131
วิมาย-พิมาย
วิมาย หรอื พิมาย เปน็ ชอ่ื ที่ใชเ้ รียกกนั หลายอย่าง เม่อื แรกใชเ้ ป็นชือ่ เมอื ง
ปรากฏหลักฐานในจารึกท่ีสร้างข้ึนเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ใช้เป็นช่ือ
เมอื งว่า วมิ ายปุระ เปน็ เมืองโบราณขนาดใหญ่ รูปสเ่ี หลีย่ มผืนผ้า มีลำ� น�้ำหลาย
สายลอ้ มอยโู่ ดยรอบ ไดแ้ ก่ ลำ� นำ้� มลู ไหลออ้ มไปดา้ นทศิ ตะวนั ออก ผา่ นทศิ เหนอื
เลยไปถึงทิศตะวันตก ด้านทิศเหนือมีล�ำน้�ำจักราชมาบรรจบกับล�ำน�้ำมูล ด้าน
ทิศใต้มีล�ำน�้ำเค็ม เป็นสาขาแยกจากล�ำน้�ำจักราชที่วังหิน ไหลไปบรรจบกับ
ล�ำน�้ำมูลที่อ�ำเภอชุมพวง และมีล�ำปลายมาศไหลมารวมกับล�ำน้�ำมูลท่ีอ�ำเภอ
นี้ด้วย เมืองพิมายในสมัยโบราณเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองอุดมสมบูรณ์
ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร เป็นศูนย์กลางการคมนาคมระหว่างภูมิภาคทั้งทางน�้ำ
และทางบก
บริเวณกลางเมืองพิมายมีปราสาทหินขนาดใหญ่ ปัจจุบันเรียกชื่อว่า
ปราสาทหนิ พิมาย สรา้ งข้นึ เม่ือประมาณพุทธศตวรรษท่ี ๑๖ ในสมยั วฒั นธรรม
เขมรโบราณ เป็นศาสนสถานตามคติพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ซ่ึงได้มีการ
สร้างเสรมิ เพิม่ แตง่ เป็นระยะ ๆ สืบตอ่ มา ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๗ และ ๑๘
ค�ำว่า วมิ าย นี้ สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจา้ ฟ้ากรมพระยานรศิ รานวุ ัดตวิ งศ์
ทรงกล่าวไว้ในสาส์นสมเดจ็ เลม่ ๑๖ พมิ พ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ วา่ “เมอ่ื ไดป้ รารภกับ
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ถึงช่ือปราสาทพิมายน้ัน ท่านเห็นว่าไม่มีที่สงสัยเลย
คำ� พิมายนัน้ เปนนามพระพทุ ธเจา้ ตรงทเี ดยี ว คอื วมิ ายา ผ้ไู มม่ ีมายา”
ปราสาทหินพิมายจัดเป็นพุทธสถานที่ส�ำคัญแห่งหนึ่ง มีก�ำแพงสี่เหล่ียม
ล้อมรอบ มีประตูซุ้ม ๔ ทิศ ด้านหน้าปราสาทหันไปสู่ถนนท่ีตัดผ่านซ่ึงตรงกับ
ทศิ ใต้ ตา่ งกบั ปราสาทหนิ แห่งอ่นื ๆ ทสี่ ร้างข้ึนในสมัยเดียวกัน ซง่ึ นยิ มหนั หนา้
ไปทางทิศตะวันออกเสมอ เน่ืองจากปราสาทหินพิมายมีระยะการสร้างและ
ปรับปรุงเพิ่มเติมเสริมแต่งเป็นระยะเวลายาวนาน จึงมีหลักฐานร่องรอยงาน
ศิลปกรรมหลายรูปแบบหลายสมัย นับว่าเป็นโบราณสถานที่มีความส�ำคัญและ
นา่ สนใจศกึ ษาอยา่ งยงิ่
132
เมอ่ื เสยี กรงุ ศรอี ยธุ ยาครงั้ ที่ ๒ กรมหมนื่ เทพพพิ ธิ พระราชโอรสของสมเดจ็
พระเจา้ อยหู่ วั บรมโกศ ครองกรงุ ศรอี ยธุ ยาระหวา่ ง พ.ศ. ๒๒๗๖-๒๓๐๑ ไดต้ ง้ั ตวั
เปน็ ใหญข่ น้ึ ทเ่ี มอื งพมิ าย เรยี กกนั ทว่ั ไปวา่ ชมุ นมุ เจา้ พมิ าย และไดข้ ยายพนื้ ทอี่ อก
ไปยังหัวเมืองใกล้เคียง กลายเปน็ ชุมชนใหญ่ มีเมืองพมิ ายเป็นศนู ย์กลาง จนเมอื่
สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราชประกาศอสิ รภาพ ตงั้ กรงุ ธนบรุ เี ปน็ เมอื งหลวง แลว้
ยกทัพไปปราบชุมนุมเจ้าพมิ ายเพื่อรวบรวมบา้ นเมอื งใหเ้ ปน็ อนั หนึ่งอนั เดียวกัน
ปจั จบุ นั พิมายเป็นช่ืออ�ำเภอท่ีส�ำคัญอ�ำเภอหนึง่ ของจงั หวดั นครราชสมี า
เป็นเมืองเก่าที่มีโบราณสถานหลายแห่ง เช่น ปราสาทหินพิมาย เมรุพระเจ้า
พรหมทตั ท่านางสระผม ประตเู มอื งเกา่ อโรคยศาลา มีการจดั แสดงโบราณวัตถุ
ไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย และเป็นชื่อเข่ือนกั้นแม่น้�ำมูลท่ีคุ้งไทรงาม
เพื่อระบายน้�ำและทดน�้ำเข้าคลองซอยตามโครงการทุ่งสัมฤทธ์ิ ซึ่งเริ่มมาต้ังแต่
พทุ ธศักราช ๒๔๘๒ จนสำ� เร็จทงั้ โครงการเมือ่ พทุ ธศักราช ๒๕๐๑
(นางสาวกอ่ งแก้ว วรี ะประจกั ษ)์
หนังสอื อ้างอิง
ธิดา สารยา. เมืองประวัติศาสตร์ เมืองพิมาย เขาพระวิหาร เมืองอุบล
เมืองศรสี ัชชนาลยั . กรุงเทพฯ : ดา่ นสทุ ธาการพมิ พ,์ ๒๕๓๘.
นริศรานุวัตติวงศ์, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยา และสมเด็จ
พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำ� รงราชานภุ าพ. สาสน์ สมเดจ็ เลม่ ๑๖.
กรงุ เทพฯ : องคก์ ารคา้ ของคุรุสภา, ๒๕๐๕.
สภุ ทั รดศิ ดศิ กลุ , หมอ่ มเจา้ . “พมิ าย” ในสารานกุ รมไทย ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน
เล่ม ๒๑. กรงุ เทพฯ : ไทยมติ รการพมิ พ,์ ๒๕๓๐.
133
ศรกามเทพ
กามเทพเปน็ เทพแหง่ ความรกั และไดช้ อื่ วา่ รปู งาม จงึ มกั ถกู นำ� มาเปรยี บกบั
มนุษย์ผู้มีรูปร่างงดงามหล่อเหลา เช่น ในวรรณคดีไทยเรื่องพระนลค�ำฉันท์
กเ็ ปรยี บพระนลว่างามราวกบั กามเทพ
คัมภรี ศ์ ิวะปรุ าณะ พรรณนารูปรา่ งของกามเทพไวว้ า่ พระองคม์ ผี วิ สีทอง
อกกว้างใหญ่แข็งแรง จมูกงาม ต้นขา สะโพกและนอ่ งกลมอวบสมบูรณ์ ผมหยกิ
เป็นคล่ืนมีสีด�ำ คิ้วดกหนาไหวระริก ใบหน้าสดใสประดุจพระจันทร์วันเพ็ญ
มีขนทห่ี น้าอกอันกว้างใหญร่ าวกบั ประตู ร่างกายใหญโ่ ตเหมือนกบั ชา้ งเอราวัณ
สวมพสั ตราภรณ์สนี ้ำ� เงิน มอื นัยนต์ า ขา และนิว้ มีสีแดง เอวบาง ฟนั งาม มีกลนิ่
เชน่ เดยี วกบั ชา้ งทต่ี กมนั ดวงตางามดงั กลีบบวั บาน พระองคม์ คี วามหอมเหมอื น
เกสรดอกบัว คอประดุจหอยสังข์ มเี สียงไพเราะ
กามเทพเป็นเทพทรี่ ้จู กั กันดีว่าเปน็ ผนู้ �ำความรกั มาสคู่ รู่ ัก ศรซ่งึ เป็นอาวุธ
ของพระองค์มีอานุภาพสร้างความรักให้เกิดข้ึนได้ ปรากฏบทสวดบทหนึ่งใน
คัมภรี อ์ ถรรพเวทที่ใชส้ รรเสริญกามเทพในพธิ ีแต่งงานของชาวฮนิ ดู วา่
ขอพระกามเทพทรงเลง็ ศรของพระองคท์ ม่ี คี วามเจบ็ ปวดตดิ ไวท้ ปี่ กี ของศร
มีความต้องการเป็นลูกศร มีความปรารถนาเป็นคันศร จงทิ่มแทงหัวใจ
ทา่ นดว้ ยศรทเ่ี ลง็ อยา่ งดแี ลว้ ของพระองค์ ซง่ึ กระทำ� ใหค้ วามโกรธเหอื ดหาย
ข้าพเจ้าขอยิงตรงหัวใจของทา่ น
ที่มาของศรกามเทพปรากฏเร่ืองในคัมภีร์ศิวะปุราณะคือ เมื่อกามเทพ
ทูลถามพระพรหมถึงหน้าที่ของตน พระพรหมตอบว่าหน้าท่ีของกามเทพคือ
สร้างสรรคใ์ ห้หญงิ ชายรักใคร่กนั โดยใช้อาวุธคอื ลูกศร ๕ ดอก และประทานพร
ใหก้ ามเทพเปน็ ผสู้ รา้ งความรกั ใหเ้ กดิ ขนึ้ ในโลก โดยไมม่ ผี ้ใู ดทานพลานภุ าพของ
ศรได้ ลกู ศรกามเทพจะมีดอกไม้ตดิ อยู่ที่ปลายศรท้งั ๕ ไดแ้ ก่
๑. ดอกบัวขาว หมายถงึ ความบริสทุ ธ์ิ สดชนื่ คือความบริสทุ ธ์ิแห่งจิตใจ
ของผมู้ คี วามรัก
134
๒. ดอกอโศก มสี ีแดงสดใสเปน็ สารท่ีกระตนุ้ จิตใจของผมู้ คี วามรกั
๓. ดอกมะมว่ ง มกี ลิน่ หอม ท�ำให้จิตใจสดชืน่
๔. ดอกมะลิ มกี ลิน่ หอม สขี าวบรสิ ทุ ธ์ิ แต่ช้ำ� งา่ ย เสมือนความรักที่ตอ้ ง
อาศยั การถนอมน�ำ้ ใจกนั และกนั
๕. ดอกบวั สีน้�ำเงิน แสดงถึงความอดทนในความรัก
ผู้ใดที่ต้องศรกามเทพน้ี ย่อมมีความยินดี ความเบิกบาน ความลุ่มหลง
กระวนกระวายใจเหมือนถูกไฟเผา ประหน่ึงตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก ดังที่
พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาลท่ี ๖ มพี ระบรมราชาธบิ ายเรอื่ ง
ดอกไมข้ องกามเทพไว้วา่
จินตกวีทุกชาติทุกภาษามักนิยมเปรียบเทียบดอกไม้ด้วยลูกศรของ
กามเทพที่อังกฤษเรียกคิวปิด เพราะใคร ๆ ก็ย่อมจะสังเกตอยู่แล้วว่า
ดอกไม้เป็นเคร่ืองช่วยบ�ำรุงรสรักได้อย่างหน่ึงเป็นแน่นอน ฉะนั้น เม่ือ
สมมติตวั เจ้ารักขึ้นแลว้ กวจี ึงคดิ ต่อว่าอาวุธของเจ้ารกั ต้องเปน็ ศรดอกไม้
เมื่อยิงไปยังผ้ใู ดแลว้ ท�ำใหเ้ กดิ ความชนื่ ใจ
(รศ. ดร.ปรดี ี พศิ ภมู ิวถิ ี)
หนงั สอื อา้ งอิง
มงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั , พระบาทสมเดจ็ พระ . ปรยิ ทรรศกิ า. กรงุ เทพฯ : องคก์ ารคา้
ของคุรสุ ภา, ๒๕๐๕.
สุมาลี อุดมพงษ์. กามเทพในวรรณคดีสันสกฤต. วิทยานิพนธ์อักษรศาสตร
มหาบณั ฑิต ภาควชิ าภาษาตะวนั ออก จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๒๓.
สลดั ได-กระลำ� พัก
สลัดได กบั กระลำ� พกั เก่ยี วขอ้ งกนั พจนานุกรมทุกเล่มที่มีค�ำวา่ สลดั ได
ใหค้ วามหมายไวท้ ำ� นองเดยี วกนั วา่ สลดั ไดเปน็ ชอื่ ตน้ ไม้ เชน่ พจนานกุ รม ฉบบั
135
ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ใหค้ วามหมายของคำ� สลดั ได วา่ เปน็ ชอื่ ไมพ้ มุ่
หลายชนดิ ตน้ เป็นเหล่ยี ม มีหนาม ไม่มใี บ เช่น สลัดไดเขา สลัดไดปา่ ส่วนทีใ่ ช้
ท�ำยาไดเ้ รียกว่า กระลำ� พกั
คำ� ว่า สลดั ได ท่ีปรากฏในวรรณคดีกเ็ ปน็ ชอื่ ตน้ ไม้ เช่น ในลลิ ติ เตลงพ่าย
พระมหาอปุ ราชาครำ่� ครวญถงึ นางทรี่ กั ว่า
สลดั ไดไดสลดั นอ้ ง แหนงนอน ไพรฤๅ
เพราะเพื่อมาราญรอญ เศกิ ไส้
สละสละสมร เสมอชอื่ ไม้นา
นึกระก�ำนามไม้ แม่นแมน้ ทรวงเรยี ม
สว่ นคำ� วา่ กระลำ� พกั พจนานกุ รมทกุ เลม่ ทม่ี คี ำ� วา่ กระลำ� พกั ใหค้ วามหมาย
ไว้ท�ำนองเดียวกันว่า กระล�ำพักเป็นชื่อแก่นไม้หอม เช่น อักขราภิธานศรับท์
ใหค้ วามหมายวา่ “กะลำ� ภกั , แกน่ ไมห้ อมอยา่ งหนงึ่ , เกดิ ในตน้ ไมท้ ไ่ี มเ่ คยมแี กน่ ,
ใชท้ �ำอยาบ้าง เผาไฟหอม.”
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้ความหมายว่า
กระลำ� พกั เปน็ สว่ นของเนอ้ื ไมซ้ งึ่ มสี ดี ำ� ๆ เกดิ ในตน้ สลดั ไดปา่ และตน้ ตาตมุ่ ทะเล
กลน่ิ หอมออ่ น รสขม ใชท้ �ำยาได้
ตาม พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน กระล�ำพักเป็นแก่นไม้หอม
ที่ได้จากต้นสลัดไดป่า คนไทยรู้จักกระล�ำพักท่ีเป็นแก่นไม้หอมน้ีมานานแล้ว
ปทานุกรมพรรณไม้ในต�ำนานเมือง กล่าวว่า กระล�ำพักเป็นของบรรณาการ
อย่างหน่ึงที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชส่งไปถวายพระเจ้าหลุยส์ท่ี ๑๔ แห่ง
กรงุ ฝรง่ั เศส เม่ือ พ.ศ. ๒๒๒๘ ในบันทึกของทางราชการฝร่ังเศสกลา่ ววา่ แก่นไม้
ชนดิ นีห้ ายากนัก มีแต่เฉพาะในปา่ ใกล้เมืองญวน เป็นแก่นไมท้ ่ีมีราคาแพงท่ีสุด
กล่ินหอมกว่าไม้อย่างอ่ืน ถ้าไม้น้ีเก่าจนกลิ่นหมดแล้ว เอาลงแช่ในน�้ำเดือด
สกั ครหู่ นง่ึ แลว้ เอาผา้ ชบุ นำ้� รอ้ นหอ่ ไว้ ในไมช่ า้ ไมจ้ ะมกี ลนิ่ หอมดงั เดมิ และออ่ นนมุ่
ดั่งขี้ผึ้ง เหตุท่ีแก่นไม้นี้มีราคาแพงมากเพราะเกิดแต่กลางใจต้นไม้และเป็นท่อน
136
เล็ก ๆ เมื่อจะหากระล�ำพักจึงต้องฟันต้นไม้อันเป็นท่ีเกิดของมันหลาย ๆ ต้น
นาน ๆ จงึ จะไดพ้ บกระล�ำพกั ในตน้ ไม้สกั ตน้ หน่ึง
หนงั สอื เมอื งไทยในทศั นะของฝรง่ั กอ็ า้ งถงึ บนั ทกึ รายงานของ ยอรช์ ไวท์
พ่อค้าชาวอังกฤษ เกี่ยวกับกิจการค้าขายในกรุงศรีอยุธยาสมัยแผ่นดินสมเด็จ
พระนารายณ์มหาราชไว้มีความว่า “ในคร้ังนั้น เมืองไทยกับเมืองญวนติดต่อ
ค้าขายกันอย่างใกล้ชิด กษัตริย์เมืองญวนได้จัดส่งเรือค้าขายบรรทุกสินค้ามี
ทองค�ำกับกล�ำพักเป็นต้น กล�ำพักเป็นไม้ท่ีนิยมใช้กันมากในเมืองญี่ปุ่น ถ้าได้
บรรทุกสง่ ตอ่ ออกไปยงั เมอื งญ่ปี นุ่ จะจ�ำหน่ายได้ราคาสูงข้นึ เป็น ๒-๓ เทา่ ”
แก่นไม้หอมท่ีเรียกว่ากระล�ำพักนี้ คนไทยใช้เป็นส่วนผสมของยาหลาย
ต�ำรับ เช่น ยาช่ือกัลยาทิคุณ แก้ตานโจร (ตานขโมย) อันกระท�ำให้เช่ือมมึน
(มีอาการซึมนัยน์ตาปรือไม่กระปรี้กระเปร่า) และกินอาหารไม่ได้ ยาช่ือทอง
แนบเนอ้ื แกเ้ ดก็ ดดู นมไมไ่ ด้ กนิ ขา้ วไมไ่ ด้ ยาชอื่ มหาไชยวาต แกล้ มทงั้ ปวง ยานตั ถ์ุ
ช่ือสาวกัลยาณี แก้ลมจับ ปวดศีรษะ ตาแดง ตาฟาง ในพระคัมภีร์สรรพคุณ
กล่าวว่า กระล�ำพักมีรสขมหวานเย็นมัน แก้ตรีสมุฏฐาน (สมุฏฐาน ๓ อย่าง
คือ ดี เสมหะ ลม) แก้โลหิตโทษ (เลือดเป็นพิษ) และพระคัมภีร์มหาโชตรัต
กล่าวถงึ ยาท่ีบ�ำรุงโลหิต มีกระล�ำภักเปน็ ส่วนผสมอยา่ งหน่งี
ส่วน สลัดได ซึ่งเป็นท่ีมาของกระล�ำพักก็ใช้เป็นส่วนผสมของยาได้ เช่น
ใชต้ ม้ รวมกบั สมนุ ไพรอกี ๔๘ สงิ่ แกต้ บั พกิ าร ยาหลายตำ� รบั เชน่ ยาพรหมภกั ตร์
ยาช่ือมหาพรหมภักตร์ ยาชื่อมหิทธิพรหมภักตร์ ต้องมียางสลัดไดประสะแล้ว
เปน็ ส่วนผสม วธิ ปี ระสะยางสลัดได คือ ทำ� ใหย้ างสลดั ไดสะอาดนั้น ทา่ นให้เอา
ยางใส่ในถว้ ยหรือชามแล้วตม้ น�ำ้ ให้เดอื ด รินใสล่ งในถว้ ยหรอื ชามนัน้ แล้วกวน
ถา้ นำ�้ นน้ั เยน็ กใ็ หร้ นิ นำ้� ออก เอานำ้� รอ้ นเตมิ ลงอกี กวนไปกวา่ ยางนนั้ จะสกุ ทว่ั กนั
เมอื่ ยางน้ันสุกดีแลว้ ให้รนิ นำ�้ ออกเป็นใช้ได้
เหน็ ไดว้ ่า ทัง้ กระล�ำพักและสลดั ไดใช้ทำ� ยาได้ แต่ใชเ้ ปน็ ส่วนผสมของยา
ต่างชนิดกนั มีปญั หาเกี่ยวกับกระลำ� พกั อย่างหนึ่ง คอื โดยทวั่ ไปกระล�ำพกั เป็น
137
แก่นไม้ แตใ่ นวรรณคดีบางเรอื่ ง กระลำ� พักหรือบางทีเรียกสั้น ๆ วา่ ลำ� พัก เปน็
ตน้ ไม้ เชน่ บทละครเรอื่ งอเิ หนา พระราชนพิ นธพ์ ระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้
นภาลยั ตอนทา้ วกุเรปันยกทพั ไปกรงุ ดาหา มีว่า
กระลมุ พูจู่จับกระล�ำพัก เขาไฟไขฟ่ ักฟบุ อยู่
ยางยอ่ งมองมารมิ สินธู ปักหลกี ปกี ล่ลู งกนิ ปลา
และนทิ านคำ� กลอนเร่ือง พระอภัยมณี ของสนุ ทรภู่ ตอนนางสุวรรณมาลี
ขา้ มไปเมืองลงั กา มีวา่
พฤกษาดอกออกชอ่ ลอออ่อน แย้มเกสรภผู่ ึ้งหึ่งหึ่งเสยี ง
ท่ีจอมเขาสาวหยดุ พดุ พมุ เรยี ง ล�ำพกั เคียงขอนดอกออกระยา้
นอกจากนั้น แบบเรียนพรรณนาพฤกษาและสัตวาภิธาน ของพระยา
ศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ก็จัดให้กระล�ำพักอยู่ในหมู่ไม้ในแม่กก
ดังกาพยต์ อ่ ไปนี้
กระบากต้นกระบก กะทกรกเขา้ ระคน
ไมห้ มากบนุ นาคปน กระลำ� ภกั ตน้ รักลา
กระลำ� พกั ทเี่ ปน็ ชอื่ ตน้ ไมน้ นี้ า่ จะถอื ไดว้ า่ เปน็ อกี ชอ่ื หนงึ่ ของตน้ สลดั ไดปา่
บทความเรื่องต้นไม้ในวรรณคดี จากวรรณคดีไทยเร่ืองพระอภัยมณี กล่าวถึง
กระล�ำพักวา่ เป็นต้นไมจ้ ำ� พวกกระบองเพชร แตกหนามตามตน้ ล�ำตน้ ส่ีเหล่ียม
มีดอกสีแดง ๆ ตามครีบ ข้ึนตามปา่ โขดเขา และตามชายทะเล เม่อื ต้นแก่ราว
๑๐ ปี ถ้าตน้ ตาย ผ่าดูจะพบแกน่ สดี �ำทีเ่ รยี กวา่ “กระลำ� พกั ” มรี สขมและมกี ลิ่น
หอม ราคาแพง
ลกั ษณะของตน้ กระลำ� พกั ดงั กลา่ วนี้ กค็ อื ลกั ษณะของตน้ สลดั ไดปา่ นนั่ เอง
(รศ. ดร.นววรรณ พนั ธเุ มธา)
138
หนังสอื อา้ งองิ
ธวชั รตั นาภชิ าต.ิ เมอื งไทยในทศั นะของฝรง่ั . พมิ พใ์ นงานพระราชทานเพลงิ ศพ
นางเพ่มิ สุมาวงศ์ ณ สสุ านหลวงวดั เทพศิรินทราวาส พระนคร วนั ที่ ๒๘
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๗.
