The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ดร.ลำพอง กลมกูล (2567). เอกสารประกอบการสอน การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ (รหัสวิชา 200 308) Research fo Learning Development (200 308)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by polmcu, 2024-02-09 12:01:52

การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ (รหัสวิชา 200 308) Research fo Learning Development (200 308)

ดร.ลำพอง กลมกูล (2567). เอกสารประกอบการสอน การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ (รหัสวิชา 200 308) Research fo Learning Development (200 308)

เอกสารประกอบคำ สอน (รหัสวิชวิา ๒๐๐ ๓๐๘) การวิจัวิย จั เพื่อ พื่ พัฒ พั นาการเรีย รี นรู้ (RESEARCH FOR LEARNING DEVELOPMENT) ดร.ลำ พอง กลมกูล กู คณะครุศาสตร์ มหาวิทวิยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทวิยาลัย


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร ก เอกสารประกอบการสอน การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(รหัสวิชา 200 308) Research fo Learning Development (200 308) ดร.ลำพอง กลมกูล ภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร ข เอกสารประกอบการสอน การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(รหัสวิชา 200 308) Research fo Learning Development (200 308) ดร.ลำพอง กลมกูล ภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร ค คำนำ เอกสารประกอบการสอนเรื่อง การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(200 308) โดยวัตถุประสงค์ เพื่อใช้ เป็นเอกสารการสอนสำหรับนิสิตปริญญาของคณะครุศาสตร์ รวบรวมขึ้นเพื่อใช้เป็นคุ่มือในการจัดการเรียน การสอนระดับปริญญาตรี โดยมีสาระสำคัญอันเนื่องด้วยวิธีวิทยาการวิจัย และแนวทางในการเรียนวิจัย มีจำนวน 12 บท อัน ประกอบด้วย บทที่ 1 ความสำคัญของการวิจัยเพื่อพัฒนาผู้เรียน (Research Concept) ที่ศึกษาถึง ความสำคัญของการวิจัย ความสำคัญของการวิจัยต่อการพัฒนาประเทศ การวิจัยเพื่อแก้ไขปัญหาผู้เรียน การ วิจัยเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้ การใช้ผลการวิจัยเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้บทที่ 2 การวิจัยทาง การศึกษาเพื่อพัฒนาปัญญา ความหมายของการวิจัย ความหมายของการวิจัยทางการศึกษา ขอบข่ายการวิจัย ทางการศึกษา กระบวนการวิจัยทางการศึกษา การวิเคราะห์การวิจัยทางการศึกษา บทที่ 3 วิธีวิทยาการวิจัย รูปแบบต่าง ๆ และการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน ความหมาย ความสำคัญของระเบียบวิธีวิจัย การวิจัยเชิงปริมาณ การวิจัยเชิงคุณภาพ การวิจัยแบบผสมวิธีรูปแบบเชิงสำรวจเป็นลำดับ การวิจัยปฏิบัติการ ในชั้นเรียน บทที่ 4 ประเภทของการวิจัย แบ่งตามจุดมุ่งหมายของการวิจัย แบ่งตามประโยชน์ของการวิจัย แบ่งตามวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล แบ่งตามลักษณะการวิเคราะห์ข้อมูล แบ่งตามลักษณะวิชาหรือศาสตร์แบ่ง ตามเวลาที่ใช้ในการวิจัย แบ่งตามระเบียบวิธีวิจัย การวิจัยเชิงปริมาณ การวิจัยเชิงคุณภาพ การวิจัยเชิงผสาน วิธีบทที่ 5 การออกแบบการวิจัยเพื่อการเรียนรู้ การออกแบบการวิจัยกึ่งทดลอง การออกแบบการวิจัยเชิง ทดลอง การควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเที่ยงตรงของการทดลอง ข้อบกพร่องของการ วิจัยเชิงทดลอง ประโยชน์ของการวิจัยเชิงทดลอง เกณฑ์สำหรับงานวิจัยเชิงทดลองที่ดีบทที่ 6 การวิเคราะห์ ข้อมูลวิจัย (Research Analysis) บทที่ 7 การเขียนโครงร่างวิจัย บทที่ 8 การเขียนรายงานการวิจัย บทที่ 9 การวิจัยใช้ประโยชน์ บทที่ 10 สถิติเพื่อการวิจัย บทที่ 11 การวิจัยและพัฒนา บทที่ 12 การวิจัยอนาคต เป็นต้น ผู้เรียบเรียงหวังว่างานวิจัยนี้จะมีประโยชน์ต่อผู้เรียนที่เป็นนิสิตคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬา ลงกรณราชวิทยาลัย นักเรียน นักวิจัย และนักวิชาการผู้ดำเนินการวิจัย และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ประโยชน์ จากการศึกษาวิจัยนี้ ดร.ลำพอง กลมกูล 1 กุมภาพันธ์ 2567


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร ง หมวดที่ 5 แผนการสอนและการประเมินผล 1. แผนการสอน สัปดาห์ ที่ หัวข้อ/รายละเอียด จำนวน* (ชั่วโมง) กิจกรรมการเรียน การสอน ผู้สอน บรรยา ย ปฏิบั ติ 1 บทที่ 1 ความสำคัญของการวิจัย เพื่อพัฒนาผู้เรียน (Research Concept) - ความสำคัญของการวิจัย - ความสำคัญของการวิจัยต่อการ พัฒนาประเทศ - การวิจัยเพื่อแก้ไขปัญหาผู้เรียน - การวิจัยเพื่อพัฒนาการจัดการ เรียนรู้ - การใช้ผลการวิจัยเพื่อ พัฒนาการจัดการเรียนรู้ 2 2 1) สำรวจความต้องการ และความคาดหวังของ นักศึกษาในการเรียนวิชานี้ โดยเขียนความต้องการ และความคาดหวังที่มีต่อ การเรียนวิชานี้ 2) อภิปรายร่วมกันโดยใช้ ก ิ จ ก ร ร ม Think-PairShare 3) สะท้อนผลการเรียนรู้ ด้วย 3-2-1 Exit Slip ดร.ลำพอง กลมกูล 2-3 บทที่ 2 การวิจัยทางการศึกษา เพื่อพัฒนาปัญญา -ความหมายของการวิจัย - ความหมายของการวิจัยทาง การศึกษา -ขอบข่ายการวิจัยทางการศึกษา - กระบวนการวิจัยทางการศึกษา - การวิเคราะห์การวิจัยทาง การศึกษา 4 4 1) แ บ ่ ง ก ล ุ ่ ม ศ ึ ก ษ า กรณีศึกษา แล้วอภิปราย ร่วมกัน 2) บรรยายสรุป มอบหมาย ง า น ใ ห ้ ศ ึ ก ษ า ค ้ น ค ว้ า เพิ่มเติมทางอินเทอร์เนต 3) สะท้อนผลการเรียนรู้ ด้วย 3-2-1 Exit Slip ดร.ลำพอง กลมกูล 4-5 บทที่ 3 วิธีวิทยาการวิจัย รูปแบบต่าง ๆ และการวิจัย ปฏิบัติการในชั้นเรียน 4 4 1) แ บ ่ ง ก ล ุ ่ ม ศ ึ ก ษ า กรณีศึกษา แล้วอภิปราย ดร.ลำพอง กลมกูล


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร จ - ความหมาย ความสำคัญของ ระเบียบวิธีวิจัย - การวิจัยเชิงปริมาณ - การวิจัยเชิงคุณภาพ - การวิจัยแบบผสมวิธี - รูปแบบเชิงสำรวจเป็นลำดับ -การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน ร่วมกัน โดยใช้เทคนิค Jigsaw Reading 2) บรรยายสรุป มอบหมาย ง า น ใ ห ้ ศ ึ ก ษ า ค ้ น ค ว้ า เพิ่มเติมทางอินเทอร์เนต 3) สะท้อนผลการเรียนรู้ ด้วย 3-2-1 Exit Slip 6-7 บทที่ 4 ประเภทของการวิจัย -แบ่งตามจุดมุ่งหมายของการวิจัย - แบ่งตามประโยชน์ของการวิจัย - แบ่งตามวิธีการเก็บรวบรวม ข้อมูล - แบ่งตามลักษณะการวิเคราะห์ ข้อมูล - แบ่งตามลักษณะวิชาหรือ ศาสตร์ - แบ่งตามเวลาที่ใช้ในการวิจัย - แบ่งตามระเบียบวิธีวิจัย - การวิจัยเชิงปริมาณ - การวิจัยเชิงคุณภาพ -การวิจัยเชิงผสานวิธี 4 4 1) บรรยาย 2) ฝึกปฏิบัติการสร้าง เ ค ร ื ่ อ ง ม ื อ ว ิ จ ั ย เ พื่ อ พัฒนาการเรียนรู้ของแต่ ละคน 3) ฝึกปฏิบัติการตรวจสอบ คุณภาพของเครื่องมือวิจัย 4) สะท้อนผลการเรียนรู้ ด้วย 3-2-1 Exit Slip ดร.ลำพอง กลมกูล 8 บทที่ 5 การออกแบบการวิจัย เพื่อการเรียนรู้ -การออกแบบการวิจัยกึ่งทดลอง -การออกแบบการวิจัยเชิงทดลอง -การควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน -ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเที่ยงตรง ของการทดลอง -ข้อบกพร่องของการวิจัยเชิง ทดลอง 4 4 1) บรรยาย 2) อภิปราย 3) ส ร ุ ป เ ป ็ น แ ผ น ภ า พ ค ว า ม ค ิ ด (Concept Mapping) 4) สะท้อนผลการเรียนรู้ ด้วย 3-2-1 Exit Slip ดร.ลำพอง กลมกูล


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร ฉ -ประโยชน์ของการวิจัยเชิง ทดลอง -เกณฑ์สำหรับงานวิจัยเชิงทดลอง ที่ดี 9 บทที่ 6 การวิเคราะห์ข้อมูลวิจัย (Research Analysis) - ประเภทของข้อมูล - แหล่งที่มาของข้อมูล - วิธีการเก็บรวบรวม ข้อมูล - ข ั ้ น ต อ น ก า ร เ ก็ บ รวบรวมข้อมูล - เทคนิคการรวบรวม ข้อมูลจัดเป็นเชิงปริมาณเชิง ปริมาณและผสม. - เทคนิคการเก็บข้อมูลที่ มีประสิทธิภาพ - เ ท ค น ิ ค ก า ร เ ก็ บ รวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณ - เ ท ค น ิ ค ก า ร เ ก็ บ รวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพ - การเก็บรวบรวมข้อมูล จากเอกสารอื่นๆ 4 4 1) บรรยาย 2) ปฏิบัติการฝึกวิเคราะห์ ข้อมูล 3) อ ภ ิ ป ร า ย แ ล ะ ส รุ ป ร่วมกัน 4) สะท้อนผลการเรียนรู้ ด้วย 3-2-1 Exit Slip ดร.ลำพอง กลมกูล 10 บทที่ 7 การเขียนโครงร่างวิจัย - ความหมาย ความสำคัญ และ ส่วนประกอบของโครงร่างการ วิจัย - แนวทางการเขียนโครงร่างการ วิจัย 4 4 1) บรรยาย 2) ศึกษาตัวอย่างโครงร่าง การวิจัย 3) ฝึกปฏิบัติการเขียนโครง ร่างการวิจัย 4) อภิปรายและสรุปผล การฝึกปฏิบัติ ดร.ลำพอง กลมกูล


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร ช - การประเมินโครงร่างการวิจัย - การทำโครงร่างการวิจัย ตัวอย่างของแบบขอกำหนด หัวข้อและโครงร่างวิทยานิพนธ์ / ดุษฎีนิพนธ์หลักสูตรระดับ บัณฑิตศึกษา ภาควิชาบริหาร การศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย 5) สะท้อนผลการเรียนรู้ ด้วย 3-2-1 Exit Slip 11 บทที่ 8 การเขียนรายงานการ วิจัย - ลักษณะ ส่วนประกอบของ รายงานการวิจัย - แนวทางการเขียนรายงานการ วิจัย - การประเมินผลงานวิจัย 4 4 1) บรรยาย อภ ิปรา ย แลกเปลี่ยนเรียนรู้ 2) ปฏิบัติการเขียนรายงาน ก า ร ว ิ จ ั ย จ า ก ผ ล ก า ร ดำเนินการวิจัยของนิสิต 3) สะท้อนผลการเรียนรู้ ด้วย 3-2-1 Exit Slip ดร.ลำพอง กลมกูล 12 บทที่ 9 การวิจัยใช้ประโยชน์ - การนำผลการวิจัยไปใช้ในการ พัฒนาการเรียนรู้ -กระบวนการนำผลวิจัยไปใช้ อย่างมีประสิทธิภาพ 4 4 1) ป ฏ ิ บ ั ต ิ ก า ร เ ข ี ย น บทความวิจัย 2) จ ั ด เ ว ท ี น ำ เ ส น อ ผลการวิจัย 3) นำผลว ิจัยไปใช้ใน สถานศึกษาและให้ผู้ใช้ผล วิจัยลงนามรับรอง 4) สะท้อนผลการเรียนรู้ ด้วย 3-2-1 Exit Slip ดร.ลำพอง กลมกูล 13 บทที่ 10 สถิติเพื่อการวิจัย -การเตรียมข้อมูล 4 4 1) ป ฏ ิ บ ั ต ิ ก า ร เ ข ี ย น บทความวิจัย ดร.ลำพอง กลมกูล


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร ซ .-การสร้างรหัสและการกำหนด -ชื่อตัวแปรการลงรหัสข้อมูลใน SPSS -การจัดทำคู่มือลงรหัส -การตรวจสอบความถูกต้องของ ข้อมูล -ขั้นตอนการวิเคราะห์ข้อมูลทาง . สถิติด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป - โมเดลสมการโครงสร้าง Structural Equation Modeling: SEM - โมเดลสมการโครงสร้าง . โมเดลการวิจัยแบบใหม่ 2) จ ั ด เ ว ท ี น ำ เ ส น อ ผลการวิจัย 3) นำผลว ิจัยไปใช้ใน สถานศึกษาและให้ผู้ใช้ผล วิจัยลงนามรับรอง 4) สะท้อนผลการเรียนรู้ ด้วย 3-2-1 Exit Slip 14 บทที่ 11 การวิจัยและพัฒนา -ความหมายและความสำคัญของ การวิจัยและพัฒนา -ความแตกต่างของการวิจัยกับ การวิจัยและพัฒนา -กระบวนการของการวิจัยและ พัฒนา - การออกแบบการวิจัยและ พัฒนา 4 4 1) ป ฏ ิ บ ั ต ิ ก า ร เ ข ี ย น บทความวิจัย 2) จ ั ด เ ว ท ี น ำ เ ส น อ ผลการวิจัย 3) นำผลว ิจัยไปใช้ใน สถานศึกษาและให้ผู้ใช้ผล วิจัยลงนามรับรอง 4) สะท้อนผลการเรียนรู้ ด้วย 3-2-1 Exit Slip ดร.ลำพอง กลมกูล 15 บทที่ 12 การวิจัยอนาคต - ความหมายของการวิจัยอนาคต -เทคนิคการวิจัยแบบเดลฟาย -กระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยใช้เทคนิคเดลฟาย -ประเด็นที่ต้องตัดสินใจในการใช้ เทคนิคเดลฟาย 4 4 1) ป ฏ ิ บ ั ต ิ ก า ร เ ข ี ย น บทความวิจัย 2) จ ั ด เ ว ท ี น ำ เ ส น อ ผลการวิจัย 3) นำผลว ิจัยไปใช้ใน สถานศึกษาและให้ผู้ใช้ผล วิจัยลงนามรับรอง ดร.ลำพอง กลมกูล


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร ฌ -เทคนิคการวิจัยแบบ EFR และ EDFR -ข้อพิจารณาเปรียบเ ทียบ ระหว่าง EDFR กับ Delphi -ข้อพิจารณาเปรียบเ ทีย บ ระหว่าง EDFR กับ EFR -กรณีศึกษางานวิจัยที่ออกแบบ ด้วยการวิจัยอนาคต 4) สะท้อนผลการเรียนรู้ ด้วย 3-2-1 Exit Slip 16 สอบปลายภาค 4 คณะกรรมการ 2. แผนการประเมินผลการเรียนรู้ กิจกรรมที่ ผลการเรียนรู้* กิจกรรมการประเมิน กำหนดการประเมิน (สัปดาห์ที่) สัดส่วนของการ ประเมินผล 1 คุณธรรม จริยธรรม และความ รับผิดชอบ สังเกตพฤติกรรม ทุกสัปดาห์ 10 2 ความรู้ ประเมินจากรายงาน หรือ งานที่มอบหมาย ประเมินจากการนำเสนอ ผลงาน ทุกสัปดาห์ 20 การสอบปลายภาค 16 30 3 ทักษะด้านปัญญา การสังเกต/การทำงานกลุ่ม ทุกสัปดาห์ 10 5 ความรู้และทักษะการวิเคราะห์ การสื่อสารและการใช้เทคโนโลยี สารสนเทศ ฝึกปฏิบัติการทำวิจัยและ นำเสนอรายงานวิจัย 13-16 10 6 การจัดการเรียนรู้ การทดสอบ การสังเกต การ ส ั ม ภ า ษ ณ ์ ก า ร ต ร ว จ ผลงานวิจัย และบันทึกการ เรียนรู้ ทุกสัปดาห์ 20


