The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ดร.ลำพอง กลมกูล (2567). เอกสารประกอบการสอน การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ (รหัสวิชา 200 308) Research fo Learning Development (200 308)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by polmcu, 2024-02-09 12:01:52

การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ (รหัสวิชา 200 308) Research fo Learning Development (200 308)

ดร.ลำพอง กลมกูล (2567). เอกสารประกอบการสอน การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ (รหัสวิชา 200 308) Research fo Learning Development (200 308)

วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 36 แนวคิดความรับผิดชอบต่อสังคมและการปฏิรูประบบ การศึกษา การตัดสินใจในโรงเรียน .9 ตัวแบบคลาสสิก ตัวแบบบริหาร ตัวแบบสะสม ตัวแบบถังขยะ ทฤษฎีความขัดแย้งในการตัดสินใจ .10การเสริมพลังอำนาจครู ตัวแบบการตัดสินใจร่วมของวรูม ตัวแบบการตัดสินใจร่วมของฮอยและทาร์เทอร์ การสื่อสาร .11 กรอบแนวคิดทางสังคมวิทยา -จิตวิทยา กรอบแนวคิดการสื่อสารแบบทางการและ ไม่เป็นทางการ ภาวะผู้นำ .12 ทฤษฎีคุณลักษณะและทักษะผู้นำ ทฤษฎีพฤติกรรมผู้นำ ทฤษฎีผู้นำตามสถานการณ์ ทฤษฎีภาวะผู้นำเพื่อการเปลี่ยนแปลง สรุปได้ว่า งานวิจัยทางการศึกษานั้นสามารถแบ่งออกเป็น 12กลุ่ม( วีระยุทธชาตะกาญจน์ )15-9 :2557 ,ดังนี้ .1งานวิจัยเกี่ยวกับโรงเรียน .2งานวิจัยเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้และการสอน .3งานวิจัยเกี่ยวกับโครงสร้างของโรงเรียน .4งานวิจัยเกี่ยวกับแรงจูงใจโรงเรียน .5งานวิจัยเกี่ยวกับวัฒนธรรมและบรรยากาศของโรงเรียน .6งานวิจัยเกี่ยวกับอำนาจและการเมืองในโรงเรียน .7งานวิจัยเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมภายนอกโรงเรียน .8งานวิจัยเกี่ยวกับประสิทธิผล ความรับผิดชอบ และการพัฒนาปรับปรุงของโรงเรียน .9งานวิจัยเกี่ยวกับการตัดสินใจในโรงเรียน .10งานวิจัยเกี่ยวกับการเสริมพลังอำนาจครู .11งานวิจัยเกี่ยวกับการสื่อสาร .12งานวิจัยเกี่ยวกับภาวะผู้นำ


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 37 สรุปได้ว่า วิจัยทางการบริหารการศึกษาสามารถสรุปขอบข่ายงานวิจัยตามขอบข่ายของการบริหาร การศึกษา 4 ประเภท คือ งานบริหารวิชาการ งานบริหารบุคคล งานบริหารงบประมาณ และงานบริหารทั่วไป 2.4 กระบวนการวิจัยทางการศึกษา ผู้บริหารจึงจำเป็นต้องมีความรู้ความสามารถในการจัดทำการวิจัย มีความสามารถในการนำครูและ บุคลากรในสถานศึกษาและหน่วยงานในการทำการวิจัย รวมทั้งการนำการวิจัยมาใช้เป็นพื้นฐานและเป็น ประโยชน์ต่อการบริหารและตัดสินใจของตน โดยความจำเป็นดังกล่าวจึงทำให้ผู้บริหารมีความจำเป็นต้องมี ความสามารถในการพิจารณาและประเมินคุณค่าของการวิจัยว่าดีเพียงพอที่จะนำไปใช้เป็นพื้นฐานหรือเป็น ประโยชน์ต่อการบริหารจัดการและการตัดสินใจในหน่วยงานของตนหรือไม่ เพียงไร( วีระยุทธ ชาตะกาญจน์ , )23 :2557ซึ่งนักวิชาการหลายท่านได้เสนอกระบวนการวิจัยที่สามารถนำมาใช้เป็นกระบวนการวิจัยทาง การศึกษาที่แตกต่างกัน ดังนี้ อุทุมพร จามรมาน )9 :2550( ได้ระบุกระบวนการวิจัยเป็น 7 ขั้นตอน ดังนี้ .1กำหนดปัญหาวิจัย .2ตั้งสมมติฐานการวิจัย 3กำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย .4ออกแบบการวิจัย .5ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล .6วิเคราะห์และประมวลผลข้อมูล .7เขียนรายงานการวิจัย วีระยุทธ ชาตะกาญจน์ )22 :2557( ได้สรุปกระบวนการวิจัยทางการศึกษามีขั้นตอนที่สำคัญ 7 ขั้นตอน ดังนี้ .1การกำหนดหัวข้อหรือเรื่องที่จะทำการวิจัย .2การกำหนดวัตถุประสงค์การวิจัย .3การกำหนดขอบเขตและวิธีการวิจัย .4สร้างเครื่องมือการวิจัย .5การเก็บรวบรวม .6วิเคราะห์ข้อมูล .7การเขียนรายงานการวิจัย พวงรัตน์ทวีรัตน์ )15 :2538( ได้สรุปกระบวนการวิจัยในเชิงปฏิบัติเป็น 13 ขั้นตอน ดังนี้ 1. เลือกหัวข้อปัญหา 2. ศึกษาค้นคว้าทฤษฎี


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 38 3. ให้คำจำกัดความปัญหา 4สร้างสมมติฐาน 5. พิจารณาขัดเกลาปัญหาและสมมติฐาน 6. พิจารณาแหล่งที่มาของข้อมูล 7. วางแบบแผนการวิจัย 8. สร้างเครื่องมือ 9. ทดลองทำและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ 10. เลือกกลุ่มตัวอย่างและกำหนดขนาดตัวอย่าง 11. เก็บรวบรวมข้อมูลจริง 12. จัดกระทำข้อมูล 13. เขียนรายงานการวิจัย อเนก พ.อนุกูลบุตร )11-10 :2556( ได้กล่าวถึงขั้นตอนพื้นฐานสำหรับการวิจัยไว้ว่า .1กำหนดสาขาหรือแขนงของวิจัย 2 .สำรวจเอกสารที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ทฤษฎีหลักการ ผลการวิจัยที่เกี่ยวข้อง 3. บ่งปัญหาจริงที่จะตรวจสอบให้ชัดเจนและเจาะจง 4. สร้างสมมติฐานที่สามารถทดสอบได้และนิยามมโนมติพื้นฐานและตัวแปรต่าง ๆ 5. บ่งข้อตกลงเบื้องต้นที่จะเป็นกรอบ หรือรากฐานของการแปลผล 6. สร้างแบบวิจัย(Research Design )ที่จะให้ความเที่ยงตรงสูงสุดทั้งภายในและภายนอก ดังนี้ 1( การเลือกสิ่งหรือหน่วยที่จะนำมาศึกษาวิจัย( Subject ) 2( การควบคุมและ/หรือ จัดกระทำตัวแปรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง 3( ตั้งเกณฑ์ในการประเมินผลลัพธ์ที่ได้ออกมา 4( การเลือกสร้างหรือพัฒนาเครื่องมือและค่าวัดตัวแปรเกณฑ์( Criterion Measures) .7กำหนดกระบวนการในการเก็บรวบรวมข้อมูล .8เลือกระเบียบวิธีในการวิเคราะห์ข้อมูล .9ดำเนินการวิจัยตามแผนการทำวิจัยที่วางไว้ .10ประเมินผลลัพธ์และลงสรุป( Conclusions) Hussey & Hussey( 1997 :15 )ได้ระบุกระบวนการวิจัยสำหรับการทำวิทยานิพนธ์ดังนี้ 1. กำหนดหัวข้อวิจัย 2. นิยามปัญหาวิจัย 3. พิจารณาว่าจะดำเนินการวิจัยอย่างไร 4. เก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัย


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 39 5. วิเคราะห์และตีความข้อมูล 6. เขียนรายงานการวิจัย Wiersma (1991 :8 )ได้กำหนดกระบวนการวิจัยไว้5 ขั้นตอน ได้แก่ )1 กำหนดปัญหา )2 ทบทวนวรรณกรรม )3รวบรวมข้อมูล )4 วิเคราะห์ข้อมูล และ )5 สรุปผล Fraenkel & Wallen( 2006 :19 )ได้สรุปกระบวนการวิจัยเป็น 8 ขั้นตอน ดังนี้ 1 .กำหนดปัญหา( Research Problem) 2. ตั้งสมมติฐานหรือคำถาม( Hypothesis or Questions) 3 .กำหนดกรอบการวิจัย( Definitions) 4. ทบทวนวรรณกรรม( Literature Review) 5. กำหนดกลุ่มตัวอย่าง( Sample) 6. สร้างเครื่องมือเก็บข้อมูล( Instrumentation) 7. วิธีการวิจัยหรือ ออกแบบการวิจัย( Procedures/Design) 8. วิเคราะห์ข้อมูล( Data Analysis) สรุปกระบวนการวิจัยทางการศึกษานั้น มีขั้นตอนที่สำคัญ ได้แก่ การเรื่องที่จะทำการวิจัย การกำหนด วัตถุประสงค์การกำหนดขอบเขตการวิจัย การกำหนดวิธีการวิจัย การสร้างและตรวจสอบเครื่องมือการวิจัย การเก็บรวบรวม การวิเคราะห์ข้อมูล และการเขียนรายงานการวิจัย 2.5 การวิเคราะห์การวิจัยทางการศึกษา ผู้บริหารยุคใหม่ตามแนวปฏิรูปการศึกษาต้องมีความสามารถในการวิจัย ทั้งจัดทำด้วยตนเองและเป็น ผู้นำครูในสถานศึกษาหรือบุคลากรในหน่วยงานในการดำเนินการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา การวิจัยเพื่อให้ ทราบถึงสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมของชุมชนที่สถานศึกษาและหน่วยงานการศึกษาตั้งอยู่ รวมทั้งความต้องการให้สถานศึกษาจัดการเรียนการสอนให้ตอบสนองความต้องการของท้องถิ่น และยังต้อง รับผิดชอบประเมินผลการจัดการเรียนการสอนของสถานศึกษา ตามแนวปฏิรูปการศึกษา ได้มีการกระจาย อำนาจทางการบริหารและการตัดสินใจไปยังสถานศึกษา และหน่วยงานทางการศึกษา ระดับเขตพื้นที่ การศึกษามากที่สุด ทั้งยังได้กำหนดภาระหน้าที่ของสถานศึกษา และหน่วยงานทางการศึกษาทุกระดับให้มี ระบบบริหารตัดสินใจแบบองค์คณะบุคคลที่มีผู้แทนองค์กร ชุมชน ผู้ปกครอง และบุคลากรทางการศึกษาเข้า ร่วมกำหนดนโยบายและแนวดำเนินงานของสถานศึกษา รวมถึงการกำหนดให้สถานศึกษาสามารถจัด การศึกษาทั้ง 3 ระบบ คือ การศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัยด้วย จากสภาพการณ์ดังกล่าวทำให้ การบริหารและการตัดสินใจของผู้บริหารสถานศึกษาและหน่วยงานการศึกษา จำเป็นจะต้องเป็นไปโดยอาศัย หลักการ ทฤษฎีระบบข้อมูลข่าวสาร และการวิจัยสนับสนุนเพื่อการบริหารและการตัดสินใจเป็นไปด้วยความ


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 40 โปร่งใสมีเหตุผล( วีระยุทธ ชาตะกาญจน์ )22 :2557( ในการวิเคราะห์การวิจัยทางการศึกษามีหลักการที่ นักวิชาการได้กล่าวไว้ดังนี้ อุทุมพร จามรมาน )2550: 52-54) ได้เสนอแนวคิดการวิเคราะห์การวิจัยทางการศึกษาไว้ดังนี้ 1 . พิจารณาความครบถ้วนของหัวข้อที่ควรปรากฏในรายงานการวิจัย รายงานการวิจัยที่ดีควรมีหัวข้อ ต่าง ๆ ครบถ้วนสมบูรณ์ โดยหัวข้อที่ควรมี คือ 1.1 ปัญหาวิจัย 1.2 วัตถุประสงค์ 1.3 สมมติฐานการวิจัย 1.4 ขอบเขตการวิจัย 1.5 ความไม่สมบูรณ์/ข้อจำกัดของการวิจัย 1.6 ข้อตกลงเบื้องต้น 1.7 นิยามเชิงปฏิบัติการ 1.8 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1.9 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1.10 กลุ่มผู้ให้ข้อมูล 1.11 เครื่องมือวิจัย 1.12 การเก็บรวบรวมข้อมูล 1.13 การวิเคราะห์ข้อมูล 1.14 การสรุปผลการวิจัย 1.15 การอภิปรายผล 2. ความชัดเจนของแต่ละหัวข้อในรายงานวิจัย ได้แก่ 2.1 ชื่อเรื่องที่ทำการวิจัย มีความชัดเจนและครอบคลุมประเด็นสำคัญที่ต้องการศึกษาหรือไม่ 2.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัยมีความชัดเจนและครอบคลุมเรื่องที่จะทำหรือไม่ 2.3 ปัญหาวิจัย ผู้วิจัยได้เสนอปัญหาที่ต้องการได้รับคำตอบจาก การวิจัยของตนได้ชัดเจน และครบถ้วนตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยหรือไม่ 2.4 สมมติฐานการวิจัย ผู้วิจัยได้ตั้งสมมติฐานการวิจัยโดยอาศัยแนวคิด ทฤษฎี และ ผลงานวิจัยที่ได้ศึกษาและวิเคราะห์จากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมากน้อยเพียงใด และมีการ เขียนที่ชัดเจนว่าต้องการพิสูจน์หรือทดสอบอะไร 2.5 ขอบเขตของการวิจัย งานวิจัยที่ศึกษามีการระบุตัวแปรและบทบาทของตัวแปรหรือไม่ มี การระบุหรือไม่ว่ากลุ่มผู้ให้ข้อมูลเป็นใคร ประเด็นที่ทำการวิจัยมีอะไรบ้างและครบถ้วนตามประเด็นที่ ต้องการศึกษาหรือไม่ 2.6 ความไม่สมบูรณ์และข้อจ ากัดของการวิจัย งานวิจัยขาดความสมบูรณ์ในประเด็นอะไรบ้าง มีการระบุไว้ชัดเจนหรือไม่


