยวะรับสัมผสจะส่งกระแสประสาทไปยังสมอง จากนั้นสมองจะส่งกระแสประสาทกลับไปกระตุ้นอวัยวะรับสัมผส
ให้ตอบสนองต่อสิ่งเร้านั้น)

157


ื่







– ไขสนหลงทาหน้าทอะไร (แนวคาตอบ เชอมตอการทางานระหว่างสมองและเสนประสาท และเป็น
ี่
ศูนย์กลางควบคุมการตอบสนองของร่างกายอย่างทันทีทันใดหรือปฏิกิริยารีเฟล็กซ์)
ขั้นสรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับศนย์ควบคมระบบประสาท โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนทความคดหรือผงมโน


ี่


ทัศน์
10. สื่อการเรียนร ู้
1. หนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต
2. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1

3. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1
ี่
4. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
5. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้


ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
1. ซักถามความรู้เรื่องศูนย์ควบคุมระบบ 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะกระบวนการทาง

ประสาท รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ วิทยาศาสตร์โดยใช้แบบวัด
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทาง
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน 2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น วิทยาศาสตร์
รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ 2. ประเมินทักษะการคิดโดยการ


วัดเจตคตต่อวิทยาศาสตร์ สังเกตการท างานกลุ่ม
3. ประเมินทักษะการแก้ปัญหา

โดยการสังเกตการท างานกลุ่ม
4. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย

กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
กลุ่ม

158


บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน

1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................


2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………


3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………


4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………


ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………


ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………






ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู

159


ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย


ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)

แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
 มีองค์ประกอบครบ

 มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................

2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้

 เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
 ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป

3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่

 น าไปใช้ได้จริง
 ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้


4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………






ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา

160


แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 23
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา

รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ระบบและความสัมพันธ์ในร่างกายมนุษย์ จ านวน 22 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง พฤติกรรม เวลาสอน 1 ชั่วโมง


ู้
1. มาตรฐานการเรียนร

ิ่



มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัตของสงมีชวิต หน่วยพื้นฐานของสงมีชวิต การลาเลยงสารเข้าและออกจากเซลล ์

ิ่
ี่

ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าทของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ทท างานสมพันธ์กัน ความสมพันธ์ของโครงสร้าง
ี่

และหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ของพืชที่ท างานสัมพันธ์กัน รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์

2. ตัวชี้วดชั้นปี


ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าทของอวัยวะในระบบประสาทสวนกลางในการควบคมการทางานตางๆ ของร่างกาย

ี่

(ว 1.2 ม. 2/10)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายพฤติกรรมของมนุษย์ได้ (K)
2. สังเกตพฤติกรรมของมนุษย์ที่มีต่อสิ่งเร้าบางชนิดได้ (K)
3. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
4. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
5. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
6. สื่อสารและน าความรู้เรื่องพฤติกรรมไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
พฤติกรรมในมนุษย์แบงเป็น 2 ประเภท คอ พฤติกรรมที่มีมาแตก าเนิดเปนพฤตกรรมที่แสดงออกโดยไม่ตองเรียนรู้






และพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้เป็นพฤติกรรมที่แสดงออกโดยการเรียนรู้จากการอยู่ร่วมกัน
5. สาระการเรียนร ู้
ระบบประสาทและการแสดงพฤติกรรม
– พฤติกรรม
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้

3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร

2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา

161


8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
สังเกตพฤติกรรมของมนุษย์


9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้

ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน

ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน

1) ครูให้นักเรียนทบทวนความรู้เดิมที่ได้เรียนรู้มาแล้วโดยใช้ค าถามต่อไปนี้
ิ่

– เราสามารถแสดงพฤตกรรมตอบสนองตอสงเร้าไดเพราะอะไร (แนวค าตอบ เพราะสมองหรือไขสันหลังจะ


ส่งกระแสประสาทไปกระตุ้นหรือยับยั้งการท างานของอวัยวะรับสัมผัส)
2) นักเรียนร่วมกันตอบค าถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับค าตอบ เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้เรื่อง พฤติกรรม
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้





ั้
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
– ร่างกายของนักเรียนจะแสดงออกอย่างไรเมื่อเท้าเหยียบตะปู (แนวค าตอบ กระตุกเท้า)
– การกระตุกเท้าเมื่อเหยียบตะปูมีอะไรเป็นสิ่งเร้า (แนวค าตอบ การสัมผัสตะปู)
– การกระตุกเท้าเมื่อเหยียบตะปูและการว่ายน้ าได้เมื่อพลัดตกน้ า พฤติกรรมใดเป็นพฤติกรรมที่แสดงออกโดย
ไม่ต้องเรียนรู้ (แนวค าตอบ การกระตุกเท้าเมื่อเหยียบตะปู)

(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)



(1) ครูให้นักเรียนศกษาเรื่องพฤตกรรม จากใบความรู้หรือในหนังสอเรียน โดยครูชวยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า

ี่

ั้
พฤตกรรมเป็นการตอบสนองตอสงเร้าของมนุษย์ เป็นอาการทแสดงออกเพื่อการตอบโตตอสงเร้าทงภายในและภายนอก
ิ่


ิ่

ร่างกาย
สิ่งเร้าภายในร่างกาย เช่น ฮอร์โมน เอนไซม์ ความหิว ความกระหาย และความต้องการทางเพศ
สิ่งเร้าภายนอกร่างกาย เช่น แสง เสียง ความดัน อุณหภูมิ อาหาร น้ า และการสัมผัสสารเคมี
(2) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน ปฏิบัติกิจกรรม สังเกตพฤติกรรมของมนุษย์ ตามขั้นตอน ดังนี้
– ให้นักเรียนจบคกันสงเกตพฤตกรรมของเพื่อนเมื่อโบกมือใกล้นัยน์ตา หรือเมื่อใชมือสมผัสกับวัตถุทเยนจด



ี่


ู่


แล้วบันทึกผลที่สังเกตได้ลงในตารางบันทึกผล
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม

(4) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน



ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น

162



– เมื่อร่างกายไดรับสงเร้าจะตอบสนองตอสงนั้นทนทเป็นเพราะอะไร (แนวคาตอบ เพราะมนุษย์มีระบบ

ิ่

ิ่


ประสาทท าหน้าที่ควบคุม และสั่งการเพื่อตอบสนองต่อสิ่งเร้า)
ี่

– นักเรียนจะสรุปความหมายของคาว่า “สงเร้า” ว่าคออะไร (แนวคาตอบ สงเร้า คอ สงทเป็นสาเหตให้


ิ่
ิ่


ิ่
สิ่งมีชีวิตเกิดการแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ)
ุ้
ี่
– สิ่งเร้าทมากระตุ้นให้มนุษย์แสดงพฤติกรรมมีอะไรบ้าง ยกตัวอย่างประกอบ (แนวค าตอบ สิ่งเร้าที่มากระตน
ให้มนุษย์แสดงพฤติกรรม เช่น แสงท าให้หรี่ตาและอุณหภูมิสูงท าให้เหงื่อออก)
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัตกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า เมื่อมีสงเร้ามากระตน
ิ่
ุ้




มนุษย์จะแสดงพฤตกรรมเพื่อตอบโตทนท ซึ่งการแสดงพฤตกรรมดงกลาวของมนุษย์เป็นการป้องกันอันตรายเพื่อการ




ด ารงชีวิตและเผ่าพันธุ์เอาไว้
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)




(1) ครูอธิบายเพิ่มเตมเกี่ยวกับพฤตกรรมให้นักเรียนเขาใจว่า พฤตกรรมทเกิดขึ้นบางอย่างสามารถแสดงออกโดยไม่
ี่
ต้องเรียนรู้ เนื่องจากเป็นพฤติกรรมที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม เรียกพฤติกรรมแบบนี้ว่า พฤตกรรมที่มีมาแตก าเนิด เช่น การ


กะพริบตาเมื่อมีวัตถุก าลังจะกระเด็นเข้าตา การกระตุกเท้าเมื่อเหยียบตะปู พฤติกรรมที่มีการตอบสนองต่อสิ่งเร้าทันทีทันใด
นี้ เรียกว่า ปฏิกิริยารีเฟลกซ์ นอกจากนี้ยังมีพฤตกรรมทมีมาแตก าเนิดทมีความซับซ้อน เชน การดดนมของทารก สวน
ี่


ี่





พฤติกรรมที่แสดงออกโดยการเรียนรู้จากการอยู่ร่วมกัน เรียกว่า พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ ซึ่งสวนใหญ่เกิดจากการคด

หาเหตผลและการได้รับจากประสบการณ์ เช่น การเล่นดนตรีและกีฬา ซึ่งพฤตกรรมทเกิดจากการเรียนรู้นี้เป็นพฤตกรรมท ี่



ี่
สามารถควบคุมได้




(2) นักเรียนคนคว้าคาศพทภาษาตางประเทศเกี่ยวกับพฤตกรรม จากหนังสอเรียนภาษาตางประเทศหรือ




