99
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)
ิ
แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
มีองค์ประกอบครบ
มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................
2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้
เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
น าไปใช้ได้จริง
ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้
4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………
ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
100
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 13
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ระบบและความสัมพันธ์ในร่างกายมนุษย์ จ านวน 22 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง เลือด เวลาสอน 1 ชั่วโมง
ู้
1. มาตรฐานการเรียนร
ี
ี
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัตของสงมีชวิต หน่วยพื้นฐานของสงมีชวิต การลาเลยงสารเข้าและออกจากเซลล ์
ิ่
ิ่
ิ
ี
ี่
ั
ั
ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าทของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ทท างานสมพันธ์กัน ความสมพันธ์ของโครงสร้าง
ี่
และหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ของพืชที่ท างานสัมพันธ์กัน รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
ั
2. ตัวชี้วดชั้นปี
บรรยายโครงสร้างและหน้าที่ของหัวใจ หลอดเลือด และเลือด (ว 1.2 ม. 2/6)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. บอกส่วนประกอบของเลือดได้ (K)
2. อธิบายหน้าที่ของส่วนประกอบของเลือดได้ (K)
3. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
4. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
5. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
้
6. สื่อสารและน าความรู้เรื่องเลือดไปใชในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
เลือดประกอบด้วยน้ าเลือด เม็ดเลือด และเกล็ดเลือด
5. สาระการเรียนร ู้
ระบบหมุนเวียนเลือด
– เลือด
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
้
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
สืบค้นข้อมูลเลือด
101
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ิ
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
– นักเรียนเคยหกล้มแล้วมีบาดแผลเกิดขึ้นหรือไม่ (แนวค าตอบ เคย)
– เมื่อมีบาดแผลเกิดขึ้นแล้วจะท าให้เกิดสิ่งใด (แนวค าตอบ มีเลือดไหลออกมาจากบาดแผล)
– เลือดมีลักษณะอย่างไร (แนวค าตอบ เป็นของเหลวและมีสีแดง)
2) นักเรียนร่วมกันตอบค าถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับค าตอบ เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้เรื่อง เลือด
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
ั
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
้
ั้
ั
้
ื
(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
– เลือดมีส่วนประกอบใดบ้าง (แนวค าตอบ น้ าเลือด เม็ดเลือด และเกล็ดเลือด)
– ส่วนประกอบใดของเลือดช่วยท าให้เลือดหยุดไหล (แนวค าตอบ เกล็ดเลือด)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
ื
ึ
ื
่
(1) ครูให้นักเรียนศกษาเรื่องเลอด จากใบความรู้หรือในหนังสอเรียน โดยครูชวยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า ใน
ี่
ร่างกายของมนุษย์มีเลือดอยู่ประมาณร้อยละ 9 – 10 ของน้ าหนักตว เลอดมีสวนประกอบทสาคญ 2 สวน คอ สวนทเป็น
ั
ื
่
ื
ี่
่
ั
่
ี่
ของเหลว ซึ่งเรียกว่า น้ าเลอด หรือ พลาสมามีอยู่ประมาณ ร้อยละ 55 ของปริมาณเลอดทงหมด ทาหน้าทลาเลยง
ั้
ี
ื
ื
่
สารอาหาร เอนไซม์ ฮอร์โมน และแก๊สไปยังเซลลต่างๆ ของร่างกาย และลาเลยงของเสยตางๆ มายังปอดเพื่อขับออกจาก
์
ี
ี
ื
ื
็
ี่
ร่างกาย และสวนทเป็นของแข็ง ประกอบดวยเม็ดเลอดและเกลดเลอด ซึ่งมีอยู่ประมาณร้อยละ 45 ของปริมาณเลอด
่
้
ื
ทั้งหมด
ื
(2) ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับเม็ดเลือดให้นักเรียนเข้าใจว่า เม็ดเลอดมี 2 ชนิด คือ เม็ดเลือดแดงทาหน้าทล าเลยง
ี่
ี
ี่
แก๊สออกซิเจนไปยังเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย สร้างจากไขกระดูก มีอายุประมาณ 110–120 วัน และถูกท าลายทตับและม้าม
ี่
่
และเม็ดเลือดขาวทาหน้าทตอต้านและก าจดเชื้อโรคหรือสงแปลกปลอมที่เข้าสร่างกาย สร้างจากม้าม ไขกระดูก และตอม
่
ู่
ั
ิ่
น้ าเหลือง มีอายุประมาณ 7–14 วัน และถูกท าลายที่ตับและม้าม
ื้
่
(3) ครูอธิบายเรื่องน่ารู้ เรื่องวัคซีนให้นักเรียนเข้าใจว่า วัคซีน คอ แอนติเจนของเชอโรคที่ไม่สามารถท าอันตรายตอ
ื
้
ิ
ุ้
่
ร่างกายได การให้วัคซีนแก่ร่างกายเพื่อให้แอนติเจนไปกระตนร่างกายให้สร้างแอนติบอดีที่ทาปฏกิริยาจ าเพาะตอแอนติเจน
ชนิดนั้น ๆ ซึ่งการน าวัคซีนเข้าสู่ร่างกายท าได้โดยการฉีด รับประทาน หรือการปลูกฝี
้
ื
้
ี
ี่
(4) ครูอธิบายเรื่องน่ารู้ เรื่องเซรุ่มให้นักเรียนเข้าใจว่า เซรุ่ม คอ น้ าเลอดทมีแอนตบอดทเมื่อร่างกายไดรับแลว
ี่
ื
ิ
่
้
ื้
สามารถตานทานพิษของโรคนั้นไดทนท เซรุ่มไดจากการฉีดเชอโรคทอ่อนฤทธิ์แลวเข้าไปในม้าหรือกระตาย เมื่อม้าหรือ
้
้
ั
ี
ี่
้
ึ
้
ู่
่
ิ
กระตายสร้างแอนติบอดีขึ้นในน้ าเลือด จงสกัดเอาน้ าเลอดที่มีแอนตบอดีของม้าหรือกระต่ายมาฉีดเขาสร่างกายของมนุษย์
ื
ี
้
โดยตรง เซรุ่มใชรักษาในกรณจาเป็นเร่งดวน เชน เมื่อถูก งูพิษกัดหรือถูกสนัขบ้ากัด ข้อดของเซรุ่ม คอ ทาให้ร่างกายมี
ุ
ี
ื
่
่
ภูมิคุ้มกันโรคทันที
102
(5) ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับเกล็ดเลอดให้นักเรียนเขาใจว่า เกล็ดเลอดทาหน้าทช่วยให้เลอดแข็งตัวในกรณที่เกิด
ี
ื
ื
ื
้
ี่
ื
็
ู
บาดแผล โดยจบตวเป็นกระจุกร่างแหอุดรูของหลอดเลือดฝอย ท าให้เลอดหยุดไหล เกลดเลือดสร้างจากไขกระดก มีอายุ
ั
ั
ประมาณ 4 วัน และถูกท าลายที่ม้าม
(6) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับเลือด ตามขั้นตอนดังนี้
– แตละกลมวางแผนการสบคนข้อมูล โดยแบ่งหัวข้อย่อยให้เพื่อนสมาชกชวยกันสบคนตามทสมาชกกลม
ิ
่
่
้
ิ
ื
ี่
ุ่
ุ่
้
ื
ช่วยกันก าหนดหัวข้อย่อย เช่น น้ าเลือด เม็ดเลือด และเกล็ดเลือด
ุ่
ิ
ิ
่
้
ื
ื
ี่
้
ุ่
่
– สมาชกกลมแตละคนหรือกลมย่อยชวยกันสบคนข้อมูลตามหัวข้อย่อยทตนเองรับผดชอบ โดยการสบคน
จากหนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต
ุ่
ี่
ั้
้
ิ
ิ
– สมาชกกลมน าข้อมูลทสืบคนได้มารายงานให้เพื่อนๆ สมาชกในกลมฟัง รวมทงร่วมกันอภิปรายซักถามจน
ุ่
คาดว่าสมาชิกทุกคนมีความรู้ความเข้าใจที่ตรงกัน
็
– สมาชิกกลุ่มช่วยกันสรุปความรู้ที่ได้ทั้งหมดเปนผลงานของกลุ่ม และชวยกันจดท ารายงานการศกษาค้นคว้า
ึ
่
ั
เกี่ยวกับเลือด
(7) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
ิ
่
ิ
ิ
(8) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
ื
– น้ าเลอดทาหน้าที่อะไร (แนวคาตอบ ลาเลียงสารอาหาร เอนไซม์ ฮอร์โมน และแก๊สไปยังเซลลต่างๆ ของ
์
ร่างกาย และล าเลียงของเสียต่างๆ มายังปอดเพื่อขับออกจากร่างกาย)
– เม็ดเลือดแดงท าหน้าที่อะไร (แนวค าตอบ ล าเลียงแก๊สออกซิเจนไปยังเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย)
– เม็ดเลือดขาวท าหน้าที่อะไร (แนวค าตอบ ต่อต้านและก าจัดเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย)
– เกล็ดเลือดท าหน้าที่อะไร (แนวค าตอบ ช่วยให้เลือดแข็งตัวในกรณีที่เกิดบาดแผล)
้
ิ
ื
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัตกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า เลอดประกอบดวยน้ า
เลือด เม็ดเลือด และเกล็ดเลือด
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
ั
์
่
นักเรียนคนคว้าคาศพทภาษาตางประเทศเกี่ยวกับเลอด จากหนังสอเรียนภาษาตางประเทศหรืออินเทอร์เน็ต และ
้
ื
ื
่
น าเสนอให้เพื่อนฟัง คัดค าศัพท์พร้อมทั้งค าแปลลงสมุดส่งครู
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
ุ
ี่
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
้
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และไดมีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
็
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
103
– ร่างกายมนุษย์มีเลือดอยู่ประมาณร้อยละเท่าใด (แนวค าตอบ ประมาณร้อยละ 9–10 ของน้ าหนักตัว)
ื
– เม็ดเลอดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลอดถูกท าลายที่อวัยวะใด (แนวคาตอบ เม็ดเลอดแดงและเม็ดเลือด
ื
ื
ขาวถูกท าลายที่ตับและม้าม และเกล็ดเลือดถูกท าลายที่ม้าม)
ขั้นสรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับเลือด โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์
10. สื่อการเรียนร ู้
1. หนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต
2. หนังสือเรียนภาษาต่างประเทศ
3. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
4. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1
่
ี่
5. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
6. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
ี่
ั
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้
ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
ิ
1. ซักถามความรู้เรื่องเลือด 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ สังเกตการท างานกลุ่ม
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ 2. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ กลุ่ม
104
บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................
