นานาสาระไทย
ฉบับราชบัณฑติ ยสภา
จดั พมิ พเ์ นอ่ื งในวนั ภาษาไทยแหง่ ชาติ
พุทธศักราช ๒๕๖๓
_20-0355 �����.indd 2
9/7/2563 BE 13:42
_20-0355 �����.indd 3
9/7/2563 BE 13:42
_20-0355 �����.indd 4
9/7/2563 BE 13:42
นานาสาระไทย
ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสภา
จดั พมิ พ์เนื่องในวนั ภาษาไทยแห่งชาติ
พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๓
จัดท�ำโดย ส�ำนกั งานราชบณั ฑิตยสภา
พมิ พ์ครง้ั ที่ ๑ พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๓ จำ� นวน ๒,๐๐๐ เลม่
ส�ำนักงานราชบณั ฑิตยสภา
สนามเสือปา่ เขตดุสิต กรงุ เทพมหานคร ๑๐๓๐๐
โทร. ๐ ๒๓๕๖ ๐๔๖๖-๗๐ โทรสาร ๐ ๒๓๕๖ ๐๔๘๕
ไปรษณยี อ์ ิเลก็ ทรอนกิ ส์ [email protected]
เวบ็ ไซต์ www.royin.go.th
ข้อมูลทางบรรณานกุ รมของหอสมดุ แหง่ ชาติ
นานาสาระไทย ฉบบั ราชบัณฑิตยสภา.-- กรุงเทพฯ :
สำ� นักงานราชบัณฑติ ยสภา, ๒๕๖๓.
๓๓๐ หน้า.
๑. วัฒนธรรมไทย. ๒. ไทย -- ความเป็นอยู่และประเพณี. I. ช่อื เร่อื ง.
๓๐๖.๐๙๕๙๓
ISBN 978-616-389-114-3
พิมพ์ท ่ี : บริษทั ธนาเพรส จ�ำกัด
๙ ซอยลาดพร้าว ๖๔ แยก ๑๔ แขวงวังทองหลาง
เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร ๑๐๓๑๐
โทร. ๐ ๒๕๓๐ ๔๑๑๔ โทรสาร ๐ ๒๑๐๘ ๘๙๕๑
ไปรษณียอ์ เิ ลก็ ทรอนิกส์ : [email protected]
ค�ำนำ�
คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ ก�ำหนดให้วันท่ี ๒๙
กรกฎาคมของทุกปีเป็นวันภาษาไทยแห่งชาติ และได้มีประกาศส�ำนักนายกรัฐมนตรี
เรอ่ื ง วันภาษาไทยแหง่ ชาติ เมือ่ วนั ที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ เนือ่ งดว้ ยพระบาทสมเด็จ
พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพติ รได้ทรงพระกรุณาเสด็จ
พระราชดำ� เนนิ ไปพระราชทานกระแสพระราชดำ� ริ เรอื่ ง ปญั หาการใชค้ ำ� ไทย ในการประชมุ
ทางวชิ าการของชมุ นมุ ภาษาไทย คณะอกั ษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ณ หอ้ งประชมุ
คณะอกั ษรศาสตร์ เม่ือวนั ท่ี ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๕
ประกอบกบั พระราชบญั ญตั ริ าชบณั ฑติ ยสภา พ.ศ. ๒๕๕๘ ระบอุ ำ� นาจหนา้ ทขี่ อ้ หนง่ึ
ของสำ� นกั งานราชบณั ฑติ ยสภาวา่ “กำ� หนดหลกั เกณฑต์ า่ ง ๆ เกย่ี วกบั การใชภ้ าษาไทย การ
อนรุ กั ษภ์ าษาไทย มใิ หแ้ ปรเปลยี่ นไปในทางทเี่ สอ่ื ม การสง่ เสรมิ ภาษาไทยซง่ึ เปน็ เอกลกั ษณ์
ของชาตใิ หป้ รากฏเดน่ ชดั ยง่ิ ขนึ้ ” ดว้ ยเหตนุ ี้ สำ� นกั งานราชบณั ฑติ ยสภาจงึ ไดเ้ รม่ิ จดั กจิ กรรม
วนั ภาษาไทยแห่งชาติขนึ้ ตง้ั แต่ พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยมหี ัวขอ้ การจดั งานดงั นี้
พ.ศ. ๒๕๕๔ “ภาษาไทย ภาษาชาติ”
พ.ศ. ๒๕๕๕ “ภาษาไทย ภาษาถิน่ ”
พ.ศ. ๒๕๕๖ “ภาษาไทย ภาษาอาเซียน”
พ.ศ. ๒๕๕๗ “ภาษาไทย ภาษาส่ือ” (งดจัดกิจกรรมในวันภาษาไทย แต่ผลิต
รายการโทรทัศน์ “ส่ือ สาน ไทย” เผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์
ไทยพีบีเอส ทุกวันจันทร์ถึงวันศุกร์ เวลา ๑๑.๕๗-๑๒.๐๐ น.
เริ่มออกอากาศต้ังแต่วันพุธที่ ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ถึง
วนั จันทร์ที่ ๒๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๗)
พ.ศ. ๒๕๕๘ “มรดกภมู ปิ ัญญา ภาษาไทย ภาษาถิ่น”
พ.ศ. ๒๕๕๙ “ภาษาไทย ภาษาไทยถิ่น ภาษาออนไลน”์
พ.ศ. ๒๕๖๐ ภาษาไทย ภาษาไทยถนิ่ “รักการอ่าน สืบสานภาษาไทย”
พ.ศ. ๒๕๖๑ ภาษาไทย ภาษาไทยถน่ิ “อา่ น เขยี น พดู ไทย อยา่ งถกู ใจและถกู ตอ้ ง”
พ.ศ. ๒๕๖๒ ภาษาไทย ภาษาไทยถิน่ “ภาษาไทยในกระแส ๔.๐”
การจัดกิจกรรมวันภาษาไทยแห่งชาติในแต่ละปี ส�ำนักงานราชบัณฑิตยสภาจะ
จัดพิมพ์หนังสือท่ีระลึกซ่ึงมีเน้ือหาเก่ียวกับการใช้ภาษาไทยในด้านต่าง ๆ เผยแพร่เป็น
ประจ�ำทกุ ปี
เนอ่ื งในโอกาสวนั ภาษาไทยแหง่ ชาติ พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๓ สำ� นกั งานราชบณั ฑติ ยสภา
เห็นว่าเนื้อหาความรู้ด้านภาษาไทยและไทยศึกษา ซ่ึงคณะกรรมการเฉพาะกิจจัดท�ำ
ค�ำอธิบายค�ำที่ปรากฏในเอกสารโบราณได้พิจารณาจัดท�ำไว้มีองค์ความรู้ท้ังด้านภาษา
ประวตั ศิ าสตร์ วฒั นธรรม และประเพณี เปน็ ประโยชนต์ อ่ การศกึ ษาเลา่ เรยี นและการอา้ งองิ
ทางวิชาการ จึงไดค้ ดั เลอื กเน้อื หาทนี่ า่ สนใจโดยคณะกรรมการด�ำเนินงานดา้ นการเผยแพร่
ผลงานทางวชิ าการของสำ� นกั งานราชบณั ฑติ ยสภาเปน็ คณะกรรมการทด่ี ำ� เนนิ การคดั เลอื ก
และให้ใชช้ ่อื หนังสือวา่ “นานาสาระไทย”
ส�ำนักงานราชบัณฑิตยสภาขอขอบคุณคณะกรรมการเฉพาะกิจจัดท�ำค�ำอธิบาย
ค�ำที่ปรากฏในเอกสารโบราณซึ่งได้พิจารณาจัดท�ำเนื้อหา คณะกรรมการชุดดังกล่าวมี
รายนามดังนี้
๑. พลตรี หมอ่ มราชวงศ์ศภุ วฒั ย์ เกษมศรี๑ ประธานกรรมการ
๒. รองศาสตราจารยก์ รรณิการ์ วมิ ลเกษม กรรมการ
๓. นางสาวก่องแกว้ วีระประจกั ษ์ ”
๔. รองศาสตราจารย์ ดร.นววรรณ พนั ธเุ มธา ”
๕. รองศาสตราจารย์ ดร.ศานติ ภักดคี ำ� ”
๖. นางสาวศริ นิ ันท์ บญุ ศริ ิ ”
๗. รองศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พศิ ภมู ิวถิ ี ”
(ผ้เู ชี่ยวชาญเฉพาะสาขาวิชา)
๘. นางสาววีรวลั ย์ งามสนั ติกุล ”
(ผู้เชีย่ วชาญเฉพาะสาขาวิชา)
๙. เลขาธกิ ารราชบณั ฑติ ยสภา ”
(นางสาวกนกวลี ชชู ยั ยะ๒)
๑ ถึงแกอ่ นจิ กรรมเมอื่ วนั ท่ี ๔ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๕๙
๒ เกษียณอายุราชการเม่อื สนิ้ ปงี บประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
๑๐. นางสาวชลธชิ า สุดมุข๑ กรรมการ
๑๑. นายปิยะพงษ์ โพธเ์ิ ยน็ กรรมการและเลขานกุ าร
๑๒. นางวรรณธนา มลู จันทร์ กรรมการและผ้ชู ว่ ยเลขานกุ าร
๑๓. นางสาวรุจเิ รข กิมประพันธ ์ ”
และขอขอบคุณคณะกรรมการด�ำเนินงานด้านการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการของ
สำ� นกั งานราชบณั ฑติ ยสภาซง่ึ ไดพ้ จิ ารณาคดั เลอื กเนอ้ื หาสำ� หรบั จดั พมิ พ์ คณะกรรมการชดุ
ดงั กลา่ วมีรายนามดงั นี้
๑. เลขาธกิ ารราชบณั ฑิตยสภา ประธานกรรมการ
(นางสาวกนกวลี ชูชยั ยะ๒
นางดวงตา ตันโช๓)
๒. รองเลขาธกิ ารราชบัณฑิตยสภา กรรมการ
(นางแสงจันทร์ แสนสภุ า๒
นางสาวบุญธรรม กรานทอง๔)
๓. นายกฤษฎา บณุ ยสมิต ”
๔. นายดงั กมล ณ ป้อมเพชร ”
๕. นายพลพบิ ลู เพ็งแจม่ ”
๖. นางพวงรัตน์ สองเมือง ”
๗. นางสาววไิ ลภรณ์ จงกลวฒั นา ”
๘. ผชู้ ่วยศาสตราจารย์สมพร เจนนภา ”
๙. นางสลิลโรจน์ รุ่งสมบรู ณ์ ”
๑๐. ผู้อ�ำนวยการกองศลิ ปกรรม ”
(นางสาวสุปัญญา ชมจินดา๕
นางนฤมล กรีพร๖)
๑ ลาออกจากราชการเมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐
๒ เกษียณอายุราชการเมื่อสิน้ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
๓ ต้งั แต่วันท่ี ๑ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๖๒ ถึงปจั จุบัน
๔ ตง้ั แตว่ นั ท่ี ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๒ ถงึ ปัจจบุ นั
๕ เกษียณอายุราชการในต�ำแหน่งนกั อกั ษรศาสตร์ ระดบั เชีย่ วชาญ เม่ือสิ้นปงี บประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
๖ ตง้ั แต่วันท่ี ๑๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๓ ถงึ ปัจจุบนั
๑๑. ผอู้ �ำนวยการกองธรรมศาสตร์และการเมือง กรรมการ
(นางทพิ าภรณ์ ธารีเกษ๑)
๑๒. ผอู้ �ำนวยการกองวิทยาศาสตร์ ”
(นางสาวพัชนะ บญุ ประดษิ ฐ์๒
นางสาวปิยรตั น์ อนิ ทรอ์ ่อน๑)
๑๓. เลขานกุ ารกรม ”
(นางสาวอารี พลดี๑)
๑๔. หวั หนา้ ฝา่ ยคลัง ”
๑๕. เจ้าหนา้ ทฝ่ี ่ายแผนและประเมนิ ผล ”
(นายกมล หม่นื ยุทธ)
๑๖. นายปิยะพงษ์ โพธิเ์ ยน็ กรรมการและเลขานกุ าร
๑๗. นางวรรณธนา มลู จันทร์ กรรมการและผู้ชว่ ยเลขานุการ
๑๘. นางสาวอารยา ถิรมงคลจติ ”
ส�ำนกั งานราชบณั ฑติ ยสภาหวงั ว่า หนังสอื “นานาสาระไทย” จะเปน็ ประโยชนแ์ ก่
ท้ังครู อาจารย์ นักวิชาการ สื่อมวลชน นิสิต นักศึกษา รวมถึงประชาชนทั่วไป ที่จะได้มี
หนงั สอื อ้างองิ ในการทำ� งานและการศกึ ษาเลา่ เรยี นต่อไป
สำ� นกั งานราชบัณฑิตยสภา
พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๓
๑ ตั้งแตว่ นั ที่ ๑๘ กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๖๓ ถงึ ปัจจบุ นั