อินเทอร์เน็ต และน าเสนอให้เพื่อนฟัง คัดค าศัพท์พร้อมทั้งค าแปลลงสมุดส่งครู
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
ี่

มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่

ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
– พฤติกรรมที่มีมาแต่ก าเนิดแตกต่างจากพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ในลักษณะใด (แนวค าตอบ พฤติกรรม
ี่


ที่มีมาแตก าเนิดสามารถแสดงออกไดทันทีโดยไม่ต้องเรียนรู้ เนื่องจากเป็นพฤตกรรมทถ่ายทอดทางพันธุกรรม แต่พฤติกรรม

ี่
ทเกิดจากการเรียนรู้จะแสดงออกโดยการเรียนรู้จากการอยู่ร่วมกัน ซึ่งเกิดจากการคดหาเหตผลและการไดรับจาก



ประสบการณ์)

ี่

– พฤตกรรมทมีการตอบสนองตอสงเร้าทนททนใดเรียกว่าอะไร และถูกควบคมโดยสงใด (แนวคาตอบ



ิ่


ิ่
ปฏิกิริยารีเฟล็กซ์ ซึ่งถูกควบคุมโดยไขสันหลัง)
ขั้นสรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับพฤติกรรม โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์

163


10. สื่อการเรียนร ู้
1. ใบกิจกรรม สงเกตพฤติกรรมของมนุษย์

2. หนังสือเรียนภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต
3. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
4. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1

ี่
5. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
6. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1

11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้

ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)

1. ซักถามความรู้เรื่องพฤติกรรม 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะกระบวนการทาง
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ วิทยาศาสตร์โดยใช้แบบวัด
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทาง
2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น วิทยาศาสตร์

รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ 2. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ สังเกตการท างานกลุ่ม
3. ประเมินทักษะการแก้ปัญหา
โดยการสังเกตการท างานกลุ่ม
4. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ

กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน

กลุ่ม

164


บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน

1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................


2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………


3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………


4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………


ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………


ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………






ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู

165


ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย


ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)

แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
 มีองค์ประกอบครบ

 มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................

2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้

 เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
 ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป

3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่

 น าไปใช้ได้จริง
 ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้


4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………






ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา

166


แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 24
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา

รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ระบบและความสัมพันธ์ในร่างกายมนุษย์ จ านวน 22 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง สารเสพติด เวลาสอน 1 ชั่วโมง


ู้
1. มาตรฐานการเรียนร
ิ่
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัตของสงมีชวิต หน่วยพื้นฐานของสงมีชวิต การลาเลยงสารเข้าและออกจากเซลล ์


ิ่



ี่

ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าทของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ทท างานสมพันธ์กัน ความสมพันธ์ของโครงสร้าง
ี่

และหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ของพืชที่ท างานสัมพันธ์กัน รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์

2. ตัวชี้วดชั้นปี


ตระหนักถึงความสาคญของระบบประสาท โดยการบอกแนวทางในการดแลรักษา รวมถึงการป้องกันการ

กระทบกระเทือนและอันตรายต่อสมองและไขสันหลัง (ว 1.2 ม. 2/11)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายผลของสารเสพตดที่มีต่อระบบอวัยวะตางๆ ได้ (K)


2. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
4. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)


5. สื่อสารและน าความรู้เรื่องสารเสพตดไปใช้ในชวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
การรับสารเสพติดเข้าสู่ร่างกายมีผลท าให้พฤติกรรมของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
5. สาระการเรียนร ู้
ระบบประสาทและการแสดงพฤติกรรม
– พฤติกรรม
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์

1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน

1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี

8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
สืบค้นข้อมูลสารเสพติด

167



9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้


ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูให้นักเรียนทบทวนความรู้เดิมที่ได้เรียนรู้มาแล้วโดยใช้ค าถามต่อไปนี้
– พฤติกรรมของมนุษย์คืออะไร (แนวค าตอบ การตอบสนองต่อสิ่งเร้า ซึ่งเป็นอาการที่แสดงออกเพื่อการตอบ

โต้ต่อสิ่งเร้าทั้งภายในและภายนอกร่างกาย)



– พฤตกรรมของมนุษย์แบ่งเปนกี่ประเภท อะไรบ้าง (แนวค าตอบ แบงเปน 2 ประเภท คอ พฤตกรรมที่มีมา



แต่ก าเนิดและพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้)
2) นักเรียนร่วมกันตอบค าถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับค าตอบ เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้เรื่อง สารเสพติด
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้



ั้
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน


(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น


ิ่
ิ่
– นอกจากสงเร้าภายในร่างกายและสงเร้าภายนอกร่างกายแลว การรับสงใดเข้าสร่างกายก็มีผลทาให้
ู่
ิ่
พฤติกรรมของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม (แนวค าตอบ สารเสพติด)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
(1) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน ปฏิบัติกิจกรรม สืบค้นข้อมูลสารเสพติด ตามขั้นตอน ดังนี้
– สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับสารเสพติด โดยค้นคว้าในประเด็นต่างๆ ต่อไปนี้
• สารเสพติด
• สุขภาพ

• สถิติผู้ติดสารเสพติด


ี่


– น าข้อมูลทสบคนไดมาอภิปรายร่วมกันว่า ถ้าประชากรในประเทศโดยเฉพาะเยาวชนตดสารเสพตดจะมี

ผลกระทบต่อประเทศอย่างไร แล้วร่วมกันเสนอแนะแนวทางการป้องกันและแก้ไข
– จัดนิทรรศการเผยแพร่ความรู้ภายในโรงเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม

(3) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน



ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
– ระบบอวัยวะใดของร่างกายที่ได้รับผลกระทบจากการเสพสารเสพติดมากที่สุด (แนวค าตอบ ระบบประสาท)

168


– ถ้าประชากรซึ่งเป็นเยาวชนของประเทศติดสารเสพติดเป็นจ านวนมากจะมีผลกระทบต่อประเทศในลักษณะ







ี่
ใด (แนวคาตอบ ทาให้เกิดปัญหาอาชญากรรมและอุบัตเหตตางๆ เป็นภาระของสงคม ประเทศขาดบุคลากรทมีคณภาพ
ส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในอนาคต)




– นักเรียนมีวิธีป้องกันและแก้ไขปัญหาสารเสพตดทเกิดขึ้นกับเยาวชนของชาติไดในลกษณะใด (แนวคาตอบ
ี่

ี่
ั้





จัดกิจกรรมทช่วยป้องกันแก้ไขปญหาสารเสพตด ไดแก่ 1. การจดตงชมรมกีฬาตานสารเสพติด โดยการจัดการแขงขันกีฬา


ขึ้นอย่างต่อเนื่อง 2. จัดการเดนรณรงค์ต้านสารเสพติดในทองถิ่นทก ๆ ปี 3. จดสารวัตรนักเรียนทั้งในและนอกสถานศกษา



เพื่อตรวจตราเอาผิดกับเยาวชนผู้ติดสารเสพติดอย่างจริงจัง)
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า สารเสพติดเป็นสิ่งที่เสพ

เข้าไปแล้วท าให้เกิดความต้องการทจะเสพเพิ่มมากขึ้น และผลจากการเสพจะให้โทษแก่ร่างกาย ซึ่งสารเสพติดทแพร่ระบาด
ี่
ี่
อยู่ในปัจจุบันมีหลายชนิด
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)




(1) ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับสารเสพตดให้นักเรียนเขาใจว่า สารเสพติดเมื่อเขาสู่ร่างกายในเวลาติดต่อกันแลว จะ

สามารถออกฤทธิ์และส่งผลตอระบบอวัยวะตางๆ ในร่างกาย และยังสงผลไปถึงสภาพจิตใจและพฤตกรรมการแสดงออกท ี่



เปลี่ยนไปจากปกติด้วย
สารเสพตดมีหลายประเภท สามารถแบ่งตามลักษณะการออกฤทธิ์ได คือ สารเสพตดชนิดกดประสาท สารเสพตด




ชนิดกระตุ้นประสาท สารเสพติดชนิดหลอนประสาท และสารเสพติดชนิดออกฤทธิ์ผสมกัน
ื่
(2) ครูเชอมโยงความรู้เข้ากับบูรณาการอาเซียน โดยครูอธิบายเกี่ยวกับวันต่อต้านสารเสพติดโลกว่า วันต่อต้านสาร
เสพติดโลกตรงกับวันที่ 26 มิถุนายน ของทุกปี โดยในประเทศไทยมีการตั้งค าขวัญเพื่อรณรงค์การต่อต้านสารเสพติดทุกปี



การก าจัดสารเสพติดต้องใช้ความร่วมมือกับต่างประเทศดวย เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการก าจดสารเสพตด โดย
ู้
ความร่วมมือของประเทศสมาชิกอาเซียนเน้นใน 4 จด คอ ไม่ให้มีผเข้าไปเกี่ยวข้องกับสารเสพตด ป้องกันพื้นที่ปัจจยเสยง