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 41 2.7 คำนิยามเชิงปฏิบัติการ งานวิจัยมีการนิยามคำสำคัญ ๆ ของการวิจัยไว้ครบถ้วนและ ชัดเจนหรือไม่ แต่ละคำเป็นการนิยามเชิงปฏิบัติการหรือเป็นเพียงคำนิยามทั่วไป โดยการนิยามเชิง ปฏิบัติการที่ให้สามารถนำไปวัดหรือปฏิบัติจริงได้มากน้อยเพียงใด 2.8 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ งานวิจัยได้เสนอประโยชน์ที่จะได้รับจาก การวิจัยชัดเจนและ เป็นไปได้หรือไม่ งานวิจัยดังกล่าวจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร 2.9 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง มีการนำเสนอได้อย่างกว้างขวาง เป็นระบบ เป็นขั้นตอน ต่อเนื่องอย่างกว้างขวางลึกซึ้งและชัดเจนมากน้อยเพียงใด มีการสรุปและวิเคราะห์หรือสังเคราะห์ อย่างชัดเจนเพียงใด มีการนำไปใช้ในการกำหนดวัตถุประสงค์กรอบแนวคิด สมมติฐาน เครื่องมือ และการอภิปรายผลการวิจัยมากน้อยเพียงใด 2.10 วิธีดำเนินการวิจัย ประกอบด้วย 1) กลุ่มผู้ให้ข้อมูล มีการระบุอย่างชัดเจนมากน้อยเพียงใดเกี่ยวกับขนาดและจำนวน ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง รวมทั้งคุณลักษณะและวิธีการได้มาซึ่งกลุ่มตัวอย่าง )การสุ่ม ตัวอย่าง( มีการนำเสนอวิธีการตรวจสอบความเป็นตัวแทนของประชากรหรือไม่ 2) เครื่องมือวิจัย มีการระบุวิธีการสร้าง วิธีการตรวจสอบ และผลการตรวจสอบ เครื่องมือวิจัยอย่างชัดเจนและเชื่อถือได้ 3) วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล มีการระบุขั้นตอนแต่ละวิธีการรวบรวมข้อมูลอย่าง ชัดเจนหรือไม่ และการเก็บรวบรวมจริงเป็นไปตามนั้นหรือไม่ เพราะเหตุใด 2.11 การวิเคราะห์ข้อมูล งานวิจัยที่พิจารณามีวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างไร มีความชัดเจน และสอดคล้องกับปัญหาวิจัย วัตถุประสงค์และสมมติฐานการวิจัยมากน้อยเพียงใด 2.12 การสรุปผลการวิจัย มีความชัดเจนและสอดคล้องกับชื่อเรื่องและวัตถุประสงค์การ วิจัยหรือไม่ 2.13 การอภิปราย มีความกว้างขวาง ลึกซึ้ง และชัดเจนมากน้อยเพียงใด มีการนำเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมาใช้เป็นประโยชน์ในการอภิปรายผลมากน้อยเพียงใด มีการนำเสนอให้เห็น ความสอดคล้องและเชื่อมโยงกับวัตถุประสงค์และสมมติฐานหรือไม่ 3. ความเชื่อมโยง มีประเด็นต่าง ๆ ที่ควรนำมาพิจารณา คือ 3.1 ความสอดคล้องเชื่อมโยงระหว่างชื่องานวิจัย ปัญหาวิจัย วัตถุประสงค์การวิจัย สมมติฐาน การวิจัย การวิเคราะห์ผล การสรุปและอภิปรายผลการวิจัย 3.2 ความเชื่อมโยงระหว่างเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับปัญหาวิจัย วัตถุประสงค์การ วิจัย สมมติฐานการวิจัย และการอภิปรายผลการวิจัย 4. ความถูกต้องของระบบและระเบียบวิธีวิจัย คุณลักษณะของการวิจัยที่ดีว่าขึ้นอยู่กับการใช้วิธีการวิจัยที่เป็นระบบและมีระเบียบ วิธีการ วิจัยนี้ชัดเจนเหมาะสม และตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักการและทฤษฎีโดยตลอด รวมทั้งมีการศึกษาและ


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 42 ประยุกต์ระบบและระเบียบวิธีการวิจัยอย่างละเอียด ระมัดระวัง และถูกต้องชัดเจน คุณลักษณะของ การวิจัยดังกล่าว มิได้หมายความว่าจะเป็นกระบวนที่ทำให้การค้นพบความรู้และสิ่งใหม่ ๆ เป็นสิ่งที่ เป็นไปไม่ได้ เพราะการวิจัยที่มีระเบียบวิธีการวิจัยที่ถูกต้องชัดเจนจะเป็นสิ่งที่ทำให้งานวิจัยมีความ คล่องตัว และสามารถค้นพบความรู้และสิ่งใหม่ ๆ ได้ ดังนั้น งานวิจัยที่ดีจึงควรเป็นงานวิจัยที่มีระบบ และวิธีการวิจัยที่เป็นระบบและขั้นตอนชัดเจนถูกต้องตามหลักกระบวนการวิจัย )Hussey & Hussey, 1997: 9) นอกจากนี้ Hussey & Hussey (1997: 18) ได้เสนอตารางแสดงลักษณะที่ดีและไม่ดีของงานวิจัย ดัง แสดงในตารางที่ 2.2 ตารางที่2.2 ลักษณะของงานวิจัยที่ดีและไม่ดี งานวิจัยที่ดี งานวิจัยที่ไม่ดี 1. มีการรวบรวมและวิเคราะห์เอกสารและ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องดี 2. เป็นงานวิจัยที่มีการศึกษาขั้นต้น 3. มีโครงสร้างวิจัยที่เป็นระบบ 4 .มีการวิเคราะห์ดี 5. มีการบูรณาการทฤษฎีมาใช้ในงานวิจัย 6. มีกรอบแนวคิดการวิจัยดี 7. มีการบูรณาการระหว่างระเบียบวิธีการวิจัย เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิเคราะห์ และการสรุป 1. การรวบรวมและวิเคราะห์เอกสารและงานวิจัย ที่เกี่ยวข้องไม่ดี 2. เป็นงานวิจัยที่มีการศึกษาขั้นต้นที่ไม่ดีหรือมี เพียงเล็กน้อยเท่านั้น 3. มีโครงสร้างไม่ดี 4. เป็นการพรรณนาความมิใช่การวิเคราะห์ 5. มีการใช้ทฤษฎีที่ไม่เกี่ยวข้องหรือฉาบฉวย 6. มีกรอบแนวคิดเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย 7. มีการบูรณาการปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพียง เล็กน้อยหรือไม่มีเลย .5คุณสมบัตินักวิจัย Easterby -Smith Thorpe & Lowe( 1991 :17 )ได้เสนอตารางคุณลักษณะของนักวิจัยที่มีความสามารถ (competent researchers )ต้องประกอบด้วยความรู้ทักษะ และคุณสมบัติส่วนตัวไว้ดังแสดงในตารางที่2.3 ตารางที่2.3 คุณลักษณะนักวิจัยที่มีความสามารถ ความรู้ ทักษะ คุณสมบัติส่วนตัว


