The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Wilairat Pamontree, 2022-09-10 05:32:05

หนังสือนานาสาระ

นานาสาระไทย

81

เทวโลกแลก�ำหนดปลงพระชนมายุสังขาร จึงบันดาลตกลงมาแต่สุราลัย
เทวโลก แลกาลบัดน้ีไฉนจึงมีดอกมณฑาร์ปรากฏ ดังอาตมปริวิตกด้วย
องค์พระสุคตก็ทรงพระชรา หรือว่าพระศาสดาเข้าสู่พระปรินิพพาน
ประการใด ควรอาตมาจะได้ไตถ่ ามอาชวี ก...

พระมหากสั สปถามอาชวี กแลว้ จึงไดท้ ราบวา่ พระสัมมาสมั พุทธเจ้าเสด็จ
ดบั ขนั ธ์ปรนิ พิ พานแล้ว ๗ วนั
ในวรรณกรรมไทย กม็ กี ารนำ� ดอกมณฑามาใชเ้ ปรยี บเทยี บ ในบทดอกสรอ้ ย
สวรรค์ครั้งกรงุ เก่า ซึง่ อา้ งไว้ใน ปทานุกรมพรรณไมใ้ นตำ� นานเมือง มวี ่า

มาเอยมาพบ ดอกสรอ้ ยสวรรคม์ าไลย
เรยี มรักจำ� นงจงใจ จะใคร่ไดด้ อกสมุ ณฑาฯ

อีกบทหนึ่งกล่าววา่

ขาวศรีสมบูรณ์บงกชมาศ เพยี งจะบาดตาพ่ไี ม่มสี อง
ภักตราดังมณฑาทอง ท�ำนองดังหงษท์ องบนิ ฯ

บทดอกสร้อยข้างต้นเปรียบสตรีสูงศักด์ิกับดอกมณฑาซ่ึงเป็นดอกไม้
สวรรค์ การเปรียบเช่นนี้นับว่าเป็นท่ีนิยม ในเพลงลาวค�ำหอมก็กล่าวถึงมณฑา
วา่ เปน็ ไมส้ ดุ สูง ดงั นี้

ยามเม่ือลมพดั หวน ลมก็อวลแตก่ ลิน่ มณฑาทอง
ไมเ้ อยไมส้ ุดสูง อย่าสูป้ อง ไผเอยบ่ไดต้ อ้ ง แตย่ นิ เอย นามดวงเอย

อาจกล่าวได้ว่าแต่เดิมมา ค�ำว่ามณฑาหมายถึงไม้สวรรค์เท่าน้ัน ค�ำว่า
มณฑาเพ่ิมความหมายอีกอย่างหนึ่งต่อเมื่อมีการน�ำพรรณไม้ที่ภายหลังเรียกว่า
มณฑาเข้ามาจากต่างประเทศแล้ว ส.พลายน้อยเขียนไว้ในหนังสือพฤกษนิยาย
วา่ ในบทสักรวาเร่ืองอิเหนา มกี ล่าวถงึ มณฑา ดังนี้

สกั รวาองค์ระเดน่ จินตะหรา เท่ยี วชมพรรณพฤกษาในสวนศรี
สอยสายหยดุ พุดจีบปีบจ�ำปี สารภกี าหลงชงโค

82

ตน้ มณฑามาแต่แขกแรกม ี พึง่ ออกดอกปนี ีม้ อี กั โข
สาวสวรรคช์ ้บี อกว่าดอกโต เกบ็ ใสโ่ ถจะเอาไปใหน้ ้องเอย
บทสกั รวาเรอื่ งอเิ หนาน้ี เปน็ บททใี่ ชเ้ ลน่ ถวายพระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้
เจา้ อยหู่ วั ซงึ่ ส. พลายนอ้ ยเขา้ ใจวา่ เลน่ ในงานฉลองวดั ราชโอรส เมอ่ื พ.ศ. ๒๓๗๔
ส. พลายนอ้ ยจงึ สนั นษิ ฐานวา่ มณฑาทค่ี ลา้ ยยห่ี บุ นนั้ อาจเขา้ มาเมอื งไทยประมาณ
กอ่ นหน้าน้นั และมาจากเมืองแขก ซึง่ กค็ งต้องค้นคว้ากนั ตอ่ ไปว่าแขกอะไร
(รศ. ดร.นววรรณ พันธเุ มธา)
หนังสืออา้ งอิง
ปรมานุชิตชิโนรส, สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระ. ปฐมสมโพธิกถา (ฉบบั
กรมการศาสนา). กรงุ เทพฯ : สหธรรมกิ , ๒๕๓๗.
ส. พลายน้อย (นามแฝง). พฤกษนิยาย. กรุงเทพฯ : รวมสาสน์ , ๒๕๔๓.
สังข์ พัธโนทัย. ปทานกุ รมพรรณไมใ้ นต�ำนานเมือง. ม.ป.ท., ม.ป.ป.

มะม่วงหาวมะนาวโห่ ผลไม้พูดไดใ้ นวรรณคดีไทย

มะม่วงหาวมะนาวโห่ เป็นพันธุ์ไม้พุ่มยืนต้น สามารถปลูกได้ท่ัวไปใน
ประเทศไทย สูงราว ๒–๕ เมตร มหี นามแหลมยาว ใบเดีย่ วรปู ไข่ ขอบใบเรยี บ
ผิวใบมัน เน้ือใบเรียบ ดอกเล็กสีขาวออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง
โคนดอกมีสีชมพูหรือแดงอ่อน และมกี ลนิ่ หอมออ่ น ๆ ออกดอกตลอดปี ส่วนผล
เปน็ ผลเดย่ี วออกรวมกนั เปน็ ชอ่ ผลออ่ นมสี ชี มพอู อ่ นและคอ่ ย ๆ เขม้ ขน้ึ เปน็ สแี ดง
ซง่ึ จะมรี สเปรย้ี วแหลม เมอ่ื ผลสกุ จะเปน็ สดี ำ� และมรี สกลมกลอ่ มขนึ้ มะมว่ งหาว
มะนาวโหม่ ชี อ่ื เรยี กตา่ ง ๆ กนั ตามทอ้ งถนิ่ เชน่ ภาคกลางเรยี กมะมว่ งหาวมะนาวโห ่
ภาคใตเ้ รยี กมะนาวโห่ เชียงใหม่เรยี กหนามขแ้ี ฮด เปน็ ตน้
ผลมะมว่ งหาวมะนาวโหม่ สี รรพคณุ ทางยามากมาย เชน่ รสเปรย้ี วจากผล
สามารถยับย้ังเชื้อโรค ช่วยขับปัสสาวะ น�ำมาต�ำพอกดับพิษ และผลสดแก้โรค
ลักปิดลักเปิดได้ ส่วนเมล็ดแก้กลากเกล้ือน แก้โรคผิวหนัง ตาปลา บ�ำรุงไขข้อ

83

บำ� รงุ กระดูก บำ� รุงเสน้ เอ็น บำ� รุงก�ำลงั บำ� รงุ ผิวหนัง เปลือกแกบ้ ิด ขับน�้ำเหลอื ง
เสีย แกท้ อ้ งเสีย ยอดอ่อนสามารถรกั ษาโรคริดสีดวงทวารได้ ในปัจจุบันนิยมนำ�
ผลมะม่วงหาวมะนาวโห่มาแปรรปู เป็นผลิตภณั ฑต์ ่าง ๆ เช่น แยม เยลล่ี นำ้� เชื่อม
หรือชาใบมะมว่ งหาวมะนาวโห่
วรรณคดีไทยกล่าวถึงมะมว่ งหาวมะนาวโหไ่ วด้ ้วย แตเ่ ปน็ ผลไม้ ๒ ชนิด
คอื มะงั่ว หรอื มะมว่ ง กับ มะนาว ในเร่อื งพระรถเมรีซึ่งเปน็ วรรณคดีพ้ืนบ้าน
ที่รู้จักกันมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา มีหลายส�ำนวน เน้ือเร่ืองกล่าวถึงหญิงสาว
๑๒ คนที่ถูกพ่อน�ำไปปล่อยในป่าเพราะคิดว่าเป็นกาลกิณีท่ีท�ำให้ครอบครัว
ที่เคยเป็นเศรษฐีกลับยากจนลง นางทั้งสิบสองต้องเร่ร่อนจนไปถึงเมืองยักษ์
นางยักษ์เกิดเอ็นดูจึงรับเล้ียงดู ภายหลังนางสิบสองรู้ว่าพวกตนอยู่กับยักษ์จึง
หลบหนีไปเมืองกุตารนครและได้เป็นมเหสีของพระเจ้ารถสิทธ์ิ เมื่อนางยักษ์
ร้ขู ่าวกโ็ กรธแค้นมากจึงท�ำอุบายจนได้เปน็ มเหสีเอกของพระเจา้ รถสทิ ธิ์ จากนน้ั
จึงควักลูกตานางสิบสองแล้วส่งไปขังไว้ในถ้�ำ จนกระทั่งน้องสุดท้องในบรรดา
สบิ สองนางคลอดลกู ออกมาชอ่ื วา่ “รถเสน” หรอื “พระรถ” ตอ่ มาพระเจา้ รถสทิ ธิ์
รวู้ า่ พระรถเปน็ ลูก นางยกั ษจ์ งึ คดิ ก�ำจดั ดว้ ยการแสรง้ ท�ำเปน็ ปว่ ยตอ้ งกนิ ผลไมท้ ี่
ชอ่ื วา่ “มะมว่ งหาว มะนาวโห”่ ในเมอื งทนี่ างเมรลี กู สาวของตวั เองอยจู่ งึ จะหาย
และขอใหพ้ ระรถไปนำ� มาให้ โดยแอบฝากสารสง่ั ไปถงึ นางเมรวี า่ เมอ่ื พระรถไปถงึ
เมอื งเมอ่ื ไรใหฆ้ า่ เมอื่ นนั้ แตร่ ะหวา่ งทางพระรถบงั เอญิ พบฤๅษี ทา่ นฤๅษจี งึ แปลง
สารกลายเปน็ วา่ เมอื่ พระรถไปถงึ เมอ่ื ไรใหแ้ ตง่ งานเมอ่ื นน้ั พระรถและนางเมรจี งึ
ไดแ้ ตง่ งานกันท่เี มอื งน้ัน
ในบทละครเร่อื งพระรถเมรสี �ำนวนท่ี ๑ พรรณนาเมอื งทานตะวันซึ่งเปน็
ช่ือเมืองที่นางยักษ์สารตราครอบครองหลังจากท่ีสามีนางตายไปแล้วหลายปีว่า
ปลกู ต้น “งัว่ หาวนาวโห”่ ไว้ในสวน ดังความวา่

มีตน้ ง่ัวหาวนาวโห ่ ใหญโ่ ตกงิ่ ก้านแขง็ ขัน
เกดิ สำ� หรบั บุรีทานตะวนั แลมขี องวเิ ศษนน้ั หลายประการ

84

ส่วนในบทละครเรื่องพระรถเมรีส�ำนวนที่ ๒ ก็พรรณนาความตอนท่ี
พระรถตอ้ งแอบนางเมรีเกบ็ ผลมะมว่ งหาวมะนาวโห่วา่

ไดเ้ อยได้ยิน พระคิดถวลิ จนิ ดา
ท�ำไฉนจะไดเ้ ก็บยา หมากงั่วนาวมาบัดนี้
พระชกั มา้ เหยี นเวยี นไป โนน้ ตน้ อะไรเจ้าเมรี
ปลกู เอาไวใ้ ยในสวนศรี ไมน้ ้เี รียกพันธ์วุ ่าไรนา
ฯ ๔ คำ� ฯ
ฟังเอยฟงั พลัน เมรีสาวสวรรคเ์ จ้าทูลมา
ตน้ โน้นโพน้ เลา่ หมากงว่ั นา้ ว หวั ระรห่ี มฉี่ าวร้เู จรจา
รู้โหร่ ้รู อ้ งทกุ เวลา เจรจาภาษาทกุ สิ่งพรรณ
เห็นทา้ วกบั ข้าเขา้ มาสม หวั ระรนื่ ชนื่ ชมบังคมคลั
ฝงู มารมนั เฝ้าอยนู่ ับพนั หลักเมอื งไอตะวนั แตก่ ่อนมา
ฯ ๕ คำ� ฯ
ฟังเอยฟังแล้ว พระแกว้ คิดถงึ ค�ำนึงหา
ท�ำไฉนจะไดม้ าเกบ็ ยา หมากงวั่ นาวมาบดั เดี๋ยวน้ี
พระแกล้งท�ำกลไสไ่ คล ้ ชกั มา้ เวยี นไปรอบสวนศรี
คลอ้ ยคลับลบั เนตรเจา้ เมรี ลับตาสาวศรตี ดิ ตามมา
ฉวยชกั พระหกั ลกู มะง่วั ดกยง่ิ กง่ิ พัวอยสู่ าขา
ฉวยชกั หกั ลูกมะนาวมา หัวระรี่ระร่าตลาเป็น
ฯ ๖ คำ� ฯ เชดิ

ในพระรถคำ� กลอน ไมเ่ รยี กวา่ หมากงวั่ แตเ่ รยี กวา่ มะมว่ ง และไดพ้ รรณนา
วา่ เม่ือผลมะม่วงหาวมะนาวโห่จะถูกเด็ดครั้งใด กจ็ ะรอ้ งขน้ึ ให้เป็นท่ตี กใจทั่วกัน
เช่นวา่

แลว้ ขึน้ จากสระศรีมทิ นั ชา้ เท่ยี วชมพรรณพฤกษางามไสว
เหน็ มะมว่ งพวงงามอร่ามไป มะนาวใหญ่เคียงอยู่เปน็ ค่กู ัน
สิบสองนางตา่ งคนเขา้ น้าวกิ่ง แย่งชิงกันเกบ็ แลว้ สรวลสนั ต์

85

พักมะมว่ งพวงงามอรา่ มครนั ลางคนนัน้ หักมะนาวลงก่ายกอง
ตน้ มะม่วงรว่ งแล้วกร็ ้องหาว ผลมะนาวลกู โตกโ็ หก่ ้อง
เสียงสนนั่ ลน่ั ป่าดังฟ้าคะนอง โหร่ อ้ งสนนั่ ดงั ทง้ั กรงุ ไกร
ฝา่ ยพวกพลมารที่อยูเ่ ฝ้า ก็บอกกล่าวต่อกนั อย่หู ว่นั ไหว
พลเมอื งเล่าลอื กันอ้อื ไป ตกใจตนื่ ว่ิงเป็นสิงคลี
บ้างกเ็ ข้าไปแจ้งซ่ึงยบุ ล แกส่ ุนนทามารยักษี
ว่าตน้ ไม้เสี่ยงทายพระบรู ี เผอิญมเี สียงโห่เป็นโกลา

ในวรรณคดีเรื่องพระรถเมรี ต้นมะม่วงหาวมะนาวโห่จึงเป็นต้นไม้ที่บอก
เหตดุ รี ้าย และจะเกดิ เสียงโห่ร้องกอ้ งข้ึนเมอื่ มภี ยั มาหรือมีผ้มู าเด็ดลกู ไป
วรรณคดีพระรถเมรีเรียกมะม่วงหาวมะนาวโห่ในหลายชื่อต่างกันเช่น
งั่วหาวนาวโห่ และม่วงหาวนาวโห่ นาวน้ันมีความหมายว่ามะนาว ส่วนง่ัวนั้น
อักขราภิธานศรับท์ หมอบรัดเลย์อธิบายว่า “มะงั่ว เป็นช่ือต้นส้มอย่างหน่ึง
เปร้ียวนัก เขาปลูกไว้ท�ำยา ผลโตเท่าลูกส้มโอย่อม ๆ” พจนานุกรม ฉบับ
ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ อธิบายลกั ษณะของมะงัว่ ไว้วา่ “ชื่อไมต้ น้ ขนาด
เลก็ ผลคล้ายส้มโอ รสเปรย้ี วจัด ใชป้ ระสมกับขมิน้ เพอื่ ย้อมผา้ , มะส้าน กเ็ รียก”
(รศ. ดร.ปรดี ี พิศภูมวิ ถิ )ี

หนงั สืออ้างอิง
ราชบัณฑติ ยสถาน. พจนานกุ รม ฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. พมิ พ์
คร้ังที่ ๒. กรงุ เทพฯ : นานมีบคุ๊ ส,์ ๒๕๕๖.
แดนบชี บรดั เลย.์ อกั ขราภธิ านศรบั ท์ Dictionary of the Siamese Language.
กรงุ เทพฯ, ๒๔๑๖.
ศลิ ปากร, กรม. ประชุมเรือ่ งพระรถ. กรุงเทพฯ : สำ� นกั พมิ พ์เจ้ียฮวั้ , ๒๕๔๖.
ส�ำนักวิจัยการอนุรักษ์พันธ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า
และพันธุ์พืช. พืชสมุนไพรในสวนพฤกษศาสตร์และสวนรุกขชาติใน
ประเทศไทย. กรุงเทพฯ : เอสพี เพลท, ๒๕๕๖.

86

ไม้จันทน์

จนั ทนเ์ ปน็ ชอ่ื พรรณไมท้ ม่ี เี นอ้ื ไม้ ดอก หรอื ผลหอม มหี ลายชนดิ ชนดิ ทม่ี ี
ราคาแพงคอื จันทน์อนิ เดยี เปน็ ไมย้ นื ตน้ สงู ระหวา่ ง ๓๐-๔๐ ฟตุ ใบเล็ก มกี ลิน่
หอมทีเ่ น้อื ไม้
ไมจ้ ันทน์แม้จะแหง้ ก็ยงั หอม ดังโคลงโลกนติ มิ วี ่า
จนั ทนแ์ ห้งกลิน่ หอ่ นได้ ดรธาน
ออ้ ยหีบชานยังหวาน โอชอ้อย
ช้างเข้าศกึ เสยี่ มสาร ยกย่าง งามนา
บณั ฑติ แม้นทกุ ข์ร้อย เทา่ ร้อื ลมื ธรรม
คนไทยจงึ นยิ มนำ� ไม้จนั ทนม์ าทำ� เคร่อื งหอม ใช้อบเสื้อผ้าและทารา่ งกาย
ดังโคลงกำ� สรวลศรปี ราชญม์ วี า่
รอยมือแมธ่ ารทา หอมหน่ื ยงงเลอย
จนนทนกระแจะรศเรา้ รวจขจรฯ
ไม้จันทน์ใช้ท�ำยาก็ได้ ในปฐมสมโพธิกถา พระนิพนธ์สมเด็จพระมหา
สมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส มีข้อความกล่าวถึงเศรษฐีเมืองราชคฤห์
ผู้หนึ่งให้กลึงไม้จันทน์แดงเป็นบาตร แล้วต่อปลายไม้ข้ึนไปแขวนไว้บนอากาศ
สงู ๖๐ ศอก ใหป้ ่าวประกาศว่าถ้าผ้ใู ดเหาะมาเอาบาตรไปได้ จะเช่ือถือว่าเปน็
พระอรหันต์และจะยอมนับถือจนตลอดชีวิต พระภารทวาชเถรเหาะมาลอยอยู่
ตรงเบอ้ื งหลงั คาเรอื นของเศรษฐี เศรษฐอี าราธนาพระเถระใหล้ งจากอากาศและ
นำ� บาตรไปถวาย พระพทุ ธเจา้ ทรงทราบเรอื่ งกต็ รสั ตเิ ตยี น “แลว้ ใหท้ ำ� ลายบาตร
จนั ทนน์ นั้ เปน็ จณุ วจิ ณุ แจกใหพ้ ระสงฆท์ ง้ั หลายบดใหเ้ ปน็ โอสถใสจ่ กั ษุ แลว้ กท็ รง
พระบัญญตั ิสิกขาบท ห้ามมใิ ห้สาวกกระท�ำปาฏิหารยิ ส์ ืบไป”
อยา่ งไรกต็ าม ดว้ ยเหตุทีไ่ ม้จันทน์มคี า่ ราคาแพง ผ้ทู ี่สามารถน�ำไมจ้ นั ทน์
ท้ังทอ่ นมาใชจ้ งึ มักเปน็ กษตั รยิ ์หรอื เศรษฐีและใช้ในเรอ่ื งสำ� คัญ ๆ เช่น การสรา้ ง