ี่


ป้องกันพฤติกรรมซ้ า และป้องกันชุมชน
(3) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน เล่นเกมหาคู่ แล้วให้แต่ละกลุ่มจับคชนิดของสารเสพติดและลักษณะการออก
ู่
ฤทธิ์ให้ถูกต้อง กลุ่มใดได้คะแนนมากกว่าเป็นฝ่ายชนะ
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
ี่

(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่

ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
– นักเรียนมีวิธีดูแลรักษาระบบประสาทให้ทางานเปนปกติไดอย่างไร (แนวค าตอบ ป้องกันการเกิดอุบัติเหตท ี่







ี่
ี่


กระทบกระเทอนตออวัยวะในระบบประสาท หลกเลยงการใชสารเสพตด หลกเลยงภาวะเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ ออก

ก าลังกายสม่ าเสมอ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์)
ี่
– นักเรียนสามารถหลีกเลยงสิ่งที่จะทาให้การท างานของระบบประสาทมีประสิทธิภาพลดลงไดอย่างไร (แนว


ค าตอบ ไม่เสพสารเสพติดทุกชนิด)

169


ขั้นสรุป
1) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับสารเสพติด โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์

ั่

2) ครูมอบหมายให้นักเรียนไปศกษาคนคว้าเนื้อหาของบทเรียนชวโมงหน้า เพื่อจดการเรียนรู้ครั้งตอไป โดยให้



นักเรียนศึกษาค้นคว้าล่วงหน้าในหัวข้อระบบสืบพันธุ์
3) ครูให้นักเรียนเตรียมประเด็นค าถามที่สงสัยมาอย่างน้อยคนละ 1 ค าถาม เพื่อน ามาอภิปรายร่วมกันในห้องเรียน
ครั้งต่อไป
10. สื่อการเรียนร ู้

1. ใบกิจกรรม สืบค้นข้อมูลสารเสพตด
2. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1

3. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1
4. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
ี่
5. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1

11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้

ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)


1. ซักถามความรู้เรื่องสารเสพตด 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ สังเกตการท างานกลุ่ม
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ 2. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย

รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน

วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ กลุ่ม

170


บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน

1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................


2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………


3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………


4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………


ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………


ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………






ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู

171


ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย


ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)

แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
 มีองค์ประกอบครบ

 มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................

2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้

 เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
 ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป

3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่

 น าไปใช้ได้จริง
 ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้


4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………






ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา

172


แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 25
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา

รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ระบบและความสัมพันธ์ในร่างกายมนุษย์ จ านวน 22 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ระบบสืบพันธุ์เพศชาย เวลาสอน 1 ชั่วโมง


1. มาตรฐานการเรียนร
ู้


มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัตของสงมีชวิต หน่วยพื้นฐานของสงมีชวิต การลาเลยงสารเข้าและออกจากเซลล ์

ิ่

ิ่

ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าทของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ทท างานสมพันธ์กัน ความสมพันธ์ของโครงสร้าง

ี่
ี่

และหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ของพืชที่ท างานสัมพันธ์กัน รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
2. ตัวชี้วดชั้นปี

1. ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าที่ของอวัยวะในระบบสืบพันธุ์ของเพศชายและเพศหญิง โดยใช้แบบจ าลอง (ว 1.2
ม. 2/12)
2. อธิบายผลของฮอร์โมนเพศชายและเพศหญิงที่ควบคุมการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มสาว (ว 1.2
ม. 2/13)

ู่
ี่

3. ตระหนักถึงการเปลยนแปลงของร่างกายเมื่อเข้าสวัยหนุ่มสาว โดยการดแลรักษาร่างกายและจตใจของตนเอง
ในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลง (ว 1.2 ม. 2/14)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายหน้าที่ของอวัยวะในระบบสืบพันธุ์เพศชายได้ (K)
2. อธิบายผลของฮอร์โมนเพศชายที่ควบคุมการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นได้ (K)
3. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
4. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)

5. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
6. สื่อสารและน าความรู้เรื่องระบบสืบพันธุ์เพศชายไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
ระบบสืบพันธุ์เปนระบบททาให้สงมีชวิตมีการสบพันธุ์ เพื่อดารงพันธุ์และถ่ายทอดลกษณะเฉพาะของสงมีชวิตแต ่




ี่

ิ่


ิ่
ละชนิดจากบรรพบุรุษไปสู่รุ่นต่อไป



ระบบสบพันธุ์เพศชายประกอบด้วยอวัยวะทส าคญ ได้แก่ อัณฑะ หลอดเก็บอสจ หลอดน าอสจิ ทอปัสสาวะ ตอม

ี่



สร้างน้ าเลี้ยงอสุจิ ต่อมลูกหมาก และต่อมคาวเปอร์
5. สาระการเรียนร ู้
ระบบสืบพันธุ์
– ระบบสืบพันธุ์เพศชาย
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้

173


3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน

1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี

8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
สืบค้นข้อมูลระบบสืบพันธุ์เพศชาย

9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้



ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
ั้
– ตงแตวัยเด็กจนถึงปัจจบันนักเรียนมีการเปลยนแปลงลักษณะของร่างกายอย่างไร (แนวคาตอบ มีความสง



ี่

และน้ าหนักเพิ่มขึ้น)

– ระบบใดในร่างกายของนักเรียนที่ยังพัฒนาไม่สมบูรณ์เมื่ออยู่ในวัยเดก แต่จะพัฒนาสมบูรณ์และทาหน้าที่ได ้

อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น (แนวค าตอบ ระบบสืบพันธุ์)

ื่

2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเชอมโยงไปสการเรียนรู้เรื่อง ระบบ
ู่

สืบพันธุ์เพศชาย
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้



จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
ั้


(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)

(1) ครูแบงกลมนักเรียนแล้วเปิดโอกาสให้นักเรียนในกลุ่มน าเสนอข้อมูลเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ที่ครูมอบหมายให้ไป
ุ่
เรียนรู้ล่วงหน้าให้เพื่อนๆ ในกลุ่มฟัง จากนั้นให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนมาน าเสนอข้อมูลหน้าห้องเรียน

ี่
(2) ครูตรวจสอบว่านักเรียนท าภาระงานทไดรับมอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบจากการจดบันทกของนักเรียน

และถามค าถามเกี่ยวกับภาระงาน ดังนี้

– อวัยวะทส าคัญในระบบสืบพันธุ์เพศชายมีอะไรบ้าง (แนวคาตอบ อัณฑะ หลอดเก็บอสจิ หลอดน าอสจิ ทอ
ี่



ปัสสาวะ ต่อมสร้างน้ าเลี้ยงอสุจิ ต่อมลูกหมาก และต่อมคาวเปอร์)







– อวัยวะทสาคญในระบบสบพันธุ์เพศหญิงมีอะไรบ้าง (แนวคาตอบ รังไข่ ทอน าไข่ มดลก ปากมดลก และ
ี่
ช่องคลอด)
– ระบบสบพันธุ์มีความสาคญอย่างไร (แนวค าตอบ ทาให้สงมีชวิตมีการสบพันธุ์เพื่อดารงพันธุ์และถ่ายทอด




ิ่



ลักษณะเฉพาะของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดจากบรรพบุรุษไปสู่รุ่นต่อไป)
(3) ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนตงประเดนค าถามที่นักเรียนสงสยจากการทาภาระงานอย่างน้อยคนละ 1 คาถาม ซึ่ง




ั้
ครูให้นักเรียนเตรียมมาล่วงหน้า และให้นักเรียนช่วยกันตอบและแสดงความคิดเห็น

174


(4) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับภาระงาน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า ระบบสืบพันธุ์เป็นระบบท ี่
ท าให้สิ่งมีชีวิตมีการสืบพันธุ์เพื่อด ารงพันธุ์และถ่ายทอดลักษณะเฉพาะของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดจากบรรพบุรุษไปสู่รุ่นต่อไป

2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)


(1) ครูให้นักเรียนศกษาเรื่องระบบสบพันธุ์ จากใบความรู้หรือในหนังสือเรียน โดยครูชวยอธิบายให้นักเรียนเขาใจ





ิ่

ว่า ระบบสืบพันธุ์เปนระบบที่ท าให้สงมีชีวิตมีการสบพันธุ์เพื่อด ารงพันธุ์และถ่ายทอดลกษณะเฉพาะของสิ่งมีชวิตแต่ละชนิด



ู่

ิ่
จากบรรพบุรุษไปสรุ่นตอไป การสบพันธุ์ในสงมีชวิตแบ่งเป็น 2 ประเภท คอ การสบพันธุ์แบบอาศยเพศและการสบพันธุ์



แบบไม่อาศัยเพศ ซึ่งการสืบพันธุ์ของมนุษย์เป็นการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศเท่านั้น
ู่
เมื่อเข้าสวัยหนุ่มสาวหรือวัยรุ่น ทั้งเพศชายและเพศหญิงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย อันเนื่องมาจากการ
ท างานของฮอร์โมนเพศที่กระตุ้นให้ระบบสืบพันธุ์สมบูรณ์ขึ้น ในช่วงเวลาที่เขาสู่วัยรุ่น เพศชายอายุระหว่าง 11–16 ปี ส่วน




