The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by prasopchock.pra, 2021-06-10 05:47:28

แผนการจัดการเรียนการสอนวิทย์พื้นฐาน ม.2

349


ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย


ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)

แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
 มีองค์ประกอบครบ

 มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................

2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้

 เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
 ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป

3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่

 น าไปใช้ได้จริง
 ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้


4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………






ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา

350


แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 54
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา

รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 แรงและการเคลื่อนที่ จ านวน 28 ชั่วโมง

แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ปริมาณที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ของวัตถ เวลาสอน 1 ชั่วโมง


1. มาตรฐานการเรียนร
ู้
ี่
มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชวิตประจาวัน ผลของแรงทกระทาตอวัตถุ ลกษณะการเคลอนทแบบ


ื่
ี่



ต่างๆ ของวัตถุ รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
2. ตัวชี้วดชั้นปี

s  
s

ื่
อธิบายและคานวณอัตราเร็วและความเร็วของการเคลอนทของวัตถุ โดยใชสมการ v = และ v = จาก

ี่
t t
หลักฐานเชิงประจักษ์ (ว 2.2 ม. 2/14)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายความหมายของปริมาณสเกลาร์และปริมาณเวกเตอร์ได้ (K)
2. อธิบายความแตกต่างระหว่างปริมาณสเกลาร์และปริมาณเวกเตอร์ได้ (K)
3. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
4. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
5. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
6. สื่อสารและน าความรู้เรื่องปริมาณที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนทของวัตถุไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ (P)
ี่
4. สาระส าคัญ
ปริมาณที่เกี่ยวข้องกับการเคลอนที่ของวัตถุมีทงปริมาณสเกลาร์ซึ่งเปนปริมาณทมีเฉพาะขนาด เชน ระยะทางและ


ื่
ี่
ั้
อัตราเร็ว และปริมาณเวกเตอร์ซึ่งเป็นปริมาณที่มีทั้งขนาดและทิศทาง เช่น การกระจัดและความเร็ว
5. สาระการเรียนร ู้
การเคลื่อนท ี่
– ปริมาณที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ของวัตถ ุ

6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์
7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน

1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี


351


8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
สืบค้นข้อมูลปริมาณที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ของวัตถ ุ


9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้

ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน

ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน

1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น




– การเดนทางจากทาอากาศยานสวรรณภูมิไปยังทาอากาศยานภูเก็ตโดยใชเครื่องบินโดยสารกับใชรถยนต ์




โดยสาร นักเรียนคิดว่าการใช้ยานพาหนะใดถึงเร็วกว่า เพราะอะไร (แนวคาตอบ เครื่องบินโดยสาร เพราะการเดนทางโดย




ี่
ื่

ใชเครื่องบินโดยสารมีระยะทางน้อยกว่าการเดนทางโดยใชรถยนตโดยสาร นอกจากนี้เครื่องบินโดยสารยังเคลอนทไดเร็ว
กว่ารถยนต์โดยสารอีกด้วย)
ู่
2) นักเรียนร่วมกันตอบค าถามและแสดงความคดเห็นเกี่ยวกับค าตอบ เพื่อเชื่อมโยงไปสการเรียนรู้เรื่อง ปริมาณท ี่

เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ของวัตถ ุ
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้




ั้
จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน

(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
ื่

ื่

ี่
ี่
ื่


(1) ครูให้นักเรียนดรูปหรือสอมัลตมีเดยทแสดงให้เห็นถึงการเคลอนทของยานพาหนะ 2 ชนิด เชน การเคลอนท ี่
ของรถยนต์และรถจักรยาน แล้วให้นักเรียนร่วมกันอภิปราย ดังนี้
ั้


– ถ้าต้องการอธิบายและเปรียบเทยบการเคลอนที่ของยานพาหนะทงสอง ตองพิจารณาจากปริมาณใด (แนว
ื่
ค าตอบ ระยะทาง การกระจัด เวลาที่ใช้ในการเคลื่อนที่ของวัตถุ อัตราเร็ว และความเร็ว)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)


(1) ครูให้นักเรียนศกษาเรื่องแรง จากใบความรู้หรือในหนังสอเรียน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า แรง

(force) ในทางวิทยาศาสตร์ หมายถง สิ่งที่ทาให้วัตถุเกิดการเปลี่ยนรูปร่างหรือเปลี่ยนสภาพการเคลื่อนท เช่น เมื่อออกแรง

ี่

ี่

ื่
ี่

ี่
ื่


ี่

กระทาตอวัตถุทหยุดนิ่งจะทาให้วัตถุเคลอนทหรือทาให้วัตถุทก าลงเคลอนทมีความเร็วเพิ่มขึ้น ชาลง หยุดนิ่ง หรืออาจ
เปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ได ้
(2) ครูแบ่งนักเรียนกลมละ 5 – 6 คน สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับแรง ตามขั้นตอนดังนี้
ุ่