87

ปราสาท หรือการเผาศพ มเี ร่อื งการสร้างปราสาทในปฐมสมโพธิกถา วา่ สมเด็จ
พระเจา้ สหี นรุ าช “ตรสั สง่ั กษตั รยิ ศ์ กั ยราช ๓๐๐,๐๐๐ กบั สทุ ธยิ อมาตยใ์ หไ้ ปสรา้ ง
ปราสาทองคห์ น่งึ ณ กรงุ กบิลพัสดุ์ มพี ้ืนได้ ๗ ชั้น มเี สา ๕๐๐ ต้น แลว้ ไปด้วย
ไม้จันทน์ ถวายนามจันทนปราสาท...” เพ่ือให้เป็นท่ีประทับของพระราชโอรส
คือพระเจ้าสุทโธทนะกับพระนางสิริมหามายา และมีเร่ืองการท�ำจิตกาธาน
เพอ่ื ถวายพระบรมศพสมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ใน ปฐมสมโพธกิ ถา เชน่ กนั วา่
กษตั รยิ ม์ ลั ลราช “ใหก้ ระทำ� ซงึ่ จติ กาธารคอื พระเชงิ ตะกอนแลว้ ไปดว้ ยแกน่ จนั ทน์
สูงถึง ๑๒๐ ศอก แล้วเชิญพระหีบทองซ่ึงใส่พระบรมศพข้ึนประดิษฐาน ณ
เบอ้ื งบนพระเชิงตะกอนน้นั ”
การใชไ้ มจ้ นั ทนใ์ นการเผาศพคงจะเปน็ วฒั นธรรมของอนิ เดยี มาแตโ่ บราณ
ในไตรภมู พิ ระรว่ ง กก็ ลา่ วถงึ การใชไ้ มจ้ นั ทนใ์ นพธิ ปี ลงพระศพพญาจกั รพรรดริ าช
ดงั น้ี
เม่ือนั้นจึงพระญาจักรพรรดิราชน้ัน ธ ก็ทิพพชงคคตพิธร ชโลมด้วย
กระแจะจวงจันทน์แล้วจงึ ยกศพไปสงสักการดว้ ยแกน่ จันทน์กฤษณาฯ
สว่ นคนอนิ เดยี ทวั่ ไปใชไ้ มจ้ นั ทนป์ นกบั ฟนื ไมส้ ามญั ในการเผาศพ พระยา
อนมุ านราชธนกล่าวถงึ เร่อื งน้ใี นเรอื่ งประเพณีเนอ่ื งในการตายว่า
…ได้พบในหนังสอื Alburni’s India ว่าการเผาศพของอินเดียใช้ทอ่ นไม้
จันทน์ปนกับฟืนไม้ชนิดอ่ืน ได้ความจากชาวอินเดียผู้หนึ่งอธิบายว่าไม้
จันทน์เป็นของแพง ใครจะใช้ไม้จันทน์ล้วนเผาศพ ก็คงมีแต่คนม่ังมี
ธรรมเนยี มชาวบา้ น ใช้ฟนื ไมส้ ามัญเผา เป็นแตเ่ พมิ่ ไม้จนั ทน์ ๒-๓ ท่อน
บา้ งเทา่ น้ัน
คนไทยคงใช้ไม้จันทน์ในการเผาศพเจ้านายตามแบบอินเดียมาต้ังแต่
สมัยอยุธยา ดังต�ำราหน้าที่มหาดเล็กกล่าวถึงการถวายพระเพลิงพระบรมศพ
ตอนหนึง่ วา่

88

...คร้ันถวายเหลก็ เพลงิ แล้ว สนมไดถ้ วายไมเ้ ชือ้ เพลงิ ชุบน�้ำพมิ เสนให้ทรง
จดุ เพลงิ ทอ่ นจันทนแ์ ละธูปดว้ ยเทียนเพลงิ น้ัน...
พระยาอนุมานราชธนให้ความเห็นเรื่องการใช้ไม้จันทน์ในการเผาศพว่า
“เขา้ ใจวา่ ภายหลงั คดิ ประดษิ ฐเ์ อาไมจ้ นั ทนท์ ำ� เปน็ ดอกไม้ เพอ่ื กระเบยี ดกระเสยี ร
ใหเ้ ปลอื งเนอ้ื ไมจ้ นั ทนน์ อ้ ย” ดอกไมจ้ นั ทนจ์ งึ ใชใ้ นการเผาศพเรอ่ื ยมา ปจั จบุ นั ใช้
ไม้ชนิดอืน่ ทำ� แทน กย็ งั คงเรียกกันวา่ ดอกไมจ้ นั ทน์อยู่
นอกจากจะใช้ไม้จันทน์ในการเผาศพแล้ว ไม้จันทน์ยังใช้ในการประหาร
ชีวติ เจา้ นายด้วย ดังกฎมณเฑยี รบาลมวี ่า
ถา้ แลโทษหนกั ถงึ สนิ้ ชวี ติ ไซ้ ใหส้ ง่ แกท่ ลวงฟนั หลงั แลนายแวงหลงั เอาไป
มลา้ งในโคกพญา นายแวงนง่ั ทบั ตกั ขนุ ดาบ ขนุ ใหญไ่ ปนง่ั ดู หมน่ื ทลวงฟนั
กราบ ๓ คาบตดี ว้ ยทอ่ นจนั ทนแ์ ลว้ เอาลงขมุ นายแวงทลวงฟนั ผใู้ ดเอาผา้
ทรงแลแหวนทองโทษถึงตาย เมื่อตีนนั้ เสอื่ ขลิบเบาะรอง
เมอ่ื วนั ที่ ๑๓ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๓๙๑ มีการสำ� เรจ็ โทษเจา้ นายดว้ ยท่อน
จนั ทน์เปน็ ครัง้ สุดทา้ ย
(รศ. ดร.นววรรณ พนั ธุเมธา)
หนังสืออา้ งอิง
โคลงโลกนิติ พระนิพนธ์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร.
กรงุ เทพฯ : สถาบนั ภาษาไทย กรมวชิ าการ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, ๒๕๓๓.
ต�ำราแบบธรรมเนียมในราชส�ำนักคร้ังกรุงศรีอยุธยา กับพระวิจารณ์ของ
สมเด็จฯ กรมพระยาด�ำรงราชานภุ าพ. กรงุ เทพฯ : กองวรรณกรรมและ
ประวตั ิศาสตร์ กรมศลิ ปากร, ๒๕๓๙.
ไตรภมู พิ ระร่วงของพระญาลิไทย. พมิ พ์ครัง้ ที่ ๒. พระนคร : องคก์ ารคา้ ของ
ครุ สุ ภา, ๒๕๐๖.
ปรมานุชติ ชิโนรส, สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระ. ปฐมสมโพธิกถา (ฉบับ
กรมการศาสนา). กรุงเทพฯ : สหธรรมกิ , ๒๕๓๗.

89

ราชบณั ฑติ ยสถาน. กฎหมายตราสามดวง ฉบับราชบัณฑติ ยสถาน. อมรินทร
พร้นิ ต้งิ แอนด์ พบั บลชิ ช่ิง จำ� กัด มหาชน, ๒๕๕๐. ๒ เล่ม.
วรเวทยพ์ สิ ฐิ , พระ. คมู่ อื กำ� สรวลศรปี ราชญ.์ พระนคร : จฬุ าลงกรณมหาวทิ ยาลยั ,
๒๕๐๓.
ส. พลายนอ้ ย (นามแฝง). พฤกษนิยาย. กรุงเทพฯ : รวมสาสน์ , ๒๕๔๓.
สังข์ พัธโนทยั . ปทานกุ รมพรรณไม้ในต�ำนานเมือง. ม.ป.ท., ม.ป.ป.
เสฐียรโกเศศ (นามแฝง). ประเพณีเนอ่ื งในการตาย. พิมพใ์ นงานพระราชทาน
เพลิงศพพระยาอนุมานราชธน ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส วันที่ ๑๔
ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๑๒.

ยำ่� รุ่ง-ยำ่� ค�ำ่ -เย็นย�่ำ-ไกลปนื เที่ยง

ยำ�่ รงุ่ ยำ่� คำ�่ เยน็ ยำ่� และไกลปนื เทยี่ ง เปน็ คำ� และสำ� นวนทเี่ กดิ ขน้ึ เนอื่ งจาก
การบอกเวลาในสมยั ก่อน
ก่อนที่จะใช้นาฬิกากันแพร่หลายในประเทศไทย มีการตีกลองหรือฆ้อง
เพอื่ บอกเวลา และตยี ำ�่ คอื ตถี ่ี ๆ บางเวลา สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยา
ด�ำรงราชานภุ าพ ทรงเล่าประทาน ม.ร.ว.สมุ นชาติ สวสั ดิกลุ ปรากฏในหนงั สอื
บันทึกรบั ส่ัง หนา้ ๕๓-๕๔ ว่า
...ถา้ ตเี วลา ๖ นาฬิกา ๑๒ นาฬกิ า ตอ้ งตยี ่ำ� ฆอ้ งเสียก่อนลาหนง่ึ แล้วจงึ ตี
บอกอตั รานาฬกิ า กลางคนื ตงั้ แตเ่ วลา ๑๘ นาฬกิ าตอ้ งตยี ำ�่ กลองเสยี กอ่ น
ลาหนง่ึ เรียกวา่ ย�่ำค่ำ� ๒๑ นาฬิกา ยำ�่ ลาหน่ึงเรยี กว่ายามหนึ่ง เที่ยงคืน
ยำ่� สองลา เรยี กวา่ สองยาม ๓ นาฬกิ ายำ่� สามลาเรยี กสามยาม แลว้ ตอี ตั รา
ตอ่ ตอนรงุ่ กย็ ำ�่ รงุ่ ตอนเทย่ี งกย็ ำ่� เทย่ี ง กลางวนั กย็ ำ่� ฆอ้ ง กลางคนื ยำ�่ กลอง
การย�ำ่ ยามเวลารงุ่ เวลาเท่ียง และเวลาคำ่� ทำ� ใหเ้ กิดค�ำวา่ ยำ�่ รุ่ง หมายถงึ
เวลารงุ่ เชา้ ประมาณ ๖ นาฬกิ า ยำ่� เทยี่ ง หมายถงึ เวลาเทย่ี งวนั และยำ่� คำ�่ หมายถงึ
เวลาค�่ำประมาณ ๑๘ นาฬิกา และยังมีค�ำว่า เยน็ ยำ�่ ซงึ่ หมายถงึ เวลาเย็นใกล้คำ่�

90

ดงั ที่ อักขราภธิ านศรับทบ์ อกความหมายของคำ� เยน็ ยำ่� ไว้ว่า “เอยน็ ย�่ำ คือเวลา
บ่ายหกโมง ค�่ำย�ำ่ ฆอ้ งส้นิ แสงอาทติ ย์ไมม่ ีรอ้ น, เอย็นเป็นปรกตนิ ้นั , ว่าเอยน็ ย�่ำ”
สาเหตุที่ตีย�่ำ สมเด็จฯ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพทรงอธิบายว่าเป็น
สญั ญาณบอกใหเ้ ปลยี่ นคนรกั ษายาม เวลากลางวนั ๖ ชว่ั โมงเปลยี่ นยามครงั้ หนง่ึ
ส่วนเวลากลางคืน ๓ ช่ัวโมง เปล่ียนครั้งหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า
เจา้ อยหู่ วั กท็ รงสนั นษิ ฐานไวใ้ นประกาศนบั เวลาในราชการ ทำ� นองเดยี วกนั นี้ แตม่ ี
รายละเอยี ดเพม่ิ ขน้ึ วา่ การตฆี อ้ งหรอื กลองในคา่ ยของทหารเปน็ แตเ่ พยี งสญั ญาณ
ใหเ้ ปลีย่ นเวรยาม ถา้ ตยี �่ำเป็นสัญญาณให้เปล่ียนหมู่ หรอื หมวดรักษาการท้งั ๆ
หมู่ ไมใ่ ชเ่ พียงแต่ผลดั คนยืนยาม
นอกจากการย�่ำยามบอกเวลา ยังมีการยิงปืนบอกเวลาอีกด้วย สมเด็จฯ
กรมพระยาดำ� รงราชานุภาพทรงเลา่ วา่
...ทปี่ อ้ มมุมพระบรมมหาราชวัง มปี ืนใหญ่บรรจกุ ระสุนอยู่ ๔ ป้อมเสมอ
ปอ้ มละ ๑ กระบอก ปืนกระบอกหนึ่งทปี่ ้อมดา้ นวดั พระเชตุพน ยงิ ตอน
เช้าตรู่เวลาพระอาทิตย์ข้ึนทุกวัน กล่าวกันว่าอาจเป็นการเปล่ียนดินปืน
หรอื เป็นสญั ญาณเปดิ ประตวู ัง
การยงิ ปนื เวลาเทย่ี งไดแ้ บบอยา่ งมาจากการยงิ ปนื ทส่ี งิ คโปรส์ ำ� หรบั ใหค้ น
ตัง้ นาฬกิ า สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดำ� รงราชานภุ าพทรงเลา่ วา่
มลู เหตขุ องการยิงปนื เทย่ี งน้นั จ�ำไดอ้ ยู่วา่ แรกเราไปได้ยินอังกฤษ
เขายิงสญั ญาณท่ีเมืองสงิ คโปร์สำ� หรับใหค้ นตง้ั นาฬิกา ไทยเราไปเหน็ เขา้
อยากจะใหม้ ปี นื เทยี่ งทกี่ รงุ เทพฯ บา้ ง ดเู หมอื นจะโปรดใหท้ หารเรอื ยงิ ขน้ึ
ทต่ี ำ� หนกั แพกอ่ น ครน้ั กรมหลวงประจกั ษศ์ ลิ ปาคมจดั ทหารปนื ใหญม่ ขี น้ึ
ในทหารลอ้ มวงั แลว้ จงึ ขอหนา้ ทยี่ งิ ปนื เทยี่ งมาใหท้ หารปนื ใหญล่ อ้ มวงั ยงิ
ท่ีป้อมทัศนากรอยู่ระยะหน่ึงแล้วจึงกลับไปเป็นหน้าที่ของทหารเรืออีก
ปนื เทย่ี งยงิ มาจนมไี ฟฟา้ โรงไฟฟา้ รบั ขยบิ ตาเวลาสองทมุ่ เปน็ สญั ญาณตงั้
นาฬิกาแทน

91

ปนื เทีย่ งเป็นสญั ญาณให้คนรูเ้ วลาตรงกัน เสยี งปืนดังได้ยนิ ไปไกล ถ้าอยู่
ไกลมากจนไม่ได้ยินเสียงปืนเที่ยง ก็ต้องถือว่าอยู่ไกลความเจริญ ไม่รู้เวลาตรง
ตามท่ผี ูอ้ ืน่ รู้ ไกลปืนเทีย่ งจึงกลายเป็นสำ� นวน หมายถงึ ไกลความเจรญิ จนไม่รู้
เรอ่ื งราวอะไร
ปัจจบุ ัน ค�ำวา่ ยำ�่ รงุ่ ยำ�่ คำ่� เย็นย่ำ� และส�ำนวนไกลปืนเที่ยง ยังมใี ชก้ นั อยู่
แต่คำ� วา่ ย�่ำเท่ยี ง ไมม่ ผี ใู้ ดใช้ ใชแ้ ต่เพียงเวลาเท่ียง หรือเที่ยงวนั
(รศ. ดร.นววรรณ พันธเุ มธา)
หนังสืออา้ งอิง
บนั ทกึ รับส่ัง สมเด็จฯ กรมพระยาด�ำรงราชานภุ าพ ประทาน ม.ร.ว.สุมนชาติ
สวัสดิกุล. กรงุ เทพฯ : บำ� รุงบณั ฑติ , ๒๕๓๐.
ลักษณะจดหมายราชการ. คณะข้าราชการจงั หวดั ปราจีนบุรี พิมพแ์ จกในงาน
พระราชทานเพลงิ ศพ พระยาอนิ ทราธบิ ดฯี (ทองยอ้ ย เศวตศลิ า) ทส่ี สุ าน
วัดเทพศริ นิ ทราวาส วนั ท่ี ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๖.
อกั ขราภธิ านศรบั ท์ ของหมอปรดั เล. พระนคร : องคก์ ารคา้ ของครุ สุ ภา, ๒๕๑๔.

รดน�ำ้ -ด�ำหัว

ในชว่ งเทศกาลสงกรานต์ เรามกั จะไดย้ นิ คำ� วา่ “ดำ� หวั ”หรอื “รดนำ้� ดำ� หวั ”
จากส่ือต่าง ๆ กันบ่อยโดยเฉพาะทางโทรทัศน์ ซ่ึงคนส่วนใหญ่คงจะเข้าใจว่า
หมายถงึ การรดนำ�้ ขอพรผใู้ หญ่ หรอื การรดนำ�้ เลน่ กนั ในวนั สงกรานต์ โดยตคี วาม
จากคำ� ว่า “รดน�้ำ” เป็นหลกั โดยไมท่ ราบความหมายของค�ำวา่ “ดำ� หวั ” หรอื
ไมก่ ็คิดวา่ “รดน�้ำด�ำหวั ”เปน็ ค�ำเดยี วกนั
ทจี่ รงิ แลว้ คำ� วา่ ดำ� หวั เปน็ คำ� ภาษาไทยถน่ิ เหนอื พจนานกุ รมลา้ นนา-ไทย
ฉบบั แมฟ่ า้ หลวง ไดใ้ หค้ วามหมายไวว้ า่ หมายถงึ “สระผม” หรอื พธิ แี สดงความ
เคารพผมู้ อี าวโุ สหรอื ผมู้ บี ญุ คณุ ในเทศกาลสงกรานต ์ แตว่ า่ ดำ� หวั ในความหมาย
แรกนั้น ปัจจบุ ันคนรนุ่ ใหม่ทางภาคเหนอื ไม่นยิ มใชค้ ำ� “ด�ำหัว” แล้ว แต่ใช้คำ� วา่

92
“สระผม” เหมือนภาษาไทยกลางแทน ดงั นน้ั การใช้ค�ำว่า “ดำ� หัว” จึงเหลือแต่
ในความหมายที่ ๒ เทา่ นน้ั
สว่ นคำ� วา่ “รดนำ้� ” (ฮดนำ�้ ) ในวนั สงกรานตส์ ำ� หรบั คนในภาคเหนอื แตเ่ ดมิ
ก็เป็นการน�ำน้�ำที่สะอาดมารดกันอย่างสุภาพ เช่น ชายหนุ่มจะรดน้�ำหญิงสาว
ก็จะขออนุญาตก่อนแล้วจึงจะรดน้�ำอย่างสุภาพโดยจะรดตั้งแต่ไหล่ลงมา
พรอ้ มกบั กลา่ วค�ำอวยชยั ให้พรไปด้วย
การด�ำหัวของคนในล้านนานั้น แบ่งเป็น ๒ ลักษณะ คือการด�ำหัว
ตนเอง และ การด�ำหัวผูอ้ ่ืน ศาสตราจารย์มณี พยอมยงค์ เขยี นเลา่ ไว้ในหนังสอื
“ประเพณสี บิ สองเดอื นลา้ นนาไทย” วา่ การดำ� หวั ตนเองในวนั แรกของประเพณี
สงกรานตข์ องภาคเหนอื ทเ่ี รยี กวา่ “วนั สงั ขานตล์ อ่ ง” (คนลา้ นนาออกเสยี งคำ� วา่
“สงกรานต”์ เปน็ “สงั ขานต”์ ) ภาคกลางเรยี กวา่ “วนั มหาสงกรานต”์ นน้ั เปน็ พธิ ี
ดำ� หวั ดว้ ยการประพรมนำ้� ขมนิ้ สม้ ปอ่ ยเพอ่ื ไลส่ งิ่ ทไี่ มด่ หี รอื กาลกณิ ี เสนยี ดจญั ไร
ใหอ้ อกไปพรอ้ มกบั ปเี กา่ ทผ่ี า่ นไป ซง่ึ พธิ นี จี้ ะทำ� หลงั จากทสี่ ระผมตามปรกตเิ สรจ็
เรยี บรอ้ ยแล้ว และจะท�ำคนเดียวหรือท�ำเป็นกลมุ่ ครอบครัวกไ็ ด้ โดยให้หนั หนา้
ไปทางทศิ ทเี่ ปน็ มงคลตามทโี่ หรกำ� หนดไวใ้ นแตล่ ะปี (เชน่ ใน พ.ศ. ๒๕๕๖ กำ� หนด
ใหห้ นั หนา้ ไปทางทศิ ตะวนั ตกเฉยี งใต)้ แลว้ กลา่ วคำ� วา่ “สรรพะเคราะห์ สรรพะภยั
สรรพะอบุ าทว์ สรรพะพยาธแิ ละกงั วลทง้ั หลายขอตกลงไปกบั สงั ขานต ์ เคราะห์
อยู่ขา้ งหลงั อย่ามาอย่ถู า้ เคราะหท์ างหนา้ อย่ามาหา พุทธงั ถอด ธมั มังถอด หูรู
หรู ู สวาหาย” จากนนั้ กส็ ลดั หรอื พรมนำ�้ ขมน้ิ สม้ ปอ่ ยใสศ่ รี ษะ ๓ ครงั้ เปน็ เสรจ็ พธิ ี
การท่ีต้องใช้น�้ำขม้ินส้มป่อยท�ำพิธีนี้เป็นเพราะคนทางภาคเหนือเชื่อว่าส้มป่อย
เป็นของขลังแก้เสนียดจัญไร และท�ำให้คาถาอาคมหรือของขลังที่เส่ือมไปกลับ
มคี วามศักดิสทิ ธเิ์ หมือนเดิมได ้
นอกจากท�ำพิธีด�ำหัวแล้ว ในปฏิทินล้านนายังก�ำหนดให้ เช็ด หรือหยิบ
กาลกณิ ี หรอื จญั ไรทอี่ ยกู่ บั ตวั ทง้ิ ไป ซง่ึ ตำ� แหนง่ ทอี่ ยขู่ อง กาลกณิ ี และจญั ไรของ
แต่ละปจี ะเปล่ียนไปตามวนั ท่สี ังขานต์ล่องดังน้ี

93

วันท่ีสังขานตล์ ่อง ศรีอยทู่ ี่ กาลกิณีอยูท่ ี่ จัญไรอยู่ที่
วันอาทิตย์ ลิ้น อก สะดอื
นม ปลายนิว้
วันจันทร์ หนา้ ผาก ไหลซ่ า้ ย ไหลข่ วา
จมูก กลางหลัง
วันองั คาร ปลายจมกู หวา่ งค้ิว ทา้ ยทอย
หน้าผาก รมิ ฝีปาก
วันพธุ ริมฝีปาก กระหม่อม กระหม่อม

