The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Wilairat Pamontree, 2022-09-10 05:32:05

หนังสือนานาสาระ

นานาสาระไทย

281
๗. วนั ท่ี ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๘ พระราชทานพระแสงราชศัสตรา
ประจ�ำมณฑลชุมพร แก่มหาอ�ำมาตย์ตรี พระยาบริรักษ์ภูธร (พลอย ณ นคร)
สมุหเทศาภิบาลมณฑลชุมพร แล้วมีพิธีถือน�้ำเสือป่ามณฑลชุมพร (ที่บ้านดอน
เมอื งกาญจนดิฐเกา่ ปัจจุบนั คอื จังหวัดสรุ าษฎรธ์ านี)
ตอ่ มาใน พ.ศ. ๒๔๕๙ เมื่อพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจา้ อยู่หัวเสดจ็
พระราชด�ำเนินเลียบมณฑลราชบุรี ได้พระราชทานพระแสงราชศัสตราประจ�ำ
เมืองอกี ๓ องค์ คอื
๘. วันท่ี ๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๙ พระราชทานพระแสงราชศัสตรา
ประจำ� มณฑลราชบรุ ี แกจ่ างวางตรี หมอ่ มเจา้ สฤษดเิ ดช ชยางกรู สมหุ เทศาภบิ าล
มณฑลราชบรุ ี
๙. วนั ท่ี ๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๙ พระราชทานพระแสงราชศสั ตราประจำ�
เมืองเพชรบุรี แก่อ�ำมาตย์เอก พระยาเพชรพิไสยศรีสวัสดิ์ (แม้น วสันตสิงห์)
ผ้วู ่าราชการเมืองเพชรบรุ ี
๑๐. วนั ที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๙ พระราชทานพระแสงราชศสั ตรา
ประจ�ำเมืองประจวบคีรีขันธ์ แก่อ�ำมาตย์เอก พระยาศิริธรรมบริรักษ์ (เย็น
สวุ รรณปัทม) ผูว้ ่าราชการเมืองประจวบคีรขี นั ธ์
ในปีต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเลียบมณฑล
ปักษ์ใต้อีกครั้งหนึ่ง และได้พระราชทานพระแสงราชศัสตราประจ�ำเมืองอีก
๒ องค์ ไดแ้ ก่
๑๑. วันที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๐ พระราชทานพระแสงราชศัสตรา
ประจ�ำจังหวัดระนอง แก่อ�ำมาตย์ตรี พระระนองบุรีศรีสมุทเขตร์ ผู้ว่าราชการ
จังหวัดระนอง
๑๒. วันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๐ พระราชทานพระแสงราชศัสตรา
ประจ�ำมณฑลภูเก็ต แก่นายพลโท พระยาสุรินทราชา (ม.ร.ว.สิทธิ สุทัศน์)
สมหุ เทศาภิบาลมณฑลภูเก็ต

282

๑๓. ยังมีพระแสงราชศัสตราประจ�ำมณฑลนครชัยศรีอีก ๑ องค์ ที่ไม่
ปรากฏประวัติความเป็นมาว่าพระราชทานในรัชกาลใด แต่จากลักษณะการ
จารึกข้อความบนใบพระแสงท่ีจารกึ ขอ้ ความเหมือนกันทั้ง ๒ ด้านวา่ “มณฑล
นครไชยศีร” ซ่ึงเป็นลกั ษณะการจารกึ บนใบพระแสงราชศัสตราที่พระราชทาน
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รวมท้ังมณฑลนครชัยศรี
เปน็ มณฑลทพ่ี ระองคท์ รงโปรดในการเสดจ็ แปรพระราชฐานไปประทบั ทจ่ี งั หวดั
นครปฐมอยูเ่ สมออกี ด้วย
การพระราชทานพระแสงราชศสั ตราประจำ� เมอื งในรชั กาลตอ่ มา พระบาท
สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงด�ำเนินตามพระยุคลบาทสมเด็จพระ
บรมชนกนาถและสมเดจ็ พระบรมเชษฐาธริ าชทไ่ี ด้ “ทรงพระกระทำ� เปน็ เยยี่ งอยา่ ง
อันดีมาแล้ว...สมควรอย่างยิ่งท่ีจะทรงอนุมัติตามพระราชจรรยา ดังเช่นสมเด็จ
พระชนกาธิราชและสมเด็จพระเชษฐาธิราชได้ทรงประพฤติเป็นทิฏฐานุคติมา
กอ่ นแลว้ นน้ั ทงั้ เปน็ การทรงแสดงความเคารพตอ่ สมเดจ็ พระบรมชนกาธริ าชและ
สมเดจ็ พระบรมเชษฐาธริ าชดว้ ยอกี สว่ นหนง่ึ ...” เมอื่ เสดจ็ เลยี บมณฑลฝา่ ยเหนอื
ใน พ.ศ. ๒๔๖๙ นบั เปน็ “...พระเจา้ แผน่ ดนิ ในพระบรมราชจกั รวี งศพ์ ระองคแ์ รก
ซึ่งได้เสด็จมายังมณฑลพายัพเมื่อราชาภิเษกแล้ว....” ได้พระราชทานพระแสง
ราชศสั ตราประจำ� เมอื ง ๕ องค์ ดงั นี้
๑. วนั ที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๙ พระราชทานพระแสงราชศสั ตราประจำ�
จงั หวดั แพร่ แกพ่ ระยากรงุ ศรสี วสั ดกิ าร (จำ� รสั สวสั ด-ิ ชโู ต) ผวู้ า่ ราชการจงั หวดั แพร่
๒. วันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๙ พระราชทานพระแสงราชศัสตรา
ประจ�ำจังหวัดล�ำปาง แก่มหาอ�ำมาตย์ตรี พระยาสุเรนทรราชเสนา (เจิม
จารจุ ินดา) ปลดั มณฑลประจำ� จงั หวดั ล�ำปางและผูว้ า่ ราชการจงั หวดั ล�ำปาง
๓. วันท่ี ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๙ พระราชทานพระแสงราชศัสตรา
ประจ�ำจงั หวัดเชียงราย แกอ่ �ำมาตยเ์ อก พระยาราชเดชดำ� รง (ผล ศรุตานนท)์
ผู้ว่าราชการจงั หวัดเชยี งราย

283
๔. วันท่ี ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๙ พระราชทานพระแสงราชศัสตรา
ประจ�ำจงั หวดั เชยี งใหม่ แกเ่ จ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่
๕. วันท่ี ๒๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๙ พระราชทานพระแสงราชศัสตรา
ประจ�ำจังหวัดล�ำพูน แก่พลตรี เจ้าจกั รคำ� ขจรศักด์ิ เจา้ ผูค้ รองนครลำ� พูน
๖. วันที่ ๒๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๑ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า
เจา้ อยหู่ วั พระราชทานพระแสงราชศสั ตราประจำ� จงั หวดั พงั งา เมอื่ ครงั้ เสดจ็ เลยี บ
มณฑลภเู ก็ต แก่พระอาคมคตุ กิ ร (สดุ ใจ ชลายนคปุ ต)์ ผ้วู า่ ราชการจงั หวดั พังงา
นับเป็นพระแสงราชศัสตราประจ�ำเมืององค์สุดท้ายในรัชกาลและในระบอบ
สมบูรณาญาสทิ ธริ าชย์
  (นางสาวศิรินนั ท์ บญุ ศริ ิ)
หนงั สืออา้ งอิง
กำ� แพงเพชร, จงั หวดั . ครบ ๑๐๐ ปี พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
เสด็จประพาสต้นเมืองก�ำแพงเพชร วันท่ี ๑๘ สิงหาคม พุทธศักราช
๒๕๔๙. กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลัยราชภฏั ก�ำแพงเพชร, ๒๕๔๙.
ธรรมคามน ์ โภวาท.ี พระแสงราชศสั ตรา. พระนคร : กระทรวงมหาดไทย, ๒๕๐๙.
กระทรวงมหาดไทยพิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ
พลเอกมงั กร พรหมโยธีม.ป.ช.,ม.ว.ม.,ท.จ.ว.ณเมรหุ นา้ พลบั พลาอศิ รยิ าภรณ์
วัดเทพศิรินทราวาส ๒๙ มถิ ุนายน ๒๕๐๙.
ประชมุ หมายรบั สง่ั ภาค๕ตอนท่ี๑สมยั กรงุ รตั นโกสนิ ทร์รชั กาลพระบาทสมเดจ็
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จ.ศ. ๑๒๑๓. กรุงเทพฯ : คณะอนุกรรมการ
พจิ ารณาตน้ ฉบบั จดหมายเหตกุ รงุ รตั นโกสนิ ทรฯ์ , ๒๕๔๘. คณะกรรมการ
อำ� นวยการจดั งานเฉลมิ พระเกยี รตพิ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
จัดพิมพ์เปน็ ทีร่ ะลกึ เน่อื งในโอกาสทว่ี นั พระบรมราชสมภพครบ ๒๐๐ ปี
วันท่ี ๑๘ ตลุ าคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๗.

284

พระราชกำ� หนดวิธีปกครองหัวเมอื งครั้งแผ่นดนิ พระเจา้ ทา้ ยสระ. พระนคร :
โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, ๒๔๗๐. แจกในการกฐินพระราชทาน
มหาอำ� มาตยโ์ ท พระยาโบราณราชธานนิ ทร์ สมหุ เทศาภบิ าลมณฑลอยธุ ยา
ณ วดั พนญั เชงิ วดั นา่ พระเมรุ จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา พระพทุ ธศกั ราช
๒๔๗๐.
เลขาธกิ ารนายกรฐั มนตร,ี สำ� นัก. ประชุมหมายรบั ส่งั ภาค ๔ ตอนท่ี ๑ สมัย
กรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จ.ศ.
๑๑๘๖-๑๒๐๓. กรงุ เทพฯ : คณะกรรมการชำ� ระประวัตศิ าสตร์ไทยและ
จดั พิมพเ์ อกสารประวัติศาสตร์โบราณคดี, ๒๕๓๖.
อรวรรณ ทรัพย์พลอย และธีรดา ธีรเดช. พระแสงราชศัสตราประจ�ำเมือง.
กรงุ เทพฯ : กรมศลิ ปากร ส�ำนกั วรรณกรรมและประวัตศิ าสตร์, ๒๕๓๙.
คณะกรรมการอำ� นวยการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี จดั พมิ พ์
เป็นท่ีระลึกเนื่องในมหามงคลสมัยฉลองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี
พทุ ธศักราช ๒๕๓๙.

พระเหรียญและพระหลอ่

พระเหรยี ญและพระหลอ่ เปน็ รปู เคารพทส่ี ำ� คญั ประเภทหนงึ่ ของไทย ทม่ี ี
ประวัติความเป็นมาไม่นานนักเม่ือเปรียบเทียบกับพระพิมพ์ ส่วนใหญ่สร้างข้ึน
ในชว่ งหนงึ่ ศตวรรษทผี่ า่ นมา ในปจั จบุ นั เปน็ พระทไี่ ดร้ บั ความนยิ มวา่ มอี ทิ ธฤิ ทธ์ิ
ขลัง ศักด์ิสิทธ์ิ และสามารถศึกษาเรื่องราวเก่ียวกับประวัติท่ีเก่ียวเน่ืองกับการ
สร้างได้ เนื่องจากมักมีการระบุถึงวันเดือนปี เหตุการณ์ท่ีสร้าง รวมทั้งสถานที่
สรา้ งไว้อย่างชัดเจน
พระเหรียญและพระหล่อ ในปัจจุบันมีทั้งที่เป็นรูปเหรียญและรูปหล่อ
เหมอื นพระพทุ ธรปู สำ� คญั และพระเกจอิ าจารยท์ ป่ี ระชาชนสว่ นใหญเ่ คารพนบั ถอื
เช่น พระพุทธชนิ ราช พระพุทธโสธร หลวงปู่ทมิ หลวงพอ่ เงิน หลวงพ่อทวด

285

การสะสมพระเหรียญและพระหล่อเป็นวัตถุมงคลนั้น ยังรวมถึงเหรียญ
กษาปณ์และเหรียญทีร่ ะลึกต่าง ๆ เชน่ เหรียญกษาปณใ์ นรชั กาลท่ี ๕ เหรียญ
รัชกาลท่ี ๕ เสดจ็ ประพาสยโุ รป เหรยี ญสมโภชพระพทุ ธนรสีห์
พระเหรียญและพระหล่อเป็นวัตถุมงคลที่มีคุณค่าในฐานะรูปเหมือน
พระพุทธรูปส�ำคัญ พระเกจิอาจารย์ นอกจากน้ันยังมีคุณค่าในฐานะหลักฐาน
ทางประวัตศิ าสตรข์ องยุคสมยั อกี ด้วย
(รศ. ดร.ศานติ ภักดีค�ำ)

พระอปุ คตุ

พระอปุ คตุ เปน็ พระสาวกรปู หนงึ่ ทยี่ กยอ่ งกนั วา่ มฤี ทธม์ิ าก สมเดจ็ พระมหา
สมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงนิพนธ์ประวัติพระอุปคุตไว้ในงาน
พระนพิ นธเ์ รอื่ งปฐมสมโพธกิ ถา ปรเิ ฉทท่ี ๒๘ ตอนมารพนั ธปรวิ รรตวา่ ตน้ กำ� เนดิ
เหตกุ ารณ์มาจากพระราชประสงค์ของพระเจ้าศรธี รรมาโศกราช (พระเจา้ อโศก
มหาราช) ที่จะทรงสมโภชพระบรมสารีริกธาตุท่ที รงค้นหาและรวบรวมมาบรรจุ
ไว้ในวิหารและสถูปท่ีทรงสรา้ งไว้ถงึ ๘๔,๐๐๐ แหง่ เนอ่ื งจากการสมโภชครัง้ น้ี
เปน็ งานใหญ่ ใชเ้ วลาถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วนั ทรงเกรงว่าจะมีอันตรายและความ
ขัดข้อง จงึ ทรงขอใหค้ ณะสงฆห์ าวิธปี ้องกนั สามเณรรปู หน่ึงได้แนะน�ำให้นิมนต์
พระอุปคุตซ่ึงจ�ำพรรษาอยู่กลางมหาสมุทรเข้าร่วมประชุมด้วย และขอให้
พระอุปคุตช่วยปกป้องภัยอันตรายต่าง ๆ อันจะเกิดขึ้นระหว่างงานสมโภช
พระอุปคุตเม่ือได้ฟงั แล้วจงึ ตกลงยินดชี ว่ ยเหลือ
พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชเมื่อได้ทราบว่าพระอุปคุตจะมาช่วยก็ยินดี แต่
ด้วยความไมม่ ัน่ พระทัยในบุญฤทธ์ขิ องพระอปุ คุต จงึ ใหท้ ดลองบารมีโดยปล่อย
ชา้ งตกมนั ขบั เขา้ ใส่ พระอปุ คตุ ใชฤ้ ทธอ์ิ ำ� นาจสะกดชา้ งทก่ี ำ� ลงั ตกมนั ใหน้ งิ่ อยกู่ บั
ท่ปี ระดจุ ช้างหนิ เมอ่ื เหน็ ดังน้ัน พระเจ้าศรธี รรมาโศกราชจงึ ไดก้ ลา่ วขอขมาต่อ
พระอุปคุต และเริม่ งานฉลองพระบรมสารีริกธาตตุ ามทต่ี ั้งพระทยั ไว้