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร ญ สารบัญ เรื่อง หน้า คำนำ แผนการสอนและการประเมินผล สารบัญ ค ง ญ บทที่ 1 ความสำคัญของการวิจัยเพื่อพัฒนาผู้เรียน (Research Concept) 1.1 ความสำคัญของการวิจัย 1.2 ความสำคัญของการวิจัยต่อการพัฒนาประเทศ 1.3 การวิจัยเพื่อแก้ไขปัญหาผู้เรียน 1.4 การวิจัยเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้ 1.5 การใช้ผลการวิจัยเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้ 1.6 สรุป คำถามท้ายบท รายการอ้างอิง 3 3 6 9 18 19 23 23 24 บทที่ 2 การวิจัยทางการศึกษาเพื่อพัฒนาปัญญา 2.1 ความหมายของการวิจัย 2.2 ความหมายของการวิจัยทางการศึกษา 2.3 ขอบข่ายการวิจัยทางการศึกษา 2.4 กระบวนการวิจัยทางการศึกษา 2.5 การวิเคราะห์การวิจัยทางการศึกษา 2.6 สรุป คำถามท้ายบท รายการอ้างอิง 28 29 30 32 37 39 43 44 44 บทที่ 3 วิธีวิทยาการวิจัยรูปแบบต่าง ๆ และการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน 3.1 ความหมาย ความสำคัญของระเบียบวิธีวิจัย 3.2 การวิจัยเชิงปริมาณ( Quantitative Research) 3.3 การวิจัยเชิงคุณภาพ 3.4 การวิจัยแบบผสมวิธี 3.5 รูปแบบเชิงสำรวจเป็นลำดับ 49 49 50 52 58 64 68


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร ฎ 3.6 การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน 3.7 บทสรุป คำถามท้ายบท รายการอ้างอิง 69 70 70 บทที่ 4 ประเภทของการวิจัย 4.1 แบ่งตามจุดมุ่งหมายของการวิจัย 4.2 แบ่งตามประโยชน์ของการวิจัย 4.3 แบ่งตามวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล 4.4 แบ่งตามลักษณะการวิเคราะห์ข้อมูล 4.5 แบ่งตามลักษณะวิชาหรือศาสตร์ 4.6 แบ่งตามเวลาที่ใช้ในการวิจัย 4.7 แบ่งตามระเบียบวิธีวิจัย 4.8 การวิจัยเชิงปริมาณ 4.9 การวิจัยเชิงคุณภาพ 4.10 การวิจัยเชิงผสานวิธี 4.11 สรุป คำถามท้ายบท รายการอ้างอิง 75 75 76 77 77 77 79 79 81 81 85 87 87 88 บทที่ 5 การออกแบบการวิจัยเพื่อการเรียนรู้ 5.1 การออกแบบการวิจัยกึ่งทดลอง 5.2 การออกแบบการวิจัยเชิงทดลอง 5.3 การควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน 5.4 ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเที่ยงตรงของการทดลอง 5.5 ข้อบกพร่องของการวิจัยเชิงทดลอง 5.6 ประโยชน์ของการวิจัยเชิงทดลอง 5.7 เกณฑ์สำหรับงานวิจัยเชิงทดลองที่ดี 5.8 สรุป คำถามท้ายบท รายการอ้างอิง 92 92 95 97 98 101 102 102 103 103 104 บทที่ 6 การวิเคราะห์ข้อมูลวิจัย (Research Analysis) 6.1 ประเภทของข้อมูล 108 108


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร ฏ 6.2 แหล่งที่มาของข้อมูล 6.3 วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล 6.4 ขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูล 6.5 เทคนิคการรวบรวมข้อมูลจัดเป็นเชิงปริมาณเชิงปริมาณและผสม. 6.6 เทคนิคการเก็บข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ 6.7 เทคนิคการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณ 6.8 เทคนิคการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพ 6.9 การเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสารอื่นๆ 6.10 สรุป คำถามท้ายบท รายการอ้างอิง 108 109 109 110 110 112 114 117 117 118 118 บทที่ 7 การเขียนโครงร่างวิจัย 7.1 ความหมาย ความสำคัญ และส่วนประกอบของโครงร่างการวิจัย 7.2 แนวทางการเขียนโครงร่างการวิจัย 7.3 การประเมินโครงร่างการวิจัย 7.4 การทำโครงร่างการวิจัย ตัวอย่างของแบบขอกำหนดหัวข้อและโครงร่าง วิทยานิพนธ์ /ดุษฎีนิพนธ์หลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา ภาควิชาบริหารการศึกษา คณะครุ ศาสตร์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 7.5 สรุป คำถามท้ายบท รายการอ้างอิง 122 122 125 128 130 142 142 143 บทที่ 8 การเขียนรายงานการวิจัย 8.1 ลักษณะ ส่วนประกอบของรายงานการวิจัย 8.2 แนวทางการเขียนรายงานการวิจัย 8.3 การประเมินผลงานวิจัย 8.4 สรุป คำถามท้ายบท รายการอ้างอิง 147 147 151 163 167 167 167 บทที่ 9 การวิจัยใช้ประโยชน์ 9.1 การนำผลการวิจัยไปใช้ในการพัฒนาการเรียนรู้ 9.2 กระบวนการนำผลวิจัยไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ 171 172 181


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร ฐ 9.3 สรุป คำถามท้ายบท รายการอ้างอิง 182 183 183 บทที่ 10 สถิติเพื่อการวิจัย 10.1 การเตรียมข้อมูล . 10.2 การสร้างรหัสและการกำหนดชื่อตัวแปรการลงรหัสข้อมูลใน .SPSS 10.3 . การจัดทำคู่มือลงรหัส 10.4 .การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล 10.5 ขั้นตอนการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป . 10.6 โมเดลสมการโครงสร้าง .Structural Equation Modeling: SEM 10.7 โมเดลการวิจัยแบบใหม่ - โมเดลสมการโครงสร้าง . 10.8 สรุป คำถามท้ายบท รายการอ้างอิง 187 190 190 194 194 195 106 107 201 203 203 บทที่ 11 การวิจัยและพัฒนา 11.1 ความหมายและความสำคัญของการวิจัยและพัฒนา 11.2 ความแตกต่างของการวิจัยกับการวิจัยและพัฒนา 11.3 กระบวนการของการวิจัยและพัฒนา 11.4 การออกแบบการวิจัยและพัฒนา 11.5 สรุป คำถามท้ายบท รายการอ้างอิง 207 210 210 211 218 219 219 219 บทที่ 12 การวิจัยอนาคต 12.1 ความหมายของการวิจัยอนาคต 12.2 เทคนิคการวิจัยแบบเดลฟาย 12.3 กระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้เทคนิคเดลฟาย 12.4 ประเด็นที่ต้องตัดสินใจในการใช้เทคนิคเดลฟาย 12.5 เทคนิคการวิจัยแบบ EFR และ EDFR 12.6 ข้อพิจารณาเปรียบเทียบระหว่าง EDFR กับ Delphi 12.7 ข้อพิจารณาเปรียบเทียบระหว่าง EDFR กับ EFR 12.8 กรณีศึกษางานวิจัยที่ออกแบบด้วยการวิจัยอนาคต 224 224 225 231 233 236 239 240 241


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร ฑ 12.9. สรุป คำถามท้ายบท รายการอ้างอิง 242 243 244 บรรณานุกรม ภาคผนวก ประวัติผู้เรียบเรียง 246 249 294


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 1 แผนการสอนประจำบทที่ 1 ความสำคัญของการวิจัยเพื่อพัฒนาผู้เรียน รายวิชา วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หัวข้อย่อย 1.1 ความสำคัญของการวิจัย 1.2 การวิจัยเพื่อแก้ไขปัญหาผู้เรียน 1.3 การวิจัยเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียน 1.4 การวิจัยเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้ สรุปแนวคิดที่สำคัญ การวิจัยมีเป้าหมายเพื่อการแสวงหาความรู้ให้กับผู้คน เพื่อที่จะได้นำความรู้เหล่านั้นไปเป็นกลไก แสวงหาความรู้ และใช้ความรู้เหล่านั้นไปเป็นเครื่องมือในการสร้างองค์ความรู้ และนำไปสู่การพัฒนาในองค์ รวม ทำให้เกิดการเรียนรู้เชิงประจักษ์แก่ชุมชนทางการศึกษา ชุมชนที่อยู่อาศัย และเป็นฐานในการพัฒนา องค์กร ประเทศชาติในด้านต่าง ๆ ซึ่งในข้อเท็จจริงที่ปรากฏทำให้เห็นว่าวิจัยมีความสำคัญต่อการพัฒนาในองค์ รวมทั้งหมด ซึ่งจะได้จำแนกตามกรอขของการวิจัยเพื่อพัฒนาผู้เรียนได้ วัตถุประสงค์ 1.เพื่อศึกษาความสำคัญของการวิจัย 2.เพื่อศึกษากระบวนการวิจัยที่จะเป็นกลไกของการพัฒนาผู้เรียน 3. เพื่อให้กระบวนการวิจัยได้เป็นกลไก สำคัญของการพัฒนาผู้เรียน กิจกรรมระหว่างเรียน 1.การบรรยายในชั้นเรียน 2.ผู้สอนผู้บรรยาย บรรยายตามกรอบของการบรรยาย สื่อการสอน 1.เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 2. เอกสารประกอบการสอน 3. สื่อ Power Point สื่ออื่น เช่น Flip Chart


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 2 การประเมินผล 1.ประเมินผลความสนใจของผู้ศึกษาขณะเรียน 2.การชักถาม ถามตอบ ของผู้เรียนขณะเรียน 3.การประเมินระหว่างเรียน การประเมินกลางภาค และการสอบประเมินปลายภาค


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 3 บทที่ 1 ความสำคัญของการวิจัยเพื่อพัฒนาผู้เรียน (Research Concept) การวิจัยมีเป้าหมายเพื่อการแสวงหาความรู้ให้กับผู้คน เพื่อที่จะได้นำความรู้เหล่านั้นไปเป็นกลไก แสวงหาความรู้ และใช้ความรู้เหล่านั้นไปเป็นเครื่องมือในการสร้างองค์ความรู้ และนำไปสู่การพัฒนาในองค์ รวม ทำให้เกิดการเรียนรู้เชิงประจักษ์แก่ชุมชนทางการศึกษา ชุมชนที่อยู่อาศัย และเป็นฐานในการพัฒนา องค์กร ประเทศชาติในด้านต่าง ๆ ซึ่งในข้อเท็จจริงที่ปรากฏทำให้เห็นว่าวิจัยมีความสำคัญต่อการพัฒนาในองค์ รวมทั้งหมด ซึ่งจะได้จำแนกตามกรอขของการวิจัยเพื่อพัฒนาผู้เรียนได้ คือ 1.1 ความสำคัญของการวิจัย การวิจัยในปัจจุบันเป็นที่รู้จักและเข้าใจกันโดยแพร่หลายในหมู่นักวิชาการ และ บุคคลโดยทั่วไปทุก ชาติทุกภาษา เพราะการวิจัยเป็นเครื่องมือหรือวิธีการที่ดีที่สุดในปัจจุบันในการ แสวงหาความรู้ของปัญหาต่าง ๆ ที่มนุษย์ไม่รู้และต้องการแสวงหาคําตอบ การวิจัยทําให้มนุษย์มี ความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ ของโลก และของจักรวาล การวิจัยทําให้มนุษยชาติมี ความเจริญก้าวหน้า มีการพัฒนา มีความเจริญรุ่งเรืองอยู่ ตลอดเวลาไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นชนชาติใดที่ให้ความสําคัญกับการวิจัยย่อมมีผลทําให้ชนชาตินั้น ๆ มีความ เจริญรุ่งเรืองและพัฒนาและเป็นชนชาติที่มีความเข้มแข็งในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การทหาร การเมืองวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและด้านอื่น ๆ ตามมา ความสําคัญของการวิจัยในปัจจุบันอาจดูได้จาก กรณีตัวอย่างสิ่งของรอบตัวเราที่ ทําให้เรามีชีวิตอยู่ได้มีความสุขและสะดวกสบาย เช่น มีไฟฟ้า มีทีวีมี ภาพยนตร์เครื่องบิน อาหาร มียารักษาโรค มีคอมพิวเตอร์ช่วยทํางาน มีไฟฟ้า โทรศัพท์มีสิ่งอํานวยความ สะดวกต่าง ๆ มากมาย รอบ ๆ ตัวเรา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลผลิตที่เกิดจากการวิจัยทั้งสิ้น ในประเทศที่ ประชาชน สังคม และผู้นําประเทศเห็นความสําคัญของการวิจัย เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เยอรมันนีอังกฤษ ฝรั่งเศส สวีเดน ออสเตรเลีย หรือประเทศในกลุ่มเอเชีย ตะวันออกเช่น ญี่ปุ่น จีน เกลาหลีไต้หวัน ต่างก็ทุ่มเท ทรัพยากรต่าง ๆ ให้กับการวิจัยเป็นจํานวน มากเป็นเวลานานอย่างต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลาโดยไม่หยุดยั้ง และถือ เป็นนโยบายสําคัญของรัฐที่ จะต้องให้การสนับสนุนเป็นพิเศษ ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะให้ประเทศของตนเองมีความ เจริญก้าวหน้าเหนือ ชาติอื่น ๆ ดังที่ปรากฏให้เห็นในเชิงประจักษ์แก่สายตาโลกอยู่ทุกวันนี้แล้ว สําหรับประเทศ ไทยนั้นแม้ว่าจะได้มีการพัฒนางานวิจัยมาเป็นลําดับเป็นเวลานาน พอสมควรแต่การวิจัยของไทยก็ยังไม่ เจริญก้าวหน้าเหมือนประเทศอื่นๆที่พัฒนาแล้วและยังไม่อาจ ใช้เป็นเครื่องมือสําคัญ เพื่อผลักดันให้เกิดการ พัฒนาในด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของ ประเทศ ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาได้มีความพยายาม ผลักดันให้ทุกฝ่ายได้เห็นความสําคัญของ การวิจัยและใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนา เช่น ในรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทยหลายฉบับได้ กำหนดไว้ในแนวนโยบายแห่งรัฐ ที่รัฐจะให้การส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัย


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 4 นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็น ระบบการปกครอง แบบประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2547 จนถึงปัจจุบันนี้ประเทศไทยมี การประกาศใช้รัฐธรรมนูญไม่ ว่าจะเป็นฉบับถาวร ฉบับชั่วคราว หรือฉบับแก้ไขเพิ่มเติมหลายฉบับ แต่มีเพียง 6 ฉบับเท่้านั้นที่แนวนโยบาย แห่งรัฐให้ความสําคัญกับการวิจัยและระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ คือ ฉบับแรกคือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2492 มาตรา 65 บัญญัติว่า “รัฐพึงสนับสนุนการค้นคว้าในทางศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์” ฉบับที่สอง คือรัฐธรรมนูญการปกครอง พ.ศ. 2511 มาตรา 61 บัญญัติว่า “รัฐพึง สนับสนุนการวิจัยทางศิลปะศาสตร์และ วิทยาศาสตร์” ฉบับที่สาม คือรัฐธรรมนูญการปกครองแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2517 มาตรา 75 บัญญัติว่า “รัฐพึงสนับสนุนการวิจัยในศิลปะและวิทยาการต่าง ๆ พึงส่งเสริมสถิติและพึงใช้ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ในการพัฒนาประเทศ” ฉบับที่สี่คือรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2521 มาตรา 61 บัญญัติว่า “รัฐพึงสนับสนุนการ วิจัยใน ศิลปะและวิทยาการต่าง ๆ และพึงส่งเสริมการใช่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการพัฒนา ประเทศ” ฉบับที่ห้า คือรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2534 มาตรา 67 บัญญัติว่า “รัฐพึงสนับสนุนการ ค้นคว้าวิจัยในศิลปะและวิทยาการต่าง ๆ และพึงส่งเสริมและเร่งรัดให้มีการพัฒนาวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีเพื่อนํามาใช้ในการพัฒนาประเทศ” ฉบับที่หกคือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 81 บัญญัติว่า “รัฐ….สนับสนุนการ ค้นคว้าวิจัยในศิลปะวิทยาการต่าง ๆ…..” การที่รัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศได้กําหนดให้รัฐ พึง สนับสนุนการค้นคว้าวิจัยไว้ในกฎหมายสูงสุดของประเทศก็ย่อมแสดงให้เห็นว่ารัฐเห็นความสําคัญ ของการ วิจัย ดังจะเห็นได้จากการแถลงนโยบายของรัฐบาลสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ซึ่งได้ แถลงนโยบายต่อสภา ผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2490 รัฐบาลได้กล่าวว่า “จะได้ดําเนินงาน สืบค้นในทางวิทยาศาสตร์เพื่อ ส่งเสริมการอุตสาหกรรม กสิกรรมและพาณิชยกรรมของประเทศ” นี่แสดงว่ารัฐบาลได้เริ่มสนใจในการวิจัย ตลอดจนมองเห็นคุณค่าของการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่จะช่วยในการพัฒนา ประเทศ ช่วยแก้ไขปัญหาของมนุษย์และช่วยให้ มนุษย์มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการวิจัยจะได้ มีการกําหนดไว้ในแนวนโยบายแห่งรัฐ ใน รัฐธรรมนูญแล้วก็ตาม แต่เป็นเพราะรัฐธรรมนูญของเรามีการ เปลี่ยนแปลงบ่อย การดําเนินการ เพื่อให้เป็นไปตามแนวนโยบายแห่งรัฐจึงทําได้ยากและนักการเมืองก็ให้ความ สนใจในเรื่องของ การวิจัยเพื่อภูมิปัญญาให้กับคนในชาติน้อยมากจึงได้มีความพยายามกําหนดแนวทางส่งเสริมและ สนับสนุนการวิจัยของชาติไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 5, 6, 7 และ 8 รวมทั้ง ได้มีการ จัดทํานโยบายและแผนการวิจัยของชาติมาตั้งแต่ปี2520 โดยสภาวิจัยแห่งชาติได้จัดทํา นโยบายและแนว ทางการวิจัยของชาติมาจนถึงปัจจุบัน รวม 6 ฉบับ คือ นโยบายและแนวทางการวิจัย ของชาติฉบับที่ 1 พ.ศ. 2520-2524 ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2525-2529 ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2530-2534 ฉบับที่ 4 พ.ศ. 2535-2539 ฉบับที่ 5 พ.ศ. 2540-2544 และฉบับที่ 6 พ.ศ. 2545-2549 เป็นฉบับที่ใช้อยู่ใน ปัจจุบันนี้ทั้งนี้ก็เพื่อให้นโยบายและแนว ทางการวิจัยของชาติมีความต่อเนื่อง และไม่ขาดตอน เหมือนกับที่ได้กําหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ไทยโดยสรุปได้ดังนี้ เมื่อได้มีการจัดตั้งสภาวิจัยแห่งชาติขึ้น ในปีพ.ศ. 2499 เพื่อทําหน้าที่ให้คําปรึกษา แนะนํา


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 5 แก่รัฐบาลในการชี้แนะแนวทางการพัฒนาประเทศโดยอาศัยความรู้ที่ได้จากการค้นคว้าวิจัย รวมทั้งเป็นสภา ทางวิชาการของประเทศ การให้การส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยโดยส่วนรวม นอกจากจะได้มีการจัดตั้งสภา วิจัยแห่งชาติและสํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติแล้วยังมีการ จัดตั้ง สภาพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติได้ จัดตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2502 ตามแนวทางการพัฒนาประเทศยุคใหม่ ตามคําแนะนําของผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ ไม่ได้มีบทบาทในการกําหนดนโยบายวิจัยที่เด่นชัด ในช่วงแผนพัฒนาฯ สามแผนแรกเมื่อมองย้อนกลับไปอาจ พิจารณาได้ว่าความคิดเรื่องการใช้การ วิจัยเป็นฐานของการสร้างความสามารถของประเทศ เป็นความคิดที่ นําเข้า โดยที่ข้าราชการที่ กําหนดแนวทางการพัฒนาของประเทศไทย ยังไม่เห็นความจําเป็นของการวิจัย เนื่องจากการพัฒนา ประเทศในช่วงต้น เน้นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ และปัญหา ปากท้องเฉพาะหน้า ในส่วนของสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เอง แม้จะยังไม่ได้กําหนดนโยบายและแผนการวิจัยชัดเจนในช่วงดังกล่าว ก็เริ่มให้ความสําคัญกับ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีซึ่งมีส่วนส่งผลถึงการกําหนดนโยบายการวิจัยโดยการจัดตั้งกองวางแผน เทคโนโลยีและ สิ่งแวดล้อม เมื่อปลายแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 3 เมื่อ พ.ศ. 2518 กองวางแผนเทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม เป็น สะพานให้นักวิชาการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้มีส่วนให้ความเห็น ต่อการจัดทําแผนพัฒนาฯในระยะ ต่อมา โดยเฉพาะแผนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีนโยบาย และแนวทางการวิจัยเป็นส่วนประกอบชัดเจน ของแผน นอกจากนี้ยังได้สอดแทรกแนวทางการวิจัย ไว้ในการพัฒนาด้านต่างๆ อีกด้วยอาทิด้านการศึกษาด้าน การเกษตรด้านสาธารณสุขเป็นต้น ในระยะเริ่มแรกของการดําเนินงานของสภาวิจัยแหงชาติและสํานักงาน คณะกรรมการวิจัยแห่งชาติและสภาพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ (ในสมัยนั้น) เป็นระยะที่หน่วยปฏิบัติ งานวิจัย และหน่วยงานส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยยังมีน้อยอยู่การนําผลงานวิจัยไปสู่ผู้ใช้ ประโยชน์จึงยัง ไม่ค่อยได้ผลและยังไม่เชื่อมโยงกับผู้ใช้เท่าที่ควร ต่อมาในสภาวะการณ์ปัจจุบัน ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสังคมประเทศต่าง ๆ ในโลกได้มีการเปลี่ยนแปลง อย่าง รวดเร็วอาจกล่าวได้ว่าชาติใดที่ล้าหลังในการพัฒนาย่อมไม่อาจพัฒนาล้ําหน้าประเทศที่ก้าวหน้า ได้ด้วยเหตุผล ดังกล่าวนี้ประเทศไทยเราจึงมีความจําเป็นที่จะต้องพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าทันต่อ การเปลี่ยนแปลงของโลก โดยอาศัยการวิจัยและพัฒนาเป็นเครื่องมือสําคัญอย่างหนึ่งในการพัฒนา และแก้ไขปัญหาของชาติด้วยความ จําเป็นดังกล่าวในระยะต่อมาจึงได้มีการจัดตั้งหน่วยงานวิจัยและ พัฒนาขึ้น รวมทั้งหน่วยงานที่ให้การส่งเสริม และสนับสนุนการวิจัยมากขึ้น อาทิ ในส่วนของภาคราชการและรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ก็ได้มีการจัดตั้งหน่วยงาน วิจัยของ รัฐเพิ่มมากขึ้น เช่น กรมวิชาการเกษตร กรมประมง กรมปศุสัตว์ กรมป่าไม้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย เป็นต้น สําหรับการวิจัย ของภาคเอกชนของไทยในขณะนี้ภาคเอกชนขนาดใหญ่ก็เริ่มให้ความสําคัญกับการ วิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้น โดย จัดให้มีหน่วยปฏิบัติการวิจัยและใช้งบประมาณค่าใช้จ่ายในการวิจัยของ ตนเองเป็นการเฉพาะด้วย นอกจากนี้ ยังมีหน่วยงานสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาและหน่วยงานปฏิบัติการ วิจัยสถาบันเฉพาะทาง สถานีทดลองใน มหาวิทยาลัยต่างๆ เกิดขึ้นเป็นจํานวนมากทั้งที่มีการจัดตั้ง เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ซึ่งขณะนี้มีอยู่ไม่


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 6 น้อยกว่า 47 สถาบันวิจัยเฉพาะทางกระจายอยู่ใน มหาวิทยาลัยของรัฐ และรัฐได้จัดสรรงบประมาณค่าใช้จ่าย ในการวิจัยเป็นจํานวนมากให้ สถาบันวิจัยเฉพาะทางเหล่านี้ ต่อมาช่วงหลังปี 2534 รัฐบาลให้มีการจัดตั้ง องค์กรส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัย ขึ้นอีกหลายองค์กร เช่น สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แห่งชาติ (สวทช.) สํานักงาน กองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) นอกจาก จะมีการจัดตั้งหน่วยงานสนับสนุนการวิจัย 3 หน่วยงานดังกล่าวแล้ว ยังได้มีการจัดตั้งกองทุนที่มีส่วนสนับสนุน การวิจัยอีก 2 กองทุน คือกองทุนอนุรักษ์พลังงานและกองทุน สิ่งแวดล้อม ซึ่งทั้ง 2 กองทุนมีการสนับสนุน งานวิจัยและฝึกอบรมอยู่ด้วย 1.2 ความสำคัญของการวิจัยต่อการพัฒนาประเทศ การวิจัยถือเป็นกิจกรรมพัฒนาปัญญาเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจแก่มนุษย์ เพื่อนําไปปรับปรุง และพัฒนาวิถีการดํารงชีวิตทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและวัฒนธรรม ให้ดีขึ้น ทั้งยังใช้ในการปรับตัว เองให้เขากับการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติและอารยธรรมของโลก ที่เปลี่ยนไปได้เป็นอย่างดีการวิจัยได้มี บทบาทต่อการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ ทั้งต่อการพัฒนา ในส่วนเฉพาะตัวมนุษย์เองหรือแม้แต่ด้านสังคม วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการค้า ระหว่างประเทศการเมืองการปกครองและทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผลการวิจัยที่ผ่านมา ช่วยทําให้ ประเทศไทยสามารถพึ่งพาตนเองในทางปัญญาตนเองไปได้อีกขั้นหนึ่งและยังเป็นการ สร้างรากฐานของการ พัฒนาประชากรชาวไทยให้สามารถเข้าใจปัญหาของประเทศและร่วมมือกัน เพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่างๆ ที่ สําคัญดังตัวอย่างต่อไปนี้ 1. การวิจัยด้านการเกษตร เกษตรกรรมเป็นภาคเศรษฐกิจพื้นฐานของประเทศไทย ประชาชน ประมาณ ร้อยละ 60 อยู่ในภาคการเกษตรและภาคการเกษตรเป็นแหล่งผลิตอาหารและวัตถุดิบสําหรับภาค อุตสาหกรรม รวมทั้งเป็นแหล่งนํารายได้เข้าสู่ประเทศได้ประมาณปีละ 3 แสนล้านบาทอีกด้วย การวิจัยด้าน การเกษตรช่วยเสริมสร้างความสามารถในการผลิตสินค้าเพื่อใช้ ภายในประเทศและสามารถส่งเป็นสินค้าออก ไปขายในตลาดโลกและเสริมสร้างความเข้มแข็ง ให้กับภาคเกษตร รวมทั้งทําให้ภาคอุตสาหกรรมการเกษตร ขยายตัวเพิ่มขึ้น ดังจะเห็นได้จาก มูลค่าผลิตภัณฑ์รวมในประเทศของสาขาอุตสาหกรรมการเกษตรมีสัดส่วนสูง กว่าอุตสาหกรรม อื่น จึงอาจกล่าวได้ว่าการวิจัยด้านการเกษตรและอุตสาหกรรมมีส่วนสนับสนุนและเป็น รากฐานที่ สําคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ 2. การวิจัยด้านอุตสาหกรรม การวิจัยเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมในสาขาต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมไฟฟ้า ยา รักษาโรคคอมพิวเตอร์รถยนต์เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม นม อาหาร เป็นต้น มีบทบาทและมีส่วนสําคัญ ในการ พัฒนาประเทศเพราะเป็นส่วนสําคัญในการผลักดันให้ประเทศมีการพัฒนาก้าวไกลไปอย่าง รวดเร็วและทันต่อ ความเจริญของนานาอารยะประเทศการวิจัยก่อให้เกิดการพัฒนาทางเทคโนโลยี ในภาคอุตสาหกรรมและ ผลักดันให้การพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศบรรลุเป้าหมาย การวิจัยใน ภาคอุตสาหกรรมที่สําคัญเป็นการ


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 7 ศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีและประสิทธิภาพในการผลิต สินค้า การวิจัยเพื่อเพิ่มสมรรถนะทางเทคโนโลยี ต่างๆ ซึ่งมีส่วนสําคัญในการทําให้ประเทศมี ศักยภาพในการแข่งขันกับต่างประเทศ สามารถนํารายได้มาสู่ ประเทศมากขึ้น 3. การวิจัยด้านพลังงาน พลังงานเป็นปัจจัยสําคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจทุกสาขาอาทิสาขาการเกษตร อุตสาหกรรม คมนาคม ขนส่ง ก่อสร้าง การสาธารณูปโภค ตลอดจนการพัฒนาสังคมเพื่อให้ ประชาชนมีชีวิต ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยในส่วนของการพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการการคมนาคม และการขนส่งของประเทศ จําเป็นต้องพึ่งพาการนําเขาาพลังงานในรูปแบบต่างๆ ในเชิงพาณิชย์สูงถึง ร้อยละ 80 ของการใช้พลังงานของ ประเทศดังนั้นจึงจําเป็นต้องมีการดําเนินการวิจัยและพัฒนาการ ใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นรวมทั้ง การวิจัย เพื่อหาพลังงานทดแทนจากธรรมชาติให้มีประสิทธิภาพและราคาถูกลงได้และช่วยแก้ปัญหามลภาวะที่ เกิดจากการใช้พลังงาน ฟอสซิล ซึ่งจะ เป็นแนวทางช่วยให้เกิดการใช้พลังงานได้อย่าางคุ้มค่าลดการพึ่งพา เทคโนโลยีจากต่างประเทศและ สามารถรองรับการผลิตสินค้าและบริการของประเทศ ก่อให้เกิดรายได้ ภายในประเทศมากขึ้น ประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อพลังงานจากต่างประเทศ อันเป็นประโยชน์ที่สําคัญต่อการ พัฒนา ประเทศด้านการวิจัยด้านพลังงาน 4. การวิจัยด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การพัฒนาประเทศโดยกระบวนการพัฒนาจาก ภาคการเกษตรสู่อุตสาหกรรม เท่าที่ผ่านมาส่งผลให้เกิดความเสื่อมโทรมด้านทรัพยากรธรรมชาติและมลภาวะ ของสิ่งแวดล้อม อันกระทบโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนภายในประเทศและประชาคมโลก การวิจัย เพื่อ การแก้ไข ฟื้นฟูอนุรักษ์และพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นสิ่งจําเป็นที่ประชาคม โลกได้ ตระหนักถึง และประเด็นของเสื่อมโทรมด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้กลายเป็นประเด็นสําคัญใน การกีดกันทางการค้าต่อประเทศคู่ค้าต่าง ๆ ในตลาดโลก ที่จําเป็นจะต้อง มีการ ป้องกันและแก้ไขให้เกิดดุลย ภาพอันเป็นที่ยอมรับได้ตามมาตรฐานสากลการศึกษาวิจัยเพื่อ การป้องกันแก้ไขอนุรักษ์และคืนดุลยภาพใหญ่ แก่ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจึงเป็นสิ่งสําคัญต่อการ พัฒนาประเทศ 5. การวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นวิทยาการที่เกี่ยวข้องกับ การนําความรู้ความ เข้าใจในธรรมชาติไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการดํารงชีวิตของมวลมนุษย์และการพัฒนา อุตสาหกรรม โดยใช้การใช้เทคโนโลยีระดับสูงในกรรมวิธีการผลิตภัณฑ์เพื่อการค้าการส่งสินค้าออก ตลอดจน การพัฒนาอุตสาหกรรมขนาดใหญ่การวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสามารถช่วยในการแก้ไข ปัญหา ความยากจนโดยเฉพาะประเทศด้อยพัฒนาเพื่อสร้างผลผลิตที่สามารถตอบสนองต่อความ ต้องการขั้นพื้นฐาน ของมนุษย์ได้แก่อาหาร สุขภาพ การศึกษาและที่อยู่อาศัย นอกจากนั้นการวิจัย ทางด้านวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยียังเป็นเครื่องชี้วัดความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและพลังอํานาจ ทางการเมืองระหว่างประเทศได้การ ผลึกกําลังทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศต่าง ๆ ทําให้โลกแข็งแกร่งและเจริญก้าวหน้าขึ้นทั้งด้าน เศรษฐกิจ สังคม การเมืองและการทหาร ซึ่งเป็น ประโยชน์อย่างใหญ่หลวงในการพัฒนาประเทศในปีจจุบัน


