The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Wilairat Pamontree, 2022-09-10 05:32:05

หนังสือนานาสาระ

นานาสาระไทย

231

พระพิฆเนศวร์ เทพเจา้ แห่งศลิ ปวิทยา

พระพิฆเนศวร์เป็นเทพเจา้ องค์หน่ึงในศาสนาพราหมณ์ท่ีได้รับความนยิ ม
กราบไหว้บูชาอย่างมาก ด้วยเหตุท่ีพระนามของพระองค์แปลว่า ผู้ขจัดความ
ขัดข้องหรืออุปสรรคท้ังปวง ซ่ึงหมายถึงทรงเป็นเทพผู้ประทานความส�ำเร็จใน
ทกุ ส่ิงทุกอยา่ ง ทำ� ใหน้ ับถือกันวา่ ทรงเป็นเทพเจ้าแห่งศลิ ปวิทยาทกุ แขนง
พระพิฆเนศวร์เป็นโอรสของพระศิวะกับพระนางปารพตี (พระอุมา)
มีลักษณะร่างกายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะคือ รูปร่างเป็นมนุษย์ สัณฐานเตี้ย
พระอรุ ะกวา้ ง พระอทุ รพลยุ้ มเี ศยี รเปน็ ชา้ ง มงี าขา้ งเดยี ว สกี ายแดงหรอื สที องคำ�
ทีก่ �ำลงั ร้อน มีหนูเป็นพาหนะ
ประวตั ขิ องพระพฆิ เนศวรป์ รากฏในคมั ภรี ห์ ลายฉบบั และยงั มรี ายละเอยี ด
แตกตา่ งกัน เช่น ตามคมั ภรี พ์ รหมไววรรตปุราณะ กลา่ ววา่ เนื่องจากพระนาง
ปารพตไี มเ่ กดิ โอรสพระศวิ ะจงึ แนะนำ� ใหพ้ ระนางทำ� พธิ ปี นั ยากพรตบชู าพระวษิ ณุ
พระนางก็ได้โอรสตามความปรารถนา เม่ือเหล่าทวยเทพทราบข่าวก็พากันมา
แสดงความยนิ ดี ครั้งนั้นพระศนิ (พระเสาร์) กม็ าดว้ ย แตเ่ น่ืองจากพระศนนิ ัน้
มีนยั น์ตาทม่ี องดูหน้าใคร ผ้นู ้ันกจ็ ะประสบภัย พอพระศนิมองดพู ระกมุ าร เศยี ร
ของพระกุมารก็ขาดจากพระศอกระเด็นหายไป เมื่อพระวิษณุทรงทราบก็ทรง
ครฑุ ไปยงั แมน่ ำ้� บษุ ปภทั ร ทอดพระเนตรเหน็ ชา้ งนอนหลบั หนั หวั ไปทางทศิ เหนอื
ซง่ึ ถอื กนั วา่ เปน็ ทศิ อปั มงคล จงึ ตดั หวั ชา้ งมาตอ่ ทพี่ ระศอของพระกมุ าร พระกมุ าร
มีเศียรเป็นช้างแล้วกลับฟื้นคืนชีพดังเดิม ส่วนพระศนิก็ถูกพระนางปารพตีสาป
ใหเ้ ดินขาเขยกมาแตค่ ราวนนั้
อีกคัมภีร์หนึ่งกล่าวว่า พระนางปารพตีเอาไคลขมิ้นที่ทาพระพักตร์และ
พระกายมาปั้นแล้วเนรมิตเป็นชายรูปงาม ให้ท�ำหน้าท่ีเป็นทวารบาลเฝ้าประตู
ขณะท่ีพระนางก�ำลังสรงน้�ำอยู่ วันหนึ่งพระศิวะจะเสด็จเข้าไปสู่ที่สรงน้ัน แต่
นายทวารบาลไม่ยอมให้เข้าไป เกิดต่อสู้กันพระศิวะสู้ไม่ได้ ขอให้พระวิษณุกับ
ทวยเทพมาชว่ ย แตก่ ส็ ไู้ มไ่ ดอ้ กี พระวษิ ณจุ งึ ใชอ้ บุ ายเนรมติ รปู มายาเปน็ นางงาม

232
นายทวารบาลเหม่อดูรูปมายานั้น พระวิษณุได้โอกาสตัดคอนายทวารบาลขาด
ความทราบถึงพระนางปารพตี กร้วิ มาก พระศวิ ะจึงตอ้ งให้เทพไปหาหวั ผทู้ ี่นอน
หันหัวไปทางทิศเหนือ ซ่ึงเป็นทิศอัปมงคลมาใส่แทน เทพนั้นได้หัวช้างมาต่อ
นายทวารบาลจงึ มหี วั เปน็ ชา้ ง พระศวิ ะไดแ้ ตง่ ตง้ั ใหเ้ ปน็ ใหญใ่ นหมเู่ ทพรบั ใชข้ อง
พระองค์ จงึ ได้นามวา่ วนิ ายก หรอื คเณศ หรือ คณบดี
พระพิฆเนศวร์โปรดเสวยขนมโมทกะ (ขนมต้ม) คราวหน่ึงเสวยขนมต้ม
ท่ีคนน�ำมาบูชาในงานพิธีมากเกินขนาดจนท้องยุ้ย เสร็จงานแล้วทรงนั่งมาบน
หลงั หนูกลับในเวลากลางคนื ระหวา่ งทางมงี ูตัวหนง่ึ เลือ้ ยผา่ นหนา้ ไป หนไู มท่ ัน
ระวงั เห็นงกู ็ตกใจหลบอย่างกะทันหนั พระพฆิ เนศวร์พลัดตกลงจากหลงั หนูโดย
แรงถึงทอ้ งแตก ขนมต้มทะลักออกจากท้อง ดว้ ยความเสยี ดาย พระพฆิ เนศวร์
รบี โกยขนมเข้าไว้ในทอ้ งตามเดิม แล้วจบั งตู วั นนั้ รัดทอ้ งไว้ นับแตน่ นั้ เปน็ ต้นมา
พระพิฆเนศวรม์ ีงพู นั อย่รู อบท้องหรือคลอ้ งเปน็ สงั วาลเสมอ ขณะนัน้ พระจนั ทร์
มองเหน็ กน็ กึ ขำ� จงึ หวั เราะเสยี งดงั พระพฆิ เนศวรอ์ ายและโกรธมากทพี่ ระจนั ทร์
หวั เราะเยาะ จงึ สาปใหพ้ ระจนั ทรอ์ บั แสงไปตลอดกาล โลกทเ่ี คยมแี สงสวา่ งตลอด
เวลากลบั ตอ้ งมดื มดิ ไปในยามราตรี เหลา่ ทวยเทพตา่ งเศรา้ หมองอยา่ งยงิ่ จงึ พากนั
ไปออ้ นวอนขอใหพ้ ระพฆิ เนศวรถ์ อนคำ� สาป พระพฆิ เนศวรใ์ จออ่ นแตก่ ย็ งั ไมห่ าย
โกรธเสียทีเดียว ยอมถอนค�ำสาปให้คร่ึงหน่ึง โดยก�ำหนดให้ภายใน ๑ เดือน
พระจันทรจ์ ะส่องแสงสวา่ งได้ ๑๕ วนั และอกี ๑๕ วันจะมืดมดิ ไป จึงทำ� ให้มีวัน
ขา้ งขึน้ ข้างแรมขึ้นในโลกนบั แต่นั้นเป็นต้นมา
ในส่วนที่กล่าวว่าพระพิฆเนศวร์มีงาเดียวก็เล่าไว้หลายอย่าง เช่นใน
คัมภีร์หน่ึงกล่าวว่า คร้ังหน่ึงขณะที่พระศิวะกับพระนางปารพตีก�ำลังพักผ่อน
พระอริ ยิ าบถอยดู่ ว้ ยกันในพระราชฐานชนั้ ใน โดยสง่ั ใหพ้ ระพฆิ เนศวรเ์ ฝ้าประตู
ไว้ ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปภายใน ขณะนั้นปรศุราม ซึ่งเป็นอวตารของพระวิษณุได้
ขอยืมขวานของพระศิวะไปท�ำลายเหล่ากษัตริย์ เม่ือเสร็จภารกิจแล้วจะขอเข้า
เฝ้าพระศิวะ พระพิฆเนศวร์ไม่ยอมให้เข้าไปเฝ้า ปรศุรามกร้ิวมากใช้ขวานของ

233
พระศวิ ะขวา้ งไปยงั พระพฆิ เนศวร ์ พระพฆิ เนศวรจ์ ำ� ไดว้ า่ เปน็ ขวานของพระบดิ า
ไมบ่ งั อาจเขา้ ตอ่ สู้ จงึ ใชง้ าขา้ งขวารบั ขวานนนั้ ทำ� ใหง้ าหกั พระพฆิ เนศวรจ์ งึ นำ� งา
ทีห่ กั นน้ั มาถือเป็นอาวุธ
คัมภีร์หนึ่งตามคติไทยกล่าวว่า มีอัปสรตนหนึ่งกระท�ำความผิด จุติมา
เกดิ เป็นชา้ งน้�ำชอื่ อสรุ ภังคี มีนิสยั ดรุ ้ายเกเร ท�ำความเดือดร้อนให้แก่โลกท้งั สาม
พระอิศวรจึงใหพ้ ระขนั ทกมุ าร โอรสของพระองค์ไปปราบ แตจ่ ะให้โสกนั ตก์ อ่ น
จึงจัดงานพิธีบนเขาไกรลาส กับให้เชิญเทพเจ้าผู้เป็นใหญ่มีพระพรหม
พระนารายณ์มาเจริญพระเกศา ในวันมงคลนั้น พระนารายณ์บังเอิญบรรทม
หลับสนิท พระอิศวรจึงให้พระอินทร์น�ำพระมหาสังข์ไปเป่าปลุกบรรทม
พระนารายณ์แว่วเสียงสังข์ก็ลืมพระเนตรขึ้นเห็นพระอินทร์ จึงถามว่า “โลกมี
เหตุอันใด” พระอินทร์ทูลว่า “พระอิศวรมีเทวโองการให้เชิญเสด็จไปเจริญ
พระเกศาพระขนั ทกมุ าร” พระนารายณ์ก็พลั้งพระโอษฐ์ว่า “ลูกหวั หายจะนอน
หลบั ใหส้ บายกไ็ มไ่ ด”้ แลว้ พระองคก์ เ็ สดจ็ สเู่ ขาไกรลาสพรอ้ มกบั พระอนิ ทร์ ขณะท่ี
พระนารายณ์ตรัสออกมาน้ัน ดว้ ยอ�ำนาจวาจาสทิ ธิ์ พระเศียรกมุ ารหายไปทันที
พระอศิ วรจงึ ใหพ้ ระวษิ ณกุ รรมไปยงั โลกมนษุ ยเ์ พอ่ื ตดั ศรี ษะคนทจ่ี ะถงึ มรณกรรม
พระวิษณุกรรมเดินทางเสาะหาจนทั่วในวันนั้น ไม่มีคนผู้ใดตาย พบแต่ช้าง
นอนหนั ศรี ษะไปทางทศิ ตะวันตก จงึ ตัดศรี ษะชา้ งนน้ั ไปตอ่ เศียรพระขนั ทกมุ าร
เทพเจ้าท้ังสามพร้อมใจกันเปล่ียนนามพระขันทกุมารให้ใหม่ว่า วิฆเนศ หรือ
พฆิ เนศวร์ แล้วพระพิฆเนศวรก์ ็สำ� แดงเดชใหม้ ี ๔ กร ถือบว่ งบาศ ขอ คอ้ น และ
กอ้ นเหลก็ แดง ทรงหนเู ปน็ พาหนะ เดนิ ทางไปปราบอสรุ ภงั คตี ามพระบญั ชาของ
พระอศิ วร ขณะตอ่ สกู้ นั อสรุ ภงั คหี นดี ำ� ลงไปในนำ�้ พระพฆิ เนศวรก์ ล็ งไปสบู นำ�้ ขน้ึ
ไว้ในท้องจนหมด พอเห็นตัวก็หักงาซ้ายขว้างถูกอสุรภังคีตาย จากน้ันพระองค์
กค็ ายนำ้� ออกมาคืนดังเก่า และน�ำงาทีห่ กั นน้ั ถือเปน็ อาวุธสบื ไป
ในการสร้างเป็นรูปเคารพ เฉพาะประเทศไทยพบประติมากรรมพระ
พฆิ เนศวรเ์ กา่ ทสี่ ดุ อยทู่ เี่ ทวสถาน ถนนดนิ สอ กรงุ เทพฯ อายรุ าวพทุ ธศตวรรษที่

234
๑๐ เปน็ รปู พระพฆิ เนศวรป์ ระทบั ในทา่ มหาราชลลี า กบั ยงั ไดข้ ดุ พบพระพฆิ เนศวร์
ศลิ าประทับนั่งท่เี มอื งพระศรมี โหสถ จงั หวดั ปราจนี บรุ ี อายรุ าวพุทธศตวรรษท่ี
๑๑-๑๒หลกั ฐานทงั้ ๒นบ้ี ง่ บอกถงึ ความเชอื่ วา่ ในดนิ แดนประเทศไทยมกี ารนบั ถอื
เคารพบูชาพระพิฆเนศวร์มาแลว้ อยา่ งนอ้ ยน่าจะอยู่ในช่วงเวลาพทุ ธศตวรรษที่
๑๐-๑๒ และในเวลาต่อมาก็พบวา่ มรี ปู เคารพพระพิฆเนศวรป์ รากฏอยู่ในศลิ ปะ
ทกุ ยคุ ทกุ สมัยของประเทศไทย
เนอ่ื งจากพระพฆิ เนศวรเ์ ปน็ ทนี่ บั ถอื กนั วา่ เปน็ เทพเจา้ แหง่ สตปิ ญั ญาและ
ยงั เปน็ ผขู้ จดั อปุ สรรคทง้ั ปวง ดงั นนั้ เมอื่ ผใู้ ดจะประกอบกจิ การงานสำ� คญั ๆ เชน่
เมื่อจะเร่ิมต้นแต่งหนังสือ ก็จะบวงสรวงขอพรให้คุ้มครองรักษาและบันดาลให้
กจิ การนัน้ ๆ ประสบผลส�ำเร็จ และดว้ ยเหตุทีพ่ ระองคเ์ คยปราบช้างน้�ำอสุรภงั คี
และยังมีเศียรเป็นช้างด้วย จึงถูกดึงให้เข้าไปเก่ียวข้องกับพิธีคชกรรม โดยยก
ข้ึนเป็นบรมครแู ห่งชา้ ง ได้นามวา่ พระเทวกรรม
เมอื่ พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจา้ อยหู่ วั โปรดเกลา้ ฯ ใหต้ ้งั วรรณคดี
สโมสร ใน พ.ศ. ๒๔๕๗ ทรงกำ� หนดให้ใชร้ ูปพระพิฆเนศวร์เป็นตราของวรรณคดี
สโมสร โดยท�ำเป็นตรารูปกลม มีพระพิฆเนศวร์นั่งแท่นอยู่ตรงกลาง มี ๔ กร
กรขวาบนทรงวชั ระ กรขวาลา่ งทรงงา กรซ้ายบนทรงบว่ งบาศ กรซ้ายลา่ งทรง
หม้อนำ้� ตอ่ มาใน พ.ศ. ๒๔๘๐ กรมศลิ ปากรได้นำ� รูปพระพิฆเนศวรม์ าเป็นตรา
ประจำ� กรม โดยทำ� เปน็ ตรารปู กลม พระพฆิ เนศวรป์ ระทบั อยบู่ นลายเมฆตรงกลาง
รอบวงกลมมลี วดลายเปน็ ดวงแกว้ ๗ดวงแตล่ ะดวงหมายถงึ ศลิ ปวทิ ยาการ ๗สาขา
คือ จิตรกรรม ช่างปั้น สถาปัตยกรรม ดุริยางคศิลป์ นาฏศิลป์ อักษรศาสตร์
และวาทศิลป์ เม่อื มหาวิทยาลัยศลิ ปากรก่อต้ังข้นึ เมอื่ พ.ศ. ๒๔๘๖ ก็ไดใ้ ชต้ รา
พระพฆิ เนศวรเ์ ป็นตราประจ�ำมหาวทิ ยาลยั ด้วย
คนทั้งหลายนับถือว่าพระพิฆเนศวร์เป็นบรมครูทางศิลปะ ในสมัยต่อ ๆ
มายงั เพมิ่ พนู ความเชอ่ื เกย่ี วกบั พระพฆิ เนศวรม์ ากขน้ึ นยิ มสรา้ งรปู ขนึ้ เคารพบชู า
แพรห่ ลายอยา่ งกวา้ งขวางในรปู แบบตา่ งๆหลากหลายอริ ยิ าบถและแมแ้ ตบ่ ทสวด
บูชาก็มากมายหลายอย่าง โดยมีความเช่ือเป็นหนึ่งเดียวกันว่า พระพิฆเนศวร์

235

เปน็ เทพเจ้าแหง่ ศลิ ปวิทยาและสติปัญญา เปน็ ผู้ขจัดอุปสรรค และอ�ำนวยความ
สำ� เร็จ ให้ผเู้ คารพบชู าประสบผลสมปรารถนาทุกเรื่องทกุ ประการ
ตวั อยา่ งบทสวดบชู า
๏ โอม ศรีคเณศายะ นะมะ II
๏ สวสั ติ ชยะ ลาภะ ฤทธิ ประสทิ ธเิ ม II
(นางสาวกอ่ งแก้ว วรี ะประจักษ์)

พระแม่ธรณี

พระแม่ธรณี แปลตามศัพท์ว่า มารดาของโลกหรือมารดาของแผ่นดิน
เป็นเทวสตรที ี่เปน็ ที่รจู้ ักกันดี
ในพุทธประวัติก่อนที่เจ้าชายสิทธัตถะจะตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
คร้ังนั้น พญาวสวัตดีมารเข้าขัดขวางการบ�ำเพ็ญบารมีของพระองค์ โดยอ้างว่า
พุทธบลั ลังกท์ ่ีประทบั นเี้ ป็นของตนมาก่อน และตอ้ งการให้พระองค์ลุกจากที่น่ัง
ไปเสีย เจ้าชายสิทธัตถะจึงอ้างพระแม่ธรณีเป็นพยานว่าบัลลังก์น้ีเคยเป็นของ
พระองค์ และทกุ ครง้ั ทท่ี รงบำ� เพญ็ บารมี จะทรงหลงั่ นำ้� เพอื่ เปน็ เครอ่ื งหมายของ
การบำ� เพญ็ บารมดี ว้ ย ดงั ความทปี่ รากฏตอนหนง่ึ ในปฐมสมโพธกิ ถา วา่ “พนื้ ปฐพี
อันปราศจากเจตนาไดส้ ดับค�ำอาตมาในคร้งั นี้ จงรบั เปน็ สักขพี ยานแหง่ ขา้ แล้ว
เหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาอันประดับด้วยจักรลักษณะ ยกพระดัชนีชี้เฉพาะพื้น
มหริ ธรา จงึ ออกพระวาจาประกาศแก่พระนางธรณีวา่ ดกู รวนดิ าดลนารี ตงั้ แต่
อาตมาบ�ำเพ็ญพระสมดึงบารมีมาตราบเท่าถึงอัตตภาพเป็นพระเวสยันดรภาพ
ได้เสียสละบุตรทานบริจาคและสัตตสดกทาน สมณพราหมณาจารย์ผู้ใดผู้หนึ่ง
ซ่ึงจะกระท�ำเป็นสักขีพยานในที่นี้ก็มิได้ มีแต่พสุนธรนารีนี้และรู้เห็นเป็นพยาน
อนั ใหญย่ งิ่ เปน็ ไฉนทา่ นจงึ นง่ิ มไิ ดเ้ ปน็ พยาน อาตมในกาลบดั น”้ี แลว้ พระแมธ่ รณี
ก็ปรากฏกายขึ้นและกล่าวว่าพระบารมีของพระโพธิสัตว์ท่ีทรงบ�ำเพ็ญแต่
อดีตชาตนิ ้นั มีมากมาย แลว้ บดิ มวยผมแสดงอทุ กทานท่พี ระโพธิสัตว์ไดก้ รวดน�ำ้
ไว้ ท�ำใหก้ องทัพพญามารพ่ายแพป้ ลาสนากาลไปสิ้น

236

รูปปั้นพระนางธรณี และภาพจิตรกรรมรูปพระนางธรณีท่ีพบ เป็นภาพ
เทพธิดา หรอื เทวดาสตรี ในท่ายนื บิดมวยผม หรือน่ังชนั เขา่ ขา้ งหนง่ึ เอยี งกาย
เลก็ นอ้ ย และกรดี น้ิวบบี มวยผม จิตรกรรมฝาผนงั รูปพระนางธรณนี ้มี กั จะเขยี น
อยู่ใตภ้ าพพระพุทธเจ้าประทับในเรอื นแกว้ ใต้รม่ โพธ์ิพฤกษ์ มีกองทัพพญามาร
เข้ามากระท�ำการต่อสู้ทางด้านซ้ายมือของพระองค์ และกองทัพพญามารท่ี
ยอมศโิ รราบต่อพุทธบารมปี รากฏทางด้านขวา จิตรกรรมรูปพระนางธรณที ่งี าม
เช่น ท่ีวัดชมภูเวก จังหวัดนนทบุรี เป็นรูปพระนางธรณีน่ังชันเข่า อยู่ในซุ้ม
ยอดแหลม นิ้วที่กรีดบีบน�้ำจากมวยผมน้ันงามย่ิงนัก หรือรูปพระนางธรณีที่วัด
เกาะแก้วสุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรีก็แสดงพลังอย่างชัดเจนด้วยสีพ้ืนหลัง
ท่ีแดงสด พระนางธรณียืนบิดกาย มวยผมยาวจรดบ้ันเอว มือซ้ายยกขึ้นเหนือ
ศีรษะจับที่โคนมวยผม มือขวากรีดนิ้วจับปลายมวยเพ่ือปล่อยอุทกทานออกมา
มเี ครือ่ งประดับทับทรวงตกแต่งอยา่ งสวยงาม
สว่ นงานประตมิ ากรรม เชน่ รปู ปน้ั พระแมธ่ รณที บี่ รเิ วณรมิ คลองคเู มอื งเดมิ
ใกล้กับสนามหลวงด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือซ่ึงสมเด็จพระศรีพัชรินทรา
บรมราชินีนาถมีพระราชเสาวนีย์ให้สร้างขึ้นเม่ือ พ.ศ. ๒๔๖๐ เป็นอุทกทาน
สำ� หรบั ประชาชนทวั่ ไปไดใ้ ชน้ ำ้� ประปา หรอื ทฐ่ี านพระพทุ ธรปู ซงึ่ มกั จะแกะหรอื
ปน้ั เปน็ รปู พระนางธรณยี นื บบี มวยผมทยี่ าวตกมาดา้ นขา้ ง เชน่ ฐานพระพทุ ธรปู
ปูนปั้น ศิลปะอยุธยาท่ีจัดแสดงในอาคาร ๒ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้า
สามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นรูปพระแม่ธรณีปูนปั้นลงรักยืนบีบ
มวยผม บิดเอวเล็กน้อยพองาม อยู่ในซุ้มเรือนแก้ว เค้าโครงใบหน้าเป็นรูปไข่
ทอ่ นแขนโคง้ ออ่ นรบั กบั ทรวดทรงทมี่ คี วามพอดไี มเ่ ทอะทะ แตก่ แ็ ฝงไวด้ ว้ ยความ
สขุ มุ ลุ่มลึก สมกับผทู้ ่ีเป็นพยานหลักของแผน่ ดิน
นอกจากนอี้ าจพบเหน็ ภาพพระแมธ่ รณบี บี มวยผมทต่ี ราประจำ� การประปา
แห่งประเทศไทยได้อีกด้วย
(รศ. ดร.ปรดี ี พิศภูมิวถิ ี)

237

หนงั สืออา้ งอิง
ปรมานชุ โิ นรส, สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระ. ปฐมสมโพธกิ ถา. กรงุ เทพฯ :
กรมศลิ ปากร, ๒๕๓๐.