286

ฝ่ายพญามาร เมื่อทราบเร่ืองการสมโภชพระบรมสารีริกธาตุก็ไม่พอใจ
จึงแสดงอิทธิฤทธ์ิต่าง ๆ นานาเพื่อท�ำลายพิธี แต่พระอุปคุตก็แก้ไขได้ทุกคร้ัง
จนทสี่ ดุ พระอปุ คตุ ไดเ้ นรมติ หมาเนา่ แขวนไวท้ ค่ี อของพญามาร แลว้ อธษิ ฐานไมใ่ ห้
ผใู้ ดแกไ้ ด้ ทำ� ใหพ้ ญามารตอ้ งทนอบั อาย แมจ้ ะขนึ้ ไปขอรอ้ งเหลา่ เทวดาบนสวรรค์
ใหช้ ว่ ยแกไ้ ข กไ็ มม่ ผี ใู้ ดกระทำ� ได้ จงึ ตอ้ งกลบั มาขอใหพ้ ระอปุ คตุ ชว่ ย พระอปุ คตุ
ซ่ึงทราบด้วยญาณว่าพญามารยังคงมีทิฐิมานะ จึงไม่ยอมช่วย และปล่อยให้
หมาเนา่ แขวนคอพญามารอยอู่ ยา่ งนนั้ กระทงั่ เสรจ็ พธิ ี รวมเวลา ๗ ปี ๗ เดอื น ๗ วนั
เมอื่ พญามารสนิ้ โทษะและเลอ่ื มใสในพระพทุ ธศาสนาแลว้ กต็ ง้ั จติ อธษิ ฐานขอให้
ได้ตรัสรเู้ ป็นพระพทุ ธเจา้ ในอนาคตกาลเบือ้ งหนา้ พระอปุ คุตเมื่อไดท้ ราบความ
ปรารถนาของพญามารกม็ ีความยนิ ดี และปลดปลอ่ ยพญามารในท่สี ดุ
ดว้ ยประวัตอิ ันทรงฤทธด์ิ งั กลา่ ว พุทธศาสนิกชนจึงไดส้ ร้างรปู พระอุปคตุ
ขนึ้ บชู า มีลกั ษณะนัง่ สมาธิมีใบบวั ปดิ ท่ีเศยี ร มีปุ่มท่ไี หลท่ ั้ง ๒ ขา้ ง ทำ� ให้บางครง้ั
เรียกว่าพระบัวเขม็ หรือน่งั อยูใ่ นขนดนาคหรอื ในหอยสงั ขแ์ ละอาจมีการจำ� ลอง
สัตวน์ ำ้� บางชนดิ เขา้ มาประกอบ ผู้ท่ีบชู าน้ันมักจะอญั เชญิ พระองค์น้ีประดิษฐาน
ไว้บนพาน หลอ่ ดว้ ยน�ำ้ ตามความเชอื่ ทวี่ ่าพระอุปคตุ นจี้ ำ� พรรษาอยูใ่ นปราสาท
แก้วกลางมหาสมุทร โดยมีความเชื่อว่าพระอุปคุตจะสามารถปกป้องคุ้มครอง
ภยนั ตรายตา่ ง ๆ อันอาจจะเกิดขึน้ เมื่อจะจัดงานพิธสี ำ� คัญตา่ ง ๆ ก็มักจะมีพธิ ี
อธิษฐานบูชาพระอุปคุตเป็นเบ้ืองต้น เพ่ือให้ช่วยคุ้มครองให้งานนั้น ๆ ส�ำเร็จ
ลุล่วงไปด้วยดี
(รศ. ดร.ปรดี ี พศิ ภมู ิวิถ)ี

พิธกี รรมเกี่ยวกบั ชา้ งหลวงในสมยั รตั นโกสินทร์

พิธีกรรมเก่ียวกับช้างหลวงในสมัยรัตนโกสินทร์ มีหลักฐานปรากฏอยู่ใน
พระราชพงศาวดาร และหมายรับสง่ั หลายตอน แต่ทีจ่ ะไดก้ ล่าวถงึ ในที่นี้คัดมา
เฉพาะบางพิธีท่ีเกี่ยวข้องกับการดูแลรักษาช้าง เริ่มต้นต้ังแต่การรับช้าง หาก
เป็นช้างเผือกจะมีพิธีการหลายอย่าง เช่น ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธ-

287
เลิศหลา้ นภาลัย เมื่อคราวท่พี ระยาน่านไดช้ ้างพลายเผือกเอกมาถวายทรงรับไว้
เมอ่ื วัน ค่�ำ (วันพฤหัสบดี เดอื น ๕ แรม ๙ ค่�ำ) ปีฉลู นพศก จุลศักราช
๑๑๗๙ (ตรงกับวันท่ี ๑๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๓๖๐) คร้ังน้ันโปรดเกล้าฯ
ใหป้ ระกอบพระราชพธิ รี บั ชา้ ง โดยจดั เปน็ พธิ สี มโภชขนึ้ ระวางพระราชทานนาม
ช้างเปน็ “พระยาเศวตคชลักษณ์ ประเสริฐศักดสิ มบรู ณ์ เกดิ ตระกูลสารสิบหมู่
เผือกผู้พาหนะนารถ อิศราราชธ�ำรง บัณฑรพงษ์จตุรภักตร์ สุรารักษ์รังสรรค์
ผ่องผวิ พรรณผุดผาด ศรีไกรลาศเลศิ ลบ เฉลิมพภิ พอยุทธยา ขณั ฑเสมามณฑล
ม่งิ มงคลเลศิ ฟ้า” นับเป็นชา้ งเผือกเอกชา้ งที่ ๓ ในรัชกาล ซงึ่ ยงั ไม่เคยปรากฏวา่
เคยมีมาแต่ก่อนท้ังในประเทศและประเทศเพ่ือนบ้าน ถึงแม้ว่าในสมัยอยุธยา
รัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ จะทรงมชี ้างเผอื กในรัชกาลถึง ๗ ชา้ ง แตไ่ ม่มี
หลกั ฐานวา่ เปน็ ชา้ งเผือกเอก
ตามประเพณที ถี่ ือสบื ทอดกันมาแต่โบราณวา่ ถ้าพระเจา้ แผ่นดนิ พระองค์
ใดได้ช้างเผือกมาสู่พระบารมีถือว่าเป็นมิ่งมงคลเพิ่มพูนพระเกียรติยศถึงถวาย
พระนามพิเศษแก่พระเจ้าแผ่นดินพระองค์น้ันว่า พระเจ้าช้างเผือก และด้วย
ประเพณที ม่ี มี าแตโ่ บราณอยา่ งนี้ เมอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ได้
พระยาช้างเผือกเอกถึง ๓ ช้าง ประชาชนทั้งหลายบังเกิดความช่ืนชมยินดีใน
พระบารมีเป็นอันมาก ได้ถวายพระนามตามโบราณราชประเพณีว่า พระเจ้า
ช้างเผือก
ภายหลังพระราชพิธีสมโภชข้ึนระวางพระราชทานนามช้างเผือกแล้ว
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงมีพระราชวินิจฉัยว่าโรงช้างเผือก
เดมิ มีไม่พอ จงึ ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ รา้ งโรงชา้ งเผอื กขน้ึ ใหม่ ภายใน
บริเวณพระบรมมหาราชวัง ๔ โรง เป็นโรงหลังคาทรงจ่ัวมีช่อฟ้าต้ังอยู่ระหว่าง
ประตสู นามราชกจิ กบั ประตพู รหมโสภา เรยี งแถวจากทศิ ตะวนั ออกไปตะวนั ตก
โรงตน้ อยตู่ ะวนั ออกไวพ้ ระเทพกญุ ชร ชา้ งเผอื กเอกไดม้ าแตค่ รง้ั รชั กาลท่ี ๑ โรงที่ ๒
ไว้พระยาเศวตกญุ ชร ช้างพลายเผอื กเอก โรงท่ี ๓ ไว้พระยาเศวตไอยรา โรงท่ี ๔
ไว้พระยาเศวตคชลักษณ์ (โรงช้างท้ัง ๔ นี้ ร้ือในสมัยรัชกาลที่ ๕ ปัจจุบันคือ

288
พนื้ ทบ่ี รเิ วณพระทนี่ งั่ จกั รมี หาปราสาท) สว่ นชา้ งหลวงชา้ งอนื่ ๆ ทขี่ น้ึ ระวางแลว้
ยังคงไวใ้ นโรงช้างเดมิ นอกพระบรมมหาราชวงั อกี ๑๙ โรง
ช้างท่ีขึน้ ระวางเปน็ ช้างหลวงจะไดร้ บั การเล้ียงดู เอาใจใส่เปน็ อย่างดีโดย
ตลอด แม้ในคราวท่ีมีอาการเจ็บป่วยเกิดความไข้ช้าง แต่ยังไม่ถึงกับล้ม (ตาย)
กจ็ ะโปรดใหม้ พี ธิ กี รรมพรอ้ ม ๆ กบั การรักษาดว้ ยยา เบอื้ งต้นจะนมิ นต์พระสงฆ์
มาสวดพระพทุ ธมนตร์ ะงบั ความไข้ โดยใหม้ กี ารวนสายสญิ จนร์ อบโรงชา้ งทกุ โรง
พระสงฆ์ถอื สายสญิ จนส์ วดแล้วประพรมน�้ำพระพทุ ธมนต์กบั ใหพ้ ระสงฆล์ งยนั ต์
บนกระดาษนำ� ไปปดิ โรงชา้ งทกุ โรง ตอ่ จากนน้ั จงึ ประกอบพธิ พี ราหมณ์ หมอเฒา่
ตั้งบายศรีท่ีหอเชือกประกอบพิธีบวงสรวง แล้วกลบบัตรสุมเพลิง กับท�ำบัตร
เสียกบาล ต้ังบูชาแล้วน�ำบัตรไปลอยแพไล่ความไข้ พิธีท่ีต้องท�ำอีกอย่างหน่ึง
เรียกว่า พิธีตั้งกรรมระงับความไข้ช้าง พิธีนี้หมอเฒ่าเป็นผู้ประกอบพิธี เมื่อตั้ง
เคร่ืองบวงสรวงและประกอบพิธีบูชาแล้ว เผาเครื่องยาสมุนไพรหลายชนิดตาม
แต่หมอเฒ่าจะก�ำหนดว่าเป็นสมุนไพรชนิดใดบ้างท่ีจะใช้กับโรคช้างที่เป็นอยู่
ในขณะน้ัน เพอื่ ใหช้ า้ งสูดดมควันยาสมนุ ไพรให้หายจากอาการไข้
เมอื่ ชา้ งหายจากอาการปว่ ยไขแ้ ลว้ จะตอ้ งประกอบพธิ แี กส้ นิ บนชา้ ง โดย
จัดให้มีการต้ังบายศรีทอง บายศรีเงิน บายศรีตอง บูชาที่หน้าเทวสถาน และ
ประกอบพิธีบวงสรวงท่ีหน้าหอเชือกด้วย ขณะประกอบพิธีทั้ง ๒ แห่ง ให้มี
การประโคม การแสดงละคร และการแสดงอนื่ ๆ ถวายเป็นส่วนประกอบการ
แก้สินบน เสร็จแล้วต้องท�ำพิธีรับขวัญช้าง โดยต้องนิมนต์พระสงฆ์สวด
พระพุทธมนต์ แล้วใหพ้ ราหมณ์ประกอบพิธที ำ� ขวัญ เวียนเทียนรอบพระยาชา้ ง
ในพิธนี ้ีใหม้ กี ารขับไม้กล่อมพระยาชา้ งด้วย
ถา้ ชา้ งปว่ ยไมห่ ายถงึ ลม้ (ตาย) ตามหลกั ฐานในพระราชพงศาวดาร กลา่ ว
ไวว้ า่ เมอ่ื พระยาเศวตลม้ ใชผ้ า้ ขาวคลมุ รา่ งพระยาชา้ งแลว้ ใหน้ มิ นตพ์ ระสงฆส์ วด
พระอภธิ รรม หมอเฒา่ ตงั้ บายศรปี ระกอบพธิ กี ลบบตั รสมุ เพลงิ แลว้ นำ� รา่ งชา้ งนนั้
ลงเรือ ใช้เรือด้ังท�ำเป็นเรือขนาน ๒ ล�ำ มีเพดานดาดด้วยผ้าขาว มีราชวัติ

289

รวั้ ไก่วนโดยรอบ เมอ่ื ชกั ลากศพชา้ งมาถึงทา่ น�้ำ อัญเชญิ ลงเรือ มีเรอื น�ำ เรือตาม
กระบวน แลว้ แห่ประโคมศพ มจี ่าปี่ จ่ากลอง แตรงอน แตรฝร่ัง สงั ข์ กลองชนะ
แห่ไปตลอดทางจนถึงสุสานท่ีปากลัด (ปัจจุบันอยู่ในเขตจังหวัดสมุทรปราการ)
ขุดหลุมฝงั ใหม้ ดิ ชดิ เปน็ เสร็จพธิ ี
(นางสาวกอ่ งแก้ว วรี ะประจกั ษ์)
หนังสืออ้างองิ
ดำ� รงราชานุภาพ, สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมพระยา. พระราชพงศาวดาร
กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ รชั กาลที่ ๒. พมิ พค์ รง้ั ที่ ๙. กรงุ เทพฯ : หา้ งหนุ้ สว่ นจำ� กดั
ไอเดียสแควร,์ ๒๕๔๖.
ประชุมหมายรับส่ังภาคท่ี ๓ ฉบับกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลพระบาทสมเด็จ
พระพุทธเลิศหล้านภาลัย. กรุงเทพฯ : คณะกรรมการพิจารณาและ
เอกสารทางประวัตศิ าสตร์ สำ� นักนายกรัฐมนตร,ี ๒๕๒๘.