ุ่



ุ่


ี่

– แตละกลมวางแผนการสบคนข้อมูล โดยแบ่งหัวข้อย่อยให้เพื่อนสมาชกชวยกันสบคนตามทสมาชกกลม
ช่วยกันก าหนดหัวข้อย่อย เช่น ความหมายของแรง หน่วยของแรง และผลที่เกิดจากแรงกระท าต่อวัตถุ

ุ่
– สมาชกกลมแตละคนหรือกลมย่อยชวยกันสบคนข้อมูลตามหัวข้อย่อยทตนเองรับผดชอบ โดยการสบคน





ี่
ุ่


จากหนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต
ี่
ุ่
ุ่

ั้


– สมาชกกลมน าข้อมูลทสืบคนได้มารายงานให้เพื่อนๆ สมาชกในกลมฟัง รวมทงร่วมกันอภิปรายซักถามจน
คาดว่าสมาชิกทุกคนมีความรู้ความเข้าใจที่ตรงกัน




– สมาชิกกลุ่มช่วยกันสรุปความรู้ที่ได้ทั้งหมดเปนผลงานของกลุ่ม และชวยกันจดท ารายงานการศกษาค้นคว้า
เกี่ยวกับแรง

352


(3) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม


(4) ครูคอยแนะน าช่วยเหลอนักเรียนขณะปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเดินดรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน
ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น

– ปริมาณสเกลาร์คืออะไร (แนวค าตอบ ปริมาณที่มีเฉพาะขนาด)
– ปริมาณเวกเตอร์คืออะไร (แนวค าตอบ ปริมาณที่มีทั้งขนาดและทิศทาง)
ี่
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัตกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า ปริมาณทเกี่ยวข้องกับ

ื่
ี่
ั้
การเคลอนที่ของวัตถุมีทั้งปริมาณสเกลาร์ซึ่งเป็นปริมาณทมีเฉพาะขนาด และปริมาณเวกเตอร์ซึ่งเป็นปริมาณทมีทงขนาด
ี่
และทิศทาง
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
(1) ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้สญลกษณ์แทนปริมาณสเกลาร์และปริมาณเวกเตอร์ ให้นักเรียนเข้าใจว่า การ




ใชสญลกษณแทนปริมาณสเกลาร์และปริมาณเวกเตอร์แตกตางกัน จงเขียนสญลักษณของปริมาณสเกลาร์ให้แตกตางจาก







ปริมาณเวกเตอร์ เช่น
– การใช้ตัวอักษรทึบ เช่น A แทนปริมาณสเกลาร์ และ A แทน ปริมาณเวกเตอร์





– การใชเครื่องหมาย “ ⇀ ” เขียนไว้บนสญลกษณของปริมาณเวกเตอร์ เชน A แทนปริมาณสเกลาร์ และ
แทนปริมาณเวกเตอร์
ี่

(2) นักเรียนค้นคว้าค าศัพท์ภาษาตางประเทศเกี่ยวกับปริมาณที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนทของวัตถ จากหนังสือเรียน

ภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต และน าเสนอให้เพื่อนฟัง คัดค าศัพท์พร้อมทั้งค าแปลลงสมุดส่งครู
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)

(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
ี่
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่

ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น

ี่
ื่
ี่
ี่
– ขณะทวัตถุก าลงเคลอนทในแนวตรงมีปริมาณใดเกิดขึ้น (แนวคาตอบ ปริมาณทเกิดขึ้นในขณะทวัตถุ
ี่

เคลื่อนที่ คือ ระยะทาง การกระจัด เวลาที่ใช้ในการเคลื่อนที่ อัตราเร็ว และความเร็ว)
– ปริมาณสเกลาร์แตกต่างจากปริมาณเวกเตอร์หรือไม่ อย่างไร (แนวค าตอบ แตกต่างกัน โดยปริมาณสเกลาร์
เป็นปริมาณที่มีเฉพาะขนาด ส่วนปริมาณเวกเตอร์เป็นปริมาณที่มีทั้งขนาดและทิศทาง)
ขั้นสรุป
ื่
ี่
ี่
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับปริมาณทเกี่ยวข้องกับการเคลอนทของวัตถุ โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนท ี่
ความคิดหรือผังมโนทัศน์

353


10. สื่อการเรียนร ู้
1. หนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต

2. หนังสือเรียนภาษาต่างประเทศ
3. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1

4. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1
5. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
ี่
6. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1

11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้

ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)
1. ซักถามความรู้เรื่องปริมาณที่เกี่ยวข้อง 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะการคิดโดยการ

กับการเคลื่อนที่ของวัตถ ุ รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ สังเกตการท างานกลุ่ม
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ 2. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน 2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย

รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน

วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ กลุ่ม

354


บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน

1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................