ี่
เพศหญิงอายุระหว่าง 10–15 ปี โดยร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทสังเกตเหนไดชัดเจน คอ ในเพศชายมีไหล่กว้าง เสียง

แตกห้าว มีหนวด เครา ขนรักแร้ และขนบริเวณอวัยวะเพศ และมีการสร้างและหลงน้ าอสจ สวนเพศหญิงมีเตานมขยาย

ั่


ี่
ใหญ่ สะโพกผาย มีขนรักแร้และขนบริเวณอวัยวะเพศ และเริ่มมีประจาเดอน นอกจากการเปลยนแปลงทสงเกตไดจาก

ี่



ภายนอกแลว อวัยวะในระบบสบพันธุ์ก็จะเจริญและพัฒนาจนทาหน้าทสบพันธุ์ได เรียกวัยทสามารถสบพันธุ์ไดนี้ว่า วัย





ี่
ี่


เจริญพันธุ์
(2) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์เพศชาย ตามขั้นตอนดังนี้

ุ่


ุ่
– แตละกลมวางแผนการสบคนข้อมูล โดยแบ่งหัวข้อย่อยให้เพื่อนสมาชกชวยกันสบคนตามทสมาชกกลม

ี่




ช่วยกันก าหนดหัวข้อย่อย เช่น อวัยวะในระบบสืบพันธุ์เพศชายและการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นของเพศชาย

ี่



ุ่

– สมาชกกลมแตละคนหรือกลมย่อยชวยกันสบคนข้อมูลตามหัวข้อย่อยทตนเองรับผดชอบ โดยการสบคน

ุ่


จากหนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต

ั้
ี่
– สมาชกกลมน าข้อมูลทสืบคนได้มารายงานให้เพื่อนๆ สมาชกในกลมฟัง รวมทงร่วมกันอภิปรายซักถามจน

ุ่

ุ่
คาดว่าสมาชิกทุกคนมีความรู้ความเข้าใจที่ตรงกัน


– สมาชิกกลุ่มช่วยกันสรุปความรู้ที่ได้ทั้งหมดเปนผลงานของกลุ่ม และชวยกันจดท ารายงานการศกษาค้นคว้า


เกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์เพศชาย
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม

(4) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน




ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
– อวัยวะใดท าหน้าที่สร้างอสุจิและฮอร์โมนเพศชาย (แนวค าตอบ อัณฑะ)

ู่
– การเปลี่ยนแปลงของร่างกายเมื่อเข้าสวัยรุ่นของเพศชายคออะไร (แนวค าตอบ มีไหลกว้าง เสียงแตกห้าว มี

หนวด เครา ขนรักแร้ และขนบริเวณอวัยวะเพศ และมีการสร้างและหลั่งน้ าอสุจิ)

(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบตกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า ฮอร์โมนเพศชายซึ่งถูก

สร้างมาจากอัณฑะจะกระตุ้นให้ระบบสืบพันธุ์เพศชายสมบูรณ์ในช่วงเวลาที่เข้าสู่วัยรุ่น ท าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของ
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)

175






ครูอธิบายเพิ่มเตมเกี่ยวกับระบบสบพันธุ์เพศชายให้นักเรียนเข้าใจว่า ระบบสบพันธุ์เพศชายประกอบดวยอวัยวะท ี่
ส าคัญ ได้แก่ อัณฑะ มี 2 ข้าง อยู่ภายในถุงอัณฑะ ท าหน้าที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศชาย คือ อสุจิ และสร้างฮอร์โมนเพศชาย
คอ ฮอร์โมนเทสทอสเทอโรน นอกจากนี้ ระบบสบพันธุ์ของเพศชายยังประกอบดวยอวัยวะอื่นๆ อีก เชน หลอดเก็บอสจ ิ





หลอดน าอสุจิ ท่อปัสสาวะรวมถึงต่อมต่างๆ เช่น ต่อมสร้างน้ าเลี้ยงอสุจิ ต่อมลูกหมาก และต่อมคาวเปอร์

โดยทั่วไปเพศชายจะเริ่มสร้างอสจิเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น คออายุประมาณ 11 ปี และจะสร้างไปตลอดชีวิต เมื่ออัณฑะ



สร้างอสุจิขึ้น อสจิจะเคลื่อนมาพักที่หลอดเก็บอสุจิ ซึ่งเปนแหลงให้อสุจิเจริญเตบโตเต็มที่ แล้วจึงถูกลาเลียงมาตามหลอดน า




ั่
อสุจิก่อนที่อสจิจะถูกขับออกทางท่อปัสสาวะ ต่อมสร้างน้ าเลี้ยงอสุจิจะหลงของเหลวที่มีอาหารส าหรับอสุจิ ต่อมลูกหมากจะ

ั่

ี่
ั่
หลงของเหลวทเป็นเบสอ่อนเพื่อลดความเป็นกรดในชองคลอด และตอมคาวเปอร์จะหลงของเหลวสาหรับหลอลนทอ

ื่


ปัสสาวะ แล้วอสุจิจึงถูกขับออกจากร่างกายตรงปลายสุดขององคชาต
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)

(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
ี่
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง

(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม
ขั้นสรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์เพศชาย โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์
10. สื่อการเรียนร ู้
1. หนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต
2. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1

3. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1
4. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
ี่
5. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1

11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้

ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
1. ซักถามความรู้เรื่องระบบสืบพันธุ์เพศ 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะการคิดโดยการ

ชาย รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ สังเกตการท างานกลุ่ม

2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ 2. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน 2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน


วัดเจตคติตอวิทยาศาสตร์ กลุ่ม

176


บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน

1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................


2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………


3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………


4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………


ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………


ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………






ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู

177


ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย


ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)

แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
 มีองค์ประกอบครบ

 มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................

2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้

 เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
 ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป

3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่

 น าไปใช้ได้จริง
 ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้


4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………






ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา

178


แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 26
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา

รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ระบบและความสัมพันธ์ในร่างกายมนุษย์ จ านวน 22 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ระบบสืบพันธุ์เพศหญิง เวลาสอน 1 ชั่วโมง


ู้
1. มาตรฐานการเรียนร


มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัตของสงมีชวิต หน่วยพื้นฐานของสงมีชวิต การลาเลยงสารเข้าและออกจากเซลล ์

ิ่

ิ่

ี่
ี่
ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าทของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ทท างานสมพันธ์กัน ความสมพันธ์ของโครงสร้าง


และหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ของพืชที่ท างานสัมพันธ์กัน รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
2. ตัวชี้วดชั้นปี

1. ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าที่ของอวัยวะในระบบสืบพันธุ์ของเพศชายและเพศหญิง โดยใช้แบบจ าลอง (ว 1.2
ม. 2/12)
2. อธิบายผลของฮอร์โมนเพศชายและเพศหญิงที่ควบคุมการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มสาว (ว 1.2
ม. 2/13)


ี่
3. ตระหนักถึงการเปลยนแปลงของร่างกายเมื่อเข้าสวัยหนุ่มสาว โดยการดแลรักษาร่างกายและจตใจของตนเอง
ู่
ในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลง (ว 1.2 ม. 2/14)
4. อธิบายการตกไข่ การมีประจ าเดือน การปฏิสนธิ และการพัฒนาของไซโกตจนคลอดเป็นทารก (ว 1.2 ม. 2/15)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายหน้าที่ของอวัยวะในระบบสืบพันธุ์เพศหญิงได้ (K)
2. อธิบายผลของฮอร์โมนเพศหญิงที่ควบคุมการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นได้ (K)
3. อธิบายการตกไข่และการมีประจ าเดือนได้ (K)

4. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
5. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
6. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)

7. สื่อสารและน าความรู้เรื่องระบบสืบพันธุ์เพศหญิงไปใช้ในชวิตประจ าวันได้ (P)

4. สาระส าคัญ
ระบบสืบพันธุ์เพศหญิงประกอบด้วยอวัยวะที่ส าคัญ ได้แก่ รังไข่ ท่อน าไข่ มดลูก ปากมดลูก และช่องคลอด
5. สาระการเรียนร ู้
ระบบสืบพันธุ์

– ระบบสืบพันธุ์เพศหญิง
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย

2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน

179


4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน

1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี

8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
สืบค้นข้อมูลระบบสืบพันธุ์เพศหญิง


9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้


ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูให้นักเรียนทบทวนความรู้เดิมที่ได้เรียนรู้มาแล้วโดยใช้ค าถามต่อไปนี้
– เพศชายจะเข้าสู่วัยรุ่นเมื่ออายุเท่าใด (แนวค าตอบ 11–16 ปี)
– เพศหญิงจะเข้าสู่วัยรุ่นเมื่ออายุเท่าใด (แนวค าตอบ 10–15 ปี)




2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเชอมโยงไปสการเรียนรู้เรื่อง ระบบ
ู่
ื่
สืบพันธุ์เพศหญิง
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้