พิธีทอดเชอื กดามเชือก

พิธีทอดเชือก๑ ดามเชือก๒ เป็นพิธีส�ำคัญเกี่ยวกับการพระคชกรรมของ
พราหมณผ์ ู้เป็นหมอช้าง ซึง่ ตอ้ งท�ำอยู่เสมอทุกปี ปลี ะ ๒ คร้งั มิไดเ้ วน้ ถึงแมว้ า่
จะไม่มีพระราชพิธีคเชนทรัศวสนาน เพราะโดยปรกติพิธีทอดเชือกดามเชือก
น้ี ตอ้ งทำ� ต่อจากพระราชพธิ คี เชนทรัศวสนาน โดยท�ำปีละ ๒ ครัง้ ในเดอื น ๕
ทำ� พิธีทอดเชอื ก แรม ๓ ค�ำ่ เวลากลางคืน และทำ� พธิ ีดามเชอื กแรม ๔ ค่ำ� เวลา
เช้า และในเดอื น ๑๐ จะทำ� พิธีทอดเชอื กข้นึ ๔ คำ่� เวลากลางคนื และท�ำพิธดี าม
เชือกขนึ้ ๕ ค�่ำ เวลาเชา้
ในสมยั รตั นโกสนิ ทร์ พราหมณป์ ระกอบพธิ ที อดเชอื กดามเชอื กทหี่ อเชอื ก
เชือกท่ีกล่าวถึงน้ีก็คือเชือกบาศ ซึ่งท�ำมาจากหนังควาย ใช้ส�ำหรับล่ามช้าง

๑ ทอด ในคำ� วา่ ทอดเชือก หมายถึง วาง, คล่ี
๒ ดาม ในคำ� วา่ ดามเชอื ก หมายถงึ ม้วนเกบ็

290

คลอ้ งชา้ ง ขดเปน็ วงเก็บอยูท่ ่ีหอเชือก ในปีหน่งึ ๆ ต้องมกี ารตรวจสอบว่าเชอื ก
บาศนนั้ ถกู แมลง หรอื หนู กดั แทะใหเ้ ปน็ อนั ตราย ช�ำรดุ เสยี หายอย่างไรหรือไม่
การน�ำเชือกบาศออกตรวจสอบนั้น ต้องประกอบพิธีถือกันว่าเป็นการบูชาครู
หรอื ไหวค้ รู ในเวลาคำ�่ มกี ารบวงสรวงตามแบบพธิ พี ราหมณ์ แลว้ จงึ นำ� เชอื กบาศ
คล่ีกางออกไว้ พราหมณ์พฤฒิบาศกล่าวดุษฎีสังเวย ต่อจากน้ันมีการร�ำพัดชา
โดยสมมุติว่าผู้ร�ำคือพระนารายณ์ คร้ังแปลงเพศลงมาสอนวิชาคชกรรมให้แก่
ชาวนาพ่ีน้อง ๔ คน ให้เป็นครูปะก�ำ เม่ือพระองค์เสด็จไปปราบช้างเอกทันต์
เสรจ็ การรำ� พัดชาแล้วเป็นเสร็จการพิธีทอดเชือก
ในวันร่งุ ข้นึ เวลาเชา้ เป็นพธิ ีดามเชอื ก กจิ กรรมทกี่ ระทำ� ในพิธีเหมอื นกบั
พิธีทอดเชือก ต่างกันที่เป็นการพับเชือกบาศที่กางไว้นั้น เก็บเข้าขดไว้เป็นวง
เช่นเดิม การพิธีท้ังหมดน้ีห้ามมิให้ผู้หญิงเข้าไปดูหรือเกี่ยวข้องด้วย เป็นพิธีที่มี
คำ� กลา่ วมาแตโ่ บราณวา่ พธิ นี จี้ ดั ใหม้ ขี นึ้ เพอ่ื ความเจรญิ เปน็ สริ สิ วสั ดมิ งคลแกช่ า้ ง
ซ่งึ เปน็ ราชพาหนะ เป็นก�ำลังแผน่ ดิน และเพื่อบ�ำบดั เสนียดจญั ไรใหผ้ ู้ท่มี ีหนา้ ท่ี
เก่ียวข้องกบั ช้างทั้งปวงดว้ ย
(นางสาวกอ่ งแก้ว วีระประจักษ)์
หนังสืออ้างอิง
พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม ๒. พมิ พ์ครั้งท่ี ๙. กรงุ เทพฯ :
กรมศิลปากร, ๒๕๔๒.
จลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั , พระบาทสมเดจ็ พระ. พระราชพธิ สี บิ สองเดอื น. พระนคร :
โรงพิมพ์พระจนั ทร,์ ๒๔๙๖.

พุทธกับไสยอาศยั กัน

พุทธกับไสยอาศัยกัน เป็นประโยคที่คนไทยแต่ก่อนมักพูดกันจนคุ้นห ู
เร่ืองน้ีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวไว้ใน
เรอ่ื งความทรงจำ� พมิ พ์ พ.ศ. ๒๔๙๗ วา่ ประเพณใี นบา้ นเมอื งของไทยเราแตเ่ ดมิ

291
ประกอบพิธีกรรมแต่ละศาสนาก็ต่างแยกปฏิบัติกันโดยเด็ดขาดไม่ปะปนกัน
กล่าวคือ ถ้าเป็นพิธีในทางธรรมปฏิบัติ ก็จะกระท�ำตามคติพระพุทธศาสนา
เรียกว่า พิธีสงฆ์ เช่น พิธีบวชนาค ส่วนพิธีทางโลกก็ท�ำตามคติไสยศาสตร์ของ
ศาสนาพราหมณ์ เรยี กวา่ พธิ พี ราหมณ์ เช่น พิธีจรดพระนงั คัลแรกนาขวัญ
ยคุ หลงั ตอ่ มาผทู้ ำ� พธิ ปี รารถนาสวสั ดมิ งคลตามคตทิ างพระพทุ ธศาสนาเพมิ่
มากขน้ึ จงึ นยิ มใหม้ พี ธิ สี งฆป์ ระกอบกนั กบั พธิ พี ราหมณ์ แตท่ แี่ ยกทำ� กนั อยา่ งเดมิ
กย็ งั มอี ยมู่ าก ในสว่ นทเี่ ปน็ พระราชพธิ นี นั้ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
มีพระราชด�ำริว่า สมัยน้ีพราหมณ์ผู้มีความรู้เชี่ยวชาญในพระเวทหมดตัวลง
ยังเหลอื แต่เชื้อสายท่สี ืบสกลุ มาโดยก�ำเนดิ จะหาผเู้ ข้าใจความในคัมภรี พ์ ระเวท
ไม่ได้แล้ว แต่จะเลิกเสียก็ไม่สมควรเพราะเป็นพิธีส�ำหรับชาวบ้านชาวเมืองและ
ราชประเพณีมาช้านาน จึงทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ แก้ไขระเบียบพิธี
พราหมณ์ซ่ึงเคยท�ำมาแต่โดยล�ำพังให้มีพิธีสงฆ์ด้วยทุกพิธี รวมทั้งระเบียบการ
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกซ่ึงเดิมเป็นแต่พิธีพราหมณ์ ก็ทรงแก้ไขให้มีพิธีสงฆ์
เปน็ พน้ื คงทำ� ตามพธิ พี ราหมณเ์ ฉพาะสรงมรุ ธาภเิ ษก ทรงรบั พระราชอาณาจกั ร
และทรงรับเคร่อื งราชกกธุ ภณั ฑ์เปน็ ส�ำคัญ
นอกจากน้ีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังได้ทรงแก้ระเบียบ
พิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยา ซึ่งเป็นพิธีสงฆ์กับพิธีพราหมณ์ท�ำด้วยกันมาแต่คร้ัง
กรุงศรีอยุธยา ซึ่งเดิมเริ่มด้วยพิธีสงฆ์มีสวดมนต์เล้ียงพระท�ำให้เป็นสวัสดิมงคล
ก่อน แล้วท�ำพิธีพราหมณ์อ่านโองการแช่งน้�ำสาบานและชุบพระแสง ต่อไป
ขา้ ราชการทำ� สตั ยถ์ อื นำ�้ ตอ่ หนา้ พระสงฆใ์ นพระอโุ บสถวดั พระศรรี ตั นศาสดาราม
แล้วเข้าไปเฝ้าถวายบังคมพระเจ้าแผ่นดินในท้องพระโรง พระบาทสมเด็จ
พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงเปลย่ี นประเพณเี ดมิ โดยพระองคเ์ สดจ็ ออกไปประทบั
เป็นประธานให้ข้าราชการถือน้�ำกระท�ำสัตย์และถวายบังคมท่ีพระอุโบสถวัด
พระศรรี ตั นศาสดาราม แลว้ พระองคเ์ องกเ็ สวยนำ�้ พระพพิ ฒั นส์ ตั ยา ทรงปฏญิ าณ
ความซือ่ ตรงเชน่ ข้าราชการทง้ั ปวงด้วย
(นางสาวก่องแกว้ วีระประจักษ์)

292

เมือ่ เรม่ิ มโี รงเรียน

ค�ำวา่ โรงเรยี น ไมป่ รากฏในพจนานุกรมสมยั ต้นรตั นโกสินทร์ ๒ เลม่ คือ
อกั ขราภธิ านศรบั ท์ และสพั ะ พะจะนะ พาสาไท แตป่ รากฏในศรพิ จนภ์ าษาไทย์
ซง่ึ ปรับปรุงมาจากสพั ะ พะจะนะ พาสาไท และพิมพ์เผยแพร่เม่ือ ค.ศ. ๑๘๙๖
(พ.ศ. ๒๔๓๙)
สาเหตุท่คี ำ� วา่ โรงเรยี น ไมป่ รากฏในพจนานุกรม ๒ เลม่ ดังกล่าว นา่ จะ
เป็นเพราะเพิ่งมีโรงเรียนในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
หลังจากพระองค์ทรงครองราชย์ได้ไม่นานก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ต้ัง
โรงเรียนเพ่ือฝึกอบรมกุลบุตรให้มีความรู้พอที่จะรับราชการได้ ในระยะเร่ิมแรก
คนไทยยงั ไมส่ นใจเรยี นหนงั สอื กนั นกั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
ทรงปรารภเรอื่ งทเี่ ดก็ มาเรยี นบา้ งไมม่ าบา้ ง มขี อ้ ความอา้ งไวใ้ นวทิ ยานพิ นธเ์ รอ่ื ง
“การเลิกทาสในรัชสมัยพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั ” วา่
...เหนวา่ การโรงเรียนหนังสือทใ่ี นเมอื งเรานี้ ควรจะใหม้ ีข้นึ ไดจ้ รงิ ๆ สกั
แหง่ หนงึ่ เหมอื นหนง่ึ โรงทานพระเจา้ แผน่ ดนิ ซงึ่ ไดโ้ ปรดใหส้ อนหนงั สอื มา
แต่ก่อนน้ัน เดก ๆ กไ็ ดร้ หู้ นงั สอื กนั ไปมาก คนที่เปนเสมยี นเขียนหนังสือ
ก็เปนคนออกจากโรงทานอยู่โดยมาก แต่ไม่ใคร่จะมากออกได้ ไม่ใคร่
จะรู้ จรงิ ๆ เพราะครอู าจารย์ไม่ใครจ่ ะเอาใจใสใ่ นการท่จี ะสอนเดก แลว้
เดกนน้ั จะมากไ็ ด้ ไมม่ ากไ็ ดต้ ามใจชอบ การจงึ ไมเ่ รยี บรอ้ ย ไมเ่ ปนการจรงิ
เขา้ ได้ อนงึ่ กไ็ ดต้ ง้ั โรงเรยี นวดั สอนหนงั สอื ลกู ขนุ นางกเ็ รยี นภอรบู้ า้ ง ดกี วา่
ทโี่ รงทาน แตก่ ็ยงั มาบา้ งไมม่ าบ้าง ชา้ ปีชา้ วนั จ่ึงได้ร.ู้ ..
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ต้ังโรงเรียน
ในพระบรมมหาราชวัง และทรงชักชวนให้พระราชวงศ์และข้าราชการส่งบุตร
หลานเขา้ เรียน ดงั พระบรมราชโองการประกาศเรื่องโรงเรยี น เมอื่ จ.ศ. ๑๒๓๓
(พ.ศ. ๒๔๑๔) ต่อไปนี้

293

ประกาศเรอื่ งโรงเรียน
มีพระบรมราชโองการมานพระบัณฑรู สรุ สิงหนาท ใหป้ ระกาศแก่
หมอ่ มเจา้ หมอ่ มราชวงศแ์ ลขา้ ราชการผใู้ หญผ่ นู้ อ้ ยซงึ่ ไดน้ ำ� บตุ รทลู เกลา้ ฯ
ถวายให้ท�ำราชการฉลองพระเดชพระคุณในกรมมหาดเลกบ้างในกรม
ทหารมหาดเลกรักษาพระองค์บ้างมเี ปนอันมาก จ่งึ ทรงพระราชด�ำริหว์ ่า
บตุ รหลานของทา่ นทง้ั ปวงบนั ดาทเ่ี ขา้ มารบั ราชการฉลองพระเดชพระคณุ
นั้น แต่ล้วนเปนผู้มีชาติมีตระกูล ควรจะรับราชการต่อไปในเบื้องหน้า
แต่ที่ยังไม่รู้หนังสือไทย แลขนบธรรมเนียมราชการโดยมากที่รู้อยู่บ้าง
แตย่ งั ใช้อักษรเอกโทแลตัวสกดผดิ ๆ ไม่ถกู ต้องตามแบบอย่างก็มีอยมู่ าก
แลการรู้หนังสือนี้ก็เปนคุณส�ำคัญข้อใหญ่ เปนเหตุจะให้ได้รู้วิชาแล
ขนบธรรมเนยี มตา่ ง ๆ จงึ่ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหจ้ ดั โรงสอนขน้ึ ไวท้ ี่
ในพระบรมมหาราชวัง แล้วจัดคนในกรมอาลักษณ์ตั้งให้เปนขุนนาง
พนักงานส�ำหรับเปนครูสอนหนังสือไทย แลคิดเลข ขนบธรรมเนียม
ราชการ พระราชทานเงินเดอื นให้ครสู อนใหส้ มควรภอใชส้ อยส่วนผเู้ รยี น
หนังสือน้ัน จะพระราชทานเสื้อผ้านุ่งห่มกับเบี้ยเลี้ยงกลางวันเวลาหน่ึง
ทุกวนั ครสู อนนน้ั จะให้สอนโดยอาการเรยี บร้อย ไม่ใหด้ า่ ตหี ยาบคาย...
นอกจากน้ี พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัวโปรดเกลา้ ฯ ให้ตัง้
โรงเรยี นตามวดั ต่าง ๆ เพือ่ ให้บุตรหลานของราษฎรได้เล่าเรยี นโดยสะดวก แต่
ทรงประสบปญั หาเพราะราษฎรเกรงวา่ บตุ รหลานทสี่ ง่ ไปเรยี นจะตอ้ งเปน็ ทหาร
พระองคต์ อ้ งมพี ระบรมราชโองการโปรดเกลา้ ฯ ใหป้ ระกาศแกค้ วามเขา้ ใจผดิ ของ
ราษฎร เมอ่ื จ.ศ. ๑๒๔๗ (พ.ศ. ๒๔๒๘) ดังมขี อ้ ความในประกาศตอนหน่ึงวา่
บดั นท้ี รงทราบใตฝ้ า่ ลอองธลุ พี ระบาทวา่ ราษฎรตนื่ เลา่ ฤๅกนั วา่ ซงึ่
โปรดเกล้าฯ ให้ต้ังโรงเรียนนั้น พระราชประสงค์จะเก็บเด็กนักเรียนเปน
ทหาร ผทู้ จี่ ะสง่ บตุ รห์ ลานเขา้ มาเลา่ เรยี นหนงั สอื กม็ กั จะพากนั หวาดหวนั่
คร่ันคร้าม ว่าบุตร์หลานจะต้องเปนทหารเปนอันมาก ท่ีพูดเล่าฤๅนี้เปน

294

การไม่จริง ห้ามอย่าให้ผู้ใดพลอยตื่นเต้นเชื่อฟังค�ำเล่าฤๅนี้เปนอันขาด
คนท่ีควรจะชักเปนทหารก็มีอีกพวกหน่ึงต่างหาก ไม่ต้องต้ังโรงเรียน
เกลยี้ กลอ่ มเดก็ มาเปนทหารเลย อนงึ่ เดก็ ทงั้ ปวงน้ี กแ็ ตล่ ว้ นเปนบตุ รห์ ลาน
ไพรฟ่ า้ ขา้ แผ่นดนิ ทง้ั ส้นิ ด้วยกนั ถา้ จะเกบ็ เอามาเปนทหารเสยี ตรง ๆ นนั้
ไมไ่ ดห้ รอื จะตอ้ งตง้ั โรงเรยี นเกลย้ี กลอ่ มใหล้ ำ� บาก แลเปลอื งพระราชทรพั ย์
ดว้ ยเหตใุ ด ผเู้ ลา่ ฤๅ โจทยก์ นั อยา่ งนน้ั เหมอื นเปนคนไมม่ กี ตญั ญไู มร่ พู้ ระเดช
พระคุณในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันทรงพระมหากรุณาทรง
พระราชดำ� ริห์จัดการจะให้เปนคณุ เปนประโยชนแ์ กป่ ระชาราษฎรทว่ั ไป
ในพระราชอาณาจกั ร์
ถ้อยค�ำของคนเช่นน้ัน ใคร ๆ ไม่ควรจะเช่ือเอาเปนประมาณถ้า
ใครมีบุตร์หลานอยากจะให้เล่าเรียน ให้มีวิชาความรู้ส�ำหรับตัวก็ส่งเข้า
เล่าเรียน ในโรงสอนท่ีใกล้เคียงเขตร์บ้านที่อยู่นั้นเถิด อย่าคิดหวาดหวั่น
คร่ันครา้ มด้วยขอ้ ทบี่ ตุ รห์ ลานจะตอ้ งตดิ เปนทหารน้ันเลย...
ประกาศข้างต้น นอกจากจะแก้ความเข้าใจผิดของราษฎรแล้ว ยังมี
ข้อความแสดงพระราชประสงค์ของพระองค์ในการตงั้ โรงเรยี น ดังนี้
...พระราชด�ำริห์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซ่ึงโปรดเกล้าฯ ให้
จัดการโรงเรียนทั้งปวงนี้ก็เพราะทรงพระมหากรุณาแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน
แลมพี ระราชประสงค์จะให้วิชาหนงั สือไทยรุ่งเรอื ง แพรห่ ลายเปนคุณแก่
ราชการแลเปนความเจริญแกก่ ารบา้ นเมืองย่งิ ขน้ึ ไป
(รศ. ดร.นววรรณ พนั ธเุ มธา)
หนงั สอื อา้ งองิ
๑๐๐ ปี พระราชสมัญญานาม พระปิยมหาราชกับการศกึ ษาไทย. กรุงเทพฯ :
สมาคมนสิ ติ เกา่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ในพระบรมราชปู ถมั ภ,์ ๒๕๕๑.
แนวพระราชดำ� รเิ กา้ รชั กาล.กรงุ เทพฯ:กรมวชิ าการกระทรวงศกึ ษาธกิ าร,๒๕๒๗.