2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………


3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………


4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………


ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………


ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………






ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู

355


ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย


ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)

แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
 มีองค์ประกอบครบ

 มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................

2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้

 เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
 ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป

3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่

 น าไปใช้ได้จริง
 ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้


4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………






ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา

356


แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 55
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา

รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 แรงและการเคลื่อนที่ จ านวน 28 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ระยะทางและการกระจัด เวลาสอน 1 ชั่วโมง


1. มาตรฐานการเรียนร
ู้

มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชวิตประจาวัน ผลของแรงทกระทาตอวัตถุ ลกษณะการเคลอนทแบบ
ื่
ี่



ี่

ต่างๆ ของวัตถุ รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์

2. ตัวชี้วดชั้นปี
s
s  
1. อธิบายและค านวณอัตราเร็วและความเร็วของการเคลื่อนที่ของวัตถุ โดยใชสมการ v = และ v = จาก

t t
หลักฐานเชิงประจักษ์ (ว 2.2 ม. 2/14)
2. เขียนแผนภาพแสดงการกระจัดและความเร็ว (ว 2.2 ม. 2/15)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายและค านวณระยะทางและการกระจัดของวัตถุได้ (K)
2. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
4. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)

5. สื่อสารและน าความรู้เรื่องระยะทางและการกระจัดไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
ระยะทางเป็นระยะทวัตถุเคลอนทไดจริงตามเสนทางทงหมด ระยะทางเป็นปริมาณสเกลาร์ทมีเฉพาะขนาดเพียง

ี่
ั้

ี่
ี่
ื่
อย่างเดียว สวนการกระจัดเป็นระยะในแนวตรงจากต าแหน่งเริ่มต้นถึงต าแหน่งสุดทาย โดยไม่สนใจระหว่างทาง การกระจด



เป็นปริมาณเวกเตอร์ที่มีทั้งขนาดและทิศทาง โดยมีทิศทางจากต าแหน่งเริ่มต้นไปยังต าแหน่งสุดท้าย
5. สาระการเรียนร ู้
การเคลื่อนท ี่
– ปริมาณที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ของวัตถ ุ
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์

7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร

2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี


357


8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
สืบค้นข้อมูลระยะทางและการกระจัด


9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้


ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน

1) ครูให้นักเรียนทบทวนความรู้เดิมที่ได้เรียนรู้มาแล้ว โดยใช้ค าถามต่อไปนี้
ี่

– ปริมาณที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ของวัตถุมอะไรบ้าง (แนวค าตอบ ระยะทาง การกระจด เวลาทใช้ในการ

เคลื่อนที่ อัตราเร็ว และความเร็ว)
– ปริมาณที่ใช้ในการบอกระยะที่วัตถุเคลื่อนที่ได้มีอะไรบ้าง (แนวค าตอบ ระยะทางและการกระจัด)

ื่
2) นักเรียนร่วมกันตอบค าถามและแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับค าตอบ เพื่อเชอมโยงไปสู่การเรียนรู้เรื่อง ระยะทาง
และการกระจัด
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้

จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน


ั้


(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
– ระยะทางและการกระจัดแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร (แนวค าตอบ แตกต่างกัน โดยระยะทางเป็นปริมาณส
เกลาร์ ซึ่งเป็นปริมาณที่มีเฉพาะขนาด ส่วนการกระจัดเป็นปริมาณเวกเตอร์ ซึ่งเป็นปริมาณที่มีทั้งขนาดและทิศทาง)

(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเหนของแต่ละคน

2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)




(1) ครูให้นักเรียนศกษาเรื่องระยะทางและการกระจด จากใบความรู้หรือในหนังสอเรียน โดยครูชวยอธิบายให้
นักเรียนเขาใจว่า ระยะทาง (distance) คือ ระยะที่วัตถุเคลื่อนที่ได้จริงตามเสนทางทั้งหมด ระยะทางเป็นปริมาณสเกลาร์ท ี่


มีเฉพาะขนาด และการกระจัด (displacement) เป็นปริมาณเวกเตอร์ทมีขนาดเท่ากับระยะในแนวตรงจากต าแหน่งเริ่มตน

ี่


ถึงตาแหน่งสุดท้าย โดยไม่สนใจระหว่างทาง การกระจัดมีทิศทางจากต าแหน่งเริ่มต้นไปยังตาแหน่งสุดท้าย การกระจัดจึงมี
ทั้งขนาดและทิศทาง
(2) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับระยะทางและการกระจัด ตามขั้นตอนดังนี้


ี่

ุ่




ุ่
– แตละกลมวางแผนการสบคนข้อมูล โดยแบ่งหัวข้อย่อยให้เพื่อนสมาชกชวยกันสบคนตามทสมาชกกลม

ช่วยกันก าหนดหัวข้อย่อย เช่น ระยะทาง หน่วยของระยะทาง การกระจัด และหน่วยของการกระจัด
ุ่
ี่