๒ รักษาราชการผ้อู �ำนวยการกอง ลาออกจากราชการเมื่อสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
สารบัญ หนา้
๑
เร่ือง ๓
สาระภาษาไทย ๕
ก ข้ จ ฉ้ ๗
ก ไก่ ข ไข่ ๑๑
กระหม่อม-หม่อม ๑๓
กรงุ เทพฯ-บางกอก ๑๖
กะแปะ-อีแปะ ๒๐
กะหลาปา๋ ๒๒
การยกเลิกอกั ษรท่มี เี สียงซ้�ำกนั ๒๖
การเวก-วายภุ ักษ ์ ๒๙
ขา้ วตอก ๓๑
คงเสน้ คงวา ๓๘
ความหมายและการใช้ค�ำว่า “กลั ปนา” ๔๑
ค�ำว่า ปา่ ในสมยั สุโขทัยและสมัยอยธุ ยา ๔๗
จามร-ี จามร ๕๑
จงิ โจ้ ๕๔
ฉทานศาลา-ศาลาฉอ้ ทาน ๕๘
ชบา ๖๐
ไชโย-ชโย ๖๔
ฎกี า
ดินสอ
เรอื่ ง หน้า
ตัวพมิ พอ์ กั ษรไทย ๖๗
ทองแผน่ เดยี วกนั ๖๘
ทบั ทิม ๗๑
นากสวาด-ิ มรกต-ครทุ ธิกานต์ ๗๓
บางลำ� ภู-บางล�ำพ ู ๗๔
ภาพยนตร์-หนงั ๗๖
มณฑา ๘๐
มะม่วงหาวมะนาวโห่ ผลไมพ้ ูดได้ในวรรณคดีไทย ๘๒
ไมจ้ นั ทน์ ๘๖
ย่ำ� รงุ่ -ย่ำ� ค่�ำ-เย็นย�่ำ-ไกลปนื เทย่ี ง ๘๙
รดน�้ำ-ดำ� หัว ๙๑
ระเบง-ระเบง็ เซง็ แซ่-ละเมงละคร-โอละพอ่ ๙๙
รกั ๑๐๑
รกั -ยางรัก ๑๐๓
รังวดั ๑๐๕
รับพระราชทาน-รับประทาน-รับ-ทาน ๑๐๖
รี-ขวาง ๑๐๙
รูปอักษรท่ใี ชใ้ นอาณาจักรสโุ ขทัย ๑๑๓
เรือน ๓ น�ำ้ ๔ ๑๑๗
ฤๅษแี ปลงสาร ๑๑๙
ลลิ ติ โองการแช่งน้ำ� ๑๒๐
ลกู ขนุ พลอยพยัก-บอกศาลา ๑๒๓
ลูกคา้ -พ่อค้า ๑๒๘
เรอื่ ง หนา้
วมิ าย-พิมาย ๑๓๑
ศรกามเทพ ๑๓๓
สลดั ได-กระลำ� พัก ๑๓๔
สะเทนิ -สะเทนิ้ ๑๓๙
สนั นบิ าต ๑๔๑
สาลี ๑๔๓
เสนา ๑๔๗
สาระไทยศกึ ษา ๑๕๑
การตงั้ พระพทุ ธรปู บชู า ๑๕๓
การปฏบิ ัติตามความเช่อื ในพระพุทธศาสนา ๑๕๕
การปลูกตน้ ไม้ตามความเชือ่ โบราณ ๑๕๗
การมอบกุญแจเมอื ง ๑๕๘
การรับช้างส�ำคัญ ๑๖๓
การเรียกชื่อปราสาทหิน ๑๖๖
การสัก ๑๖๘
ก�ำเนิดคชพงศ์ ตอนที่ ๑ ๑๗๑
กำ� เนิดคชพงศ์ ตอนท่ี ๒ : ช้างมงคลและชา้ งเผอื ก ๑๗๕
กำ� เนดิ ครูปะก�ำ ๑๘๒
กำ� ลงั วนั ตามตำ� รามหาทักษา ๑๘๖
ขนมเบื้องไทย ๑๘๘
คร-ึ สมาคมครึ ๑๙๑
ความเชื่อเก่ียวกบั พระพรหม ๑๙๓
ความเช่อื เร่อื งไม้มงคล ๑๙๖
เรื่อง หนา้
เคร่ืองเทศ : ทองค�ำในโลกตะวันออกของโปรตเุ กส ๑๙๘
เครอื่ งยาสมุนไพร ๒๐๒
เคร่ืองราง ๒๐๕
จากทุ่งหนั ตราถึงขนมหนั ตรา ๒๐๖
ชา้ งบ�ำรงู า ๒๐๘
ดาวดงึ ส ์ ๒๑๒
ธรรมเนียมการสร้างวดั ๒๑๔
ใบบอก ๒๑๘
ปางพระพุทธรูปที่เก่ยี วเน่ืองกับชัยมงคลคาถา ๒๒๐
พระกร ุ ๒๒๘
พระเนอ้ื ผง ๒๒๙
พระปิดตา ๒๓๐
พระพิฆเนศวร์ เทพเจ้าแห่งศลิ ปวิทยา ๒๓๑
พระแมธ่ รณ ี ๒๓๕
พระยายนื ชงิ ช้า ๒๓๗
พระราชปฏสิ นั ถารทางการทตู ๒๔๐
พระราชพิธีคเชนทรัศวสนาน ๒๔๕
พระราชพิธถี อื น�้ำพระพิพฒั นส์ ัตยา ๒๔๗
พระราชพิธีสังเวยพระป้าย ๒๖๖
พระวอประเวศวัง ๒๖๙
พระแสงราชศตั ราประจ�ำเมือง ๒๗๑
พระเหรยี ญและพระหลอ่ ๒๘๔
พระอุปคตุ ๒๘๕
เรือ่ ง หนา้
พิธกี รรมเกยี่ วกับชา้ งหลวงในสมยั รตั นโกสินทร ์ ๒๘๖
พิธีทอดเชอื กดามเชอื ก ๒๘๙
พทุ ธกบั ไสยอาศัยกนั ๒๙๐
เม่ือเรมิ่ มโี รงเรยี น ๒๙๒
แมน่ ้ำ� เจ้าพระยา ๒๙๕
ฤกษ์และนิมติ แหง่ ฤกษ ์ ๒๙๗
ลกั ษณะแมวใหค้ ณุ ให้โทษ ๓๐๓
วิวฒั นาการของ “มงคล ๑๐๘” ในพระพทุ ธบาทลกั ษณะ ๓๐๖
สง่ิ ศักดส์ิ ทิ ธ์ิของคนสมยั อยุธยา ๓๑๐
หนงั สอื สมดุ ไทย ๓๑๓
หมายรบั สัง่ ๓๑๕
1
สาระภาษาไทย
2
3
ก ข้ จ ฉ้
คนที่เรียนหนงั สือแล้วไม่รู้ อา่ นไม่ออก เขียนไมไ่ ด้ มกั ถูกตำ� หนวิ า่ ก ข้
ไมก่ ระดิกหู พจนานกุ รม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เกบ็ ส�ำนวนนไี้ ว้ เขียนว่า ก ข
ไมก่ ระดกิ หู แตบ่ อกคำ� อ่านในวงเลบ็ วา่ (โบ อ่านว่า กอ ข้อ)
ค�ำว่า ฉ ท่ีไทยยืมจากภาษาบาลี แปลว่า หก พจนานุกรม ฉบับ
ราชบณั ฑติ ยสถานกว็ งเลบ็ คำ� อา่ นไวว้ า่ ฉอ ฉอ้ และ ฉะ คำ� วา่ ฉ น้ี เมอ่ื ประกอบ
กบั คำ� อนื่ พจนานกุ รมฯ ใหอ้ า่ นวา่ ฉะ กม็ ี เชน่ ฉกามาพจร หมายถงึ สวรรค์ ๖ ชน้ั
ได้แก่ ๑. จาตมุ หาราช หรือ จาตมุ หาราชิก หรอื จาตุมหาราชิกา ๒. ดาวดงึ ส์
๓. ยามา ๔. ดสุ ติ ๕. นมิ มานรดี ๖. ปรนมิ มิตวสวตั ดี อา่ นวา่ ฉ้อ กม็ ี เช่น
ฉทานศาลา หมายถึง ศาลาเป็นที่ท�ำทาน ๖ แห่ง อ่านว่า ฉอ ก็มี เช่น ฉศก
เป็นคำ� เรียกปีจุลศักราชที่ลงท้ายด้วยเลข ๖ เช่น ปชี วดฉศก จุลศักราช ๑๓๔๖
และอ่านวา่ ฉอ้ หรอื ฉอ ก็มี เชน่ ฉกษัตรยิ ์ หมายถึง กษตั ริย์ ๖ พระองค์ใน
มหาเวสสันดรชาดก ได้แก่ พระเจ้ากรุงสญชัย พระนางผุสดี พระเวสสันดร
พระนางมทั รี และ กัณหาชาลี
ค�ำว่า ฉศก นั้น อันท่ีจริงในสมัยก่อน ก็คงอ่านกันว่า ฉ้อศก ดังเช่นใน
ประกาศของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ใช้ค�ำว่า ฉศก แทน
ฉ้อศก ซ่ึงทรงยกย่องพระธรรมกิติ หรือต่อมาเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต
พรหมรงั ษ)ี ท่อี า่ นออกเสยี งคำ� ฉศก ต้องพระราชนิยม ข้อความในประกาศมวี ่า
ด้วยพระธรรมการบดีศรีวิสุทธสาสนวโรประการ จางวางกรม
พระธรรมการ รบั พร บรมราชโองการใสเ่ กล้าฯ ส่ังว่า ณ วนั เสาร์ เดือน ๗
ข้นึ ๑๕ ค�่ำ ปขี าลฉศก เพลา ๔ ทุ่มเศษ พระธรรมกติ ิ วัดระฆงั โฆสิตาราม
เขา้ ไปถวายเทศนาในพระทน่ี งั่ อมรนิ ทรวนิ จิ ฉยั แลว้ ถวายศกั ราชวา่ ปขี าล
ฉศกนั้น ทรงพระราชด�ำรเิ ห็นวา่ คำ� ทพ่ี ระธรรมกิตถิ วายวา่ เป็นขาลฉศก
เปน็ คำ� ถกู ตามอักษรภาษาไทย ท่ีเลา่ เรียนกนั ต่อ ๆ มา จึงทรงพระกรุณา
หมายใช้แทนเงิน ถวายบูชาค�ำท่ีว่าปีขาลฉศกแก่พระธรรมกิติหมายละ
4
สลึง ๒๔ หมาย เป็นเงินตรา ๖ บาท แล้วทรงพระราชด�ำริเห็นว่า
พระธรรมกิติอายุวัสสามาก ได้ถวายเทศนาในหลวงแลได้เทศนาในเจ้า
ต่างกรม เจ้ายังมิได้ตั้งกรมฝ่ายหน้าฝ่ายใน เสนาบดีแลข้าทูลละอองธุลี
พระบาทแลราษฎรทง้ั ปวงมผี นู้ บั ถอื โดยมาก ซง่ึ พระธรรมกติ ถิ วายศกั ราช
ว่าปีขาลฉศกครัง้ น้ี ควรจะเป็นแบบฉบบั สำ� หรบั แผ่นดินต่อไปได้ ตง้ั แต่น้ี
สืบไปเมื่อหน้า ถ้าปีใดเป็นฉศกแล้วก็ให้ใช้ว่าปี...ฉศกทุกปีตามอย่างที่
พระธรรมกิติถวายศักราชนั้นเถิด ให้พระครูอมรวิไชยประกาศกับ
พระราชาคณะพระครูฐานานุกรมเปรียญเจ้าอธิการ แลพระสงฆ์อนุจร
ถวายศักราชแลถวายพระพรว่า ปีขาลฉศกจงได้ อย่าให้ถวายศักราช
ถวายพระพรว่าปีขาลฉอ้ ศกเลยเปน็ อันขาดทีเดียว
หมายมา ณ วนั อาทติ ย์ เดือน ๗ แรม ๑ ค่ำ� ปีขาลฉศก.
ปีที่ประกาศตรงกบั พุทธศักราช ๒๓๙๗
เล่ากันว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่โปรดให้อ่านค�ำว่า
ฉอ้ ศก เพราะคำ� วา่ ฉ้อ ทแี่ ปลวา่ ๖ มีเสียงพอ้ งกับคำ� วา่ ฉ้อ ทแี่ ปลวา่ โกง
สาเหตุท่ีคนไทยแต่ก่อนพูดว่า กอข้อไม่กระดิกหู และฉ้อศก เป็นเพราะ
พยญั ชนะ ก ข สมยั กอ่ นอา่ นวา่ กอ ขอ้ และพยญั ชนะ จ ฉ สมยั กอ่ นอา่ นวา่ จอ ฉอ้
ศาสตราจารย์พระยาอนุมานราชธนเขียนเล่าเรื่องน้ีไว้ในหนังสือชีวิต
ชาวไทยสมยั ก่อน ดังน้ี
ตัวพยญั ชนะน้ันมสี องอยา่ ง เรยี กว่า ก ข้ ใหญ่ อย่างหน่ึง ไดแ้ ก่
พยญั ชนะทั้งหมด ๔๔ ตวั และ ก ข้ เล็ก อกี อย่างหนึง่ ซึ่งยกเว้นพยัญชนะ
ท้ังหมดในวรรค ฏ และ ศ ษ พยัญชนะตัว ก ข้ เล็กที่ใช้เรียกกันน้ัน
อ่านไมเ่ หมือนกับปัจจุบนั คอื อ่านออกเสียง ดั่งน้ี
ก (กอ) ข้ (ขอ้ ) ฃ (ขอ) ค่ (ค่อ) ฅ (คอ) เฆาะ (เคาะ) ง (งอ)
จ (จอ) ฉ้ (ฉ้อ) ช (ชอ) ซ (ซอ) เฌาะ (เชาะ) ญ (ยอ)
ด (ด) ต (ตอ) ถ (ถอ) ท่ (ท่อ) เธาะ (เทาะ) น (นอ)
5
บ (บอ) ป (ปอ) ผ (ผอ) ฝ (ฝอ) พ่ (พ่อ) ฟ (ฟอ) เภาะ (เพาะ)
ม (มอ) ย (ยอ) ร (รอ) ล (ลอ) ว (วอ) ส (สอ) ห้ (หอ้ )
ฬ่ (ลอ่ ) อ (ออ) ฮ (ฮอ)
คนไทยอาจไม่พูดว่า ฉ้อศก หลังจากที่มีประกาศ แต่บางคนก็ยังพูดว่า
ฉอ้ กษตั รยิ ์ ฉอ้ ทานศาลา และส�ำนวน กอ ขอ้ ไมก่ ระดกิ หู ก็ติดอยใู่ นภาษาแลว้
หากใครพดู ว่า กอ ขอ ไมก่ ระดกิ หูจะฟังแปลก
(รศ. ดร.นววรรณ พนั ธเุ มธา)
ก ไก่ ข ไข่
ตัวอักษรท่ีใช้แทนเสียงพยัญชนะ หรือท่ีเรียกว่าตัวพยัญชนะ ของไทย
มเี สยี งพอ้ งกนั อยหู่ ลายตวั เชน่ ข ไข่ กบั ฃ ขวด ออกเสยี งเหมอื นกนั ค ควาย กบั
ฅ ฅน และ ฆ ระฆงั ออกเสียงเหมอื นกนั ถา้ พูดแต่เพียง ข หรือ ค กจ็ ะสับสนวา่
เป็นพยัญชนะตัวใด เม่ือมีการเล่นหวยในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้า
อยู่หัวจึงมีผู้น�ำค�ำในภาษาจีนมาก�ำกับตัวพยัญชนะเพ่ือแยกพยัญชนะให้ชัดเจน
ดังที่กาญจนาคพันธ์ุเขยี นเลา่ เรอ่ื งการเรยี กตัวหวยไวใ้ นหนังสือส�ำนวนไทยวา่
ในสมัยรัชกาลที่ ๓ เริ่มมีออกหวย ก ข ตัวหวยก็ออกเสียงอย่างผันน้ี
เหมอื นกนั คอื ก สามหวย ข้ งว่ ยโป๊ ฃ เจยี ม ค ่ ฮะตง๋ั ฅ เมง่ จ ู เฆาะยดิ ซวั
ง จีเกา...