295

ปิยกษัตริย์รัตนราช. กรุงเทพฯ : สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถมั ภ,์ ๒๕๕๔.
วิชัย เสวะมาตย์. การเลิกทาสในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว. วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต ภาควิชารัฐประศาสนศาสตร์
คณะรัฐศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์, ๒๕๑๑.
ศริพจน์ภาษาไทย์ พจนานกุ รมไทย-ฝร่งั เศส-องั กฤษ ฉบับ Bishop J. L. Vey
ค.ศ. ๑๘๙๖. กรงุ เทพฯ : คณะอนกุ รรมการชำ� ระกฎหมายตราสามดวง
สำ� นักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี, ๒๕๔๕.
สัพะ พะจะนะ พาสาไท. กรุงเทพฯ : สถาบนั ภาษาไทย กรมวชิ าการ กระทรวง
ศกึ ษาธิการ, ๒๕๔๒.
อกั ขราภธิ านศรบั ท์ ของหมอปรดั เล. พระนคร : องคก์ ารคา้ ของครุ สุ ภา, ๒๕๑๔.

แม่นำ้� เจา้ พระยา

แม่น�้ำเจา้ พระยาเป็นแม่น้ำ� สายหลักของประเทศไทย มีตน้ ก�ำเนดิ มาจาก
แม่น้�ำส�ำคัญ ๔ สายที่ไหลรวมกันที่จังหวัดนครสวรรค์ ก่อนจะไหลลงใต้ผ่าน
จังหวัดต่าง ๆ ไปออกปากแม่น้�ำเจ้าพระยาท่ีจังหวัดสมุทรปราการ รวมความ
ยาวท้ังส้นิ ๓๗๒ กโิ ลเมตร
หลักฐานทางประวัติศาสตร์และเอกสารที่บันทึกไว้ในสมัยอยุธยาบันทึก
ว่าพระมหากษัตริย์ได้เสด็จพระราชด�ำเนินทางชลมารคในโอกาสต่าง ๆ เช่น
การประพาสทางทะเลหรือการรบ โดยอาศัยแม่น้�ำเจ้าพระยาทั้งส้ิน และด้วย
เหตุที่เส้นทางบางช่วงคดโค้ง จึงโปรดให้ขุดคลองลัดขึ้นอย่างน้อย ๓ ครั้งคือ
ในรัชกาลสมเด็จพระไชยราชาธิราชโปรดให้ขุดคลองลัดบางกอกที่เป็นบริเวณ
หนา้ โรงพยาบาลศริ ิราช ในรัชกาลสมเดจ็ พระมหาจักรพรรดิ โปรดให้ขดุ คลอง
ลัดบางกรวย และสมเดจ็ พระเจ้าปราสาททองโปรดใหข้ ุดคลองลดั นนทบรุ ี

296
จดหมายเหตขุ องวลิ ะภาเคทะระเรอื่ งคณะทตู ลงั กาเขา้ มาประเทศสยาม
ระบุว่าเมื่อคณะทูตเดินทางกลับ “เรือก็ได้แล่นออกจากอ่าวชื่อปากน้�ำเขียว
เมือ่ เวลา ๑๑ นาฬกิ า ในวนั พธุ แรม ๖ ค�ำ่ ” ส่วนเอกสารสมยั อยธุ ยาตอนปลาย
ฉบับหนึ่งคือจดหมายเหตุระยะทางพระอุบาลีไปลังกาทวีป บันทึกว่าคณะสงฆ์
อยุธยาออกเดินทางไปยังลังกาเพื่อการสืบพระพุทธศาสนาใน “วันพุธเดือนย่ี
ขึน้ ๑๓ ค่�ำเพลาเชา้ กรมการกม็ านิมนต์พระสงฆ์ข้นึ ไปฉัน ณ ศาลากลาง แล้ว
เวียนเทียนสมโภชพระราชสาส์นแล้ว ออกไปถึงปากน้�ำเขียวบางเจ้าพระยา”
อีกตอนหนึ่งว่า “แลเชิญพระราชสาส์นไปแต่หอพระราชสาส์นแต่ ณ วันศุกร์
เดอื นอา้ ย ข้ึน ๑๑ ค่ำ� ถึงน�ำ้ เขยี วปากน้�ำบางเจา้ พระยาจนได้ใชใ้ บยาตราก�ำป่ัน
ทรงพระราชสาสน์ ” และ “ณ วนั พธุ เดอื นยแี่ รม ๖ คำ�่ ปวี อกจตั รวาศก นายกำ� ปน่ั
และตน้ หนใหญน่ อ้ ย จะยาตรากำ� ปน่ั ทรงพระราชสาสน์ ขา้ หลวงมชี อื่ จงึ ถามวา่ ทาง
แตน่ ำ�้ เขยี วปากนำ้� บางเจา้ พระยา ลงไปถงึ เมอื งไยกะตรา นน้ั เทา่ ใด” บางนำ้� เขยี ว
หรือบางน�้ำเขียวเจ้าพระยา จึงเป็นชื่อภูมิสถานท่ีปรากฏในเอกสารร่วมสมัย
อยุธยาและก�ำหนดพน้ื ทบ่ี ริเวณปากแม่นำ้� เจ้าพระยาในปัจจุบนั ดว้ ย
สมเด็จพระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ทรงสนั นษิ ฐาน
เรอื่ งทต่ี ง้ั ของปากนำ�้ เจา้ พระยาไวว้ า่ “ทเ่ี ราเรยี กกนั วา่ ปากนำ�้ เจา้ พระยาทกุ วนั น้ี
แตโ่ บราณเรยี กว่าปากน้�ำพระประแดง ภายหลงั เมือ่ แผน่ ดินงอก ทะเลหา่ งออก
ไปไกลเมอื งพระประแดง จงึ เรยี กวา่ ปากนำ�้ บางเจา้ พระยา ไดเ้ หน็ ในจดหมายเหตุ
พระอบุ าลไี ปเมอื งลงั กา เมอ่ื แผน่ ดนิ สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั บรมโกศ ในหนงั สอื นนั้
เรียกว่าปากน้�ำบางเจ้าพระยา ท�ำนองเรียกปากน�้ำบางประกง เข้าใจว่าท่ีซึ่งต้ัง
เมอื งสมทุ รปราการทุกวันน้ี ในเวลาน้ันจะเรยี กบางเจา้ พระยา”
บางเจา้ พระยาหรอื ปากนำ�้ เขยี วบางเจา้ พระยาจงึ เปน็ คำ� เกา่ ทใ่ี ชเ้ รยี กแมน่ ำ�้
เจ้าพระยามาก่อน มีความหมายตามช่ือภูมิศาสตร์บริเวณปากแม่น้�ำ ก่อนออก
ทะเลทอ่ี ่าวไทย ซ่งึ คงเปน็ บริเวณจังหวดั สมุทรปราการในปจั จบุ นั
ช่อื แมน่ ้�ำเจ้าพระยาปรากฏในแผนที่ของฟรา เมาโรชาวอิตาลี ทเี่ ขยี นใน
พ.ศ. ๒๐๐๒ รัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เรียกแม่น้�ำเจ้าพระยาว่า

297

แมน่ �ำ้ “ชิแอรโ์ น” หรอื “คงคา” ค�ำวา่ “ชแิ อร์โน” ตรงกบั “ชาหนว”ี ซงึ่ เปน็
ชื่อหนึ่งของแม่น�้ำคงคาในประเทศอินเดีย
(รศ. ดร.ปรีดี พิศภมู ิวิถ)ี
หนังสอื อา้ งองิ
กรมศิลปากร. จดหมายเหตุของวิละภาเคทะระ เรื่องคณะฑูตลังกาเข้ามา
ประเทศสยาม. กรุงเทพฯ : บญุ เจรญิ อนิ เตอร์เทรด, ๒๕๕๖.
สจุ ติ ต์ วงษเ์ ทศ. แมน่ ำ้� ลำ� คลองสายประวตั ศิ าสตร.์ กรงุ เทพฯ : มมตชิ น, ๒๕๓๙.

ฤกษ์และนิมิตแหง่ ฤกษ์

ฤกษ์ตามความหมายทางวิชาดาราศาสตร์ คือ ดาวประเภทหนึ่งอยู่บน
ท้องฟ้า เรียกว่า ดาวฤกษ์เป็นดาวท่ีมีแสงสว่างในตัวเอง ลักษณะเป็นกลุ่ม
ก้อนแก๊สร้อน รูปกลมขนาดใหญ่ ดังเช่นดวงอาทิตย์ก็เป็นดาวฤกษ์ดวงหน่ึง
อาณาเขตที่ลอ้ มรอบดวงอาทิตยเ์ ป็นปริมณฑลกวา้ งออกไปไมส่ นิ้ สดุ เรียกกันว่า
สรุ ยิ จกั รวาล ในขอบเขตสรุ ยิ จกั รวาลมดี าวพระเคราะหจ์ ำ� นวนมากเดนิ หรอื โคจร
ไปรอบ ๆ ดวงอาทติ ย์ เรยี กว่า จกั รราศี
ในจกั รราศีแบ่งเป็น ๑๒ สว่ นตามวชิ าโหราศาสตร์ เรียกว่า ๑๒ ราศี โดย
ก�ำหนดให้แต่ละราศี คือ เดอื นทง้ั ๑๒ เดอื น เมอื่ ดวงอาทติ ย์เดินรอบจักรราศี
๑ รอบ ใชเ้ วลา ๑ ปี เท่ากบั ๑๒ เดอื นพอดี และในแตล่ ะราศียงั มีกลุ่มดาวสถติ
ประจ�ำอยู่ จึงก�ำหนดเรียกชื่อราศีและเดือนตามชื่อกลุ่มดาวทั้ง ๑๒ กลุ่ม โดย
เร่ิมตน้ จากราศเี มษดังนี้
๑. กลมุ่ ดาวรูปแกะ หรือ แพะ เรียกว่า ราศีเมษ คอื เดือนเมษายน
๒. กลมุ่ ดาวรปู ววั เรยี กวา่ ราศีพฤษภ คือ เดือนพฤษภาคม
๓. กลุ่มดาวรปู คนคู่ เรียกว่า ราศีมถิ นุ คือ เดือนมิถนุ ายน
๔. กลุ่มดาวรูปปู เรียกวา่ ราศกี รกฏ คอื เดือนกรกฎาคม
๕. กลุ่มดาวรูปสิงห์ เรยี กว่า ราศีสิงห์ คือ เดือนสิงหาคม
๖. กลุ่มดาวรปู คนผ้หู ญงิ เรียกวา่ ราศกี ันย์ คือ เดือนกันยายน

298
๗. กลมุ่ ดาวรูปคันชง่ั หรอื คนถือคันชง่ั เรียกวา่ ราศตี ลุ คอื เดือนตลุ าคม
๘. กลุ่มดาวรปู แมงป่อง เรียกวา่ ราศีพจิ กิ คอื เดือนพฤศจิกายน
๙. กลุ่มดาวรปู ธนู หรือคนถือธนู เรียกว่า ราศธี นู คือ เดอื นธันวาคม
๑๐. กลมุ่ ดาวรปู มังกร เรียกว่า ราศีมกร (มังกร) คอื เดือนมกราคม
๑๑. กลุ่มดาวรูปหม้อ หรือคนปั้นหม้อ เรียกว่า ราศีกุมภ์ คือ เดือน
กมุ ภาพนั ธ์
๑๒. กลุม่ ดาวรูปปลาตะเพยี น เรียกว่า ราศีมีน คือ เดือนมีนาคม
นอกจากนั้น ยังมีกลุ่มดาวทเ่ี รยี กวา่ ดาวนกั ษตั รฤกษ์อีก ๒๗ กลุ่ม อยใู่ น
ระหวา่ งราศี ประมาณราศลี ะ ๒ ฤกษ์ ซงึ่ จะเรยี งลำ� ดบั คาบเกย่ี วกนั กบั ราศถี ดั ไป
ดาวนักษตั รฤกษ์ทงั้ ๒๗ ฤกษน์ ีใ้ นตำ� ราโหราศาสตรก์ ำ� หนด เปน็ ฤกษ์บน มชี อ่ื
เรียกทบี่ างต�ำราก�ำหนดไว้ดงั นี้
ฤกษ์ท่ี ๑ ชื่อ อัศวินี (อัศยุชหรืออัศวยุช) กลุ่มดาวน้ีมี ๗ ดวง เรียกว่า
ดาวมา้ หรอื ดาวคอมา้ ในตำ� ราพชิ ยั สงครามกำ� หนดใหเ้ ปน็ ดาวประจำ� เมอื งกมั พชู า
ฤกษท์ ่ี ๒ ช่อื ภรณี กล่มุ ดาวน้มี ี ๓ ดวง เรียงเป็นรปู สามเหลีย่ มเหมือน
กอ้ นเสา้ จงึ เรยี กวา่ ดาวก้อนเส้าหรือดาวแม่ไก่ เปน็ ดาวประจำ� เมอื งพุกาม
ฤกษ์ที่ ๓ ชื่อ กฤติกาหรือกัตติกา กล่มุ ดาวน้มี ี ๘ ดวง เรยี กวา่ ดาวลกู ไก่
หรอื ดาวธง เป็นดาวประจำ� เมอื งหรภิ ุญไชยหรือลำ� พนู ไชย
ฤกษ์ท่ี ๔ ช่ือ โรหิณี (พราหมณีหรืออาครหายณี) กลุ่มดาวนี้มี ๗ ดวง
เรียกว่า ดาวจมูกม้าหรือดาวไม้ค้�ำเกวียน บางต�ำราเรียกดาวคางหมู หรือดาว
ประกายพรกึ เป็นดาวประจ�ำเมืองอโยธยาหรืออยุธยา
ฤกษท์ ี่ ๕ ชอ่ื มฤคศริ หรอื มคิ สริ ะ กลมุ่ ดาวนม้ี ี ๓ ดวง เรยี กวา่ ดาวหวั เนอื้
หรอื ดาวโค บางต�ำราเรยี กดาวหวั เต่า เปน็ ดาวประจ�ำเมืองหงสาวดี
ฤกษท์ ี่ ๖ ชอ่ื อารทรา (อัทธระ) ดาวนีม้ เี พียงดวงเดยี ว เรียกวา่ ดาวตา
ส�ำเภา หรอื ดาวฉัตร บางตำ� ราเรียกดาวสำ� เภา เป็นดาวประจ�ำเมอื งทวาย
ฤกษ์ท่ี ๗ ชอ่ื ปนุ พั สู (ปุนพั สุหรอื ปุนวรสุ) กลมุ่ ดาวนม้ี ี ๓ ดวง เรยี กว่า
ดาวสำ� เภาทอง บางตำ� ราเรยี กดาวเรอื ชยั เปน็ ดาวประจ�ำเมอื งพะโค