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 8 6 .การวิจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานและบริการด้านโทรคมนาคม โครงสร้างพื้นฐานและบริการ โทรคมนาคมมีความจําเป็นต่อการพัฒนา ประเทศในด้านต่าง ๆ เนื่องจากเป็นการดําเนินงานที่เป็นประโยชน์ใน การอํานวยความสะดวกสบาย ให้แก่ประชาชนในสังคม การวิจัยและพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานทําให้ สามารถพัฒนาการ คมนาคม การขนส่งระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน ตลอดจนเทคโนโลยีสารสนเทศทั้งในแง่ การศึกษาเพื่อพัฒนาชีวิตและเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่ประเทศจึงมีความสําคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนา พื้นฐาน ในการอํานวยความสะดวกในการดํารงชีวิตและการติดต่อสื่อสารกับนานาประเทศได้อย่างดีนับเป็น รากฐานสําคัญในการพัฒนาประเทศ 7. การวิจัยด้านการแพทย์และสาธารณสุข การแพทย์และสาธารณสุขมีความสําคัญมากอย่างหนึ่งใน การพัฒนาประเทศ การวิจัยด้านการแพทย์และสาธารณสุข ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตและสุขภาพอนามัยของคน ในประเทศ ให้ปลอดภัยจากโรคภัยไข้เจ็บที่คุกคามชีวิตมนุษย์อยู่ตลอดเวลา การวิจัยด้านการแพทย์และ สาธารณสุขยังช่วยในเรื่องการลดค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพจากโรคร้ายแรงบางอย่างและทดแทน ผลิตภัณฑ์ และเทคโนโลยีด้านการแพทย์และสาธารณสุขที่นําเข้าจากต่างประเทศได้ด้วยเช่น การวิจัย ผลิตภัณฑ์และ เวชภัณฑ์ที่ประเทศสามารถผลิตเองได้การศึกษาวิจัยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการ ผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพ และเทคโนโลยีสาธารณสุขวัตถุดิบ เวชภัณฑ์และยาต่าง ๆ เป็นต้น รวมทั้ง การใช้ยาอย่างปลอดภัยและมี ประสิทธิภาพเพื่อให้ประเทศสามารถพึ่งตนเองได้ 8. การวิจัยด้านคุณภาพชีวิตและสังคม งานวิจัยเกี่ยวกับองค์รวมของคุณภาพชีวิตที่ดีโดยเฉพาะอย่าง ยิ่งความสัมพันธ์ ในครอบครัวและเครือญาติการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณธรรม จิตสํานึกที่เอื้อต่อการพัฒนาทั้ง รูปแบบ และ กระบวนการที่เหมาะสมมีส่วนสําคัญในการผลักดันการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศ ความ เข้มแข็งของชุมชนที่ยั่งยืน การพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นรวมทั้งระบบสารสนเทศเพื่อการพัฒนา ชุมชนในด้าน ต่าง ๆ อย่างยั่งยืน เป็นรากฐานที่สําคัญของการพัฒนาประเทศให้พึ่งพาตนเองได้และ ในขณะเดียวกัน ก่อให้เกิดศักยภาพในการแขjงขันทางเศรษฐกิจกับต่างประเทศได้ด้วย 9. การวิจัยด้านการพัฒนาศักยภาพของคนและการศึกษา การศึกษาเป็นสิ่งจําเป็นสําหรับการพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์ให้มีศักยภาพสูงสุด การวิจัยด้านความต้องการกําลังคนในสาขาต่าง ๆ และการปฏิรูป การศึกษาของคนทั้งในและนอก ระบบเพื่อตอบสนองความต้องการกําลังคนในสาขาต่าง ๆ เป็นสิ่งจําเป็นและ สําคัญในการพัฒนา อุตสาหกรรมหลักและการพัฒนาประเทศเนื่องจากพื้นฐานสําคัญของการพัฒนาได้แก่ตัว ทรัพยากร มนุษย์เอง หากทรัพยากรมนุษย์ได้รับการพัฒนาจนถึงระดับขีดสูงสุดแล้ว การพัฒนาอื่นก็จะ สามารถกระทําได้อย่างราบรื่น การวิจัยเพื่อพัฒนาศักยภาพของคนและการศึกษาจึงจําเป็นอย่าง ยิ่งยวด สําหรับประเทศที่กําลังพัฒนาทั้งหลา 10 .การวิจัยด้านการปกครองและกฎหมาย ระบบการเมืองการปกครองที่ล้าสมัยจะเป็นอุปสรรค สําคัญต่อการพัฒนา ประเทศให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมกับประเทศอื่นๆ การวิจัยจึงมีบทบาทสําคัญที่จะเข้ามา ช่วยในการพัฒนาหาแนวทางในการปฏิรูปการเมืองไทยการพัฒนาวัฒนธรรมทางการเมืองการพัฒนาความ


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 9 ร่วมมือระหว่างประเทศและการปฏิรูประบบบริหารราชการไทยให้มีประสิทธิภาพ ในด้านของกฎหมายหากยัง มีความล้าสมัย ซ้ำซ้อน ขั้นตอนการปฏิบัติมากมายและ ล่าช้าและมีเนื้อหาสาระที่ไม่สมบูรณ์ก็จะยิ่งเป็น อุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศเป็นอย่างยิ่งการวิจัย จึงเป็นส่วนสําคัญที่จะเข้ามาเพื่อพัฒนากฎหมายให้มีความ ทันสมัยและเป็นธรรมมากขึ้น ได้แก่การ วิจัยเพื่อการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายต่างๆให้มีความเป็นธรรม ลดช่อง โหว่ของกระบวนการยุติธรรม และกฎหมาย รวมทั้งการตรากฎหมายใหม่ ๆ เพื่อรองรับความก้าวหน้าที่เกิดขึ้น อย่างรวดเร็ว เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติและบุคคลเช่น กฎหมายเกี่ยวกับเศรษฐกิจกฎหมาย เกี่ยวกับ ความหลากหลายทางชีวภาพ กฎหมายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอันจะเป็นพื้นฐานอันมั่นคง ที่รองรับการพัฒนาประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพและเจริญก้าวหน้าทัดเทียมกับนานาอารยะประเทศ สืบไป 1.3 การวิจัยเพื่อแก้ไขปัญหาผู้เรียน 1. ความเป็นมาของการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ การปฏิรูปการเรียนรู้ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 ได้กำหนดไว้ดังนี้ หมวด 4 แนวการจัดการศึกษามาตรา24 (5) ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม สื่อการเรียน และอำนวยความสะดวกให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้รวมทั้งสามารถ ใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ทั้งนี้ ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการเรียน การสอนและแหล่งวิทยาการประเภทต่าง ๆ มาตรา 30 ให้สถานศึกษาพัฒนากระบวนการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้สอน สามารถวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละระดับการศึกษา หมวด 6 มาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา มาตรา 48 กำหนดให้หน่วยงานต้นสังกัด สถานศึกษาจัดให้มีระบบประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาและให้ถือว่าการประกันคุณภาพภายในเป็นส่วน หนึ่งของการบริหารการ หมวด 9 เทคโนโลยีเพื่อการศึกษามาตรา 67 รัฐต้องส่งเสริมให้มีการวิจัยและพัฒนา การผลิตและการ พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา เพื่อให้เกิดการใช้ที่คุ้มค่าและเหมาะสมกับกระบวนการเรียนรู้ของคนไทย ดังนั้นจึงอาจสรุปได้ว่า พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 ได้ กำหนดให้นำการวิจัยมาใช้การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ดังนี้ 1. การวิจัยในกระบวนการเรียนรู้ มุ่งให้ผู้เรียนทำวิจัย เพื่อใช้กระบวนการวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของการ เรียนรู้ ผู้เรียนสามารถวิจัยในเรื่องที่สนใจหรือต้องการหาความรู้หรือต้องการแก้ไขปัญหาการเรียนรู้ ซึ่ง กระบวนการวิจัยจะช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกการคิด ฝึกการวางแผน ฝึกการดำเนินงานและฝึกหาเหตุผลในการตอบ ปัญหา โดยผสมผสานองค์ความรู้แบบบูรณาการเพื่อให้เกิดประสบการณ์การเรียนรู้จากสถานการณ์จริง 2. การวิจัยพัฒนาการเรียนรู้ มุ่งให้ผู้สอนสามารถทำวิจัย


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 10 เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ด้วยการศึกษาวิเคราะห์ปัญหาการเรียนรู้ วางแผนแก้ไขปัญหาการเรียนรู้ เก็บ รวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ ผู้สอนสามารถทำวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการศึกษาที่ นำไปสู่คุณภาพการเรียนรู้ ด้วยการศึกษาวิเคราะห์ปัญหาการเรียนรู้ ออกแบบและพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ ทดลองใช้นวัตกรรมการเรียนรู้ เก็บรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ผลการใช้นวัตกรรมนั้น ๆและผู้สอนสามารถ นำกระบวนการวิจัยมาจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ด้วยการใช้เทคนิควิธีการที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการ เรียนจากการวิเคราะห์ปัญหา สร้างแนวทางเลือกในการแก้ไขปัญหา ดำเนินการตามแนวทางที่เลือก และ สรุปผลการแก้ไขปัญหาอันเป็นการฝึกทักษะ ฝึกกระบวนการคิด ฝึกการจัดการจากการเผชิญสภาพการณ์จริง และปรับประยุกต์มวลประสบการณ์มาใช้แก้ไขปัญหา 3. การวิจัยพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา มุ่งให้ผู้บริหารทำการวิจัยและนำผลการวิจัยมา ประกอบการตัดสินใจ รวมทั้งจัดทำนโยบายและวางแผนบริหารจัดการสถานศึกษาให้เป็นองค์กรที่ นำไป สู่คุณภาพการจัดการศึกษา และเป็นแหล่งสร้างเสริมประสบการณ์เรียนรู้ของผู้เรียนอย่างมี คุณภาพ 2. กระบวนการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ กระบวนการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ มีขั้นตอนการวิจัยเช่นเดียวกับกระบวนการวิจัย โดยทั่วไป ดังนี้ ภาพที่ 1.1 แผนภูมิแสดงขั้นตอนการวิจัยโดยทั่วไป


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 11 กระบวนการวิจัยเพื่อการเรียนรู้ ได้มีการนำกระบวนการวิจัยทั่วไปมาประยุกต์ใช้ในการแก้ไขปัญหา การเรียนรู้หรือการพัฒนาการเรียนรู้เป็นสำคัญ ดังนั้นในขั้นการศึกษาและวิเคราะห์ปัญหา จึงต้องเน้นไปที่ผล การพัฒนาผู้เรียน 3 ด้าน คือด้านความรู้(Cognitive Domain) ด้านทักษะ(Psychomotor Domain) และด้าน เจตคติ(Affective Domain) และก่อนที่ผู้สอนจะใช้การวิจัยในกระบวนการเรียนรู้ เพื่อแก้ปัญหาหรือเพื่อ พัฒนาผู้เรียน เช่นเดียวกันกับผู้บริหารจะทำการวิจัยเพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนาคุณภาพการศึกษาของ สถานศึกษา ซึ่งองค์ประกอบของกระบวนการวิจัยเพื่อการเรียนรู้ มีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ดังแผนภูมิ ภาพที่ 1.2 แผนภูมิแสดงองค์ประกอบการเรียนรู้ด้วยการวิจัย การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ มุ่งเน้นผลการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นเป้าหมายของการจัดการ เรียนรู้ ด้วยการใช้การวิจัยในกระบวนการเรียนรู้ การวิจัยพัฒนาการเรียนรู้และการวิจัยพัฒนาคุณภาพ การศึกษาของสถานศึกษา ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ 1. การวิจัยในกระบวนการเรียนรู้ การวิจัยในกระบวนการเรียนรู้ คือการนำระเบียบวิธีวิจัยมามาใช้ในการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน ซึ่ง มาจากความเชื่อว่า “ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองและพัฒนาตนเองได้” ดังนั้นการจัด


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 12 การศึกษาจะต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ โดยส่งเสริมให้ผู้เรียนเรียนรู้ ด้วยตนเองตามความสนใจ ความถนัด และความต้องการ จากสื่อและอุปกรณ์ที่มีอยู่ตามแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ใน ครอบครัว ในสถานศึกษาและในชุมชนที่ผู้เรียนพบในชีวิตประจำวัน แนวคิดเกี่ยวกับการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเอง มีหลายแนวคิด เช่น 1) แนวคิดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Participation learning) ซึ่งเน้นการสร้างความรู้จาก ประสบการณ์เดิมของผู้เรียนและการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียน 2) แนวคิดการเรียนรู้ตามหลักพุทธศาสนา ซึ่งมี 3 ระดับ คือการรู้จำจากการบอกหรือสอน การรู้จัก จากการคิดหาเหตุผล และการรู้แจ้งจากการสร้างความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งด้วยการค้นพบด้วยตนเอง 3) แนวคิดการสร้างความรู้ (Constructivism) เน้นการสร้างความรู้ด้วยตนเองจากวิธีการต่าง ๆ กัน โดยอาศัยประสบการณ์เดิมจากโครงสร้างทางปัญญา และแรงจูงใจ จากแนวคิดดังกล่าวที่นำมาใช้ในการส่งเสริมการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนได้ ประสบความสำเร็จในการ เรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรจัดกระบวนการเรียนรู้อย่างเป็นระบบโดยอาศัยกระบวนการวิจัยเข้ามาช่วย ในการเรียนรู้ในเรื่องที่มีความซับซ้อนทำให้ผู้เรียนได้ฝึกคิด การจัดการ การหาเหตุผลในการแก้ปัญหา การ ผสมผสานความรู้แบบสหวิทยาการและการเรียนรู้ปัญหาที่ผู้เรียนสนใจ ครูจะต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนมีอิสระใน การทดลองใช้แนวคิดและวิธีการต่าง ๆในการเรียนรู้ การทดสอบความรู้ที่ได้รับและการสรุปความรู้ เจตคติ และทักษะอันเป็นเครื่องมือพัฒนาการเรียนรู้ตลอดชีวิต มีพัฒนาการทางสติปัญญา ทางอารมณ์ สังคม และทาง ร่างกาย ซึ่งรูปแบบการวิจัยในกระบวนการเรียนรู้ มีดังนี้


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 13 ภาพที่ 1.3 แผนภูมิ แสดงการวิจัยในกระบวนการเรียนรู้ จากแผนภูมิ การวิจัยในกระบวนการเรียนรู้ ซึ่งเป้าหมายของการจัดการเรียนรู้ คือผู้เรียนมีความรู้ เจต คติ และทักษะ ซึ่งได้จากการเรียนรู้ด้วยกระบวนการวิจัยอย่างเป็นระบบ มี 5 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 การวิเคราะห์ความต้องการการเรียนรู้ ขั้นตอนนี้ผู้เรียนจะต้องทราบความต้องการการ เรียนรู้ของตนเอง มีการลำดับความสำคัญของความต้องการก่อนหลังที่ต้องการจะเรียนเรียน และนำเรื่องที่มี ความสำคัญลำดับแรก มากำหนดเป้าหมายของการเรียนรู้ ขั้นตอนที่ 2 การวางแผนการเรียนรู้ ผู้เรียนจะต้องวางแผนการเรียนรู้ของตนเองว่าจะเรียนเรื่องอะไร ใช้เวลาเรียนเท่าไร เรียนรู้ด้วยวิธีใด เรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ใด ต้องใช้สื่ออะไร และเมื่อมีปัญหาในการเรียน จะต้องปรึกษาใคร เมื่อได้รับความรู้แล้วจะนำความรู้ไปใช้อย่างไร ตลอดจนวางแผนการนำความรู้ที่ได้ไปใช้ใน การปรับปรุงและพัฒนางาน ขั้นตอนที่ 3 การพัฒนาทักษะการเรียนรู้ เป็นขั้นตอนของการปฏิบัติเพื่อแสวงหาความรู้ตามที่ได้ วางแผนไว้ ซึ่งอาจใช้วิธีการต่าง ๆ ในการเรียนรู้ เช่น การสังเกต การสัมภาษณ์ การบันทึกข้อความ การสรุป ความ การเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ เช่น ศูนย์วิทยาการ สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อบุคคลและสื่อเทคโนโลยี เป็นต้น เมื่อได้ ความรู้แล้วควรตรวจสอบความถูกต้องของความรู้ที่ได้ และนำความรู้ไปใช้ให้เป็นไปตามเป้าหมายของการ เรียนรู้