พระยาศรีสนุ ทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) เหน็ วา่ คนไทยไม่ควรน�ำชอ่ื
หวยมาเปน็ ชอ่ื ตวั อกั ษรทใ่ี ชแ้ สดงเสยี งพยญั ชนะ จงึ คดิ ชอื่ ตวั อกั ษรขนึ้ ทา่ นเขยี น
เล่าเรื่องนไ้ี ว้ในเรอ่ื งวิธสี อนหนงั สอื ไทยวา่
...ในเรื่องคิดช่ือตัวอักษรนี้ ข้าพเจ้าคิดเห็นว่า ชาวไทยเราจนค�ำพูด
ตอ้ งเอาชอ่ื หวยมาใหช้ อื่ อกั ษรคอื เรยี กวา่ ถ พนั กยุ้ ญ ยอ่ งเซง ด กวางเหมง
น เทยี นสิน เปน็ ต้น ดนู ่าสังเวช ข้าพเจา้ จงึ คิดชือ่ ข้นึ สอนนกั เรียนในโรง
6
สกูลหลวงว่า ข ขดั ข้อง ฃ อังกุษ ค คดิ ฅ กณั ฐา ฆ ระฆัง ช ชอื่
ฌ ฌาน ญ ญาติ ฎ ชะฎา ฏ รกชดั ฐ สณั ฐาน ฑ บณิ ฑบาต ฒ จำ� เริญ
ณ คณุ ด เดชะ ต ตรา ถ รถ ท ทาน ธ เธอ น นลิ พ พล ภ ภักตร์
ย ยนิ ยล ร โรค ล วิลาศ ฬ จกั รวาฬ ต้งั ชือ่ ไวเ้ พ่อื จะสอนเด็กให้ออกชอื่
ตวั สะกดได้งา่ ย ที่ไม่มีตัวพอ้ ง ไมต่ อ้ งตั้งช่ือ...
ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงช่ือตัวอักษรเป็น ก ไก่ ข ไข่ ฯลฯ นายเอนก
นาวิกมูล เขยี นเล่าไว้ในหนังสอื แกะรอย ก ไก่ ว่า เดมิ หนังสือแบบเรยี นเร็วมแี ต่
ตัวอักษร ไม่มีคำ� กำ� กับ หนังสือแบบเรยี นเรว็ ฉบับทม่ี คี ำ� กำ� กับตวั อกั ษรเปน็ ครงั้
แรก คือ ฉบับที่พิมพ์คร้ังที่ ๑๐ เม่ือ ร.ศ. ๑๑๘ เทียบ พ.ศ. ไดเ้ ปน็ พ.ศ. ๒๔๔๒
ในหนังสอื มิไดร้ ะบวุ ่าใครเป็นผู้คดิ ค�ำก�ำกบั ก ถึง ฮ แตน่ ายเอนกสันนษิ ฐานว่าผู้
คดิ คำ� อาจเป็นผูท้ ท่ี รงพระนิพนธ์หนงั สอื แบบเรยี นเรว็ คือ สมเดจ็ ฯ กรมพระยา
ดำ� รงราชานุภาพ ซง่ึ ในขณะนัน้ ทรงดำ� รงพระยศเปน็ กรมหมื่นดำ� รงราชานุภาพ
สาเหตุทีม่ กี ารเปล่ยี นค�ำก�ำกับอกั ษรในหนงั สือแบบเรยี นเร็ว เช่น เปลี่ยน
ข ขดั ข้อง เป็น ข ไข่ เปลี่ยน ฃ องั กษุ เป็น ฃ ขวด นา่ จะเป็นเพราะตอ้ งการให้
เด็กจ�ำงา่ ย คำ� กำ� กบั ก ถงึ ฮ ในหนังสือแบบเรยี นเร็วมดี ังนี้
ก ไก ่ ข ไข่ ฃ ฃวด
ค ควาย ฅ ฅอ ฆ ระฆงั
ง จ จาน ฉ ฉงิ่
ช ช้าง ซ โซ ่ ฌ เฌอ
ญ ผหู้ ญงิ ฎ ชะฎา ฏ ปะฏกั
ฐ ฐาน ฑ นางมณโฑ ฒ ผู้เฒา่
ณ เณร ด เด็ก ต เต่า
ถ ถงุ ท ทหาร ธ ธง
น หน ู บ ใบไม ้ ป ปลา
ผ ผ้ึง ฝ ฝา พ พาน
7
ฟ ฟนั ภ สำ� เภา ม ม้า
ย ยกั ษ ์ ร เรือ ล ลิง
ว แหวน ศ ศาลา ษ ฤๅ
ส เสือ ห หบี ฬ ฬา
อ อ่าง ฮ นกฮกู
ง งู นัน้ มีแตเ่ พยี งภาพงูประกอบไมม่ ีค�ำกำ� กับ และ ษ ฤๅษี พมิ พแ์ ต่เพียง
ฤๅ ไมม่ ี ษี นายเอนกสนั นษิ ฐานวา่ คงจะลมื เรียงพมิ พ์
ก ไก่ ถึง ฮ นกฮูก ข้างตน้ เหมือนกับ ก ไก่ ถงึ ฮ นกฮูก ทีเ่ ราร้จู กั กัน
ในปจั จุบนั เกอื บทั้งหมด มยี กเว้นแต่เพียง ฬ ฬา ในหนังสือแบบเรียนเร็ว เปล่ียน
เปน็ ฬ จุฬา ในปัจจบุ นั คอื เปลย่ี นจาก ฬา ซง่ึ เป็นสัตวค์ ล้ายมา้ ใหก้ ลายเป็นวา่ ว
(รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา)
กระหมอ่ ม-หม่อม
ค�ำวา่ กระหมอ่ ม พจนานกุ รม ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้
ความหมายวา่ “กระหมอ่ ม น. สว่ นของกะโหลกอยตู่ รงแนวศรี ษะแตต่ ำ่� กวา่ สว่ น
สงู สดุ ลงมาใกลห้ นา้ ผาก ในเดก็ แรกเกดิ จนถงึ ๒ ขวบ สว่ นนจ้ี ะมเี นอ้ื เยอ่ื ออ่ นปดิ
รอยประสานกะโหลกทยี่ งั เปดิ อยู่ หลงั จากนนั้ เนอ้ื เยอ่ื ออ่ นนจ้ี ะกลายเปน็ กระดกู ,
โดยปรยิ ายหมายรวม ๆ วา่ หวั เช่น เป่ากระหมอ่ ม ลงกระหมอ่ ม, ขมอ่ ม กว็ ่า.”
คำ� วา่ กระหมอ่ ม น้ี นา่ จะเปน็ คำ� ไทยของเราเอง เพราะพบในภาษาตระกลู
ไทอีกหลายภาษา เช่น ภาษาจ้วงใต้ ซ่ึงพูดในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง
ประเทศจนี เรียกกระหม่อมว่า ก้อกมอม ภาษาไทขาวและภาษาไทเมอื งเตก๊ิ ซึ่ง
พูดในประเทศเวยี ดนาม เรียกวา่ กามอม ภาษาไทใหญ่ซ่ึงพดู ในรฐั ชาน ประเทศ
พม่า เรยี กว่า ซะหมอ้ ม ภาษาไทพ่าเกซ่ ึ่งพดู ในรฐั อัสสัม ประเทศอินเดยี เรียกว่า
ซะหม่อม และภาษาไทอา่ ยตอนซงึ่ พูดในรัฐอสั สมั เช่นกันเรยี กว่า ซม้ี ่อม
8
ด้วยเหตุที่ค�ำว่า กระหม่อม ใช้เรียกส่วนของศีรษะซึ่งเป็นส่วนสูงสุดของ
ร่างกาย คนไทยจึงน�ำค�ำว่า กระหม่อม มาใช้ในราชาศัพท์ คือ เมื่อผู้พูดเพศ
ชายเพ็ดทูลเจ้านายชั้นหม่อมเจ้าและพระวรวงศ์เธอที่มิได้ทรงกรม จะใช้ค�ำว่า
กระหมอ่ ม แทนตนเองและใชเ้ ปน็ คำ� รบั หรอื คำ� ลงทา้ ย ถา้ มคี ำ� วา่ เกลา้ ซง่ึ หมายถงึ
ศีรษะซอ้ นอยขู่ า้ งหน้าเป็น เกล้ากระหม่อม ผ้พู ดู เพศชายจะใช้แทนตนเองเม่อื
เพ็ดทูลเจ้านายชัน้ พระเจา้ วรวงศเ์ ธอ พระองค์เจ้า พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า
ทที่ รงกรม และสมเดจ็ พระสงั ฆราช ในกรณที ผ่ี พู้ ดู เปน็ เพศหญงิ กเ็ ตมิ คำ� วา่ ฉนั เปน็
เกล้ากระหมอ่ มฉนั นอกจากน้นั ค�ำวา่ กระหมอ่ ม ยังใช้ประกอบค�ำกรยิ าบางค�ำ
คูก่ บั ค�ำว่า เกล้า ใช้แสดงกริ ยิ าของหรือกิริยาต่อพระมหากษัตริย์ พระบรมราชินี
มกฎุ ราชกุมาร หรอื มกุฎราชกุมารี เช่น โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ทลู เกล้าทลู
กระหม่อม นอ้ มเกล้าน้อมกระหมอ่ ม
เมื่อตัดส่วนหน้าของค�ำว่ากระหม่อมเหลือเพียง หม่อม พจนานุกรม
ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้ความหมายวา่
หม่อม น. คำ� นำ� หนา้ นามสตรสี ามญั ทเี่ ปน็ ภรรยาของกรมพระราชวงั บวร
สถานมงคล เจ้าฟ้า พระองค์เจ้า หรือหม่อมเจ้า; ภรรยาที่เป็น
สามญั ชนของกรมพระราชวงั บวรสถานมงคล เจา้ ฟา้ พระองคเ์ จา้
หรือหมอ่ มเจ้า, หมอ่ มห้าม กเ็ รยี ก; (โบ) เจา้ ฟ้า พระองค์เจ้า หรอื
หม่อมเจ้า ท่ีต้องโทษถูกถอดจากฐานันดรศักดิ์, ค�ำน�ำหน้านาม
สตรีสามัญท่ีไม่มีบรรดาศักด์ิซึ่งเป็นภรรยาของบุคคลในตระกูล
บุนนาคท่ีได้รับยกย่องเป็นพิเศษ เช่น หม่อมปาน หม่อมรอด,
ค�ำน�ำหนา้ นามบุคคลท่ีเป็นบตุ รขนุ นางผู้ใหญ่ เชน่ หม่อมบนุ นาค
สมัยกรุงธนบุรี.