ุ่
– สมาชกกลมแตละคนหรือกลมย่อยชวยกันสบคนข้อมูลตามหัวข้อย่อยทตนเองรับผดชอบ โดยการสบคน






จากหนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต
ุ่

– สมาชกกลมน าข้อมูลทสืบคนได้มารายงานให้เพื่อนๆ สมาชกในกลมฟัง รวมทงร่วมกันอภิปรายซักถามจน


ุ่
ี่
ั้
คาดว่าสมาชิกทุกคนมีความรู้ความเข้าใจที่ตรงกัน




– สมาชิกกลุ่มช่วยกันสรุปความรู้ที่ได้ทั้งหมดเปนผลงานของกลุ่ม และชวยกันจดท ารายงานการศกษาค้นคว้า
เกี่ยวกับระยะทางและการกระจัด
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลทได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
ี่

358




(4) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน


ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น
– ระยะทางคออะไร และมีหน่วยเป็นอะไร (แนวคาตอบ ระยะทาง คอ ระยะทวัตถุเคลอนทไดจริงตาม

ื่

ี่

ี่

เส้นทางโดยไม่ค านึงถึงทิศทางในการเคลื่อนที่ มีหน่วยเป็นเมตร)

– การกระจัดคืออะไร และมีหน่วยเปนอะไร (แนวค าตอบ การกระจด คือ ระยะทางในแนวตรงจากต าแหน่ง

เริ่มต้นถึงต าแหน่งสุดท้าย โดยค านึงถึงทิศทางในการเคลื่อนที่ มีหน่วยเป็นเมตร)

ี่

(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเขาใจว่า ปริมาณทใชในการบอก

ี่
ั้

ี่
ระยะที่วัตถุเคลื่อนทมีทงปริมาณสเกลาร์ทมีเฉพาะขนาด เช่น ระยะทาง และปริมาณเวกเตอร์ที่มีทั้งขนาดและทศทาง เชน
การกระจัด
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
(1) ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการค านวณหาการกระจัดโดยใช้ทฤษฎีบทพีทาโกรัส ให้นักเรียนเข้าใจว่า การหา
การกระจัดของวัตถุท าได้หลายวิธี เช่น การวัดด้วยเครื่องมือวัดและการค านวณโดยใช้ทฤษฎีบทพีทาโกรัสซึ่งสามารถ

น ามาใช้คานวณหาการกระจัดของวัตถุในกรณีทสามารถเขียนเป็นสามเหลี่ยมมุมฉากได้ เช่น จากรูป ABC เป็นสามเหลี่ยม
ี่
มุมฉาก โดย c แทนความยาวของด้านตรงข้ามมุมฉาก a และ b แทนความยาวของด้านประกอบมุมฉาก จะได ้
ความสัมพันธ์ของความยาวทั้ง 3 ด้าน ดังนี้















2
2
c = a + b
2
ถ้าก าหนดให้ a มีความยาวเท่ากับ 9 เมตร และ b มีความยาวเท่ากับ 12 เมตร
2

จะได c = 9 + 12
2
2
c = 81 + 144
2
c = 225
2
c = 225
c = 15

ดังนั้น c มีความยาวเทากับ 15 เมตร

359


(2) ครูยกตัวอย่างโจทย์การค านวณระยะทางและการกระจัด เพื่อให้นักเรียนได้ลงมือท าและฝึกทักษะการคิด
ค านวณ โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจหลักการค านวณระยะทางและการกระจัดว่า ระยะทางสามารถค านวณได้โดยการน า



ระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ได้ในแตละส่วนมารวมกัน โดยไม่ต้องน าทิศทางมาคด ส่วนการกระจัดสามารถค านวณได้โดยใช ้
ทฤษฎีบทพีทาโกรัส ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ตัวอย่าง ฟ้าใสเดินไปทางทศตะวันตกเป็นระยะทาง 800 เมตร และเดินต่อไปทางทิศใต้อีก 600 เมตร ดังแผนภาพ

จงหาระยะทางและการกระจัดในการเดินของฟ้าใส พร้อมทั้งเขียนแผนภาพแสดงทิศทางของการกระจัดในการเดินของฟ้า

ใส
















วิธีค านวณ
– ค านวณหาระยะทาง

ระยะทาง (s) = 800 เมตร + 600 เมตร
= 1,400 เมตร หรือ 1.4 กิโลเมตร

ดังนั้น ระยะทางในการเดินของฟ้าใสมีค่าเทากับ 1,400 เมตร หรือ 1.4 กิโลเมตร
– ค านวณหาการกระจด


2
การกระจัด ( s ) = 800  600 เมตร
2
= 1,000 เมตร หรือ 1 กิโลเมตร
ดังนั้น การกระจัดในการเดินของฟ้าใสมีค่าเท่ากับ 1,000 เมตร หรือ 1 กิโลเมตรและมีทิศจากต าแหน่งเริ่มต้นไปยัง
ต าแหน่งสุดท้าย ดังแผนภาพ