2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………
ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู
105
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)
ิ
แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
มีองค์ประกอบครบ
มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................
2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้
เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
น าไปใช้ได้จริง
ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้
4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………
ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
106
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 14
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ระบบและความสัมพันธ์ในร่างกายมนุษย์ จ านวน 22 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การหมุนเวียนของเลือดในร่างกาย เวลาสอน 1 ชั่วโมง
1. มาตรฐานการเรียนร
ู้
ี
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัตของสงมีชวิต หน่วยพื้นฐานของสงมีชวิต การลาเลยงสารเข้าและออกจากเซลล ์
ี
ิ่
ิ
ี
ิ่
ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าทของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ทท างานสมพันธ์กัน ความสมพันธ์ของโครงสร้าง
ี่
ั
ี่
ั
และหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ของพืชที่ท างานสัมพันธ์กัน รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
2. ตัวชี้วดชั้นปี
ั
ออกแบบการทดลองและทดลอง ในการเปรียบเทียบอัตราการเตนของหัวใจ ขณะปกติและหลงท ากิจกรรม (ว 1.2
ั
้
ม. 2/8)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. ตรวจสอบการเต้นของชีพจรได้ (K)
2. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
4. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
5. สื่อสารและน าความรู้เรื่องการหมุนเวียนของเลือดในร่างกายไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
ชพจรบอกถึงจงหวะการเตนของหัวใจ ซึ่งอัตราการเตนของหัวใจในขณะปกตและหลงจากทากิจกรรมตางๆ จะ
่
ั
ิ
้
ั
ี
้
แตกต่างกัน
5. สาระการเรียนร ู้
ระบบหมุนเวียนเลือด
– การหมุนเวียนของเลือดในร่างกาย
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
4. ความสามารถในการใชทักษะ/กระบวนการและทักษะในการด าเนินชีวิต
้
107
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
สังเกตอัตราการเต้นของชีพจร
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ิ
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูให้นักเรียนทบทวนความรู้เดิมที่ได้เรียนรู้มาแล้วโดยใช้ค าถามต่อไปนี้
– ระบบหมุนเวียนเลือดมีสิ่งใดท าหน้าที่ล าเลียงสารอาหารไปสู่เซลล์ (แนวค าตอบ เลือด)
– สารอาหารถูกส่งไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายด้วยส่วนประกอบใดของเลือด (แนวค าตอบ น้ าเลือด)
2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเชอมโยงไปสการเรียนรู้เรื่อง การ
ื่
ู่
ิ
หมุนเวียนของเลือดในร่างกาย
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
ั
้
ั้
ื
ั
้
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
้
ื
ี่
่
– อวัยวะใดทาหน้าทเสมือนเครื่องสบฉีดชวยให้เลอดไหลเวียนไปยังสวนตางๆ ของร่างกายได (แนวคาตอบ
่
่
ู
หัวใจ)
– เลือดภายในร่างกายมีการไหลเวียนไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่ (แนวค าตอบ ทิศทางเดียวกัน)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
ื
ึ
(1) ครูให้นักเรียนศกษาเรื่องการหมุนเวียนของเลอดในร่างกาย จากใบความรู้หรือในหนังสอเรียน โดยครูชวย
ื
่
ั
ี
่
ื
อธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า สารอาหารและแก๊สจะถูกล าเลยงไปยังสวนตางๆ ของร่างกายพร้อมกับเลอด โดยอาศยระบบ
่
ื
ี
ื่
หมุนเวียนเลอดในหลอดเลอด การเคลอนทหรือการไหลของเลอดนั้น บางครั้งมีการไหลจากศรษะไปยังปลายเทาหรือจาก
ื
ื
้
ี่
้
ปลายเทาไปยังศรษะ การทเลอดไหลไปในทศทางตางๆ ไดนั้นเนื่องมาจากร่างกายของมนุษย์มีหัวใจซึ่งเป็นอวัยวะททา
ี
้
ี่
ี่
ิ
่
ื
่
่
หน้าทเสมือนเครื่องสูบฉีด ท าให้เกิดแรงดันเพื่อให้เลอดไหลไปตามหลอดเลอด แล้วไหลต่อไปยังสวนตางๆ ของร่างกายและ
ื
ี่
ื
ไหลกลับเข้าสู่หัวใจ
ี
็
้
(2) ครูอธิบายเรื่องน่ารู้ เรื่องวิลเลยม ฮาร์วีย์ให้นักเรียนเขาใจว่า วิลเลียม ฮาร์วีย์ นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ เปน
คนแรกที่ค้นพบการหมุนเวียนของเลือด โดยชี้ให้เห็นว่าเลือดมีการไหลเวียนไปในทิศทางเดียวกัน
(3) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน ปฏิบัติกิจกรรม สังเกตอัตราการเต้นของชีพจร ตามขั้นตอน ดังนี้
– หงายมือข้างหนึ่งขึ้น แล้วใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางของมืออีกข้างหนึ่งวางบริเวณข้อมือ โดยกดนิ้วชี้และนิ้วกลาง
เบาๆ ตรงต าแหน่งที่มีการเต้นของชีพจร
– นับจานวนครั้งในการเตนของชพจรในเวลา 1 นาท พร้อมกับสงเกตว่าการเตนของชพจรสม่ าเสมอหรือไม่
้
ี
ั
ี
้
ี
แล้วบันทึกผล
– ด าเนินการเช่นเดียวกับข้อ 1–2 อีก 2 ครั้ง และหาค่าเฉลี่ย
– นักเรียนออกไปวิ่งรอบสนามฟุตบอล 2 รอบ แล้วด าเนินการเช่นเดียวกับข้อ 1–3 อีกครั้ง
108
(4) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
ิ
ิ
(5) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน
่
ิ
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
– การนับจานวนครั้งในการเต้นของชีพจรควรนับ 3 ครั้งแล้วจึงหาค่าเฉลี่ย เพราะเหตุใด (แนวค าตอบ เพราะ
จะท าให้เราได้ค่าที่ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด)
่
– ขณะทร่างกายของเราอยู่ในสภาวะปกติกับขณะเลนกีฬา การเตนของชพจรแตกต่างกันหรือไม่ เพราะเหต ุ
ี
้
ี่
่
ี
ี่
่
่
้
ใด (แนวคาตอบ แตกตางกัน เพราะขณะทร่างกายอยู่ในสภาวะปกติ การเตนของ ชพจรมีอัตราการเต้นตากว่าขณะเลน
่
ื
ั
ึ
กีฬา เนื่องจากขณะเลนกีฬาร่างกายต้องใช้พลงงานมาก หัวใจจงต้อง มีการสูบฉีดเลอดเร็วขึ้นเพื่อน าแก๊สออกซิเจนไปยัง
เซลล์ ส าหรับใช้ในการเผาผลาญสารอาหารให้ได้พลังงานน าไปใช้อย่างเพียงพอ)
– ผลสรุปของกิจกรรมนี้คืออะไร (แนวคาตอบ จากการท ากิจกรรมนี้สามารถสรุปได้ว่า การออกก าลังกายมีผล
ต่ออัตราการเต้นของชีพจร ท าให้อัตราการเต้นของชีพจรสูงขึ้นกว่าในขณะที่ร่างกายอยู่ในสภาวะปกติ)
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า การออกก าลงกายมีผล
ั
ต่ออัตราการเต้นของชีพจร ท าให้อัตราการเต้นของชีพจรสูงขึ้นกว่าในขณะที่ร่างกายอยู่ในสภาวะปกต ิ
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
ี
้
ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการตรวจสอบการเต้นของชีพจรให้นักเรียนเข้าใจว่า การตรวจสอบการเตนของชพจรทา
่
ให้ทราบว่า อัตราการเต้นของหัวใจอยู่ในชวงปกติหรือไม่ โดยอัตราปกติคอประมาณ 60–100 ครั้งต่อนาที ถ้าหัวใจมีอัตรา
ื
การเต้นผดปกติ ก็อาจสันนิษฐานได้ว่าร่างกายมีความผิดปกติ ซึ่งการวัดอัตราการเต้นของหัวใจวัดได้จากการฟังการเต้นของ
ิ
หัวใจ และการจับชีพจรบริเวณข้อมือและซอกคอ
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
ี่
ุ
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
็
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
ได้ไปใชประโยชน์
้
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
ื
– เพราะเหตุใดจงวัดอัตราการเต้นของหัวใจไดจากการสัมผัสหลอดเลอดที่บริเวณข้อมือ (แนวค าตอบ เพราะ
้
ึ
หลอดเลือดจะหดตัวและขยายตัวตามจังหวะการเต้นของหัวใจ)
้
้
– หลังออกก าลงกายเสร็จใหม่ๆ การเตนของชีพจรจะเป็นอย่างไร (แนวค าตอบ การเตนของชีพจรจะเร็วและ
ั
แรงขึ้น)
ั
ื
่
ี่
– เลอดในร่างกายมนุษย์หมุนเวียนผานหัวใจในลกษณะใด (แนวคาตอบ หัวใจห้องบนขวารับเลอดทมีแก๊ส
ื
่
่
์
ั
่
คาร์บอนไดออกไซดสูงจากส่วนตางๆ ของร่างกายและส่งผานลิ้นหัวใจไปยังหัวใจห้องลางขวาซึ่งจะบีบตวและส่งเลือดไปยัง
109
ิ้
ี่
ู่
้
ั้
่
ู
ื
ปอดทง 2 ข้าง เพื่อแลกเปลยนแก๊ส จากนั้นเลอดที่มีแก๊สออกซิเจนสงจะกลับเขาสู่หัวใจห้องบนซ้ายผานลนหัวใจลงสหัวใจ
ห้องล่างซ้ายเพื่อบีบตัวและส่งเลือดไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย)
ขั้นสรุป
1) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับการหมุนเวียนของเลอดในร่างกาย โดยร่วมกันเขยนเป็นแผนที่ความคดหรือ
ี
ื
ิ
ผังมโนทัศน์
ึ
้
2) ครูมอบหมายให้นักเรียนไปศกษาคนคว้าเนื้อหาของบทเรียนชวโมงหน้า เพื่อจดการเรียนรู้ครั้งตอไป โดยให้
่
ั
ั่
นักเรียนศึกษาค้นคว้าล่วงหน้าในหัวข้อระบบหายใจ
3) ครูให้นักเรียนเตรียมประเด็นค าถามที่สงสัยมาอย่างน้อยคนละ 1 ค าถาม เพื่อน ามาอภิปรายร่วมกันในห้องเรียน
ครั้งต่อไป
10. สื่อการเรียนร ู้
1. ใบกิจกรรม สังเกตอัตราการเต้นของชีพจร
2. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
่
3. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1
ี่
4. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
5. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
ั
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้
ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
1. ซักถามความรู้เรื่องการหมุนเวียนของ 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะกระบวนการทาง
ิ
เลือดในร่างกาย รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ วิทยาศาสตร์โดยใช้แบบวัด
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทาง
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน 2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น วิทยาศาสตร์
รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ 2. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ สังเกตการท างานกลุ่ม
3. ประเมินทักษะการแก้ปัญหา
โดยการสังเกตการท างานกลุ่ม
4. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
กลุ่ม
110
บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................
