The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Wilairat Pamontree, 2022-09-10 05:32:05

หนังสือนานาสาระ

นานาสาระไทย

181
เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๓)
ตอ่ มาเมอื่ วนั ท่ี ๙ กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๔๙ พระบาทสมเดจ็ พระมหาภมู พิ ล
อดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพติ ร ทรงมพี ระราชวนิ จิ ฉยั วา่ พระเศวตฯ เมอื่ แรก
เขา้ มาสพู่ ระบารมนี น้ั ยงั เปน็ ลกู ชา้ ง อายนุ อ้ ย เครอ่ื งคชาภรณท์ พี่ ระราชทานจงึ มี
ขนาดเลก็ เหมาะสมกบั ขนาดของรปู รา่ งในขณะนนั้ ตอ่ มาเมอ่ื เจรญิ วยั ขนึ้ มรี า่ งกาย
ใหญโ่ ตมากกวา่ เดมิ เครอ่ื งคชาภรณท์ ไ่ี ดร้ บั พระราชทานในคราวแรก มขี นาดเลก็
ส้ันเขินไม่สมรูปร่าง หากจะน�ำออกแต่งเครื่องยืนแท่นในการพระราชพิธี
ก็จะไม่ได้ขนาดกับตัว และไม่สง่างามสมยศศักดิ์ของพระยาช้างต้น จึงมี
พระบรมราชโองการโปรดเกลา้ ฯ ใหก้ รมศลิ ปากร จดั สรา้ งเครอ่ื งคชาภรณช์ ดุ ใหม่
พระราชทานพระเศวตอดลุ ยเดชพาหนฯ เพอ่ื ใหแ้ ตง่ เครอ่ื งยนื แทน่ ในพระราชพธิ ี
รับพระราชอาคันตุกะตามพระราชประเพณี ณ พระที่น่ังจักรีมหาปราสาท
ในโอกาสพระราชพธิ ฉี ลองสิริราชสมบตั ิครบ ๖๐ ปี
พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
ทรงเห็นความส�ำคัญของช้างเผือกที่เป็นช้างคู่พระบารมี รับราชการใต้เบ้ือง
พระยุคลบาทมานาน การที่ทรงมีพระราชด�ำริให้สร้างเคร่ืองคชาภรณ์ชุดใหม่
นับเป็นคร้ังแรกในประวัติศาสตร์ไทย เน่ืองจากได้ตรวจสอบเอกสารหลายฉบับ
แล้ว ยังไม่พบหลักฐานการพระราชทานเครื่องคชาภรณ์ให้แก่พระยาช้างต้นท่ี
เจรญิ วยั คงมีแตใ่ ชเ้ ครือ่ งคชาภรณช์ ดุ เดมิ ทไ่ี ดร้ บั พระราชทานเมื่อแรกขึ้นระวาง
ท้ังนั้น พระราชกรณียกิจในเรื่องน้ีทรงแสดงให้คนไทยได้เห็นว่า ทรงมี
พระอัจฉริยภาพท่ีละเอียดรอบคอบ ทรงมีพระกตเวทิตาธรรมต่อช้างซึ่งเคยมี
บุญคุณท่ีได้อาศัยช่วยให้บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข และทรงมีสายพระเนตรอัน
กวา้ งไกลในการท่จี ะรกั ษาแบบแผนพระราชประเพณี เผยแพร่มรดกวัฒนธรรม
อันทรงคุณค่าอย่างยิ่งของชาติ ให้นานาประเทศได้รู้จัก กับยังเป็นวิธีการหนึ่ง
ที่ส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนคนไทย ได้มีโอกาสรับรู้ เข้าใจ เห็นคุณค่า
ขนบธรรมเนียมประเพณีโบราณอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติ ซึ่งยังคงปรากฏ
ใหเ้ หน็ ประจกั ษช์ ดั อยเู่ พยี งประเทศเดยี วในโลกทพ่ี ระมหากษตั รยิ ท์ รงมชี า้ งเผอื ก
คู่พระบารมี

182

พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรง
เปี่ยมด้วยพระบุญญาบารมี และมากด้วยบุญญาธิการ จึงได้ทรงมีช้างเผือกท่ี
ขนึ้ ระวางเปน็ พระยาชา้ งตน้ จำ� นวนมากทส่ี ดุ ในประวตั ศิ าสตรไ์ ทย ยากยงิ่ ทจ่ี ะหา
พระมหากษัตริย์พระองคใ์ ดเสมอเหมือน พระเกียรตยิ ศอนั ยิง่ ใหญเ่ ชน่ น้ี สมควร
อย่างยิ่งท่ีปวงชนชาวไทยจะได้ร่วมใจกันทูลเกล้าฯ ถวายพระราชสมัญญานาม
พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วา่ พระเจา้
ช้างเผือก
(นางสาวก่องแก้ว วีระประจกั ษ)์

กำ� เนดิ ครูปะกำ�

ปะกำ� หรอื ประก�ำ ตามความหมายทีเ่ กย่ี วกบั ชา้ ง เปน็ ชอื่ เรียกเชอื กทีใ่ ช้
ในการจบั ช้าง คล้องช้าง ผูกช้าง ว่า เชอื กปะกำ� หรอื เชือกบาศ ท�ำจากหนังควาย
ด้วยการใช้หนังควายท้ังตัว แผ่ออกเป็นผืนใหญ่ แล้วกรีดแบ่งให้เป็นเส้นยาว
ตอ่ เนอื่ งกนั กวา้ งประมาณ ๓ เซนตเิ มตร วนไปเรอ่ื ย ๆ ไมใ่ หข้ าดจากกนั จนหมด
หนังทั้งตัว ท�ำอย่างน้ีอีกให้ได้หนัง ๓ เส้น แล้วน�ำมาฟั่นรวมกันเป็นเชือก
เรียกวา่ เชือกปะกำ� หรือ เชือกบาศ
นอกจากนั้นค�ำว่า ปะก�ำ ยังใช้เรียกครูผู้สอนวิชาการคชกรรมต่าง ๆ
มีการคล้องช้าง หรือจับช้าง เลี้ยงช้าง ฝึกหัดช้าง ดูแลรักษาช้างเม่ือเจ็บป่วย
รวมท้งั พิธีกรรมต่าง ๆ ที่เกยี่ วขอ้ งกบั ช้าง ว่า ครปู ะก�ำ ซึง่ มตี ำ� นานกล่าวไว้ว่า
วิชาพฤฒิบาศศาสตร์หรือคชกรรมนั้น พระนารายณ์เทพเจ้าส�ำคัญองค์หน่ึง
ของศาสนาพราหมณ์เป็นผู้ประสิทธ์ิประสาทวิชาให้แก่ชาวนา ๔ คนพ่ีน้อง
โดยก�ำหนดให้เป็นปะก�ำท�ำหน้าที่ปราบหมู่ช้างทั้งหลายบนพื้นโลก และน�ำ
ความรู้วิชาพฤฒิบาศศาสตร์สั่งสอนให้แก่กุลบุตรท�ำการคชกรรมสืบไป เร่ืองใน
ต�ำนานกล่าวไว้ว่า
ในกาลสมยั สรา้ งโลก ขณะทพ่ี ระอศิ วรเปน็ เจา้ สถติ อยู่ ณ เขาไกรลาศ ในวนั
เมือ่ พระเปน็ เจา้ ทงั้ สาม คอื พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหมมาประชุม

183

พร้อมกัน มีพระพรหมพวกหน่ึงเห็นพระพรหมธาดาทรงหงส์ทองเป็นพาหนะ
พระพรหมพวกน้ันก็เกิดความริษยาพระพรหมธาดาเป็นอันมาก กรรมนั้นยังให้
พระพรหมได้จตุ ิลงมาบังเกดิ เปน็ ชา้ งชอื่ เอกทนั ต์ มีงาเดยี วงอกอย่กู ลางเพดาน
แขง็ แรงมอี ำ� นาจมาก หากแทงมนษุ ยแ์ ละสตั วก์ จ็ ะถงึ ตายทงั้ สน้ิ ชา้ งนน้ั หยาบชา้
มากเทยี่ วกระท�ำยำ่� ยีโลกทั้งสามได้ความเดอื ดรอ้ นอยา่ งย่งิ
ครง้ั นนั้ นกั สทิ ธท์ิ งั้ หลายมฤี ษจี ฬุ ามหาพรหมเปน็ ตน้ ปรกึ ษาพรอ้ มกนั แลว้
ขน้ึ ไปเฝา้ พระอศิ วร กราบทลู เรอื่ งเดอื ดรอ้ นทงั้ ปวง พระอศิ วรจงึ มเี ทวโองการให้
เทพยดาท้งั สองชอ่ื จัตุบทและจัตบุ าทไปเชิญเสดจ็ พระนารายณใ์ นเกษียรสมทุ ร
มา ณ เขาไกรลาศ พระอิศวรมีเทวโองการให้พระนารายณ์ลงมาปราบช้าง
เอกทนั ต์ พระนารายณ์รับเทวโองการแล้วจึงกระท�ำองคด์ ว้ ยเทวฤทธใ์ิ ห้มี ๖ กร
ทรงเทพอาวธุ ๖ อย่าง คือ
๑. เอากำ� ลงั ของพระอาทติ ย์ พระจนั ทรม์ ากระทำ� เปน็ เทพอาวธุ ชอื่ เสมา
๒. เอาก�ำลงั ของพระเพลงิ พระคงคา มากระท�ำเปน็ เทพอาวุธชอ่ื โสภา
๓. เอากำ� ลังพระยามงคลสุบรรณ มากระทำ� เปน็ เทพอาวุธชือ่ ชาลกั
๔. เอาก�ำลังเขาพระสุเมรมุ ากระทำ� เป็นเทพอาวุธช่ือ ตรี
๕. เอาก�ำลังพระยานกอินทรีย์ชื่อท้าวศรีพิลาไลย มาเป็นเทพอาวุธช่ือ
พระเฆอ
๖. เอาพระยาอนันตนาคราช มากระทำ� เปน็ บาศ (เชือกบาศ)
แล้วพระนารายณก์ เ็ สด็จลงมาสู่โลกมนษุ ย์ ไปในทิศทงั้ สเี่ พื่อแสวงหาชา้ ง
เอกทนั ต์ซึง่ เท่ียวกระทำ� ยำ่� ยีโลกทงั้ หลาย มาถงึ ท่งุ นาแหง่ หนึง่ พบชาวนา ๔ คน
คนผู้เป็นพี่ใหญ่ช่ือ โภควันดี พ่ีหญิงท่ีสองช่ือ สิระวัง น้องชายอีกสองคนช่ือ
คชสาตร์และสาตกรรม คนท้งั ๔ ท�ำนาเล้ียงชีวิตอย่ใู นท่นี นั้
พระนารายณจ์ งึ มีเทวโองการตรัสถามคนทั้ง ๔ ว่า ท่านเห็นชา้ งเอกทนั ต์
มาทางนี้บ้างหรือไม่ คนทั้ง ๔ เห็นพระเป็นเจ้า ๖ กรทรงเทพอาวุธต่าง ๆ ก็
ตกใจ คำ� นับลงกับพ้ืนโดยเบญจางคประนต แล้วทูลวา่ ชา้ งนน้ั อย่ฝู งั่ น�ำ้ ฟากโน้น
เป็นช้างร้ายกาจกระท�ำย่�ำยีโลกทั้งหลายให้ได้ความเดือดร้อนยิ่งนัก ซ่ึงท่านมา

184
ถามนจ้ี ะประโยชนอ์ นั ใด พระเปน็ เจา้ กต็ รสั ตอบคนทงั้ ๔ วา่ เราคอื พระนารายณ์
จะมาปราบเหล่าสัตว์บาปให้โลกทั้งหลายเป็นสุข คนท้ัง ๔ ได้ฟังดังนั้นก็ยินดี
เป็นอันมาก กราบถวายบังคมแล้วทูลขอเป็นศิษย์ติดตามพระองค์ไปด้วย
พระเปน็ เจ้ากท็ รงอนญุ าต
คนทง้ั ๔นำ� เสดจ็ ไปถงึ รมิ ฝง่ั นำ�้ แลว้ กราบทลู วา่ แมน่ ำ้� นกี้ วา้ งใหญน่ กั พวกขา้
ทงั้ ๔ หาพาหนะทจี่ ะขา้ มไปมไิ ด้ พระนารายณจ์ งึ กระทำ� เทวฤทธใ์ิ ชพ้ ระหตั ถซ์ า้ ย
หยิบใบแสมสารมาใบหน่ึงโยนลงในท้องนำ�้ บัดเด๋ียวใจก็กลับเป็นนาวาล�ำใหญ่
พระเป็นเจ้ากับคนทั้ง ๔ ก็ลงนาวาน้ันข้ามแม่น้�ำไปถึงฟากโน้น ข้ึนจากนาวา
แล้วเดินทางต่อไปถึงเชิงภูเขาหน่ึง มีเหมืองน้�ำใหญ่เป็นป่าไม้คูนไม้ยอโดยมาก
คนทง้ั ๔ กก็ ราบทลู พระนารายณว์ า่ ชา้ งเอกทนั ตอ์ นั รา้ ยกาจเคยอาศยั อยใู่ นปา่ น้ี
ขา้ พระบาทกลวั นกั ขอพระเป็นเจา้ ช่วยปอ้ งกนั อนั ตรายให้ด้วยเถดิ
พระนารายณจ์ งึ กระทำ� เทวฤทธริ์ า่ ยวษิ ณมุ นตร์ ๓ คาบ กระทำ� ประทกั ษณิ
รอบคนทั้ง ๔ ปักพระเฆอลงบนพ้นื ธรณแี ลว้ เอารศั มีพระเพลิงมาประดษิ ฐานไว้
ด้านข้างขวาและซ้าย กับมีเทวโองการเรียกพระพิฆเนศให้มาประจ�ำพระเพลิง
อยดู่ า้ นขวา และถอดสายธรุ ำ� ของพระองคเ์ นรมติ ใหเ้ ปน็ พระเทวกรรมนง่ั ประจำ�
พระเพลิงฝ่ายซา้ ยใหค้ นท้ัง ๔ นง่ั สงั วธั ยายมนตพ์ ฤฒบิ าศรักษาตัวอยใู่ นทน่ี นั้
ต่อจากนน้ั พระนารายณ์จงึ กระทำ� เทวฤทธ์หิ ักกง่ิ ไม้ ๗ อยา่ งมากวดั แกว่ง
เรยี กเทวดาชอ่ื พระมหาเมสอ ใหต้ อ้ นหมชู่ า้ งในปา่ ออกมายงั ทนี่ นั้ พระมหาเมสอ
ไล่ช้างเถ่ือนออกมาทั้งส้ิน แต่ช้างเอกทันต์เป็นพรหมมาบังเกิด และเป็นชาติ
อศิ วรพงศจ์ ึงไม่ออกมาโดยวิษณุโองการ พระนารายณ์พิโรธนกั จงึ เอาไม้ ๗ อย่าง
น้ันมาร่ายวิษณุมนตร์ ๓ คาบแล้วฟาดลงท่ีพื้นดินตรงรอยเท้าของช้างเอกทันต์
๓ คร้ัง ด้วยเดชะอ�ำนาจของวิษณุมนตร์ท�ำให้ช้างนั้นปวดศีรษะดังจะแตกออก
๗ ภาค มอิ าจท่ีจะทนได้ กว็ ่งิ มาดว้ ยกำ� ลังโกรธ เข้าต่อสู้กบั พระเป็นเจ้า ช้างนั้น
สิ้นกำ� ลงั ไมอ่ าจต้านทานกบ็ า่ ยหน้าหนี พระเป็นเจ้าจึงซัดบาศอุรเคนทร์ถกู เทา้
ขวาของช้างเอกทันต์ แล้วพระองค์ก็ปักตรีลงบนพื้นธรณีเนรมิตให้เป็นต้นไม้
มะตูมผูกบาศไว้กับต้นมะตูมน้ัน แล้วใช้พระหัตถ์ขวาดึงเถาวัลลีวัลย์ เนรมิตให้

185
เป็นทาม (เชือกหนังท�ำเปน็ บ่วงส�ำหรบั คลอ้ งคอชา้ ง) กับภับเฌอ (เชอื กส�ำหรับ
ผูกคอช้างต่อจากทาม) คล้องคอช้างผูกไว้กับไม้คูน จากนั้นพระองค์ก็เสด็จมา
หยดุ อยใู่ ตร้ ม่ ไมย้ อ แลว้ ตรสั เรยี กคนทง้ั ๔ ออกมาจากทซ่ี มุ่ ตวั อยนู่ น้ั พระเปน็ เจา้
จงึ ประทานตำ� ราพฤฒบิ าศประสทิ ธใิ์ หค้ นทงั้ ๔ เปน็ ปะกำ� สำ� หรบั ไดป้ ราบหมชู่ า้ ง
ทง้ั หลาย และสอนกลุ บตุ รใหก้ ระทำ� การคชกรรมตอ่ ไป จากนน้ั กม็ เี ทวโองการให้
เทพคชนาคนำ� ชา้ งเอกทนั ตไ์ ปเปน็ พาหนะพระอนิ ทร์ และนำ� ไปอยทู่ ป่ี า่ พน้ มนษุ ย์
ทงั้ หลาย เสรจ็ แลว้ พระนารายณ์กเ็ สดจ็ กลับไปเกษยี รสมทุ ร
ส่วนชาวนาท้ัง ๔ ก็กลับมายังที่อยู่ท�ำหน้าท่ีเป็นครูปะก�ำได้สอนกุลบุตร
ซ่ึงเป็นหมอช้างให้ท�ำการคชกรรมทั้งหลายแต่นั้นมา โดยแบ่งหน้าที่กัน
โภควนั ดปี ระสทิ ธว์ิ ชิ าเหลก็ ซอง สริ ะวงั ประสทิ ธว์ิ ชิ าบว่ งบาศ คชสาตรป์ ระสทิ ธิ์
วิชาขอ สาตกรรมประสิทธ์ิวิชาตลุง ชนัก และปลอก กับยังมีข้อบังคับส�ำหรับ
ผู้เรียนวิชาเป็นหมอช้างห้ามมิให้หักกิ่ง ถากเปลือก เด็ดใบ ไม้มะตูม ไม้ยอ
และไมค้ ูน เพราะเหตพุ ระเปน็ เจา้ ได้ประสทิ ธ์ใิ หเ้ ป็นครูปะก�ำในท่นี ั้น

[พระโภคค์วนั ดี นางศริ วงั พระคชสาย พระสาตรกรรม
จากหนังสือตำ� ราภาพเทวรูปและเทวดานพเคราะห,์ กรมศลิ ปากร : ๒๕๓๕]

(นางสาวกอ่ งแกว้ วีระประจักษ)์

186

กำ� ลงั วันตามต�ำรามหาทักษา

ต�ำรามหาทักษาหรือคัมภีร์มหาทักษาเป็นคัมภีร์โหราศาสตร์ที่แสดง
ความเชอ่ื ของพราหมณ์ฮนิ ดเู กี่ยวกบั วันเดือนปีทีพ่ ระอศิ วรทรงสรา้ งขน้ึ
เมื่อคนไทยรับคัมภีร์มหาทักษามาแล้ว เชื่อกันว่าวันทั้ง ๗ ในสัปดาห์
มีเทวดาประจ�ำอยู่ ซ่ึงคอยดูแลคุ้มครอง ให้คุณให้โทษตามแต่กาล ความเช่ือน้ี
ปรากฏในวรรณคดีไทยเร่ืองเฉลิมไตรภพ ซ่ึงเป็นวรรณกรรมท่ีแต่งข้ึนในสมัย
อยุธยา วา่ หลังจากที่ไฟประลยั กัลป์ได้เผาผลาญโลกน้รี าพณาสรู แล้ว พระอิศวร
ผู้เป็นใหญ่ได้สร้างสรรพส่ิงในโลกน้ีขึ้นมาใหม่ สิ่งท่ีพระอิศวรทรงสร้างข้ึนคือ
มนษุ ย์ สตั ว์ พชื และเหล่าเทวดาท้งั ปวงเม่อื มโี ลกมนุษยข์ ้ึนแลว้ พระอศิ วรก็ทรง
สร้างพระอาทิตย์โดยน�ำราชสีห์ ๖ ตัวมาเสกปน่ ห่อผา้ สแี ดง ประพรมนำ�้ อมฤต
กลายเป็นพระอาทิตย์ พระอาทิตย์จึงมีก�ำลัง ๖ และทรงราชสีห์เป็นพาหนะ
สว่ นพระจนั ทรส์ รา้ งโดยนำ� นางอปั สร ๑๕ ตนมาหอ่ ผา้ สขี าวนวล เสกปน่ ประพรม
น้�ำอมฤต กลายเป็นพระจันทร์มีกำ� ลัง ๑๕ มมี ้าเป็นพาหนะ ท้ังพระอาทิตยแ์ ละ
พระจนั ทรม์ หี นา้ ทใี่ หแ้ สงสวา่ งแกโ่ ลกทงั้ กลางวนั และกลางคนื จากนน้ั พระอศิ วร
กท็ รงตง้ั จกั รราศีไว้ ๑๒ ราศี มสี ตั ว์ ๑๒ ชนดิ เป็นสัตว์ประจ�ำราศนี ัน้ ๆ เรียกวา่
๑๒ นกั ษตั ร คร้นั แลว้ พระอศิ วรกส็ รา้ งเทวดาองคอ์ น่ื ๆ อีกคือ
พระอังคาร สร้างข้ึนจากกระบือ ๘ ตัว ห่อผ้าสีชมพู เสกป่นประพรม
น�ำ้ อมฤต พระองั คารจึงมีกำ� ลงั ๘ ทรงกระบือเป็นพาหนะ
พระพุธ สรา้ งข้นึ จากช้าง ๑๗ ตัว หอ่ ผ้าสเี ขยี ว เสกปน่ พรมด้วยนำ้� อมฤต
พระพุธจงึ มกี �ำลงั ๑๗ ทรงชา้ งเป็นพาหนะ
พระพฤหัสบดี สรา้ งขึ้นจากฤๅษี ๑๙ ตน หอ่ ผ้าสเี หลืองสม้ เสกปน่ พรม
นำ�้ อมฤต พระพฤหัสบดจี ึงมีกำ� ลัง ๑๙ ทรงกวางทองหรอื ละม่ังเปน็ พาหนะ
พระศกุ ร์ สรา้ งขนึ้ จากโค ๒๑ ตวั หอ่ ผา้ สฟี า้ เสกปน่ พรมนำ้� อมฤต พระศกุ ร์
จงึ มกี ำ� ลัง ๒๑ ทรงโคเป็นพาหนะ
พระเสาร์ สร้างข้ึนจากเสือ ๑๐ ตัว ห่อผ้าสีด�ำ เสกป่นพรมน้�ำอมฤต