ั้



จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น

– วัยรุ่นเพศชายและวัยรุ่นเพศหญิงมีการเปลยนแปลงของร่างกายแตกตางกันหรือไม่ (แนวคาตอบ แตกตาง

ี่

กัน)
ี่



ี่
– สงใดททาให้วัยรุ่นเพศชายและวัยรุ่นเพศหญิงมีการเปลยนแปลงของร่างกายแตกตางกัน (แนวคาตอบ
ิ่
ฮอร์โมนเพศชายและฮอร์โมนเพศหญิง)
– อวัยวะใดทาหน้าทสร้างฮอร์โมนเพศชาย และอวัยวะใดทาหน้าทสร้างฮอร์โมนเพศหญิง (แนวคาตอบ
ี่



ี่
อัณฑะท าหน้าที่สร้างฮอร์โมนเพศชาย และรังไข่ท าหน้าที่สร้างฮอร์โมนเพศหญิง)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)


(1) ครูให้นักเรียนศกษาเรื่องระบบสบพันธุ์เพศหญิง จากใบความรู้หรือในหนังสอเรียน โดยครูชวยอธิบายให้


นักเรียนเข้าใจว่า ระบบสบพันธุ์เพศหญิงประกอบด้วยอวัยวะทส าคญ ไดแก่ รังไข่ มี 2 ข้าง อยู่บริเวณปีกมดลกแต่ละข้าง


ี่




ี่

ทาหน้าทสร้างเซลลสบพันธุ์เพศหญิง คอ ไข่ และสร้างฮอร์โมนเพศหญิง เชน อีสโทรเจนทาหน้าทควบคมเกี่ยวกับมดลก



ี่


ช่องคลอด ต่อมน้ านมลักษณะต่างๆ ของเพศหญิง และโพรเจสเทอโรนซึ่งจะท างานร่วมกับอีสโทรเจน เพื่อควบคุมการเจริญ

ี่
ของมดลก ชวยเปลยนแปลงเยื่อบุมดลกเพื่อเตรียมรับไข่ทปฏิสนธิแลว รังไข่แตละข้างอยู่ใกลกับปลายของทอน าไข่ทมี
ี่


ี่




ลักษณะเป็นปากแตร ส่วนปลายอีกข้างหนึ่งของท่อน าไข่จะเปิดเข้าสู่มดลูก บริเวณทมดลกเปิดเข้าสู่ช่องคลอดเรียกว่า ปาก
ี่

มดลูก

180


(2) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์เพศหญิง ตามขั้นตอนดังนี้



– แตละกลมวางแผนการสบคนข้อมูล โดยแบ่งหัวข้อย่อยให้เพื่อนสมาชกชวยกันสบคนตามทสมาชกกลม

ุ่
ี่

ุ่



ี่


ู่
ช่วยกันก าหนดหัวข้อย่อย เชน อวัยวะในระบบสบพันธุ์เพศหญิงและการเปลยนแปลงของร่างกายเมื่อเข้าสวัยรุ่นของเพศ
หญิง
ี่
ุ่


– สมาชกกลมแตละคนหรือกลมย่อยชวยกันสบคนข้อมูลตามหัวข้อย่อยทตนเองรับผดชอบ โดยการสบคน

ุ่





จากหนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต

ั้
ุ่
ุ่


– สมาชกกลมน าข้อมูลทสืบคนได้มารายงานให้เพื่อนๆ สมาชกในกลมฟัง รวมทงร่วมกันอภิปรายซักถามจน
ี่
คาดว่าสมาชิกทุกคนมีความรู้ความเข้าใจที่ตรงกัน




– สมาชิกกลุ่มช่วยกันสรุปความรู้ที่ได้ทั้งหมดเปนผลงานของกลุ่ม และชวยกันจดท ารายงานการศกษาค้นคว้า
เกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์เพศหญิง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
(4) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน




ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
– อวัยวะใดท าหน้าที่สร้างไข่และฮอร์โมนเพศหญิง (แนวค าตอบ รังไข่)

– การเปลี่ยนแปลงของร่างกายเมื่อเขาสวัยรุ่นของเพศหญิงคออะไร (แนวค าตอบ มีเต้านมขยายใหญ่ สะโพก

ู่
ผาย มีขนรักแร้และขนบริเวณอวัยวะเพศ และเริ่มมีประจ าเดือน)


(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเขาใจว่า ฮอร์โมนเพศหญิงซึ่งถูก
สร้างมาจากรังไข่จะกระตนให้ระบบสบพันธุ์หญิงสมบูรณในชวงเวลาทเข้าสวัยรุ่น ทาให้เกิดการเปลยนแปลงของร่างกาย



ี่
ู่

ุ้
ี่
ต่างๆ เช่น มีเต้านมขยายใหญ่ สะโพกผาย มีขนรักแร้และขนบริเวณอวัยวะเพศ และเริ่มมีประจ าเดือ
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)



(1) ครูอธิบายเพิ่มเตมเกี่ยวกับการตกไข่ให้นักเรียนเข้าใจว่า เมื่อไข่เจริญเตมทพร้อมทจะไดรับการปฏิสนธิหรือ
ี่
ี่
เรียกว่า ไข่สุก ไข่จะเคลื่อนที่ออกจากรังไข่เข้าสู่ท่อน าไข่ เรียกกระบวนการนี้ว่า การตกไข่

(2) ครูอธิบายเพิ่มเตมเกี่ยวกับประจาเดอนให้นักเรียนเข้าใจว่า การมีประจาเดอนจะถูกควบคมโดยฮอร์โมนเพศ






หญิง ในช่วงของการตกไข่ฮอร์โมนจะไปกระตุ้นให้เยื่อบุผนังมดลูกหนาขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมรับไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว ถา



ั้

ไข่ไม่ได้รับการปฏิสนธิ ไข่จะฝอและสลายตวไป เยื่อบุผนังมดลกจะเสอมสภาพและลอกหลดจากผนังมดลกพร้อมทงมีเลือด

ื่
ไหลปนออกมาทางช่องคลอด ซึ่งก็คือประจ าเดือนนั่นเอง
โดยปกติผู้หญิงจะมีประจ าเดอนเมื่ออายุประมาณ 10 – 13 ปี และจะมีทุกเดือนไปจนถึงอายุประมาณ 45 – 50 ปี รอบของ




การมีประจาเดอนแตละรอบแตกตางกันไปในแตละคน โดยทั่วไปประมาณ 28 วัน ซึ่งพบว่าการตกไข่จะเกิดขึ้นประมาณ


กึ่งกลางของรอบเดือน




(3) ครูอธิบายเรื่องน่ารู้ เรื่องการปวดทองเนื่องจากการมีประจาเดอนให้นักเรียนเข้าใจว่า ในแตละเดอน



ประจ าเดือนอาจมีมากหรือน้อยก็ไดขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและจตใจของแต่ละบุคคล อารมณและความวิตกกังวลตางๆ ก็มี


ผลทาให้การหลงฮอร์โมนของตอมใตสมองผดปกต ทาให้ประจาเดอนมาไม่ปกตได ในบางคนการมีประจาเดอนทาให้มี













ั่

181







ี่

อาการปวดศรษะ เมื่อยลา หงุดหงิด หรือปวดทอง ซึ่งอาการเหลานี้เป็นอาการปกตทเกิดขึ้นโดยไม่เป็นอันตราย แตถ้ามี

อาการผิดปกติเกิดขึ้น เช่น ประจ าเดือนมีชาหรือเร็วเกินไป มีนานกว่าปกติ หรือไม่มีเลย ควรไปพบแพทย์
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
ี่
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง

มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง

(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
– เซลล์สืบพันธุ์เพศหญิงคืออะไร (แนวค าตอบ ไข่)

– ฮอร์โมนเพศหญิงคืออะไร (แนวค าตอบ ฮอร์โมนอีสโทรเจนและโพรเจสเทอโรน)

– ประจาเดือนเกิดจากอะไร (แนวค าตอบ การเสื่อมสภาพและลอกหลดของเยื่อบุผนังมดลูกที่หนาขึ้นแตไม่ได ้


รับการฝังตัวของไข่ออกจากผนังมดลูกเมื่อฮอร์โมนเพศหญิงมีปริมาณลดลง)
ขั้นสรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์เพศหญิง โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์
10. สื่อการเรียนร ู้
1. หนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต

2. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
3. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1

ี่
4. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
5. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้


ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)

1. ซักถามความรู้เรื่องระบบสืบพันธุ์เพศ 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
หญิง รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ สังเกตการท างานกลุ่ม
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ 2. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน 2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย

รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน

วัดเจตคตต่อวิทยาศาสตร์ กลุ่ม

182


บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน

1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................


2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………


3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………


4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………


ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………


ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………






ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู

183


ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย


ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)

แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
 มีองค์ประกอบครบ

 มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................