วันพฤหสั บดี ใตค้ าง

วนั ศุกร์ ท้อง

วนั เสาร์ หน้าแข้ง

ตามปฏทิ นิ ปใี หมข่ องภาคเหนอื ปี ๒๕๕๖ กำ� หนดใหว้ นั เสารท์ ่ี ๑๓ เมษายน
เป็น “วนั สงั ขานตล์ ่อง” ศรีอยทู่ ่หี น้าแขง้ กาลกิณีและจัญไรอยู่ท่ีกระหม่อม และ
มคี ำ� อธบิ ายการทำ� พธิ ไี วว้ า่ ใหท้ กุ คนไมว่ า่ จะเปน็ เจา้ นาย ขนุ นาง ครบู าอาจารย์
และประชาชนทว่ั ไป พากนั ไปยงั สระนำ้� แมน่ ำ้� ตน้ ไม้ จอมปลวกใหญ่ ทางสแี่ พรง่
ทใี่ ดทห่ี นึ่ง แลว้ หันหน้าไปทางทศิ ตะวนั ตกเฉยี งใต้ แล้วอาบนำ้� สระผม ให้เอา
น้�ำอบน้�ำหอมเช็ดท่ีหน้าแข้ง ให้เอาน�้ำขม้ินส้มป่อยเช็ดกาลกิณีและจัญไรอยู่ที่
กระหม่อมทงิ้ ไปพร้อมกับกล่าวคาถาไปด้วย ดังข้อความตอ่ ไปน้ี
...ในวนั สงั กรานต์ไปนน้ั จ่งุ หือ้ ครูบาอาจารย์ เจา้ นาย ท้าวพระญา เสนา
อามาตย์ ขา้ ราชการ ไพรร่ าษฎรทงั มวลเอากนั ไปสโู่ ปกขรณ ี แมน่ ำ�้ เคา้ ไม้
จอมปลวกใหญ ่ หนทางไควส่ เี่ สน้ สมุ กนั อวา่ ยหนา้ ไปสทู่ ศิ ะหนวนั ตกแจง่ ใต้
อาบองค์สรงเกศเกล้าเกศี ปีนี้สรีอยู่ท่ีหน้าแข้ง ห้ือเอาน�้ำอบน้�ำหอมเช็ด
ท้องเสีย กาลกณิ ีอยู่ทก่ี ระหม่อม จงั ไรก็อยู่ทกี่ ระหม่อมหอื้ เอาน้ำ� เข้าหม้นิ
ส้มป่อยเช็ดคว่างเสีย กล่าวคาถาว่า “โอมสิริมา มหาสิริมา เตชะ ยสฺส
ลาภา อายุ วณฺณา ภวนตฺ ุเม” ลอยจังไรเสียในทีท่ ังหลายฝงู น้ัน แล้วมานงุ่
ทรงเสอ้ื ผ้าผืนใหม่ ทดั ดอกลิลาอันเป็นพระญาดอก หากจกั มอี ายุยนื ยาว
ไปชะแล

94

อนึ่งการด�ำหัวโดยการสลัดน�้ำขม้ินส้มป่อยใส่ศีรษะน้ี นอกจากจะท�ำใน
วันสงั ขานตล์ อ่ งแล้วยังท�ำในวนั ท�ำพธิ สี ะเดาะเคราะห์เวลาเจบ็ ป่วยกไ็ ด ้
สว่ นการดำ� หวั บคุ คลอนื่ จะเรมิ่ ทำ� กนั ใน “วนั พระญาวนั ” ซงึ่ เปน็ วนั ลำ� ดบั ที่
๓ ในเทศกาลสงกรานต์ ตรงกบั วนั เถลงิ ศกของภาคกลาง ในวนั นห้ี ลงั จากทำ� บญุ
ถวายภตั ตาหารแดพ่ ระสงฆท์ ที่ างภาคเหนอื เรยี กวา่ “ตานขนั เขา้ ” (ทานขนั ขา้ ว)
ถวายทานตงุ (ธง) และเจดยี ท์ ราย ฟงั เทศนก์ นั เสรจ็ แลว้ กจิ กรรมในชว่ งบา่ ยถงึ คำ�่
ก็จะเป็นการดำ� หวั บคุ คลที่เคารพนบั ถือ การด�ำหัวในลักษณะนี้เปน็ การไปกราบ
ขอขมาลาโทษจากการที่ใช้วาจาหรือประพฤติตัวไม่ดีกับผู้ใหญ่หรือเป็นการ
แสดงความเคารพหรอื ขอบคณุ กไ็ ด้ ซง่ึ ทางภาคเหนอื ใชค้ ำ� วา่ “ไปขอสมู าคารวะ”
(สมู า แปลว่า ขมา ขอโทษ) กับบุคคลทยี่ ังมชี ีวติ อยู่ การดำ� หัวนหี้ ากทำ� ไม่เสรจ็
ในวันพระญาวันก็ท�ำต่อไปในวันล�ำดับที่ ๔ และ ๕ ของเทศกาลสงกรานต์
ทเ่ี รยี กวา่ “วนั ปากป”ี และ “วันปากเดือน” กไ็ ด้
บคุ คลท่ยี งั มชี วี ติ อยูท่ จ่ี ะไปด�ำหัวน้นั โดยมากจะเปน็ ผู้มีพระคุณ ผู้ที่ควร
แก่การเคารพนับถือ ได้แก่ พระสงฆ์ ญาติผู้ใหญ่ในครอบครัว ครูบาอาจารย์
ผ้อู าวุโสในหมู่บา้ น เช่น กำ� นนั ผู้ใหญ่บา้ น ตลอดจนผ้บู ังคับบัญชาในหน่วยงาน
การไปด�ำหัวบุคคลเหล่านี้จะต้องตระเตรียมเครื่องประกอบพิธีกรรมอันได้แก่
เครื่องสักการะและของด�ำหัว ตามก�ำลังของตน หรือตามสถานะของผู้ท่ีจะรับ
การดำ� หวั ดงั มรี ายละเอยี ดดงั น้ี
๑. เครื่องสกั การะ ประกอบด้วยของดังน้ี
พานดอกไม้ (ทางภาคเหนือเรียกว่า ขันดอก) ในพานดอกไม้จะใส่
ดอกไม้ ธปู เทยี น ซ่ึงจะต้องใชส้ ักการะทุก ๆ คน
สวยดอกสวยพลู (สวย คอื กรวย) คอื การนำ� เอาหมากพลยู าสบู เปลอื ก
กอ่ ห่อดว้ ยใบตอง หรอื ใบพลวง เปน็ รปู กรวยแหลมสำ� หรบั ตงั้ ไวใ้ นขันหรือถาด
แต่ถ้าเป็นการด�ำหัวเจ้านาย หรือผู้บังคับบัญชาชั้นผู้ใหญ่ ก็จะมีเคร่ือง
สกั การะเพม่ิ ขึน้ ได้แก่

95
ตน้ ดอก คอื พมุ่ ดอกไม้ ทใี่ ชไ้ มห้ รอื ทองเหลอื งทำ� เปน็ ตน้ พมุ่ สงู ประมาณ
๑ ศอก มีโพรงอยู่ข้างในส�ำหรับเอาดอกไม้หรือใบไม้โดยมากเป็นใบเล็บครุฑ
ใบชบา สอดเข้าไปจนเต็มแล้วตัดให้เรียบ และอาจตกแต่งด้วยดอกไม้ให้
สวยงามกไ็ ด้

[หมากสุม่ ]

หมากสุ่ม คือพุ่มหมากแห้ง ที่ใช้ไม้หรือทองเหลืองท�ำเป็นต้นพุ่มสูง
ประมาณ ๑ ศอก พมุ่ น้ีติดด้วยหมากแหง้ ทท่ี างเหนือเรียกว่าหมากไหม ที่ทำ� จาก
หมากดบิ ทผี่ า่ เปน็ ซกี แลว้ รอ้ ยตอ่ กนั ดว้ ยปอหรอื เชอื กเปน็ เสน้ ยาวประมาณ ๒ คบื

[หมากเบง็ ]

96
หมากเบ็ง คือพุ่มหมากสด ท่ีใช้ไม้หรือทองเหลืองท�ำเป็นต้นพุ่มสูง
ประมาณ ๑ ศอกแล้วน�ำหมากดิบหรือหมากสุกจ�ำนวน ๒๔ ลูกมาผูกติดไว้
กับโครงโดยผูกตรึงโยงกันลูกหมากไว้กับโครงซ่ึงทางล้านนาเรียกว่า “เบ็ง”
(เบ็ง แปลวา่ ค้ำ� ยัน ดนั จากข้างในมิให้ลม้ หรอื ยบุ )
น้�ำขมิ้นส้มป่อย การท�ำน�้ำขมิ้นส้มป่อยน้ันจะน�ำน้�ำสะอาดมาใส่ขันเงิน
นำ� ฝกั สม้ ปอ่ ยทแี่ หง้ แลว้ มาลนไฟแลว้ หกั ใสล่ งไปในนำ้� ทเี่ ตรยี มไว้ พรอ้ มทง้ั ใสด่ อก
ค�ำฝอยแห้งและดอกสารภีแห้ง จะท�ำให้น�้ำเป็นสีเหลือง นอกจากน้ียังมีการใส่
น้�ำอบไทยและลอยดอกมะลิสดด้วยท�ำให้น้�ำมีกลิ่นหอมยิ่งขึ้น ซ่ึงเคร่ืองส�ำหรับ
ท�ำน้ำ� ขม้ินสม้ ป่อยนี้จะมผี ูท้ ำ� ขายเป็นชดุ หาซ้อื ได้อยา่ งสะดวกในปจั จบุ นั

๒. ของดำ� หัวหรอื เคร่อื งอปุ โภคบริโภค
ของด�ำหัวหรือข้าวของเคร่ืองใช้ทั้งอุปโภคบริโภคท่ีจะไปมอบให้ผู้ที่จะ
ด�ำหัวน้ัน หากเป็นญาติผู้ใหญ่ในครอบครัวหรือผู้ท่ีเคารพนับถือมักจะน�ำเส้ือ
กางเกง ผา้ ถุง ผา้ ขนหนู ผ้าเช็ดหน้า ผา้ ขาวมา้ อย่างใดอย่างหนงึ่ พืชผักสวนครัว
ทปี่ ลกู ไวส้ ำ� หรบั ปรงุ อาหาร เชน่ มะเขอื หอมกระเทยี ม พรกิ และผลไมต้ า่ ง ๆ เชน่
มะปรางสกุ ซงึ่ จะมมี ากในช่วงสงกรานต ์ นอกจากนยี้ งั มี มะมว่ ง มะพร้าวออ่ น
กล้วยหรือผลไม้ชนิดอ่ืนที่ทราบว่าผู้ท่ีจะไปด�ำหัวชอบรับประทาน และของท่ี
ขาดไม่ได้อีกอย่างหนึ่งก็คือขนมชนิดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ข้าวแต๋น (นางเล็ด)

97
ขนมเทยี น และซองเงนิ นอกจากน้ใี นสมัยก่อนจะน�ำหมากพลู บุหรี่ และเม่ยี ง
ไปดำ� หวั ด้วย
เม่อื ถงึ วนั ดำ� หัวก็จะพากนั ไปยงั บา้ นหรอื สถานทีท่ ี่จะดำ� หวั หากเปน็ การ
ด�ำหัวพระสงฆ์ท่ีเป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่เรียกว่า “ด�ำหัววัด” หรือด�ำหัวเจ้านาย
ผู้ว่าราชการจังหวัด ก็มักจะมีผู้ร่วมด�ำหัวเป็นจ�ำนวนมากก็จะจัดเป็นขบวน
ประกอบดว้ ย ขบวนช่างฟ้อน เครื่องสกั การะ เครอ่ื งอปุ โภคบรโิ ภค การละเลน่
วงดนตรี และผรู้ ่วมขบวน เม่อื ถึงแล้วผ้ทู ีเ่ ปน็ หัวหน้ากลุ่มกจ็ ะนำ� เคร่ืองสักการะ
เครื่องอุปโภคบริโภคไปประเคน หรือมอบให้ผู้ท่ีจะด�ำหัว แล้วกล่าวค�ำคารวะ
และขอขมาลาโทษ ผทู้ ร่ี บั การดำ� หวั จะใหพ้ ร (ทางภาคเหนอื เรยี กวา่ “ปน๋ั ปอน”)
ซงึ่ มกั จะกลา่ วในทำ� นองเดยี วกนั วา่ วนั นเ้ี ปน็ วนั ดเี ปน็ วนั ปใี หม่ รสู้ กึ ดใี จทลี่ กู หลาน
ยงั ไมล่ ะทงิ้ ประเพณมี าดำ� หวั ขอขมา หากมสี ง่ิ ใดทไ่ี ดล้ ว่ งลำ�้ กำ้� เกนิ กข็ อยกโทษให้
และขอให้อยู่เย็นเป็นสุข อายุมั่นขวัญยืนปราศจากอันตรายและเคราะห์ร้าย
ตา่ ง ๆ ตง้ั แต่บัดนีเ้ ป็นตน้ ไป ดงั ตวั อย่างบางตอนจากคำ� ใหพ้ รตอ่ ไปนี้
ตัวอย่างที่ ๑ “...ตั้งแต่กาละวันนี้ยามนี้ไปเม่ือหน้า ขอห้ือสูท่าน
ทังหลาย ห้ือได้อยู่เย็นเป็นสุข อายุหม้ันขวัญยืนพ้นเสียจากยังสัพปะกังวล
อนตรายทงั หลาย เคราะหป์ ี เคราะห์เดอื น เคราะห์วัน เคราะหย์ าม ๓๒ เคราะห์
พายหลงั จักมาอยู่ถา้ มตี น้ ว่าเคราะหพ์ ายหนา้ จักบังเกิดมา ด่ังอัน้ กด็ ี ก็ขอหอื้ จุ่ง
รำ�่ งับกลบั หายไปเสย้ี งใน กาละวันนี้ ยามนี้ จุ่งจักมีเท่ยี งแทด้ ีหล”ี
ตวั อยา่ งที่ ๒ “...ขอหอื้ มคี วามสขุ สำ� ราญเทย่ี งเทา้ หอ้ื เปน็ ปจั จยั แกเ่ จา้
จคุ น ๆ สมดังความผาถะนาต๋นอย่าคลาด หอื้ ผาสะจากโรคภัยตังหลาย อยา่ มา
กลา๋ ยมาใกล้ แม้นจะไปวันตก วนั ออก เหนอื ใต้ กม็ ีมิตรแก้วสหายค�ำ จะไปเมอ่ื
คนื เมอื่ วัน ก็อย่าได้มเี คราะหม์ าปานถกู ตอ้ ง แมน้ มปี ้ีน้อง ก็หอื้ ถูกโลง่ กัน ขอหือ้
มีความสุขความงามอยบู่ ข่ าด หอ้ื สมดั่งคำ� ปากผขู้ า้ ปั๋นปอนจผุ ะก๋ารนน้ั จงุ่ จกั ม”ี
เมอื่ ใหพ้ รเสรจ็ แลว้ ทา่ นกจ็ ะวกั นำ�้ ขมนิ้ สม้ ปอ่ ยเลก็ นอ้ ยมาลบู ทศ่ี รี ษะของ
ตัวท่านเองหรืออาจจะลูบศีรษะของลูกหลานด้วยก็ได้ ถือเป็นเสร็จพิธีด�ำหัว

98

แต่ในบางแห่งจะมีผูกข้อมือให้ลูกหลานถือเป็นการสะเดาะเคราะห์ในวันปีใหม่
ใหอ้ กี ดว้ ย แตป่ จั จบุ นั จะรดนำ้� ขมน้ิ สม้ ปอ่ ยทมี่ อื ของผทู้ รี่ บั การดำ� หวั เหมอื นทาง
ภาคกลางไปกันหมดแลว้
นอกจากนใ้ี นวนั ลำ� ดบั ที่๔และ๕ทเี่ รยี กวา่ “วนั ปากป”ี และ“วนั ปากเดอื น”
จะเปน็ วนั ทท่ี ำ� พธิ ี “ดำ� หวั ผปี ยู่ า่ ” “ดำ� หวั ก”ู่ ตลอดจน “ดำ� หวั ผเี สอ้ื บา้ น” ทท่ี ำ� กนั
ในบางหมบู่ า้ น การดำ� หวั ผปี ยู่ า่ มกั จะทำ� ในบา้ น การดำ� หวั กหู่ รอื เจดยี บ์ รรจกุ ระดกู
จะต้องไปท�ำพิธีที่กู่ตามวัดต่าง ๆ เช่น ทางจังหวัดเชียงใหม่ได้จัดพิธีสักการะ
และด�ำหัวกู่เจ้าหลวงเชียงใหม่และกู่เจ้านายฝ่ายเหนือ ณ บริเวณกู่เจ้าหลวง
เชียงใหม่ วัดสวนดอก ส่วนการด�ำหัวเสื้อบ้านนั้นจะท�ำที่บริเวณหอเส้ือบ้าน
ท่ีมักจะอยู่กลางหมู่บ้านซึ่งถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธ์ิเป็นที่เคารพของคนใน
หมูบ่ ้าน
แม้ว่าประเพณีการด�ำหัวของภาคเหนือน้ีจะเกิดข้ึนจากอิทธิพลของ
ความเชื่อทางโหราศาสตร์และความเชื่อในเรื่องผีก็ตาม แต่ก็เป็นพิธีกรรมท่ี
แสดงออกซง่ึ ความเคารพนบั ถือ ความกตัญญตู อ่ ผใู้ หญแ่ ละบรรพบุรษุ ที่ลว่ งลบั
ไปแล้ว และยังเป็นพิธีกรรมท่ีหลอมรวมคนในครอบครัว ในวงศ์ตระกูล และ
ในหมูบ่ า้ น ให้มคี วามสามัคคี รกั ใคร่ เปน็ น้�ำหน่งึ ใจเดียวกนั อีกดว้ ย
(รศ.กรรณกิ าร ์ วิมลเกษม)
หนงั สอื อา้ งอิง
ชมรมปกั ขทนื ลา้ นนาเชยี งใหม.่ ปกั ขทนื ลา้ นนา จลุ ลสกราชได้ ๑๓๗๕–๑๓๗๖.
เชยี งใหม่ : ส. ทรัพยก์ ารพมิ พ์ เชยี งใหม่., ม.ป.พ.
ทรงศกั ด ์ิ ปรางคว์ ฒั นากลุ (บรรณาธกิ าร).สงกรานตใ์ น๕ประเทศ:การเปรยี บเทยี บ
ทางวัฒนธรรม. เชยี งใหม่ : สำ� นักสง่ เสรมิ ศลิ ปวัฒนธรรม มหาวทิ ยาลยั
เชยี งใหม,่ ๒๕๓๙.
มณี พยอมยงค.์ ประเพณีสบิ สองเดือนลา้ นนาไทย. เชียงใหม่ : โครงการศนู ย์
สง่ เสรมิ ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม,่ ๒๕๔๘.

99

สงวน โชติสุขรัตน์. ประเพณีล้านนาไทยและพิธีกรรมต่าง ๆ. กรุงเทพฯ :
โรงพมิ พ์กรงุ ธน, ๒๕๑๗.

. ประเพณไี ทยภาคเหนอื . พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๒. พระนคร : โอเดยี นสโตร,์ ๒๕๑๒.
เสฐียรโกเศศ. เร่ืองเกี่ยวกับประเพณีต่าง ๆ. พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงาน
พระราชทานเพลิงศพหลวงกิติประกาศ (หม่อมหลวงผ่อน พนมวัน) ณ
เมรุวดั เทพศริ ินทราวาส วันที่ ๒๕ ธันวาคม พทุ ธศักราช ๒๕๑๕.
อดุ ม รุ่งเรืองศรี. พจนานกุ รมล้านนา-ไทย ฉบบั แม่ฟา้ หลวง. เชยี งใหม่ : ภาค
วิชาภาษาไทย คณะมนษุ ยศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม,่ ๒๕๔๗.