299
ฤกษท์ ่ี ๘ ชอื่ ปษุ ย (บศุ ย บางตำ� ราเรยี ก สธิ ย) กลมุ่ ดาวนมี้ ี ๕ ดวง เรยี กวา่
ดาวสมอสำ� เภา หรือดาวปู ดาวปุยฝ้าย ดาวดอกบัว กเ็ รียก เปน็ ดาวประจำ� เมือง
อินทปัต (เขมร)
ฤกษท์ ่ี ๙ ชือ่ อาศเลษา (อัศเลขหรอื อสิเลส) กล่มุ ดาวนี้มี ๕ ดวง เรยี กวา่
ดาวพ้อม หรือดาวเรือน บางต�ำราเรียก ดาวนกในหม้อดิน หรือดาวแขนคู้
เป็นดาวประจ�ำเมืองราชคฤห์
ฤกษ์ที่ ๑๐ ชือ่ มฆา หรอื มาฆะ กลุม่ ดาวนีม้ ี ๕ ดวง เรยี กว่า ดาววานรผู้
หรอื ดาวแรดผู้ (บางตำ� ราเรยี กดาวหงอนไก่ งอนไถ หรอื งผู )ู้ เปน็ ดาวประจำ� เมอื ง
พาราณสี
ฤกษ์ท่ี ๑๑ ชอ่ื บรุ พผลคณุ ี (บพุ คณุ หรอื บพุ พผคั คณุ )ี กลมุ่ ดาวนมี้ ี ๒ ดวง
เรยี กวา่ ดาวเพดานหน้าหรืองเู มีย (บางตำ� ราเรยี กดาวแรดผู้ หรือวัวผ)ู้ เปน็ ดาว
ประจำ� เมอื งมิถิลา
ฤกษท์ ่ี ๑๒ ช่ือ อุตรผลคุณี (อุตรผคุณหรืออุตตรผัดคุณี) กลุ่มดาวนี้มี
๒ ดวง เรียกว่า ดาวเพดานหลังหรือวัวเมีย (บางต�ำราเรียกดาวงูเหลือม) เป็น
ดาวประจำ� เมืองทวาย
ฤกษท์ ่ี ๑๓ ชือ่ หสั ต หรือหตั ถ กลมุ่ ดาวนีม้ ี ๕ ดวง เรียกว่า ดาวฝ่ามอื
หรอื ดาวศอกคู้ บางต�ำราเรียกดาวหัวชา้ ง เปน็ ดาวประจ�ำเมืองมัณฑะเลย์
ฤกษ์ที่ ๑๔ ช่ือ จิตรา เป็นดาวมีดวงเดียว เรียกว่า ดาวตาจระเข้ หรือ
ดาวเสอื (บางตำ� ราเรยี ก ดาวตอ่ มนำ�้ หรอื ดาวไตไ้ ฟ) เปน็ ดาวประจำ� เมอื งอรญั วดี
ฤกษท์ ่ี ๑๕ ชอื่ สวาติ หรอื สาติ กลมุ่ ดาวนม้ี ี ๔ ดวง บางต�ำราวา่ มี ๕ ดวง
เรยี กวา่ ดาวกระออมนำ�้ หรอื ดาวชา้ งพงั [บางตำ� ราเรยี กดาวชา้ งหรอื ดาวงเู หลอื ม
ผัดช้าง (ล่อชา้ ง)] เปน็ ดาวประจ�ำเมืองไพศาลี
ฤกษ์ท่ี ๑๖ ชอื่ วศิ าขา หรอื วศิ าขะ กลมุ่ ดาวนมี้ ี ๓ ดวง บางตำ� ราวา่ มี ๕ ดวง
เรียกว่า ดาวคันฉัตร หรือดาวหนองลาด (บางต�ำราเรียกดาวแขนนางหรือ
ดาวหวั ควาย) เปน็ ดาวประจ�ำเมืองทวาย

300
ฤกษ์ท่ี ๑๗ ชื่อ อนุราชา หรืออนุราชะ กลุ่มดาวนี้มี ๔ ดวง เรียกว่า
ดาวประจำ� ฉตั ร หรอื ดาวหงอนนาค (บางตำ� ราเรยี กดาวนกยงู ) เปน็ ดาวประจำ� เมอื ง
กัมพชู า
ฤกษ์ท่ี ๑๘ ชอื่ เชษฐาหรอื เชษฐะกลมุ่ ดาวนม้ี ี๑๔ดวงเรยี กวา่ ดาวชา้ งใหญ่
หรือดาวแพะ หรอื ดาวงาช้าง เปน็ ดาวประจ�ำเมืองกลิงคราช
ฤกษท์ ่ี ๑๙ ชื่อ มลู า หรือมูละ (หรอื มลู สาร) กลุ่มดาวนม้ี ี ๙ ดวง เรยี กวา่
ดาวช้างน้อย หรือดาวแมว หรือดาวสะดือนาค เป็นดาวประจ�ำเมืองจันทบุรี
(เวยี งจันทน)์
ฤกษท์ ี่ ๒๐ ชอ่ื บูรพาษาฒ หรอื บุรพาอาษาฒ หรอื ปพุ พอาษาฒ กลุม่
ดาวน้ีมี ๓ ดวง เรียกว่าดาวสัปคับช้าง (ดาวปากนกหรือดาวราชสีห์ผู้) เป็น
ดาวประจ�ำเมอื งใต้
ฤกษ์ที่ ๒๑ ชื่อ อุตราษาฒ กลุ่มดาวนี้มี ๕ ดวง เรียกว่า ดาวแตรงอน
(ดาวครุฑหรือดาวราชสีหเ์ มยี ) เปน็ ดาวประจ�ำเมืองรามัญ
ฤกษ์ที่ ๒๒ ชอ่ื ศรวณะ หรอื ศราวณะ หรอื สาวันนะ กลุม่ ดาวน้ีมี ๓ ดวง
เรียกว่า ดาวหลักชัย (ดาวโลง หรือดาวหามผี หรือดาวหลักชัยฤๅษี) เป็น
ดาวประจ�ำเมอื งไทใหญ่
ฤกษ์ที่ ๒๓ ช่อื ธนิษฐา หรือศรวษิ ฐา กลมุ่ ดาวน้มี ี ๔ ดวง เรียกว่า ดาวไซ
หรือดาวยักษ์ หรอื ดาวกา เปน็ ดาวประจำ� เมอื งโกสมั พี
ฤกษท์ ่ี ๒๔ ช่ือ ศตภิษัช กลุ่มดาวน้ีมี ๔ ดวง เรียกว่า ดาวพิมพ์ทอง
(ดาวมังกรหรือดาวเศรษฐ)ี เปน็ ดาวประจำ� เมอื งนครราชสมี า
ฤกษท์ ่ี ๒๕ ช่ือ บรุ พภัทรบท หรอื ปุพภทั รบท หรือโปฐบท กลุ่มดาวนมี้ ี
๒ ดวง เรียกว่า ดาวหัวเน้ือทราย หรือดาวราชสีห์ผู้ หรือดาวแรดผู้ เป็นดาว
ประจ�ำเมืองอินทปัต
ฤกษท์ ี่ ๒๖ ช่ือ อตุ รภทั รบท หรืออตุ ราภทั ร กลมุ่ ดาวน้ี มี ๒ ดวง เรียกว่า
ดาวไม้เท้า (ดาวราชสหี ์เมยี หรอื ดาวแรดเมยี ) เป็นดาวประจ�ำเมอื งกบิลพสั ด์ุ

301
ฤกษ์ท่ี ๒๗ ช่ือ เรวดี หรอื เรวติ กลมุ่ ดาวนมี้ ี ๑๖ ดวง เรยี กวา่ ดาวปลา
ตะเพียน (ดาวหญงิ ทอ้ งหรอื ดาวนาง) เปน็ ดาวประจ�ำเมืองอนรุ าช (อนุราธ) และ
สังขทวีป
นอกจากนนั้ ยงั ไดจ้ ดั แยกประเภทฤกษอ์ อกจากกลมุ่ ดาวฤกษ์ ทง้ั ๒๗ กลมุ่
ก�ำหนดเปน็ ฤกษล์ ่าง มี ๙ กลุ่ม คอื
๑. ทลทิ โทฤกษ์ แปลวา่ ผู้ขอ มักใช้ในการสขู่ อ
๒. มหัทธโนฤกษ์ แปลว่า เศรษฐี มักใชใ้ นการมงคลตา่ ง ๆ เชน่ การขน้ึ
บา้ นใหม่
๓. โจโรฤกษ์ แปลว่า โจร มกั ใช้ในการมงคลต่าง ๆ
๔. ภูมิปาโลฤกษ์ แปลว่า ผู้รักษาแผน่ ดิน มักใช้ในการมงคล
๕. เทศาตรฤี กษ์ แปลว่า โสเภณี มกั ใช้ในการเปิดกิจการร้านคา้ ตา่ ง ๆ
๖. เทวีฤกษ์ แปลว่า นางพญา มักใชใ้ นการมงคล
๗. เพชฌฆาตฤกษ์ แปลว่า ผู้ฆา่ มักใชใ้ นการปลกุ เสกเครอื่ งรางของขลงั
๘. ราชาฤกษ์ แปลว่า พระเจา้ แผน่ ดนิ มกั ใชใ้ นการมงคลต่าง ๆ
๙. สมโณฤกษ์ แปลวา่ พระ มกั ใชใ้ นการมงคลตา่ ง ๆ เชน่ การวางศลิ าฤกษ์
อปุ สมบท
ฤกษ์ ตามความหมายทางต�ำราท�ำนาย หรือวิชาโหราศาสตร์ หมายถึง
เวลาซง่ึ เหมาะสมเปน็ ชยั มงคลหรอื อปั มงคล คนในสมยั โบราณ มวี ธิ กี ำ� หนดเวลา
ฤกษ์ ๒ อยา่ ง คอื
๑. ใช้วิธีสังเกตหรือพิจารณาจากส่ิงต่าง ๆ ที่ได้เห็น ได้ยิน หรือได้กลิ่น
จากสง่ิ รอบ ๆ ตัว อนั มอี ยใู่ นธรรมชาติ แลว้ วเิ คราะห์กำ� หนดเปน็ เกณฑป์ ระกอบ
ความหมาย ใชใ้ นเวลาทเ่ี หมาะสมเปน็ มงคล มโี ชคชยั หรอื เปน็ อปั มงคล ขดั โชคชยั
เป็นต้น
๒. ใช้วิธีหาเวลาฤกษ์จากการค�ำนวณตามต�ำราโหราศาสตร์ หรือต�ำรา
ทำ� นายตา่ ง ๆ ซง่ึ ผลทไ่ี ดห้ าความแนน่ อนไดย้ าก บางครงั้ อาจมกี ารคลาดเคลอื่ นได้

302
ทัง้ นี้ เพราะในการกำ� หนดเวลาฤกษอ์ าจเกดิ เหตุการณแ์ ทรกซ้อนผันแปร ทำ� ให้
เกณฑ์ก�ำหนดผิดเพี้ยนไปได้ เช่น ก�ำหนดว่าเวลาฤกษ์นั้นจะเกิดนิมิตให้ได้ยิน
เสียงดนตรีเป็นมงคล แต่หากบังเอิญเสียงดนตรีที่ได้ยินเป็นเสียงดนตรีงานศพ
เวลาฤกษ์น้ันก็จะผิดพลาดไปเป็นอัปมงคลทำ� ให้ผู้ประกอบพิธีตามเวลาฤกษ์นั้น
ประสบเรอื่ งเลวร้ายไม่เป็นนมิ ติ ฤกษท์ ด่ี ี
นิมิต คือ ส่ิงบอกเหตุล่วงหน้า หรือสัญญาณบอกเหตุร้ายหรือดี เป็น
เคร่ืองหมายท่ีปรากฏให้เห็น ได้ยิน ได้กล่ิน หรือสัมผัสรับรู้ได้ ในลักษณะใด
ลักษณะหนง่ึ
ส่วนนิมิตแห่งฤกษ์ที่จะได้กล่าวถึงนี้ก�ำหนดให้สังเกตดูดวงอาทิตย์
ดวงจันทร์ และดวงดาวบนท้องฟ้าเม่ือกลุ่มเมฆเคลื่อนท่ีผ่านเข้าไปบดบัง
ดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์บังเกิดให้เห็นเป็นรูปต่าง ๆ ในขณะเวลานั้นเรียกว่า
เวลาฤกษ์ ซ่ึงในต�ำราก�ำหนดให้มีความหมายทั้งในทางที่ดี เป็นมงคล และใน
ทางรา้ ย เป็นอปั มงคล
การดูนิมิตจากดวงอาทิตย์ หากดใู นเวลาเชา้ ตรู่ขณะแสงอาทติ ย์ยงั ออ่ นมี
หมอกบาง ๆ บงั อยู่ กอ็ าจดไู ดด้ ว้ ยตาเปลา่ แตเ่ มอื่ เวลาสายมากขนึ้ หรอื ตลอดเวลา
กลางวัน แสงอาทิตย์แรงกล้ามาก ดูดว้ ยตาเปล่าไม่ได้ คนโบราณมีวิธกี ารดูโดย
ผ่านน้ำ� ในขันสาครขนาดใหญห่ รือที่เรยี กว่า “แมข่ นั ” ใส่น้ำ� ให้เตม็ ประดษิ ฐาน
ไว้บนเนินดนิ กลางแจง้ ให้เป็นท่ีเฉพาะ และมกั มเี สาสูงปักไว้ใกล้ ๆ ขนั นัน้ ด้วย
เมอ่ื จะดนู มิ ติ จากดวงอาทติ ย์ กจ็ ะดจู ากเงานำ�้ ในขนั นน้ั ซงึ่ นำ�้ ในขนั ตอ้ งนงิ่ มาก ๆ
เพอื่ ความชัดเจนของนมิ ิต ส่วนเสาท่ีปักไว้คูก่ บั ขันสาครนนั้ ใช้เป็นทีส่ ังเกตเพอ่ื
การกำ� หนดเวลาแบบโบราณ เรยี กวา่ ช้นั ฉาย ซงึ่ ตอ้ งอาศัยแสงของดวงอาทติ ย์
ส่องผ่านเสาให้เกิดเงาทอดยาวออกไป แล้วใช้ช่วงรอยเท้าวัดตามเส้นเงาน้ัน ๑
ช่วงรอยเท้าเท่ากับเวลา ๑ ชั้นฉาย (โดยประมาณเท่ากับ ๑๕ องคุลี) ฤกษ์ที่
ได้จากการดูนิมิตของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์นี้เรียกว่า ฤกษ์บน เหมือนกับ
ฤกษท์ ่ีได้จากกลุม่ ฤกษ์ทง้ั ๒๗ กลุ่ม ตวั อย่างเชน่ ในจดหมายความทรงจำ� ของ