พระยายนื ชงิ ชา้

ในพระราชนพิ นธเ์ รอ่ื งไกลบา้ น พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
ทรงเปรยี บเทยี บการเสดจ็ ไปเทย่ี วหา้ งของพระองคว์ า่ เปน็ เรอื่ งเหมอื นพระยายนื
ชิงชา้ และคนดูพระองคแ์ นน่ เหมอื นดพู ระยายืนชงิ ชา้ ดงั น้ี
ก่อนเวลากินเข้า ได้ไปเที่ยวห้างริม ๆ น้ันเอง การมันใหญ่มากเหมือน
พระยายนื ชงิ ชา้ เมอื่ จะออกเดนิ จากชมรมนไ้ี ปชมรมโนน้ มโี ปลศิ มา้ ไปกนั
คนเสียก่อน แล้วราชองครักษ์แลเจ้าเมืองกรมการเดินสองข้างเหมือน
พราหมณ์ พวกคนก็ดูแนน่ เหมือนดูพระยายืนชงิ ชา้ ...
พระยายืนชิงช้า คือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ท่ีรับหน้าท่ีเป็นพระอิศวรในพิธี
ตรียัมปวาย ตามความเชอื่ ทวี่ า่ พระอศิ วรเสด็จลงมาเยีย่ มโลกปลี ะครงั้ ครั้งหนง่ึ
ก�ำหนด ๑๐ วัน เทพยดาทั้งหลายมาเฝ้าประชุมพร้อมกัน โลกบาลท้ังส่ีได้แก่
ท้าวธตรฐ ท้าววิรฬุ หก ทา้ ววิรูปักษ์ ทา้ วกุเวร ก็มาโล้ชิงชา้ ถวาย
พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงเลา่ ไวใ้ นหนงั สอื พระราชพธิ ี
สบิ สองเดอื น วา่ ตงั้ แตส่ มยั อยธุ ยามาจนถงึ ตน้ รชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้
เจา้ อยหู่ วั ผทู้ เี่ ปน็ พระยายนื ชงิ ชา้ คอื เจา้ พระยาพลเทพ (ตำ� แหนง่ เสนาบดกี รมนา)
ครั้นถึงปลายรชั สมัย เจา้ พระยาพลเทพ (ฉมิ ) ถงึ อสัญกรรม ไมท่ รงตงั้ เจา้ พระยา
พลเทพตอ่ ไป โปรดใหเ้ จา้ พระยานกิ รบดนิ ทร์ ซง่ึ ยงั เปน็ พระยาราชสภุ าวดยี นื ชงิ ชา้
แทนปีหน่ึง ต่อไปก็เปล่ียนเป็นเจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์ (เสือ) ซึ่งยังเป็นพระยา
ราชนกิ ลู เปน็ ผยู้ นื ตอ่ ไปเปน็ เจา้ พระยายมราช (ศขุ ) เมอื่ ยงั เปน็ พระยาสรุ เสนาเปน็
ผูย้ นื ในรชั สมยั พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อย่หู วั โปรดใหข้ า้ ราชการทีไ่ ด้
รับพระราชทานพานทองเปลี่ยนกันยืนชิงช้าปีละคนเป็นธรรมเนียมติดต่อมา
จนถงึ รัชกาลของพระองค์

238

ข้าราชการผู้จะเป็นพระยายืนชิงช้าต้องถวายบังคมลาพระมหากษัตริย์
ก่อนไปท�ำหน้าท่ียืนชิงช้า การแต่งกายของพระยาผู้ยืนชิงช้าคือนุ่งผ้าเยียรบับ
และนงุ่ แบบทเี่ รยี กวา่ บา่ วขนุ มชี ายหอ้ ยอยเู่ บอ้ื งหนา้ สวมเสอื้ เยยี รบบั คาดเขม็ ขดั
สวมเส้ือครุยลอมพอกเกี้ยวตามบรรดาศักดิ์ พราหมณ์จะเชิญพระยายืนชิงช้า
แหแ่ หนกนั ไปทชี่ มรม (โรงทปี่ ลกู ขน้ึ ใชช้ ว่ั คราว แบบปะรำ� ) กำ� หนดผเู้ ขา้ กระบวน
แห่ ๘๐๐ คน แตพ่ ระยายนื ชิงชา้ อาจจดั หาผูค้ นมาเพ่ิมเติม มคี นเขา้ กระบวนแห่
ถึงส่ีพันคนก็มี ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ มีเงินเบ้ียเลี้ยงของหลวงพระราชทานสิบต�ำลึง
พระยายนื ชงิ ชา้ ตอ้ งจา่ ยเงนิ เพมิ่ เตมิ ถา้ มกี ระบวนมากกต็ อ้ งลงทนุ รอนมาก ทง้ั เงนิ
ทเี่ ขา้ โรงครวั เล้ยี งคนในกระบวน เงินแจก และเงินค่าผ้านุ่งห่มเครอ่ื งแต่งตัว
เห็นได้ว่า การแห่พระยายืนชิงช้าเป็นเร่ืองใหญ่ และผู้คนคงมาดูกัน
เนืองแน่น มีผู้เล่าถึงกระบวนแห่พระยายืนชิงช้าไว้หลายคน เช่น พระยา
อนุมานราชธนเขียนในหนงั สือฟื้นความหลงั ว่า
...กระบวนแห่นี้ นอกจากกระบวนโบราณของหลวงแล้ว ยังมีกระบวน
เชลยศักดด์ิ ว้ ย กระบวนแห่น้ี ถา้ “พระยายนื ชงิ ช้า” เปน็ ผูม้ บี ญุ หนักศักดิ์
ใหญ่ กระบวนแห่ก็มีแปลก ๆ น่าดู เปน็ กระบวนยาวยืด ถ้า “พระยายนื
ชิงช้า” คนใด ไม่ใช่เป็นผู้มีบุญหนักศักด์ิใหญ่ กระบวนแห่ก็น้อย บางที
กม็ แี ตก่ ระบวนแห่ของหลวงเท่านนั้ ...
ศาสตราจารย์ คุณหญิงผะอบ โปษะกฤษณะ กเ็ ล่าถงึ กระบวนแห่พระยา
ยืนชงิ ช้าไวใ้ นเร่ืองสาวชาวกรุงวา่
...เวลาน้ันรู้สึกสนุกจริง ๆ ท่ีได้ดูขบวนแต่งตัวสีสันต่าง ๆ กัน มีเสียง
ประโคมแตรสังข์ ทง้ั ๆ ทีด่ ูไมอ่ อกวา่ อะไรเปน็ อะไร คนที่แตง่ ตัวอยา่ งนั้น
หมายถงึ อะไร แต่กส็ นุกเพราะมผี คู้ นคกึ คกั คนท่ีเขา้ ขบวนจำ� นวนหลาย
รอ้ ยคน ถอื อาวธุ ตา่ ง ๆ กนั ยงั มีเคร่อื งสูง ไดเ้ หน็ พระยาแตง่ ตัวเสื้อครุย
มเี คร่อื งตกแตง่ ระยิบระยบั สวมพอกเหมอื นเทวดาทเี่ ห็นในโบสถ.์ ..

239

เมื่อพระยายืนชิงช้าไปถึงชมรมแล้ว จะไปนั่งท่ีราว ราวในชมรมท�ำด้วย
ไม้ไผห่ มุ้ ผ้าขาว มี ๒ ราว ใชส้ �ำหรับนัง่ ราวหนงึ่ สำ� หรบั พิงราวหนึ่ง วิธนี ่งั ตอ้ งเอา
เท้าซ้ายยันพ้ืนไว้ เท้าขวาพาดเข่าซ้าย ถ้าท�ำเท้าขวาตกเหยียบดินจะถูกปรับ
ส. พลายนอ้ ย เขยี นไวใ้ นสารานกุ รมวฒั นธรรมไทยวา่ ในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็
พระพุทธเลิศหล้านภาลัย เจา้ พระยาพลเทพ (ทองอิน) ไดท้ �ำเท้าขวาตก
การก�ำหนดให้พระยายืนชิงช้านั่งเช่นน้ีน่าจะเนื่องมาจากต�ำนานที่ว่า
พระอศิ วรต้องการตรวจสอบว่าโลกแขง็ แรงม่นั คงหรือไม่ จงึ ใหพ้ ญานาคตัวหน่ึง
เอาหางเก่ียวพันภูเขาริมแม่น�้ำฟากหนึ่ง ส่วนข้างหัวพันกับภูเขาริมแม่น้�ำอีก
ฟากหน่ึง แล้วไกวตัวไปมาแบบเล่นชิงช้า ถ้าโลกไม่มั่นคงก็จะเกิดแผ่นดินไหว
พระอิศวรทรงยืนบนพื้นโลกด้วยพระบาทข้างเดียว พระบาทอีกข้างหนึ่งพาด
พระชานุ ถ้าแผ่นดินไหวก็จะทรงยืนเช่นนี้ไม่ได้ พระยายืนชิงช้ารับหน้าท่ีเป็น
พระอิศวรจึงตอ้ งน่ังในลกั ษณะท่เี หมือนกับการยืนด้วยเท้าขา้ งเดยี ว
เรอื่ ง “การยนื ตนี เดยี ว” นีม้ มี าตั้งแต่สมัยอยุธยา ดังมขี อ้ ความในหนงั สอื
ค�ำใหก้ ารขนุ หลวงหาวัดว่า
...อนั พระยาพลเทพน้นั จึงยนื ตนี เดียวแลว้ ดูพราหมณถีบชิงช้าอยู่ ถา้ และ
ยืนสองตีน พราหมณ์ทั้งปวงจึงริบเอาเครื่องอุปโภคบริโภคของพระยา
พลเทพท้ังส้ิน อันน้ีเปนอย่างธรรมเนียมตามพิธีของพราหมณท�ำมาแต่
กอ่ นครน้ั เปนประเพณีเปนเย่ยี งอยา่ งกนั มา
สันนิษฐานได้ว่า ผู้รับหน้าที่เป็นพระอิศวร “ยืนตีนเดียวแล้วดูพราหมณ์
ถีบชิงช้าอยู่” จึงได้ช่ือว่า พระยายืนชิงช้า มีข้าราชการช้ันผู้ใหญ่เป็นพระยา
ยืนชิงช้าเร่ือยมาจนถึง พ.ศ. ๒๔๗๗ เม่ือรัฐบาลยกเลิกพระราชพิธีตรียัมปวาย
พระยายนื ชงิ ชา้ คนสดุ ทา้ ยคอื พระยาชลมารควจิ ารณ์ (หมอ่ มหลวงพงศ ์ สนทิ วงศ)์
(รศ. ดร.นววรรณ พันธเุ มธา)

240

หนังสอื อา้ งอิง
คำ� ใหก้ ารขนุ หลวงหาวดั . นนทบรุ ี : โครงการเลอื กสรรหนังสือ มหาวิทยาลยั
สโุ ขทยั ธรรมาธิราช, ๒๕๔๗.
จุลจอมเกลา้ เจา้ อยูห่ ัว, พระบาทสมเดจ็ พระ. ไกลบ้าน เล่ม ๑. พิมพค์ รัง้ ท่ี ๖.
กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน,์ ๒๕๔๕. ๓ เล่ม.

. พระราชพิธีสบิ สองเดอื น. พระนคร : ศลิ ปาบรรณาคาร, ๒๕๐๓.
ผะอบ โปษะกฤษณะ. สาวชาวกรงุ . ม.ป.ป., ม. ป.ท.
ส. พลายนอ้ ย (นามแฝง). สารานกุ รมวฒั นธรรมไทย. กรงุ เทพฯ : พมิ พค์ ำ� , ๒๕๕๓.
เสฐยี รโกเศศ (นามแฝง). ฟ้ืนความหลัง. พระนคร : ศกึ ษิตสยาม, ๒๕๑๐.

พระราชปฏิสันถารทางการทูต

เมื่อมีคณะราชทูตหรือแขกเมืองเข้าฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเพื่อเจริญ
ทางพระราชไมตรีนั้น ราชทูตและคณะจะได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทตาม
ธรรมเนียมปฏบิ ตั ิ ตามวันและเวลาทีท่ รงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ให้ก�ำหนดขึ้น
ในสมัยอยุธยา ราชทูตจะเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน ณ พระที่นั่งสรรเพชร
ปราสาท ในบริเวณพระราชวังหลวง โดยราชประเพณีนั้น เมื่อพระเจ้าแผ่นดิน
เสด็จออก เจา้ พนกั งานกรมพระอาลักษณ์อ่านพระราชสาสน์ ฉบับแปล จบแลว้
พระมหากษตั ริยจ์ ะมีพระราชปฏิสันถารกอ่ น แลว้ ราชทตู จงึ กราบบงั คมทลู ตอบ
ผ่านล่ามและผ่านพระคลัง พระราชพิธีที่พระเจ้าแผ่นดินทรงซักถามราชทูต
เรียกว่ามีพระราชปฏิสันถาร เม่ือเสร็จการแล้ว จะพระราชทานหมาก เสื้อผ้า
หรอื สง่ิ อน่ื แก่ราชทตู และคณะ
วรรณคดเี รอ่ื งขนุ ชา้ งขนุ แผน พรรณนาพระราชพธิ เี สดจ็ ออกรบั แขกเมอื ง
ลา้ นช้างของพระพนั วษาว่า

เสด็จออกพระทน่ี ่งั มขุ กระสัน ประดบั แก้วแกมสวุ รรณเฉดิ ฉาย
กลองชนะแตรสงั ขต์ ง้ั ราย จา่ กองทา้ ถวายเชิญเสดจ็ พลนั

241

พนกั งานพระวิสตู รก็รูดมา่ น ขุนนางอลหม่านอย่ตู ัวสั่น
ราชมนกู ช็ ูพุ่มสวุ รรณ แตรสังข์ดังลนั่ ประโคมไป
ข้าราชการนอ้ ยใหญก่ ็หมอบราบ กม้ เกลา้ ลงกราบหาชา้ ไม่
มพี ระโองการพลันทันใด ส่ังให้ไปหาแขกเมืองมา

จดหมายเหตุของวิละภาเคทะระ เรื่องคณะทูตลังกามาประเทศสยาม
เมื่อ พ.ศ. ๒๒๙๓ ในรชั กาลพระเจ้าอยูห่ ัวบรมโกศบนั ทกึ ว่าเมือ่ คณะทูตเขา้ เฝา้
ถวายพระราชสาสน์ แลว้ “พระเจา้ แผน่ ดนิ ทรงมีพระราชปฏสิ นั ถาร ๓ นัด ถาม
ราชทูตว่าสุขส�ำราญไร้ทุกข์โศกท้ังใจและกายหรืออย่างไร” ในขุนช้างขุนแผน
อธิบายเหตุการณ์การพระราชปฏิสนั ถารวา่

คราน้นั พระองค์ผ้ทู รงเดช ช�ำเลืองพระเนตรผายผัน
เห็นราชทูตมาถวายบงั คมคลั กับท้ังเครื่องสวุ รรณบรรณา
จึงตรัสประภาษปราศรัย มาในป่าไมใ้ บหนา
ก่ีวนั จึงถึงพระพารา มรรคายากง่ายประการใด
อนึ่งกรงุ นาคบุร ี ข้าวกลา้ นาดีหรอื ไฉน
ฤๅฝนแลง้ ขา้ วแพงมีภยั ศกึ เสือเหนอื ใตส้ งบดี
ท้งั องคพ์ ระเจ้าเวยี งจนั ทน์ ทรงธรรม์เปน็ สุขเกษมศรี
ไม่มโี รคายาย ี อยูด่ ีอยา่ งไรในเวียงจันทน์

ในลิลิตตะเลงพ่าย สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
ทรงพระนิพนธต์ อนสมเด็จพระนเรศวรมหาราชตรัสกบั ทูตเมอื งเชยี งใหมไ่ วว้ ่า

จกั รพงศภ์ ูวนาถเฝ้า พสุธาร
เผยพระราชปฏิสันถาร ถ่ังถ้อย
บูรณฉ์ บบั นับตรวี าร จารีต นน้ั นา
ทักแขกแรกฤๅนอ้ ย มากไซร้ไปม่ ี

การมีพระราชปฏิสันถารน้ีมักจะประกอบด้วยค�ำถาม ๓ ข้อส�ำคัญคือ
ไตถ่ ามวา่ พระเจา้ แผน่ ดนิ หรอื พระราชวงศท์ รงพระสำ� ราญดหี รอื ไม่ ฝนฟา้ ตกตอ้ ง

242

ตามฤดูกาลและมีความอุดมสมบูรณ์หรือไม่ และมีข้าศึกมาประชิดเมืองหรือ
ทำ� สงครามหรอื ไมอ่ ยา่ งไร แตใ่ นบางครงั้ พระราชปฏสิ นั ถารอาจยกั เยอ้ื งเพมิ่ เตมิ
ไดต้ ามแตพ่ ระราชประสงค์ ในสมยั ทพี่ ระเจา้ อยหู่ วั บรมโกศทรงรบั คณะทตู ลงั กา
น้นั หนงั สอื ค�ำใหก้ ารขนุ หลวงวดั ประด่ทู รงธรรม บันทกึ ไวว้ า่
ครน้ั พรอ้ มแลว้ พระองคจ์ ง่ึ สระสรงทรงเครอ่ื ง แลว้ จงึ่ ทรงพระภษู า
พน้ื แดงปกั ทองทรงจบี โจงแลว้ ทรงฉลองพระองคซ์ บั ในอยา่ งนอ้ ยพนื้ ทอง
แลว้ ทรงฉลองพระองคซ์ บั นอกอยา่ งเทศ แลว้ ทรงตาบทพิ ทาบนาบประดบั
แล้วสงั วาลยป์ ระดบั เพชร แล้วทรงพระมหามงกุฏประดับเพชร แล้วทรง
พระธำ� มรงคร์ าคาคา่ กรงุ แลว้ จง่ึ ทรงถอื พระแสงดาบตราใจเพชร จงึ่ เสดจ็
ทั้งพระมเหสีสามพระองค์ ท้ังพระสนมก�ำนันอันพรึดพร้อม แวดล้อม
ตามเสดจ็ ออกมาเปน็ อนั มาก ครนั้ ไดเ้ วลาสญั ญาแลว้ จง่ึ ประโคมแตรสงั ข์
ฆอ้ งกลองมโหรปี พ่ี าททง้ั ปวงแลว้ จงึ่ ชกั มา่ นทองสองไข ครน้ั เสดจ็ ออกจง่ึ
หยุดประโคม กรมมาลาการน้ัน คือ ราชมณูเทพมณูน้ัน ชูดอกไม้ทอง
แลว้ จงึ่ นำ� แขกเมือง เขา้ มาในพระราชวัง แล้วจง่ึ นำ� กราบสามครั้ง จงึ่ ถงึ
ทเี่ ฝ้าจ่งึ ตรัสเรยี กหมากกลาง ขนุ ทินบรรณารบั สง่ั ขนุ ทานก�ำนนั ตง้ั หมาก
แลว้ พระอาลกั ษณจ์ งึ่ รบั พระราชสาสน์ นน้ั เชญิ ขน้ึ ไวบ้ นเตยี งประดบั กระจก
จึ่งตั้งไว้บนพานทองสองช้ัน แล้วพระองค์จ่ึงปราศัยตามอย่างตาม
ธรรมเนียม ถ้าเป็นแขกเมืองใหญ่ ทรงพระราชประดิษฐาน ๗ นดั ถา้ เปน็
แตแ่ ขกเมอื งนอ้ ย พระราชประดษิ ฐาน ๓ นดั พระองคจ์ งึ่ ประดษิ ฐานตาม
เมืองใหญ่ ๗ นัด จ่ึงทรงพระปราศัยเจ็ดค�ำ ว่ากรุงลังกานั้นพระศาสนา
รุ่งเรืองอยู่ฤๅค�ำหนึ่ง ข้าวปลาอาหารบริบูรณอยู่ฤๅสองค�ำ อันฝนฟ้าน้ัน
บริบูรณ์อยู่ฤๅสามค�ำพ้นจากโรคภัยอยู่ฤๅสี่ค�ำ อันบ้านเมืองนั้นพ้นจาก
โจรผู้ร้ายเบียดเบียฬอยู่ฤๅห้าค�ำ พระมหากษัตริย์เป็นธรรมอยู่ฤๅหกค�ำ
อนั เสนาอำ� มาตยน์ น้ั อยใู่ นธรรมอยฤู่ ๅเจด็ คำ� อนั นที้ รงพระปราศยั เปน็ ตาม
อย่างธรรมเนยี ม ทตู จึงกราบทลู ตามมพี ระสีหนาถราชโองการท้ัง ๗ นัด