นอกจากนี้ในสมัยอยุธยาและสมัยธนบุรี ค�ำว่า หม่อม ยังใช้น�ำหน้าช่ือ
บุตรของขุนนางผู้ใหญ่อีกด้วย เช่น หม่อมปาน [ต่อมาคือเจ้าพระยาโกษาธิบดี
(ปาน)] ในสมยั อยธุ ยา หมอ่ มหน ในสมยั ธนบรุ ี [ตอ่ มาคอื เจา้ พระยาพระคลงั (หน)
9
ในสมยั รัตนโกสนิ ทร์]
คำ� วา่ หมอ่ ม ที่เปน็ ค�ำนำ� หนา้ ช่ือราชนิกลุ นน้ั ศาสตราจารย์เกียรตคิ ณุ
ท่านผหู้ ญงิ ศรนี าถ สรุ ยิ ะ เขยี นไว้ในเร่อื ง “นามบรรดาศกั ดิ์ ‘หมอ่ ม’” วา่
ค�ำว่า “หม่อม” เป็นบรรดาศักดิ์ส�ำหรับราชนิกุล ช้ันหม่อมราชวงศ์ที่
เปน็ ชาย ซึง่ สงู กวา่ บรรดาศักดิ์ช้นั “พระ” แต่ต�่ำกวา่ “พระยา” ส�ำหรบั
หมอ่ มราชวงศ์ท่ีได้บรรดาศกั ดิ์ “หม่อม” ตำ� แหนง่ จะไมเ่ ปน็ “พระ” แต่
เป็น “พระยา” เลย ในรัชกาลปัจจุบัน ม.ร.ว.เฉลิมลาภ ทวีวงศ์ ได้รับ
พระราชทานบรรดาศกั ดเิ์ ปน็ หมอ่ มทววี งศถ์ วลั ยศกั ดไิ์ ดเ้ คยดำ� รงตำ� แหนง่
ราชเลขาธกิ ารส�ำนักพระราชวัง ม.ร.ว.ตัน สนทิ วงศ์ ได้รับพระราชทาน
บรรดาศักดิ์เป็น หม่อมสนิทวงศ์เสนีย์ ในรัชกาลท่ี ๔ ม.ร.ว.กระต่าย
อศิ รางกรู มีบรรดาศกั ด์ิเปน็ หม่อมราโชทยั
นอกจากน้ีในสมัยกอ่ น ภรรยาใช้คำ� วา่ หม่อมเรียกสามี เชน่ ในเสภาเร่อื ง
ขุนช้างขุนแผน นางวันทองกล่าวตัดรอนขุนแผนตอนขุนแผนไปตามท่ีบ้าน
ขนุ ชา้ งว่า
ไมพ่ อทท่ี ี่หมอ่ มจะกนิ เดน มันนอกเกณฑ์ดอกไมส่ มเสมอหนา้
อยา่ วนเวยี นระไวอยไู่ ปมา เหมอื นปล่อยนกปลอ่ ยกาให้ปลอดไป
ศรมี าลาก็พูดกบั พลายงามเมอ่ื พลายงามไปปลกุ หลังจากพลายงามกลับจากไป
รบทเ่ี ชียงใหม่ว่า
นึกวา่ หมอ่ มล้าเล่ือยยังเหนื่อยนัก เห็นจะพกั เสียกอ่ นไมย่ ้อนมา
ในบทละครนอกเรื่องไกรทอง พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระ
พุทธเลิศหล้านภาลัย เม่ือนางวิมาลาทะเลาะกับนางตะเภาแก้วตะเภาทอง
กก็ ล่าวถึงไกรทองซง่ึ เป็นสามีว่า
เขาจงู จมกู หมอ่ มไปหรือไร หมอ่ มผัวเจา้ ลงไปท�ำว่นุ วาย
เพราะจวนตวั กลวั ตายวายชีวติ ใช่จะปลงลงจิตดว้ ยง่ายงา่ ย
10
เจา้ อยา่ เพอ่ ตฉิ ินยนิ รา้ ย เปน็ หญิงยอ่ มอายอยู่เหมือนกนั
ทงั้ เสภาเรอ่ื งขนุ ชา้ งขนุ แผนและบทละครนอกเรอ่ื งไกรทองแตง่ ในรชั สมยั
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว มเี รื่อง “ขุนชา้ งขุนแผนเกล็ด” ในหนงั สือทวปี ญั ญา
เลม่ ๒ ฉบับกมุ ภาพันธ์ ร.ศ. ๑๒๓ (พ.ศ. ๒๔๔๗) นางวนั ทองก็ใชค้ �ำว่า หม่อม
เรยี กขุนช้างซึ่งเปน็ สามี ดังข้อความว่า
อุย๊ ! นา่ ชัง ราวกะ...ท�ำไมหม่อมไมเ่ คยไปนอนค้างอา้ งแรมท่ีไหนม่งั รอื คะ
พดู นะ่ ไม่สมรปู เลย ฉันไมเ่ หมอื นหม่อมนี่ วางเสียงแนมเหนบ็ เปนทีโกรธ
แล้วแสดงใหเ้ ปนท่แี น่ ดว้ ยแกมคอ้ นอีกวงหนึ่งตามธรรมดาของหญิง
และใช้คำ� ว่า หมอ่ ม เรยี กขุนแผนซงึ่ เป็นสามีอีกคนหนง่ึ ดังข้อความในจดหมาย
ท่วี นั ทองเขียนถงึ ขนุ แผนวา่
...ที่หมอ่ มพูดถงึ จะมาพบฉันอกี น้นั เปนความผดิ เดยี๋ วน้ีหมอ่ มก็ทราบอยู่
วา่ เปนคนมสี ามแี ล้ว คนื วัน ๗ คำ�่ ฉันกส็ ่ังใหส้ ามีของฉนั กลบั มาคา้ งบ้าง
เพราะเช่นนั้นให้หม่อมจงเข้าใจเถิดว่าหม่อมจะมาไม่ได้ และขออย่า
มหี นังสือมาถงึ ฉันอีกตอ่ ไปเลย หม่อมจงไดท้ ราบเทอญ
“วันทอง”
สรปุ ว่า คำ� วา่ กระหมอ่ มกับหมอ่ ม แม้เดิมจะเปน็ คำ� เดยี วกันแตใ่ ช้ต่างกัน
และต่างกใ็ ช้ไดห้ ลายกรณี
(รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา)
หนังสอื อ้างอิง
นววรรณ พนั ธุเมธา, หวา่ ง เหลอื ง, เทพี จรัสจรงุ เกยี รติ. รายงานการวจิ ัยเรือ่ ง
“คำ� ไทเมอื งเติ๊ก”. เอกสารถา่ ยส�ำเนา, ๒๕๔๐.
บทละครนอกเรอื่ งไกรทอง พระราชนพิ นธใ์ นพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้
นภาลยั . กรงุ เทพฯ : กรมวิชาการ กระทรวงศกึ ษาธิการ, ๒๕๔๐.
11
บรรจบ พนั ธเุ มธา. พจนานกุ รมพา่ เก-่ ไทย-องั กฤษ. เอกสารถา่ ยสำ� เนา, ๒๕๓๐.
ปราณี กุลละวณิชย.์ พจนานกุ รมจว้ งใต้-ไทย. กรุงเทพฯ : คณะอักษรศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๕.
ร้อยแกว้ แนวใหมข่ องไทย พ.ศ. ๒๔๑๗-๒๔๕๓. กรุงเทพฯ : สมาคมภาษาและ
หนงั สอื แห่งประเทศไทยในพระบรมราชปู ถัมภ์, ๒๕๓๐.
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔,
พิมพ์ครงั้ ท่ี ๒. กรุงเทพฯ : นานมบี ๊คุ ส,์ ๒๕๕๖.
ศรีนาถ สุริยะ. (อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ ศาตราจารย์เกียรติคุณ
ท่านผู้หญิงศรีนาถ สุริยะ ณ วัดเทพศิรินทราวาส วันท่ี ๑๘ กันยายน
พ.ศ. ๒๕๕๔).
ÐiềuChínhNhìm,JeanDonaldson. Tai-Vietnamese-English Dictionary.
Saigon, 1970.
กรงุ เทพฯ-บางกอก
เมืองหลวงของไทยชื่อว่ากรุงเทพมหานคร แต่มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า
Bangkok ซงึ่ เพ้ยี นมาจากคำ� ไทยวา่ บางกอก
เดิมบางกอกเป็นชุมชนเล็ก ๆ มีแม่น้�ำเจ้าพระยาไหลคดเค้ียวโอบล้อม
ลกั ษณะดคู ลา้ ยถงุ กน้ กลม ตอ่ มามกี ารขดุ คลองลดั เชอื่ มแมน่ ำ�้ เจา้ พระยาทคี่ ดโคง้
ตรงบรเิ วณทเี่ สมอื นปากถงุ กระแสนำ้� ในคลองลดั ไหลพงุ่ แรงทำ� ใหค้ ลองกวา้ งออก
จนกลายเปน็ แม่น�้ำ ส่วนแม่นำ้� ซึง่ คดเคย้ี วกลบั ตื้นเขนิ จนกลายเปน็ คลอง ได้แก่
คลองบางกอกนอ้ ย คลองตลงิ่ ชนั คลองบางระมาด และคลองบางกอกใหญ่ ชมุ ชน
บางกอกเดิมซ่ึงเคยมีแม่น้�ำเจ้าพระยาโอบล้อมกลับกลายเป็นอยู่ ๒ ฝั่งแม่น้�ำ
เจ้าพระยา และมีผู้คนมาต้ังบ้านเรือนมากขึ้นจนกลายเป็นชุมชนใหญ่ มีสภาพ
เป็นเมืองชื่อว่าธนบุรีศรีมหาสมุทรในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เมืองน้ี
เป็นเมืองหน้าด่านทางการค้า พื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์ และมีป้อมปราการที่
แขง็ แกร่งป้องกันการรกุ รานจากข้าศึก
12
เมอื่ สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราชทรงสถาปนาธนบรุ เี ปน็ เมอื งหลวงของ
ไทย ไดท้ รงสรา้ งพระบรมมหาราชวงั ทฝ่ี ง่ั ตะวนั ตกของแมน่ ำ�้ เจา้ พระยา แตต่ อ่ มา
พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราชทรงสรา้ งพระบรมมหาราชวัง
ที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้�ำ เมืองหลวงของไทยจึงย้ายจากฝั่งตะวันตกมาฝั่ง
ตะวนั ออกของแมน่ ำ้� เจา้ พระยา แตก่ ถ็ อื ไดว้ า่ พฒั นามาจากบางกอกเชน่ เดยี วกบั
กรุงธนบรุ ี
เมอื งหลวงใหมข่ องไทยนเ้ี ดมิ ชอื่ ซงึ่ จารกึ ในพระสพุ รรณบฎั เมอ่ื พ.ศ.๒๓๒๕
คอื กรุงเทพมหานคร บวรทวาราวดศี รีอยุธยา มหาดลิ กภพนพรัตน์ ราชธานี
บุรีรมย์มหาสถานฯ ชื่อน้ีเหมือนกับชื่อกรุงศรีอยุธยาเพียงแต่ยาวกว่า คือช่ือ
กรุงศรีอยุธยามีว่า กรุงเทพมหานคร บวรทวาราวดีศรีอยุธยา มหาดิลกภพ
นพรัตน์ ราชธานีบุรีรมย์ นอกจากนั้นยังมีอีกช่ือหนึ่งคือ กรุงรัตนโกสินทร์
อินทรอโยธยา หรอื กรงุ รัตนโกสินทร์ อินทรอยุธยา
หลังจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงสร้าง
ปราสาทราชมณเฑยี รเสรจ็ สมบรู ณไ์ ดโ้ ปรดเกลา้ ฯ ใหฉ้ ลองพระนครเปน็ งานใหญ่
และพระราชทานชื่อพระนครใหม่ว่า กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์
มหนิ ทรายธุ ยามหาดลิ กภพนพรตั น์ ราชธานบี รุ รี มย์ อดุ มราชนเิ วศนม์ หาสถาน
อมรพมิ านอวตารสถิต สกั กะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธ์ิ
เห็นได้ว่าพระองค์ทรงเปล่ียนแปลงวรรคที่ว่า บวรทวาราวดี เป็น บวร
รัตนโกสินทร์ ค�ำวา่ โกสนิ ทร์ แปลว่า พระอนิ ทร์ ลว่ งมาอกี ๓ รชั กาล ในรชั สมัย
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ ปลย่ี น บวรรตั นโกสนิ ทร์
เป็น อมรรตั นโกสินทร์ เรียกกนั ยอ่ ๆ ว่ากรงุ เทพฯ
กรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงของไทยเร่ือยมาจนเมื่อทางราชการเปลี่ยน
การเรียกช่ือเมืองเป็นจังหวัดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๙ เมืองหลวงของไทยก็ไม่เรียกว่า
กรงุ เทพฯ แตเ่ รยี กวา่ จังหวัดพระนคร จังหวัดพระนครเปน็ เมอื งหลวงของไทย
จนถึงวันท่ี ๒๒ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๑๔ คณะปฏวิ ตั ิกป็ ระกาศให้รวมจังหวัดธนบุรี
13
เข้ากับจังหวัดพระนคร เมืองหลวงไทยจึงมีช่ือใหม่ว่า นครหลวงกรุงเทพธนบุรี
หลังจากน้ันอีกเพียงปีเดียวในวันท่ี ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ คณะปฏิวัติก็
ประกาศให้เปล่ยี นช่อื เมอื งหลวงอกี คร้งั หนง่ึ คือ เปลย่ี นเปน็ กรงุ เทพมหานคร
กรงุ เทพมหานครเป็นชือ่ เมืองหลวงของไทยตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๔ มาจนถงึ
ปจั จบุ นั แตค่ นไทยจำ� นวนมากกย็ งั เรยี กชอื่ เมอื งหลวงวา่ บางกอก ทง้ั ๆ ทชี่ มุ ชน
บางกอกไม่มีอกี แลว้
เมอื่ วนั ที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ กรงุ เทพมหานครไดป้ ระกาศคำ� ขวญั
กรุงเทพมหานครวา่ “กรงุ เทพฯ ดจุ เทพสร้าง เมอื งศนู ย์กลางการปกครอง วัด
วัง งามเรอื งรอง เมืองหลวงของประเทศไทย”
(รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา)
กะแปะ-อีแปะ
กะแปะ กับ อีแปะ มีความหมายเหมือนกัน พจนานุกรม ฉบับ
ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ใหค้ วามหมายของค�ำทัง้ สองไว้ดังน้ี
กะแปะ น.เงนิ ปลกี โบราณเชน่ กะแปะทองแดงกะแปะดบี กุ , อ แี ปะกเ็ รยี ก.
อแี ปะ ๑ น. เงินปลีกโบราณ, กะแปะ ก็เรยี ก.
เม่ือดูพจนานุกรมสมัยต้นรัตนโกสินทร์ พบว่าค�ำว่า อีแปะ น่าจะมีใช้
แพร่หลายกว่าค�ำว่า กะแปะ ศริพจน์ภาษาไทย์ ให้ความหมายของอีแปะว่า
เงนิ จนี ขนาดเลก็ ทำ� ดว้ ยทองแดง ลปิ กิ รมายน ภาษาไทยแปลเปนภาษาองั กฤษ
ของ อ.ี บ.ี มเิ ชล ใหค้ วามหมายของอแี ปะวา่ เงนิ ขนาดเลก็ ทำ� ดว้ ยทองแดง สงั กะสี
ดีบุก แกว้ ฯลฯ และบอกทม่ี าของค�ำวา่ ภาษาจีน ค�ำวา่ กะแปะ ไม่ปรากฏใน
พจนานกุ รมทัง้ ๒ เลม่ แมแ้ ต่ ปทานกุ รมสำ� หรบั นักเรยี น พ.ศ. ๒๔๗๒ ก็ไม่มี
ค�ำว่า กะแปะ มแี ตค่ �ำว่า อแี ปะ ใหค้ วามหมายวา่ “อแี ปะ น. เหรยี ญตะก่วั มตี รา
จีนบุราณใช้อยา่ งเบย้ี สตางค์.”
14
สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำ� รงราชานภุ าพทรงกลา่ วถงึ อแี ปะ
ไว้ ปรากฏในหนังสอื สาสน์ สมเดจ็ ว่า คนจนี นำ� อแี ปะติดตัวมาจากเมืองจนี ไทย
เรามไิ ดใ้ ชอ้ ีแปะในการซอื้ ขายในท้องตลาด แตพ่ วกชาวมลายูตลอดขนึ้ มาจนถึง
ไทยท่ีเมอื งสงขลา พัทลงุ และนครศรธี รรมราชเอาอย่างอีแปะจีนมาท�ำใช้
ลักษณะของอีแปะน้ัน พระยาอนุมานราชธนบรรยายไว้ในหนังสือฟื้น
ความหลงั วา่
...อแี ปะเปน็ เงนิ ปลกี ของจนี ทำ� ดว้ ยทองเหลอื งเปน็ รปู กลม ๆ บาง ๆ
ตรงกลางมรี ูสำ� หรบั ร้อยเชอื ก เป็นท�ำนองเดียวกบั สตางคแ์ ดง ขอบอีแปะ
โดยรอบเป็นเส้นนูน รอบรูตรงกลางก็มีขอบนูนเช่นเดียวกัน แต่เป็นรูป
สเี่ หลย่ี ม ตวั อแี ปะด้านหนา้ มหี นังสอื อักษรจนี อยู่ขา้ งละสองตวั ได้ความ
วา่ เปน็ ค�ำบอกเมอื งท่ีท�ำอยหู่ น่งึ และบอกค่าของอแี ปะอกี ขา้ งหนึง่ ส่วน
ดา้ นหลงั เปน็ ตวั อกั ษรรปู ยาว ๆ คดไปคดมา วา่ เปน็ ตวั อกั ษรของพวกตาด
ชาวแมนจู ซง่ึ มาเปน็ ใหญใ่ นประเทศจนี สมยั ราชวงศเ์ ชง ไดค้ วามวา่ บอกที่
ท�ำและค่าของอีแปะน้ันท�ำนองเดียวกัน ซ่ึงบัดนี้ไม่มีแล้ว อีแปะน้ัน
ลางทีกเ็ รียกว่า กะแปะ...
