31
เชือกวัดอย่างถูกต้องว่าท่ีไร่ที่สวนน้ันมีขนาดกี่ไร่ หรือมีขนาดกี่เส้นก่ีวาเพ่ือใช้
คำ� นวณการเกบ็ อากรตามพกิ ดั อตั รา เช่น กล้วยปลกู ใหม่ ออ้ ยปลกู ใหม่ คราม
ปลูกใหม ่ หอม กระเทยี ม แตงโม ถวั่ ลสิ ง อากรไร่ละบาท
ข่า อากรไร่ละ ๓ สลงึ
ถั่วเขียว ถ่วั ดำ� ถั่วแระ ข้าวโพด งา ต้นแมงลกั อากรไรล่ ะ ๒ สลึง
มนั เทศ กระจบั พรกิ เทศ ฟักทอง อากรไร่ละ ๑ สลึง
พลูไม้ลม้ ลกุ ๑๒ คา้ งตอ่ ๑ เฟอ้ื ง มะขาม ๒ ตน้ ๑ เฟ้อื ง
ดงั นั้นค�ำว่า คงเส้นคงวา ตามอากรสมพตั สร หมายถึง “ตรงตามหรือคงท่ี
ตามขนาดของทไี่ รท่ ส่ี วน” จะเหน็ ไดว้ า่ ปจั จบุ นั ความหมายเปลยี่ นไปแตก่ ย็ งั มเี คา้
ของความหมายเดมิ อยู่ และคำ� นน้ี า่ จะมีท่ีมาจากการวัดท่ีดนิ ท่ีไร่ท่สี วน นัน่ เอง
(รศ.กรรณกิ าร ์ วิมลเกษม)
หนงั สอื อา้ งองิ
ประชมุ พงศาวดาร ภาคท่ี ๖๙ จดหมายเหตใุ นรชั กาลท่ี ๓ เรอื่ งอากรสมพตั สร
หนังสือเจ้าพระยาจักรีฯ มาเถิงพระยาไชยวิชิตผู้รักษากรุงเก่า. หน้า
๔๓-๔๘.
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔.
กรุงเทพฯ : นานมบี ๊คุ ส์, ๒๕๕๖.
ความหมายและการใช้ค�ำว่า “กัลปนา”
กัลปนา เป็นค�ำโบราณที่พบใช้จารึกมาต้ังแต่ก่อนสมัยสุโขทัยดังที่พบ
ในจารึกขอมสมัยก่อนพระนครซึ่งอายุต้ังแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๕ เป็นต้นมา
เช่น จารกึ บ้านพังพวย พ.ศ. ๑๔๘๔ จังหวัดสระแกว้ จารึกศาลเจา้ เมืองลพบุรี
พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๖ จารกึ อบุ มงุ จงั หวดั อบุ ลราชธานี พ.ศ. ๑๕๓๖ จารกึ ปราสาท
หินพนมวัน ๒ พ.ศ. ๑๕๙๘ และ จารึกปราสาทหินพนมวัน ๓ พ.ศ. ๑๖๒๕
จังหวัดนครราชสีมา และมีใช้ในสมัยสุโขทัยจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ค�ำว่า
32
กลั ปนา มาจากคำ� ภาษาสนั สกฤต วา่ “กลปฺ นา” ตรงกบั คำ� ภาษาบาลวี า่ “กปปฺ นา”
มคี วามหมายว่า จัดแจง ตระเตรียม หรอื ด�ำร ิ
จากการส�ำรวจการใช้คำ� กลั ปนาในจารกึ และเอกสารโบราณของไทยแลว้
พบวา่ ใชท้ ้ังเป็นคำ� กรยิ าและคำ� นาม ใช้เป็นคำ� กริยา ยงั คงใช้ค�ำศัพท์วา่ กลั ปนา
หมายถงึ เจาะจงให้ ให้ หรือ อุทศิ ให้ และใช้เปน็ คำ� นาม หมายถึง ศาสนสถาน
หรือศาสนวัตถุ ข้าคน สัตว์ ส่ิงของเคร่ืองใช้ ท่ีดินหรือส่ิงอื่นซ่ึงเจ้าของอุทิศ
ผลประโยชน์ให้แก่วัดหรือศาสนาจะใช้ค�ำศัพท์ว่า พระกัลปนา เฉพาะที่ดิน
ใช้ค�ำศัพท์ว่า ท่ีกัลปนา ซึ่งเหมือนกับความหมายตามพจนานุกรม ฉบับ
ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ดังมีรายละเอียดการใชใ้ นแตล่ ะสมยั ดงั นี้
การใชค้ �ำกัลปนาในสมยั สุโขทยั
ในสมัยสุโขทัยใช้ค�ำกัลปนาเป็นค�ำกริยา ท่ีเป็นการอุทิศส่วนบุญหรือ
อานิสงสจ์ ากการทำ� บญุ ดงั ตวั อย่างในจารึกตอ่ ไปนี้
จารกึ วัดเขากบ พ.ศ. ๑๙๐๒-๑๙๐๔ ดา้ นที่ ๑ บรรทดั ท่ี ๔ ว่า “..กลั ปนา
บญุ ไปฝากพระยาราม..” แปลว่า อทุ ศิ บุญใหแ้ ก่พระยาราม
จารกึ ของสมเดจ็ พระราชเทพศี รจี ฬุ าลกั ษณ์ ๒ หลกั คอื จารกึ วดั อโสการาม
พ.ศ. ๑๙๔๒ ดา้ นท่ี ๑ บรรทดั ที่ ๓๗-๔๐ วา่ “ ...สมเดจ็ พระราชเทวเี จา้ ทา่ นแสรง้
แกล้งกัลปนาให้เป็นโกฏฐาสบุญโจทนาไปแด่สมเด็จปู่พระยา พ่อออก แม่ออก
ทา่ น อกี สมเดจ็ มหาธรรมราชาธริ าช พระศรธี รรมราชมารดา ญาตกิ ลุ พานพบสบ
สตั วท์ งั้ หลาย...” แปลวา่ สมเดจ็ พระราชเทวี (สมเดจ็ พระราชเทพศี รจี ฬุ าลกั ษณ)์
ทรงตง้ั ใจอุทศิ ใหเ้ ป็นส่วนบุญไปถงึ สมเด็จปูพ่ ระยา พ่อออก แม่ออก สมเด็จมหา
ธรรมราชาธิราช พระศรีธรรมราชมารดา ญาตใิ นตระกูลเดยี วกันและสรรพสตั ว์
ทัง้ หลาย และจารึกวัดบูรพาราม พ.ศ. ๑๙๕๖ บรรทดั ที่ ๔๔-๔๗ ซง่ึ มีใจความ
คลา้ ยกนั วา่ “...ผลานสิ งสด์ งั นส้ี มเดจ็ พระราชเทวเี จา้ ทา่ นแสรง้ แกลง้ กลั ปนาผล
เป็นโกฏฐาสบุณย์เฉพาะไปแก่สมเด็จมหาธรรมราชาธิราชผู้เป็น(ภัษฎรา)ธิบดี
แกส่ มเดจ็ พระศรธี รรมราชมาดา สมเดจ็ ปพู่ ระยา พอ่ ออก แมอ่ อกทา่ น อกี ญาต”ิ
33
แปลวา่ ผลแหง่ อานสิ งสน์ ส้ี มเดจ็ พระราชเทวเี จา้ ตงั้ ใจอทุ ศิ เปน็ สว่ นบญุ เฉพาะแก่
สมเดจ็ พระธรรมราชาผู้เป็นพระสวามี แกส่ มเด็จพระศรธี รรมราชมาดา สมเดจ็
ปู่พระยา พอ่ ออก แมอ่ อก และญาติ
การใชค้ �ำกลั ปนาในสมัยอยธุ ยา
ในสมัยอยุธยาพบการใช้ค�ำกัลปนา ท้ังท่ีเป็นค�ำกริยาและเป็นค�ำนาม
จารกึ ทีใ่ ชเ้ ป็นค�ำกริยาเปน็ การอุทศิ ส่วนบุญเหมอื นในสมัยสโุ ขทัย มีดงั น้ี
จารึกแผน่ ดีบกุ วดั มหาธาตุ ดา้ นที่ ๑ บรรทัดท่ี ๕ วา่ “กัลปนาอานสิ งส์นี้
ไปท่วั ไตรภพสบสัตวน์ กิ ร บดิ รญาตสิ าธชุ น”
จารกึ วดั เขมา พ.ศ. ๒๐๗๙ ดา้ นท่ี ๒ บรรทดั ท่ี ๑๔-๑๗ วา่ “กกู ลั ปนา
บุญสง่ ไปแกค่ รอู ุปชั ฌาย์ พอ่ แม่ ผเู้ ฒ่าผูแ้ ก่ ญาติ แกท่ า้ วแกพ่ ระยา แก่เทพยดา
ทั้งหลายแลสัตว์อันไปตกนรกก็ดี อันได้เป็นเปรตดิรัจฉานก็ดี จงได้ความสุข
ทุก ๆ คน”
จารึกวัดพระเสด็จ พ.ศ. ๒๐๖๘ ใช้เป็นค�ำกริยาเหมือนกันแต่เป็นการ
กลั ปนาหรืออุทศิ ขา้ คน และสงิ่ ของต่าง ๆ ให้แกว่ ัด ดงั ความในด้านท่ี ๓ บรรทัด
ท่ี ๙-๑๒ ว่า “...จึงนายพันเทพรักษา อ�ำแดงคำ� กอง แลอำ� แดงศรีบัวทองผลู้ ูกมี
ใจศรทั ธากัลปนาอีแก้วขา้ แลฆ้องดวงหน่ึงเปน็ เงินเจ็ดบาทไว้กบั อาราม คนใสไ่ ว้
ใหร้ ักษาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ”์ ดา้ นท่ี ๓ บรรทัดที่ ๑๔-๑๖ ว่า “เม่อื
นายพันเทพรักษากัลปนาอีแก้วแลหล่อน�้ำทักษิโณทกต่อหน้าพระสงฆ์ท้ังหลาย
หมายเป็นประธาน” และด้านท่ี ๔ บรรทัดท่ี ๑๕-๒๒ ว่า “จึงนายไกรเชียร
แลอ�ำแดงศรีบัวทองให้ท�ำพินัยกรรมนี้ ไว้แม่เทพแลพ่อห้นลูกให้เป็นข้าอุโบสถ
โดยกัลปนานายพันเทพแลอำ� แดงนอ้ ย แมศ่ รบี ัวทองลกู ...”
ส่วนการใช้เปน็ ค�ำนามพบใช้คำ� ว่า พระกัลปนา กัลปนา และ ท่ีกัลปนา
หมายถึง ผลประโยชนจ์ ากทดี่ ิน ข้า คน หรือสิง่ ของที่อทุ ิศใหแ้ ก่วัด ดงั หลักฐาน
การใชใ้ นจารึกและเอกสารโบราณต่อไปนี้
34
คำ� วา่ พระกลั ปนา พบในจารกึ วดั จฬุ ามณี พ.ศ. ๒๐๐๗ ดา้ นท่ี ๑ บรรทดั
ที่ ๒๖-๒๘ ใช้ในความว่า “ให้ลงจารึกพระราชพงศาวดาร แลพระราชต�ำรา
พระกัลปนาข้าพระจุฬามณี อันประจุพระเกศาแลเป็นข้าพระพุทธบาท” และ
พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม ๑ กล่าวถึงแผ่นดินสมเด็จ
พระเอกาทศรถ มีความตอนหน่ึงว่า “ลุศักราช ๙๕๗ (พ.ศ. ๒๑๓๘) ปีมะแม
สัปตศก ทรงพระกรุณาต้ังก�ำหนดกฎหมายพระไอยการและส่วยสัดพัฒนากร
ขนอนตลาด แลพระกลั ปนาถวายเปน็ นติ ยภตั รแกส่ งั คาราม คามวาสี อรญั ญวาสี
บรบิ รู ณ”์ คำ� วา่ พระกลั ปนา ในขอ้ ความขา้ งตน้ หมายถงึ ขา้ คนและผลประโยชน์
จากทีด่ นิ ที่อทุ ิศให้แก่วัด
ค�ำว่า กัลปนา พบในประชุมพระต�ำราบรมราชูทิศเพื่อกัลปนา สมัย
อยุธยา ภาค ๑ มขี อ้ ความท่ีกล่าวถงึ การที่พระมหากษตั ริย์ทรงถวายทด่ี นิ ไร่นา
และถวายข้าพระโยมสงฆ์ให้แก่วัดโดยเด็ดขาด ใครจะล่วงละเมิดมิได้ เพื่อให้
ดูแลปรนนิบัติพระสงฆ์และต้องท�ำไร่ท�ำนาเพาะปลูกบนผืนดินที่ทรงพระบรม-
ราชูทศิ พระราชทาน เพือ่ น�ำผลผลิตไปบำ� รงุ วัดและเป็นปัจจยั แก่พระสงฆ์ ท�ำให้
สรุปความหมายของค�ำว่า กัลปนา วา่ หมายถงึ ทีด่ นิ และขา้ คนทีถ่ วายใหแ้ กว่ ดั
ซ่งึ เปน็ ความหมายเดียวกบั ค�ำวา่ พระกลั ปนา นน่ั เอง
ค�ำว่า ท่ีกัลปนา พบในหนังสือ ต�ำนานกฎหมายไทยและประมวลค�ำ
อธิบายทางนิติศาสตร์ พระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา
ด�ำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายค�ำว่า ท่ีกัลปนา ในสมัยอยุธยาไว้ในประมวล
ค�ำอธิบายทางนิติศาสตร์ ข้อที่ ๖ ว่า “ในหนังสือพระราชพงศาวดารกล่าวอีก
อยา่ ง ๑ ว่า สมเดจ็ พระเอกาทศรฐพระราชทานท่ีกัลปนาเปน็ นจิ ภัตตพ์ ระสงฆ์
ทเี่ รยี กวา่ พระราชทานท่กี ัลปนานั้น หมายความวา่ พระราชทานผลประโยชน์ซง่ึ
ไดใ้ นภาษที ดี่ นิ เปน็ นจิ ภตั ตเ์ ลยี้ งพระสงฆ์ ไมไ่ ดพ้ ระราชทานตวั ทด่ี นิ ” ดงั นนั้ คำ� วา่
ท่ีกัลปนาตามค�ำอธิบายนี้จึงหมายถึง ที่ดินที่พระราชทานอุทิศแต่ผลประโยชน์
อันเกดิ จากท่ดี ินนั้นใหแ้ กว่ ดั
35
การใช้ค�ำกัลปนาในสมยั รัตนโกสินทร์
ในสมยั รตั นโกสนิ ทรพ์ บการใชค้ ำ� กลั ปนาทง้ั ทเ่ี ปน็ คำ� กรยิ าและเปน็ คำ� นาม
เชน่ เดยี วกนั การใชเ้ ปน็ คำ� กรยิ าทเี่ ปน็ การอทุ ศิ ผลบญุ พบในจารกึ วดั ชมุ พลนกิ ายา-
ราม พ.ศ. ๒๔๐๖ (หลกั ท่ี ๑๙๑ จารกึ บนหนิ ออ่ น) ดา้ นท่ี ๑ บรรทดั ท่ี ๑๙-๒๑ วา่
“...แลทรงพระราชอุทิศกัลปนาผลเพื่อให้ถึงแด่เจ้าฟ้ากรมขุนสุเรนทรพิทักษ
ผซู้ งึ่ ได้มาทำ� นบุ ำ� รงุ ปฏสิ ังขรณพระเจดยี แ์ ลพระอารามน้คี ร้งั หน่งึ นั้นดว้ ย...”
สว่ นคำ� กลั ปนาทใี่ ชเ้ ปน็ คำ� นาม พบใชค้ ำ� วา่ ทก่ี ลั ปนา หรอื ทพี่ ระกลั ปนา
ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดใหพ้ ระสงฆเ์ ปน็ เจา้ ของทดี่ นิ
ดงั ความใน ตน้ ประกาศพระราชทานแลกเปลยี่ นทวี่ สิ งุ คามสมี าเมอื งลพบรุ ี วา่
“ทซี่ ง่ึ ทรงพระราชอทุ ศิ ถวายเปลยี่ นนน้ั ไมส่ กั แตว่ า่ เปน็ ทพี่ ระกลั ปนาสดั พระสดั
สงฆต์ ามธรรมเนยี ม ทรงพระราชอทุ ศิ ยกใหเ้ ปน็ ทข่ี องสงฆข์ าด ใหส้ งฆเ์ ปน็ เจา้ ของ
ดว้ ย ใหบ้ รโิ ภคคา่ นาเปน็ พระกลั ปนาดว้ ย เหมอื นหนงึ่ ราษฎรเชา่ นาทา่ นผอู้ นื่ ทำ�
ต้องเสียค่าเช่าให้เจ้าของนาด้วยฉันใด ผู้ที่เข้าไปท�ำนาในท่ีของสงฆ์อันนั้น ต้อง
เสยี คา่ เชา่ สว่ นหนง่ึ คา่ นาสว่ นหนง่ึ เปน็ ของสงฆท์ ง้ั สองสว่ น” แตใ่ นสมยั พระบาท
สมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั มพี ระราชบญั ญตั ลิ กั ษณะปกครองคณะสงฆซ์ ง่ึ
ประกาศใชเ้ มอื่ วนั ที่ ๑๖ มถิ นุ ายน รตั นโกสนิ ทรศก ๑๒๑ (พ.ศ. ๒๔๔๕) ไดใ้ หค้ ำ�
จ�ำกดั ความของ ท่กี ลั ปนา ในมาตรา ๖ วา่ “คอื ทแ่ี หง่ ใด ๆ ซึง่ พระเจา้ แผน่ ดินได้
ทรงพระราชอุทิศเงินอากรค่าที่แห่งนั้นขึ้นวัดก็ดี หรือท่ีซ่ึงเจ้าของมิได้ถวาย
กรรมสิทธิ์ อุทิศแต่ผลประโยชน์อันเกิดแต่ที่น้ันข้ึนวัดก็ดี ที่เช่นน้ันเรียกว่า ท่ี
กลั ปนา” ซ่งึ ตามค�ำนิยามนีร้ ะบวุ ่าวดั หรือพระสงฆ์มิได้มีกรรมสทิ ธ์ใิ นท่ีดนิ
ตอ่ มาในพระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆ์ พทุ ธศกั ราช ๒๔๘๔ ไดใ้ หค้ วามหมาย
ของค�ำว่าท่กี ลั ปนา ในมาตราท่ี ๔๐ ว่า “คอื ท่ซี ่ึงมผี อู้ ุทศิ แตผ่ ลประโยชน์ให้วดั
หรือพระศาสนา” และยังคงความหมายน้ีมาจนถึงพระราชบัญญัติคณะสงฆ์
พทุ ธศกั ราช ๒๕๐๕ แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ พทุ ธศกั ราช ๒๕๓๕ ซงึ่ เปน็ การแกไ้ ขครง้ั ลา่ สดุ
ท่ีใช้กนั อย่ใู นปัจจุบัน
36
นอกจากการใชค้ ำ� วา่ กลั ปนาแลว้ ยงั พบวา่ ในจารึกเป็นจ�ำนวนมาก มกี าร
ใช้ค�ำศัพท์อ่ืน ๆ ที่มีความหมายเหมือนหรือใกล้เคียงกันแทนค�ำว่า กัลปนา
รวมทงั้ จารกึ บางหลกั ทใ่ี ชค้ ำ� วา่ กลั ปนาแลว้ เชน่ จารกึ วดั พระเสดจ็ ทใ่ี ชค้ ำ� วา่ ใสไ่ ว้
และ ไว้ อีกด้วย คำ� ศัพทท์ ีใ่ ชแ้ ทนค�ำวา่ กัลปนาในแต่ละสมัยมดี งั น้ี
สมัยสโุ ขทัย
สมัยสุโขทัยใช้ค�ำว่า โอยทาน อวยทาน โอย เวน ไว้ พระราชทาน
ประดิษฐาน ให้ ให้ไว้ ให้ทาน ทาน แตง่ ตัวอย่างเชน่
ในจารึกพอ่ ขุนรามค�ำแหง พ.ศ. ๑๘๓๕ ด้านท่ี ๒ บรรทดั ท่ี ๑๔-๑๖ วา่
“เม่ือกรานกฐินมีพนมเบี้ย พนมหมาก มีพนมดอกไม้ มีหมอนน่ังหมอนโนน
บริพารกฐิน โอยทานแลป่ แี ลญ้ ิบลา้ น...”