243

แลว้ อาลกั ษณ์ จง่ึ อา่ นถวายวา่ พระเจา้ กรงุ ศริ วิ ฒั นบรุ นี นั้ มพี ระราชสาสน์
แลเครื่องบรรณาการเข้ามาถวายเป็นทางไมตรี อันพระเกียรติยศนั้น
ฦๅไปถึงกรงุ ศริ วิ ฒั นบุร.ี ...
เรอ่ื งประเพณกี ารรบั แขกเมอื งน้ี พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
มีพระบรมราชาธิบายพระราชทานพระยาศรีสหเทพ (เส็ง วิริยะศิริ) ราชปลัด
ทลู ฉลองกระทรวงมหาดไทย เพ่มิ เติมว่า
แบบพระราชปฏสิ นั ถารแตโ่ บราณ ถา้ เปน็ ทตู มาแตพ่ ระเจา้ แผน่ ดนิ
เอกราชซงึ่ แตก่ อ่ นมเี มอื งพมา่ เมอื งลงั กา เมอื งญวน มพี ระราชปฏสิ นั ถาร
๗ นัด คือพูดด้วย ๗ ค�ำ ปลัดทูลฉลองจะต้องเตรียมรับส่ังแลกราบทูล
๗ ครง้ั ถา้ แขกเมืองมาแตป่ ระเทศอันไม่ได้เปน็ ขา้ ขอบขัณฑสมี า คอื เมือง
ทวาย แลเมอื งมลายู ในเกาะสมุ าตรา แลเมอื ง ๑๙ เจา้ ฟา้ เขา้ มาสวามภิ กั ด์ิ
มีพระราชปฏิสันถาร ๕ นัด ถ้าแขกเมืองประเทศราชข้าขอบขัณฑสีมา
ถวายต้นไม้ทองเงินแลเครื่องราชบรรณาการตามก�ำหนดปี มีพระ
ราชปฏิสนั ถาร ๓ นัด แตพ่ ระราชปฏิสันถารในชน้ั หลัง ๆ มา ยกั เยอ้ื งจาก
แบบบา้ ง บางทกี วา่ ๓ นดั บา้ ง ในเมอ่ื ตวั เจา้ ประเทศราชเขา้ มาเองเปน็ ตน้
ก็ตอ้ งรับส่ังแลกราบบงั คมทลู ตามที่มีพระราชปฏสิ ันถารน้นั
นอกจากนห้ี นา้ ทข่ี องปลดั ทลู ฉลองทจ่ี ะตอ้ งรบั พระราชกระแสขณะมพี ระ
ราชปฏสิ นั ถารกม็ แี บบแผนกำ� หนดทช่ี ดั เจนดว้ ย ดงั พระบรมราชาธบิ ายตอ่ มาวา่
เมื่อมพี ระราชปฏสิ ันถารจบลง ๑ นดั ปลดั ทลู ฉลองตอ้ งกราบทลู
รับสงั่ ว่า ข้าพระพุทธเจ้า ขอรับพระบรมราชโองการใส่เกล้าใส่กระหมอ่ ม
ขอเดชะ แลว้ จงึ น�ำไปพูดกับแขกเมือง
เม่ือจะน�ำค�ำแขกเมืองกราบบังคมทูลพระกรุณา ต้องขึ้นต้นว่า
สรวมชพี ขา้ พระพทุ ธเจา้ ขอพระราชทานกราบบงั คมทลู พระกรณุ าใหท้ รง
ทราบฝา่ ละอองธลุ พี ระบาทดว้ ยขา้ พระพทุ ธเจา้ (ออกชอ่ื เมอื งทม่ี าทกุ เมอื ง)
ใหก้ ราบบงั คมทลู พระกรณุ าว่า ฯลฯ ด้วยเกล้าดว้ ยกระหม่อมขอเดชะ

244
ธรรมเนยี มการมพี ระราชปฏสิ นั ถารกบั ราชทตู หรอื แขกเมอื งนเี้ ปลยี่ นแปลง
ไปในการรับแขกเมืองเม่ือครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ด้วยมีแขกเมืองเข้ามามากกว่าก่อน หากปฏิบัติตามโบราณราชประเพณีเดิม
ก็จะเสียเวลายืดยาวนัก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงลดทอน
ใหส้ นั้ ลง แตท่ รงเพมิ่ เตมิ คำ� ขนึ้ ตน้ คำ� กราบบงั คมทลู วา่ “สรวมชพี ขา้ พระพทุ ธเจา้
ขอพระราชทานกราบบังคมทูลพระกรุณาในทป่ี ระชุมพระบรมวงศานวุ งศ์ ทา่ น
เสนาบดีข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยให้ทรงทราบฝ่าพระบาท” หมายถึงทรงรับ
แขกเมืองในที่ประชุมของท้ังพระบรมวงศ์และขุนนาง มิใช่ทรงรับเฉพาะเบ้ือง
พระพักตร์เพียงพระองคเ์ ดยี ว
(รศ. ดร.ปรดี ี พศิ ภมู วิ ิถ)ี
หนังสอื อ้างอิง
คณะกรรมการช�ำระประวตั ศิ าสตร์ไทย. คำ� ให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม
เอกสารจากหอหลวง. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พค์ รุ ุสภา ลาดพร้าว, ๒๕๓๔.
ศิลปากร, กรม. ประมวลพระราชนิพนธ์เบ็ดเตล็ดในพระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. พิมพ์แจกเป็นอนุสรณ์ในงานพระราชเพลิงศพ
ม.ล.ประจวบ กล้วยไม้ (จมื่นเทพสุรินทร์) ณ เมรุวัดสังเวชวิศยาราม
วันที่ ๔ กันยายน ๒๕๐๕.

.จดหมายเหตขุ องวลิ ะภาเคทะระเรอื่ งคณะทตู ลงั กาเขา้ มาประเทศสยาม
นางสาวนันทา สุตกุล แปล. พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ
นางทองอยู่ วรี ะเวศม์เลขา (สามสูตร) ณ เมรวุ ัด ประยรุ วงศาวาส ๒๑
มนี าคม ๒๕๐๘.



245

พระราชพิธีคเชนทรศั วสนาน

ในสมยั โบราณเมอ่ื ครงั้ ทรี่ าชการบา้ นเมอื งยงั ใชช้ า้ งและมา้ เปน็ ยทุ ธปจั จยั
อยา่ งหนึ่งสำ� หรบั กองทัพ กจิ กรรมตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วข้องกบั ชา้ งและมา้ จงึ เป็นเร่ือง
ท่ีต้องท�ำกันอย่างต่อเน่ือง ทั้งน้ีก็เพื่อฝึกปรือให้มีความช�ำนิช�ำนาญในการต่อสู้
และยงั ต้องตรวจตรากำ� ลังไพรพ่ ล พาหนะ รวมท้งั เครื่องศสั ตราวธุ ท้งั ปวง ใหม้ ี
ความพรอ้ มส�ำหรับการศกึ สงคราม
ขณะที่บ้านเมืองเป็นปรกติว่างเว้นจากการศึกสงคราม ทหารในกองทัพ
รวมทั้งพาหนะต่าง ๆ ก็ต้องมีการฝึกซอ้ มอย่สู ม่ำ� เสมอ ให้รู้งาน ร้หู น้าท่ี ขณะ
เดียวกันยังต้องสร้างขวัญและก�ำลังใจให้แก่กองทหารเหล่านั้นด้วย ส่ิงท่ีเป็น
ขวัญและก�ำลังใจอย่างหน่ึงของหมู่ทหารผู้ได้ฝึกซ้อมกันมาตลอดระยะเวลาอัน
ยาวนาน กค็ ือ พธิ ีกรรม
การประกอบพิธีกรรมของทหาร ชา้ ง และมา้ ในสมยั โบราณมธี รรมเนยี ม
ปฏิบตั ิที่ตอ้ งจัดใหม้ ีขึ้นทกุ ปี ปีละ ๒ คร้งั คือ ในเดอื น ๕ คร้งั หนึง่ และเดอื น
๑๐ คร้งั หนึ่ง พิธีนพี้ ระเจา้ แผน่ ดนิ และพระราชวงศเ์ สด็จออกทอดพระเนตร จึง
จัดเป็นการพระราชพธิ ใี หญ่ เรยี กว่า พระราชพธิ ีคเชนทรัศวสนาน หรอื ที่เรยี ก
กันเป็นสามัญว่า พิธีออกสนามใหญ่ หรือ แห่สระสนาน โดยจัดให้มีการเดิน
กระบวนช้าง กระบวนมา้ พร้อมดว้ ยทหารถอื เคร่อื งศสั ตราวธุ ครบมอื เปน็ การ
แสดงแสนยานุภาพให้เห็นก�ำลังและความพร้อมเพรียงของกองทัพ จะได้เป็นท่ี
เกรงขามของขา้ ศึกศัตรู การพธิ นี ั้นกลา่ วได้วา่ เป็นลกั ษณะเดยี วกบั การเดนิ สวน
สนามในปจั จบุ นั
ช่วงเวลาก�ำหนดการพิธี จะตรงกับเวลาท่ีมีการประชุมข้าราชการท้ัง
ในกรงุ หวั เมอื ง เอก โท ตรี จตั วา รวมทงั้ เจา้ ประเทศราชกเ็ ขา้ มาเฝา้ ตามกำ� หนด
ถวายดอกไม้ทอง เงิน เครื่องราชบรรณาการ เป็นการประชมุ ใหญค่ รั้งหนึ่ง ควร
ท่จี ะจดั พลโยธาทวยหาญทั้งปวงให้พรกั พรอ้ ม แสดงพระเดชานุภาพให้หัวเมือง
ประเทศราชทั้งหลายย�ำเกรงพระบารมี และยังเช่ือว่าท�ำให้บังเกิดความเจริญ

246
เปน็ สริ สิ วัสดิมงคลแก่ราชพาหนะ และเหลา่ ทหารท่ีเป็นก�ำลงั แผ่นดนิ อกี ทง้ั ยงั
ขจัดอัปมงคลใหแ้ ก่ผทู้ ีเ่ กีย่ วข้องกับช้างม้าทัง้ ปวงด้วย
พธิ อี อกสนาม พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดพ้ ระราชนพิ นธ์
รายละเอียดไว้ในหนังสือเรื่องพระราชพิธีสิบสองเดือน ซ่ึงมีใจความสรุปได้ว่า
เป็นพิธีของพราหมณ์พฤฒิบาศ ซึ่งจะเป็นผู้ด�ำเนินการก่อนถึงวันออกสนาม
พราหมณ์จะประกอบพิธีบูชาบวงสรวงพระเทวกรรม วันต่อมาจึงเป็นการออก
สนาม โดยจัดให้ช้างเดินเป็นกระบวนน�ำมาก่อนแล้วจึงถึงกระบวนม้าผ่าน
พราหมณ์ซ่ึงน่ังอยู่บนเกย ท�ำหน้าท่ีประพรมน�้ำมนตร์ให้แก่ทหารในกระบวน
เหลา่ นน้ั เนอื่ งจากในสมยั โบราณ ชา้ ง มา้ ในราชการมจี ำ� นวนมาก การเดนิ สนาม
จึงตอ้ งใชเ้ วลา ๓ วัน วนั แรกเดนิ พระยาช้าง และม้าระวางตน้ (ช้าง มา้ ทีข่ ้นึ
ระวางเปน็ พระราชพาหนะของพระเจา้ แผน่ ดนิ ) วนั ที่ ๒ เดนิ ชา้ ง มา้ ระวางวเิ ศษ
(ชา้ ง มา้ ทขี่ น้ึ ระวาง เปน็ พาหนะของขา้ ราชการ ขนุ นาง ราชวงศร์ ะดบั สงู ) วนั ท่ี ๓
เดนิ ช้าง มา้ ระวางเพรยี ว (ช้าง ม้า ที่ขึ้นระวางเปน็ พาหนะของทหารทวั่ ไป และ
ทหารท่อี ยกู่ องหน้า ชา้ ง มา้ กลุ่มนไี้ ด้รับการฝึกหดั ใหม้ คี วามคลอ่ งแคลว่ วอ่ งไว
ในการบุกตลุยไปเบื้องหน้า) หลังจากเสร็จพิธีเดินสนานแล้วมีการมหรสพ
เวลาค่ำ� มีหนงั จดุ ดอกไมเ้ พลิง สมโภชพระเทวกรรม
การแห่สระสนานเดนิ กระบวนชา้ งมา้ ตลอด ๓ วันนัน้ ไพร่พลในกองทัพ
รวมท้ังพาหนะ ช้าง ม้า และศัสตราวุธท่ีใช้ในการแห่มีจ�ำนวนมากไม่ซ้�ำกัน
เป็นการตระเตรียมไพร่พลให้พรักพร้อมอยู่เสมอ ปีหน่ึงได้เดินกระบวนสระ
สนานใหญ่ เป็นการถวายตัวตอ่ พระเจ้าแผ่นดนิ ๒ ครงั้ เพื่อทอดพระเนตรตรวจ
ตราไพร่พล พาหนะ จะทรุดโทรม เส่ือมถอยไปอย่างไร หรือบริบูรณ์ดีอยู่ก็จะ
ทรงทราบ อกี ทง้ั บรรดาคนทงั้ ปวงซง่ึ ไดเ้ หน็ กำ� ลงั ไพรพ่ ลและพาหนะของพระเจา้
แผ่นดินพรักพร้อมบริบูรณ์อยู่ก็เป็นที่ย�ำเกรง ไม่ก่อเหตุการณ์อันใดข้ึนได้ จึงมี
ค�ำกล่าวมาแต่โบราณว่า พระราชพิธีนี้ท�ำให้ประชาชนทั้งปวงมีใจสวามิภักด์ิรัก
พระเจ้าแผ่นดิน เป็นท่ีเกรงขามแกข่ ้าศกึ ศตั รู

247

ในสมยั รตั นโกสนิ ทร์ การศกึ สงครามลดนอ้ ยลง ยทุ ธวธิ กี ารรบเปลยี่ นแปลง
ไป ช้าง ม้า พาหนะ และศัสตราวุธท่ีเคยใช้ราชการอยู่ในกองทัพลดจ�ำนวนลง
การจัดช้างม้าเข้ากระบวนแห่มีไม่เต็มกระบวนสระสนาน ต้องขอยืมช้าง ม้า
จากหวั เมอื งเขา้ มาบา้ ง ศสั ตราวธุ ทใ่ี ชก้ ม็ ไี มค่ รบกระบวน จะทำ� อาวธุ เหลก็ ขน้ึ ใหม่
ก็มีราคาแพง อย่างเช่น ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
มหาราช ปรากฏความในพระราชพงศาวดาร ฉบบั พระราชหัตถเลขาว่า “ใน
แผน่ ดนิ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั นน้ั โปรดตง้ั ทำ� เนยี บระวางชา้ ง มา้ และโปรด
ให้มีแห่สระสนานอย่างใหญ่ ขุนนางผู้ใหญ่ต้องแห่เป็นกระบวน ๆ กันคร้ังหนึ่ง
คร้ังน้ันเคร่ืองอาวุธที่แห่ใช้ท�ำด้วยไม้จริง” เม่ือใช้อาวุธไม้แทนก็ไม่มีประโยชน์
เปลอื งเงนิ เปลา่ สว่ นขนุ นางผตู้ อ้ งเขา้ กระบวนแห่ เดมิ เปน็ แมท่ พั เปน็ ทหารชำ� นิ
ช�ำนาญในการขี่ช้าง ขี่ม้า เมื่อมาเข้ากระบวนเดินสนานก็ไม่เดือดร้อนอันใด
ภายหลงั ขนุ นางไมช่ ำ� นาญการทพั ศกึ ประพฤตติ วั เปน็ พลเรอื นไปหมด เมอื่ จะตอ้ ง
ข่ีคอช้าง มา้ กลวั เป็นผู้ใหญแ่ ล้วจะฝกึ หัดกอ็ าย ส่วนไพรพ่ ลประจ�ำเมอื งกใ็ ช้เป็น
พลเรอื นโดยมาก คนแหใ่ นกระบวนมนี อ้ ย เมอื่ เดนิ ไปพอพน้ หนา้ พลบั พลาแลว้ ตอ้ ง
วนย้อนกลับมาเดินกระบวนหลังต่อไปใหม่ ก็ไม่เป็นประโยชน์อันใดในการท่ีจะ
ตรวจตราไพร่พล และไม่เป็นพระเกียรติยศจะให้เป็นท่ีเกรงขามอันใด การ
พระราชพิธีคเชนทรัศวสนานในสมัยรัตนโกสินทร์จึงได้จัดให้มีขึ้นได้เพียง ๓
รชั กาล รชั กาลละ ๑ ครง้ั พอเปน็ พธิ ี หรอื เปน็ พระเกยี รตยิ ศเทา่ นนั้ ครน้ั ถงึ รชั กาล
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั กไ็ มม่ กี ารพระราชพธิ อี อกสนามทง้ั ๆ ท่ี
พระองคโ์ ปรดการพระราชพิธีอย่างเก่า ๆ มาก
(นางสาวก่องแก้ว วีระประจกั ษ)์

พระราชพธิ ีถอื น้ำ� พระพิพัฒน์สัตยา

พระราชพิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยา หรือพระราชพิธีถือน�้ำพิพัฒน์สัจจา
หรือพระราชพิธีศรีสัจจปานกาลก็เรียก และเรียกอย่างย่อว่า พิธีถือน�้ำ เป็น

248
พระราชพธิ สี ำ� คญั ของไทยแตโ่ บราณจดั เปน็ การประจำ� ปี ปลี ะ ๒ ครง้ั ในเดอื น ๕
ข้นึ ๓ ค่�ำ หลงั พิธีตรษุ และในเดอื น ๑๐ แรม ๑๓ คำ�่ ก่อนพิธีสารท กำ� หนดให้
เจ้านายทั้งฝ่ายหน้าและฝ่ายใน ขุนนางข้าราชการและภรรยาต้องด่ืมน�้ำที่แทง
ด้วยอาวธุ สาบานตนวา่ จะจงรักภกั ดีตอ่ พระมหากษัตริย์ รบั ราชการด้วยความ
ซอื่ สตั ยส์ จุ รติ หากปฏบิ ตั ดิ ปี ฏบิ ตั ชิ อบตามคำ� สาบานกจ็ ะมคี วามสขุ เจรญิ กา้ วหนา้
หากปฏิบัติผิดจากค�ำสาบานแล้วจะต้องมีอันเป็นไป ถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จ
พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยู่หวั โปรดเกลา้ ฯ ใหจ้ ัดพระราชพธิ ถี อื น้�ำฯ ปลี ะ ๑ ครั้ง ใน
วนั ที่ ๒-๓ เมษายน ตง้ั แต่ พ.ศ. ๒๔๕๗ เปน็ ตน้ มา หลงั เปลย่ี นแปลงการปกครอง
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้เลิก
พระราชพิธถี อื นำ้� ฯ เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๗๖ จนกระทง่ั รชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระมหา
ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรได้โปรดเกล้าฯ ให้ร้ือฟื้นพระราชพิธี
ถือน้�ำฯ จัดผนวกกับพระราชพิธีพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์
รามาธบิ ดี ใน พ.ศ. ๒๕๑๒ เรียกชอ่ื รวมกันว่า “พระราชพิธพี ระราชทานเครื่อง
ราชอสิ ริยาภรณ์อนั มีศักด์ริ ามาธิบดแี ละพระราชพธิ ถี ือนำ�้ พระพพิ ัฒน์สตั ยา”
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์เร่ือง
พระราชพธิ ถี อื นำ�้ ฯ ไวใ้ นเรอื่ ง พระราชพธิ สี บิ สองเดอื น วา่ ลทั ธกิ ารใชน้ ำ�้ ลา้ งอาวธุ
เปน็ นำ้� ด่มื ในการสาบานตนนี้ น่าจะเกดิ ในประเทศอนิ เดยี เวลาเกดิ ศึกสงคราม
เมื่อมีผู้มาอ่อนน้อมอยู่ใต้อ�ำนาจ จึงได้เอาอาวุธที่เช่ือว่ามีสิ่งศักด์ิสิทธ์ิรักษาและ
อยใู่ กล้ตัวล้างน้ำ� ใหด้ มื่ พรอ้ มกบั ให้สาบานตน เพราะเชือ่ ว่าหากคดิ ทรยศก็จะใช้
อาวุธน้ันลงโทษผู้ที่คิดประทุษร้ายได้ ต่อมาประเทศใกล้เคียงรับธรรมเนียมน้ี
มาใช้เป็นประเพณีบ้านเมืองจัดเป็นพระราชพิธีใหญ่ประจ�ำปี และยังเชื่อกันว่า
เปน็ พธิ รี ะงบั ยคุ เขญ็ ของบา้ นเมอื งอกี ดว้ ย โดยเฉพาะประเทศไทย ปรากฏหลกั ฐาน
ในกฎมณเทิยรบาล กฎหมายตราสามดวง ก�ำหนดท�ำการพระราชพิธีในเดือน
๑๐ เรยี กชอ่ื วา่ “ถวายบงั คมเลยี้ งลกู ขนุ ถอื นำ�้ พระพพิ ทั ”และระบวุ า่ พระภรรยาเจา้
ท้ัง ๔ [พระอัครชายา, แม่หยัวเมือง,ลูกหลวง, หลานหลวง] พระราชกุมาร