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 43 1. รอบรู้คติฐาน (assumptions )ต่าง ๆ เกี่ยวกับ โลก 2. รอบรู้เกี่ยวกับวิธีการรวบรวม ข้อมูล 3. รอบรู้เกี่ยวกับระเบียบวิธีการ วิจัยอย่างหลากหลาย 4. มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่ทำ วิจัยอย่างดี 5. มีความรู้เกี่ยวกับเนื้อหาวิชา และสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง 6. มีความรู้ในเครือข่ายและ แนวทางติดต่อของสาขาวิชาที่ ศึกษาวิจัย 1. มีความสามารถในการ วางแผนจัดระบบ และบริหาร เวลา 2. มีความสามารถในการค้นหา เอกสารในห้องสมุด และ ระหว่างข้อมูลอื่น ๆ 3. มีความสามารถที่จะได้รับ ความสนับสนุนและร่วมมือจาก ผู้อื่น 4. มีความสามารถในการเขียน รายงาน 5. มีความสามารถพูดป้องกัน และโต้งแย้งความคิดเห็นของตน 6. มีความสามารถในการเรียนรู้ จากประสบการณ์ 1. รู้จุดแข็ง จุดอ่อน และคุณค่า ของตน 2. มีความคิดชัดเจน 3. มีความรู้สึกไวต่อเหตุการณ์ และอารมณ์ 4. มีอารมณ์รื่นเริง 5. ยืดหยุ่น 6. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ นอกจากนี้Easterby -Smith Thorpe & Lowe (1991 :17 -18 )ได้ให้ความเห็นว่า โดยอุดมคติแล้ว นักวิจัยทั่วไปควรมีคุณลักษณะสำคัญดังกล่าวในระดับปานกลาง คุณลักษณะด้านความรู้นั้นสามารถมีได้ด้วย การอ่านและการสนทนา หรือการเรียนหลักสูตร วิชาต่าง ๆ คุณลักษณะด้านทักษะนั้นก็สามารถมีได้ด้วยการ ฝึกปฏิบัติทั้งในสภาพจำลองมา หรือในสภาพแวดล้อมที่เป็นจริง ส่วนคุณลักษณะส่วนตัวนั้นแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ จัดทำได้ลำบากก็ตาม แต่ก็อาจมีได้ด้วยประสบการณ์ชีวิตหรือประสบการณ์การศึกษา 2.6 บทสรุป การวิจัยทางการศึกษาเป็นการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับกิจกรรมของครูนักเรียน และผู้บริหาร ในการ ร่วมมือกันจัดการเรียนการสอน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางการศึกษา โดยใช้กระบวนการและทรัพยากรที่ เหมาะสม โดยงานวิจัยทางการศึกษาแบ่งออกเป็น 12 กลุ่ม ดังนี้ .1งานวิจัยเกี่ยวกับโรงเรียน .2งานวิจัยเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้และการสอน .3งานวิจัยเกี่ยวกับโครงสร้างของโรงเรียน .4งานวิจัยเกี่ยวกับแรงจูงใจโรงเรียน .5งานวิจัยเกี่ยวกับวัฒนธรรมและบรรยากาศของโรงเรียน .6งานวิจัยเกี่ยวกับอำนาจและการเมืองในโรงเรียน


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 44 .7งานวิจัยเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมภายนอกโรงเรียน .8งานวิจัยเกี่ยวกับประสิทธิผล ความรับผิดชอบ และการพัฒนาปรับปรุงของโรงเรียน .9งานวิจัยเกี่ยวกับการตัดสินใจในโรงเรียน .10งานวิจัยเกี่ยวกับการเสริมพลังอำนาจครู .11งานวิจัยเกี่ยวกับการสื่อสาร .12งานวิจัยเกี่ยวกับภาวะผู้นำ กระบวนการวิจัยทางการศึกษามีขั้นตอนที่สำคัญ 7 ขั้นตอน ประกอบด้วย )1 การกำหนด หัวข้อหรือ เรื่องที่จะทำการวิจัย )2 การกำหนดวัตถุประสงค์การวิจัย )3 การกำหนดขอบเขตและวิธีการวิจัย )4 สร้าง เครื่องมือการวิจัย )5 การเก็บรวบรวม )6 วิเคราะห์ข้อมูล และ )7 การเขียนรายงานการวิจัย คุณลักษณะของการวิจัยที่ดีขึ้นอยู่กับการใช้วิธีการวิจัยที่เป็นระบบและมีระเบียบ วิธีการวิจัยนี้ชัดเจน เหมาะสม และตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักการและทฤษฎีโดยตลอด รวมทั้ง มีการศึกษาและประยุกต์ระบบ และระเบียบวิธีการวิจัยอย่างละเอียด ระมัดระวังและถูกต้องชัดเจน คำถามท้ายบท .1ความหมายของการวิจัยทางการศึกษา เป็นการศึกษาความสัมพันธ์ที่เป็นรูปแบบระหว่าง องค์ประกอบที่สำคัญกี่ประการ อะไรบ้าง .2สรุปลักษณะงานทางบริหารการศึกษากับทฤษฎีการบริหารที่ทำให้เกิดแนวทางการวิจัยทางการ ศึกษามาพอเข้าใจ จงยกตัวอย่างพร้อมอธิบาย .3สรุปกระบวนการวิจัยทางการศึกษามีขั้นตอนที่สำคัญมีกี่ขั้นตอน จงอธิบาย .4แนวคิดการวิเคราะห์หัวข้อที่ควรปรากฏในรายงานการวิจัย รายงานการวิจัยที่ดีและสมบูรณ์ควร ประกอบด้วยหัวข้ออะไรบ้าง .5จงอธิบายถึงลักษณะที่ดีและไม่ดีของงานวิจัยมาพอสังเขป .6จงอธิบายถึงคุณลักษณะของนักวิจัยที่มีความสามารถ( Competent Researchers )ว่าต้อง ประกอบด้วยความรู้ทักษะ และคุณสมบัติส่วนตัวอะไรบ้าง รายการอ้างอิง กิตติพัฒน์นนทปัทมะดุล .)2554( .การวิจัยเชิงคุณภาพในสวัสดิการสังคม :แนวคิดและวิธีวิจัย .พิมพ์ครั้งที่ .2กรุงเทพฯ :สามลดา. ทิพวรรณ หล่อสุวรรณรัตน์ .)2548( .องค์การแห่งการเรียนรู้ :จากแนวคิดสู่การปฏิบัติ.พิมพ์ครั้งที่ .2 กรุงเทพฯ :รัตนไตร. ชัยอนันต์สมุทวณิช .)2543( .เพลินเพื่อรู้.กรุงเทพฯ :พี.เพรส.


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 45 ธีระ นุชเปี่ยม .)2541( .สู่การเปลี่ยนแปลงกระบวนทรรศน์ .สังคมศาสตร์ปริทัศน์ )2( 19 .มกราคม-มิถุนายน : .110-99 น้ำทิพย์วิภาวิน .)2546( .การจัดการความรู้ .วารสารศรีปทุมปริทัศน์.ปีที่ 3ฉบับที่( .2กรกฎาคม–ธันวาคม :) .92-85 พรธิดา วิเชียรปัญญา .)2547( .การจัดการความรู้ :พื้นฐานและการประยุกต์.กรุงเทพฯ :ธรรมกมลการพิมพ์. ราชบัญฑิตยสถาน .)2546( .พจนานุกรม ฉบับราชบัญฑิตยสถาน พ.ศ .2542.กรุงเทพฯ :นานมีบุ๊คส์ พับลิเคชั่นส์. ราชบัณฑิตยสถาน .)2540( .พจนานุกรมศัพท์ปรัชญาอังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน .พิมพ์ครั้งที่ .2 กรุงเทพฯ :ราชบัณฑิตยสถาน . สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ .)2548( .การจัดการความรู้จากทฤษฎีสู่การปฏิบัติ.พิมพ์ครั้งที่ .2 กรุงเทพฯ :จิรวัฒน์เอ็กเพรส. อภิชัย พันธเสน .)2544( .พุทธเศรษฐศาสตร์ :วิวัฒนาการ ทฤษฎีและการประยุกต์กับเศรษฐศาสตร์สาขา ต่าง ๆ .กรุงเทพฯ :อมรินทร์. อรศรีงามวิทยาพงศ์ .)2541( .คุยกันเรื่องความคิดกับศาสตราจารย์นพ.ประเวศ วะสี .กรุงเทพฯ : มูลนิธิโกมล คีมทอง. อิกุจิโร โนนากะ, โนโบรุคอนโนะ, และแพทริก ไรน์โมลเลอร์ .)2550( .วิธีการสร้างความรู้( Methodology of Knowledge Creation .)แปลโดย ทวีนาคบุตร .กรุงเทพฯ:มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. Amrit Tiwana( .2000 .)The Knowledge Management Toolkit :Practical Techniques for Building knowledge Management System. Upper Saddle River, NJ :.Prentice Hall PTR . Chum Wei Choo( .2000 .)“Working Knowledge :How Organizations Manage What They Know”. Congress of Southeast Asian Librarians. 7-9, 35, (April.) Clyde W .Holsapple( .2003 .)Handbook on Knowledge Management 1 Knowledge Matters. Berlin :Springer-Verlag Berlin. Dant, T( .1991 .)Knowledge ideology and discourse :A sociology perspective .New York : Routledge. Gillroy J.M( .1997 .)“Postmodernism efficiency and comprehensive policy argument in public administration”. American Behavioral Scientist .41 (1 )September :163 -190 . Ikujiro Nonaka and Hirataka Takeuchi( .1995 .)The Knowledge Creating Company :How JapaneseCompanies Create the Dynamics of Innovation. New York, [u.a :]Oxford University Press .