จารึกเจดียพ์ หิ าร ด้าน ๒ บรรทัดท่ี ๑๐-๑๒ มีข้อความว่า “มาฉลองโอย
(ทาน)ผ้หู ญิงผูช้ าย วัวคูห่ น่ึง เกวยี นอนั หน่ึง คราดไถ” และบรรทัดท่ี ๒๒-๒๖ วา่
“...จึงเวนทงั้ กุฎพี หิ ารไรน่ าสวนหมากแต่เชียงแก้วให้เป็นเจ้า”
จารกึ วัดเขากบ ดา้ นท่ี ๒ บรรทัดท่ี ๑๒ วา่ “...มหาสะพาน ไว้คนฝงู ดี
ตกั น�้ำล้างตนี ฝูงสงฆ”์
จารึกวัดอโสการาม ด้านที่ ๑ บรรทัดท่ี ๖-๗ ใช้ค�ำว่า ประดิษฐา
(ประดษิ ฐาน) ว่า “ท่านจึงประดิษฐาพระสถูปไว้ในวัดอโสการาม” และบรรทัด
ท่ี ๒๙-๓๐ ว่า “แลว้ ทา่ นประดษิ ฐานาร้อยหน่ึงเป็นขา้ วสบิ เกวยี (น)ไพร่สิบเรอื น
แต่งพยาบาลวดั นั้น”
จารึกวดั สรศักดิ์ ๑๙๖๐ ด้านที่ ๑ บรรทดั ท่ี ๑๘-๑๙ วา่ “ทา่ นเสดจ็ ข้ึนมา
ใหท้ านชา้ งเผอื กและราชรถแกพ่ ระสงฆท์ กุ เมอื ง” ดา้ นที่ ๑ บรรทดั ที่ ๒๔-๒๕ วา่
“จึงพ่ออยู่หัวเจ้าธมีพระศาสน์ ธ ให้นาไว้กับอาราม ๔๐๐ ไร่ แม่อยู่หัวเจ้า ธ
ไว้นา ๓๓๕ ไร่นีเ้ ปน็ นาแจก”
สมัยอยุธยา
สมยั อยุธยาใชค้ �ำว่า ให้ทาน ให้ แต่ง ถวาย ปลง ไวก้ ับ ไว้ สร้างไว้ และ
37
อทุ ิศถวาย ตัวอย่างเชน่
จารกึ วดั สอ่ งคบ ๑ พ.ศ. ๑๙๕๑ ดา้ นท่ี ๑ บรรทัดท่ี ๖-๗ วา่ “ธ ใหท้ าน
เรือนอัน ธ กระทำ� กุฏพิ ิหารในศรอี โยธยา ใหข้ า้ สองคนแมล่ กู พระสงฆส์ ีต่ น”
จารกึ นายศรีโยธาออกบวช พ.ศ. ๒๐๗๑ ดา้ นท่ี ๒ บรรทดั ที่ ๙-๑๔ ว่า
“...แต่พระยาศรไี สยณรง ไว้นากับ (หน) หวั นอน วัด ๑๘๐ ไร่ ฝ่าย (ปลาย) ตีน
เจ้าเมอื งรามราชไว้ ๑๘๐ ไร่ พระยาศรีธรรมไว้คนครวั หน่ึง ชายหน่งึ หญิงสาม
ไว้กับพระเจ้า (พระ) มหาสัทธา”
จารึกวดั เขมา พ.ศ. ๒๐๗๙ ดา้ นที่ ๑ บรรทดั ที่ ๑๕-๑๖ ความว่า “แต่น้ี
เจา้ เทพรจู ี แตง่ เครอื่ งส�ำรบั ไว้กบั พระพุทธเจ้าในพิหาร ผ้าเบงจตีผืนหนงึ่ คา่ สอง
ต�ำลึง...” และบรรทัดท่ี ๓๑-๓๓ ความวา่ “แตน่ ้ีอำ� แดงหยาด สรา้ งไวบ้ ชู าพระ
เปน็ เจา้ ฆอ้ งดวงหนงึ่ ดำ� หนา้ ศอกหนงึ่ คา่ สองตำ� ลงึ กลองลกู หนง่ึ ไมส้ กั ตำ� ลงึ หนงึ่
กงั สะดาลลูกหนึง่ หนักสองชัง่ ค่าหกสลงึ ...”
จารึกวดั ใหม่ศรีโพธิ์ พ.ศ. ๒๒๙๘ ดา้ นที่ ๑ บรรทดั ที่ ๑-๒ ในความว่า
“ทา้ วพรหมกนั ดาลอทุ ศิ ถวาย นายนากเสมยี น นายมาพรรคพวกเปน็ นายหมวด
อ้ายบญุ ใหญ่ อ้ายบุญนอ้ ย...”
สมยั รัตนโกสินทร์
สมยั รัตนโกสินทร์ใชค้ ำ� วา่ ถวาย อทุ ิศ อทุ ศิ ถวาย มอบถวาย สรา้ ง บชู า
ดังตัวอย่างจากจารกึ ต่อไปน้ี
จารกึ ในพระวหิ ารโลกนาถ วดั พระเชตพุ นวมิ ลมงั คลาราม พ.ศ. ๒๓๓๑ ใช้
คำ� วา่ ถวาย ในความด้านท่ี ๑ บรรทัดท่ี ๑๘ วา่ “ชว่ ยคนชายฉกรรจ์หกสิบหก
คน สมโนครวั สองร้อยยี่สิบสค่ี น เป็นเงินเกา้ สบิ หา้ ชง่ั สิบเอด็ ตำ� ลึง สกั แขนขวา
ถวายเป็นขา้ พระ ขาดไว้ในพระอาราม..” และในบรรทดั ที่ ๒๒ วา่ “แลว้ ถวาย
แก่พระพทุ ธปฏมิ ากร แพรยกไตรยหนงึ่ บาตรเหลก็ เคร่อื งอฐั บริขารพร้อมย่าม
ก�ำมะหยี่ เครื่องยา่ มพรอ้ มพดั แพร รม่ แพร เส่อื ออ่ น โอเถาโอคณะ กานำ้� ...”
จารกึ วัดปรมัยยกิ าวาส ๓ พ.ศ. ๒๔๒๑ ใชค้ ำ� วา่ ถวาย และ อทุ ิศถวาย
38
ในด้านท่ี ๒ บรรทดั ที่ ๒-๓ วา่ “ทรงถวายไตรยบรขิ ารเครื่องเสนาสนพร้อมแก่
พระสงฆ์ ๑๖ รปู แลทรงพระราชอุทิศถวายหม่กู ฎุ ีเป็นสังฆกิ าวาส”
จารึกที่ผนังพระอุโบสถวัดนิเวศธรรมประวัติ ๑ พ.ศ. ๒๔๒๑ ด้านที่ ๑
บรรทัดท่ี ๑๖ ใช้ค�ำว่า อุทิศ ในความว่า “แล้วทรงพระราชศรัทธาสร้าง
พระอารามน้ีขนึ้ ไว้ ทรงพระราชอทุ ิศใหเ้ ปน็ จาตุรทิศสงั ฆกิ าวาศ”
จะเห็นได้ว่ามีค�ำที่ใช้เหมือนกันตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์
คือค�ำว่า อุทศิ ถวาย และ อทุ ิศถวาย ซง่ึ คำ� วา่ อุทิศ แปลตามรูปศัพทน์ ้นั ว่า
เจาะจง และไทยเราน�ำมาใช้ในความหมายว่า ให้ ยกให้ หรือมอบให้ จึงได้ใช้
ค�ำน้ีแทนค�ำวา่ กลั ปนา ทีเ่ ป็นคำ� กรยิ าและใช้ซ้อนกับคำ� วา่ กลั ปนา เชน่ ค�ำว่า
พระราชอทุ ศิ กลั ปนา มาโดยตลอด
(รศ.กรรณกิ าร์ วิมลเกษม)
คำ� ว่า ปา่ ในสมยั สโุ ขทัยและสมยั อยุธยา
ค�ำว่า ป่า ปรากฏในจารึกสมัยสุโขทัยหลายหลัก เช่น จารึกพ่อขุน
รามคำ� แหง ด้านที่ ๒ บรรทัดที่ ๓-๔ มีข้อความวา่ “ปา่ พร้าวก็หลายในเมืองน้ี
ป่าลางก็หลายในเมอื งน”ี้ ด้านท่ี ๓ บรรทัดที ่ ๔-๕ มขี อ้ ความว่า “เมืองสุโขทยั
น้มี ีกฎุ ีพหิ ารปู่ครอู ยู่ มสี รดี ภงค์ มีปา่ พร้าวปา่ ลาง มีป่ามว่ งปา่ ขาม” และดา้ นท่ี
๓ บรรทัดท่ี ๒๕ มขี ้อความวา่ “ในกลวงป่าตาลนมี้ ศี าลาสองอนั ”
จารกึ วัดศรีชมุ ดา้ นที่ ๑ บรรทัดท่ี ๖๙-๗๐ มขี ้อความวา่ “ชา้ งสรายน้นั
เดนิ เจบ็ หนกั หนา คนหนดนิ กย็ งั ชอ่ ยแทงชา้ งสรายนนั้ จงึ ยกั เพลยี กมดุ ปา่ พงหน”ี
จารกึ นครชมุ ดา้ นท่ี ๒ บรรทดั ท่ี ๒๘-๒๙ มขี อ้ ความวา่ “ปลกู หมากพรา้ ว
หมากลางทุกแห่ง...เปนป่าเปนดง ให้แผ้วใหถ้ าง”
จารกึ วัดป่ามะมว่ งภาษาไทย หลกั ที่ ๑ ดา้ นที่ ๒ บรรทัดที่ ๒๕ มขี ้อความ
วา่ “กุฎีพหิ ารในป่ามว่ งน”้ี
จารึกวัดป่ามะม่วงภาษาไทย หลักที่ ๒ ด้านที่ ๒ บรรทัดท่ี ๓๕-๓๖
มขี อ้ ความว่า “แผน่ ดนิ ป่าม่วงน”้ี
39
จารกึ วัดสรศกั ดิ์ ดา้ นที่ ๑ บรรทัดท่ี ๒๕ มขี ้อความว่า “แม่อยหู่ ัวเจ้าธไว้
นา ๓๓๕ ไร่นเ้ี ป็นนาแจก นายสรศักด์ขิ อป่าสรา้ งเป็นนา”
ตวั อยา่ งการใช้คำ� วา่ ป่า ในจารกึ สมัยสุโขทยั แสดงว่า ป่า หมายถึงที่ซ่ึงมี
ต้นไม้ต่าง ๆ ข้ึนมาก ถ้าเป็นป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้ชนิดใด ก็ระบุชื่อต้นไม้ชนิด
น้ันไว้ด้วย
อย่างไรกต็ าม เอกสารสมัยอยุธยามตี วั อย่างการใชค้ ำ� ป่า ท่ีความหมาย
ตา่ งออกไป ในคำ� ใหก้ ารขนุ หลวงวดั ประดทู่ รงธรรม มขี อ้ ความทว่ี า่ ดว้ ยสถานที่
ต่าง ๆ ในก�ำแพงพระนครศรีอยุธยา สถานท่ีหลายแห่งมีค�ำว่าป่าอยู่ด้วย เช่น
ย่านป่าโทน ย่านป่าขนม ย่านป่าถ่าน ย่านป่าทอง ดังจะกล่าวถึงสถานท่ีท่ีมี
คำ� วา่ ป่า ไปตามล�ำดับ
๑. ถนนย่านป่าโทนมีรา้ นขายทบั โทนเรไรป่แี กว้ จงั หน่อง...
๒. ถนนย่านป่าขนม ชาวบ้านย่านนั้นท�ำขนมขายแลนั่งร้านขายขนม
ชะมด กงเกวยี น สามเกลอ หินฝนทอง ขนมกรุบ ขนมพิมพ์ถ่วั ขนมส�ำปะนี แล
ขนมแหง้ ตา่ ง ๆ...
๓. ถนนย่านป่าขันเงินมีร้านขายขันขายผอบตลับของเครื่องเงินแล
ถมยาด�ำ...
๔. ถนนยา่ นปา่ ฟกู มีรา้ นขายฟูก เบาะ เมาะ หมอน มุ้งผ้ามงุ้ ป่าน...
๕. ถนนยา่ นปา่ ผา้ เขยี วหลงั คกุ มรี า้ นขายเสอื้ เขยี ว เสอื้ ขาว เสอ้ื แดงชมภู
เส้อื ย่ีปนุ่ เสอ้ื จบี อก เสอื้ ฉีกอก เสื้อสรวมศศี ะ กังเกงสีตา่ ง ๆ...
๖. ถนนยา่ นป่าสมุด...มรี ้านช�ำขายสมุดกระดาษขาวด�ำ...
๗. ถนนยา่ นปา่ เหลกวดั ปา่ ฝา้ ย มรี า้ นขายของสรรพเครอ่ื งเหลกมดี พรา้ ...
๘. ถนนยา่ นป่าพดั ทำ� พดั ใบโตนดคันกลมแลคนั แบนใหญน่ ้อยขาย...
เห็นได้ว่า ค�ำว่าป่าในช่ือสถานท่ีต่าง ๆ เหล่าน้ีหมายถึงท่ีซ่ึงมีบางส่ิง
มาก เช่น ปา่ โทนมรี า้ นขายโทนและเครื่องดนตรอี ื่น ๆ ปา่ ฟกู มรี ้านขายฟกู และ
เครอื่ งนอนอ่นื ๆ ศาสตราจารย์ พระยาอนมุ านราชธนมคี วามเหน็ ว่าความหมาย
40
ดงั กลา่ วของคำ� ว่า ป่า ขยายมาจากความหมายเดมิ ว่า ที่ซง่ึ มตี ้นไม้มาก ทา่ นได้
เขยี นกราบทลู สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรมพระยานรศิ รานวุ ดั ตวิ งศว์ า่
ปา่ มกั มตี น้ ไมข้ นึ้ เปน็ ดง ปา่ และดงจงึ เลอื นความหมายไปแปลวา่ มากและ
ใชป้ ะปนกนั ไป แลว้ ขยายวงความหมายทว่ี า่ มากดว้ ยตน้ ไมม้ าเปน็ มากดว้ ย
สง่ิ อน่ื ๆ เปน็ ปา่ ตะกวั่ ปา่ ผา้ ดงผู้ชาย ดงเสอื เป็นตน้
อยา่ งไรกต็ าม หากพจิ ารณาภาษาในตระกลู ไทภาษาตา่ ง ๆ ประกอบ คำ� ปา่
ที่หมายถึงท่ีซึ่งมีต้นไม้มากมีใช้ในภาษาไทบางภาษา เช่น ภาษาไทขาว ป๊า
หมายถึงป่าไม้ แต่ในภาษาไทบางภาษา ป่า หมายถึงท่ีท่ีมีบางสิ่งชุมนุมกันอยู่
เชน่ ภาษาไทพา่ เก่ ปา๊ โกน๊ หมายถึงท่ที ่ีมคี นหนาแน่น ป๊าโง้ป๊าจา้ ง หมายถงึ
ท่ีที่มีวัวมีช้างชุม ป๊าหิน หมายถึงที่ที่มีหินมาก ป๊าเท้ิน หมายถึงท่ีท่ีมีป่า
หนาแนน่ ภาษาไทเหนอื ค�ำ ปา่ ก็มคี วามหมายใกล้เคยี งกบั ค�ำ ปา่ ในภาษาไท
พ่าเก่ คอื หมายถงึ ทช่ี ุมนุมกไ็ ด้ เชน่ ปา่ โกน๊ หมายถงึ ที่ที่มคี นมาก และหมายถึง
ท่ีที่มีตน้ ไม้หรือหญ้าขึ้นมาก ๆ ก็ได้ เชน่ ปา่ ไม่ หมายถงึ ป่าไม้ ปา่ ยา หมายถึง
ทุ่งหญ้า ป่าสูง หมายถึง ที่ราบสูง แม้ภาษาถิ่นในประเทศไทยเอง ก็มีการใช้
ค�ำ ปา่ ให้หมายถงึ ท่ซี ึง่ มบี างสิง่ มาก เช่น ภาษาไทยถน่ิ ใต้ มีคำ� ปาทาก หมายถึง
ที่ซึ่งมีทากชุม ปาคน หมายถึงที่ซึ่งมีคนมาก แต่ที่ใช้ค�ำ ปา ให้หมายถึงป่าก็มี
เชน่ ปาแก หมายถงึ ปา่ ดงดิบ
ความหมายของคำ� วา่ ปา่ ในภาษาไทภาษาตา่ ง ๆ และภาษาไทยถน่ิ ทำ� ให้
สนั นษิ ฐานได้เป็น ๒ ทาง ขอ้ สนั นษิ ฐานทางหนง่ึ คือคำ� ว่า ปา่ มี ๒ ความหมาย
ความหมายหนึ่ง คือ ที่ท่ีมีต้นไม้ขึ้นจ�ำนวนมาก ค�ำว่า ป่า ในสมัยสุโขทัยมี
ความหมายน้ี อกี ความหมายหนง่ึ คือ ทีท่ มี่ บี างสิ่งชุมนุมกนั อยู่ คำ� ว่า ป่า ในสมยั
อยุธยามีความหมายน้ี ข้อสันนิษฐานอีกทางหนึ่งเก่ียวข้องกับเร่ืองการกลาย
ความหมาย เดมิ ค�ำวา่ ป่า อาจหมายถึงที่ชุมนมุ ที่ทม่ี บี างสิง่ อย่หู นาแน่น แต่
ความหมายไดแ้ คบลง ใช้หมายถึงท่ที ี่มีต้นไมม้ าก ในภาษาไทยปจั จุบัน
(รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา)
41
หนังสืออ้างองิ
ค�ำให้การขุนหลวงวดั ประดู่ทรงธรรม เอกสารจากหอหลวง. กรุงเทพฯ : คณะ
กรรมการชำ� ระประวตั ศิ าสตรไ์ ทยฯ สำ� นกั เลขาธกิ ารนายกรฐั มนตร,ี ม.ป.ป.
นรศิ รานวุ ดั ตวิ งศ,์ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ ฯ และพระยาอนมุ านราชธน.
บันทึกเร่ืองความรู้ต่าง ๆ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
ประทานพระยาอนุมานราชธน ๕ เลม่ . พระนคร : สมาคมสงั คมศาสตร์
แหง่ ประเทศไทย, ๒๕๐๖.
นววรรณ พันธุเมธา. ภาษาพาสงสัย. กรุงเทพฯ : พฒั นาศึกษา, ๒๕๕๐.
บรรจบ พันธุเมธา. พจนานุกรมพ่าเก่-ไทย-อังกฤษ. เอกสารอดั สำ� เนา, ๒๕๓๐.
ประชมุ จารกึ ภาคท่ี ๘ จารกึ สโุ ขทยั . กรงุ เทพฯ : คณะกรรมการอำ� นวยการจดั งาน
เฉลมิ พระเกยี รติ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ ัว, ๒๕๔๗.
จามรี-จามร
คำ� วา่ จามรี และ จามร มคี วามหมายเกย่ี วขอ้ งกนั จามรเี ปน็ ชอ่ื สตั วจ์ ำ� พวก
ววั ขนยาวมากและละเอียดออ่ น สนี �ำ้ ตาลเขม้ จนถึงด�ำ หรอื สขี าว หางยาวเปน็ พู่
อาศัยอยู่ในเขตที่มีอากาศหนาวเย็น เช่น แถบภูเขาสูงในทิเบต ส่วน จามร
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้ความหมายว่า “แส้
ดา้ มยาวทำ� ดว้ ยขนจามรี มฝี กั แบนรปู คลา้ ยนำ�้ เตา้ สำ� หรบั สอดเกบ็ แส้ เปน็ เครอ่ื งสงู
ชนิดหนึง่ ”
คำ� วา่ จามรี มใี ชใ้ นภาษาไทยมานาน พบในไตรภมู พิ ระรว่ ง ซงึ่ เปน็ วรรณคดี
สมยั สุโขทัย แตห่ มายถึงขนจามรี ไมไ่ ด้หมายถงึ ตวั จามรี ดงั ข้อความท่ีกล่าวถงึ
นางฟา้ ท่เี ป็นชายาของพระอนิ ทรว์ ่า
...มีหน้าอันงามนกั หนา แลแตง่ แง่แผต่ นดว้ ยเคร่อื งประดบั ด้วยเทยี รย่อม
แกว้ แหวนเงนิ ทองทงั้ หลาย บา้ งถอื กลั ออมแกว้ บา้ งถอื คนที บา้ งถอื จามรี
แลจามรแก้ว บ้างถือธงแกว้ แลธงทองแกวง่ แล...
42
ส่วนจามรีทีเ่ ปน็ สตั วน์ ้นั ในไตรภมู พิ ระร่วงเรยี กวา่ จามจรุ ี ดังทกี่ ลา่ วถึง
จามจรุ ใี นปา่ หมิ พานตว์ า่ “ปา่ อนั นนั้ มที รายจามจรุ อี ยมู่ ากนกั ฝงู คนทอี่ ยแู่ หง่ นนั้
เขาเทียรยอ่ ม(เอา)หางจามจรุ มี ามงุ เรือนอยู่แล”
ไทยน่าจะยืมค�ำว่าจามรีหรือจามจุรีมาจากค�ำในภาษาบาลีและภาษา
สันสกฤตว่า จมรี ในวรรณคดีสมัยอยุธยาเรียกสัตว์ชนิดน้ีว่า จมรี ก็มี จามรี
ก็มี เช่น ในสมุทรโฆษคำ� ฉันท์ พระสมทุ รโฆษถูกท้าใหย้ ิงเส้นจามรที ผี่ ูกห้อยไว้
หา่ งออกไป ๑ โยชน์ ดงั กาพย์ฉบงั มีวา่
แลว้ จงึ่ ใหห้ ้อยเส้นขน จมรโี ดยกล
แลผูกเปนขวัน้ แขวนวง
และรถของกษตั รยิ ช์ ่ือจิตรเสนเทียมด้วยตวั จามรี ดงั นี้
ถดั นั้นจติ รเสนคือไกร- สรรถแกว่งไกว
แลเทยี มด้วยตวั จามรี
ส่วนในอนิรุทธค�ำฉันท์ ตอนที่พระกฤษณะรบกับเจ้ากรุงพาณ จามรีใช้
เป็นพาหนะของพลยักษ์ ดงั น้ี
ขเ่ี สอื โครง่ ขเี่ ลียงผา ขแ่ี รดขจ่ี า-
มรนี ิกรและสีห์
ในสมัยตน้ รตั นโกสนิ ทร์ อักขราภิธานศรบั ท์ เรยี ก จามรี ว่า จามจรุ ี และ
จามมะรี ดงั ทใ่ี หค้ วามหมายของค�ำท้งั สองนวี้ ่า
จามจรุ ,ี เปนชอ่ื สตั วอ์ ยา่ งหนงึ่ สเ่ี ทา้ , ขนมนั เสน้ เลก็ เลอยี ดนกั ศขี าว ๆ.