249

พระราชนดั ดา “ถวายบงั คมถอื นำ้� ในหอพระพระบรมวงศานวุ งศน์ อกนนั้ ถอื นำ้� ใน
พระทนี่ งั่ มงั คลาภเิ ษก” สว่ นขนุ นางขา้ ราชการนน้ั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้
เจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ไว้ว่า บรรดาขุนนางข้าราชการถือน้�ำที่วัดพระศรี
สรรเพชญ ต่อมาย้ายไปถือน้�ำท่ีวิหารพระมงคลบพิตร เมื่อถือน�้ำแล้วไปถวาย
บังคมพระเชษฐบิดร คือพระรูปพระเจ้าอู่ทองผู้ทรงสร้างกรุงศรีอยุธยา แล้วจึง
เขา้ ไปถวายบงั คมพระเจา้ แผ่นดิน
ความหมายของคำ� วา่ นำ�้ พระพพิ ฒั นส์ ตั ยานี้ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้
เจ้าอย่หู วั ทรงแปลความหมายไว้ในเร่อื ง อธฐิ านน�ำ้ พระพิพัฒนส์ ตั ยา วา่
อนั นำ�้ มนตช์ อ่ื วา่ นำ�้ พระพพิ ฒั สตั ยานแ้ี ปลวา่ นำ้� สำ� หรบั ความสตั ย
เพื่อเจริญพรอธิบายว่า ถ้าใครปฏิญญาความสัตยอย่างใดอย่างหน่ึงแล้ว
ต้งั อยู่ในความสตั ยน้ันแล้ว กจ็ ะให้เจรญิ ชนมายุ พรรณ ศขุ พละ ปฏภิ าณ
ศภุ สารศริ ิสมบตั ิ สวัสดิมงคล ศภุ ผลทกุ ประการ กถ็ า้ ไม่ตง้ั ในความสัตย
ผลพิบัติซ่ึงเปนอันขัดแก่ผลของความสัตยท่ีว่านั้น ก็จะพึงมีด้วยผลแห่ง
บาปคือความเท็จ ไม่ไดต้ ้งั อยใู่ นสตั ยน้ัน...
โดยน�ำน้�ำท่ีตั้งในพระราชพิธีตรุษและพระราชพิธีสารท มาท�ำการอธิษฐานเป็น
น�้ำพระพิพฒั นส์ ัตยา และ
เม่ือท�ำอธิฐานน้�ำพระพิพัฒสัตยามหามงคลมนตรน้ีไว้แล้ว จะไป
เจือจานเพ่ิมเติมในน�้ำพระพิพัฒสัตยาซึ่งชีพ่อพราหมณ์ อ่านอิศรเวท
วิศนมุ นตร์ แลทำ� โดยการแทงดว้ ยพระแสงสำ� หรบั แผ่นดนิ น้ันก็ได้ จะให้
รบั พระราชทานตา่ งหากกไ็ ด้ เปนมหามงคลแกผ่ รู้ บั พระราชทานซงึ่ ตง้ั อยู่
ในความซ่อื สตั ยท้ังปวง...
อยา่ งไรกต็ าม ความในกฎมณเฑยี รบาล ยงั ระบโุ ทษและขอ้ กำ� หนดในการ
ถือน�ำ้ ของข้าราชการไวด้ งั น้ี

250

...ลกู ขนุ ผใู้ ดขาดถอื นำ�้ พระพพิ ทั โทษถงึ ตาย ถา้ บอกปว่ ยคมุ้ ถา้ ลกู ขนุ
ผ้ถู ือน้�ำพระพพิ ัท ห้ามถอื [หา้ มสวม] แหวนนาก แหวนทอง แลกินเข้า
กนิ ปลา กนิ นำ้� ยาแลเขา้ ยาคกู อ่ นนำ�้ พระพพิ ทั ถา้ กนิ นำ้� พระพพิ ทั จอกหนง่ึ
แลย่นื ใหแ้ กก่ ันกนิ แลว้ แลมไิ ด้ใสผ่ ม เหลือนนั้ ล้างเสีย [เททิง้ ] โทษเท่าน้ี
ในระวางกระบถ...
ในวรรณกรรมสมัยอยุธยา มีลิลิตโองการแช่งน้�ำ หรือประกาศแช่งน�้ำ
โคลงหา้ สำ� หรับพราหมณใ์ ชอ้ า่ นหรือสวดในพระราชพธิ ีถอื น�ำ้ พระพิพฒั นส์ ตั ยา
ประกอบดว้ ยเนือ้ ความตามล�ำดับตอ่ ไปนี้
๑. ความน�ำ เป็นบทสรรเสรญิ พระนารายณ์ พระอิศวร พระพรหม และ
เรื่องไฟลา้ งโลก การสรา้ งโลกและการอภิเษกพระเจา้ แผน่ ดนิ
๒. การอัญเชิญพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธ์ิทั้งหลายมาเป็นพยานใน
พระราชพิธี
๓. ค�ำสาปแช่งผู้ท่ีคิดร้ายต่อพระเจ้าแผ่นดิน ท้ังในเวลาที่ผู้น้ันยังมีชีวิต
และเมื่อตาย
๔. คำ� อวยพรแกผ่ ทู้ ม่ี คี วามจงรกั ภกั ดตี อ่ พระเจา้ แผน่ ดนิ ทง้ั ในเวลาทผ่ี นู้ น้ั
ยังมชี วี ติ และเม่อื ตาย
๕. ค�ำถวายพระพรแด่พระเจ้าแผน่ ดนิ
ในสมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระองค์มีพระราชประสงค์จะให้มี “ต�ำราราชประเพณีไว้ส�ำหรับพระนคร”
ใน พ.ศ. ๒๔๒๐ จงึ ทรงพระราชนพิ นธห์ นงั สอื เรอ่ื ง พระราชกรณั ยานสุ ร ในเวลา
ที่ทรงว่างจากพระราชกิจ แต่ต่อมาเวลาว่างส�ำหรับทรงพระราชนิพนธ์หนังสือ
น้ีก็น้อยลงทุกที จึงจ�ำเป็นต้องหยุด โดยทรงพระราชนิพนธ์การพระราชพิธี
ได้เพียงเฉพาะ ราชประเพณีเดือน ๕ ซ่ึงเป็นเร่ืองพระราชพิธีถือน้�ำเท่านั้น
จนกระท่ัง พ.ศ. ๒๔๓๑ เมอื่ พระองคท์ รงบัญชาการหอพระสมุดวชิรญาณแทน
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชริ ุณหิศ สยามมกุฎราชกมุ าร ขณะยงั

251
ทรงพระเยาวน์ นั้ โปรดเกลา้ ฯใหช้ กั ชวนบรรดาสมาชกิ ของหอพระสมดุ ฯทสี่ ามารถ
ช่วยกันแต่งเร่ืองลงพิมพ์ในหนังสือ วชิรญาณ กับท้ังทรงรับจะเขียนเรื่อง
พระราชทานลงพมิ พด์ ว้ ยเชน่ กนั จงึ รบั สงั่ ถามความประสงคบ์ รรดาสมาชกิ วา่ จะ
ใหท้ รงเรอื่ งอะไร บรรดาสมาชกิ ซงึ่ เคยอา่ นหนงั สอื พระราชกรณั ยานสุ รทค่ี า้ งอยู่
จงึ “...กราบทลู อาราธนาใหท้ รงพระราชนิพนธเ์ ร่อื งพระราชพธิ ี ๑๒ เดือน คือ
ขอใหท้ รงพระราชนพิ นธเ์ รอื่ งพระราชกรณั ยานสุ รนอี้ ยา่ งยอ่ ๆ พอเปนประโยชน์
ทางความรแู้ กส่ มาชกิ ทง้ั ปวง เพราะฉนนั้ หนงั สอื พระราชกรณั ยานสุ รนี้ คอื ตน้ เคา้
ของพระราชนิพนธเ์ ร่อื งพระราชพธิ ี ๑๒ เดอื นน้นั เอง...”
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง
พระราชพธิ ถี อื นำ้� พระพพิ ฒั นส์ ตั ยาไวใ้ นหนงั สอื พระราชพธิ ี ๑๒ เดอื น สรปุ ความ
ได้ดังนี้ ทรงจัดกลุ่มพระราชพิธีถือน้�ำพระพิพัฒน์สัตยาในรัชสมัยของพระองค์
วา่ มกี ารถอื น้�ำ ๕ อยา่ ง ๒ อย่างจัดเป็นการถอื น�ำ้ ประจำ� ตามก�ำหนดเวลา คือ
การถือน้ำ� ประจำ� ปีของข้าราชการ ปลี ะ ๒ ครง้ั ในเดือน ๕ และเดอื น ๑๐ และ
การถอื นำ้� ประจ�ำเดอื นของทหาร ท�ำในวนั ขน้ึ ๓ คำ่� ทกุ เดอื น และอกี ๓ อย่าง
จดั เปน็ การถอื นำ�้ จร คอื การถอื นำ้� เมอ่ื แรกทพี่ ระเจา้ แผน่ ดนิ ทรงรบั สริ ริ าชสมบตั ิ
การถอื นำ้� ของผทู้ เี่ ขา้ มาสวามภิ กั ดพ์ิ งึ่ พระบรมโพธสิ มภาร และการถอื นำ้� ของผทู้ ่ี
เปน็ ทป่ี รกึ ษาราชการเมอื่ แรกรบั ตำ� แหนง่ ทง้ั ๓ อยา่ งนจี้ ดั ขนึ้ แลว้ แตเ่ หตกุ ารณไ์ มม่ ี
กำ� หนดเวลาทแี่ นน่ อน ตอ่ มาในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั
มีการถือน้�ำเพิ่มขึ้นอีก ๒ อย่าง ใน พ.ศ. ๒๔๕๔ ได้แก่ การถือน้�ำพิเศษของ
สมาชกิ เสอื ปา่ และการถอื นำ้� ตามพระราชบัญญัตแิ ปลงชาติ
ในชว่ งรชั กาลที่ ๑-๓ มรี ายละเอยี ดเกยี่ วกบั พระราชพธิ ถี อื นำ้� พระพพิ ฒั น์
สัตยาดังน้ี บรรดาข้าราชการและภรรยาหลวงของข้าราชการท่ีมีศักดินาตั้งแต่
๔๐๐ ขึ้นไป ถือน�้ำที่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (ก่อนสร้างวัด
พระศรรี ตั นศาสดาราม ถือนำ้� ท่ีวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม) แล้วน�ำธปู เทยี น
ไปถวายบังคมพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่ีหอพระธาตุมณเฑียร

252

ในพระบรมมหาราชวัง [ในรัชกาลท่ี ๑ โปรดเกล้าฯ ให้ข้าราชการถวายบังคม
พระบรมอัฐิของสมเด็จพระปฐมบรมมหาปัยกาธิบดี (พระชนกของพระองค์)
แทนการถวายบังคมพระเชษฐบิดรในสมยั อยุธยา ในรชั กาลต่อมา กถ็ วายบังคม
พระบรมอฐั พิ ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ในรชั กาลกอ่ นนน้ั ] จากนนั้ จงึ พรอ้ มกนั
เฝา้ ฯ กราบถวายบงั คมพระเจ้าแผ่นดินในทอ้ งพระโรงพระท่ีน่งั อมรนิ ทรวินจิ ฉยั
ส่วนกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) และพระบรมวงศานุวงศ์นั้น
เจ้าพนักงานน�ำน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาถวายให้เสวยหน้าพระที่น่ังในท้องพระโรง
เวลาที่พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัวเสด็จออกใหข้ ้าราชการถวายบงั คม
เม่ือพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวใกล้สวรรคต พระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังทรงพระผนวชอยู่ บรรดาขุนนางได้เชิญเสด็จเข้าไป
ประทบั ณ พระอโุ บสถวดั พระศรรี ตั นศาสดาราม ครนั้ พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้
เจ้าอยู่หัวสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงรับครอง
สิริราชสมบัติ แล้วมีการประกอบพระราชพิธีถือน้�ำพระพิพัฒน์สัตยาเม่ือแรก
เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ความใน
พระราชพงศาวดารกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ของเจา้ พระยาทพิ ากรวงศร์ ะบวุ า่ ใชเ้ วลา
ถึง ๑๕ วัน และเมื่อโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อ
วันท่ี ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๙๔ ก็โปรดเกล้าฯ ให้จดั การพระราชพธิ ถี อื น้ำ�
พระพพิ ฒั นส์ ตั ยาอกี ครง้ั หนงึ่ ในการถอื นำ้� แตล่ ะครง้ั มผี เู้ ขา้ รว่ มในพธิ ี “...นบั รวม
เขา้ ดว้ ยกนั ทง้ั หญงิ และชายมปี ระมาณถงึ สามหมน่ื หรอื มากกวา่ นนั้ ” ในปตี อ่ ๆ มา
พระองค์มีพระราชด�ำรวิ ่า
...การที่ประชุมพร้อมกันท�ำสัตยานุสัตย์ ถือน้�ำพระพิพัฒน์สัจจา
เฉพาะพระพกั ตรพ์ ระมหามณรี ตั นปฏมิ ากรและพระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก
พระพุทธเลิศหล้านภาลัยซึ่งเป็นพระฉลองพระองค์สมเด็จพระบรม
อัยกาธิราช สมเด็จพระบรมชนกนาถ ทั้งสองพระองค์น้ีดูเป็นการสวัสดิ
มงคลและพร้อมเพรียงกัน ดกี วา่ ทแี่ ยกยา้ ยกนั อย่างแตก่ อ่ น...

253
ดังนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงเสด็จพระราชด�ำเนิน
ไปพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามเพ่ือทรงร่วมในพระราชพิธีถือน�้ำ
พระพิพัฒน์สัตยา และร่วมเสวยน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาด้วย โดยทรงให้เหตุผลว่า
“...การถอื นำ้� พระพพิ ฒั นส์ ตั ยาเปน็ การใหญ่ จะใหพ้ ระบรมวงศาและขา้ ราชการ
ผู้ใหญ่ผู้น้อยรับน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาแต่ฝ่ายเดียว ก็ไม่เป็นการยุติธรรมต่อกัน
ถ้าถือดังนั้น ก็ผู้รับน้�ำพระพิพัฒน์สัตยาก็ต้องรักษาความสุจริตแต่ฝ่ายเดียว
พระเจ้าแผ่นดินไมถ่ ือดว้ ยจะคิดร้ายประการใด ๆ ก็ได้ ความสจุ ริตข้าง ๑ รกั ษา
ขา้ ง ๑ ไม่รกั ษากไ็ มส่ มควร ต้องรักษาด้วยกันท้งั ๒ ฝ่าย น�้ำพระพิพฒั นส์ ตั ยา
จึงจะศักด์ิสิทธ์ิ...” ทั้งน้ี พระองค์ทรงกระท�ำสัตย์รับน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาก่อน
ผอู้ น่ื แลว้ พระบรมวงศานวุ งศแ์ ละขา้ ราชการกส็ าบานตน และรบั นำ�้ พระพพิ ฒั น์
สตั ยาตามล�ำดับผูใ้ หญผ่ ู้นอ้ ย
รวมท้ังยังโปรดเกล้าฯ ให้เปล่ียนแปลงการเก่าบางอย่าง เช่น มีการทรง
เล้ียงพระท่ีมีสมณศักดิ์ราว ๕๐๐ รูป เพ่ือความเป็นสิริมงคลและเพ่ิมพูน
พระราชกศุ ล การนมิ นตพ์ ระสงฆส์ วดมนตใ์ นพระราชพธิ ถี อื นำ�้ พระพพิ ฒั นส์ ตั ยา
แตก่ อ่ นเพยี ง ๑๐ รปู เมอื่ พระองคโ์ ปรดเกลา้ ฯ ใหจ้ ารกึ พระนามพระเจา้ แผน่ ดนิ
สมยั อยุธยา ธนบุรี และรตั นโกสินทรท์ ่ีฐานพระพุทธรูปปางต่าง ๆ ๓๗ ปาง ที่
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้หล่อด้วยแร่ทองแดง
จากเมืองจันทึก เพ่ือทรงพระราชอุทิศแด่พระเจ้าแผ่นดินในกรุงศรีอยุธยาและ
กรุงธนบรุ ี ๓๔ พระองค์ กรุงรตั นโกสนิ ทร์ ๓ พระองค์ จงึ โปรดเกลา้ ฯ ให้นมิ นต์
พระสงฆ์สวดมนต์ในพระราชพิธีเพิ่มจาก ๑ รูป เป็น ๓๗ รูป ซ่ึงการนิมนต์
พระสงฆ์สวดในพระราชพิธีน้ีจะนิมนต์เพิ่มจ�ำนวนข้ึน ๑ รูป ตามรัชกาล คือ
รัชกาลที่ ๕ นมิ นตพ์ ระสงฆ์ ๓๘ รปู รชั กาลท่ี ๖ นมิ นต์ ๓๙ รูป และรัชกาลที่ ๗
นิมนต์ ๔๐ รูปตามล�ำดบั ท้งั นีจ้ ะนิมนตเ์ ฉพาะ “...เจา้ พระ พระราชาคณะชน้ั
ผู้ใหญ่ และพระราชาคณะท่เี ป็นเปรียญท้งั ส้ิน...”
นอกจากนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงเพิ่มเติมให้
อาลกั ษณ์อ่าน “ประกาศวนั สวดมนตพ์ ระราชพิธถี อื น�้ำ” เม่อื เวลาทรงศลี ก่อน

254
พระสงฆ์สวดมนต์ ประกาศน้ีเป็นพระราชนิพนธ์เกี่ยวกับประวัติพระพุทธมหา
มณรี ตั นปฏมิ ากรแก้วมรกต กระแสพระราชดำ� รทิ รงวนิ จิ ฉยั ฝมี อื ช่างที่สร้างพระ
และสรรเสริญพระคุณว่าเป็นเคร่ืองคุ้มครองป้องกันภยันตรายต่าง ๆ ต่อด้วย
จดหมายเหตยุ อ่ ในการแผน่ ดนิ และสรรเสรญิ พระมหากรณุ าธคิ ณุ พระบาทสมเดจ็
พระเจา้ อยหู่ วั ในพระบรมราชวงศจ์ กั รี สดุ ทา้ ยเปน็ คำ� ตกั เตอื นขา้ ราชการผถู้ อื นำ้�
ทง้ั ปวงใหท้ ำ� ราชการดว้ ยความซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ และอธษิ ฐานขอพรเทพยดา จบแลว้
พระสงฆ์สวดมนตม์ หาราชปรติ รสบิ สองตำ� นาน พราหมณ์อา่ นดุษฎีคำ� ฉันท์ เป็น
ค�ำสรรเสรญิ พระแก้วมรกต สรรเสรญิ พระเกยี รตพิ ระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และอธิษฐาน แลว้ ราชบณั ฑิตอธิษฐานนำ�้ พระพิพัฒนส์ ัตยา
อนึ่ง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังมีพระราชหัตถเลขาถึง
คณะทูตไทยที่เดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศว่า ห้ามถือน้�ำใน
เขตแดนประเทศอื่นรวมถึงเรือก�ำปั่นหรือเรือส�ำเภาของชาติอ่ืน ดังนั้นพระองค์
จงึ ทรงหา้ มคณะทตู ไม่ใหถ้ ือน�้ำในเรือของชาติอ่ืนหรอื ในแผน่ ดินอ่ืน ทรงกำ� หนด
เขตแดนท่ีคณะทูตจะถือน้�ำได้เพียง “แขวงเมืองสงขลา เมืองถลาง เมืองพังงา
แลเมอื งประจนั ตคริ เี ขต [เกาะกง] เขา้ มา หรอื จะถอื ไดแ้ ตบ่ นเรอื กำ� ปน่ั แลสำ� เภา
เป็นของกรุงเทพฯ เทา่ นนั้ ...”
รายละเอียดของพระราชพิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยา ในรัชกาลพระบาท
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตามท่ีพระองค์ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ในเร่ือง
พระราชพิธสี ิบสองเดอื น สรปุ ความได้ดงั นี้
วนั แรก ในเดือน ๑๐ แรม ๑๒ ค่ำ� (ถอื น�ำ้ สารท) และเดอื น ๕ ขน้ึ ๒ ค่ำ�
(ถือน้�ำตรุษ) เป็นวันพระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์ตอนเย็น ในพระอุโบสถวัด
พระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออก ทรงศีล
อาลกั ษณอ์ า่ นคำ� ประกาศรตั นพมิ พวงศซ์ งึ่ เปน็ พระราชนพิ นธใ์ นพระบาทสมเดจ็
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวดังกล่าวมาแล้ว จบแล้วพระสงฆ์จ�ำนวน ๓๘ รูป สวด
พระพุทธมนต์ พราหมณ์อ่านดุษฎีค�ำฉันท์ สรรเสริญพระพุทธมหามณี
รัตนปฏิมากรแกว้ มรกต