360



(3) นักเรียนคนคว้าคาศพทภาษาตางประเทศเกี่ยวกับระยะทางและการกระจด จากหนังสอเรียนภาษาตางประเทศ







หรืออินเทอร์เน็ต และน าเสนอให้เพื่อนฟัง คัดค าศัพท์พร้อมทั้งค าแปลลงสมุดส่งครู
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
ี่

(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่

ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
– “ระยะทางและการกระจดเป็นปริมาณเวกเตอร์” นักเรียนเห็นด้วยกับค ากลาวข้างตนหรือไม่ เพราะอะไร




ี่

(แนวคาตอบ ไม่เห็นดวย เพราะระยะทางเป็นปริมาณสเกลาร์ไม่ใชปริมาณเวกเตอร์ เนื่องจากระยะทางเป็นปริมาณทมี

เฉพาะขนาดไม่มีทิศทาง)

ขั้นสรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับระยะทางและการกระจัด โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์
10. สื่อการเรียนร ู้
1. หนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต

2. หนังสือเรียนภาษาต่างประเทศ
3. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1
4. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1

ี่
5. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
6. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1

11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้

ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)

1. ซักถามความรู้เรื่องระยะทางและการ 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะการคิดโดยการ

กระจัด รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ สังเกตการท างานกลุ่ม
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ 2. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน 2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย


รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน

วัดเจตคติตอวิทยาศาสตร์ กลุ่ม

361


บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน

1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................


2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………


3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………


4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………


ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………


ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………






ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู

362


ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย


ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)

แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
 มีองค์ประกอบครบ

 มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................

2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้

 เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
 ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป

3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่

 น าไปใช้ได้จริง
 ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้


4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………






ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา

363


แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 56
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา

รายวิชา ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 แรงและการเคลื่อนที่ จ านวน 28 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง อัตราเร็วและความเร็ว เวลาสอน 2 ชั่วโมง


ู้
1. มาตรฐานการเรียนร
ี่
ื่


มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชวิตประจาวัน ผลของแรงทกระทาตอวัตถุ ลกษณะการเคลอนทแบบ



ี่
ต่างๆ ของวัตถุ รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์
2. ตัวชี้วดชั้นปี

s  
s
1. อธิบายและค านวณอัตราเร็วและความเร็วของการเคลื่อนที่ของวัตถุ โดยใชสมการ v = และ v = จาก

t t
หลักฐานเชิงประจักษ์ (ว 2.2 ม. 2/14)
2. เขียนแผนภาพแสดงการกระจัดและความเร็ว (ว 2.2 ม. 2/15)
3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
1. อธิบายและค านวณอัตราเร็วและความเร็วในการเคลื่อนที่ของวัตถุได้ (K)
2. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
4. ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)

5. สื่อสารและน าความรู้เรื่องอัตราเร็วและความเร็วไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ (P)
4. สาระส าคัญ
s
อัตราเร็ว คอ อัตราสวนระหว่างระยะทางทเคลอนทไดกับเวลาทวัตถุใชตลอดการเคลอนท ดงสมการ v =

ี่
ื่
ี่

ี่

ื่


ี่
t

ี่
เป็นปริมาณสเกลาร์ทมีเฉพาะขนาดและมีหน่วยเป็นเมตร/วินาท ส่วนความเร็ว คือ อัตราส่วนระหว่างการกระจดกับเวลาท ี่


s

วัตถุใช้ตลอดการเคลื่อนที่ ดังสมการ v = เป็นปริมาณเวกเตอร์ที่มีทั้งขนาดและทิศทางและมีหน่วยเป็นเมตร/วินาท ี
t
5. สาระการเรียนร ู้
การเคลื่อนท ี่
– ปริมาณที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ของวัตถ ุ
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมั่นในการท างาน
4. มีจิตวิทยาศาสตร์

364


7. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร

2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
4. ความสามารถในการใชทักษะ/กระบวนการและทักษะในการด าเนินชีวิต

5. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี

8. ชิ้นงานหรือภาระงาน
สังเกตอัตราเร็วเฉลี่ยและความเร็วเฉลี่ย

9. การจัดกจกรรมการเรียนร ู้



ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐาน
ของนักเรียน
ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
1) ครูถามค าถามนักเรียนเกี่ยวกับการเดินทางมาโรงเรียนของนักเรียน เช่น
– นักเรียนเดินทางมาโรงเรียนด้วยวิธีใด (แนวค าตอบ นั่งรถโดยสารประจ าทาง)

– นักเรียนมาถึงโรงเรียนพร้อมกันกับเพื่อนหรือไม่ อย่างไร (แนวคาตอบ ไม่พร้อมกัน โดยเพื่อนถึงเร็วกว่า