จามมะร,ี เปน็ สบั ทแปลวา่ ตวั จามจรุ ,ี ทมี่ นั มขี นเสน้ เลก็ เลอยี ดนกั นนั้ .
ศริพจน์ภาษาไทย์ น้ันแยกความหมาย จามะจุรี เป็นค�ำเรียกตัวจามรี
ส่วน จามะรี หมายถึง พวงขนจามรีใช้ส�ำหรับเรือ เรือท่ีกล่าวถึงน้ีคงหมายถึง
เรือสุพรรณหงส์
43
ปัจจุบันช่ือสัตว์ชนิดนี้ไทยเรียกว่า จามรี ถือกันว่ามีลักษณะเด่นคือมีขน
เสน้ ละเอยี ดและรกั ขนยงิ่ ชวี ติ ทงั้ นอี้ าจเปน็ ดว้ ยอทิ ธพิ ลของไตรภมู โิ ลกวนิ จิ ฉยกถา
ทพ่ี รรณนาวา่ “ทรายจามรี สเู้ สยี ชวี มี ใิ หเ้ สยี ขน” และโคลงสองบาทแรกของโคลง
โลกนิติบทหนึ่งทว่ี ่า “จามรีขนขอ้ งอยู่ หยดุ ปลด ชพี บ่รกั รักยศ ยิง่ ไซร้”
สว่ นคำ� วา่ จามจรุ ใี ชเ้ ปน็ ชอ่ื ตน้ ไมซ้ งึ่ ดอกเปน็ ฝอยละเอยี ด เปรยี บไดก้ บั ขน
ของตวั จามรี กลา่ วกนั วา่ บาทหลวงรอมเิ อล ซงึ่ เปน็ นกั บวชทอี่ ยใู่ นวดั อสั สมั ชญั นำ�
พนั ธจ์ุ ามจรุ มี าจากเมอื งไซง่ อ่ น ประเทศเวยี ดนาม จามจรุ ตี น้ แรกในประเทศไทย
ปลกู อยู่ภายในโรงเรียนอสั สมั ชัญ
ค�ำว่าจามรก็มีใช้ในภาษาไทยมานาน พบในไตรภูมิพระร่วงเช่นเดียวกับ
ค�ำว่า จามรี ดังข้อความที่กล่าวถึงคนธรรพ์ซึ่งเป็นบริวารของท้าวธตรฐ มีว่า
“...ท้ังเครือ่ งแห่เครื่องแหนเขานัน้ เทยี รยอ่ มเงนิ แลทองทั้งหอก ดาบ แลจามร
จามรเี ทยี รย่อมเงินทองแล”
นอกจากไตรภูมิพระร่วง จามรยังปรากฏในวรรณคดีไทยอีกหลายเร่ือง
เช่น โคลงยวนพา่ ยพรรณนาถึงทัพของพระอินทราชา พระราชโอรสของสมเด็จ
พระบรมไตรโลกนาถ ดงั นี้
ภมู ิศวรราชเรอ้ื ง เอารส ทา่ นนา
หมายหม่หู ลงั เหนือตรา แต่งเต้า
จามรมาศกลดธง ชยโบก โบยแฮ
คฤโฆษกลองฆ้องเคล้า คล่ดี รู ยิ
และบุณโณวาทค�ำฉันท์กล่าวถึงจามรในกระบวนเสด็จพยุหยาตราทาง
ชลมารคของสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ดงั น้ี
พดั โบกและจามรมณี ทรกั้งก�ำบงั สูรย์
ธงฉานฉวัดวรพบิ ลู ย ์ รยะยาบท่ีธงไชย
นา่ สงั เกตวา่ จามรในตวั อยา่ งทย่ี กมาเปน็ จามรแกว้ หรอื จามรทองและใช้
ในกระบวนแห่ น่ชี วนให้คิดวา่ จามรท�ำด้วยแก้วและทอง และใช้ในกระบวนแห่
44
เทา่ นน้ั อยา่ งไรกด็ ี จามรนา่ จะทำ� ดว้ ยหางจามรี เพราะคำ� นไ้ี ทยนา่ จะยมื มาจากคำ�
จมร หรอื จามร ในภาษาสนั สกฤต ตาม สสํ กฤต-ไท-องั กฤษอภธิ าน จมร หมายถงึ
แส้ท่ีท�ำด้วยขนหางจามรี (ใช้ปัดแมลงที่รบกวน) และหมายถึง มฤคชนิดหน่ึง
ส่วน จามร หมายถงึ หางจามรี (ใช้ปดั แมลง และเป็นเคร่ืองประดับยศเจา้ นาย)
การใช้แส้ขนจามรีประดับเกียรติยศน้ีคงมีในอินเดียเรื่อยมา สมเด็จพระเจ้า
บรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงทราบเรื่องน้ีจากพระบาท
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงเล่าประทานพระยาอนุมานราชธน
ในลายพระหัตถ์ ลงวันที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ ว่า “พระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ตรัสเล่าว่าเจ้าแขกทางอินเดียเขามีคนถือแส้จามรี
เคียงข้างพระท่ีน่ัง และไม่ใช่ถือไปเฉย ๆ มีการกระทุ้งกระแทกขึ้นลง ให้ขน
พะเยิบพะยาบดว้ ย...”
ไทยใช้จามรเป็นเครื่องประดับเกียรติยศเช่นเดียวกับเจ้าอินเดีย ม.ร.ว.
เทวาธริ าช ป. มาลากลุ กลา่ ววา่ เดมิ จามรเปน็ แสท้ ำ� ดว้ ยขนจามรี มดี า้ มยาว และ
มีปลอกหนังรูปเหมือนน้�ำเต้าแต่แบนสวมภายนอก ส�ำหรับเจ้าพนักงานเดินถือ
ปดั ในเวลาประทบั อยเู่ บอื้ งสงู เชน่ เวลาทรงพระราชยาน จามรสำ� รบั หนงึ่ มี ๑๖ คนั
ต่อมาขนจามรีหลุดหายไปเหลือแต่ปลอกติดอยู่ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จ
พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดใหเ้ ปลย่ี นเปน็ เชญิ ทวนหรอื พมุ่ ดอกไมเ้ งนิ ทองแทน
จามร ๑๖ คนั น้ี สมเดจ็ ฯ เจ้าฟา้ กรมพระยานริศรานวุ ดั ติวงศท์ รงเลา่ วา่
ผถู้ อื เรยี กกนั วา่ อนิ ทรพ์ รหม ผถู้ อื จามร ๘ คนทใี่ สเ่ สอ้ื สเี ขยี วเดนิ แซงซา้ ยพระทน่ี ง่ั
เรียกว่า อนิ ทร์ ผถู้ อื จามร ๘ คนทใี่ ส่เส้อื สแี ดงเดนิ แซงขวาเรียกวา่ พรหม
ในสมยั กอ่ นจามรอาจมไิ ดใ้ ชเ้ ฉพาะเมอื่ พระมหากษตั รยิ ป์ ระทบั อยเู่ บอื้ งสงู
เท่านั้น อาจใช้ถวายงานโบกปัดโดยทั่วไปก็ได้ เช่น ในสมุทรโฆษค�ำฉันท์
พระโพธริ์ ำ� พงึ วา่ พระสมทุ รโฆษเคยบรรทมเหนอื แทน่ ทอง มี “นางแกว้ กรไกวจามร
เคยโอบเอวสมร ดนูพธูจงปอง” และในอนิรุทธค�ำฉันท์ จามรต้ังอยู่ข้างแท่น
บรรทมของนางอษุ า พระธิดาของเจ้ากรุงพาณ ดังน้ี
45
ยลฐานทองสองนทิ รา มลงั เมลอื งอาภา
พสิ ทุ ธ์ิอาสนอิงเขนย พานสลาทึกเสวย
ยลจามรจามรร์ิ ำ� เพย
สำ� อางสำ� อาดอบองค์
จามรในสมุทรโฆษค�ำฉันท์ใช้ไกว ส่วนจามรในอนิรุทธค�ำฉันท์ใช้ร�ำเพย
คือใช้พัด ในไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา ซึ่งแต่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระ
พุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จามรก็ใช้พัด ดังข้อความที่พรรณนาว่าขณะที่สมเด็จ
พระพทุ ธองคเ์ สดจ็ จากสวรรคช์ น้ั ดาวดงึ สล์ งมาตามบนั ไดแกว้ นนั้ “สยามเทวบตุ ร
ทรงจามรทองตามพัดวสี มเด็จพระพุทธองค”์
นอกจากน้ี จามรยงั ใชต้ ง้ั แตง่ ในงานพระราชพธิ ี เชน่ พระราชพธิ รี าชาภเิ ษก
ดังปรากฏในค�ำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม ตอนหนึ่งว่า “...ที่น่า
ราชบัลลังก์มีเตียงตั้งเคร่ืองราชอุปะโภคแลเครื่องเบญจ์กุกกุธภัณฑ์...แล้วจ่ึง
ต้ังอภิรุมแลธงทองแลพัดโบกจามรทานตะวัน แลบังสูริยบังแทรก แลพัดชะนี
คนั นนั้ หมุ้ ทองทงั้ สนิ้ ตงั้ ซา้ ยสแี่ ถว ขวาสแ่ี ถว...” และพระราชพธิ ถี วายพระเพลงิ
พระบรมศพ ดังปรากฏข้อความในค�ำให้การขุนหลวงหาวัด ตอนหนึ่งว่า
“พระบรมศพพระเจ้าแผ่นดินนั้น...มีเครื่องสูงเศวตฉัตรอภิรุมชุมสายพัดโบก
จามรชอนตวนั บังสุรยิ ันบงั แซกแซงครบเคร่ืองสงู สำ� รับ ๑...”
สรุปว่า แม้คนไทยสมัยก่อนจะไม่เคยเห็นตัวจามรี แต่ก็รู้มานานแล้วว่า
จามรีเป็นสัตว์ท่ีมีก�ำลังและมีขนเส้นเล็กละเอียด ท้ังยังถือคติตามอินเดียที่
นำ� แสข้ นจามรมี าประดบั เกยี รตยิ ศของบคุ คลชนั้ สูง ในกรณขี องไทยแสข้ นจามรี
ใชส้ �ำหรับพระมหากษัตริย์และพระราชวงศช์ นั้ สูงเท่าน้นั
(รศ. ดร.นววรรณ พนั ธุเมธา)
หนังสอื อ้างองิ
ค�ำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม. กรุงเทพฯ : คณะกรรมการช�ำระ
ประวตั ิศาสตรไ์ ทยฯ ส�ำนักเลขาธกิ ารนายกรฐั มนตรี, ม.ป.ป.
46
คำ� ใหก้ ารขนุ หลวงหาวัด. กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลัยสโุ ขทัยธรรมธิราช, ๒๕๔๗.
ไตรภูมพิ ระรว่ งของพระญาลิไทย. พมิ พค์ รง้ั ที่ ๒. พระนคร : องค์การค้าของ
คุรุสภา, ๒๕๐๖.
ธรรมปรีชา (แก้ว), พระยา. ไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา ฉบับท่ี ๒. กรุงเทพฯ :
กรมศลิ ปากร, ๒๕๒๐.
นริศรานุวัดติวงศ์, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยา. บันทึกเร่ือง
ความรู้ต่าง ๆ ประทานพระยาอนุมานราชธน เล่ม ๒. กรุงเทพฯ :
คณะอนุกรรมการจัดพิมพ์เอกสารเนื่องในวาระครบ ๑๐๐ ปี พระยา
อนุมานราชธน, ๒๕๓๗.
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔.
กรงุ เทพฯ : นานมบี ุ๊คส,์ ๒๕๕๖.
. พจนานกุ รมศพั ทว์ รรณคดไี ทยสมยั อยธุ ยา โคลงยวนพา่ ย. กรงุ เทพฯ :
นิวไทยมิตรการพมิ พ,์ ๒๕๔๔.
. อนริ ทุ ธค�ำฉนั ท.์ กรุงเทพฯ : ทฟี ิลม์ , ๒๕๕๐.
ราชูปโภคและพระราชฐาน. พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพพระสุนทรภูษา
จม. บช. (จีน สงิ หเสน)ี ณ วดั จกั รวรรดริ าชาวาส, ๒๒ มีนาคม ๒๕๐๓.
ศริพจนภ์ าษาไทย์ พจนานุกรมไทย-ฝร่งั เศส-อังกฤษ-ฉบับ Bishop J. L. Ver
ค.ศ. ๑๘๕๖. กรุงเทพฯ : คณะอนุกรรมการช�ำระกฎหมายตราสามดวง
สำ� นักเลขาธิการนายกรฐั มนตรี, ๒๕๔๕.
ศลิ ปากร,กรม.กองวรรณคดแี ละประวตั ศิ าสตร.์ วรรณกรรมสมยั อยธุ ยาตอนปลาย.
กรงุ เทพฯ, ๒๕๓๑.
อกั ขราภธิ านศรบั ท์ ของหมอปรดั เล. พระนคร : องคก์ ารคา้ ของครุ สุ ภา, ๒๕๑๔.
47
จงิ โจ้
ค�ำว่า จิงโจ้ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ บอก
ความหมายไว้ถงึ ๕ ความหมาย ดังน้ี
๑. ช่ือสตั วเ์ ลี้ยงลูกด้วยนม ขาคูห่ นา้ ส้นั ค่หู ลงั ยาวแข็งแรง ใชก้ ระโดดได้
ไกล ๆ ตัวเมียออกลูกเป็นตัว มีถุงที่หน้าท้องส�ำหรับใส่ลูก มีถ่ินก�ำเนิดในทวีป
ออสเตรเลยี
๒. ชอื่ แมลง ลำ� ตวั ลบี และยาว ขาคหู่ นา้ สนั้ ใชจ้ บั สตั วเ์ ลก็ ๆ กนิ ขาคกู่ ลาง
และคหู่ ลังยาวกวา่ ลำ� ตวั มาก สามารถวิ่งไปตามผิวน�้ำได้
๓. เครอื่ งป้องกนั ใบจักรเรือไมใ่ ห้สวะเข้าไปปะ กนั กระทบ และกันไม่ให้
เพลาแกวง่
๔. ชือ่ ทหารผหู้ ญงิ ในวงั คร้งั รัชกาลท่ี ๔ วา่ ทหารจงิ โจ้
๕. ชอ่ื เคร่ืองแขวนให้เดก็ ดู
ทหารผู้หญิงท่ีเรียกว่าจิงโจ้น้ัน สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา
ด�ำรงราชานุภาพทรงกล่าวถึงในลายพระหัตถ์ถึงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
เจา้ ฟา้ กรมพระยานริศรานวุ ัดติวงศ์ ลงวนั ท่ี ๑๓ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ วา่
...สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงตรัสเรียกโขลนแต่งตัวเป็นทหารในงานแห่
โสกันต์ทางฝ่ายในว่า จิงโจ้ และทรงประดิษฐ์ค�ำบอกทหารพวกน้ันว่า
“จิงโจ้กัด” แทนวนั ทยาวุธ “จิงโจ้หยดุ ” แทนบ่าอาวุธ และ “จิงโจน้ อน”
แทนเรียบวุธ...
ในพระราชนพิ นธโ์ คลงดนั้ เรอ่ื งพระราชพธิ โี สกนั ตข์ า้ งในพระบรมมหาราชวงั
ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งอยู่ในหนังสือมิวเซียม เล่ม ๑
ก็มโี คลงท่กี ล่าวถงึ ทหารจงิ โจ้ ดังน้ี
การเลน่ ทุกสิ่งลว้ น ฝ่ายใน สิ้นแฮ
พณิ พาทยรายทางวาง ชอ่ งเวน้
48
เรบงอว้ วอกี แทงวิสัย ญวนหก
ลว้ นแต่หญงิ แกลง้ เหล้น อยา่ งชาย
จงิ โจ้ยืนรยบร้อย รมิ ถนน
เสือ้ จบี ชายกระจาย สุกอ้า
ถอื ปืนท่ววทกุ คน พลอ่ งแพลง่
นายดาบเดอรดอ้ มก้า กอ่ งถนน
สว่ นจงิ โจท้ เี่ ปน็ ชอื่ เครอื่ งแขวนใหเ้ ดก็ ดู พระยาอนมุ านราชธนกลา่ วไวเ้ ลก็
นอ้ ยในจดหมายทที่ า่ นเขยี นกราบทลู สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟา้ กรมพระยานรศิ รานวุ ดั ตวิ งศ์
ลงวันท่ี ๒๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ วา่ “...เรยี กเคร่ืองหอ้ ยเปลใหเ้ ดก็ ดเู ล่นว่า
จิงโจ้ แต่ลูกท่ีห้อยอยู่ ๔ มุมเรียกว่า กระจับ” สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยา
นริศรานุวัดติวงศ์ทรงอธิบายเร่ืองจิงโจ้ที่เป็นเครื่องห้อยเปลเด็กในลายพระหัตถ์
ลงวนั ที่ ๑๑ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ ประทานพระยาอนุมานราชธนวา่
...เขาท�ำดว้ ยไม้ไผจ่ กั ส่วนกระจับนัน้ ทำ� ด้วยเศษผ้าซง่ึ มอี ยใู่ นเรอื น ที่จริง
จงิ โจ้กจ็ ิงโจ้ กระจบั กก็ ระจบั ทีท่ า่ นเห็นหอ้ ยกลางเป็นจงิ โจ้ หอ้ ยรมิ เปน็
กระจบั นนั้ เขาทำ� ปนกนั เสยี แลว้ จงิ โจจ้ กั ดว้ ยไมไ้ ผจ่ ะตอ้ งเปน็ ของมากอ่ น
เพราะทำ� ดว้ ยของปา่ กระจบั มาทหี ลงั เพราะทำ� ดว้ ยเศษผา้ แสดงวา่ จำ� เรญิ
ข้ึนแลว้ ...
นอกจากความหมายท้ัง ๕ ความหมายทก่ี ลา่ วมาแล้ว คำ� วา่ จงิ โจ้ อาจมี
ความหมายอยา่ งอนื่ อกี เพราะในบทรอ้ งเลน่ ของเดก็ มวี า่ “จงิ โจม้ าโลส้ ำ� เภา หมา
ไล่เห่า จิงโจ้ตกนำ�้ หมาไล่ซำ้� จิงโจ้ดำ� หนี ใหก้ ล้วยสองหวี ทำ� ขวญั จงิ โจ”้
คำ� ว่า จิงโจ้ ในบทร้องเลน่ นไี้ ม่ทราบแน่วา่ เปน็ อะไร สนั นิษฐานกันวา่ น่า
จะเป็นคน ท่ีเชิงบานหน้าต่างพระอุโบสถวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามมีรูป
เรอื สำ� เภา ในเรอื มหี มา และมรี ปู คนเทา้ เปน็ นกเกาะอยทู่ ห่ี วั เรอื รปู นชี้ า่ งเขยี นคง
ต้องการแสดงถงึ “จิงโจ้มาโลส้ ำ� เภา” สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดำ� รงราชานุภาพทรง
สันนษิ ฐานสาเหตุทีช่ า่ งเขียนจงิ โจ้เป็นรูปคนเทา้ เปน็ นก ปรากฏในลายพระหตั ถ์
49
ถึงสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ลงวันท่ี ๑๓ สิงหาคม พ.ศ.
๒๔๘๓ ว่า
...พิเคราะห์ดูเขียนอย่างนั้นก็มีหลักฐาน เช่นในบทชมดงท่ีท่านประทาน
มาเปน็ ตวั อยา่ งวา่ “กะลมุ พจู บั กะลำ� พอ้ จงิ โจจ้ บั จงิ จอ้ แลว้ สง่ เสยี ง” ความ
กว็ ่าจิงโจเ้ ปน็ นก แต่บททเ่ี ดก็ รอ้ งเล่นว่า “จงิ โจม้ าโล้สำ� เภา” ความบง่ วา่
เปน็ มนุษย์จงึ อาจโล้สำ� เภาได้ จึงเอาความท้งั ๒ บทนนั้ มาเขียนจงิ โจ้เป็น
รูปมนษุ ย์ตีนเป็นนก...