ปทานุกรมส�ำหรับนักเรยี น. พระนคร : กรมต�ำรา กระทรวงธรรมการ, ๒๔๗๒.
ปรมานุชิตชิโนรส, สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระ. ลิลิตเตลงพ่าย. พิมพ์
คร้งั ท่ี ๒. กรงุ เทพฯ : บรรณาคาร, ๒๕๑๕.
พุทธเลิศหล้านภาลัย, พระบาทสมเด็จพระ. บทละครเร่ืองอิเหนา. พระนคร :
คลังวิทยา, ๒๕๐๖. ๒ เลม่ .
แพทยศาสตร์สงเคราะห์ ภูมิปญั ญาทางการแพทยแ์ ละมรดกทางวรรณกรรม
ของชาต.ิ กรงุ เทพฯ : สถาบนั ภาษาไทย กรมวชิ าการ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร,
๒๕๔๒.
ราชบัณฑติ ยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. พิมพ์
ครง้ั ท่ี ๒. กรุงเทพฯ : นานมีบคุ๊ ส,์ ๒๕๕๖.
ศรสี นุ ทรโวหาร,พระยา.ภาษาไทยของพระยาศรสี นุ ทรโวหาร(นอ้ ยอาจารยางกรู ).
พิมพ์ครง้ั ที่ ๓. พระนคร : แพร่พทิ ยา, ๒๕๑๔.
สังข์ พธั โนทัย. ปทานกุ รมพรรณไมใ้ นตำ� นานเมอื ง. ม.ป.ท., ม.ป.ป.
สุนทรภู่ (นามแฝง). พระอภยั มณ.ี พระนคร : คลังวิทยา, ๒๕๐๖.
อกั ขราภธิ านศรบั ท์ ของหมอปรดั เล. พระนคร : องคก์ ารคา้ ของครุ สุ ภา, ๒๕๑๔.
อุดม พินิจสารภิรมย์. “ต้นไม้ในวรรณคดีจากวรรณคดีไทยเรื่องพระอภัยมณี”
ใน ต้นไม้ในวรรณคดีพระอภัยมณี. กรุงเทพฯ : กองสวนสาธารณะ
ส�ำนกั สวัสดิการสังคม, ๒๕๑๗.
139
สะเทนิ -สะเทนิ้
ค�ำว่าสะเทนิ ปรากฏในคำ� พระมาลาเส้าสะเทิน หนังสอื ราชาศัพท์ ฉบบั
ราชบัณฑิตยสถานบอกความหมายและการใช้พระมาลาเส้าสะเทินไว้ในหน้า
๒๐๙ ดงั น้ี
๙. พระมาลาเส้าสะเทิน เคร่ืองราชศิราภรณ์ลักษณะเป็นอย่างหมวก
ทรงกระบอก ปีกกว้างโดยรอบ เฉพาะปีกข้างซ้ายพับตลบขึ้น ท�ำด้วย
สักหลาด พระมาลาเส้าสะเทินนี้มีหลายองค์ แต่ละองค์สีต่างกันตามสี
ประจำ� วนั ท้งั ๗ หลงั พระมาลาประดับดว้ ยยอดทองคำ� รูปพระเกีย้ วยอด
หรอื จลุ มงกฎุ รอบขอบพระมาลารดั ดว้ ยมาลยั รกั รอ้ ยมกี ระจงั เชงิ ชายและ
ประดับหลงั มาลยั รักร้อยโดยรอบ ดา้ นซา้ ยพระมาลาปักพระยี่ก่าทองค�ำ
เสยี บขนนกการเวก ขอบปกี พระมาลาขลบิ ลวดทองคำ� อนงึ่ เครอ่ื งประดบั
พระมาลาเส้าสะเทินน้ีทุกองค์ท�ำด้วยทองค�ำจ�ำหลักลายลงยาราชาวดี
ประดับอัญมณีสีตามสีพระมาลาแตล่ ะองค์
พระมาลาเสา้ สะเทนิ น้ี ยงั เนอ่ื งกบั ธรรมเนยี มสำ� หรบั อสิ รยิ ศกั ดข์ิ องบคุ คล
ทพ่ี งึ ใช้ คอื
พระมาลาสแี ดง ส�ำหรับพระมหากษตั ริย์
พระมาลาสีเหลือง สำ� หรับพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสมเดจ็ เจา้ ฟ้า
พระมาลาสีชมพู ส�ำหรับเจ้านายทรงกรมชั้นกรมพระยา กรมพระ และ
กรมหลวง
พระมาลาสีดำ� สำ� หรบั เจ้านายทรงกรมชน้ั กรมขนุ และกรมหมื่น
อนง่ึ พระมาลาเส้าสะเทินน้ี บางทเี รียกว่า “พระมาลาทรงประพาส”
ชอื่ พระมาลาเสา้ สะเทนิ นา่ จะมาจากลกั ษณะของพระมาลาท่ี “ปกี ขา้ งซา้ ย
พบั ตลบข้นึ ” ทง้ั นี้เพราะสะเทินแปลว่า ครงึ่ ๆ กลาง ๆ ดงั พจนานกุ รม ฉบบั
ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ใหค้ วามหมายของ สะเทนิ ไวอ้ ยา่ งหนึง่ ว่า
140
สะเทนิ ๑ ว. ครงึ่ ๆ กลาง ๆ, ก�ำ้ กงึ่ , เช่น สาวสะเทิน คอื เพิง่ จะขน้ึ สาว
หรืออยูใ่ นระหว่างสาวกับเดก็ ก�ำ้ กง่ึ กนั .
สะเทนิ นำ�้ สะเทนิ บก ว. ทอ่ี ยไู่ ดห้ รอื ปฏบิ ตั กิ ารไดท้ ง้ั ในนำ้� และ
บนบก เชน่ การรบสะเทนิ นำ�้ สะเทนิ บก เรอื สะเทนิ นำ้� สะเทนิ บก
เครอื่ งบนิ สะเทนิ นำ้� สะเทนิ บก, เรยี กสตั วจ์ ำ� พวกทอี่ ยไู่ ดท้ ง้ั ในนำ�้
และบนบก เชน่ กบ คางคก องึ่ อา่ ง วา่ สตั วส์ ะเทินนำ้� สะเทิน
บก.
ค�ำว่า สะเทินน้�ำสะเทินบก บางทีก็มีผู้พูดว่า สะเทิ้นน�้ำสะเทิ้นบก เช่น
พดู วา่ กบเปน็ สตั วส์ ะเทนิ้ นำ�้ สะเทนิ้ บกแตค่ ำ� วา่ สะเทน้ิ พจนานกุ รมฯใหค้ วามหมาย
ต่างออกไปว่า “ก. แสดงกิริยาวาจาอย่างขัด ๆ เขิน ๆ เพราะรู้สึกขวยอาย
(มักใช้แก่หญงิ สาว)...”
อันที่จริง ค�ำว่า สะเทิน กับ สะเทิ้น เดิมน่าจะเป็นค�ำเดียวกัน ในสมัย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ใช้ค�ำว่าสะเทินและสะเทิ้น ใน
ความหมายท�ำนองเดียวกัน เช่น ในหนังสือราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๒ มีค�ำว่า
นาสเทินน้ำ� และที่สเทินน้�ำ ดงั นี้
๑ ...พระยาชลบูรานุรักษ์ได้ให้กรมการก�ำนันออกตรวจดูราษฎร
แขวงเมอื งชลบรุ ยี นาทหี่ ลมุ้ ทนี่ ำ�้ ขงั ฦกแปดนว้ิ เกา้ นวิ้ นาสเทนิ นำ�้ ฦกหา้ นวิ้
หกนว้ิ นาท่ดี อน สองนว้ิ สามนว้ิ ...
๒ ...ที่ดอนท่ีเสทินน�้ำขังท้องนาประมาณศอกคืบ ต้นเข้า [ข้าว]
ออกกองามดี เปนเข้าใหญ่น�้ำไม่ท่วมได.้ ..
แตใ่ นจดหมายเหตเุ สดจ็ พระราชดำ� เนริ ประพาศทวปี ยโุ รป ครงั้ ที่ ๒ เลม่ ๑
มีคำ� ว่า เกวยี นสเท้ิน ในขอ้ ความว่า “ทางลุ่ม ๆ ดอน ๆ มีเนนิ ลาด ๆ เปนไร่สวน
แลปา่ ไมส้ ลบั กนั ไป เกวยี นขนฟนื ทนี่ ท่ี ำ� คลา้ ยเกวยี นสเทน้ิ ทใ่ี ชใ้ นประเทศสยาม”
นาสเทนิ นำ้� และทสี่ เทนิ นำ้� นา่ จะหมายถงึ นาและทดี่ นิ ทก่ี ำ�้ กง่ึ ระหวา่ งทลี่ มุ่
และทด่ี อน สว่ นเกวยี นสเทิน้ นา่ จะหมายถงึ เกวยี นทีแ่ ล่นได้บนทางลมุ่ ๆ ดอน ๆ
141
ความหมายของสเทนิ และสเทนิ้ ไมต่ า่ งกนั เมอ่ื ดพู จนานกุ รมสมยั ตน้ รตั นโกสนิ ทร์
กพ็ บวา่
อกั ขราภธิ านศรบั ท์ เกบ็ แตค่ �ำว่า สะเทนิ ให้ความหมายไวว้ า่
สะเทิน, คือคนสอ่ื ฤๅรนุ่ หนุ่มรุ่นสาว, ผู้ชายท่ีสื่อรนุ่ หนุ่มผู้หญงิ สอื่ รุ่นสาว
ขึ้นนัน้ .
สะเทินใจ, คือใจกะดาก, เช่น คนลอบลักพูจเก้ียวเมียเขา, ผู้น้ันภบผัว
เขา้ กม็ ีใจกระดากนัน้ .
สะเทนิ หนมุ่ , คือสอื่ หน่มุ , คนฤๅสตั วทีม่ นั สอ่ื ถกึ เถลงิ หน่มุ สาวขึ้นนัน้ .
ส่วน สัพะ พะจะนะ พาสาไท และศรพิ จน์ภาษาไทย์ มีทัง้ ค�ำวา่ สะเทิน
และ สะเท้ิน แตใ่ ห้ความหมายกลบั กับปัจจุบัน คอื คำ� ว่า สะเทนิ หมายถึง อาย
สาวสะเทิ้น หมายถงึ คนรุ่นสาว
เห็นไดว้ ่า เราใชค้ �ำวา่ สะเทนิ กับ สะเทิน้ สบั สนกันมานานแลว้
(รศ. ดร.นววรรณ พนั ธุเมธา)
สนั นบิ าต
คำ� ว่า สันนบิ าต พจนานกุ รม ฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ถอื ว่า
เปน็ คำ� ๒ ค�ำ ค�ำหนึง่ หมายความว่า การประชมุ , ทป่ี ระชมุ เชน่ สังฆสนั นบิ าต
สันนบิ าตชาติ ค�ำวา่ สันนบิ าต ค�ำนี้ หมายถงึ งานชุมนุม ก็ได้ เชน่ รฐั บาลจดั
งานสโมสรสนั นิบาตทท่ี �ำเนียบรัฐบาล
ค�ำว่า สันนิบาตอีกค�ำหน่ึง ใช้เป็นค�ำเรียกไข้ชนิดหนึ่ง มีอาการส่ันเท้ิม
ชกั กระตกุ และเพอ้ พจนานกุ รมฯ ใหต้ วั อยา่ งไขส้ นั นบิ าตไว้ ๒ คำ� คอื ไขส้ นั นบิ าต
ลูกนก และไข้สันนิบาตหน้าเพลิง ไข้สันนิบาตลูกนก หนังสือศัพท์แพทย์ไทย
ของส�ำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล บอก
ความหมายวา่ “อาการส่นั หลงั จากเป็นไข้ โดยเรมิ่ ทแี่ ขนขา” ส่วน ไข้สันนบิ าต
หนา้ เพลงิ เกดิ แกห่ ญงิ บางคนทค่ี ลอดลกู แลว้ นอนบนกระดานไฟ เปน็ ไข้ มอี าการ
หลายอยา่ ง เชน่ ตาลาย กระหายนำ�้ ขอบตาดำ� ปากแขง็ ตวั รอ้ นจดั หวั ใจเตน้ แรง
142
นำ�้ คาวปลาตกเหมน็ ประดจุ ศพ ตามตวั ปรากฏเมด็ แดง ๆ พอเหน็ ราง ๆ ใตผ้ วิ หนงั
ถา้ ไม่รบี รกั ษา อาจตายภายใน ๖ ถงึ ๑๒ ช่วั โมง
ค�ำว่า สันนิบาต ๒ ค�ำน้ี ดูเหมือนจะเป็นเพียงค�ำพ้องเสียงไม่เกี่ยวข้อง
กัน แต่อันท่จี รงิ เป็นคำ� เดยี วกนั มาจากคำ� บาลสี ันสกฤตคำ� เดียวกนั วา่ สนฺนิปาต
ซ่ึงหมายถึงการประชุม ไทยก็ใช้ค�ำว่าสันนิบาต ให้หมายถึงการประชุมมา
ชา้ นาน เชน่ ในพระราชพงศาวดารกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ รชั กาลที่ ๑ ฉบบั เจา้ พระยา
ทิพากรวงศมหาโกษาธบิ ดี มีขอ้ ความวา่
ครั้น ณ วนั อาทติ ย์ เดอื น ๘ ข้ึน ๑ คำ่� เวลาเชา้ ๓ โมง สมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวท้ังสองพระองค์เสด็จพระราชด�ำเนิน ณ พระอุโบสถ
วดั พระศรรี ตั นศาสดาราม พรอ้ มดว้ ยพระสงฆร์ าชาคณะและพระราชวงศา-
นวุ งศ์ ทา้ วพระยามุขมนตรที ัง้ หลายสโมสรสนั นิบาตโดยอันดบั
หนงั สอื ลทั ธขิ องเพอ่ื น ภาค ๔ ตอน ๑ กม็ ขี อ้ ความทม่ี คี ำ� วา่ สนั นบิ าต ดงั นี้
เมอื่ พระอานนทเ์ ถรเจา้ ไดส้ ดบั พระพทุ ธพจนด์ ง่ั นนั้ แลว้ พระผเู้ ปน็
เจา้ จง่ึ จดั หาเครอื่ งสกั การบชู าและเครอื่ งอปุ โภคบรโิ ภคพรอ้ มแลว้ , พระผู้
เป็นเจ้าก็ตั้งพิธีสันนิบาตพุทธจักร ณ ท่ีควร, จึ่งกระท�ำสักการบูชา
พระพทุ ธเจา้ พระธรรมเจา้ พระสงั ฆเจา้ มอี งคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้
เป็นประธานในการน้ี
เหน็ ไดช้ ัดว่า คำ� วา่ สันนิบาตในตัวอย่างทั้งสองหมายถงึ การประชุม สว่ น
ค�ำว่า สันนิบาต ท่ีใช้เรียกไข้ชนิดหน่ึงก็มีความหมายเก่ียวเนื่องกับการประชุม
ดงั อกั ขราภิธานศรับท์ ซ่งึ เปน็ พจนานุกรมสมยั ต้นรัตนโกสนิ ทรบ์ อกความหมาย
ของไขส้ นั นบิ าตไวว้ า่ “ไขส้ นั นบิ าตเพราะอาการไขน้ น้ั พศิ มนั เขา้ ประชมุ พรอ้ มกนั ”
ไข้ที่พิษเข้าประชุมพร้อมกันมีมากมายหลายประเภท นอกจากไข้สันนิบาต
ลูกนก ไข้สันนิบาตหน้าเพลิง ยังมีไข้สันนิบาตเกิดแต่จักษุท�ำให้มีอาการทางตา
เช่น ตาแดง ตามัว ตาเป็นต้อ หรือเจ็บตา ไข้สันนิบาตเพื่อก�ำเดา มีไข้สูงมาก
143
บางกรณีก็เรียกช่ือโดยไม่มีค�ำว่าไข้ข้างหน้า เช่น สันนิบาตบังเกิดเพื่อโลหิต
สันนิบาตบังเกิดเพ่ือราคะ สันนิบาตอันเกิดเพื่อดีร่ัว สันนิบาตเกิดเพ่ือดีซึม
สนั นิบาตเกิดเพอื่ ดีพลุง่ สนั นบิ าตเกิดเพื่อดีล้น สนั นิบาตบังเกิดเพอ่ื เสมหะ
สรุปว่า คำ� ว่าสันนิบาต ๒ ค�ำ คือ ค�ำที่หมายถงึ การประชมุ งานชุมนมุ
และค�ำที่ใช้เรียกไข้ชนิดหน่ึง น่าจะยืมมาจากค�ำบาลีสันสกฤตค�ำเดียวกันว่า
สนนฺ ิปาต
(รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา)
สาลี
ค�ำว่า สาลี มาจากค�ำภาษาบาลวี ่า สาลิ ซ่งึ หมายถงึ ข้าวอยา่ งดชี นิดหนง่ึ
เรียกว่าขา้ วสาลี ไทยน�ำคำ� วา่ สาลีมาประสมกบั คำ� วา่ ขา้ ว เปน็ ขา้ วสาลี ใช้เรียก
พรรณพชื ชนดิ หนึ่ง ซึง่ เมลด็ บดเป็นแป้ง เรียกว่า แป้งสาลี ใช้ทำ� ขนมปังเป็นตน้
พรรณพืชชนิดนี้มีมาเก่าแก่ มีผู้อ้างหลักฐานว่าข้าวสาลีปลูกกันในยุโรปและ
อียิปต์มาต้ังแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ และในประเทศจีนก็มีการกล่าวถึง
ขา้ วสาลี ๕๐๐๐ ปีมาแลว้
ข้าวสาลีดังกล่าวน้ีภาษาอังกฤษเรียกว่า วีต ภาษาบาลีและสันสกฤต
เรยี กว่า โคธุม
ไทยใช้ค�ำว่าสาลีมานานแล้ว ในไตรภูมิพระร่วง ซ่ึงเป็นวรรณคดีสมัย
สโุ ขทยั กลา่ วถึงบญุ ญาธกิ ารของพระเจา้ อโศกมหาราชว่า
...นกเปลา้ แลนกแขกเต้า นกคล้า นกจริง คาบเอารวงข้าวอันชอ่ื สญั ชาติ
สาลี อนั มใี นทรี่ มิ ฉทั ทนั ตสระนน้ั มาถวายทกุ วนั เสมอวนั ละ ๙,๐๐๐ เกวยี น
แลขา้ วนน้ั โสดบมพิ กั ตำ� มพิ กั ฝดั บมพิ กั รอ่ นเลยแล (แล) ฝงู หมปู า่ ทง้ั หลาย
หากมาเกลด็ ให้เป็นขา้ วสาร...