187

พระเสาร์จงึ มกี ำ� ลัง ๑๐ ทรงเสือเปน็ พาหนะ
พระราหู สรา้ งขน้ึ จากหวั ผโี ขมด ๑๒ หวั หอ่ ผา้ สที อง เสกปน่ พรมนำ้� อมฤต
พระราหจู งึ มกี �ำลงั ๑๒ ทรงครุฑเป็นพาหนะ
พระเกตุ สร้างขนึ้ จากพญานาค ๙ ตัว เสกป่นพรมน้�ำอมฤต พระเกตุจงึ
มีก�ำลัง ๙ ทรงนาคเปน็ พาหนะ
เทวดาทุกองค์เรียกรวมกันว่าเทวดานพเคราะห์ จะโคจรรอบจักรราศี
โดยท่ีพระอิศวรมอบให้
พระอาทิตย์ (ใช้เลข ๑ เป็นสัญลักษณ์) รักษาทิศอีสาน (ทิศตะวันออก
เฉียงเหนือ)
พระจันทร์ (ใชเ้ ลข ๒ เป็นสัญลกั ษณ์) รักษาทศิ บูรพา (ทิศตะวันออก)
พระองั คาร (ใช้เลข ๓ เป็นสญั ลกั ษณ)์ รกั ษาทิศอาคเนย์ (ทศิ ตะวนั ออก
เฉียงใต้)
พระพธุ (ใช้เลข ๔ เป็นสัญลักษณ์) รักษาทศิ ทกั ษิณ (ทิศใต้)
พระเสาร์ (ใชเ้ ลข ๗ เป็นสญั ลกั ษณ)์ รักษาทิศหรดี (ทิศตะวันตกเฉียงใต)้
พระพฤหัสบดี (ใช้เลข ๕ เป็นสญั ลักษณ)์ รักษาทศิ ประจมิ (ทศิ ตะวันตก)
พระราหู (ใช้เลข ๘ เป็นสัญลักษณ์) รักษาทิศพายัพ (ทิศตะวันตก
เฉียงเหนอื )
พระศกุ ร์ (ใชเ้ ลข ๖ เป็นสญั ลักษณ)์ รักษาทศิ อุดร (ทศิ เหนือ)
และ พระเกตุ (ใชเ้ ลข ๙ เป็นสญั ลักษณ์) ให้ประจำ� อยูใ่ นทิศกลาง
การเขา้ ครองทิศของเทวดาอฐั เคราะห์ คือเวน้ พระเกตนุ ั้น ใหต้ งั้ ต้นทท่ี ศิ
ทกั ษณิ แลว้ นบั ตงั้ แตท่ ศิ ทกั ษณิ เปน็ ตน้ ไปเทา่ กบั กำ� ลงั ของตน โดยทางทกั ษณิ าวตั ร
คือเวียนขวา จากทักษิณไปหรดี เช่น พระอาทิตย์มีก�ำลัง ๖ ก็นับเร่ิมต้นที่ทิศ
ทกั ษณิ เวยี นขวาไปตามล�ำดบั ถงึ ล�ำดบั ๖ ตกที่ทศิ อสี าน ดังน้นั พระอาทิตย์ (๑)
จึงประจำ� อยู่ท่ที ศิ อีสาน ดาวพระเคราะห์อน่ื ๆ กท็ ำ� นองเดียวกันจนครบ ๘ ดวง
ทำ� ใหเ้ กดิ ภมู พิ ยากรณ์ และตำ� รามหาทกั ษา สำ� หรบั ใชพ้ จิ ารณาชะตาชวี ติ ในวชิ า

188

โหราศาสตร์เบื้องต้น ท้ังเลขก�ำลังและสีประจ�ำวันที่คนไทยมีความเช่ือกันนี้
ลว้ นมที มี่ าจากต�ำรามหาทกั ษานี้
แต่อย่างไรก็ตามคนทั่วไปมักสังเกตเห็นว่าในพระอุโบสถหรือพระวิหารมี
โต๊ะยาวต้ังพระพุทธรูปประจ�ำวันพร้อมบาตรขนาดเล็กวางข้างหน้า และอาจมี
ป้ายเขียนก�ำกับว่าให้ใส่บาตรตามก�ำลังวันนั้น ๆ ท�ำให้อาจเข้าใจไปว่าพระ
พทุ ธรปู มกี ำ� ลงั วนั ซงึ่ ในความเปน็ จรงิ แลว้ พระพทุ ธรปู นน้ั เปน็ พระพทุ ธรปู ประจำ� วนั
ต่าง ส่วนเลขกำ� ลังวนั น้นั มาจากต�ำรามหาทกั ษาดังท่ไี ดก้ ลา่ วมาข้างตน้ แล้ว
(รศ. ดร.ปรีดี พศิ ภมู ิวิถี)

หนงั สอื อ้างองิ
ส. พลายน้อย (นามแฝง). อมนษุ ยนยิ าย. กรงุ เทพฯ : รวมสาสน์ , ๒๕๔๔.
อรุ คนิ ทร์ วริ ยิ ะบรู ณะ. ประเพณไี ทยฉบบั พระมหาราชคร.ู กรงุ เทพฯ : ประจกั ษ์
การพิมพ์, ๒๕๑๖.

ขนมเบอื้ งไทย

ขนมเบื้องเปน็ ขนมชนิดหน่ึงที่รู้จกั กันเป็นอย่างดี พบเห็นได้ทัว่ ไป มรี าคา
ไมแ่ พงและรสชาตหิ วานอรอ่ ย ขนมเบอื้ งเปน็ ทง้ั ขนมทป่ี รากฏในงานพระราชพธิ ี
และเป็นขนมท่ีราษฎรทว่ั ไปท�ำรบั ประทานทัง้ ในและนอกฤดูกาล และเปน็ ขนม
ไทยโบราณทมี่ มี าแตค่ ร้ังกรงุ ศรีอยุธยาแลว้
ในค�ำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม ระบุย่านท่ีผลิตกระเบื้องและ
เตากระเบอ้ื งไวว้ า่ ท่ี “บา้ นมอ่ ปน้ั มอ่ เขา้ มอ่ แกงใหญเ่ ลก แลกระทะ เตาขนมครก
ขนมเบอื้ ง เตาไฟ ตะเกยี ง ใต้ ตะคนั อยใู่ นแขวงเกาะทงุ่ ขวญั ” แสดงวา่ ในอยธุ ยา
มีการผลิตเตาขนมเบื้องดินเผาเพื่อใช้สอยทั่วไปส�ำหรับประชาชนและอาจ
เป็นสินค้าซ้ือขายด้วยก็ได้ แต่ก็ไม่ปรากฏร่องรอยว่าเตาขนมเบ้ืองสมัยอยุธยา
มีลกั ษณะรปู ทรงอย่างไร สนั นษิ ฐานว่าคงแตกหกั ไปหมด
เม่ือขนมเบ้ืองใช้เป็นขนมที่เลี้ยงพระในการพระราชพิธีก็คงมีการท�ำให้
วิจิตรบรรจงมากข้ึน หรือมีส่วนประกอบขนมมากขึ้น ซึ่งต่างไปจากขนมเบ้ือง

189

ทวั่ ไปของราษฎร ขนมเบอื้ งทท่ี ำ� ขนึ้ ในงานพระราชพธิ เี ดอื นอา้ ยคอื การพระราชกศุ ล
เลี้ยงขนมเบ้ือง ซ่ึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอธิบายไว้ใน
พระราชพธิ สี บิ สองเดอื นวา่
พระราชกุศลเล้ยี งขนมเบอื้ ง การเล้ียงขนมเบื้องนบั เปน็ ตรษุ อย่าง
หน่ึงในรอบปี ก�ำหนดกนั เอาเมื่อพระอาทติ ย์ออกสดุ ทางใตต้ กนิจ [สน้ิ สุด
ราศีตุล] เป็นวันหยุดจะกลับข้ึนเหนืออยู่ในองศา ๘ องศาในราศีธนู ไม่
ก�ำหนดแน่ว่าเป็นวันกี่ค่�ำ และไม่มีการสวดมนต์เช่นพระราชพิธีใด ๆ
อกี ดว้ ย ทรงเกณฑพ์ ระบรมวงศานวุ งศฝ์ า่ ยในละเลงขนมเบอ้ื ง และนมิ นต์
พระสงฆ์ต้ังแต่เจ้าพระ และพระราชาคณะมาฉันในพระท่ีนั่งอมรินทร
วินิจฉัย เป็นงานพระราชกุศลในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เวลาท่ีก�ำหนด
พระราชทานเล้ียงขนมเบื้องในระยะน้ีเพราะกุ้งชุกชุมน้�ำลดลงตลิ่งก็แห้ง
กุ้งปลาลงหนองมากมาย ท้ังกุ้งก็มีมันมาก ปีหน่ึงมีเพียงหนหน่ึง เพราะ
ไสข้ นมเบอื้ งนน้ั ตอ้ งประกอบดว้ ยกงุ้ จงึ อรอ่ ย สว่ นขา้ วในนาเมอ่ื นำ้� ลดขา้ ว
ก็เริ่มแก่ รอท่จี ะสุกเกบ็ เกย่ี วได้ เป็นเดือนท่ีนาไร่กำ� ลงั บริบรู ณ์
การพระราชกุศลเล้ียงขนมเบ้ืองนี้ ปรากฏภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังที่
วัดราชประดิษฐสถติ มหาสมี าราม และที่วัดเสนาสนาราม เปน็ ภาพพระสงฆเ์ ดิน
เรียงแถวเข้าพระมหาปราสาทเพื่อเจริญพระพุทธมนต์ และมีคนก�ำลังละเลง
ขนมเบ้ืองบนกระทะอยู่ ขนมเบื้องที่ท�ำเลี้ยงพระในการพระราชกุศลน้ีเป็น
ขนมเบอื้ งหนา้ กงุ้ ทใ่ี ชเ้ นอ้ื และมนั กงุ้ เปน็ สว่ นผสมของหนา้ ขนม เพราะในระยะนน้ั
มกี ้งุ ชมุ มาก
ในวรรณคดไี ทยเรอื่ งขนุ ชา้ งขนุ แผน มฉี ากตอนสำ� คญั ทน่ี างสรอ้ ยฟา้ และ
นางศรีมาลาทะเลาะกันเพราะขนมเบ้ืองเป็นเหตุ เร่ิมมาจากพลายชุมพลกับ
พระไวยชวนกันเล่นหมากรุก ถ้าพลายชุมพลแพ้จะให้ถอนขนตาแต่ถ้าชนะจะ
ขอให้ท�ำขนมเบ้ืองให้กิน ผลปรากฏว่าพลายชุมพลชนะ รุ่งข้ึนพระไวยจึงให้
นางศรีมาลากับสรอ้ ยฟา้ ทำ� ขนมเบ้ือง แตน่ างสรอ้ ยฟา้ เป็นคนเหนือ ไมช่ ำ� นาญ
การท�ำขนมภาคกลางจึงละเลงแป้งขนมเบ้ืองหนาเกินไป พลายชุมพลกับนาง

190

ทองประศรตี ขิ นมเบอ้ื งของนางสรอ้ ยฟา้ นางสรอ้ ยฟา้ โกรธจงึ พาลทะเลาะตบตี
กับนางศรีมาลา เสภาชว่ งการละเลงขนมเบื้องมีว่า
ศรมี าลาละเลงแผน่ บางบาง แซะใสจ่ านวางออกไปให้
สรอ้ ยฟา้ ไมส่ ันทดั อดึ อัดใจ ปามแป้งใส่ไล้หน้าหนาส้นิ ที
พลายชมุ พลจงึ ว่าพสี่ ร้อยฟ้า ทำ� ขนมเบอ้ื งหนาเหมอื นแปง้ จ่ี
พระไวยตอบว่าหนาหนาด ี ทองประศรีว่ากไู มเ่ คยพบ
ลาวทำ� ขนมเบ้ืองผดิ เมืองไทย แผน่ ผอ้ ยมนั กระไรดงั ตม้ กบ
แซะม้วนเขา้ มาเทา่ ขาทบ พลายชมุ พลดน้ิ หลบหวั รอ่ ไป
ฝา่ ยนางศรีมาลาชายตาดู ทง้ั ขา้ ไทยิ้มอยไู่ ม่กล้ันได้
อไี หมร้องวา้ ยขอ้ ยน้อยอายใจ ลืมไปคดิ ว่าท�ำขนมครก
ในหนงั สอื แมค่ รวั หวั ปา่ ก์ของทา่ นผหู้ ญงิ เปลยี่ น ภาสกรวงศ์ อธบิ ายเรอ่ื ง
การทำ� ขนมเบอ้ื งไวว้ า่ ปรกตแิ ลว้ ขนมเบอ้ื งมกั จะทำ� ในเวลาทก่ี งุ้ ชมุ และการละเลง
ขนมเบอ้ื งนับเปน็ ศิลปะอย่างหนง่ึ เพราะต้องละเลงให้แปง้ บาง กรอบ เครอ่ื งมอื
ท่ใี ชล้ ะเลงแป้งเรียกวา่ “จา่ ” ประกอบด้วยสว่ นทีล่ ะเลง เรยี กวา่ “ปากเป็ด” ซง่ึ
ทำ� จากไมไ้ ผส่ ดเหลาใหเ้ กลย้ี งเกลา โตขนาด ๓ นว้ิ หลงั แบน และดา้ มจบั ทำ� จากไม้
แกะสลกั อยา่ งประณตี เพราะเปน็ การประชนั ฝมี อื แกะสลกั กนั ไปในตวั ดว้ ยกระทะ
ขนมเบอื้ งตอ้ งเปน็ ดนิ เผาอยา่ งแบนมที จี่ บั และฝาครอบ จากการทกี่ ระทะขนมเบอื้ ง
ทำ� จากดนิ เผาหรือกระเบ้อื งนีจ้ ึงเปน็ ที่มาของการเรยี กช่ือวา่ ขนมเบ้ืองน่ันเอง
สว่ นประกอบของขนมเบือ้ งทที่ ่านผหู้ ญงิ เปลีย่ น ภาสกรวงศ์ อธิบายไวใ้ น
หนงั สอื แมค่ รวั หวั ปา่ ก์ ประกอบดว้ ย แปง้ ขา้ วเจา้ ถว่ั ทองหรอื ถวั่ เขยี ว ไข่ มะพรา้ ว
น้�ำปูนใส กุ้ง พริกไทย ผักชี ใบมะกรูด น�้ำตาล พริกป่น น้�ำหอมกุหลาบหรือ
นมแมว หรือกล่ินวานลิ ลา
วิธีการท�ำขนมเบื้องแต่โบราณต้องแช่ข้าวสารและต�ำให้ละเอียด ส่วน
ถว่ั เขยี วหรือถ่วั ทองตอ้ งควั่ ใหห้ อม โมป่ ่นเปน็ แปง้ นำ� ปนู แดงไปละลายน้�ำเทลง
ในหม้อต้มจนเดือดแล้วยกลงทิ้งไว้ให้เย็น เมื่อจะนวดแป้งให้ผสมแป้งเข้าเจ้า
และแปง้ ถวั่ กับไขเ่ ป็ด ๑ ถึง ๒ ฟอง จากนน้ั ใส่หัวกะทิ เมื่อเข้ากันดแี ล้วจงึ เติม

191

น้�ำปูนใส คนให้เข้ากันพอข้น อย่าให้เหลวเกินไป ส่วนหน้ากุ้งนั้นสับเน้ือกุ้งให้
ละเอียดผสมมันกุ้ง โรยเกลือป่น แล้วเติมน้�ำปูนใสเล็กน้อยพอให้เนื้อกุ้งแตก
เตรยี มเคร่ืองโรยหนา้ คือใบหอม ใบมะกรดู ใบผักชีห่ันฝอย มะพรา้ วขูดละเอียด
เม่ือเคร่อื งปรงุ และส่วนผสมพรอ้ มแลว้ กเ็ ตรยี มกระทะ โดยเอามะพร้าว
ขูดเทลงบนกระทะ เกลีย่ ใหท้ ่วั เอาฝาปดิ จนมะพรา้ วไหมเ้ กรยี ม แล้วเอากาบ
มะพร้าวเช็ดหรือถูกระทะให้มันเพื่อไม่ให้แป้งติดกระทะ หรือหากไม่มีมะพร้าว
จะใช้ขี้ผึ้งลงถูกระทะร้อน ๆ ก็ได้ เม่ือละเลงแป้งต้องอย่าให้หนามาก แล้วตัก
หน้ากุ้งลงไปละเลงให้หนา เมื่อสุกแป้งจะยกขอบร่อนออกจากกระทะ โรย
มะพรา้ ว และใบผักต่าง ๆ แล้วแซะขึน้ หากต้องการขนมเบอ้ื งหนา้ หวาน ตอ้ ง
เตรียมหน้าโดยใช้ไข่เป็ดหรือไข่ไก่ก็ได้ ตีผสมน�้ำตาลทรายขาวให้ขึ้นฟูแล้ว
เหยาะกลนิ่ นำ�้ หอม ใช้ละเลงเช่นเดียวกบั หนา้ ก้งุ
ทา่ นผหู้ ญงิ เปลยี่ น ภาสกรวงศ์ อธบิ ายเพม่ิ เตมิ วา่ ขนมเบอ้ื งในสมยั โบราณ
แผ่นเลก็ คนหนง่ึ สามารถรบั ประทานได้ตัง้ แต่ ๓๐ ถึง ๕๐ แผน่ ก็มี
(รศ. ดร.ปรดี ี พศิ ภมู วิ ิถ)ี
หนงั สอื อ้างอิง
จลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั , พระบาทสมเดจ็ พระ. พระราชพธิ สี บิ สองเดอื น. กรงุ เทพฯ :
คลงั วิทยา, ๒๕๑๐.
เปล่ียน ภาสกรวงศ์, ท่านผู้หญิง. ต�ำราแม่ครัวหัวป่าก์ เล่ม ๒. กรุงเทพฯ :
ต้นฉบับ, ๒๕๕๔.

ครึ-สมาคมครึ

คำ� วา่ ครึ พจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ใหค้ วามหมาย
ว่า “เกา่ ไม่ทันสมัย” ยอ้ นหลงั ไป ๗๐ ปี ปทานุกรมสำ� หรบั นักเรียน พิมพ์เมอ่ื
พ.ศ. ๒๔๗๒ ใหค้ วามหมายว่า “ครำ�่ , เร่อร่า, มปี ญั ญาทบึ ” แตใ่ นสมยั พระบาท
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ค�ำนี้หมายถึง เข้าใจยาก ดังค�ำอธิบายค�ำว่า

192

ครึ ที่ตอนท้ายของหนงั สือพระราชพิธีสบิ สองเดอื น พระราชนพิ นธใ์ นพระบาท
สมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจ้าอย่หู วั มวี า่
ค�ำว่า “ครึ” หมายความว่า ยากท่ีจะเข้าใจ มาแต่ว่าผู้ท่ีอธิบายอะไร ๆ
มายกศัพท์แสงต่าง ๆ ให้ฟงั ยากดังครึคระ ๆ คนฟังไมใ่ ครเ่ ข้าใจ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะที่ทรงด�ำรงพระอิสริยยศ
เป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเลือกใช้ค�ำว่า ครึ
เป็นชื่อของสมาคมท่ีพระองค์ทรงตั้งข้ึนเม่ือ พ.ศ. ๒๔๔๙ ชื่อสมาคมครึน่าจะ
แปลวา่ สมาคมวา่ ดว้ ยเรอื่ งทย่ี ากจะเขา้ ใจ พระองคท์ รงกอ่ ตง้ั สมาคมนดี้ ว้ ยสาเหตุ
ส�ำคัญประการหน่ึงคือมีพระราชประสงค์จะให้คนไทยเข้าใจเรื่องประชาธิปไตย
ซ่งึ เป็นเรอ่ื งท่เี ข้าใจยาก หม่อมหลวงปนิ่ มาลากลุ กลา่ วถึงสมาคมครึ ในหนังสอื
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยู่หัว พระมหาธีรราชเจ้า วา่
...ทรงนำ� วธิ กี ารของประชาธปิ ไตยมาใชใ้ นกจิ การของสมาคมซง่ึ ทรงตง้ั ขนึ้
และมนี ามแปลก ๆ ว่า “สมาคมครึ” อนั ทีจ่ ริงกล่าววา่ ทรงยกสภาผู้แทน
ราษฎรของอังกฤษมาต้ังที่กรุงเทพฯ ให้คนชมก็คงไม่ผิด การจัดท่ีนั่ง
ของสมาชิกก็ดี วิธีโต้เถียงตลอดจนวิธีจดรายงานการประชุมลอก
ประชาธปิ ไตยแบบครมู าทง้ั สน้ิ ทง้ั นท้ี รงมงุ่ หมายจะใหค้ นไทยมคี วามเขา้ ใจ
มากกว่าอ่ืน
สมาชกิ ของสมาคมครมึ ปี ระมาณ ๓๐๐ คน สว่ นใหญเ่ ปน็ ชาวตา่ งประเทศ
หม่อมหลวงปิ่นให้เหตุผลว่า “เพราะสมัยนั้น คนไทยยังด�ำเนินการแบบ
ประชาธิปไตยไม่เป็น จะต้องดูชาวต่างประเทศไปก่อน” สมาชิกท่ีเป็นคนไทย
มอี ยบู่ า้ ง เชน่ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงประจกั ษศ์ ลิ ปาคม พระเจา้ บรมวงศ์
เธอ พระองคเ์ จา้ หญงิ วาณรี าชกญั ญา พระยาประสทิ ธศิ์ ลั การ หลวงสนุ ทรโกษา
สมาชกิ ทกุ คนจะตอ้ งเปน็ ผแู้ ทนเมอื งใดเมอื งหนง่ึ จะเปน็ เมอื งในตา่ งประเทศกไ็ ด้
และใชน้ ามแฝงแทนชอ่ื ตวั เองกไ็ ด้ เชน่ พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั

193

ทรงสมมุติพระนามของพระองค์ว่า เอ.แอล.เอม.เอ็ส. อ๊อกสฟอร์ด ผู้แทน
อ๊อกสฟอร์ดตะวันออก นอกจากน้ันสมาชิกแต่ละคนต้องสังกัดพรรคการเมือง
พรรคใดพรรคหนงึ่ ใน ๒ พรรค คอื ๑. พรรคสุภาพบรุ ษุ ๒. พรรคแรงงาน พรรค
สุภาพบุรุษได้แบบอย่างจากพรรคอนุรักษนิยม ส่วนพรรคแรงงานได้แบบอย่าง
จากพรรคแรงงานของอังกฤษ
สมาคมครึส่งเสริมการกีฬาเป็นส่วนใหญ่ มีการเลือกตั้งนายกสมาคม
ทุกเดือน เมื่อเลือกได้นายกสมาคมแล้ว นายกสมาคมก็แต่งต้ังบุคคลในพรรค
เดียวกันใหด้ ำ� รงตำ� แหนง่ ต่าง ๆ อกี ๙ ต�ำแหน่ง ได้แก่ เหรัญญกิ ผชู้ ่วยเหรัญญิก
บรรณารกั ษ ์ ผแู้ ทนชาวตา่ งประเทศ เลขานกุ ารชมรมครกิ เกต็ เลขานกุ ารชมรม
ฟุตบอล เลขานุการชมรมละคร ผแู้ ทนสมาชิกสตรี และ เลขาธิการสภา
ฤกษเ์ ปดิ สมาคมครคึ อื ๑๐.๓๒ น. วนั อาทติ ยท์ ่ี ๑๗ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๔๔๙
จัดงาน ๓ วัน เสร็จงานแล้วแจกเหรียญท่ีระลึก อย่างไรก็ตามสมาคมนี้มีการ
ประชมุ กนั ไปกอ่ นแล้วตง้ั แตย่ ังไม่มีพธิ เี ปดิ สมาคม
(รศ. ดร.นววรรณ พนั ธเุ มธา)
หนงั สอื อ้างองิ
จลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั , พระบาทสมเดจ็ พระ. พระราชพธิ สี บิ สองเดอื น. พระนคร :
ศิลปาบรรณาคาร, ๒๕๐๓.
ปทานุกรมสำ� หรบั นกั เรยี น. พระนคร : กรมตำ� รา กระทรวงธรรมการ, ๒๔๗๒.
เสรมิ สรา้ งเอกลกั ษณข์ องชาต,ิ สำ� นกั งาน. พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั
พระมหาธรี ราชเจ้า. กรงุ เทพฯ, ๒๕๓๓.