[รูปจิงโจโ้ ลส้ ำ� เภาที่เชิงบานหน้าต่างพระอุโบสถวัดพระเชตพุ นวิมลมงั คลาราม]
บทชมดงทส่ี มเดจ็ ฯ กรมพระยาดำ� รงราชานภุ าพทรงกลา่ วถงึ นน้ั อยใู่ นบท
พระราชนพิ นธข์ องพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกเรอ่ื งอเิ หนา พระยา
อนมุ านราชธนกเ็ คยอ่านบทพระราชนพิ นธ์เรือ่ งน้แี ละเขยี นถงึ จงิ โจ้ทเ่ี ป็นนก ใน
จดหมายกราบทูลสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ลงวันที่ ๒๖
กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ ว่า
...ตามธรรมดาคำ� ทเ่ี ปน็ ชอ่ื นก ขา้ พระพทุ ธเจา้ เคยสงั เกตมาโดยมากตง้ั ชอ่ื
ตามเสยี งทร่ี อ้ ง ดรี า้ ยนกจงิ โจค้ งตงั้ ชอ่ื ตามเสยี งของนกนน้ั และเวลารอ้ งคง
ส่ายหัวและย้ายตัว และนกตัวเดียวอาจเรียกกันเป็นหลายช่ือแล้วแต่
ท้องถ่ินไหน เพราะเคยมีชื่อนกหลายชื่อซึ่งข้าพระพุทธเจ้าจดช่ือจาก
50
หนังสือไปถามผู้รู้ว่าเป็นนกอะไรในภาษาทางวิทยาศาสตร์ ก็ได้รับตอบ
วา่ เปน็ ชอื่ นกอยา่ งเดยี วกนั แตเ่ รยี กกนั เปน็ สองอยา่ งโดยสำ� คญั ผดิ วา่ เปน็
นกตา่ งชนดิ กนั ขา้ พระพทุ ธเจ้าไดส้ อบถามถงึ เรื่องนกจิงโจ้ กไ็ มม่ ใี ครรจู้ ัก
มาเมอื่ เยน็ วานน้ี ขา้ พระพทุ ธเจา้ ไปสอบถามนายสดุ อกี วา่ นกทร่ี อ้ งคลา้ ย
เสียง จงิ โจ้ มบี ้างไหม นายสุดบอกว่ามี เรยี กในอสี านว่า นกจโี จ้ เปน็ นก
ขนาดเลก็ โตกวา่ นกกระจอกเลก็ นอ้ ย หนา้ อกเหลอื ง ชอบอยตู่ ามละเมาะ
ไม้ พบตวั เดยี วโดดไมไ่ ปเปน็ ฝงู รอ้ ง จี (ลากเสยี งยาว) โจะ้ ฟงั แลว้ วงั เวงใจ
เวลาร้องยกหัวและโยกย้ายตัว มีคนชาวอีสานน่ังอยู่ที่น้ันอีกคนก็
รบั รองตอ้ งกนั นายสดุ วา่ นกชนดิ นไี้ มเ่ คยเหน็ ในกรงุ เทพฯ ชาวนครสวรรค์
คนหนึ่งบอกข้าพระพุทธเจ้าว่า เคยเห็นนกอย่างที่อธิบายนี้ แต่นึกช่ือที่
เรียกกันแถบนครสวรรค์ไม่ออก ข้าพระพุทธเจ้าสืบได้ความมาอย่างน้ี
จ้งิ โจ้ เดมิ เปน็ ช่อื นก คือ นกจิโจ้ โดยที่นกอยา่ งนมี้ อี าการโยกไปยา้ ยมา
ไมอ่ ยนู่ งิ่ ไปเขา้ กบั คำ� วา่ จงิ้ และ จ้ี ในภาษาไทยใหญแ่ ละไทยยอ้ ย แปลวา่
โคลง จึงเอาลักษณะนั้นมาต้ังชื่อให้ตัวแกงกะรู แมงมุมจิงโจ้ก็จะเอา
ลักษณะที่โก้งเก้งยงโย่ยงหยกมาตั้งให้ ส่วนจิงโจ้แขวนเปลต้ังช่ือตามรูป
ทเ่ี หมอื นแมงมุมจงิ โจ้ ทหารผหู้ ญงิ ท่เี รยี กวา่ จงิ โจ้ จะเปน็ เพราะมีกิรยิ า
ทา่ ทางเกง้ กา้ งไมม่ นั่ คงหมอื นทหารผชู้ าย จงึ ไดต้ ง้ั ชอ่ื ใหเ้ ปน็ ใสไ่ คล้ คำ� เดก็
เล่นว่า จิงโจ้มาโล้ส�ำเภา และรู้จักด�ำน้�ำได้ เห็นจะหมายถึงเจ๊กโล้เรือ
มีกริ ยิ าโยกไปย้ายมาหรือโคลงไปโคลงมา สุนัขเห็นแปลกจงึ ไลก่ ดั จงึ ตอ้ ง
ดำ� น�ำ้ หนี...”
ตอ่ มา ในจดหมายกราบทลู สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟา้ กรมพระยานรศิ รานวุ ดั ตวิ งศ์ ลง
วนั ที่ ๙ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ พระยาอนมุ านราชธนไดก้ ลา่ วถงึ นกจโี จเ้ พม่ิ เตมิ วา่
นกจีโจ้ นักวิทยาศาสตร์ผู้หน่ึงบอกแก่ข้าพระพุทธเจ้าว่าเป็นนกขม้ิน
ซง่ึ เปน็ นกขนาดเขอื่ งกวา่ นกกระจอก ตวั ลายทอ้ งเหลอื ง คนละตระกลู กบั
นกขมน้ิ เหลืองอ่อน
51
อย่างไรก็ตาม ค�ำว่า จีโจ้ นี้ไม่พบในพจนานุกรมภาคอีสาน-ภาคกลาง
และสารานุกรมภาษาอีสาน-ไทย-อังกฤษ ในหนังสือทั้ง ๒ เล่มมีแต่ค�ำว่า จี่จู้
หมายถึง นกคีรีบูน แต่ในพจนานุกรมภาษาถิ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ่ีจู้
หมายถงึ นกกางเขน และในพจนานุกรมล้านนา-ไทย ฉบบั แม่ฟา้ หลวง มคี �ำว่า
จจี อ้ หมายถงึ นกชนิดหน่งึ ตวั เล็ก สดี �ำ ท้องเหลอื ง
จิงโจ้ท่ี “จับจิงจ้อแล้วส่งเสียง” ในบทพระราชนิพนธ์เรื่องอิเหนา จึงยัง
ไม่ทราบว่าเป็นนกชนิดใดแน่ ส่วนจิงโจ้ท่ีโล้ส�ำเภาอาจเป็นคนจีนดังที่พระยา
อนุมานราชธนสันนษิ ฐานไว้
(รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา)
ฉทานศาลา-ศาลาฉ้อทาน
ฉทานศาลา (อา่ นว่า ฉ้อ-ทาน-นะ-สา-ลา) แปลว่า ศาลาบำ� เพ็ญทาน
หรือโรงทาน ๖ แห่ง ค�ำนี้ปรากฏอยู่ในมหาชาติค�ำหลวงและร่ายยาวมหา
เวสสนั ดรชาดก ซงึ่ แปลจากเวสสฺ นตฺ รชาตก ชาดกดงั กลา่ วเปน็ เรอ่ื งวา่ ดว้ ยพระ
เวสสันดรซ่ึงเป็นพระโพธิสัตว์พระชาติสุดท้ายก่อนทรงอุบัติเป็นพระสิทธัตถะ
ซ่งึ ต่อมาทรงบรรลพุ ระอนตุ รสมั มาสมั โพธิญาณตรัสรเู้ ปน็ พระพุทธเจา้ แตง่ เป็น
ปฐยาวตั ฉันท์ ท้ังหมด ๑๐๐๐ คาถา คนไทยนยิ มเรยี กว่าคาถาพัน แบง่ เปน็ ๑๓
กณั ฑ์ ได้แก่ ทศพร หมิ พานต์ ทานกัณฑ์ วนปเวสน ชูชก จุลพน มหาพน กมุ าร
มทั รี สกั กบรรพ มหาราช ฉกษัตรยิ ์ และนครกณั ฑ์
ท้ังมหาชาติค�ำหลวงและร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดกมีค�ำว่าฉทานศาลา
อยู่ในกัณฑ์หิมพานต์ แต่เวลาท่ีสร้างฉทานศาลาในวรรณคดี ๒ เรื่องนี้ต่างกัน
เล็กน้อย ในมหาชาติค�ำหลวง พระนางผุสดีซึ่งในมหาชาติค�ำหลวงเรียกว่า
พระสบรรษดที รงปรารถนาใหส้ รา้ งฉทานศาลาหลงั จากทพี่ ระเวสสนั ดรทรงอบุ ตั ิ
ในพระครรภ์ ดังนี้
52
...อนั วา่ พระมหาสตั ว ์ เมอ่ื อบุ ตั ใิ นครรภ์ สา ผสุ สฺ ต ี โทหลนิ ี หตุ วฺ า อนั วา่
พระสบรรษดี ก็มีพระไทยปรารถนา ให้ท�ำฉทานศาลาหกแห่ง จตุส ุ
นครทฺวาเรสุ นครมชฺเฌ ให้ตกแต่งแทบประตูเมืองท่ามกลาง ในรวาง
ตรอกพ่อค้า วิสชฺเชตฺวา ให้จ�ำหน่ายจ่ายทรัพย์ทั้งหลาย ฉสตสหสฺสาน ิ
โดยมัน่ หมายไดห้ กแสน เทวสิกํ เทวสิกํ ก�ำหนดแมน่ เปนนริ นั ดร.์ ..
สว่ นในรา่ ยยาวมหาเวสสันดรชาดก พระเวสสนั ดรทรงใหอ้ �ำมาตย์สร้าง
ฉทานศาลา หลงั จากทพี่ ระองค์ทรงครองราชยแ์ ล้ว ดงั น้ี
...ฝา่ ยหนอ่ พระชนิ ศรเี สวยสวสั ดโิ ภไคย เปน็ จอมฉตั รพชิ ยั สพี ี ทานํ ปวตเฺ ตสิ
ทา้ วเธอกเ็ ปรมปรดี ท์ิ จี่ ะบรจิ าคทานมไิ ดข้ าด จงึ ใหอ้ ำ� มาตยท์ ำ� ฉทานศาลา
ทานํ ปวตฺเตตฺวา ให้จัดแจงท้ังเงินทองเส้ือผ้าราชวัตถาศุภาภรณ์พรรณ
แพรมว้ นมงุ้ มา่ น สรรพภณั ฑเ์ ครอ่ื งดอี นั มคี า่ ตามแตจ่ ะปรารถนาแลว้ ยกให้
แก่ยาจกเข็ญใจทุกถ้วนหน้า ท้าวเธอทรงพระราชศรัทธามิรู้ส้ิน ดุจพื้น
พระธรณินทร์อนั หนาหนกั เปน็ ท่ีบ�ำรงุ รกั แกไ่ พร่ฟ้า...
ฉทานศาลา หรือโรงทาน ๖ แห่งน้ี มคี ำ� อธิบายวา่ อยทู่ ี่ประตูพระนครทั้ง
๔ ทิศ อยู่ทท่ี า่ มกลางพระนคร และอยู่ทีป่ ระตูพระราชวัง
ในกรุงเทพฯ ก็มีฉทานศาลา หรือเรียกอย่างไทย ๆ ว่า ศาลาฉ้อทาน
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงกล่าวถึงศาลาฉ้อทานในเรื่อง
พระราชพิธีเดือนส่ี ปรากฏอยู่ในหนงั สือพระราชพิธีสบิ สองเดอื น ดังน้ี
อนึ่งในตรุษสามวันนี้ มีต้ังศาลาฉ้อทาน ๕ ต�ำบล คือหน้าวัด
บวรนิเวศต�ำบล ๑ หน้าวัดมหาธาตุ ซ่ึงยังคงเรียกอย่างเก่าว่า หน้าวัด
พระศรสี รรเพชญตำ� บล ๑ วดั สุทศั นเทพวรารามตำ� บล ๑ วัดพระเชตุพน
ตำ� บล ๑ วดั อรณุ ราชวรารามตำ� บล ๑ แตเ่ ดมิ วา่ ในแผน่ ดนิ พระบาทสมเดจ็
พระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว มีท่ีหน้าวัดราชโอรสด้วย จะเป็นเลิกที่หน้าวัด
ราชโอรส มาวัดบวรนิเวศ หรือประการใด ไม่ทราบ มีโรงปลูกข้ึนใหม่
53
ทกุ แหง่ วเิ สทหา้ โรง เปน็ ผทู้ ำ� ครวั และเปน็ ผเู้ ลยี้ งและมผี กู้ ำ� กบั คอื กรมสสั ด ี
มหาดไทย กลาโหม ชาววงั ตวั ส ี ชาวคลงั สรรพากร มหาดเล็ก วงั นอก
ซ้ายขวา จา่ ยขา้ วสารโรงหนึง่ ข้าวขาววนั ละ ๕ ถัง ขา้ วแดงวนั ละ ๑๐ ถงั
หา้ โรงเปน็ ขา้ วขาววนั ละ ๒๕ ถงั ขา้ วแดงวนั ละ ๕๐ ถงั สามวนั เปน็ ขา้ วขาว
๗๕ ถัง ข้าวแดง ๑๕๐ ถัง แต่สว่ นท่ซี ื้อกบั ขา้ วนัน้ เมอ่ื ถงึ ก�ำหนดตรุษและ
สงกรานตแ์ ล้ว ทา้ วอินทรส์ รุ ยิ ากน็ ำ� เงิน ๑๐ ช่ังมาถวายทรงจบพระหัตถ์
แล้วจึงไปจา่ ยใหแ้ กน่ ายวเิ สทท้งั ๕ โรง และมีในหมายเกณฑ์ให้กรมแสง
จดั มดี โกนและกรรไตรไปประจำ� อยทู่ โี่ รงทานทงั้ ๕ ตำ� บล สำ� หรบั ราษฎร
จะไดต้ ดั ผม ดกู ารทจี่ ดั นน้ั จะเปน็ การสนกุ อยา่ งศาลาฉอ้ ทานพระเวสสนั ดร
อยา่ งเกา่ ๆ จะใหม้ พี รกั พรอ้ มทกุ อยา่ ง...ไดข้ อจำ� นวนหางวา่ วทกี่ รมวงั มา
เกบ็ ยอดบญั ชลี งไวเ้ ปน็ ตวั อยา่ งปหี นงึ่ มจี ำ� นวนดงั นี้ โรงทานทง้ั ๕ โรงมคี น
กนิ เล้ยี ง ๓ วนั พระสงฆ์ ๔๑๒ สามเณร ๒๘๓ ขา้ ราชการ ๒๔๑ ราษฎร
ชายหญิง ๓๓๓ นักโทษ ๒๒๕ รวม ๑๔๙๔ คน จ�ำนวนส�ำรับที่เลี้ยง
สำ� รบั เอก ๓๑๓ สำ� รบั โท ๒๕๙ ส�ำรับตรี ๓๑๒ รวม ๘๘๔ สำ� รบั
อย่างไรก็ตาม การต้ังโรงทานในการพระราชพิธีตรุษอาจมิได้มีจ�ำนวน
เทา่ กนั ทกุ ปี ในหมายรับส่ังรชั กาลที่ ๓ จ.ศ. ๑๒๐๔ เลขท่ี ๕ มีข้อความเกี่ยวกบั
การตั้งโรงทานว่า
วันเสาร์แรม ๙ ค�่ำ เดือน ๔ ปีฉลู ตรีศก ด้วยเจ้าพระยาธรรมารับ
พระราชโองการใส่เกล้าฯ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ สัง่ ว่า ทรงพระราช
ศรัทธาให้ตัง้ โรงทานในการพระราชพธิ ตี รษุ ณ ปีฉลู ตรศี ก จะไดต้ งั้ โรง
เกง๋ โรงทาน
หนา้ วัดมหาธาตุ ๔ โรง เลย้ี งพระสงฆส์ ามเณร ชีพราหมณ์
สะพานตรงวังหนา้ ข้าทลู ละอองธลุ พี ระบาท
หนา้ วดั สุทศั น ์
54
๑๔
ชาย ๔ แรม ค�ำ่
อาณาประชาราษฎร์ ณ โรงทาน ณ วันเดือน ๑๕ ทง้ั ๓ วัน
หญงิ ๕ ขึ้นคำ่� หน่ึง
เห็นได้ว่า เม่ือ จ.ศ. ๑๒๐๔ (พ.ศ. ๒๓๘๕) มีการต้ังโรงทานในการ
พระราชพิธตี รุษเพียง ๔ โรง
(รศ. ดร.นววรรณ พนั ธเุ มธา)
หนงั สืออ้างอิง
จลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั , พระบาทสมเดจ็ พระ. พระราชพธิ สี บิ สองเดอื น. พระนคร :
ศลิ ปาบรรณาคาร, ๒๕๐๓.
ประชมุ หมายรบั สั่งภาค ๔ ตอนท่ี ๒ สมยั กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ รชั กาลพระบาท
สมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั จ.ศ.๑๒๐๓-๑๒๐๕.กรงุ เทพฯ:คณะกรรมการ
ช�ำระประวัติศาสตร์ไทยและจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์และ
โบราณคดี ส�ำนักเลขาธกิ ารนายกรัฐมนตร,ี ๒๕๓๗.
ราชบณั ฑติ ยสถาน. พจนานกุ รมศพั ทว์ รรณคดไี ทยสมยั อยธุ ยา มหาชาตคิ ำ� หลวง.
กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๔๙.
มหาเวสสันดรชาดก. พระนคร : โรงพิมพค์ รุ ุสภา, ๒๕๐๔.
ชบา
ค�ำวา่ ชบา มาจากภาษาบาลแี ละภาษาสนั สกฤตวา่ ชปา ซงึ่ แปลว่า ชบา
หรือ กหุ ลาบ นักพฤกษศาสตร์กลา่ วว่าชบาเปน็ พรรณไม้ถิ่นจนี ฮาวาย อาจเป็น
ดว้ ยเหตนุ ้ี พจนานกุ รมภาษาบาล-ี องั กฤษ จงึ แปลคำ� ชปา วา่ China-rose สว่ นคำ�
แปลชบาเปน็ ภาษาองั กฤษนนั้ พจนานกุ รมไทย-องั กฤษ ใชว้ า่ the shoe - flower
สาเหตุท่ีเรียกเช่นนี้ ส. พลายน้อย อ้างหนังสือเกี่ยวกับพฤกษชาติของฝร่ัง
55
เลม่ หนึง่ ว่าดอกชบาใชย้ ้อมผม และขดั รองเท้าไดด้ ว้ ย
ประเทศไทยเราน่าจะมีพรรณไม้ท่ีเรียกกันว่าชบามานานแล้วอย่างน้อย
ตั้งแต่สมยั สุโขทยั และแตเ่ ดิมชบาคงจะมีสแี ดงและสแี ดงอ่อน ไตรภมู ิพระรว่ ง
จึงเปรียบเทียบรัศมีสีแดงในฉัพพรรณรังสีของพระพุทธเจ้าว่าเหมือนดอกชบา
และเปรยี บเทยี บรัศมีสแี ดงออ่ นวา่ เหมือนดอกชบาเทศ ดังน้ี
...แลวา่ พระรศั มอี นั หนงึ่ มพี รรณแดงดงั่ แสงนำ้� ครำ�่ แลชาตหิ งิ คลุ ะแลดอก
ชบา ดั่งดอกถีทับทิม แลพระรัศมีอันหนึ่งมีพรรณขาวแลงามด่ังดอกพุด
แลสงั ขแ์ ลพระรศั มอี นั หนงึ่ แดงออ่ นแลงามดง่ั ดอกอโนชาแลดอกชบาเทศ
แลดอกเทยี นไทยแลดอกทองฟา้ อันออกแสงดงั่ ทองแดงอันท่านขดั ...
ต่อมาในสมัยอยุธยาค�ำว่าชบา (เขียนฉบา) ก็มีใช้ในมหาชาติค�ำหลวง
กณั ฑม์ หาพน อรรจุตฤๅษพี รรณนาไวต้ อนหน่งึ วา่
...กณฺณวิรา จ ปุปฺผิตา ฉบาบานดวงดอกก็มี อชฺชุนา อชฺชุกณฺณา จ
รกฟา้ ออกอนิ ทนลิ ก็ม.ี ..