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 14 ขั้นตอนที่ 4 การสรุปความรู้ เป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนสรุปความรู้และนำเสนอความรู้ที่ได้จากการศึกษา ค้นคว้า ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น รูปภาพ แผนภาพ แผนภูมิฯลฯ และอาจใช้ เครื่องมือ อุปกรณ์ หรือเทคโนโลยี ต่าง ๆมาช่วยในการนำเสนอ ขั้นตอนที่ 5 การประเมินผลเพื่อปรับปรุงและนำไปใช้ในการพัฒนา เป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนประเมิน กระบวนการเรียนรู้ของตนเองในระหว่างการเรียนรู้ทุกขั้นตอน เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงและการนำไปใช้พัฒนา งานต่อไป 2. การวิจัยพัฒนาการเรียนรู้ ในการจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และ คุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขนั้น ผู้สอน จะต้องคำนึงถึงมาตรฐานการจัดการศึกษา ที่กำหนดในการจัดการเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนเป็นสำคัญ คือ ผู้เรียนจะต้องเกิดกระบวนการเรียนรู้ตรงตามเป้าหมายการเรียนรู้ ซึ่งจะต้องมีการปรับปรุงและพัฒนาการ จัดการเรียนรู้ของผู้สอนอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการทำวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้จึงมีบทบาสำคัญในการพัฒนาการ จัดการเรียนรู้ ผู้สอนจำเป็นจะต้องบูรณาการภารกิจของการวิจัยมาใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาการเรียนรู้ ดังนี้ 1. ในการจัดกระบวนการเรียนการสอน ควรใช้กระบวนการวิจัยมาเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ 2. ทำวิจัยเพื่อจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียน 3. นำผลการวิจัยมาใช้ในการปรับปรุงกระบวนการเรียนการสอน ดังนั้น การใช้การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้จึงเป็นภารกิจที่สำคัญและจำเป็นที่ผู้สอนควรนำมาใช้ใน การแก้ปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ มีการดำเนินงาน ดังนี้


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 15 ภาพที่ 1.4 แผนภูมิ แสดงกระบวนการการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ จากแผนภูมิกระบวนการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ มี 5 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 วิเคราะห์ความต้องการ/พัฒนาการเรียนรู้ ขั้นตอนที่ 2 วางแผนการจัดการเรียนรู้ ขั้นตอนที่ 3 จัดกิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นตอนที่ 4 ประเมินผลการเรียนรู้ ขั้นตอนที่ 5 ทำรายงานผลการเรียนรู้ กระบวนการทั้ง 5 ขั้นตอนผู้สอนจะต้องนำวิธีวิจัยมาใช้ในการดำเนินงาน และในขั้นตอนที่ 3 เมื่อ ผู้สอนทำการประเมินระหว่างจัดกิจกรรมการเรียนรู้แล้วพบว่ามีปัญหาเกิดขึ้นเล็กน้อย ผู้สอนจะต้องดำเนินการ ปรับปรุงแก้ไขการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อให้บรรลุผลตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ และเมื่อผู้สอนประเมินผล การเรียนรู้ในขั้นตอนที่ 4 แล้วพบว่าไม่มีปัญหา ผู้เรียนมีการพัฒนาการเรียนรู้ที่ตรงกับจุดมุ่งหมายของการจัด


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 16 กิจกรรมการเรียนรู้ ผู้สอนจะต้องจัดทำรายงานผลการเรียนรู้ เพื่อรายงานแก่ผู้เกี่ยวข้องเพื่อทราบและใช้ ประโยชน์ต่อไป ในกรณีผู้สอนทำการประเมินผลการเรียนรู้ในขั้นตอนที่ 4 แล้วพบว่ามีปัญหารุนแรง หรือพบว่ามีบาง เรื่องที่จำเป็นต้องพัฒนา แต่ไม่อาจทำได้ทันที เช่น ผู้เรียนวิชาภาษาไทยขาดทักษะการอ่าน โดยเฉพาะการอ่าน จับใจความ ผู้สอนจะต้องทำวิจัยเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยดำเนินการดังนี้ 1) จัดกิจกรรมแก้ปัญหา/พัฒนา 2) เก็บรวบรวมข้อมูล/วิเคราะห์ข้อมูล 3) สรุปผลการแก้ปัญหา/พัฒนา เมื่อได้ผลการแก้ปัญหา/พัฒนาแล้ว ผู้สอนจะต้องกลับไปประเมินผลการเรียนรู้และรายงานต่อ ผู้เกี่ยวข้องเพื่อนำไปใช้ประโยชน์และเมื่อผู้สอนได้ทำวิจัยเพิ่มเติมเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในการจัดการเรียนรู้ได้ แล้ว ผู้สอนจะต้องนำผลวิจัยไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ต่อไป 3. การวิจัยพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา การจัดการศึกษาของสถานศึกษาที่มีประสิทธิภาพนั้น ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบภายในของสถานศึกษา เช่น ผู้สอน ผู้เรียน หลักสูตร สื่อ วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ และผู้ที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในการทำให้กิจกรรมต่าง ๆ ของสถานศึกษาดำเนินไปได้ด้วยดี คือผู้บริหารสถานศึกษา ซึ่งจะต้องระดมสรรพกำลังบุคลากรทุกฝ่ายตั้งแต่ ผู้สอน ผู้เรียน กรรมการสถานศึกษา และชุมชน มาร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาและความต้อง


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 17 ภาพที่ 1.5 แผนภูมิแสดงการวิจัยพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา จากแผนภูมิจะเห็นได้ว่าผู้บริหารได้ใช้กระบวนการวิจัยมาดำเนินการบริหารสถานศึกษา เริ่มตั้งแต่การ วิเคราะห์ปัญหาและความต้องการเพื่อกำหนดทิศทาง/วิสัยทัศน์จัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษา/แผนปฏิบัติ การ กำกับ ดูแลการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามแผน นิเทศ ติดตามประเมินผลการดำเนินงาน และจัดทำรายงาน ผลการดำเนินงานของสถานศึกษา ในกรณีที่ประเมินผลการดำเนินงานแล้วพบว่ามีปัญหารุนแรงหรือพบเรื่องที่ควรได้รับการพัฒนา ผู้บริหารจะต้องทำวิจัยเพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนางานดังกล่าวในระหว่างขั้นตอนที่ 4 ของการดำเนินงาน โดยมี ขั้นตอนวิจัย 5 ขั้นตอน ดังนี้ 1. การวิเคราะห์ปัญหา/พัฒนา 2. วางแผนแก้ปัญหา/พัฒนา 3. จัดกิจกรรมแก้ปัญหา/พัฒนา 4. เก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล 5. สรุปผลการแก้ปัญหา/พัฒนา


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 18 เมื่อสรุปผลการแก้ปัญหา/พัฒนา เสร็จแล้วขั้นต่อไปคือการนำผลการวิจัยไปใช้ และประเมินในขั้นตอนที่ 4 ของ การดำเนินงานบริหารอีกครั้ง ถ้าพบว่าไม่มีปัญหา จึงจัดทำรายงานผลการดำเนินงานสถานศึกษาให้ผู้เกี่ยวข้อง ทราบหรือเป็นข้อมูลในการพัฒนา ต่อไป 1.4 การวิจัยเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้ การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนเป็นกระบวนการวิจัยที่มุ่งพัฒนา หรือแก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอน ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดในชั้นเรียนและขณะที่สอน ผู้สอนสามารถนำผลที่ค้นพบมาปรับปรุง การจัดการเรียนรู้ และพัฒนาสถานศึกษาไปสู่คุณภาพการศึกษาที่แท้จริงและยั่งยืน ดังนั้นการวิจัยเพื่อ พัฒนาการเรียนรู้ในส่วนของครูผู้สอนส่วนมากได้ยินคำว่า "การวิจัยในชั้นเรียน" (Classroom Action Research) เป็นการวิจัยที่ทำในบริบทของชั้นเรียนและมุ่งนำผลการวิจัยมาใช้ในการ พัฒนาการเรียนการ สอนของตน เป็นการนำกระบวนการวิจัยไปใช้ในการพัฒนาครู ให้ไปสู่ความป็นเลิศและมี ความอิสระทาง วิชาการ การวิจัยในชั้นเรียนจึงเป็นการวิจัยลักษณะเชิงปฏิบัติ (Action Research) แลควรใช้ รูปแบบ การวิจัยและพัฒนา (Research and Development : R8.D) ซึ่งเป็นการวิจัยที่มุ่งนำความรู้ทาง วิชาการหรือจากการสร้างทฤษฎีหรือแนวคิดใหม่ๆ ไปพัฒนาเป็นเทคนิคหรือวิธีการที่สามารถนำไปแก้ปัญหา และ ทดลองใช้จนได้ผลเป็นที่น่าพอใจ แล้วจึงนำไปเผยแพร่ใช้ในวงกว้างเพื่อการพัฒนางานให้มีประสิทธิภาพ ยิ่งขึ้นการวิจัยในชั้นเรียนเป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ครูใช้ค้นคว้าหาความจริงเพื่อนำมาใช้แก้ปัญหา หรือพัฒนากระบวนการเรียนรู้ในชั้นเรียนอย่างเป็นระบบ เพื่อสืบค้นสภาพที่เป็นจริง หาสาเหตุของปัญหา แสวงหาวิธี แก้ปัญหาเชิงพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ของครู อันเป็นผลต่อการพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพ ตามวัตถุประสงค์ ที่กำหนดไว้ และยังเป็นกระบวนการที่ใช้ตรวจสอบผลสำเร็จของการใช้นวัตกรรมการสอนที่ ครูพัฒนขึ้นเพื่อส่งเสริม การเรียนรู้ของผู้เรียนให้ได้รับการพัฒนาตามวัยอย่างเต็มศักยภาพ ขั้นตอนการวิจัยเพื่อพัฒนากระบวนการเรียนรู้ การวิจัยเพื่อพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ต้องมีการวางแผนและดำเนินการการวางแผนตามขั้นตอน รอง ศาสตราจารย์วรรณวดี ม้าลำพอง ได้กล่าวไว้ดังนี้ ขั้นที่ 1 ทบทวนกระบวนการสอนที่ผา นมา วิเคราะหก์ ระบวนการสอนที่กำลังดำเนินการยูเ พี่อคน้ หาประเด็น ปัญหาในการวิจัย ในขั้นตอนนี้เมื่อครูพบปัญหาหลายเรื่อง ครูควรจัดลำดับความสำคัญของปัญหา โดยพิจารณาจาก ความรุนแรง และความเร่งด่วนของปัญหา จากนั้นจึงกำหนดให้เป็นปัญหาในการวิจัย ขั้นที่ 2 กำหนดปัญหาที่ต้องการทำวิจัยและกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย ขั้นที่ 3 ศึกษาเอกสารงานวิจัยของคนอื่นที่เกี่ยวข้องกับปัญหาวิจัยในขั้นที่ 2 เพื่อเป็นแนวทางในการ วางแผน การวิจัย การสร้าง นวัตกรรมการสอน การสร้างเครื่องมือในการเก็บข้อมูลซึ่งจะทำให้เกิดกรอบความคิดการวิจัยที่ชัดเจน ขั้นที่ 4 เลือกวิธีการวิจัยที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของการวิจัย


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 19 ขั้นที่ 5 ทำความเข้าใจลักษณะข้อมูล และแหล่งข้อมูล ขั้นที่ 6 จัดเตรียมวิธีการ / เครื่องมือที่จะใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ขั้นที่ 7 วิเคราะห์ข้อมูล / รายงานผล และการนำผลไปใช้ ขั้นที่ 8 คิดปัญหาที่จะทำวิจัยเพื่อพัฒนากระบวนการเรียนรู้ในแง่มุมอื่นต่อไป ภาพที่ 1.6 แผนภูมิแสดงใช้กระบวนการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ดังนั้นการทำงานของครู จึงต้องมีการวางแผนการทำงานการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ให้สอดคล้อง กับแนวทางการประเมิน วิทยฐาน ตามเกณฑ์ 321 ตามตัวชี้วัดที่ 15 การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ หมายถึง กระบวนการแก้ปัญหา หรือพัฒนาการจัดการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ ที่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนได้เต็ม ตามศักยภาพ 1.5 การใช้ผลการวิจัยเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้ การวิจัย (Research) ล้วนแล้วแต่เกิดประโยชน์ในวงการต่าง ๆ ทั้งสิ้น รวมทั้งในแวดวงการศึกษา หาก มองย้อนกลับไปนับปริมาณงานวิจัยทางการศึกษาที่ผ่านมา จะพบว่า ผลงานวิจัยทางการศึกษามีปริมาณ ในแต่ ละปีเป็นจ านวนมาก มีการใช้จ่ายงบประมาณที่สนับสนุนจ านวนมหาศาล แต่ดูเหมือนว่าการน าผลที่ได้ จาก


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 20 การวิจัยมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางการศึกษานั้นน้อยมาก ในแต่ละปีจะมีผลงานวิจัยทางการศึกษาในแต่ ละ สาขาจ านวนไม่น้อยทั้งงานวิจัยส่วนบุคคล งานวิจัยของหน่วยงาน/องค์กร งานวิจัยที่นิสิต/นักศึกษาใช้ ประกอบการสำเร็จการศึกษาตามหลักสูตร ทั้งการศึกษาค้นคว้าอิสระ วิทยานิพนธ์ ปริญญานิพนธ์ หรือชื่อ เรียกอย่างอื่น ทั้งในระดับปริญญาตรี โท และเอก แต่คุณภาพการศึกษา หรือกระบวนการพัฒนากลยุทธ์/ นวัตกรรมทางการศึกษาของประเทศก็ยังไปไม่ถึงไหน ณ วันนี้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องย้อนกลับมาพิจารณาใน ประเด็นดังกล่าว และมองหาแนวทางการใช้ประโยชน์จากผลการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาของไทยให้ เป็นผู้น าและก้าวสู่มาตรฐานในระดับสากล และเกิดความคุ้มค่าของการวิจัย ในบทความนี้ผู้เขียนมีความตั้งใจ ที่จะนำเสนอแนวทางในการส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยเฉพาะการ จัดการเรียนรู้ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานในมุมมองของนักวิชาการที่ผ่านประสบการณ์จากการปฏิบัติหน้าที่ ครูมาก่อน เพื่อเชื่อมโยงหลักวิชาที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นไปได้ในสถานการณ์จริง อาชีพครูเป็นอาชีพที่มีเกียรติ หน้าที่ที่สำคัญของครูคือสอนกับวิจัยเพื่อปรับปรุงและพัฒนาการ จัดการ เรียนรู้ของตนเอง ดังนั้นกระบวนการวิจัยจึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญของครู ในพระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 ได้กล่าวถึงการ วิจัยการเรียนการ สอนไว้ในมาตรา 24 และ 30 ดังนี้ มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังต่อไปนี้ (5) ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม สื่อการเรียน และ อ านวยความสะดวก เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้รวมทั้งสามารถใช้การวิจัย เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ทั้งนี้ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจาก สื่อการเรียนการสอนและแหล่งวิทยาการประเภท ต่าง ๆ มาตรา 30 ให้สถานศึกษาพัฒนากระบวนการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งการส่งเสริม ให้ผู้สอน สามารถวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละระดับการศึกษา จากการวิเคราะห์ พ.ร.บ. การศึกษา พบว่า มีเจตนาที่จะให้ครูเป็นครูนักวิจัย นั่นคือ มีทักษะในการทำ วิจัยที่มุ่งเน้นการวิจัยเพื่อพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การวิจัยเชิงปฏิบัติการใน โรงเรียน (Classroom Action Research) ซึ่งผู้เขียนคิดว่าน่าจะตรงกับเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ. แต่สภาพการ ทำวิจัยของครูในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการท าวิจัยเพื่อประกอบการเลื่อนวิทยฐานะ ส่วนใหญ่กับ กลายเป็นวิจัยที่มุ่งเน้นการสร้างองค์ความรู้ใหม่ ใช้ประชากรที่มีขนาดใหญ่ มีความซับซ้อน แต่บางครั้งเกิด ประโยชน์กับนักเรียนในบริบทนั้น ๆ น้อยมาก ผู้เขียนขอเรียกสภาวการณ์ในลักษณะนี้ว่า สภาวะ “มีผลงาน (วิจัย) แต่ไม่มีผลงาน” ซึ่งขออธิบายรายละเอียดดังนี้ ในแนวปฏิบัติการประเมินเพื่อเข้าสู่วิทยฐานะของ ข้าราชการครูในยุคปัจจุบัน ที่จะต้องมีผลงานวิจัยประกอบการประเมิน ทำให้มีผลงานวิจัยในชั้นเรียนเกิดขึ้น ในช่วงเทศกาลของการประเมินหลายเรื่อง หากแต่ว่าผลงานวิจัยเหล่านั้นเป็นการด าเนินการวิจัยเพื่อแก้ปัญหา หรือพัฒนากระบวนการเรียนการสอนจริงหรือ หรือเป็นเพียงผีกชีที่ปลูกเพื่อตบตาผู้ประเมิน ในบางครั้งอาจมี ลักษณะ “งานวิจัยฉีกปก” ที่ครูบางกลุ่มต้องการเพียงเพื่อผลงานประกอบการประเมินเท่านั้น หาเป็นผลงานที่