ความเชือ่ เกีย่ วกับพระพรหม

พระพรหม เป็นเทพเจ้าสำ� คัญองคห์ นงึ่ ในกลมุ่ เทพเจา้ ทงั้ สามของศาสนา
พราหมณ์คอื พระศวิ ะพระนารายณ์(หรอื พระวษิ ณ)ุ และพระพรหมเมอ่ื รวมอยใู่ น
รปู ตรีมูรติ พระพรหมจะอยเู่ บือ้ งขวา พระศิวะอยทู่ ่ามกลาง และพระนารายณ์

194
อยู่เบ้ืองซ้าย โดยก�ำหนดให้พระพรหมเป็นเทพผู้สร้างโลก ตลอดจนสรรพส่ิง
ทงั้ หลาย (หรอื อาจกลา่ วไดว้ า่ เปน็ เทพเจา้ แหง่ สง่ิ มชี วี ติ ทงั้ มวล) พระศวิ ะเปน็ เทพ
ผ้ทู �ำลายสรรพสงิ่ ทั้งปวง พระนารายณเ์ ป็นเทพผปู้ กปักรักษา
เร่ืองราวของพระพรหมปรากฏอยู่ในคัมภีร์หลายฉบับ แต่ละฉบับมี
รายละเอียดแตกต่างกนั ไป เชน่ ในคัมภีร์ปทั มปรุ าณะกล่าววา่ เดิมพระพรหมมี
๕ เศยี ร ๕ พกั ตร์ ซงึ่ แตล่ ะเศยี รหมายถงึ คมั ภรี พ์ ระเวทแตล่ ะคมั ภรี ์ กลา่ วคอื เศยี ร
ทผี่ นิ พระพกั ตรไ์ ปสทู่ ศิ เหนือหมายแทนคมั ภีรอ์ าถรรพเวท เศยี รทผ่ี นิ พระพักตร์
ไปสู่ทิศใต้แทนคัมภีร์ยชุรเวท เศียรที่ผินพระพักตร์ไปทิศตะวันออกแทนคัมภีร์
ฤคเวท และเศยี รทผี่ นิ พระพกั ตรไ์ ปทศิ ตะวนั ตกแทนคมั ภรี ส์ ามเวท สว่ นเศยี รทห่ี า้
นน้ั เปน็ ทจี่ ดจำ� รวมคมั ภรี พ์ ระเวททง้ั สไ่ี วท้ งั้ หมด ดว้ ยเหตนุ เ้ี ศยี รทหี่ า้ จงึ มลี กั ษณะ
พเิ ศษ เปน็ รัศมสี ง่ ประกายโชตชิ ่วงจนทำ� ให้บรรดาเทวดาและอสรู ไม่อาจทนต่อ
ความร้อนของรัศมีนน้ั จึงไปขอรอ้ งพระศวิ ะให้ช่วย พระศวิ ะจึงให้ตัดเศียรทหี่ ้า
ของพระพรหมออกไป
ส่วนอีกคัมภีร์หนึ่งกล่าวว่า เดิมพระพรหมมีเศียรเดียว พักตร์เดียว
พระพรหมไดแ้ บง่ ภาคใหก้ ำ� เนดิ นางศตรปู าขน้ึ เปน็ หญงิ ทม่ี คี วามงดงามอยา่ งยงิ่
แม้พระพรหมเองก็เกิดความหลงใหลในความงามของนาง เผลอตัวมองนาง
ไม่ให้คลาดสายตา เม่ือนางเคลื่อนไหวไปทิศทางใด พระพรหมประสงค์จะได้
เห็นนางตลอดเวลา จะผินพระพักตร์ไปมอง ก็เกิดความละอายเกรงจะถูกติฉิน
จึงได้เนรมิตพระพักตร์ขึ้นตามทิศที่นางเคล่ือนท่ีไป เพื่อจะได้เห็นนางตลอดทิศ
ทั้งสี่ และไดเ้ พ่ิมพระพักตร์สำ� หรบั ทศิ เบื้องบนอกี หนึ่ง รวมเปน็ ๕ พกั ตร์ ต่อมา
พระพรหมมีเรื่องขัดใจกับพระศิวะ ได้โต้เถียงกันจนพระศิวะกร้ิว ลืมพระเนตร
ทส่ี ามซง่ึ อยตู่ รงกลางพระนลาฏเกดิ เปน็ ไฟเผาเศยี รพระพรหมทอี่ ยเู่ บอ้ื งบนไหม้
เปน็ จุณไป พระพรหมจึงเหลอื เพียง ๔ พกั ตร์ ดังทป่ี รากฏรปู อยใู่ นปัจจบุ ัน
บางคัมภีร์กล่าวว่า ก่อนจะเกิดมีโลกข้ึนน้ัน ปรากฏมีฟองไข่ทองค�ำขึ้น
พระพรหมไดถ้ อื กำ� เนดิ ในฟองไขน่ นั้ โดยบนั ดาลใหไ้ ขแ่ ตกออกเปน็ ๒ ซกี ซกี บน

195
เป็นท้องฟ้า ซีกล่างเป็นโลกมนุษย์ แล้วพระพรหมก็สร้างสรรพส่ิงท้ังปวงข้ึน
ในโลกสวรรค์ และโลกมนษุ ย์ เช่น ใหบ้ งั เกิดมนี �ำ้ ไฟ ลม และส่ิงมชี ีวติ ทั้งปวง
ดว้ ยเหตุน้พี ระพรหมจงึ ไดร้ บั สมญาว่าเปน็ เทพผู้สรา้ งโลก
คัมภีร์หน่ึงกล่าวว่า ครั้งหนึ่งขณะที่พระนารายณ์บรรทมหลับอยู่เหนือ
พระแทน่ อนนั ตนาคราชทเ่ี กษยี รสมทุ ร ปรากฏมดี อกบวั ผดุ ขนึ้ จากพระนาภขี อง
พระนารายณ์ และพระพรหมกป็ รากฏขนึ้ กลางดอกบัวน้ัน
นอกจากนยี้ งั มพี ระพรหมตามคตพิ ระพทุ ธศาสนา เชน่ ปรากฏอยใู่ นคมั ภรี ์
ไตรภูมิ พระพรหมอยบู่ นสวรรคช์ นั้ สูงกว่าเทวดา มีทั้งรปู พรหมและอรูปพรหม
จะเห็นได้ว่าพระพรหมตามคติศาสนาพราหมณ์และพระพุทธศาสนา
ลว้ นเปน็ เทพผมู้ คี วามเมตตาตอ่ สรรพสตั ว์ ดว้ ยพระทยั อนั เปย่ี มดว้ ยความกรณุ า
ดังกล่าวมานี้ ท�ำให้มวลมนุษยชาติพากันสักการบูชา อธิษฐานขอพรต่าง ๆ
และมักจะได้รับความส�ำเร็จสมความปรารถนาทกุ คราว
ในการสร้างรูปพระพรหมสว่ นใหญ่ก�ำหนดใหม้ ี ๔ พกั ตร์ ๔ กร สีพระองค์
ขาวหรือแดง เครื่องประดับทองค�ำ มีหงส์เป็นพาหนะ อาวุธที่ทรงในแต่ละกร
แตกต่างกันไป ได้แก่ คัมภีร์ ซ่ึงอาจหมายถึงพระเวทอันศักด์ิสิทธ์ิ หรืออาจ
หมายถึงคัมภีร์ที่บันทึกเร่ืองราวท้ังมวลของโลกมนุษย์ คทา หมายถึง อ�ำนาจ
อาญาสทิ ธ์ิ ธนู อาวธุ แหลมคม ซึง่ อาจหมายถงึ ยังใหบ้ งั เกดิ ความคิดเฉยี บแหลม
หรอื ไดช้ ยั ชนะ ลกู ประคำ� หมายถงึ ธรรมะ ความบรสิ ทุ ธสิ์ ะอาด คนโท บรรจนุ ำ�้
จากแม่น�้ำคงคา เชื่อกันว่าเป็นน�้ำศักดิ์สิทธ์ิ เป็นมงคลยังให้บังเกิดความร่มเย็น
ความสขุ ชอ้ น ใช้ตักเนยใสใส่กองกูณฑ์หรอื ไฟบูชา ยังให้เกิดความสวา่ งสดใส
อาวธุ เหล่าน้อี าจทรงไวเ้ พยี ง ๒ กร หรือ ๔ กร กม็ ี
พระพรหมที่ปรากฏเปน็ รปู เคารพในประเทศไทย นา่ จะมีมาพรอ้ ม ๆ กบั
อิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ ท่ีเข้ามาสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่
พุทธศตวรรษท่ี ๑๐ ซง่ึ นิยมบูชาร่วมกับพระศิวะ พระนารายณ์ ไมไ่ ดแ้ ยกบชู า
เป็นเอกเทศ การสร้างรูปพระพรหมแยกบูชาเฉพาะองค์ ในสมัยโบราณพบ

196

หลักฐานน้อยมาก ถึงสมัยปัจจุบันมีหลักฐานการสร้างขึ้นเป็นเอกเทศคร้ังแรก
ใช้ในความหมายว่า ท้าวมหาพรหมผู้เป็นใหญ่ในสรวงสวรรค์ โดยสร้างขึ้นตาม
ความเชื่อ เมอื่ คราวจอมพล ป. พบิ ลู สงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนน้ั แตง่ ตั้ง
ให้พลตำ� รวจเอก เผา่ ศรยี านนท์ เปน็ ประธานกอ่ สร้างโรงแรมเอราวัณ บรเิ วณ
สี่แยกราชประสงค์ กรุงเทพฯ เมื่อแรกการก่อสร้างมีอุปสรรคนานาประการ
จนเม่ือพลเรือตรี หลวงสุวิชาน ซึ่งเป็นแพทย์ของกองทัพเรือ เป็นผู้มีความ
สามารถพเิ ศษดา้ นการดทู างใน ไดแ้ นะนำ� ใหป้ ระกอบพธิ บี วงสรวงทา้ วมหาพรหม
หลงั จากบวงสรวงแลว้ การกอ่ สรา้ งโรงแรมกส็ ำ� เรจ็ เรยี บรอ้ ยโดยเรว็ พลตำ� รวจเอก
เผ่า ศรียานนท์ เกิดความเลือ่ มใส จึงมอบใหน้ ายจติ ร พิมพ์โกวทิ นายช่างกอง
หตั ถศลิ ป์ กรมศลิ ปากร ออกแบบปน้ั รปู ทา้ วมหาพรหมดว้ ยปนู ปลาสเตอรป์ ดิ ทอง
โดยนายเจือระวี ชมเสวี และหมอ่ มหลวงป้มุ มาลากุล เป็นผู้ออกแบบศาล แล้ว
ประดษิ ฐานไว้ ณ บริเวณโรงแรมเอราวัณ เมอ่ื วนั ท่ี ๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๐
นับเป็นท้าวมหาพรหมองค์แรกที่สร้างขึ้นในยุคปัจจุบันส�ำหรับให้ประชาชน
ทั่วไปได้เคารพสักการะ และทางโรงแรมเอราวัณก็ถือเอาวันที่ ๔ พฤศจิกายน
ของทกุ ปี เป็นวันท�ำพธิ ีสักการะสังเวยบูชาท้าวมหาพรหม
ทา้ วมหาพรหมทโี่ รงแรมเอราวณั นี้ ผทู้ ม่ี าสกั การะและขอพรกม็ กั จะไดผ้ ล
สมั ฤทธติ์ ามความปรารถนา จงึ เปน็ ทเี่ ลอื่ งลอื ในหมชู่ าวไทยและชาวตา่ งประเทศ
และนิยมสร้างรปู ท้าวมหาพรหมบูชากนั อยา่ งแพร่หลายดงั ท่เี ห็นอยูใ่ นทกุ วนั น้ี
(นางสาวก่องแก้ว วรี ะประจักษ์)

ความเชอ่ื เร่อื งไม้มงคล

ความเช่ือเรื่องไม้มงคลมีคติด�ำเนินไปหลายประการ มีทั้งความเชื่อตาม
ลัทธศิ าสนา ตามความนยิ มสบื ๆ กันมา และตามชือ่ ของไม้นน้ั ๆ ในทางศาสนา
มีไม้ส�ำคัญที่เกี่ยวข้องกับศาสดา ซึ่งศาสนิกชนยึดถือว่าไม้นั้นเป็นไม้มงคล บ้าง
ก็ว่าเป็นไม้ศักดิ์สิทธ์ิ เช่น ในทางพระพุทธศาสนามีไม้ท่ีพระพุทธเจ้าในภัทรกัป

197

ซ่ึงเป็นกัปปัจจุบันนี้ประทับใต้ร่มเงาในคราวตรัสรู้ ท่ีประทับมาแล้วมี ๔ ชนิด
และท่จี ะมีมาในอนาคตอีก ๑ ชนิด ตามล�ำดบั ดงั นี้

๑. พระกกุสนั ธะ ประทับตรสั รู้ใต้ต้นไมซ้ กึ (ไมร้ าชพฤกษ์)
๒. พระโกนาคมนะ ประทบั ตรสั รใู้ ตต้ น้ ไม้มะเดื่อ
๓. พระกสั สปะ ประทับตรัสรใู้ ต้ต้นไม้นโิ ครธ (ไมไ้ ทร)
๔. พระโคตมะ ประทบั ตรัสรู้ใตต้ ้นไม้โพธิ
๕. พระศรีอาริยเมตตรัย พระพทุ ธเจา้ ในอนาคตจะประทบั ตรสั รใู้ ตต้ น้ ไม้
กากะทงิ

ตามแนวคดิ ทางพระพทุ ธศาสนายงั มไี มอ้ กี หลายชนดิ ทจี่ ดั ไวเ้ ปน็ ไมม้ งคล
เช่น ดอกบัวเป็นไม้ที่พระพุทธเจ้าเมื่อแรกประสูติ ทรงก้าวพระบาทไปเหนือ
ดอกบัว และเม่ือตรัสรู้แล้วคราวหน่ึงทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์สยบชฎิลท่ีใต้
ต้นไม้มะม่วง นอกจากนั้นยังมีไม้ท่ีใช้ในพิธีกรรมต่าง ๆ เรียกว่า ไม้สมิท หรือ
สมิทธิ หรือสมิต ซ่ึงมีความหมายให้ยังเกิดความส�ำเร็จตามความปรารถนา
มีหลายชนิด เช่น ไม้ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้ปัดพระองค์ในพระ
ราชพธิ ีบรมราชาภเิ ษก มีไม้มะมว่ ง ๒๕ ใบ โดยนยั หมายให้เปน็ ไมส้ ยบภยั พิบัติ
ใบทอง ๓๒ ใบ หมายถงึ ใชแ้ กอ้ ปุ ทั วนั ตราย (อบุ ตั เิ หต)ุ ทง้ั ปวง ใบตะขบ ๙๖ ใบใชแ้ ก้
ฉนั วุฒโิ รคนั ตราย (โรคภยั ไข้เจ็บ) การใช้ใบมะมว่ งน่าจะได้เค้ามาจากไม้มะม่วง
ที่พระพุทธเจ้าเคยใช้เป็นที่แสดงยมกปาฏิหาริย์สยบชฎิลดาบสจึงถือว่าเป็นไม้
แกม้ หาภยั ใบทองมาแต่ช่ือแร่ทองเป็นธาตุธรรมชาติแกอ้ ปุ ทั วะได้ ใบตะขบมา
แตช่ อ่ื ขบกัดโรคภัยไขเ้ จบ็ ต่าง ๆ ได้ และยงั มไี ม้ทใ่ี ชใ้ สใ่ นไฟเพือ่ โหมกูณฑใ์ นพธิ ี
บชู าไฟ โดยเกรยี กไมโ้ พธิให้เป็นดุน้ เล็ก ๆ ไมโ้ พธนิ ัน้ ก็เรียกวา่ ไม้สมทิ

ยังมีใบไม้อีกชนิดหนึ่งใช้ในพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับคติศาสนาพราหมณ์
ได้แก่ ใบมะตูม เนื่องจากลกั ษณะของใบมะตูมแยกออกเปน็ ๓ แฉกรปู เหมอื น
ตรีศูล อาวุธของพระอิศวร ดังนั้นจึงนิยมใช้ใบมะตูมเป็นสัญลักษณ์แทนองค์
พระอศิ วร

198

ไม้มงคลตามช่ือของไม้ นอกจากใบตะขบ และใบทองที่กล่าวมาแล้ว
ยังมีไม้ท่ีนิยมใช้ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ปลูกสร้างอาคาร หรือวางในหลุม
เสาเอกปลูกสร้างบ้านเรือน เป็นไม้ที่ชื่อเป็นมงคล ๙ ชนิด ได้แก่ ไม้ขนุน
ไม้สักทอง ไม้ราชพฤกษ์ ไมช้ ยั พฤกษ์ ไมท้ องหลาง ไมก้ นั เกรา ไม้พยุง ไมไ้ ผ่สสี ุก
ไมท้ รงบาดาล
ตามคตคิ วามเชอื่ ของจนี มไี มท้ ใ่ี ชเ้ ปน็ สญั ลกั ษณแ์ ทนความหมาย ฮก ลก ซว่ิ
เทพเจ้าสูงสุดเปรียบได้กับพระนารายณ์ พระอิศวร และพระพรหม ตามคติ
ศาสนาพราหมณ์ ไม้ทใี่ ช้แทน ฮก ไดแ้ ก่ ดอกพดุ ตาน หรอื โบตั๋น ผลส้มมือ และ
ต้นไผ่ ซ่ึงหมายถึง ความเจริญกา้ วหน้า ความรุง่ เรือง ความสวา่ งสดใส วาสนา
อนั ยง่ิ ใหญ่ ไมท้ ใี่ ชแ้ ทน ลก ไดแ้ ก่ ดอกเบญจมาศ ผลทบั ทมิ และตน้ ขา้ ว ซงึ่ หมายถงึ
ความอุดมสมบูรณ์ ความสุข สนุกสนาน ร่าเริงแจ่มใส ไม้ที่ใช้แทน ซิ่ว ได้แก่
ต้นสน ผลโถ ซึง่ หมายถงึ ความมอี ายยุ ืนยาวแข็งแรง มนั่ คงสถาพร
(นางสาวก่องแก้ว วีระประจกั ษ)์

เครอื่ งเทศ : ทองค�ำในโลกตะวนั ออกของโปรตเุ กส

เคร่ืองเทศมีถิ่นก�ำเนิดในเขตร้อนของทวีปเอเชีย มีความส�ำคัญทาง
เศรษฐกิจมาช้านาน โดยเป็นสินค้าท่ีแลกเปลี่ยนกันระหว่างตะวันออกกับ
ตะวนั ตก ทก่ี อ่ ใหเ้ กดิ การแสวงหา และการครอบครองแหลง่ ผลติ เครอื่ งเทศ ตง้ั แต่
ปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ (พทุ ธศตวรรษที่ ๒๒) หรอื ยุคของการค้นพบ
พจนานุกรม ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ใหค้ วามหมายของ
เคร่ืองเทศ ว่า “น. ของหอมฉุนและเผ็ดร้อนท่ีได้มาจากพืช โดยมากมาจาก
ตา่ งประเทศสำ� หรบั ใชท้ ำ� ยาไทยและปรงุ อาหาร เชน่ ลกู ผกั ชี ยห่ี รา่ ” ภาษาองั กฤษ
ใชค้ ำ� วา่ “Spices” หมายถงึ สว่ นของพชื ไมว่ า่ จะเปน็ ชนิ้ หรอื บดเปน็ ผงซงึ่ จะเปน็
ตัวที่ท�ำให้เกิดกล่ินรสเผ็ดร้อนข้ึนในอาหารหรือเคร่ืองดื่ม ท�ำให้เกิดความรู้สึก
น่ารบั ประทานและรสชาตดิ ีขึน้

199
เครื่องเทศมีกล่ินและรสชาติเฉพาะตัว และมีสรรพคุณเป็นยารักษาโรค
อาหาร เคร่ืองดื่ม และเครื่องส�ำอาง จึงเป็นส่วนประกอบส�ำคัญของทั้งอาหาร
และเครื่องบ�ำรุงร่างกายอื่น ๆ นอกจากน้ีน้�ำมันหอมระเหยในเครื่องเทศเป็น
ส่วนผสมส�ำคัญของยาและเป็นเคร่ืองทำ� ให้ผ่อนคลายทางอารมณ์ได้ เชน่ นำ้� มนั
หอมระเหย ตะไคร้ กานพลู จันทน์เทศ มะกรดู พรกิ ไทยขาว โหระพา
ด้วยเหตุที่เคร่ืองเทศเป็นผลผลิตจากธรรมชาติท่ีมีคุณค่าและราคาสูง
เพราะทงั้ สรรพคณุ และความเชอื่ ทส่ี บื ทอดมาจากรนุ่ สรู่ นุ่ ผนวกกบั ความลำ� บาก
ในการแสวงหาให้ได้มาหรือการครอบครองเป็นเจ้าของก็ยิ่งส่งผลให้ราคาของ
เคร่ืองเทศเป็นเสมือนดั่งทองค�ำ สิ่งส�ำคัญอีกประการหนึ่งคือเครื่องเทศได้
กลายเปน็ เครอื่ งตอ่ รองทางอำ� นาจการแสวงหาดนิ แดนใหมใ่ นโลกตะวนั ออกของ
มหาอำ� นาจ เช่น โปรตุเกสและสเปน
ในด้านการค้าพาณิชย์ เส้นทางการค้าเดิมที่มีการล�ำเลียงเครื่องเทศจาก
ตะวนั ออกไปตะวันตกน้ันอยู่ในมอื ของพ่อค้าอาหรบั เกือบท้งั หมด เพราะพอ่ คา้
กลุ่มนี้รู้จักโลกตะวันออกดีอยู่แล้ว ผนวกกับมีความช�ำนาญในเส้นทางเดินเรือ
และการตดิ ตอ่ กบั เมอื งตา่ ง ๆ ในภาคพนื้ ทวปี ทำ� ใหเ้ กดิ การผกู ขาดสนิ คา้ เครอ่ื งเทศ
บางประเภทขน้ึ ในแงอ่ ำ� นาจการปกครอง อาจเหน็ ไดว้ า่ ประเทศในภมู ภิ าคยโุ รป
ยังไม่มคี วามช�ำนาญใด ๆ เพยี งพอ หรอื ยังไมร่ ู้จกั โลกตะวนั ออกดพี อท่จี ะเขา้ มา
ครอบครองหรือสถาปนาอ�ำนาจของตนไว้ได้โดยง่ายนัก ดังน้ันการครอบครอง
การค้าขายเคร่ืองเทศ จึงเท่ากับการได้ครอบครองพื้นท่ีให้อยู่ในอ�ำนาจของ
ประเทศโปรตเุ กสและสเปนด้วย
เครื่องเทศบางชนิด เช่น อบเชย กระวาน กานพลู ขงิ และขมิน้ เป็นท่รี ้จู ัก
และใช้เป็นสินค้าในตะวันออกมาตั้งแต่ยุคโบราณ เคร่ืองเทศเหล่านี้ได้รับการ
นำ� เขา้ ไปยงั ตะวนั ออกกลางตงั้ แตก่ อ่ นครสิ ตกาล แหลง่ ทม่ี าของเครอื่ งเทศกเ็ ปน็
เรอ่ื งทป่ี กปดิ กนั มากในบรรดาหมพู่ อ่ คา้ การซอื้ เครอื่ งเทศผา่ นคาบสมทุ รอาหรบั
และสินค้าฟุ่มเฟือยตามเส้นทางการค้าเคร่ืองหอมรวมทั้งเคร่ืองเทศจากอินเดีย