เนื่องจากบ้านของเพื่อนอยู่ใกล้โรงเรียนมากกว่า)
2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับค าตอบ เพื่อเชอมโยงไปสการเรียนรู้เรื่อง อัตราเร็ว

ื่
ู่
และความเร็ว
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนร ู้




จดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชกระบวนการสบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกับแบบกลบดาน ชนเรียน
ั้

(flipped classroom) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูถามค าถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
ี่


ื่
– การบอกว่าวัตถุเคลอนทเร็วหรือชาพิจารณาจากปริมาณใด (แนวคาตอบ อัตราเร็วและความเร็วในการ
เคลื่อนที่ของวัตถุ)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาค าตอบเกี่ยวกับค าถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration)


(1) ครูให้นักเรียนศกษาเรื่องอัตราเร็วและความเร็ว จากใบความรู้หรือในหนังสอเรียน โดยครูชวยอธิบายให้

ี่
นักเรียนเข้าใจว่า อัตราเร็ว (speed) เปนปริมาณสเกลาร์ โดยอัตราเร็วเป็นอัตราส่วนของระยะทางทเคลื่อนทไดตอเวลาท ี่

ี่


s
วัตถุใช้ตลอดการเคลื่อนที่ ดังสมการ v = โดยขณะที่วัตถเคลื่อนที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงอัตราเร็วอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจง


t

นิยมบอกคาความเร็วในรูปของอัตราเร็วเฉลย (average speed) สวนความเร็ว (velocity) เป็นปริมาณเวกเตอร์ มีทศ


ี่

ื่







ี่
เดยวกับทศของการกระจด โดยความเร็วเป็นอัตราส่วนของการกระจดตอเวลาทวัตถุใชตลอดการเคลอนที่ ดงสมการ v =

s

ี่
t โดยขณะทวัตถุเคลื่อนที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงความเร็วอยู่ตลอดเวลา ดงนั้นจึงนิยมบอกค่าความเร็วในรูปของความเร็ว
เฉลี่ย (average velocity)

365


(2) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน ปฏิบัติกิจกรรม สังเกตอัตราเร็วเฉลี่ยและความเร็วเฉลี่ย ตามขั้นตอนดังนี้
ี่

ี่
– ก าหนดขนาดของรูปสามเหลยมโดยการวาดรูปสเหลี่ยมมุมฉากจาลองลงในกระดาษ ดังแผนภาพ จากนั้น
สร้างรูปสามเหลี่ยมบนพื้นห้องหรือสนามของโรงเรียน














แผนภาพแสดงตัวอย่างรูปสามเหลี่ยมมุมฉากที่สร้างขึ้น


– ให้สมาชิกแต่ละคนภายในกลมผลดกันเดินไปตามเส้นกรอบรูปสามเหลี่ยมจากจด A ไปยังจุด B และ C โดย
ุ่

ให้เพื่อนสมาชิกในกลุ่มใช้นาฬิกาจับเวลาการเดินของสมาชิกแตละคน แล้วบันทึกผล


– ด าเนินการเชนเดียวกับขั้นตอนที่ 2 แต่เปลี่ยนจากการเดินเปนวิ่ง แล้วค านวณหาอัตราเร็วเฉลยของการเดน


ี่
และวิ่ง


ุ่


– ให้สมาชกแตละคนภายในกลมผลดกันเดนไปตามเสนกรอบรูปสามเหลยมจากจด A ไปยังจด C โดยให้


ี่

เพื่อนสมาชิกในกลุ่มใช้นาฬิกาจับเวลาการเดินของสมาชิกแต่ละคน แล้วบันทึกผล


– ด าเนินการเช่นเดียวกับขั้นตอนที่ 4 แต่เปลี่ยนจากการเดินเป็นวิ่ง แลวค านวณหาความเร็วเฉลี่ยของการเดน
และวิ่ง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม


(4) ครูคอยแนะน าชวยเหลือนักเรียนขณะปฏบัตกิจกรรม โดยครูเดนดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียน


ทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวค าถาม เช่น





ี่
ี่
– อัตราเร็วเฉลยและความเร็วเฉลยของการเดนมีคาเทากันหรือไม่ อย่างไร (แนวคาตอบ ไม่เทากัน โดย
อัตราเร็วเฉลี่ยของการเดินมีค่าน้อยกว่าความเร็วเฉลี่ยของการเดิน)


ี่
– อัตราเร็วเฉลยและความเร็วเฉลยของการวิ่งมีคาเทากันหรือไม่ อย่างไร (แนวคาตอบ ไม่เทากัน โดย
ี่


อัตราเร็วเฉลี่ยของการวิ่งมีค่าน้อยกว่าความเร็วเฉลี่ยของการวิ่ง)
– ความเร็วเฉลี่ยของการเดินและการวิ่งมีทิศทางใด (แนวค าตอบ มีทิศทางจากจุด A ไปจุด C)