2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………
ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู
111
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)
ิ
แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
มีองค์ประกอบครบ
มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................
2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้
เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
น าไปใช้ได้จริง
ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้
4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………
ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
112
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 15
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ระบบและความสัมพันธ์ในร่างกายมนุษย์ จ านวน 22 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง กระบวนการหายใจ เวลาสอน 1 ชั่วโมง
ู้
1. มาตรฐานการเรียนร
ิ
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัตของสงมีชวิต หน่วยพื้นฐานของสงมีชวิต การลาเลยงสารเข้าและออกจากเซลล ์
ิ่
ี
ี
ิ่
ี
ี่
ั
ั
ี่
ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าทของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ทท างานสมพันธ์กัน ความสมพันธ์ของโครงสร้าง
และหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ของพืชที่ท างานสัมพันธ์กัน รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
2. ตัวชี้วดชั้นปี
ั
ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าที่ของอวัยวะที่เกี่ยวข้องในระบบหายใจ (ว 1.2 ม. 2/1)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายหน้าที่ของอวัยวะที่เกี่ยวข้องในระบบหายใจได้ (K)
2. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
4. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
5. สื่อสารและน าความรู้เรื่องกระบวนการหายใจไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
ภายในปอดมีถงลมจานวนมาก เมื่ออากาศเขาสปอด บริเวณถุงลมจะมีการแลกเปลยนแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์กับ
ู่
ุ
ี่
้
แก๊สออกซิเจน
5. สาระการเรียนร ู้
ระบบหายใจ
– กระบวนการหายใจ
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
้
4. ความสามารถในการใชทักษะ/กระบวนการและทักษะในการด าเนินชีวิต
5. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
้
113
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
สังเกตลมหายใจออก
ิ
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
– ขณะที่หัวใจสบฉดเลอดเพื่อลาเลียงไปยังส่วนตางๆ ของร่างกาย ในเลือดมีแก๊สที่เกี่ยวข้องกับการด ารงชีวิต
ู
่
ี
ื
ของมนุษย์กี่ชนิด อะไรบ้าง (แนวค าตอบ 2 ชนิด คือ แก๊สออกซิเจนและแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์)
ื
– เลอดที่หมุนเวียนเข้าสปอดและเลือดทหมุนเวียนออกจากปอดมีลกษณะใด (แนวคาตอบ เลือดที่หมุนเวียน
ู่
ี่
ั
เข้าสู่ปอดมีแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์สูง และเลือดที่หมุนเวียนออกจากปอดมีแก๊สออกซิเจนสูง)
ื่
ิ
2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเชอมโยงไปสการเรียนรู้เรื่อง
ู่
กระบวนการหายใจ
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
ื
ั
้
้
ั้
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
ั
(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูแบ่งกลมนักเรียนแลวเปดโอกาสให้นักเรียนในกลุ่มน าเสนอข้อมูลเกี่ยวกับระบบหายใจทครูมอบหมายให้ไป
ุ่
ี่
้
ิ
เรียนรู้ล่วงหน้าให้เพื่อนๆ ในกลุ่มฟัง จากนั้นให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนมาน าเสนอข้อมูลหน้าห้องเรียน
ี่
(2) ครูตรวจสอบว่านักเรียนท าภาระงานทไดรับมอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบจากการจดบันทกของนักเรียน
้
ึ
และถามค าถามเกี่ยวกับภาระงาน ดังนี้
– อวัยวะที่ส าคัญในระบบหายใจมีอะไรบ้าง (แนวค าตอบ จมูก ท่อลม ปอด กะบังลม และกระดูกซี่โครง)
ี่
ี่
ี่
ี่
– ระบบหายใจทาหน้าทอะไร (แนวคาตอบ แลกเปลยนแก๊สทอยู่ภายในร่างกายและแก๊สทอยู่ภายนอก
ร่างกาย)
ั
(3) ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนตงประเดนค าถามที่นักเรียนสงสยจากการทาภาระงานอย่างน้อยคนละ 1 คาถาม ซึ่ง
ั้
็
ครูให้นักเรียนเตรียมมาล่วงหน้า และให้นักเรียนช่วยกันตอบและแสดงความคิดเห็น
(4) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับภาระงาน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า ระบบหายใจประกอบด้วย
ี่
จมูก ท่อลม ปอด กะบังลม และกระดูกซี่โครง ซึ่งทาหน้าทร่วมกันในการแลกเปลยนแก๊สทอยู่ภายในร่างกายและแก๊สทอยู่
ี่
ี่
ี่
ภายนอกร่างกาย
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
(1) ครูให้นักเรียนศึกษาเรื่องระบบหายใจ จากใบความรู้หรือในหนังสือเรียน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า
ี่
ี
ี่
ี่
ี่
ระบบหายใจทาหน้าทแลกเปลยนแก๊สทอยู่ภายในร่างกายและแก๊สทอยู่ภายนอกร่างกายซึ่งถูกลาเลยงมาพร้อมกับเลอด
ื
แก๊สที่ส าคัญซึ่งเกี่ยวข้องกับการด ารงชีวิตของมนุษย์มี 2 ชนิด คือ แก๊สออกซิเจน และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด ์
ิ
(2) ครูอธิบายเพิ่มเตมเกี่ยวกับกระบวนการหายใจให้นักเรียนเข้าใจว่า เมื่อเราหายใจเข้า อากาศจากภายนอก
ร่างกายจะผ่านรูจมูกทั้ง 2 ข้าง เข้าไปตามช่องจมูก โดยขนจมูกและเยื่อในช่องจมูกจะช่วยกรองฝนละอองที่ปนมากับอากาศ
ุ่
่
้
ี่
ไว้ จากนั้นอากาศจะผานท่อลมเขาสู่หลอดลมและเข้าสู่ปอดในที่สุด ทปอดมีถุงลมเลก ๆ อยู่เปนจ านวนมากซึ่งมีหลอดเลือด
็
็
114
ี่
้
ฝอยห้อมลอมอยู่ เมื่ออากาศมาถึงบริเวณถุงลม อากาศทมีแก๊สออกซิเจนเข้มข้นมากกว่าจะแพร่ผานผนังถุงลมเข้าสู่หลอด
่
ั
ั
ั
ื
ื
เลอดฝอย โดยเข้าไปรวมตวกับเฮโมโกลบินในเม็ดเลอดแดง จากนั้นจะไหลไปตามหลอดเลอดกลบเข้าสหัวใจ เพื่อให้หวใจ
ู่
ื
สูบฉีดไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย
่
ขณะที่เลือดถูกลาเลียงไปตามหลอดเลือดนั้น แก๊สออกซิเจนในเลือดจะแพร่จากเม็ดเลือดแดงเข้าสู่เซลล์ตางๆ ของ
์
้
์
ร่างกาย เมื่อแก๊สออกซิเจนเข้าสเซลลแลว จะทาปฏิกิริยาเผาผลาญสารอาหารทอยู่ภายในเซลล ทาให้สารอาหารปลอย
ี่
ู่
่
พลังงานออกมา แล้วร่างกายก็น าไปใชในการท ากิจกรรมต่างๆ ซึ่งนอกจากจะได้พลังงานแลว ยังไดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด ์
้
้
้
และน้ าอีกด้วย กระบวนการที่เกิดขึ้นนี้เรียกว่า การหายใจ
แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ภายในเซลล์จะแพร่ผ่านผนังหลอดเลือดฝอยเข้าสู่เลือด และล าเลยงไปกับเลือดเข้าสู่หัวใจ
ี
่
ห้องบนขวา ผ่านหัวใจห้องลางขวาไปยังปอด แล้วแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดก็จะแพร่เข้าสู่ถุงลมในปอด และลาเลียง
ผ่านทางเดินหายใจสู่ภายนอกร่างกายทางลมหายใจออก
(3) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน ปฏิบัติกิจกรรม สังเกตลมหายใจออก ตามขั้นตอน ดังนี้
– น ากระจกเงาที่เช็ดท าความสะอาดจนแห้งแล้ว มาไว้บริเวณปลายจมูก
– หายใจออกรดกระจกเงา แล้วสังเกตสิ่งที่อยู่บนกระจกเงา บันทึกผล
่
ั
์
– เป่าลมหายใจออกผานหลอดกาแฟลงในน้ าปูนใส (สารละลายแคลเซียมไฮดรอกไซด) สงเกตการ
เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น บันทึกผล
(4) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
ิ
ิ
่
ิ
(5) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
– นักเรียนสังเกตเห็นสิ่งใดเมื่อหายใจออกรดกระจกเงา (แนวค าตอบ กระจกเงาเป็นฝ้า)
ี่
ั
ื
– ลมหายใจออกของนักเรียนมีแก๊สชนิดใด สงเกตจากอะไร (แนวคาตอบ แก๊สทออกมากับลมหายใจออก คอ
ิ
์
้
ั
แก๊สคาร์บอนไดออกไซด สงเกตไดจากเมื่อเป่าลมหายใจลงไปในน้ าปูนใส น้ าปูนใสจะขุ่น ซึ่งเป็นสมบัตของแก๊ส
คาร์บอนไดออกไซด์)
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัตกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า แก๊สทออกมากับลม
ิ
ี่
ื
ิ
ั
์
หายใจทาให้น้ าปูนใสขุ่น ซึ่งเป็นสมบัตของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด ดงนั้นแก๊สทเราหายใจออกมา คอ แก๊ส
ี่
คาร์บอนไดออกไซด ์
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
่
นักเรียนคนคว้าคาศพทภาษาตางประเทศเกี่ยวกับกระบวนการหายใจ จากหนังสอเรียนภาษาตางประเทศหรือ
ั
ื
่
์
้
อินเทอร์เน็ต และน าเสนอให้เพื่อนฟัง คัดค าศัพท์พร้อมทั้งค าแปลลงสมุดส่งครู
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
ุ
ี่
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
115
็
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
– บริเวณใดของปอดที่มีการแลกเปลี่ยนแก๊ส (แนวค าตอบ ถุงลม)
– ผลผลิตที่ได้จากปฏิกิริยาการหายใจคืออะไร (แนวค าตอบ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ น้ า และพลังงาน)
ขั้นสรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับกระบวนการหายใจ โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์
10. สื่อการเรียนร ู้
1. ใบกิจกรรม สังเกตลมหายใจออก
2. หนังสือเรียนภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต
3. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
4. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1
่
5. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
ี่
6. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
ั
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้
ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
1. ซักถามความรู้เรื่องกระบวนการ 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะกระบวนการทาง
ิ
หายใจ รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ วิทยาศาสตร์โดยใช้แบบวัด
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทาง
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน 2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น วิทยาศาสตร์
รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ 2. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ สังเกตการท างานกลุ่ม
3. ประเมินทักษะการแก้ปัญหา
โดยการสังเกตการท างานกลุ่ม
4. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
กลุ่ม
116
บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................