ระเบง-ระเบ็งเซ็งแซ่-ละเมงละคร-โอละพอ่

ระเบง เปน็ การละเลน่ ของหลวงสมัยก่อน พระยาอนมุ านราชธนเขียนถงึ
ระเบง ในจดหมายกราบทูลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยา
นรศิ รานวุ ดั ตวิ งศ์ เมื่อวนั ที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ว่า
ขา้ พระพทุ ธเจา้ ขอประทานทราบเกล้าฯ เรือ่ งระเบง ซึ่งคูก่ ับกุลาตีไม้
ข้าพระพุทธเจ้าได้เคยเห็นก็แต่ครั้งเดียว เมื่อในงานแห่สลากภัตเน่ืองใน
การช้างเผอื ก พระเศวตคชเดชนด์ ิลก ข้าพระพทุ ธเจ้าจ�ำไปเป็นเงา ๆ วา่
พวกระเบงแต่งตวั คลา้ ยเทวดาเสื้อลายสีมัว ๆ อย่างสีน�ำ้ หมากถอื คันธนู
และลูก จะเป็นธนชู นิดใด ขา้ พระพุทธเจา้ จำ� ไม่ได้ เม่ือเดินกนั ไป ปากก็
รอ้ งวา่ โอละพอ่ จะไปไกรลาส แลว้ กย็ กคนั ธนแู ละใชล้ กู ตที ค่ี นั เปน็ จงั หวะ
กับมฆี ้องราวตีไปด้วย ถึงตอนหนงึ่ วา่ โอละพอ่ สลบท้งั ปวง พวกเหลา่ นน้ั
กล็ งนอนบนถนนดว้ ยกนั หมด แลว้ กล็ กุ ขน้ึ สงั เกตดใู นคำ� ทร่ี อ้ งเปน็ ทำ� นอง
เทวดาพากันไปไกรลาส แลว้ กไ็ ปสลบเพราะอะไรสกั อยา่ งหนึง่ ...
สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ประทานค�ำอธิบายใน
ลายพระหัตถ์ลงวนั ที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ วา่

100

การเล่นทั้งน้ันมี ๕ อย่าง คือ ๑ ระเบง ๒ โมงครุ่ม ๓ กุลาตีไม้
๔ แทงวสิ ัย และ ๕ กระต้ัวแทงควาย ท่านเขา้ ใจว่าระเบงนั้นเป็นเทวดา
แต่หาใช่ไม่ เป็นกษัตริย์ร้อยเอ็ดเจ็ดพระนคร จะไปช่วยโสกันต์ใครก็
ไมท่ ราบที่เขาไกรลาส บทมีวา่
โอละพ่อ เทวามาบอก
โอละพ่อ ยกออกจากเมือง
โอละพ่อ พรอ้ มกันทงั้ ปวง
โอละพ่อ จะไปไกรลาส
แล้วก็มเี พลงเดนิ ขึ้นต้นว่า
รกั แกว้ ขา้ น่ีเอย จะไปไกรลาส
แล้วไปถูกพระกาฬห้ามไม่ให้ไป แต่ฉันเข้าใจว่าเป็นพระขันทกุมาร
เพราะมีรูปนกยูงซ่ึงเป็นพาหนะอยู่ ท้ังพระขันทกุมารก็เกี่ยวข้องกับ
พระอิศวรซ่ึงอยู่ ณ เขาไกรลาส ถ้าเป็นพระกาฬรูปพาหนะจะต้องเป็น
นกแสก เมื่อกษัตริย์ทั้งน้ันไม่ฟังห้ามจะยิงเอาพระกาฬ พระกาฬก็สาป
ใหส้ ลบ เมอ่ื พอใจแลว้ กถ็ อนสาปใหฟ้ น้ื พวกกษตั รยิ ก์ ก็ ลบั บา้ นเมอื งเทา่ นนั้
ไปไมถ่ งึ เขาไกรลาส เรอ่ื งมเี ทา่ น้ี ฉนั อาจใหบ้ ทรอ้ งไดแ้ ตต่ น้ จนจบ แตเ่ ชอื่ วา่
คงเป็นเรอ่ื งส�ำหรบั เลน่ งานโสกนั ต์เท่านน้ั ถ้าเปน็ งานอืน่ นา่ จะมเี รอ่ื งเลน่
เปน็ อยา่ งอื่น
บทร้องในการเล่นระเบงตั้งแต่ต้นจนจบมี ดังนี้
โอละพ่อถวายบงั คม โอละพ่อเทวนั มาบอก
โอละพอ่ พรอ้ มกันทงั้ ปวง โอละพ่อยกออกจากเมอื ง
โอละพ่อผลดั ซ้ายเปลี่ยนขวา โอละพอ่ ผลัดขวามาซา้ ย
โอละพ่อกลบั หน้าเป็นหลงั โอละพ่อกลบั หลงั เป็นหนา้
โอล่ะพ่อบวั ตูมท้ังปวง โอละพ่อบัวบานทงั้ ปวง
โอละพอ่ ธนูชชู ัน โอละพอ่ จะไปไกรลาส
รักแกว้ คะนเิ อยจะไปไกรลาส รักพี่คะนเิ อยจะไปไกรลาส
รกั น้องคะนิเอยจะไปชมนก รกั หนา้ คะนเิ อยจะไปชมไม้

101

โอละพ่อขวางหน้าอย่ไู ย โอละพอ่ หลกี ไปให้พน้
โอละพอ่ ตัง้ กระบะทงั้ ปวง โอละพ่อโก่งศรทั้งปวง
โอละพ่อสลบทั้งปวง โอละพ่อฟน้ื ขนึ้ บดั ใจ
โอละพอ่ ยกกลบั เขา้ เมือง โอละพ่อเรากม็ าถึงเมือง

มีค�ำไทยหลายค�ำทเ่ี ก่ียวขอ้ งกับค�ำว่าระเบง ดงั น้ี
๑. ระเบ็งเซง็ แซ่ หมายความว่า มีเสยี งดังมาก เช่น เขาได้ยินเสียงนกร้อง
ระเบ็งเซ็งแซ่ และมีความหมายโดยปริยายว่า มีผู้กล่าวถึงมาก รู้กันท่ัวไป เช่น
เขาพดู กนั ระเบ็งเซง็ แซว่ า่ ปลดั กระทรวงมปี ญั หากบั รฐั มนตรี ทำ� ไมคุณไมท่ ราบ
๒. ละเมงละคร หมายถงึ ละครรวมถงึ มหรสพทีค่ ล้ายกนั ใช้ในภาษาไม่
เป็นทางการ เช่น ลกู เขามีเลอื ดศลิ ปนิ รอ้ งเพลงเพราะมาก เลน่ ละเมงละครก็ได้
๓. โอละพ่อ หมายความว่า กลับเป็นตรงกันข้าม มักใช้กับเร่ืองท่ีมีการ
เข้าใจผิด เช่น ฉนั เคยรมู้ าว่าเขาถูกเจ้านายคนใหมก่ ลนั่ แกลง้ แต่ขอ้ เท็จจรงิ กลบั
เป็นเร่ืองโอละพ่อ เขาแข็งข้อกับเจ้านาย และยังชักชวนคนอื่นให้ร่วมต่อต้าน
อีกด้วย
(รศ. ดร.นววรรณ พันธเุ มธา)

รัก

คำ� วา่ รกั มี ๓ ความหมาย ความหมายหนง่ึ คอื มใี จผกู พนั ดว้ ยความเสนห่ า
หรอื ดว้ ยความหว่ งใย หรอื มคี วามรสู้ กึ ชอบ พอใจ อกี ความหมายหนง่ึ คอื ชอื่ ไมต้ น้
ยางเป็นพิษ ใช้ลงพ้ืนหรือทาส่ิงของต่าง ๆ เรียกว่า น้�ำรัก และอีกความหมาย
หนง่ึ คอื ชอ่ื ไมพ้ มุ่ ดอกใชร้ อ้ ยกรอง มี ๒ พนั ธ์ุ คอื พนั ธด์ุ อกลา และพนั ธด์ุ อกซอ้ น
ยางเป็นพิษ
ค�ำวา่ รัก ความหมายตา่ ง ๆ เหล่าน้บี างคำ� เปน็ คำ� ไทย บางคำ� เปน็ คำ� ยมื
คำ� วา่ รกั ทหี่ มายถงึ มใี จผกู พนั เปน็ คำ� ไทย ภาษาในตระกลู ไทหลายภาษากม็ ี
คำ� นี้ เชน่ ภาษาไทอาหม ซง่ึ พดู อยใู่ นรฐั อสั สมั ประเทศอนิ เดยี วา่ รกั ภาษาไทเหนอื

102
ภาษาไทพ่าเก่ และภาษาไทอ่ายตอน ซ่ึงพูดอยู่ในรัฐอัสสัม ประเทศอินเดีย
เช่นกนั ออกเสียงเพย้ี นไปเล็กนอ้ ย คอื ออกเสียงวา่ ฮั่ก ส่วนภาษาไทขาวซงึ่ พดู
อยใู่ นประเทศเวยี ดนามว่า หกั
คำ� วา่ รกั ทห่ี มายถงึ ไมพ้ มุ่ ดอกใชร้ อ้ ยกรองเปน็ คำ� ยมื พระยาอนมุ านราชธน
เขียนเล่าไว้ในหนังสือฟื้นความหลัง เล่ม ๒ ว่าพราหมณ์ ป.ส. ศาสตรี
บอกทา่ นวา่ คนอินเดียเรยี กต้นไม้ชนิดนว้ี ่า อรกั มาจากภาษาสันสกฤตว่า อรฺก
ภาษาบาลีว่า อกฺก ทางใต้ของประเทศอินเดียใช้ดอกอรักร้อยเป็นพวงมาลัย
คล้องคอนักโทษท่ีจะเอาไปประหารและหญิงที่มีโทษนอกใจสามีขณะเม่ือพาตัว
ตระเวนประจานไปตามละแวกบา้ น
ดอกอรกั มไิ ดใ้ ชเ้ ฉพาะในการประจานเทา่ นน้ั ศาสตราจารย์ ดร. คณุ บรรจบ
พันธุเมธา ซ่ึงเคยไปศึกษาที่ประเทศอินเดียก็เล่าไว้ว่าดอกอรักเป็นดอกไม้โปรด
ของหนุมาน วันเสาร์และวันอังคาร นักศึกษาจะเอาดอกอรักไปถวายหนุมาน
เพื่อให้ส�ำเร็จสมปรารถนาเพราะหนุมานเป็นผู้ขจัดความขัดข้อง นอกจากนี้
ส. พลายน้อย ก็เขียนไว้ในพฤกษนิยายว่าท่านอ่านพบในหนังสือเล่มหน่ึงว่า
หนุมานคล้องมาลัยดอกรัก เม่ือมีการแต่งงาน เจ้าสาวก็เอาพวงมาลัยดอกรัก
คล้องคอเจ้าบ่าว และคัมภีร์จตุรมาสมหาตฺมยกล่าวว่าต้นรักเป็นภาคหนึ่งของ
พระสรุ ิยเทพ
ดอกอรกั นคี้ นไทยเรยี ก ดอกรกั เสยี งพอ้ งกับคำ� วา่ รัก ซง่ึ หมายถึง มใี จ
ผกู พัน ดอกไมช้ นดิ นีจ้ งึ กลายเปน็ ดอกไมม้ งคลในงานแตง่ งานของไทย
คำ� วา่ รกั อกี ความหมายหนงึ่ คอื คำ� วา่ รกั ทหี่ มายถงึ ไมต้ น้ ยางใชท้ าเนอื้ ไม้
ยงั ไมท่ ราบแนว่ า่ เปน็ คำ� ไทยหรอื คำ� ยมื ภาษาไทเหนอื ภาษาไทพา่ เก่ และภาษาไท
อา่ ยตอนซงึ่ เปน็ ภาษาในตระกลู ไทเชน่ เดยี วกบั ภาษาไทยเรากม็ คี ำ� น้ี ออกเสยี งวา่
ฮ่ัก มีความหมายได้ ๒ อย่าง คือ หมายถึงความรู้สึกรักชอบ และหมายถึง
ไม้ต้นยางใช้ทาเนื้อไม้ นอกจากนั้น ภาษาไทยถ่ินเหนือหรือภาษาล้านนา
ออกเสยี งว่า ฮัก มีความหมายได้ ๒ อย่างเช่นกนั

103

ในเมอื่ ภาษาในตระกลู ไทถงึ ๓ ภาษา มคี ำ� วา่ รกั ทเี่ ปน็ ชอ่ื ไมต้ น้ ยางใชท้ า
เนอ้ื ไม้ กช็ วนให้เช่อื วา่ ค�ำนไี้ ม่ใชค่ ำ� ยมื อยา่ งไรกต็ าม พระยาอนุมานราชธนเขยี น
ไว้ในหนังสือฟื้นความหลังเกี่ยวกับต้นรักว่า “ในอินเดียเรียกช่ือต้นไม้ชนิดน้ีว่า
‘ลากฺษ’ หรอื ‘ลากขฺ ’ ในภาษาฮนิ ดี เทียบได้กบั ค�ำ lacguer ในภาษาอังกฤษ”
เม่ือดูพจนานุกรมสันสกฤต-อังกฤษ มีค�ำว่า ลากฺษา หมายถึงสีแดงที่ผู้หญิง
อินเดียสมัยก่อนใช้เสริมความงาม โดยทาฝ่าเท้าและปากเป็นต้น กล่าวกันว่า
สีชนิดน้ีได้จากแมลงหรือยางต้นไม้ชนิดหนึ่ง ค�ำว่า รัก ของไทยอาจยืมมาจาก
ค�ำวา่ ลากษฺ หรือ ลากฺษา ก็ได้
สรุปวา่ คำ� วา่ รกั ที่หมายถึงมีใจผูกพนั เปน็ คำ� ไทย คำ� ว่า รกั ทีห่ มายถึง
ไม้พุ่ม ดอกใช้ร้อยกรองเป็นค�ำยืม ส่วนค�ำว่า รัก ที่หมายถึงไม้ต้น ยางใช้ทา
เนอื้ ไม้ ยังไมท่ ราบแน่ว่าเปน็ ค�ำไทยหรอื คำ� ยมื
(รศ. ดร.นววรรณ พันธเุ มธา)

รกั -ยางรกั

รกั หรอื ยางรกั เปน็ นำ�้ ยางทไี่ ดจ้ ากยางของตน้ รกั ใชส้ ำ� หรบั ลงพนื้ หรอื ทา
งานจิตรกรรมไทยประเภทลายรดน�้ำ ประดบั มุก ประดบั กระจก เปน็ ต้น
ยางรกั ท�ำได้ ๒ สี คอื สีดำ� และสีแดง ถ้าต้องการรักดำ� ต้องผสมดว้ ยเขมา่
หรือ ฝนุ่ ด�ำ หากตอ้ งการรกั แดงตอ้ งผสมด้วยชาด และตอ้ งผสมขณะเก็บยางมา
ใหม่ ๆ จึงจะได้รักแดงทมี่ คี ณุ ภาพดี
ตน้ รกั เปน็ ไมย้ นื ตน้ ขนาดใหญถ่ งึ ใหญม่ ากขนึ้ อยตู่ ามปา่ เขา ในประเทศไทย
พบท้งั ในภาคเหนอื ภาคอสี าน และภาคใต้ [เปน็ ไมอ้ ยู่ในวงศ์ Anacardiaceae]
วธิ ที ำ� ยางรกั ปรากฏหลกั ฐานอยใู่ นพระนพิ นธข์ องสมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศ์
เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงบันทึกไว้ใน “จดหมายระยะทาง
ไปตรวจราชการแหลมมลายู ร.ศ. ๑๒๑” ทรงกลา่ วถึงการทำ� รกั ทอี่ ำ� เภอไชยา
จังหวัดสุราษฎร์ธานี สรุปได้ว่าต้นรักท่ีท�ำยางได้น้ันต้องเลือกต้นที่มีขนาดใหญ่

104
ประมาณ ๓ ก�ำขนึ้ ไป หรือขนาดวดั รอบล�ำตน้ ยาว ๖๐ ซ.ม. ขึน้ ไป ถา้ เล็กกวา่
นั้นท�ำไม่ได้ ต้นรักจะตาย การท�ำยางรักนั้นเบ้ืองต้นใช้ส่ิวขูดผิวเปลือกล�ำต้น
ออกแลว้ เซาะรอ่ งเฉยี งลงเล็กนอ้ ยคล้ายการกรดี ยาง แล้วใชก้ ระบอกไมไ้ ผ่เลก็ ๆ
ปาดปากกระบอกใหแ้ หลมขา้ งหนงึ่ ตอกเขา้ ไปทใ่ี ตร้ อ่ งนนั้ ยางรกั จะไหลซมึ ออก
ตามร่องแล้วหยดลงกระบอก การเซาะร่องน้ีท�ำได้รอบต้น ถ้าเซาะร่องตอนบน
ของลำ� ตน้ ตอ้ งเวน้ ระยะใหห้ า่ งกนั ประมาณ ๑ วา ถา้ ใกลก้ นั กระบอกลา่ งจะไมไ่ ด้
ยาง และท�ำได้ท้ังล�ำต้นตลอดจนถึงก่ิงสาขาใหญ่ ๆ ถ้าแผลท่ีท�ำแล้วยังให้ยาง
เป็นปรกติก็ท�ำซ้�ำที่นั้นได้อีก ถ้าร่องเก่าแห้งก็เลื่อนท่ีขึ้นไป เมื่อเสียบกระบอก
แล้วท้ิงไว้ ๑๕ วันจึงจะถอดกระบอกท่ีเสียบไว้ออก เทยางลงกระบอกใหญ่ที่
ตะพายไปเกบ็ ยางรกั ทป่ี ากกระบอกใหญน่ นั้ เอาไมข้ ดั เปน็ กากบาทขวางไว้ เพอื่
จะไดเ้ อาปากกระบอกเลก็ สอดลงไปคาไว้ใหย้ างคอ่ ย ๆ ไหลลง เพราะยางรกั ข้น
เทใหห้ มดทนั ทีไม่ได้ ครน้ั จะถือไวก้ ็เสยี เวลา ระหว่างที่รอนัน้ จะไดเ้ ซาะร่องตอก
กระบอกอืน่ ตอ่ ไป
ยางรักท่ีออกใน ๑๕ วัน กระบอกหนึ่งได้ยางไม่เกินกว่าถ้วยตะไลหนึ่ง
เมอ่ื แรกยางจะมสี ขี าว ท้งิ ไวจ้ ะกลายเปน็ สหี มน่ ๆ หรือขาวขนุ่ จนถึงออกน�้ำตาล
ยางรักท่ีเก็บได้นิยมใส่รวมไว้ในถังไม้ขนาดใหญ่ หล่อน้�ำไว้ข้างบนเพื่อไม่ให้แห้ง
มที อ่ สำ� หรบั เทยางรกั เพอ่ื เกบ็ ลงถงั รวม ทงั้ นก้ี เ็ พอ่ื ไมใ่ หย้ างรกั ผสมกบั นำ�้ และเมอ่ื
ตอ้ งการเอารกั ออกจะเปดิ ทอ่ ตรงสว่ นลา่ งของถงั ใหย้ างรกั ไหลออกมา ในการทำ�
เพ่อื จำ� หนา่ ยจะถ่ายรกั ใส่ป๊ีบ มีน้ำ� หล่อไว้ข้างบนเช่นเดียวกัน
ในสมัยโบราณมีความต้องการใช้รักจ�ำนวนมากในราชการของหลวง
จึงมีการเก็บส่วยรักหรือส่วยน�้ำรัก โดยเฉพาะรักที่ได้จากอ�ำเภอไชยา จังหวัด
สุราษฎรธ์ านี เปน็ รกั ที่มคี ณุ ภาพดี
(นางสาวก่องแกว้ วีระประจักษ)์

105

รงั วัด

ค�ำวา่ รังวัด ปจั จบุ ันใชเ้ ปน็ ค�ำกรยิ า หมายความว่า วดั ปกั เขตและท�ำเขต
จดหรอื คำ� นวณเนอื้ ทเี่ พอ่ื ใหท้ ราบทตี่ ง้ั แนวเขตทด่ี นิ หรอื ทราบทตี่ ง้ั และเนอื้ ทขี่ อง
ท่ีดิน แต่สมัยก่อน คำ� ว่า รงั วัด หรือในบางกรณี ใช้ว่า รางวดั เป็นไดท้ ้งั คำ� นาม
และคำ� กริยา
ค�ำว่า รังวัด ที่เป็นค�ำนาม หมายถึง เขตหรือเขตที่วัดไว้ ตัวอย่างพบใน
มหาชาตคิ ำ� หลวง กัณฑท์ านกณั ฑ์ กวพี รรณนาวา่ เสียงมหาชนทรี่ ่�ำไหอ้ าลัยรกั
พระเวสสนั ดร ซงึ่ จะตอ้ งถกู เนรเทศ ดงั “ไปในรงงวัดวยงราช” (อา่ นวา่ ไปใน
รังวดั เวยี งราช) ค�ำว่า รงงวดั ในทนี่ ้ีหมายความว่า เขต
นอกจากนั้น กฎหมายลักษณะโจรซึ่งออกในสมัยพระเจ้าอู่ทองก็มี
ข้อความว่า
อน่ึงโจรปล้นอยู่ในสามเส้นสิบห้าวา มิได้ช่วยตามโจรให้ได้ ท่านว่า ให้
ลงโทษด้วยลวดหนังโดยใกล้แลไกล อนึ่ง ผู้ตามโจรได้รบพุ่งฟันแทง
มบี าดเจบ็ ท่านว่าคุม้ โทษ ถา้ มหี ว้ ยบ้างน้ำ� ลกึ ก็พน้ รางวัด
คำ� วา่ รางวดั ในทนี่ ห้ี มายถงึ เขตท่ีวัดไว้
สว่ นค�ำวา่ รงั วัด ทเ่ี ปน็ ค�ำกรยิ า หมายถึง วัดกำ� หนดเขต ตัวอยา่ งพบใน
หนงั สือดรโุ ณวาท ซง่ึ พิมพเ์ ม่อื พ.ศ. ๒๔๑๗ ดงั มีขอ้ ความว่า
...ขา้ พเจา้ ไดท้ ราบอยวู่ า่ ธรรมเนยี มแตก่ อ่ นนน้ั มที อ้ งตราบงั คบั วา่ , ใหแ้ ตง่
ข้าหลวงไปรังวดั แลว้ , ราษฎรบังอาจตัดตน้ ผลไม,้ มคี า่ อากรซึง่ นายรวาง
ประกาษเปา่ รอ้ งหา้ มแลว้ ใหข้ าดเงนิ อากรของหลวงไป, ใหป้ รบั ไหมอากร
ตน้ หนง่ึ เปน็ สามตน้ , สลกั หลงั ไวใ้ นโฉนดเปน็ ไมโ้ ทษ แลว้ อยา่ ใหห้ กั สบิ ลด
ให้แกร่ าษฎรผ้กู ระทำ� ผิดน้นั , บดั นีท้ รงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ให้ราษฎร
ตัดตน้ ผลไม้ซง่ึ ไม่มปี ระโยชน,์ ไม่ภอท่รี าษฎรจะเสียอากรนนั้ ,...