303

กรมหลวงนรินทรเทวี กล่าวไว้ว่า “ดวงพระสุริยนต์เยี่ยมเพียงปลายไม้ ฤกษ์
บนนั้นวิปริต รูปเมฆเป็นอาวุธผ่ากลางดวงอาทิตย”์ หมายถึงเป็นนิมิตร้ายไม่ดี
หรือเป็นอปั มงคล
ส่วนการดูนิมิตจากดวงจันทร์นั้น ดูได้ด้วยตาเปล่าเพราะแสงจันทร์อ่อน
ไม่แรงกล้าเช่นแสงอาทิตย์ แต่ความหมายของนิมิตก็จะเหมือนกันกับนิมิตของ
ดวงอาทติ ย์
การดนู มิ ติ จากดวงดาว ใหส้ งั เกตแสงสวา่ งของดวงดาว พจิ ารณาไปพรอ้ ม ๆ
กบั ทศิ ทางของรัศมสี ว่ นหัว และหางของดวงดาวเหลา่ นนั้ คือ สวา่ งจา้ สดใสเป็น
นิมิตที่ดี ถ้ามัวหมองริบหรี่เป็นนิมิตร้าย ดาวท่ีใช้เป็นท่ีสังเกตก็คือดาวประจ�ำ
เมืองของแตล่ ะเมอื งตามทีไ่ ด้กลา่ วไวใ้ นกลุ่มดาวฤกษ์ทั้ง ๒๗ แล้ว วิธีดูนิมติ ของ
ดวงดาวนั้นให้พิจารณาว่าหางของดวงดาวหันไปสู่ทิศทางใด ความหมายของ
นมิ ติ ก็จะเป็นไปตามน้นั ซง่ึ มกี ลา่ วไวใ้ นตำ� ราท�ำนายต่าง ๆ แลว้ และมกั ใช้กบั
การพชิ ัยสงครามเทา่ น้นั
(นางสาวกอ่ งแก้ว วรี ะประจกั ษ์)

ลกั ษณะแมวให้คุณให้โทษ

แมวเป็นสัตว์ที่ผูกพันกับมนุษย์มาก เพราะมีนิสัยช่างประจบเอาใจและ
มกั คลอเคลยี อยไู่ มห่ า่ ง คนไทยนยิ มเลย้ี งแมวไวใ้ นบา้ น บา้ งใหเ้ ปน็ เพอ่ื นเลน่ หรอื
ใหค้ อยจบั หนู นอกจากนย้ี งั มตี �ำราดูลักษณะแมวที่ใหค้ ุณใหโ้ ทษส่งั สอนสืบทอด
กนั ตอ่ มา ดังเชน่ สมดุ ไทยโบราณเรื่องลกั ษณะแมว และต�ำราดูแมวของสมเด็จ
พระพฒุ าจารย์ (พุทธสรมหาเถระ) วดั อนงคาราม
สมดุ ไทยลกั ษณะแมว เปน็ คำ� ประพนั ธป์ ระเภทโคลงสสี่ ภุ าพ ประกอบดว้ ย
โคลงไหว้ครู ๒ บท ต่อด้วยโคลงท�ำนายลักษณะแมวที่ให้คุณ ๑๗ ชนิด และ
ลกั ษณะแมวทีใ่ ห้โทษ ๖ ชนิด มรี ายละเอยี ดดงั น้ี
ลกั ษณะแมวทใ่ี หค้ ุณ คือ

304
๑. แมวนิลรตั น์ ขนสดี ำ� ฟนั ตา เลบ็ ลนิ้ ล้วนเปน็ สดี ำ� สนิท หางยาวโคง้
น้อมมาถงึ หัวได้
๒. แมววลิ าศ มเี สน้ สขี าวลอดใตท้ อ้ งขน้ึ มาจรดใบหทู งั้ สองขา้ ง ทส่ี นั หลงั
มสี ขี าวยาวจรดปลายหาง เทา้ ทง้ั ๔ สขี าว ตาสเี ขยี ว สว่ นบรเิ วณอนื่ ขนสดี ำ� สนทิ
๓. แมวศุภลกั ษณ์หรอื ทองแดง มสี ีขนเหมือนสีทองแดง ตาสแี ดงเชน่ กนั
๔. แมวเกา้ แตม้ ขนสขี าวมจี ดุ ดำ� เกา้ แหง่ คอื ทก่ี ลางหวั ๑ คอ ๑ ตน้ คอ ๑
ตน้ ขาหลงั ๒ ขา้ ง ต้นขาหนา้ ๒ ขา้ ง และเทา้ หน้าดำ� ท้ัง ๒ ข้าง รวมเป็น ๙ แห่ง
๕. แมวมาเลศหรอื ดอกเลา มสี ขี นทว่ั ตวั ดง่ั สดี อกเลาหรอื สเี ทา แซมดว้ ย
สีขาว สีตาด่งั สีนำ้� ค้าง
๖. แมวแซมเศวต เปน็ แมวทมี่ ขี นดำ� ทว่ั ตวั แตม่ ขี นสขี าวขน้ึ แซมเปน็ ระยะ
ดงู าม ตาสดี ่งั ห่ิงห้อยหรือสนี �้ำทอง
๗. แมวรตั นกมั พล แมวสขี าวเหมอื นสสี งั ข์ แตม่ ขี นสดี ำ� เปน็ สายรดั รอบตวั
บรเิ วณอกและหลงั สีตาเหมือนสที องเนอื้ หก
๘. แมววิเชียรมาส แมวขนขาวแตม่ ีจดุ ดำ� แตม้ ๘ แห่งคือ ปากบน หาง
เทา้ ทั้ง ๔ และหทู ง้ั ๒ มตี าสเี หมือนสนี าคสวาสดิ
๙. แมวนลิ จักร แมวสีดำ� นิล แต่มีขนสีขาวคลา้ ยจกั รรดั ที่รอบคอ
๑๐. แมวมลุ ลิ า แมวดำ� เหมอื นสนี ลิ แตท่ ใ่ี บหทู ง้ั ๒ สขี าว สตี าเปน็ สเี หลอื ง
๑๑. แมวกรอบแว่นหรืออานม้า แมวสีขาวแต่มีขนสีด�ำรอบดวงตา
ท้งั สองขา้ ง ทห่ี ลงั มขี นดำ� เหมือนอานม้า
๑๒. แมวชื่อปัดเศวตหรือปัดตลอด แมวสีด�ำแต่ท่ีปลายจมูกมีสีขาวยาว
ตลอดปลายหาง สีตาดง่ั สีทองหรือสตี าเน้อื ทราย หรือสีเหลืองบุษราคมั
๑๓. แมวชอ่ื กระจอก ลกั ษณะตวั กลม ขนสดี ำ� มขี นสขี าวแซมทรี่ อบปาก
ตาสีเหลอื งเหมอื นสรี ง
๑๔. แมวสิงหเสพย์ ขนสีด�ำทวั่ ตวั รมิ ฝีปากมขี นสขี าว ปลายจมกู สขี าว
รอบคอสีขาว ตามีสีเหลอื งเหมอื นสีรง

305

๑๕. แมวการเวก ขนสีดำ� ท่ัวตวั ตามีสดี งั่ ทอง สนั จมูกขาว
๑๖. แมวจตุบท ขนสีด�ำเหมือนสีหมึก แต่ที่ขาท้ังสี่สีขาว ตาสีเหลือง
เหมอื นสดี อกโสน
๑๗. แมวโกญจา ขนสีด�ำท่ัวตัว ใต้ทอ้ งสีขาว ตามีสดี อกบวบ

แมวอันมีลักษณะดีให้คุณทัง้ ๑๗ ประเภทนี้ โบราณถอื วา่ ควรมไี ว้ในบา้ น
เพราะจะส่งผลดีต่อผู้ท่ีได้ครอบครองแมว แม้แต่กระดูกแมวก็ควรเก็บไว้เพราะ
อาจป้องกันภยั ตา่ ง ๆ ได้ ดังท่โี คลง ๒ บททา้ ยของลกั ษณะแมวให้คุณระบวุ ่า

สบิ เจ็ดลักษณเชือ้ วลิ า น้นี า
ควรจะเสาะแสวงหา สบื ไว้
จะกอบเกยี รตยิ ศถา วรสวัสดิ์ ยิ่งแฮ
ทรพั ย์จะพูนเพมิ่ ให ้ เพราะเลี้ยงแมวศรี

แม้วายชพี อยา่ ท้งิ ซากผี
ใส่ทฝี่ ังแรมป ี ขวบขัน้
อฏั ฐแิ มวนั้นม ี คุณยง่ิ นกั แฮ
อาจประหารภยั กั้น กอบเกอ้ื พูลผล

สำ� หรบั แมวทใี่ หโ้ ทษนัน้ โบราณระบไุ ว้ ๖ ประเภทคอื
๑. แมวทุพพลเพศ ตัวสีขาวแต่ตาสีแดงเหมือนสีน้�ำหมาก เหมือนหนึ่ง
มโี ลหติ ออกท่ตี า แมวประเภทนเ้ี ปน็ แมวขโมยชอบขโมยปลากนิ
๒. แมวพรรณพยัคฆ์หรือลายเสือ มีลักษณะเหมือนลายเสือ แต่ขน
มลี กั ษณะเหมือนเกล็ดเกลอื ตาแฉะ มกั ร้องเสียงด่ังผโี ปง่ รอ้ ง
๓. แมวปศิ าจ แมวดำ� ลกั ษณะนา่ เกลยี ด ขนสาก หนา ผวิ ซูบเห็นเน้ือหนงั
หางขดเหมอื นงูดิน มกั กินลูกตวั เอง
๔. แมวหินโทษ คอื แมวทอ่ี อกลกู แล้วลกู ตายต้งั แต่อยใู่ นท้อง
๕. แมวกอบเพลงิ แมวทม่ี กั นอนซมุ่ อยตู่ ามทต่ี า่ งๆเชน่ ยงุ้ ขา้ วตาสแี ดงเพลงิ

306

๖. แมวเหนบ็ เสนียด รูปทรงพกิ ลพิการ หางเปน็ กอ้ นปม
ต�ำราลักษณะแมวให้คุณให้โทษนี้เป็นต�ำราโบราณส�ำคัญอีกเล่มหน่ึง
ของไทย ที่แสดงให้เห็นความช่างสังเกตของคนที่มีต่อสัตว์เลี้ยง และการน�ำ
ความเชือ่ มาท�ำนายลกั ษณะของสัตวต์ า่ ง ๆ ไดอ้ ยา่ งลงตัว
(รศ. ดร.ปรดี ี พิศภูมวิ ิถ)ี
หนงั สอื อา้ งองิ
ต�ำราดูลักษณะแมว. ท่ีระลึกในการพระราชทานเพลิงศพจ่าเผ่นผยองย่ิง
(ช่มุ สุวรรณจนิ ดา) ณ เมรวุ ดั มกุฏกษตั รยิ าราม วันพธุ ที่ ๒๕ มถิ นุ ายน
  ๒๕๑๘.

ววิ ัฒนาการของ “มงคล ๑๐๘” ในพระพทุ ธบาทลักษณะ

มงคล ๑๐๘ ประการ ในรอยพระพทุ ธบาทเปน็ แนวคดิ ซงึ่ เกดิ ขน้ึ เนอ่ื งจาก
มีการน�ำสัญลักษณ์มงคลของอินเดียที่มีมาตั้งแต่โบราณ เช่น เครื่องหมาย
สวัสติกะ มาเป็นสัญลักษณ์ในรอยพระพุทธบาท ปรากฏหลักฐานท้ังในคัมภีร์
เถรวาทและมหายาน และหลกั ฐานทางโบราณคดเี กยี่ วกบั “รอยพระพทุ ธบาท”
และ “มงคล ๑๐๘ ในพระพุทธบาทลกั ษณะ” ปรากฏในคัมภรี พ์ ทุ ธศาสนาฝา่ ย
มหายานดังน้ี
ในคมั ภรี ม์ หาวสั ตุ อวทาน ฉบบั ภาษาสนั สกฤต กลา่ ววา่ ในพระพทุ ธบาท
จะปรากฏ จักร (ธรรมจักร) สวสั ดกิ ะ นอกจากนย้ี ังมีภาพดอกบัวท่ีฝา่ พระหตั ถ์
และพระพุทธบาท
คมั ภีรล์ ลิตวิสตระ ภาษาสนั สกฤต กลา่ ววา่ ในพระพุทธบาทจะประกอบ
ไปด้วย สวัสดิกะ นันทยาวรรต และสหสั รารจกั ร
คมั ภรี ภ์ ทั รกลั ปกิ ะ ภาษาทเิ บต กลา่ ววา่ ในพระพทุ ธบาทจะมภี าพ หมอ้ นำ�้
สวัสตกิ ะ และนนั ทยาวรรต

307
คัมภีร์ราษฏรปาลปริปฤจฉา–นาม–มหายานสูตร ภาษาสันสกฤตและ
ทิเบต กลา่ วว่าทฝี่ ่าพระหัตถข์ องพระพุทธเจ้าจะมรี ูปสวสั ตกิ ะและจกั ร
คมั ภีรศ์ รศี ากยสงิ หะ–โสตตระ ภาษาสนั สกฤต กล่าวว่าในพระพุทธบาท
จะมีภาพจกั ร ทีฝ่ า่ พระหตั ถจ์ ะมีรปู จามรและจกั ร
นอกจากคัมภีร์พุทธศาสนาท่ีเป็นภาษาสันสกฤตแล้ว ในคัมภีร์ฝ่ายบาลี
กก็ ล่าวถึงสัญลกั ษณม์ งคลในพระพุทธบาทด้วย
คัมภรี พ์ ุทธวงศ์ ภาษาบาลี กลา่ ววา่ ในพระพทุ ธบาทจะมีรปู จักร ธช (ธง)
วชริ ะ ปฏากา วฑั ฒมาน และองั กุศ
คัมภีร์อปทาน ภาษาบาลีกล่าวว่าในพระพุทธบาทมีรูปจักร อังกุศ ธช
ในนรสีหคาถา ภาษาบาลีกล่าวว่าในพระพุทธบาทจะประกอบไปด้วย จักร
จามร ฉตั ร เป็นต้น
ส�ำหรับในหลักฐานทางโบราณคดีน้ัน พระพุทธบาทเป็นสัญลักษณ์แทน
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ปรากฏในประเทศอินเดียตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่
๕–๖ เปน็ ตน้ มา พระพทุ ธบาททส่ี รา้ งขน้ึ ในสมยั แรกนยี้ งั ไมป่ รากฏภาพสญั ลกั ษณ์
มงคลแตป่ ระการใด
ต่อมาในช่วงพทุ ธศตวรรษที่ ๗–๘ จึงเริ่มมรี ปู มงคลบนรอยพระพทุ ธบาท
รูปมงคลท่ีพบในยุคน้ีโดยมากเป็นเครื่องหมายมงคลตามท่ีนิยมในสมัยนั้น เช่น
รปู สวสั ติกะ รูปตรรี ตั นะ รปู พระแทน่ ภทั รบิฐ และรปู ดอกบวั เป็นต้น ซึ่งถือเป็น
จดุ เรมิ่ การปรากฏรปู มงคลในรอยพระพุทธบาท
ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๘–๙ พระพุทธบาทจ�ำลองในสมัยอมราวดีจึงเริ่ม
มลี ายมงคล ๘ ประการ คอื คันฉอ่ ง ขอชา้ ง ปลาคู่ ตรีรัตน หม้อน้�ำ ศรวี ัตสะ
สวัสตกิ ะ และวัฑฒมาน
ต่อมาความเชื่อเกี่ยวกับพระพุทธบาทน้ีได้มีการน�ำมาขยายความและ
เกิดคติความเช่ือเรื่องมงคล ๑๐๘ ประการ โดยเฉพาะท่ีลังกาทวีป ในคัมภีร์
“ชินาลังการ” ซึ่ง “พระพุทธรักขิตเถระ” ได้รจนาข้ึนในลังกาทวีป เม่ือราว