คร้ันถึงสมัยรัตนโกสินทร์ก็พบค�ำว่าชบาในบทละครพระราชนิพนธ์
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเรื่องสังข์ทอง พวกเด็ก ๆ บอกวิธีที่
จะล่อเจ้าเงาะไปท่ีวังท้าวสามนต์ว่าให้เก็บดอกไม้แดงผูกปลายไม้แกว่งไปมาให้
เจ้าเงาะวงิ่ ไล่ พวกอ�ำมาตย์ก็ทำ� ตามคำ� แนะน�ำของเด็กดังบทกลอนมวี ่า
บดั นัน้ อำ� มาตย์ตบมือหัวเราะร่า
ตา่ งวงิ่ ชิงเก็บดอกชบา ผูกปลายไม้มาล่อเงาะ
พวกหลังไสสง่ ใหต้ รงไป ถือดอกไม้นำ� หนา้ พาว่งิ เหยาะ
ลางคนบ้างกลวั บา้ งหัวเราะ ลอ่ เงาะเขา้ มาถึงวังใน
ปฐมสมโพธิกถาพระนิพนธ์สมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานชุ ิต
ชโิ นรสก็มคี �ำวา่ ชบา ในตอนท่ีพรรณนาถึงฉัพพรรณรังสขี องพระพทุ ธเจ้า ดงั น้ี
56
...พระรัศมีท่ีขาวก็ขาวดุจดวงรัชนิกร แลแก้วมณีแลสีสังข์แลแผ่นเงินแล
ดวงพกาพรกึ พงุ่ ออกจากพระสริระประเทศในท่อี ันขาวแล้วแล่นไปในทิศ
โดยรอบ พระรัสมีหงสบาทก็พิลาสเล่ห์ประดุจสีดอกเซ่งแลดอกชบาแล
ดอกหงอนไก่ออกจากพระกรชั กายรงุ่ เรืองจำ� รสั ...
สหี งสบาทเปน็ สีคลา้ ยเทา้ หงส์ คอื สีแดงปนเหลือง หรอื สีแดงเรอื่ เห็นได้
ว่าสีดอกชบาในวรรณคดีเกือบท้ังหมดที่กล่าวมาเป็นสีแดง อย่างไรก็ดีในสมัย
ตน้ รตั นโกสนิ ทรด์ อกชบาทมี่ สี นี วลกม็ ี ดงั อกั ขราภธิ านศรบั ทใ์ หค้ วามหมายของ
คำ� ชบา (เขียนฉะบา) ไว้วา่
ฉะบา, เป็นช่ือต้นไม้อย่างหน่ึง, ดอกคล้าย ๆ ดอกพุดตาน, ศีแดงบ้าง,
ศนี วลบ้าง, ดงู าม.
ตามอักขราภิธานศรับท์ชบาเป็นดอกไม้งาม แต่คนไทยคงจะไม่นิยม
ถอื เปน็ ดอกไมอ้ ปั มงคล ใชท้ ดั หู และรอ้ ยเปน็ มาลยั สวมศรี ษะและคอหญงิ ทที่ ำ� ชู้
ดังขอ้ ความในพระไอยการลกั ษณะผัวเมีย ในกฎหมายตราสามดวง มีว่า
๏ สว่ นหญงิ อนั รา้ ยใหเ้ อาเฉลวปะหนา้ ทดั ดอกฉบาแดงสองหู รอ้ ยดอกฉบา
ศศี ะ
เปน็ มาไลยใส่ ใหน้ ายฉะมองตฆี อ้ งนำ� หนา้ ประจานสามวนั ถา้ จไถโ่ ทษประจานให้
คอ
ไถต่ ามกระเสยี รอายศุ มหญงิ เปน็ ขา้ หยา้ ชา้ งหลวง ถา้ ชายผวั มนั ยงั รกั เมยี มนั มใิ ห้
ประจานไซ้ ให้เอาสีนไหมเข้าพระคลังหลวง ฯ
๏ ๗ มาตราหนงึ่ หยงิ ใดทำ� ชนู้ อกใจผวั มนั เอาชายชนู้ น้ั มารว่ มประเวณใี น
วนั เดยี ว ๒ คนขน้ึ ไป ทา่ นวา่ เปน็ หญงิ แพศยา มใิ หป้ รบั ไหมชายชนู้ น้ั เลย ใหเ้ อาปนู
เขยี นหน า้ หยงิ รา้ ยนนั้ เปน ตราง ร อ้ ยดอกฉ ะบาเป นมาไลย ใส ่ ศศี ะ
แลว้ เอาขนึ้
ขาหย่างผจาน โดยพระราชกฤษฎกี าฯ คอ
57
ในหนงั สอื เรอ่ื ง นางนพมาศ กก็ ลา่ วถงึ พธิ สี ะเดาะเคราะห์ สำ� หรบั พระนคร
วา่ ใหล้ อยแพผู้ท�ำอบุ าทว์เสีย โดยให้ทำ� แพดว้ ยไม้สะเดา ปกั กง่ิ ชบา ดงั ความใน
เร่อื งมวี า่
๏ พระเจ้าวฒั นะราชกส็ ิน้ สงิ่ วิตก จึงดำ� รสั ถามราชประโรหติ ว่า บัดน้ี
เรากจ็ บั ตวั อบุ าทวไ์ ดแ้ ลว้ ทา่ นจะใหท้ ำ� การเปน็ ประการดงั ฤๅ บา้ นเมอื งจงึ จะพน้
ไภยอันตราย ให้มีความจ�ำเริญสวัสดิมงคลทั่วทั้งไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินได้ความศุข
เป็นปรกติ เหมือนแต่หลัง ราชประโรหิตก็กราบทูลว่าขอพระองค์จงโปรดให้
กระท�ำการพระราชพิธีเสียเคราะห์พระนครแล้วให้ท�ำแพด้วยไม้สะเดาปักก่ิง
ชะบา เอานางนกไส้ (ตัวอุบาทว์) ใส่กระโปรง [ภาชนะเย็บด้วยกาบมะพร้าว
กาบหมาก หรือใบไม้ สำ� หรบั ใสข่ องต่าง ๆ] ใหม้ ีน้ำ� ทา่ อาหารบริโภค แลว้ แขวน
ประจานลอยไปตามกระแสนำ้� ไหล กบั ขอใหเ้ ขยี นอกั ษรเปน็ พระราชบญั ญตั หิ า้ ม
อย่าให้นรชนชายหญิงเอานาง นกไส้ตัวนี้ข้ึนเล้ียงไว้ในบ้านในนิคมเป็นอันขาด
แม้นแพจะเข้าติดเข้าเกยอยู่แห่งใด ต�ำบลใด ใครเห็นก็ให้เสือกใสลอยไปเสีย
จนตกทอ้ งพระมหาสมุทรฯ
เห็นได้ว่าชบาถือเป็นสัญลักษณ์ของความอัปมงคล ที่มาของความเช่ือนี้
ยงั ไมแ่ นช่ ดั มผี เู้ หน็ วา่ ไทยอาจรบั มาจากอนิ เดยี ในอนิ เดยี สมยั โบราณมกั ใชด้ อก
ชบาทัดหูผู้มีโทษถึงประหาร ในอินเดียภาคใต้ ใช้ดอกชบาร้อยเป็นพวงมาลัย
สวมคอนกั โทษทจ่ี ะตอ้ งถกู ประหารชวี ติ นอกจากนตี้ ามลทั ธฮิ นิ ดถู อื วา่ ดอกชบา
เปน็ ดอกไมป้ ระจำ� องคข์ องเจา้ แมก่ าลี และมผี กู้ ลา่ ววา่ พระกาลเทพแหง่ ความตาย
มดี อกชบาทดั ทหี่ ู อาจเปน็ เพราะเหตนุ ช้ี บาจงึ เกยี่ วขอ้ งกบั ความเปน็ อปั มงคลและ
ความตาย อย่างไรก็ดปี ัจจุบันคนไทยไม่ได้เช่ือเชน่ นอ้ี ีกตอ่ ไปแลว้
(รศ. ดร.นววรรณ พันธเุ มธา)
หนงั สืออ้างองิ
ไตรภมู พิ ระร่วงของพระญาลิไทย. พิมพ์คร้งั ที่ ๒. พระนคร : องคก์ ารคา้ ของ
คุรุสภา, ๒๕๐๖.
58
บทละครนอกเรอื่ งสงั ขท์ อง พระราชนพิ นธใ์ นพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้
นภาลยั . กรงุ เทพฯ : กรมวิชาการ กระทรวงศกึ ษาธิการ, ๒๕๔๐.
ปรมานุชิตชิโนรส, สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระ. ปฐมสมโพธิกถา
(ฉบบั กรมการศาสนา). กรุงเทพฯ : สหธรรมกิ , ๒๕๓๗.
มหาชาตคิ �ำหลวง. พมิ พ์คร้งั ที่ ๖. กรงุ เทพฯ : คลังวทิ ยา, ๒๕๑๖.
ราชบณั ฑิตยสถาน. กฎหมายตราสามดวง ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. อมรนิ ทร
พร้นิ ตง้ิ แอนดพ์ บั บลิชช่งิ จำ� กัดมหาชน, ๒๕๕๐.
ส. พลายนอ้ ย (นามแฝง). พฤกษนยิ าย. กรงุ เทพฯ : รวมสาส์น, ๒๕๔๓.
สงั ข์ พธั โนทัย. ปทานุกรมพรรณไมใ้ นตำ� นานเมือง. ม.ป.ท., ม.ป.ป.
อกั ขราภธิ านศรบั ท์ ของหมอปรดั เล. พระนคร : องคก์ ารคา้ ของครุ สุ ภา, ๒๕๑๔.
A.P. Buddhadatta Mahãthera. Concise Pali-English Dictionary.
Colombo: The Colombo Apothecaries’ Co., Ltd., 1957.
So Sethaputra. New Model Thai-English Dictionary. พระนคร :
คลังวทิ ยาบรู พา, 2510.
ไชโย-ชโย
ไชโย หรือ ชโย เป็นค�ำท่ีเปล่งออกมาแสดงความยินดีหรืออ�ำนวยพร
เป็นต้น เพลงสรรเสริญพระบารมี เดิมลงท้ายว่า ฉะนี้ แต่ต่อมาก็เปลี่ยนเป็น
ชโย คือเดมิ ลงทา้ ยว่า “ดุจะถวายชยั ฉะนี”้ เปล่ยี นเปน็ “ดุจะถวายชยั ชโย”
หลวงบณุ ยมานพพานชิ (อรณุ บณุ ยมานพ) ซงึ่ ใชน้ ามปากกาวา่ แสงทอง ไดเ้ ขยี น
จดหมายถึงบรรณาธิการของหนังสือ วงวรรณคดี เล่าเร่ืองการเปล่ียนถ้อยค�ำ
ไว้ ดังน้ี
คำ� ว่า “ฉน้”ี เปล่ยี นเป็น “ชโย” ในรัชกาลที่ ๖ โดยมี WAR CRY
ของทหารในเวลาเข้าตะลมุ บอน เมอ่ื กอ่ นน้ีใช้ “โหฮ่ ิว้ โห่ฮิ้ว” ซงึ่ เมอื่ ร้อง
กนั มากไม่แสดงว่าขงึ ขัง เวลานัน้ ทลู กระหม่อมจักรพงศ์ [สมเดจ็ พระเจ้า
59
บรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานารถ]
ทรงเอาพระหฤทัยใส่ในทางทหาร และปรับปรุงให้เจริญก้าวหน้าข้ึน
มากมายทุกทาง กเ็ ลยปรับปรงุ WAR CRY ในเวลาตะลมุ บอนด้วย และ
ให้ใช้ “ชโย” แทน ซงึ่ ร้องพร้อม ๆ กันท้ังกองทัพก็เป็นทน่ี ่าสยดสยองอยู่
และค�ำ “ฉะนี้” ท้ายค�ำสรรเสริญพระบารมจี ึงเปลย่ี นเป็น “ชโย”
หลวงบุณยมานพพานิชไม่ไดบ้ อกว่าใครเป็นผเู้ ปลีย่ นคำ� ว่า ฉะนี้ ในเพลง
สรรเสริญพระบารมีเป็น ชโย แตห่ มอ่ มเจ้าหญงิ พูนพศิ มัย ดิศกลุ ทรงบันทกึ ไว้
ปรากฏในสมุดพกของพระองค์ว่า “พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัว รัชกาลท่ี ๖
ทรงแก้คำ� วา่ -ฉะน้-ี เปน็ -ไชโย”
ส่วนท่ีมาของค�ำ ไชโย น้ัน จมื่นอมรดรุณารักษ์ (แจ่ม สุนทรเวช) อดีต
มหาดเล็กของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เล่าไว้ในค�ำบรรยาย
เรื่อง “ลายพระราชหัตถเลขารัชกาลที่ ๖ ที่ยังมิได้เปิดเผยมาก่อน” ต่อมา
ค�ำบรรยายน้ีลงพิมพ์ในหนังสือ สังคมศาสตร์ปริทัศน์ ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๔
(มีนาคม-พฤษภาคม ๒๕๑๑) มขี อ้ ความตอนหน่ึงว่าได้มกี ารซ้อมรบเสอื ปา่ เมือ่
พ.ศ. ๒๔๕๖ พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยูห่ ัวเสดจ็ พระราชดำ� เนนิ ออก
จากพระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม โดยมีคณะท่ีไปในกระบวนเสด็จ
ไดแ้ ก่ กองเสอื ปา่ เสนาหลวงรกั ษาพระองค์ท้งั หมด กองลูกเสือหลวง กองทหาร
มหาดเลก็ รกั ษาพระองค์ จ.ป.ร. และกองทหารรกั ษาวงั ในพระองค์ รวมทางเสดจ็
พระราชดำ� เนนิ ๓,๒๖๘ เสน้ ไดเ้ ดนิ ทางอยู่ ๗ วนั วนั ท่ี ๒๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๖
กไ็ ปถึงเจดยี ย์ ทุ ธหตั ถี วันตอ่ มามกี ารเดนิ ประทักษณิ เวยี นพระเจดยี ์ ๓ รอบ และ
โหร่ อ้ งถวายชัย บงั เอญิ การโห่นนั้ รอ้ งรับไมพ่ รอ้ มกนั ด้วยพระปฏภิ าณอันฉบั ไว
จงึ มรี ับสั่งว่า
ในวันอันอุดมฤกษ์ที่เรามีโอกาสมาสู่สถานศักด์ิสิทธิ์อันเป็น
เกียรติประวัติน้ี เราจึงขอถือโอกาสว่า วาระน้ีเสมือนเราท้ังหลายได้มา
ชุมนุมกันเฝ้าเฉพาะพระพักตร์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ผู้ทรงน�ำ
60
ชัยชนะมาสู่ชาติไทยในอดีต ฉะน้ันเราจึงขอน�ำค�ำว่า “มีชัย” มาให้เป็น
ปฐมฤกษ์ จึงขอให้ท่านท้ังหลายจงเปล่งเสียง “ชัยโย” เป็นการถวาย
ราชสดดุ จี งพรอ้ มเพรียงกัน
จม่ืนอมรดรุณารักษ์เล่าว่าพอส้ินกระแสรับสั่ง ก็ทรงเปล่งพระสุรเสียง
ขึ้นมาว่า “ชัย” ทนั ใดนัน้ กม็ ีเสียง “โย” พรอ้ มกัน ๓ ครั้ง โดยมไิ ด้ซักซอ้ มไว้
ล่วงหนา้ เลย ต้ังแต่นนั้ มา ค�ำวา่ ไชโย กใ็ ชเ้ ป็นคำ� อวยพรของไทย
(รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา)
หนังสืออ้างองิ
แสงทอง. “จดหมายเร่อื งเพลงสรรเสริญพระบารมี.” ในวงวรรณคดี เล่ม ๑๐
(พฤศจิกายน ๒๔๘๙). พระนคร : โรงพิมพพ์ ระจันทร,์ ๒๔๘๙.
อมรดรณุ ารกั ษ,์ จมน่ื .“ลายพระราชหตั ถเลขารชั กาลท่ี๖ทย่ี งั มไิ ดเ้ ปดิ เผยมากอ่ น.”
ในสังคมศาสตร์ปริทัศน์ ปีท่ี ๕ ฉบบั ที่ ๔ (มีนาคม-พฤษภาคม ๒๕๑๑).
ฎีกา
ค�ำว่า ฎีกา มาจากค�ำภาษาบาลีว่า ฏีกา หนังสือ ประวัติคัมภีร์บาลี
บอกความหมายของ ฏีกา ซง่ึ ไทยแผลงเปน็ ฎีกา วา่
...หมายถึง หนังสืออธิบายอรรถกถาโดยเลือกค�ำหรือความที่ยากใน
อรรถกถาข้ึนอธิบายให้เข้าใจง่าย...หนังสือฎีกาฝ่ายเถรวาทในระยะแรก
หมายเฉพาะหนังสือท่ีอธิบายอรรถกถาของพระไตรปิฎก แต่ภายหลังมี
ความหมายกวา้ งขน้ึ คอื หมายถงึ หนงั สอื ทอี่ ธบิ ายความหมายของหนงั สอื
ใดทีไ่ ม่ใช่พระไตรปิฎก เช่น ฎกี าพงศาวดารบาลี ฎกี าของต�ำราไวยากรณ์
และการประพันธ์ ฎีกาคมั ภรี ม์ ลิ นิ ทปัญหา เป็นต้น
ไทยใชค้ ำ� ว่า ฎีกา มานานแล้ว และใชใ้ นความหมายต่าง ๆ กัน เช่น
๑. ฎีกา หมายถงึ หมายเรยี ก ดงั มขี อ้ ความในพระไอยการลักษณรับฟ้อง
61
ในกฎหมายตราสามดวง วา่
...ผมู้ คี ะดที �ำหนังสอื ฟอ้ งร้องแกข่ นุ การ ในลักษณหนังสือร้องน้นั มชี อ่ื โจท
เขา้ ชอ่ื รอ้ งฟอ้ งหลายคน ใหข้ นุ การเรยี กผเู้ ขา้ ชอ่ื มาถาม ถา้ รบั วา่ เขา้ ชอ่ื รอ้ ง
ฟ้องจริง จงให้ขุนนางเขียนโฉนฎฎีกาตราสารไปให้ส่งผู้มีคะดีออกมา
พิจารณา...
๒. ฎกี า หมายถงึ ถอ้ ยคำ� เชน่ พทุ ธฎกี า หมายถงึ ถอ้ ยคำ� ของพระพทุ ธเจา้
ดงั มคี ำ� วา่ พทุ ธฎกี า ในขอ้ ความทส่ี มเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารยต์ อบพระราชปจุ ฉา
ของพระเพทราชาตอนหนง่ึ ว่า
...จึงสมเด็จพระสรรเพ็ชพุทธเจ้าตรัสรู้ว่า เศรษฐีธิดาน้ันมีสมภารได้
บ�ำเพญมาบริบูรณ์แล้ว แลจะถึงพระอรหรรต์ในชาตินั้น จึงมีพุทธฎีกา
ตรัสว่าทา่ นทัง้ หลายอยา่ หา้ มเลยใหเ้ ข้ามาเถดิ
และถวายฎีกา หมายถงึ ทลู เช่น พระราชพงศาวดารฉบบั สมเด็จพระพนรัตน์
วดั พระเชตพุ น มขี ้อความวา่
...ศักราช ๑๐๐๕ ปีมแม เบญจศก พระโหราถวายฎกี าวา่ ในสามวนั จะ
เกิดเพลิงในพระราชวัง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสได้ทรงฟังตกพระไทย
ดว้ ยพระโหราคนนี้แมน่ ยำ� นกั ...
๓. ฎกี า หมายถงึ คำ� รอ้ งทกุ ข์ ดงั มขี อ้ ความในประกาศการทจ่ี ะทลู เกลา้ ฯ
ถวายฎกี าใน พ.ศ. ๒๔๐๑ ว่า
...ตัวคนถวายฎีกาหน้าพระที่น่ัง ให้กรมพระต�ำรวจรับตัวไว้ คนท่ีมาย่ืน
ถวายเรอ่ื งราวรอ้ งฎกี าแกพ่ ระเจา้ ลกู เธอ กรมหมน่ื มเหศวรศวิ วลิ าส ทหี่ นา้
พระท่ีน่ังสุทไธสวรรย์นน้ั ให้กรมลอ้ มพระราชวังรับตัวไว้...
๔. ฎีกา หมายถึง หนงั สอื ทบี่ อกเรื่องราวต่าง ๆ ดังอกั ขราภิธานศรบั ท์
ให้ความหมายของฎีกาว่า
62
ดีกา, เปนหนังสือจดหมาย, ที่บอกเรื่องราวต่าง ๆ จะให้เปนส�ำคัญนั้น,
เหมอื นอย่างฎกี าเกบ็ ตลาดเปนต้น.