106

อาจเป็นได้ว่า ค�ำว่า รังวัด หรือ รางวัด เคยใช้เป็นค�ำนาม หมายถึง
เขตหรือเขตที่วัดไว้ ต่อมาใช้เป็นค�ำกริยาก็ได้ หมายถึง วัดและจ�ำกัดเฉพาะ
การวดั ที่ดนิ
  (รศ. ดร.นววรรณ พนั ธุเมธา)

รับพระราชทาน-รับประทาน-รับ-ทาน

ค�ำว่า รบั พระราชทาน และรบั ประทาน มีความหมายเหมือนกนั คอื รับท่ี
ให้มา ต่างกนั แตว่ ่าผใู้ ห้เปน็ พระมหากษตั ริย์ หรือเป็นพระราชวงศ์
คำ� ทงั้ สองขยายความหมาย นำ� มาใชห้ มายถงึ กนิ กไ็ ด้ เชน่ คำ� ใหก้ ารอา้ ย
บาตุนจนี ถามท่ีจวนสมเดจเจ้าพระยา มขี ้อความตอนหนึ่งว่า
...ข้าพเจ้าไปอยู่เมืองอ้ันเปนเมืองญวนแกว เจ้าเมืองชื่ออย่างไร ข้าพเจ้า
หาทราบไม่ บา้ นเมืองใหญโ่ ต มผี ู้คนต้ังอยูใ่ นเมอื งประมาณ ๓๐๐๐ เสศ
ราษฎรท�ำมาหากินค้าขายสิ่งของเปนสินค้าต่าง ๆ ท�ำไร่ปลูกเข้าภอได้
รับพระราชทาน
ค�ำให้การอ้ายอะซามจีนถามที่จวนสมเดจเจ้าพระยาก็มีข้อความ
ตอนหนึ่งว่า
...ถงึ เทศการทำ� นาขา้ พเจา้ กบั พช่ี ายขา้ พเจา้ ภากนั ทำ� นา ไดเ้ ขา้ ปลี ะ ๓๐๐ ถงั
๔๐๐ถงั ขา้ พเจา้ กบั พข่ี า้ พเจา้ ขายใหแ้ กจ่ นี ลกู คา้ เปนเขา้ สานหนกั ๔๐ชง่ั จนี
เปนเงินเหรยี นหนง่ึ หนักหกสลงึ เฟ้อื ง ทเ่ี หลืออยูเ่ อาไวภ้ อรบั ประทาน
จดหมายเหตเุ รอ่ื งทพั เชยี งตงุ กม็ ที ง้ั คำ� วา่ รบั พระราชทาน และรบั ประทาน
ท่ีหมายถงึ กนิ ดังน้ี
๑ แต่กองทัพมาพักอยู่เมืองใด พวกลาวเมืองน้ันก็ไม่อยากจะให้อยู่ช้า
ด้วยปลาในล�ำนำ�้ และหนองท่เี มอื งลาวนัน้ พวกลาวหา รบั พระราชทาน
วนั ยงั คำ่� คนใดไดป้ ลา๙ปลา๑๐ปลากช็ น่ื ชมยนิ ดกี นั วา่ วนั นหี้ าปลาไดม้ าก...

107

๒ จมน่ื สมหุ พมิ านปว่ ยเปน็ ไขจ้ บั ใหเ้ ชอ่ื มใหม้ วั เพลากลางคนื นอนไมห่ ลบั
รับประทาน ได้น้อย ขอลงมารักษาตัว ณ กรงุ ฯ
สาเหตุท่ีรับพระราชทาน หมายถึง กิน อาจเป็นเพราะว่าแต่โบราณมา
คนไทยถือว่าแผ่นดินเป็นของพระมหากษัตริย์ จึงเรียกพระมหากษัตริย์ว่า
พระเจา้ แผน่ ดนิ ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ งบนผนื แผน่ ดนิ มขี า้ วปลาอาหารเปน็ ตน้ เปน็ สง่ิ ท่ี
พระราชทานมา ราษฎรทงั้ หลายกร็ บั พระราชทานคอื กิน ค�ำวา่ รับพระราชทาน
ในความหมายว่า กิน ปัจจุบันเลิกใช้ไป ใช้กันแต่ว่ารับประทาน ซ่ึงอาจเป็นค�ำ
ท่ีเกิดจากความคิดเดียวกัน คือถือว่าของกินเป็นส่ิงที่ประทานมา เดิมอาจใช้
พูดกับเจ้านายเท่าน้ัน ต่อมาใช้ได้ทั่วไป หมายถึง กิน เช่น ในหนังสือมิวเซียม
เลม่ ๑-๒ พ.ศ. ๒๔๒๐ หนา้ ๒๕๐ มขี อ้ ความวา่ “แขกอาหรับเจา้ ของงานไม่
นัง่ โตะ๊ รบั ประทานรว่ มกบั แขก”
นอกจากรับประทานจะหมายความว่ากิน ยังหมายความว่าเอา ได้ด้วย
แต่เดิมอาจจะเป็นคำ� ทีใ่ ชไ้ ด้ทวั่ ไป เช่น ในเรอ่ื ง เคราะหร์ า้ ย ซ่งึ ผู้ใชน้ ามปากกา
วา่ “นายกระจก” เขยี นไว้ตงั้ แต่ พ.ศ. ๒๔๔๗ มขี อ้ ความกลา่ วถงึ พระเอกของ
เร่อื งใหห้ ญงิ ผ้หู น่ึงยมื คา่ รถรางไป ๒ อัฐ เมื่อหญงิ ผูน้ ้ันแสดงความกังวลเกรงวา่
จะไมม่ โี อกาสได้คืนเงิน พระเอกกพ็ ดู ว่า “ไมเ่ ปน็ ไรมิได้ ถ้าคณุ บอกไวว้ ่าบ้านอยู่
ตรงไหน ผมจะไปรับประทาน” ค�ำว่ารับประทาน ในความหมายนี้ปัจจุบันมัก
ใช้ในท�ำนองปฏิเสธเป็นภาษาปาก เช่น “เจ้านายจู้จ้ีอย่างนี้ต่อให้เพ่ิมเงินเดือน
ขึ้นอกี ๓ เทา่ ฉนั ก็ไมร่ ับประทาน”
คนใชใ้ นสมยั ก่อน อาจใช้คำ� ว่า รบั ประทานกนั จนตดิ ปาก มตี วั อย่างเช่น
เจ้าแห้ว ซ่ึงเป็นคนใช้ในเรื่อง พล นิกร กิมหงวน ของ ป. อินทรปาลิต และ
คนใชใ้ นเรอื่ ง “ทำ� โทษบชู าคณุ ” ดงั ตวั อยา่ งบทสนทนาระหวา่ งเจา้ นายกบั คนใช้
ในเร่ือง “ทำ� โทษบูชาคุณ” ตอ่ ไปนี้
“รบั ประทาน มแี ขกคนหนึ่งมาหาใตเ้ ทา้ ”
เพื่อนข้าพเจา้ จึงถามวา่ “อยู่ไหนละ่ ”
คนใชต้ อบวา่ “รบั ประทาน อยขู่ า้ งนอกประตูขอรบั ”

108

ในเมือ่ รบั ประทาน หมายถงึ กนิ กไ็ ด้ นกั เขยี นทมี่ อี ารมณข์ นั บางคนจงึ นำ�
คำ� วา่ รบั ประทานมาใชค้ กู่ บั คำ� วา่ กนิ ดงั ตวั อยา่ งขอ้ ความในหนงั สอื นทิ านเวตาล
ของ น.ม.ส. หรือ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ต่อไปนี้
ครั้นพระภรรตฤราชา เสด็จถึงจึงตรัสถามว่า ผลอ�ำมฤตที่ประทานนั้น
นางเสวยแลว้ หรอื นางทลู ตอบวา่ “ไฉนพระองคจ์ งึ ตรสั ถามเชน่ น้ี ขา้ พเจา้
ได้รบั ประทานกก็ ินแล้วเป็นแน่
ขอ้ ความข้างต้นอาจตคี วามได้ว่า ขา้ พเจา้ ได้กินก็กนิ แล้วเปน็ แน่
ค�ำว่ารบั ประทาน เป็นคำ� ที่มีถงึ ๓ พยางค์ คนไทยซึ่งชอบพดู ลดั ตัดสัน้ จงึ
มักตดั เปน็ รบั หรือ ทาน พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ทรงปรารภ
เรอ่ื งคำ� ว่ารบั ในพระราชหัตถเลขาลงวนั ที่ ๒๖ สิงหาคม รัตนโกสินทรศ์ ก ๑๒๖
(พ.ศ. ๒๔๕๐) ถึงสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎ
ราชกมุ าร ซ่ึงตอ่ มาคือพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยู่หวั ว่า
ถึงมกุฎราชกุมาร ด้วยฉันมีความหวาดหวั่นเกิดข้ึนด้วยเหตุฟัง
ภาษาใหม่ กลา่ วคอื กนิ เข้าว่ารับ นี้ แพรห่ ลายรวดเรวนกั ถา้ ทงิ้ ไว้ชา้ อีก
น่าจะแกไ้ มไ่ หว ค�ำใหม่ ๆ ก็จะเกดิ ข้ึนร�่ำไป ภาษาไทยจะกลายเปน็ ภาษา
บัดซบเหลือสตกิ �ำลัง...
น.ม.ส. กท็ รงนพิ นธเ์ รอ่ื งคำ� วา่ ทาน ไวใ้ นหนงั สอื พมิ พป์ ระมวญวนั ซง่ึ ตอ่ มา
รวมพิมพ์อย่ใู นหนงั สอื ผสมผสานวา่
...ในสมยั น้ีไดย้ ินค�ำว่าทาน แปลวา่ กิน กันชุกชมุ ...
แตถ่ า้ ทานแปลวา่ กนิ ไดไ้ ซร์ และถา้ เราใหส้ ตางคแ์ กค่ นขอทานไปซอ้ื
ขา้ วกนิ จะวา่ ผนู้ นั้ ขอทานไปทาน กด็ เู ปน็ การใชศ้ พั ทล์ ำ� บากกรากกรำ� มาก
อย่างไรกต็ าม แม้จะมผี ู้คดั ค้านการใชค้ ำ� ว่า รบั และ ทาน ค�ำทั้งสองกย็ ัง
มีผู้ใช้ในความหมายว่า กนิ
(รศ. ดร.นววรรณ พนั ธเุ มธา)

109

ร-ี ขวาง

การบอกด้านกว้างกับยาวของท่ีดินหรือพื้นที่ของคนไทยในสมัยก่อน
นอกจากจะใช้ค�ำวา่ กว้าง กบั ยาว แลว้ ยงั ใชค้ ำ� วา่ ขอื่ กบั แป และ ขวาง กบั
รี อกี ด้วย
การใชค้ ำ� วา่ กวา้ ง กับ ยาว คำ� ว่ากว้างกบั ยาวพบใช้ทกุ ภาค เชน่ สมยั
สุโขทัยพบใช้ในจารึกนายศรีโยธาออกบวช พ.ศ. ๑๙๘๔ ด้านที่ ๑ บรรทัดที่
๒๗-๒๘ ในความว่า “พระ(ยา)ศรีไสยมีใจศรัทธา ใช้หมื่นต่างใจเหยียบที่ให้
แกม่ หาสทั ธา โดยยาว ๔๐ เส้น โดยกว้าง ๕ เสน้ ” เพื่อเป็นทส่ี ร้างวัด และใช้ใน
จารกึ ล้านนา เช่น จารึก ลพ. ๑๘ จารกึ วดั สนั มาคา่ จังหวัดล�ำพนู พ.ศ. ๒๐๓๑
ดา้ น ๑ บรรทดั ที่ ๑๒-๑๓ วา่ “... แลว้ หอ้ื มี จารดิ กบั อารามอนั นี้ ลวงกวา้ ง ๒๗ วา
ลวงยาว ๖๐ วา ไว้คนกบั อารามอันน…ี้ ” (ลวง แปลว่า ดา้ น)
การใชค้ ำ� วา่ ขอื่ กบั แป คำ� วา่ ขอ่ื กบั แป พบ ๑ แหง่ คอื ในจารกึ วดั สรศกั ดิ์
พ.ศ. ๑๙๖๐ บรรทัดท่ี ๓-๕ ว่า “นายอินทสรศักดิ์ มีศรัทธาในพุทธศาสนา
จึงขอที่อันอยู่น้ัน หนข่ือได้ส่ีสิบห้าวา หนแปได้สามสิบเก้าวานี้ แก่พ่ออยู่หัว
เจา้ ธ ออกญาธรรมราชาองคท์ รงไตรปฎิ กนั้น” หนขอ่ื ก็คอื ทางกว้าง หนแปคือ
ทางยาว ปัจจุบัน คำ� วา่ ขอื่ กับ แป ยงั ใช้อยใู่ นหมู่ชา่ ง
การใชค้ ำ� ว่า ขวาง กับ ร ี คำ� ว่า ขวาง กับ รี โดยมากพบใช้ในจารกึ ภาค
อสี าน เชน่ จารึก ๓ หลักต่อไปนี้
จารกึ วดั ผดงุ สขุ ๒ พ.ศ. ๒๑๑๓ บรรทดั ที่ ๓-๕ กลา่ ววา่ พญาปากมศี รทั ธา
ในพทุ ธศาสนาไดถ้ วายที่ดนิ ด้านยาวของแม่นำ้� โขง ๒๐ วา ๒ ศอก ดงั ความว่า
“พญาปากเจ้ามีศรัทธาในพุทธศาสนาให้คามเขตลวงรีน้�ำของได้ซาววาปลาย
รอ่ งอก” (คำ� วา่ รอ่ งอก ศาสตราจารยธ์ วชั ปณุ โณทกใหค้ ำ� อธบิ ายวา่ เปน็ มาตราวดั
โบราณของอสี านมคี า่ เทา่ กบั ๒ ศอกคอื นบั จากปลายแขนมาถงึ ระหวา่ งกลางอก)
จารกึ วดั มจุ ลนิ ทอาราม ๒ พ.ศ. ๒๑๓๙ บรรทดั ท่ี ๙-๑๐ วา่ “...ทางรกี ำ้� นอก
สี่ร้อย ๑๐ วา ทางขวางก�้ำเหนือ ๗๘ วา...” ซ่ึงหมายถึง ทางยาวด้านนอก

110

๔๑๐ วา ทางกว้าง ด้านเหนอื ๗๘ วา
จารกึ วัดวชิ ยั อาราม พ.ศ. ๒๑๗๑ บรรทัดที่ ๖-๘ ว่า “...แทกทางรนี �ำ้ ของ
แตห่ ลักเหนอื เนง่ ไปจุ หลักใต้ห้าร้อย___ปลาย ๒ ศอกคบื ทางรกี �้ำหนา้ แตห่ ลัก
เหนอื เนง่ ไปจหุ ลกั ใตห้ า้ รอ้ ยวา (ป) ลาย ๒ ศอกคบื ทางขวางกำ้� เหนอื แทกแต.่ ..”
หมายความวา่ วดั ตามทางยาวตามแม่น้�ำโขงต้ังแตห่ ลกั ดา้ นเหนอื ตรงไปถงึ หลกั
ดา้ นใต้ ๕๐๐วา ___เศษ ๒ ศอกคืบ ทางยาวด้านหนา้ แต่หลักเหนือไปถงึ หลักใต้
๕๐๐ วาเศษ ๒ ศอกคืบ ทางกว้างด้านเหนอื วดั ต้งั แต่...
สว่ นในสมัยอยธุ ยามกี ารใชค้ �ำว่า รี และคำ� ว่า ยาว ท้ัง ๒ คำ� ดังทพ่ี บใน
บันทึกรายวันของออกพระวิสุทธสุนทร (โกษาปาน) ราชทูตไทยสมัยสมเด็จ
พระนารายณ์ ฉบบั ท่ี ๑ พ.ศ. ๒๒๒๘ ขณะทค่ี ณะราชทตู ไทยพำ� นกั อยทู่ เี่ มอื งแบรศ
ประเทศฝรงั่ เศส ตอนทไ่ี ปดตู กึ คลงั ในหนา้ ท่ี ๕๗ วา่ “...ชวนขา้ พเจา้ ไปดตู กึ คลงั
ณ ปากนำ้� ฟากตะวนั ออก แลไปดสู วน ณ วดั บาตรสี ำ� เปาโล แลมสู ลู ำ� มอกไปดว้ ย
ข้าพเจ้า แลตึกคลังน้ันรีตามริมน�้ำ ยาวประมาณ ๖ เส้น ข่ือกว้างประมาณ
๕ วา....” และในหนา้ ที่ ๕๘ วา่ “แลหนา้ ตกึ ตอ่ รมิ นำ�้ นนั้ กอ่ เปน็ กำ� แพงยาว ๕ วา
กวา้ งสว่ี าเปน็ หอ้ งสำ� หรบั ไวล้ กู ปนื ใหญ่ แลมตี กึ รขี นึ้ ไปตามทศิ ตะวนั ออกตกึ หนงึ่
ยาวประมาณ ๑๐ เสน้ ข่ือกวา้ งประมาณ ๕ วาเป็นสองชัน้ แลสดุ ตกึ ข้างหนึ่งตอ่
รมิ นำ�้ ยาวประมาณ ๑๐ วา...”
ในภาคเหนอื พบใช้คำ� ว่า รี ในความหมายวา่ ยาว ในสภุ าษติ สอนผู้ชายใน
โคลงพระลอสอนโลก ดังน้ี

ชา้ งน้อยอยา่ อวดอ้าง งาดี
เตม็ ว่างายาวร ี ออ่ นอ้วน
บ่รเู้ ชงิ ชนม ี เรยี นชา่ ง
ชนคชสารงาสั้น ห่อนสู้คชสาร

หมายความว่า เป็นช้างน้อยอย่าอวดว่าตนมีงาดี ถึงหากจะมีงายาว หากว่าไม่
เรียนรู้ชั้นเชิงการชนหรือการต่อสู้แล้ว เม่ือไปชนกับช้างที่ฝึกการต่อสู้มาแล้ว

111

แมจ้ ะมงี าสนั้ กวา่ ก็ไมส่ ามารถจะสูไ้ ด้ (เต็มวา่ แปลวา่ หากว่า, แม้วา่ )
บางพ่องตวั นับเฒ่า หลายปี
ก็บ่มงี าร ี เลา่ นั้น
สงครามหลอนเกดิ ม ี ยนื ยาก นกั แล
บ่อาจจักตั้งมนั่ ร่นคา้ นงารี
หมายความวา่ ชา้ งบางตวั ทเี่ ฒา่ แกห่ ลายปแี ลว้ แตย่ งั ไมม่ งี ายาว หากเกดิ สงคราม
กไ็ มอ่ าจจะยนื หยดั ตอ่ สไู้ ดต้ อ้ งถอยรน่ แพช้ า้ งทมี่ งี ายาว (พอ่ ง แปลวา่ บา้ ง, หลอน
แปลวา่ หาก, คา้ น แปลวา่ แพ)้
ในปัจจบุ นั แมจ้ ะไมใ่ ช้คำ� วา่ ขวาง กับ รี บอกด้านของพ้ืนท่หี รือท่ดี นิ แลว้
แต่ยังคงพบใช้ในพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ในตอนท่ีกล่าวถึงการ
ไถนาของพระยาแรกนาวา่ พระยาแรกนาเจมิ พระโคและไถแลว้ ไถดะไปโดยรี ๓
รอบ เพอ่ื พลิกดนิ ใหเ้ ปน็ กอ้ น ไถโดยขวาง ๓ รอบ เพอ่ื ย่อยดนิ ให้ละเอียดพร้อม
หวา่ นเมลด็ ธญั พชื จะเหน็ ไดว้ า่ การใชค้ ำ� วา่ โดยรี โดยขวาง ทแ่ี ปลวา่ ทางยาวและ
ทางขวางในพระราชพิธนี เี้ ปน็ คำ� ทีใ่ ช้ตามแบบโบราณราชประเพณมี ากกวา่
อย่างไรก็ตามยงั พบใชค้ �ำว่า รี กบั ขวาง ในค�ำวา่ หอรีหอขวาง พาลรี
พาลขวาง หนั รีหนั ขวาง และ ขวาง ๆ รี ๆ หรอื รี ๆ ขวาง ๆ ซง่ึ ยังมีเคา้ ของ
ความหมายว่ายาวและกวา้ งอย ู่
ค�ำว่า หอรีหอขวาง ในหนังสืออักขราภิธานศรับท์ ของหมอบรัดเลย์
มศี พั ทว์ า่ หอรี และใหค้ ำ� แปลวา่ “คอื หอยาวไปนนั้ ” คำ� วา่ หอรหี อขวาง ในทาง
สถาปัตยกรรมไทย หอรี หมายถึง เรือนที่ปลูกขนานกับเรือนใหญ่ หอขวาง
หมายถึง เรือนท่ีปลูกขวางจ่ัว ส่วนค�ำว่า พาลรีพาลขวาง พจนานุกรม ฉบับ
ราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายว่า ชอบหาเรื่องทะเลาะวิวาท ค�ำว่า หันรีหัน
ขวาง หมายถึง อาการท่ีหันเหไปมา เก้ ๆ กงั ๆ ตัดสนิ ใจไมถ่ กู วา่ จะทําอยา่ งใด
และ คำ� วา่ ขวาง ๆ รี ๆ หรอื รี ๆ ขวาง ๆ นอกจากจะหมายถงึ มลี กั ษณะ
หรอื กริ ยิ าทา่ ทางทเี่ กะกะเกง้ กา้ งแลว้ ยงั หมายถงึ การขดั ขวางอกี ดว้ ย ดงั ตวั อยา่ ง

112

การใชค้ �ำว่าขวาง ๆ รี ๆ ในบทดอกสรอ้ ยชอ่ื เรอื เลน่ สามเสน้ สิบห้าวา ทแ่ี ตง่ โดย
นายทัด เปรียญ ดังน้ี

เรือเอ๋ยเรือเล่น สามเสน้ เศษวาไม่นา่ ล่ม
ฝพี ายลงเตม็ ลำ� จ�้ำตะบม ไปขวางนา้ํ ควำ่� จมลงกลางวน
ทำ� ขวางขวางรีรไี ม่ดหี นอ เท่ียวขดั คอขดั ใจไม่เปน็ ผล
จะกอ่ เร่ืองเคืองข้องหมองกมล เกิดร้อนรนร้าวฉานร�ำคาญเอย

ดอกสร้อยบทน้ีสอนโดยใช้ความเปรียบว่าถึงจะเป็นเรือล�ำใหญ่ยาวกว่า
๖๐ วาท่ีดูมั่นคงไม่น่าจะล่มนั้น หากฝีพายต่างเอาแต่จ้�ำพายโดยไม่ระวังท�ำให้
เรอื ไปขวางลำ� นำ�้ กจ็ ะทำ� ใหเ้ รอื จมลงได้ ดงั นนั้ จงึ ไมค่ วรจะไปเกะกะหรอื ขดั ขวาง
ขัดใจผ้อู ื่นจะทำ� ใหเ้ กดิ เรือ่ งเดือดรอ้ นร�ำคาญใจได้
นอกจากนค้ี ำ� วา่ รี ยงั มคี วามหมายวา่ เรยี ว อกี ดว้ ย เชน่ เรยี กลกั ษณะกลม
เรียวอย่างรูปไข่ ว่า กลมรี เรียกลกั ษณะยาวเรยี วมหี ัวท้ายอยา่ งเมลด็ ขา้ วสาร วา่
ยาวรี และเรยี กรปู วงทก่ี ลมเรยี วอยา่ งลกู สมอหรอื เมลด็ ขา้ วสารวา่ วงรี อยา่ งเชน่
เพลงเด็กทรี่ อ้ งประกอบการละเลน่ วา่ “รีรขี า้ วสาร สองทะนานข้าวเปลอื ก”
ส่วนค�ำว่า ขวาง จะใช้เดี่ยว ๆ เช่น คนอ้วนไม่ควรสวมเสื้อลายขวาง
หรอื นำ� ไปซอ้ นกบั คำ� วา่ กวา้ ง เปน็ กวา้ งขวาง ซง่ึ นอกจากจะหมายถงึ กวา้ งใหญ่
แล้วยงั หมายถงึ เผือ่ แผ่ อกี ด้วย เช่น เขาเปน็ คนมีน้ำ� ใจกว้างขวางชอบช่วยเหลอื
ผอู้ น่ื และหมายถงึ รจู้ กั คนมากหรอื มคี นรจู้ กั มาก เชน่ คนทเ่ี ปน็ นกั การเมอื งตอ้ ง
เป็นคนท่ีกว้างขวางในสังคม นอกจากนี้ ค�ำว่า ขวาง ยังมีอีกสองความหมาย
คือ กีดก้ัน, สกัด เช่น อย่าขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าท่ี และร�ำคาญ
หรอื ไม่ถกู ใจ เช่น จะไปไหนก็ไป มานั่งขวางหขู วางตาอยไู่ ด้ ถา้ ใครถกู ไล่อย่างนี้
คงจะรีบว่งิ ออกไปโดยไม่รีรอแน่ ๆ
(รศ.กรรณิการ ์ วมิ ลเกษม)

หนังสืออา้ งองิ
ธวชั ปณุ โณทก.ศลิ าจารกึ อสี านสมยั ไทยลาว. กรงุ เทพฯ: คณุ พนิ อกั ษรกจิ ,ม.ป.พ.