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 46 Ikujiro Nonaka( .1998 . ) Te Knowledge -Creating Company . USA :Harvard Business School Press. Jacky Swan( .2004“ . ) Knowledge Management in Action?”, in Handbook on Knowledge Management 1 :Knowledge Matters, edited by C.W .Hollsopple, 2nd editions, (Berlin : Springer :)281. Kuhn, T.S( .1970 .)The structure of scientific revolutions. Chicago :University of Cchicago Press. Marcuse H( .1964 .)One-dimensional man. Boston :Beacon. Michael Polanyi( .1962 .)Personal Knowledge :Towards a Post-CriticalPhilosophy. London : Routledge & Kegan Paul . Patton, M.Q( .1978 .)Utilization-focused evaluation. Beverly Hills, CA :.SAGE. Peter F .Drucker( .2009 .)The New Realities. 4 th ed .New Jersey :New Brunswick . Raymond J .Corsini( .2002 .)The Dictionary of Psychology. NY :Brunner-Rout ledge. Rubin A .& Barbie E( .2001 .)Research methods for social work. 4th ed .Belmont, CA : Wadsworth/Thomson Learning. Thomas H .Davenport and Laurence Prusak( .2000 .)Working Knowledge :How Organization Manage What They Know. 2 nd ed .Boston, Massachusetts :Harvard Business School Press. Tyson K.B( .1992 .)“A new approach to relevant scientific research for practitioners :The heuristic paradigm”. Social Work. 37 (6 :)541-556


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 47 แผนการสอนประจำบทที่ 3 วิธีวิทยาการวิจัยรูปแบบต่าง ๆ และการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน รายวิชา วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หัวข้อย่อย 3.1 ความหมาย ความสำคัญของระเบียบวิธีวิจัย 3.2 การวิจัยเชิงปริมาณ( Quantitative Research) 3.3 การวิจัยเชิงคุณภาพ 3.4 การวิจัยแบบผสมวิธี 3.5 รูปแบบเชิงสำรวจเป็นลำดับ 3.6 การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน 3.7 บทสรุป สรุปแนวคิดที่สำคัญ ความหมาย และความสำคัญของการวิจัย นับเป็นองค์ความรู้ที่จะเป็นฐานนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้ ของการวิจัย และการวิจัยอย่างมีประสิทธิผล โดยมีวิธีวิทยาของการวิจัยเชิงปริมาณ การวิจัยเชิงคุณภาพ การ วิจัยแบบผสมวิธี การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน โดยเป็นการวิจัยมีเป้าหมายเพื่อการแสวงหาความรู้ให้กับผู้คน เพื่อที่จะได้นำความรู้เหล่านั้นไปเป็นเครื่องมือในการแสวงหาและได้มาซึ่งองค์ความรู้ โดยจะได้ใช้ความรู้ เหล่านั้นไปเป็นเครื่องมือในการสร้างองค์ความรู้ใหม่เพิ่มขึ้น ทั้งจะนำความรู้นั้นไปสู่การพัฒนาในองค์รวมตาม กรอบการวิจัยได้ ทำให้เกิดการเรียนรู้เชิงประจักษ์แก่ชุมชนทางการศึกษา ชุมชนที่อยู่อาศัย และเป็นฐานใน การพัฒนาองค์กร ประเทศชาติในด้านต่าง ๆ วัตถุประสงค์ 1.เพื่อศึกษาความหมายและสำคัญของระเบียบวิธีการวิจัย 2.เพื่อศึกษากระบวนวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ และการวิจัยเชิงปริมาณ 3. เพื่อศึกษาถึงกระบวนการวิจัยแบบผสมวิธี 4. เพื่อศึกษาการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน กิจกรรมระหว่างเรียน 1.การบรรยายในชั้นเรียน 2.ผู้สอนผู้บรรยาย บรรยายตามกรอบของการบรรยาย สื่อการสอน


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 48 1.เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 2. เอกสารประกอบการสอน 3. สื่อ Power Point สื่ออื่น เช่น Flip Chart การประเมินผล 1.ประเมินผลความสนใจของผู้ศึกษาขณะเรียน 2.การชักถาม ถามตอบ ของผู้เรียนขณะเรียน 3.การประเมินระหว่างเรียน การประเมินกลางภาค และการสอบประเมินปลายภาค