308

พุทธศักราช ๑๗๐๐ ในเวลาต่อมาพระพุทธรักขิตเถระได้รจนาฎีกาขยายความ
คมั ภรี ช์ ินาลังการขึน้ เรียกว่า “ชนิ าลงั การฎกี า” คมั ภีรน์ ีเ้ องท่ีไดก้ ลา่ วถึงมงคล
๑๐๘ ประการในรอยพระพทุ ธบาทซงึ่ เรียกว่า “อฏั ฐุตตรสตมหามงคล” ไว้ดว้ ย
ในเวลาต่อมามีผู้รจนา “คัมภีร์พุทธปาทลักขณะ” ขยายความเพิ่มเติม
เกี่ยวกับลักษณะมงคลในรอยพระพุทธบาท แต่ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่งและยุคสมัย
ท่ีแต่ง คัมภีร์พุทธปาทลักขณะซึ่งพบในปัจจุบันเป็นฉบับใบลาน อักษรขอม
ภาษาบาลี จารข้นึ ต้ังแต่ พ.ศ. ๒๒๙๒ ตรงกบั รชั กาลพระเจ้าอยู่หวั บรมโกศแห่ง
กรงุ ศรอี ยธุ ยา คมั ภรี พ์ ทุ ธปาทลกั ขณะกลา่ วถงึ มงคล ๑๐๘ ประการและอธบิ าย
ความหมายเปรียบเทียบเชิงธรรมาธิษฐานและบุคลาธิษฐานดังข้อความตอนต้น
ของคมั ภรี พ์ ทุ ธปาทลกั ขณะว่า
ผู้ใคร่รู้พึงระลึกถึงมงคล ๑๐๘ ประการไว้อย่างนี้ว่า ภายใต้ฝ่าพระบาท
ทัง้ สองของพระผมู้ ีพระภาคเจ้า ไดป้ รากฏมีกงจกั รทง้ั สอง มกี ำ� ๑,๐๐๐
พรอ้ มทง้ั กง พรอ้ มทงั้ ดมุ บรบิ รู ณด์ ว้ ยอาการทงั้ หมดคอื ภาพพระแสงหอก
ภาพแวน่ สอ่ งพระพกั ตร์ ภาพดอกพดุ ซอ้ น ภาพสายสรอ้ ย ภาพตา่ งหู ภาพ
ถว้ ยภาชนะภาพพระแทน่ ทป่ี ระทบั ภาพปราสาทภาพขอชา้ งภาพซมุ้ ประตู
ภาพเศวตฉตั ร ภาพพระขรรคแ์ กว้ ภาพกำ� หางนกยงู ภาพพระมงกฎุ ภาพ
เถาวัลย์แกว้ ภาพพดั แก้ววาลวชิ ชนี (ขนทราย) ภาพพวงดอกมะลิ ภาพ
ดอกบวั แดงภาพดอกบวั ขาวภาพดอกบวั หลวงสชี มพูภาพดอกบวั หลวงขาว
ภาพกระออมมนี ำ�้ เตม็ ภาพถาดมนี ำ้� เตม็ ภาพมหาสมทุ รทง้ั สี่ ภาพจกั รวาล
ภาพปา่ หิมพานต์ ภาพภูเขาสิเนรุ ภาพดวงอาทติ ย์ ภาพดวงจนั ทร์ ภาพ
ดวงดาว ภาพทวีปใหญ่ทั้งสี่ ภาพทวีปน้อยสองพันซ่ึงเป็นบริวาร ภาพ
พระเจา้ จกั รพรรดพิ รอ้ มดว้ ยขา้ ราชบรพิ าร ภาพสงั ขข์ าวทกั ษณิ าวฏั ภาพ
ปลาทองคู่ ภาพกงจกั รคู่ ภาพแม่นำ�้ ใหญ่ ๗ สาย ภาพสระใหญ่ ๗ สระ
ภาพภเู ขาใหญ่ ๗ เทอื ก ภาพพระยาครฑุ ภาพพระยาจระเข้ ภาพธงชัย
ภาพธงแผน่ ผา้ ภาพพระเกา้ อแ้ี ก้ว ภาพพดั โบก ภาพภูเขาไกรลาส ภาพ

309

พระยาราชสหี ์ ภาพพระยาเสือโครง่ ภาพพระยาเสอื เหลอื ง ภาพพระยา
มา้ พลาหก ภาพพระยาชา้ งอโุ บสถ ภาพพระยาช้างฉทั ทนั ต์ ภาพพระยา
วาสกุ รนี าคราช ภาพพระยาไก่เถือ่ น ภาพพระยาโคอสุ ภราช ภาพพระยา
ชา้ งเอราวณั ภาพมงั กรทอง ภาพแมลงภทู่ อง ภาพทา้ วมหาพรหมพกั ตรส์ ี่
ภาพเรือทอง ภาพบัลลังก์แก้ว ภาพพัดใบตาล ภาพเต่าทอง ภาพแม่โค
ลกู อ่อน ภาพกินนร ภาพนางกินนรี ภาพนกการะเวก ภาพพระยานกยงู
ภาพพระยานกกระเรียน ภาพพระยานกจากพราก ภาพพระยานกพริก
ภาพเทวโลกชั้นกามาพจร ๖ ช้ัน ภาพมหาพรหมโลก ๑๖ ชั้น มงคล
๑๐๘ ประการนี้ ได้ปรากฏมีท่ีฝ่าพระบาททั้งสองของ สมเด็จพระผู้มี
พระภาคเจ้าพระองค์นน้ั ...”
รอยมงคล ๑๐๘ ในพระพุทธบาทปรากฏสืบเนื่องมาทั้งในการสร้างรอย
พระพุทธบาททง้ั ในลังกา พุกาม สุโขทยั อยธุ ยา กมั พูชา
(รศ. ดร.ศานติ ภกั ดีคำ� )
หนังสืออา้ งองิ
มงคล ๑๐๘ ในรอยพระพทุ ธบาท (อรรถกถา พุทธฺ ปาทลกขฺ ณ). กรงุ เทพฯ :
ส�ำนกั ราชเลขาธกิ าร, ๒๕๔๐. ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าโปรดกระหมอ่ ม
ให้พิมพพ์ ระราชทานในงานพระราชทานเพลงิ ศพพระเทพวชั รธรรมาภรณ์
(สุรพงส์ ฐานวโร) ป.ธ. ๕ ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์
วดั เทพศิรนิ ทราวาส วันพุธท่ี ๒๖ มนี าคม พทุ ธศักราช ๒๕๔๐.
ศลิ ปากร, กรม. หนงั สอื ทรี่ ะลกึ พระราชพธิ ยี กจลุ มงกฎุ และสมโภชพระพทุ ธบาท
จังหวดั สระบุรี พุทธศักราช ๒๕๔๒. กรุงเทพฯ : กรมศลิ ปากร, ๒๕๔๒.

. รตั นมงคลค�ำฉนั ท์. กรงุ เทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๔๗.
Peter Skilling, “Symbols on the Body, Feet, and Hands of a Buddha
Part II - Short Lists” Journal of The Siam Society Vol. 84, Part 1
(1996).

310

ส่งิ ศกั ดส์ิ ิทธข์ิ องคนสมยั อยุธยา

เอกสารค�ำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม ได้อธิบายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่ี
ผู้คนสมัยอยุธยากราบไว้บูชาเป็นนิจว่า ประกอบด้วยพระมหาธาตุ ๕ แห่ง
พระมหาเจดยี ส์ ำ� คญั ๕ องค์ พระมหาพทุ ธปฏมิ ากรหลกั ๘ องค์ และสงิ่ ศกั ดสิ์ ทิ ธ์ิ
ท่ีต้ังอยูร่ อบนอกพระนครอกี ๗ แหง่ ทั้งปวงน้ลี ้วนเป็นศรีแก่พระนครศรีอยธุ ยา
มาแต่ครงั้ โบราณ
พระมหาธาตทุ เี่ ปน็ หลักของกรงุ ศรอี ยุธยาท้งั ๕ แห่ง คอื
๑. พระมหาธาตวุ ดั พระราม คอื พระปรางคว์ ดั พระรามซง่ึ ตง้ั อยรู่ มิ หนองโสน
กลางเกาะเมืองอยธุ ยา
๒. พระมหาธาตวุ ดั มหาธาต ุ คอื พระปรางคว์ ัดมหาธาตุ กลางเกาะเมือง
อยธุ ยา
๓. พระมหาธาตุวัดราชบรู ณะ คอื พระปรางค์วัดราชบูรณะ ในเกาะเมอื ง
อยธุ ยา
๔. พระมหาธาตวุ ดั สมรโกฎ คอื พระปรางคว์ ดั สมณโกฏ อยนู่ อกเกาะเมอื ง
อยธุ ยาดา้ นตะวนั ออก
๕. พระมหาธาตวุ ดั พทุ ไธสวรรค ์ คอื พระปรางคว์ ดั พทุ ไธสวรรค์ รมิ แมน่ ำ้�
เจ้าพระยาด้านทศิ ใต้ นอกเกาะเมืองอยธุ ยา
ปัจจุบันนี้พระมหาธาตุทั้ง ๕ แห่งของกรุงศรีอยุธยา ทุกองค์ยังปรากฏ
รอ่ งรอยอยแู่ มว้ า่ บางองคจ์ ะพงั ทลายลงไปเหลอื แตช่ น้ั ฐานแลว้ กต็ าม เฉพาะทว่ี ดั
พระราม วดั ราชบรู ณะ และวดั พุทไธสวรรคย์ ังปรากฏองคพ์ ระปรางคท์ ่คี อ่ นขา้ ง
สมบรู ณ ์ สว่ นทว่ี ดั มหาธาตนุ นั้ พระปรางคล์ ม้ ลงเหลอื ชน้ั ฐานเมอ่ื ราวตน้ แผน่ ดนิ
พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยูห่ ัว สว่ นที่วดั สมรโกฏนน้ั องคพ์ ระปรางค์
ทลายลงเหลอื ช้นั ฐานเทา่ นัน้
พระมหาเจดยี ์ ๕ องคท์ ่เี ป็นทเ่ี คารพสกั การะของคนอยธุ ยาไดแ้ ก่
๑. พระมหาเจดยี ว์ ดั สวนหลวงสบสวรรค ์ ตง้ั อยทู่ วี่ ดั สวนหลวงสบสวรรค์
บริเวณทศิ ตะวันตกภายในเกาะเมอื ง รมิ แมน่ �้ำเจ้าพระยา เปน็ วดั ทตี่ ้งั อยภู่ ายใน

311
เขตพระราชวังหลงั ปจั จบุ ันคือเจดียศ์ รสี ุรโิ ยทยั
๒. พระมหาเจดยี ์วัดขุนเมอื งใจ วัดนต้ี ้ังอยู่กลางเกาะเมืองอยธุ ยา
๓. พระมหาเจดยี ว์ ดั เจา้ พระยาไทย
๔. พระมหาเจดีย์วัดภเู ขาทอง ตง้ั อยู่บริเวณท่งุ ภเู ขาทอง นอกเกาะเมอื ง
อยุธยาดา้ นตะวันตกเฉียงเหนือ
๕. พระมหาเจดีย์วัดใหญ่ไชยมงคล ต้ังอยู่นอกเกาะเมืองอยุธยาด้าน
ตะวันออกเฉยี งใต้
จะเห็นได้ว่าในสมัยอยุธยาวัดเจ้าพระยาไทยและวัดใหญ่ชัยมงคลเป็น
คนละแห่งกัน ซึ่งแต่ละแห่งมีพระมหาเจดีย์เป็นประธานของวัด ปัจจุบันมี
ความเช่ือว่าวัดเจ้าพระยาไทยและวัดใหญ่ชัยมงคลเป็นวัดเดียวกัน และมี
ความเช่ือว่าพระเจดีย์วัดใหญ่ชัยมงคลนี้สร้างขึ้นในรัชกาลสมเด็จพระนเรศวร
มหาราช หลงั จากท่ที รงกระท�ำยทุ ธหัตถชี นะพระมหาอุปราชแล้ว
พระมหาพทุ ธปฏิมากรสำ� คัญ ๘ องค์ ท่มี พี ุทธานุภาพศกั ดิส์ ทิ ธค์ิ ือ
๑. พระพทุ ธศรสี รรเพชญดาญาณ เปน็ พระพทุ ธรปู ยนื สงู ๘ วา หมุ้ ทองคำ�
ทงั้ พระองคอ์ ยู่ในพระมหาวิหารวัดพระศรสี รรเพชญ พระพุทธรูปองค์นหี้ ล่อขึน้
ในรชั กาลสมเด็จพระรามาธบิ ดที ี่ ๒ เม่อื เสียกรงุ ศรอี ยธุ ยาคร้ังที่ ๒ พระพุทธศรี
สรรเพชญดาญาณช�ำรุดเสียหายเหลือแต่แกนใน ต่อมาพระบาทสมเด็จพระ
พุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญแกนใน
พระพุทธรูปมาประดิษฐานไว้ในพระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชญดาญาณ วัด
พระเชตพุ นวิมลมงั คลาราม กรงุ เทพฯ
๒. พระพุทธสิหงิ ค์ เปน็ พระพุทธรปู ปางสมาธิ หนา้ ตัก ๔ ศอก หล่อดว้ ย
นากชมพูนุทอยู่ในพระมหาวิหารยอดปรางค์ปราสาท ในวัดพระศรีสรรเพชญ
ปจั จบุ นั ประดษิ ฐานในพระทนี่ ง่ั พทุ ไธสวรรย ์ พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาตพิ ระนคร
กรงุ เทพฯ
๓. พระพุทธบรมไตรภพนาถ เป็นพระพุทธรูปทรงเคร่ืองปางสมาธิ
หน้าตักศอกคืบ หล่อด้วยทองค�ำท้ังองค์ อยู่ในพระวิหารวัดพระศรีสรรเพชญ