2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้

 เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
 ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป

3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่

 น าไปใช้ได้จริง
 ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้


4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………






ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา

184


แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 27
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา

รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ระบบและความสัมพันธ์ในร่างกายมนุษย์ จ านวน 22 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การปฏิสนธิ การตั้งครรภ์ และการคลอด เวลาสอน 1 ชั่วโมง


ู้
1. มาตรฐานการเรียนร
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัตของสงมีชวิต หน่วยพื้นฐานของสงมีชวิต การลาเลยงสารเข้าและออกจากเซลล ์




ิ่

ิ่


ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าทของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ทท างานสมพันธ์กัน ความสมพันธ์ของโครงสร้าง
ี่
ี่
และหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ของพืชที่ท างานสัมพันธ์กัน รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
2. ตัวชี้วดชั้นปี

อธิบายการตกไข่ การมีประจ าเดือน การปฏิสนธิ และการพัฒนาของไซโกตจนคลอดเป็นทารก (ว 1.2 ม. 2/15)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายการปฏิสนธิ การตั้งครรภ์ และการคลอดได้ (K)
2. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
4. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
5. สื่อสารและน าความรู้เรื่องการปฏิสนธิ การตั้งครรภ์ และการคลอดไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
เมื่อเพศหญิงมีการตกไข่และไข่ไดรับการปฏิสนธิกับอสจจะทาให้ไดไซโกต ไซโกตจะเจริญเตบโตเป็นเอ็มบริโอ






และฟีตัสจนกระทั่งคลอดเป็นทารก
5. สาระการเรียนร ู้
ระบบสืบพันธุ์
– การปฏิสนธิ การตั้งครรภ์ และการคลอด
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์

1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน

1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี

8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
สืบค้นข้อมูลการปฏิสนธิ การตั้งครรภ์ และการคลอด

185



9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน


ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูให้นักเรียนทบทวนความรู้เดิมที่ได้เรียนรู้มาแล้วโดยใช้ค าถามต่อไปนี้
– กระบวนการที่ไข่เคลื่อนที่ออกจากรังไข่เข้าสู่ท่อน าไข่เรียกว่าอะไร (แนวค าตอบ การตกไข่)




– เมื่อไข่ทไม่ไดรับการปฏิสนธิฝอและเยื่อบุผนังมดลกลอกหลดออกจากผนังมดลกจะทาให้เกิดอะไร (แนว


ี่

ค าตอบ ประจ าเดือน)
2) นักเรียนร่วมกันตอบค าถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับค าตอบ เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้เรื่อง การปฏิสนธิ
การตั้งครรภ์ และการคลอด
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
ั้
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน





(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น


– เมื่อไข่ได้รับการปฏิสนธิกับอสุจแลว เพศหญิงจะมีประจ าเดือนในรอบเดือนถัดไปหรือไม่ (แนวคาตอบ ไม่มี

ประจ าเดือนในรอบเดือนถัดไป)
– การปฏิสนธิเกิดขึ้นเมื่อใด (แนวค าตอบ นิวเคลียสของอสุจิรวมเข้ากับนิวเคลียสของไข่)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)


(1) ครูให้นักเรียนศกษาเรื่องการปฏิสนธิ จากใบความรู้หรือในหนังสือเรียน โดยครูชวยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า
การปฏิสนธิเกิดขึ้นเมื่อมีการตกไข่ในเพศหญิง โดยเมื่อไข่สุกและออกจากรังไข่แล้ว ไข่จะเคลื่อนที่เข้าสู่ทอน าไข่ ในระยะนี้ถ้า




มีการร่วมเพศ อสุจิของเพศชายจานวนหลายล้านตวจะแหวกว่ายผ่านปากมดลกเขาไปในโพรงมดลกจนถึงท่อน าไข่ และจะ



มีอสจิเพียงตัวเดียวเทานั้นที่เข้าผสมกับไข่ และภายในเวลา 10 – 12 ชั่วโมง นิวเคลียสของอสจิจะรวมเขากับนิวเคลียสของ



ไข่ เกิดการปฏิสนธิขึ้น


(2) ครูอธิบายเพิ่มเตมเกี่ยวกับการตงครรภ์ให้นักเรียนเข้าใจว่า ภายหลังการปฏิสนธิ นิวเคลียสของอสุจจะรวมเข้า
ั้




กับนิวเคลยสของไข่ เกิดเป็นเซลลใหม่ 1 เซลล เรียกว่า ไซโกต ไซโกตจะแบ่งเซลลจาก 1 เซลลเป็น 2 เซลล จาก 2 เซลล ์


ี่

ี่
เปน 4 เซลล์ และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิดเปนกลุ่มเซลล กลมเซลล์นี้จะเคลื่อนทไปยังผนังมดลกทหนาขึ้นพร้อมรอรับการฝง



ุ่

ตวของไข่ทไดรับการปฏิสนธิ และภายในเวลา 6 – 7 วัน กลมเซลลก็จะฝงตวบริเวณผนังมดลก เรียกกลมเซลลทมีการ
ุ่





ุ่


ี่
ี่
ี่

เปลยนแปลงถึงระยะนี้ว่า เอ็มบริโอ เอ็มบริโอจะเจริญเตบโตและมีการพัฒนาอวัยวะต่างๆ จนถึงสปดาห์ท 8 จะมีอวัยวะ
ี่

ครบ ถือเป็นระยะสิ้นสุดภาวะเอ็มบริโอ หลังจากนี้เอ็มบริโอจะเจริญเติบโตไปเป็นฟีตัสในครรภ์และเจริญเติบโตต่อไป
(3) ครูอธิบายเพิ่มเตมเกี่ยวกับการคลอดให้นักเรียนเข้าใจว่า เมื่อฟีตสในครรภ์เจริญเตบโตจนมีอายุประมาณ 8



หรือ 9 เดือน นับจากวันแรกของการมีประจ าเดือนครั้งสดท้าย ซึ่งถือเป็นช่วงครบก าหนดคลอด เมื่อถึงก าหนดคลอด รกจะ

เริ่มเสื่อมสภาพ ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองจะกระตุ้นให้กล้ามเนื้อผนังมดลูกบีบตว กล้ามเนื้อหน้าท้องหดตว ท าให้ปากมดลก



เปิด ถุงน้ าคร่ าแตก มดลูกบีบตัวอย่างแรง ดันให้ทารกออกมาทางช่องคลอด

186



(4) ครูอธิบายเรื่องน่ารู้ เรื่องนมน้ าเหลืองให้นักเรียนเขาใจว่า ภายหลังจากการคลอด ต่อมใต้สมองจะหลั่งฮอร์โมน






ุ้


ออกมาเพื่อกระตนการผลตน้ านม ทาให้แม่มีน้ านมซึ่งมีลกษณะขุ่นเลกน้อย สคอนข้างเหลอง เรียกว่า นมน้ าเหลอง ซึ่งมี


ส่วนผสมแตกต่างจากน้ านมธรรมดา คอ มีไขมันน้อย หรือไม่มีไขมันเลย นมน้ าเหลืองเป็นน้ านมชดแรกทมีประโยชน์และ
ี่
คุณค่าทางอาหารสูง เหมาะส าหรับทารก หลังจากนั้นประมาณวันที่ 3 – 4 หลังคลอด จึงมีการผลิตน้ านมธรรมดา
(5) ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับแฝดให้นักเรียนเข้าใจว่า ในบางครั้งขณะที่ไซโกตแบงเซลล์จาก 1 เซลลเปน 2 เซลล ์






นั้น เซลลอาจแยกออกจากกันเป็น 2 สวน แต่ละส่วนมีการเจริญเตบโตต่อไปภายในมดลูกจนเปนทารก เมื่อคลอดออกมาจะ

ไดทารกมากกว่า 1 คนในคราวเดยวกัน ทารกทคลอดลักษณะนี้เรียกว่า แฝด ซึ่งมีอยู่ 2 ประเภท คอ แฝดร่วมไข่และแฝด



ี่
ต่างไข่


ุ่


ั้
(6) ครูแบ่งนักเรียนกลมละ 5 – 6 คน ปฏบัตกิจกรรม สบคนข้อมูลการปฏิสนธิ การตงครรภ์ และการคลอด ตาม
ขั้นตอน ดังนี้
– สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิสนธิ การตั้งครรภ์ และการคลอด โดยค้นคว้าในประเด็น ต่างๆ ต่อไปนี้
• การปฏิสนธิ
• การตั้งครรภ์
• การคลอด
– น าข้อมูลที่ได้มาอภิปรายร่วมกัน แล้วน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(7) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม


(8) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน


ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น

ี่




– หน้าทของมดลกคออะไร (แนวคาตอบ เป็นทฝงตวของเอ็มบริโอจนถึงก าหนดคลอด เป็นแหลงเกิด
ี่

ประจ าเดือน และเป็นทางผ่านของอสุจิเข้าไปผสมกับไข่ที่ท่อน าไข่)
– การตั้งครรภ์มีกระบวนการเกิดอย่างไร อธิบาย (แนวค าตอบ การตั้งครรภ์เกิดขึ้นเมื่อเพศหญิงเกิดการตกไข่