113

ประชมุ ศิลาจารกึ ภาคท่ี ๘ จารึกสุโขทัย. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๔๘.
ประเสรฐิ ณ นคร และคณะ. จารกึ ลา้ นนาภาค ๑ จารกึ จงั หวดั เชยี งราย นา่ น
พะเยา แพร่. กรงุ เทพฯ : มูลนธิ ิเจมส์ เอช ดับเบ้ลิ ยู ทอมป์สัน, ๒๕๓๕.

. จารกึ ลา้ นนาภาค ๒ จารกึ จงั หวดั เชยี งใหม่ ลำ� พนู ลำ� ปาง แมฮ่ อ่ งสอน.
กรงุ เทพฯ : คณะกรรมการช�ำระประวตั ิศาสตรไ์ ทย, ๒๕๕๓.
ปรดี ี พศิ ภมู วิ ถิ .ี ประชมุ กฎหมายเหตอุ อกพระวสิ ทุ สนุ ทร (โกษาปาน). กรงุ เทพฯ :
สถาบันพิพิธพณั ฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ, ๒๕๕๕.
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. พิมพ์ครั้งที่ ๑. กรุงเทพฯ :
นานมบี ๊คุ ส์, ๒๕๕๖.
มณ ี พยอมยงค.์ คตสิ อนใจชาวลา้ นาไทย. กรงุ เทพฯ : สำ� นกั งานคณะกรรมการ
วัฒนธรรมแหง่ ชาต,ิ ม.ป.พ.
ศิลปากร, กรม. บทดอกสร้อยสุภาษติ ประกอบภาพ. พิมพ์ครัง้ ท่ี ๑. พระนคร :
โรงพมิ พว์ จิ ติ รศลิ ปะ, ๒๕๐๖.

. จารึกในประเทศไทย. เล่ม ๕ กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์ภาพพมิ พ์, ๒๕๒๙.
อดุ มรงุ่ เรอื งศร.ี พจนานกุ รมลา้ นนา-ไทยฉบบั แมฟ่ า้ หลวง.ฉบบั ปรบั ปรงุ ครงั้ ที่๑.
เชยี งใหม่ : ภาควชิ าภาษาไทย คณะมนษุ ยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม,่
๒๕๔๗.
Bradley Dr. B. อกั ขราภธิ านศรบั ท์ Dictionary of the Siamese Language.
กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพรา้ ว, ๒๕๑๔.

รูปอกั ษรทใ่ี ช้ในอาณาจกั รสโุ ขทยั

ในสมยั โบราณกอ่ นพทุ ธศตวรรษที่ ๑๙ พนื้ ทป่ี ระเทศไทยแถบลมุ่ แมน่ ำ้� ปงิ
แมน่ ำ้� ยม และแมน่ ำ้� เจา้ พระยา เคยอยภู่ ายใตก้ ารปกครองของอาณาจกั รใหญ่ ๒
อาณาจกั รคอื ลมุ่ แมน่ ำ้� ปงิ เปน็ ทตี่ งั้ อาณาจกั รหรภิ ญุ ชยั ปจั จบุ นั คอื จงั หวดั ลำ� พนู
พบหลักฐานจารึกใช้รูปอักษรมอญโบราณ ภาษามอญโบราณ และภาษาบาลี

114
มีอายุระหว่างพุทธศตวรรษท่ี ๑๗ ส่วนบริเวณลุ่มแม่น้�ำยมลงมาถึงลุ่มแม่น�้ำ
เจ้าพระยา อยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรเขมรโบราณอย่างยาวนาน
จารึกที่พบมหี ลายยุคหลายสมัย หากจะกลา่ วเฉพาะทม่ี อี ายุต้งั แตพ่ ทุ ธศตวรรษ
ท่ี ๑๔ เป็นต้นมาจนถึงพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ เป็นจารึกที่ใช้อักษรขอมโบราณ
ภาษาเขมรโบราณ และภาษาสันสกฤต
ระหว่างพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ บริเวณลุ่มแม่น้�ำท้ัง ๓ สาย ได้ปรากฏ
อาณาจักรของคนไทยตัง้ เป็นอสิ ระขนึ้ ๓ อาณาจักร ได้แก่อาณาจกั รลา้ นนาตงั้
ข้ึนบรเิ วณล่มุ แมน่ �้ำปิง อาณาจักรสุโขทยั อยู่บริเวณลุม่ แมน่ �ำ้ ยม และอาณาจกั ร
อยุธยาต้ังข้ึนที่ลุ่มแม่น้�ำเจ้าพระยา ดังนั้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ จึงควรนับเป็น
ศตวรรษประวัติศาสตร์ที่ส�ำคัญท่ีสุดของชาติไทยและของคนไทยทุกคน เป็น
ศตวรรษแรกทอี่ าณาจกั รไทยของคนไทยไดป้ รากฏขน้ึ ในโลก และไดเ้ จรญิ รงุ่ เรอื ง
สืบทอดอารยธรรมโดยลำ� ดับจนถึงปัจจบุ ัน
เม่ืออาณาจักรไทยก่อตั้งขึ้นเป็นรัฐอิสระแล้ว เบ้ืองแรกยังไม่มีรูปอักษร
ใช้เป็นของตนเอง จนถงึ พ.ศ. ๑๘๒๖ พ่อขนุ รามค�ำแหงมหาราช กษัตรยิ ์แหง่
อาณาจกั รสโุ ขทยั จงึ คดิ ประดษิ ฐล์ ายสอื ไทยขนึ้ นบั แตน่ นั้ เปน็ ตน้ มารปู อกั ษรไทย
ทเ่ี รยี กกนั ในยคุ สมยั นน้ั วา่ ลายสอื ไทยจงึ ไดม้ ขี น้ึ ในโลก เปน็ รปู อกั ษรไทยแบบแรก
ทปี่ รากฏใชใ้ นประเทศไทย
การที่พ่อขุนรามค�ำแหงมหาราชทรงคิดประดิษฐ์ลายสือไทยขึ้นก็น่าจะมี
พระราชประสงค์ท่ีจะสรา้ งสงิ่ อนั เป็นสัญลักษณแ์ สดงความเปน็ เอกราชของชาติ
ไทยใหเ้ ห็นประจักษ์ชัด มลี กั ษณะเฉพาะบ่งบอกความเปน็ ไทยอยา่ งแทจ้ ริง โดย
ประดษิ ฐใ์ หร้ ปู อกั ษรมลี กั ษณะแตกตา่ งไปจากอกั ษรขอมโบราณและอกั ษรมอญ
โบราณซง่ึ มใี ชอ้ ยเู่ ดมิ ในภมู ภิ าคนนั้ อกี ทงั้ ยงั ตอ้ งสามารถใชป้ ระโยชนใ์ นการเขยี น
ได้ครบถ้วนตามเสียงและค�ำศัพท์เพื่อให้อ่านได้ถูกต้อง ส่ือความหมายถ้อยค�ำ
ภาษาไทยไดช้ ัดเจน และใหม้ ีลกั ษณะทีเ่ ป็นแบบฉบบั ในการอบรมสัง่ สอนอนชุ น
ใหร้ ้จู ักใชบ้ นั ทึกเรื่องราวไดส้ ืบไป

115
ด้วยเหตุดังกล่าว พ่อขุนรามค�ำแหงมหาราชจึงได้ทรงก�ำหนดให้ลายสือ
ไทยที่ทรงประดษิ ฐข์ ึน้ มวี ธิ ีการเขยี นดงั นี้
๑. ก�ำหนดให้อักษรแต่ละตัวมีลักษณะเป็นอักษรตัวตรง คือเป็นอักษร
ท่ีลากข้ึนลงเป็นเส้นตรง เส้นท่ีลากขวางโค้งมนเล็กน้อย รูปอักษรจึงอยู่ในทรง
เหลีย่ ม หรอื เรยี กอีกอย่างหนึ่งว่า “อักษรตัวเหลย่ี ม”
๒. กำ� หนดใหก้ ารเขยี นอกั ษรแตล่ ะตวั เรม่ิ ตน้ ลากเสน้ จากหวั อกั ษรเปน็ ตน้
ไปจนจบเส้นตัวอักษรโดยไม่ต้องยกเครื่องมือเขียนขึ้น ซึ่งแตกต่างกับการเขียน
อักษรขอมโบราณและอักษรมอญโบราณท่ีมีใช้อยู่เดิมในภูมิภาค ซึ่งต้องยก
เครือ่ งมอื เขียนขึน้ หนง่ึ ถึงสองหรอื สามครัง้ จึงจะเขียนอกั ษรได้จบตวั
๓. ก�ำหนดให้วางรูปสระอยู่บนบรรทัดเดียวกับรูปพยัญชนะ โดยวาง
สระ –ะ และ –า ไวข้ า้ งหลงั สระ - ิ -ี -ึ - ื - ุ - ู เ- แ- ใ- ไ- โ- ไว้ขา้ งหน้า
พยญั ชนะ โดยใหส้ ว่ นของเสน้ สระกบั พยญั ชนะตน้ เขยี นตดิ กนั และแยกตวั สะกด
ออกมาเพื่อเป็นทีส่ ังเกตด้วย
๔. กำ� หนดให้มีวรรณยกุ ตเ์ อกและโท ใชป้ ระกอบการเขียนเพ่ือใหอ้ า่ นได้
ครบตามเสียงในภาษาไทย
ลายสือไทยที่พ่อขุนรามค�ำแหงมหาราชทรงประดิษฐ์ข้ึนน้ันเป็นระบบ
การเขียนท่กี �ำหนดรปู แบบอักขรวิธีอยา่ งใหม่ แตกต่างไปจากอกั ษรขอมโบราณ
และอักษรมอญโบราณท่ีเคยรู้จักมาแต่เดิม จึงท�ำให้ไม่เป็นที่นิยม เพราะขัด
กับการเขียนอย่างท่ีถนัดและเคยชินมาก่อน ท�ำนองเดียวกับท่ีพระบาทสมเด็จ
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงคิดประดิษฐ์รูปแบบสระใหม่ใช้กับการเขียนอักษร
ไทย พิมพเ์ ผยแพรใ่ นหนังสือเรอ่ื ง “วิธีใหมส่ ำ� หรบั ใช้สระและเขียนหนงั สอื ไทย”
ซ่ึงเปน็ แบบทไ่ี ม่เคยชนิ ท�ำให้การเขียนไมค่ ลอ่ งตวั จึงไมไ่ ดร้ ับความนยิ ม รปู แบบ
สระใหมท่ ท่ี รงประดษิ ฐข์ น้ึ กต็ อ้ งเลกิ ไปในทส่ี ดุ ทำ� นองเดยี วกบั ลายสอื ไทยซงึ่ ไมไ่ ด้
รบั ความนยิ ม และปจั จบุ นั กไ็ ดพ้ บหลกั ฐานการวางรปู สระอยบู่ รรทดั เดยี วกบั รปู
พยัญชนะในจารกึ พ่อขนุ รามค�ำแหง ที่สรา้ งข้นึ เมื่อ พ.ศ. ๑๘๓๕ เพยี งหลักเดียว

116
ส่วนจารึกหลักอ่ืน ๆ ท่ีสร้างขึ้นในสมัยอาณาจักรสุโขทัย แต่ระยะเวลา
ห่างจากปีที่สร้างจารึกพ่อขุนรามค�ำแหงประมาณ ๕๐-๗๐ ปี ซึ่งตามหลักวิชา
อกั ขรวิทยา ลักษณะรปู ลายเสน้ อกั ษรย่อมตอ้ งมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
ตามระบบววิ ฒั นาการ ดว้ ยเหตนุ ร้ี ปู อกั ษรทปี่ รากฏในอาณาจกั รสโุ ขทยั ชว่ งปลาย
พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๙ ถงึ พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๐ จงึ มลี กั ษณะทแ่ี ตกตา่ งไปจากรปู อกั ษร
ท่ีใช้ในจารึกพ่อขุนรามค�ำแหง และยังกลับไปใช้วิธีการวางรูปสระไว้ทั้งบนและ
ล่าง รูปพยัญชนะตามอย่างอักขรวิธีที่เคยรู้จักและใช้มาแต่เดิมด้วย รูปอักษร
ในสมยั ดงั กล่าว ปัจจบุ นั ก�ำหนดเรียกว่า รปู อกั ษรไทยสุโขทยั
ในอาณาจกั รสโุ ขทยั นอกจากจะใชร้ ปู อกั ษรไทยสโุ ขทยั แลว้ ยงั พบหลกั ฐาน
การใช้รูปอักษรขอม ซึ่งปัจจุบันก�ำหนดเรียกว่า รูปอักษรขอมสุโขทัย รูป
อักษรแบบน้ีพัฒนามาจากรูปอักษรขอมโบราณที่เคยใช้อยู่ในพื้นถ่ินระหว่าง
พทุ ธศตวรรษที่ ๑๘-๑๙ การทย่ี งั มคี วามนยิ มใชร้ ปู อกั ษรขอมอยสู่ บื มานา่ จะเกดิ
จากในขณะน้ันรูปอักษรไทยสุโขทัยไม่สามารถใช้เขียนภาษาบาลี ซึ่งเป็นภาษา
ท่ีจดจารเรื่องในทางพระพุทธศาสนาเช่นพระไตรปิฎกเป็นต้น ถึงแม้ว่าจะได้
มีความพยายามใช้รูปอักษรไทยเขียนภาษาบาลีแล้วก็ตาม ดังเช่นในจารึกวัด
พระยืน พ.ศ. ๑๙๑๓ ดา้ นที่ ๑ บรรทัดที่ ๑ ความวา่ “นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต”
จารึกด้วยอักษรไทยสุโขทัย ซึ่งยังไม่สามารถใช้รูปอักษรให้ครบถ้วนตามศัพท์
ภาษาบาลไี ด้ถกู ต้อง แตไ่ ด้พบจารึกวดั ป่ามะมว่ ง พ.ศ. ๑๙๐๔ จารกึ ดว้ ยอกั ษร
ขอมสุโขทัยเป็นภาษาบาลีและภาษาไทย และในจารึกวัดป่าแดง พ.ศ. ๑๙๔๙
จารึกด้วยอักษรขอมสุโขทัยภาษาไทยเป็นต้น ตามหลักฐานน้ีท�ำให้ได้ข้อยุติว่า
คนไทยในอาณาจักรสุโขทัยใช้อักษรขอมสุโขทัยเป็นรูปอักษรของไทย เขียนได้
ท้งั ภาษาไทยและภาษาบาลี
ตามทไ่ี ดก้ ลา่ วมาในเบอ้ื งตน้ แลว้ วา่ บรเิ วณลมุ่ แมน่ ำ้� ปงิ มอี าณาจกั รลา้ นนา
เป็นอาณาจักรของคนไทยอาณาจักรหนึ่ง ได้พบหลักฐานว่ามีรูปอักษรธรรม
ลา้ นนาปรากฏขนึ้ แลว้ ในชว่ งพทุ ธศตวรรษที่ ๒๐ อกั ขรวธิ ขี องอกั ษรธรรมลา้ นนา

117

มรี ปู แบบท่ีเหมาะสมสำ� หรบั ใช้ได้ท้ังภาษาบาลแี ละภาษาไทย และอาจเปน็ ด้วย
เหตนุ เี้ องทคี่ นในอาณาจกั รสโุ ขทยั สว่ นหนง่ึ นำ� อกั ษรธรรมลา้ นนามาใชเ้ ขยี นภาษา
บาลเี ปน็ การหลกี เล่ยี งการใช้อกั ษรขอม ดงั ปรากฏในจารกึ ลานทองสมเด็จพระ
มหาเถรจฑุ ามณุ ิ สรา้ งขนึ้ เมอ่ื พ.ศ. ๑๙๑๙ ความจารกึ ตง้ั แตบ่ รรทดั ที่ ๑-๓ จารกึ
ดว้ ยอกั ษรไทยสโุ ขทัยภาษาไทย และบรรทัดที่ ๔ เป็นบรรทดั สุดทา้ ยจารกึ ด้วย
อกั ษรธรรมลา้ นนาภาษาบาลี
จากหลกั ฐานดงั กลา่ วจะเหน็ ไดว้ า่ ในอาณาจกั รสโุ ขทยั มรี ปู อกั ษรใช้ ๔ แบบ
คอื ลายสอื ไทย อกั ษรไทยสโุ ขทัย อักษรขอมสุโขทยั และอกั ษรธรรมลา้ นนา
ความหลากหลายในการใช้รูปอักษรและภาษาสะท้อนให้เห็นถึงความเจริญ
รุ่งเรืองของบ้านเมือง รวมถึงความรู้ความสามารถของผู้คน ซึ่งเป็นบรรพชน
คนไทยทไ่ี ดส้ รา้ งสรรคม์ รดกภมู ปิ ญั ญาไวเ้ ปน็ จำ� นวนมากมายมหาศาลใหค้ นไทย
ในยุคปัจจุบนั ได้ใชป้ ระโยชน์จากมรดกเหลา่ น้ัน และพวกเราที่เป็นสว่ นหนึง่ ของ
คนในยุคปัจจุบันก็ควรที่จะได้ใช้มรดกภูมิปัญญาเหล่านั้นด้วยจิตส�ำนึกท่ีรู้จัก
ในคุณคา่ พร้อมกบั สรา้ งสรรค์สงิ่ ใหม่ ๆ ใหเ้ ปน็ มรดกแกอ่ นุชนในอนาคตสืบไป
(นางสาวก่องแก้ว วีระประจกั ษ์)

เรอื น ๓ น�้ำ ๔

หญงิ ไทยในสมัยโบราณไดร้ บั การส่ังสอนปลกู ฝงั ให้เป็นคนดี มีความขยนั
หมนั่ เพยี ร รจู้ กั วางตน มคี วามสภุ าพเรยี บรอ้ ย สงบเสงย่ี มเจยี มตวั รขู้ นบธรรมเนยี ม
ประเพณี เรยี นรู้เร่อื งตา่ ง ๆ ในครัวเรือนและการด�ำเนนิ ไปของสงั คม ร้ปู รนนิบตั ิ
ดูแลผู้อื่นและผู้ท่ีอยู่ในเรือนเดียวกัน ท้ังนี้ก็เพื่อให้เป็นหญิงที่ดีงามพร้อมจะ
ออกจากเรือนของพอ่ แมไ่ ปสร้างครอบครวั ใหม่เป็นแม่เรอื นของตนเอง หญิงทมี่ ี
คุณสมบตั ดิ งั กล่าว โบราณท่านกำ� หนดว่า ต้องรู้หลกั เรือน ๓ นำ้� ๔
เรอื น ๓ หมายถึง ตอ้ งรแู้ ละปฏบิ ตั ิเร่ืองทีเ่ กย่ี วกับองคป์ ระกอบของการ
อยใู่ นเรอื นเปน็ อย่างดี และถูกต้องสมบรู ณ์ ๓ ประการคอื