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 21 เกิดขึ้นกับตัวผู้เรียนไม่ หากมองย้อนกลับไปดูกระบวนการในการพัฒนาครูเพื่อให้เป็นครูนักวิจัยนั้น มีวิธีการ หรือกลยุทธ์ใน การพัฒนาหลายวิธี แต่ที่มักนิยมใช้ก็คือ “การฝึกอบรม” ซึ่งจากการสอบถามคณะครูหลายท่าน พบว่า ครูแต่ ละคนเข้ารับการฝึกอบรมทั้งเชิงปฏิบัติการและไม่ปฏิบัติการอยู่ไม่น้อยครั้ง แต่ก็หาได้ท าให้ครู สามารถผลิตผล งานวิจัยได้เป็นชิ้นเป็นอัน ทำให้เกิดการสูญเปล่าของงบประมาณที่ลงทุนไป การพัฒนาครูให้ เป็นครูนักวิจัยนั้น ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ส าคัญมาก เพราะกระบวนการวิจัยจะเป็นเครื่องมือที่ใช้แก้ปัญหาหรือ พัฒนากระบวนการ เรียนการสอนได้อย่างเป็นระบบและเกิดความยั่งยืนของการพัฒนา ดังนั้นหากโรงเรียนใด กอปรด้วยครูที่เป็นครู นักวิจัยแล้วก็มีแนวโน้มที่จะสามารถพัฒนาคุณภาพการศึกษาได้ดีอีกด้วย ในการพัฒนาครูนักวิจัยของ โรงเรียน ที่ดำเนินการแล้วสามารถเห็นผลของการพัฒนาได้อย่างชัดเจนและประสบผลส าเร็จมีอยู่หลายแห่ง บางแห่งได้ ค้นพบวิธีการพัฒนาครูให้เป็นครูนักวิจัย โดยนอกจากจะใช้วิธีการฝึกอบรมแล้วทางโรงเรียนยังได้ จัดให้มีการ เข้าค่ายการเขียนรายงานการวิจัย โดยฝ่ายวิชาการจะจัดสิ่งอำนวยความสะดวกให้พร้อม เช่น แบบฟอร์มการ เขียน หนังสือประกอบการอ้างอิง โดยฝ่ายวิชาการจะนิเทศให้ความรู้ทีละองค์ประกอบของ รายงาน แล้วให้ครู ฝึกเขียนทีละเรื่อง ตั้งแต่ปัญหาและความเป็นมา เอกสารที่เกี่ยวข้อง วิธีดำเนินการ ผลการ ดำเนินงานและ อภิปรายผล นอกจากนั้นในขณะที่ด าเนินการวิจัยก็จะมีทีมงานจากฝ่ายวิชาการคอยให้ความ ช่วยเหลือทุก ขั้นตอนของการวิจัย เช่น ในขั้นตอนของการเขียนโครงร่างการวิจัยฝ่ายวิชาการจะให้ค าแนะน าในการวางแผน และชี้แนะ ตลอดทั้งนิเทศความเข้าใจในวิธีการ ในขั้นตอนของการน านวัตกรรมไปใช้ในการ แก้ปัญหา คณะกรรมการบริหารงานวิชาการได้ให้การนิเทศช่วยเหลือครูเป็นอย่างดีด้วยวิธีการที่หลากหลาย เช่น การให้ คำปรึกษา การจัดทำเอกสารเผยแพร่ การนำตัวอย่างแบบอย่างมาให้ศึกษา การอำนวยความ สะดวกด้านสื่อ หนังสือให้ค้นคว้า ซึ่งครูจะต้องบันทึกผลการพัฒนาไว้อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ในขั้นตอนนี้ ฝ่ายวิชาการได้เปิดคลินิกวิชาการบริการแก่คณะครูด้วย ส่วนขั้นตอนการเขียนรายงานการวิจัยนั้นได้จัดท า แบบฝึกสำเร็จรูปให้ ครูได้ดำเนินการเป็นขั้นตอนจากง่ายไปยาก ตั้งแต่บทที่ 1-5 จนครูสามารถเขียนรายงาน วิจัยได้ นอกจากนั้นใน การดำเนินการวิจัยยังต้องใช้หลักการมีส่วนร่วมระบบไตรภาคี คือให้ผู้ปกครอง โรงเรียน และนักเรียนมาร่วม วางแผนการแก้ปัญหาการเรียนรู้อีกด้วย ผลการด าเนินงาน พบว่า ครูสามารถใช้ กระบวนการวิจัยแก้ปัญหา ผู้เรียนได้อย่างเหมาะสม, มีผลงานในรูปของงานวิจัยในชั้นเรียน นักเรียนมีความรู้ ตามหลักสูตรการศึกษาขั้น พื้นฐาน มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ตามหลักสูตร โดยเฉพาะนิสัยรักการค้นคว้า รัก การทำงาน รู้จักทำงานเป็น หมู่คณะ โรงเรียนเกิดบรรยากาศแห่งการเรียนรู้และมีการบริหารเชิงระบบ, ผู้ปกครองมีความสัมพันธ์อันดีกับ โรงเรียน พอใจและไว้วางใจในการบริหารงานของโรงเรียน หากพิจารณา ปัจจัยที่เอื้อต่อความสำเร็จแล้ว พบว่า การพัฒนาคุณภาพผู้เรียนด้วยกระบวนการวิจัย ต้องจัดสภาพที่เอื้อต่อ การวิจัยในชั้นเรียนของครู โดยเน้นให้ครูได้ปฏิบัติจากสภาพจริง, มีการวางแผนที่เป็น ระบบ ใช้การนิเทศแบบ กัลญาณมิตร คอยก ากับ ติดตาม ให้การช่วยเหลือครูในการด าเนินการวิจัย และใช้ หลักการมีส่วนร่วมของผู้ ส่วนเกี่ยวข้องอีกด้วย หากโรงเรียนสามารถจัดระบบในการพัฒนาครูดังกล่าวข้างต้นได้ แล้ว ผลงานการวิจัยใน


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 22 ชั้นเรียนของครูก็จะเป็นผลงานที่เกิดขึ้นกับตัวผู้เรียนอย่างแท้จริง ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการที่จะท าให้เกิดมรรค เกิดผลในการวิจัยทางการศึกษา สามารถดำเนินการโดยการ พัฒนาทักษะการวิจัยให้กับครู และอีกแนวทาง หนึ่งคือการมุ่งเน้นให้ครูเป็นผู้มีความสามารถในการใช้ ประโยชน์จากผลการวิจัย นั่นเอง ในบทความนี้จะ มุ่งเน้นในประเด็นที่สอง จึงขอนำเสนอแนวทางในการ ใช้ผลการวิจัยเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้ในมุมมองของ นักวิชาการที่ผ่านประสบการณ์ความเป็นครู ดังนี้ - สร้างเจตคติที่ดีสำหรับครู ในการใช้ประโยชน์จากผลการวิจัย ในส่วนนี้เป็นส่วนที่สำคัญมาก เพราะ เจตคติ (Attitude) เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เกิดสัมฤทธิ์ผลในสิ่งต่าง ๆ ดังนั้นหากจะส่งเสริมให้ครูใช้ ประโยชน์ จากผลการวิจัยเพื่อการจัดการเรียนรู้ จึงควรที่จะต้องสร้างเจตคติในทางบวก (Positive Attitude) เกี่ยวกับ การท าวิจัยและประโยชน์ที่แท้จริงของการวิจัยเสียก่อน จากประสบการณ์ความเป็นครู เพื่อนครูส่วน ใหญ่มี เจตคติที่ไม่ค่อยดีต่อการวิจัย หลายท่านมีความรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ยาก เพราะคิดว่าการทำวิจัยมีเพียง รูปแบบ เดียว เหมือนกับมีครูบางคน (ในสมัยนั้น) ที่ไปศึกษาในระดับปริญญาโท ก็จะมาเล่าความทุกข์ให้ฟัง เกี่ยวกับ การเรียนและการทำวิทยานิพนธ์ ซึ่งก็คือการวิจัย แต่เป็นการวิจัยที่ใช้ประกอบการสำเร็จการศึกษา ตาม หลักสูตร ซึ่งจะมีเงื่อนไข แนวทางในการออกแบบการวิจัย และจุดเน้นอีกรูปแบบหนึ่ง ทำให้ครูส่วนใหญ่ คิดว่า เป็นเรื่องยาก ไม่กล้าทำ ทำตัวถอยห่าง หลีกหนี ห่างไกล ดังนั้น บุคคลที่เกี่ยวข้องต้องเร่งสร้างความ เข้าใจ ให้ ครูมีความคิดรวบยอด (Concept) ที่ถูกต้องในกระบวนการวิจัยเสียก่อน เมื่อครูมีความเข้าใจที่ไม่ คลาดเคลื่อน ในกระบวนการวิจัยแล้ว มีเจตคติที่ดีแล้ว เห็นความสำคัญของกระบวนการวิจัย ครูก็จะมีแรงจูงใจ ที่จะนำ ผลการวิจัยมาเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการเรียนรู้ และในที่สุดก็จะสามารถใช้กระบวนการวิจัยให้เกิด ประโยชน์ ในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย ทำให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน - ใช้กลยุทธ์ที่หลากหลายในการพัฒนาครูนักวิจัย เอื้อต่อบริบทที่แท้จริงของครู การพัฒนาครูให้ เป็น ครูนักวิจัย และสามารถใช้ประโยชน์จากกระบวนการวิจัยนั้น ควรจะต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการพัฒนา พอสมควร การพัฒนาที่ผ่านมาในบางพื้นที่เน้นการฝึกอบรม ซึ่งมีเพื่อนครูหลายคนที่ผ่านการฝึกอบรมหลาย ครั้งแล้ว การฝึกอบรมส่วนใหญ่ก็คล้าย ๆ เดิม ก็คือมีวิทยากรมาบรรยายแล้วก็จบ ยังขาดกระบวนการกำกับ ติดตามครู เพื่อที่จะสามารถส่งเสริมให้ครูมีทักษะการวิจัย ให้ครูสามารถใช้ผลการวิจัยต่าง ๆ มาแก้ปัญหาหรือ พัฒนาที่หน้างานของตน ซึ่งก็คือการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยมุ่งเป้าที่ตัวนักเรียนต่างหาก ดังนั้น วิธีการการพัฒนาครูคงไม่ใช่การฝึกอบรมเป็นคำตอบสุดท้าย เพื่อใช้งบประมาณที่มีอยู่ให้เป็นไปตามแผนฯ และ วงรอบปีงบประมาณ อนึ่งการพัฒนาครูในประเด็นดังกล่าวก็ไม่จำเป็นที่ครูทุกคนจะต้องได้รับวิธีการหรือ กล ยุทธ์เดียวกัน ขึ้นอยู่กับเหตุว่าที่ไม่สามารถทำวิจัยได้ เพราะเหตุใด หากมีเหตุมาจากความไม่เข้าใจก็แก้ที่ การ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง หากเหตุมาจากสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย การไม่สนับสนุนของผู้บริหาร การไม่ เห็นความสำคัญของการวิจัย การมีภารงานที่หนักจนเกินไปของครู การขาดแคลนแหล่งค้นคว้าที่ จำเป็นในการ วิจัย การขาดพี่เลี้ยงที่ให้การแนะนำในการวิจัย และอื่น ๆ จะเห็นได้ว่ากลยุทธ์ที่จะทำให้ครู สามารถใช้ กระบวนการวิจัยเพื่อพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้นั้นไม่ได้มีเพียงกลยุทธ์เดียว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ เหตุหรือ


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 23 อุปสรรคต่างหาก ดังนั้น บุคคลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องพิจารณาใคร่ครวญเหตุต่าง ๆ ให้ดีเสีย ก่อนที่จะ ออกแบบกลยุทธ์หรือวิธีการในการพัฒนาครูเพื่อให้เป็นครูนักวิจัย เน้นรูปแบบการสังเคราะห์และเผยแพร่ผลการวิจัยแบบมุ่งเป้า หากเรามีวัตถุประสงค์ในการเน้น การ ใช้ประโยชน์จากผลการวิจัยนั้น บางครั้งอาจจะไม่จ าเป็นต้องเน้นพัฒนาครูให้เป็นนักวิจัยมืออาชีพที่มุ่งเน้น 1.6 สรุป การวิจัย (Research) ล้วนแล้วแต่เกิดประโยชน์ในวงการต่าง ๆ ทั้งสิ้น รวมทั้งในแวดวงการศึกษา หาก มองย้อนกลับไปนับปริมาณงานวิจัยทางการศึกษาที่ผ่านมา จะพบว่า ผลงานวิจัยทางการศึกษามีปริมาณ ในแต่ ละปีเป็นจ านวนมาก มีการใช้จ่ายงบประมาณที่สนับสนุนจ านวนมหาศาล แต่ดูเหมือนว่าการน าผลที่ได้จาก การวิจัยมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางการศึกษานั้นน้อยมาก ในแต่ละปีจะมีผลงานวิจัยทางการศึกษาในแต่ ละ สาขาจ านวนไม่น้อยทั้งงานวิจัยส่วนบุคคล งานวิจัยของหน่วยงาน/องค์กร งานวิจัยที่นิสิต/นักศึกษาใช้ ประกอบการสำเร็จการศึกษาตามหลักสูตร ทั้งการศึกษาค้นคว้าอิสระ วิทยานิพนธ์ ปริญญานิพนธ์ หรือชื่อ เรียกอย่างอื่น ทั้งในระดับปริญญาตรี โท และเอก แต่คุณภาพการศึกษา หรือกระบวนการพัฒนากลยุทธ์/ นวัตกรรมทางการศึกษาของประเทศก็ยังไปไม่ถึงไหน ณ วันนี้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องย้อนกลับมาพิจารณาใน ประเด็นดังกล่าว และมองหาแนวทางการใช้ประโยชน์จากผลการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาของไทยให้ เป็นผู้น าและก้าวสู่มาตรฐานในระดับสากล และเกิดความคุ้มค่าของการวิจัย ในบทความนี้ผู้เขียนมีความตั้งใจ ที่จะนำเสนอแนวทางในการส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยเฉพาะการ จัดการเรียนรู้ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานในมุมมองของนักวิชาการที่ผ่านประสบการณ์จากการปฏิบัติหน้าที่ ครูมาก่อน เพื่อเชื่อมโยงหลักวิชาที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นไปได้ในสถานการณ์จริง คำถามท้ายบท 1 .จงอธิบายของความสำคัญของการวิจัย ว่ามีความหมายและความสำคัญอย่างไร ? 2. ความสำคัญของการวิจัยต่อการพัฒนาประเทศ มีข้อดีและข้อด้อยอย่างไร 3. ประเภทของการวิจัยเพื่อแก้ไขปัญหาผู้เรียน มีกี่ประเภท และอะไรบ้าง 4. จงอธิบายการวิจัยเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้ มีประโยชน์และความสำคัญอย่างไร 5. อธิบายการการใช้ผลการวิจัยเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้มีอะไรบ้าง รายการอ้างอิง กิตติพัฒน์นนทปัทมะดุล .)2554( .การวิจัยเชิงคุณภาพในสวัสดิการสังคม :แนวคิดและวิธีวิจัย .พิมพ์ครั้งที่ .2กรุงเทพฯ :สามลดา.