(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัตกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า อัตราเร็วเป็นปริมาณส
ี่
ี่
ื่
ี่


ี่
ื่
เกลาร์ ซึ่งเป็นปริมาณทใชในการอธิบายว่าวัตถุก าลงเคลอนทชาหรือเร็ว โดยขณะทวัตถุเคลอนทอาจมีการเปลยนแปลง

ี่
อัตราเร็วอยู่ตลอดเวลา ดงนั้นจงนิยมบอกคาอัตราเร็วในรูปของอัตราเร็วเฉลย สวนความเร็วเป็นปริมาณเวกเตอร์ ซึ่งเป็น


ี่



ี่
ปริมาณที่ใช้ในการอธิบายว่า วัตถุเกิดการเปลยนต าแหน่งจากต าแหน่งเริ่มต้นไปยังตาแหน่งสุดท้ายได้ช้าหรือเร็ว โดยขณะท ี่
วัตถุเคลื่อนที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงความเร็วอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงนิยมบอกค่าอัตราเร็วในรูปของความเร็วเฉลี่ย

366



4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)


(1) ครูอธิบายเรื่องน่ารู้ เรื่องมาตรวัดอัตราเร็วในรถยนตหรือรถจักรยานยนต์ ให้นักเรียนเข้าใจว่า มาตรวัดอัตราเร็ว
ี่


ี่

ื่
ในรถยนตหรือรถจักรยานยนต์เป็นเครื่องมือทระบุว่า ณ ต าแหน่งนั้นๆ รถยนตหรือรถจักรยานยนต์เคลอนทดวยอัตราเร็ว

ี่
เทาใด ดังนั้นมาตรวัดในรถยนต์หรือรถจกรยานยนตจึงเปนเครื่องมือทบอกอัตราขณะหนึ่งของรถยนต์หรือรถจักรยานยนต ์



ซึ่งถ้าพิจารณาถึงทิศทางการเคลื่อนที่ด้วยก็จะสามารถบอกความเร็วขณะหนึ่งของรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ได้ด้วย
ี่
ี่

(2) ครูยกตัวอย่างโจทย์การค านวณอัตราเร็วเฉลยและความเร็วเฉลย เพื่อให้นักเรียนไดลงมือท าและฝึกทกษะการ


คิดค านวณ โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจหลักการค านวณอัตราเร็วเฉลี่ยและความเร็วเฉลี่ยว่า อัตราเร็วเฉลี่ย เป็นอัตราสวน


ี่
ี่
ื่


ของระยะทางทเคลอนทได้ตอเวลาทวัตถุใช้ตลอดการเคลอนที่ สวนความเร็วเฉลยเป็นอัตราสวนของการกระจดตอเวลาท ี่
ื่
ี่

ี่
วัตถุใช้ตลอดการเคลื่อนที่ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ตัวอย่าง น้ าฝนเดินไปทางทิศตะวันออก 20 เมตร แล้วเดนไปทางทิศเหนือ 10 เมตร จากนั้นเดนไปทางทิศตะวันตก


20 เมตร โดยใช้เวลา 1.5 นาที น้ าฝนเดินด้วยอัตราเร็วเฉลี่ยและความเร็วเฉลี่ยเท่าใด
วิธีการค านวณ
จากโจทย์สามารถเขียนแผนภาพแสดงการเดินและทิศทางของการกระจัดของน้ าฝนได้ดังนี้


– ค านวณหาอัตราเร็วเฉลี่ยในการเดินของน้ าฝน
จากแผนภาพ ระยะทางในการเดินของน้ าฝน (s) = 20 เมตร + 10 เมตร + 20 เมตร
= 50 เมตร

เวลาที่น้ าฝนใช้ในการเดิน (t) = 1.5 นาที = 1.5 × 60 วินาที = 90 วินาท ี
s
จากสมการ v =
t
แทนค่า v = 50 เมตร
90 วินาที
 v = 0.56 เมตร/วินาท ี
ดังนั้น น้ าฝนเดินด้วยอัตราเร็วเฉลี่ย 0.56 เมตร/วินาท ี
– ค านวณหาความเร็วเฉลี่ยในการเดินของน้ าฝน

จากแผนภาพ ระยะทางในการเดินของน้ าฝน ( s ) = 10 เมตร
เวลาที่น้ าฝนใช้ในการเดิน (t) = 1.5 นาที = 1.5 × 60 วินาที = 90 วินาท ี

s
จากสมการ  v =
t

367



แทนค่า  v = 10 เมตร
90 วินาที

 v = 0.11 เมตร/วินาท ี
ดังนั้น น้ าฝนเดินด้วยความเร็วเฉลี่ย 0.11 เมตร/วินาที มีทิศทางจากจดเริ่มต้นไปยังจุดสุดท้าย