2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………
ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู
117
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)
ิ
แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
มีองค์ประกอบครบ
มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................
2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้
เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
น าไปใช้ได้จริง
ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้
4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………
ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
118
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 16
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ระบบและความสัมพันธ์ในร่างกายมนุษย์ จ านวน 22 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง กลไกการหายใจ เวลาสอน 1 ชั่วโมง
ู้
1. มาตรฐานการเรียนร
ี
ิ่
ี
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัตของสงมีชวิต หน่วยพื้นฐานของสงมีชวิต การลาเลยงสารเข้าและออกจากเซลล ์
ิ่
ิ
ี
ี่
ี่
ั
ั
ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าทของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ทท างานสมพันธ์กัน ความสมพันธ์ของโครงสร้าง
และหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ของพืชที่ท างานสัมพันธ์กัน รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
2. ตัวชี้วดชั้นปี
ั
อธิบายกลไกการหายใจเข้าและออก โดยใช้แบบจ าลอง รวมทั้งอธิบายกระบวนการแลกเปลี่ยนแก๊ส (ว 1.2 ม. 2/2)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายกลไกการหายใจเข้าและออกได้ (K)
2. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
4. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
5. สื่อสารและน าความรู้เรื่องกลไกการหายใจไปใชในชีวิตประจ าวันได้ (P)
้
4. สาระส าคัญ
การหายใจเข้าและออกเกิดจากการท างานประสานกันของกล้ามเนื้อกะบังลมกับกล้ามเนื้อยึดกระดูกซี่โครง
5. สาระการเรียนร ู้
ระบบหายใจ
– กลไกการหายใจ
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
้
4. ความสามารถในการใชทักษะ/กระบวนการและทักษะในการด าเนินชีวิต
5. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
้
119
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
สังเกตแบบจ าลองการเคลื่อนที่ของอากาศเข้าและออกจากปอด
ิ
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูให้นักเรียนทบทวนความรู้เดิมที่ได้เรียนรู้มาแล้วโดยใช้ค าถามต่อไปนี้
– การแลกเปลี่ยนแก๊สออกซิเจนและแก๊สคาร์บอนไดออกไซดเกิดขึ้นบริเวณใด (แนวค าตอบ การแลกเปลยน
์
ี่
แก๊สออกซิเจนและแก๊สคาร์บอนไดออกไซดเกิดขึ้น 2 บริเวณ คอ ระหว่างถุงลมในปอดกับหลอดเลอดฝอย และระหว่าง
์
ื
ื
หลอดเลือดฝอยกับเซลล์)
– การแลกเปลี่ยนแก๊สออกซิเจนและแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เกิดขึ้นโดยวิธีใด (แนวค าตอบ กระบวนการแพร่)
ื่
2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเชอมโยงไปสู่การเรียนรู้เรื่อง กลไกการ
หายใจ
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
ั้
้
ื
ั
้
ั
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
– การหายใจเข้าและออกส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงปริมาตรในช่องอกหรือไม่ (แนวค าตอบ ส่งผล)
– การหายใจเข้าและออกส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงปริมาตรในช่องอกลักษณะใด (แนวคาตอบ การหายใจเขา
้
ท าให้ปริมาตรในช่องอกเพิ่มขึ้น และการหายใจออกท าให้ปริมาตรในช่องอกลดลง)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
ึ
่
ื
(1) ครูให้นักเรียนศกษาเรื่องกลไกการหายใจ จากใบความรู้หรือในหนังสอเรียน โดยครูชวยอธิบายให้นักเรียน
้
เข้าใจว่า ในขณะที่เราสูดลมหายใจเข้า กลามเนื้อกะบังลมจะหดตว และกลามเนื้อยึดกระดูกซี่โครงจะดึงกระดูกซี่โครงให้ยก
ั
้
่
่
ั
่
ั
ึ
ึ
่
ตวขึ้น ชองอกจงขยาย ทาให้ปริมาตรในชองอกเพิ่มขึ้น สงผลให้ความดนในชองอกลดลง อากาศภายนอกร่างกายจง
ี่
่
เคลื่อนทเขาสจมูก ผ่านทอลม และเข้าสู่ปอดในจังหวะการหายใจเข้า แต่ในขณะที่เราปลอยลมหายใจออก กล้ามเนื้อกะบัง
้
ู่
่
ลมและกลามเนื้อยึดกระดกซี่โครงจะคลายตวกลบสสภาพเดม ทาให้ปริมาตรในชองอกลดลง สงผลให้ความดนในชองอก
่
ั
ั
ู
่
ิ
่
้
ู่
ั
เพิ่มขึ้น อากาศจากปอดจึงเคลื่อนที่เข้าสู่ท่อลม และออกสู่ภายนอกร่างกายทางจมูกในจังหวะการหายใจออก
ื่
ี่
ั
ิ
ุ่
(2) ครูแบ่งนักเรียนกลมละ 5–6– คน ปฏิบัตกิจกรรม สงเกตแบบจาลองการเคลอนทของอากาศเข้าและออก
จากปอด ตามขั้นตอน ดังนี้
์
ั
้
– จัดอุปกรณแบบจาลองการทางานของปอด ดงรูป ยกกล่องพลาสตกขึ้น ใชมือดงแผนยางลงชา ๆ แลวสงเกต
ิ
่
้
ึ
้
ั
ลูกโป่งในกล่องพลาสติก
– ปล่อยแผ่นยางสู่สภาพเดิม จากนั้นใช้นิ้วดันแผ่นยางขึ้น พร้อมกับสังเกตการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและบันทึกผล
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
120
่
ิ
ิ
ิ
(4) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
ั
ิ
– เมื่อดึงแผนยางลง ปริมาตรและความดันของอากาศภายในกลองพลาสตกเปลี่ยนแปลงในลกษณะใด (แนว
่
่
ึ้
ค าตอบ เมื่อดึงแผนยางลง ปริมาตรของอากาศในกล่องพลาสตกจะเพิ่มขน ทาให้ความดันของอากาศภายในลดลงและน้อย
่
ิ
ึ
ั
ั
ื่
ี่
ู
่
กว่าความดนของอากาศภายนอก อากาศภายนอกจงเคลอนทเข้าหลอดแก้วรูปตววายและผานไปยังลกโป่ง ทาให้ลกโป่ง
ู
พองออก)
่
– เมื่อปริมาตรของอากาศภายในกล่องพลาสติกลดลงจะสงผลต่อลกโป่งภายในกล่องพลาสตกหรือไม่ ลักษณะ
ิ
ู
ใด (แนวค าตอบ ส่งผล คือ ท าให้ลูกโป่งแฟบลง)
้
ั
่
ั
้
– ถ้าเราใชนิ้วอุดปากหลอดแก้วรูปตววายแลวดนแผนยางขึ้น ลกโป่งภายในกลองพลาสตกจะมีการ
ู
่
ิ
เปลี่ยนแปลงหรือไม่ เพราะอะไร (แนวค าตอบ ลูกโป่งไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะอากาศเข้าหรือออกจากลูกโป่งไม่ได้)
ี่
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเขาใจว่า การเปลยนแปลงปริมาตร
้
่
ู
ั
ของอากาศและความดนของอากาศในกล่องพลาสติกมีผลต่อลกโป่ง กลาวคอ ลกโป่งจะพองออกเมื่อปริมาตรของอากาศใน
ู
ื
ิ
่
่
กลองพลาสตกเพิ่มขึ้นและความดนของอากาศในกลองพลาสตกลดลง ลกโป่งจะแฟบลงเมื่อปริมาตรของอากาศภายใน
ิ
ู
ั
กล่องพลาสติกลดลงและความดันของอากาศในกล่องพลาสติกเพิ่มขึ้น
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
ื
่
์
่
้
ั
นักเรียนคนคว้าคาศพทภาษาตางประเทศเกี่ยวกับกลไกการหายใจ จากหนังสอเรียนภาษาตางประเทศหรือ
อินเทอร์เน็ต และน าเสนอให้เพื่อนฟัง คัดค าศัพท์พร้อมทั้งค าแปลลงสมุดส่งครู
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
ี่
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
ุ
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
็
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
ื่
้
ี่
– การเคลอนทของอากาศเข้าและออกจากปอดจาเป็นตองอาศยการทางานของอวัยวะใดในร่างกาย (แนว
ั
ค าตอบ กระดูกซี่โครงและกะบังลม)
ั
ึ้
– ขณะที่กลามเนื้อกะบังลมหดตว กระดกซี่โครงยกตัวขึ้น ทาให้ปริมาตรในชองอกเพิ่มขน ความดันในช่องอก
้
่
ู
ลดลง อากาศภายนอกจึงผ่านเข้าสู่ปอด เป็นจังหวะใดของการหายใจ (แนวค าตอบ การหายใจเข้า)
ขั้นสรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับกลไกการหายใจ โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์
121
10. สื่อการเรียนร ู้
1. ใบกิจกรรม สังเกตแบบจ าลองการเคลื่อนทของอากาศเขาและออกจากปอด
ี่
้
2. หนังสือเรียนภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต
3. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
ี่
่
4. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เลม 1
5. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
ี่
6. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้
ั
ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
ิ
1. ซักถามความรู้เรื่องกลไกการหายใจ 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะกระบวนการทาง
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ วิทยาศาสตร์โดยใช้แบบวัด
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทาง
2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น วิทยาศาสตร์
รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ 2. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ สังเกตการท างานกลุ่ม
3. ประเมินทักษะการแก้ปัญหา
โดยการสังเกตการท างานกลุ่ม
4. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
กลุ่ม
122
บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................
2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………
ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู
123
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)
ิ
แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
มีองค์ประกอบครบ
มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................