และกลา่ วถึงสาลีที่เกดิ ขึ้นเม่อื มนษุ ยแ์ รกมาอยใู่ นโลกวา่
144
...จงึ พนู เกดิ เปน็ ขา้ วอนั ชอ่ื อชาตสิ าลี อนั หาแกลบแลรำ� บม่ ไิ ด้ แลมพิ กั ตำ�
หากขาวเอง แลว้ กลายเปน็ ตน้ เปน็ หนอ่ เป็นตอ เกิดเป็นข้าวสารอยูเ่ อง...
ในลิลิตโองการแช่งน้�ำ ซ่ึงเป็นวรรณคดีสมัยอยุธยาก็กล่าวถึงสาลีเมื่อ
มนษุ ยแ์ รกมาอยใู่ นโลกเชน่ กัน ดังมขี อ้ ความวา่
แลมีคำ่� มีวัน กนิ สาลเี ปลือกปล้อน บมผี ้ตู อ้ นแต่งบรรณา
เลอื กผยู้ งิ่ ยศเปนราชาอะครา้ ว เรยี กนามสมมตริ าชเจา้ จง่ึ ตงั้ ทา้ ว
เจา้ แผ่นดนิ ฯ
ถงึ สมยั รตั นโกสนิ ทรส์ นุ ทรภเู่ ขยี นกาพยเ์ รอ่ื งพระไชยสรุ ยิ า กใ็ ชค้ ำ� วา่ สาลี
ในกาพย์ยานีบทหน่ึงว่า
ไพร่ฟ้าประชาช ี เชาบรุ กี ป็ รดี า
ทำ� ไร่เขาไถนา ได้เขา้ ปลาแลสาลี
ค�ำว่า สาลี ในข้อความท้ังหมดท่ีกล่าวมานี้ น่าจะมีความหมายท�ำนอง
เดียวกับค�ำว่า สาลิ ในภาษาบาลี คือหมายถึงข้าวชนิดหนึ่ง มิได้หมายถึง
พรรณไม้ลม้ ลุกทเ่ี มลด็ น�ำมาบดเป็นแป้งทีเ่ รียกว่า แปง้ สาลี
ยิง่ กวา่ นนั้ ผู้ท�ำอกั ขราภิธานศรับท์ ระบวุ า่ สาลี หมายถงึ ข้าวเจ้า ดังนี้
“สาล,ี แปลว่าเข้าสาล,ี คอื เข้าเจา้ , บันดาเขา้ เจ้าทกุ อย่างนน้ั , เขาเรียกเขา้ สาล”ี
มีค�ำถามว่าไทยน�ำค�ำว่า สาลี มาเรียกพรรณไม้ท่ีเมล็ดน�ำมาบดเป็นแป้ง
ตง้ั แตเ่ มอื่ ไร นายสงั ข ์ พธั โนทยั อา้ งหนงั สอื ประวตั ศิ าสตรธ์ รรมชาตแิ ละการเมอื ง
แหง่ ราชอาณาจกั รสยาม ซง่ึ นโิ กลาส์ แชรแ์ วส (Nicolas Gervaise) ชาวฝรงั่ เศส
แต่งสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชว่า เมืองไทยเร่ิมปลูกข้าวสาลีระหว่าง
ค.ศ. ๑๖๗๒-๑๖๗๕ (พ.ศ. ๒๒๑๕-๒๒๑๘) แชร์แวสได้เหน็ ขา้ วสาลขี ้นึ งอกงาม
ที่ภาคเหนอื
ในเมอ่ื เมอื งไทยเรมิ่ ปลกู ขา้ วสาลสี มยั สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช คนไทย
สมยั นัน้ กค็ งจะรู้จักขา้ วสาลกี ันแล้ว เมื่อออกพระวสิ ุทสุนทร (ปาน) เป็นราชทูต
145
ไปประเทศฝร่งั เศส ได้เขียนบนั ทึกไวเ้ มอ่ื วันที่ ๒๘ มถิ ุนายน พ.ศ. ๒๒๒๙ ว่าได้
ไปเยีย่ มชมสถานที่ท�ำขนมปงั มขี อ้ ความตอนหนง่ึ วา่
...แลตึกสุดน้ันชนั้ ล่างทำ� ขนมปัง หัวตกึ กลางตกึ ท้ายตึก กลางตึกน้ันนาย
กองผรู้ กั ษาอยู่ แลชนั้ กลางนนั้ ไวข้ นมปงั อนั ปง้ิ แลว้ นนั้ แลชน้ั บนนน้ั ไวแ้ ปง้
แลระแนงแปง้ ขา้ วโพดสาลี แลจงึ ทำ� ทอ่ ลงมาเถงิ ชนั้ ลา่ ง ครน้ั จะเอาแปง้
จงึ กวาดลง ณ ทอ่ น้นั ...
แป้งข้าวโพดสาลีในบันทึกดังกลา่ ว นา่ จะหมายถึง แป้งสาลีนั่นเอง อาจ
กล่าวได้ว่าคนไทยใช้ค�ำว่าสาลีเรียกพรรณไม้ที่เมล็ดใช้ท�ำแป้งสาลีมาอย่างน้อย
ตั้งแตส่ มยั สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช โดยใช้ค�ำวา่ สาลี ซอ้ นกับคำ� วา่ ขา้ วโพด
เปน็ ข้าวโพดสาลี คำ� วา่ ข้าวโพดสาลี ยังปรากฏอีกในนทิ านอหิ ร่านราชธรรม
ดงั ขอ้ ความวา่
ครน้ั ไปถงึ มะดาวนิ แลว้ ชาวเมอื งมะดาวนิ จงึ เอาเขา้ โภชนสาลรี วงนน้ั ยาว
สองศอก ผลน้ันเท่าผลทับทิมมาถวาย ว่าชาวนาไถนาอยู่ได้ตุ่มใต้ดิน
พระเจ้ามามูนจึงสืบถามผู้เถ้าผู้แก่ว่า เข้าโภชนสาลีเปนแต่เมื่อครั้ง
พระมหากระษตั รยิ อ์ งคใ์ ดจงึ เติบใหญ่ถงึ เพยี งน้ี
ความหมายของข้าวโพดสาลีมีอีกอย่างหนึ่งคือ ข้าวโพด มีบทกล่อมเด็ก
บทหน่งึ ว่าดงั นี้
วดั เอย๋ วดั โตนด มีตน้ ขา้ วโพดสาลี
เจ้าลูกเขยตกยาก แมย่ ายก็พรากลูกสาวหนี
ตน้ ข้าวโพดสาล ี ต้ังแตน่ ีจ้ ะโรยรา เอย
ตน้ ขา้ วโพดสาลใี นบทกลอ่ มเดก็ บทนไ้ี มน่ า่ จะหมายถงึ ตน้ ขา้ วสาลี แตน่ า่ จะ
หมายถงึ ตน้ ขา้ วโพด ใน ศรพิ จนภ์ าษาไทย์ ซงึ่ เปน็ พจนานกุ รมสมยั ตน้ รตั นโกสนิ ทร์
ก็ให้ความหมายของคำ� ว่า เขา้ สาลี และเขา้ โพดสาลไี ว้ ๒ อยา่ งคือ wheat และ
corn ค�ำว่า wheat แปลวา่ ข้าวสาลี ส่วน corn แปลว่า ธัญพืช หรือข้าวโพด
146
สาเหตุท่ีข้าวโพดสาลมี คี วามหมายได้ ๒ อยา่ ง อาจเปน็ เพราะคนไทยถน่ิ
เหนอื บางทอ้ งท่เี รียกขา้ วโพดว่า เขา้ สาลี เม่ือมกี ารปลกู ขา้ วสาลีทางภาคเหนือ
ของไทย จงึ มผี นู้ ำ� คำ� วา่ ขา้ วโพด กบั สาลี มาซอ้ นกนั เปน็ ขา้ วโพดสาลี ใชห้ มายถงึ
ขา้ วโพดหรอื สาลี กไ็ ด้ ตอ่ มาภายหลงั ตดั คำ� วา่ ขา้ วโพด ออก เหลอื เพยี งคำ� วา่ สาลี
ดังในพระราชนิพนธ์เรื่องไกลบ้าน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงเล่าถึงพ้ืนท่ีที่ต�ำบลสกาล์เคน ประเทศเดนมาร์ก ว่า “เข้าสาลี เข้าโอต
ปลูกไม่ขึ้นเสียแล้ว ปลูกได้แต่บาเลแลผักอ่ืน ๆ” ค�ำว่าสาลีในข้อความที่ยกมา
มคี วามหมายตรงกับคำ� วา่ wheat และมคี วามหมายเชน่ นต้ี ราบจนปัจจุบัน
(รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา)
หนงั สืออา้ งองิ
จลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ,พระบาทสมเดจ็ พระ.ไกลบา้ น.กรงุ เทพฯ:อกั ษรเจรญิ ทศั น,์
๒๕๔๕. ๓ เล่ม.
ไตรภมู พิ ระรว่ งของพญาลไิ ทย. พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๒. พระนคร : องคก์ ารคา้ ของครุ สุ ภา,
๒๕๐๖.
ประชุมนิราศสุนทรภู่ ฉบับนายฉันท์ ข�ำวิไล. พิมพ์ในงานฌาปนกิจศพ
คณุ แมช่ นุ้ โภคา ณ วดั แกว้ พิจติ ร จงั หวดั ปราจีนบรุ ี วนั ที่ ๑๓ มนี าคม
๒๕๐๐.
ประชมุ ปกรณมั ภาคท่ี ๑-๕. พิมพค์ ร้ังท่ี ๒. กรุงเทพฯ : แสงดาว, ๒๕๕๓.
ปรดี ี พศิ ภมู วิ ถิ .ี ประชมุ จดหมายเหตอุ อกพระวสิ ทุ สนุ ทร (โกษาปาน). กรงุ เทพฯ :
สถาบันพิพธิ ภัณฑก์ ารเรียนรแู้ หง่ ชาติ, ๒๕๕๕.
พจนานกุ รมศพั ทว์ รรณคดไี ทย สมัยอยธุ ยา ลิลติ โองการแช่งนำ้� . กรุงเทพฯ :
ราชบณั ฑิตยสถาน, ๒๕๔๐.
ศริพจนภ์ าษาไทย พจนานกุ รมไทย-ฝรง่ั เศส-องั กฤษ ฉบบั Bishop J.L. Vey
ค.ศ. ๑๘๙๖. กรุงเทพฯ : คณะอนกุ รรมการช�ำระกฎหมายตราสามดวง
สำ� นกั เลขาธิการนายกรัฐมนตรี, ๒๕๔๕.
147
สงั ข์ พัธโนทัย. ปทานกุ รมพรรณไมใ้ นต�ำนานเมอื ง. ม.ป.ท., ม.ป.ป.
อกั ขราภธิ านศรบั ท์ ของหมอปรดั เล. พระนคร : องคก์ ารคา้ ของครุ สุ ภา, ๒๕๑๔.
เสนา
คำ� วา่ เสนา มาจากคำ� ภาษาบาลแี ละภาษาสนั สกฤต เสนา แปลวา่ กองทพั
ไทยใชค้ ำ� วา่ เสนา หมายถงึ ทหาร และใชม้ านานแลว้ ดงั จารกึ วดั ศรชี มุ ดา้ นที่ ๒
บรรทัดท่ี ๘๖ มีข้อความว่า “ถัดฝูงอมาตยราชเสนาอุบาสกอุบาสิกาบ่มิอาจ
คณนาเลย”
คำ� ว่าเสนามใี ช้เรื่อยมา ปรากฏในเอกสารต่าง ๆ และวรรณกรรม เช่น
แล้วทรงพระราชศรัทธาจ้างให้หมู่เสนาทหารพลเรือนสร้างพระวิหาร
เสนาสนะกุฏ ิ มากกว่า ๒๐๐ กุฏิ สิ้นพระราชทรัพย์เป็นอันมาก
(จดหมายเหตุรายวันทัพสมัยกรุงธนบุรีคราวปราบเมืองพุทไธมาศและ
เขมร ในประชมุ พงศาวดาร ภาค ๖๖)
ข้าเฝา้ เหล่าเสนา มกี ริ ิยาอะฌาไศรย์
พค่ า้ มาแตไ่ กล ไดอ้ าไศรยในภารา
(กาพยเ์ ร่อื งพระไชยสรุ ิยา)
มีค�ำว่าเสนาอีกความหมายหน่ึงอาจใช้ล�ำพังหรือใช้ประกอบกับค�ำว่า
ขา้ หลวง เปน็ ขา้ หลวงเสนา หรอื เสนาขา้ หลวง และประกอบกบั คำ� วา่ คา่ เปน็
ค่าเสนา เชน่
...จงึ่ ทรงพระราชดำ� รหิ เ์ หนวา่ แตเ่ ดมิ มขี า้ หลวงเสนา เจา้ พนกั งานกรมนาตง้ั
กเ็ อาคนในพวกเดยี วตงั้ ไป ไมเ่ ปนท่กี ำ� กับกันและกันได้ ทรงเหนว่ามีสอง
พวกเหมอื นพวกเดยี ว ครงั้ นจ้ี งึ โปรดเกลา้ ฯ ใหก้ รมนาแตง่ แตเ่ สนาผเู้ ดยี ว
ไปพร้อมดว้ ยกรมการก�ำนนั ออกไปเดนิ ประเมินนาใหเ้ หนพรอ้ มยอมกนั
ทั้งสามคน จึงจะเปนอันใช้ได้ อย่าให้กรมการก�ำนัน ถือใจเหมือนอย่าง
148
แต่ก่อนว่าสุดแล้วแต่เสนาข้าหลวงจะประเมินนาเท่าใด จะประทับตรา
ใหเ้ ทา่ นนั้ อยา่ ใหท้ ำ� ดงั นเ้ี ปนอนั ขาด... (พระราชบญั ญตั สิ ำ� รบั ผรู้ กั ษาเมอื ง
กรมการแลเสนาก�ำนนั อ�ำเภอ ซงึ่ จะออกเดนิ ประเมินนา)
...ด้วยการประชุมเทศาภิบาลส�ำหรับราชการในหน้าท่ีกระทรวง
เกษตราธกิ ารศกนี้ มีขอ้ ทไ่ี ด้ปรึกษากนั ๖ ขอ้ คือ
๑. วธิ จี ัดการท่จี ะบำ� รุงการเพาะปลกู ...
๒. การหอทะเบียน...
๓. การนา คอื คดิ จะบำ� รงุ การทำ� นาแลการเพาะปลกู แตข่ อ้ สำ� คญั ทจี่ ะ
ตอ้ งจดั คอื ๑. จดั เรอ่ื งความสงบราบคาบใหด้ ยี ง่ิ ขนึ้ ๒. ตง้ั แบง็ กร์ บั ฝากเงนิ
ของราษฎรตามมณฑล ๓. จดั เรื่องลูกจ้าง ๔. บ�ำรุงการเครอ่ื งจักรท�ำนา
๕. งดเวน้ แลลดหย่อนค่าเสนาในเวลาทีค่ วร ๖. ใหม้ นี �้ำบรโิ ภค ตลอดปี
๗. จดั เรือ่ งสตั ว์พาหนะโคกระบอื ฯ มณฑลมคี วามเหน็ จะจัดไดอ้ ย่างใด
(หนังสือพระยาวงษานุประพัทธ์ รองเสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการ
ลงวันที่ ๑๑ ตุลาคม ร.ศ. ๑๒๘)
ค�ำว่า เสนา ในข้อความข้างต้นมิได้หมายถึงทหาร เสนา ข้าหลวงเสนา
และเสนาขา้ หลวง ในข้อความท่ี ๓ หมายถงึ พนกั งานผู้เกบ็ อากรค่านา สว่ นคา่
เสนาในข้อความที่ ๔ หมายถึง อากรค่านา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอย่หู วั มพี ระราชวิจารณเ์ กย่ี วกบั ค�ำวา่ เสนาทใี่ ชก้ ันสบั สน ดังน้ี
...ค�ำว่า เสนา เอามาใช้ในพนักงานนานี้ผิดจริง ๆ มันไหลมาจากแสนา
เสนาเป็น ทหาร เสนาบดีเปน็ นายทหารตามแบบปกครองโบราณเขาตง้ั
แมท่ พั ๔ เป็นจตุสดมภ์ จึงเรียกวา่ เสนาบดี เจ้าแผน่ ดนิ จงึ เรียกวา่ เสนิโย
เปน็ ใหญก่ วา่ เสนาบดที งั้ สี่ คำ� นน้ั ไมค่ วรจะเอามาใชใ้ นเรอ่ื งออกโฉนดรงั วดั
สบื ไป...
(พระราชหตั ถเลขาถงึ พระยาวงษานปุ ระพทั ธ์ วนั ท่ี ๑ ธนั วาคม ร.ศ. ๑๒๘)
149
ค�ำว่า แสนา ซ่ึงเพ้ยี นเสยี งไปกลายเป็นเสนาน้นั สนั นษิ ฐานได้วา่ ทง้ั แส
และ นา มคี วามหมายเหมอื นกนั แตต่ า่ งภาษา นา เปน็ คำ� ไทย สว่ น แส เปน็ คำ� ยมื
จาก แสรฺ (อา่ นวา่ สะ-แร) ในภาษาเขมร ซง่ึ แปลวา่ นา อยา่ งไรกต็ าม มผี สู้ นั นษิ ฐาน
อกี ทางหน่ึงว่า แสนา กร่อนมาจาก กระแสนา หมายถงึ เสน้ (เชอื ก มีความยาว
๑ เสน้ ) ใช้วัดท่ีนา
(รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา)
หนงั สอื อ้างองิ
บวั หลวง วงศภ์ กั ด.ี “การศกึ ษาเปรยี บเทยี บคำ� ลกั ษณนามในสมยั สโุ ขทยั สมยั
อยุธยากับสมัยปัจจุบัน.” วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต แผนกวิชา
ภาษาไทย คณะบัณฑติ วิทยาลยั จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , ๒๕๒๘.
ประชมุ จารึกภาคท่ี ๘ จารึกสุโขทยั . กรุงเทพฯ : กรมศลิ ปากร, ๒๕๔๘.
ประชุมนิราศสุนทรภู่ ฉบับนายฉันท์ ข�ำวิไล. พิมพ์ในงานฌาปนกิจศพ
คณุ แมช่ นุ้ โภคา ณ วดั แกว้ พจิ ติ ร ปราจนี บรุ ี วนั ที่ ๒๓ มนี าคม พ.ศ. ๒๕๐๐.
พระราชหัตถเลขาทรงสั่งราชการในรัชกาลที่ ๕ และ ๖ กับเร่ืองประกอบ.
พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพจอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์ ณ วัดเทพ
ศิรนิ ทราวาส วันที่ ๑๗ มนี าคม พ.ศ. ๒๕๐๗.
ราชกิจจานุเบกษา. พิมพ์คร้ังที่ ๒. กรุงเทพฯ : ส�ำนักพิมพ์ต้นฉบับ, ๒๕๔๐.
๒ เล่ม.
151
สาระไทยศกึ ษา
152
153
การตัง้ พระพุทธรูปบชู า
การตง้ั พระพทุ ธรปู บชู าของพทุ ธศาสนกิ ชนในสมยั โบราณ สว่ นใหญน่ ยิ มใช้
พระพทุ ธรปู ประจำ� วนั เกดิ ของตนเปน็ พระพทุ ธรปู บชู าประจำ� ตวั หรอื ประจำ� บา้ น
โดยจะต้ังพระพุทธรูปให้ผันพระพักตร์ไปทางทิศใด ๆ ก็ได้ยกเว้นทิศตะวันตก
ซงึ่ เปน็ การปฏบิ ัติตาม ๆ กนั มาจากค�ำบอกของผู้ใหญโ่ ดยไมเ่ ขา้ ใจเหตุผล และ
ไมท่ ราบความหมายวา่ เหตใุ ดจงึ ตอ้ งทำ� เชน่ นนั้ ทเ่ี ปน็ เชน่ นเ้ี นอื่ งจากเรอ่ื งดงั กลา่ ว
เป็นวิถีชีวิตท่ีคนในสมัยโบราณทุกครัวเรือนย่อมจะรู้กันเป็นอย่างดี จึงไม่มีการ
บนั ทกึ จดจารไวเ้ ปน็ หลกั ฐาน ถงึ ยคุ ปจั จบุ นั คนรนุ่ เกา่ คอ่ ย ๆ หมดไป ความรเู้ รอ่ื ง
ทีอ่ ยูใ่ นวถิ ชี ีวิตจึงสญู หายหมดไปด้วย
ส่ิงหนึ่งที่บันทึกไว้แพร่หลายและรู้กันทั่วไปคือพระพุทธรูปประจ�ำวัน ซ่ึง
หมายถงึ คนทีเ่ กดิ ในวันตา่ ง ๆ ควรบชู าพระพทุ ธรปู ประจ�ำวนั ดังตอ่ ไปนี้
ผทู้ ี่เกิดวนั อาทิตย์ ให้บูชาพระพุทธรูปปางถวายเนตร
ผ้ทู ี่เกดิ วันจันทร์ ให้บูชาพระพุทธรปู ปางห้ามญาติ หรอื ปางหา้ มสมุทร
ผูท้ ีเ่ กดิ วนั อังคาร ใหบ้ ูชาพระพทุ ธรปู ปางไสยาสน์
ผู้ทีเ่ กดิ วนั พุธ ใหบ้ ูชาพระพุทธรูปปางอุ้มบาตร
ผทู้ ี่เกิดวนั พฤหัสบดี ใหบ้ ูชาพระพุทธรูปปางสมาธิ
ผทู้ ่ีเกดิ วนั ศุกร์ ใหบ้ ูชาพระพทุ ธรปู ปางร�ำพงึ
ผู้ท่ีเกดิ วนั เสาร์ ให้บูชาพระพทุ ธรปู ปางนาคปรก
ส่วนเรื่องท่ีเก่ียวกับการต้ังพระพุทธรูปผันพระพักตร์ไปทางทิศต่าง ๆ
แตล่ ะทศิ เปน็ ความเชอื่ อยา่ งหนงึ่ ของคนโบราณทคี่ ดิ วา่ อาจจะมคี วามหมายดรี า้ ย
แตกตา่ งกนั หากผนั พระพกั ตรพ์ ระพทุ ธรปู ไปตามทศิ ตา่ ง ๆ พบหลกั ฐานปรากฏ
ใน หนังสือท่ีระลึก งานฉลองกุฏิคณะกลาง วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
พุทธศักราช ๒๕๐๕ กล่าวถึงความหมายการต้ังพระพุทธรูปบูชาในแต่ละทิศ
มคี วามดังน้ี
154
ถา้ ต้ังพระพทุ ธรูปบชู าผันพระพักตรไ์ ปทางทศิ ตะวนั ออก ท่านวา่ เป็นทศิ
ราชา ท�ำกจิ การใด ๆ จะประสบความส�ำเร็จได้เปน็ ใหญ่ในบา้ นเมือง
ถ้าตงั้ พระพุทธรปู บชู าผันพระพกั ตรไ์ ปทางทิศตะวนั ออกเฉียงใต้ ทา่ นว่า
เป็นทิศปฐม ท�ำกจิ การใด ๆ ไมร่ ่งุ โรจน์ ไม่ประสบความสำ� เร็จพอท�ำพอกนิ พอใช้
อยา่ งฝดื เคือง ลาภผลตกต�ำ่
ถ้าตง้ั พระพทุ ธรปู บชู าผนั พระพักตร์ไปทางทิศใต้ ท่านวา่ เปน็ ทศิ จัณฑาล
ทำ� การงานหนกั กวา่ จะไดก้ แ็ สนยาก ลาภสกั การะ จะไดก้ ต็ อ้ งลงแรงเหนอ่ื ยกาย
อานสิ งสท์ ่ีได้ไมค่ ้มุ คา่ ของความเหนด็ เหน่อื ย
ถา้ ตง้ั พระพทุ ธรปู บชู าผนั พระพกั ตรไ์ ปทางทศิ ตะวนั ตกเฉยี งใต้ ทา่ นวา่ เปน็
ทศิ วปิ ฏสิ าร จะพบแตค่ วามเดอื ดรอ้ น มกั มแี ตค่ วามยงุ่ ยากเกดิ ขน้ึ ขาดความสงบ
รม่ เยน็ มแี ต่เรอ่ื งทกุ ข์ร้อนรำ� คาญใจ
ถ้าต้ังพระพุทธรูปบูชาผันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันตก ท่านว่าเป็นทิศ
กาลกณิ ี จะทำ� อะไรมกั ไขวเ้ ขวไปทางอปั มงคล มแี ตค่ วามเลวรา้ ยอนั ตรายมาสเู่ สมอ
ถา้ ตงั้ พระพทุ ธรปู บชู าผนั พระพกั ตรไ์ ปทางทศิ ตะวนั ตกเฉยี งเหนอื ทา่ นวา่
เป็นทศิ อทุ จั จะ จะทำ� อะไรมกั รวนเร หาความแนน่ อนไมค่ ่อยได้ มกั พบแตค่ ำ� พูด
คนนั้นพูดอย่างนั้น คนน้ีพูดอย่างนี้ หรือคนน้ันพูดอย่างน้ี คนน้ีพูดอย่างน้ัน
มักพูดกันมากเป็นนำ�้ ทว่ มทงุ่ ผักบุ้งโหรงเหรงลงเอยกันไมไ่ ด้
ถ้าต้ังพระพุทธรูปบูชาผันพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ ท่านว่าเป็นทิศ
มชั ฌิมาปฏิปทา ไมด่ ไี ม่ชัว่ ไม่ตำ่� ไม่สูง ไม่เลวไมร่ ้าย
ถ้าตั้งพระพุทธรูปบูชาผันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
ทา่ นวา่ จะไดเ้ ป็นเศรษฐี จะทำ� กิจการใดกเ็ จรญิ รุ่งเรอื งยง่ิ นัก
อย่างไรก็ตาม การต้ังพระพุทธรูปไปตามทิศต่าง ๆ น้ัน เป็นความเชื่อที่
เกิดข้ึนในสมัยหลัง ในทางพระพุทธศาสนาพระพุทธรูปเป็นสิ่งศักด์ิสิทธ์ิและ
ยังให้เกิดสริ ิมงคลแก่ผู้เคารพบูชาไม่ว่าจะอยูใ่ นสถานท่ใี ดหรอื ทศิ ใด
(นางสาวกอ่ งแก้ว วีระประจักษ์)
155
การปฏบิ ัตติ ามความเช่อื ในพระพุทธศาสนา
การปฏิบัติตามความเชื่อในพระพุทธศาสนา เบื้องต้นต้องมีความเชื่อใน
หลักธรรมของพระพุทธเจ้า ประพฤติปฏิบัติเพื่อพระพุทธศาสนาเพียงประการ
เดยี ว กับยังมกี ารต้ังความปรารถนาเพ่ือให้บงั เกดิ ผลจากการกระท�ำในกิจกรรม
ทเ่ี ก่ียวกับพระพุทธศาสนาแล้วนน้ั อีกสว่ นหนึง่ ด้วย
ความจรงิ ประการหนงึ่ โดยธรรมชาตมิ นษุ ยท์ กุ คนในโลกยอ่ มไมช่ อบและ
กลัวความทุกขย์ ากเดอื ดรอ้ นลำ� เค็ญ ความโศกเศรา้ เสยี ใจ และสง่ิ เลวร้ายตา่ ง ๆ
อีกทั้งยังเช่ือกันว่า นรกคือสถานท่ีรวมหรือศูนย์รวมความเลวร้ายท่ีสุด ย่ิงกว่า
สิ่งเลวร้ายท่ีมีอยู่ในโลกทั้งส้ิน ตรงกันข้ามกับสวรรค์ เป็นสถานท่ีหรือศูนย์รวม
ความสขุ สบาย สวยสดงดงาม อดุ มสมบรู ณ์ มแี ตส่ งิ่ ชวนใหห้ ฤหรรษส์ มปรารถนา
ทกุ ดา้ นทกุ ประการ
แนวทางของพระพุทธศาสนา เน้นให้คนรู้จักเส้นทางเพื่อให้หลุดพ้นจาก
ความทกุ ข์ ให้บรรลถุ ึงความสขุ มีสวรรคใ์ นเบือ้ งต้น และมพี ระนพิ พานเป็นที่สดุ
ข้อธรรมในพระพุทธศาสนาเป็นความจริงท่ีคนไทยยึดถืออย่างเช่ือมั่น
มาตลอดเวลาอันยาวนานย่ิง ขณะเดียวกันก็ได้ถ่ายทอดแนวความคิดและวัตร
ปฏิบตั ิส่คู นรุ่นหลงั ความเช่อื ถือและศรทั ธาต่อพระพทุ ธศาสนาฝงั ลกึ ลงในจติ ใจ
ของคนไทยอยา่ งแนบแนน่ กลา่ วตามหลกั ฐานทางโบราณคดแี ละประวตั ศิ าสตร์
จะเห็นได้ว่ามีมาก่อนการก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัยของคนไทย หากนับเวลาก็
ยนื ยาวมากกวา่ พนั ปี ตวั อยา่ งเชน่ ขอ้ ความทป่ี รากฏในจารกึ วดั โพธริ์ า้ ง สรา้ งเมอื่
พุทธศตวรรษท่ี ๑๒ ความในจารึกกล่าวถึงการสร้างพระพุทธรูปและวิหาร
การกำ� หนดเขตพระอาราม เป็นต้น
ในสมัยสุโขทัยและสมัยหลังต่อ ๆ มา ปรากฏความในจารึกหลายหลัก
กล่าวถึงการประพฤติปฏิบัติเพ่ือพระพุทธศาสนา และการตั้งความปรารถนา
ขอให้ได้อานสิ งสจ์ ากการที่ได้ประพฤตปิ ฏบิ ตั ไิ ปแลว้ ตัวอยา่ งเชน่
156
๑. การประพฤติปฏิบัติเพื่อพระพุทธศาสนา ปรากฏในจารึกพ่อขุน
รามค�ำแหง พุทธศักราช ๑๘๓๕ ความในจารึกกล่าวถึงหลายประการ เช่น
ในดา้ นที่ ๒ บรรทดั ๒๘-๒๙ กลา่ วว่า “...พ่อขนุ รามค�ำแหงกระท�ำโอยทานแก่
มหาเถร สังฆราช ปราชญ์เรียนจบปฎิ กไตร...” ดา้ นท่ี ๔ บรรทัด ๔-๗ กล่าววา่
“...๑๒๐๗ ศก ปีกุน ให้ขุดเอาพระธาตุออกทั้งหลายเห็น กระท�ำบูชาบ�ำเรอ
แก่พระธาตุ ได้เดือนหกวันจึงเอาลงฝังในกลางเมืองศรีสัชชนาลัย ก่อพระเจดีย์
เหนอื หกเข้า...”
๒. การต้ังความปรารถนา ขอใหไ้ ด้อานิสงส์ ตวั อยา่ งเชน่
- ขอใหเ้ กดิ ทนั ยคุ พระศรอี ารยิ ไมตรี ซงึ่ จะไดม้ าตรสั รเู้ ปน็ พระพทุ ธเจา้
ในอนาคตกาล ปรากฏความในจารกึ นครชมุ พทุ ธศกั ราช ๑๙๐๐ ดา้ นที่ ๑ บรรทดั ที่
๕๕-๖๓ กล่าวว่า “...แต่นี้เม่ือหน้าฝูงสาธุสัตตบุรุษท้ังหลายจุ่งเร่งกระท�ำ
บุญธรรมในศาสนาพระพุทธ เมื่อยังมีเท่าวันชั่วเราบัดนี้ มีบุญนักหนา จึงจะได้
มาเกิดทันศาสนาพระเปนเจ้าไซร้...ผิผู้ใดปรารถนาด้วยใจศรัทธา ดังอัน...รอด
พระศรีอารยไมตรีลงมาเปนพระพุทธ เยยี มาเกิดในเมอื งดนิ นี้...”
- ขอใหต้ นเองไดเ้ ปน็ พระพทุ ธเจา้ ในอนาคตกาล ปรากฏความในจารกึ
นายศรีโยธาออกบวช พุทธศักราช ๒๐๗๑ ด้านที่ ๒ บรรทัดท่ี ๑๔-๒๑ กลา่ วว่า
“...จึงจะกาวประณิธานปรารถนาว่า ด้วยผลอานิสงส์อันกูโกนเกล้าเข้าบวช
ในศาสนาพระเจ้าก็ดี อันหนึ่งกูได้สร้างอารามพระเจ้าก็ดี อันหน่ึงกูได้สร้างรูป
พระพุทธเจ้าดว้ ยค�ำ ด้วยเงิน ด้วยทองสัมฤทธิ์ ด้วยดีบุก ด้วยหนิ ศลิ าทัง้ หลายนี้
ก็ดี ขอกูจงได้เปนพระเจา้ องค์หน่ึงในอนาคตกาล...”
- ขอให้ตนเองไดช้ มสมบัตใิ นพระนิพพาน คือให้ได้บรรลพุ ระนิพพาน
ปรากฏความในจารึกวัดก�ำแพงงาม พุทธศักราช ๑๘๙๓ ด้านที่ ๑ บรรทัดที่
๒๗-๓๑ กลา่ ววา่ “...ปรารถนาเอาสมบตั เิ ปนจกั รวรรตริ าช สมมตเิ ปน็ อนิ ทรเ์ ปน็
พรหม...แลจกั ชมสมบตั ิในเนยี รพาน ก็จักไดด้ ดู งั ใจปรารถนาแลฯ...”
(นางสาวก่องแกว้ วีระประจกั ษ์)
157
การปลูกตน้ ไม้ตามความเช่ือโบราณ
คนไทยโบราณมหี ลากหลายความเช่ือ นอกจากจะมคี วามเลื่อมใสศรัทธา
นบั ถอื พระพทุ ธศาสนาเปน็ หลกั ของชวี ติ แลว้ ยงั มคี วามเชอ่ื เกยี่ วกบั โชคลางและ
นิมติ ต่าง ๆ อกี ดว้ ย ทั้งน้ีกเ็ พยี งหวังให้บงั เกดิ สิรมิ งคลแกต่ นเองและครอบครวั
รวมถงึ ให้เกิดความรม่ เย็น เป็นสขุ มีความเจรญิ รุง่ เรือง และสมปรารถนาในชวี ติ
ความเชื่อดังกล่าวมีหลากหลายประการ แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะความเช่ือ
เรอ่ื งการปลกู ตน้ ไม้ ตามทมี่ ปี รากฏอยใู่ นตำ� รานมิ ติ ซงึ่ มที ง้ั ตน้ ไมท้ คี่ วรปลกู และ
ไมค่ วรปลูกในบริเวณนั้น
ตน้ ไม้ทปี่ ลกู แล้วให้โทษ เชน่ มีหนามแหลม มียางทเี่ ปน็ พิษ หรือกิง่ เปราะ
ไมส่ มควรปลกู ไวใ้ นขอบเขตบริเวณบ้าน คือ ตน้ ง้วิ ละหุง่ มะกอก สลดั ได สำ� โรง
มะรมุ กลว้ ยตานี น�้ำเตา้ กระทุ่ม ลั่นทม ถว่ั แปบ เพกา มะพูด แค มะละกอ
โพ ตาล โศก และมะเฟือง
ส่วนต้นไม้ที่ปลูกในบริเวณบ้านแล้วจะส่งเสริมให้บังเกิดคุณแก่บ้านและ
คนในครอบครัว ซงึ่ ต้องปลูกไมเ้ หล่าน้นั ตามทศิ ตา่ ง ๆ ทกี่ ำ� หนดไว้ คือ
ทศิ ตะวนั ออกเฉยี งใต้ ควรปลกู ตน้ สารภี กมุ่ ไผ่
ทิศใต้ ควรปลูกตน้ มะม่วง มะปราง ตะกู
ทิศตะวนั ตกเฉียงใต้ ควรปลูกตน้ สะเดา พิกลุ ราชพฤกษ์ ขนุน
ทิศตะวนั ตก ควรปลกู ต้น มะขาม มะยม พทุ รา
ทศิ ตะวันตกเฉยี งเหนือ ควรปลกู ตน้ มะกรูด มะนาว สม้ ปอ่ ย มะง่ัว
ทศิ เหนือ ควรปลูกตน้ มะตมู
นอกจากน้ันยังมีความเช่ือว่าหากปลูกต้นไม้ตามวันเวลาท่ีก�ำหนดจะได้
ผลประโยชน์ตามความประสงคด์ งั น้ี คอื
วันอาทติ ย์ ถ้าจะปลูกไม้กนิ หัว เชน่ เผอื ก มัน ให้ปลกู เวลาเย็น
วันจันทร์ ถา้ จะปลูกไมใ้ ช้ลำ� และต้น เช่น อ้อย ให้ปลกู เวลาสาย
วนั องั คาร ถา้ จะปลกู ไมใ้ ชป้ ระโยชนจ์ ากใบ เชน่ โหระพา ใหป้ ลกู เวลาเชา้
158
วนั พุธ ถา้ จะปลูกไม้ทตี่ อ้ งการใช้ดอก ปลูกได้ทุกเวลา
วันพฤหสั บดี ถ้าจะปลกู ไม้ท่ีตอ้ งการได้ฝกั ไดร้ วง ปลกู ได้ทุกเวลา
วนั ศกุ ร์ ถา้ จะปลูกไม้ผล ใหป้ ลูกเวลาเชา้
วนั เสาร์ ถา้ จะปลกู ไมท้ ใ่ี หป้ ระโยชนใ์ หค้ ณุ ถา้ เปน็ ไมใ้ ชใ้ บปลกู เวลาสาย
ไมใ้ ช้ผลปลกู เวลาเชา้ ไมใ้ ชร้ ากปลกู เวลาเยน็
อยา่ งไรก็ดหี ากจะปลกู ไม้อืน่ ๆ กส็ ามารถปลูกไดท้ กุ วัน
(นางสาวก่องแกว้ วีระประจกั ษ์)
การมอบกญุ แจเมอื ง
การเจรญิ สมั พนั ธไมตรรี ะหวา่ งรฐั ตอ่ รฐั ทง้ั โดยการสง่ ตวั แทนของประเทศ
ในฐานะทตู หรอื การทผ่ี นู้ ำ� ประเทศ บคุ คลสำ� คญั และพระราชวงศเ์ ดนิ ทางเยอื น
ประเทศน้นั ๆ อย่างเป็นทางการ (State Visit) ประเทศเจา้ บา้ นจะจัดพธิ ีรบั รอง
ต้อนรับแขกเมืองหรืออาคันตุกะ หน่ึงในพิธีส�ำคัญคือ การมอบ “กุญแจเมือง”
ซงึ่ เปน็ การแสดงความยอมรบั และใหเ้ กียรตอิ ย่างสงู
ประเพณีการมอบกุญแจเมือง เกิดขึ้นที่ประเทศอังกฤษ ประมาณ
คริสต์ศตวรรษท่ี ๑๖ ลอร์ด เชมเบอร์เลน (The Lord Chamberlain/Lord
Chamberlain of the Household) หรอื กรมวงั ผมู้ หี น้าทส่ี �ำคัญในการดูแล
พระราชวงั และตอ้ นรบั แขกเมอื ง จะเปน็ ผนู้ ำ� อาคนั ตกุ ะหรอื ทตู านทุ ตู ตา่ งประเทศ
เขา้ เฝา้ กษตั รยิ ์ กรมวงั จะถอื ไมเ้ ทา้ สขี าวและกญุ แจประดบั เพชรเปน็ เครอื่ งหมาย
ประจำ� ตำ� แหน่ง ทตู านุทตู ต่างประเทศทีไ่ ปประจ�ำ ณ สหราชอาณาจักร จะต้อง
ยนื่ สาสน์ ตราตงั้ ตอ่ กรมวงั ซง่ึ เปน็ ผพู้ จิ ารณาในนามของกษตั รยิ อ์ งั กฤษ เมอื่ กรมวงั
ยอมรับสาส์นตราตั้งแล้ว จะมอบกุญแจเมืองอันมีเกียรติให้แก่เอกอัครราชทูต
เพอื่ แสดงวา่ ยอมรบั ความเปน็ ทตู และตอ้ นรบั ใหพ้ ำ� นกั อยใู่ นสหราชอาณาจกั รได้
การมอบกญุ แจเมอื งให้แกผ่ ูม้ าเยือน จงึ มคี วามหมายในเชงิ สัญลักษณ์ หมายถงึ
เจา้ บา้ นยนิ ดตี อ้ นรับและใหเ้ กยี รตอิ ยา่ งย่งิ
159
ในประเทศไทยน้ัน ปรากฏหลักฐานบุคคลส�ำคัญได้รับมอบกุญแจเมือง
เม่ือเดินทางเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการ กล่าวคือ เมื่อพระบาทสมเด็จ
พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าร�ำไพพรรณี พระบรมราชินี
เสด็จพระราชด�ำเนินเยือนประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดา เพ่ือทรงเจริญ
สัมพันธไมตรีและทรงเข้ารับการรักษาพระเนตร ระหว่างวันท่ี ๑๙ มีนาคม
พ.ศ. ๒๔๗๓-๑๒ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๗๔ (ขณะนน้ั วนั ที่ ๑ เมษายนเปน็ วนั ขนึ้ ปใี หม)่
เมอื่ เสดจ็ พระราชดำ� เนนิ ถงึ เมอื งไวตเ์ พลนส์รฐั นวิ ยอรก์ (WhitePlains,NewYork)
ในวนั ที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๔ นาย FrederickC McLaughlinนายกเทศมนตรี
เมอื งไวตเ์ พลนส์ ทลู เกลา้ ฯ ถวายกญุ แจเมอื งทองคำ� ทรี่ ะลกึ และถวายการตอ้ นรบั
อยา่ งสมพระเกยี รติ การเสดจ็ พระราชดำ� เนนิ ครง้ั นี้ มหาวทิ ยาลยั จอรจ์ วอชงิ ตนั
(George Washington University) ทลู เกล้าฯ ถวายปริญญากติ ติมศกั ดส์ิ าขา
กฎหมาย (Honorary Doctorate of Law) แด่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า
เจ้าอยู่หัว นอกจากนี้ ทั้งสองพระองค์พระราชทานสัมภาษณ์แก่ส่ือมวลชน
อเมรกิ ันดว้ ย
กุญแจเมืองที่นายกเทศมนตรีเมืองไวต์เพลนส์ ทูลเกล้าฯ ถวายนี้ เป็น
ลูกกุญแจท�ำจากทองค�ำ ขนาด ๔.๕ x ๑๕.๑ เซนติเมตร ดา้ มกญุ แจด้านหน่ึง
เปน็ รปู ครฑุ ลอ้ มรอบดว้ ยชอ่ ชยั พฤกษ์ อกี ดา้ นหนง่ึ เปน็ รปู ธงและคตพิ จนป์ ระจำ�
เมอื งไวตเ์ พลนส์บอกศกั ราชสำ� คญั เกย่ี วกบั ความเปน็ มาของเมอื งไดแ้ ก่ค.ศ.๑๘๖๓
กอ่ ตงั้ เมอื ง ค.ศ. ๑๗๗๖ ทำ� สงครามกลางเมอื งเพ่อื ประกาศอิสรภาพ และจัดตงั้
เมืองเปน็ เทศบาลนคร เมอ่ื ค.ศ. ๑๙๑๕ รปู ธงและคตพิ จนด์ งั กลา่ วน้ีล้อมรอบ
ด้วยช่อชัยพฤกษ์เช่นกัน ก้านกุญแจสลักข้อความว่า “ทูลเกล้าฯ ถวายแด่
พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั และสมเดจ็ พระบรมราชนิ แี หง่ สยาม เมอื งไวตเ์ พลนส,์
นวิ ยอรก์ ๒ พฤษภาคม ๒๔๗๔” (Presented to Their Majesties The King and
Queen of Siam by The City of White Plains, New York. May 2, 1931.)