200
ผา้ ไหม ผา้ เนือ้ ดีตา่ ง ๆ เครอ่ื งประดับ เคร่ืองฟุม่ เฟอื ยอกี เปน็ จ�ำนวนมากส่งผล
ให้เมอื งอะเลก็ ซานเดรีย ประเทศอยี ิปต์ และเมอื งท่าอื่น ๆ กลายเป็นศนู ย์กลาง
การคา้ และการติดตอ่ ระหวา่ งอนิ เดยี และกรีก-โรมันในที่สดุ
เมอ่ื โปรตเุ กสสามารถเดนิ เรอื ออ้ มแหลมกดู๊ โฮปไดแ้ ลว้ จงึ สามารถเดนิ ทาง
เลียบชายฝั่งมหาสมุทรอินเดียได้ง่ายขึ้น โดยอาศัยลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้
ข้ามอา่ วเบงกอลมายังหมูเ่ กาะนิโคบาร์ เขา้ สูช่ ายฝงั่ ทะเลด้านตะวนั ตกของไทย
จากนั้นอาจใช้เส้นทางทางบกหรือทางทะเลเลียบชายฝั่งทะเล เข้าช่องแคบ
มะละกาไปยงั หมเู่ กาะซุนดาและหม่เู กาะโมลุกกะทีไ่ ด้ชอื่ ว่าหมเู่ กาะเครื่องเทศ
เคร่ืองเทศท่สี ำ� คญั ทโ่ี ปรตเุ กสแสวงหานน้ั มหี ลายประเภท เชน่
๑. กานพลู ใชด้ อกตมู แหง้ มสี นี ำ้� ตาลเขม้ กลนิ่ หอม และรสเผด็ รอ้ น นยิ ม
เค้ียวกานพลูร่วมกับหมากเพ่ือให้มีกลิ่นหอม สรรพคุณทางยาช่วยย่อยอาหาร
ขับลม แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เป็นยาชาเฉพาะที่ แก้ปวดฟัน อีกท้ังดอก
กานพลยู ังมีแคลเซียมและฟอสฟอรสั ชว่ ยบำ� รงุ กระดกู และฟันใหแ้ ข็งแรง วิธีใช้
ในการประกอบอาหาร แกะเอาเกสรออกก่อนจึงควั่ เพอ่ื ให้มกี ล่นิ หอมและมีรส
เผ็ด ถา้ ใสใ่ นพริกแกงต้องปน่ กอ่ น
๒. กระวาน ใชท้ ้ังลูกและใบ “ลกู กระวาน” มีลกั ษณะกลมรี ขนาดเล็ก
เปลือกสขี าวไม่แข็ง ภายในมีเมลด็ สนี �้ำตาลจ�ำนวนมาก มกี ลนิ่ หอมฉุน มรี สเผ็ด
เล็กน้อย และมรี สขมปนหวาน สรรพคณุ ทางยาใช้เปน็ ยาบำ� รงุ ธาตุ ชว่ ยขบั ลม
ในกระเพาะอาหาร ขบั เสมหะ แก้อาการทอ้ งเดินท้องอืดทอ้ งเฟ้อ จุกเสยี ดแน่น
และใชเ้ ปน็ สว่ นผสมในยาถา่ ยเพอื่ บรรเทาอาการเสยี ดทอ้ ง สว่ นผสมเครอื่ งเทศใน
น�ำ้ พรกิ แกง และยังใชแ้ ตง่ กล่ินและสีของอาหารหลายชนิด เช่น ขนมปงั อาหาร
หมักดอง และผลติ ภณั ฑเ์ นื้อสตั ว์ตา่ ง ๆ “ใบกระวาน” มีกลิ่นหอมฉนุ และรส
เผ็ดร้อน สรรพคุณทางยา ขับลม บ�ำรุงเลือด บ�ำรุงธาตุ แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ
วธิ ใี ชใ้ นการประกอบอาหาร เวลาใชฉ้ กี เอากา้ นกลางออกแล้วใส่เปน็ ช้นิ ๆ เพยี ง
เล็กนอ้ ย ใช้ดบั กล่ินคาวเน้อื สตั ว์

201
๓. พรกิ ไทย ผลแกต่ ากแหง้ ทง้ั เปลอื ก เรยี กวา่ พรกิ ไทยดำ� สว่ นผลแกเ่ อา
เปลือกออก เหลือแต่เม็ด เรียกว่า พริกไทยขาวหรือพริกไทยล่อน มีกล่ินหอม
คอ่ นขา้ งฉนุ รสเผด็ รอ้ น สรรพคุณทางยา ขับเหงื่อ ขบั ลม แกท้ อ้ งอดื ท้องเฟ้อ
แก้ท้องผูก ปวดฟัน ช่วยเจริญอาหาร ใช้แต่งกลิ่นอาหาร ช่วยดับกล่ินคาว
ใชถ้ นอมอาหารประเภทเน้ือสตั ว์
๔. พรกิ แหง้ มกี ลน่ิ ฉนุ และรสเผด็ รอ้ น สรรพคณุ ทางยา ขบั เสมหะ ขบั ลม
บ�ำรงุ ธาตุ ช่วยย่อยอาหาร ช่วยเจรญิ อาหาร
๕. จนั ทนเ์ ทศ มที ง้ั เมลด็ เรยี กวา่ “ลกู จนั ทน”์ ใชส้ ว่ นในของเมลด็ เพราะ
เมลด็ มเี ปลอื กแขง็ ตอ้ งทบุ เปลอื กออก ใชเ้ พยี งสว่ นเมลด็ ภายในสดี ำ� กลนิ่ หอมฉนุ
รสฝาด และรกหุม้ เมลด็ เรียกว่า “ดอกจันทน”์ มีลกั ษณะเป็นเสน้ ใยแบน สแี สด
กลิ่นหอมฉุนมาก รสคอ่ นข้างเปร้ียวอมฝาด มีสรรพคุณทางยา ขับลม บ�ำรุงธาตุ
แก้ท้องอดื ท้องเฟ้อ ชว่ ยยอ่ ยอาหาร และใสเ่ ปน็ สว่ นผสมในยาหอม ใชแ้ ก้ลม
๖. จันทน์แปดกลีบ เป็นเคร่ืองเทศจากจีน ส่วนท่ีใช้คือ ผลแก่ตากแห้ง
ลกั ษณะผลเปน็ รปู ดาวแปดแฉก สนี ำ้� ตาลอมแดง มกี ลน่ิ หอมออ่ น ๆ รสเผด็ หวาน
สรรพคณุ ทางยา ขบั ลม ขบั เสมหะ บำ� รุงธาตุ แก้ธาตุพิการ อาหารไม่ย่อย
๗. ลูกผักชี ลักษณะลูกกลมเล็กสีขาวหม่นหรือน้�ำตาลซีด มีกล่ินหอม
ความหอมจะมากหรือน้อยก็ข้ึนอยกู่ บั ความแกข่ องเมลด็ รสของลกู ผกั ชจี ะมีรส
ซ่าอ่อน ๆ คล้ายชะเอม สรรพคุณทางยา ชว่ ยเจริญอาหาร แก้อาการปวดทอ้ ง
ทอ้ งอดื ท้องเฟอ้ ขับลม และขับปสั สาวะ
๘. ย่หี ร่า หรอื เทียนขาว ลกั ษณะผลรูปรี ยาวแบน สเี หลอื งอมนำ้� ตาล
มีกลิ่นหอมมาก รสเผ็ดร้อนและขม ย่ีหร่าเมล็ดเล็ก ๆ จะหอมกว่าเมล็ดใหญ่
สรรพคณุ ทางยา ชว่ ยยอ่ ย ขบั ระดขู าว ขบั ลม แกท้ อ้ งอดื ทอ้ งเฟอ้ และเปน็ สว่ นผสม
ในยาหอม
๙. อบเชย เปลือกของต้นอบเชยมีสีน้�ำตาลปนแดง กล่ินหอมนุ่มนวล
รสขมหวานฝาด สรรพคุณทางยา ขับเหงื่อ แก้อ่อนเพลีย แก้จุกแน่น ขับลม
ใชเ้ ปน็ ส่วนผสมของยานัตถุ์ น้ำ� มนั อบเชยเทศมีฤทธ์ฆิ ่าเชอ้ื ราและเช้อื จลุ นิ ทรีย์

202

เคร่อื งเทศเหลา่ น้ี ชาวยโุ รปใชป้ ระโยชน์ในการถนอมอาหาร การปรงุ รส
เปน็ สว่ นผสมของยารกั ษาโรค การทโ่ี ปรตเุ กสตอ้ งเตรยี มกองเรอื เพอ่ื เดนิ ทางมายงั
ตะวันออก กเ็ พราะราคาจ�ำหนา่ ยเครือ่ งเทศทสี่ งู และได้ก�ำไรมาก หากเทยี บกบั
ตน้ ทนุ การแสวงหาและซอื้ ขายจากประชาชนในดนิ แดนตา่ ง ๆ โปรตเุ กสคาดวา่
กองเรือที่มีแสนยานุภาพของตนผนวกกับสภาวะของผู้มีผิวขาว ย่อมท�ำให้ชาว
พนื้ เมืองเกิดความหวาดกลวั และยอมท่จี ะขายเครอื่ งเทศต่าง ๆ ให้แก่โปรตุเกส
อยา่ งไมย่ ากนกั ดงั นนั้ ในการเจรจาความชว่ งแรกของโปรตเุ กสจงึ มงุ่ เนน้ ไปทกี่ าร
แสวงหาเครอ่ื งเทศและของป่าจากเมอื งต่างๆ มากกว่าความสนใจในเรอ่ื งอน่ื ๆ
(รศ. ดร.ปรดี ี พิศภูมิวถิ ี)
หนังสอื อ้างองิ
กรมวิชาการ. ๔๗๐ ปี สัมพันธไมตรีระหว่างไทยและโปรตุเกส. กรุงเทพฯ :
กรมวชิ าการ, ๒๕๓๑.
ปรีดี พศิ ภูมวิ ถิ ี. กระดานทองสองแผ่นดนิ . กรุงเทพฯ : มตชิ น, ๒๕๕๓.
Michael KRONDL. The Taste of Conquest แปลโดยสุนิสา กาญจนกุล.
กรุงเทพฯ : มตชิ น, ๒๕๕๓.

เครื่องยาสมนุ ไพร

เคร่อื งยาสมนุ ไพร หมายถึง ผลิตผลธรรมชาติท่ีนำ� มาใช้ประกอบเป็นยา
หรอื ที่เรียกว่า เภสชั วัตถุ มี ๓ จำ� พวกไดแ้ ก่ พืช สัตว์ และแร่ธาตุ ซงึ่ มีคุณสมบัติ
น�ำไปปรุงให้เกิดฤทธิ์มีสรรพคุณทางยา ใช้บ�ำบัดรักษาโรคต่าง ๆ เภสัชวัตถุท้ัง
๓ จำ� พวก เรียกตามศัพท์แพทย์แผนไทยวา่ พืชสมุนไพร หรอื พฤกษวัตถุ สตั ว์
สมุนไพร หรอื สัตววตั ถุ และแร่ธาตุสมนุ ไพร หรอื ธาตวุ ตั ถุ ซึ่งแพทย์ตอ้ งรูจ้ ัก
คุณสมบัติและสรรพคุณทางยา ที่มีความแตกต่างกันของสมุนไพรทุกจ�ำพวก
กล่าวคอื

203
พืชสมุนไพร ส่วนต่าง ๆ ของพืชท่ีน�ำมาใช้เป็นเภสัชวัตถุ คือ ราก ต้น
เปลอื ก ใบ ดอก เกสร ผล แกน่ ตน้ เหงา้ ยาง เมลด็ กระพ้ี กาฝาก ซงึ่ แพทย์
ต้องรู้จักว่าเป็นพชื ชนดิ ใด มี รส กลิ่น สี รปู อยา่ งใด
สัตว์สมุนไพร อวัยวะต่าง ๆ ของสัตว์ท่ีแพทย์ต้องรู้จักและน�ำมาใช้เป็น
เภสัชวัตถุ คอื เขา กระดูก กรามหรือฟัน มลู เน้อื หนงั สมอง ดี เลอื ด เปลือก
แร่ธาตสุ มุนไพร แพทย์ต้องร้จู กั ลักษณะ รปู สี กล่นิ รส ชอื่ และรวู้ ิธที ำ�
ให้ฤทธิ์ของแร่ธาตุนั้นอ่อนลง เช่น รู้วิธีการสะตุสนิมเหล็กเพ่ือให้พิษลดลงหรือ
หมดไป เพื่อใช้เป็นสมนุ ไพรท่ีมฤี ทธิ์ทางยาได้
การน�ำสมุนไพรมาใช้ปรุงยามีส่วนตามที่ก�ำหนดจ�ำนวน เรียกตามศัพท์
แพทย์ว่า พิกดั ไดแ้ ก่ พิกดั สมนุ ไพร พิกดั สว่ นเคร่อื งยา พิกดั ธาตุ และพิกดั ยา
พิกัดสมุนไพร หมายถึง การก�ำหนดจ�ำนวนเฉพาะส่วนของเครื่องยา
ประเภทพืชสมุนไพร แต่ละชนิดมี ๕ อย่าง แพทย์ไทยโบราณนิยมเรียกเป็น
สามญั วา่ ทั้งห้า หมายถงึ ราก เปลอื ก (ต้นหรอื เถา) ใบ ดอก ผล เชน่ สมอทง้ั หา้
หมายถงึ รากสมอ เปลือกหรือต้นสมอ ใบสมอ ดอกสมอ และผลสมอ
พิกัดส่วนเคร่ืองยา หมายถึง การก�ำหนดจ�ำนวนเครื่องยาเพ่ือใช้ในการ
ปรุงยาตามขนาด ปรมิ าณ และน้ำ� หนกั ของตวั ยา มี ๓ ฐานคอื บาท สลึง เฟ้ือง
เครื่องยาดงั กล่าวนำ� มาประสม ใช้ได้หลายวธิ ี เชน่ สบั เปน็ ท่อน ใช้ตม้ , ต�ำเป็น
ผงใช้ละลายน้�ำหรือสุรา, หรือน�ำเคร่ืองยาท่ีสับหรือต�ำนั้นดองในน้�ำหรือสุรา
การปรงุ ยาโดยทั่วไปถา้ จะท�ำยาต้ม ควรต้องใหเ้ ตม็ สว่ นคอื หนัก ๑ บาท ๒ บาท
เป็นต้น
พกิ ดั ธาตุ หมายถงึ สว่ นของธาตุ ในร่างกายมี ๔ ธาตุ คือ
เตโชธาตหุ รือธาตไุ ฟ มพี ิกดั หรือจ�ำนวนที่ก�ำหนดไว้ ๔ อยา่ ง ได้แก่ ไฟ
ทำ� ใหร้ า่ งกายอบอนุ่ เปน็ ปรกติ ไฟทำ� ใหร้ า่ งกายรอ้ นระสำ�่ ระสาย ไฟทำ� ใหร้ า่ งกาย
แก่เหี่ยวแหง้ ทรุดโทรม ไฟสำ� หรับยอ่ ยอาหารที่กลืนกินลงไป
วาโยธาตหุ รอื ธาตลุ ม มพี กิ ดั หรอื จำ� นวนทก่ี ำ� หนดไว้ ๖ อยา่ ง ไดแ้ ก่ ลมพดั
จากกระเพาะอาหารถึงล�ำคอ คือ เรอ, ลมพัดจากล�ำไส้น้อยถึงทวารหนัก คือ

204
ผายลม, ลมพัดอยู่ในท้องนอกล�ำไส้และกระเพาะอาหาร, ลมพัดทั่วร่างกาย
ลมนแี้ พทยโ์ บราณหมายถงึ โลหติ และลมหายใจเข้าออก
อาโปธาตุหรือธาตุน�้ำ มีพิกัดหรือจ�ำนวนท่ีก�ำหนดไว้ ๑๒ อย่าง ได้แก่
นำ�้ ดี เสมหะ หนอง เลอื ด เหง่ือ มันขน้ น�ำ้ ตา มนั เหลว น้ำ� มกู น้�ำในข้อ น้ำ� มูตร
ปถวีธาตุหรือธาตุดิน มีพิกัดหรือจ�ำนวนที่ก�ำหนดไว้ ๒๐ อย่าง ได้แก่
เกศา (ผม) ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ (กล้ามและแผ่นในกาย) เส้นเอ็น กระดูก
เยอ่ื ในกระดูกหรอื ไข มา้ ม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ล�ำไสใ้ หญ่ ลำ� ไสเ้ ล็ก อาหาร
ใหม่ในกระเพาะอาหาร และไสน้ ้อย อาหารเก่า (กากอาหารทเี่ ลอ่ื นลงมาอยใู่ น
ล�ำไส้ตอนล่าง และเลยตกไปถึงทวารหนัก) มันในสมองซ่ึงเป็นก้อนอยู่ในศีรษะ
และกระดูกสันหลังตดิ กับเส้นประสาททวั่ ไป
พกิ ดั ยา ความหมายหนง่ึ หมายถงึ สว่ นเครอ่ื งยาแตล่ ะสง่ิ ทก่ี ำ� หนดจำ� นวน
ไว้ มี ๓ อยา่ ง คอื จุลพกิ ัดยา พิกดั ยา และมหาพกิ ัดยา เครื่องยาแตล่ ะอยา่ ง
ท่อี ยู่ในพิกัดเดียวกันตอ้ งมีน�้ำหนักเสมอภาคหรือเทา่ กัน มีรายละเอยี ดของพกิ ัด
ต่าง ๆ ดงั นี้
จุลพกิ ัดยา หรือ จุลพกิ ัด หมายถึง เคร่อื งยาอย่างนอ้ ยหรืออยา่ งเดียวกัน
แตแ่ ตกตา่ งกนั เฉพาะรปู รา่ ง หรอื ขนาด สี และถนิ่ กำ� เนดิ ซง่ึ จะแตกตา่ งกันเพยี ง
๒ อยา่ งเท่านนั้ คอื
กลุ่มเครื่องยาต่างขนาดหรือรูปร่าง เช่น โมกท้ังสอง หมายถึง โมกเล็ก
และโมกใหญ่ มะแว้งทั้งสองหมายถึง มะแว้งตน้ และมะแว้งเครือ ฯลฯ
กล่มุ เครอ่ื งยาต่างสี ซึง่ มีทงั้ สขี าวและแดง สขี าวและเหลือง เชน่ กะเพรา
ท้งั สอง หมายถงึ กะเพราขาว และกะเพราแดง องั กาบท้ังสอง หมายถึง อังกาบ
ขาว และอังกาบเหลือง ฯลฯ
กลุ่มเคร่ืองยามีถ่ินก�ำเนิดต่างกันท้ัง ๆ ที่เป็นชนิดเดียวกัน คือมีทั้งใน
ประเทศ ต่างประเทศ บนบก ในน�้ำ หรอื ตามบา้ นและในป่า เชน่ ชะเอมทง้ั สอง
หมายถึง ชะเอมไทย และชะเอมเทศ กมุ่ ท้งั สอง หมายถึงกุม่ บก และกุ่มนำ้� ยอ
ทั้งสอง หมายถงึ ยอบ้านและยอป่า ฯลฯ

205

พกิ ดั ยา อกี ความหมายหนง่ึ หมายถงึ กำ� หนดเครอื่ งยาหลายอยา่ งรวมกนั
เป็นหมวดหมู่ รวมเรยี กเปน็ ช่อื เดียว มี ๒ กลมุ่ คือ
๑. กลุ่มเครื่องยาจัดหมวดตามพิกัด หมายถึง เครื่องยาต่างชนิดกัน
มีจ�ำนวนต้ังแต่ ๒ ส่ิงขึ้นไปรวมเรียกช่ือเป็นพิกัดเดียวกัน เช่น ทเวคันธา คือ
รากบนุ นาค กบั รากมะซาง ตรผี ลา คอื ผลสมอไทย ผลสมอพเิ ภกและผลมะขาม
ปอ้ ม เบญจกลู คอื รากชะพลู เถาสะคา้ น ดปี ลี เหงา้ ขงิ และรากเจตมลู เพลงิ ฯลฯ
๒. กลุ่มเครื่องยาเรียกช่ือตามพิกัด หมายถึง เคร่ืองยาต่างชนิดมีชื่อ
เดยี วกัน รวมเรยี กชือ่ ตามพิกดั เครื่องยาเหลา่ นั้น เช่น เบญจโลหะ (โลหะทั้งห้า)
คอื รากทองกวาว รากทองหลางหนาม รากทองหลางใบมน รากทองพนั ชั่ง และ
รากทองโหลง, เกสรท้งั เก้า คอื ดอกบุนนาค ดอกบัวหลวง ดอกสารภี ดอกพกิ ลุ
ดอกมะลิ ดอกจำ� ปา ดอกกระดังงา ดอกล�ำเจียก และดอกล�ำดวน ฯลฯ
มหาพกิ ดั หมายถึง การก�ำหนดเคร่อื งยาหลายอยา่ งรวมกนั เปน็ หมวดหมู่
รวมเรยี กเปน็ ชอ่ื เดยี วกนั เหมอื นพกิ ดั ยา แตกตา่ งกนั เฉพาะนำ�้ หนกั ของเครอ่ื งยา
ที่ใช้ในมหาพิกัดจะไม่เท่ากัน ที่ก�ำหนดเช่นนี้เพราะเป็นเคร่ืองยาที่ใช้แก้ในกอง
ธาตตุ ามฤดกู าล ตามอายุ และตามสมฏุ ฐานของโรค ซงึ่ เปน็ ไปตามความเหน็ ของ
แพทย์ เชน่ มหาพิกดั ตรีผลา แก้กองธาตุลมช่วงฤดูฝน ใช้ ผลสมอไทย ๑๒ สว่ น
ผลมะขามป้อม ๘ ส่วน ผลสมอพิเภก ๔ ส่วน ถ้าแก้กองเสมหะช่วงฤดูหนาว
ใช้ผลสมอไทย ๔ ส่วน ผลมะขามป้อม ๑๒ ส่วน ผลสมอพเิ ภก ๘ ส่วน ฯลฯ
(นางสาวกอ่ งแกว้ วรี ะประจกั ษ์)