2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้
เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
น าไปใช้ได้จริง
ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้
4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………
ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
124
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 17
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ระบบและความสัมพันธ์ในร่างกายมนุษย์ จ านวน 22 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ความจุอากาศของปอด เวลาสอน 1 ชั่วโมง
1. มาตรฐานการเรียนร
ู้
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัตของสงมีชวิต หน่วยพื้นฐานของสงมีชวิต การลาเลยงสารเข้าและออกจากเซลล ์
ี
ิ่
ี
ิ
ิ่
ี
ั
ั
ี่
ี่
ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าทของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ทท างานสมพันธ์กัน ความสมพันธ์ของโครงสร้าง
และหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ของพืชที่ท างานสัมพันธ์กัน รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
2. ตัวชี้วดชั้นปี
ั
อธิบายกลไกการหายใจเข้าและออก โดยใช้แบบจ าลอง รวมทั้งอธิบายกระบวนการแลกเปลี่ยนแก๊ส (ว 1.2 ม. 2/2)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. วัดความจุอากาศของปอดได้ (K)
2. บอกปัจจัยที่มีผลต่อความจุอากาศของปอดได้ (K)
3. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
4. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
5. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
6. สื่อสารและน าความรู้เรื่องความจุอากาศของปอดไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
ความจุอากาศของปอดของแต่ละบุคคลแตกต่างกันขึ้นอยู่กับปัจจยหลายประการ เช่น เพศ อายุ ขนาดของร่างกาย
ั
การออกก าลังกาย และโรคบางชนิด
5. สาระการเรียนร ู้
ระบบหายใจ
– กลไกการหายใจ
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
้
4. ความสามารถในการใชทักษะ/กระบวนการและทักษะในการด าเนินชีวิต
125
5. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
้
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
1. สังเกตความจุอากาศของปอด
2. สืบค้นข้อมูลความจุอากาศของปอด
ิ
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
– นักเรียนเคยเห็นการแข่งขันเป่าลูกโป่งหรือไม่ (แนวค าตอบ เคย)
– ถ้าเด็กและผู้ใหญ่แข่งขันกันเป่าลูกโป่ง นักเรียนคิดว่าใครจะเป่าลูกโป่งแตกได้ก่อน (แนวค าตอบ ผู้ใหญ่)
ู
้
– เพราะอะไรผใหญ่จงเป่าลกโป่งแตกไดก่อน (แนวคาตอบ เพราะมีปริมาตรของอากาศอยู่ภายในปอด
ู้
ึ
มากกว่า จึงเป่าอากาศออกมาได้มากกว่า ท าให้ลูกโป่งแตกได้ก่อน)
ื่
ู่
ิ
2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเชอมโยงไปสการเรียนรู้เรื่อง ความจ ุ
อากาศของปอด
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
ื
้
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
ั
้
ั้
ั
(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
่
ี่
ั
ุ
– นอกจากอายุแลว ยังมีปัจจยอื่นอีกหรือไม่ททาให้แตละบุคคลมีความจอากาศของปอดไม่เทากัน (แนว
่
้
ค าตอบ มี)
– ยกตวอย่างปัจจยอื่นนอกจากอายุที่ทาให้แต่ละบุคคลมีความจุอากาศของปอดไม่เทากัน (แนวคาตอบ เพศ
ั
่
ั
และขนาดของร่างกาย)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
ี่
ึ
(1) ครูให้นักเรียนศกษาเรื่องสัดส่วนของแก๊สบางชนิดทอยู่ในลมหายใจเข้าและลมหายใจออก จากใบความรู้หรือใน
็
หนังสือเรียน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า แก๊สหลายชนิดที่เปนส่วนประกอบของอากาศ เช่น แก๊สไนโตรเจน แก๊ส
์
ออกซิเจน และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด แก๊สเหล่านี้จะเข้าสู่ปอดเมื่อเราหายใจเข้า และออกจากปอดสู่ภายนอกร่างกายเมื่อ
เราหายใจออกโดยมีสัดส่วนที่ไม่เท่ากัน
(2) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน ปฏิบัติกิจกรรม สังเกตความจุอากาศของปอด ตามขั้นตอน ดังนี้
– ตวงน้ าใสขวดให้เตมดวยบีกเกอร์ขนาด 500 ลกบาศก์เซนตเมตร ทาเครื่องหมายไว้ทก ๆ 500 ลกบาศก์
ู
ุ
็
ู
้
่
ิ
เซนติเมตรของน้ าที่เติม
ู
– เติมน้ าในกะละมังให้สง 10 เซนติเมตร แล้วคว่ าขวดที่ใส่น้ าเต็มลงในกะละมัง น าปลายสายยางข้างหนึ่งใส่ไว้
ที่ปากขวด
126
ี่
่
– สูดลมหายใจเข้าปอดให้เต็มที่แล้วเปาลมหายใจออกให้มากทสุดเพียงครั้งเดียวทางปลายสายยางอีกข้างหนึ่ง
สังเกตผลที่เกิดขึ้น และวัดปริมาตรของอากาศที่หายใจออกไปแทนที่น้ าในขวด
่
ี
– ดาเนินการเชนเดยวกับข้อ 1 – 3 อีก 2 ครั้ง และหาคาเฉลย น าข้อมูลทไดมาเปรียบเทยบกันระหว่าง
ี่
ี่
้
ี
่
นักเรียนเพศชายกับเพศหญิง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
่
(4) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน
ิ
ิ
ิ
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
– การวัดปริมาตรของอากาศในการหายใจออกใช้วิธีใด (แนวค าตอบ เป่าลมหายใจออกไปแทนที่น้ าในขวด)
้
ุ
– นักเรียนมีวิธีการอย่างไรจงจะทาให้คาทไดถูกต้องมากทสุด (แนวคาตอบ ท าสเกลที่ขวดบรรจน้ าให้ถูกต้อง
่
ี่
ึ
ี่
และชัดเจน สูดลมหายใจเข้าปอดให้เต็มทแล้วเปาลมหายใจออกให้มากทสุด)
่
ี่
ี่
– ถ้านักเรียนต้องการตรวจสอบว่า อายุ เพศ ขนาดของร่างกาย และกิจกรรมที่ท ามีผลตอปริมาตรของอากาศ
่
ี่
ี่
ั
่
ทหายใจออกหรือไม่ นักเรียนจะออกแบบการทดลองอย่างไร (แนวคาตอบ ทาการทดลองเหมือนกิจกรรมนี้แตเปลยนตว
ี่
แปร เชน ถ้าอยากทราบว่า เพศทแตกต่างกันจะมีปริมาตรของอากาศทหายใจออกแตกต่างกันหรือไม่ ตองก าหนดตัวแปร
้
ี่
่
ดงนี้ ตวแปรตน เพศชายและเพศหญิง กลมละ 4 – 5 คน เพื่อหาคาเฉลย ตวแปรตาม ปริมาตรของอากาศในการหายใจ
่
้
ี่
ั
ั
ั
ุ่
ออก และตัวแปรควบคุม อายุ สภาพของร่างกาย เช่น ขณะพัก ความแข็งแรงของร่างกาย น้ าหนัก ส่วนสูงต้องใกล้เคียงกัน)
ิ
้
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัตกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเขาใจว่า ปริมาตรของอากาศใน
่
่
การหายใจออกเต็มที่ของแตละบุคคลไม่เทากัน ปัจจัยที่มีผลต่อปริมาตรของอากาศในการหายใจออก ได้แก่ อายุ เพศ ขนาด
ของร่างกาย การออกก าลังกาย และโรคบางชนิด
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
้
ื
ุ
ื
ครูให้นักเรียนสบคนข้อมูลเกี่ยวกับความจอากาศของปอด จากหนังสอ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์
สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ตแล้วน าข้อมูลที่ได้มาน าเสนอหน้าห้องเรียน
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
ี่
ุ
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
็
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
– แก๊สแต่ละชนิดในอากาศทหายใจเขาและออกมีปริมาตรเท่ากันหรือไม่ ลักษณะใด (แนวค าตอบ มีปริมาตร
ี่
้
ไม่เท่ากัน โดยแก๊สออกซิเจนในลมหายใจเข้ามีปริมาตรมากกว่าในลมหายใจออก แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในลมหายใจออก
มีปริมาตรมากกว่าในลมหายใจเข้า และแก๊สไนโตรเจนในลมหายใจเข้าและออกมีปริมาตรเท่ากัน)
ี่
– ยกตัวอย่างกิจกรรมทช่วยท าให้ความจุอากาศของปอดเพิ่มขึ้น (แนวค าตอบ การว่ายน้ า)
127
ขั้นสรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับความจุอากาศของปอด โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์
10. สื่อการเรียนร ู้
1. ใบกิจกรรม สังเกตความจุอากาศของปอด
2. หนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต
3. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
4. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1
่
5. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
ั
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้
ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
1. ซักถามความรู้เรื่องความจุอากาศของ 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะกระบวนการทาง
ิ
ปอด รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ วิทยาศาสตร์โดยใช้แบบวัด
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทาง
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน 2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น วิทยาศาสตร์
รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ 2. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ สังเกตการท างานกลุ่ม
3. ประเมินทักษะการแก้ปัญหา
โดยการสังเกตการท างานกลุ่ม
4. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
กลุ่ม
128
บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................
2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………
ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู
129
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)
ิ
แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
มีองค์ประกอบครบ
มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................