กญุ แจเมอื งทองคำ� ทร่ี ะลกึ ดอกนี้ ปจั จบุ นั จดั แสดงอยทู่ พี่ พิ ธิ ภณั ฑพ์ ระบาทสมเดจ็
พระปกเกลา้ เจ้าอยู่หัว
160
ส่วนการมอบกุญแจเมืองแก่บุคคลส�ำคัญท่ีมาเยือนประเทศไทยอย่าง
เป็นทางการนนั้ สนั นษิ ฐานว่า นา่ จะเกิดขึ้นในรชั สมยั พระบาทสมเด็จพระมหา
ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยกรุงเทพมหานคร ซ่ึงขณะน้ัน
ยังมีการปกครองแบบเทศบาลเป็นผู้ด�ำเนินการ เมื่อนายซูการ์โน (Sukarno)
ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย เดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่าง
เป็นทางการ ในฐานะพระราชอาคันตุกะ ระหวา่ งวนั ที่ ๑๖-๒๐ เมษายน พ.ศ.
๒๕๐๔ พธิ ีมอบกุญแจเมอื ง จดั ขึน้ ทีส่ ถานรี ถไฟจติ รลดา ในวันท่ี ๑๖ เมษายน
พ.ศ. ๒๕๐๔ ในเวลาต่อมาเม่ือมีบุคคลส�ำคัญหรือพระราชอาคันตุกะมาเยือน
กรุงเทพมหานครจะจัดพิธีต้อนรับและมอบกุญแจเมือง ณ ปะร�ำพิธีที่จัดสร้าง
ขน้ึ บริเวณเชิงสะพานผ่านฟา้ ลีลาศ จนกระทงั่ ใน พ.ศ. ๒๕๓๓ กรงุ เทพมหานคร
ไดจ้ ดั สรา้ งพลบั พลาถาวรขน้ึ (ในบรเิ วณทเี่ คยเปน็ โรงภาพยนตรศ์ าลาเฉลมิ ไทย)
พระบาทสมเดจ็ พระมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพติ รทรงพระกรณุ า
โปรดเกลา้ ฯ พระราชทานนามพลับพลาว่า “พลบั พลามหาเจษฎาบดินทร”์ เมือ่
วนั ที่ ๖ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ และกรงุ เทพมหานครไดใ้ ชพ้ ลบั พลานเี้ ปน็ สถานที่
จดั พิธีมอบกญุ แจเมอื ง
ใน พ.ศ. ๒๕๔๒ โอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเดจ็
พระมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพติ ร ครบ ๖ รอบ กรงุ เทพมหานคร
จัดท�ำกุญแจจ�ำลองสัญลักษณ์กรุงเทพมหานคร เป็นกุญแจทองค�ำยาว ๖ นิ้ว
น�ำ้ หนกั ประมาณ ๙๐ กรัม ด้ามกญุ แจเปน็ รปู พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ตรา
สัญลักษณ์ของกรุงเทพมหานคร ล้อมรอบด้วยลายไทย ส่วนล่างของกุญแจ
แกะสลักแบบดุนนูน ก้านกุญแจด้านหนึ่งสลักค�ำว่า City of Bangkok และ
อีกดา้ นหน่ึง สลักค�ำว่า Bangkok Thailand บรรจุอย่ใู นกลอ่ งกำ� มะหย่สี เี ขียว
สปี ระจำ� กรงุ เทพมหานคร เพอื่ ถวายแดพ่ ระราชอาคนั ตกุ ะและมอบใหอ้ าคนั ตกุ ะ
ของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และ
สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ท่ีเดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็น
ทางการนบั แตน่ น้ั มา
161
กรงุ เทพมหานครจดั พธิ มี อบกญุ แจเมอื งเมอื่ วนั ท่ี ๒ กนั ยายน พ.ศ. ๒๕๕๖
ในโอกาสที่สมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินีแห่งมาเลเซียเสด็จ
พระราชดำ� เนนิ เยอื นประเทศไทยอยา่ งเปน็ ทางการ ในฐานะพระราชอาคันตุกะ
ของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และ
สมเดจ็ พระบรมราชชนนีพนั ปหี ลวง พธิ ถี วายกญุ แจเมอื งคร้งั นี้ จดั ขน้ึ ณ หอ้ ง
เจ้าพระยา โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์
บรพิ ัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กราบบังคมทูลถวายการตอ้ นรบั ในนาม
ประชาชนชาวกรงุ เทพมหานคร พรอ้ มกบั ถวายกญุ แจเมอื งแดส่ มเดจ็ พระราชาธบิ ดี
แห่งมาเลเซีย เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการต้อนรับ แสดงความยกย่อง และเป็น
สัญลักษณ์แห่งความเคารพสูงสุดของประชาชนชาวกรุงเทพมหานครแด่แขก
คนสำ� คญั ทมี่ าเยือน
(นางสาววรี วลั ย ์ งามสันติกุล)
หนังสืออ้างองิ
นิรินธน์ ภู่ค�ำ. วัตถุช้ินเอกพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
เล่ม ๒. กรุงเทพฯ : พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
สถาบนั พระปกเกลา้ , ๒๕๕๖. หน้า ๓๒-๓๓.
เครือข่ายสารสนเทศ
“การมอบกุญแจเมือง” กองการต่างประเทศ ส�ำนักปลัดกรุงเทพมหานคร
http://iad.bangkok.go.th/th/node/395เขา้ ถงึ วนั ที่๑๓มนี าคม๒๕๕๘.
“การเสด็จพระราชด�ำเนิรประเทศสหปาลีรัฐอเมริกา” ราชกิจจานุเบกษา
เล่มที่ ๔๗ หน้า ๔๗๒๕-๔๗๓๐ วนั ท่ี ๒๒ มีนาคม ๒๔๗๓ http://www.
ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2473/D/4725.PDF เข้าถึง
วนั ที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๘.
“แจ้งความเรื่องมีผู้เอ้ือเฟื้อในคราวรับเสด็จพระราชด�ำเนิรกลับจากประเทศ
สหปาลีรัฐอเมริกาสู่พระมหานคร” ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๔๘
162
หน้า ๓๘๖๕-๓๘๙๑ วันท่ี ๒๗ ธันวาคม ๒๔๗๔ http://www.
ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2474/D/3865.PDF เข้าถึง
วันท่ี ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๘.
“ผ้วู ่า กทม.” http://th.wikipedia.org/wiki/ เข้าถึงวนั ท่ี ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๘.
“ผู้ว่าฯ กทม. ทูลเกล้าฯ ถวายกุญแจเมืองแด่สมเด็จพระราชาธิบดี-สมเด็จ
พระราชินีมาเลเซีย” http://www.dailynews.co.th/Content/
bangkok/84063/ เข้าถงึ วันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๘.
“หมายกำ� หนดการรบั เสดจ็ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั และสมเดจ็ พระนางเจา้ ฯ
พระบรมราชินีเสด็จพระราชด�ำเนิรกลับจากประเทศสหปาลีรัฐอเมริกา
สู่พระมหานคร พุทธศักราช ๒๔๗๔” ราชกิจจานุเบกษา เล่มท่ี ๔๘
หน้า ๔๔๖๒ วันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๔๗๔ http://www.ratchakitcha.
soc.go.th/DATA/PDF/2474/D/2462.PDF เขา้ ถงึ วนั ที่ ๑๓ กรกฎาคม
๒๕๕๘.
“Does the Key to the City Actually Open Anything?” http://
mentalfloss.com/article/30744/does-key-city-actually-open-
anything เข้าถงึ วนั ท่ี ๑๓ มนี าคม ๒๕๕๘.
“Lord Chamberlain” http://en.wikipedia.org/wiki/Lord_Chamberlain
เข้าถงึ วันท่ี ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๘.
“Mayors of White Plains, New York” http://politicalgraveyard.com/
geo/NY/ofc/whiteplains.html เขา้ ถงึ วันท่ี ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๘.
“Reading Eagle-May 3, 1931.” http://news.google.com/newspapers?
nid=1955&dat=19310503&id=Y8 kxAAAAIBAJ&sjid=Y-IFAAAAIBAJ
&pg=2498%2C496274 เขา้ ถึงวนั ที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๘.
163
การรับชา้ งสำ� คญั
ในสมัยโบราณช้างเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ จึงมีความส�ำคัญอย่างยิ่ง
ดงั นน้ั แตล่ ะปที างราชการจำ� เปน็ ตอ้ งมกี ารแสวงหาเพอื่ เพมิ่ จำ� นวนชา้ งใหพ้ อกบั
ความต้องการของราชการทัพ ผู้ท�ำหน้าที่จัดหาช้างก็คือควาญ ซ่ึงต้องเดินทาง
ไปตามป่าท่ีมีโขลงช้างอาศยั อยู่เพ่อื คลอ้ งหรอื จบั ให้ได้ช้างตามจ�ำนวนทต่ี อ้ งการ
ปรากฏหลกั ฐานในหนังสือจดหมายเหตุรชั กาลท่ี ๒ จ.ศ. ๑๑๗๓ (พ.ศ. ๒๓๕๔)
เร่ืองรายช่อื ชา้ งท่จี บั ได้ จ.ศ. ๑๑๗๐ ดงั ความในตวั อยา่ งตอ่ ไปนี้
ว ัน ๓ ๑ฯ๓๖ คำ�่ ปีมะแมตรศี ก จำ� นวนวังหลวง
พลายเถ่ือนงาทอก [ช้างผู้มีงาตัวใหญ่เป็นจ่าฝูง] สูง ๕ ศอกคืบ ๓ น้ิว
หางซ้าย จบั ๑
พลายเถอ่ื นสงู ๕ ศอก ๐ คบื ๐ นวิ้ หางสัพงางอนขึ้นซา้ ยขวา จับ ๑
พลายเถ่อื นสงู ๓ ศอก ๑ คืบ ๘ นิ้ว หางสัพงากางขวา จับ ๑
พลายเถ่ือนสงู ๓ ศอก ๑ คบื นวิ้ หางด้วน งาซอม ๑ ขวา จับ ๑
พลายเถื่อนสงู ๔ ศอก ๑ คืบ ๖ นิ้ว หางสพั งากางซ้าย จบั ๑
รวมพลาย ๕
เมื่อควาญจับช้างได้แล้ว ก่อนจะน�ำออกจากป่า ตามธรรมเนียมโบราณ
ต้องให้พราหมณ์พฤฒิบาศ (คือพราหมณ์ผู้รู้พิธีกรรมเกี่ยวกับช้าง) ประกอบ
พธิ ธี นญชยั บาศ เปน็ พธิ กี รรมใหช้ า้ งลาไพรลมื ปา่ หมายถงึ ลมื สภาพความเปน็ อยู่
ในป่า เพ่ือน�ำช้างออกจากป่าเข้าสู่เมือง และเมื่อแรกถึงเขตเมืองต้องท�ำพิธี
เสียไพร โดยมีพระสงฆ์สวดพระปริต แล้วประพรมน�้ำพระพุทธมนต์ให้แก่ช้าง
ต่อจากนั้นพ่อหมอเฒ่า คือพราหมณ์ผู้รู้ท�ำพิธีฟาดเคราะห์หรือที่เรียกกันทั่วไป
ว่าปัดรังควาญให้แก่ช้าง เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ควาญผู้ดูแลช้างและตัวช้างด้วย
ตอ่ จากน้นั ควาญจะเริม่ จับเชิง คือฝกึ หัดช้างให้ราบ หมายถึงใหร้ จู้ ักค�ำสงั่ ควาญ
๑ งาซอม = งาเรียงขนานกนั ไป
164
และปฏบิ ตั งิ านไดต้ ามหนา้ ทขี่ องชา้ ง ขณะเดยี วกนั ควาญตอ้ งตรวจสอบพจิ ารณา
ดูลักษณะของช้างทุกเชือกท่ีฝึกอยู่นั้นว่าเป็นช้างมีลักษณะดีเป็นมงคลหรือ
ลักษณะศุภลักษณ์ตามต�ำราคชลักษณ์หรือไม่ หากพบว่าช้างเชือกใดมีลักษณะ
ศุภลักษณ์ตามท่ีปรากฏในต�ำราคชลักษณ์ตระกูลใดตระกูลหนึ่งใน ๔ ตระกูล
และยังมีบางส่วนของร่างกายมีที่พิเศษอีก ๗ ประการ หรืออย่างใดอย่างหน่ึง
ใน ๗ ประการตอ่ ไปน้ี คือ นยั น์ตาขาว เพดานขาว เล็บขาว ขนขาว ผวิ หนังขาว
หรือสีคล้ายสีหม้อใหม่ หรือผิวผุดผ่องเหมือนกันตลอดตัวจะสีใดก็ได้ไม่จ�ำเป็น
ต้องสีขาว ขนหางยาว และอัณฑโกศขาวหรือสีคล้ายสีหม้อใหม่หรือสีชมพู
ชา้ งท่มี ลี ักษณะดงั กลา่ ว ควาญจะเรยี กว่า ช้างสปี ระหลาด
เมื่อควาญรู้ว่ามีช้างสีประหลาดในครอบครอง ต้องแจ้งต่อกรมการเมือง
เพ่อื นำ� ความกราบบงั คมทลู พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยูห่ ัวให้ทรงทราบ เมอ่ื ทรง
ทราบแล้วก็จะโปรดเกล้าฯ ให้กรมช้างจัดเจ้าหน้าท่ี ประกอบด้วยช่างเขียน
ชา่ งปน้ั และควาญผเู้ ฒา่ ผมู้ คี วามรเู้ รอ่ื งชา้ งและลกั ษณะชา้ ง เดนิ ทางไปตรวจสอบ
เบ้ืองต้น เพื่อให้ทราบความจริงอย่างชัดเจน พร้อมท้ังเขียนรูปและปั้นจ�ำลอง
รูปช้าง ตามลักษณะรูปร่างที่เห็น เสร็จแล้วน�ำส่งรูปเขียนและรูปปั้นจ�ำลอง
เข้ามายังกรุงเทพฯ เพื่อถวายให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตร
หากทรงเห็นว่าช้างสีประหลาดน้ันเข้าเกณฑ์ศุภลักษณ์ เป็นช้างเผือกได้ ควาญ
ผู้ตรวจสอบตอ้ งระบุได้วา่ ช้างนั้นมลี กั ษณะเฉพาะเป็นชา้ งเผอื กเอก ช้างเผอื กโท
หรอื ชา้ งเผอื กตรี ซง่ึ แตล่ ะระดบั มรี ายละเอยี ดลกั ษณะนอกเหนอื จาก ๗ ประการ
ดังกล่าวแลว้ คือ
ช้างเผือกเอก มีขนโปร่งใสสีขาวเจือเหลือง สีกายหรือผิวหนังสีเดียวกับ
สีขน และมีสีเสมอกัน เหมือนกันตลอดตัว นัยน์ตาขาว เล็บขาว เพดานขาว
อัณฑโกศขาว ขนหางโปร่งมีสีขาวเจือเหลืองเล็กน้อย จัดเป็นเผือกบริสุทธ์ิ
สมบูรณ์ดว้ ยลกั ษณะอยา่ งเอก
ชา้ งเผอื กโท สกี ายออกเปน็ สบี วั โรย นยั นต์ าขาว สว่ นอนื่ ๆ ลดลงตามสกี าย
ชา้ งเผอื กตรี สกี ายออกเปน็ สอี ยา่ งยอดตองตากแหง้ นยั นต์ าขาว สว่ นอนื่ ๆ
165
ลดลงตามสีกาย
เมอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงทราบวา่ ชา้ งสปี ระหลาดนน้ั เปน็ ชา้ ง
ตอ้ งลักษณะมงคลจรงิ กจ็ ะโปรดเกลา้ ฯ ใหร้ บั ชา้ งนนั้ ไวเ้ ปน็ ชา้ งสำ� คญั แลว้ ใหน้ ำ�
มาสง่ ยังกรงุ เทพฯ
การน�ำช้างส�ำคัญเข้ากรุงเพ่ือถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจัดเป็น
งานทม่ี ีความสำ� คญั อย่างยิ่ง ตามหลักฐานทป่ี รากฏในพงศาวดารทุกยคุ ทุกสมัย
กล่าวตรงกันว่า เมืองใดที่ได้ช้างส�ำคัญก่อนพาช้างออกจากเมืองต้องประกอบ
พธิ สี มโภช พราหมณต์ ้งั บายศรี เวยี นเทียน พระสงฆ์สวดพระพทุ ธมนต์ ๓ วนั
กลางคืนมีมหรสพสมโภช เสร็จแล้วจึงพาเดินทางมา ไม่ว่าจะเป็นทางบกหรือ
ทางนำ�้ ตลอดระยะทางเมอื่ ผา่ นถงึ เมอื งใด เจา้ เมอื งนนั้ ตอ้ งตอ้ นรบั โดยตงั้ โรงพธิ ี
สมโภชเช่นเดียวกันทุกเมือง ดังตัวอย่างการรับช้างส�ำคัญมีเร่ืองปรากฏอยู่ใน