ตวั อยา่ งคำ� วา่ ฎกี า ความหมายน้ี พบในตำ� ราหนา้ ทมี่ หาดเลก็ มขี อ้ ความในตำ� รา
ดงั กล่าวตอนหนึง่ ว่า
ถ้าบอกฎีกาอาการพระสังฆราชราชาคณะอาพาธ อาการกรม
พระราชวงั ฯ ประชวร อาการเจ้าตา่ งกรมประชวร อาการข้าทูลละอองฯ
ปว่ ย มหาสงกรานต์, พระราชพธิ ี จันทร์ สรู ย์ ช้าง ม้า เขา้ มาให้กราบทลู
พระกรุณา เป็นพนักงานมหาดเล็กหุ้มแพร ยามค�่ำรับเอากราบทูล
พระกรุณา แต่อาการพระสงฆ์ราชาคณะ ข้าทูลละอองฯ และอาการ
กรมพระราชวังฯ อาการเจ้าต่างกรม มหาสงกรานต์ พระราชพิธี
จนั ทรอุปราคา สุริยอุปราคา ชา้ งมา้ นน้ั ให้ส่งหัวหม่นื นายเวรกราบทูล
๕. ฎีกา หมายถึง ใบขอเบิกเงิน ดังมีข้อความในพระราชบัญญัติส�ำรับ
พระคลังมหาสมบัติ หมวดมาตราที่ ๑๓ วา่ ด้วยหนังสอื ขออนุญาตท่จี ะท�ำการ
ต่าง ๆ ว่า
เติมข้อ ๕ ว่าผู้หน่ึงผู้ใดที่ได้ขออนุญาตไว้ แล้วเม่ือถึงเดือนถือ
ก�ำหนดต้องท�ำฎีกามาเบิกตามการท่ีได้ใช้นั้น คือ หนังสือขออนุญาตท่ี
ยื่นไว้ มิใช่เปนตั๋วฎีกา เปนแต่บอกประมาณล่วงน่าไว้ เพ่ือจะให้
เจา้ พนกั งานรไู้ วก้ อ่ นจะไดเ้ กบหาเงนิ เตรยี มไวใ้ หภ้ อ เมอื่ ถงึ กำ� หนดจะเบกิ
จึงต้องท�ำฎีกามาเบิก เพราะฎีกาน้ันเหมือนที่อังกฤษเรียกว่าริสิตคือ
ใบเสรจส�ำรบั ท่ีจะได้รบั เงินแลแจ้งสิ่งของตามที่ได้ซือ้ ได้ท�ำโดยสจุ รติ
๖. ฎกี า หมายถงึ ใบรบั สงิ่ ของหรอื ใบรบั เงนิ เชน่ ฎกี ารบั สว่ ย สง่ิ ของทสี่ ง่
มาจากหัวเมอื ง
ปัจจุบัน ค�ำว่า ฎีกา ยังคงมีความหมายบางความหมายข้างต้น และมี
ความหมายอนื่ ๆ อกี บา้ งดงั ท่ี พจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔
63
ใหค้ วามหมายของคำ� ฎีกา ไวว้ ่า
ฎีกา น. คำ� อธบิ ายขยายความ เช่น ฎีกาพาหุง; ชอ่ื คัมภีรห์ นงั สอื
ท่ีแก้หรืออธิบายคัมภีร์ อรรถกถา; หนังสือท่ีเขียนนิมนต์
พระสงฆ์; ใบแจ้งการขอเบิกเงินจากคลัง; ใบบอกบุญ
เรี่ยไร; (กฎ) ค�ำร้องทุกข์ที่ราษฎรทูลเกล้าฯ ถวายต่อ
พระมหากษัตริย์; ชื่อศาลยุติธรรมสูงสุดของประเทศไทย
ซึ่งเรียกว่า ศาลฎีกา; การคัดค้านค�ำพิพากษาหรือค�ำส่ัง
ศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ เพ่ือเสนอใหศ้ าลฎีกาพิจารณา
พิพากษาหรอื วินจิ ฉยั ช้ขี าด; (โบ) ใบเรียกเก็บเงิน. (ปาก)
ก. ยื่นค�ำร้องขอหรือค�ำคัดค้านต่อศาลฎีกา เช่น คดีนี้จะ
ฎกี าหรอื ไม.่ (ป. ฏีกา).
(รศ. ดร.นววรรณ พนั ธเุ มธา)
หนงั สืออ้างองิ
ประชมุ จดหมายเหตุ สมยั อยธุ ยา ภาค ๑. พระนคร : คณะกรรมการจัดพมิ พ์
เอกสารทางประวตั ศิ าสตร์ วฒั นธรรมและโบราณคดี สำ� นกั นายกรฐั มนตร,ี
๒๕๑๐.
ประชมุ ประกาศรชั กาลที่ ๔. พมิ พใ์ นงานพระราชทานเพลงิ ศพ พลโท หมอ่ มเจา้
ชดิ ชนก กฤดากร ณ วดั เทพศริ นิ ทราวาส วนั ท่ี ๒๖ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๔๑.
๒ เลม่ .
พระมหาอดศิ ร ถิรสโี ล. ประวัตคิ มั ภรี ์บาล.ี กรงุ เทพฯ : มหามกุฏราชวทิ ยาลยั ,
๒๕๔๓.
พระราชพงศาวดาร ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน. มูลนิธิ “ทุน
พระพทุ ธยอดฟ้า” ในพระบรมราชปู ถัมภ์ จดั พมิ พ์โดยเสด็จพระราชกุศล
ในการพระราชทานเพลงิ ศพ พระธรรมปญั ญาบดี (ถาวร ตสิ สฺ านกุ โร ป.ธ. ๔)
ณ วดั เทพศิรนิ ทราวาส วันท่ี ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๘.
64
ราชกิจจานเุ บกษา. กรงุ เทพฯ : ส�ำนักพมิ พต์ ้นฉบบั , ๒๕๔๐.
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔.
กรงุ เทพฯ : นานมีบคุ๊ ส์, ๒๕๕๖.
ศิลปากร, กรม. ต�ำราแบบธรรมเนียมในราชส�ำนักคร้ังกรุงศรีอยุธยากับ
พระวิจารณ์ของสมเดจ็ ฯ กรมพระยาด�ำรงราชานภุ าพ. พมิ พ์ครง้ั ท่ี ๓.
กรงุ เทพฯ : หจก. จงเจรญิ การพมิ พ,์ ๒๕๓๙.
. เร่อื งกฎหมายตราสามดวง. กรงุ เทพฯ, ๒๕๒๑.
ดินสอ
ปัจจุบัน ค�ำว่า ดินสอ ใช้เรียกเครื่องเขียนอย่างหนึ่ง ถ้ามีไส้ท�ำด้วยแร่
แกรไฟต์ผสมดินเหนยี วมไี มห้ มุ้ เรยี กว่า ดินสอด�ำ นอกจากนัน้ คำ� ว่า ดินสอ ยังใช้
เปน็ ชอื่ ถนนสายหนงึ่ ในกรงุ เทพมหานคร ถา้ แปลคำ� วา่ ดนิ สอ ตรงตวั กค็ อื ดนิ ขาว
เพราะค�ำวา่ สอ มาจากค�ำภาษาเขมร ส [ซอ] แปลว่า ขาว แตเ่ ดมิ ดินสออาจทำ�
ด้วยดนิ และมสี ขี าว แตต่ ่อมาดินสอท�ำดว้ ยวัสดุอ่ืนกม็ ี และมสี อี น่ื ๆ อกี หลายสี
สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ทรงสันนษิ ฐาน
สาเหตทุ เี่ กิดคำ� ดินสอ ไวว้ า่
ค�ำวา่ “ดนิ สอ” น้นั คดิ หามูลออกฉงน ด้วยคำ� “ดิน” เป็นภาษาไทย ค�ำ
“สอ” เป็นเขมร ถ้าเป็นของไทยประดิษฐ์ข้ึนไฉนไม่เรียกว่า “ดินขาว”
เหมือนเช่นเรียกดินแดงที่ใช้ทาฝาเรือน ถ้าเป็นของเขมรประดิษฐ์ไฉน
ไม่เรียกค�ำดินตามภาษาเขมร ถ้าจะลองเดาดูมูลเหตุ เห็นว่าเดิมไทย
จะเขียนหนังสือแต่ดว้ ยเส้นดำ� น�ำ้ หมกึ ตามแบบจีน มาได้วิธีเขียนเส้นขาว
จากเขมร จงึ ไดค้ �ำ “สอ” ตดิ มาดว้ ย กส็ อน้ันได้มาจากดิน เป็นดินกอ้ น
เทอื กหนิ อะไรอยา่ ง ๑ เปน็ ดนิ ผงเอามาเกรอะทำ� เปน็ แทง่ อยา่ ง ๑ จงึ เรยี กวา่
“ดนิ สอหิน” และ “ดินสอพอง” เปน็ ๒ อย่าง ตอ่ มาเอาเขม่าปั้นเขียน
เสน้ ดำ� เหมอื นอยา่ งใชด้ นิ สอขาว จงึ เรยี กวา่ ดนิ สอดำ� ดนิ สอแดง และสอี น่ื
65
เพ่ิงมีใช้เมื่อเร็ว ๆ นี้ ก็พลอยเรียกว่าดินสอตามไปด้วย ค�ำว่า ดินสอจึง
หมายความแปรไปเปน็ ถรรพสมั ภาระสำ� หรบั เขยี นหนงั สอื ดว้ ยประการฉะน้ี
ดินสอหินท่ีสมเด็จฯ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพทรงกล่าวถึงว่ามีมา
แต่เดิมนั้นท�ำกันในประเทศไทย ในบทความเรื่อง “วิธีท�ำดินสอ” ซึ่งตีพิมพ์ใน
หนงั สอื วชริ ญาณวเิ ศษรตั นโกสนิ ทรศ์ ก๑๑๑(พ.ศ.๒๔๓๕)เลา่ วา่ ดนิ สอหนิ ทน่ี ยิ ม
ซ้อื ขายกันมี ๒ ชนิด คอื ดนิ สอเหลอื งและดินสอขาว
ดินสอเหลืองหรือดินสอหินเหลืองได้จากเขาหินดินสอซ่ึงเป็นเขาเตี้ย ๆ
อยู่ในป่าแขวงเมืองกาญจนบุรี มีผู้เดินทางไปขุดหินดินสอในระหว่างเดือน
๓ เดอื น ๔ กอ่ นจะขุดตอ้ งบวงสรวงรปู เทพารกั ษซ์ งึ่ มอี ยู่ในศาลทีป่ ลูกไวร้ มิ เชงิ
เขา เพอ่ื ใหเ้ ทพารกั ษซ์ ง่ึ สมมตุ เิ รยี กกนั วา่ พอ่ ปชู่ ว่ ยดลใจหรอื มาเขา้ ฝนั แนะนำ� บอก
ท่ซี ่ึงมหี นิ ดนิ สอ เมอ่ื ขุดหาหินดินสอจนถึงเดือน ๗ เดือน ๙ ใกลถ้ ึงเทศกาลฝน
กน็ �ำหินดินสอที่ขุดไดม้ าขาย ผูร้ บั ซื้อไว้จะเลอ่ื ยกอ้ นดินสอออกเป็นแผ่น ๆ หนา
นิ้วหนง่ึ ขนาดโตบ้างเลก็ บ้างตามขนาดกอ้ นดินสอ ใช้มดี ขดี ตดั เปน็ แทง่ สี่เหลยี่ ม
แล้วเหลาให้กลม ๆ หัวท้ายเรยี วแหลมทง้ั ๒ ข้าง
ดินสอขาว ได้จากหินเมืองนครศรีธรรมราช เมืองสงขลา เมืองพัทลุง
เป็นต้น กล่าวกันว่าดินสอขาวท่ีได้จากเมืองนครศรีธรรมราชมีคุณสมบัติดีท่ีสุด
สำ� หรบั ใชเ้ ขยี นสมดุ ไทยดำ� ผนู้ ำ� หนิ ดนิ สอมาขายจะทำ� ใหเ้ ปน็ กอ้ น กวา้ งยาวและ
หนาเท่าแผ่นอิฐ หินขาวค่อนข้างจะแข็งกว่าหินเหลือง ผู้ท�ำดินสอจะเลื่อยและ
เหลาหนิ ขาวท�ำนองเดยี วกบั หนิ เหลือง
ดนิ สออกี ชนิดหนงึ่ ท่ีนำ� มาใช้เขียนคอื ดินสอด�ำป้ัน ทำ� ท่บี ้านหลังวัดระฆัง
โดยมาก ดนิ สอด�ำป้นั ท�ำดว้ ยดินเหนียวซึ่งละลายดว้ ยนำ้� ข้าว กรองด้วยผ้าอย่าง
บาง ผสมกบั เขมา่ ไมเ้ สมด็ บดละเอยี ดและแกว้ แกลบคอื ขเ้ี ถา้ แกลบอยา่ งละเอยี ด
ทจ่ี ับกันเปน็ ก้อน ๆ บดละเอยี ด ผสมดนิ ๕ ส่วน เขม่าและแกว้ แกลบอยา่ งละ
๑ สว่ น โขลกในครกใหเ้ ข้ากันแล้วคลงึ เขา้ กับไมแ้ ปน้ อย่างทำ� ขนมดว้ งให้กลม ๆ
หัวท้ายเรียวแหลม ยาวประมาณ ๒ องคุลี น�ำออกผึ่งแดดพอหมาดแล้วผ่ึงลม
66
ในท่รี ม่ จนแหง้ สนทิ ดี
ต�ำบลท่ีขายดินสอปรากฏช่ือโด่งดังคือ ตรอกดินสอ ใกล้โบสถ์พราหมณ์
หากไมซ่ ื้อดนิ สอมาใช้ ก็อาจทำ� ดนิ สอใช้เอง ดังที่พระยาอนุมานราชธนเล่าไวใ้ น
หนงั สือชวี ติ ชาวไทยสมยั ก่อนว่า
ดนิ สอเขียน โดยมากพระทา่ นทำ� เอง ท�ำดว้ ยดินหรือหนิ ชนิดอ่อน ดนิ สอ
ทท่ี ำ� ดว้ ยดนิ มดี นิ สอทำ� จากดนิ ดาน เอามากรองเพอ่ื คดั ดนิ ทเี่ ปน็ เมด็ และ
กรวดทรายออกเสียให้หมด มิฉะน้ันเวลาเขียนดินสอจะกัดกระดาน
เอามาเลือ่ ยเป็นแทง่ ๆ และเหลาใหเ้ ป็นรปู ดินสอ ท่ีใช้ดนิ เหนียวข้างตลิ่ง
มาปนั้ เป็นแท่งก็มี ท่ที ำ� ดว้ ยดนิ สอพองปนขมนิ้ เอามาปนปั้นเป็นแท่งยาว
แล้วเลื่อยออกเป็นแท่งเล็ก ๆ พอเหมาะแก่ความต้องการก็มี อย่างนี้
เรยี กวา่ ดนิ สอเหลอื ง ทำ� ดว้ ยขพี้ ลอดปหู รอื ดนิ มนั ปซู ง่ึ มสี เี หลอื ง ๆ อมขาว
เอามาป้ันเปน็ แท่งกม็ ี ดนิ สอชนดิ น้ไี มส่ ู้ดแี ตพ่ อใช้แกข้ ัดได้
พระยาอนุมานราชธนเล่าไว้ด้วยว่า ดินสอหินแต่ก่อนเคยมีขายที่ใน
กรุงเทพฯ แถวถนนดนิ สอ “ซงึ่ ไดช้ อ่ื เชน่ นเ้ี พราะเป็นยา่ นเคยขายดินสอ”
ถนนดนิ สอตดั ผา่ นตรอกดนิ สอเดมิ คอื เรมิ่ ตน้ จากถนนบำ� รงุ เมอื ง ใกลล้ าน
เสาชิงชา้ ตรงไปจดถนนพระสเุ มรุ ตรงเชงิ สะพานเฉลมิ วนั ชาติ พระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ตัดถนนน้ีใน พ.ศ. ๒๔๔๑ เริ่มสร้าง
วนั ท่ี ๑๔ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๔๔๑ แล้วเสร็จเม่ือ พ.ศ. ๒๔๔๒ พระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชด�ำเนินทรงเปิดถนนดินสอเม่ือวันท่ี
๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๒
คำ� วา่ ดนิ สอ กลายความหมายจากเดมิ เพราะลกั ษณะของดนิ สอเปลย่ี นไป
นอกจากน้นั คำ� ว่าดนิ สอยังขยายความหมายไป ใชเ้ รยี กสถานทีม่ ดี ินสอขายอีก
ด้วย แม้ปจั จบุ นั บริเวณถนนดินสอไมม่ ีดินสอขายอกี แล้ว แต่คำ� ว่าดนิ สอกย็ ังติด
อยู่เปน็ ช่ือของถนน
(รศ. ดร.นววรรณ พันธเุ มธา)
67
หนงั สอื อา้ งอิง
กนกวลี ชชู ัยยะ. พจนานกุ รมวสิ ามานยนามไทย : วดั วัง ถนน สะพาน ป้อม.
พมิ พ์คร้งั ท่ี ๒. กรงุ เทพฯ : ราชบณั ฑิตยสถาน, ๒๕๔๘.
นรศิ รานวุ ดั ตวิ งศ,์ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ และสมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ
กรมพระยาดำ� รงราชานภุ าพ. สาสน์ สมเดจ็ เลม่ ๒๔. พระนคร : องคก์ ารคา้
ของคุรุสภา, ๒๕๐๕.
วชิ าอาชพี ชาวสยาม จากหนงั สอื วชริ ญาณวเิ ศษ ร.ศ. ๑๐๘-๑๑๓. กรงุ เทพฯ :
กรมศิลปากร, ๒๕๕๔.
เสฐยี รโกเศศ (ศาสตราจารย์ พระยาอนมุ านราชธน). ชวี ติ ชาวไทย สมยั ก่อน.
พระนคร : ราชบณั ฑิตยสถาน, ๒๕๑๐.
ตัวพิมพอ์ กั ษรไทย
ศาสตราจารยก์ ำ� ธร สถริ กลุ เขยี นเลา่ ไวใ้ นหนงั สอื ลายสอื ไทย ๗๐๐ ปีวา่
ผอู้ อกแบบตวั พมิ พอ์ กั ษรไทยเปน็ คนแรกคอื แหมม่ จตั สนั (Mrs. Ann Hazeltine
Judson) ซึ่งติดตามสามีเข้าไปอยู่ในเมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า สามีของแหม่ม
จตั สนั เปน็ มชิ ชนั นารอี เมรกิ นั คณะแบบตสิ ต์ และมงุ่ สอนครสิ ตศ์ าสนาใหช้ าวพมา่
สว่ นแหมม่ จตั สนั สนใจภาษาไทย ไดศ้ กึ ษาภาษาไทยจากเชลยไทยทถ่ี กู กวาดตอ้ น
ไปอยปู่ ระเทศพมา่ คราวเสยี กรงุ ศรอี ยธุ ยาครงั้ หลงั และไดอ้ อกแบบตวั พมิ พอ์ กั ษร
ไทยใหช้ ่างพมิ พข์ องคณะมชิ ชันนารหี ล่อขึน้ ไว้
ใน ค.ศ. ๑๘๑๙ (พ.ศ. ๒๓๖๒) มกี ารผลัดแผน่ ดนิ พม่า เกิดสถานการณ์
คบั ขนั คณะมชิ ชนั นารอี เมรกิ ันจงึ นำ� เอาแทน่ พมิ พ์ และตวั พมิ พ์อกั ษรไทย พม่า
มอญ ไปไว้ท่เี มืองกลั กัตตา ประเทศอนิ เดีย ตวั พมิ พ์ไทยชดุ นไี้ ดใ้ ช้พิมพ์หนงั สือ
ไวยากรณไ์ ทย (A Grammar of the Thai or Siamese Language) ซ่ึงกัปตนั
เจมส์ โลว (Capt. James Low) เป็นผู้แต่ง หนังสือเล่มน้พี มิ พ์เมื่อ ค.ศ. ๑๘๒๘
(พ.ศ. ๒๓๗๑) นบั เป็นหนังสือเลม่ แรกทมี่ ตี วั พมิ พ์อกั ษรไทย ศาสตราจารย์กำ� ธร
68
กล่าวว่าหนังสือไวยากรณ์ไทยมีบางหน้าเป็นลายมือเขียน อักษรไทยพิมพ์ด้วย
บล็อก และบางหน้าพิมพ์ด้วยตัวเรียงอักษรไทย ซ่ึงเชื่อกันว่าเป็นตัวพิมพ์ท่ี
แหม่มจตั สนั ให้จดั ท�ำข้ึน
ต่อมามีการขายตัวพิมพ์ชุดน้ีไปสิงคโปร์ โรงพิมพ์ที่สิงคโปร์ได้ขายต่อให้
มิชชันนารี คณะ A.B.C.F.M. ใน ค.ศ. ๑๘๓๕ (พ.ศ. ๒๓๗๘) ซึ่งได้ให้หมอ
บรัดเลย์ (Dan Beach Bradley) นำ� เข้ามาในกรุงเทพฯ ในปนี น้ั หมอบรัดเลย์
บันทึกไว้ว่ามีการพิมพ์หนังสือไทยในประเทศไทยส�ำเร็จเป็นคร้ังแรก เมื่อวันที่
๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๗๙ และคณะมิชชันนารีไดห้ ล่อตวั พมิ พ์ไทยขนึ้ ใชเ้ องได้
ส�ำเรจ็ เมอ่ื พ.ศ. ๒๓๘๔ ตวั พิมพ์อกั ษรไทยทห่ี ล่อในประเทศไทยสวยงามกวา่
ตวั พมิ พ์ทหี่ ล่อจากสิงคโปร์
(รศ. ดร.นววรรณ พันธเุ มธา)
ทองแผน่ เดียวกนั
สำ� นวน ทองแผ่นเดียว หรือ ทองแผน่ เดียวกนั หมายถงึ เก่ียวดองกัน
โดยการแตง่ งาน ผูใ้ หญ่ฝา่ ยชายมักใช้ส�ำนวนทองแผน่ เดยี วกนั เมื่อสขู่ อหญิงสาว
จากผู้ใหญฝ่ า่ ยหญิง
ส�ำนวนทองแผ่นเดียวกันมีใช้มานานแล้ว ในบทละครพระราชนิพนธ์
รชั กาลที่ ๒ เรอ่ื งอเิ หนา ทา้ วกะหมงั กุหนงิ สง่ พระราชสาส์นไปยังท้าวดาหาเพือ่
ขอนางบุษบาใหว้ หิ ยาสะก�ำ ก็ใชส้ ำ� นวนทองแผ่นเดียวกัน ดังนี้
พระอย่าสลัดตดั เย่ือใย จงอวยให้ดงั ใจประสงค์
จะเป็นทองแผ่นเดียวด้วยพระองค์ อันทรงทศพธิ ไมผ่ ิดธรรม
ส�ำนวนทองแผ่นเดียวกันไม่ได้ใช้เฉพาะเร่ืองการขอหญิงสาว พงศาวดาร
กรงุ ศรอี ยธุ ยาฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ(เจมิ )มสี ำ� นวนทองแผน่ เดยี วกนั ในพระราชสาสน์
ขอชา้ งเผือกทีส่ มเดจ็ พระเจ้าหงสาวดีมถี ึงสมเด็จพระมหาจกั รพรรดิ ดงั น้ี
69
...พระราชอนชุ าท่านประสงคจ์ ะขอช้างเผือกพลาย ๒ ชา้ ง มาไว้เปน็ ศรี
ในกรุงหงสาวดี ให้สมเด็จพระเชษฐาเราเห็นแก่ทางพระราชไมตรีอนุชา
ทา่ นเถดิ กรงุ หงสาวดกี บั พระมหานครศรอี ยธุ ยาจะไดเ้ ปน็ ราชสมั พนั ธมติ ร
สนิทเสน่หา เป็นมหาพสุธาทองแผ่นเดียวกนั ไปตราบเท่ากัลปาวสาน...