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 49 บทที่ 3 วิธีวิทยาการวิจัยรูปแบบต่าง ๆ และการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน (Research Methodology) 3.1 ความหมาย ความสำคัญของระเบียบวิธีวิจัย เมื่อกล่าวถึงความหมายของคำว่าระเบียบวิธีวิจัยนั้นจำเป็นจะต้องศึกษาจากความหมายของผู้รู้อื่น ๆ ดังต่อไปนี้ นงลักษณ์ วิรัชชัย (2560 : ออนไลน์) กล่าวว่า คำว่าวิธีวิทยาตรงกับศัพท์ภาษา อังกฤษว่า methodology (meta + hodos = way) +logie ตามรากศัพท์วิธีวิทยา หมายถึง วิทยาการหรือการศึกษาที่ มีระบบเกี่ยวกับวิธีการหรือเทคนิควิธีคำว่า “วิธีวิทยาการวิจัย” จึงมีความหมายครอบคลุมระเบียบ วิธีดำเนินการทุกขั้นตอนในการวิจัย ได้แก่ การกำหนดปัญหาวิจัย การศึกษาเอกสารและรายงานที่เกี่ยวข้องกับ การวิจัย การกำหนดสมมติฐานการวิจัย การกำหนดกลุ่มประชากรและการเลือกกลุ่มตัวอย่าง การสร้าง เครื่องมือวิจัย การรวบรวม การนำเสนอ การวิเคราะห์และการแปลความหมายผลการวิเคราะห์ข้อมูลซึ่งรวมอยู่ ในวิธีวิทยาทางสถิติตลอดจนเทคนิควิธีการวัดและการประเมินผล ในขณะที่ รัตนะ บัวสนธ์ (2551 : น.8) ได้อธิบายว่าระเบียบวิธีวิจัยหมายถึง โลกทัศน์ (World view) หรือบางทีก็เรียกว่า กระบวนทัศน์ (Paradigm) ทฤษฎี หลักการ และการดำเนินงานที่ครอบคลุมทุกขั้นตอน ตั้งแต่การกำหนดกรอบปัญหาการวิจัยจนกระทั่งการนำผลการวิจัยไปเผยแพร่และใช้ประโยชน์สำหรับ พจนานุกรมศัพท์ศึกษาศาสตร์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2555 : น.548)ได้ใช้คำว่า วิธีวิทยาการวิจัย (research methodology) ซึ่งให้ความหมายว่าศาสตร์ว่าด้วยวิธีการวิจัย (research methods) ซึ่งใช้ในการศึกษา ค้นคว้า แสวงหาความรู้ความจริงและการประดิษฐ์นวัตกรรมในด้านต่าง ๆ ระเบียบวิธีวิจัยแบ่งได้หลายประเภท ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่ง เช่น ถ้าใช้การควบคุมตัวแปรเป็นการแบ่งประเภทสามารถจำแนกวิธีวิจัยเป็นวิธี ทดลอง (experimental methods) และวิธีไม่ทดลอง (non-experimental methods) ถ้าใช้ลักษณะข้อมูล และการออกแบบวิจัยเป็นเกณฑ์แบ่งประเภท สามารถจำแนกระเบียบวิธีวิจัยเป็นระเบียบวิธีเชิงปริมาณ (quantitative methods) ระเบียบวิธีเชิงคุณภาพ (qualitative methods) และระเบียบวิธีเชิงผสม (mix methods) ดังนั้นอาจสรุปได้ว่า ระเบียบวิธีวิจัยนั้นหมายถึง กระบวนการที่นักวิจัยใช้ในการดำเนินการวิจัยตั้งแต่ ต้นจนเสร็จสิ้นกระบวนการวิจัยในครั้งนั้น ๆ ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่การกำหนดปัญหา การกำหนดแนวทางใน การศึกษาเอกสาร การกำหนดกรอบแนวคิดในการวิจัย การกำหนดวัตถุประสงค์และสมมติฐาน การกำหนด กลุ่มเป้าหมายการกำหนดเครื่องมือที่ใช้ การเก็บและรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การสรุปผลการวิจัย ตลอดจนการเผยแพร่ผลการวิจัยนั้น ๆ


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 50 3.2 การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) เป็นวิธีค้นหาความรู้และความจริงโดยเน้นที่ข้อมูลเชิง ตัวเลข การวิจัยเชิงปริมาณจะพยายามออกแบบวิธีการวิจัย ให้มีการควบคุมตัวแปรที่ศึกษา ต้องจัดเตรียม เครื่องมือรวบรวมข้อมูลให้มีคุณภาพ จัดกระทำสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องให้เป็นมาตรฐาน และใช้วิธีการทางสถิติ ช่วยวิเคราะห์และประมวลข้อสรุป เพื่อให้เกิดความคลาดเคลื่อน (Error) น้อยที่สุด (ศาสตราจารย์เกียรติคุณ บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์ : 2549) การวิจัยเชิงปริมาณ มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์ การอธิบายเน้นการ นำเสนอเชิงตัวเลขทางสถิติ เช่น ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เป็นต้น ลักษณะของข้อมูลการวิจัยเชิงปริมาณ เป็นการศึกษาสภาพทั่วไปของสังคมโดยกำหนดตัวแปรต่างๆ เพื่อเก็บข้อมูลสถิติตัวเลข อาจเป็นข้อมูลปฐมภูมิหรือทุติยภูมิ การเสนอภาพรวมจะมี วิธีการเก็บข้อมูลด้วยวิธีการสำรวจ เน้นการเก็บข้อมูลเพื่อทำการวิเคราะห์และทดสอบทฤษฎีหรือสร้าง ทฤษฎี และให้ความหมายในเชิงวิชาการมากกว่าการศึกษาแง่มุมของชาวบ้าน เป็นวิธีค้นหาความรู้และความจริง โดยเน้นที่ข้อมูลเชิงตัวเลข การวิจัยเชิงปริมาณจะ พยายามออกแบบวิธีการ วิจัยให้มีการควบคุมตัวแปรที่ศึกษาต้องจัดเตรียมเครื่องมือ รวบรวมข้อมูลให้มีคุณภาพ จัดกระท าสถานการณ์ ที่เกี่ยวข้องให้เป็นมาตรฐาน และใช้ วิธีการทางสถิติช่วยวิเคราะห์และประมวลข้อสรุปเพื่อให้เกิดความ คลาดเคลื่อน (Error) น้อยที่สุด (ศาสตราจารย์เกียรติคุณบุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์ : 2549) วัตถุประสงค์ที่จะพยายามให้ค าอธิบายปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์ โดยการน าเสนอ เชิงตัวเลข ทางสถิติ เช่น ร้อยละของประชากรที่อาศัยอยู่ในเมือง ค่าเฉลี่ย และส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐานของความพึงพอใจ เป็นต้น การตั้งสมมติฐานและการทดสอบสมมติฐาน ข้อมูลจากการวิจัยเชิงปริมาณจะเหมาะสมกับการ ทดสอบทฤษฎีด้วยวิธีการแบบอุปนัย (Deductive) แนวปฎิฐานนิยมเป็นหลัก การทดสอบความแม่นตรงของ ข้อมูล (Validity) ความเชื่อถือได้ของข้อมูล (Reliability) ใช้การเก็บข้อมูลจากคนจำนวนมากด้วยแบบสอบถาม คำถามในแบบสอบถามจึงจำเป็นต้องมีความชัดเจน ลักษณะการวิจัยเชิงปริมาณ


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 51 ภาพที่ 3.1 แผนภาพกระบวนการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลด้วยวิธีการส ารวจ เน้นการเก็บข้อมูลจากคนจ านวนมาก เพื่อท าการ วิเคราะห์และ ทดสอบทฤษฎีหรือสร้างทฤษฎีและให้ความหมายในเชิงวิชาการ • มีการตั้งสมมติฐานและการทดสอบสมมติฐาน ข้อมูลจากการวิจัยเชิงปริมาณจะ เหมาะสมกับการทดสอบ ทฤษฎีด้วยวิธีการแบบอุปนัย )Deductive( • มีการทดสอบความแม่นตรงของข้อมูล (Validity) ความเชื่อถือได้ของข้อมูล (Reliability) การเก็บ ข้อมูลจากคนจ านวนมากด้วยแบบสอบถาม ค าถามใน แบบสอบถามจึงต้องมีความชัดเจน ในการวิจัยขั้นตอนการวิเคราะห์ข้อมูลสามารถแยกออกจากการเก็บข้อมูลได้ การ วิเคราะห์ข้อมูลอาจให้ เจ้าหน้าที่วิเคราะห์เชิงสถิติด าเนินการได้โดยไม่จ าเป็นต้องมี ความรู้เกี่ยวกับชุมชนที่ไปศึกษา การวิจัยเชิงปริมาณ การวิจัยเชิงพรรณนา )Descriptive Studies( Who ? When ? รายงาน หรือกรณีศึกษา การวิจัยเชิงปริมาณ การวิจัยเชิงวิเคราะห์)Analytical Studies( การศึกษาหาความสัมพันธ์ของเหตุและผล การวิจัยแบบไม่ทดลอง - Case-control - Cohort การทดลองแบบวิจัยแท้จริง )Randomization(