พระราชพงศาวดารกรงุ รตั นโกสนิ ทรร์ ชั กาลท่ี ๒ กลา่ ววา่ ใน พ.ศ. ๒๓๕๙ พระยา
เชยี งใหม่ (นอ้ ยธรรม) ไดช้ า้ งพลายชา้ งหนงึ่ สงู สามศอกคบื หกนวิ้ เปน็ ชา้ งเผอื กเอก
บอกกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยให้ทรงทราบแล้ว
กับให้ฝกึ หัดชา้ งจนเชือ่ งราบ จึงพาเดนิ ทางมาลงแพทีเ่ มอื งกำ� แพงเพชร ลอ่ งแพ
แลสมโภชมาทุกหัวเมืองตลอดระยะทาง ลงมาถึงกรุงเทพฯ เมื่อวันพฤหัสบดี
เดอื น ๑๑ ขน้ึ ๕ คำ่� พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ใหป้ ลกู พลบั พลานอ้ ยทท่ี า่ พระ
ตง้ั ราชวตั ิ ฉตั รเบญจรงค์ สองฟากถนน จดั กระบวนแห่ แตง่ ชา้ งมสี กลุ ออกไปรบั
ครั้นได้เวลา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชด�ำเนินไปประทับ
พลับพลาน้อยท่ีท่าพระคอยรับ แล้วโปรดให้แห่ช้างส�ำคัญข้ึนจากแพไปเข้าโรง
สมโภชท่ีสนามชัย มกี ารมหรสพสมโภช ๓ วัน ๓ คืน แลว้ ประกอบพระราชพิธี
ขน้ึ ระวางเปน็ ชา้ งเผอื กเอก พระราชทานนามวา่ “พระยาเศวตไอยราบวรพาหนะ
นารถ อศิ ราราชบรมจกั ร ศรสี งั ขศ์ กั ดอิ โุ บสถ คชคเชนทรชาติ อากาศจารี เผอื กผอ่ ง
ศรบี รสิ ทุ ธิ์ เฉลมิ อยุธยายงิ่ วมิ ลมิง่ มงคล จบสกลเลิศฟ้า”
(นางสาวกอ่ งแกว้ วรี ะประจักษ์)
166
การเรยี กชือ่ ปราสาทหิน
ในประเทศไทยมีโบราณสถานประเภทปราสาทหินอยู่เป็นจ�ำนวนมาก
และชื่อของปราสาทหนิ ท่ีใชเ้ รยี กกันอยใู่ นทุกวนั น้มี ี ๒ อยา่ ง คือ ช่อื ที่ตง้ั ขน้ึ ใหม่
ในยคุ หลัง และช่อื ท่มี ีมาแตเ่ ดิมตงั้ แตแ่ รกสรา้ งปราสาท
บรรดาโบราณสถานประเภทปราสาทหนิ ของไทย ทมี่ อี ยู่ท่ัวไปในภูมิภาค
ตา่ ง ๆ ของประเทศไทยนัน้ ส่วนใหญ่นิยมเรยี กช่ือปราสาทตามทคี่ นในท้องถน่ิ
ซ่ึงอาศัยอยู่ในละแวกใกล้เคียงเรียกขานกัน โดยอาจได้ช่ือมาจากต�ำนานหรือ
นทิ านทค่ี นเฒา่ คนแกเ่ ลา่ ใหฟ้ งั ตอ่ ๆ กนั มา ตวั อยา่ งเชน่ ชอื่ ปราสาทสดก๊ กอ็ กธม
เดมิ ชาวบ้านเรียกว่าปราสาทเมืองพร้าว ทเี่ รยี กชอ่ื เชน่ น้ันก็ดว้ ยมีเรื่องเล่าตอ่ ๆ
กนั มาว่า เคยมีคนเดนิ หลงทางเขา้ ไปในดง ได้แลเห็นมตี ้นพร้าวขึ้นอยู่ เห็นเด่น
เปน็ สง่าในดงนัน้ จงึ กำ� หนดเรยี กบรเิ วณน้นั วา่ เมอื งพร้าว โดยหมายเอาบรเิ วณ
เมืองพร้าวเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นท่ีย�ำเยงเกรงกลัวของชาวบ้าน จึงไม่มีใคร
กล้าเขา้ ไปในปราสาทนนั้
ต่อมามคี นเขมรเดนิ หลงเข้าไปทปี่ ราสาทนัน้ เหน็ วา่ พื้นที่รอบ ๆ ปราสาท
มตี ้นกกขนาดใหญ่ข้นึ อยูห่ นาแนน่ สภาพเหมือนเป็นปา่ ตน้ กก จึงเรียกขานนาม
ปราสาทแหง่ นวี้ า่ “ปราสาทสดก๊ กอ๊ กธม” ตามศพั ทภ์ าษาเขมร หมายถงึ ปราสาท
สระต้นกกใหญ่ (สด๊ก แปลว่า สระ, ก๊อก แปลว่า ต้นกก, ธม แปลว่า ใหญ่)
และยังคงเรียกสืบต่อมาจนถงึ ปจั จบุ ัน
สว่ นปราสาททม่ี ชี อ่ื เรยี กมาแตด่ ง้ั เดมิ เมอ่ื แรกสรา้ ง ในประเทศไทยปจั จบุ นั
พบว่ามีอยู่เพียง ๒ ปราสาทเท่านั้น คือ ปราสาทพนมรุ้ง และปราสาทพิมาย
ท่ีกลา่ วเชน่ นีเ้ พราะได้พบหลกั ฐานออกนามชือ่ ปราสาทในศิลาจารึก
จารกึ ที่ปรากฏนามปราสาทพนมรุ้งท่ีมีศกั ราชเก่าทส่ี ุดคอื จารกึ ปราสาท
หนิ พนมร้งุ ๑๑ เปน็ จารึกอกั ษรขอมโบราณ ภาษาสนั สกฤตและเขมร สรา้ งเม่ือ
พุทธศักราช ๑๕๒๐ มอี กั ษรจารึก ๒ ด้าน ค�ำ “พนมรุ้ง” ปรากฏอย่ใู นด้านท่ี ๑
และ ๒ บรรทดั ท่ี ๘ เหมอื นกันทงั้ ๒ ดา้ น นอกจากนนั้ ยงั ไดพ้ บค�ำว่า “พนมรุง้ ”
167
ในจารกึ ปราสาทหนิ พนมรงุ้ หลกั อนื่ ๆ อกี หลายหลกั คำ� วา่ พนมรงุ้ มาจากภาษา
เขมร ว่า วนํรุง แปลว่า ภูเขาใหญ่ ปราสาทพนมรุ้ง จึงแปลว่า ปราสาทแห่ง
ภเู ขาใหญ่
ส่วนจารึกที่ปรากฏนามปราสาทหินพิมาย ที่มีศักราชเก่าท่ีสุด คือจารึก
วดั จงกอ อยทู่ บ่ี า้ นนอ้ ย ต�ำบลบ้านเก่า อำ� เภอด่านขนุ ทด จงั หวดั นครราชสีมา
เป็นจารึกอักษรขอมโบราณ ภาษาสันสกฤตและเขมร สร้างเมื่อพุทธศักราช
๑๕๑๑ มีอักษรจารึก ๒ ด้าน ค�ำ “พิมาย” ปรากฏอยู่ในด้านที่ ๑ บรรทัดท่ี
๑๑ และด้านที่ ๒ บรรทัดที่ ๑๐ นอกจากน้ันยังได้พบค�ำ พิมาย ในจารึก
ปราสาทหินพิมายหลักอื่น ๆ อีกหลายหลัก ค�ำ พิมาย มาจากภาษาสันสกฤต
วิมาย แปลว่า อ่อนนอ้ ม, สุภาพ, จุตลิ งสู่โลก ดังนั้นปราสาทหนิ พมิ ายจงึ แปลว่า
ปราสาทพระผจู้ ตุ ิลงสู่โลก หมายถึง ปราสาทพระพุทธเจา้
อนง่ึ คำ� พนมรุ้ง และ พมิ าย ในจารกึ ใช้วา่ วฺนรํ งุ และ วิมาย ซ่ึงใชต้ ัว ว
เหมือนกันทั้ง ๒ ช่ือ และในภาษาไทยเปล่ียนมาใช้ พ ตามหลักฐานท่ีพบใน
จารกึ เกา่ ทสี่ ดุ คอื จารกึ ดงแมน่ างเมอื ง พบทต่ี ำ� บลบางตาหงาย อำ� เภอบรรพตพสิ ยั
จังหวัดนครสวรรค์ เป็นจารึกอักษรขอม ภาษาบาลี เขมร และไทย สร้างเม่ือ
พุทธศกั ราช ๑๗๑๐ ในจารึกนม้ี คี ำ� ท่ใี ช้ พ แทน ว คอื ค�ำวา่ “พระ” ปรากฏอยใู่ น
ดา้ นที่ ๒ บรรทัดท่ี ๑, ๓, ๑๐, ๑๖ และ ๓๐ จากหลกั ฐานนีอ้ าจสรุปไดว้ า่ มกี าร
เปลยี่ นใช้ พ แทน ว แลว้ ในตน้ พทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ และคำ� วา่ พระ กน็ า่ จะเปน็ คำ�
ในภาษาไทยด้วย เพราะในกลุ่มจารึกภาษาเขมรที่สร้างขึ้นก่อนพุทธศตวรรษท่ี
๑๘ และร่วมสมัยพทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ ใช้คำ� วา่ วระ ทัง้ นน้ั
(นางสาวก่องแก้ว วีระประจกั ษ์)
168
การสกั
คำ� วา่ สกั มคี วามหมายอยา่ งหนง่ึ วา่ ใชเ้ หลก็ แหลมจมุ่ หมกึ หรอื นำ้� มนั แทง
ที่ผิวหนังให้เป็นอักขระ เครื่องหมาย หรือลวดลาย แต่โบราณมาไทยใช้วิธีสัก
ทผี่ วิ หนัง ทำ� ให้ไม่ลบเลอื นดว้ ยจดุ ประสงคต์ า่ ง ๆ กนั เชน่
๑. สักท่ีหน้าเพ่ือประจานหรือลงโทษ เช่น พระไอยการลักษณผัวเมีย
ในกฎหมายตราสามดวง กล่าวถึงการลงโทษหญิงที่ท�ำชู้หลายครั้งแล้วว่า
“ถ้าหญิงนั้นยังท�ำชู้ด้วยชายผู้เดียวนั้น ถึงสองถ่าเล่าไซ้ ให้ไหมทวีคูน ถ้าท�ำชู้
เปลี่ยนชายอื่นให้ไหมชายชู้นั้นโดยปรถมผิดเมีย ส่วนหญิงนั้นให้โกนศีศะเปน
ตะแลงแกงเอาขน้ึ ขาหยา่ งประจาน แลว้ ใหท้ เวนรอบตลาดแลว้ ใหท้ วนดว้ ยลวด
หนัง ๒๐ ที ถ้าผวั มนั ยังรกั เมียมัน แลมใี หล้ งโทษแกเ่ มียมนั ไซ้ให้เอาสนิ ไหมเฃ้า
พระคลงั หลวง ถา้ หญิงนั้นมนั ทำ� ชู้ด้วยชายอน่ื เลา่ ไซ้ ทา่ นมใิ ห้ไหมชายช้นู ั้นเลย
สว่ นหญงิ น้นั ลงโทษดจุ เดียวแล้วใหส้ ักรปู ชายหญิงไว้ในแก้ม”
๒. สักที่ข้อมือหรือท้องแขนเพ่ือแสดงว่าได้ขึ้นทะเบียนเป็นชายฉกรรจ์
หรอื เปน็ เลกมสี งั กดั กรมกองแลว้ ดงั พระราชกำ� หนดเกา่ ในกฎหมายตราสามดวง
มีข้อความว่า “...พระบาทสมเดจ์พระเจ้าอยู่หัวทรงมะหากรรุณาด�ำรัสเหนือ
เกล้าฯ ส่ังว่าให้ศักนามเมืองแลช่ือมูนนายลงไว้ในข้อมือไพร่ฟ้าประชากอรข้า
ทแกล้วทหารท้ังปวงด่ังน้ี เพ่ือจะให้ท�ำราชการท่ัวหน้ากัน” ด้วยเหตุท่ีชายที่
ขนึ้ ทะเบยี นเปน็ ทหารตอ้ งถกู สกั อาจารยค์ งจงึ ทว้ งเณรแกว้ ในบทเสภาเรอ่ื งขนุ ชา้ ง
ขนุ แผน เมอ่ื ร้วู ่าเณรแกว้ ตอ้ งการจะสึกวา่
ฆราวาสน้ชี าตมิ นั ชวั่ นกั จะสกึ ไปใหส้ กั เอ็งหรือหวา
ขอ้ มือดำ� แล้วระกำ� ทุกเวลา โพลก่ บั บ่าแบกกันจนบรรลัย
คนทีไ่ มม่ รี อยสักทข่ี อ้ มือเรยี กกนั วา่ คนข้อมอื ขาว
๓. สักที่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายและลงคาถาอาคม เพ่ือให้แคล้วคลาด
จากภยันตราย เช่น ในบทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน พรรณนารอยสักของ
169
แสนตรีเพชรกลา้ แมท่ พั ของพระเจ้าเชยี งใหม่ ไวด้ งั น้ี
แขนขวาสักรงเปน็ องค์นารายณ ์ แขนซา้ ยสกั ชาดเปน็ ราชสีห์
ขาขวาหมกึ สักพยัคฆี ขาซ้ายสกั หมีมกี �ำลัง
สกั อรุ ะรปู พระโมคคัลลาน ์ ภควัมปิดตานนั้ สกั หลัง
สขี ้างสกั อักขระนะจังงัง ศรี ษะฝงั พลอยนิลเม็ดจินดา
ในสมยั รฐั บาลจอมพล ป. พบิ ลู สงคราม มคี วามพยายามใหค้ นไทยเลกิ เชอ่ื
เรื่องไสยศาสตร์ ห้ามข้าราชการไม่ให้สักตามร่างกาย ผู้เข้ารับราชการทหาร
จะกวดขันเปน็ พเิ ศษถา้ มีรอยสกั ตอ้ งลบรอยสักใหห้ มด จนเกดิ อาชพี ลบรอยสัก
ขนึ้ ในคร้งั นนั้
คนไทยถ่ินเหนือและอีสานแต่เดิมมาก็นิยมการสัก ภาษาไทยถ่ินเหนือ
มีค�ำว่า สบั หมายถงึ สกั เชน่ สับน�ำ้ หมกึ หรอื สับหมึก หรือสบั ขาลาย หมายถงึ
สกั ผวิ หนงั แลว้ ลงหมกึ สดี ำ� หรอื สคี รามเปน็ ลวดลาย สารานกุ รมอสี าน-ไทย-องั กฤษ
อธิบายไวว้ า่ ถ้า
สักท่แี ขนเรยี กสักแขนลาย สักท่ขี าเรียกสักขาลาย คนโบราณชอบสักลาย
เพราะถือว่าเป็นความสวยงาม เป็นความเก่งกล้าสามารถ และเป็นการ
ป้องกนั ภูตผีปศี าจ ปืนผาหน้าไม้ ยงิ ไมอ่ อกแทงไมเ่ ขา้ ผู้ชายชอบสัก แต่
ผู้หญิงไม่ปรากฏ... ผู้หญิงอีสานสมัยโบราณชอบชายท่ีสักลาย เม่ือลง
อาบน�้ำในแม่น�้ำ ถา้ ชายคนใดไม่สกั ขา ผู้หญงิ จะให้อาบน้�ำทางใต้ ในการ
เลอื กคคู่ รองกช็ อบเลอื กชายทสี่ กั ลาย เพราะถอื วา่ เปน็ คนเกง่ กลา้ พอทจี่ ะ
เ ป็นทีพ่ ึง่ ในเวลาจำ� เป็น...
คนไทนอกประเทศหลายกลุ่มก็นิยมการสัก ภาษาตระกูลไทหลายภาษา
เชน่ ภาษาไทใหญ่ ภาษาไทพา่ เก่ ภาษาไทอา่ ยตอน และภาษาไทใตค้ ง ล้วนมี
คำ� ทีห่ มายถึงสกั
คนไทใตค้ ง เรยี กการสกั วา่ อา๊ ง หรอื ซำ้� อา๊ ง คำ� วา่ อา๊ ง นอกจากจะหมายถงึ
สักแล้ว ยังหมายถึงการใช้เวทมนตร์ได้ด้วย ส่วนค�ำว่า ซ้�ำ หมายถึง ต�ำ อย่าง
170
เขม็ ตำ� มอื เป็นตน้ คนไทใตค้ งคนหน่ึงเล่าว่า หนมุ่ ๆ มักจะสกั รปู มงั กรหรอื เสือ
ทหี่ นา้ อกเพอ่ื ปอ้ งกนั อันตรายจากสัตว์ตา่ ง ๆ บางคนก็สกั ลายท้งั ตวั ความนยิ ม
การสกั มมี านานแลว้ หลกั ฐานกค็ อื คนจนี สมยั ราชวงศถ์ งั ประมาณ ๑๐๐๐ ปกี อ่ น
เรยี กคนไทใตค้ งวา่ เซว่ แตสฺ ว่ แปลวา่ หนา้ ลาย เหตทุ ่ีหนา้ ลายก็เพราะสกั หนา้
คนไทพา่ เกเ่ รยี กการสกั วา่ ซำ้� เชน่ ซำ�้ หนา้ หมายถงึ สกั หนา้ ซำ้� อา๊ ง หมายถงึ
สกั ยาลงคาถาอาคม แทนทจี่ ะสกั ดว้ ยหมกึ เฉพาะคำ� วา่ อา๊ ง หมายถงึ คาถาอาคม
คนไทใหญ่ก็เรียกการสักว่า ซ�้ำ ซ�้ำอ๊าง หมายถึงสักยันต์ ศาสตราจารย์
ดร. คณุ บรรจบ พนั ธเุ มธา อธบิ ายไวว้ า่ คำ� วา่ อา๊ ง มาจากภาษาพมา่ ลกั ษณะของ
อ๊างเป็นตารางหรือช่องส�ำหรับเขียนเลขหรือตัวอักษร ชาวไทใหญ่ท่ีคุณบรรจบ
เห็นเมอื่ หลายสิบปีมาแล้วนิยมสกั ทุกสว่ นของรา่ งกาย เว้นแต่หนา้ บางคนยังสัก
ไปถึงหัวท่ัวทง้ั หวั อกี ผู้หญงิ บางคนกส็ กั ส่วนมากสักด้วยหมึกสแี ดงบนหลังมือ
นอกจากนนั้ ตามรายงานการศกึ ษาวจิ ยั เรอื่ งลายสกั ไทใหญ่ การสกั ทชี่ าว
ไทใหญน่ ยิ ม ได้แก่
๑. สักยาขา่ ม (ข่าม หมายถงึ คงกระพนั ) เปน็ รปู ต่าง ๆ เช่น เสือ แมวด�ำ
หมูเขีย้ วตัน ววั กระทิง เพอ่ื ใหค้ งกระพนั
๒. สกั ยามหานยิ มเป็นรปู ยันต์หรอื รปู สตั ว์ เชน่ นกยูง กระตา่ ย จงิ้ จอก
สองหาง เพ่ือให้มีสิริมงคล เจรญิ กา้ วหนา้ และเป็นท่ีรกั ใครข่ องคนทว่ั ไป
๓. สักขาลาย โดยมากสักตั้งแต่เอวลงไปถึงเข่า ส่วนขาท้ังสองข้างสัก
เปน็ รูปกรอบเหลย่ี ม เสน้ กรอบหนาทึบคล้ายล�ำตวั ของนาคหรืองู มีรปู เสอื อย่ใู น
กรอบสี่เหล่ียมนนั้ และอาจเตมิ รูปใบไม้ ดอกไมใ้ ห้สวยงามยงิ่ ข้ึน ลวดลายทีส่ ัก
เปน็ เสน้ ทบึ หนาเพอื่ แสดงความอดทนเขม้ แขง็ และสกั เปน็ รปู เสอื เพราะมตี ำ� นาน
ว่าชาวไทใหญม่ กี �ำเนดิ มาจากเสอื
๔. สักข่ามเข้ียว มักสักท่ีน่องไปถึงข้อเท้าเป็นรูปแมว เสือ และอักขระ
คาถา เพ่อื ป้องกันพษิ จากสัตว์ เชน่ งู ตะขาบ แมงปอ่ ง ผ้งึ ฯลฯ
171
ปจั จบุ นั ความนยิ มในการสกั ลดลงมาก โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ประเพณสี กั ขา
ลายนัน้ อาจกลา่ วไดว้ า่ สญู ไปหมดแลว้
(รศ. ดร.นววรรณ พนั ธเุ มธา)
หนงั สอื อา้ งองิ
บรรจบ พนั ธเุ มธา. “อนั เนอื่ งดว้ ยวฒั นธรรม” ในสตรสี าร ฉบบั วนั ท่ี ๒๘ เมษายน
พ.ศ. ๒๕๑๘, หน้า ๓๑.