นอกจากอีแปะของจีน พระยาอนุมานราชธนยังกล่าวถึงอีแปะท่ีใช้ใน
โรงบอ่ นอกี ด้วย อีแปะในโรงบอ่ นไม่ได้ทำ� ดว้ ยทองเหลอื ง แต่ท�ำด้วยตะกัว่ จึงมี
ราคานอ้ ย พระยาอนมุ านราชธนไมท่ ราบแน่ว่าอแี ปะมีราคาเท่าไรหากเทียบกับ
เงินปลีกของรัฐบาล ท่านเข้าใจว่าแต่เดิมโรงบ่อนคงคิดเทียบก�ำหนดกันข้ึนเอง
ตามชอบใจ
คำ� วา่ กะแปะ ผ้ทู เี่ รมิ่ ใช้ข้นึ ก่อนอาจได้แกพ่ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้
เจ้าอยู่หัว ค�ำนปี้ รากฏในประกาศใหใ้ ช้กะแปะ อัฐ แลโสฬสที่ทำ� ข้นึ ใหม่ เมอ่ื
พ.ศ. ๒๔๐๕ ความตอนหนึง่ ว่า
...บัดนี้ในกรุงเทพมหานครคิดประกอบการกลไฟท�ำกะแปะ
ดีบุกผสมด้วยทองแดงแลดีบุกด�ำ ท�ำให้แข็งกว่าดีบุกปรกติ มีพ้ืน
15
เกลี้ยงเกลาดี แลลวดลายเรียบร้อย หน้าหนึ่งมีตราจักรรูปช้างอยู่กลาง
มีอักษรไทยบอกประมาณอยู่ข้างบน เลขแลอักษรอังกฤษบอกประมาณ
กระหนาบอยสู่ องขา้ ง มอี กั ษรจนี บอกประมาณอยขู่ า้ งลา่ ง เพอื่ จะใหร้ งู้ า่ ย
ท้ังสามภาษา ซึ่งเป็นจ�ำพวกขายค้าโตใหญ่ได้รู้เสมอกัน หน้าหน่ึงมีตรา
ประจำ� ปตั ยบุ นั นี้ เพอื่ จะใหร้ วู้ า่ เปน็ ของเกดิ ขน้ึ ในแผน่ ดนิ ปตั ยบุ นั นท้ี กุ แผน่
กะแปะอย่างน้ีก็หมดจดดี เกลี้ยงเกลากว่ากะแปะทองเหลืองจีน แล
กะแปะสังกะสีของญวน แลปี้ทองเหลืองเช่นใช้ในบ่อนเบี้ยทั้งปวง เห็น
เป็นแนว่ ่าผู้อน่ื ไม่ทำ� ปลอมได้ ควรจะใช้ทั่วท้ังพระราชอาณาเขต...
คำ� วา่ กะแปะ ฟงั ไพเราะดกี วา่ อีแปะ แต่ในเมือ่ คนทว่ั ไปใช้คำ� วา่ อแี ปะ
กันจนชินแลว้ จงึ ยังคงนิยมใชค้ ำ� ว่า อีแปะ มากกวา่
(รศ. ดร.นววรรณ พนั ธุเมธา)
หนงั สืออา้ งองิ
นริศรานุวัดติวงศ์, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยา และสมเด็จ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานภุ าพ. สาส์นสมเด็จ. พิมพ์
คร้ังท่ี ๒. กรงุ เทพฯ : องค์การค้าของครุ สุ ภา, ๒๕๑๕.
ประชมุ ประกาศรชั กาลท่ี ๔. พมิ พใ์ นงานพระราชทานเพลงิ ศพ พลโท หมอ่ มเจา้
ชดิ ชนก กฤดากร ณ วดั เทพศริ นิ ทราวาส วนั ท่ี ๒๖ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๔๑.
๒ เล่ม.
ราชบณั ฑติ ยสถาน.พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถานพ.ศ.๒๕๕๔.กรงุ เทพฯ:
นานมีบคุ๊ ส์, ๒๕๕๖.
ศรพิ จนภ์ าษาไทย์ พจนานกุ รมไทย-ฝรงั่ เศส-องั กฤษ ฉบบั Bishop J. L. Vey
ค.ศ. ๑๘๙๖. กรงุ เทพฯ : คณะอนกุ รรมการช�ำระกฎหมายตราสามดวง
ส�ำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี, ๒๕๔๕.
เสฐยี รโกเศศ. ฟน้ื ความหลงั . พระนคร : ศึกษติ สยาม, ๒๕๑๐.
อ.ี บ.ี มเิ ชล. ลปิ กิ รมายน ภาษาไทยแปลเปนภาษาองั กฤษ. กรงุ เทพฯ, ร.ศ. ๑๑๐.
16
กะหลาป๋า
ค�ำวา่ กะหลาปา๋ ซ่งึ เขยี นกันต่าง ๆ เช่น กระหลาปา๋ กาหลาป๋า พบใน
เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ขุนแผนท�ำกระจกมนตร์เพื่อให้รู้ว่าพระไวยถูกเสน่ห์
หรอื ไม่ มบี ทกลอนกลา่ วถึงกระจกกะหลาปา๋ ดงั นี้
อเี ม้ยรบั กลบั เข้าในหอ้ งใน หยิบกระจกบานใหญก่ ระหลาป๋า
เทศแท้เท่ียงดีมรี าคา เอาออกมาให้ขนุ แผนผแู้ ว่นไว
และในบทละครเรื่องระเด่นลันได ก็มบี ทกลอนชมโฉมนางประแดะนางเอกของ
เรือ่ งว่า สงู เหมือนอูฐกะหลาป๋า ดงั นี้
สงู ระหงทรงเพรียวเรยี วรดู งามละมา้ ยคล้ายอฐู กะหลาป๋า
พิศแตห่ วั ตลอดเท้าขาวแตต่ า ท้งั สองแกม้ กลั ยาดังลกู ยอ
กระจกกระหลาป๋าหมายถึงกระจกท่ีมาจากเมืองกระหลาป๋า และอูฐ
กะหลาป๋า หมายถึงอฐู ท่มี าจากเมอื งกะหลาปา๋ ชาวเมืองกะหลาป๋าคงจะติดตอ่
คา้ ขายกบั ไทยมานาน จนคนไทยสมยั กอ่ นคนุ้ เคยกบั คำ� น้ี ในบทยอพระเกยี รติ ๓
รชั กาล ของพระยาไชยวชิ ติ (เผอื ก) กก็ ลา่ วถงึ กะหลาปา๋ (เขยี น กระหลาปา๋ ) ไวว้ า่
จะวา่ ขา้ งสิง่ ของท้องนำ้� สลบุ ล�ำก�ำปน่ั ก็หนักหนา
อแจจีนส�ำเภาเลากา ย่ปี ุ่นกระหลาปา๋ เข้ามากรงุ
พจนานุกรมสมัยต้นรัตนโกสินทร์หลายเล่มมีค�ำว่า กะหลาป๋า เช่น
อกั ขราภิธานศรบั ท์ หนา้ ๒๖ ให้ความหมายของค�ำ กะหลาปา๋ วา่
กะหลาป๋า, เปนช่อื เกาะอนั หนง่ึ ท่ีข้ึนแกเ่ มืองวิลันดานน้ั .
และ ศริพจน์ภาษาไทย์ ให้ความหมายของค�ำ กาหลาปา๋ วา่ “Batavia
(town)” และใหค้ วามหมายของคำ� “เลา่ กาหลาปา๋ ” วา่ “Rum from Batavia.”
นแ่ี สดงวา่ กะหลาปา๋ เคยขน้ึ กบั วลิ นั ดา หรอื เรยี กอกี อยา่ งหนง่ึ วา่ ฮอลนั ดา
คนองั กฤษเรยี กกะหลาปา๋ วา่ บะเตเวยี ทมี่ าของคำ� วา่ กะหลาปา๋ และ บะเตเวยี น้ี
17
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพทรงอธิบายไว้ใน
ลายพระหัตถ์ ลงวันท่ี ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ปรากฏในหนงั สอื สาสน์ สมเดจ็
เล่ม ๔ หน้า ๑๐๑-๑๐๒ วา่
หมอ่ มฉนั พบอธบิ ายศพั ท์ “กลา๋ ปา๋ ” ในหนงั สอื วา่ ดว้ ยเมอื งชวาเรอื่ ง
หนง่ึ วา่ เดมิ เจา้ ชวาองค์ ๑ ตง้ั เมอื งขนึ้ ทีต่ ำ� บลสนุ ดากลา๋ ป๋า แปลค�ำไวใ้ น
หนังสือนั้นว่า ต�ำบลป่ามะพร้าวแล้วขนานนามเมืองท่ีตั้งข้ึนใหม่ น้ัน
ตามภาษาสันสกฤตว่า “ชัยเกษตร” จึงเรียกกันว่าเมือง “ยักกัตตรา”
เดิมพวกฮอลันดาไปเช่าที่ต้ังสถานีการค้าในแขวงเมืองยักกัตตรานั้น
ครั้นตั้งได้มั่นคงจึงสร้างป้อมข้ึนที่สถานี เอาชื่อ รีปับลิคในฮอแลนด์มา
เรยี กชอ่ื ปอ้ มวา่ “บะเตเวยี ” ฝา่ ยเจา้ เมอื งยกั กตั ตราเหน็ วา่ พวกฮอลนั ดาจะ
คิดร้ายจึงยกกองทัพไปขับไล่ แต่รบแพ้พวกฮอลันดาถึงเสียเมือง
ยกั กตั ตรา พวกฮอลนั ดาจงึ ยา้ ยมาตง้ั ทเี่ มอื งยกั กตั ตราเปน็ ทมี่ นั่ เอาชอ่ื ปอ้ ม
มาขนานเปน็ นามเมอื งวา่ เมอื งบะเตเวยี แตพ่ วกราษฎรชาวเมอื งชวากบั ทงั้
พวกมลายู และไทยเราเรยี กตามชอื่ เดมิ ของตำ� บลวา่ เมอื งกลา๋ ปา๋ (เหมอื น
อยา่ งเรยี กกรงุ รตั นโกสนิ ทรว์ า่ บางกอก) พวกมลายยู งั เรยี กกนั อยา่ งนน้ั อยู่
จนทกุ วันนี้ ต้นมะพร้าวก็ยงั เรียกว่ากลา๋ ปา๋ อยู่ในภาษามลายู เพราะเหตุ
ดังกล่าวมา ค�ำกล๋าป๋าที่ไทยเราเอาไปใช้เป็นคุณศัพท์ว่า แก้วกล๋าป๋า
อูฐกลา๋ ปา๋ ชมพกู่ ลา๋ ปา๋ เป็นตน้ หมายความวา่ เป็นของทไี่ ดม้ าจากเมือง
บะเตเวยี นั้นเอง
ต่อมาในลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๕ ปรากฏใน
หนงั สือสาส์นสมเดจ็ เล่ม ๒๕ หนา้ ๔๗ ทรงอธิบายเพม่ิ เติมวา่
มีเรื่องต�ำนานมาดังน้ี คือท่ีตรงน้ันมีล�ำแม่น้�ำอันเรียกช่ือมาแต่
โบราณว่า “ลำ� น้�ำกะหลาป๋า” แปลวา่ “ลำ� น�้ำปา่ มะพรา้ ว” ถงึ สมยั เม่ือ
พวกชวาถือศาสนาพราหมณ์ มีเจ้าชวาองค์หน่ึงมาต้ังเมืองเป็นราชธานี
อยู่รมิ แมน่ ำ�้ กะหลาป๋า ขนานนามเมืองว่า “ยกั กดั ตา”
18
แม่น�้ำกะหลาป๋านี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทอด
พระเนตรเม่ือคร้ังท่ีพระองค์เสด็จประพาสชวาครั้งที่ ๒ เมื่อ ร.ศ. ๑๑๕ (พ.ศ.
๒๔๓๙) ดงั มขี อ้ ความในหนังสอื ระยะทางเท่ียวชวากวา่ สองเดือน หนา้ ๖๗ วา่
เวลาพลบออกจากสวนไปข่ีรถดูตามถนน พบแม่น้�ำหลายแห่ง มี
แมน่ ำ้� อนั หนง่ึ ทเ่ี รยี กวา่ แมน่ ำ้� กระหลาปา๋ ชา่ งเขา้ ใจซมึ ทราบดเี สยี จรงิ ๆ...
นอกจากแม่น�้ำกระหลาปา๋ พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั ยัง
ทรงกล่าวถึงเครื่องแก้วกะหลาป๋าและชมพู่กะหลาป๋าไว้ในหนังสือเล่มเดียวกัน
หนา้ ๔๕ และ ๕๓ ดังน้ี
๑...แมเ่ ลก็ [สมเดจ็ พระศรีพชั รินทราบรมราชนิ นี าถฯ] ซ้อื เคร่อื งโต๊ะแกว้
หนามขนุนส�ำรับหน่ึงเพื่อจะให้เปนที่รฤกในการท่ีได้มาเมืองกระหลาป๋า ท่ีเรา
แตก่ ่อนนับถอื กนั วา่ เปนแก้วอยา่ งด.ี ..
๒...นา่ นลี้ กู เงาะวายแตย่ งั มพี อกนิ มงั คดุ ลกู ชมพสู่ าแหรก ชมพกู่ ะหลาปา๋
ขายตามตลาดเกลอื่ น...