118
๑. เรอื นกาย คอื ตอ้ งรจู้ กั รกั ษารา่ งกายใหส้ ะอาดหมดจด แตง่ กาย
ด้วยเสือ้ ผา้ สะอาด สุภาพ เหมาะสม สระผมหวผี มให้เรียบร้อย ปราศจากกลน่ิ
เหม็น เส้นผมเป็นระเบียบไมย่ ุง่ เหยงิ
๒. เรือนไฟ คือ เรือนครัว หรือห้องครัว ต้องเก็บกวาดท�ำความ
สะอาดไมส่ กปรกรกรงุ รงั ของใชใ้ นครวั วางเปน็ ระเบยี บ สะอาด ชำ� ระลา้ งอยา่ งดี
ปราศจากความสกปรก จัดเตรียมเครื่องใช้ของใชไ้ ว้ครบถ้วน
๓. เรอื นนอน คอื หอ้ งนอน รวมถงึ ทกุ สว่ นของเรอื นตอ้ งกวาดถใู ห้
สะอาดปราศจากฝุน่ ผ้าหม่ ผ้าปทู ีน่ อน หมอนมุ้ง ตอ้ งซกั ทำ� ความสะอาดไม่ให้มี
กล่ินเหมน็ สาบ เหม็นอับ
น�้ำ ๔ หมายถึง ต้องร้ปู ฏิบตั ิเรื่องของน้�ำ ๔ อย่างคือ
๑. น้�ำกิน ในสมัยโบราณบ้านเมืองยังไม่เจริญเหมือนในทุกวันนี้
ตามบ้านเรือนยังไม่มีน้�ำประปาใช้ ทุกบ้านต้องจัดเตรียมน�้ำไว้เพ่ือการชะล้าง
ส่ิงต่าง ๆ และเพ่ือการดื่มกิน ไม่ให้ขาด โดยเฉพาะน้�ำกินจะได้จากน้�ำฝน
ซ่ึงทุกบ้านจะมีตุ่มไว้รองน�้ำฝนให้พอส�ำหรับการดื่มกิน ทุกครั้งเมื่อฝนตกต้อง
รองน�ำ้ ฝนไว้ให้เต็มต่มุ
๒. นำ้� ใช้ ต้องจัดเตรยี มนำ้� ไว้ใชอ้ ยา่ ให้ขาดบ้าน โดยตกั มาจากบ่อ
สระ หรือแม่นำ้� ให้พร้อมอยเู่ สมอ หากน�้ำทีต่ ักมาขนุ่ ตอ้ งกวนดว้ ยสารส้มท้งิ ไว้
ใหน้ ำ�้ นั้นใส
๓. น้�ำเต้าปูน เนื่องจากคนในสมัยโบราณนิยมกินหมาก ปูนท่ีใช้
บา้ ยพลสู ำ� หรับกนิ กับหมากนนั้ มีท่ใี ส่เปน็ ภาชนะคล้ายขวด ปากกวา้ ง ทรงเตย้ี
อาจทำ� ดว้ ยดนิ เผาหรอื แกว้ เรยี กวา่ เตา้ ปนู ในเตา้ ปนู นี้ ตอ้ งมนี ำ�้ ไวห้ ลอ่ ไมใ่ หป้ นู
แหง้ ซ่งึ ตอ้ งหมั่นตรวจดูและคอยเติมน้ำ� ในเต้าปูนไวเ้ สมอ
๔. นำ�้ ใจ หมายถงึ ใหเ้ ปน็ คนมจี ติ ใจงดงาม รกู้ าลควรไมค่ วร มจี ติ ใจ
โอบออ้ มอารีเออ้ื เฟ้อื เผื่อแผแ่ ก่ญาตพิ นี่ อ้ ง และตั้งอยู่ในศลี ธรรมอันดี
(นางสาวกอ่ งแกว้ วรี ะประจักษ)์

119

ฤๅษแี ปลงสาร

ฤๅษแี ปลงสารเปน็ สำ� นวน หมายความวา่ แกเ้ หตรุ า้ ยใหก้ ลายเปน็ ดี สำ� นวน
นี้มีท่ีมาจากนิทานพ้ืนบ้านเรื่องนางสิบสอง ซ่ึงเล่าว่านางยักษ์สันธมาร ชายา
ท้าวรถสิทธิ์ ต้องการก�ำจัดพระรถซึ่งเป็นบุตรเล้ียง จึงออกอุบายท�ำเป็นป่วย
ขอใหท้ า้ วรถสทิ ธิ์ส่ังพระรถให้ไปหายามารักษา ยาน้คี อื มะมว่ งไมร่ ูห้ าว มะนาว
ไมร่ ู้โห่ ซงึ่ มอี ยู่ทีเ่ มอื งเดิมของนาง นางยักษเ์ ขียนสารใหพ้ ระรถถอื ไปให้นางเมรี
ซ่ึงครองเมืองอยู่ในขณะน้ัน แต่ระหว่างทางพระรถแวะนมัสการพระฤๅษี
พระฤๅษีอ่านสารแล้วรู้สึกสงสารพระรถ จึงเปล่ียนข้อความเสียใหม่ ข้อความ
ในสาร และข้อความท่ีฤๅษีเปล่ียนให้ แตกต่างกันไปบ้างตามผู้เล่าเร่ือง เช่น
ผู้เล่าชาวจังหวัดฉะเชิงเทราคนหนึ่งกล่าวว่านางยักษ์เขียนว่า “ถึงกลางวัน
ให้ฆ่ากลางวัน ถึงกลางคืนให้ฆ่ากลางคืน” และพระฤๅษีเปลี่ยนข้อความเป็น
“ถึงกลางวนั ให้แต่งกลางวนั ถงึ กลางคืนใหแ้ ตง่ กลางคืน” แต่ชาวไทใหญท่ เี่ มือง
นายกลา่ ววา่ นางยักษเ์ ขียนว่า “ถงึ ตอนบ่ายให้กนิ ตอนเช้า หากถงึ ตอนเชา้ ใหก้ ิน
ตอนบ่าย” และพระฤๅษีเปล่ียนข้อความเป็น “ถึงตอนบ่ายให้แต่งงานตอนเช้า
หากถึงตอนเช้าให้แต่งงานตอนบ่าย” อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าข้อความในสารและ
ข้อความท่ีเปลี่ยนใหม่จะเป็นอย่างไร นางเมรีก็แต่งงานกับพระรถตามข้อความ
ในสารและพระรถรอดพ้นจากอันตราย
นอกจากฤๅษีแปลงสารจะเป็นสำ� นวนแลว้ ยงั เป็นชื่อของกลโคลงอกี ดว้ ย
ในหนงั สอื จนิ ดามณซี ง่ึ เปน็ แบบเรยี นฉบบั แรกของไทยมกี ลโคลงชอื่ ฤๅษแี ปลงสาร
ค�ำแต่ละค�ำในโคลงเรียงอักษรสับต�ำแหน่งกัน คืออักษรที่ควรจะอยู่ข้างหน้า
กลบั ไปอยู่ข้างหลงั ดงั นี้

ลิตขศิ อิศรเทไ้ ฤนลบา
งงฟถิน่ ววทว่ ขา่ รสา มนุ่หน้าหเ
รรมคาทุศรเสนถา งงยะลุถงึ ยลเ
มอ�ำตยฤศรนจพจา้ เ นนีเ่ ช้าอพเื่ ดใ

120

กอรั ษรวณษกลนั วล้ งลพเลพา
อชษื่ ฤี ๅงลปแรสา บสบื วไ้
ดลผั นยล่ีปเนยพเี้ นอลกรกา ยลากบลัก
นสหท่เหลเ่ บลัห้ใ นอา่ นล้หเนปเมษกเ
ผอู้ า่ นกลโคลงขา้ งตน้ จะตอ้ งแปลงสาร ยา้ ยตำ� แหนง่ ตวั อกั ษรในคำ� แตล่ ะคำ�
ให้อยถู่ กู ท่ี จึงจะอ่านสารไดเ้ ข้าใจ ดงั น้ี
ลิขติ อิศเรศไท้ นฤบาล
ฟงงถนิ่ ท่ววขา่ วสาร หน่มุ เหน้า
มรรคาทเุ รศสถาน ยงงละุ ถึงเลย
อำ� มฤตยรศพจนเจ้า เนิ่นช้าเพื่อใด
อักษรวรลักษณลว้ น เพลงพาล
ช่ือฤๅษแี ปลงสาร สบื บไว้
ผลดั เปล่ยี นเพ้ียนกลุ ธนการ กลายกลับ
สนเท่หเล่หลบั ให ้ อ่านเหล้นเปนเกษม
(รศ. ดร.นววรรณ พนั ธุเมธา)

ลิลติ โองการแชง่ น�ำ้

ลิลิตโองการแช่งน้�ำมีชื่อเรียกหลายชื่อด้วยกัน เช่น ลิลิตโองการแช่งน�้ำ
โองการแชง่ นำ�้ โคลงหา้ โองการแชง่ นำ้� พพิ ฒั นส์ ตั ยา วรรณคดเี รอื่ งนม้ี คี วามสำ� คญั
อย่างมากในด้านขนบธรรมเนียมประเพณีในราชส�ำนักเพราะเป็นโองการท่ี
พราหมณต์ ้องน�ำมาอา่ นในเวลาทม่ี กี ารพระราชพิธถี ือน้�ำพระพพิ ัฒน์สตั ยา
สันนิษฐานว่าเร่ืองน้ีแต่งข้ึนในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้า
อทู่ อง) เพ่อื ใชใ้ นพระราชพธิ ีถือน�ำ้ พระพพิ ัฒน์สัตยา ซ่งึ เปน็ พระราชพธิ ที ่สี ำ� คัญ
ในราชส�ำนักอยุธยาสืบต่อมาจนถึงในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์เน่ืองจากเป็นการ
กล่าวสาบานของเหล่าขุนนางว่าจะซ่ือสัตย์ต่อพระเจ้าแผ่นดิน หากใครคิดกบฏ

121

ต้องมอี นั เป็นไปตา่ ง ๆ
พระราชพิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยานี้เข้าใจว่า คงจะรับเข้ามาเป็นเวลา
นานแล้วก่อนต้ังกรุงศรีอยุธยาหรืออย่างน้อยก็ต้องในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดี
ท่ี ๑ ด้วยปรากฏส�ำนวนภาษาที่เกา่ เทยี บได้กับภาษาสมยั สุโขทัย
ฉนั ทลกั ษณท์ น่ี ำ� มาใชใ้ นการแตง่ วรรณคดเี รอ่ื งนค้ี อื โคลงหา้ กบั รา่ ยโบราณ
ซึ่งเป็นลักษณะค�ำประพันธ์ของกลุ่มชนชาติไทมาแต่เดิมเนื่องจากพบการแต่ง
ค�ำประพนั ธ์ดว้ ยโคลงทง้ั ในล้านนา ลา้ นชา้ งและไทยภาคกลางอกี ท้งั รา่ ยโบราณ
ทปี่ รากฏกม็ ลี กั ษณะคลา้ ยกบั รา่ ยโบราณทปี่ รากฏในจารกึ สมยั สโุ ขทยั เชน่ จารกึ
หลกั ที่ ๔๕ (จารึกป่ขู นุ จิดขนุ จอด) จารึกหลกั ที่ ๑๕ (จารึกวดั พระเสด็จ)
ลิลิตโองการแช่งน้�ำแต่งขึ้นเพื่อใช้ในพระราชพิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยา
หรือพระราชพิธีแชง่ นำ�้ พระพัทธ ซึ่งตามปรกติจะจดั ขนึ้ ปีละสองคร้ังคือในเดอื น
เมษายน(เดอื น๕)ครง้ั หนง่ึ และในเดอื นกนั ยายน (เดอื น๑๐)อกี ครงั้ หนงึ่ พราหมณ์
จะอ่านโองการแล้วแทงพระแสงศัตราวุธต่าง ๆ ในสมัยรัชกาลท่ี ๔ ได้สร้าง
พระแสงศรสามเล่ม ได้แก่ พระแสงศรปลยั วาต, พระแสงศรอัคนวิ าต พระแสง
ศรพรหมาศ เพือ่ ใชแ้ ทงนำ�้ กอ่ นพระแสงองค์อน่ื ๆ เมื่อพราหมณอ์ ่านโองการจบ
แลว้ จงึ นำ� นำ�้ มาใหข้ นุ นางดม่ื ทง้ั นห้ี า้ มขนุ นางเททงิ้ หรอื กนิ อาหารมากอ่ นเพราะ
จะถกู กลา่ วหาวา่ เปน็ กบฏ
ลิลิตโองการแช่งน้�ำ สามารถจัดแบง่ เน้อื หาออกได้เปน็ ๔ ตอน คือ
ตอนท่ี ๑ กล่าวอัญเชิญเทพเจ้าตรีมูรติ คือ พระวิษณุ พระศิวะ และ
พระพรหม แตง่ ดว้ ยร่ายโบราณ
ตอนที่ ๒ กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของการท�ำลายโลก การเกิดข้ึน
ใหม่ของโลก การก�ำเนิดของมนุษย์ และพระมหาสมมติเทพ แต่งด้วยโคลงห้า
ดังตัวอยา่ ง

นานาอเนกน้าวเดิมกัลป์ จักร�่ำจกั รพาฬเม่ือไหม้
กล่าวถึงตระวนั เจด็ อันพลุ่ง น�ำ้ แล้งไขข้ อดหาย ฯ

122

เจด็ ปลามนั พุ่งหลา้ เป็นไฟ วาบจตรุ าบายแผน่ ขวำ้�
ชกั ไตรตรงึ ษเ์ ปน็ เผา้ แลบล้ำ� สลี อง ฯ
สามรรถญาณครเพราะเกลา้ ครองพรหม ฝงู เทพนองบนปานเบยี ดแปง้
สรลมเต็มพระสธุ าวาสแหง่ หั้น ฟา้ แจ้งจอดนโิ รโธ ฯ
กล่าวถงึ น้�ำฟา้ ฟาดฟองหาว ดับเดโชฉ�่ำหล้า
ปลาดินดาวเดือนแอน่ ลมกลา้ ปว่ นไปมา ฯ
แลเปน็ แผน่ เมืองอินทร์ เมอื งธาดาแรกตั้ง
ขุนแผนแรกเอาดินดูที ่ ทกุ ย้งั ฟ้ากอ่ คนื ฯ
แลเป็นสี่ปวงดนิ เปน็ เขายนื ทรง้ำ� หล้า
เปน็ เรือนอนิ ทร์ถาเถอื ก เป็นสรอ้ ยฟ้าจ่งึ บาน ฯ
แลมีค่�ำมีวนั กนิ สาลเี ปลอื กปล้อน
บมีผูต้ อ้ นแต่งบรรณา เลอื กผยู้ งิ่ ยศเปนราชาอะครา้ ว
เรียกนามสมมตริ าชเจ้า จ่ึงตงั้ ทา้ วเจา้ แผ่นดินฯ

ตอนท่ี ๓ กลา่ วอัญเชญิ สง่ิ ศกั ดิส์ ทิ ธ์ิ เช่น พระรัตนตรัย เทพเจ้าในศาสนา
พราหมณ์ เทวดาอารักษ์ ฯลฯ มาเป็นพยานในการแช่งนำ้� แตง่ ด้วยโคลงหา้
ตอนที่ ๔ เป็นการแช่งน้�ำ และสาปแช่งผู้คิดคดกบฏต่อพระเจ้าแผ่นดิน
และใหพ้ รผจู้ งรักภักดีตอ่ พระเจ้าแผ่นดนิ แตง่ ด้วยร่ายสภุ าพ
ลิลิตโองการแช่งน้�ำเป็นวรรณคดีพิธีกรรมที่แสดงให้เห็นสภาพความเช่ือ
ของคนไทยที่ผสมผสานระหว่างศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์ และความเชื่อ
เร่อื งผีสางเทวดาในสงั คมไทย เปน็ การแสดงความจงรักภกั ดีต่อพระเจ้าแผ่นดิน
ซ่ึงเปน็ สถาบนั สงู สุดของสงั คมไทยต้ังแต่สมัยโบราณ
ในทางด้านศาสนาน้ัน ลิลิตโองการแช่งน้�ำแสดงให้เห็นถึงความสับสน
ระหว่างพระอินทร์กับพระอิศวรอย่างเห็นได้ชัด เช่น กล่าวว่าพระอิศวรอยู่ท่ี
ผาหลวง (ซ่งึ ที่จริงผาหลวงน้ันคือเขาพระสเุ มรุซึง่ เปน็ ทอี่ ยู่ของพระอนิ ทร์) หรอื
กล่าววา่ อาวุธของพระอิศวรคือสายฟา้ (ความจริงสายฟ้าหรอื วชิราวธุ เปน็ อาวธุ

123

ของพระอินทร์)
นอกจากนย้ี งั กลา่ วถงึ ชอื่ ตา่ ง ๆ ทมี่ ที ม่ี าในศาสนาพราหมณเ์ ปน็ ภาษาไทย
อกี ดว้ ยเชน่ เขาพระสเุ มรเุ รยี กวา่ “ผาหลวง”เขาคนั ธมาทนเ์ รยี กวา่ “ผาหอมหวาน”
เขาไกรลาสเรยี กวา่ “ผาเผอื ก” เขาจติ รกฏู เรยี กวา่ “เขาลาย” เรยี กหงสว์ า่ “หา่ น”
เรยี กพระพรหมทรงหงสว์ า่ “ขนุ ห่าน” เรียกเทวดาวา่ “แมน”
วรรณกรรมเรอ่ื งลลิ ติ โองการแชง่ นำ�้ เปน็ หลกั ฐานทแี่ สดงใหเ้ หน็ วา่ ในสมยั
อยธุ ยาตอนตน้ สงั คมไทยมคี วามเชอื่ ในศาสนาพราหมณ์ มคี วามรเู้ รอื่ งคตไิ ตรภมู ิ
หรือเรื่องโลกศาสตร์ของพระพุทธศาสนาเถรวาท และความเชื่อเกี่ยวกับเรื่อง
ผสี างเทวดา ซง่ึ มกี ารน�ำมาผสมผสานกนั ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี
  (รศ. ดร.ศานติ ภักดีคำ� )

ลกู ขนุ พลอยพยัก-บอกศาลา

ลูกขุนพลอยพยัก และ บอกศาลา ต่างเป็นส�ำนวน ลูกขุนพลอยพยัก
หมายถึง ผู้ท่ีคอยว่าตามหรือเห็นด้วยกันกับผู้ใหญ่เป็นเชิงประจบสอพลอ เช่น
ไมว่ า่ ผอู้ ำ� นวยการจะพูดวา่ อยา่ งไร พวกลูกขุนพลอยพยกั กเ็ หน็ ดเี ห็นงามไปด้วย
สว่ น บอกศาลา หมายถึง ประกาศไมร่ บั ผดิ ชอบหรือตัดขาดไมใ่ ห้ความอุปการะ
เลย้ี งดูอกี ต่อไป เชน่ เดก็ คนนี้เกเรมากจนพอ่ แม่ต้องบอกศาลา
สำ� นวน ลกู ขนุ พลอยพยกั และ บอกศาลา มที ม่ี าเกย่ี วกบั ลกู ขนุ และศาลา
ลกู ขนุ คำ� วา่ ลกู ขนุ พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถานพ.ศ.๒๕๕๔ใหค้ วามหมาย
ไวใ้ นหนา้ ๑๐๖๘ ว่า
ลกู ขนุ (โบ) น. อำ� มาตย,์ มนตร,ี ขุนนาง, ขา้ ราชการ.
และให้ความหมายของ ลกู ขนุ ณ ศาลหลวง และ ลกู ขนุ ณ ศาลา ไว้ในหน้า
๑๐๖๘ เช่นกนั ว่า
ลูกขนุ ณ ศาลหลวง, ลกู ขุนศาลหลวง (โบ) น. คณะผูพ้ ิพากษามีหน้าที่
ตดั สนิ คดี โดยชข้ี าดขอ้ กฎหมายหลงั จากทต่ี ระลาการพจิ ารณาคดขี ขี้ าดขอ้ เทจ็ จรงิ
แลว้ , บางทีเขียนเป็น ลกู ขนุ ณ สานหลวง หรือ ลกู ขุน ณ สารหลวง ก็มี.