เหน็ ได้วา่ สำ� นวนทองแผ่นเดียวกนั หมายถงึ มีไมตรีกัน เมอ่ื จ.ศ. ๑๒๒๑
(พ.ศ. ๒๔๐๒) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไดร้ ับพระราชสาสน์ ของ
พระเจ้ากรุงเดนมาร์กและทรงพระราชนิพนธ์พระราชสาส์นตอบ มีความตอน
หนงึ่ ว่า
...ด.ก. แมสอนอศิ เกอร์ (ผวู้ า่ การแทนกงสลุ เดนมารก์ ) ไดส้ ง่ พระราชสาสน์
น้ัน ให้ถึงพระราชหัตถ์ กรุงสยามต่อหน้าผู้ใหญ่ท้ังปวงในท่ีประชุม กรุง
สยามไดอ้ า่ นแลว้ แปลความออกแลว้ แสดงใหแ้ จง้ แกพ่ ระราชวงศานวุ งศ์
แลเสนาบดีผู้ใหญ่ ในท่ีประชุมนั้นฟังทราบความด้วย ท่านท้ังปวงนั้น
ได้ทราบแล้ว ก็มีความยินดีพร้อมกันกับกรุงสยามด้วย ได้เจริญ
ราชอิศริยยศเกียรติคุณในท่ีได้รับพระราชสาส์นเจริญทางพระราชไมตรี
มาตรงเฉพาะแตส่ �ำนกั กรงุ เดนมาร์กเป็นพระเจา้ แผน่ ดินอนั ใหญ่ สมควร
เปน็ ทองแผน่ เดียวโดยพระราชไมตรีกบั กรงุ สยาม ดงั เมอื งฝร่ังเศส เมือง
อังกฤษ เมอื งโปรตคุ อล แลอื่น ๆ น้ัน ฯ
กาญจนาคพันธุ์กล่าวถึงส�ำนวนทองแผ่นเดียวกันว่ามีที่มาจากการท�ำ
หนังสือสัญญาทางพระราชไมตรี และอา้ งถงึ ค�ำอธิบายของสมเดจ็ พระเจ้าบรม-
วงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ซ่ึงทรงนิพนธ์ไว้ในพระราชพงศาวดาร
กรุงรัตนโกสนิ ทร์ รชั กาลที่ ๒ วา่
...ปรากฏว่าเม่ือโปรตุเกศแรกออกมาค้าขายถึงประเทศทางตะวันออก
เม่ือทำ� หนงั สอื สัญญากบั เจา้ ทค่ี รองเมืองทางตะวนั ออกน้ี หนงั สือสญั ญา
จาฤกลงในแผ่นทองแลทั้งสองฝ่ายเอาหัวแหวนประทับแทนตราดังน้ี
ก็เข้าใจได้ว่าประเพณีท�ำสัญญาระหว่างพระนครในมัชฌิมประเทศแต่
70
โบราณมาคงจะจาฤกลงในแผ่นทอง จึงเป็นศัพท์ท่ีใช้กันในหนังสือท่ีแต่ง
ต่อมาว่า สองพระนครเป็นทองแผ่นเดียวกัน หรือใช้เป็นอุประมาว่า
สองพระนครเป็นสุวรรณปถพีอันเดียวกัน ท้ัง ๒ ค�ำนี้ เห็นจะเกิดจาก
ประเพณีทจี่ าฤกหนังสือสัญญาระหว่างประเทศลงในแผ่นทองนั้นเอง
ในประชมุ พงศาวดารภาคที่ ๔๕ รวมจดหมายเหตเุ รอ่ื งทตู ไทยไปประเทศ
อังกฤษเม่ือ พ.ศ. ๒๔๐๐ พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ก็ทรง
กลา่ วถงึ การจารึกพระราชสาสน์ ลงในแผน่ ทอง ดงั นี้
ว่าด้วยพระราชสาส์นตามแบบโบราณ ต้องจารึกลงในแผ่นสุพรรณบัฏ
เขียนจ�ำลองลงแผ่นกระดาษแต่ส�ำเนาซึ่งส่งไปกับศุภอักษรของเสนาบดี
การทจ่ี ารกึ ลงแผน่ ทองถอื วา่ เปน็ เครอื่ งหมายแหง่ ไมตรี แมห้ นงั สอื สญั ญา
ทางไมตรีท่ีมีต่อกันในระหว่างประเทศ ก็ใช้จารึกในแผ่นสุพรรณบัฏ
และการทห่ี มายสำ� คญั ใชป้ ระทบั ยอดหวั แหวนกดรอยไวใ้ นแผน่ ทองแทน
การประทับตรา ด้วยเหตุนี้จึงเป็นค�ำพูดกันว่า “เป็นทองแผ่นเดียวกัน”
และ “เป็นสวุ รรณปถั พีอนั เดียวกัน” มาแต่โบราณ ประเพณอี ันนี้ไมม่ ีใน
ประเทศฝรั่งและประเทศจีน
สำ� นวน ทองแผ่นเดยี วกนั มีทมี่ าจากการจารกึ พระราชสาสน์ และหนงั สอื
สญั ญาทางไมตรลี งในแผน่ ทอง สำ� นวนนเี้ คยใชแ้ สดงไมตรรี ะหวา่ งเมอื ง ระหวา่ ง
ประเทศ แต่ปัจจุบันกลายความหมายไป มักใช้แสดงความเกี่ยวดองระหว่าง
ครอบครัวหรือวงศ์ตระกูล
(รศ. ดร.นววรรณ พนั ธเุ มธา)
หนงั สืออา้ งองิ
กาญจนาคพันธ์ุ (นามแฝง). สำ� นวนไทย. ๒ เลม่ . พระนคร : รวมสาสน์ , ๒๕๑๓.
ประชุมพงศาวดารฉบับหอสมุดแห่งชาติ เล่ม ๑๑ (ภาคท่ี ๔๔, ๔๕).
พระนคร : กา้ วหนา้ , ๒๕๑๓.
71
ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๔ พงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา ฉบับพนั จันทนมุ าศ
(เจิม). พิมพ์ในงานปลงศพ คุณหญิงปฏิภาณพิเศษ (ลมุน อมาตยกุล)
ณ วัดประยรุ วงศาวาส, ๒๔๗๙.
พระราชสาสน์ ในพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั พระราชทานไปยงั
ประเทศตา่ ง ๆ ภาค ๒. พมิ พใ์ นงานฌาปนกจิ ศพ คณุ หญงิ พสิ ยั สทิ ธสิ งคราม
(อาบ พรโสภณ) ณ วดั มกฎุ กษัตริยาราม, ๒๕๐๑.
ทับทมิ
คำ� ว่า ทบั ทิม มี ๒ ความหมาย คอื หมายถึง พลอยสีแดงชนิดหน่งึ หรือ
หมายถงึ ผลไมช้ นดิ หนงึ่ ทบั ทมิ ทเ่ี ปน็ พลอยกบั ทบั ทมิ ทเ่ี ปน็ ผลไมม้ ลี กั ษณะคลา้ ย
กนั คือ พลอยทับทมิ มสี ีแดงใส ผลทบั ทมิ ก็มเี มลด็ ทมี่ ีเน้อื สีแดงใสหุม้ ดูคลา้ ยกบั
ทับทมิ ที่เปน็ พลอย
คำ� วา่ ทบั ทมิ ทใี่ ชเ้ รยี กพลอย และทบั ทมิ ทใี่ ชเ้ รยี กผลไมเ้ ปน็ คำ� คำ� เดยี วกนั
มาจากค�ำสันสกฤตว่า ทาฑิม หมายถึง ต้นทับทิม ไทยน่าจะยืมค�ำว่าทาฑิม
มาออกเสียงวา่ ทับทมิ ใช้เรยี กผลไม้ และตอ่ มาใชเ้ รยี กพลอยทม่ี สี ีแดงใสคลา้ ย
เมลด็ ทบั ทิมวา่ ทบั ทมิ ด้วย
ชนหลายชาตชิ อบผลทบั ทมิ ส. พลายนอ้ ยเล่าไว้ในพฤกษนยิ ายว่า ชาว
อนิ เดยี ทน่ี บั ถอื พระคเณศรน์ ยิ มเอาทบั ทมิ ไปถวาย เพราะถอื วา่ พระคเณศรโ์ ปรด
ทบั ทมิ ชาวอนิ เดยี ทัง้ หลายก็ชอบกินทบั ทิมโดยคน้ั น�้ำกิน พวกปารส์ ใี นบอมเบย์
เวลาคนใกลจ้ ะตาย เขาจะคนั้ ทบั ทมิ เอานำ�้ กรอกเขา้ ไปในปาก ชาวจนี ถอื วา่ ทบั ทมิ
เปน็ เครอื่ งหมายของความอดุ มสมบรู ณ์ การมลี กู หลานมาก นยิ มใหท้ บั ทมิ กนั เปน็
ของขวญั ในวนั แตง่ งานเพอ่ื อวยพรใหค้ บู่ า่ วสาวมลี กู มาก ใบหรอื กงิ่ ทบั ทมิ ชาวจนี
ก็ถือว่ามีอ�ำนาจไล่ผีได้ ส. พลายน้อยเล่าว่าตามประเพณีของชาวเมืองเตี้ยจิว
เม่ือฝ่ายชายน�ำเงินสินสอดไปให้ฝ่ายหญิงต้องเอาใบทับทิมและดอกจือล้ังเคล้า
กับเงินสินสอดไปด้วย ในเวลาแต่งงานเขามักใช้ยอดทับทิมปักท่ีผม เวลาเซ่น
72
หรือไหว้เจ้าก็เอายอดทับทิมปักที่เครื่องเซ่น เมื่อไปงานศพกลับมาใช้ใบทับทิม
แชน่ �้ำลา้ งหน้า ล้างมอื
ชาวญี่ปุ่นก็ชอบทับทิม ถือว่าทับทิมเป็นสัญลักษณ์ของเจ้าแม่กิชิโบยิน
ซ่ึงเป็นเจ้าแม่ที่คอยพิทักษ์รักษาเด็ก และช่วยให้สตรีได้มีบุตร ตามวัดต่าง ๆ
ในญปี่ นุ่ มกั จะมรี ปู ของเจา้ แมก่ ชิ โิ บยนิ และมกั จะทำ� เปน็ รปู มอื ขา้ งหนง่ึ หรอื ๒ ขา้ ง
ถือผลทับทิม สตรีที่ยังไม่มีบุตรมักจะไปบูชาเจ้าแม่กิชิโบยินเพื่อขอให้มีบุตร
ส่วนสตรีที่มีบุตรแล้วก็ไปบูชาเจ้าแม่กิชิโบยินเพ่ือให้พิทักษ์รักษาบุตรของตน
ในการไปบูชาเขามักจะน�ำผลทับทิมไปถวายเจ้าแม่ด้วย โดยเชื่อว่าถ้าเด็ก ๆ
กินทับทิมแลว้ จะไมถ่ ูกภูตผีปศิ าจรบกวน
มิใช่แต่อินเดีย จีน และญ่ีปุ่น ที่เป็นชาติตะวันออกเท่านั้นท่ีนิยมทับทิม
ชนชาติตะวันตกบางชาติก็นิยมทับทิมด้วย เช่น ชาวสเปนถือว่าดอกทับทิม
เป็นดอกไม้ประจ�ำชาติของสเปน และชาวเมืองเยรุซาเล็มในสมัยโบราณก่อน
คริสต์กาลถือว่าทับทิมเป็นผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ใช้ประดับยอดเสาวิหารของกษัตริย์
โซโลมอน
ทบั ทมิ ทเ่ี ปน็ ชอื่ พลอยไดร้ บั ความนยิ มเชน่ เดยี วกบั ผลทบั ทมิ ไทยเราถอื วา่
ทบั ทิมเป็นรตั นะอยา่ งหน่งึ ในรัตนะท้งั ๙ ทีเ่ ราเรยี กกนั ว่า นพรตั น์ ถอื เปน็ รัตนะ
ทมี่ คี ่ายิ่ง พบได้หลายแห่งในโลก เชน่ แอฟรกิ า ปากสี ถาน เขมร ซีลอน พม่า
และไทย แหล่งทับทิมของไทยอยู่ท่ีจังหวัดจันทบุรี ทับทิมไทยถือว่าดีเป็นท่ี ๒
รองจากทบั ทมิ พมา่ เม่ือเปรยี บเทยี บทับทมิ ไทยกับทับทมิ พมา่ ทบั ทมิ ไทยมีเนื้อ
แข็งกว่า และเน้ือส่วนมากสะอาดกว่า เม่ือเจียระไนให้ได้สัดส่วนเท่ากันทับทิม
ไทยจะมีประกายดกี วา่ แต่สขี องทบั ทมิ ไทยสู้ทบั ทมิ พมา่ ไม่ได้ เดมิ พ่อค้าพลอย
ชาวอังกฤษไม่ยอมเรียกทับทิมของไทยว่า ruby แต่เรียกว่า red corundum
แปลวา่ หนิ สีแดง หรือหนิ ตระกลู corundum (เน้ือแขง็ ) ท่ีมสี แี ดง คอื ไม่ยอมยก
ให้ทับทิมของไทยเป็นอัญมณี ตลาดเพชรพลอยในอังกฤษก็จ�ำหน่ายแต่ทับทิม
ของพมา่ และสง่ ไปขายทว่ั โลก ชาวยโุ รปและอเมรกิ าในสมยั นน้ั ไมย่ อมซอื้ ทบั ทมิ
73
ของไทยซอ้ื แต่ทับทิมพม่า ต่อมาเม่ืออังกฤษต้องยอมยกเอกราชให้พมา่ การค้า
พลอยก็ตกอยู่ในมือของอินเดียและพม่า ชาวยุโรปหาซ้ือทับทิมพม่าได้ยาก
จึงหันมาสนใจทับทิมของไทย และยอมรับว่าทับทิมของไทยก็คือ ruby
เหมอื นกัน เรียกวา่ Siam ruby หรือทับทิมสยาม
(รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา)
นากสวาด-ิ มรกต-ครทุ ธิกานต์
นากสวาดิ มรกต และครทุ ธิกานต์ เปน็ รตั นชาติทเ่ี กิดจากการส�ำรอกของ
นาค ตามตำ� ราวา่ ดว้ ยทเ่ี กดิ เนาวรตั น์ ของหลวงนรนิ ทาภรณ์ (ช)ู เมอื่ มหาพลอสรู
บ�ำเพ็ญตบะและสิ้นชีวิตลงน้ัน มพี ญานาคจากนาคพภิ พมาดูดเลอื ดแลว้ สำ� รอก
ออกเปน็ รตั นชาติ ๓ ชนดิ คือ นากสวาดิ มรกต และครุทธิกานต์ ดังรา่ ยว่า
...ปางอิศรราชอสุรินทร์ ดับกสิณสิ้นชีพิตร มีมหิทธิอุรคภพ เข้าสู่ศพ
สูบเลอื ด ดม่ื ดดู เดือดแหง้ หาย แล้วลาศผายเลือ่ นเลอื้ ย เรว็ เรอ่ื ยเร้ือยโดย
สดอก ไปส�ำรอกราบเรือง ประเทศเมืองตรษุ ดาษ เปนนากสวาดทิ ้ังผอง
เคารพสองมรกฎ เขฬะหยดครทุ ธิการ ครบเอาวสานสน้ิ สุด นาคมว้ ยมุด
วายชนม์ ในสิงหฬประเทศ เพ่ือผลเหตุโลหิต อสูรต้องติดพิศม์โสรม
ศรเี ขยี วขจพี รายเพรศิ กำ� เนดิ รตั นาสาม มพี รรณงามเงอื่ นแตม้ ควรคขู่ วญั
เนตรแยม้ อย่างไว้คุงวัน นี้นา
นากสวาดิแบ่งตามลกั ษณะสเี ป็น ๔ ชนิด ได้แก่ ๑. สดี ังงูเขียว ๒. สีผวิ
ไมไ้ ผ ่ ๓. สตี บั เตา่ ซง่ึ เปน็ ผกั ชนดิ หนงึ่ ๔. สเี ขยี วดำ� นากสวาสดทิ งั้ ๔ ชนดิ นใ้ี หค้ ณุ
ถ้าถูกอสรพิษขบกัดน�ำนากสวาดิไปแช่น้�ำ แล้วน�ำน�้ำน้ันลูบแผลและด่ืมจะขจัด
พษิ รา้ ยได้ นอกจากนั้นถา้ มีนากสวาดขิ ณะตอ่ สู้ ศัตรูจะพ่ายแพ้ นากสวาดิทแี่ ท้
เม่อื ถึงเดอื น ๔ ของทุกปจี ะมีรูปงูปรากฏในเนื้อแก้ว ๓ ครั้ง
มรกตที่ใหค้ ณุ มี ๔ สี คอื ๑. สีเขียวใบแค ๒. สีขนคอนกแขกเต้า ๓. สปี กี
แมลงทับ ๔. สขี าวดงั สำ� ลแี ตเ่ มื่อจบั ขนึ้ จะเป็นแสงสีเขียว ดงั โคลงวา่
74
หนง่ึ เขยี วเขียวค่คู ล้าย ใบแค
ลางเล่หข์ นคอแน แขกเตา้
แมลงทบั ปกี ปานแล สลาบเล่อื ม
บางฬอ่ ส�ำลีเคล้า จบั ขนึ้ แสงเขยี ว
มรกตทใี่ หโ้ ทษมี ๔ ลกั ษณะ ๑. สเี หมอื นขา้ วสกุ ขยำ� กบั แกงผกั ๒. หลงั หวำ�
คือดา้ นบนเปน็ รอยบมุ๋ ลง ๓. มดี นิ แทรกอยใู่ นเนอื้ ๔. สีไมเ่ ขยี วสวย (ในโคลงวา่
บางไปเ่ ขียวงามไซ้ สอ่ ซ�ำ้ เสรจ็ สาร)
มรกตที่มีลักษณะปราศจากโทษจะท�ำให้เจ้าของมีความสุข และพ้น
อนั ตรายจากอสรพิษ
ครุทธกิ านต์ มสี เี ขยี วดงั ทองคลุกกับดิน หรือมผี ิวเปน็ ส�ำรดิ ถูกไฟ หรอื มี
สที องด้าน รัตนชาติชนดิ นท้ี �ำให้เจ้าของมเี สน่ห์ มที รพั ยส์ นิ มากมาย และมีความ
สามารถในการต่อสู้
(รศ. ดร.นววรรณ พนั ธุเมธา)
บางลำ� ภ-ู บางล�ำพู
บางล�ำพูมีช่ือเช่นนี้เพราะแต่ก่อนริมแม่น้�ำเจ้าพระยาในย่านนี้มีต้นล�ำพู
ขึ้นอยู่มาก ค�ำว่า ล�ำพู ในสมัยก่อนใช้ ภ ส�ำเภา ดังแบบสอนหนังสือไทยของ
พระยาศรสี ุนทรโวหาร (นอ้ ย อาจารยางกรู ) เรอ่ื งพรรณพฤกษา ซ่ึงเขยี นไว้เมอ่ื
พ.ศ. ๒๔๒๗ มวี ่า “ประดลู่ ำ� ภูไผ่ หม่ไู มไ้ ลแ่ ลเสลา กะพอ้ กอกะเพรา กอสา่ เลา่
เถาพลูแก” ค�ำว่า บางล�ำพู จึงใช้ ภ ส�ำเภา เขยี น เปน็ บางล�ำภู ไปด้วย เชน่
พระราชพงศาวดารกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ฉบบั เจา้ พระยาทพิ ากรวงศม์ หาโกษาธบิ ดี
ก็มีขอ้ ความตอนหน่ึงว่า
...แลว้ โปรดใหม้ ที ้องตราออกไป เกณฑ์เขมร ๑๐,๐๐๐ มาขดุ คูพระนคร
ด้านตะวนั ออก ตง้ั แต่บางล�ำภูมาออกแมน่ ำ�้ ข้างใต้ยาว ๘๕ เสน้ ๑๓ วา
กว้าง ๑๐ วา ลึก ๕ ศอก ให้ชื่อว่าคลองรอบกรงุ ...