ี่



และมีอสุจของเพศชายเข้าไปในช่องคลอดและเขาผสมกับไข่ทบริเวณท่อน าไข่ตอนปลายใกลรังไข่ ซึ่งถือเป็นจดเริ่มตนของ
การตั้งครรภ์)
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัตกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า การปฏิสนธิเป็น

จุดเริ่มต้นของการตั้งครรภ์ เมื่อทารกเจริญเติบโตอยู่ในครรภ์จนกระทั่งมีอายุครรภ์ประมาณ 9 เดือน ถือเป็นช่วงครบก าหนด
คลอด
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
นักเรียนคนคว้าคาศพทภาษาตางประเทศเกี่ยวกับการปฏิสนธิ การตงครรภ์ และการคลอด จากหนังสอเรียน






ั้
ภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต และน าเสนอให้เพื่อนฟัง คัดค าศัพท์พร้อมทั้งค าแปลลงสมุดส่งครู
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)

ี่
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ

187


(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง

(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น

– การปฏสนธิมีขั้นตอนการเกิดในลกษณะใด (แนวค าตอบ การปฏสนธิเกิดขึ้นเมื่ออสุจ 1 ตัว เขาผสมกับไข่ท ี่




บริเวณท่อน าไข่ และภายใน 10–12 ชั่วโมง นิวเคลียสของอสุจิจะรวมเข้ากับนิวเคลียสของไข่)






– เพราะอะไรอสุจที่เข้าผสมกับไข่จงมีเพียงตัวเดยว (แนวคาตอบ เพราะเมื่ออสุจตัวหนึ่งเข้าผสมกับไข่ได้แลว
เยื่อหุ้มเซลล์ของไข่จะหนาขึ้น ท าให้อสุจิตัวอื่นๆ ไม่สามารถเข้ามาผสมได้อีก)
– ระยะเอ็มบริโอสิ้นสุดลงเมื่อใด (แนวค าตอบ เมื่อเอ็มบริโอมีอวัยวะต่างๆ ครบ)
– สิ่งใดช่วยป้องกันอันตรายให้กับทารกในขณะที่เจริญอยู่ในครรภ์ (แนวค าตอบ ถุงน้ าคร่ า)
ขั้นสรุป

ั้


ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับการปฏสนธิ การตงครรภ์ และการคลอด โดยร่วมกันเขยนเป็นแผนที่ความคด
หรือผังมโนทัศน์
10. สื่อการเรียนร ู้
1. ใบกิจกรรม สืบค้นข้อมูลการปฏิสนธิ การตั้งครรภ์ และการคลอด
2. หนังสือเรียนภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต
3. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1

4. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1

5. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
ี่
6. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1

11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้

ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)

1. ซักถามความรู้เรื่องการปฏิสนธิ การ 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
ตั้งครรภ์ และการคลอด รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ สังเกตการท างานกลุ่ม
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ 2. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ

กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน 2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย

รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ กลุ่ม

188


บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน

1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................


2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………


3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………


4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………


ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………


ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………






ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู

189


ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย


ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)

แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
 มีองค์ประกอบครบ

 มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................

2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้

 เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
 ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป

3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่

 น าไปใช้ได้จริง
 ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้


4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………






ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา

190


แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 28
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา

รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ระบบและความสัมพันธ์ในร่างกายมนุษย์ จ านวน 22 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การคุมก าเนิด เวลาสอน 1 ชั่วโมง


ู้
1. มาตรฐานการเรียนร

มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัตของสงมีชวิต หน่วยพื้นฐานของสงมีชวิต การลาเลยงสารเข้าและออกจากเซลล ์

ิ่
ิ่



ี่

ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าทของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ทท างานสมพันธ์กัน ความสมพันธ์ของโครงสร้าง
ี่

และหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ของพืชที่ท างานสัมพันธ์กัน รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์

2. ตัวชี้วดชั้นปี
1. เลือกวิธีการคุมก าเนิดที่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่ก าหนด (ว 1.2 ม. 2/16)
2. ตระหนักถึงผลกระทบของการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร โดยการประพฤติตนให้เหมาะสม (ว 1.2 ม. 2/17)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายการคุมก าเนิดได้ (K)
2. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
4. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
5. สื่อสารและน าความรู้เรื่องการคุมก าเนิดไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
การคมก าเนิดเป็นการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดการตงครรภ์ขึ้น โดยป้องกันไม่ให้เกิดการปฏิสนธิหรือไม่ให้มีการฝงตว

ั้


ของเอ็มบริโอ
5. สาระการเรียนร ู้
ระบบสืบพันธุ์
– การคุมก าเนิด

6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์

7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี


191


8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
สืบค้นข้อมูลการคุมก าเนิด


9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน


ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน

1) ครูให้นักเรียนทบทวนความรู้เดิมที่ได้เรียนรู้มาแล้วโดยใช้ค าถามต่อไปนี้
– ทารกที่คลอดออกมามากกว่า 1 คนในคราวเดียวเรียกว่าอะไร (แนวค าตอบ แฝด)


ี้
– เพราะอะไรจงควรเลยงทารกดวยน้ านมแม่มากกว่าน้ านมวัว (แนวคาตอบ เพราะน้ านมแม่มีสารอาหาร

ครบถ้วนและเพียงพอต่อความต้องการของทารก ทารกที่ดื่มน้ านมแม่จะได้รับโปรตน กรดไขมันจ าเป็น และภูมิต้านทานเชอ
ื้

โรค ท าให้ทารกเจริญเติบโต มีพัฒนาการของสมอง และสุขภาพที่ดี)
ื่

ู่
2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเชอมโยงไปสการเรียนรู้เรื่อง การ


คุมก าเนิด
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้

ั้



จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน

(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
ี่




– ในกรณทยังไม่พร้อมจะมีบุตร หรือมีบุตรเพียงพอตอความตองการแลว สามารถป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดการ
ตั้งครรภ์ขึ้นได้ด้วยวิธีใด (แนวค าตอบ การคุมก าเนิด)


– การคมก าเนิดทาได้ดวยวิธีใด (แนวค าตอบ วิธีธรรมชาต การคมก าเนิดโดยใชอุปกรณ์ การคุมก าเนิดโดยใช ้




สารเคมี และการผ่าตัดท าหมัน)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)

(1) ครูให้นักเรียนศกษาเรื่องการคมก าเนิด จากใบความรู้หรือในหนังสอเรียน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเขาใจ





ว่า การคมก าเนิด หมายถึง การป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดการตงครรภ์ขึ้น มีหลายวิธี ไดแก่ วิธีธรรมชาต การคมก าเนิดโดยใช ้

ั้

อุปกรณ์ การคุมก าเนิดโดยใช้สารเคมี และการผ่าตัดท าหมัน
(2) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน ปฏิบัติกิจกรรม สืบค้นข้อมูลการคุมก าเนิด ตามขั้นตอน ดังนี้
– สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับการคุมก าเนิด โดยค้นคว้าในประเด็นต่างๆ ต่อไปนี้
• วิธีธรรมชาต ิ
• การคุมก าเนิดโดยใช้อุปกรณ ์
• การคุมก าเนิดโดยใช้สารเคมี
• การผ่าตัดท าหมัน
– น าข้อมูลที่ได้มาอภิปรายร่วมกัน แล้วน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม

192



(4) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน



ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
– การคุมก าเนิดวิธีใดป้องกันโรคที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ได้ (แนวค าตอบ การใช้ถุงยางอนามัย)

– การใส่ห่วงคุมก าเนิดในเพศหญิงจะใส่ไว้บริเวณใด (แนวค าตอบ โพรงมดลูก)

(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัตกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า การคมก าเนิดเป็นการ




ั้

ป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดการตงครรภ์ขึ้น มีหลายวิธี ไดแก่ วิธีธรรมชาต การคมก าเนิดโดยใชอุปกรณ การคมก าเนิดโดยใช ้


สารเคมี และการผ่าตัดท าหมัน
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)

นักเรียนค้นคว้าคาศัพท์ภาษาต่างประเทศเกี่ยวกับการคุมก าเนิด จากหนังสอเรียนภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต

และน าเสนอให้เพื่อนฟัง คัดค าศัพท์พร้อมทั้งค าแปลลงสมุดส่งครู
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง

ี่
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง

(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น





– วิธีคุมก าเนิดที่ได้ผลดที่สุดคอวิธีใด เพราะเหตใด (แนวคาตอบ การผ่าตดท าหมัน เพราะเปนการตัดทางผ่าน

ของอสุจิและไข่)


ั้
– การรับประทานยาคมก าเนิดชวยป้องกันไม่ให้เกิดการตงครรภ์ไดอย่างไร (แนวคาตอบ ยาคมก าเนิดจะไป



ยับยั้งไม่ให้มีการตกไข่หรือท าให้สภาพของมดลูกไม่เหมาะสมต่อการฝังตัวของเอ็มบริโอ)
ขั้นสรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับการคุมก าเนิด โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์
10. สื่อการเรียนร ู้
1. ใบกิจกรรม สืบค้นข้อมูลการคุมก าเนิด
2. หนังสือเรียนภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต
3. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
4. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1

5. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
ี่
6. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1

193


11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้


ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)


1. ซักถามความรู้เรื่องการคุมก าเนิด 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ สังเกตการท างานกลุ่ม
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ 2. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ

2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย

รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ กลุ่ม

194


บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน

1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................