255
วนั ท่ี ๒ เดือน ๑๐ แรม ๑๓ คำ�่ และเดือน ๕ ขึ้น ๓ ค�ำ่ เดมิ มีการเลีย้ ง
พระเช้าในพระอุโบสถ ต่อมาโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายไปเล้ียงพระที่พระที่นั่งสุทไธ-
สวรรย์ แลว้ ยกเลกิ การเลย้ี งพระเชา้ ในพระราชพธิ นี ้ี เพราะตอ้ งจดั เตรยี มสถานที่
และเป็นการยากล�ำบากแกพ่ ระสงฆ์ทตี่ ้องมารว่ มพธิ ีแตเ่ ชา้ เมื่อพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกท่ีพระอุโบสถ ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธมหามณี
รตั นปฏมิ ากรแกว้ มรกต พระพทุ ธสมั พรรณี พระพทุ ธรปู ฉลองพระองคพ์ ระบาท
สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และพระพุทธเลิศหล้านภาลัย แล้วทรงจุดธูป
เทียนนมัสการ พระราชทานพระบรมวงศ์ไปทรงบูชาพระพุทธปฏิมากรจ�ำลอง
พระองค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๔ พระองค์ ที่หอพระราชกรมานุสร
เปน็ เทยี น ๔ เลม่ และทรงบชู าพระพทุ ธปฏมิ ากรจำ� ลองพระองคใ์ นพระเจา้ แผน่ ดนิ
กรงุ ศรอี ยธุ ยาและกรงุ ธนบรุ ี ทห่ี อพระราชพงศานสุ ร เปน็ เทยี น ๓๔ เลม่ จากนนั้
พระมหาราชครูพิธีอ่านโองการแช่งน�้ำและเชิญพระแสง ๓ องค์ท่ีพระบาท
สมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอย่หู ัวโปรดเกล้าฯ ใหส้ รา้ งขึน้ คือ พระแสงพรหมาสตร์
ประลยั วาตและอคั นวิ าตมาแทงนำ�้ ในพระขนั หยกจบแลว้ อาลกั ษณอ์ า่ นคำ� สาบาน
แชง่ น้ำ� เจ้ากรมพราหมณ์พฤฒิบาศรบั พระแสงรวม ๑๕ องค์ จากเจ้าพนักงาน
กรมแสง มีผ้าขาวรองมือ เชิญพระแสงออกจากฝักแทงน้�ำในหม้อเงินและขัน
สาครทกุ หมอ้ ทกุ ขนั ในเวลาเดยี วกนั พระสงฆส์ วดคาถา สจจฺ ํ เว อมตา วาจา ฯลฯ
หลังจากอาลักษณ์อ่านค�ำประกาศจบ ข้าราชการท่ีเฝ้าฯ อยู่หน้าพระอุโบสถ
ข้ึนไปอ่านค�ำสาบานอย่างย่อ แล้วพระมหาราชครูพิธีแบ่งน�้ำที่แทงพระแสงศร
ลงในถ้วยพระโมราเครื่องต้น เจือกับน�้ำพระราชพิธีพราหมณ์ซึ่งอบมีกล่ินหอม
ทลู เกลา้ ฯ ถวายพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงดมื่ เจา้ กรมพราหมณพ์ ฤฒบิ าศ
รับน�้ำในพระขันหยกไปเทเจือปนในหม้อเงินและขันสาคร แล้วแจกน�้ำแทง
พระแสงใหก้ รมพระราชวังบวรสถานมงคล (วงั หน้า) พระบรมวงศานุวงศ์ และ
ข้าราชการรับพระราชทานต่อไป เสร็จแล้วน�ำดอกไม้ธูปเทียนไปถวายบังคม
พระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๔ รัชกาล รวมทั้งพระอัฐิสมเด็จ
พระปฐมบรมมหาปัยกาธบิ ดีด้วยที่หอพระธาตมุ ณเฑยี ร

256

ในช่วงต้นรัชกาล ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๑๑-๒๔๑๕ เป็นช่วงระยะเวลาที่
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหา
ศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นผู้ส�ำเร็จราชการแผ่นดินแทนพระองค์อยู่นั้น
ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ว่าพระองค์มิได้เสวยน้�ำพระพิพัฒน์สัตยา ต่อมาเมื่อ
บรมราชาภเิ ษกครงั้ ท่ี ๒ ใน พ.ศ. ๒๔๑๖ จงึ โปรดเกลา้ ฯ ใหด้ ำ� เนนิ ตามแบบอยา่ ง
ในสมเดจ็ พระบรมชนกนาถ ดงั ความวา่
...แตใ่ นแผน่ ดนิ ปจั จบุ นั น้ี เมอ่ื แรก ๆ ทา่ นผบู้ ญั ชาการในพระราชพธิ ี
ทง้ั ปวง [สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ มหามาลา กรมขนุ บำ� ราบปรปกั ษ์
ต้นราชสกลุ มาลากลุ สดุ ท้าย คอื สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟา้ มหามาลา กรมพระยา
บ�ำราบปรปักษ์] ก็ได้ยกเลิกน้�ำท่ีถวายพระเจ้าแผ่นดินเสวยเสีย จะเป็น
ด้วยตัดสินกันประการใด หรือเกรงใจว่าไม่ได้รับส่ังเรียกก็ไม่ทราบเลย
ภายหลังมา เห็นว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงเป็น
อยา่ งไว้แล้ว เมือ่ ยกเลกิ เสียโดยมิได้ปรากฏเหตกุ ารณอ์ ย่างไร กด็ ูเหมือน
หนงึ่ ไมต่ ง้ั ใจทจี่ ะรกั ษาความสจุ รติ กระดากกระเดอ่ื งอยา่ งไรอยู่ จงึ ไดส้ ง่ั ให้
มีข้ึนตามแบบเดิมต้งั แตป่ บี รมราชาภเิ ษกครงั้ หลังมา [พ.ศ. ๒๔๑๖]…
สว่ นการถอื นำ�้ ของพระบรมวงศานวุ งศฝ์ า่ ยใน ทา้ วนางขา้ ราชบรพิ ารและ
บรรดาภรรยาหลวงของข้าราชการท่ีมีศักดินา ๔๐๐ ข้ึนไปนั้น แต่เดิมต้องไป
ร่วมพิธีถือน้�ำท่ีพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามท้ังส้ิน ต่อมาในรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ยกเว้นท้าวนางท่ีเป็น
เจา้ จอมมารดาทงั้ ฝา่ ยในตา่ งวงั ธดิ าเสนาบดี และภรรยามา่ ยของขา้ ราชการทยี่ งั
ไดร้ บั พระราชทานเบยี้ หวดั อยู่ เขา้ ไปถอื นำ�้ ขา้ งในพระราชมณเฑยี ร เมอ่ื พระบาท
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ไปประทับท่ีพระที่น่ังไพศาลทักษิณ บรรดาพระ
บรมวงศานวุ งศข์ า้ ราชการฝา่ ยใน และภรรยาขา้ ราชการเฝา้ ฯ เจา้ พนกั งานฝา่ ยในผู้
มเี ชอื้ สายตระกลู พราหมณอ์ า่ นคำ� สาบาน แลว้ รบั พระราชทานนำ�้ พระพพิ ฒั นส์ ตั ยา
หน้าพระทน่ี งั่ จากนน้ั เสดจ็ ฯ ไปถวายบังคมพระบรมอฐั ทิ ี่หอพระธาตมุ ณเฑียร

257

กำ� หนดการแตง่ กายไปรว่ มในพระราชพธิ ถี อื นำ�้ พระพพิ ฒั นส์ ตั ยา หากไป
ถือน�้ำท่ีวัดพระศรีรัตนศาสดารามต้องนุ่งขาวห่มขาวทุกพระองค์และทุกคน
แต่เมื่อไปถวายบังคมพระบรมอัฐิแต่งเคร่ืองสีตามธรรมเนียม พระบาทสมเด็จ
พระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยู่หวั ทรงพระราชนพิ นธ์เร่ืองน้ีไวว้ ่า
...ข้าราชการนั้นนุ่งสองปักท้องขาวเชิงกรวยสวมเสื้อผ้าขาวคาด
เส้ือครุยเสมอมาจนปัจจุบันน้ี แต่เปล่ียนรูปเส้ือไปตามกาลเวลา...ท้าว
นางขา้ งในนงุ่ ผา้ มว่ งพืน้ ขาวจีบ ห่มแพรช้ันใน ห่มผ้าปักทองแลง่ ช้ันนอก
มหี บี ทองหบี ถมเครอื่ งยศพรอ้ มทงั้ กานำ้� และกระโถนออกไปตง้ั ตรงหนา้ ท่ี
น่ังในพระอุโบสถด้วย ภรรยาท่านเสนาบดีบางคนที่ได้รับพระราชทาน
เครื่องยศหบี ทองเลก็ กา กระโถนและผ้าปักทองแลง่ กแ็ ตง่ ตามยศท่ีได้
พระราชทาน ตั้งเรียงต่อท้าวนางไป ภรรยาข้าราชการที่ถือน้�ำน้ีแต่ก่อน
เลา่ กันว่า เป็นการประกวดประขันกันยิ่งนัก ตัวผทู้ ี่เปน็ ภรรยาถอื นำ�้ ต้อง
นุ่งขาวห่มขาว แต่แต่งภรรยาน้อยท่ีมาตามห่มสีสัน ถือเครื่องใช้สอย
ตา่ ง ๆ กระบวนละมาก ๆ
การจัดพระราชพิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยานี้ ถือเป็นแบบอย่างเดียวกัน
ท้ังพระราชอาณาจักร การถือน้�ำในหัวเมืองก็ก�ำหนดวันพร้อมกันกับการ
พระราชพิธีท่ีกรุงเทพฯ เมืองใดที่ได้รับพระราชทานพระแสงราชศัสตราประจ�ำ
เมอื ง กใ็ ชพ้ ระแสงราชศสั ตรานนั้ แทงนำ้� พระพพิ ฒั นส์ ตั ยา เมอื งอนื่ ๆ กใ็ ชก้ ระบย่ี ศ
ทพ่ี ระราชทานเจา้ เมอื งเปน็ อาวุธแทงนำ้� จดั พธิ ีทพ่ี ระอารามหลวงหรอื วดั ส�ำคญั
กลางเมอื งเชน่ วดั มหาธาตุเมอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดเกลา้ ฯ
ให้สร้างพระราชวังในหัวเมือง คือ พระราชวังจันทรเกษมที่พระนครศรีอยุธยา
และพระนครคีรีที่เพชรบุรี กโ็ ปรดเกล้าฯ ให้จดั พิธถี ือนำ้� ในพระราชวังนนั้
การถอื น�้ำทีจ่ ดั ข้นึ ใหมใ่ นรชั กาลที่ ๕ และ ๖ ไดแ้ ก่ ๑. การถอื น�้ำเม่ือแรก
แตง่ ตั้งทป่ี รึกษาราชการฯ ๒. การถอื น้�ำประจ�ำเดือนของทหาร ๓. การถือน้�ำ
พิเศษของเสือป่า และ ๔. การถือน�้ำของผู้ที่ขอแปลงสัญชาติ มีรายละเอียด
ดังนี้

258
๑. การถอื น�้ำเม่อื แรกแตง่ ตั้งทีป่ รึกษาราชการฯ
เมอื่ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดเกลา้ ฯ ใหป้ ระกอบ
พระราชพธิ บี รมราชาภเิ ษกครงั้ ที่ ๒ ใน พ.ศ. ๒๔๑๖ แลว้ ในปตี อ่ มาโปรดเกลา้ ฯ
ใหต้ ง้ั สภาทปี่ รกึ ษาราชการในพระองคแ์ ละสภาทป่ี รกึ ษาราชการแผน่ ดนิ สำ� หรบั
ทรงปรึกษาราชการเพ่ือประโยชน์ของประเทศชาติและให้ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข
แม้วา่ จะเป็นเสมือนการ “...ลดหยอ่ นพระราชอศิ ริยยศลง มิได้ถอื พระองค์ยอม
ให้ท่านทั้งหลายทูลทัดทานขัดขวางในการซึ่งทรงพระราชด�ำริซึ่งยังไม่ต้องด้วย
ยตุ ธิ รรม แลใหก้ ราบทลู การซ่งึ ตัวไดค้ ดิ เหนว่าเปนคุณ ตามความคดิ ฃองตนเพื่อ
จะให้เปนคุณเปนประโยชน์แก่ราษฎรไปภายน่า...” ท้ังน้ีผู้ท่ีได้รับโปรดเกล้าฯ
แตง่ ตงั้ ใหเ้ ปน็ ทป่ี รกึ ษาสภาทงั้ ๒ สภาดงั กลา่ วแลว้ จะตอ้ งถอื นำ�้ ถวายสตั ยานสุ ตั ย์
สาบานตัวก่อนเข้ารบั ตำ� แหน่งรวม ๗ ขอ้ “...ด้วยความเตมใจ จะไม่เปนสักแต่
ว่าออกวจีเภท” คือ
๑. จะรว่ มประชมุ ทกุ ครง้ั และจะกราบทลู เรอ่ื งราวตา่ ง ๆ เตม็ สตปิ ญั ญา
๒. จะคำ� นงึ ถงึ พระเกยี รตยิ ศและประโยชนข์ องแผน่ ดนิ รวมทงั้ ความสขุ
ของประชาชนเปน็ ส�ำคญั ไม่เกรงกลวั อ�ำนาจผ้ใู ด และไม่เหน็ แกญ่ าติพ่ีนอ้ ง
๓. รกั ษาความลบั ของทีป่ ระชมุ
๔. ไมท่ ำ� ผดิ กลบั เอาเทจ็ เปน็ จรงิ เพราะเหน็ แกส่ นิ บนและผลประโยชน์
สว่ นตัว
๕. จะเอาใจใส่ช่วยสนับสนุนการท่ีตกลงกันในท่ีประชุมให้ด�ำเนิน
ไปดว้ ยดี
๖. จะตอบโตผ้ ขู้ ดั ขวางมตทิ ปี่ ระชมุ อยา่ งเตม็ สตกิ ำ� ลงั และจะตอ่ สกู้ บั
ผทู้ ค่ี ดิ ประทุษรา้ ยต่อพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู วั ด้วยชวี ิต
๗. จะตั้งใจรักษาประพฤติตนให้สมควรแก่ต�ำแหน่งหน้าที่ ซื่อสัตย์
กตัญญู สวามภิ ักด์ิต่อพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัว
หากมไิ ดท้ �ำตามคำ� สาบานนี้ แม้เพยี งขอ้ หน่ึงขอ้ ใดแลว้

259

...ฃออ�ำนาจสิ่งซ่ึงเปนใหญ่เปนประธานในสกลโลกย์ แลอ�ำนาจเทพยดา
ซึ่งรักษายุติธรรมแลโทษแห่งวจีทุจริตจงบันดานโทษทุกขไภย ให้ถึง
ขา้ พระพทุ ธเจา้ จนถงึ ชวี ติ ตนั ตรายดว้ ยความลำ� บาก ใหเ้ หนประจกั ษแกต่ า
โลกยในชาติน้ี อน่ึงทางใดซึ่งเปนช่องจะให้ได้ถึงความสุข ความเจริญใน
ภพน้แี ละภพนา่ ทางนน้ั ฃออยา่ ให้ข้าพระพทุ ธเจ้าได้ประสบภพเลย
นอกจากน้ี ยังมีการถือน้�ำของท่ีปรึกษาราชการท่ีส�ำคัญอีกอย่างหน่ึง
ไดแ้ ก่ การถอื นำ้� ของผสู้ ำ� เรจ็ ราชการแผน่ ดนิ ตา่ งพระองคแ์ ละคณะทปี่ รกึ ษาของ
ผสู้ �ำเร็จราชการแผ่นดนิ ตามความใน “พระราชกำ� หนดผูส้ ำ� เรจ็ ราชการแผ่นดิน
รัตนโกสินทรศก ๑๑๕” ก่อนท่ีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะ
เสด็จประพาสยุโรปครัง้ แรกใน พ.ศ. ๒๔๔๐ ในวนั ท่ี ๒๑ มนี าคม พ.ศ. ๒๔๓๙
ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการประชุมสโมสรสันนิบาต และประกอบ
พระราชพิธถี ือนำ�้ พระพพิ ัฒน์สัตยา ณ พระทนี่ ง่ั ไพศาลทักษิณ เพอ่ื “...สมเดจ็
พระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ ซ่ึงส�ำเร็จราชการแผ่นดินต่างพระองค์ทรง
กระท�ำสัจจาธิษฐาน กับท้ังผู้เป็นท่ีปรึกษาต้องกระท�ำสัตย์สาบานในการท่ีรับ
ต�ำแหนง่ น้ัน ๆ ดว้ ย”
เมือ่ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผอ่ งศรี พระบรมราชนิ นี าถ ถวายปฏิญาณ
และเสวยนำ�้ พระพพิ ฒั นส์ ตั ยาแลว้ คณะทป่ี รกึ ษาฯ ถวายสตั ยานสุ ตั ยส์ าบานและ
รบั พระราชทานนำ�้ พระพพิ ัฒนส์ ตั ยาตามลำ� ดบั คอื
สมเดจ็ พระเจา้ นอ้ งยาเธอ เจา้ ฟา้ จาตรุ นตร์ ศั มี กรมพระจกั รพรรดพิ งศ์
สมเดจ็ พระเจา้ นอ้ งยาเธอเจา้ ฟา้ ภาณรุ งั ษสี วา่ งวงศ์กรมพระภาณพุ นั ธวุ งศ์
วรเดช
พระเจา้ นอ้ งยาเธอ กรมหลวงเทวะวงศว์ โรปการ
พระเจา้ นอ้ งยาเธอ กรมหมน่ื ด�ำรงราชานภุ าพ และ
เจา้ พระยาอภยั ราชาสยามานกุ ลู กจิ (Gustave Rolin-Jaequemyns -
กสุ ตาฟ โรแลง เชเกอแมงส)์

260

๒. การถอื น�ำ้ ประจ�ำเดอื นของทหาร
ในช่วงการพัฒนากองทหารแบบใหม่เมื่อต้นรัชกาล พระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งข้าหลวงเดิม คือ
พระอนิ ทรเทพ (อำ่� อมั รานนท์ สดุ ทา้ ยเปน็ พระยาพไิ ชยสงคราม) ดำ� รงตำ� แหนง่
“กอลอแนนต์อนิ ชีพ ผวู้ ่าการทห่ี น่งึ ” ในกรมทหารรักษาพระองค์รวม ๑๕ กรม
ไดแ้ ก่ กรมรกั ษาพระองคป์ นื ทองปรายซา้ ย-ขวา กรมรกั ษาพระองคป์ นื ปลายหอก
ซ้าย-ขวา กรมรักษาพระองค์ในข้าหลวงเดิมซ้าย-ขวา กรมทหารหน้าอย่าง
ยุโรปซ้าย-ขวา กรมลอ้ มพระบรมมหาราชวัง กรมรามัญ กรมเกณฑห์ ดั ซา้ ย-ขวา
กรมมหาดไทยซ้าย-ขวา และกรมช้าง ซึ่งทหารในกรมเหล่าน้ีล้วนท�ำหน้าที่
ถืออาวุธแห่น�ำและตามเสด็จพระราชด�ำเนิน จุกช่องล้อมวง ถวายอารักขาแด่
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู ัว ใน พ.ศ. ๒๔๑๗ พระอนิ ทรเทพ ผูว้ า่ การท่ีหน่ึง
เห็นสมควรให้ “...ออฟฟิเซอร์แลทหารน้ันถือน้�ำพระพิพัฒน์สัตยาธิฐานเสมอ
ทุกเดือนจ่ึงจะชอบ...” จึงก�ำหนดการให้ทหารถือน้�ำในวันขึ้น ๓ ค�่ำของทุก
เดือน โดยเดินแถว ๔ กระบวนจากสนามฝึกหัดไปยังพระอุโบสถวัดพระศรี
รตั นศาสดาราม แล้ว
...ออฟฟิเซอรจ์ ่ึงได้บอกวิเซนต์ [นา่ จะตรงกบั วนั ทยาวุธ] อยา่ งยโุ รป
ท�ำค�ำนับพระพุทธปฏิมากร พระสงฆ์ ๕ รูปเจริญพระพุทธมนต์ ชีพ่อ
พราหมณ์แลเจ้าพนักงานก็กระท�ำบวงสรวง แลอ่านค�ำประกาศ แล้ว
ออฟฟิเซอร์จ่ึงรับเอาค�ำสาบาลต่อกรมพระอาลักษณ์อ่านให้ทหารท้ัง ๔
กระบวนฟัง คร้ันอา่ นค�ำสาบาลเสรจแลว้ ทหารท้งั ปวงกค็ ำ� นบั รบั เอาน�ำ้
พระพิพัฒนส์ ตั ยาธฐิ านถอื [ดม่ื ] ทงั้ ๔ กระบวน ออฟฟิเซอร์จึ่งไดบ้ อกค�ำ
วิเซนอย่างยุโรป น้อมค�ำนับลาพระพุทธปฏิมากรอีกครั้งหนึ่ง แล้วน�ำ
กระบวนกลับมาพร้อมกันยังที่สนามฝึกหัดท้ัง ๔ กระบวน ออฟฟิเซอร์
บอกวิเซนค�ำนับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วแยกกอมปนีกลับไป
ยงั ที่ทหารอยูน่ ้ัน

261

ยกเวน้ เฉพาะเดือน ๕ และเดอื น ๑๐ ทหารจงึ รว่ มถือน้ำ� ในพระราชพิธถี ือน้ำ� ฯ
ประจำ� ปี แตก่ ารถอื นำ้� ประจำ� เดอื นของทหารนี้ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้
เจา้ อยหู่ วั ทรงพระราชนพิ นธไ์ วว้ า่ ยกเลกิ ไปเมอ่ื พ.ศ.๒๔๓๑หากแตว่ า่ “...เปลย่ี นไป
เป็นธรรมเนียมตัวทหารท่ีเข้ารับราชการใหม่และนายทหารซ่ึงจะได้รับต�ำแหน่ง
ใหม่ ต้องถอื น�้ำทกุ ครง้ั ท่ีไดเ้ ปลีย่ นตำ� แหน่ง...” โดยถอื นำ้� ท่ีออฟฟิศกรมยทุ ธนา
ธกิ าร (ปจั จบุ ันคือกระทรวงกลาโหม)
๓. การถอื นำ้� พิเศษของเสือป่า
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จข้ึนครองราชสมบัติใน
พ.ศ. ๒๔๕๓ ในปีตอ่ มา พระองคท์ รงสถาปนากองเสอื ปา่ เมอ่ื วนั ท่ี ๑ พฤษภาคม
พ.ศ. ๒๔๕๔ โดยมีพระราชประสงค์เพ่ือให้โอกาสแก่พลเรือนที่เป็นข้าราชการ
พอ่ คา้ ประชาชน ได้รบั การฝึกหดั อบรมแบบทหาร ทำ� ใหม้ วี นิ ยั เคารพกฎหมาย
ของบ้านเมือง รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ รวมท้ังเสริมสร้างความ
สามัคคีในหมู่พลเรือน เม่ือมีผู้สมัครเป็นสมาชิกของกองเสือป่ามีจ�ำนวนถึงพอ
จะต้งั ไดเ้ ปน็ หนง่ึ กองรอ้ ยแลว้ จึงโปรดเกล้าฯ ใหจ้ ัดพธิ ีถอื น้ำ� พระพิพฒั นส์ ัตยา
ของเสือป่าเป็นครั้งแรก ในวันท่ี ๖ พฤษภาคม ปีเดียวกันท่ีพระอุโบสถวัด
พระศรีรัตนศาสดาราม และได้จดั ต่อมาอกี หลายครั้งในปีน้นั หากอยู่ในช่วงการ
ซอ้ มรบเสือปา่ กจ็ ดั พธิ ีที่พระราชวงั สนามจันทร์ จังหวดั นครปฐม
พระราชพิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาของเสือป่ามีรายละเอียดส�ำคัญ
ท่ีแตกต่างกับพระราชพิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาประจ�ำปี คือ พระบาทสมเด็จ
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวในฐานะ “นายกเสือป่า” ทรงอธิษฐานแทงน�้ำแทน
พราหมณ์พระมหาราชครูพิธี และอาวุธที่ใช้แทงน�้ำที่ส�ำคัญคือพระแสงศร
กำ� ลงั ราม ซง่ึ เปน็ ศรสมั ฤทธโ์ิ บราณทไ่ี ดร้ บั ทลู เกลา้ ฯ ถวายจากเทศาภบิ าลมณฑล
นครสวรรค์ (พระยารณไชยชาญยทุ ธ – ศขุ โชติกเสถยี ร) เมือ่ ตน้ รัชกาล ปลาย
พ.ศ. ๒๔๕๓ และพระองค์มพี ระบรมราชวนิ ิจฉยั ไว้ว่า