เครอ่ื งราง

เครอ่ื งรางเปน็ วตั ถทุ ส่ี รา้ งขน้ึ แลว้ ผา่ นพธิ กี ารปลกุ เสกจากเกจอิ าจารย์ เพอื่
ให้มีความเป็นสิริมงคลตามคติทางไสยศาสตร์ เชื่อกันว่าหากมีเคร่ืองรางติดตัว
จะสามารถปอ้ งกนั อันตรายต่างๆ ได้ เช่น ยิงไมอ่ อก (ปืนไม่ลั่น) ฟันไมเ่ ข้า
เคร่ืองรางที่นับถือกันในสังคมไทยมีหลายอย่าง เช่น ตะกรุด มีดหมอ
ลกู ประคำ� ผา้ ประเจยี ด ทผี่ า่ นการลงเลขยนั ตห์ รอื ปลกุ เสกแลว้ เครอ่ื งรางเหลา่ นี้

206

มักใชพ้ กตดิ ตัวเวลาเดนิ ทาง เพอื่ ป้องกันอันตรายตา่ ง ๆ หรือในสมัยโบราณยาม
บา้ นเมอื งมสี งคราม ชายชาตทิ หารทตี่ อ้ งไปรบกม็ กั จะมเี ครอื่ งรางเหลา่ นต้ี ดิ ตวั ไป
ดว้ ย เพอื่ ปอ้ งกนั ตวั ดงั เชน่ เรอื่ งราวเกย่ี วกบั พระอาจารยธ์ รรมโชติ บา้ นบางระจนั
ท่ีปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาว่า “พระอาจารย์ธรรมโชติวัดเขา
นางบวชมคี วามรวู้ ิชาดี มาอยู่ ณ วดั โพธิ์เก้าตน้ บ้านระจัน...พระอาจารยน์ น้ั ลง
ตะกรดุ ประเจยี ด และมงคลแจกใหท้ กุ คน” และ “แลพระอาจารยธ์ รรมโชตผิ ซู้ งึ่
กระทำ� สายสญิ จน์ มงคลประเจยี ด ตะกรุดตา่ ง ๆ แจกใหค้ นท้งั ปวง แต่แรกมีคณุ
อยคู่ งแคลว้ คลาด คมุ้ อนั ตรายอาวธุ ไดข้ ลงั อยู่ ภายหลงั ผคู้ นสำ� สอ่ นมาอยใู่ นคา่ ย
มาก ท่ีนับถือแท้บ้าง ไม่แท้บ้าง ก็เสื่อมตบะเดชะลง แลตัวพระอาจารย์น้ัน
ลางคนว่าตายอย่ใู นค่ายบ้าง ลางคนวา่ สูญหายไปก็มี ความหาลงเป็นแน่ไม”่
แสดงให้เห็นว่า คนไทยมีความเช่ือเก่ียวกับเรื่องเคร่ืองรางมาตั้งแต่สมัย
โบราณแล้ว อยา่ งน้อยก็ตง้ั แต่สมัยอยธุ ยา ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ต�ำรับตำ� รา
เกี่ยวกับการสร้างเครื่องรางได้ตกทอดลงมายังเกจิพระอาจารย์ส�ำนักต่าง ๆ
และมกี ารสรา้ งเคร่ืองรางสืบมาจนถึงปจั จบุ นั
(รศ. ดร.ศานติ ภกั ดีคำ� )

จากทุ่งหันตราถึงขนมหนั ตรา

พื้นท่ีนาข้าวบริเวณทิศตะวันออกนอกเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา
เป็นอู่ข้าวอู่น�้ำท่ีส�ำคัญแต่อดีต ซึ่งนอกจากความส�ำคัญเชิงเกษตรกรรมแล้ว
ยังมีความส�ำคัญเชิงประวัติศาสตร์อีกด้วย ทุ่งนาบริเวณน้ีเรียกว่าทุ่งหันตรา
ทุ่งพระอุทัย หรือทุ่งหลวง ซึ่งมีประวัติความเป็นมาเก่ียวข้องกับประวัติศาสตร์
เมอื งพระนครศรอี ยธุ ยาอยู่มิใชน่ อ้ ย
ทงุ่ หนั ตรามศี นู ยก์ ลางอยทู่ ว่ี ดั หนั ตรา หรอื ในเอกสารเรยี กวดั หารตรา วดั น้ี
สถาปนาขนึ้ ในรชั กาลพระเจา้ อยหู่ วั บรมโกศ ดงั ทป่ี รากฏในพระราชพงศาวดาร
ฉบบั พระราชหตั ถเลขาวา่ “ลศุ กั ราช ๑๑๐๐ ปมี ะเมยี สมั ฤทธศิ ก ถงึ ณ เดอื น ๖
สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินเสด็จพระราชด�ำเนินโดยกระบวนนาวาพยุหไปฉลอง

207
วัดหารตรา ให้มีงานมหรสพสมโภชพระอารามสามวัน ทรงถวายไทยทานแก่
พระภิกษสุ งฆ์เปน็ อันมาก ในวนั เป็นท่สี ดุ น้นั ใหเ้ อาช้างออกบ�ำรูกัน บงั เกดิ พายุ
ใหญ่ฝนตกหนัก เสร็จการแล้วเสด็จกลับเข้าพระนคร” ในพระราชพงศาวดาร
กรุงสยามฉบบั บรติ ชิ มิวเซยี ม ระบุว่า “ณ เดอื น ๖ ปมี ะเมียสมั ฤทธิศก ฉลอง
วัดหันตรา” เป็นอันยุติได้ว่าวัดหันตราน้ันสถาปนาขึ้นในรัชกาลพระเจ้าอยู่หัว
บรมโกศ เมื่อจลุ ศกั ราช ๑๑๐๐ ซง่ึ ตรงกับพุทธศกั ราช ๒๒๘๑
พื้นทีบ่ รเิ วณหันตรามแี นวคลองสำ� คัญทเ่ี ป็นเสน้ แบ่งพนื้ ที่ออกหลายสว่ น
คือคลองกระมังหรือคลองไผ่ลิงทางด้านทิศใต้ เช่ือมต่อจากแม่น้�ำป่าสักไหลไป
ทางทิศตะวันออกจนไปเชื่อมกับคลองวัดโตนด ท่ีต้นคลองกระมังมีคลองซอย
แยกขึ้นไปทางเหนอื คอื คลองวัดกฎุ ีดาวและคลองวดั มเหยงคณ์ ซึ่งนับเป็นคลอง
คทู่ างประวตั ศิ าสตรท์ สี่ ำ� คญั แหง่ หนง่ึ สว่ นคลองบา้ นหนั ตราหรอื คลองหนั ตรานน้ั
สันนิษฐานว่าเป็นแม่น้�ำป่าสักสายเดิมท่ีไหลลงมาจากทางเหนือมาบรรจบกับ
คลองกระมัง นอกจากนี้คลองหันตรายังมีคลองซอยออกไปทางตะวันออกอีก
คือคลองสาคู
เมื่อมีชุมชนที่ค่อนข้างคับคั่งเช่นน้ีจึงสันนิษฐานว่าบริเวณทิศตะวันออก
ของเกาะเมอื งพระนครศรอี ยธุ ยามรี อ่ งรอยชมุ ชนเดมิ กอ่ นตงั้ พระนครศรอี ยธุ ยา
อาจมวี ดั มเหยงคณ์ วดั อโยธยา (วดั เดมิ ) วดั กฎุ ดี าว เปน็ วดั หลกั สำ� คญั ของบรเิ วณ
นี้ และดว้ ยสภาพพน้ื ทร่ี าบลมุ่ มแี มน่ ำ�้ หลายสายจงึ มตี ะกอนนำ้� มาก ทำ� ใหบ้ รเิ วณ
หันตราเป็นแหล่งปลูกข้าวท่ีส�ำคัญและเป็นที่ประกอบพระราชพิธีแรกนามาแต่
ครั้งสมัยอยธุ ยา และในสมัยรตั นโกสินทร์กม็ หี ลกั ฐานการจัดพระราชพธิ ีแรกนา
ทีท่ ุง่ หันตราแหง่ น้ใี นรัชกาลที่ ๕
อยา่ งไรกต็ ามนกั ประวตั ศิ าสตรย์ งั ไมส่ ามารถแปลคำ� วา่ หนั ตรา หรอื หารตรา
ท่ปี รากฏในเอกสารได้ สนั นิษฐานว่าอาจมาจากค�ำว่ายาตรา เพราะในบริเวณน้ี
เป็นที่ชุมนุมกองทัพพระเจ้าแผ่นดินอยุธยาอยู่ในคราวศึกหลายครั้ง เช่น เป็น
สมรภูมิสงครามในรัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ หรือสงครามในแผ่นดิน
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช

208

มขี นมชนดิ หนงึ่ ทใ่ี ชใ้ นงานมงคล เชน่ พธิ หี มนั้ พธิ แี ตง่ งานของบางพนื้ ทใ่ี น
จงั หวัดพระนครศรอี ยธุ ยา เรียกวา่ ขนมหนั ตราซ่งึ มีชื่อพอ้ งกบั ท่งุ หนั ตรา ท�ำให้
คนเข้าใจวา่ เป็นขนมทมี่ ีมาตัง้ แต่สมยั อยุธยาและท�ำที่บริเวณท่งุ หันตรา ส�ำหรับ
วิธีการทำ� ขนมหนั ตราหรือขนมฝอย ท่านผหู้ ญงิ เปล่ียน ภาสกรวงศ์ อธิบายไวใ้ น
หนงั สือแม่ครัวหวั ป่าก์ วา่ ท�ำจากถ่ัวเขียวกวน ปน้ั เปน็ ก้อนสเ่ี หลีย่ มลกู เต๋าพอคำ�
รบั ประทาน กดดา้ นบนให้บ๋มุ แล้วชบุ ไขท่ อดพอสุก แลว้ หอ่ อกี ชน้ั ด้วยโสรง่ ไข่
(รศ. ดร.ปรดี ี พิศภมู วิ ถิ ี)
หนังสอื อา้ งองิ
กรมศิลปากร. พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพระราชหัตถเลขา.
กรุงเทพฯ : ด่านสุทธาการพมิ พ,์ ๒๕๔๘. ๒ เล่ม.
เปลี่ยน ภาสกรวงศ.์ แมค่ รัวหัวปา่ ก.์ กรงุ เทพฯ : ส�ำนักพมิ พต์ น้ ฉบบั , ๒๕๕๐.

ชา้ งบ�ำรงู า

ในพจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ หนา้ ๖๗๒ มคี ำ� วา่
บำ� รู ใหค้ วามหมายวา่ “บำ� รู ก. ตกแตง่ ; บำ� รงุ ; ประ เชน่ ชา้ งบำ� รงู า วา่ ชา้ งประงา.”
ตัวอย่างของ “ช้างบ�ำรูงา” พบในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพัน
จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) หน้า ๒๐ ดังน้ี

ครั้นศักราช ๘๙๐, ปชี วดสัมฤทธิศก (พ.ศ. ๒๐๗๑) ณ วันเสาร์
เดือน ๕ ขึ้น ๓ ค�่ำ สมเด็จพระยอดฟ้าเสด็จออกสนามพร้อมด้วยหมู่
มขุ อำ� มาตยม์ นตรเี ฝา้ พระบาทยคุ ลเปน็ อนั มาก ดำ� รสั สงั่ ใหเ้ อาชา้ งบำ� รงู ากนั
บังเกดิ ทจุ รติ นมิ ติ ร งาชา้ งพระยาไฟนั้นหักเป็น ๓ ทอ่ น...

อยา่ งไรกต็ าม พระราชพงศาวดารฉบบั พมิ พ์ ร.ศ. ๑๒๐ เลม่ ๑ หนา้ ๕๘
ก ลา่ วถ ึง เห ต ุกาครรณน้ั ์เศดกั ยี รวากชัน๘แ๙ต๐ใ่ ชปว้ ชี ่าวดบสำ� มัรุงฤงทาธไศิ มกใ่ ช๕,่ บำ� รูงา ดงั น้ี
ณ วนั ๗ ฯ๓๕ คำ�่ , สมเดจ็ พระ
ยอดฟา้ เสดจ็ ออกทอ้ งสนาม, พรอ้ มดว้ ยหมมู่ ขุ มาตย-์ มนตร,ี เฝา้ พระบาท

209

ยคุ ลเป็นอันมาก, ด�ำรสั ส่ังให้เอาชา้ งตน้ พระฉัททันต์บำ� รงุ งากนั , -บังเกิด
ทจุ รติ นิมิตงาชา้ งพระยาไฟนั้นหักเปน ๓ ทอ่ น
นี่ชวนให้คิดว่าค�ำว่า บ�ำรู กับ บ�ำรุง อาจเก่ียวข้องกัน ค�ำว่า บ�ำรู นั้น
ไม่ทราบว่าไทยยืมมาจากภาษาใด และใช้เฉพาะกับค�ำว่า งา สันนิษฐานกันว่า
บ�ำรงู า หมายถึง ประงา สว่ นค�ำวา่ บ�ำรุง ไทยยืมจากคำ� ว่า บํรงุ ในภาษาเขมร
ซึ่งแปลว่าจัดเตรียม ไทยใช้ค�ำว่า บ�ำรุง หมายถึง ท�ำให้งอกงาม, ท�ำให้เจริญ
เชน่ บำ� รุงตน้ ไม้ บ�ำรงุ บา้ นเมือง และหมายถึงรักษาให้อยู่ในสภาพทีด่ ี เชน่ บำ� รุง
รา่ งกาย บ�ำรุงสุขภาพ บ�ำรุงงา อาจหมายถึงจดั เตรียมงา หรอื หมายถึงรักษางา
ให้อยู่ในสภาพท่ีดี การน�ำช้างมาประงาถือได้ว่าเป็นการจัดเตรียมช้างให้พร้อม
สำ� หรบั การออกศกึ การนำ� ชา้ งมาประงาจงึ เรยี กไดว้ า่ บำ� รงุ งา และถา้ เปลยี่ นเสยี ง
เล็กนอ้ ยกก็ ลายเป็น บ�ำรงู า
เรื่องช้างบ�ำรูงานี้ บาทหลวง เดอ ชัวสี ซึ่งเข้ามาเมืองไทยสมัยสมเด็จ
พระนารายณ์มหาราชพร้อมกับคณะทูตฝรั่งเศสได้บันทึกไว้ในจดหมายเหตุ
รายวนั เรอ่ื งระยะทางไปสเู่ มอื งไทย และนายธวชั รตั นาภชิ าติ ไดเ้ กบ็ ความมาเลา่ ไว้
ในหนังสือ เมืองไทยในทัศนะของฝร่ัง หน้า ๗๘-๗๙ ดงั น้ี
ครง้ั หนง่ึ สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราชมพี ระราชประสงคจ์ ะทอดพระเนตร
ชา้ งบำ� รงู า และไดโ้ ปรดใหค้ ณะทตู เขา้ ชมในพระราชวงั ดว้ ย บาทหลวง เดอ ชวั สี
ได้เลา่ ไวว้ า่ สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช เสด็จประทับทอดพระเนตร ณ ชาน
ระเบียง ส่วนที่สนามนั้นมีกองทหารราชองครักษ์แต่งเคร่ืองครบอยู่น่ิงเงียบกับ
พนื้ ดนิ คณะทตู ทเี่ ขา้ ไปในพระราชวงั ตา่ งกส็ งบนง่ิ คอยดอู ยไู่ มม่ ใี ครพดู จาสง่ เสยี ง
ดงั ขน้ึ ตอ่ มากป็ ลอ่ ยชา้ งพลายออกมาตอ่ สกู้ นั ๒ เชอื ก ชา้ งทงั้ สองนม้ี คี นนง่ั อยบู่ น
หลังชา้ งเชอื กละคน แล้วก็มพี วกกรมช้างเอาโซ่เส้นใหญ่ล่ามเทา้ หลงั ของชา้ งทงั้
๒ เชือกไว้ เพ่ือจะได้ช่วยกันลากให้ช้างผละออกห่างจากกัน เม่ือได้ต่อสู้กัน
พอสมควรแลว้ ในตอนนชี้ า้ งท้งั ๒ เชอื ก ต่างกต็ รงเขา้ ตอ่ สกู้ ันถึงประงวงประงา
กนั อยา่ งดเุ ดอื ด ไมย่ อมพา่ ยแพแ้ กก่ นั ตา่ งฝา่ ยตา่ งจะเอาชนะแกก่ นั แมเ้ มอื่ พวก
กรมชา้ งจะดงึ โซท่ ล่ี า่ มไวก้ บั เทา้ ชา้ งใหแ้ ยกผละจากกนั กย็ งั ไมย่ อมแยกผละออก

210

คงใช้ก�ำลงั เขา้ ต่อสู้กันอกี จนบางทีโซ่ล่ามไวน้ ัน้ ขาดไป เมื่อเปน็ เช่นน้ี กค็ ดิ แก้ไข
โดยน�ำเอาช้างพังออกมาเชือกหนึ่ง แล้วปล่อยให้เข้าไปเสยงวงอยู่ในระหว่าง
กลางของช้างที่ต่อสู้กัน เม่ือช้างพลายเห็นช้างพังออกมาห้ามการต่อสู้และ
อยู่ระหว่างกลาง ช้างคู่ต่อสู้นั้นก็จะแยกผละออกจากกัน ไม่ต่อสู้กันอีก พวก
กรมชา้ งก็จะนำ� ชา้ งท้ัง ๒ เชือกน้ันออกไปนอกสนาม ใหอ้ ้อยใหน้ �้ำดมื่ เพ่อื ชา้ ง
จะไดม้ ีใจคอสดช่ืนดีข้นึ
นอกจากจะใหช้ า้ งบำ� รงู าเปน็ ครง้ั คราวแลว้ สมยั กอ่ นอาจใหช้ า้ งบำ� รงู าเปน็
ประจำ� ในเดอื นหา้ สาเหตทุ ส่ี นั นษิ ฐานเชน่ นเ้ี พราะในเรอ่ื ง นางนพมาศ หนา้ ๗๘
กลา่ วถึงขบวนแห่คเชนทรสนานในเดอื นห้า มีขอ้ ความตอนหนึ่งว่า “ขบวนสาร
ซับมันมีช้างน�ำช้างแทรกช้างผะชด [ช้างต่อ] ชายให้บ�ำรูสู้งาผัดพาฬฬ่อแพน
ถวายหนา้ พระท่ีนง่ั ...”
สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำ� รงราชานภุ าพ ทรงกลา่ วถงึ ชา้ ง
บำ� รงู าในพระนพิ นธเ์ รอื่ งจบั ชา้ ง ซงึ่ อยใู่ นหนงั สอื นทิ านโบราณคดี หนา้ ๖๔๓ วา่
ทเ่ี รยี กวา่ “ชา้ งบำ� รงู า” นน้ั คอื ฝกึ ซอ้ มชา้ งชน เลอื กชา้ งรบทก่ี ำ� ลงั
ตกน�้ำมันทั้ง ๒ ตัว ผูกเครื่องมั่นมีหมอควานขี่ให้ซ้อมชนกัน เหตุใดจึง
เลือกชา้ งก�ำลังตกน�ำ้ มัน อธิบายว่าธรรมดาช้างพลายมกั เป็นสัดปลี ะคร้งั
หนง่ึ ในเวลาเปน็ สดั นนั้ ทตี่ วั ชา้ งมนี ำ�้ มนั ตกทง้ั ขา้ งหนา้ ขา้ งทา้ ย จงึ เรยี กกนั
เป็นสามัญว่า “ช้างตกน้�ำมัน” ช้างก�ำลังตกน้�ำมันมักดุร้ายและมีก�ำลัง
มากกว่าเวลาอ่ืน ช้างท่ไี ม่ตกนำ้� มนั มักกลัวเกรงไม่กลา้ สู้ เพราะฉะน้นั ช้าง
ทข่ี ท่ี ำ� ยทุ ธหตั ถจี งึ ใชช้ า้ งกำ� ลงั ตกนำ้� มนั เมอ่ื ซกั ซอ้ มกใ็ ชช้ า้ งกำ� ลงั ตกนำ้� มนั
เหมือนกัน แต่ช้างตกน้�ำมันคนข่ีบังคับยาก เพราะก�ำลังคล่ังน้�ำมัน
ไมท่ ำ� รา้ ยแตช่ า้ งพงั นอกจากนน้ั อะไรเขา้ ไปยวั่ กเ็ กดิ โทสะ อยากแตจ่ ะแทง
คนขตี่ อ้ งเปน็ ผู้เช่ยี วชาญในการบงั คับชา้ ง จึงอาจข่ีช้างตกน้�ำมนั ได้ เวลา
จะใหช้ า้ งบำ� รงู า ตอ้ งเลอื กสรรหมอควานท่ดี ที ง้ั สองข้าง
ดว้ ยเหตทุ ช่ี า้ งทนี่ ำ� มาบำ� รงู าเปน็ ชา้ งตกนำ�้ มนั การบำ� รงู าจงึ มอี นั ตรายมาก
ตำ� ราขชี่ า้ งครงั้ แผน่ ดนิ สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราชแสดงวา่ มเี รอื่ งทต่ี อ้ งพถิ พี ถิ นั

211

ระมัดระวัง ดังนี้
๑. การลา่ มชา้ งกบั เสาปองซง่ึ เปน็ เสาเตย้ี ๆ ปกั ๒ แถวเรยี งกนั เปน็ ระยะ ๆ
“ให้คเนตัวช้างทั้งสองข้างเม่ือจะมาชนกันนั้นให้ถึงกันแต่ปลายงาน้ันเปน
กำ� หนด” ท้งั นี้ เพราะไมต่ อ้ งการให้ชา้ งชนกนั ถงึ แพ้ชนะ ดว้ ยธรรมดาชา้ งที่แพ้
จะไม่กล้าสู้ช้างใด ๆ อีกตอ่ ไป
๒. เม่ือจะให้ช้างเดินไปยังเสาปองเพ่ือล่ามช้าง ซึ่งในต�ำราเรียกว่า
“ตดิ เชือก” ใหช้ า้ งพัง ๑๔-๑๕ ชา้ งเดินนำ� บงั ตาชา้ งชนออกมา
๓. เมอื่ จะลา่ มชา้ ง ใหช้ ้างชนไปยืนอยูท่ ่หี นา้ เสาปอง เอาเชือกบาศคลอ้ ง
ตนี หลงั ทง้ั ๒ ขา้ ง เมอื่ ลา่ มชา้ งฝา่ ยขา้ งหนงึ่ เสรจ็ แลว้ จงึ จะใหช้ า้ งพงั เดนิ นำ� บงั ตา
ช้างชนอีกฝา่ ยหน่ึงมาลา่ มกับเสาปอง ช้างท้ัง ๒ ฝา่ ยจะยงั ไม่เหน็ กันเพราะมชี า้ ง
พังบังไว้
๔. การเคลอื่ นชา้ งเขา้ หากนั “อยา่ ใหว้ งิ่ เขา้ ไป ใหป้ รกตทิ ง้ั สองฝา่ ย คนจงึ
จะไมเ่ ปนอันตราย”
๕. เมื่อให้ช้างชนกันตามกระบวนเสร็จแล้ว “จึงถอยหลังช้างเข้ามาหา
เสาปอง แล้วเอาช้างพังบงั ไวท้ ั้งสองฝา่ ย ถ้ากิริยาสงบแล้วจึงใหแ้ ก้เชือกจากเทา้
เอาช้างพังบังตาเดินเข้าไปในโรง ครั้นไปถึงโรงกิริยาปรกติดีอยู่แล้ว ก็เร่งให้ใส่
มัดขาแลปลอกทรงซ้ายขวาเข้าจงเร็ว แล้วเอาหญ้าเอาอ้อยให้กิน แล้วให้กรม
พระนครบาลตักน�้ำมารดสาด แล้วปิดประตูโรงไว้ ช้างพังนั้นก็ยืนอยู่น่าโรงนั้น
ก่อน แล้วจงึ เอาชา้ งฝ่ายข้างหน่ึงเข้ามาเล่า ก็ให้ท�ำดจุ กนั นั้น”
ในสมยั กอ่ นตอ้ งใหช้ า้ งบำ� รงู าเพอ่ื ฝกึ ซอ้ มชา้ งใหค้ ลอ่ งแคลว่ ในการชน แต่
เมอ่ื เลกิ การรบโดยใชช้ า้ ง การใหช้ า้ งบำ� รงู ากห็ มดความสำ� คญั และเลกิ ไปในทส่ี ดุ
(รศ. ดร.นววรรณ พนั ธเุ มธา)
หนังสอื อา้ งอิง
ด�ำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. นิทานโบราณคดี.
พิมพ์ครั้งที่ ๑๐. พระนคร : เขษมบรรณกิจ, ๒๕๐๓.