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 24 ทิพวรรณ หล่อสุวรรณรัตน์ .)2548( .องค์การแห่งการเรียนรู้ :จากแนวคิดสู่การปฏิบัติ.พิมพ์ครั้งที่ .2 กรุงเทพฯ :รัตนไตร. ชัยอนันต์สมุทวณิช .)2543( .เพลินเพื่อรู้.กรุงเทพมหานคร :พี.เพรส. ธีระ นุชเปี่ยม .)2541( .สู่การเปลี่ยนแปลงกระบวนทรรศน์ .สังคมศาสตร์ปริทัศน์ )2( 19 .มกราคม-มิถุนายน : .110-99 น้ำทิพย์วิภาวิน .)2546( .การจัดการความรู้ .วารสารศรีปทุมปริทัศน์.ปีที่ 3ฉบับที่( .2กรกฎาคม–ธันวาคม :) .92-85 พรธิดา วิเชียรปัญญา .)2547( .การจัดการความรู้ :พื้นฐานและการประยุกต์.กรุงเทพฯ :ธรรมกมลการพิมพ์. ราชบัญฑิตยสถาน .)2546( .พจนานุกรม ฉบับราชบัญฑิตยสถาน พ.ศ .2542.กรุงเทพฯ :นานมีบุ๊คส์ พับลิเคชั่นส์. ราชบัณฑิตยสถาน .)2540( .พจนานุกรมศัพท์ปรัชญาอังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน .พิมพ์ครั้งที่ .2 กรุงเทพฯ :ราชบัณฑิตยสถาน . สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ .)2548( .การจัดการความรู้จากทฤษฎีสู่การปฏิบัติ.พิมพ์ครั้งที่ .2 กรุงเทพฯ :จิรวัฒน์เอ็กเพรส. อภิชัย พันธเสน .)2544( .พุทธเศรษฐศาสตร์ :วิวัฒนาการ ทฤษฎีและการประยุกต์กับเศรษฐศาสตร์สาขา ต่าง ๆ .กรุงเทพฯ :อมรินทร์. อรศรีงามวิทยาพงศ์ .)2541( .คุยกันเรื่องความคิดกับศาสตราจารย์นพ.ประเวศ วะสี .กรุงเทพฯ : มูลนิธิโกมล คีมทอง. อิกุจิโร โนนากะ, โนโบรุคอนโนะ, และแพทริก ไรน์โมลเลอร์ .)2550( .วิธีการสร้างความรู้( Methodology of Knowledge Creation .)แปลโดย ทวีนาคบุตร .กรุงเทพฯ:มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. Amrit Tiwana( .2000 .)The Knowledge Management Toolkit :Practical Techniques for Building knowledge Management System. Upper Saddle River, NJ :.Prentice Hall PTR . Chum Wei Choo( .2000 .)“Working Knowledge :How Organizations Manage What They Know”. Congress of Southeast Asian Librarians. 7-9, 35, (April.) Clyde W .Holsapple( .2003 .)Handbook on Knowledge Management 1 Knowledge Matters. Berlin :Springer-Verlag Berlin. Dant, T( .1991 .)Knowledge ideology and discourse :A sociology perspective .New York : Routledge. Gillroy J.M( .1997 .)“Postmodernism efficiency and comprehensive policy argument in public administration”. American Behavioral Scientist .41 (1 )September :163 -190 . Ikujiro Nonaka and Hirataka Takeuchi( .1995 .)The Knowledge Creating Company :How


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 25 JapaneseCompanies Create the Dynamics of Innovation. New York, [u.a :]Oxford University Press . Ikujiro Nonaka( .1998 . ) Te Knowledge -Creating Company . USA :Harvard Business School Press. Jacky Swan( .2004“ . ) Knowledge Management in Action?”, in Handbook on Knowledge Management 1 :Knowledge Matters, edited by C.W .Hollsopple, 2nd editions, (Berlin : Springer :)281. Kuhn, T.S( .1970 .)The structure of scientific revolutions. Chicago :University of Cchicago Press. Marcuse H( .1964 .)One-dimensional man. Boston :Beacon. Michael Polanyi( .1962 .)Personal Knowledge :Towards a Post-CriticalPhilosophy. London : Routledge & Kegan Paul . Patton, M.Q( .1978 .)Utilization-focused evaluation. Beverly Hills, CA :.SAGE. Peter F .Drucker( .2009 .)The New Realities. 4 th ed .New Jersey :New Brunswick . Raymond J .Corsini( .2002 .)The Dictionary of Psychology. NY :Brunner-Rout ledge. Rubin A .& Barbie E( .2001 .)Research methods for social work. 4th ed .Belmont, CA : Wadsworth/Thomson Learning. Thomas H .Davenport and Laurence Prusak( .2000 .)Working Knowledge :How Organization Manage What They Know. 2 nd ed .Boston, Massachusetts :Harvard Business School Press. Tyson K.B( .1992 .)“A new approach to relevant scientific research for practitioners :The heuristic paradigm”. Social Work. 37 (6 :)541-556


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 26 แผนการสอนประจำบทที่ 2 การวิจัยทางการศึกษาเพื่อพัฒนาปัญญา รายวิชา วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หัวข้อย่อย 2.1 ความหมายของการวิจัย 2.2 ความหมายของการวิจัยทางการศึกษา 2.3 ขอบข่ายการวิจัยทางการศึกษา 2.4 กระบวนการวิจัยทางการศึกษา 2.5 การวิเคราะห์การวิจัยทางการศึกษา สรุปแนวคิดที่สำคัญ การวิจัยมีเป้าหมายเพื่อการแสวงหาความรู้ให้กับผู้คน การพัฒนาปัญญาของผู้เรียน เพื่อที่จะได้นำ ความรู้เหล่านั้นไปเป็นกลไกแสวงหาความรู้พัฒนาการศึกษา พัฒนาองค์ความรู้ และใช้ความรู้เหล่านั้นไปเป็น เครื่องมือในการสร้างองค์ความรู้ต่อยอด พัฒนาต่อไปในองค์รวม ทำให้เกิดการเรียนรู้เชิงประจักษ์แก่ชุมชน ทางการศึกษา ชุมชนที่อยู่อาศัย และเป็นฐานในการพัฒนาองค์กร ประเทศชาติในด้านต่าง ๆ ซึ่งสามารถ จำแนกออกมาเป็นความหมาย ชนิด ประเภทศ และขอบขายของการวิจัยได้ วัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาความหมายของการวิจัย และการวิจัยทางการศึกษา 2. เพื่อศึกษาถึงขอบข่ายและกระบวนการของการวิจัยทางการศึกษา 3. เพื่อการวิเคราะห์การวิจัยทางการศึกษาอันนำไปสู่การพัฒนาปัญญา กิจกรรมระหว่างเรียน 1.การบรรยายในชั้นเรียน 2.ผู้สอนผู้บรรยาย บรรยายตามกรอบของการบรรยาย สื่อการสอน 1.เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 2. เอกสารประกอบการสอน 3. สื่อ Power Point สื่ออื่น เช่น Flip Chart


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 27 การประเมินผล 1.ประเมินผลความสนใจของผู้ศึกษาขณะเรียน 2.การชักถาม ถามตอบ ของผู้เรียนขณะเรียน 3.การประเมินระหว่างเรียน การประเมินกลางภาค และการสอบประเมินปลายภาค


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 28 บทที่2 การวิจัยทางการศึกษาเพื่อพัฒนาปัญญา การวิจัยเป็นวิธีการแสวงหาความรู้ใหม่โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มีจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อ การอธิบาย )Explanation) ทำนาย )Prediction) และควบคุม )Control) ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทั้งทางด้าน วิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์โดยทั่วไปแล้วนักวิชาการได้จัดแบ่งประเภทของงานวิจัยตามเกณฑ์ประโยชน์อัน ที่จะเกิดขึ้นจากการศึกษาวิจัยออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ การวิจัยบริสุทธิ์)Pure Research) และการวิจัย ประยุกต์)Applied Research) การวิจัยเชิงปฏิบัติการ )Action Research) จะเป็นการวิจัยประยุกต์โดยเป็น การวิจัยที่มุ่งจะนำผลที่ได้จาก การศึกษาวิจัยไปใช้ในการปฏิบัติพัฒนาปรับปรุงผลการปฏิบัติงานขององค์กรให้ มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด เน้นการประยุกต์ใช้ความรู้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่ได้จาก การ ศึกษาวิจัยมากกว่าการมุ่งสร้างและพัฒนาองค์ความรู้)Body of Knowledge) ของศาสตร์นั้น ๆ โดยในศาสตร์ ทางการศึกษา )Education) จะให้ความสำคัญทั้งการวิจัยบริสุทธิ์และการวิจัยประยุกต์ขึ้นอยู่กับระดับของ การแสวงหาและการใช้องค์ความรู้ของศาสตร์บริหารการศึกษานั้น ๆ ว่าจะเป็นในลักษณะของการมุ่งเป็น นักวิชาการ )Academic) หรือเป็นผู้บริหาร )Administrator) สำหรับนักบริหารการศึกษามืออาชีพที่ จำเป็นต้องสร้างระบบการศึกษา และการบริหารจัดการของสถานศึกษา โดยมีเป้าหมายมุ่งสู่การพัฒนานักเรียน เป็นคนเก่ง คนดีคนมีความสุข และสร้างคุณลักษณะของการเป็นบุคคลที่พึงประสงค์ในยุคสังคมแห่งการเรียนรู้ )Learning Society) ประกอบกับแนวคิดของการบริหารจัดการศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน )School-based Management) ที่มุ่งเน้นการกระจายอำนาจการบริหารทั้งทางด้านวิชาการ การงบประมาณ การบริหารงาน บุคคล และการบริหารงานทั่วไป สู่สถานศึกษาโดยตรง ระบบการบริหารจัดการศึกษาจึงต้องการคุณภาพ ประสิทธิภาพ และประสิทธิผลเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นนักบริหารการศึกษาจึงจำเป็นต้องอาศัยกระบวนการวิจัยเชิง ปฏิบัติการสำหรับใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาระบบการจัดการทางการศึกษาของสถานศึกษาให้มี คุณภาพมากยิ่งขึ้น )วีระยุทธ ชาตะกาญจน์, 2557: 124) ในบทนี้จะนำเสนอสาระสำคัญเกี่ยวกับการวิจัยทางการศึกษา ตามลำดับดังนี้ 2.1ความหมายของการวิจัย 2.2ความหมายของการวิจัยทางการศึกษา 2.3ขอบข่ายการวิจัยทางการศึกษา 2.4กระบวนการวิจัยทางการศึกษา 2.5การวิเคราะห์การวิจัยทางการศึกษา แสดงรายละเอียดของเนื้อหาได้ดังนี้


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 29 2.1 ความหมายของการวิจัย พระเทพเวที )ประยุทธ์ ปยุตโต( )2534) ได้ให้ความหมายการวิจัยตามความหมายทางพุทธศาสนา คือ ลักษณะหนึ่งของการใช้ปัญญา พร้อมทั้งเป็นการทำให้เกิดปัญญา หรือการทำให้ปัญญาพัฒนาขึ้น การวิจัยมี ความหมาย 4 ระดับ คือ 1) ค้นหาความจริง 2) ค้นหาสิ่งดี สิ่งที่ต้องการ สิ่งที่เป็นประโยชน์ 3) ค้นหาทางที่จะ ทำให้ดี หรือ หาวิธีที่จะทำให้ดี และ 4) หาวิธีที่จะทำให้สำเร็จ อุมาพร จามรมาน )2550: 5) ให้ความหมายการวิจัยว่าหมายถึงการเสาะแสวงหาความรู้ใหม่ วิธีการ แก้ปัญหาระบบใหม่ คำตอบใหม่ โดยใช้กระบวนการที่เชื่อถือได้ หรือกระบวนการที่ยอมรับในศาสตร์นั้น ๆ ศักดิ์ไทย สุรกิจบวร )2549: 1) กล่าวว่า การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของทุกศาสตร์สาขา เป้าหมายสำคัญของการวิจัย คือ การได้มาซึ่งองค์ความรู้ และความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่เราต้องการศึกษาอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ อัน เป็นการกระทำที่เป็นระบบที่สามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ โดยจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อผู้ที่แสวงหาความรู้หรือ ผู้วิจัย มีความรู้ความเข้าใจในวิธีวิทยาการวิจัยเพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งความรู้ ความเข้าใจในเนื้อหาสาระของ ประเด็นที่ตนเองต้องการศึกษาก่อนที่จะลงมือทำการวิจัย บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์ )2540: 15) ได้ให้ความหมายของการวิจัยไว้ว่า การวิจัยเป็นกระบวนการ ค้นคว้าหาความจริงหรือปรากฏการณ์ตามธรรมชาติอย่างมีระบบระเบียบและมีจุดมุ่งหมายที่แน่นอน เพื่อให้ได้ ความรู้ที่เชื่อถือได้ ซึ่งตามความหมายนี้ การวิจัยจะต้องประกอบด้วยลักษณะ 3 ประการ คือ 1) เป็น กระบวนการค้นคว้าหาข้อเท็จจริงหรือปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ 2) เป็นกระบวนการหรือการกระทำที่มี ระบบระเบียบ และ 3) เป็นการกระทำที่มีจุดมุ่งหมายแน่นอน สุนีย์ มัลลิกะมาลย์ )2555) กล่าวว่า ในการประชุมที่ Pan Pacific Science Congress ค.ศ. 1961 ยัง ได้แยกความหมายของตัวอักษรแต่ละคำว่า “RESEARCH” ไว้ดังนี้; R = Recruitment and Relationship, E = Education and Efficiency, S = Science and Stimulation, E = Evaluation and Environment, A = Aim and Attitude, R = Result, C = Curiosity, และ H = Horizon อเนก พ.อนุกูลบุตร )2556:7) ได้กล่าวว่า การวิจัย )Research) เป็นกระบวนการศึกษาหาความรู้ใหม่ ที่เป็นระบบ เพื่อค้นพบความจริงหรือแก้ปัญหาได้ หรือกล่าวได้ว่าวิจัยในศาสตร์ต่าง ๆ เป็นกระบวนการในการ ค้นคว้าหาความรู้ใหม่ โดยใช้ระเบียบวิธีวิทยาศาสตร์เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ความจริงที่เชื่อถือได้ ซึ่งอาจจะมี ระดับความเข้มที่ใช้ระเบียบวิธีวิทยาศาสตร์ที่ต่างกันไปตามสาขาวิชา สาขาที่ใช้อย่างเคร่งครัดคือสาขา วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ และวิทยาศาสตร์ประยุกต์ รองลงมาคือสังคมศาสตร์ และที่ใช้เข้มข้นน้อยคือสาขา มนุษยศาสตร์ ซึ่งกล่าวได้ว่าการวิจัยในศาสตร์สาขาต่าง ๆ เป็นการใช้ระเบียบวิธีวิทยาศาสตร์ในการค้นคว้า ความรู้ใหม่ ๆ นั่นเอง ศิริชัย กาญจนวาสี ทวีวัฒน์ ปิตยานนท์ และ ดิเรก ศรีสุโข )2540: 2) กล่าวว่า การวิจัย คือ กระบวนการแสวงหาหรือพัฒนาองค์ความรู้ ที่มีลักษณะเป็นนัยทั่วไปอย่างมีระบบแบบแผนโดยวิธีการอันเป็นที่ เชื่อถือได้


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 30 สุชาติ ประสิทธิ์รัฐสินธุ์ )2540: 1) กล่าวว่า การวิจัย หมายถึง กระบวนการแสวงหาความรู้ ความเข้าใจ ที่ถูกต้องในสิ่งที่ต้องการศึกษา มีการเก็บรวบรวมข้อมูล การจัดระเบียบข้อมูล การวิเคราะห์และการ ตีความหมายผลที่ได้จากการวิเคราะห์ ทั้งนี้เพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบอัน ถูกต้อง Kerlinger & Lee (2000: 14) ให้ความหมายของการวิจัยว่าเป็นการศึกษาค้นคว้าอย่างมีวิจารณญาณ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรของเหตุการณ์ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ โดยใช้วิธีการเชิงระบบ )Systematic) มีการควบคุม )Control) และเป็นเชิงประจักษ์ )Empirical) คำว่า เชิงระบบและมีการควบคุม หมายถึง การมีขั้นตอนเป็นระเบียบแบบแผน สามารถตรวจสอบได้ ส่วนคำว่า เชิงประจักษ์ หมายถึง ผลที่ได้ จากการศึกษาสามารถพิสูจน์ได้โดยวิธีการอื่น ๆ แล้วได้ผลเช่นเดิม Best & Kahn (2006: 25) ได้ให้ความหมายของการวิจัยไว้ว่าเป็นการวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ อย่างมี จุดมุ่งหมาย อย่างมีระบบระเบียบ และบันทึกผลการวิเคราะห์หรือการสังเกต เพื่อการสรุปอ้างอิง )generalization) เพื่อพัฒนาทฤษฎีเพื่อการพยากรณ์ และเพื่อควบคุมเหตุการณ์ )events) ต่าง ๆ สรุปได้ว่า การวิจัย หมายถึง การค้นคว้า สอบสวน รวบรวม เพื่อหาข้อมูลตามหลักวิชาทั้งในงานด้าน วิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ และศาสตร์แขนงอื่น ๆ โดยใช้วิธีการที่มีระบบแบบแผนตามหลักการเพื่อให้ได้มาซึ่ง คำตอบและสามารถนำไปใช้แก้ไขปัญหาหรือพัฒนาองค์ความรู้ต่อไป 2.2 ความหมายของการวิจัยทางการศึกษา การวิจัยทางการศึกษา เป็นการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับการศึกษาซึ่งมีนักวิชาการที่ได้ให้ความหมายไว้ทั้ง สอดคล้องและแตกต่างกันดังนี้ วิจิตร ศรีสอ้าน และทองอินทร์ วงศ์โสธร )2550: 19) ได้ให้ความหมายของการวิจัยทางการศึกษาไว้ ดังนี้ 1. การวิจัยการทางศึกษาเป็นการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับกิจกรรมของครู นักเรียน และผู้บริหาร 2. การร่วมมือกันจัดการเรียนการสอน 3. เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางการศึกษา 4. โดยใช้กระบวนการและทรัพยากรที่เหมาะสม วีระยุทธ ชาตะกาญจน์ )2557: 7-8) การวิจัยทางการศึกษา หมายถึง กระบวนการแสวงหาความรู้ ความจริงที่เกี่ยวกับเนื้อหาสาระทางการศึกษา โดยอาศัยวิธีการที่มีระบบ แบบแผน และมีจุดมุ่งหมายที่แน่นอน เพื่อให้ได้องค์ความรู้ที่เป็นแนวคิด กฎ ทฤษฎี หลักการ หรือวิธีการต่าง ๆ ในการพัฒนาระบบการบริหาร การศึกษาที่เหมาะสมต่อไป Glatter (1979: 16 อ้างใน วิจิตร ศรีสอ้าน และทองอินทร์ วงศ์โสธร, 2550: 19) ได้ให้ความหมาย ของการวิจัยทางการศึกษาว่าหมายถึง การศึกษาที่เกี่ยวข้องกับ 1. การดำเนินการภายในของสถาบันการศึกษา 2 .สภาพแวดล้อมของสถาบันการศึกษา