คนไทยสมัยนั้นคงรู้จักเครื่องแก้วกะหลาป๋าและชมพู่กะหลาป๋าว่าเป็น
เคร่ืองแก้วอย่างดี และชมพู่รสชาติดีท่ีมาจากเมืองกะหลาป๋า ในค�ำให้การขุน
หลวงวดั ประดทู่ รงธรรม กลา่ ววา่ เครอ่ื งแกว้ กาหลาปา๋ มอี ยใู่ นทอ้ งพระคลงั ดงั นี้
...มีพระคลังพิมานอากาศไว้กระจกเทศ พรมเทศ เครื่องแก้วมา
แตเ่ ทศกาหลาปา๋
และพระยาศรสี นุ ทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) กก็ ล่าวถึงชมพ่กู ระหลาป๋าใน
แบบเรียนพรรณพฤกษาและสัตวาภธิ าน ดงั น้ี
ชมพ่อู กี หม่นู ้ี จะเชดิ ช้ีนามกร
ที่มาแตน่ คร กระหลาปา๋ สมญามี
19
ผลไม้ที่ไทยได้มาจากชวาไม่ได้มีแต่ชมพู่เท่านั้น ยังมีลางสาดอีกด้วย
เจา้ พระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค) เมื่อครัง้ ยงั เปน็ พระยาภาสกรวงศเ์ ขียนถงึ
ลางสาดกะหลาป๋าไว้ในบทความเรื่องสวน ลงพิมพ์ในหนังสือ วชิรญาณวิเศษ
เลม่ ๔ ร.ศ. ๑๐๘ (พ.ศ. ๒๔๓๒) ดงั นี้
ลางสาด ปลูกท่ีต�ำบลคลองสาน มักมีรสหวานเจือหอม พิเศษดี
กว่าที่ต�ำบลอ่ืน แลพันธุ์เมืองชวาหรือบะเตเวียที่เป็นเมืองหลวง “เก๋ง”
ภาษาว่ากะหลาป๋านั้น พันธุ์ท่ีมาปลูกเป็นข้ึนในบ้านเมืองเรา มีผลเข่ือง
เตบิ บา้ ง พวงใหญง่ ามดี สเี นอ้ื ขาวซดี มรี สหวานชดื จดื โอชะไมถ่ งึ ลางสาด
ของเรา เปน็ แตน่ บั ถอื วา่ เปน็ ของชกั นำ� มาแตต่ า่ งประเทศเทา่ นนั้ ดว้ ยเปน็
ของยงั มีน้อยตน้ อยู่ เรยี กกันว่า “ลางสาดกะหลาปา๋ หรือบะเตเวีย”...
คำ� วา่ กะหลาปา๋ ทใี่ ชต้ อ่ ทา้ ยคำ� เรยี กสงิ่ บางสงิ่ แสดงวา่ ไทยรบั สงิ่ เหลา่ นน้ั
มาจากเมอื งกะหลาป๋า ปจั จุบนั คำ� วา่ กะหลาปา๋ เลิกใชไ้ ป และสิง่ ท่ีไทยรบั มาจาก
เมืองกะหลาปา๋ กห็ มดความนิยมไปเช่นกนั
(รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา)
หนังสืออา้ งอิง
จลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั , พระบาทสมเดจ็ พระ. ระยะทางเทย่ี วชวากวา่ สองเดอื น.
กรงุ เทพฯ : แสงดาว, ๒๕๕๕.
นริศรานุวัดติวงศ์, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยา และสมเด็จ
พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำ� รงราชานภุ าพ. สาสน์ สมเด็จ. พมิ พ์
ครัง้ ที่ ๒. กรุงเทพฯ : องคก์ ารคา้ ของคุรสุ ภา, ๒๕๑๕. ๒๗ เล่ม.
มหามนตรี (ทรัพย์), พระ. บทละครเรอื่ งระเด่นลนั ได. พระนคร : พิมลชัยศกึ ษา
การณ,์ ๒๕๐๓.
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔.
กรุงเทพฯ : นานมบี ุค๊ ส,์ ๒๕๕๖.
20
ศรีสนุ ทรโวหาร, พระยา (น้อย อาจารยางกูร). ภาษาไทย เล่ม ๓. พระนคร :
แพร่พิทยา, ๒๕๑๔.
ศลิ ปากร, กรม. วชิ าอาชพี ชาวสยาม จากหนงั สอื วชริ ญาณวเิ ศษ ร.ศ. ๑๐๘-๑๑๓.
กรงุ เทพฯ : เอดิสนั เพรส โพรดักส์, ๒๕๕๔.
อกั ขราภธิ านศรบั ท์ ของหมอปรดั เล. พระนคร : องคก์ ารคา้ ของครุ สุ ภา, ๒๕๑๔.
การยกเลกิ อกั ษรทม่ี เี สียงซ�ำ้ กัน
อกั ษรท่ีใชแ้ สดงเสียงพยัญชนะของไทยมี ๔๔ ตัว อกั ษร ๒ ตัว ทเี่ ลกิ ใช้
ไปคอื ฃ ขวด และ ฅ คน สาเหตุที่ยกเลกิ ไมใ่ ช้น่าจะเป็นเพราะ ฃ และ ฅ มที ีใ่ ช้
น้อย และแมเ้ ม่อื ยกเลิกไป กไ็ มก่ ระทบกระเทอื นอกั ขรวิธไี ทย เพราะ ฃ ขวด
มีเสียงซ้�ำกับ ข ไข่ ฅ คน มีเสียงซ�้ำกับ ค ควาย เมื่อยกเลิก ฃ ขวด ฅ คน
แล้ว กใ็ ช้ ข ไข่ ค ควาย แทนได้
การยกเลิก ฃ ฅ น่าจะเริ่มต้ังแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว ใน พ.ศ. ๒๔๓๔ เอ็ดวนิ ฮนั เตอร์ แม็คฟาร์แลนด์ ได้เอาตัวหนังสือไทย
ใส่เข้าในเครื่องพิมพ์ดีด แต่ตัวอักษรไทยมีถึง ๔๔ ตัว ใส่แป้นอักษรที่ดัดแปลง
จากแป้นตัวอักษรโรมันไม่พอ จึงต้องตัดตัวอักษรออก ๒ ตัว อักษรท่ีถูกตัดใน
คร้งั นัน้ คอื ฃ ฅ ในพจนานกุ รม ฉบับกรมศึกษาธกิ าร ร.ศ. ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๔๓๔)
ไม่ปรากฏค�ำที่ใช้ ฃ และ ฅ โดยให้เหตุผลว่า ฃ มีเสียงเหมือนกับ ข และ ฅ
มีเสียงเหมือนกับ ค
อย่างไรกต็ าม ต่อมามกี ารใส่ตวั ฃ ฅ ในเครื่องพมิ พ์ดีดอกี แต่กค็ งใช้ในคำ�
ไมม่ าก จงึ ถกู ยกเลกิ ไปในทสี่ ดุ ดงั ทพี่ ระยาอปุ กติ ศลิ ปสารเขยี นไวใ้ นหนงั สอื หลกั
ภาษาไทยว่า “ตัว ฃ ฅ เดมิ มีใชต้ ัวละค�ำ คือ ฃ ใชใ้ นค�ำวา่ ‘เฃตร’ และ ฅ ใชใ้ น
ค�ำวา่ ‘ฅอ’ แต่บัดน้ใี ช้ ข ค แทนแล้ว นับว่าไมม่ ีที่ใช”้ หากส�ำรวจปทานุกรมของ
กระทรวงธรรมการซง่ึ พมิ พ์เม่ือ พ.ศ. ๒๔๗๐ กจ็ ะพบวา่ ไม่มคี �ำใดท่ใี ช้ ฃ และ ฅ
อนั ท่จี ริง ฃ ฅ นา่ จะเคยใช้ในคำ� หลายคำ� และนา่ จะเคยมีเสยี งต่างกบั ข
ค ไมเ่ ชน่ นนั้ คงไมม่ กี ารคิดอักษร ฃ ฅ ข้ึนใช้ในภาษาไทย จารกึ พ่อขนุ รามค�ำแหง
21
มหาราชมคี �ำทีใ่ ช้ ฃ ฅ อย่หู ลายค�ำ เช่น ฃ้นึ ฃุน ฃาม เฃ้า ฅมู้ ฅวาม แฅว เสยี ง ฃ
และ ฅ ในคำ� เหลา่ นแี้ ตเ่ ดมิ นา่ จะออกเสยี งตา่ งกบั ข ค ข และ ค เปน็ พยญั ชนะกกั
ท่ีฐานเพดานอ่อน สว่ น ฃ และ ฅ นกั ภาษาศาสตร์บางคนสันนิษฐานวา่ เปน็ เสยี ง
ทเ่ี กดิ ทฐ่ี านล้ินไก่ซึ่งอยู่ถัดจากบริเวณเพดานออ่ นเขา้ ไป แต่บางคนก็สนั นษิ ฐาน
ว่าเปน็ เสยี งเสียดแทรกเกิดที่เพดานอ่อน
ฃ และ ฅ ถูกยกเลิกไปเพราะปัจจยั ทมี่ เี สียงซำ�้ กบั ข ค และมีที่ใชน้ ้อย
นอกจาก ฃ ฅ ยังมีอักษรเขียนหลายคู่ที่มีเสียงซ�้ำกันและเคยต้องถูกยกเลิก
แต่ต่อมาก็หวนกลับมาใช้อีก เหตุผลที่ยกเลิกปรากฏใน “ประกาสส�ำนักนายก
รถั มนตรี เรอื่ งการปรบั ปรงุ ตวั อกั สรไทย” ลงวันที่ ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๕
ในราชกิจจานุเบกสา เล่ม ๕๙ ตอน ๓๕ วนั ที่ ๑ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๔๘๕ หน้า
๑๑๓๗-๑๑๔๑ ในสมยั ทจ่ี อมพลแปลก พิบูลสงคราม เปน็ นายกรฐั มนตรี ดังนี้
...กรรมการส่งเสิมวัธนธรรมภาสาไทยได้มีการประชุมกันเป็น
ครัง้ แรก เม่อื วนั ท่ี ๒๓ พรึสภาคม ๒๔๘๕ มคี วามเห็นไนชั้นต้นว่า สมควน
จะปรับปรุงตัวอักสรไทยไห้กระทัดรัดเพ่ือได้เล่าเรียนกันได้ง่ายย่ิงข้ึน
ได้พิจารนาเห็นว่า ตวั สระและพยัชนะของภาสาไทยมอี ยู่หลายตวั ท่ซี ้�ำ
เสยี งกนั โดยไมจ่ ำ� เปน็ ถา้ ไดง้ ดไชเ้ สยี บา้ งกจ็ ะเปน็ ความสดวกไนการสกึ สา
เล่าเรยี นภาสาไทยไหเ้ ปน็ ท่ีนิยมยง่ิ ขึน้ ตวั อักสรที่ควนงดไชค้ ือ_
สระ
สระ ใ, ฤ, ฤๅ, ฦ, รวม ๕ ตัว
พยญั ชนะ
พยัชนะ ฃ, ฅ, ฆ, ฌ, ฎ, ฏ, ฐ, ฑ, ฒ, ณ, ศ, ษ, ฬ
รวม ๑๓ ตัว ส่วน ญ (หญงิ ) ไห้คงไว้ แตไ่ ห้ตัดเชิงออกเสีย คงเป็นรปู
(ไม่มเี ชงิ )...