2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้
เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
น าไปใช้ได้จริง
ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้
4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………
ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
130
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 18
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ระบบและความสัมพันธ์ในร่างกายมนุษย์ จ านวน 22 ชั่วโมง
ื่
แผนการจัดการเรียนรู้ เรอง โรคถุงลมโป่งพอง เวลาสอน 1 ชั่วโมง
1. มาตรฐานการเรียนร
ู้
ิ่
ี
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัตของสงมีชวิต หน่วยพื้นฐานของสงมีชวิต การลาเลยงสารเข้าและออกจากเซลล ์
ิ
ี
ิ่
ี
ั
ี่
ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าทของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ทท างานสมพันธ์กัน ความสมพันธ์ของโครงสร้าง
ั
ี่
และหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ของพืชที่ท างานสัมพันธ์กัน รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
2. ตัวชี้วดชั้นปี
ั
ตระหนักถึงความสาคญของระบบหายใจ โดยการบอกแนวทางในการดแลรักษาอวัยวะในระบบหายใจให้ทางาน
ู
ั
เป็นปกติ (ว 1.2 ม. 2/3)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายอันตรายของสารเจือปนในอากาศและบอกวิธีการป้องกันสารเจือปนในอากาศเข้าสู่ร่างกายได้ (K)
2. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
4. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
5. สื่อสารและน าความรู้เรื่องโรคถุงลมโป่งพองไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
การสบบุหรี่ การสูดอากาศทมีสารปนเปื้อน และการเป็นโรคเกี่ยวกับระบบหายใจบางโรคอาจท าให้เกิดโรคถุงลม
ู
ี่
โป่งพอง ซึ่งส่งผลให้ความจุอากาศของปอดลดลง
5. สาระการเรียนร ู้
ระบบหายใจ
– กลไกการหายใจ
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
้
131
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
สืบค้นข้อมูลสารเจือปนในอากาศ
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ิ
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูให้นักเรียนทบทวนความรู้เดิมที่ได้เรียนรู้มาแล้วโดยใช้ค าถามต่อไปนี้
่
– ปัจจยใดททาให้ความจอากาศของปอดของแตละบุคคลแตกตางกัน (แนวคาตอบ เพศ อายุ ขนาดของ
่
ุ
ั
ี่
ร่างกาย การออกก าลังกาย และโรคบางชนิด)
– ยกตัวอย่างโรคทท าให้ความจุอากาศของปอดลดลง (แนวค าตอบ โรคมะเร็งปอด โรคหอบหืด โรคถุงลมโป่ง
ี่
พอง โรคหลอดลมอักเสบ และโรควัณโรค)
ื่
็
2) นักเรียนร่วมกันตอบค าถามและแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเชอมโยงไปสการเรียนรู้เรื่อง โรคถุงลม
ู่
โป่งพอง
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
ั้
ั
้
ื
้
ั
(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
้
– โรคถุงลมโป่งพองท าให้ความจุอากาศของปอดลดลงเพราะอะไร (แนวค าตอบ เพราะหายใจเอาแก๊สพิษเขา
ไปในปอด ซึ่งแก๊สพิษจะไปท าให้ถุงลมถูกท าลายและทะลุถึงกัน จนพื้นที่แลกเปลี่ยนแก๊สลดลง)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
่
(1) ครูให้นักเรียนศกษาเรื่องโรคถุงลมโป่งพอง จากใบความรู้หรือในหนังสอเรียน โดยครูชวยอธิบายให้นักเรียน
ื
ึ
ุ
ี่
เขาใจว่า โรคถุงลมโป่งพองเป็นโรคหนึ่งททาให้ความจอากาศของปอดลดลง เกิดจากการหายใจเอาแก๊สพิษเข้าไปในปอด
้
่
์
ี
่
เชน แก๊สจากทอไอเสยของรถยนต จากโรงงานอุตสาหกรรม หรือจากควันบุหรี่ โดยเฉพาะจากควันบุหรี่ แก๊สเหล่านี้จะไป
ี่
ุ
ู
ุ
ี่
ท าให้ถงลมถกทาลายและทะลถึงกัน จนพื้นทแลกเปลยนแก๊สลดลง เกิดอาการเหนื่อยหอบ บางรายอาจทาให้เป็นมะเร็งใน
ปอดและหัวใจวายได ้
ุ
็
(2) ครูอธิบายเรื่องน่ารู้ เรื่องการสบบหรี่ให้นักเรียนเข้าใจว่า การสบบหรี่ เปนอันตรายต่อระบบหายใจ เนื่องจากมี
ู
ู
ุ
่
ิ
สารพิษทเป็นอันตรายหลายชนิด เชน นิโคตน ทาร์ แก๊สคาร์บอนมอนอกไซด และสารอื่นๆ เชน สารระคายเคอง สารหนู
ื
ี่
่
์
และสารฆ่าแมลง
(3) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน ปฏิบัติกิจกรรม สืบค้นข้อมูลสารเจือปนในอากาศ ตามขั้นตอน ดังนี้
– สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับสารเจือปนในอากาศ โดยค้นคว้าในประเด็นต่างๆ ต่อไปนี้
ชนิดของสารเจือปนในอากาศ
อันตรายของสารเจือปนในอากาศ
วิธีการป้องกันสารเจือปนในอากาศเข้าสู่ร่างกาย
132
– น าข้อมูลที่ได้มาอภิปรายร่วมกัน แล้วน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(4) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
ิ
ิ
(5) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน
่
ิ
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
– ยกตัวอย่างกิจกรรมที่ก่อให้เกิดสารเจือปนในอากาศ (แนวค าตอบ การสูบบุหรี่ การเผาขยะ การใช้รถยนต์)
ื
้
้
ี่
– ถ้านักเรียนอยู่ในบริเวณทมีสารเจอปนในอากาศจะมีวิธีการป้องกันตนเองอย่างไร (แนวคาตอบ ใชผาปิด
ปากและจมูกไว้)
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเขาใจว่า สารเจือปนในอากาศ เชน
่
้
ฝุ่นละออง เขม่า ควัน แก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ และแก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ถ้ามีปริมาณมากกว่า
เกณฑ์ที่ก าหนดจะส่งผลเสียต่ออวัยวะในระบบหายใจ
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
(1) ครูอธิบายเรื่องน่ารู้ เรื่องควันบุหรี่มือสองให้นักเรียนเข้าใจว่า ควันบุหรี่มือสอง คอ ควันบุหรี่ทผสบบุหรี่พ่น
ู้
ี่
ื
ู
้
ออกมาและควันบุหรี่ที่ลอยออกจากปลายมวนบุหรี่ ซึ่งส่งผลร้ายแรงกว่าผู้สูบบุหรี่เข้าทางปอด ในแต่ละปีมีผที่ไม่ไดสูบบุหรี่
ู้
ู
้
ี่
ี่
หลายแสนคนตองเสยชีวิตดวยโรคทเกิดจากการได้รับควันบุหรี่มือสอง เนื่องจากสดดมสารก่อมะเร็งทอยู่ในควันบุหรี่เข้าส ู่
้
ี
ร่างกาย
ื
่
่
(2) นักเรียนค้นคว้าคาศพทภาษาตางประเทศเกี่ยวกับโรคถุงลมโป่งพอง จากหนังสอเรียนภาษาตางประเทศหรือ
ั
์
อินเทอร์เน็ต และน าเสนอให้เพื่อนฟัง คัดค าศัพท์พร้อมทั้งค าแปลลงสมุดส่งครู
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
ี่
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
ุ
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
็
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
– เพราะเหตุใดโรคถุงลมโป่งพองจึงท าให้ความจุอากาศของปอดลดลง (แนวค าตอบ เพราะถุงลมถูกท าลาย)
ี่
– ยกตัวอย่างพฤติกรรมทเสี่ยงต่อการเป็นโรคถุงลมโป่งพอง (แนวค าตอบ การสูบบุหรี่)
ขั้นสรุป
1) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับโรคถุงลมโป่งพอง โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์
2) ครูมอบหมายให้นักเรียนไปศกษาคนคว้าเนื้อหาของบทเรียนชวโมงหน้า เพื่อจดการเรียนรู้ครั้งตอไป โดยให้
ั่
้
ั
ึ
่
นักเรียนศึกษาค้นคว้าล่วงหน้าในหัวข้อระบบขับถ่าย
3) ครูให้นักเรียนเตรียมประเด็นค าถามที่สงสัยมาอย่างน้อยคนละ 1 ค าถาม เพื่อน ามาอภิปรายร่วมกันในห้องเรียน
ครั้งต่อไป
133
10. สื่อการเรียนร ู้
1. ใบกิจกรรม สืบค้นข้อมูลสารเจือปนในอากาศ
2. หนังสือเรียนภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต
3. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
4. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1
่
5. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
ี่
6. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
ั
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้
ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
1. ซักถามความรู้เรื่องโรคถุงลมโป่งพอง 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
ิ
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ สังเกตการท างานกลุ่ม
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ 2. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ กลุ่ม
134
บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................
2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………
ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู
135
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)
ิ
แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
มีองค์ประกอบครบ
มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................