262

...ศรนี้น่าจะได้สร้างข้ึนไว้ใช้ในการพิธีอย่างใดอย่างหนึ่งตามลัทธิ
พราหมณ์ ถ้าแม้จะให้เดา ก็ว่าจะให้ชุบน้�ำท�ำน�้ำมนต์ ฤๅแช่งน้�ำสาบาล
อย่างเชน่ ท�ำนำ�้ พระพพิ ฒั นส์ ตั ยาเปนต้น เมือ่ มีความเหน็ เช่นนี้ จึ่งเหน็ ว่า
เปนสงิ่ สูงสมควรที่จะใช้เขา้ พธิ ตี ่อไป...
หลังจากทรงอธิษฐานพระแสงศรก�ำลังราม ๓ คร้ัง ทรงแทงน�้ำในพระขันหยก
แลว้ จงึ ทรงพระแสงตา่ ง ๆ แทงนำ้� ในหมอ้ นำ้� ทกุ หมอ้ ทรงเจอื นำ้� จากพระขนั หยก
ลงในหม้อน�้ำทุกหม้อ ใหส้ มาชกิ เสือปา่ รบั พระราชทานทัว่ กัน
๔. การถอื น�ำ้ ของผทู้ ่ีขอแปลงสญั ชาติ
ตามความใน “พระราชบัญญัติแปลงชาติ” ลงวันที่ ๑๘ พฤษภาคม
ร.ศ. ๑๓๐ (พ.ศ. ๒๔๕๔) ซึง่ กำ� หนดว่า เมอื่ ผูใ้ ดรอ้ งขอแปลงสญั ชาติเปน็ คนใน
บงั คบั สยาม และไดร้ บั พระราชทานพระบรมราชานญุ าตแลว้ ผนู้ นั้ จะตอ้ งเขา้ พธิ ี
ซงึ่ เรียกเฉพาะว่า “พิธถี ือนำ�้ พระพพิ ัฒน์สตั ยานสุ ตั ย์” ตามวันเวลาและสถานท่ี
ทเี่ สนาบดกี ระทรวงการตา่ งประเทศแจง้ ใหท้ ราบ แลว้ จงึ ลงประกาศในราชกจิ จา-
นุเบกษาใหท้ ราบท่ัวกนั การถอื นำ้� ของผูข้ อแปลงสัญชาตใิ นกรงุ เทพฯ จะตอ้ งมี
ผู้นั่งก�ำกับ ๒ คน จะเป็นเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศหรือปลัดทูลฉลอง
หรือท่ีปรึกษาทั่วไปก็ได้ ส่วนในหัวเมืองก�ำหนดให้ข้าหลวงเทศาภิบาลกับ
ปลดั มณฑลเทศาภบิ าลเปน็ ผนู้ ง่ั กำ� กบั การถอื นำ้� ทงั้ นหี้ ากผรู้ อ้ งขอแปลงสญั ชาติ
ยังไม่สันทัดภาษาไทย จะให้สัตยาธิฐานเป็นภาษาต่างประเทศที่ผู้นั่งก�ำกับ
การถอื น�้ำเขา้ ใจดกี ไ็ ด้
ส่วนพระราชพิธีถือน้�ำพระพิพัฒน์สัตยาประจ�ำปีละ ๒ ครั้งนั้น เม่ือ
พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดเกลา้ ฯ ใหอ้ อก “ประกาศวธิ นี บั วนั
เดอื นป”ี ในปลาย พ.ศ. ๒๔๕๕ กำ� หนดใหใ้ ชพ้ ระพทุ ธศกั ราชในราชการทงั้ ปวงแทน
การใชร้ ตั นโกสนิ ทรศก ตอ่ มาพระองคม์ พี ระราชดำ� รวิ า่ พระราชพธิ สี มั พจั ฉรฉนิ ท์
ซงึ่ เปน็ การบำ� เพญ็ พระราชกศุ ลสน้ิ ปที ท่ี ำ� กลางเดอื นมนี าคมกบั พระราชพธิ เี ผดจ็
ศกสงกรานตซ์ งึ่ เปน็ การบำ� เพญ็ พระราชกศุ ลขน้ึ ปใี หมท่ ท่ี ำ� กลางเดอื นเมษายนนนั้

263
สมควรจะทำ� ตอ่ เนอ่ื งรวมเปน็ พธิ เี ดยี วกนั ได้ จงึ โปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ ลอ่ื นวนั ประกอบ
พระราชพิธีท้ังส้ินปีเก่าและข้ึนปีใหม่ให้ต่อเนื่องกัน เรียกช่ือว่า “พระราชพิธี
ตะรษุ ะสงกรานต”์ รวมทง้ั โปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ ปลย่ี นกำ� หนดการประกอบพระราชพธิ ี
ถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาเป็นปีละครั้งในวันท่ี ๓ เมษายน ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๕๗
เปน็ ตน้ มา ใหย้ กเลิกการพระราชพธิ ถี ือนำ้� กลางปใี นเดือน ๑๐ และพระราชพิธี
สารทเดอื น ๑๐ อกี ด้วย
หลังเปล่ียนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
เปน็ การปกครองโดยมพี ระมหากษตั รยิ ป์ กครองภายใตก้ ฎหมายรฐั ธรรมนญู แลว้
พระราชพิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาก็ยกเลิกไปตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๖ เป็นต้นมา
จนกระท่ังรชั สมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพติ ร ใน
พ.ศ. ๒๕๐๓ พระองคท์ รงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กำ� หนดหลักเกณฑใ์ นการ
พระราชทานเครอื่ งราชอิสรยิ าภรณ์อนั มศี กั ดริ์ ามาธิบดี ซ่ึงตราข้ึนตงั้ แต่รัชสมยั
พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั วา่ ใหเ้ ปน็ พระราชอำ� นาจทจี่ ะพระราชทาน
เคร่ืองราชอิสริยาภรณ์น้ีแก่ผู้กระท�ำความดีความชอบเป็นพิเศษ หรือผู้ที่ท�ำ
ประโยชน์อย่างยิ่งต่อราชการทหารท้ังในยามสงครามและยามสงบ และอาจ
พระราชทานแก่มีผู้มีเกียรติชาวต่างประเทศโดยไม่จ�ำเป็นต้องเป็นผู้ที่มีความดี
ความชอบต่อราชการทหารก็ได้ หลังจากโปรดเกล้าฯ พระราชทานเคร่ือง
ราชอสิ รยิ าภรณอ์ ันมศี ักดริ์ ามาธิบดีแลว้ ๓ คร้งั ใน พ.ศ. ๒๕๐๕, ๒๕๐๘ และ
๒๕๑๑ ในการพระราชทานครงั้ ที่ ๔เมอื่ พ.ศ.๒๕๑๒ไดท้ รงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ
ใหฟ้ น้ื ฟูพระราชพธิ ถี ือน�้ำพระพิพัฒน์สตั ยา จัดรวมกบั พระราชพธิ ีพระราชทาน
เครอื่ งราชอสิ รยิ าภรณอ์ นั มศี กั ดร์ิ ามาธบิ ดี กำ� หนดการจดั งานพระราชพธิ รี วม ๒วนั
ในวนั ที่ ๒๔-๒๕ มนี าคม พ.ศ. ๒๕๑๒ และมขี อ้ กำ� หนดเฉพาะผเู้ ปน็ สมาชกิ เครอื่ ง
ราชอิสริยาภรณอ์ นั มีศกั ดริ์ ามาธิบดีเทา่ น้ันทตี่ อ้ งถอื น้�ำพระพพิ ฒั นส์ ัตยา
นอกจากน้ัน ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร ยังมีการพระราชพิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาเป็นการจรเป็น
กรณีพิเศษอีกอย่างหนึ่ง คือ การถือน้�ำพระพิพัฒน์สัตยาเน่ืองใน “พระราชพิธี

264

เฉลมิ พระนามาภไิ ธยสมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช สยามมกฎุ ราชกมุ าร” เมอื่ วนั ที่
๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ในพระอโุ บสถวัดพระศรรี ตั นศาสดาราม ตามกระแส
พระราชดำ� รใิ นพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลท่ี ๙ ทว่ี ่า ในฐานะทีส่ มเดจ็
พระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงด�ำรง
ต�ำแหนง่ รชั ทายาท ย่อมจะตอ้ งทรงมสี ว่ นรว่ มในการปฏบิ ัตพิ ระราชภารกิจเพ่ือ
ชาตแิ ละประชาชน จงึ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ มเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าชฯ
สยามมกฎุ ราชกมุ ารทรงถอื นำ้� พระพพิ ฒั นส์ ตั ยาวา่ จะทรงปฏบิ ตั ริ าชการแผน่ ดนิ
ดว้ ยความซือ่ สตั ยส์ จุ ริต เพ่ือประโยชน์แกป่ ระเทศชาติ ศาสนา และพสกนิกร
พระราชพธิ ถี อื นำ้� พระพพิ ฒั นส์ ตั ยาเปน็ พระราชพธิ สี ำ� คญั ของบา้ นเมอื ง
มาแต่โบราณ ซึ่งมีเหตุและผลในทางการเมืองการปกครองเป็นเร่ืองส�ำคัญ
มีอิทธิพลทางด้านจิตใจ ความรู้สึก อันเกี่ยวพันกับค�ำสอนทางพระพุทธศาสนา
ท่วี า่ “ท�ำดไี ด้ดี ทำ� ชว่ั ไดช้ ัว่ ” การฟ้ืนฟูพระราชพธิ นี ใี้ นรชั กาลท่ี ๙ นบั เปน็ การ
รักษาสบื ทอดโบราณราชประเพณสี �ำคญั อนั มีผลต่อความม่นั คงของชาติ
(นางสาวศริ นิ ันท ์ บุญศริ )ิ
หนังสืออา้ งอิง
“ข่าวทหารถือน้�ำประจ�ำเดือน.” ใน ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม ๑ แผ่นที่ ๑๖
(วันอาทติ ย์ เดอื น ๙ แรม ๓ ค�่ำ ปีจอฉศก ๑๒๓๖) : ๑๕๒.
จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. ชุมนุมพระบรมราชาธิบายใน
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หมวดวรรณคดีและหมวด
โบราณคดี และประชุมพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๔ ภาคปกิณกะ.
กรงุ เทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๔๑. พิมพ์เป็นอนสุ รณใ์ นงานพระราชทาน
เพลิงศพ นายสน่ัน สุมิตร ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์
วัดเทพศิรนิ ทราวาส วันเสาร์ที่ ๑๔ มนี าคม พทุ ธศักราช ๒๕๔๑.
จลุ จอมเกลา้ เจา้ อย่หู วั , พระบาทสมเด็จพระ. พระราชกรณั ยานสุ ร. กรุงเทพฯ :
กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศลิ ปากร, ๒๕๔๑.

265
จลุ จอมเกลา้ เจ้าอย่หู วั , พระบาทสมเด็จพระ. พระราชพธิ ีสิบสองเดือน เล่ม ๑.
พระนคร : องค์การค้าของครุ สุ ภา, ๒๕๐๖.
ทววี งศ์ถวลั ยศกั ด์ิ (ม.ร.ว.เฉลิมลาภ ทววี งศ์), พลตรี หม่อม. “พระราชพิธถี ือน�้ำ
พระพพิ ฒั น์สตั ยา.” ใน ประเพณีในราชส�ำนกั (บางเรื่อง). พระนคร :
โรงพมิ พพ์ ระจนั ทร,์ ๒๕๑๔. พมิ พฉ์ ลองพระคณุ ในงานพระราชทานเพลงิ ศพ
พลตรี หมอ่ มทววี งศถ์ วลั ยศกั ดิ์ (ม.ร.ว.เฉลิมลาภ ทวีวงศ์) ป.จ., ม.ป.ช.,
ม.ว.ม. ณ เมรหุ นา้ พลับพลาอิศริยาภรณ์ วดั เทพศริ ินทราวาส วันที่ ๒๓
กมุ ภาพันธ์ ๒๕๑๔.
ทิพากรวงศ์, เจ้าพระยา. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลท่ี ๔.
กรุงเทพฯ : องคก์ ารคา้ ของครุ ุสภา, ๒๕๒๑.
ประชมุ พระราชนพิ นธใ์ นรชั กาลที่ ๔ และนพิ นธข์ องพระอมราภริ กั ขิต (เกดิ ).
กรงุ เทพฯ : พทุ ธอปุ ถมั ภก์ ารพมิ พ,์ ๒๕๑๖. วดั บรมนวิ าสพมิ พเ์ ปน็ อนสุ รณ์
ในงานพระราชทานเพลิงศพพระธรรมดิลก (ทองด�ำ จนฺทูปโม ป.ธ. ๗)
ณ เมรุหน้าพลับพลาราชอิสริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันที่ ๒๔
มนี าคม ๒๕๑๖.
ประชมุ พระราชนพิ นธภ์ าษาบาลใี นรชั กาลที่ ๔ ภาค ๒. นครหลวงฯ : โรงพมิ พ์
มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๑๕. คณะธรรมยตุ พมิ พโ์ ดยเสดจ็ พระราชกศุ ล
ในงานพระเมรุพระศพสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
(จวน อุฏฺายี) ณ พระเมรุวัดเทพศิรินทราวาส วันท่ี ๑๗ มิถุนายน
พุทธศกั ราช ๒๕๑๕.
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมศัพท์วรรณคดีไทยสมัยอยุธยา ลิลิตโองการ
แช่งนำ้� . กรงุ เทพฯ : ราชบัณฑติ ยสถาน, ๒๕๔๐.
ศลิ ปากร, กรม. พระราชพธิ ใี นรชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ล
อดลุ ยเดชฯ สยามนิ ทราธริ าช บรมนาถบพติ ร. กรงุ เทพฯ : กรมศลิ ปากร,
๒๕๔๓. จดั พมิ พเ์ พอื่ เฉลมิ พระเกยี รตพิ ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั เนอ่ื งใน
พระราชพธิ ีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๕ ธนั วาคม ๒๕๔๒.

266

ศรีสหเทพ (เส็ง วริ ยิ ศริ )ิ , พระยา. จดหมายเหตุเสด็จประพาสยโุ รป ร.ศ. ๑๑๖.
กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๔๐. องค์การคา้ ของครุ ุสภาพมิ พเ์ ผยแพร่
ในโอกาสฉลองครบ ๑๐๐ ปี พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัว
พทุ ธศักราช ๒๕๔๐.

พระราชพิธีสงั เวยพระปา้ ย

ใน “ปฏทิ นิ หลวง” ทีพ่ ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั พระราชทานสำ� หรบั
ความสุขปีใหม่แก่บรรดาพสกนิกรผู้จงรักภักดี ซ่ึงไปลงนามถวายพระพรเป็น
ประจ�ำทกุ ปี มกี ำ� หนดงานพระราชพธิ งี านหนึ่งทที่ รงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้
จดั ขน้ึ ในเทศกาลตรษุ จนี ไดแ้ ก่ พระราชพธิ สี งั เวยพระปา้ ย เปน็ การถวายอาหาร
ทัง้ อาหารคาว และอาหารหวานบชู าเซ่นไหวบ้ รรพบรุ ุษตามธรรมเนยี มจีน
การประกอบพระราชพิธีสังเวยพระป้ายมีข้ึนเป็นคร้ังแรกในรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากท่ีการก่อสร้างพระที่น่ัง
เวหาศจำ� รญู พระราชวงั บางปะอนิ แลว้ เสรจ็ ใน พ.ศ. ๒๔๓๒ เปน็ พระทน่ี ง่ั ซงึ่ สรา้ ง
ตามแบบสถาปัตยกรรมจีนที่บรรดาขุนนางเช้ือสายจีนในกรมท่าซ้ายสร้างถวาย
มชี ือ่ เป็นภาษาจนี ว่า “เทยี น เหมง็ เตย้ ” (เทยี น หมายถึง ฟา้ คือ “เวหาศ”,
เหม็ง หมายถึง สว่าง คือ “จ�ำรูญ”, เต้ย หมายถึง พระที่น่ัง) มีการเฉลิม
พระราชมณเฑียรระหว่างวันที่ ๒๗-๓๑ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๓๒ พธิ ีฉลองท�ำตาม
แบบจีน เช่น โปรดเกลา้ ฯ ให้จดั เส้ือกยุ เฮง, เสอื้ ต้ัวตั๋งทง้ั แพรและป่านสตี ่าง ๆ
พระราชทานแก่พระเจ้าน้องยาเธอ และข้าราชการให้สวมถวายตัว ณ ท่ีเฝ้าฯ
มีการลงนามอย่างจีนด้วยการใช้พู่กันเขียนด้วยหมึกบนกระดาษสีแดง บรรดา
เจา้ นายและขนุ นางทลู เกลา้ ฯ ถวายดอกไมธ้ ปู เทยี น กมิ ฮวยองั้ ตวิ๋ (วมิ านเทวดาทำ�
ดว้ ยกระดาษ) เครอ่ื งโตะ๊ ลายคราม การจดั โตะ๊ เลย้ี งกเ็ ลยี้ งแบบโตะ๊ จนี โดยเฉพาะ
อยา่ งยงิ่ เมอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ ขน้ึ ประทบั พระทน่ี งั่
เวหาศจ�ำรูญ ตามพระฤกษ์เมื่อวันท่ี ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๓๒ น้ัน นอกจาก

267
พระองค์ทรงฉลองพระองค์ ฉลองพระมาลา และฉลองพระบาทอย่างจีนแล้ว
ยังโปรดเกล้าฯ ให้เจ้านายฉลองพระองค์แบบจีนและให้ขุนนางแต่งตัวอย่าง
ขนุ นางจีนเข้าเฝ้าฯ อกี ด้วย
ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๓๓ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึง
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพิธีแต้มป้ายพระนามพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และป้ายพระนามสมเด็จพระเทพศิรินทรา บรมราชินี
ในวันคล้ายวันเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เม่ือ
วันที่ ๒๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๓ เพ่ือจะได้อัญเชิญพระป้ายนี้ไปประดิษฐานไว้
ณ พระทีน่ งั่ เวหาศจำ� รญู พระราชวงั บางปะอิน ส�ำหรับทรงสกั การบูชาร�ำลกึ ถงึ
พระมหากรุณาธคิ ุณ
พระปา้ ยพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั สลกั พระนามเปน็ อกั ษร
จีน เป็นป้ายท�ำด้วยไม้จันทน์ กรอบไม้สลักเป็นรูปมังกร ส่วนพระป้ายสมเด็จ
พระเทพศริ นิ ทรา บรมราชนิ ี นน้ั กรอบไมส้ ลักเป็นรปู หงส์ พิธีแต้มปา้ ยพระนาม
เป็นการสมมุติว่าได้อัญเชิญดวงพระวิญญาณเข้าสถิตในพระป้ายแล้ว จากน้ัน
โปรดเกลา้ ฯ ให้อญั เชิญไปประดิษฐานไว้ ณ หอ้ งพระวมิ าน หรือหอ้ งพระป้ายท่ี
พระทนี่ งั่ เวหาศจำ� รญู เมอ่ื วนั ท่ี ๓๐ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๔๓๓ รวมทงั้ โปรดเกลา้ ฯ
ให้ประกอบพระราชพิธีสังเวยพระป้ายถวายในวันปีใหม่จีนต่อมาทุกปี ตาม
ธรรมเนียมจีนท่ีต้องมีป้ายช่ือบรรพบุรุษท่ีเรียกว่า “เกสิน” (แต้จิ๋วออกเสียงว่า
เกซิ้ง, จีนกลางออกเสยี งวา่ เจียเสรนิ เจยี = บา้ น เสรนิ = เทวดา) ตง้ั ไวเ้ คารพ
บชู าเปน็ การแสดงความกตัญญแู ก่บุพการี และเป็นสิรมิ งคลแก่ลูกหลาน
นอกเหนือจากพระป้ายดังกล่าวแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัวยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หล่อเทวรูปทรงเครื่องกษัตริยาธิราช
ลักษณะคล้ายกับพระสยามเทวาธิราช พระพักตร์คล้ายพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจา้ อยูห่ ัว พระหัตถข์ วาทรงพระแสงขรรค์ พระหัตถซ์ า้ ยจีบเสมอ
พระอุระ ประดิษฐานในซุ้มเรือนแก้วแบบเก๋งจีน ท�ำด้วยไม้จันทน์สลักลงรัก