212

ต�ำราขี่ช้างคร้ังแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช. พระนคร : โรงพิมพ์
โสภณพพิ รรฒธนากร, ๒๔๖๕.
ธวชั รตั นาภชิ าต.ิ เมอื งไทยในทศั นะของฝรงั่ . พมิ พใ์ นงานพระราชทานเพลงิ ศพ
นางเพ่ิม สมุ าวงศ์ ณ สุสานหลวงวัดเทพศิรนิ ทราวาส พระนคร วนั ท่ี ๒๘
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๗.
พงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยา ฉบับพนั จันทนุมาศ (เจิม). พิมพ์ในงานศพ คุณหญิง
ปฏิภาณพิเศษ (ลมนุ อมาตยกลุ ) ณ วดั ประยุรวงศาวาส วนั ที่ ๙ มนี าคม
พ.ศ. ๒๔๗๙.
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔.
พมิ พ์คร้ังท่ี ๒. กรุงเทพฯ : นานมบี คุ๊ ส์, ๒๕๕๖.
เรื่องนางนพมาศ หรือต�ำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ.
พมิ พ์ในงานศพเจา้ จอมมารดาสงั วาล รัชกาลที่ ๔ พ.ศ. ๒๔๕๗.

ดาวดงึ ส์

ดาวดึงส์ เป็นชื่อสวรรค์ชั้นท่ี ๒
แปลว่า สามสิบสาม เนื่องจากเป็นที่อยู่
ของเทวดา จำ� นวน ๓๓ องค ์
สวรรคช์ นั้ ดาวดงึ ส์ ปรากฏเรอ่ื งราว
อยใู่ นหนงั สอื ไตรภมู ิ หนงั สอื นเี้ ปน็ วรรณคดี
รอ้ ยแกว้ เชอื่ กนั วา่ พญาลไิ ทย กษตั รยิ แ์ หง่
อาณาจักรสุโขทัย ทรงพระราชนิพนธ์ข้ึน
เมอ่ื พ.ศ. ๑๘๘๘ ดว้ ยมพี ระราชประสงคท์ ่ี
จะสอนใหป้ ระชาชนของพระองคไ์ ดท้ ราบ
ถงึ ปรัชญาการดำ� รงชีวิตตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ทำ� ใหร้ จู้ ักกรรมท่ตี น
กระทำ� ขนึ้ ซงึ่ กรรมนนั้ จะสง่ ผลให้ ๓ ประการคอื ความสขุ ความทกุ ข์ และความ
หลดุ พน้ จากความสุขและทุกขน์ ้นั

213
เนอ้ื หาในหนงั สือเรอ่ื งไตรภมู ิ แบง่ เปน็ ๓ ภมู ิ คอื
เทวภูมิ หมายถึง ภูมิท่ีดีมีแต่ความสุข เป็นภูมิของสวรรค์ มี ๖ ช้ัน
คือ จาตุมหาราชิกาภูมิ ดาวดึงส์ภูมิ ยามาภูมิ ดุสิตาภูมิ นิมมานนรดีภูมิ และ
อกนิษฐาภูมิ
มนุษยภูมิ หมายถึง ภูมิที่มีท้ังความสุขและความทุกข์ เป็นภูมิของโลก
มนษุ ย์
อบายภูมิ หมายถึง ภูมิท่ีมีแต่ความทุกข์ร้อน ล�ำเค็ญ เป็นภูมิของนรก
มี ๔ ภมู ิย่อย คือ นริ ยิ ภูมิ (นรกภูม)ิ เปรตวสิ ัยภูมิ อสรุ กายภมู ิ และ เดรจั ฉานภูมิ
ดาวดงึ ส ์ ตามความทปี่ รากฏในไตรภมู ิ ระบวุ า่ เปน็ ชอ่ื ของแผน่ ดนิ ทป่ี รากฏ
ขึ้นในโลกเป็นครั้งแรกก่อนแผ่นดินอ่ืน ๆ แผ่นดินนี้อยู่บนสวรรค์ชั้นท่ีสองบน
ยอดเขาพระสเุ มรุ มเี มอื งชอ่ื เทพนคร หรอื สทุ ศั นมหานคร ตง้ั อยเู่ ปน็ เมอื งสวรรค์
ทีใ่ หญโ่ ต มขี นาดกว้างยาวดา้ นละ ๑๐,๐๐๐ โยชน์ ล้อมรอบด้วยกำ� แพงท่ีแลว้
ไปดว้ ยทองสงู ๑๒ โยชน์ มปี ระตเู มอื งอยทู่ ง้ั ๔ ทศิ จำ� นวน ๑,๐๐๐ ประตู ทกุ ประตู
มียอดซุ้มสูง ๑,๐๐๐ โยชน์ ท�ำด้วยทองประดบั แก้ว ๗ ประการ บนก�ำแพงเมอื ง
มเี ชงิ เทนิ หอรบพรอ้ มสรรพ เมอื งนมี้ จี อมเทพเปน็ ผปู้ กครองชอื่ ทา้ วสกั กเทวราช
หรือโดยท่ัวไปเรียกว่าพระอินทร์ ประทับอยู่ในเวชยันต์ปราสาท บางทีเรียกว่า
ไพชยนตป์ ราสาท มชี า้ งเอราวณั เปน็ พาหนะคชาธาร มรี ถทรงชอื่ เวชยนั ตร์ าชรถ
พระมาตุลีเทพบุตรเป็นสารถี
ในดาวดงึ สส์ วรรคน์ มี้ อี ทุ ยาน (สวน) ขนาดใหญ่ ทสี่ วยสดงดงามนา่ รนื่ รมย์
ยิ่งตงั้ อยูต่ ามทศิ ตา่ ง ๆ คอื สวนนนั ทวัน อยู่ทศิ ตะวนั ออก สวนจติ รลดาวนั อยู่
ทิศตะวนั ตก สวนมสิ สกวนั อยทู่ ศิ เหนือ สวนปารสุ กวนั อยูท่ ศิ ใต้ สวนมหาวัน
อยทู่ ศิ ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื มสี ระนำ้� เตม็ เปย่ี มไปดว้ ยนำ้� อนั ใสเยน็ เปน็ นจิ สระนนั้
ชอื่ วา่ สนุ นั ทโบกขรณี กบั ยงั มศี าลาขนาดใหญ่ เปน็ ธรรมสภาศาลาสถานทป่ี ระชมุ
เทวดา ช่อื สุธรรมเทวสภา
สถานทท่ี ง้ั สามคอื อทุ ยาน สระโบกขรณี และธรรมสภาศาลา ซงึ่ อบุ ตั ขิ นึ้ ใน
ดาวดงึ สล์ ว้ นเกดิ จากผลแหง่ กศุ ลกรรมของหญงิ ๓ คน คอื นางสจุ ติ รา นางสนุ นั ทา

214

และนางสุธรรมา ซง่ึ เมื่อครัง้ เกิดเป็นมนษุ ยห์ ญงิ ทั้งสามเปน็ ภรรยาของนายมฆะ
ผู้มีใจบุญชวนเพื่อนอีก ๓๒ คนอุทิศเงินแรงกายแรงใจสร้างถนนสาธารณะขึ้น
สว่ นภรรยาทัง้ ๓ กไ็ ด้รว่ มกันสร้างสวนปลูกต้นไม้ สร้างบ่อน้ำ� และสร้างศาลา
ให้เป็นทานแก่สาธารณะเช่นเดียวกับนายมฆะผู้สามี ครั้นสิ้นชีวิตผลบุญน้ัน
สง่ เสรมิ ใหไ้ ปเกดิ ในดาวดงึ สส์ วรรค์ นายมฆะเปน็ ทา้ วสกั กเทวราช เพอ่ื นทงั้ ๓๒ คน
เกิดเป็นเทวดาอยู่ในสวรรค์ชั้นเดียวกัน ภรรยาท้ัง ๓ ก็เกิดเป็นมเหสีท้ังสาม
มีวิมานเป็นท่ีอยู่เพียบพร้อมด้วยบริวารมากมาย ยกเว้น ภรรยาคนท่ี ๔ ของ
นายมฆะ คือนางสุชาดา ซ่ึงไม่เคยสร้างกุศลใด ๆ ไว้เลย ชมชอบแต่งกายให้
สวยงาม และโอ้อวดความงดงามของตนอย่างเดียว คร้ันสิ้นชีวิตได้ไปเกิดเป็น
นกกระยาง มขี นกายขาวสะอาดงดงามยงิ่ เกาะอยู่รมิ สระโบกขรณนี น้ั เอง
ต่อมาท้าวสักกเทวราชได้แนะแนวทางปฏิบัติธรรมแก่นางนกยางคร้ัน
ตายไปได้จุติในดาวดึงส์สวรรค์ เป็นมเหสีคนท่ีสี่ของท้าวสักกเทวราช เช่นเม่ือ
ครั้งยังเป็นมนุษย์ แต่ไม่มีวิมานอยู่เป็นของตนเองต้องอาศัยอยู่ในวิมานของ
ทา้ วสกั กเทวราช เวลาทา้ วสกั กเทวราชจะเสดจ็ ไปยงั ทใ่ี ดกพ็ านางไปดว้ ยทกุ ครง้ั
สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีพระเจดีย์จุฬามณีซ่ึงประดิษฐานพระเกศธาตุเมื่อ
คราวเสด็จออกมหาภิเนษกรม และเป็นที่ที่พระพุทธเจ้าได้เคยเสด็จไปโปรด
พระพุทธมารดาดว้ ย
(นางสาวกอ่ งแกว้ วีระประจักษ์)

ธรรมเนยี มการสร้างวัด

การสร้างวัดถือกันว่าเป็นบุญใหญ่และใช้ทุนทรัพย์มาก เพราะนอกจาก
จะสร้างวัดถวายแล้วยงั ต้องถวายทด่ี นิ ไรน่ า เงินทอง ถวายขา้ พระ เพือ่ ดแู ลวดั
และทำ� นา ปลกู พชื ตา่ ง ๆ ในทด่ี นิ ของวดั เพอื่ เปน็ จงั หนั ถวายพระ ยงิ่ เปน็ วดั ใหญ่
ตอ้ งมที ดี่ นิ มากยอ่ มตอ้ งมขี า้ พระเปน็ จำ� นวนมากเชน่ เดยี วกนั ดงั นนั้ จงึ พบในจารกึ
ว่าผู้สร้างวัดโดยมากจะเป็นพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ชั้นสูง เช่น พระ

215
ราชมารดา พระมเหสี เจา้ เมอื งหรอื ขนุ นาง หรอื พระเถระผใู้ หญ่ มหี ลกั ฐานในจารกึ
ว่าถ้าผู้สร้างวัดเป็นขุนนางการจะสร้างวัดในท่ีใดนั้นก็ต้องขออนุญาตและขอ
ที่ดินสร้างวัดก่อน ดังความในจารึกนายศรีโยธาออกบวชว่า เม่ือนายศรีโยธา
ออกบวชเมอ่ื พ.ศ. ๑๙๘๔ ไดร้ บั ฉายาวา่ “มหาสทั ธาปญุ โย” มศี รทั ธาจะสรา้ งวดั
ในต�ำบลพระศรีมหาโพธิ์ จึงไปไหว้มหาสวามีศีลสาครให้ช่วยขอท่ีจากพระยา
ศรีไสยรณรงค์สงคราม มหาสวามีศีลสาครจึงมีพุทธฎีกาไปถึงหม่ืนนรินทร์
หมื่นนรินทร์จึงส่งฎีกาถึงพระยาศรีไสยรณรงค์สงคราม พระยาศรีไสยรณรงค์
สงครามจงึ ใหห้ ม่นื ต่างใจมา “เหยยี บที่ให้ โดยยาว ๔๐ เสน้ กวา้ ง ๕ เสน้ ” เปน็ ที่
สรา้ งวัด
แมห้ ากมที ดี่ นิ แลว้ ตอ้ งการจะสรา้ งวดั กต็ อ้ งขออนญุ าตดว้ ยเชน่ กนั ดงั เชน่
มขี ้อความในจารึกวัดสรศกั ดิ์ อายุ พ.ศ. ๑๙๖๐ ว่า “นายอนิ ทสรศักด์ิ มศี รทั ธา
ในพุทธศาสนา จึงขอท่ีอันอยู่น้ัน หนข่ือได้ส่ีสิบห้าวา หนแปได้สามสิบเก้าวาน้ี
แก่พ่ออยู่หัวเจ้า ธ ออกญาธรรมราชาองค์ทรงไตรปิฎกน้ัน ว่าจะสร้างอาราม
ถวายพระราชกุศลแก่พ่ออยู่หัวเจ้า ธ จึงพ่ออยู่หัวเจ้า ธ ให้อนุญาตแก่นาย
อินทสรศักดนิ์ ัน้ ทา่ นก็มาปราบให้ราบงามดีไซร้” เมือ่ สร้างวัดอันประกอบด้วย
เจดีย์ กุฎี วิหาร เสร็จแล้วก็มีการฉลอง และได้มีการขอนาและขอท่ีป่าท�ำเป็น
ท่ีนาไว้กบั วดั ด้วย
ในสมยั ธนบรุ แี ละรตั นโกสนิ ทรแ์ มจ้ ะไมป่ รากฏหลกั ฐานการทลู ขออนญุ าต
สรา้ งวดั จากพระมหากษตั รยิ ใ์ นจารกึ แตก่ ม็ ปี ระกาศวา่ ดว้ ยการสรา้ งวดั ในสมยั
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่ีคัดจากหมายรับส่ังเดือน ๘ ปีฉลู
จุลศักราช ๑๒๑๕ (พ.ศ. ๒๓๙๖) ความว่า ด้วยมีผู้มีจิตศรัทธาสร้างวัด หรือ
บูรณะซ่อมแซมศาสนสถานต่าง ๆ ภายในวัดกันมากแต่ต่างท�ำตามที่ตนพอใจ
และกอ่ สรา้ งไมถ่ กู ตอ้ ง จนทำ� ใหไ้ มท่ ราบวา่ เปน็ วดั ราษฎรห์ รอื วดั หลวง พระบาท
สมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั จงึ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหผ้ ทู้ จ่ี ะสรา้ งหรอื
บรู ณะวดั แจง้ พระยาบำ� รงุ ศาสนาจางวางขา้ พระใหท้ ราบกอ่ น เพอื่ จกั ไดก้ ราบทลู

216

ให้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบจะได้ “พระราชทาน
เพิ่มเติมของหลวงช่วยท�ำวัดให้แล้วเสร็จงามดีจะได้เป็นท่ีไหว้ท่ีบูชากับอาณา
ประชาราษฎร และนานาประเทศ” ดงั ขอ้ ความในประกาศ วา่
ด้วยพระยาบ�ำเรอภักดิ์ รับพระบรมราชโองการใส่เกลา้ ฯ ทรงพระกรณุ า
โปรดเกล้าฯ ส่ังว่าทรงพระราชด�ำริว่า ทุกวันน้ีพระสงฆ์ราชาคณะ แล
ขา้ ราชการผใู้ หญผ่ นู้ อ้ ย ราษฎรไทยจนี ทมี่ ศี รทั ธามามศี รทั ธาอตุ สาหสรา้ ง
วัดวาอาราม ปฏิสังขรณ์ท�ำนุบ�ำรุงซ่อมแซมพระอุโบสถ พระวิหาร
การเปรียญ หอไตร หอระฆัง โดยประณีตให้งามดี ด้วยมีศรัทธามาก
ทำ� ตามใจรกั ลางทกี ท็ ำ� ซมุ้ ประตู ซมุ้ หนา้ ตา่ งเปน็ ซมุ้ จรนำ� แลคหู ามชี อ่ ฟา้
ใบระกาไม่ก็มีบ้าง ลางวัดมีหอไตรหอระฆังเป็นยอดปรางค์ยอดมณฑป
แลพระอโุ บสถวหิ ารการเปรยี ญทำ� เปน็ ชอ่ ฟา้ ใบระกากม็ บี า้ ง หาสงั เกตไดว้ า่
วัดหลวงวัดราษฎร์ไม่ ก็ตามใจเจ้าของที่มีศรัทธาเถิด มิใช่จะห้ามปราม
แต่ให้มาบอกแก่พระยาบ�ำรุงศาสนาจางวางข้าพระเสียก่อน จะได้น�ำขึ้น
กราบบังคมทูลพระกรุณาให้ทรงทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ว่า
พระราชาคณะองค์น้ันแลข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยคนน้ัน ราษฎรไทยจีน
คนนน้ั ๆ ทม่ี ศี รทั ธาสรา้ งวดั วาอารามจะโปรดเกลา้ ฯ พระราชทานเพม่ิ เตมิ
ของหลวงดว้ ยชว่ ยทำ� วดั ใหแ้ ลว้ เสรจ็ งามดี จะไดเ้ ปน็ ทไี่ หวท้ บี่ ชู ากบั อาณา
ประชาราษฎร และนานาประเทศน้ัน ให้มหาดไทย กลาโหม กรมพระ
สุรัสวดี หมายบอกเจ้าต่างกรม เจ้ายังไม่ได้ต้ังกรม แลข้าราชการผู้ใหญ่
ผู้น้อย แลราษฎรไทยจีนเจ๊สัวชาวแพให้รู้จงทั่ว ว่าถ้าจะท�ำพระอุโบสถ
พระวหิ ารการเปรียญ หอไตร หอระฆงั แลว้ ก็ใหม้ าบอกกับพระยาบ�ำรงุ
ศาสนาเสยี ก่อนอยา่ ให้ขาดได้ตามรบั ส่งั
สว่ นในจารกึ ลา้ นนานนั้ ผสู้ รา้ งวดั สว่ นใหญเ่ ปน็ เจา้ เมอื งแมไ้ มต่ อ้ งกราบทลู
ขออนุญาตสร้างวัด แต่ก็มักจะน�ำความมากราบทูลกษัตริย์เชียงใหม่และพระ
ราชมารดาหรอื พระมหาเทวี เพอื่ ถวายโกฐาสบญุ และรว่ มอนโุ มทนาบญุ กษตั รยิ ์

217

เชียงใหม่หรือพระราชมารดาจะทรงร่วมอนุโมทนาและพระราชทานเงิน ท่ีนา
และข้าวัดซึ่งเป็นเร่ืองที่จ�ำเป็นส�ำหรับการท�ำนุบ�ำรุงพระพุทธศาสนาและ
การด�ำเนินกจิ กรรมต่าง ๆ ของวัดตอ่ ไป ดังเช่นจารกึ ตอ่ ไปน้ี
จารกึ วดั ปราสาท จงั หวดั เชยี งราย (ช.ร. ๓) อายุ พ.ศ. ๒๐๓๘ มใี จความวา่
เจ้าหม่ืนเชียงแสนค�ำล้านได้ให้ขุนนางไปแจ้งแก่ขุนนางเชียงใหม่ให้น�ำส่วนบุญ
ในการสร้างวัดปราสาทไปถวายแด่กษัตริย์เชียงใหม่และพระราชมารดา
กษตั รยิ เ์ ชยี งใหม่ (สันนษิ ฐานว่าคือพระเมืองแกว้ ผ้คู รองเชียงใหมร่ ะหวา่ ง พ.ศ.
๒๐๓๘-พ.ศ. ๒๐๖๘) ทรงมีพระราชศรัทธาพระราชทานข้าพระสิบครัว ที่นา
และเงนิ แสนเบย้ี แกว่ ดั ปราสาท โดยจารลงบนหลาบคำ� (แผน่ สำ� หรบั จารกึ คลา้ ย
ใบลานทที่ ำ� ดว้ ยทองคำ� , สพุ รรณบตั ร) ดงั ความในจารกึ วา่ “...เอาวดั ปราสาทถวาย
เมอื ถวายสมเดจ็ บพติ รพระเปน็ เจา้ ทง้ั สองพระองค์ มศี รทั ธาปลงพระราชอาชญา
หื้อหลาบค�ำมาไว้คนสิบครัว...หยาดน้�ำตกแผ่นดิน เจ้าขุนผู้ใดอย่ากลั้วเกล้า
ใส่การบ้านการเมืองเขาสักอัน ไว้นากับแสนเบี้ยยังเมิงม่วน ส่วนบุญมหาราช
เจ้าแผ่นดนิ แล”
จารึกวัดบุพพาราม อายุ พ.ศ. ๒๐๗๒ มีใจความว่า เจ้าเมืองแพร่อุ่น
พร้อมด้วยนางเมืองสร้างวัดบุพพารามจึงให้ขุนนางน�ำความไปแจ้งแก่ขุนนาง
เมืองเชียงใหม่ให้กราบทูลกษัตริย์เชียงใหม่ ซึ่งในจารึกใช้ค�ำแทนพระองค์ว่า
“พระเปน็ เจา้ ตนเปน็ พระ” (สนั นษิ ฐานวา่ คอื พระเมอื งเกษเกลา้ ผคู้ รองเชยี งใหม่
ระหว่าง พ.ศ. ๒๐๘๑-พ.ศ. ๒๐๘๖) เมือ่ ทราบแล้วทรงมปี ระสาทศรทั ธา จงึ มี
พระราชโองการพระราชทานคนห้าครัวนาจ�ำนวนพันข้าวไว้กับวัดบุพพาราม
ตราบ ๕๐๐๐ ปี
จากตัวอย่างจารึกของอยุธยาและล้านนาที่ยกมาน้ีเป็นหลักฐานที่แสดง
ให้เห็นว่าการสร้างและปฏิสังขรณ์วัดทุกยุคทุกสมัยนั้น อยู่ในพระอุปถัมภ์ของ
พระมหากษตั รยิ ์และพระราชวงศช์ นั้ สงู แทบทงั้ สนิ้
(รศ.กรรณิการ ์ วิมลเกษม)

218

หนังสืออา้ งองิ
ประชมุ ศิลาจารึก ภาคที่ ๘ จารึกสุโขทยั . กรงุ เทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๔๘.
ประเสรฐิ ณ นคร และคณะ. จารกึ ลา้ นนาภาค ๑ จารกึ จงั หวดั เชยี งราย นา่ น
พะเยา แพร.่ กรงุ เทพฯ : มูลนิธเิ จมส์ เอช ดับเบล้ิ ยู ทอมป์สนั , ๒๕๓๕.