2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้
เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
น าไปใช้ได้จริง
ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้
4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………
ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
136
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 19
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ระบบและความสัมพันธ์ในร่างกายมนุษย์ จ านวน 22 ชั่วโมง
ื่
แผนการจัดการเรียนรู้ เรอง การก าจัดของเสียทางไต เวลาสอน 1 ชั่วโมง
1. มาตรฐานการเรียนร
ู้
ิ
ี
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัตของสงมีชวิต หน่วยพื้นฐานของสงมีชวิต การลาเลยงสารเข้าและออกจากเซลล ์
ิ่
ิ่
ี
ี
ั
ั
ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าทของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ทท างานสมพันธ์กัน ความสมพันธ์ของโครงสร้าง
ี่
ี่
และหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ของพืชที่ท างานสัมพันธ์กัน รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
ั
2. ตัวชี้วดชั้นปี
ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าที่ของอวัยวะในระบบขับถ่ายในการก าจัดของเสียทางไต (ว 1.2 ม. 2/4)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายการก าจัดของเสียทางไตได้ (K)
2. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
4. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
5. สื่อสารและน าความรู้เรื่องการก าจัดของเสียทางไตไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
ระบบขับถ่ายมีอวัยวะทเกี่ยวข้อง คอ ไต ทอไต กระเพาะปัสสาวะ และทอปัสสาวะ โดยมีไต ทาหน้าทก าจดของ
ื
่
่
ี่
ั
ี่
้
ี่
เสีย เช่น แอมโมเนีย ยูเรีย กรดยูริก รวมทั้งสารทร่างกายไม่ตองการออกจากเลอด และควบคมสารทมีมากหรือน้อยเกินไป
ี่
ุ
ื
เช่น น้ า โดยขับออกมาในรูปของปัสสาวะ
5. สาระการเรียนร ู้
ระบบขับถ่าย
– การก าจัดของเสียทางไต
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
้
137
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
สืบค้นข้อมูลการก าจัดของเสียทางไต
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ิ
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
– นักเรียนเคยออกก าลังกายหรือไม่ (แนวค าตอบ เคย)
ั
ั
ั
ั
– หลงจากออกก าลังกายแลว ร่างกายก าจดสิ่งใดออกจากร่างกาย และก าจดออกทางใด (แนวค าตอบ ก าจด
้
เหงื่อออกจากร่างกายทางผิวหนัง)
– นอกจากการก าจัดของเสียในรูปของเหงื่อแล้ว ร่างกายยังก าจัดของเสียออกจากร่างกายในรูปใดได้อีก (แนว
ค าตอบ ก าจัดน้ าส่วนเกินออกจากร่างกายในรูปของปัสสาวะ)
2) นักเรียนร่วมกันตอบค าถามและแสดงความคดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเชอมโยงไปสู่การเรียนรู้เรื่อง การก าจด
ิ
ื่
ั
ของเสียทางไต
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
ั
ั
้
ั้
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
้
ื
(flipped classroom) ซึ่งมีขนตอนดังนี้
ั้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูแบงกลุ่มนักเรียนแล้วเปิดโอกาสให้นักเรียนในกลุ่มน าเสนอข้อมูลเกี่ยวกับระบบขับถ่ายที่ครูมอบหมายให้ไป
่
เรียนรู้ล่วงหน้าให้เพื่อนๆ ในกลุ่มฟัง จากนั้นให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนมาน าเสนอข้อมูลหน้าห้องเรียน
ี่
้
(2) ครูตรวจสอบว่านักเรียนท าภาระงานทไดรับมอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบจากการจดบันทกของนักเรียน
ึ
และถามค าถามเกี่ยวกับภาระงาน ดังนี้
– อวัยวะที่ส าคัญในระบบขับถ่ายมีอะไรบ้าง (แนวค าตอบ ไต ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ และท่อปัสสาวะ)
– ระบบขับถ่ายท าหน้าที่อะไร (แนวค าตอบ ก าจัดของเสียออกจากร่างกาย)
(3) ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนตงประเดนค าถามที่นักเรียนสงสยจากการทาภาระงานอย่างน้อยคนละ 1 คาถาม ซึ่ง
ั
็
ั้
ครูให้นักเรียนเตรียมมาล่วงหน้า และให้นักเรียนช่วยกันตอบและแสดงความคิดเห็น
(4) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับภาระงาน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า ระบบขับถ่ายประกอบด้วย
ไต ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ และท่อปัสสาวะ ซึ่งท าหน้าที่ร่วมกันในการก าจัดของเสียออกจากร่างกาย
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
(1) ครูให้นักเรียนศึกษาเรื่องระบบขับถ่าย จากใบความรู้หรือในหนังสือเรียน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า
ี่
้
ี
์
สารทไม่เป็นประโยชน์และร่างกายไม่ตองการ เชน แอมโมเนีย ยูเรีย และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด เป็นของเสยทร่างกาย
่
ี่
ี
้
ึ
่
จ าเป็นต้องก าจดออกภายนอก ดังนั้น ร่างกายจงตองมีระบบขับถ่าย เพื่อก าจดของเสยเหลานี้ออกจากร่างกาย การก าจด
ั
ั
ั
ของเสียออกจากร่างกาย เรียกว่า การขับถ่าย
ิ
ั
(2) ครูอธิบายเพิ่มเตมเกี่ยวกับการก าจดของเสยทางไตให้นักเรียนเข้าใจว่า ไตของมนุษย์มี 2 ข้าง โดยอยู่ข้างซ้าย
ี
ี่
ี่
และขวาข้างละ 1 ไต ทาหน้าทกรองของเสยทอยู่ในเลอดและขับออกมาในรูปของปัสสาวะ นอกจากนี้ยังทาหน้าทรักษา
ี
ื
ี่
สมดุลของน้ าและสารต่างๆ ในร่างกาย
138
้
ุ
ภายในไตประกอบดวยหน่วยไตเล็ก ๆ จ านวนมากมาย และมีหลอดเลือดฝอยเป็นกระจกกระจายอยู่ภายใน เลอด
ื
จะเข้าสไตโดยผานหลอดเลอดแดง ซึ่งจะลาเลยงสารทงทมีประโยชน์และไม่มีประโยชน์เข้าสหน่วยไต เพื่อให้หน่วยไตทา
ี
ั้
ี่
ื
ู่
ู่
่
หน้าที่กรองสารที่มีอยู่ในเลือด
่
่
ื
สารบางชนิดที่เป็นประโยชน์ตอร่างกาย เชน น้ าตาลกลูโคส กรดแอมิโน รวมทงน้ าบางสวนจะถูกดูดซึมกลบคนส ู่
ั้
ั
่
หลอดเลือดฝอย และเข้าสู่หลอดเลือดด าซึ่งเป็นหลอดเลือดที่น าเลือดเข้าสู่หัวใจ ส่วนของเสียอื่นๆ เช่น น้ าบางสวน ยูเรีย ซึ่ง
่
เป็นสารทร่างกายไม่ต้องการจะถูกส่งต่อไปทท่อรวมไปสกรวยไต ทอไต และกระเพาะปัสสาวะ และถูกขับออกจากร่างกาย
ี่
่
ู่
ี่
ทางท่อปัสสาวะในรูปของปัสสาวะต่อไป
(3) ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการตรวจสอบปัสสาวะให้นักเรียนเข้าใจว่า ในปัสสาวะนอกจากจะมีน้ า ยูเรีย และ
้
ี่
่
ื
ู
ของเสียอื่นๆ ทร่างกายไม่ตองการแล้ว บางครั้งเราอาจพบสารบางชนิด เชน น้ าตาลกลโคส โปรตีนบางชนิด และเม็ดเลอด
้
ิ
ิ
ั
่
ิ
แดงปะปนมากับปัสสาวะดวย ซึ่งสารเหลานี้เกิดจากไตทางานผดปกต ทาให้การกรองสารตางๆ ผดปกตได ดงนั้น การ
ิ
้
่
ตรวจสอบปัสสาวะจึงเป็นการตรวจสอบเบื้องต้นเกี่ยวกับการท างานของไต
(4) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน ปฏิบัติกิจกรรม สืบค้นข้อมูลการก าจัดของเสียทางไต ตามขั้นตอน ดังนี้
– สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับการก าจัดของเสียทางไต โดยค้นคว้าในประเด็นต่างๆ ต่อไปนี้
การก าจัดของเสียทางไต
ชนิดของสารที่ถูกก าจัดทางไต
– น าข้อมูลที่ได้มาอภิปรายร่วมกัน แล้วน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(5) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
ิ
ิ
ิ
่
(6) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
– ไตของคนเราท าหน้าที่อะไร (แนวค าตอบ กรองของเสียออกจากเลือด และรักษาสมดุลของน้ าและสารต่างๆ
ในร่างกาย)
– ส่วนที่ท าหน้าที่กรองสารภายในไตเรียกว่าอะไร (แนวค าตอบ หน่วยไต)
– ถ้าไตทางานผดปกตจะพบสารใดในปัสสาวะ (แนวคาตอบ น้ าตาลกลโคส โปรตนบางชนิด และเม็ดเลอด
ี
ู
ิ
ื
ิ
แดง)
ิ
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า ระบบขับถายในมนุษย์มี
่
ี่
ื
ี่
ื
ไตทาหน้าทก าจัดของเสียที่อยู่ในเลอดออกจากร่างกาย โดยมีหน่วยไตจ านวนมากทาหน้าทกรองของเสียออกจากเลอดและ
ั
ู่
ั
ดูดซึมสารที่มีประโยชน์กลบคืนสหลอดเลือด ส่วนของเหลวที่เหลืออื่นๆ เชน น้ าบางส่วนและยูเรียจะถูกขบออกจากร่างกาย
่
ในรูปของปัสสาวะ
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
ั
ี่
ื
ั
ุ
(1) ครูอธิบายเรื่องน่ารู้ เรื่องโกลเมอรูลสให้นักเรียนเข้าใจว่า โกลเมอรูลสเป็นกระจุกหลอดเลอดฝอยทบรรจอยู่ใน
ี่
ื่
ั
เบาว์แมนสแคปซูล ผนังของโกลเมอรูลสทาหน้าทกรองของเสยออกจากเลอดให้เข้าสเบาว์แมนสแคปซูล และเคลอนทไป
์
ี่
ู่
์
ี
ื
ตามท่อหน่วยไตเข้าสู่ท่อรวม กรวยไต ท่อไต และสะสมในกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งเรียกของเหลวนี้ว่า ปัสสาวะ
139
้
่
(2) นักเรียนคนคว้าค าศัพทภาษาตางประเทศเกี่ยวกับการก าจัดของเสียทางไต จากหนังสือเรียนภาษาต่างประเทศ
์
หรืออินเทอร์เน็ต และน าเสนอให้เพื่อนฟัง คัดค าศัพท์พร้อมทั้งค าแปลลงสมุดส่งครู
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
ุ
ี่
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
็
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
– ร่างกายก าจัดของเสียออกทางใด (แนวค าตอบ ผิวหนัง การหายใจ และไต)
– ผิวหนังท าหน้าที่ก าจัดของเสียในรูปใด (แนวค าตอบ เหงื่อ)
ี่
ุ
– เพราะเหตใดปัสสาวะของคนทเป็นโรคเบาหวานจงมีน้ าตาลกลโคสปนอยู่ดวย (แนวคาตอบ เพราะ
ู
้
ึ
ั
ี่
ึ
โรคเบาหวานเกิดจากความผดปกตของตบอ่อนทไม่สามารถควบคมระดบน้ าตาลกลโคสในเลอดให้เป็นปกตได ไตจงไม่
ั
ิ
ื
ู
ิ
้
ิ
ุ
ู่
ู
ี่
ื
้
สามารถดดซึมน้ าตาลกลโคสกลบคนสหลอดเลอดไดหมด ทาให้ปัสสาวะของคนทเป็นโรคเบาหวานมีน้ าตาลกลโคสปนอยู่
ู
ู
ั
ื
ด้วย)
ขั้นสรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับการก าจัดของเสียทางไต โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์
10. สื่อการเรียนร ู้
1. ใบกิจกรรม สืบค้นข้อมูลการก าจัดของเสียทางไต
2. หนังสือเรียนภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต
3. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
4. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1
่
5. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
ี่
6. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
ั
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้
ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
1. ซักถามความรู้เรื่องการก าจัดของเสีย 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
ิ
ทางไต รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ สังเกตการท างานกลุ่ม
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ 2. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน 2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ กลุ่ม
140
บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................
2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………
ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู
141
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)
ิ
แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
มีองค์ประกอบครบ
มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................