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 52 การทดลองแบบวิจัยไม่แท้จริง( Eg. Randomization experimental ภาพที่ 3.2 แผนภาพการวิจัยเชิงปริมาณ ขั้นตอนการวิจัยเชิงปริมาณ ประกอบด้วย 1.การเลือกหัวข้อเรื่องการวิจัย (Research Topic)ในขั้นตอนแรกผู้วิจัยจะต้องตัดสินใจให้แน่ชัด เสียก่อนว่าจะวิจัยเรื่องอะไร แล้วกำหนดเป็นหัวเรื่องที่จะวิจัย 2.การกำหนดปัญหาในการวิจัย (Formulating the Research Problem)เป็นการตั้งปัญหาในเรื่องที่ ต้องการวิจัย เพื่อหาคำตอบ หรือเป็นการแจกแจงวัตถุประสงค์ของการศึกษา โดยต้องกำหนดขอบเขตของ ปัญหาให้ชัดเจน และเป็นปัญหาที่สามารถหาคำตอบได้ 3.สำรวจทบทวนวรรณกรรม (Extensive Literature Survey)เป็นการทบทวนเอกสารแนวคิดทาง ทฤษฎี และผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหัวเรื่องที่ต้องการศึกษา เพื่อหาแนวคิดทางทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย และสำรวจให้แน่ใจว่าไม่วิจัยซ้ำกับผู้อื่น ทั้งนี้การวิจัยควรเน้นการเสริมสร้างให้เกิดความรู้ใหม่ 4.การตั้งสมมุติฐานการวิจัย (Formulating Hypothesis)คาดคะเนแนวคิดเพื่อตอบคำถามของปัญหา ในการวิจัย หาความสัมพันธ์ของตัวแปรที่จะศึกษาไว้ก่อน จากนั้นจึงเก็บข้อมูลเพื่อมาพิสูจน์สมมุติ 5.การออกแบบการวิจัย (Research Design)เป็นการวางแผนกำหนดวิธีการในการดำเนินการใน ขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบของปัญหาในการวิจัย เช่นการเก็บข้อมูล การเลือกเครื่องมือในการ วิเคราะห์ข้อมูล ระยะเวลาที่ต้องใช้ในการวิจัย บุคลากรและงบประมาณที่จะใช้ 6.การเก็บรวบรวมข้อมูล (Data Collection)เป็นการวางแผนว่าจะเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างไร จะใช้ ข้อมูลปฐมภูมิ หรือทุติยภูมิ และถ้าเป็นข้อมูลทุติยภูมิควรจะเก็บอย่างไร การสร้างเครื่องมือรวบรวมข้อมูล ถ้า เป็นข้อมูลทุติยภูมิจะใช้ข้อมูลจากแหล่งใด 7.การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis)ข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้จะนำมาบรรณาธิการความถูกต้อง (การตรวจสอบความถูกต้อง) และความน่าเชื่อถือของข้อมูลก่อน จึงทำการประเมินผลและวิเคราะห์ผลที่ได้และ พิสูจน์กับสมมติบานที่ตั้งไว้ 8.การจัดทำรายงานผลและเผยแพร่ (Research Report)เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการวิจัย ผู้วิจัยต้อง เขียนรายงานเพื่อให้ผู้อื่นทราบถึงกิจกรรมที่ดำเนินในขั้นตอนต่างๆ และสิ่งที่ค้นพบจากการวิจัย ซึ่งผู้วิจัย จะต้องเขียนรายงานตามรูปแบบของการเขียนรายงานการวิจัย และเขียนด้วยความซื่อสัตย์ในสิ่งที่ค้นพบ 3.3 การวิจัยเชิงคุณภาพ การวิจัยเชิงคุณภาพ หรือ Qualitative Research เป็นการวิจัยที่ "ต้องการค้นหาความจริงจาก เหตุการณ์ สภาพแวดล้อมตามความเป็นจริง" ซึ่งมีหัวใจหลักคือการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 53 กับสภาพแวดล้อมเพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ (Insight) จากภาพรวมที่มาจากหลากหลายมิติหรือ มุมมอง จึงทำให้การวิจัยเชิงคุณภาพเป็นการวิจัยเชิงธรรมชาติ (Naturalistic Research) ที่มีวัตถุประสงค์ ที่ หมายความถึงการที่ปล่อยให้ทุกๆอย่างคงอยู่ตามสภาพตามธรรมชาติโดยปราศจากการกระทำใดๆที่จะส่ง กระทบต่อผลลัพธ์ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเเละคลาดเคลื่อนได้ (Manipulate) ทั้งนี้เนื่องจาก "การอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆทางสังคม (Contextual) ที่ปรากฏการณ์ขึ้นในบาง ประการนั้นไม่สามารถที่จะทำการอธิบายด้วยเหตุผลแบบธรรมดาได้" นั่นจึงทำให้การทำวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) นั้นผู้วิจัยต้องพยายามทำความเข้าใจใน ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมและ สภาพแวดล้อมต่าง ๆ รอบตัวเเละนำมาอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคมที่ต้องการ ทำให้ลักษณะข้อมูลที่นำมาใช้ ในการการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) นั้นต้องมีลักษณะของข้อมูลที่รอบด้าน (Holistic) หลากหลายที่มา เทคนิค เเละหลากหลายวิธีการ ที่สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ในสังคมนั้นๆ จึงทำให้ วิธีการเก็บข้อมูล ของ การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) มีลักษณะของการ "เก็บ จากแหล่งข้อมูลขนาดเล็ก" หรือ "ไม่เน้นการสำรวจจากคนจำนวนมากๆ" เเละอาจ "มีเทคนิคของการเก็บข้อมูล เเละการวิเคราะห์ข้อมูลที่ไม่แยกออกจากกัน" อาทิเช่น ผู้วิจัยต้องการวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมเเละการมีส่วนร่วม ทางการเมืองของประชาชนในประเทศไทยจึงทำให้ผู้วิจัยต้องทำการเลือกใช้เทคนิคการสังเกตุการณ์แบบไม่มี ส่วนร่วมกับพื้นที่แวดล้อมของประชาชนในแต่ละพื้นที่ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับฝ่ายการเมืองในพื้นที่นั้นๆโดย อาจจะเป็นการสัมภาษณ์ด้วยเทคนิคการสนทนาแลกเปลี่ยนความคิด ทัศนคติต่อกันเเละกัน เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ส่วนมาก การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) จึงใช้การเก็บข้อมูลจาก "การสังเกตและการ สัมภาษณ์" มากกว่าวิธีการอื่นเพราะเสมือนเป็นการแฝงตนในพื้นที่หรือในชุมชนทำให้ได้ข้อมูลหลายด้าน ข้อดี คือ ข้อมูลที่ได้จะมีความ"ยืดหยุ่นไม่เน้นการตั้งสมมติฐานถ้าสมมติฐานที่ตั้งไว้ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง" เเละในความน่าเชื่อถือความถูกต้องของข้อมูลกระทำโดยนักวิจัยขณะทำการสัมภาษณ์ ทั้งนี้ยังทำให้ผู้วิจัยนั้น สามารถที่จะทำการกำหนดปัญหาในการวิจัยเชิงคุณภาพจากลักษณะทั่วไปของปรากฏการณ์ เเละ ลักษณะ เฉพาะเจาะจงเพื่อหาสาเหตุกระบวนการเเละผลกระทบรอบด้าน เหตุนี้ การสำรวจวรรณกรรมในการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) จึงทำให้ผู้วิจัยนั้นต้อง คำนึงถึงบริบท (Context) ของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อใช้ในการกำหนดกรอบแนวคิดแบบกว้างๆ (ระดับมห ภาค) เพื่อให้ได้กรอบแนวคิดที่ตกผลึกทางความคิดในมิติที่ลึกซึ้งที่สุด (ระดับจุลภาค) เพื่อทำให้ผู้วิจัยได้ แนวทางของกรอบแนวความคิด (Conceptual Framwork) ทั้งในรูปแบบกรอบงานวิจัย (Research Framwork) หรือแผนผังความคิด (Mind mapping) หรือรูปแบบใดๆได้อย่างละเอียดเเละเกิดจากความเข้าใจ อย่างที่สุดเเละจะทำให้ การเก็บรวบรวมข้อมูล นั้นตัวผู้วิจัยจะมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อการเก็บข้อมูลจาก ทั้งการสังเกตการณ์ (ทั้งแบบมีส่วนร่วมเเละแบบไม่มีส่วนร่วม) การจดบันทึก การสัมภาษณ์หรือสัมภาษณ์เชิง ลึก เเละการเก็บจากข้อมูลเอกสารที่มีการจดบันทึกไว้ก่อนเเล้ว (ข้อมูลทุติยภูมิ) เพราะทำให้ได้ข้อมูลที่จะ นำมาใช้ในการวิจัยได้ผ่านการกระบวนการทางความคิด ความเข้าใจอย่างเหมาะสมเเละถี่ถ้วนอย่างมากเช่น