. จารกึ ลา้ นนาภาค ๒ จารกึ จงั หวดั เชยี งใหม่ ลำ� พนู ลำ� ปาง แมฮ่ อ่ งสอน.
กรุงเทพฯ : คณะกรรมการช�ำระประวัติศาสตรไ์ ทย, ๒๕๕๓.
รวมพระราชนพิ นธพ์ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เรอ่ื ง ประชมุ ประกาศ
รัชกาลท่ี ๔. คณะกรรมการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จัดพิมพ์เป็นที่ระลึก เน่ืองในโอกาสที่วัน
พระราชสมภพ ครบ ๒๐๐ ปวี นั ท่ี ๑๘ ตลุ าคม พทุ ธศักราช, ๒๕๔๗.

ใบบอก

ใบบอก หรือ หนังสือบอก เป็นหนังสือราชการประเภทหนึ่งใช้กันอยู่ใน
สมยั โบราณ เพ่ือรายงานหรอื บอกเร่อื งราชการตา่ ง ๆ จากหวั เมอื งสง่ เข้ามายัง
เมืองหลวง เช่น หนังสือบอกจ�ำนวนไพร่พลหัวเมือง หนังสือบอกส่งของตาม
จำ� นวนเกณฑ์ เป็นต้น
หนงั สอื ราชการทใ่ี ชก้ นั อยใู่ นสมยั โบราณ เปน็ หนงั สอื ประทบั ตรา เนอ่ื งจาก
สมยั นน้ั ยงั ไมม่ เี ครอื่ งพมิ พด์ ดี จงึ ตอ้ งเขยี นเรอื่ งราชการตา่ ง ๆ ดว้ ยดนิ สอบนแผน่
กระดาษ เมอื่ จบขอ้ ความแลว้ ไมม่ กี ารลงชอ่ื ผอู้ อกหนงั สอื แตใ่ ชป้ ระทบั ตราทที่ า้ ย
หนังสือนน้ั ตราที่ใช้ประทบั คือตราประจำ� ต�ำแหน่งหรือตราประจ�ำตัวของผอู้ อก
หนังสอื ส่วนกระดาษท่ีใชเ้ ขยี นเรยี กว่า “กระดาษเพลา” (อ่านว่า เพลฺ า) เปน็
กระดาษไทยแผน่ บาง ๆ ทำ� จากเปลอื กขอ่ ยหรอื สา มสี ขี าวนวลเปน็ สเี นอ้ื กระดาษ
โดยธรรมชาติ ขนาดของกระดาษกว้างโดยเฉลี่ย ๓๐-๓๕ เซนติเมตร ส่วน
ความยาวมากนอ้ ยขนึ้ อยกู่ บั เนอื้ หาของเรอื่ งทจี่ ะเขยี น ถา้ ขอ้ ความยาวเขยี นไมจ่ บ
ในกระดาษแผ่นเดียว ก็จะใช้กระดาษแผ่นใหม่ผนึกต่อหน้ากระดาษให้ยาว
เพม่ิ ขน้ึ เรอื่ ย ๆ จนกวา่ จะจบขอ้ ความ ซง่ึ จะทำ� ใหใ้ บบอก หรอื หนงั สอื นน้ั มคี วาม

219
ยาวไม่เป็นมาตรฐาน ใบบอกบางฉบับสั้นเพียง ๒๐ เซนติเมตร บางฉบับยาว
๕๐๐ เซนติเมตร ก็มี และเม่ือตอ่ กระดาษแลว้ ตอ้ งประทบั ตราที่ดา้ นหลังตรง
รอยต่อกระดาษนั้นทุกรอย และตราท่ีใช้ประทับต้องเป็นตราของผู้ออกหนังสือ
แต่มีขนาดเล็ก เรียกว่า “ตราประจ�ำต่อ” และในตอนท้ายของหนังสือจะต้อง
บอกช่ือตราประจ�ำต่อที่ใช้ไว้ให้ชัดเจน เมื่อเขียนข้อความจบแล้วประทับตรา
ประจ�ำต�ำแหน่ง หรือตราประจำ� ตวั ของผู้ออกหนังสอื ไวท้ ที่ า้ ยข้อความน้นั ดว้ ย
ส่วนรูปแบบการเขียนหนังสือราชการในสมัยโบราณหรือในใบบอก
ไม่เหมือนกับหนังสือราชการตามระเบียบงานสารบรรณในปัจจุบัน กล่าวคือ
ด้านหน้าข้ึนต้นจะบอกช่ือต�ำแหน่งของเจ้าเมืองหรือผู้ออกหนังสือ ต่อด้วยช่ือ
ต�ำแหน่งข้าราชการช้ันรองลงมาและคณะกรมการเมือง ถ้าผู้ออกหนังสือบอก
หรอื ใบบอกเปน็ ขา้ หลวงผตู้ รวจราชการจากเมอื งหลวง ตอ้ งเรม่ิ ตน้ ขอ้ ความดว้ ย
ชอื่ ตำ� แหนง่ ขา้ หลวงผมู้ บี รรดาศกั ดสิ์ งู สดุ กอ่ น แลว้ ตอ่ ดว้ ยชอื่ เจา้ เมอื ง ปลดั เมอื ง
ยกกระบัตร และกรมการเมือง ต่อจากน้ันจึงจะเริ่มต้นข้อความท่ีจะบอก หรือ
รายงานใหท้ ราบ จบขอ้ ความแลว้ บอกวัน เดอื น ปที ่อี อกหนังสือ ประทับตรา
ผู้ออกหนังสือตรงวันเดือนปี และประทับตราของเจ้าเมือง คณะกรมการเมือง
ทุกคนที่กล่าวถึงในตอนต้น และต้องเขียนช่ือเจ้าของตราก�ำกับไว้ในรอยตราที่
ประทบั ด้วยทุกตรา (ต่อมาในสมยั รัชกาลท่ี ๕ มีการลงลายมอื ชอื่ แทนการเขยี น
ชอื่ เจา้ ของตรา) ดา้ นหลงั หนงั สอื ตอ้ งเขยี นยอ่ เรอื่ งหรอื สรปุ เนอื้ หาของเรอื่ งทเี่ ขยี น
ไว้ด้านหน้านั้น พร้อมกับประทับตราของผู้ออกหนังสือบอกให้ครบตามจ�ำนวน
เหมอื นดา้ นหนา้ และเขยี นชอ่ื ผถู้ ือหนังสือบอกไว้ดว้ ย
เมอื่ กระบวนการเขยี นขอ้ ความในใบบอกเสรจ็ แลว้ เวลาจดั สง่ หนงั สอื บอก
ไปนน้ั ตอ้ งมว้ นกระดาษจากทา้ ยเรอื่ งเขา้ ไปจนหมดกระดาษแลว้ ใสม่ ว้ นกระดาษ
ในกลักไมไ้ ผ่ หรอื กลกั โลหะ จากนนั้ จึงหอ่ ดว้ ยผา้ หรือถงุ ผ้า ปดิ ผนกึ ที่ปากถงุ
ประทับตราประจ�ำผนึก ซึ่งอาจเป็นตราเดียวกับตราประจ�ำต่อ แล้วมอบผู้ถือ
หนงั สือน�ำสง่ ยังทีห่ มายต่อไป
(นางสาวกอ่ งแก้ว วรี ะประจกั ษ์)

220

ปางพระพุทธรปู ทีเ่ กยี่ วเน่ืองกบั ชัยมงคลคาถา

ความเคารพศรัทธาและตอ้ งการจะสรรเสริญพุทธานภุ าพ ทำ� ใหม้ ีการน�ำ
เรื่องราวท่ีพระพุทธเจ้าทรงมีชัยชนะตามชัยมงคลคาถาไปสร้างพระพุทธรูปถึง
๕ ปางด้วยกัน ไดแ้ ก่
๑. ปางภูมิสปรรศมทุ รา (ภูมสิ ปรศมุทรา) หรือ ปางมารวิชยั

ลกั ษณะของพระพทุ ธรปู ปางนส้ี รา้ งจากเรอื่ งราว
ท่ีพระพุทธเจ้ามีชัยชนะพระยามารก่อนท่ีจะตรัสรู้
เป็นเหตุการณ์ท่ีเกิดในวันพุธ เดือน ๖ ข้ึน ๑๔ ค่�ำ
ขณะที่พระองค์ประทับอยู่บนรัตนบัลลังก์ท่ีใต้ต้น
พระศรมี หาโพธ์ิ ทรงตง้ั สจั จาธิษฐานว่า จะไมล่ ุกจาก
รตั นบลั ลงั กถ์ า้ ไมบ่ รรลพุ ระโพธญิ าณ พระยาวสวสั ดี
มารกลวั วา่ พระองคจ์ ะสำ� เรจ็ พระโพธญิ าณ จงึ เนรมติ
มือมากถึงพันมือ ถืออาวุธต่าง ๆ ครบทุกมือข่ีช้าง
ครเี มขล์ ยกไพรพ่ ลจำ� นวนมากมาผจญพระพทุ ธองค์
แตด่ ว้ ยอำ� นาจทานบารมที ำ� ใหพ้ ลมารไมส่ ามารถเขา้ ใกลพ้ ระองค์ พระยามารจงึ
ได้เนรมิตห่าฝน ๙ ประการ ไดแ้ ก่ ๑. หา่ ฝนลมพายุใหญ่ ๒. หา่ ฝนมหาเมฆฝน
ตกใหญ่ ๓. หา่ ฝนกอ้ นศิลา ๔. หา่ ฝนอาวุธศสั ตราตา่ ง ๆ ๕. หา่ ฝนถ่านเพลิง
๖. ห่าฝนเถา้ รงึ รอ้ นจดั ดจุ เถ้ารงึ ในกุกกฬุ นรก ๗. ห่าฝนทรายกรวดอนั ละเอยี ด
๘. ห่าฝนเปือกตมอันร้อน ๙. หา่ ฝนความมืดท่ัวทุกทศิ หวงั จะให้ทำ� ร้ายพระ
พุทธองค์ แต่ห่าฝนท้ังหมดก็กลับกลายเป็นเคร่ืองสักการบูชาไปเสียสิ้น ท�ำให้
พระยามารโกรธมากยงิ่ ขน้ึ จงึ กลา่ ววา่ รตั นบลั ลงั กน์ นั้ เปน็ ของตน แลว้ อา้ งเสนามาร
เปน็ พยาน พระพทุ ธองคต์ รสั ตอบวา่ รตั นบลั ลงั กน์ เี้ กดิ ดว้ ยบญุ แหง่ ทานบารมขี อง
พระองค์เอง พระยามารจึงให้อ้างพยาน พระพุทธองค์ทรงระลึกถึงทานท่ีทรง
กระท�ำมาแล้วช้ีนิ้วพระหัตถ์ลงไปตรงพ้ืนปฐพี ขอให้เป็นพยาน นางพระธรณีก็

221

ผุดข้ึนมาเป็นสักขีพยาน แล้วบิดน�้ำทักษิโณทกที่พระองค์ได้ทรงบ�ำเพ็ญทานที่
นางรองรบั ไวใ้ นมวยผมใหไ้ หลนองออกมาดจุ หว้ งมหาสมทุ รทว่ มพระยามารและ
เสนาจนพา่ ยแพไ้ ป
เหตกุ ารณส์ ำ� คญั ทนี่ ำ� ไปสชู่ ยั ชนะคอื ตอนทพี่ ระพทุ ธเจา้ ทรงชนี้ ว้ิ พระหตั ถ์
ลงไปตรงพื้นปฐพี จึงน�ำมาสร้างเป็นพระพุทธรูป มีลักษณะเป็นพระพุทธรูป
ประทับน่ัง วางพระหัตถ์ขวาบริเวณพระชงฆ์ในลักษณะชี้หรือสัมผัสแผ่นดิน
พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนพระเพลา จึงได้ชื่อว่า “ภูมิสปรรศมุทรา” แปลว่า
“ปางชี้นิ้วสัมผัสแผ่นดิน” หรือปางมารวิชัยแปลว่า ปางชนะมาร พระพุทธรูป
ปางนี้สร้างข้ึนในประเทศอินเดียต้ังแต่สมัยศิลปะแบบคันธาระ และเป็นปางท่ี
นิยมสรา้ งเป็นพระประธานของวัดในประเทศไทยอีกดว้ ย
๒. ปางโปรดอาฬาวกยกั ษ์

พระพุทธรูปปางโปรดอาฬาวกยักษ์ มาจาก
เรื่องตอนที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ขันติธรรมเอาชนะ
อาฬาวกยกั ษ์ผมู้ อี ปุ นสิ ยั หยาบชา้ ทารณุ กนิ คนและสตั ว์
ดว้ ยพระพทุ ธองคท์ รงทราบดว้ ยญาณวา่ อาฬาวกยกั ษ์
อาจบรรลุโสดาปัตติผลได้ จึงเสด็จไปยังวิมาน
อาฬาวกยักษท์ ีใ่ ตต้ ้นไทรใหญ่ แต่อาฬาวกยกั ษไ์ ม่อยู่
พระพุทธองค์จึงเสด็จไปประทับบนรัตนบัลลังก์ของ
อาฬาวกยกั ษแ์ ละทรงเทศนาธรรมใหบ้ รวิ ารทง้ั หลาย
ของอาฬาวกยกั ษ์ฟงั ส่วนคนั ธพั พยักษผ์ รู้ ักษาประตู
กเ็ หาะไปบอกอาฬาวกยักษ์ อาฬาวกยักษ์โกรธมาก คดิ จะฆา่ พระพทุ ธเจา้
เมอ่ื อาฬาวกยกั ษก์ ลบั มาเหน็ พระพทุ ธเจา้ ประทบั อยบู่ นบลั ลงั กแ์ สดงธรรม
แก่บริวารของตนอยู่ จงึ แผลงฤทธิบ์ ันดาลใหห้ า่ ฝน ๙ ประการตกลงมาหวงั จะ
ให้ท�ำลายชีวิตของพระพุทธองค์ แต่ฝนกลับกลายเป็นเคร่ืองสักการบูชา ท�ำให้
อาฬาวกยกั ษโ์ กรธมากยงิ่ ขนึ้ จงึ เอาผา้ โพกทมี่ ฤี ทธส์ิ ามารถทำ� ลายภเู ขาใหญเ่ ทา่

222

เขาพระสุเมรุใหล้ ะเอยี ดได้ หรอื ทำ� ให้น�ำ้ ในมหาสมุทรแหง้ ไปหมด ขว้างไปหวัง
ประหารพระพุทธองค์ แต่ผ้าโพกกลับตกลงมาเป็นดอกไม้ธูปเทียนบูชาแทน
จากน้ันอาฬาวกยักษ์ก็แกล้งส่ังให้พระพุทธเจ้าลุกออกไปจากบัลลังก์ พระองค์
ทรงทำ� ตาม แลว้ อาฬาวกยกั ษก์ ส็ ง่ั ใหพ้ ระพทุ ธเจา้ เสดจ็ กลบั เขา้ มา พระพทุ ธองค์
ก็ทรงท�ำตามอีกเช่นกัน อาฬาวกยักษ์เห็นดังนั้นก็นึกแปลกใจท่ีพระพุทธองค์
ไมโ่ กรธตอบและเปน็ คนวา่ งา่ ยทำ� ตามทบี่ อกทกุ อยา่ ง จากนน้ั พระพทุ ธเจา้ กท็ รง
อนญุ าตใหอ้ าฬาวกยกั ษถ์ ามปัญหา อาฬาวกยกั ษจ์ งึ ถามปญั หา ๔ ขอ้ ว่า
๑. อะไรเปน็ ทรพั ยอ์ ย่างประเสรฐิ ของบุรษุ ในโลกนี้
๒. ประพฤติอย่างไรจงึ จะได้สุข
๓. รสอะไรเป็นรสประเสริฐกวา่ รสทงั้ ปวง
๔. เป็นอยอู่ ย่างไรจงึ จะชอื่ วา่ เปน็ อยู่ประเสริฐ
พระพุทธองคท์ รงวิสัชนาว่า
๑. ศรัทธาเปน็ ทรัพย์อยา่ งประเสริฐของบุรุษในโลกนี้
๒. ประพฤติชอบจงึ จะได้สขุ
๓. รสคือความสตั ย์เปน็ รสประเสริฐกว่ารสทั้งปวง
๔. เปน็ อยู่ด้วยปัญญาชื่อวา่ เปน็ อย่อู ยา่ งประเสรฐิ
แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงแสดงธรรมให้อาฬาวกยักษ์ฟังจนลดพยศลง
บงั เกดิ ความความเลอื่ มใสจนสำ� เรจ็ โสดาปตั ตผิ ลได้ ดงั นนั้ จงึ ไดม้ กี ารนำ� เหตกุ ารณ์
ตอนที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ขันติธรรมเอาชนะอาฬาวกยักษ์มาสร้างพระพุทธรูป
ทอ่ี ยใู่ นอริ ยิ าบถประทบั นง่ั ขดั สมาธิ พระหตั ถซ์ า้ ยอยบู่ นพระเพลา (ตกั ) พระหตั ถ์
ขวายกขนึ้ เสมอพระอรุ ะ (อก) จบี นวิ้ พระหตั ถ์ เปน็ กริ ยิ าทรงแสดงธรรม บางแบบ
พระหตั ถซ์ า้ ยวางบนพระชานุ (เขา่ ) เรยี กวา่ ปางโปรดอาฬาวกยกั ษ์ หรอื ปางโปรด
สตั ว์ ถอื กนั วา่ เปน็ พระพทุ ธรูปประจำ� ปชี วด

223

๓. ปางโปรดองคลุ มี าล
การโปรดองคุลีมาลของพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น
ท่ีเมืองสาวัตถี มีเรื่องว่าอหิงสกกุมารผู้เป็นบุตร
ของปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล ได้ไปเรียน
ศิลปศาสตร์ในส�ำนักทิศาปาโมกข์ ในเมืองตักกศิลา
อหิงสกกุมารเป็นผู้มีสติปัญญาเฉียบแหลมมีความ
พากเพียรและหม่ันปฏิบัติอาจารย์โดยเคารพ
เสมอมา ทำ� ใหอ้ าจารยร์ กั มากกวา่ ศษิ ยอ์ น่ื ๆ พวกศษิ ย์
เหล่าน้ันเกิดความริษยาพากันไปพูดยุยงอาจารย์
ว่าอหิงสกกุมารคิดประทุษร้ายต่ออาจารย์ อาจารย์
หลงเชื่อจงึ คิดยืมมือผูอ้ ื่นฆา่ อหิงสกกมุ าร โดยหลอก
ว่าใหไ้ ปฆา่ คนแลว้ ตัดนวิ้ มอื ไว้คนละนิ้วใหไ้ ดห้ นงึ่ พัน

จะสอนพระเวทช่ือวษิ ณมุ นตร์ให ้ อหิงสกกมุ ารหลงเชื่อจึงเท่ียวฆ่าคนตามป่าดง
แล้วตดั น้ิวมือรอ้ ยสะพายแลง่ ไวก้ บั ตัวจึงไดช้ ื่อองคุลีมาลโจร
องคุลีมาลฆ่าคนมาจนอีกหน่ึงคนก็จะครบพันก็ได้พบพระพุทธเจ้าจึง
วง่ิ ไลต่ ดิ ตามไปทางพระปฤษฎางคห์ มายจะฆา่ พระพทุ ธองค์ พระองคท์ รงบนั ดาล
อิทธาภิสังขารท�ำให้องคุลีมาลแม้จะวิ่งจนสุดก�ำลัง ก็ไม่อาจทันพระองค์ได้
ดังความในพระไตรปิฎก เล่มท่ี ๑๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มท่ี ๕ มัชฌิมนิกาย
มชั ฌมิ ปณั ณาสก์ ตอนที่ ๖. องั คลุ มิ าลสตู ร วา่ “...องคลุ มิ าลโจรไดม้ คี วามดำ� รวิ า่
น่าอัศจรรย์จริงหนอ ไม่เคยมีเลยด้วยว่าเม่ือก่อน แม้ช้างก�ำลังว่ิง ม้าก�ำลังวิ่ง
รถก�ำลังแล่น เน้ือก�ำลังว่ิง เราก็ยังว่ิงตามจับได้ แต่ว่าเราว่ิงจนสุดก�ำลัง ยังไม่
อาจทันสมณะนี้ซ่ึงเดินไปตามปกติดังนี้ จึงหยุดยืนกล่าวกะพระผู้มีพระภาคว่า
จงหยุดก่อนสมณะ จงหยุดก่อนสมณะ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เราหยุดแล้ว
องคลุ ิมาลท่านเล่า จงหยดุ เถิด...” เมือ่ องคุลีมาลไดฟ้ ังจงึ ถามด้วยความสงสัยว่า
“...ดูกรสมณะ ท่านก�ำลังเดินไป ยังกล่าวว่า เราหยุดแล้ว และท่านยังไม่หยุด

224

ยังกลา่ วกะข้าพเจ้าผู้หยดุ แลว้ วา่ ไม่หยดุ ดูกรสมณะ ข้าพเจ้าขอถามเน้ือความน้ี
กะท่าน ท่านหยดุ แลว้ เปน็ อยา่ งไร ขา้ พเจ้ายังไม่หยุดแล้วเป็นอยา่ งไร”
พระพุทธองค์ทรงตอบว่า พระองค์ทรงเลิกฆ่าฟันเบียดเบียนสรรพสัตว์
จึงไดช้ อื่ วา่ หยุดแลว้ ในกาลทกุ เม่อื ส่วนองคลุ มี าลยังฆา่ สตั วท์ งั้ หลายอยู่ เพราะ
ฉะนั้น เราจงึ หยดุ แล้ว แตท่ า่ นยังไม่หยดุ เมอ่ื องคุลีมาลได้ฟังเกิดความเลอื่ มใส
จึงท้ิงดาบและอาวุธลงในเหวลึก ถวายบังคมพระบาทของพระพุทธเจ้าทูลขอ
บรรพชา พระพุทธองคจ์ งึ ทรงบวชให้ องคุลีมาลจึงไดเ้ ป็นเอหิภกิ ขุ และท้ายสุด
ไดเ้ ปน็ พระมหาสาวกองค์ท่ี ๘๐
พระพทุ ธรูปปางโปรดองคุลีมาลในพระอิริยาบถยืน พระหตั ถซ์ า้ ยหอ้ ยลง
ข้างพระวรกาย พระหัตถ์ขวายกข้ึนเสมอพระอุระ นิ้วพระหัตถ์ตั้งตรง หันฝ่า
พระหัตถไ์ ปทางซ้าย ถอื กนั ว่าเป็นพระพทุ ธรูปประจำ� ปมี ะโรง
๔. ปางทรงทรมานชา้ งนาฬาคริ ี