ศลิ ปากร. เรื่องกฎหมายตราสามดวง. กรุงเทพฯ, ๒๕๒๑.
เสภาเรอื่ งขนุ ชา้ งขนุ แผน. พมิ พค์ รง้ั ที่ ๑๘. พระนคร : ศลิ ปาบรรณาคาร, ๒๕๑๓.
สายสม ธรรมธิ. “รายงานการศึกษาวิจัยเรื่องลายสักไทใหญ่”. เชียงใหม่ :
สถาบันวิจัยสังคม มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่, ๒๕๓๘.
ส. พลายนอ้ ย (นามแฝง). สารานกุ รมวฒั นธรรมไทย. กรงุ เทพฯ พมิ พค์ ำ� , ๒๕๕๓.
ปรีชา พิณทอง. สารานกุ รมภาษาอสี าน-ไทย-อังกฤษ. อุบลราชธานี : โรงพมิ พ์
ศริ ธิ รรม, ๒๕๓๑.
ก�ำเนิดคชพงศ์ ตอนที่ ๑
คชพงศ์ เปน็ เรอ่ื งราวหรอื ความรเู้ กยี่ วกบั ชา้ งตระกลู ตา่ ง ๆ ในโลก มคี วาม
ปรากฏอยใู่ นคมั ภรี ค์ ชลกั ษณ์ เรม่ิ ตงั้ แตก่ ารกำ� เนดิ ชา้ ง ความวา่ ในกาลสมยั สรา้ ง
โลก ขณะที่พระวษิ ณหุ รอื พระนารายณ์บรรทมอยู่ ณ เกษียรสมทุ ร มดี อกบัวผดุ
จากพระนาภี ดอกบัวนั้นมี ๘ กลีบ ๑๗๓ เกสร พระวิษณุน�ำดอกบัวไปถวาย
พระอิศวร ครง้ั น้ัน พระอศิ วรแบ่งดอกบวั ออกเปน็ ๔ สว่ น เปน็ ของพระองคเ์ อง
๘ เกสร สว่ นทเ่ี หลือแบ่งประทานพระพรหม ๒๔ เกสร พรอ้ มกบั กลีบดอกบัว
ทงั้ ๘ กลบี พระวิษณุ ๘ เกสร และพระอคั นีหรอื พระเพลิง ๑๓๓ เกสร
เทพเจา้ ทง้ั ๔ เนรมติ ดอกบวั ในแตล่ ะสว่ นทพี่ ระองคไ์ ดไ้ วใ้ หบ้ งั เกดิ เปน็ ชา้ ง
ขน้ึ ในโลก ปรากฏเปน็ คชพงศห์ รอื ชา้ งตระกลู ตา่ ง ๆ ๔ ตระกลู มชี อื่ เรยี กตามนาม
เทพเจา้ ผเู้ นรมติ ไดแ้ ก่ ชา้ งตระกลู อศิ วรพงศ์ พรหมพงศ์ วษิ ณพุ งศ์ และอคั นพิ งศ์
172
และเมื่อให้ก�ำเนิดช้างแล้วก็โปรดให้มีเทวดา ๒๖ องค์สถิตรักษาส่วนต่าง ๆ
อยู่ในรา่ งกายของช้าง ได้แก่ พระอาทิตย์อยูท่ ีห่ ัว พระจันทร์อยู่ที่คอ พระองั คาร
อยู่ทีบ่ ่าท้ัง ๒ ข้าง พระพธุ อย่ทู ่ีเทา้ ทง้ั สี่ พระพฤหสั บดอี ยูท่ ่หี ัวใจ พระศุกร์อยทู่ ่ี
ทอ้ ง พระเสาร์อยทู่ ีอ่ วัยวะเพศ พระราหอู ยู่ทลี่ น้ิ พระเกตุอยทู่ อี่ ก พระจักรีอยู่ท่ี
ตาทั้งคู่ พระเทพทณั ฑิอยู่ทงี่ าขา้ งขวา พระกาลอยู่ที่งาข้างซา้ ย พระกลอี ยู่ท่ีเลบ็
พระนาคราชอยู่ท่ีงวง พระกัลเหียงคงคาอยู่ท่ีแก้ม พระพายอยู่ที่หูทั้งสองข้าง
พระมงคลนาคราชอยทู่ หี่ าง พระฤๅษกี รรมอยทู่ สี่ ขี า้ งดา้ นขวา พระเบญจเทพอยู่
ทส่ี ีขา้ งดา้ นซ้าย กมุ ฤแดงวาสุเทพอยทู่ ีต่ ะโพก พระฤๅษีธรณอี ยตู่ ามส่วนต่าง ๆ
ทเ่ี หลือของสรรพางค์ ได้แก่ หนงั ขนตา มูล มตู ร และเนื้อ
คชพงศ์ทั้ง ๔ ตระกูล มีรูปร่างลักษณะแตกต่างกันไปตามเทวฤทธ์ิของ
เทพเจา้ ทง้ั ๔ นนั้ ในคมั ภรี ค์ ชลกั ษณแ์ บง่ ลกั ษณะสำ� คญั ของชา้ งออกเปน็ ๒ กลมุ่
คือ ช้างศุภลักษณ์ หมายถึง ช้างลักษณะดี และช้างทุรลักษณ์ บางต�ำราเรียก
บาปลักษณ์ หรอื อัปลกั ษณ์ หมายถงึ ชา้ งลักษณะรา้ ย
อน่ึง ช้างแต่ละพงศ์ ต่างมีรูปรา่ งลกั ษณะเฉพาะเปน็ เอกลกั ษณแ์ ห่งพงศ์
นน้ั ๆ มีดงั น้ี
ช้างตระกูลอิศวรพงศ์ เม่ือพระอิศวรโยนเกสรบัวส่วนที่พระองค์ได้ไว้
ท้ัง ๘ เกสรลงในโลกแล้ว บังเกิดเป็นคชชาติ ๘ หมู่ รวมเรียกว่า อัฐคชาธาร
ลกั ษณะเป็นชา้ งศภุ ลักษณ์ วรรณะกษตั รยิ ์ มผี ิวหนังละเอียด เกลี้ยง สดใส สีขน
มีสีเดียวกับสีผิวด�ำสนิทเสมอกันตลอดตัว หน้าใหญ่ น�้ำเต้า (อวัยวะส่วนท่ีอยู่
ต้นงวง มีรูปโปง่ คล้ายน้�ำเตา้ ) กลม โขมด (อวัยวะสว่ นกลางกระหม่อมช้าง หรือ
จอมปราสาทศีรษะช้าง) สูง ขมับเต็มไม่พร่องเสมอกันท้ัง ๒ ข้าง กระบอกตา
ใหญแ่ ละงาม ใบหูใหญ่ ระบายหอู ่อนน่มุ ข้างขวามีขนมากกวา่ ขา้ งซา้ ย คอกลม
งวงเรียวเป็นต้นเป็นปลายใหญ่ไปหาเล็ก งาทั้งคู่ใหญ่เสมอกันและงอนขึ้นอยู่ใน
ระดับเดียวกนั สนับงา (อวยั วะส่วนที่เป็นเนอ้ื หมุ้ โคนงา) มี ๒ ชัน้ ปากรี มีรปู
เหมอื นพวย (ปาก) หอยสงั ข์ อกใหญ่ เทา้ ทงั้ สีใ่ หญเ่ รยี วดอู อ่ น มีรอยรัดข้อเทา้
173
(อวัยวะส่วนข้อเท้าเหนือเล็บ มีรอยยุบเข้ารอบข้อเท้าเหมือนถูกเชือกผูกรัดไว้)
ฝกั บัวกลม (อวยั วะสว่ นเทา้ ช้างมีเลบ็ รอบ กลม รปู ลกั ษณะเหมอื นฝักบัว) หาง
เปน็ ข้อห่าง ๆ ช่อม่วง (อวัยวะเพศของชา้ งพลาย) ยาวเอียงไปข้างขวา ผนดท้อง
(อวัยวะส่วนท้องมีรอยย่นของผิวหนังวนตามขวางล�ำตัว) ตามวง หลัง ล�ำตัว
ส่วนหน้าสูงกว่าท้าย (อวัยวะส่วนตะโพก) เมื่อเดินยกคอ หลังโค้งข้ึนเล็กน้อย
เป็นคนั ธนู ท้ายเหมือนสุกร ทกุ สว่ นของรา่ งกายงามพร้อม
ช้างตระกูลพรหมพงศ์ เป็นช้างศุภลักษณ์ วรรณะพราหมณ์ มีผิวหนัง
ละเอยี ดอ่อน ขนเส้นเรียบยาวอ่อนละเอยี ดงอกขึน้ ขุมละ ๒ เสน้ สขี นมสี ีเดยี ว
กบั สตี วั ขนหู ขนปาก ขนตา และขนหลงั ยาว มกี ระขาวดุจดอกกรรณกิ าร์ทัว่ ตัว
หน้าใหญ่ น้�ำเต้าแฝด โขมดสูง นัยน์ตางามใสดุจแก้ว ค้ิวสูง งวงเรียวเป็นต้น
เปน็ ปลายและสั้น แลดงู าม งายาวใหญ่สมส่วน สเี หลอื งดจุ สีดอกจ�ำปา อกใหญ่
สขี าว เทา้ ท้ัง ๔ ขา้ งใหญ่ เรียว มรี อยรดั ข้อเท้า ฝักบัวกลม ขณะยนื สว่ นหน้า
สูงกวา่ สว่ นทา้ ย ทกุ ส่วนของร่างกายงามพรอ้ ม
ในต�ำราสร้างโลกกลา่ วว่า พระพรหมไดแ้ บง่ เกสรบัว ส่วนทพี่ ระองค์ไดไ้ ว้
มอบให้นางเทพอปั สรมหาอุปกาลี ๑๐ เกสร นางกินเกสรบัวแลว้ ใหก้ �ำเนิดชา้ ง
๑๐ หมู่ ตระกูลพรหมพงศ์ เป็นช้างศุภลักษณ์ วรรณะพราหมณ์ ส่วนกลีบบัว
๘ กลีบ พระพรหมได้เนรมิตใหบ้ ังเกดิ เปน็ คชชาติ ๘ หมู่ ได้นามว่า อฐั ทศิ ให้อยู่
ประจ�ำทศิ ทัง้ ๘ และเกสรบัวส่วนท่ีเหลอื อีก ๑๔ เกสร ได้เนรมิตใหบ้ งั เกิดเปน็
คชชาติ โดยมกี ำ� เนดิ จากการประสมระหวา่ งชา้ งอฐั ทศิ ทงั้ ๘ หมนู่ น้ั ใหเ้ ปน็ ชา้ งอกี
๑๔ หมู่ ได้นามว่า อ�ำนวยพงศ์ เป็นชา้ งศุภลักษณ์ วรรณะพราหมณ์ เชน่ เดยี วกนั
ชา้ งตระกลู วษิ ณพุ งศ์ เมอื่ พระวษิ ณุโยนเกสรบวั ทั้ง ๘ ลงบนพืน้ โลกแลว้
กเ็ นรมติ ใหบ้ งั เกดิ เปน็ ชา้ ง ๘ หมู่ เรยี กวา่ อฐั คช เปน็ ชา้ งศภุ ลกั ษณ์ วรรณะแพศย์
มีผวิ หนงั หนา สีขนสีเดียวกบั สีตัว ขนเกรียน หนา้ ใหญ่ น�้ำเต้ากลม โขมดใหญ่
และงาม ลกู นยั นต์ าใหญส่ ขี าวขนุ่ คางใหญ่ คอใหญแ่ ละสน้ั อกใหญ่ งวงยาวเรยี ว
เป็นตน้ เปน็ ปลาย ตวั ใหญ่สัน้ และงาม หลังราบ (อวยั วะส่วนหลังโคง้ เรียบไม่เปน็
174
ปมุ่ เปน็ ตอ) หางยาวบงั คลอง (อวยั วะสว่ นโคนหางกวา้ งปดิ ชอ่ งทวารเหมอื นเปน็
เนอื้ เดยี วกบั ตะโพก) กระชน้ั ควาญ (อวยั ะสว่ นเหนอื โคนหาง บางทเี รยี กทา้ ยชา้ ง)
งาม เทา้ ทง้ั สใ่ี หญ่ เรยี ว มีรอยรัดขอ้ เทา้ ฝักบวั กลม มกี ระละเอียดสีแดงเสมอกัน
บรเิ วณลำ� ตัวและใบหู เมือ่ ร้องมเี สียงดังกอ้ งกังวาน
ชา้ งตระกลู อคั นพิ งศ์ เมอื่ พระอัคนโี ยนเกสรบัวลงบนพน้ื โลกแลว้ เนรมิต
ให้บังเกิดเป็นช้างวรรณะศูทร โดยแบ่งเกสรจ�ำนวน ๔๗ เกสรให้บังเกิดเป็น
คชชาตอิ คั นพิ งศศ์ ภุ ลกั ษณ์ ๔๗ หมู่ และโยนเกสรบวั ลงไปอกี ๘๑ เกสรใหบ้ งั เกดิ
เปน็ คชชาตอิ คั นพิ งศ์ทรุ ลกั ษณห์ รอื อปั ลักษณ์ ๘๑ หม ู่ สว่ นเกสรท่ีเหลอื อีก ๑๒
เกสร กเ็ นรมติ ใหบ้ งั เกดิ เปน็ คชชาตอิ คั นพิ งศท์ รุ โทษ ๕ หมู่ และอคั นพิ งศล์ หโุ ทษ
๗ หมู่ แต่ละหมู่มีลักษณะเฉพาะแหง่ วรรณะดงั นี้
- คชชาตอิ คั นพิ งศศ์ ภุ ลกั ษณ์ มผี วิ หนงั กระดา้ ง เสน้ ขนหยาบ ขนมสี เี ดยี ว
กบั สีตัว หนา้ มีกระเล็ก ๆ สแี ดงเสมอกนั เหมอื นแววหางนกยูงดงู ดงาม หนา้ งวง
แดง ปากแดง นยั นต์ าสนี ำ้� ผงึ้ หแู ดง ตะเกยี บหู (อวยั วะสว่ นกระดกู ใบหตู อนบน)
ห่าง ขนหูหยาบ งาสีแดงเร่ือ ๆ สันหลังแดง หางส้ันเขิน เท้าทั้งสี่ใหญ่ เรียว
มีรอยรดั ขอ้ เท้า ฝักบวั กลม เส้นขนหางกลมละเอียดดงู าม สกี ายหมน่ ไมด่ ำ� สนิท
- คชชาติอัคนิพงศ์ทุรลักษณ์หรืออัปลักษณ์ เป็นช้างท่ีมีรูปร่าง ขนาด
สีกาย และบคุ ลิกผิดปรกติ พกิ าร หรือแปลกประหลาดกว่าชา้ งทัว่ ไป ไมง่ ดงาม
สมส่วน เป็นช้างที่ให้โทษแก่ผ้เู ลย้ี งดแู ละไดพ้ บเหน็
คชพงศท์ ี่กล่าวมาข้างต้น สว่ นทมี่ คี ณุ สมบัติเป็นศุภลกั ษณ์ เชอื่ กันว่าเปน็
ช้างที่สง่ ให้เกิดสิริมงคลต่าง ๆ แกผ่ ู้เลี้ยงดู ถา้ เปน็ ชา้ งตระกลู อิศวรพงศ์จะท�ำให้
บังเกิดความเจริญรุ่งเรือง ม่ังมีด้วยทรัพย์สมบัติและอ�ำนาจวาสนา ช้างตระกูล
พรหมพงศจ์ ะทำ� ใหเ้ จรญิ ดว้ ยอายุ มคี วามวฒั นาสถาพรและคณุ วเิ ศษทางวชิ าการ
ด้านต่าง ๆ ช้างตระกูลวิษณุพงศ์จะท�ำให้ประสบชัยชนะแก่ศัตรูและหมู่มาร
เจรญิ ดว้ ยพชื พนั ธธ์ุ ญั ญาหาร นำ�้ ทา่ นำ้� ฝน อดุ มสมบรู ณ์ เปน็ ทตี่ อ้ งใจแกค่ นทวั่ ไป
และช้างตระกูลอัคนิพงศ์ถ้ามีลักษณะเป็นศุภลักษณ์ ก็จะเกิดมงคลแก่ผู้เล้ียงดู
175
แต่ถ้ามีลักษณะทุรลักษณ์จะมีสภาพเหมือนไฟสุมอยู่ในอกของผู้เล้ียงดู มักเกิด
เหตุร้ายวิปริตไปต่าง ๆ จึงไม่ควรเลี้ยงไว้ในบ้านในเมือง ควรน�ำไปปล่อยในป่า
ให้อยูต่ ามธรรมชาตขิ องชา้ งตอ่ ไป
(นางสาวก่องแก้ว วีระประจักษ)์
ก�ำเนิดคชพงศ์ ตอนท่ี ๒ : ชา้ งมงคลและชา้ งเผอื ก
ช้างมงคล คือช้างที่มีลักษณะดีสมบูรณ์พร้อมด้วยมงคลตามคัมภีร์
คชลักษณ์ ไดแ้ ก่ กลุ่มช้างศภุ ลักษณ์ ๔ ตระกลู และถา้ ชา้ งศภุ ลักษณ์ตระกลู ใด
ตระกูลหน่ึงมีคุณลักษณะมงคลเป็นพิเศษอย่างยิ่งเฉพาะแห่งในร่างกายอีก ๗
ประการ จงึ เรยี กว่า ช้างเผือก ไดแ้ ก่ นัยน์ตาสขี าว (เหมือนสนี มขน้ ) ขน เลบ็ และ
ขา้ งในไรเลบ็ เพดาน เปน็ สขี าว ผิวหนงั ขาวหรือสีคล้ายสหี ม้อใหม่ (สที องแดง)
ขนหางยาวเปน็ เส้นเรียบมนั เงา อัณฑโกศ (หนงั หมุ้ อวยั วะเพศช้างพลาย) สขี าว
หรือสีชมพู หรือสีคลา้ ยสีหมอ้ ใหม่
ตามคติโบราณเช่ือกันว่าลักษณะมงคลทั้ง ๗ ประการบังเกิดข้ึนภายใน
กายของช้างเผือกเอง หากบ้านเมืองใดมีช้างเผือกเป็นช้างคู่บ้านคู่เมืองคู่
พระบารมีของพระมหากษัตริย์ แสดงว่าพระมหากษัตริย์พระองค์นั้นทรงมี
บญุ ญาธกิ ารยงิ่ ดว้ ยพระบรมเดชานภุ าพ เปน็ สริ มิ งคลอนั อดุ มยงิ่ แกบ่ า้ นเมอื งนน้ั
อาณาประชาราษฎรก์ จ็ ะมแี ตค่ วามสขุ ทวั่ หนา้ และยงั มคี วามเชอื่ อกี วา่ มงคลทอี่ ยู่
ในกายของชา้ งเผอื กนัน้ มอี ทิ ธสิ ง่ สริ ิมงคลออกไปถงึ ผู้เป็นเจา้ ของ ผู้ได้ปรนนบิ ตั ิ
เลยี้ งดู รวมถึงผ้อู ่ืนแมเ้ พยี งได้เห็นก็ไดร้ ับสริ ิมงคลแห่งช้างเผอื กนัน้ ดว้ ย
ในคัมภีร์ไตรภูมิกล่าวว่า ช้างเผือกเป็นสัญลักษณ์หน่ึงของส่ิงมงคลคู่
พระบารมขี องพระมหาจกั รพรรดิ คอื เปน็ หนง่ึ ในสปั ตรตั นะหรอื แกว้ ๗ ประการ
ได้แก่ จกั รแก้ว มณีแกว้ นางแกว้ ขุนพลแก้ว ขนุ คลังแกว้ ม้าแกว้ และชา้ งแก้ว
เรอ่ื งเกย่ี วกบั ชา้ งมขี อ้ กำ� หนดเปน็ กฎหมายของไทยวา่ ผใู้ ดมชี า้ งลกั ษณะดี
เปน็ มงคล จะดว้ ยการคลอ้ งได้ จบั ได้ หรอื ชา้ งของตนตกลกู ออกมาในบา้ น ตอ้ งนำ�
176
ช้างนั้นขึ้นน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ช้างลักษณะเป็น
มงคลดังกลา่ วในพระราชบญั ญตั ริ ักษาชา้ งปา่ พ.ศ. ๒๔๖๕ ก�ำหนดไว้มี ๓ ชนิด
คอื ช้างส�ำคญั ชา้ งสีประหลาด และช้างเนียม ชา้ งแต่ละชนดิ มรี ายละเอยี ดดงั นี้
ชา้ งส�ำคัญ คือ ชา้ งศุภลักษณต์ ระกลู ใดตระกูลหน่งึ กบั มลี กั ษณะเฉพาะ
แหง่ มงคลช้างเผือกครบทัง้ ๗ ประการ
ชา้ งสปี ระหลาด คอื ชา้ งศภุ ลกั ษณต์ ระกลู ใดตระกลู หนงึ่ ทมี่ ลี กั ษณะเฉพาะ