268
ปิดทอง จารึกพระปรมาภิไธยเป็นอักษรจีนไว้ท่ีด้านหลังเรือนแก้ว อัญเชิญไป
ประดษิ ฐาน ณ พระที่นง่ั อัมพรสถาน พระราชวงั ดุสิต
การประกอบพระราชพิธีสงั เวยพระปา้ ยในรัชกาลที่ ๕ ส่วนใหญพ่ ระองค์
จะเสด็จฯ ไปทรงประกอบพระราชพิธีสังเวยท่ีพระที่น่ังเวหาศจ�ำรูญ ในวันไหว้
กอ่ นวนั ตรษุ จนี ๑ วนั โดยเจา้ พนกั งานในกรมทา่ ซา้ ยเปน็ ผจู้ ดั เตรยี มเครอ่ื งสงั เวย
ทูลเกล้าฯ ถวาย ส่วนท่ีพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิตจะจัดพิธีใน
วันตรุษจีน คือ วันขึ้น ๑ ค�่ำ เดือน ๑ ของจีน โดยสมเด็จพระศรีพัชรินทรา
บรมราชินีนาถ ทรงเป็นผู้จัดพิธีทูลเกล้าฯ ถวาย เคร่ืองสังเวยจะเป็นเครื่องคู่มี
หัวหมู เป็ด ไก่ ขนมเปย๊ี ะ ขนมเข่ง ซาลาเปา ผลไม้ กระดาษทอง กระดาษเงิน
กมิ ฮวยอ้งั ต๋วิ ประทัด ดอกไม้ ธูป เทยี นทอง เทยี นเงิน
รัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวใน พ.ศ. ๒๔๗๐ พระองค์
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระป้ายพระนามพระบาทสมเด็จพระ
จลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั และสมเดจ็ พระศรพี ชั รนิ ทรา บรมราชนิ นี าถ พระราชชนนี
พนั ปหี ลวง แลว้ อัญเชิญไปประดิษฐาน ณ หอ้ งพระวมิ าน พระทนี่ ่งั เวหาศจำ� รญู
พระราชวังบางปะอิน เมอื่ วันที่ ๒๘ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๗๐ ค่กู ับพระป้ายพระนาม
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจา้ อย่หู วั และสมเด็จพระเทพศริ ินทรา บรมราชนิ ี
รายละเอียดของพระราชพิธีสังเวยพระป้ายตามหมายก�ำหนดการ มี
ดงั นี้ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัวเสดจ็ พระราชด�ำเนินถงึ สถานที่ประกอบ
พระราชพธิ ี ทรงจดุ ธปู เทยี นเคร่ืองราชสกั การะ ทรงจุดธูปหางปักทีเ่ ครื่องสงั เวย
พนักงานประโคมฆ้องชัย สังข์ แตร ดุริยางค์ แล้วเสด็จพระราชด�ำเนินลงจาก
พระท่ีนั่งไปทรงเผากระดาษทองกระดาษเงิน (แต่เดิมทรงจุดประทัดด้วย)
แล้วเสด็จพระราชด�ำเนินกลับ เมื่อธูปที่ปักไว้ท่ีเครื่องสังเวยไหม้หมดดอกแล้ว
เจ้าหน้าท่ีจึงลาถอนเคร่ืองสังเวย และน�ำกิมฮวยอั้งติ๋วไปปักไว้ท่ีโต๊ะเคร่ืองบูชา
พร้อมท้งั ผกู ผ้าสีชมพู เป็นเสรจ็ พธิ ี
(นางสาวศิรนิ ันท์ บุญศิริ)

269

หนังสืออ้างอิง
จดหมายเหตพุ ระราชกจิ รายวนั ในพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
ปฉี ลเู อกศก พทุ ธศกั ราช ๒๔๓๒. พระนคร : สนทิ พนั ธก์ ารพมิ พ,์ ๒๕๑๔.
ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ พระราชทานพระบรมราชานญุ าตใหพ้ มิ พใ์ นการ
พระราชทานเพลงิ ศพ นางจงกลน ี โสภาคย์ จ.ช. ทเ่ี มรวุ ดั มกฏุ กษตั รยิ าราม
วันท่ี ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๔ เวลา ๑๗.๐๐ น.
จดหมายเหตพุ ระราชกจิ รายวนั ในพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
พทุ ธศกั ราช๒๔๓๓.พระนคร:โรงพมิ พต์ รรี ณสาร,๒๕๑๔.พระบาทสมเดจ็
พระเจา้ อยหู่ วั ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯพระราชทานพระบรมราชานญุ าต
ใหพ้ ิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพคุณหญงิ ลยั เทพาธิบดี (ลยั บนุ นาค)
ต.จ. ณ เมรวุ ดั ธาตทุ อง วนั อาทติ ยท์ ่ี ๑๔ พฤศจกิ ายน พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๘.
ศิลปากร, กรม. ศลิ ปวัฒนธรรมไทย เลม่ ท่ี ๓ ขนบธรรมเนยี มประเพณีและ
วฒั นธรรม กรงุ รตั นโกสนิ ทร.์ กรงุ เทพฯ : กองวรรณคดแี ละประวตั ศิ าสตร์
กรมศิลปากร, ๒๕๒๕. คณะกรรมการจัดงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์
๒๐๐ ปี จัดพิมพ์เป็นที่ระลึกเน่ืองในงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์
พทุ ธศักราช ๒๕๒๕.
ส�ำนักพระราชวัง. พระราชวังบางปะอิน. ม.ป.ท., : ๒๕๔๘. พิมพ์ในงาน
พระราชทานเพลงิ ศพ นายสงา่ กลอ่ มเปลย่ี น ณ ฌาปนสถาน วดั สระเกศ
ราชวรมหาวหิ าร เขตปอ้ มปราบศตั รูพ่าย กรงุ เทพมหานคร วนั อังคารที่
๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๙ เวลา ๑๗.๐๐ น.

พระวอประเวศวงั

วอหรือพระวอ เป็นเคร่ืองหามประเภทหน่ึงมีลักษณะคล้ายเสล่ียงแต่มี
หลงั คา เปน็ พระราชยานทสี่ รา้ งขนึ้ เพอื่ ประกอบพระเกยี รตยิ ศ แมจ้ ะไมป่ รากฏชอื่
วอหรอื พระวอในกฎมณเฑยี รบาลทตี่ ราขนึ้ ในรชั กาลสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ
แต่กส็ นั นษิ ฐานว่ามีการใชว้ อเป็นเครือ่ งแสดงเกยี รตยิ ศแล้ว

270

พระวอจัดเป็นเครื่องหามประเภทราบ ดังที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพทรงอธิบายเร่ืองยานคานหามต่าง ๆ ไว้ว่า ยาน
จำ� แนกได้ ๒ ประเภทคอื ยานประเภทนง่ั หอ้ ยขา เชน่ พระยานมุ าศ หรอื พระทน่ี ง่ั
ราเชนทรยาน อกี ประเภทหนงึ่ คอื ยานประเภทนง่ั ราบ ทงั้ นท้ี รงอธบิ ายเพม่ิ เตมิ วา่
ยานประเภทวอไดแ้ กร่ าชยานมจี �ำลอง เทวยี าน สีวกิ า วอ และยั่ว ซึ่งมีลักษณะ
ร่วมคือคนขีน่ งั่ ราบกับพ้ืน คานหามแบบมสี าแหรก มีหลงั คาและมา่ น และใช้ใน
เวลาปรกตทิ ัว่ ไป
ในสมัยรัตนโกสินทร์มีพระวอท่ีส�ำคัญ ๓ องค์คือ พระวอสีวิกากาญจน์
พระวอประเวศวงั และวอพระประเทียบ
พระวอประเวศวงั เปน็ พระวอทมี่ ปี ระวตั กิ ารสรา้ งในรชั กาลพระบาทสมเดจ็
พระน่ังเกล้าเจ้าอย่หู ัว รัชกาลท่ี ๓ มขี นาดกวา้ ง ๐.๘๖ เมตร ยาวรวมคาน ๓.๘๐
เมตร สูง ๑.๗๗ เมตร ตวั พระวอเป็นเตียงรูปฐานสิงห์ ประดบั กระจงั ปฏญิ าณ
ทขี่ อบพนกั ด้านหน้า ผกู มา่ นทีเ่ สาท้ัง ๔ และมหี ลงั คาทรงคฤห์ (ทรงจัว่ ) บดุ ้วย
ผ้าตาดทองเย็บลายทองแผ่ลวด ที่ขอบหลังคามีระบายโดยรอบ ๓ ช้ัน ข้ึนลง
ทางด้านขา้ ง
พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาลที่ ๕ ทรงพระราชนพิ นธ์
ถงึ ทม่ี าของพระวอองคน์ ไี้ วใ้ นหนงั สอื บรุ พภาคพระธรรมเทศนาเฉลมิ พระเกยี รติ
พระบาทสมเด็จพระนงั่ เกลา้ เจ้าอยู่หวั ความว่า
เมือ่ ทรงพระอุตสาหะเสด็จเขา้ มาเฝ้าทูลละอองพระบาท ในเวลาซงึ่ เสด็จ
พระราชดำ� เนนิ ออกประทับ ณ ห้องท้องพระโรงและพระบัญชรทุกเวลา
มไิ ดข้ าดทง้ั เชา้ คำ่� ทง้ั เสดจ็ เขา้ มาประจำ� วา่ ราชกจิ การตา่ ง ๆ ตามตำ� แหนง่
ของพระองคอ์ ยู่เนืองนจิ เช่นน้ัน เม่ือถึงวสั สานฤดู ถึงเปน็ เวลาฝนตกมาก
นอ้ ยเทา่ ใดกด็ ี พระองคก์ ม็ ไิ ดร้ ง้ั รออยจู่ นฝนหายใหเ้ คลอ่ื นคลาดจากเวลา
ราชการ จงึ เป็นการลำ� บากแก่พระองค์ ซงึ่ ทรงพระเสล่ียงมาในทโี่ ถง ตอ้ ง
ผลัดพระภูษาในเวลาเมื่อเสด็จมาประทับถึงท่ีในพระบรมมหาราชวัง จึง
ทรงพระราชด�ำริแปลงแคร่กันยา ซ่ึงเป็นของส�ำหรับข้าราชการใช้ใน

271

ขณะน้ัน ให้เป็นพระวอขนาดน้อยหุ้มด้วยผ้าข้ีผ้ึง ส�ำหรับทรงเสด็จเข้า
ในพระบรมมหาราชวังในฤดูฝน คร้ันเม่ือได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ
แลว้ จงึ พระราชทานนามพระวอนน้ั วา่ วอประเวศวงั และไดเ้ ปน็ แบบอยา่ ง
ส�ำหรับพระบรมวงศานุวงศ์ซึ่งเป็นกรม ทรงท�ำตามอย่างน้ันส�ำหรับทรง
เข้าเฝ้าทลู ละอองธลุ พี ระบาทสบื มา
ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทาน
พระวอประเวศวงั ให้ สมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอ เจา้ ฟา้ จฬุ าลงกรณ์ ทรงใชส้ บื ตอ่ มา
ปัจจุบันพระวอประเวศวัง จัดแสดงไว้ ณ พระต�ำหนักสวนฝร่ังกังไส
พระราชวังดสุ ติ
(รศ. ดร.ปรดี ี พศิ ภมู วิ ิถ)ี

หนงั สืออ้างอิง
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระ. บุรพภาคพระธรรมเทศนาเฉลิม
พระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ :
โรงพิมพ์เล่ียงเซียง, ๒๕๔๗.

พระแสงราชศสั ตราประจำ� เมือง

การพระราชพธิ ถี อื นำ�้ พระพพิ ฒั นส์ ตั ยาในหวั เมอื งจะกำ� หนดวนั พรอ้ มกบั
การจัดพระราชพิธีในกรุงเทพฯ และถือเป็นแบบอย่างเดียวกันท้ังพระ
ราชอาณาจกั ร หากเจา้ ประเทศราชทเี่ ขา้ มาพงึ่ พระบรมโพธสิ มภารอยใู่ นกรงุ เทพฯ
ขณะมีการพระราชพิธีถือน�้ำฯ ก็ก�ำหนดให้ร่วมในพระราชพิธีถือน้�ำฯ ในพระ
อโุ บสถวดั พระศรรี ตั นศาสดารามพรอ้ มกบั ขา้ ราชการทงั้ ปวง ยกเวน้ เจา้ เมอื งแขก
ประเทศราชทำ� พธิ ถี อื นำ้� ตามศาสนาทศ่ี าลาลกู ขนุ ใน ในพระบรมมหาราชวงั และ
ใหใ้ ชค้ ำ� สาบานตามศาสนาที่นับถือ ถา้ ข้าราชการในเมืองหลวงทไี่ ปราชการตาม
หัวเมอื ง เม่ือถงึ ก�ำหนดวันพระราชพธิ ีถอื น�้ำฯ ท่ีเมอื งใด กต็ ้องไปรว่ มพธิ ีถือน้ำ� ฯ
ในเมืองน้นั พร้อมดว้ ยเจ้าเมือง กรมการเมือง และข้าราชการทงั้ ปวง ทง้ั น้ี นา่ จะ
ยกเวน้ ตำ� แหนง่ ยกกระบตั รซงึ่ เปน็ ตำ� แหนง่ สงั กดั กรมวงั ทอ่ี อกไปอยปู่ ระจำ� ตาม

272

หวั เมอื ง เพือ่ ทำ� หน้าทส่ี อดสอ่ งอรรถคดีความท้ังหลาย ต้องเขา้ ร่วมพระราชพธิ ี
ถอื นำ�้ ฯ ในเมอื งหลวง ตามทปี่ รากฏความใน “พระราชกำ� หนดวธิ ปี กครองหวั เมอื ง
คร้ังแผ่นดินพระเจ้าท้ายสระ” ลงวันจันทร์ เดือน ๘ ขึ้น ๘ ค่�ำ จ.ศ. ๑๐๘๙
ปีมะแมนพศก ตรงกบั พ.ศ. ๒๒๗๐ ดงั นี้
อนง่ึ ถา้ เทศกาลการพระราชพธิ ตี รษุ สารทไซ้ ยกุ รบตั รเขา้ ไปถอื นำ�้
พระพิพัฒน์สัจจา โดยการพระราชพิธ.ี ..
ทง้ั นี้ ยงั มขี อ้ ความระบถุ งึ หนา้ ทขี่ องยกกระบตั ร ในเวลาทเี่ ขา้ ไปเมอื งหลวง
ทัง้ ไปราชการหรอื ไปร่วมในพธิ ถี อื นำ�้ ว่า
...ครัน้ ...ยุกรบตั รเขา้ ไปกจิ ราชการก็ดี มารบั พระราชทานนำ้� พระพพิ ฒั น์
สัจจาเมื่อใด จะให้มหาดไทยแลกรมวงั ถามดว้ ยกจิ ราชการ แลกิจสขุ ทุกข์
ราษฎรท้ังปวง แลคนแอบแฝงซมุ่ ซอ่ นจรจัดพลดั ให้ ๆ การจนสิน้ เชิง ถา้
แลมวิ า่ ตามจริงไซ้ จะใหเ้ ฆ่ยี นถามให้สิ้นเชิง ถ้าแลเขา้ มาแก้แตป่ ากเปล่า
แลใหก้ ารมไิ ด้ไซ้ จะใหม้ ีโทษถงึ ส้ินชีวติ ...
แต่อีก ๔ ปีต่อมา ใน พ.ศ. ๒๒๗๔ พระเจา้ ท้ายสระโปรดให้ตรา “กฎเรอื่ ง
ให้รับน�้ำพระพิพัฒนสจั จา” ออกเมือ่ วนั อังคาร เดือน ๔ แรม ๘ ค่ำ� ปกี ุนตรศี ก
จุลศักราช ๑๐๙๓ (พ.ศ. ๒๒๗๔) ก�ำหนดหน้าที่ของยกกระบัตรในพิธีถือน้�ำฯ
ในหวั เมอื ง วา่ ใหย้ กกระบตั รเปน็ ผแู้ จง้ ใหข้ นุ นางขา้ ราชการเขา้ รว่ มในการถอื นำ�้
หากผู้ใดไม่เข้าร่วมในพิธี ให้ยกกระบัตรคุมตัวส่งเข้าเมืองหลวงเพ่ือรับโทษ
ดังความละเอยี ดท่วี า่
กฎใหแ้ กเ่ จ้าพระยา และพระยา พระ หลวง เจา้ ราชนกิ ุล ขนุ หมื่น
พันทนายฝ่ายทหารพลเรอื น ผู้รกั ษาเมือง ผรู้ ง้ั กรมการเมอื งเอก โท ตรี
จตั วา ปกั ษใ์ ตฝ้ า่ ยเหนอื ทงั้ ปวงดว้ ยฯ ทรงฯ ตรสั เหนอื เกลา้ ฯ สงั่ วา่ เทศการ
พระราชพธิ ตี รสุ สารทครง้ั นี้ ในกรงุ ฯ นนั้ เจา้ พระยาและพระยา พระหลวง
เจา้ ราชนกิ ลุ ขนุ หม่นื พนั ทนายฝ่ายทหารพลเรอื น ขา้ ทลู ลอองฯ ทั้งปวง
ไปพรอ้ มกนั ณะ วดั พระศรสี รรเพชญ์ มธี ปู เทยี นขา้ วตอกดอกไมม้ าสกั การ

273

บชู ากราบถวายบงั คมรบั นำ�้ พระพพิ ฒั นสจั จา กรมวงั ไดห้ มายบอกตำ� รวจ
ตราเอาบาญชี และฝ่ายขา้ งผู้รักษาเมอื ง ผ้รู งั้ กรมการ หลวง ขุน หม่ืน
นายท่ี นายสว่ ยสาอากรปักษ์ใต้ฝ่ายเหนอื น้ัน คร้นั ถึงเทศกาลพระราชพิธี
ตรสุ สารท ใหม้ ธี ปู เทยี นเขา้ ตอกดอกไมเ้ ปนเครอื่ งสกั การบชู าไปพรอ้ มกนั
รับน�้ำพระพิพัฒนสัจจาณะวัดวาอารามใหญ่ ซึ่งเป็นต�ำแหน่งเคยรับ
พระราชทานน้�ำพระพิพัฒนสัจจาน้ัน เป็นพนักงานขุนยกระบัตรได้
บัตรหมายเอาบาญชีตามโบราณราชประเพณแี ตก่ อ่ นมา ถา้ ผู้ใดเจ็บปว่ ย
พน้ กำ� ลงั ทจ่ี ะหาบหามมามไิ ด้ และมผี ถู้ กู เกณฑไ์ ปราชการไกล กลบั มามทิ นั
ชนั สตู รสบื สมคมุ้ โทษ ใหต้ รวจตวั ตามบาญชแี ตเ่ ชา้ ในเทย่ี ง ถา้ พน้ เทยี่ งและ
ผู้ใดขาด มิได้มากราบถวายบังคมพระราชอุททิศรับน้�ำพระพิพัฒนสัจจา
จะเอาตัวผู้น้ันเปนโทษเท่าโทษขบถตามบทพระอัยการ ถ้าหัวเมืองให้
ยกระบตั รเอาตวั ถาม บอกสง่ ตวั และคำ� ถามเขา้ มายงั ลกู ขนุ ณะศาลา ถา้ ใน
กรงุ ฯใหก้ รมวงั เอาตวั ถามเอาเนอื้ ความกราบบงั คมทลู พระกรณุ าจะเอาตวั
เปนโทษโดยโทษานุโทษ และใหก้ ฎหมายบอกจงทว่ั
สมัยรัตนโกสินทร์ แม้ว่าในหลักการจะก�ำหนดให้จัดพิธีถือน�้ำในวันเดียว
กับกรุงเทพฯ แต่ในทางปฏิบัติก็มีการเปลี่ยนแปลงวันเวลาไปบ้าง ตามพระ
ราชนิพนธ์ในพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั ที่ว่า
...บรรดาหัวเมืองทั้งปวงต้องถือน�้ำพระพิพัฒน์สัจจาเหมือนอย่างใน
กรุงเทพฯ ก�ำหนดวันถือน�้ำนั้นตรงตามกรุงเทพฯ น้ีโดยมาก ท่ียักเย้ือง
ไปบา้ งนน้ั ดว้ ยเหตสุ องประการ คอื ทคี่ งถอื อยา่ งเกา่ ทา้ ยพธิ ตี รษุ กอ่ นพธิ ี
สารทนั้นอย่างหน่ึง เป็นเมืองใหญ่ที่มีเมืองขึ้นหลาย ๆ เมือง เจ้าเมือง
กรมการในเมอื งขน้ึ เหลา่ นนั้ ตอ้ งเขา้ มาถอื นำ้� ในเมอื งใหญท่ ง้ั สนิ้ บางเมอื ง
ทม่ี าลา่ ต้องรั้งรอกันไป ก�ำหนดวันกเ็ คล่ือนออกไป แลว้ ก็เลยตง้ั เป็นแบบ
เคลอ่ื นวันอยเู่ ช่นนั้น อาวุธซงึ่ ใชท้ �ำน�้ำนนั้ ใช้กระบี่พระราชทานส�ำหรับยศ
เจ้าเมอื ง วดั ทถี่ ือนำ�้ วัดใดวัดหน่ึงซึ่งเปน็ วัดสำ� คัญในเมอื งนนั้ ...