ในประกาศมรี ายละเอยี ดอกี มาก และหลงั จากนนั้ ยงั มปี ระกาศหลกั เกณฑ์
เพ่ิมเติมออกมาอีก ข้อความในประกาศแสดงว่ากรรมการส่งเสริมวัฒนธรรม
22
ภาษาไทยเห็นข้อยุ่งยากในการเขียนหนังสือไทยและพยายามแก้ไข แต่คนไทย
จำ� นวนมากไมพ่ อใจ เพราะหากเปลย่ี นแปลงการเขยี นหนงั สอื ไทยตามประกาศ ก็
จะมปี ญั หาในดา้ นศกึ ษาทมี่ าของคำ� และจะไมส่ ามารถแยกคำ� พอ้ งเสยี ง คอื คำ� ทมี่ ี
เสยี งเหมอื นกนั แตค่ วามหมายตา่ งกนั ได้ การเขยี นหนงั สอื ไทยตามแบบทป่ี รบั ปรงุ
ใหม่น้ีจึงมีระยะเวลาส้ัน เม่ือจอมพลแปลก พิบูลสงคราม หมดอ�ำนาจลงใน
พ.ศ. ๒๔๘๗ รัฐบาลใหม่ก็ยกเลิกการเขียนหนังสือไทยตามแบบที่ปรับปรุงใหม ่
อกั ษรไทยท่มี เี สยี งซ้ำ� กันก็ยงั คงซ�้ำกนั เชน่ เดมิ
(รศ. ดร.นววรรณ พันธเุ มธา)
การเวก-วายุภกั ษ์
การเวก เรียกอีกช่ือหนึ่งว่า กรวิก ในวรรณคดีใช้ทั้งค�ำว่า กรวิก และ
การเวก เชน่ สมทุ รโฆษคำ� ฉนั ท์ มวี ่า
โหยหงสร้องกอ้ ง กรวิกแกมกัน
สมสรวลกนั ซรอ้ งนนั วิกาโกญจโกกลิ
และพระราชนิพนธ์เร่ืองรามเกียรติ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า
จุฬาโลกมหาราช มีว่า “เสนาะเสียงส�ำเนียงนกการเวก ออกจากเมฆแซ่ซ้อง
ร้องถวาย”
การเวกและกรวกิ เปน็ ชอื่ นกทอ่ี ยใู่ นปา่ หมิ พานต์ คำ� วา่ กรวกิ นน้ั นอกจาก
จะเปน็ ชอื่ นกแลว้ ยงั เปน็ ชอ่ื เขาชนั้ ที่ ๓ ทล่ี อ้ มเขาพระเมรรุ าช ซงึ่ ประดษิ ฐานอยู่
ทา่ มกลางจักรวาล เขาสัตตบริภัณฑ์ ๗ ชนั้ ทล่ี ้อมเขาพระเมรุราช เรียงจากเขา
ชั้นในไปยังชัน้ นอก ไดแ้ ก่ ยคุ นั ธร อิสินธร กรวกิ สทุ ัสสนะ เนมินธร วินนั ตกะ
อสั สกณั ณะ ตามลำ� ดับ
เขากรวิกได้ชื่อเช่นน้ีเพราะมีนกกรวิกอยู่จ�ำนวนมาก นกกรวิกเป็นนกที่
มีเสยี งหวานไพเราะ ดงั ไตรภูมพิ ระร่วงพรรณนาไวว้ า่ เสอื กำ� ลงั จะกินเน้ือ คร้ัน
ได้ยินเสียงกรวกิ กล็ ืมกนิ เดก็ ท่ถี ูกไลต่ ี ครน้ั ไดย้ นิ เสียงกรวกิ ก็มิรสู้ ึกทจี่ ะแล่นหนี
23
นกท่บี ินในอากาศ คร้ันไดย้ นิ เสยี งนกกรวิก กม็ ริ สู้ กึ ท่ีจะบนิ ปลาทีก่ ำ� ลงั วา่ ยน้ำ�
อยู่ คร้ันไดย้ นิ เสยี งนกกรวิก ก็มริ ูส้ กึ ที่จะว่ายไป
ไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา พรรณนาความมหัศจรรย์ของเสียงนกกรวิกไว้
ท�ำนองเดียวกัน เพียงแต่เรียกชื่อต่างออกไปว่านกการเวก และกล่าวว่า นก
การเวกกนิ มะมว่ งทม่ี รี สหวานโดยใช้จะงอยปากจกิ จบิ น�้ำของผลมะม่วง
ลกั ษณะของนกการเวกนน้ั พระยาอนมุ านราชธนกลา่ ววา่ ในสมดุ ภาพสตั ว์
หิมพานต์ มหี ัว มือ และตนี เหมอื นครุฑ ปีกอยูท่ ่สี องข้างตะโพก ขนหางคล้าย
ใบมะขาม ยาวอย่างนกยูง สว่ นในสมุดภาพรอยพระพุทธบาท ฉบบั วงั หน้าใน
รชั กาลท่ี ๓ นกการเวกมคี อยาว และหวั เหมอื นนกกระทงุ ขนหางเปน็ พวงเหมอื น
ไก่ ขายาวเหมือนนกกระเรียน ขนของนกการเวกวิเศษนักอาจกลายเปน็ ทองคำ�
ได้ ทา่ นเลา่ ไวใ้ นจดหมายทเ่ี ขยี นกราบทลู สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรม
พระยานริศรานุวดั ติวงศ์ ลงวนั ท่ี ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ว่า ถ้าต้องการขน
นกการเวก กลา่ วกนั วา่ ตอ้ งทำ� พธิ โี ดยทำ� รา่ งรา้ นไวบ้ นยอดไม้ เอาขนั ใสน่ ำ้� ไปวาง
ไว้ นกการเวกจะมาอาบนำ้� ในขนั แลว้ สลดั ขนไวใ้ ห้ ทา่ นสนั นษิ ฐานไว้ดว้ ยวา่ ไทย
นำ� คำ� วา่ การเวกมาใชเ้ รยี กนกทฝี่ รง่ั เรยี กวา่ paradise bird นกจำ� พวกนม้ี ขี นงาม
บางชนิดหางเปน็ พ่ยู าว มีอยู่ในเกาะนิวกินีและในท่อี ่นื ๆ แถวนน้ั ขนนกการเวก
ทมี่ อี ยใู่ นเครอ่ื งราชปู โภคนา่ จะไดจ้ ากขนนกจำ� พวกนี้ สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟา้ กรมพระยา
นริศรานุวัดติวงศ์ก็ทรงสันนิษฐานเช่นเดียวกัน ทรงเล่าไว้ในลายพระหัตถ์ตอบ
จดหมายของพระยาอนุมานราชธนว่าในรชั สมยั พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
เจา้ อยหู่ วั ไดต้ วั นกการเวกเปน็ นกยดั ไสม้ ขี นตดิ บรบิ รู ณ์ คอื paradise bird นนั่ เอง
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อย่หู ัวทรงจดั ข้ึนเอาเกาะคอนมดี ้าม ใหเ้ ด็กถอื
นำ� ยานมาศในงานสมเดจ็ เจา้ ฟา้ โสกนั ต์
ช่อื นกการเวกนำ� มาใชเ้ รียกพลอยชนิดหน่งึ ดว้ ย คือ พลอยสีขน้ี กการเวก
ภาษาอังกฤษว่า เทอร์คอยซ์ พลอยชนิดนี้มีสีฟ้าถึงสีฟ้าอมเขียว มีผู้กล่าวว่า
ทิเบตถือวา่ พลอยสีข้นี กการเวกเป็นอัญมณปี ระจ�ำชาติ และชนพน้ื เมืองบางเผา่
24
ในแถบอเมรกิ าใตเ้ ชอ่ื วา่ ถา้ มพี ลอยสขี นี้ กการเวกตดิ ตวั จะชว่ ยใหไ้ มเ่ กดิ อนั ตราย
ขณะข่ีม้า
มีนกในป่าหิมพานต์อีกชนิดหน่ึง เรียกว่า นกวายุภักษ์ เม่ือชูชกเท่ียว
หาอาศรมของพระเวสสันดรในป่าหิมพานต์ เพ่ือขอสองกุมารมารับใช้นาง
อมติ ตดาภรรยาของตนนัน้ ได้ไปพบพระอัจจตุ ฤๅษี พระฤๅษไี ด้ชว่ ยช้ีทางให้ชชู ก
และพรรณนาสัตว์ตา่ ง ๆ ในป่าหิมพานต์ มีความตอนหนง่ึ ว่า
...สกณุ กดไกแ่ กว้ กระหรอดกระเรยี นรอ้ งระวงั ไพร จากพรากเพรยี ก
จับพฤกษาไสวแสวงเหย่อื มาเผ่อื เพ่ือน สัตวาวายุภักษเ์ ลือ่ นชะลอลม...
ขอ้ ความขา้ งตน้ อยใู่ นมหาเวสสนั ดรชาดก กณั ฑม์ หาพน ซงึ่ พระเทพโมฬี
(กลน่ิ ) เปน็ ผนู้ พิ นธ์ ทา่ นผนู้ ม้ี ชี วี ติ อยใู่ นรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้
นภาลยั อนั ทจ่ี รงิ กอ่ นหนา้ นี้ คำ� วา่ วายภุ กั ษ์ กม็ ใี ชใ้ นภาษาไทยแลว้ ดงั มขี อ้ ความ
ในพระธรรมนนู ว่า
ตราปักษาวายภุ ักษ์ พระราชภักดศี รีรตั นราชสมบัติบดีพรี ยี ภาหะได้ใช้ไป
ต้ังนายรวาง หัวเมืองแลได้มีตราก�ำกับตราเจ้าจ�ำนวน ตั้งนายอากอรใน
กรงุ แขวงจงั หวัดแลหวั เมืองสรุ าบ่อนเบยี้ สมภกั ษรขนอนตลาดคา่ นำ�้ เตา
นำ�้ ตาน เรอื จา้ ง แลเรง่ เงนิ ตดิ คา้ งนายอากอรณะหวั วเมอื งปากใตฝ้ า่ ยเหนอื
ทั้งปวง ตราพญาราชภักดีไดใ้ ช้แตเ่ ทา่ น้ี
ตรานกวายภุ กั ษน์ ้ี สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟา้ กรมพระยานรศิ รานวุ ดั ตวิ งศท์ รงกลา่ ว
วา่ เปน็ รปู นกแบบสตั วห์ มิ พานต์ เมอื่ มกี ารตง้ั กระทรวงในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คณะเสนาบดีมอบหน้าที่ให้พระองค์ทรงเขียนตรา
กระทรวงพระคลังเป็นรูปนกวายุภักษ์ เพราะเห็นว่าเป็นตราต�ำแหน่งพระยา
ราชภกั ดี ผูม้ หี น้าทเ่ี ปน็ หวั หนา้ ท�ำการคลงั มาแต่กอ่ น พระองค์ทรงเปรียบเทียบ
ภาพนกวายภุ กั ษใ์ นตราพระยาราชภกั ดกี บั ภาพนกวายภุ กั ษใ์ นเรอื่ งรามเกยี รตท์ิ ี่
พระระเบยี งวัดพระศรรี ัตนศาสดาราม ภาพทง้ั สองนี้ตา่ งกันมาก ทรงเหน็ วา่ ผิด
25
ทั้งคู่ ต่อมาทรงพบว่าขนนกการเวกท่ีปักพระมาลาเรียกกันว่า ขนนกวายุภักษ์
ก็มี จึงทรงเขียนรูปนกวายุภักษ์ในตรากระทรวงพระคลังเป็นรูปนกการเวก
หรอื paradise bird เพราะทรงเชือ่ วา่ การเวกกับวายุภักษ์เปน็ นกชนดิ เดียวกัน
สาเหตทุ เ่ี รยี กนกการเวกเปน็ นกวายภุ กั ษ์ เพราะนกชนิดนก้ี นิ ลมเป็นอาหาร
อย่างไรก็ตาม พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย) อาจารยางกูร ได้เขียนถึง
นกการเวกและนกวายุภกั ษไ์ วใ้ นเรอ่ื งพรรณพฤกษาและสตั วาภธิ าน วา่
การเวกแหวกวายจุ ร ในพ้ืนอัมพร
แลส่งสำ� เนยี งเสยี งหวาน
วายภุ กั ษแสวงภกั ษาหาร บินในคัคนานต์
ประทะนกแขวกแถกถา
กาพย์ฉบังข้างต้นแสดงว่าพระยาศรีสุนทรโวหารซ่ึงเป็นผู้แต่งคิดว่านก
การเวกกบั นกวายุภักษ์เป็นนกต่างชนิดกนั
(รศ. ดร.นววรรณ พันธเุ มธา)
หนงั สืออ้างองิ
ไตรภูมกิ ถาของพระยาลไิ ทย. พิมพ์ครั้งท่ี ๒. พระนคร : องค์การค้าของคุรุสภา,
๒๕๐๖.
ธรรมปรีชา (แก้ว), พระยา. ไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา ฉบับที่ ๒. กรุงเทพฯ :
กรมศลิ ปากร, ๒๕๒๐.
นริศรานุวัดติวงศ์, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยา. บันทึกเร่ือง
ความรู้ต่าง ๆ ประทาน พระยาอนุมาราชธน เล่ม ๑. กรุงเทพฯ :
คณะอนุกรรมการจัดพิมพ์เอกสารเนื่องในวาระครบ ๑๐๐ ปี พระยา
อนมุ านราชธน, ๒๕๓๗.
ศิลปากร, กรม. เรอื่ งกฎหมายตราสามดวง. กรงุ เทพฯ, ๒๕๒๑.
สมทุ รโฆษคำ� ฉนั ท.์ พระนคร : องค์การคา้ ของคุรสุ ภา, ๒๕๐๔.
26
ขา้ วตอก
ข้าวตอกเป็นข้าวเปลือกข้าวเจ้าท่ีเอามาค่ัวให้แตกบานเป็นดอก ไทยใช้
ขา้ วตอกเปน็ เครอื่ งบูชาอยา่ งหนง่ึ ดังทส่ี มเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยา
ด�ำรงราชานภุ าพทรงพระนพิ นธไ์ ว้ในเร่ือง “อธบิ ายเครอื่ งบชู า” วา่
เครอ่ื งบชู าของไทย ถา้ วา่ ตามแบบแผนใชข้ อง ๔ สงิ่ เปน็ สำ� คญั คอื
เทยี น ๑ ธปู ๑ เขา้ ตอก ๑ ดอกไม้ ๑ แตต่ ามทใ่ี ชก้ นั เปน็ ปกตใิ นพนื้ เมอื งไทย
ทางฝ่ายใต้เชน่ ในกรุงเทพฯ นี้เปน็ ต้น ชอบใชแ้ ตด่ อกไม้ธปู เทยี น เข้าตอก
หาใครใ่ ชไ้ ม่ สว่ นไทยทางข้างเหนือ เชน่ ในมณฑลพายัพชอบใช้แต่เทยี น
กบั เขา้ ตอกดอกไม้ ธปู หาใชไ้ ม่ ทผี่ ดิ กนั เชน่ นี้ สนั นษิ ฐานวา่ เดมิ เหน็ จะเปน็
ด้วยในท้องถิ่นหาของซึ่งลดเสียมิใคร่ได้สดวกเหมือน ๓ ส่ิง ซึ่งคงใช้อยู่
จึงมกั ลดเสียสง่ิ หนงึ่ แล้วก็เลยติดเป็นประเพณีมา แต่เครื่องนมัสการของ
หลวงยังคงใช้ของ ๔ ส่งิ ตามแบบเดิมอยูจ่ นทกุ วนั นี้
ธรรมเนียมการใช้ข้าวตอกในการบูชาน่าจะมาจากอินเดีย พราหมณ์
สุพรหมัณย ศาสตรี เล่าไว้ว่าชาวอินเดียโปรยข้าวตอกดอกไม้เมื่อรับเสด็จเจ้า
แผ่นดิน มีข้อความตามที่ปรากฏในหนังสือพฤกษนิยาย ของ ส. พลายน้อย
ตอ่ ไปน้ี
มีธรรมเนียมในประเทศอินเดยี มาแต่โบราณ เมือ่ รับเสด็จพระเจ้า
แผ่นดิน โปรยข้าวตอก ดอกไม้ก็ใช้โปรยเหมือนกัน หาหลักฐานได้ใน
วรรณคดสี นั สกฤต เชน่ นพิ นธก์ าลทิ าสเปน็ ตน้ ดงั นบ้ี ง่ ชดั วา่ อฏั ฐกถา กลา่ ว
ชื่อไว้เพียง ๒ อย่าง คือข้าวตอกและดอกไม้ และการโปรยดอกไม้และ
ขา้ วตอกตามทางเสดจ็ เป็นธรรมเนียมประเทศอนิ เดยี
ไทยเราใชข้ า้ วตอกในการบชู ามานานแลว้ ในสมยั สโุ ขทยั เมอื่ มกี ารตอ้ นรบั
พระมหาสามีสังฆราช ซึ่งเข้ามาประกอบพิธีอุปสมบทพญาลิไท ณ กรุงสุโขทัย
ขา้ วตอกกใ็ ชเ้ ปน็ เครอื่ งบชู าอยา่ งหนงึ่ ดงั ความใน จารกึ วดั ปา่ มะมว่ ง ภาษาเขมร
27
แปลเป็นภาษาไทยไดว้ ่า
พระบาทกมัรเดงอัญก็รับส่ังเอาหมาก ข้าวตอก ดอกไม้ เทียนธูป
กัลปพฤกษท์ �ำบูชาตลอดพระราชมรรคา...