เหตุการณ์ท่ีพระพุทธเจ้าทรงทรมานช้าง
นาฬาคิรีมาจากพุทธประวัติตอนท่ีพระเทวทัตคิดจะ
ฆ่าพระพุทธเจ้าโดยเอาเหล้าให้ช้างนาฬาคิรีซึ่งเป็น
ชา้ งท่ดี รุ ้าย เคยฆา่ คนมาแล้ว กนิ เพิ่มข้นึ เปน็ ๒ เท่า
จนเมา แล้วปล่อยไปตามถนนที่พระพุทธองค์
เสด็จออกบิณฑบาตในเมืองราชคฤห์พร้อมด้วย
พระอานนท์และพระภิกษุองค์อื่น ๆ ช้างนาฬาคิรี
ว่ิงตรงมายังพระพุทธเจ้า พระอานนท์และพระภิกษุ
ท้ังหลายต่างก็ทูลให้พระพุทธเจ้าเสด็จกลับถึงสาม
คร้ัง แต่พระพุทธองค์ไม่เสด็จกลับ เวลาน้ันมีหญิง
อุ้มลูกว่ิงหนีช้างตรงมาท่ีพระพุทธองค์ คร้ันช้างไล่
จวนจะทนั เหน็ วา่ จะหนไี มพ่ น้ จงึ ไดว้ างลกู เสยี แลว้ วง่ิ เขา้ ขา้ งทางไป ชา้ งนาฬาคริ ี
ก็ตรงเข้ามาจะแทงทารกน้ัน พระพุทธองค์ทรงแผ่พระเมตตาต่อช้างนาฬาคิรี

225

ครั้นช้างนาฬาคิรีได้สัมผัสพระเมตตา ก็ลดงวงลงยืนอยู่ตรงพระพักตร์
พระพทุ ธเจา้ ทรงยกพระหตั ถข์ วาลบู กระพองชา้ งนาฬาคริ แี ลว้ ตรสั เทศนา ทำ� ให้
ช้างนาฬาคิรีคลายจากความเมา เอางวงลูบละอองธุลีพระบาทแล้วพ่นลงบน
กระหมอ่ มของตน จากน้นั กเ็ ดินกลบั ไป

พระพุทธรูปปางทรงทรมานช้างนาฬาคิรีอยู่ใน
พระอิริยาบถยืน ห้อยพระหัตถ์ซ้าย ยกพระหัตถ์ขวาย่ืน
ออกไปขา้ งหนา้ เสมอพระนาภี ควำ�่ พระหตั ถเ์ ปน็ กริ ยิ าทรง
ลูบกระพองศีรษะช้างนาฬาคิรีท่ีเข้าเฝ้าอยู่แทบพระบาท
ส่วนอีกแบบหน่ึงเป็นพระพุทธรูปยืน มีรูปพระอานนท์
และรูปช้าง หรือมีแต่รูปช้างประกอบ พระพุทธรูปปาง
ทรงทรมานชา้ งนาฬาคริ ที มี่ ลี กั ษณะดงั กลา่ วนพ้ี บนอ้ ยมาก
เช่น พระศิลาปางทรงทรมานช้างนาฬาคิรีท่ีวัดเชียงม่ัน
จังหวัดเชยี งใหม่ พระพุทธรปู องค์นี้ท�ำจากหินชนวนสดี �ำ และเปน็ ศิลปะอนิ เดยี
สมยั ปาละอายปุ ระมาณพทุ ธศตวรรษที่ ๑๔-๑๕ ดงั นนั้ จงึ อาจกลา่ วไดว้ า่ ปางทรง
ทรมานชา้ งนาฬาคริ เี ปน็ ปางทมี่ กี ำ� เนดิ ในอนิ เดยี อนง่ึ ปจั จบุ นั พระพทุ ธรปู องค์นี้
ได้ปดิ ทองจงึ ไมเ่ หน็ ว่าเปน็ ศิลาสดี �ำ
๕. ปางโปรดพกาพรหม

เรอื่ งการโปรดพกาพรหมกลา่ วไวใ้ นพระไตรปฎิ ก
เล่มที่ ๑๒ พระสุตตนั ตปฎิ ก เลม่ ที่ ๔ มชั ฌมิ นิกาย
มูลปัณณาสก์ ตอนที่ ๙ พรหมนมิ นั ตนิกสูตร มคี วาม
ว่าพระพุทธเจ้าเสด็จไปชั้นพรหมโลกเพื่อโปรด
ท้าวพกาพรหมผู้มีความเข้าใจผิดคิดว่าสรรพส่ิง
ท้ังปวงมีความเที่ยงแท้ ย่ังยืน ซึ่งขัดต่อค�ำสอนของ
พระพุทธเจ้า ท่ีว่าสรรพสิ่งย่อมไม่เที่ยง เมื่อท้าว
พกาพรหมแลเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมาก็ทูลเชิญให้

226
เสด็จเข้ามาสู่วิมาน ในเวลาน้ันบรรดาท้าวมหาพรหมทั้งหลายต่างก็พากันมา
ประชุมพรอ้ มกันในท่ีนั้นเปน็ อนั มาก
ท้าวพกาพรหมจะทูลถามขอ้ ธรรมะด้วยประการใด ๆ พระพทุ ธเจา้ ก็ทรง
ตอบไดท้ กุ ประการ ทา้ วพกาพรหมจงึ ตอ้ งการแสดงฤทธขิ์ องตนใหป้ รากฏโดยให้
หายตวั ไป แตก่ ็ไมอ่ าจจะทำ� ได้ จงึ ทูลให้พระพทุ ธเจ้าหายตัวบ้าง พระพุทธองค์
กท็ รงหายตวั แตย่ งั ทรงแสดงธรรมอย ู่ พวกพรหมทง้ั หลายจงึ ไดย้ นิ แตพ่ ระสรุ เสยี ง
ที่แสดงธรรมเทา่ น้นั เป็นทอี่ ศั จรรย์แก่พรหมทงั้ หลายเป็นอนั มาก
เรอ่ื งราวตอนทปี่ ระลองอทิ ธฤิ ทธหิ์ ายตวั นนั้ มเี ลา่ ในบางแหง่ วา่ พระพทุ ธเจา้
ทรงหาทา้ วพกาพรหมพบไดท้ กุ ครงั้ ไมว่ า่ จะจำ� แลงตนเปน็ อะไร แมแ้ ตค่ รง้ั สดุ ทา้ ย
ที่ท้าวพกาพรหมได้จ�ำแลงตนให้ละเอียดลงถึงขั้นกลายเป็นเม็ดทรายแทรกใน
มหาสมุทร ก็ทรงบอกได้ว่าเป็นทรายเม็ดใด แต่เม่ือพระพุทธองค์หายพระองค์
ไปเดินจงกรมอยู่เหนอื เศียรของท้าวพกาพรหม ท้าวพกาพรหมไมส่ ามารถจะหา
พระองค์ได้ไม่ว่าจะเข้าฌานส่องทิพยจักษุญาณไปทั่วทั้งโลก อบายภูมิ เทวโลก
และพรหมโลก ทา้ วพกาพรหมจงึ ยอมแพ้ และขอใหพ้ ระพทุ ธเจา้ ปรากฏพระองค ์
พระพทุ ธเจา้ จงึ ทรงแสดงพระกายใหป้ รากฏ แลว้ ตรสั เทศนาใหท้ า้ วพกาพรหมฟงั
จนมนี ำ�้ ใจอ่อนน้อม เช่ือในพระบรมพทุ โธวาทแลว้ ละวางทิฏฐเิ สยี
ตำ� นานเรือ่ งทค่ี ล้ายกนั นี้ พบในคัมภีร์โลกบญั ญัติ กล่าวถึงพระพุทธเจา้
ทรงทรมานท้าวมหิศรเทวบุตรหรือพระอิศวร
พระพุทธรูปปางโปรดพกาพรหมเป็นพระพุทธรูปยืน พระหัตถ์ทั้งสอง
วางทาบบนพระเพลา (ตกั ) บางแบบพระหัตถ์ประสานกันอยรู่ ะหวา่ งพระเพลา
พระหตั ถข์ วาทบั พระหตั ถซ์ า้ ย ทอดพระเนตรลงตำ�่ อยใู่ นอาการสรา้ งสงั วรจงกรม
บนเศยี รของพกาพรหมท่ีประทับบนหลงั โคอุสุภราช พระพุทธรูปปางโปรดทา้ ว
พกาพรหมนีถ้ อื กันวา่ เป็นพระพทุ ธรปู ประจำ� ปีขาล
พระพทุ ธรปู ท้ัง ๕ ปางนี้ ผ้สู นใจสามารถไปนมสั การไดท้ รี่ ะเบยี งพระปฐม
เจดยี ์ วัดพระปฐมเจดยี ์ จังหวัดนครปฐม
(รศ.กรรณกิ าร ์ วิมลเกษม)

227
หนงั สืออา้ งองิ
คณะกรรมการจดั พมิ พเ์ อกสารทางประวตั ศิ าสตร์ สำ� นกั นายกรฐั มนตร.ี “หลกั ที่
๑๓๒ จารึกบนหลังกรอบไม้สัก ด้านปฤษฎางค์พระพุทธรูปศิลา ปาง
ทรมานชา้ งนาราครี ีวดั เชยี งหมนั้ จ.เชยี งใหม”่ ในประชมุ ศลิ าจารกึ ภาคท่ี๖
ตอนท่ี ๑. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พส์ �ำนกั ทำ� เนยี บนายกรฐั มนตรี, ๒๕๑๗.
เชษฐ์ ติงสัญชล.ี พระพทุ ธรปู อนิ เดยี . กรงุ เทพฯ : เมอื งโบราณ, ๒๕๕๔.
ต�ำราพระพุทธรูปปางต่าง ๆ ตามมติสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระ
ปรมานุชิตชิโนรส. พิมพ์เป็นประกาศเกียรติคุณสมเด็จพระมหา
สมณเจ้า กรมพระปรมานชุ ิตชโิ นรส ๙-๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๐.
ปรมานชุ ติ ชโิ นรส, สมเดจ็ กรมพระ. ปฐมสมโพธกิ ถา. กรงุ เทพฯ : อ�ำนวยสาสน์ ,
๒๕๓๙.
พระไตรปฎิ ก เลม่ ที่ ๗ พระวนิ ยั ปฎิ ก เลม่ ที่ ๗ จลุ วรรคภาค ๒ ปลอ่ ยชา้ งนาฬาครี ี
บรรทดั ท่ี ๓๖๙๗-๓๗๖๙. หนา้ ที่ ๑๕๓-๑๕๖.
พระไตรปฎิ ก เลม่ ท่ี ๑๒ พระสตุ ตนั ตปฎิ ก เลม่ ที่ ๔ มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณั ณาสก์
ตอนที่ ๙ พรหมนมิ ันตนิกสูตร ว่าด้วยพกพรหมมีทิฏฐอิ ันลามก.
พระไตรปฎิ ก เลม่ ท่ี ๑๓ พระสตุ ตนั ตปฎิ ก เลม่ ที่ ๕ มชั ฌมิ นกิ าย มชั ฌมิ ปณั ณาสก์
ตอนที่ ๖ อังคุลมิ าลสูตร พระพทุ ธเจ้าเสดจ็ ไปโปรดองคลุ มิ าลโจร.
พระยาพจนสุนทรและพระยาวิจิตรธรรมปริวัตร ผู้แปล. พุทธชัยมงคล ๘.
พมิ พค์ รง้ั ที่๓.พมิ พเ์ ปน็ อนสุ รณใ์ นงานทำ� บญุ อายคุ รบ ๘๐ปพี ระปรชี าเฉลมิ
(ติลกะเถระ) ณ พระอุโบสถวัดเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนนทบุรี,
วนั ที่ ๑๕-๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๔.
พระวินัยปฎิ ก จฬู วรรค [๗. สังฆเภท ขนั ธกะ] ๒. ทุติยภาณวาร นาฬาคิรเิ ปสนะ
ว่าด้วยพระเทวทัตปล่อยชา้ ง นาฬาคิรี โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย
ฉบับมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย เลม่ : ๗ หนา้ : ๑๙๕-๑๙๗.
สังคม ศรรี าช. “มหาสาวก-พระ.” ในสารานกุ รมไทยฉบับราชบณั ฑิตยสถาน
เลม่ ๒๒ ภทั ทยิ ะ-มโหสถ. กรงุ เทพฯ : ไทยมติ รการพิมพ์, ๒๕๓๓.

228

พระกรุ

ตามธรรมเนียมนิยมแต่คร้ังโบราณกาล เมื่อสร้างพระพิมพ์แล้วจะน�ำไป
บรรจไุ วใ้ นองคพ์ ระเจดยี ์ พระปรางค์ ซง่ึ นยิ มเรยี กวา่ กรุ เพอ่ื เปน็ การทำ� บญุ และ
เพื่อสืบอายุพระพุทธศาสนา ให้มีอายุ ๕,๐๐๐ ปี ตามคติเรื่องปัญจอันตรธาน
ทีเ่ ชอื่ วา่ พระศาสนาของพระโคตมพทุ ธเจา้ จะมอี ายเุ พียง ๕,๐๐๐ ปี หลงั จากน้นั
พระพุทธศาสนาจะสญู ไป
ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้นิยมสร้างพระแล้วบรรจุไว้ในกรุ เพื่อในอนาคตเม่ือมีผู้
พบพระพุทธรปู หรือพระพมิ พ์แลว้ จะไดร้ จู้ กั พระพทุ ธศาสนา
พระพมิ พแ์ ละพระพทุ ธรปู อน่ื ๆ ทพ่ี บในกรขุ องพระเจดยี ์ พระปรางคต์ า่ ง ๆ
นิยมเรียกว่า พระกรุ ตามแหล่งท่ีมาท่ีพบ เช่น พระกรุพระพิมพ์ดินดิบพบใน
เจดยี ท์ อ่ี ำ� เภอยะรงั จงั หวดั ปตั ตานี พระกรใุ นกรพุ ระปรางคว์ ดั ราชบรุ ณะ จงั หวดั
พระนครศรีอยธุ ยา
พระกรุมีท้ังท่ีเป็นพระพิมพ์และพระที่หล่อด้วยโลหะต่าง ๆ เช่น ส�ำริด
ชิน เงิน ทอง พระกรุที่พบในประเทศไทยมีจ�ำนวนมาก เช่น พระรอดและ
พระคง ซง่ึ เปน็ พระกรลุ ำ� พนู พระกำ� แพงเขยง่ จากกรทุ งุ่ เศรษฐี จงั หวดั กำ� แพงเพชร
พระนางพญา จงั หวดั พษิ ณโุ ลก พระกรวุ ดั มหาธาตุ จงั หวดั สพุ รรณบรุ ี พระกรสุ มยั
รัตนโกสินทร์ทสี่ �ำคญั ได้แก่ พระสมเด็จโต (พระพุฒาจารย์โต พรหมรังส)ี กรวุ ดั
บางขนุ พรหม (วดั ใหมอ่ มตรส) พระขรวั อโี ตล้ อยนำ้� จากกรวุ ดั เลยี บ (วดั ราชบรุ ณะ
กรงุ เทพฯ) ซง่ึ ตามประวตั กิ ลา่ ววา่ เปดิ กรเุ มอื่ คราวสรา้ งสะพานพระพทุ ธยอดฟา้
พระกรุวัดเงินวัดทอง เปิดกรุเม่ือสร้างท่าเรือใหม่ท่ีช่องนนทรี พระกรุวัดพลับ
จากกรวุ ดั พลบั (วดั ราชสทิ ธาราม) และพระกรวุ ดั ลงิ ขบ (วดั บวรมงคล บางพลดั )
นอกจากนย้ี งั มพี ระทไี่ ดจ้ ากกรวุ ดั จกั รวรรดริ าชาวาส (วดั สามปลมื้ ) ทเี่ ชอื่
กันวา่ เจ้าพระยาบดนิ ทรเดชา (สิงห์ สงิ หเสน)ี สรา้ งแลว้ บรรจกุ รไุ ว้ เปน็ ตน้
ปัจจบุ ันคำ� ว่า พระกรุ นยิ มเรยี กพระพิมพ์ทไ่ี มร่ ้จู ักนามผู้สรา้ ง
(รศ. ดร.ศานติ ภกั ดคี ำ� )

229

พระเนอื้ ผง

พระเนอื้ ผง จดั อยใู่ นกลมุ่ ของพระพมิ พซ์ ง่ึ นยิ มสรา้ งขน้ึ ดว้ ยดนิ จากทตี่ า่ ง ๆ
เชน่ ดนิ กน้ กรุ ดนิ สอพองทปี่ ลกุ เสกแลว้ ดนิ จากสถานทศี่ กั ดสิ์ ทิ ธ์ิ ผสมกบั วา่ น เชน่
วา่ นเสนห่ จ์ นั ทน์ ดอกไมท้ บ่ี ชู าพระแลว้ ชานหมากของพระเกจอิ าจารย์ และเนอ้ื ผง
ท่ีได้จากพระพิมพ์เก่า ๆ ที่ช�ำรุด พระเนื้อผงมีหลายแบบหลายชนิดด้วยกัน
เมอื่ สรา้ งแลว้ จะนำ� ไปบรรจไุ วใ้ นทตี่ า่ ง ๆ เชน่ องคพ์ ระเจดยี ์ ตามฐานพระพทุ ธรปู
หรือตามถำ�้ ในภูเขา เพือ่ สืบพระพุทธศาสนา
พระพิมพท์ ป่ี ระกอบข้นึ ดว้ ยผง หรือพระเน้ือผงของไทยนัน้ มหี ลักฐานวา่
สรา้ งมาตง้ั แตก่ อ่ นสมยั สโุ ขทยั แตพ่ บมากในสมยั ตน้ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ เชน่ สมเดจ็
พระสังฆราช (สกุ ) หรือท่เี รียกกันท่วั ไปวา่ พระสังฆราชไก่เถอ่ื น เป็นผู้สรา้ งพระ
เนอื้ ผงตั้งแต่ยงั ครองวัดราชสิทธาราม (วดั พลับ) พระผงทท่ี า่ นสรา้ งเป็นพระผง
ผสมปูนขาว นิยมเรียกในเวลาต่อมาว่า พระวัดพลับ ต่อมาเม่ือเสด็จมาครอง
วดั มหาธาตกุ ไ็ ดท้ รงสรา้ งขน้ึ อกี นอกจากนย้ี งั มผี สู้ รา้ งพระผงในชว่ งเวลาใกลเ้ คยี ง
กันอีกหลายท่าน เช่น สมเดจ็ พระพุฒาจารย์ (โต พรหมรงั ส)ี สร้างพระสมเด็จ
เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) สร้างพระเน้ือผงดินสอแล้วบรรจุไว้ที่
วัดจกั รวรรดิราชาวาส
การสร้างพระพิมพด์ ว้ ยผงดินสอน้ี ตามต�ำรากลา่ ววา่ ผงทนี่ �ำมาสร้างเป็น
ผงดินสอท่ีใช้เขียนอักขระท่ีเป็นคาถาตามคัมภีร์พระไตรปิฎก เช่น สูตรหัวใจ
พระสุตตันตปิฎก หัวใจอิติปิโส และผงที่ได้จากการปลุกเสกด้วยพระคาถาซึ่ง
เรยี กชอ่ื ตามคำ� ขนึ้ ตน้ ของพระคาถาเหลา่ นนั้ เชน่ คาถาทขี่ น้ึ ตน้ ดว้ ยอทิ ธเิ จ เรยี ก
ผงอิทธเิ จ คาถาทขี่ ้ึนตน้ ด้วย ปัถมัง เรยี กว่า ผงปถมงั
เชื่อกันว่าพระเน้ือผงเช่น พระสมเด็จ พระนางพญา พระขุนแผน มี
อานภุ าพในทางเมตตามหานิยม คงกระพันชาตรี และคลาดแคลว้ จากอนั ตราย
ตา่ ง ๆ
(รศ. ดร.ศานติ ภกั ดีคำ� )

230

พระปดิ ตา

พระปิดตา หรือ พระควัมบดี (ควัมปติ) เป็นพระเคร่ืองรางที่มีประวัติ
ความเป็นมาเกี่ยวเน่ืองกับพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล คือ พระควัมบดี
(บางคร้งั ในวงการพระเครอื่ งของไทยนิยมเรยี กวา่ พระภควมั บดี แตต่ ามคมั ภีร์
พระพุทธศาสนาเรยี กว่า พระควมั ปต)ิ
ตามประวตั ใิ นคมั ภรี ท์ างพระพทุ ธศาสนากลา่ ววา่ ควมั ปติ เปน็ ชอื่ กลุ บตุ ร
ผเู้ ปน็ สหายของพระยสะ เปน็ บตุ รเศรษฐเี มอื งพาราณสี ไดท้ ราบขา่ ววา่ พระยสะ
ออกบวชจึงออกบวชตามพร้อมสหายอีกสามคน คือ วิมล สุพาหุ และปุณณชิ
ต่อมาได้ส�ำเร็จเป็นพระอรหันต์ท้ังหมด กล่าวกันว่า พระควัมบดีมีรูปร่างคล้าย
พระพุทธเจ้า พระควัมบดีจึงอธิษฐานให้ตนเองมีร่างกายที่อ้วนท้องพลุ้ย
ซึ่งคนไทยมักสับสนกับพระมหากัจจายนะ หรือ พระสังกัจจายน์ ซึ่งเป็น
พระอรหันตอ์ ีกรปู หนง่ึ
นอกจากนี้ยังเช่ือกันว่า ด้วยเหตุท่ีพระควัมบดีมีความงามละม้ายคล้าย
พระพทุ ธเจา้ จนทำ� ใหผ้ พู้ บเหน็ มกั จะเขา้ ใจผดิ คดิ วา่ เปน็ องคพ์ ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้
พระควัมบดีจึงปิดหน้าตนเองเพ่ือไม่ให้ผู้ใดได้เห็น จนท�ำให้เกิดการสร้าง
พระปดิ ตาขน้ึ
การสรา้ งพระปดิ ตา นอกจากจะมคี ตกิ ารสรา้ งทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั พระควมั บดี
แลว้ ยงั มคี ตกิ ารสรา้ งพระทม่ี ลี กั ษณะคลา้ ยพระปดิ ตา คอื การสรา้ งพระปดิ ทวาร
ทั้งเก้า ซึ่งหมายถึงการป้องกันมิให้กิเลสเข้ามาตามทวารต่าง ๆ และการสร้าง
พระปดิ ตามหาอดุ ซง่ึ หมายถงึ การปอ้ งกนั สรรพยนั ตรายทงั้ หลายทจี่ ะเขา้ มาสตู่ น
และปิดกน้ั กิเลสท้งั ปวงอกี ดว้ ย
(รศ. ดร.ศานต ิ ภกั ดีคำ� )


Click to View FlipBook Version