274

ส่วนก�ำหนดวันถือน�้ำในหัวเมืองท่ีเปล่ียนแปลงไปตามพระราชนิพนธ์นั้น
เมอ่ื ตน้ รชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั พระยามหาอำ� มาตยาธบิ ดี
(เส็ง วิริยศิริ) ปลัดทูลฉลองกระทรวงมหาดไทยได้ไต่ถามท้าวพระยาหัวเมือง
เชน่ เมืองหลวงพระบาง เมืองจำ� ปาศกั ดิ์ เมืองเชยี งใหม่ เมอื งน่าน เมอื งลำ� พูน
เมืองล�ำปาง ฯลฯ ได้ความกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า
เจา้ อยหู่ วั ใหท้ รงทราบฝา่ ละอองธลุ พี ระบาทเกย่ี วกบั การถอื นำ�้ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่
ในเมืองน่าน ว่า มพี ิธีถือน�ำ้ ปีละ ๒ ครงั้ ครง้ั แรกในเดือน ๕ หลังสงกรานต์แล้ว
๑๕ วนั ตงั้ การพธิ ีทีห่ นา้ พระวิหารวัดสถารส ในการพิธคี รัง้ น้ี
...พญาพฤฒาจารยเ์ อาค�ำสาบาลซึง่ พระราชทานขึ้นไปแตก่ รงุ เทพฯ จาน
ใสใ่ นใบตาน เขียนช่อื พญาน่าน พญาหอน่า พญาราชวงษ์ พญาบุรรี ัตน์
พญาราชบตุ ร ใสล่ งในคำ� สาบาล พญาพฤฒาจารยอ์ า่ นคำ� สาบาลเสรจ็ แลว้
เอาชุบลงในบาตรน้ัน เอากระบ่ี หอก ทวน ปืนคาบศิลา อาวุธซึ่ง
พระราชทานขนึ้ ไปจมุ่ ลงในบาตรนำ�้ แลว้ พญานา่ นพญาหอนา่ พญาราชวงษ์
พญาบุรีรัตน์ พญาราชบุตร แสนท้าวพญาลาวผู้ใหญ่ผู้น้อยในเมืองน่าน
กับเจ้าเมืองแสนท้าวเมืองข้ึน พร้อมกันบ่ายหน้าต่อกรุงเทพฯ กราบ
ถวายบงั คมพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั รบั พระราชทานนำ�้ พระพพิ ฒั น์
สัจจาทุกคนกระท�ำสัตย์ถวายต่อใต้ฝ่าละอองฯ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ณ กรุงเทพฯ...
ครงั้ ที่ ๒ ทำ� ในเดอื น ๑๑ หลงั ออกพรรษาแลว้ ๑๕ วนั แตใ่ นครงั้ นเี้ ปน็ การ
ให้สัตย์สาบานตัวต่อเจ้าเมืองน่านผู้เป็นข้าในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่
กรงุ เทพฯ ว่าจะ “...มคี วามซือ่ สตั ยส์ จุ ริตต่อพญานา่ นซ่งึ เปน็ เจ้าเมอื งผูใ้ หญ่...”
และในการนี้
...พญาน่านหาได้รับพระราชทาน [น�ำ้ ] ไม่ เปน็ แต่ไปน่ังเปน็ ประธานบ้าง
ไม่ได้ไปบ้าง ถ้าแสนท้าวพญาลาวคนใดป่วยเจ็บมาไม่ได้ ให้บุตรมาแทน
ถา้ ไมป่ ว่ ยเจบ็ ไมไ่ ดม้ าถอื นำ�้ ใหเ้ อาตวั จำ� ตรวนไว้ แลว้ ใหห้ าดอกไมธ้ ปู เทยี น

275

ไปสมคั รสมาไถโ่ ทษตวั ตอ่ พญานา่ น ๆ รบั ดอกไมธ้ ปู เทยี นไวแ้ ลว้ คนทข่ี าด
ถอื น้�ำจงึ จะพน้ โทษ...
แต่การพิธีถือน�้ำในหัวเมืองในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัวน้ัน ยังมีการที่ไม่เป็นแบบอย่างเดียวกัน ตามพระนิพนธ์ อธิบาย
เร่ืองเสด็จมณฑลฝ่ายเหนือ ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรง
ราชานภุ าพ ไดแ้ ก่ การทำ� น�้ำพระพิพฒั นส์ ัตยาประจำ� ปีในแตล่ ะเมอื ง ทว่ี า่
...จังหวัดที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ ต้องมารับน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาไปจาก
กรุงเทพฯ แต่จังหวัดที่อยู่ห่างออกไป แต่ก่อนมาเคยใช้กระบี่เครื่องยศ
ท่ีพระราชทานผู้ว่าราชการเมืองชุบน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาแทนพระแสง
ครั้นเลิกประเพณีการพระราชทานเครื่องยศประจ�ำต�ำแหน่งเสียแล้ว
หวั เมืองยงั หามพี ระแสงส�ำหรับชุบน�ำ้ พระพพิ ฒั นส์ ตั ยาไม่...
ดังน้ัน เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะเสด็จประพาส
หวั เมอื งฝา่ ยเหนอื ระหวา่ งวันที่ ๒ ตุลาคม-๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๔ จึงทรง
พระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ให้
...สร้างพระแสงราชาวุธขึ้นส�ำหรับพระราชทานไว้ประจ�ำหัวเมืองจังหวัด
ละองค์ จังหวดั อนั เปนที่ตงั้ ทีว่ า่ การมณฑลเปนพระแสงดา้ มทอง ฝักทอง
ลงยาราชาวดี จงั หวดั นอกนนั้ เปนพระแสงดา้ มทอง ฝกั ทอง เมอ่ื เสดจ็ ไปถงึ
เมอื งไหนกพ็ ระราชทานพระแสงสำ� หรบั จงั หวดั นน้ั แลมพี ระราชกำ� หนดวา่
ถ้าเสด็จไปประทับในจังหวัดใด เม่ือใด ให้ถวายพระแสงราชาวุธส�ำหรับ
จังหวัดมาไว้ประจ�ำพระองค์ตลอดเวลาที่เสด็จประทับอยู่ในจังหวัดนั้น
อย่างหน่ึง แลให้ชุบน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาด้วยพระแสงราชาวุธน้ันด้วย
อีกอยา่ ง ๑...
นอกจากการพระราชทานพระแสงราชาวธุ หรอื พระแสงราชศสั ตราประจำ�
เมอื งในการเสดจ็ ประพาสครงั้ นน้ั แลว้ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั

276
ยงั โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ รา้ งเสมาเงนิ เปน็ ลายรปู พระจลุ มงกฎุ อนั เปน็ พระราชลญั จกร
ประจำ� พระองคก์ บั อกั ษรพระนาม สำ� หรบั พระราชทานเดก็ ชายเดก็ หญงิ ตามเมอื ง
ท่ีเสด็จประพาสคร้ังน้ันอีกด้วย จึงเกิดเป็นประเพณีการพระราชทานพระแสง
ประจำ� เมอื งและพระราชทานแจกเสมาตงั้ แต่ พ.ศ. ๒๔๔๔ เปน็ ตน้ มา ในครั้งนน้ั
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระแสงประจ�ำเมือง
จำ� นวน ๙ เมือง แลว้ พระราชทานคร้ังตอ่ มาใน พ.ศ. ๒๔๔๙ พ.ศ. ๒๔๕๐ และ
พ.ศ. ๒๔๕๑ อีก ๔ เมือง รวมพระแสงประจ�ำเมืองท่ีพระราชทานในรัชกาล
จำ� นวน ๑๓ องค์ พระแสงทพี่ ระราชทานน้ีมีลักษณะเฉพาะคอื มคี ำ� จารกึ บนใบ
พระแสงว่า “พระแสงสำ� หรบั มณฑล...” หรอื “พระแสงสำ� หรับเมอื ง...”
ในรัชกาลต่อมา ทั้งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวและ
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวต่างทรงด�ำเนินตามพระยุคลบาทใน
สมเดจ็ พระบรมชนกนาถ ในการพระราชทานพระแสงประจำ� เมอื งเมอ่ื เวลาเสดจ็
พระราชด�ำเนินประพาสเมืองต่าง ๆ ในพระราชอาณาจักร ในรัชกาลพระบาท
สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีการพระราชทานพระแสงประจ�ำเมืองรวม
๑๓ องค์ มจี ารึกบนใบพระแสงเพยี งชื่อมณฑลหรือจงั หวัด ในรชั กาลพระบาท
สมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั มกี ารพระราชทานพระแสงประจำ� เมอื งรวม ๖ องค์
ไม่ปรากฏว่ามีการจารึกบนใบพระแสง
พระแสงราชศัสตราประจ�ำเมืองท่ีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวใน
พระบรมราชจักรีวงศ์พระราชทานไว้เป็นเคร่ืองหมายแทนพระองค์ และใช้
ส�ำหรับแทงน�้ำในพระราชพิธีถือน้�ำพระพิพัฒน์สัตยาอันเป็นพิธีสาบานตนว่าจะ
ถวายความจงรกั ภกั ดตี อ่ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั และรบั ราชการดว้ ยความ
ซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ รวมทงั้ สนิ้ ๔๒ องค์ ซงึ่ ตอ่ มาเมอื่ มกี ารเปลยี่ นแปลงเขตการปกครอง
บางแห่ง จึงอัญเชญิ พระแสงประจ�ำเมืองคนื สำ� นกั พระราชวัง ๑
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระแสง
ประจ�ำเมอื งเม่อื ครั้งเสดจ็ มณฑลฝา่ ยเหนอื ได้แก่

๑ จำ� นวน ๒ องค์

277
๑. วันที่ ๒๙ กนั ยายน พ.ศ. ๒๔๔๔ พระราชทานพระแสง ประจ�ำมณฑล
กรงุ เกา่ แกพ่ ระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื มรพุ งษศ์ ริ พิ ฒั น์ (ตน้ ราชสกลุ วฒั นวงศ์
สมุหเทศาภบิ าลมณฑลกรงุ เกา่ ) ที่พระราชวังบางปะอนิ
๒. วนั ที่ ๒ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๔๔ พระราชทานพระแสงประจำ� เมอื งอา่ งทอง
แก่พระวเิ ศษชยั ชาญ (อวบ เปาโรหติ ย)์ ผูว้ า่ ราชการเมอื ง
๓. วนั ท่ี ๔ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๔๔ พระราชทานพระแสงประจำ� เมอื งสงิ หบ์ รุ ี
แกพ่ ระอนุรักษ์ภเู บศร์ (โคม) ผรู้ ้ังเมือง
๔. วนั ที่ ๖ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๔๔ พระราชทานพระแสงประจำ� เมอื งชยั นาท
แก่พระยาสุรบดินทรสรุ ินทรฦๅไชย (ต่ิง ศกนุ ะสงิ ห์) ผ้วู ่าราชการเมืองชยั นาท
๕. วันที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๔ พระราชทานพระแสงประจ�ำเมือง
อุทัยธานี ซ่ึงขณะน้ัน พระยาพิไชยสุนทรเป็นผู้ว่าราชการเมือง และพระยา
ประธานคโรทัยเป็นจางวางก�ำกับราชการเมืองอุทัยธานี
๖. วันท่ี ๑๐ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๔๔ พระราชทานพระแสงประจ�ำมณฑล
นครสวรรค์ ขณะนั้นพระยาราชพงศานรุ กั ษ์ (แฉ่ บุนนาค ต่อมาเปน็ พระยาไกร
เพชรรตั นสงคราม) เป็นสมหุ เทศาภบิ าลมณฑลนครสวรรค์ และเฉพาะทีม่ ณฑล
นครสวรรคน์ ้ี มกี ารถอื นำ�้ เปน็ กรณพี เิ ศษ ตามทพี่ ระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้
เจ้าอยู่หัวมีพระราชหัตถเลขาไว้ ความว่า “...การพิธีได้ไปตั้งที่ว่าการมณฑล
มใี หพ้ ระแสงตามเคย แลว้ จงึ ถอื นำ้� มขี า้ ราชการแลฝรง่ั จนี พอ่ คา้ มาก เวลา ๒ ทมุ่
จงึ ได้เสรจ็ การ...”
๗. วนั ที่ ๑๔ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๔๔ พระราชทานพระแสงประจำ� เมอื งพจิ ติ ร
ขณะนน้ั พระยาเทพาธบิ ดี (อมิ่ เทพานนท์) เป็นผูว้ า่ ราชการเมอื งพจิ ติ ร
๘. วันที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๔ พระราชทานพระแสงประจ�ำมณฑล
พิษณุโลกแก่พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร (เชย กัลยาณมิตร ซึ่งต่อมาในวันที่
๒๐ ตุลาคม ได้พระราชทานสัญญาบัตรเป็น พระยาสุรสีห์วิศิษฐศักดิ์ สุดท้าย
เปน็ เจ้าพระยาสรุ สหี ์วศิ ษิ ฐศกั ด)์ิ สมหุ เทศาภิบาลมณฑลพิษณุโลก

278

๙. วนั ท่ี ๒๑ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๔๔ พระราชทานพระแสงประจำ� เมอื งพชิ ยั
แก่พระศรีสงคราม (โพธ์ิ เนติโพธ์ิ) ผู้รั้งราชการเมืองพิชัย (ต่อมาเป็นพระยา
ศรีสุริยราชวรานวุ ัตร สมหุ เทศาภิบาลมณฑลอุดร) เมอ่ื ยุบเมอื งพชิ ัยเปน็ อำ� เภอ
พชิ ยั ขนึ้ กบั จงั หวดั อตุ รดติ ถ์ ตอ่ มาจงึ อญั เชญิ พระแสงประจำ� เมอื งพชิ ยั คนื สำ� นกั
พระราชวังใน พ.ศ. ๒๔๗๕
๑๐. เมอ่ื วนั ที่ ๒๖ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้
เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ ฯถงึ เมอื งกำ� แพงเพชรในการเสดจ็ ประพาสตน้ ครงั้ ท่ี๒หลวงพพิ ธิ อภยั
บุตรชายพระยาก�ำแพงเพชร (อ้น) ได้ทูลเกล้าฯ ถวายดาบที่เจ้าเมืองได้รับ
พระราชทานต้ังแต่ครั้งรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงรบั แลว้ พระราชทานใหเ้ ปน็ พระแสงประจ�ำเมืองกำ� แพงเพชร ความละเอียด
ปรากฏในพระราชหตั ถเลขา ดงั นี้
วันท่ี ๒๖ [สงิ หาคม พ.ศ. ๒๔๔๙] หมายจะยงั ไม่ตน่ื แตห่ มาเข้าไป
ปลุก ๒ โมงเศษ กินข้าวแล้วออกไปแจกของให้ผู้ที่มาเล้ียงดูและรับท้ัง
ผูห้ ญิงผชู้ าย หลวงพพิ ิธอภยั ผูช้ ว่ ย ซง่ึ เปน็ บุตรพระยากำ� แพง (อน้ ) น�ำ
ดาบฝักทอง ซึ่งพระพุทธยอดฟ้าพระราชทานพระยาก�ำแพง (นุช) เป็น
บ�ำเหน็จมือ [รางวัล] เมือ่ ไปทพั แขก แล้วตกมาแก่พระยากำ� แพง (นาค)
ซ่ึงเปน็ สามแี พงบุตรพี ระยาก�ำแพง (นุช)...ได้รบั ดาบเลม่ นต้ี ่อ ๆ กันมา...
ดาบตกอยแู่ กน่ ายอน้ บตุ รพระยากำ� แพง (เกดิ ) ซง่ึ เปน็ บดิ าหลวงพพิ ธิ อภยั
ภายหลงั นายอน้ ไดเ้ ปน็ พระยากำ� แพง ครน้ั พระยากำ� แพง (อน้ ) ถงึ แกก่ รรม
ดาบจงึ ตกอยกู่ บั หลวงพพิ ธิ อภยั บตุ รผนู้ ำ� มาใหน้ ี้ พเิ คราะหด์ กู เ็ หน็ จะเปน็
ดาบพระราชทานจริง เห็นว่าเมืองก�ำแพงเพชรยังไม่มีพระแสงส�ำหรับ
เมือง...ไม่ได้เตรียมมาจึงได้มอบดาบเล่มนี้ไว้เป็นพระแสงส�ำหรับเมือง
ให้ผู้วา่ ราชการรกั ษาไว้สำ� หรบั ใช้ในการพระราชพธิ ี
ขณะนนั้ พระยารามรณรงคส์ งคราม(อน้ รามสตู )เปน็ ผวู้ า่ ราชการเมอื งกำ� แพงเพชร

279

เม่ือพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชด�ำเนินกลับ
จากการเสดจ็ ประพาสยุโรปครง้ั ท่ี ๒ ใน พ.ศ. ๒๔๕๐ ขณะนั้นไทยเพิง่ จะได้เมอื ง
ตราดและเมอื งจนั ทบรุ คี นื จากการยดึ ครองของฝรงั่ เศส กอ่ นจะเสดจ็ ถงึ กรงุ เทพฯ
พระองคจ์ งึ มพี ระราชประสงคเ์ สดจ็ ฯ ไปทรงเยยี่ มราษฎรในหวั เมอื งชายทะเลฝง่ั
ตะวันออก คือเมืองตราดและเมืองจันทบุรี และไดพ้ ระราชทานพระแสงประจ�ำ
เมืองคือ
๑๑. วนั ที่ ๑๓ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๔๕๐ พระราชทานพระแสงประจำ�
เมืองตราดแกพ่ ระบริรกั ษ์ภูธร (ปิ๋ว บุนนาค) ผูว้ ่าราชการเมืองตราด
๑๒. วันที่ ๑๕ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๔๕๐ พระราชทานพระแสงประจำ�
มณฑลจนั ทบรุ แี ก่พระยาวิชยาธิบดี (แบน บนุ นาค) ขา้ หลวงเทศาภิบาลมณฑล
จันทบุรี
๑๓. วันที่ ๒๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๑ พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้
เจา้ อยหู่ วั พระราชทานพระแสงประจำ� มณฑลปราจนี เมอ่ื ครง้ั เสดจ็ ไปทรงเปดิ รถไฟ
สายตะวันออกและสายเหนือ และเสด็จประพาสเมืองฉะเชิงเทรา แก่พระเจ้า
นอ้ งยาเธอ กรมหมื่นมรุพงษศ์ ิรพิ ฒั น์ ขณะนั้นทรงเป็นขา้ หลวงพเิ ศษจดั ราชการ
ตำ� แหน่งเทศาภิบาล นบั เปน็ พระแสงประจำ� เมอื งองคส์ ุดท้ายท่ีพระราชทาน
ถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เม่ือพระองค์เสด็จ
พระราชด�ำเนนิ ประพาสมณฑลปักษใ์ ต้ ใน พ.ศ. ๒๔๕๘ เพ่อื ทรงตรวจราชการ
และทรงเยี่ยมประชาชนในภูมิภาค ทรงด�ำเนินตามพระยุคลบาทในสมเด็จ
พระบรมชนกนาถ คือการพระราชทานพระแสงราชศัสตราประจ�ำเมือง โดยมี
พระราชด�ำรใิ นการพระราชทาน วา่ ใหเ้ ป็น “...ของต่างพระองค์ เปนพยานแหง่
พระราชอำ� นาจ เพอ่ื ใชป้ อ้ งกนั สรรพอนั ตรายอนั จะมายำ่� ยบี ฑี า แลสำ� หรบั ผปู้ กครอง
ใชเ้ ปนอำ� นาจปราบปรามผทู้ ำ� รา้ ยแกอ่ าณาประชาชน...” รวมทงั้ ให้ “...ขา้ ราชการ
ผ้อู ืน่ ควรรสู้ ึกวา่ ได้รับพระราชทานดว้ ย เปนเครื่องหมายอำ� นาจในราชการ ไม่ใช่
ทรงมอบอ�ำนาจใหไ้ ว้ใช้สว่ นตัว” และทรงสรปุ รวมความวา่ “...พระแสงนี้ เราให้

280

ไว้แก่ท่านทั้งหลาย ทั้งที่เปนข้าราชการและเปนอาณาประชาชนให้เปนเจ้าของ
รวมกัน รักษาดว้ ยกนั ด้วยความปรองดองเปนชาตไิ ทยด้วยกันทง้ั น้ัน...”
ในการเสด็จประพาสคร้ังนั้น นอกจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า
เจา้ อย่หู วั พระราชทานพระแสงราชศัสตราประจำ� เมือง จำ� นวน ๗ องคแ์ ลว้ ยังมี
การถือน้�ำเสอื ปา่ ของมณฑลตา่ ง ๆ อีกดว้ ย คือ
๑. วนั ที่ ๗ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๔๕๘ พระราชทานพระแสงราชศสั ตราประจำ�
เมืองนราธิวาส มณฑลปัตตานี แก่อ�ำมาตย์โท พระนราภิบาลบดีศรีสมุทเขตร์
(เปลี่ยน กาญจนารัณย์) ผวู้ า่ ราชการเมอื งนราธวิ าส
๒. วนั ท่ี ๙ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๔๕๘ พระราชทานพระแสงราชศสั ตราประจำ�
เมอื งสายบุรี แกพ่ ระยาสายบรุ ี ผ้วู า่ ราชการเมอื ง ต่อมาเม่ือยุบเมอื งสายบุรเี ปน็
อำ� เภอสายบุรีขึ้นจงั หวัดปตั ตานีแล้ว ใน พ.ศ. ๒๔๗๕ จึงอัญเชญิ พระแสงประจำ�
เมืองสายบุรคี ืนให้สำ� นกั พระราชวัง
๓. วันท่ี ๑๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๘ พระราชทานพระแสงราชศัสตรา
ประจ�ำมณฑลปัตตานี แก่มหาอ�ำมาตย์ตรี พระยาเดชานุชิต (หนา บุนนาค)
สมหุ เทศาภิบาลมณฑลปัตตานี แลว้ มพี ธิ ีถือน้ำ� เสือปา่ มณฑลปัตตานี
๔. วันท่ี ๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๘ พระราชทานพระแสงราชศัสตรา
ประจ�ำมณฑลนครศรีธรรมราช แก่มหาอ�ำมาตย์โท สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ
เจ้าฟ้าฯ กรมขุนลพบุรีราเมศวร์ (ต้นราชสกุล ยุคล) สมุหเทศาภิบาลมณฑล
นครศรีธรรมราช แล้วมพี ิธีถอื น้ำ� เสือปา่ มณฑลนครศรีธรรมราช (ทีเ่ มอื งสงขลา)
๕. วันที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๘ พระราชทานพระแสงราชศัสตรา
ประจ�ำเมืองตรงั แกอ่ �ำมาตยต์ รี พระตรงั คบุรศี รีสมทุ เขตร (สนิ ธุ์ เทพหัสดิน ณ
อยธุ ยา) ผวู้ ่าราชการเมอื งตรงั แลว้ มีพธิ ีถอื นำ้� เสอื ป่ามณฑลภูเกต็
๖. วันท่ี ๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๘ พระราชทานพระแสงราชศัสตรา
ประจ�ำเมืองนครศรีธรรมราช แก่อ�ำมาตย์เอก พระยาประชากิจกรจักร
(ทับ มหาเปารยะ) ผ้วู ่าราชการเมอื งนครศรีธรรมราช


Click to View FlipBook Version