2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………


3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………


4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………


ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………


ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………






ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู

195


ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย


ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)

แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
 มีองค์ประกอบครบ

 มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................

2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้

 เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
 ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป

3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่

 น าไปใช้ได้จริง
 ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้


4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………






ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา

196


แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 29
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา

รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ระบบและความสัมพันธ์ในร่างกายมนุษย์ จ านวน 22 ชั่วโมง
ื่
แผนการจัดการเรียนรู้ เรอง เทคโนโลยีช่วยให้มีบุตร เวลาสอน 2 ชั่วโมง


ู้
1. มาตรฐานการเรียนร
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัตของสงมีชวิต หน่วยพื้นฐานของสงมีชวิต การลาเลยงสารเข้าและออกจากเซลล ์


ิ่


ิ่



ี่
ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าทของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ทท างานสมพันธ์กัน ความสมพันธ์ของโครงสร้าง
ี่
และหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ของพืชที่ท างานสัมพันธ์กัน รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
2. ตัวชี้วดชั้นปี

อธิบายการตกไข่ การมีประจ าเดือน การปฏิสนธิ และการพัฒนาของไซโกตจนคลอดเป็นทารก (ว 1.2 ม. 2/15)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายเทคโนโลยีช่วยให้มีบุตรได้ (K)
2. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
4. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
ื่

5. สอสารและน าความรู้เรื่องเทคโนโลยีช่วยให้มีบตรไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
ปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่สามารถแก้ปัญหาการมีบุตรยากได้ เช่น การสร้างเด็กหลอดแก้วและการท ากิฟต

5. สาระการเรียนร ู้
ระบบสืบพันธุ์

6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้

3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร

2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี

8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
สืบค้นข้อมูลเทคโนโลยีช่วยให้มีบุตร

197



9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้


ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
– นักเรียนเคยทราบเรื่องคู่สามีภรรยาที่มีบุตรยากหรือไม่ (แนวค าตอบ เคย)




– สาเหตใดที่ทาให้คู่สามีภรรยามีบุตรยาก (แนวคาตอบ สามีมีจานวนอสจิน้อยหรือไม่แขงแรง และภรรยามี



ท่อน าไข่อุดตัน หรือเอ็มบริโอไม่ฝังตัวที่ผนังมดลูก)
ื่

ู่
2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับค าตอบ เพื่อเชอมโยงไปสการเรียนรู้เรื่อง เทคโนโลยี
ช่วยใหมีบุตร

ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้





ั้
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
– ปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่สามารถแก้ปัญหาการมีบุตรยากหรือไม่ (แนวค าตอบ มี)

ี่
– ยกตัวอย่างเทคโนโลยีทสามารถแก้ปัญหาการมีบุตรยาก (แนวคาตอบ การสร้างเดกหลอดแก้วและการทา


กิฟต์)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)

(1) ครูให้นักเรียนศกษาเรื่องเทคโนโลยีชวยให้มีบุตร จากใบความรู้หรือในหนังสอเรียน โดยครูชวยอธิบายให้






นักเรียนเข้าใจว่า การคมก าเนิดเหมาะสาหรับคู่สามีภรรยาที่ไม่พร้อมจะมีบุตร หรือมีบุตรเพียงพอต่อความต้องการแลว แต ่


ในกรณทคสามีภรรยาทตองการมีบุตรแตมีบุตรไดยาก ซึ่งอาจเปนเพราะอสจมีจานวนน้อยหรือไม่แข็งแรง ทอน าไข่ตบตน




ี่
ู่


ี่










ี่

หรือเอ็มบริโอไม่ฝงตวในผนังมดลก ปัจจบันจงมีเทคโนโลยีหลายอย่างทสามารถแก้ปัญหาการมีบุตรยากดงกลาวได เชน

การสร้างเด็กหลอดแก้วและการท ากิฟต ์
(2) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน ปฏิบัติกิจกรรม สืบค้นข้อมูลเทคโนโลยีช่วยให้มีบุตร ตามขั้นตอน ดังนี้
– สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีช่วยให้มีบุตร โดยค้นคว้าในประเด็นต่างๆ ต่อไปนี้
• การสร้างเด็กหลอดแก้ว
• การท ากิฟต ์
– น าข้อมูลที่ได้มาอภิปรายร่วมกัน แล้วน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม



(4) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน

ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น

198






– เดกหลอดแก้วเกิดจากอะไร (แนวคาตอบ เกิดจากการน าไข่ออกมาจากรังไข่ของฝายหญิงมาผสมกับอสจ ิ



ของฝ่ายชายภายนอกร่างกาย เมื่อเกิดการปฏสนธิแล้วจึงน าตัวอ่อนที่ได้ฉีดกลับเขาไปในมดลกของฝ่ายหญิงเพื่อให้เกิดการ
ฝังตัวและเจริญเติบโตต่อไป)
– การสร้างเดกหลอดแก้วเป็นวิธีการทชวยขจดปัญหาของผหญิงทไม่สามารถมีบุตรตามธรรมชาตไดเพราะ
ู้

ี่
ี่




อะไร (แนวค าตอบ เพราะเป็นการน าไข่ออกมาจากรังไข่และท าการปฏสนธิภายนอกร่างกายของผู้หญิงที่ทอน าไข่ตีบตน จง




สามารถแก้ปัญหาในผู้หญิงที่ท่อน าไข่ตีบตันหรือเป็นพังผืดบริเวณท่อน าไข่ได้)
– การท ากิฟตมีขั้นตอนใดบ้าง อธิบาย (แนวคาตอบ แพทย์จะให้ผหญิงทต้องการมีบุตรรับประทานฮอร์โมน
ี่


ู้



เพื่อไปกระตนให้ไข่ตกจากรังไข่ แล้วตรวจดูจานวนไข่ที่สุกด้วยวิธีอัลตราซาวนด ถ้าพบว่าไข่สุก แพทย์จะเจาะหน้าท้องแลว
ุ้
ั่



ี่
ดูดไข่เข้าไปในหลอดฉีด จากนั้นจะบรรจอสจิทเตรียมไว้โดยมีฟองอากาศคน แลวฉีดไข่และอสจกลบเข้าไปในท่อน าไข่ ไข่



และอสุจิจะเข้าผสมกันเองภายในท่อน าไข่ตามวิธีธรรมชาติ และถ้าไข่ได้รับการผสมแล้วก็จะเคลื่อนไปฝังตัวในมดลูกต่อไป)
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า การสร้างเดกหลอดแก้ว


และการท ากิฟต์สามารถแก้ปัญหาการมีบุตรยากได้ ช่วยให้มีโอกาสตั้งครรภ์เพิ่มมากขึ้น
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)

ู่
ี่
ุ่
ี่


ุ่

(1) ครูแบ่งนักเรียนกลมละ 5 – 6 คน เลนเกมหน้าทอะไร แลวให้แตละกลมจบคอวัยวะกับหน้าทของอวัยวะให้
ถูกต้อง กลุ่มใดได้คะแนนมากกว่าเป็นฝ่ายชนะ
(2) นักเรียนคนคว้าคาศพท์ภาษาตางประเทศเกี่ยวกับเทคโนโลยีช่วยให้มีบุตร จากหนังสอเรียนภาษาต่างประเทศ





หรืออินเทอร์เน็ต และน าเสนอให้เพื่อนฟัง คัดค าศัพท์พร้อมทั้งค าแปลลงสมุดส่งครู
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)

ี่
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่

ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
– การน าอสุจิและไข่มาผสมกันภายนอกร่างกายจนแบ่งเซลล์เป็นตวอ่อน แล้วจึงฉีดตัวอ่อนกลับเข้าไปทางช่อง

คลอด เป็นขั้นตอนของการท าสิ่งใด (แนวค าตอบ การสร้างเด็กหลอดแก้ว)
– การสร้างเด็กหลอดแก้วจะท าในกรณีใด (แนวค าตอบ ฝ่ายหญิงท่อน าไข่อุดตัน)
ขั้นสรุป

1) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับเทคโนโลยีช่วยใหมีบุตร โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์





2) ครูดาเนินการทดสอบหลงเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบหลงเรียน เพื่อวัดความก้าวหน้า/ผลสมฤทธิ์
ทางการเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ของนักเรียน
3) ครูเชื่อมโยงเนื้อหาจากบทเรียนนี้กับหน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เพื่อให้นักเรียนเตรียมความพร้อม โดยการใชค าถาม

กระตุ้น ดังนี้






– ถ้านักเรียนและเพื่อนชวยกันออกแรงผลกโตะให้ชดกับผนังห้อง การกระทาดงกลาวจะถูกควบคมดวย



อวัยวะใด (แนวค าตอบ สมอง)


Click to View FlipBook Version