124

ลกู ขนุ ณ ศาลา, ลกู ขนุ ศาลา (โบ) น. คณะขา้ ราชการชนั้ ผใู้ หญท่ ำ� หนา้ ที่
บังคบั บัญชาราชการแผน่ ดนิ มตี ำ� แหนง่ ตา่ ง ๆ เชน่ เสนาบดี มาประชมุ รว่ มกันท่ี
ศาลาลกู ขนุ .
ด้วยเหตุทลี่ ูกขุน ณ ศาลาเป็นขา้ ราชการช้ันผู้ใหญ่ จงึ มีคำ� น�ำหนา้ แสดง
ความยกย่องวา่ พณหวั เจา้ ทา่ น หรือ ฯพณฯ เชน่ “บอกน้�ำฝนตน้ เขา้ กรงุ เก่า”
เม่ือเดือน ๙ จุลศักราช ๑๒๓๗ (พ.ศ. ๒๔๑๘) มีขอ้ ความตอนตน้ ว่า
ข้าพเจ้า พระพิทักษเทพธานีปลัด หลวงกรุงศรีบริรักษยกระบัด
กรมการกรงุ เกา่ บอกปรนบิ ตั มิ ายงั ทา่ นออกพนั ธนายเวน ขอไดก้ ราบเรยี น
พณหวั เจา้ ท่านลกู ขนุ ณ ศาลาได้ทราบ...
และ “บอกน�้ำฝนต้นเข้าเมืองนครสวรรค์” เม่ือเดือน ๑๐ จุลศักราช ๑๒๓๗
มีข้อความตอนต้นวา่
ขา้ พเจา้ พระยาไตรเพชรตั นราชสงครามรามภกั ดพี ริ ยิ ภาห พระยา
นครสวรรค์ พระยอดเมืองขวางปลดั หลวงเทยี นฆ์ราชยกระบัดกรมการ
บอกมายงั ทา่ นออกพนั นายเวนไดน้ ำ� ขนึ้ กราบเรยี น ฯพณฯ ลกู ขนุ ณ ศาลา
ใหท้ ราบ...
ค�ำว่า นายเวน ซึ่งปรากฏในข้อความที่คัดมานี้หมายถึงหัวหน้าเสมียน
พนักงานที่อยู่เวรท่ีศาลาลูกขุน สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรง
ราชานุภาพทรงเล่าถงึ ศาลาลูกขนุ และนายเวรไวใ้ นพระนพิ นธเ์ รื่อง “สภาพเมอื่
แรกสถาปนากระทรวงมหาดไทย” ดงั นี้
สถานทเ่ี รยี กวา่ “ศาลาลกู ขนุ ” นน้ั แตเ่ ดมิ มี ๓ หลงั ตามแบบอยา่ ง
ครง้ั กรงุ ศรอี ยธุ ยา หลงั หนง่ึ อยนู่ อกพระราชวงั (วา่ อยใู่ กล้ ๆ กบั หลกั เมอื ง)
เปน็ สถานทสี่ ำ� หรบั ประชมุ ขา้ ราชการฝา่ ยตลุ าการชนั้ สงู ซงึ่ เรยี กรวมกนั วา่
“ลกู ขนุ ณ ศาลหลวง” นง่ั พพิ ากษาคดเี ปน็ ทำ� นองอยา่ งศาลสถติ ยย์ ตุ ธิ รรม
ศาลาลูกขุนอีก ๒ หลังอยู่ในพระราชวัง จึงเป็นเหตุให้เรียกต่างกันว่า

125
“ศาลาลูกขุนนอก” และ “ศาลาลูกขุนใน” ศาลาลูกขุนในเป็นสถานท่ี
สำ� หรบั ประชมุ ขา้ ราชการชน้ั สงู ฝา่ ยธรุ ะการ [ปจั จบุ นั หมายถงึ ฝา่ ยบรหิ าร]
ซงึ่ เรยี กรวมกนั วา่ “ลกู ขนุ ณ ศาลา” หลงั หนง่ึ ซงึ่ อยขู่ า้ งซา้ ยสำ� หรบั ประชมุ
ข้าราชการพลเรือนซ่ึงอยู่ในปกครองของเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย
ดว้ ยเป็นสมุหนายกหวั หน้าข้าราชการพลเรอื น อีกหลังหนงึ่ ซ่ึงอย่ขู ้างขวา
ส�ำหรับประชุมข้าราชการทหารก็อยู่ในปกครองของเสนาบดีกระทรวง
กลาโหม ดว้ ยเปน็ หวั หน้าข้าราชการทหารเชน่ เดยี วกัน
ตัวศาลาลูกขุนเป็นศาลาใหญ่ชั้นเดียว ได้ยินว่าเมื่อแรกสร้างใน
รัชกาลท่ี ๑ เป็นเครอ่ื งไม้ มาเปลย่ี นเป็นก่ออฐิ ถอื ปูนในรัชกาลท่ี ๓ ทั้ง ๒
หลัง ในศาลาลูกขุนตอนข้างหน้าทางฝ่ายเหนือเปิดโถง เป็นที่ประชุม
ข้าราชการ และใช้เปน็ ทแ่ี ขกเมืองประเทศราชหรือแขกเมอื งตา่ งประเทศ
พักเมื่อก่อนเข้าเฝ้า และเลี้ยงแขกเมืองท่ีน้ันด้วย แต่มีฝาไม้ประจันห้อง
ก้ันสกัดกลาง เอาตอนข้างหลังศาลาทางฝ่ายใต้เป็นห้องส�ำนักงาน
กระทรวงมหาดไทยหลัง ๑ กระทรวงกลาโหมหลงั ๑ อยา่ งเดยี วกนั แต่
ไมไ่ ดเ้ ปน็ สำ� นกั งานทกุ อยา่ งของกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงกลาโหม
เพราะหน้าที่สองกระทรวงนั้นมีเป็น ๓ แผนก แผนกท่ี ๑ คือหน้าที่
อคั รมหาเสนาบดที ต่ี อ้ งสง่ั การงานตา่ ง ๆ แกก่ รมอนื่ ใหท้ นั ราชการ อนั นเ้ี ปน็
มูลที่ต้องมีส�ำนักงานและมีพนักงานประจ�ำอยู่ในพระราชวังเสมอท้ัง
กลางวนั กลางคนื แผนกที่ ๒ การบงั คบั บญั ชาหวั เมอื ง ทจี่ รงิ โดยลำ� พงั งาน
ไม่จ�ำเป็นต้องท�ำท่ีศาลาลูกขุน แต่หากการบังคับบัญชาหัวเมืองต้องใช้
ผู้ช�ำนาญหนังสือส�ำหรับพิจารณาใบบอกและเขียนท้องตราสั่งราชการ
หัวเมือง กระทรวงมหาดไทยและกลาโหมมีหัวพันนายเวรและเสมียน
ซ่ึงช�ำนาญหนังสือส�ำหรับเขียนบัตรหมายประจ�ำอยู่ที่ศาลาลูกขุน จึงให้
พวกที่ช�ำนาญหนังสือน้ันท�ำการงานในแผนกบังคับบัญชาหัวเมืองด้วย
แผนกที่ ๓ เป็นฝ่ายตุลาการ ด้วยกระทรวงมหาดไทยและกลาโหมเป็น

126

ศาลอุทธรณ์ความหัวเมืองซ่ึงอยู่ในบังคับบัญชา มีขุนศาลตุลาการตลอด
จนเรือนจ�ำส�ำหรับการแผนกน้ันต่างหาก จึงต้องตั้งศาลที่บ้านเสนาบดี
และหาท่ตี ง้ั เรอื นจำ� แห่งใดแหง่ หน่งึ ...
ขา้ ราชการทเี่ ปน็ พนกั งานประจำ� ทำ� การในศาลาลกู ขนุ นนั้ ปลดั ทลู
ฉลองหรือข้าราชการผู้ใหญ่ที่ได้ท�ำการในหน้าท่ีปลัดทูลฉลอง เป็นตัว
หวั หนา้ รองลงมามขี า้ ราชการชน้ั สญั ญาบตั รเปน็ พระเปน็ หลวงเปน็ ผชู้ ว่ ย
สักสามส่ีคน ต่อนั้นลงมาถึงชั้นเสมียนพนักงาน ในชั้นเสมียนพนักงาน
มนี ายเวร ๔ คน รบั ประทวนเสนาบดตี ง้ั เปน็ ที่ “นายแกวน่ คชสาร” คนหนง่ึ
“นายชำ� นาญกระบวน”คนหนง่ึ “นายควรรอู้ ศั ว”คนหนง่ึ “นายรดั ตรวจพล”
คนหนึง่ ได้วา่ กล่าวเสมียนท้ังปวง นายเวร ๔ คนนนั้ กลางวนั มาท�ำงาน
ในศาลาลกู ขุนด้วยกันทงั้ หมด เวลากลางคืนต้องผลัดเปลีย่ นกันนอนค้าง
อยทู่ ศี่ าลาลูกขนุ ส�ำหรับทำ� ราชการทจ่ี ะมมี าในเวลาค่�ำคราวละ ๑๕ วนั
เวียนกันไป เรียกว่า “อยู่เวร” ต�ำแหน่งหัวหน้าจึงได้ชื่อว่า “นายเวร”
แตห่ นา้ ทน่ี ายเวรไมแ่ ตส่ ำ� หรบั ทำ� ราชการทมี่ มี าในเวลาคำ่� เทา่ นน้ั บรรดา
ราชการทมี่ มี าถงึ กระทรวงมหาดไทย จะมมี าในเวลากลางวนั หรอื กลางคนื
ก็ตาม ถ้ามาถึงกระทรวงในเวร ๑๕ วันของใคร นายเวรน้ันก็ต้องเป็น
เจ้าหนา้ ทีท่ �ำการเร่ืองนนั้ ตงั้ แต่ตน้ ไปจนสำ� เรจ็
นอกจากศาลาลูกขุนจะเป็นที่ประชุมข้าราชการช้ันสูงและเป็นสถานที่
ส�ำหรับรับเร่ืองราชการต่าง ๆ แล้ว ยังเป็นสถานท่ีท่ีประชาชนไปแจ้งเรื่องให้
เจา้ พนกั งานรบั ทราบอกี ดว้ ยเชน่ กฎหมายลกั ษณะโจรหา้ เสน้ ออกเมอ่ื พ.ศ.๒๓๘๐
รัชกาลพระบาทสมเดจ็ พระน่ังเกลา้ เจา้ อยู่หวั มีความตอนหน่งึ วา่
...ถ้าอ้ายผู้ร้ายปล้นได้ทรัพย์ไปมากน้อยเท่าใด ให้เอาทรัพย์ท่ีผู้ร้ายปล้น
ไปนนั้ ตง้ั ปรบั ไหมบดิ ามารดาญาตพิ น่ี อ้ งปา้ นา้ อาบตุ รหลานและเหลนลอ่ื
ซ่ึงได้รับราชการแลมิได้รับราชการ เรียงตัวไปตามกฎหมายที่ได้ส่วน
แบ่งปันทรัพย์มรดกตามสนิทแลห่างเป็นพิไนยหลวง เหตุว่าบิดามารดา

127

ญาตพิ น่ี อ้ งมไิ ดส้ งั่ สอนหา้ มปรามละเลยใหบ้ ตุ รหลานกระทำ� ความชวั่ มไิ ด้
เอาความมาบอกศาลาเป็นค�ำนบั ...
ประกาศรัชกาลท่ี ๔ เรือ่ งเล่นเบี้ย มีความตอนหนึง่ วา่
...ถ้าเจ้านายจะเอาข้าคนซ่ึงอยู่นอกพระราชวังแลช่วยทาษข้ึนใหม่
จะเอามาไวใ้ ชส้ อยในพระบวรราชวงั ใหม้ ากขนึ้ ไปกวา่ แตก่ อ่ น กใ็ หไ้ ปบอก
ศาลาบอกบาญชีเดิมน้ันย่ืนขึ้นตามจ�ำนวนคน ซึ่งได้ใช้สอยประจ�ำอยู่ใน
พระบวรราชวงั ...
และประกาศรชั กาลท่ี ๔ เร่อื งยงิ ปนื มีความตอนหน่งึ วา่
...ให้นายอ�ำเภอประกาศห้ามอย่าให้ผู้ใดยิงปืนใหญ่น้อยโดยล�ำพังไม่ได้
บอกสาลากอ่ นเลยเปนอนั ขาดจงทกุ อำ� เภอ...
เห็นได้ว่า แต่เดิมเร่ืองที่ประชาชนบอกที่ศาลามีต่าง ๆ รวมท้ังเร่ืองการ
ตดั ขาดไม่เกีย่ วข้องกบั ญาตทิ ีเ่ ป็นโจรผู้รา้ ยดว้ ย ตอ่ มากลายความหมายเป็นการ
ตดั ขาดไมเ่ กย่ี วขอ้ งกบั ลกู หลานญาตมิ ติ ร สว่ นลกู ขนุ พลอยพยกั ซง่ึ เดมิ หมายความ
ว่าลูกขุนพยักเพยิดคล้อยตามผู้ใหญ่มีเสนาบดีเป็นต้น ก็กลายความหมายเป็น
ผู้นอ้ ยคลอ้ ยตามผใู้ หญเ่ ปน็ เชิงประจบสอพลอ
(รศ. ดร.นววรรณ พันธเุ มธา)
หนังสอื อา้ งองิ
กาญจนาคพนั ธุ์ (นามแฝง). สำ� นวนไทย. ๒ เล่ม. พระนคร : รวมสาสน์ , ๒๕๑๓.
ประชมุ ประกาศรชั กาลท่ี ๔. ๒ เลม่ . กรงุ เทพฯ : องคก์ ารคา้ ของครุ สุ ภา, ๒๕๒๘.
มหาดไทย, กระทรวง. อนุสรณเ์ นอ่ื งในงานฉลองวันท่ีระลึกสถาปนากระทรวง
มหาดไทยครบรอบ ๖๐ ปบี รบิ รู ณ.์ พระนคร : กระทรวงมหาดไทย, ๒๔๙๕.
ราชกิจจานุเบกษา รชั กาลท่ี ๔. กรุงเทพฯ : ตน้ ฉบบั , ๒๕๔๐.
ราชบัณฑติ ยสถาน. พจนานกุ รม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. พิมพ์
ครง้ั ท่ี ๒. กรงุ เทพฯ : นานมีบคุ๊ ส์, ๒๕๕๖.

128

ลกู คา้ -พ่อค้า

ค�ำว่าลูกค้าและพ่อค้าปัจจุบันมีความหมายต่างกันมาก พจนานุกรม
ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ใหค้ วามหมายของค�ำ ลูกค้า ไว้วา่
ลูกค้า น. ผ้ซู ื้อ เชน่ ผขู้ ายปลีกเป็นลกู คา้ ของผู้ขายสง่ , ผอู้ ดุ หนนุ ในเชิง
ธุรกิจ เชน่ ลูกคา้ ของธนาคาร.
สว่ นคำ� ว่า พอ่ ค้า พจนานกุ รมฉบบั ดังกลา่ วไมไ่ ด้บอกความหมายโดยตรง
แต่ใช้เป็นตัวอย่างของความหมายค�ำว่า พ่อ ซึ่งให้ความหมายไว้อย่างหนึ่งว่า
“ผ้ชู ายท่กี ระทำ� กิจการหรืองานอย่างใดอยา่ งหน่ึง เชน่ ค้าขาย เรียกวา่ พอ่ ค้า
ท�ำครวั เรียกวา่ พอ่ ครัว” เหน็ ได้วา่ ในปจั จบุ ัน ลกู คา้ หมายถึงผู้ซือ้ ส่วนพ่อคา้
หมายถงึ ผขู้ าย
ในสมยั อยธุ ยา ลกู คา้ มไิ ดห้ มายถงึ ผซู้ อื้ แตห่ มายถงึ ผคู้ า้ ขาย มตี วั อยา่ งเชน่
หนังสือออกญาไชยาเมืองตะนาวศรีอนุญาตให้พ่อค้าเดนมาร์กเข้ามาค้าขาย
ยงั ประเทศไทย เมื่อ จ.ศ. ๙๘๓ (พ.ศ. ๒๑๖๔) มีขอ้ ความตอนหน่ึงวา่
...ถ้าลูกค้าต่างประเทศเข้ามาซ้ือขายยงัท่าเมืองตรเนาวศรีม่หาณคอร
ซื้อขายแล้ว แลจ่คืนออกไปเล่า กตาม ถ้าแลจะเข้าไปซือขายเถืงกรุง
พระม่หาณคอรทวาราวดีศรีอ่ยทุ ยากตามเวลา แลให้ซือขาย จงส่ดวกญ่า
ใหแ้ ค้นเคืองได้
และสัญญาไทย ฝรั่งเศส ครั้งสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และหนังสือ
ออกพระวิสุทธสุนทร ซึ่งท�ำเม่ือ พ.ศ. ๒๒๓๑ ก็มีข้อความหลายตอนท่ีมีค�ำว่า
ลูกค้า ข้อความตอนหน่งึ ว่าดังน้ี
ประการหน่ึง ถ้าแลกุมบันหญีฝรั่งเษดมิไดเ้ อาสินคา้ ไปซื้อขายตามสัญญา
แลราษฎรขาดสนิ คา้ แลเอาดบี กุ ซอื้ ขายแกล่ กู คา้ อนื่ กอ็ ยา่ ใหเ้ จา้ พนกั งาน
รบิ เอาแกล่ กู คา้ ซึง่ ขายดบี ุกแกก่ นั นัน้ เลย

129

ในสมัยรัตนโกสินทร์ ค�ำว่า ลูกค้า ก็ยังหมายถึงผู้ค้าขาย เช่น ในเร่ือง
ราชาธิราชซ่ึงพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ
ใหแ้ ปลจากพงศาวดารมอญ เรมิ่ แปลและเรยี บเรยี งเมอื่ พ.ศ. ๒๓๒๘ และตพี มิ พ์
จ�ำหน่ายเปน็ ครงั้ แรกเม่อื พ.ศ. ๒๔๒๓ มีขอ้ ความตอนหน่งึ ว่า
...มะกะโทมีอายุสิบสี่สิบห้าปี บิดาน้ันก็ถึงแก่ความตาย มะกะโทได้เป็น
นายพอ่ คา้ คมุ ลกู คา้ สามสบิ คน หาบขนึ้ ไปคา้ เมอื งสโุ ขทยั ครน้ั มาจะใกลถ้ งึ
ตำ� บลภเู ขาปะเดวะ ลกู คา้ คนหนง่ึ ปว่ ย มะกะโทจงึ เขา้ รบั เอาหาบลกู คา้ ซงึ่
ปว่ ยนน้ั แทน เมอื่ ขนึ้ ไปถงึ ยอดเขานน้ั มใิ ชฤ่ ดฝู นกบ็ งั เกดิ เปน็ พายใุ หญแ่ ลว้
ฝนตกฟา้ รอ้ ง อสนผี า่ ลงมาถกู คานซงึ่ มะกะโทหาบหกั ลงจากบา่ มะกะโท ๆ
ทำ� คานพลดั ถงึ สามครง้ั อสนกี บ็ นั ดาลผา่ ลงถกู คานถงึ สามหน จนหาบนน้ั
ตกลงไปในเหว มะกะโทตกใจยืนตะลึงอยู่ในท่ีนั้น แลไปในบุรพทิศเห็น
แสงอรุณสว่างข้ึน ครั้นแลมาฝ่ายประจิมทิศ ฟ้าแลบข้ึน เห็นเป็นวิมาน
และปราสาทราชมณเฑยี รปรากฏแกต่ ามะกะโท มะกะโทจงึ คดิ แตใ่ นใจวา่
เหตใุ หญเ่ ปน็ มหศั จรรยถ์ งึ เพยี งน้ี ฝา่ ยลกู คา้ ทงั้ ปวงกม็ เิ ปน็ อนั ตราย จงึ คดิ วา่
ตวั กูนเ้ี ห็นจะมวี าสนาไปภายหน้า แลว้ มะกะโทก็พาลูกหาบพ่อคา้ ท้ังปวง
ไปถงึ ต�ำบลบา้ นมะเดวะ พอเวลาเย็นก็เข้าอาศยั อยู่
ข้อความข้างต้นมีทั้งค�ำว่าลูกค้าและพ่อค้า ค�ำว่าลูกค้าน่าจะหมายถึงผู้
คา้ ขายทวั่ ไป ส่วนค�ำวา่ พ่อคา้ หมายถึงผเู้ ปน็ หัวหนา้ หรือเปน็ นายใหญข่ องลูกคา้
ในหนังสือราชกิจจานุเบกษา เมือ่ เดือน ๗ จ.ศ. ๑๒๓๖ (พ.ศ. ๒๔๑๗)
เรื่องการขุดแร่ท�ำทองเมืองปราจีณบุรี ก็ยังมีค�ำว่าลูกค้าซึ่งหมายถึงผู้ค้าขาย
ดังขอ้ ความตอนหน่ึงว่า
...อนึ่งคลองบางกนากซ่ึงเจ้าพระยาบดินทร์เดชาเกณฑ์ขุดไว้ แต่ครั้ง
แผ่นดินพระบาทสมเดจพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวน้ันต้ืน เรือลูกค้าจะไปมา
ล�ำบาก...

130

และในหนังสือราชกิจจานุเบกษา เมื่อเดือน ๘ ปีเดียวกัน มีเรื่องบอก
เมืองนครเชียงใหม่ ซงึ่ มขี อ้ ความตอนหนึ่งวา่
...อนง่ึ ธรรมเนยี มณะเมอื งนครเชยี งใหม่ เคยเรยี กภาษอี ากรแตล่ กู คา้ เมอื ง
อน่ื ๆ อยา่ งไร จะขอรบั พระราชทานเรยี กแตค่ นซงึ่ อยใู่ นบงั คบั องั กฤษนนั้
เหมือนกบั ลกู ค้าเมืองอ่ืน ๆ พอเปนก�ำลงั ราชการบ้านเมอื งต่อไป...
อาจกล่าวได้ว่า ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ค�ำว่าพ่อค้ามีท่ีใช้น้อยกว่าลูกค้า
อย่างไรก็ตาม พจนานุกรมสมัยต้นรัตนโกสินทร์เก็บท้ังค�ำว่าพ่อค้าและลูกค้า
อักขราภธิ านศรบั ท์ ให้ความหมายของคำ� พ่อคา้ และลูกค้า ไวว้ า่
พ่อค้า, นายห้าง, คือชายที่เปนคนค้าขายของมากเหมือนนายก�ำปั่น
แลนายสำ� เภานน้ั .
ลูกค้า, วานิช, คือคนชายหญิงที่ซ้ือขายน้ัน, คนขวนขวายหาทรัพย์ด้วย
ซ้อื ขายน้นั .
และศรพิ จนภ์ าษาไทยใ์ หค้ วามหมายของค�ำพอ่ ค้าและลูกคา้ ว่า
พอ่ คา้ Merchant.
ลกู คา้ Merchants in general.
ลว่ งมาอกี สหี่ า้ ทศวรรษ ความหมายของคำ� วา่ ลกู คา้ เปลย่ี นไปบา้ ง แตก่ ย็ งั
มีเค้าความหมายเดิม ปทานุกรม พ.ศ. ๒๔๗๐ ให้ความหมายของค�ำลูกค้าว่า
“ลูกค้า น. ผู้รับช่วงขายของย่อย” ส่วนค�ำว่าพ่อค้าเป็นตัวอย่างในนิยาม
ความหมายของค�ำว่า พ่อดังน้ี “พอ่ น. ชายผู้ยังบุตรใหเ้ กิด...และแปลว่าผ้ชู าย
เช่น พอ่ ครวั =ชายผทู้ ำ� ครัว, พ่อคา้ =ชายผ้คู ้าขาย” ตอ่ มาอกี ไมน่ านพจนานกุ รม
ไทย-องั กฤษของหมอแมค็ ฟารแ์ ลนด์ (อำ� มาตยเ์ อกพระอาจวทิ ยาคม) ซงึ่ พมิ พเ์ มอ่ื
พ.ศ. ๒๔๘๗ ใหค้ วามหมายของคำ� ลกู คา้ วา่ “patrons, customers of a store”
ซ่ึงใกล้เคียงกับความหมายของค�ำว่าลกู คา้ ในปจั จุบัน
(รศ. ดร.นววรรณ พนั ธุเมธา)


Click to View FlipBook Version