2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้
เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
น าไปใช้ได้จริง
ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้
4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………
ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
142
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 20
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ระบบและความสัมพันธ์ในร่างกายมนุษย์ จ านวน 22 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ภาวะไตวาย เวลาสอน 1 ชั่วโมง
ู้
1. มาตรฐานการเรียนร
ิ่
ิ
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัตของสงมีชวิต หน่วยพื้นฐานของสงมีชวิต การลาเลยงสารเข้าและออกจากเซลล ์
ี
ิ่
ี
ี
ั
ั
ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าทของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ทท างานสมพันธ์กัน ความสมพันธ์ของโครงสร้าง
ี่
ี่
และหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ของพืชที่ท างานสัมพันธ์กัน รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
ั
2. ตัวชี้วดชั้นปี
ั
ี่
ิ
่
ตระหนักถึงความสาคญของระบบขับถ่ายในการก าจดของเสยทางไต โดยการบอกแนวทางในการปฏิบัตตนทชวย
ี
ั
ให้ระบบขับถ่ายท าหน้าที่ได้อย่างปกติ (ว 1.2 ม. 2/5)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายภาวะไตวายได้ (K)
2. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
4. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
5. สื่อสารและน าความรู้เรื่องภาวะไตวายไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
ภาวะไตวายเป็นอาการของไตที่ไม่สามารถท างานได้อย่างเป็นปกติ ท าให้มีการสะสมของของเสียที่อาจเป็นพิษ จนมี
ผลต่อการรักษาสมดุลของน้ าและสารต่างๆ ในร่างกายได ้
5. สาระการเรียนร ู้
ระบบขับถ่าย
– การก าจัดของเสียทางไต
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
้
4. ความสามารถในการใชทักษะ/กระบวนการและทักษะในการด าเนินชีวิต
143
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
1. สังเกตอวัยวะของระบบอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย
2. สืบค้นข้อมูลภาวะไตวาย
ิ
9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูให้นักเรียนทบทวนความรู้เดิมที่ได้เรียนรู้มาแล้วโดยใช้ค าถามต่อไปนี้
– สารชนิดใดที่ถูกก าจัดออกจากร่างกายทางไต (แนวค าตอบ น้ า ยูเรีย และคลอไรด์)
– ถ้าไตท างานปกติจะไม่พบสารใดในปัสสาวะ (แนวค าตอบ โปรตีน น้ าตาลกลูโคส และกรดแอมิโน)
2) นักเรียนร่วมกันตอบค าถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับค าตอบ เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้เรื่อง ภาวะไต
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
้
ื
ั
ั้
ั
้
(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
– อาการของไตที่ไม่สามารถท างานได้อย่างเป็นปกติเรียกว่าอะไร (แนวค าตอบ ภาวะไตวาย)
– ถ้าไตของคนเราผิดปกติจะส่งผลต่อปริมาณการสะสมของเสียในร่างกายอย่างไร (แนวค าตอบ ท าให้ปริมาณ
การสะสมของเสียในร่างกายเพิ่มขึ้น)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)
้
่
ึ
(1) ครูให้นักเรียนศกษาเรื่องภาวะไตวาย จากใบความรู้หรือในหนังสือเรียน โดยครูชวยอธิบายให้นักเรียนเขาใจว่า
ภาวะไตวายเปนอาการของไตที่ไม่สามารถท างานไดอย่างเป็นปกติ ทาให้มีการสะสมของของเสยที่อาจเป็นพิษ จนมีผลตอ
้
็
ี
่
การรักษาสมดุลของน้ าและสารต่างๆ ในร่างกายได้
ิ
ื้
ี
ื
ู
สาเหตของภาวะไตวายอาจเกิดจากการตดเชออย่างรุนแรง การสญเสยเลอดเป็นจานวนมาก หรือการเป็น
ุ
โรคเบาหวานเป็นเวลานาน ๆ
ภาวะไตวายรักษาดวยการควบคุมชนิดและปริมาณของอาหารที่รับประทาน การใช้ยาควบคุมการติดเชื้อ การผ่าตด
ั
้
เปลี่ยนไตหรือปลูกถ่ายไต และรักษาด้วยการฟอกเลือดโดยใช้ไตเทียม
ี
ี่
ี่
(2) ครูอธิบายเรื่องน่ารู้ เรื่องไตเทยมให้นักเรียนเข้าใจว่า ไตเทยม เป็นเครื่องมือทสร้างขึ้นเพื่อทาหน้าทแทนไต
ี
้
่
ี่
้
ื่
ประกอบดวยแผนเยื่อเซลโลเฟน ซึ่งเป็นเยอบางๆ หรือเยื่อเลอกผานทยอมให้สารโมเลกุลขนาดเลกผ่านออกมาได แตสาร
่
่
็
ื
้
โมเลกุลขนาดใหญ่ผานออกมาไม่ได ปัจจบันเยื่อนี้ไดมีการพัฒนาโดยผลตมาจากเซลลโลส หลักการท างานของเครื่องมือนี้
ู
่
้
ุ
ิ
่
คือ การน าเลอดของผป่วยจากหลอดเลอดแดงบริเวณแขนให้ไหลเขาไปในเครื่องไตเทยม เลอดจะผานเยื่อเซลโลเฟน ของ
ื
ู้
้
ื
ี
ื
ั
้
ี
็
ื
ี่
่
้
ี
เสยทอยู่ในเลอดซึ่งมีโมเลกุลเลกจะผานเยื่อเซลโลเฟนออกมาดวย ท าให้ของเสยในเลือดมีปริมาณลดลงจนเขาสู่ระดบปกต ิ
จากนั้นเลือดจะไหลกลับเข้าสู่ร่างกายทางหลอดเลือดด าบริเวณแขนเช่นเดียวกัน
(3) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน ปฏิบัติกิจกรรม สังเกตอวัยวะของระบบอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย ตามขั้นตอน
144
่
ื
ื
– เลอกภาพอวัยวะของระบบอวัยวะตางๆ จากรูปมาประกอบเป็นระบบหมุนเวียนเลอด ระบบหายใจ และ
ระบบขับถ่ายในภาพร่างกายของมนุษย์
การสังเกตอวัยวะของระบบอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย
– เขียนเส้นชี้อวัยวะของระบบต่างๆ พร้อมทั้งระบุชื่อของอวัยวะแต่ละอวัยวะในแต่ละระบบ
(4) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
(5) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน
่
ิ
ิ
ิ
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
ึ
– เพราะเหตุใดเลือดจงไหลไปตามหลอดเลือดแล้วไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ (แนวค าตอบ เพราะร่างกาย
ของมนุษย์มีหัวใจ ซึ่งทาหน้าทเสมือนเครื่องสูบฉด ท าให้เกิดแรงดนให้เลอดไหลไปตามหลอดเลือดและไปยังส่วนต่างๆ ของ
ี
ี่
ื
ั
ร่างกายได้)
ี่
– แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ที่ได้จากกระบวนการหายใจนั้นก่อนทจะถูกขับออกจากร่างกายจะต้องผ่านขั้นตอน
ี่
ู่
ใดบ้าง (แนวคาตอบ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ทได้จากกระบวนการหายใจจะแพร่ออกจากเซลล์ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์เข้าสหลอด
้
ู
่
้
เลือดและละลายอยู่ในเลือด แล้วถูกล าเลียงไปยังปอด แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งมีความเขมขนสงจะถูกปลอยออกมาและ
แพร่เข้าสู่ถุงลมในปอด แล้วล าเลียงผ่านหลอดลมออกสู่ภายนอกทางลมหายใจออก)
– โครงสร้างของไตที่ท าหน้าที่กรองสารที่มีอยู่ในหลอดเลือดคืออะไร (แนวค าตอบ หน่วยไต)
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า ระบบอวัยวะต่างๆ แต่ละ
ระบบมีอวัยวะภายในแตกต่างกันและทาหน้าที่แตกต่างกัน ซึ่งระบบอวัยวะต่างๆ ในร่างกายของมนุษย์ท างานประสานกัน
ได ้
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
้
ครูให้นักเรียนสืบคนข้อมูลเกี่ยวกับภาวะไตวาย จากหนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับ
เยาวชน หรืออินเทอร์เน็ตแล้วน าข้อมูลที่ได้มาน าเสนอหน้าห้องเรียน
145
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
ุ
ี่
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
็
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม
ขั้นสรุป
1) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับภาวะไตวาย โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์
ั
ั่
2) ครูมอบหมายให้นักเรียนไปศกษาคนคว้าเนื้อหาของบทเรียนชวโมงหน้า เพื่อจดการเรียนรู้ครั้งตอไป โดยให้
้
ึ
่
นักเรียนศึกษาค้นคว้าล่วงหน้าในหัวข้อระบบประสาทและการแสดงพฤติกรรม
3) ครูให้นักเรียนเตรียมประเด็นค าถามที่สงสัยมาอย่างน้อยคนละ 1 ค าถาม เพื่อน ามาอภิปรายร่วมกันในห้องเรียน
ครั้งต่อไป
10. สื่อการเรียนร ู้
1. ใบกิจกรรม สังเกตอวัยวะของระบบอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย
2. หนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต
3. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
่
4. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1
ี่
5. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
6. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
ั
11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้
ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
ิ
1. ซักถามความรู้เรื่องภาวะ ไตวาย 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะกระบวนการทาง
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ วิทยาศาสตร์โดยใช้แบบวัด
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทาง
2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น วิทยาศาสตร์
รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ 2. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ สังเกตการท างานกลุ่ม
3. ประเมินทักษะการแก้ปัญหา
โดยการสังเกตการท างานกลุ่ม
4. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย
กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
กลุ่ม
146
บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน
1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................
2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………
ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู
147
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)
ิ
แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
มีองค์ประกอบครบ
มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................
2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้
เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
น าไปใช้ได้จริง
ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้
4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………
ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
148
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 21
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา
รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ระบบและความสัมพันธ์ในร่างกายมนุษย์ จ านวน 22 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ส่วนต่างๆ ของระบบประสาท เวลาสอน 1 ชั่วโมง
1. มาตรฐานการเรียนร
ู้
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัตของสงมีชวิต หน่วยพื้นฐานของสงมีชวิต การลาเลยงสารเข้าและออกจากเซลล ์
ิ
ิ่
ี
ี
ิ่
ี
ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าทของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ทท างานสมพันธ์กัน ความสมพันธ์ของโครงสร้าง
ี่
ี่
ั
ั
และหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ของพืชที่ท างานสัมพันธ์กัน รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
ั
2. ตัวชี้วดชั้นปี
่
ี่
ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าทของอวัยวะในระบบประสาทสวนกลางในการควบคมการทางานตางๆ ของร่างกาย
่
ุ
(ว 1.2 ม. 2/10)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายหน้าที่ของอวัยวะในระบบประสาทได้ (K)
2. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
4. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
่
้
5. สื่อสารและน าความรู้เรื่องสวนต่างๆ ของระบบประสาทไปใชในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
ระบบประสาทท าหน้าที่ควบคมและส่งความรู้สึกไปยังอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย ประกอบด้วยสมองและไขสันหลง
ุ
ั
โดยที่บริเวณไขสันหลังจะมีเส้นประสาทแผ่ขยายออกไปทั่วร่างกาย
5. สาระการเรียนร ู้
ระบบประสาทและการแสดงพฤติกรรม
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
้
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
สืบค้นข้อมูลเซลล์ประสาท