75
ตอ่ มามีการเปล่ียนแปลง ใช้ พ พาน เขียนค�ำวา่ ล�ำพู จงึ มผี ู้เหน็ วา่ ควร
เปลี่ยนตัวอักษรในค�ำว่าบางลำ� ภูด้วย กลา่ วกนั วา่ สถานทแ่ี ห่งแรกท่แี กต้ ัวอกั ษร
ในชอื่ เขียนวา่ บางลำ� พู คอื ท่ีท�ำการไปรษณยี ์บางล�ำพู ถนนสบิ สามหา้ ง
นอกจากคำ� วา่ บางลำ� พจู ะใชเ้ ปน็ ชอ่ื ยา่ นชมุ ชน ยงั ใชเ้ ปน็ ชอื่ คลอง วดั และ
ตลาดอีกด้วย คลองบางล�ำพูเป็นส่วนหน่ึงของคลองรอบกรุงท่ีพระบาทสมเด็จ
พระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดเกลา้ ฯ ให้ขุดขนานไปกบั แนวคูเมืองเดิม เริ่มจาก
รมิ แมน่ ำ�้ เจา้ พระยาตรงบางลำ� พวู กไปออกแมน่ ำ้� ขา้ งใต้ บรเิ วณเหนอื วดั สามปลมื้
(วัดจักรวรรดิราชาวาส) ประชาชนเรียกช่ือคลองรอบกรุงนี้แตกต่างกันตาม
สถานที่ทีค่ ลองผ่าน เชน่ ตอนตน้ คลองซึง่ ผา่ นบางลำ� พู เรียกคลองบางลำ� พู เม่ือ
ผ่านสะพานหันเรยี กคลองสะพานหนั เมือ่ ผ่านวัดเชงิ เลน (วดั บพติ รภมิ ขุ ) เรยี ก
คลองวัดเชงิ เลน และชว่ งสดุ ท้ายเรียกคลองโอง่ อา่ ง เพราะเคยเป็นแหล่งคา้ ขาย
เครอื่ งปัน้ ดินเผาของชาวมอญและชาวจีน
วดั บางล�ำพเู ป็นวัดโบราณมมี ากอ่ นสรา้ งกรุงรัตนโกสนิ ทร์ ต้ังอยู่ริมคลอง
บางลำ� พู เดิมช่ือวัดสามจีน (ชื่อพ้องกับช่อื เดิมของวดั ไตรมติ รวิทยาราม) เพราะ
ตามตำ� นานมีว่าจีน ๓ คน ช่วยกันสร้าง ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟา้
จฬุ าโลก สมเดจ็ พระบวรราชเจา้ มหาสรุ สงิ หนาท ทรงสถาปนาวดั นพ้ี ระราชทาน
นักชียายพระองค์เจ้ากัมพูฉัตร ถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระองคท์ รงปฏิสังขรณ์อีกครัง้ หนงึ่ ต่อมาอหิวาตกโรคระบาดหนัก คนตายมาก
จนเผาไม่ทัน ต้องทง้ิ ศพลงแมน่ ้�ำล�ำคลอง มีผใู้ จบุญออกเงินจา้ งสัปเหรอ่ เก็บศพ
ในแมน่ ำ�้ และในคลองบางลำ� พขู น้ึ มาเผาทวี่ ดั บางลำ� พู ตอ้ งเผากนั ทงั้ กลางวนั กลาง
คนื ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดท้ รงปฏสิ งั ขรณว์ ดั บางลำ� พู
และพระราชทานช่ือใหม่ว่าวัดสังเวชวิศยาราม (เดิมเขียนว่า สังเวชวิษยาราม)
ซึง่ สื่อถึงความสังเวชจากเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้น
ตลาดบางล�ำพูหรือตลาดยอด เป็นตลาดในย่านบางล�ำพู เดิมเป็นตลาด
เลก็ ๆ หมอ่ มเจา้ หญงิ ประสงคส์ ม บรพิ ตั ร ทรงเลา่ ไวใ้ นบนั ทกึ ความทรงจำ� บางเรอ่ื ง
และ ส.พลายนอ้ ย ไดค้ ดั มาลงไวใ้ นหนงั สอื “รอ้ ยแปด [ท]ี่ กรงุ เทพฯ” ตอนหนงึ่ วา่
76
...อยวู่ งั สามเสน การจา่ ยอาหารรบั ประทานลำ� บากมาก คนจา่ ยตลาดตอ้ ง
เดินมาถงึ บางล�ำพู บางทกี ็จา่ ยทบ่ี างล�ำพูนัน่ เอง บางทีกต็ ้องขึ้นรถเจก๊ ไป
จ่ายท่เี สาชิงชา้ เพราะบางลำ� พเู ปน็ ตลาดเลก็ มาก ไม่ค่อยจะมีของดี ๆ...
ตลาดบางลำ� พตู ามทก่ี ลา่ วถงึ ในบนั ทกึ นี้ ขยายใหญข่ น้ึ เปน็ ลำ� ดบั ปจั จบุ นั
ไมไ่ ดเ้ ป็นตลาด แตเ่ ปน็ ยา่ นการคา้ ทย่ี งั มีผู้คนซ้ือขายสินค้ากนั คึกคัก
บางลำ� พบู รเิ วณตลาดบางลำ� พนู ้ี เรยี กวา่ บางลำ� พบู น คกู่ บั บางลำ� พลู า่ ง
ซ่ึงอยูใ่ นเขตคลองสาน
(รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา)
ภาพยนตร-์ หนงั
ภาพทบ่ี ันทึกลงบนฟิลม์ แลว้ ฉายดว้ ยเครอ่ื งให้เหน็ เปน็ ภาพเคลอื่ นไหวได้
เราเรียกว่า ภาพยนตร์ ถ้าพูดอย่างไม่เป็นทางการเรียกว่า หนัง การเรียก
ภาพยนตร์ว่าหนังเป็นการเรียกโดยเปรียบเทียบ ก่อนท่ีจะมีภาพยนตร์มาฉาย
ในประเทศไทย คนไทยเคยดูหนังมาก่อน ดังมีข้อความในกฎมณเฑียรบาลใน
กฎหมายตราสามดวง วา่
เดือน ๑๒ การพทิ ธีตรองเปรียง ลดชุดลอยโคมลงน้ำ� ตงั้ ระทาดอกไมใ้ น
พระเมร์ุ ๔ ระทา หนงั ๒ โรง...
คำ� วา่ หนงั ในกฎมณเฑยี รบาลน่าจะหมายถงึ หนังใหญ่ หลังจากมีหนัง
ใหญแ่ ลว้ ตอ่ มาก็มีหนังตะลงุ
การเลน่ หนงั ใหญแ่ ละหนงั ตะลงุ ตอ้ งใชจ้ อ เมอื่ มมี หรสพแบบใหมท่ ตี่ อ้ งใช้
จอเชน่ กนั จงึ เรยี กวา่ หนงั แตม่ คี ำ� วา่ ญปี่ นุ่ ขยายเปน็ หนงั ญปี่ นุ่ กาญจนาคพนั ธ์ุ
อธบิ ายคำ� ว่า หนงั ญปี่ นุ่ ไว้ในหนงั สอื คอคิดขอเขียน ชดุ ท่ี ๒ ว่า
...ค�ำว่าญี่ปุ่นเติมเข้าไปก็เพราะคนญ่ีปุ่นเป็นผู้น�ำเข้ามาฉายก่อน เม่ือจะ
เรยี กให้ตา่ งกบั หนังตะลุงหนงั ใหญ่ทีเ่ รามี จงึ ได้เรียกวา่ “หนงั ญป่ี ่นุ ”
77
คำ� วา่ หนงั ญปี่ นุ่ นี้ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำ� รงราชานภุ าพ
กท็ รงกล่าวถึงไว้ในลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๑๗ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๔๘๔ ปรากฏ
ในหนังสือสาสน์ สมเดจ็ วา่
...หนงั ฉายนน้ั เดมิ ไทยเราเรยี กวา่ “หนงั ญปี่ นุ่ ” เพราะญป่ี นุ่ เอาเขา้ มาเลน่
ในกระโจมผ้าตั้งที่ลานนครเกษมก่อน คร้ันชาวกรุงเทพฯ ตั้งเล่นบ้างจึง
เรยี กวา่ “ภาพยนต”์ มาจนเกดิ มโี รงเลน่ แพรห่ ลายจงึ เรยี กกนั วา่ “หนงั ฉาย”
สบื มา
เห็นได้ว่า ค�ำว่า “หนังญ่ีปุ่น” เร่ิมมีขึ้นก่อน ต่อมาเปลี่ยนไปใช้ค�ำว่า
“ภาพยนต์” และ “หนังฉาย” ตามล�ำดับ คำ� วา่ หนงั ฉายเมอื่ พูดกันสั้น ๆ ก็คง
กลายเป็น “หนงั ” ไป สว่ นค�ำวา่ “ภาพยนต์” เปลย่ี นการสะกดการนั ตเ์ สียใหม่
กลายเป็น “ภาพยนตร”์
อนั ทจี่ รงิ คำ� วา่ “ภาพยนต”์ ทน่ี ำ� มาใชแ้ ทนคำ� วา่ “หนงั ญปี่ นุ่ ” นมี้ ใี ชม้ านาน
แลว้ ในหนังสอื พระราชพงษาวดาร ฉบบั พิมพ์ ร.ศ. ๑๒๐ ซ่ึงสันนิษฐานกันว่า
ช�ำระจากต้นฉบับพระราชพงศาวดารฉบับกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส
มีคำ� ว่า “ภาพยนต”์ ในข้อความวา่
...จึง่ อญั เชญิ พระศพเสดจ็ เหนอื บษุ บก-พิมาน, -แลประดับด้วยกล้ิงกลด-
จามร-มาศ-บวรนิมิตร์-ประไภย-ไมย-ด้วยกาญจน-ดิเรก-ดุริยางค์ดนตรี-
นิฤนาท-เดยี รดาษดว้ ยภาพยนต-มณฑปอันรจนาต่าง ๆ, ตั้งประดับเรียง
รายยา้ ยโดยขะบวนซา้ ยขวา,...
และหนังสือระยะทางเท่ียวชวากว่าสองเดือนที่พระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ไว้ในคราวเสด็จประพาสเกาะชวา
ครัง้ ที่ ๒ มขี ้อความตอนหนง่ึ วา่
กลบั มาถงึ บา้ นทมุ่ ๑ แลว้ ไปดเู ทยี เตอรค์ อมมกิ เขาตดั เลน่ เปนทอ่ น
เพราะกลัวเวลาจะไมพ่ อ เล่นเร่ืองนิทานเยอรมณี...เลน่ เปนกระบวรตลก
78
อีกตอนหนึง่ เต้นอย่างเสปน ถือแตรมบุรนิ ผู้หญิง ๒ คนแลว้ เต้นงู เตน้ เสอื
ต่อไปเลน่ ภาพยนต.์ ..
ค�ำว่า “ภาพยนต์” ในหนังสือ ๒ เล่มนี้น่าจะหมายถึง รูปหุ่นท่ีเดินได้
ทงั้ นเี้ พราะคำ� อธบิ ายทา้ ยเลม่ หนงั สอื พระราชพงษาวดารฯ ใหค้ วามหมายของคำ�
“ภาพยนต”์ ไวเ้ ชน่ นน้ั นอกจากนี้ อกั ขราภธิ านศรบั ท์ ยงั มคี ำ� วา่ “พะยนต”์ และ
“รปู ภาพะยนต”์ ให้ความหมายไวด้ ังนี้
พะยนต,์ คอื รูปภาพพะยนตท์ เ่ี ขาชกั เรียกหนุ่ นั้น.
รปู ภาพะยนต,์ คอื รปู มะนษุ ท่ีเขาท�ำดว้ ยไมม้ สี ายยนต์ คนชักให้มนั ยกมือ
รำ� ฟอ้ นได้นนั้ .
อยา่ งไรก็ตาม ภาพยนต์ มีความหมายอกี อย่างหน่ึงว่า ภาพที่เคลอื่ นไหว
ได้ ดงั ปรากฏในจดหมายเหตุเสดจ็ พระราชด�ำเนิรประพาศทวีปยโุ รป ครง้ั ท่ี ๒
มขี ้อความวา่
...คร้ันทรงพระด�ำเนิรทอดพระเนตรโคมไฟพอสมควรแล้ว เสด็จประทับ
โตะ๊ เสวยสปั เปอรใ์ นเรสเตอรองแหง่ หนง่ึ ขา้ งนอกปลกู ตน้ ไมเ้ ลอ้ื ยตามฝา
แลเสา ขา้ งในทาสขี าวลว้ น เพดานตดิ กระจกเงาแผน่ เลก็ ๆ ตอ่ กนั เกอื บเตม็
ชวั่ แตเ่ หลอื ทท่ี ำ� เปน็ กรอบไวโ้ ดยรอบหนอ่ ยหนงึ่ เทา่ นนั้ ดแู ปลกดี เวลานง่ั
บรโิ ภคอาหารแหงนขนึ้ ไปเหน็ รปู ภาพยนตน์ ง่ั เรยี งเปน็ แถวศรี ษ์ ะปกั ลงมา
ข้างล่าง
ค�ำว่า “ภาพยนต์” จะเปล่ยี นเขียนเปน็ “ภาพยนตร์” เมอื่ ไรไมท่ ราบแน่
แตใ่ นสมยั ที่กาญจนาคพนั ธ์เุ ปน็ วัยรุน่ คือเม่ือประมาณ ๑๐๐ ปีมาแล้ว มีคำ� ว่า
“รปู พยนตร์” และ “ภาพยนตร์” อยู่ในชือ่ บริษทั หน่ึง ดงั ที่กาญจนาคพันธุ์เขยี น
ไวใ้ นหนงั สือ ๘๐ ปี ในชวี ติ ข้าพเจ้า ว่า
ว่าถึงเจ้าของหนังหรือบริษัทหนังสมัยข้าพเจ้าวัยรุ่นและคลุกคลี
อยกู่ บั ละครปรดี าลยั นนั้ ขอรวบกลา่ วสน้ั ๆ พอเขา้ ใจงา่ ย ๆ วา่ มี ๒ บรษิ ทั
79
บรษิ ทั หนึง่ เรียกว่า “บริษทั รปู พยนตรก์ รงุ เทพ” มีนายซุน่ ใชเ้ จ้าของหา้ ง
รตั นมาลาทอ่ี ยหู่ วั มมุ สแ่ี ยกพาหรุ ดั เปน็ ผจู้ ดั การ กบั บรษิ ทั สยามภาพยนตร์
มีนายโลเปงทอง เจ้าของห้างซินซ้ินฮะ ที่อยู่ถนนพาหุรัดตอนใกล้
สะพานหันเป็นผู้จัดการ บริษัทรูปพยนตร์ ฉายหนังฝรั่งเศสของบริษัท
ปาเต๊ะตราไกแ่ จ้ ตามแบบทโี่ รงหนงั ญ่ปี ุน่ ฉายมาก่อน....
สว่ นบรษิ ทั สยามภาพยนตร์ ฉายหนงั อเมรกิ นั หนงั อเมรกิ นั ทำ� เปน็
เรื่องทหี ลงั หนังฝรั่งเศส...
เหน็ ไดว้ า่ ในสมยั นนั้ มกี ารใชค้ ำ� วา่ ภาพยนตร์ และรปู พยนตร์ แตต่ อ่ มาคำ� วา่
รูปพยนตร์เลิกใช้ไป ในปทานุกรมส�ำหรับนักเรียน ซึ่งพิมพ์เม่ือ พ.ศ. ๒๔๗๑
มีแตค่ ำ� วา่ ภาพยนตร์ ใหค้ วามหมายว่า “ภาพยนตร์ น. ภาพทีเ่ ห็นเคล่ือนไหว
ได้อยา่ งจริง; หนงั ฉาย.”
(รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา)
หนังสอื อ้างองิ
กาญจนาคพันธ์ุ (นามแฝง). คอคดิ ขอเขยี น. พระนคร : บ�ำรงุ สาสน์ , ๒๕๑๓.
.๘๐ปีในชวี ติ ขา้ พเจา้ .อนสุ รณใ์ นงานพระราชทานเพลงิ ศพขนุ วจิ ติ รมาตรา
(สง่า กาญจนาคพนั ธ)์ุ ณ เมรวุ ัดมกฏุ กษตั ริยาราม วันที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ.
๒๕๒๓.
จดหมายเหตเุ สดจ็ พระราชดำ� เนริ ประพาศทวปี ยโุ รปครงั้ ที่๒เลม่ ๑รตั นโกสนิ ทร
ศก ๑๒๕-๑๒๖. กรงุ เทพฯ : สมาคมนสิ ติ เกา่ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั
ในพระบรมราชูปถัมภ์, ๒๕๔๗.
จลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั , พระบาทสมเดจ็ พระ. ระยะทางเทยี่ วชวากวา่ สองเดอื น.
กรุงเทพฯ : แสงดาว, ๒๕๕๕.
นริศรานุวัดติวงศ์, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยา และสมเด็จ
พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ. สาส์นสมเดจ็ . พมิ พ์
ครง้ั ท่ี ๒. กรุงเทพฯ : องคก์ ารคา้ ของครุ สุ ภา, ๒๕๑๕.
80
ปทานานกุ รมสำ� หรบั นกั เรยี น. พระนคร : กรมตำ� รา กระทรวงธรรมการ, ๒๔๗๒.
พระราชพงษาวดาร ฉบับพิมพ์ ร.ศ. ๑๒๐. กรุงเทพฯ : สมาคมประวตั ิศาสตร์
ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี,
๒๕๕๐. ๓ เลม่ .
ศิลปากร, กรม. เร่ืองกฎหมายตราสามดวง. กรุงเทพฯ, ๒๕๒๑.
อกั ขราภธิ านศรบั ท์ ของหมอปรดั เล. พระนคร : องคก์ ารคา้ ของครุ สุ ภา, ๒๕๑๔.
มณฑา
ค�ำว่า มณฑา หรือ มณฑารพ เป็นชื่อต้นไม้เมืองสวรรค์หนึ่งในห้าต้น
เฉพาะคำ� วา่ มณฑา มคี วามหมายอกี อยา่ งหนงึ่ คอื ชอื่ ไมพ้ มุ่ เตยี้ ใบใหญ่ ดอกใหญ่
กลบี แขง็ สเี หลอื งนวล ลกั ษณะดอกคลา้ ยยหี่ บุ แตโ่ ตกวา่ เวลาบานไมค่ ลเี่ ตม็ ดอก
กลิน่ หอมแรง
ค�ำวา่ มณฑา และ มณฑารพ ๒ คำ� น้ี ยมื มาจากภาษาสนั สกฤต มนฺทาร
และภาษาบาลี มนฺทารว ซึ่งหมายถึงต้นไม้สวรรค์หน่ึงในห้าต้น ต้นไม้สวรรค์
ทั้งห้านี้ ได้แก่ มณฑา ปารชิ าต สงั ตาน กลั ปพฤกษ์ และหรจิ ันทน์ อยูท่ ่สี วนของ
พระอนิ ทร์บนสวรรคช์ ัน้ ดาวดงึ ส์
ดอกมณฑามีบทบาทในพุทธประวัติ ท�ำให้พระมหากัสสปซึ่งจะเดินทาง
จากปาวานครไปสเู่ มอื งกสุ นิ าราทราบไดว้ า่ พระพทุ ธองคเ์ สดจ็ ดบั ขนั ธป์ รนิ พิ พาน
แล้ว ทั้งนี้เพราะขณะท่ีพระมหากัสสปนั่งพักใต้ร่มไม้ระหว่างทาง ท่านได้เห็น
อาชวี กผ้หู นึง่ เอาไม้เสียบดอกมณฑาเข้าเปน็ คันก้ันมาตา่ งรม่ ท่านด�ำรใิ นใจดังที่
ปฐมสมโพธกิ ถาบรรยายไว้วา่
...แทจ้ รงิ อนั วา่ มณฑารบ์ บุ ผชาตจิ ะไดม้ ใี นมนษุ ยโลกเปน็ นจิ กาลนนั้ หามไิ ด้
ต่อเม่ือใดพระสัพพัญญูโพธิสัตว์ เสด็จลงมาสู่ครรภ์พระมารดาแลกาล
เม่ือประสูติแลกาลออกสู่มหาภิเนษกรมณ์ และกาลอภิสมโพธิแลตรัส
เทศนาพระธรรมจกั ร แลกระทำ� พระยมกปาฏหิ ารยิ ์ แลกาลเสด็จลงจาก