(3) ครูเชื่อมโยงความรู้เข้ากับหลักเศรษฐกิจพอเพียง โดยครูอธิบายให้นักเรียนเขาใจว่า การขับรถยนต์บนถนนควร
ขับด้วยอัตราเร็วเฉลี่ยตามที่กฎหมายก าหนด คือ ไม่เกิน 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพราะการขับรถยนต์ด้วยอัตราเร็วเฉลี่ยที่มาก

ิ้


ี่

ี่
เกินไป จะทาให้สนเปลองน้ ามันเชอเพลงมาก นอกจากนี้ขณะทจอดรถยนตอยู่กับทเป็นเวลานาน ควรดบเครื่องยนตก่อน

ื้

เพราะจะท าให้สิ้นเปลืองน้ ามันเชื้อเพลงโดยเปล่าประโยชน์ และก่อให้เกิดแก๊สพิษซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพได ้


(4) นักเรียนคนคว้าคาศพทภาษาต่างประเทศเกี่ยวกับความเร็วและอัตราเร็ว จากหนังสอเรียนภาษาตางประเทศ




หรืออินเทอร์เน็ต และน าเสนอให้เพื่อนฟัง คัดค าศัพท์พร้อมทั้งค าแปลลงสมุดส่งครู
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยัง

ี่
มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง

(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหนเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการน าความรู้ท ี่
ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบค าถาม เช่น
– อัตราเร็วและความเร็ว ปริมาณใดเป็นปริมาณสเกลาร์และปริมาณใดเป็นปริมาณเวกเตอร์ เพราะอะไร (แนว

ี่

ื่



ค าตอบ อัตราเร็วเปนปริมาณสเกลาร์ เพราะเปนคาของระยะทางทเคลอนที่ไดในหนึ่งหน่วยเวลา ส่วนความเร็วเปนปริมาณ
เวกเตอร์ เพราะเป็นค่าของการกระจัดที่เคลื่อนที่ได้ในหนึ่งหน่วยเวลา)
ขั้นสรุป
1) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับอัตราเร็วและความเร็ว โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์



2) ครูดาเนินการทดสอบหลงเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบหลงเรียนเพื่อวัดความก้าวหน้า/ผลสมฤทธิ์


ทางการเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 ของนักเรียน
10. สื่อการเรียนร ู้
1. ไม้เมตรหรือตลับเมตร
2. เทปกาว
3. นาฬิกาจับเวลา
4. กระดาษขนาด A4
5. กรรไกร
6. แบบทดสอบหลังเรียน
7. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1

8. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เลม 1
9. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
ี่
10. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท 2 เล่ม 1
ี่

368



11. การวดและประเมินผลการเรียนร ู้

ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ
ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จิตวิทยาศาสตร์ (A)


1. ซักถามความรู้เรื่องอัตราเร็วและ 1. ประเมินเจตคตทางวิทยาศาสตร์เป็น 1. ประเมินทักษะกระบวนการทาง
ความเร็ว รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ วิทยาศาสตร์โดยใช้แบบวัด
2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ วัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทาง

กิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน 2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็น วิทยาศาสตร์
3. ทดสอบหลังเรียนโดยใช้แบบทดสอบ รายบุคคลโดยการสังเกตและใช้แบบ 2. ประเมินทักษะการคิดโดยการ
หลังเรียน วัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ สังเกตการท างานกลุ่ม
3. ประเมินทักษะการแก้ปัญหา
โดยการสังเกตการท างานกลุ่ม

4. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัต ิ
กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย

กลุ่มโดยการสังเกตการทางาน
กลุ่ม

369


บันทึกผลหลังการสอน
สรุปผลการเรียนการสอน

1. นักเรียนจ านวน ..................... คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ..................... คน คิดเป็นร้อยละ .........................
ไม่ผ่านจุดประสงค์ .................................. คน คิดเป็นร้อยละ .........................


2. ด้านความรู้ความเข้าใจ (K)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………


3. ด้านทักษะกระบวนการ (P)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………


4. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………


ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………


ข้อแนะน า
………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………………






ลงชื่อ .......................................................
(นายประสพโชค ประภา)
ต าแหน่ง ครู

370


ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย


ได้จัดท าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ................ รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ว22101)

แล้วมีความคดเห็นดังนี้
1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่
 มีองค์ประกอบครบ

 มีองค์ประกอบยังไม่ครบ ควรเพิ่มเติม ...................................................................................................

2. การจัดกิจกรรมได้น าเอากระบวนการเรียนรู้

 เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม
 ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป

3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท ี่

 น าไปใช้ได้จริง
 ควรปรับปรุงก่อนน าไปใช ้


4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………….…………………………………………………………………………………………………………….………………………






ลงชื่อ ..............................................................
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผู้อ านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา


Click to View FlipBook Version