ในกฎหมายตราสามดวงมีข้อความที่แสดงว่าไทยใช้ข้าวตอกในกรณี
ตา่ ง ๆ เชน่
๑. ใชบ้ ชู าคนดมี ีความยตุ ิธรรม ดงั “พระธรรมสาตร” มีว่า “แลมโนสาร
อ�ำมาตยบังคับเนื้อความท้ังปวงโดยยุติธรรม แลเทวดาทังหลายก็ปรายสุวรรณ
รชั ฏะเขา้ ตอกดอกไม้เปนเครอื่ งสัการบูชาแกม่ ะโนสารอำ� มาตยนัน้ ”
} ๒. ใช้ขอขมาที่ได้ล่วงเกินผู้อ่ืน อาจมีเพียงข้าวตอกดอกไม้หรือมีสิ่งอ่ืน
ปสารมะีกใหอภ้บริดยิว้ ายเอดางั เขพา้รตะอไอกยดกอากรไลมกัข้ ษอโณทษแดดก่ีาส่ ามมขี จี อ้ งึ่ คคววารม”วแา่ ล“ะถมา้ ขี ภอ้ ริ คยิ วาาดมา่ อวกีา่ หแหยงา่ หบนชา้งึ่
ว่า “มันวา่ กลา่ วเกินเลยหยาบชา้ แลใหเ้ ครอ่ื งอันมดิ ีแก่พอ่ ตาแม่ยายกด็ ี แลมนั
ฉกุ ละหกุ ตีเมียไปตอ้ งพอ่ ตาแม่ยายกด็ ี ให้มนั แต่งเขา้ ตอกดอกไมธ้ ปู เทียนสะมา
พอ่ ตาแมย่ ายแล้วใหเ้ รียกเอาทานบนไว้ พ่ีเมียน้าเมียดจุ เดียวกนั แล”
} ด่าตีกนั นมอขีก้อจคากวนาม้ี ถกา้ำ� ญหนาตดิใไกวลใ้ น้ชดิ พรเชะ่นไอปยู่ยกา่าหรลลกัานษณตาวยิวาายทหลาผเนมวั ยี ลกุงันปว้าา่น้าหลาน
...ถา้ ถงึ แตกหกั ษาหดั จง่ึ ใหป้ รบั ไหมใหแ้ กก่ นั ดงั ฉนั ผอู้ นื่ ถา้ มถิ งึ แตกหกั
ษาหัดไซ้ให้นายร้อยแขวงนายบ้านนายอ�ำเพอบังคับว่ากล่าว กันตามผิด
แลชอบตามผใู้ หญผ่ นู้ อ้ ย ใหต้ บแตง่ เขา้ ตอกดอกไมธ้ ปู เทยี นนงุ่ หม่ เลา่ เขา้
เปดไก่ไปแปลงขวันกันเพราะเขาเสียกันมิได้
๓. ใช้ในพธิ ี ดัง กฎมณเทยี รบาล มีข้อความวา่
สนานตรียำ� พวาย พระศรอี รรคราชทลู ผ้า พระพลเทพทลู น้�ำ พระราช
บโรหิตพระครูอภิรามถวายน้�ำสังข์ พระมเหธรพระพิเชดถวายน้�ำกลด
พระญาณประกาศถวายโสลก พระอศิ วรรกั ษาถวายพร ขนุ วสิ ทุ ธโภชถวาย
เขา้ ตอกดอกไม้เข้าเม่าเข้าพองวังรบั เขา้ เมา่ ต้น...
28
ในเรื่องนางนพมาศ ซึ่งสันนิษฐานกันว่าแต่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ
พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ขา้ วตอกกใ็ ชเ้ ปน็ เครอื่ งบชู าตอนทน่ี างนพมาศขนึ้ เฝา้ ถวาย
ตวั พระรว่ ง เพราะถือว่าเป็นสิ่งมงคลสิ่งหน่ึง ดงั มขี ้อความวา่
ครนั้ เพลาขน้ึ เฝา้ สมเดจ็ พระเจา้ แผน่ ดนิ ทา่ นกถ็ อื เอาพานเขา้ ตอก
กบั ดอกมะลิ ใหท้ า่ นมารดาถอื พานเขา้ สาร ใหข้ า้ นอ้ ยถอื เมลด็ พรรผกั กาด
ใหช้ าวชะแมผ่ หู้ นง่ึ ถอื พานดอกหญา้ แพรก ของหา้ สง่ิ นโ้ี ลกยส์ มมตุ วิ า่ เปน็
มงคลฯ
ชาวไทใหญ่ใช้ข้าวตอกในการบูชาเช่นเดียวกับชาวไทย ศาสตราจารย์
ดร. คุณบรรจบ พนั ธเุ มธา เลา่ ไวใ้ นเร่ือง อันเน่ืองด้วยวฒั นธรรม ว่า เมอื่ ชาว
ไทใหญ่ในรฐั ฉาน สหภาพพมา่ ไปวดั ทุกคนจะมขี ้าวตอกดอกไมส้ ำ� หรบั บชู าพระ
เมื่อถึงวัด เขาจะน�ำข้าวตอกดอกไม้ไปใส่โตกซ่ึงเรียกเผิน แล้วมัคนายกก็จะน�ำ
เผนิ ใส่ข้าวตอกดอกไมเ้ หล่านีไ้ ปประเคนพระทจ่ี ะเทศน์ เวลารบั ศีลแต่ละคนจะ
ถือกรวยดอกไม้ซง่ึ เรยี กโอดหมอกและกำ� ขา้ วตอกไว้ดว้ ย รับศลี เสร็จแลว้ จงึ ใส่
โอดหมอกและขา้ วตอกคืนลงในเผินของตนเพือ่ นำ� ไปทง้ิ ตอ่ ไป
นอกจากใช้บชู าพระ ข้าวตอกใชบ้ ชู าเทพกไ็ ด้ ชาวไทใหญเ่ มืองไหยเลา่ ให้
คุณบรรจบฟังว่าเมื่อเรียนดนตรีแล้วเกิดลืม ก็ต้องกินข้าวตอกเป็นการบูชาพระ
สรัสวดี เจา้ แห่งดนตรีท่ีเขาเรียก “สุรสั สะหวะต่”ี
การขอษมาลาโทษซึ่งชาวไทใหญ่เรยี ก กั่นต๊อ กใ็ ช้ขา้ วตอก เม่อื ผ้จู ะบวช
เณรไปลาบวช เขาจะโรยใบเมย่ี งกบั ข้าวตอกลงบนขน้ั บนั ได และในการแต่งงาน
เมอื่ เจา้ บา่ วไปรบั เจา้ สาวทเ่ี รอื นกต็ อ้ งมกี ารขอษมาลาโทษพอ่ แมเ่ จา้ สาว เผนิ ทใ่ี ส่
เครื่องก่นั ตอ๊ มีดอกไม้ หมาก พลู กลว้ ย มะพรา้ ว ใบมะพรา้ ว และขา้ วตอก
การท่ีชาวไทยและชาวไทใหญ่ใช้ข้าวตอกในการบูชาเช่นเดียวกันน้ี อาจ
เป็นเพราะต่างก็ได้รับวัฒนธรรมจากอินเดีย และอาจเป็นเพราะต่างก็กินข้าว
29
เป็นอาหารหลัก ข้าวตอกซ่ึงเป็นข้าวที่มีลักษณะแตกบานเป็นดอกจึงถือกันว่า
เปน็ มงคล ท้ังยังเปน็ สัญลกั ษณข์ องความเจรญิ และความอดุ มสมบูรณ์
(รศ. ดร.นววรรณ พนั ธุเมธา)
หนงั สืออ้างองิ
ด�ำรงราชานภุ าพ, พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมพระ. อธิบายเครอื่ งบชู า. พระนคร :
โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, ๒๔๗๑.
บรรจบ พนั ธเุ มธา. “อนั เนอ่ื งดว้ ยวฒั นธรรม” ใน สตรสี าร. ๘ เมษายน ๒๕๒๗-๒๙
ธันวาคม ๒๕๒๘.
ประชมุ จารกึ ภาคท่ี ๘ จารกึ สโุ ขทยั . กรงุ เทพฯ : คณะกรรมการอำ� นวยการจดั งาน
เฉลมิ พระเกียรตพิ ระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั , ๒๕๔๗.
เร่ืองนางนพมาศ หรือต�ำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ.
พมิ พใ์ นงานศพเจ้าจอมมารดาสังวาล รัชกาลที่ ๔ พ.ศ. ๒๔๕๗.
ศิลปากร, กรม. เร่ืองกฎหมายตราสามดวง. กรุงเทพฯ, ๒๕๒๑.
ส. พลายน้อย (นามแฝง). พฤกษนิยาย. กรงุ เทพฯ : รวมสาส์น, ๒๕๔๓.
คงเส้นคงวา
พจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถานใหค้ วามหมายของคำ� วา่ คงเสน้ คงวา
ไวว้ ่า “เสมอต้นเสมอปลาย” เช่น เขาเปน็ คนคงเสน้ คงวา หมายถึง เขาเป็นคน
ท่ีเสมอต้นเสมอปลาย เคยท�ำหรือเคยเป็นอย่างไรก็ท�ำอยู่ หรือเป็นอยู่อย่างนั้น
หากพจิ ารณาตามรูปศพั ท์ คำ� นีป้ ระกอบด้วย คำ� ๓ คำ� คือ คง เสน้ และวา
คง แปลว่า ยังมียงั เป็นอยอู่ ย่างเดิม
เส้น แปลได้หลายอยา่ ง คือ เป็นช่อื มาตราวัด ๒๐ วา เป็น ๑ เส้น, สง่ิ ที่มี
ลกั ษณะเปน็ สาย แถว แนว ทไ่ี มจ่ ำ� กดั ความยาว และ รอยทป่ี รากฏเปน็ ทางบนพน้ื
วา หมายถงึ มาตราวดั ตามวธิ ีประเพณี เท่ากบั ๔ ศอก มอี ตั ราเท่ากับ ๒
เมตร หรอื เป็นค�ำกริยา หมายถึงกริ ิยาที่กางแขนเหยียดตรงออกทง้ั ๒ ข้าง
30
ทง้ั เส้น และ วา ในทนี่ ี้ควรเปน็ มาตราวัด ดงั นั้นความหมายตามรปู ศพั ท์
ของคำ� วา่ คงเสน้ คงวา นา่ จะหมายถงึ ยงั มจี ำ� นวนเสน้ หรอื จำ� นวนวาอยอู่ ยา่ งเดมิ
หรอื ตรงตามขนาดทว่ี ดั ได้ ซึง่ ความหมายนนี้ า่ จะเปน็ ความหมายทใี่ ช้กนั มาแต่
เดิม ดังไดพ้ บการใชค้ ำ� วา่ “คงเส้นคงวา” ใน จดหมายเหตุในรชั กาลที่ ๓ เรอื่ ง
อากรสมพตั สร ในหนงั สอื เจา้ พระยาจกั รฯี มาถงึ พระยาไชยวชิ ติ ผรู้ กั ษากรงุ เกา่
ซึง่ มอี ยู่ ๒ ตอนดงั น้ี
ตอนท่ี ๑ บอกวธิ กี ารเกบ็ อากรวา่ ถา้ เปน็ ไรห่ รอื สวนปลกู ไมท้ มี่ พี กิ ดั อตั รา
อากรสมพตั สร ต้ังแต่ ๒ ชนิด ไปจนถึง ๑๐ ชนิด ให้นายอากรวดั อยา่ งถูกต้อง
คงที่ตามขนาดของที่ไร่ที่สวน ให้เก็บอากรในไร่นั้นตามผลไม้มีพิกัดอัตราอากร
สูงสุดเพียงอย่างเดียว ดังความวา่
...ถ้าปลูกท�ำสมพัตสรลงในไร่ในขนัดนั้นพร้อมกัน ๒-๓-๙-๑๐ สิ่ง
ใหน้ ายอากรวดั คงเสน้ คงวา พเิ คราะหด์ ใู นไรน่ นั้ ขนดั นนั้ ผลไมส้ ง่ิ ใดตอ้ ง
ในพิกดั เปน็ เงนิ อากรสูงกวา่ ทุกสง่ิ ก็ให้เอาผลไม้สิ่งที่อากรสงู มาตัง้ เรียก
อากรในไรใ่ นขนดั นัน้ แต่ส่งิ เดยี วผลไม้ส่งิ ทอ่ี ากรเป็นอยู่ให้ยกเสยี ...
ตอนท่ี ๒ บอกวิธีการเก็บอากรว่า ถา้ เปน็ ไรห่ รือสวนทปี่ ลูกผลไม้จ�ำนวน
มากและหลายชนดิ ใหน้ ายอากรลงเสน้ เชอื กซงึ่ หมายถงึ เสน้ เชอื ก (กระแสพยาน)
ทใ่ี ชท้ ำ� รงั วดั ทดี่ นิ วดั อยา่ งถกู ตอ้ งคงทต่ี ามขนาดของทไ่ี รท่ สี่ วน ถา้ มผี ลไมท้ ม่ี พี กิ ดั
อตั ราอากร ๒-๓-๔-๕ อยา่ ง กใ็ หเ้ กบ็ ตามอากรของผลไมท้ มี่ พี กิ ดั อตั ราสงู สดุ เพยี ง
อยา่ งเดยี วเช่นกนั ดังความวา่
...ถ้าปลูกผลไม้เป็นหมู่เป็นเหล่ากันหลายส่ิง ปลูกสิ่งหนึ่งแต่ต้น ๑-๒-๓
ต้นปลูกเคียงติดต่อกันไป นายอากรลงเส้นเชือกวัดคงเส้นคงวา ผลไม้
ต้องในที่ไร่ที่ขนัดน้ันรวมกัน ๒-๓-๔-๕ สิ่ง ก็ให้ยกเอาผลไม้สิ่งท่ีอากร
สงู มาตั้งเรียกอากรแต่ส่งิ เดียวเหมือนกัน...
อากรสมพัตสรเป็นอากรท่ีเก็บจากจ�ำนวนพื้นท่ีที่ปลูกไม้ล้มลุกบาง
ประเภทและจ�ำนวนไม้ผลยืนต้นบางประเภทเป็นรายปี ดังนั้นต้องมีการลงเส้น