แหง่ มงคลชา้ งเผือก เพยี งอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ หรอื หลายแหง่ แต่ไม่ครบ ๗ อยา่ ง
ช้างเนียม คือ ช้างศุภลักษณ์ตระกูลใดตระกูลหน่ึง มีผิวหนังด�ำ งาดัง
ปลกี ล้วย เล็บดำ� เปน็ ช้างหายาก นอ้ ยนักจะพบช้างลักษณะเช่นน้ี
การได้พบช้างดังกล่าวข้างต้น เมื่อผู้รู้ได้พิสูจน์แน่ชัดแล้วว่าเป็นช้างที่
มีลักษณะมงคลจริง ถึงแม้ว่าจะไม่ครบทุกส่วนตามที่ปรากฏในต�ำรา เบ้ืองต้น
กำ� หนดเรยี กวา่ ชา้ งสำ� คญั กอ่ น ตอ่ เมอ่ื ไดน้ ำ� ขน้ึ นอ้ มเกลา้ ฯ ถวายและประกอบ
พระราชพิธีสมโภช ขึ้นระวาง (ข้ึนทะเบียนรับราชการ) กับพระราชทานนาม
เคร่ืองคชาภรณ์ และเคร่ืองยศ แล้ว จึงเรียกว่า ช้างเผือก และเมื่อถือว่าเป็น
ชา้ งของพระเจา้ แผน่ ดิน จะเรียกวา่ พระยาชา้ งตน้ หรอื ช้างตน้ สว่ นชา้ งทท่ี รง
ใชเ้ ป็นพระราชพาหนะ เรยี กว่า ชา้ งพระท่นี ั่ง
ตามประเพณสี บื มาแตโ่ บราณ ชา้ งเผอื กทข่ี นึ้ ระวางเปน็ พระยาชา้ งตน้ มกี าร
จัดล�ำดับแห่งมงคลลักษณะเป็นช้างเผือกเอก ช้างเผือกโท และช้างเผือกตรี
โดยยกย่องให้มีศักดิ์สูงคล้ายกับพระราชวงศ์ช้ันเจ้าฟ้า สังเกตได้จากในการ
พระราชพิธีสมโภชขึ้นระวางช้างเผือก จะมีการอ่านฉันท์ดุษฎีสังเวยและขับไม้
ซงึ่ ถือกนั วา่ เป็นของสูง มไี ด้เฉพาะพระราชพธิ ีสำ� คัญ ๓ พธิ เี ท่านน้ั คือ
๑. การพระราชพธิ สี มโภชพระมหาเศวตฉตั รและเครอ่ื งสริ ริ าชกกธุ ภณั ฑ์
ในงานพระราชพิธฉี ตั รมงคล
๒. การพระราชพธิ สี มโภชเดอื นขนึ้ พระอขู่ องสมเดจ็ พระเจา้ ลกู เธอทดี่ ำ� รง
พระยศชัน้ เจา้ ฟา้
177
๓. การพระราชพิธสี มโภชขึ้นระวางช้างเผือก
นามช้างเผือกที่ได้รับพระราชทานในสมัยอยุธยา ถ้าเป็นช้างพลาย มัก
ขนึ้ ต้นด้วย พระบรม เชน่ พระบรมไกรสร สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงได้เมือ่
พ.ศ. ๒๐๙๐ ถ้าเป็นช้างพังจะข้ึนต้นด้วย พระอินท เช่น พระอินทไอยราพต
สมเด็จพระเพทราชาทรงได้เม่ือ พ.ศ. ๒๒๓๓ ในสมัยรัตนโกสินทร์ ถ้าเป็น
ช้างพลาย ข้ึนต้นด้วย พระเศวต เช่น พระเศวตสุวภาพรรณ พระบาทสมเด็จ
พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั ทรงไดเ้ มอ่ื พ.ศ. ๒๔๑๕ ถา้ เป็นชา้ งพังจะข้ึนต้นดว้ ย
พระเทพ เชน่ พระเทพคชรัตนกิริณี พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยหู่ ัว
ทรงได้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๗
เครื่องคชาภรณ์ที่ได้รับพระราชทานในวันประกอบพระราชพิธีสมโภช
ข้นึ ระวางช้างเผอื ก ประกอบด้วย ผ้าปกกระพอง (ผ้าคลมุ ศรี ษะ มีตาขา่ ยหอ้ ย
ลงมาอยู่ที่หน้าผาก) พู่หู (พู่สีขาว ส่วนใหญ่ท�ำจากขนหางจามรี) ห้อยจากผ้า
ปกกระพองอยู่ดา้ นหนา้ ใบหทู ัง้ ๒ ข้าง ทามคอ (เชอื กถกั เปน็ แผ่นแบน ใชว้ น
รอบคอช้าง) พานหน้า (เชือกถักเป็นแผ่นแบน ใช้วนรอบอก) พานหลัง
(เชือกถกั เปน็ แผน่ แบน ๒ เสน้ คู่ มีเส้นโยงเช่อื ม ๑ เสน้ ใชว้ างทอดบนหลงั ) ส่วน
ปลายเส้นเชือกทามคอ พานหน้า พานหลัง จะมีห่วงติดไว้เป็นที่ยึดแต่ละเส้น
กบั ยงั มี สำ� อาง (หว่ งโลหะรปู โคง้ ครง่ึ วงกลม ใชค้ ลอ้ งใตโ้ คนหางยดึ กบั พานหลงั )
พนาศ (ผ้าคลุมหลัง) และ เสมาคชาภรณ์ (สายสร้อยทองค�ำห้อยจ้ีรูปเสมา
ทองคำ� ลงยา)
เครอ่ื งยศทไ่ี ดร้ บั พระราชทาน ดงั มตี วั อยา่ งปรากฏในพระราชพงศาวดาร
กรงุ รตั นโกสินทร์ รชั กาลที่ ๓ ของเจ้าพระยาทิพากรวงศม์ หาโกษาธบิ ดี กล่าววา่
ประกอบดว้ ย หมอ้ นำ้� (ท�ำด้วยเงนิ ) ๒ หมอ้ โต๊ะ (พานมีเชงิ ทำ� ด้วยเงนิ ) ๔ โต๊ะ
ใชว้ างอาหารมกี ลว้ ย อ้อย เป็นตน้
เครื่องคชาภรณ์และเครื่องยศท่ีได้รับพระราชทานดังกล่าวข้างต้นจะมี
ความแตกตา่ งกนั ตามชัน้ ยศและหนา้ ท่ี กลา่ วคอื ช้างเผอื ก หรือ ชา้ งพระทนี่ ่ัง
178
เคร่ืองคชาภรณ์ท่ีได้รับพระราชทานเป็นชุดเคร่ืองกุด่ัน คือส่วนท่ีเป็นตาข่ายท�ำ
ดว้ ยกดุ นั่ (แก้วแกมทอง) ประกอบดว้ ยลูกปัดทำ� ด้วยแกว้ เจยี ระไนประดบั ต้งุ ติ้ง
ทำ� ด้วยทองค�ำ ชา้ งต้นได้รบั พระราชทาน เคร่ืองถมปดั คอื สว่ นท่เี ป็นตาขา่ ยทำ�
ดว้ ยเครอ่ื งถมปดั (ลกู ปดั และตงุ้ ตง้ิ ทำ� ดว้ ยโลหะ เขยี นลวดลายดว้ ยนำ้� ยาถมปดั ซง่ึ
ประกอบดว้ ยลกู ปดั แกว้ สตี า่ ง ๆ บดเปน็ ผงละเอยี ดผสมกบั นำ้� เมอื กเมลด็ แมงลกั
เขียนเสร็จแล้วน�ำไปอบให้ร้อน น�้ำยาถมปัดจะจับติดโลหะคล้ายการเขียนสี
เคลือบโลหะน้นั ) ช้างดงั้ ได้รบั พระราชทาน เคร่อื งลูกพลู (สว่ นท่เี ปน็ ตาข่ายท�ำ
ดว้ ยผา้ ปกั ดิน้ ทองฉลเุ ปน็ ลวดลาย มีพู่หอ้ ยตามส่วนต่าง ๆ ของเคร่อื งคชาภรณ)์
ชา้ งหลวงทข่ี นึ้ ระวางใชใ้ นราชการแลว้ จะไดร้ บั การฝกึ หดั ใหป้ ฏบิ ตั หิ นา้ ที่
ตามตำ� แหน่งที่ได้รับ ดงั นี้
๑. ช้างเผือก จะไดร้ ับการฝกึ หัดให้สามารถยืนน่งิ ๆ ไดเ้ ป็นเวลานาน ๆ
ไม่ต่ืนตกใจเมอ่ื ได้ยนิ เสยี งพระสงฆ์สวดมนต์และให้มคี วามเคยชนิ กบั เสียงดนตรี
เสียงขับกล่อม กับมีหน้าที่หลักคือแต่งเครื่องคชาภรณ์ออกยืนแท่น เพื่อแสดง
พระเกยี รตยิ ศของพระมหากษตั รยิ ใ์ นงานพระราชพธิ สี ำ� คญั ๆ ไดแ้ ก่ พระราชพธิ ี
บรมราชาภเิ ษก พระราชพธิ เี ฉลมิ พระชนมพรรษา พระราชพธิ ฉี ตั รมงคล รวมทง้ั
ในการเสดจ็ ออกรบั ราชทตู ตา่ งประเทศ หรอื ในงานพระราชทานเลยี้ งเปน็ เกยี รติ
แก่พระราชอาคันตุกะผู้เป็นประมุขของต่างประเทศ ตัวอย่างเช่น ในสมัยต้น
รัตนโกสินทร์ เม่อื ประกอบพระราชพธิ ดี งั กล่าว ก็จะแตง่ ชา้ งเผือกออกยืนเครอื่ ง
ทเ่ี กยขา้ งพระทนี่ งั่ ดสุ ดิ าภริ มย์ ในพระบรมมหาราชวงั ทกุ คราว ดงั ปรากฏหลกั ฐาน
ในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลท่ี ๓ เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จ
พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ ออกทรงรบั ราชทตู องั กฤษ เมอ่ื พ.ศ. ๒๓๖๘ ความวา่
ครั้งนั้นเป็นการใหญ่...ท่ีเกยข้างนอกก�ำแพง ยืนช้างพระท่ีน่ังแต่ง
เครอ่ื งกดุ น่ั ผกู พนาศระบาย ๓ ชนั้ ผา้ ปกั หลงั กนั ชพี นายควาญนงุ่ กางเกง
สนับเพลาสมปักลาย คาดเกี้ยว คาดปะคด สวมเส้ือทรงประพาส หมวก
ทรงประพาส ถือขอช้าง เชิญพระแสงของ้าว คนถือกันชิงเกลดหน้า
179
๒ หลงั ๒ คน ถือตะบองกลงึ ข้างละ ๒ ถอื แสไ้ ม้หวายขา้ งละ ๒ ถือแส้
หางม้าข้างละ ๑ และมีคนถือเครื่องยศส�ำหรับพระยาช้าง หม้อน้�ำเงิน
๑ โตะ๊ เงนิ กล้วย ๒ หญ้า ๒...
ส่วนวันปรกติที่ไม่มีพระราชพิธี ตามหลักฐานท่ีได้ทราบจากควาญผู้
ดูแลพระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ ช้างเผือกช้างแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ
พระมหาภูมพิ ลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เมื่อคร้ังยงั อยูท่ ่ีโรงชา้ งต้นใน
บรเิ วณพระตำ� หนกั จติ รลดารโหฐาน สมั ภาษณเ์ มอื่ วนั ที่ ๑๐ มนี าคม พ.ศ. ๒๕๔๗
เล่าว่า ทุกวัน เวลาประมาณ ๑๔.๐๐ น. ควาญต้องแต่งกายให้พระเศวตฯ
ด้วยเคร่ืองคชาภรณ์ล�ำลอง พาเดินออกจากโรงช้างต้น ไปตามถนนด้านหลัง
พระตำ� หนกั ทปี่ ระทบั พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั เมอื่ ถงึ ตรงทป่ี ระทบั จะหยดุ
เดินแล้วถวายบังคม ๓ คร้งั จากนนั้ จงึ เดนิ กลบั โรงช้างต้น พระเศวตฯ จะปฏบิ ตั ิ
เช่นนี้ทุกวันไม่ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะประทับอยู่ในพระต�ำหนัก
หรอื ไมก่ ต็ าม ทงั้ นเี้ ปน็ ไปตามราชประเพณที วี่ า่ หนา้ ทป่ี ระจำ� ของชา้ งเผอื กประจำ�
รัชกาล ต้องถวายความจงรักภักดีเพื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้
ทอดพระเนตรช้างเผอื กทกุ วนั จะไดย้ งั ใหบ้ งั เกิดสริ ิมงคลอย่างยิง่ แดพ่ ระองค์
๒. ช้างพระท่ีน่ัง จะได้รับการฝึกหัดให้สามารถเดินในกระบวนได้
เรียบรอ้ ย ใหร้ ูจ้ ักการต่อสไู้ ดค้ ลอ่ งแคล่ว เช่น การใช้งาชน แทง งดั หรือประงา
กับคู่ต่อสู้ ท่ีเรียกว่า ช้างบ�ำรูงา ท้ังน้ีเพราะในสมัยโบราณพระเจ้าแผ่นดินจะ
ทรงช้างเพื่อการศึกสงครามในการรักษาบ้านเมือง และการขยายขอบเขต
พระราชอาณาจกั ร เป็นต้น
๓. ช้างต้น คอื ช้างทบ่ี างคร้งั พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั อาจทรงเลอื ก
ใชเ้ ปน็ พระราชพาหนะ จงึ ไดร้ บั การฝึกหัดให้รู้งานและมคี วามสามารถเชน่ เดยี ว
กับช้างพระที่นั่ง
๔. ช้างด้ัง เป็นช้างท่ีจัดเข้าในกระบวนทัพหน้า ต้องฝึกหัดให้รู้จักการ
เดินทัพ การต่อสู้โดยใช้งาปะทะวิ่งชนไปเบ้ืองหน้า บุกตะลุยทำ� ลายสิ่งกีดขวาง
180
เคยชินกับเสียงปืน และอาวุธชนิดต่าง ๆ ถ้าเป็นกระบวนแห่ช้างด้ังจะเดินอยู่
หนา้ กระบวน
ชา้ งมงคลและชา้ งเผอื กมเี ขา้ มาสพู่ ระบารมขี องพระเจา้ แผน่ ดนิ ไทยทกุ ยคุ
ทุกสมัย เช่น ในสมัยอยุธยา ช้างเผือกท่ีขึ้นระวาง มีการกล่าวถึงมากท่ีสุดคือ
รัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ (พ.ศ. ๒๐๙๑-๒๑๑๑) มีชา้ งเผือกในรัชกาล ๗
ชา้ ง และไดร้ บั การถวายพระราชสมญั ญานามวา่ “พระเจา้ ชา้ งเผอื ก” สว่ นในสมยั
รัตนโกสินทร์ รัชกาลท่ี ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงมี
ช้างเผอื กในรัชกาล ๖ ช้าง แตท่ ีส่ ำ� คญั เป็นช้างเผือกเอก จำ� นวนมากถึง ๓ ชา้ ง
ด้วยเหตุนี้จึงโปรดเกล้าฯ ให้ใช้ธงรูปช้างเผือกเป็นธงประจ�ำชาติแต่นั้นมาจนถึง
รชั กาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยหู่ ัวได้โปรดเกลา้ ฯ ให้เปล่ยี น
ธงชาติเป็นธง ๓ สี เหมอื นชาติตะวันตก และใช้สืบมาจนถงึ ทุกวนั นี้
ในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพติ ร
ทรงมชี า้ งเผอื กและชา้ งสปี ระหลาดเขา้ มาสพู่ ระบารมี ๑๙ ชา้ ง ทไ่ี ดม้ กี ารประกอบ
พระราชพิธีสมโภชขึ้นระวางแล้วเป็นช้างเผือก ๑๐ ช้าง ช้างเผือกและช้างสี
ประหลาดที่ทรงรับเป็นช้างต้น แต่ยังไม่ได้ประกอบพระราชพิธีสมโภช ๙ ช้าง
ช้างทุกช้างโปรดเกล้าฯ ให้สถาบันคชบาลแห่งชาติดูแล และน�ำข้ึนไปยืนโรงท่ี
โรงช้างตน้ ศนู ยอ์ นุรกั ษช์ ้างไทย อำ� เภอห้างฉัตร จังหวดั ลำ� ปาง จ�ำนวน ๖ ชา้ ง
และทโ่ี รงช้างตน้ ในบริเวณพระต�ำหนักภูพานราชนิเวศน์ อ�ำเภอเมอื งสกลนคร
จังหวดั สกลนคร จำ� นวน ๔ ชา้ ง
ช้างเผือกช้างแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดช
มหาราช บรมนาถบพิตร ทรงได้มาเมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๒
โปรดเกลา้ ฯ พระราชทานนามวา่ พระเศวตอดลุ ยเดชพาหนฯ ยนื โรง ณ โรงชา้ งตน้
ในบริเวณพระต�ำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต ตลอดเวลาจนถึงต้น
พ.ศ. ๒๕๔๗ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพติ ร
เสดจ็ แปรพระราชฐานไปประทบั ทวี่ งั ไกลกงั วล อำ� เภอหวั หนิ จงั หวดั ประจวบครี ขี นั ธ์
จึงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายพระเศวตฯ ไปยืนโรงอยู่ท่ีโรงช้างต้นซึ่งสร้างขึ้นใหม่
ในบริเวณวังไกลกังวล อ�ำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (และล้มเมื่อ ๓