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 31 3. องค์กรที่ทำหน้าที่ควบคุมดูแลสถาบันการศึกษา Haller & Knapp (1985: 161) ได้ให้ความหมายของการวิจัยทางการศึกษา คือ การศึกษา ความสัมพันธ์ที่เป็นรูปแบบระหว่างองค์ประกอบที่พบเห็นประจำ 5 ประการ คือ 1) เนื้อหาหลักสูตร 2) ผู้เรียน 3) ครู 4) สภาพแวดล้อม 5) ผู้บริหาร โดยมีจุดเน้นที่เป็นผลกระทบของความสัมพันธ์ต่อการถ่ายทอดความรู้สู่ ผู้เรียน การวิจัยนั้นมุ่งศึกษาและพัฒนาทางด้านการศึกษาเป็นโครงการวิจัยและพัฒนาที่มีลักษณะแตกต่าง จากการวิจัยพื้นฐานและการวิจัยประยุกต์อยู่ 4 ประการ )โชติ เพชรชื่น, 2529 อ้างถึงใน ศักดิ์ไทย สุรกิจบวร, 2549: 7-9) ได้แก่ 1. การวิจัยพื้นฐานและการวิจัยประยุกต์ เป็นการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ใหม่ ๆ ผลจากการวิจัยก็จะ รายงานในวารสารทางวิชาการเล่มใดเล่มหนึ่ง แต่จุดมุ่งหมายของการวิจัยเพื่อพัฒนาทางการศึกษาอยู่ที่เมื่อ ได้ผลวิจัยมาแล้วต้องนำไปใช้ในโรงเรียนหรือหน่วยงานทางการศึกษาทันที ผลจากการวิจัยอาจจะรายงานในรูป เอกสาร ตำรา โสตทัศนวัสดุ คู่มือการฝึก หรือเครื่องมืออื่น ๆ 2. การวิจัยพื้นฐานและการวิจัยประยุกต์ ปกติจะกระทำในขอบเขตแคบ ๆ โดยบุคคลคนหนึ่ง แต่การ วิจัยเพื่อพัฒนาการบริหารการศึกษาจะทำกันเป็นคณะ มีทั้งนักวิจัย ผู้ช่วยนักวิจัยและที่ปรึกษานักวิจัย 3. การวิจัยพื้นฐานและการวิจัยประยุกต์ใช้เวลาน้อยกว่าการวิจัยเพื่อพัฒนาการด้านศึกษา คืออาจใช้ เวลาประมาณ 6 เดือนเสร็จ แต่การวิจัยเพื่อพัฒนาการศึกษาใช้เวลาเป็นปีกว่าจะเสร็จ 4. ความแตกต่างของขั้นตอนในการทำการวิจัยพื้นฐานและการวิจัยประยุกต์โดยทั่วไปจะเริ่มด้วย ปัญหาหรือสมมติฐาน จากนั้นก็เลือกตัวอย่าง เก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีการทางสถิติ และ สรุปผลตามสมมติฐาน หรือปัญหาการวิจัยที่วางไว้ แต่การวิจัยเพื่อพัฒนาการบริหารการศึกษามีขั้นตอนในการ ดำเนินการแตกต่างไปจากขั้นตอนของการวิจัยพื้นฐานและการวิจัยประยุกต์ คือมีขั้นตอนดังต่อไปนี้ 4.1 ตั้งวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม )อาจมีหลายวัตถุประสงค์( เพื่อจะได้ทราบว่าผลที่ออกมา ควรมีลักษณะเป็นอย่างไร เช่น ผลของหลักสูตรใหม่ นักวิจัยอาจตั้งวัตถุประสงค์ในด้านความรู้ ทักษะ และเจตคติที่นักเรียนพึงมีภายหลังที่เรียนจบหลักสูตรแล้ว 4.2 ดำเนินการวิจัยและศึกษางานวิจัยก่อน ๆ เพื่อค้นหาข้อบกพร่องของการวิจัย และหา วิธีการแก้ไขข้อบกพร่องเหล่านั้น 4.3 ใช้ผลการวิจัยที่ได้เพื่อพัฒนาส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทุก ๆ ส่วนของเรื่องนั้น ซึ่งเห็นว่าจะ เป็นหนทางให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ได้ดังตั้งไว้ 4.4 ทดสอบผลดังกล่าวในแง่ที่ว่า ผลนั้นอาจนำไปใช้ได้ดีหรือไม่ พร้อมทั้งการประเมินการ บรรลุดังกล่าว 4.5 พิจารณาทบทวนผลที่ได้โดยการใช้ผลการทดสอบภาคสนามประกอบ 4.6 ทำซ้ำใน 4.4 - 4.5 จนกระทั่งบรรลุวัตถุประสงค์ หรือจนกระทั่งเห็นว่าการใช้วิธีการ ดังกล่าวไม่อาจบรรลุผลได้แน่


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 32 4.7 ถ้าหากพบความสำเร็จก็นำผลการวิจัยไปใช้ต่อ อาจจำเป็นต้องทำการฝึกอบรม พัฒนาบุคลากร ในโรงเรียนให้สามารถใช้ผลการวิจัยดังกล่าวได้ด้วย การวิจัยเพื่อพัฒนาทางการศึกษาเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากคล้าย ๆ กับเป็นการเชื่อมงานวิจัย กับการปฏิบัติการในห้องเรียน โรงเรียนหรือหน่วยงานทางการศึกษา ทั้งนี้เพื่อใช้สำหรับเป็นแนวทางในการ พัฒนาและปรับปรุงระบบ หรืองานต่าง ๆ ให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น สรุปได้ว่า การวิจัยทางการศึกษา หมายถึง กระบวนการแสวงหาความรู้เกี่ยวกับเนื้อหาทางการศึกษา โดยอาศัยวิธีการที่มีระเบียบแบบแผนที่แน่นอน เพื่อให้ได้องค์ความรู้ในการพัฒนาระบบการจัดการศึกษา 2.3 ขอบข่ายการวิจัยทางการศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษาในยุคปฏิรูปการศึกษา นอกจากจำเป็นต้องเรียนรู้และมีความสามารถทางการ บริหารในเรื่องต่าง ๆ แล้ว ยังจำเป็นต้องเรียนรู้และมีความสามารถในการทำการใช้ และการชี้นำการจัดทำ งานวิจัยในโรงเรียนและหน่วยงานทางการศึกษาด้วย )ประยูร ศรีประสาธน์, 2546: 27) ทั้งนี้เพราะการบริหาร การศึกษายุคใหม่มุ่งเน้นการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการของชุมชน ดังนั้น ผู้บริหารโรงเรียนจึง จำเป็นที่จะต้องศึกษาและทำความเข้าใจในชุมชนที่โรงเรียนตั้งอยู่เป็นอย่างดี เพื่อที่จะสามารถนำข้อมูล เกี่ยวกับชุมชนมาใช้เป็นประโยชน์เพื่อการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาและจัดการศึกษาให้ตอบสนองต่อความ ต้องการของชุมชน วิธีการหนึ่งที่จะทำให้ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับชุมชนอย่างละเอียดถูกต้อง ก็คือ การวิจัยอย่าง เป็นระบบ โดยผู้บริหารอาจจะจัดทำเองหรือเป็นผู้นำคณะครูในโรงเรียนจัดทำก็ได้ ในขณะเดียวกันตามแนว หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานมีข้อกำหนดให้ครูทำการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ จึงเป็นความรับผิดชอบของ ผู้บริหารโรงเรียนอีกเช่นกันที่จะต้องกระตุ้นและเป็นผู้นำครูให้ทำวิจัยในชั้นเรียน สำหรับผู้บริหารในระดับเขต พื้นที่การศึกษาก็มีความจำเป็นที่จะต้องประเมินการจัดการศึกษาในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบ เพื่อให้ข้อเสนอแนะ เกี่ยวกับการจัดและพัฒนาการศึกษาแก่สถานศึกษาต่าง ๆ ด้วยความจำเป็นดังกล่าว ผู้บริหารสถานศึกษาและ ผู้บริหารการศึกษาจึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีความสามารถในการทำ การนำ และการใช้งานวิจัยเพื่อการ บริหารการศึกษา )วีระยุทธ ชาตะกาญจน์, 2557: 8) ผู้ปฏิบัติงานเพื่อการบริหารการศึกษาประกอบด้วยผู้บริหารสถานศึกษา และผู้บริหารการศึกษา ได้แก่ ผู้อำนวยการโรงเรียน รองผู้อำนวยการโรงเรียน ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และรอง ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา อธิการบดี รองอธิการบดี รวมทั้งผู้บริหารการศึกษาระดับสูงของแต่ ละสำนัก ผู้บริหารเหล่านี้ทำหน้าที่บริหารจัดการในแต่ละสถาบันการศึกษาระดับต่าง ๆ นับตั้งแต่ระดับอนุบาล จนถึงระดับอุดมศึกษา ซึ่งในการบริหารผู้บริหารย่อมปฏิบัติภารกิจทางการบริหารตามกระบวนการบริหารที่ เหมาะสม ภารกิจในการบริหารของสถานศึกษามีงานที่สำคัญอยู่ 4 ประเภท คือ งานบริหารวิชาการ งานบริหาร บุคคล งานบริหารงบประมาณ และงานบริหารทั่วไป แต่ละภารกิจมีขอบข่าย )วีระยุทธ ชาตะกาญจน์, 2557: 9-11) ดังนี้


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 33 1. งานบริหารวิชาการ 1.1 การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา 1.2 การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ 1.3 การวัดผล ประเมินผล และเทียบโอนผลการเรียน 1.4 การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา 1.5 การพัฒนาสื่อ นวัตกรรม และเทคโนโลยี ทางการศึกษา 1.6 การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ 1.7 การนิเทศการศึกษา 1.8 การแนะแนวการศึกษา 1.9 การพัฒนาระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา 1.10 การส่งเสริมความรู้ด้านวิชาการแก่ชุมชน 1.11 การประสานความร่วมมือในการพัฒนาวิชาการกับสถานศึกษาอื่น 1.12 การส่งเสริมและสนับสนุนงานวิชาการแก่บุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงาน และ สถาบันอื่นที่จัดการศึกษา 2. งานบริหารบุคคล 2.1 การวางแผนอัตรากำลังและกำหนดตำแหน่ง 2.2 การสรรหาและการบรรจุแต่งตั้ง 2.3 การเสริมสร้างประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ 2.4 วินัยและการรักษาวินัย 2.5 การออกจากราชการ 3. งานบริหารงบประมาณ 3.1 การจัดทำและเสนอของบประมาณ 3.2 การจัดสรรงบประมาณ 3.3 การตรวจสอบ ติดตาม ประเมินผล และรายงานผลการใช้เงินและผลการดำเนินงาน 3.4 การระดมทรัพยากรและการลงทุนเพื่อการศึกษา 3.5 การบริหารการเงิน 3.6 การบริหารบัญชี 3.7 การบริหารพัสดุและสินทรัพย์ 4. งานบริหารทั่วไป 4.1 การดำเนินงานธุรการ 4.2 งานเลขานุการคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน 4.3 งานพัฒนาระบบและเครือข่ายข้อมูลสารสนเทศ


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 34 4.4 การประสานและพัฒนาเครือข่ายการศึกษา 4.5 การจัดระบบการบริหารและพัฒนาองค์กร 4.6 งานเทคโนโลยีสารสนเทศ 4.7 การส่งเสริม สนับสนุนด้านวิชาการ งบประมาณ บุคลากร และบริหารทั่วไป 4.8 การจัดสถานที่และสภาพแวดล้อม 4.9 การจัดทำสำมะโนผู้เรียน 4.10 การรับนักเรียน 4.11 การส่งเสริมและประสานงานการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย 4.12 การระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา 4.13 งานส่งเสริมงานกิจการนักเรียน 4.14 การประชาสัมพันธ์งานการศึกษา 4.15 งานประสานราชการกับเขตพื้นที่การศึกษาและหน่วยงานอื่น ๆ 4.16 การจัดระบบการควบคุมภายในหน่วยงาน 4.17 งานบริการสาธารณะ 4.18 งานที่ไม่ได้ระบุไว้ในงานอื่น กระบวนการบริหารที่นักบริหารรู้จักและเข้าใจกันเป็นอย่างดี คือ POSLD มีอยู่ 5 ประการ คือ 1) การ วางแผน )Planning) 2) การจัดองค์การ )Organizing) 3) การจัดบุคลากร )Staffing) 4) การชี้นำ )Leading) และ 5) การประสานและอำนวยการ )Directing) เมื่อนำมิติทั้งสาม คือ ระดับหรือประเภทการศึกษา ภารกิจ ของผู้บริหารและกระบวนการบริหารมาประกอบกันก็จะได้แนวคิดเกี่ยวกับขอบข่ายของการวิจัยการบริหาร การศึกษา )วิจิตร ศรีสอ้าน และทองอินทร์ วงศ์โสธร, 2550: 22) Hoy & Miskel (2008) ได้สรุปลักษณะงานบริหารการศึกษากับทฤษฎีหรือหลักการบริหารที่ใช้ทำให้ เกิดแนวทางการวิจัยการบริหารการศึกษา ดังแสดงในตารางที่ 2.1 ตารางที่2.1 สรุปลักษณะงานบริหารการศึกษากับทฤษฎีหรือหลักการบริหาร ขอบข่าย ทฤษฎีตัวแบบ/ .1โรงเรียนในฐานะเป็นระบบสังคม ทฤษฎีระบบ ทฤษฎีระบบเปิด ทฤษฎีระบบสังคม แนวคิดองค์กรแห่งการเรียนรู้ .2การจัดการเรียนรู้และการสอน แนวคิดพฤติกรรมการเรียนรู้ แนวคิดพฤติกรรมการสอน


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 35 การจัดการเรียนรู้และการสอนแบบ Congnitive การจัดการเรียนรู้และการสอนแบบ Constructivist โครงสร้างองค์การในโรงเรียน .3 ตัวแบบระบบราชการ โครงสร้างตามแนวคิดของ Hall โครงสร้างตามแนวคิดของ Mintzberg ทฤษฎีโครงสร้างโรงเรียนแบบหลวม ๆ ความขัดแย้งของระบบราชการและองค์กรวิชาชีพ แรงจูงใจในโรงเรียน .4 ทฤษฎีความต้องการของ Maslow ทฤษฎีความคาดหวัง ทฤษฎีเป้าหมาย แนวคิดแรงจูงใจภายในและแรงจูงใจภายนอก ตารางที่ )ต่อ( 2.1 ขอบข่าย ทฤษฎีตัวแบบ/ 5.วัฒนธรรมและบรรยากาศของ โรงเรียน แนวคิดวัฒนธรรมขององค์การ แนวคิดบรรยากาศขององค์การ แนวคิดการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมและบรรยากาศของ โรงเรียน 6. อำนาจและการเมืองในโรงเรียน แนวคิดแหล่งที่มาของอำนาจและบารมี ทฤษฎีอำนาจของ Mintzberg ทฤษฎีอำนาจของ Etzioni อำนาจและการเมืองในองค์กร สภาพแวดล้อมภายนอกของโรงเรียน .7 โลกทัศน์แห่งข่าวสาร โลกทัศน์แห่งการพึ่งพิงทรัพยากร โลกทัศน์แห่งการเป็นสถาบัน .8ประสิทธิผล ความรับผิดชอบ และ การพัฒนาปรับปรุงองค์การของโรงเรียน ตัวแบบเป้าหมาย ตัวแบบทรัพยากรระบบ ตัวแบบผสม


Click to View FlipBook Version