312
ปัจจุบันสูญหายไปแลว้
๔. พระพทุ ธสยมภวู ญาณโมฬี เปน็ พระพทุ ธรปู ปางสมาธหิ นา้ ตกั ๑๖ ศอก
หลอ่ ดว้ ยทองเหลอื งอยใู่ นพระมหาวหิ ารยอดมณฑปในวดั สมุ งคลบพติ ร ปจั จบุ นั น้ี
คอื พระมงคลบพติ รในวหิ ารพระมงคลบพติ ร
๕. พระพุทธบรมไตรโลกนารถศาสดาญาณ เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ
หนา้ ตกั ๖ ศอก หลอ่ ดว้ ยทองเหลอื ง อยใู่ นวดั โคก นอกเกาะเมอื งอยธุ ยา ปจั จบุ นั
สญู หายไปแลว้
๖. พระพทุ ธเจา้ ทรงนางเชิง มาจากค�ำว่า แพนงเชงิ หมายถงึ นั่งขัดสมาธิ
เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ หน้าตัก ๑๐ ศอก อยู่ในพระวิหารวัดพระนางเชิง
ปัจจุบนั เรียกว่าวัดพนญั เชิง
๗. พระพุทธคันธารราษฎร์เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ หน้าตักศอกหนึ่ง
หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีพระพุทธานุภาพมากขอฝนให้ตกก็ได้ ลอยน�้ำมาแต่
ปักษ์ใต้ (หมายถึงเมืองบริเวณปากอ่าวไทย ได้แก่ สมุทรปราการ สมุทรสาคร
และสมุทรสงคราม) อัญเชิญไว้ในวิหารวัดธรรมิกราช ในเกาะเมืองอยุธยา
ด้านตะวนั ออกของพระราชวังหลวง ปัจจบุ นั สญู หายไปแลว้
๘. พระพุทธจันทน์แดง (พระพุทธรูปไม้จันทน์แดง) ประดิษฐานอยู่ใน
พระวหิ ารวัดพระศรสี รรเพชญ ปัจจุบันสญู หายไปแล้ว
ส่ิงศักด์ิสิทธ์ินอกพระนครที่ผู้คนสมัยอยุธยากราบไหว้บูชาหรือเดินทาง
ออกไปสกั การบชู าเสมอคอื พระพทุ ธไสยาสนว์ ดั พระนอนจกั รศรี จงั หวดั สงิ หบ์ รุ ี
พระพทุ ธไสยาสน์ วดั ปา่ โมก พระพทุ ธไสยาสน์ วดั ขนุ อนิ ทประมลู ทง้ั ๒ องคน์ อี้ ยู่
ในเขตเมอื งอ่างทอง พระพุทธไสยาสน์วัดโพธอิ์ รญั ญกิ พระประทมพระประโทน
ปัจจุบันคือพระปฐมเจดีย์และพระประโทณเจดีย์ จังหวัดนครปฐม รอยฝ่าพระ
บรมพทุ ธบาทเขาสวุ รรณบรรพต ปจั จบุ นั คอื รอยพระพทุ ธบาท วดั พระพทุ ธบาท
จงั หวดั สระบรุ ี และพระปถั วเี ปน็ พระบรมพทุ ธฉายทเี่ ขานอ้ ยยางกรง ปจั จบุ นั อยใู่ น
วัดพระพุทธฉาย จงั หวดั สระบรุ ี
(รศ. ดร.ปรีดี พิศภูมวิ ิถี)

313

หนงั สืออ้างอิง
วินัย พงศ์ศรีเพียร (บรรณาธิการ). พรรณาภูมิสถานพระนครศรีอยุธยา.
กรุงเทพฯ : สำ� นักพมิ พอ์ ุษาคเนย์, ๒๕๕๑.

หนงั สอื สมดุ ไทย

หนังสือสมดุ ไทย เป็นหนังสือไทยโบราณทำ� จากกระดาษทคี่ นไทยในสมยั
ก่อนท�ำข้ึนใช้รองรับการเขียน เป็นวัสดุอุปกรณ์ที่หาได้ง่ายมีอยู่ตามธรรมชาติ
สรา้ งขน้ึ ด้วยมอื ใช้สะดวกเหมาะสมแกส่ ภาพชวี ิตของคนไทย และภูมิอากาศใน
บา้ นเมืองไทย อกี ทงั้ ยงั มคี วามคงทนถาวร อายุการใชง้ านยืนยาว และปลอดภยั
อยา่ งมากจากหนอนแมลงกดั กนิ ทำ� ลาย
กระดาษทใี่ ชท้ ำ� หนงั สอื สมดุ ไทยไดม้ าจากเปลอื กตน้ ขอ่ ยหรอื ตน้ สา โดยนำ�
เปลอื กขอ่ ยหรอื สามาฉกี ใหเ้ ปน็ ชนิ้ เลก็ ๆ แชน่ ำ้� ทงิ้ ไวป้ ระมาณ ๒ วนั ใหเ้ ปลอื กนมิ่
แล้วน�ำไปคลุกกับปูนขาว จากน้ันน�ำไปนึ่งให้สุก แล้วหมักด้วยด่างที่ได้จาก
น�้ำปูนขาวให้เปื่อย ใช้เวลาหมัก ๒ วัน ต่อจากน้ันจึงน�ำไปล้างให้สะอาดจน
หมดดา่ ง เลอื กเปลอื กที่ขาวไวท้ ำ� สมดุ ขาว แยกเปลือกสีนำ�้ ตาลเข้มหรือดำ� ไว้ท�ำ
สมุดด�ำ น�ำข่อยที่ล้างสะอาดแล้วไปทุบให้ละเอียดจนเป็นเยื่อ ใช้พะแนงหรือ
พิมพ์หล่อแผ่นกระดาษ ซึ่งท�ำด้วยลวดตะแกรงตาถ่ี หรือผ้ามุ้งขึงตึงด้วยกรอบ
ไมร้ ปู สเี่ หลยี่ มผนื ผา้ วางพะแนงลงในนำ�้ นงิ่ สว่ นทเี่ ปน็ ตะแกรงจะจมอยใู่ ตผ้ วิ นำ�้
น�ำเย่ือข่อยท่ีทุบละเอียดแล้วน้ันละลายน�้ำในครุไม้ไผ่ แล้วเทลงในพะแนงเกล่ีย
ให้ทั่ว ยกพะแนงข้ึนจากน้�ำ เย่ือข่อยจะติดอยู่บนพื้นตะแกรงท่ีเป็นพิมพ์นั้น
รดี ดว้ ยไมซ้ างใหน้ ำ้� ตกจนแหง้ และเรยี บ นำ� ไปตากแดดแหง้ สนทิ แลว้ ลอกออกจะ
ได้กระดาษแผ่นบาง ๆ เรียกวา่ กระดาษเพลา
เม่ือจะท�ำเล่มสมุดต้องเร่ิมด้วยการลบกระดาษ ลบคือการทากระดาษ
ด้วยแป้งเปียกผสมน้�ำปูนขาว ถ้าจะท�ำสมุดด�ำต้องผสมเขม่าไฟลงในแป้งเปียก
ดว้ ยกระดาษทจี่ ะทำ� เปน็ เลม่ สมดุ บางมากตอ้ งใชแ้ ปง้ เปยี กทากระดาษซอ้ นทบั กนั

314
หลาย ๆ ชน้ั ใหเ้ นอื้ กระดาษหนามากพอทจ่ี ะใชท้ ำ� สมดุ ได้ กระดาษทลี่ บแลว้ ตอ้ ง
ตากแดดใหแ้ หง้ สนทิ แลว้ นำ� มาขดั ดว้ ยหนิ ใหเ้ รยี บและขนึ้ มนั จากนน้ั จงึ พบั กลบั ไป
กลบั มาใหเ้ ปน็ เลม่ สมดุ รปู สเ่ี หลย่ี มผนื ผา้ โดยทวั่ ไปมขี นาดไมเ่ ทา่ กนั ขนาดเฉลยี่
อยูใ่ นระหว่างกวา้ ง ๑๐-๒๐ เซนตเิ มตร ยาว ๓๐-๖๐ เซนติเมตร จำ� นวนหน้า
ตามรอยพับมีระหว่าง ๖-๖๐ หน้า หนังสือสมุดไทยมี ๒ สี คือหนังสือ
สมดุ ไทยดำ� และหนงั สอื สมุดไทยขาว ใช้เขียนหนังสือได้ ๒ ด้าน ด้านแรกเรยี ก
หนา้ ต้น อีกดา้ นหนึ่งเรียกหนา้ ปลาย
คนไทยโบราณรู้จักท�ำกระดาษใช้ประโยชน์เพ่ือการเขียน หรือบันทึก
เร่ืองราวเมื่อใดยังไม่ปรากฏหลักฐาน ปัจจุบันพบหลักฐานหนังสือสมุดไทยเก่า
ทส่ี ดุ อยใู่ นชว่ งสมยั อยธุ ยาตอนกลาง คอื หนงั สอื พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา
ฉบบั หลวงประเสริฐอกั ษรนิต์ิ สร้างขึ้นใน พ.ศ. ๒๒๒๓
หนังสือสมุดไทย ใช้บันทึกได้ทั้งลายลักษณ์อักษรและภาพด้วยกรรมวิธี
เขยี นหรอื ชบุ คำ� วา่ ชบุ เปน็ คำ� โบราณใชเ้ รยี กอกั ษรทเ่ี ขยี นดว้ ยหมกึ หรอื สวี า่ เสน้ ชบุ
ซ่ึงหมายถึงการใช้ปากกาหรือพู่กันจุ่มสีหรือหมึกเขียน ภาพซ่ึงเขียนประกอบ
อยู่ในหนังสือสมุดไทยมีท้ังภาพเล่าเรื่องและภาพประกอบเรื่อง เกี่ยวกับ
พระพทุ ธศาสนา เชน่ หนงั สอื สมดุ ภาพเรอื่ งไตรภมู ิ และสมดุ พระมาลยั ภาพเขยี น
ในสมุดไทยเหล่าน้ีเป็นงานจิตรกรรมไทยประเพณี ภาพเขียนในสมุดพระมาลัย
นิยมเขียนภาพขนาบอยู่สองข้างตัวหนังสือ งานจิตรกรรมในหนังสือสมุดไทย
ลว้ นเปน็ มรดกศลิ ปวฒั นธรรมอนั หาดไู ดย้ าก ทรงคณุ คา่ ทงั้ ในดา้ นความงามของ
เส้น สี และความหมายของภาพ
(นางสาวกอ่ งแกว้ วีระประจักษ)์

315

หมายรับสั่ง

หมายรบั สง่ั คอื เอกสารราชการประเภทหนงึ่ บนั ทกึ กระแสพระราชดำ� รสั
พระเจ้าแผ่นดิน ปัจจุบันพบเป็นเอกสารโบราณประเภทหนังสือสมุดไทย มี
หลักฐานเกา่ ทสี่ ดุ อยู่ในสมัยธนบุรี และมสี บื มาอกี ในสมยั รัตนโกสนิ ทร์ รชั กาลที่
๑-๕ ปัจจบุ นั เอกสารดังกลา่ วเกบ็ รักษาไว้ในหอสมุดแห่งชาติ กรงุ เทพฯ
ค�ำว่า หมายรับสั่ง หมายถึง พระบรมราชโองการของพระเจ้าแผ่นดินท่ี
ส่ังให้ข้าราชการปฏิบัติงานราชการอันเก่ียวกับพระราชกรณียกิจของพระองค์
เพื่อการเสดจ็ ประพาส หรือเสดจ็ พระราชดำ� เนินทรงเป็นประธานในพระราชพธิ ี
ต่าง ๆ โดยมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการเป็นข้าราชการช้ันผู้ใหญ่รับสนอง
พระบรมราชโองการไปสงั่ เจา้ หนา้ ทผ่ี เู้ กย่ี วขอ้ งใหจ้ ดั ทำ� หมาย สง่ั ไปยงั หนว่ ยงาน
ตา่ ง ๆ ใหท้ ราบหนา้ ที่ และปฏบิ ตั งิ านใหส้ ำ� เรจ็ ลลุ ว่ งไปโดยเรยี บรอ้ ย มรี ายละเอยี ด
ปรากฏในหนังสือสาส์นสมเด็จ เล่ม ๑๒ พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ สมเด็จพระเจ้า
บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำ� รงราชานุภาพ ทรงบนั ทกึ ไว้วา่
การกะเกณฑ์กระบวนแห่เสด็จตามประเพณีแต่โบราณมา มีหลัก
ดงั นค้ี อื พระเจา้ แผน่ ดนิ จะเสดจ็ ไปไหนดำ� รสั สงั่ เจา้ กระทรวงวงั หรอื ถา้ เปน็
การด่วน ก็ด�ำรัสส่ังมหาดเล็กหรือใครอ่ืนที่อยู่รับใช้ใกล้พระองค์ เป็น
“ผรู้ บั รบั สงั่ ” ไปบอกกระทรวงวงั เจา้ พนกั งานกระทรวงวงั เขยี นบตั รหมาย
เรียกว่า “หมายรับสง่ั ” ส่งไปยงั กระทรวงมหาดไทยหัวหน้าฝา่ ยพลเรือน
ฉบบั ๑ กระทรวงกลาโหมหวั หนา้ ฝา่ ยทหารฉบับ ๑ กระทรวงท้ังสองนั้น
แยกรายการตามหนา้ ทก่ี รมตา่ ง ๆ เขยี นบตั รหมายยอ่ ยเรยี กวา่ “ตดั หมาย”
สั่งกะเกณฑ์ไปยังกรมน้นั ๆ
กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงกลาโหม เมื่อรับหมายรับสั่งแล้วจะมี
เจ้าหน้าท่ีคือ หัวพัน กับ นายเวร เป็นพนักงานตัดหมาย และออกหมายย่อย
กระทรวงละ ๔ เวร ก�ำหนดหนา้ ท่ตี า่ งกันดังน้ี

316

กระทรวงมหาดไทย มี พนั พาณรุ าช เปน็ หวั หนา้ , นายแกวน่ คชสารนายเวร
เป็นพนักงานส่ังเกณฑ์ช้าง, พันเภาอัศวราชกับนายควรรู้อัศวเป็นพนักงานสั่ง
เกณฑม์ า้ , พนั จนั ทนมุ าศกบั นายชำ� นาญกระบวนเปน็ พนกั งานสง่ั สำ� หรบั ทำ� ทาง
(ทำ� ถนน), พันพฒุ อนุราชกับนายรัดตรวจพลเปน็ พนกั งานสง่ั เกณฑค์ น
กระทรวงกลาโหม พันอินทราชกับนายฤทธิรงอาวุธเป็นพนักงานสั่งจ่าย
เร่อื งสรรพยทุ ธ (สรรพอาวุธ), พนั พรหมราชกับนายบรบิ าลบรรยงเปน็ พนกั งาน
สงั่ จา่ ยเรอื , พนั ทพิ ราชกบั นายวสิ ทุ ธมณเฑยี รเปน็ พนกั งานสงั่ ทำ� ตำ� หนกั พลบั พลา
และฉนวนน�้ำ, พันเทพราชกับนายจำ� เนียรสารพลเป็นพนักงานสงั่ เกณฑค์ น
(นางสาวกอ่ งแกว้ วีระประจกั ษ)์



_20-0355 �����.indd 2

9/7/2563 BE 13:42

_20-0355 �����.indd 3

9/7/2563 BE 13:42

_20-0355 �����.indd 4

9/7/2563 BE 13:42


Click to View FlipBook Version