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 54 การกำหนดตัวอย่างและสนาม (พื้นที่) ของการวิจัยให้ชัดเจนและต้องรวบรวมข้อมูลที่เป็นบริบทของข้อมูลการ เก็บรวบรวมข้อมูลเป็นขั้นตอน เพราะผู้วิจัยจะต้องเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเองโดยเข้าไปมีส่วนร่วมใน เหตุการณ์และใช้เทคนิคการสังเกตการณ์หรือการสัมภาษณ์เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีความละเอียดเกี่ยวกับโลกทัศน์ ความรู้สึก ค่านิยม ประวัติ คุณลักษณะ ฯลฯ มาประกอบการวิเคราะห์ผลของการวิจัยต่อไปได้ การวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) จะใช้วิธีการจำแนกเพื่อจัดระบบ ข้อมูลเพื่อตอบคำถามในการตีความว่าสิ่งที่ได้มานั้นมันคืออะไรหรือเป็นอย่างไร และหาความสัมพันธ์ของข้อมูล ดำเพื่อแยกแยะเงื่อนไขเเละดูสาเหตุในความสัมพันธ์เเละกระบวนการเปลี่ยนแปลงโดยไม่จำเป็นต้องใช้ เครื่องมือทางสถิติเพื่อรวบรวมจัดหมวดหมู่ข้อมูล ซึ่งนั่นทำให้การเสนอรายงานผลการวิจัยเชิงคุณภาพจึงมักถูก นำไปใช้ในการตีความปัญหาทางสังคมและวัฒนธรรมที่ต้องการแก้ไขปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม อย่างเช่น กรณีที่ตำรวจได้ทำการปลอมตัวเป็นสมาชิกเด็กเเว้นเพื่อทำการจับกุม โดยไม่เกิดอันตรายต่อตัวตำรวจ เด็กเเว้น เเละประชาชนที่สัญจรไปมาบนท้องถนน เป็นต้น สรุป การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เป็นการวิจัยที่มุ่งเน้นบทบาทของตัวผู้วิจัยในการ ลงพื้นที่ด้วยตนเองจากทั้งการศึกษาเเละการสังเกตุแบบละเอียดในทุกๆด้านแบบเจาะลึก เพื่อนำข้อมูลที่ได้มา ทำการตีความด้วยทักษะของการวิเคราะห์เชิงเหตุเเละผลด้วยการนำปรากฏการณ์ที่เป็นปัญหามาตีแผ่หรือ ต้องการแนวทางการแก้ไขมาสร้างรูปแบบแนวทางให้กับสังคมได้รับรู้เเละนำไปใช้ด้วยรูปแบบของการใช้ แนวคิด ทฤษฎีที่เข้าถึงมิติด้านต่างๆของสังคม เศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม หรือวิถีชีวิต ประเพณี เเละเเสดง ผลที่ได้จากการวิจัยด้วยตรรกยะทางทฤษฏีที่เหมาะสมเเละชี้วัดได้ถึงเหตุเเละผลที่ทำให้เกิดปัญหาหรือ ปรากฏการณ์ทางสังคมนั้นขึ้นมาได้ ซึ่งหากเป็น การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) เเล้วนั้นจะ เป็นเพียงการแสดงข้อเท็จจริงและข้อสรุปด้วยข้อมูลตัวเลขเป็นหลักฐานยืนยันปริมาณของปัญหานั้น ของ จำนวนผู้ที่ได้รับผลกระทบ หรือข้อมูลอื่นๆที่ไม่ได้ลงลึกแบบรอบด้านในมิติต่างๆของปัญหานั้นได้เท่าไรนัก เหตุ นี้การวิจัยที่ผสมผสานระหว่างข้อมูลหรือสถิติปัญหารายด้านจากการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) จึงต้องนำมาตีความเพื่อทำความเข้าใจในระบบหรือกระบวนการที่ทำให้เกิดปัญหานั้นๆเกหิดขึ้นมา ในสังคมด้วยการใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เพื่อนำมาสู่แนวทางการแก้ไขที่ไม่ใช่เพียง รับทราบปริมาณปัญหาเพียงเท่านั้น แต่ต้องทำการศึกษาลงไปถึงต้นตอของปัญหาด้วยการแฝงตัวเข้าไปในพื้นที่ ผ่านเทคนิคการเก็บข้อมูลรูปแบบต่างๆเพื่อนำมาตีความเเละแก้ปัญหาจากข้อมูลจริงในสถานที่จริง เพื่อให้ ได้รับการแก้ไขปัญหาจริงๆให้ได้ 3.3.1 การกำหนดชื่อเรื่องที่เหมาะสมกับการวิจัยเชิงคุณภาพ ชื่อเรื่องของงานวิจัยจะบอกความเป็นตัวตนของงานวิจัยเล่มนั้นว่างานเล่มนั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร ทำการศึกษาอะไร กับใคร ซึ่งหากผู้อ่านคุ้นชินกับงานวิจัยเชิงปริมาณแล้วจะพบว่าในการตั้งชื่อเรื่องของ งานวิจัยเชิงปริมาณนั้นจะมีรูปแบบ (pattern) ค่อนข้างตายตัว โดยปกติในชื่อเรื่องนั้นมักจะตั้งโดยอาศัย


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 55 คำถาม 3 ข้อ เป็นเบื้องต้น ได้แก่ ทำอะไร ทำกับใคร และทำอย่างไร ซึ่งหากอธิบายโดยใช้ศัพท์ในเชิงวิจัยแล้ว จะพบว่า ทำอะไร หมายถึง นักวิจัยต้องการศึกษาตัวแปรอะไร ทำกับใคร หมายถึง นักวิจัยต้องการศึกษากับกลุ่มเป้าหมายใด ทำอย่างไร หมายถึง นักวิจัยต้องการศึกษาในลักษณะใด การเขียนความเป็นมาและปัญหาการวิจัยเชิงคุณภาพ เมื่อนักวิจัยได้กำหนดประเด็นปัญหาเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า ต้องการศึกษาปรากฏการณ์ใด อาจเริ่ม ด้วยประเด็นกว้าง ๆ หากแต่ต้องเป็นเรื่องที่อยากรู้ เพราะความอยากรู้จะนำไปสู่การแสวงหาคำตอบและสนุก กับการวิจัย ซึ่งอาจจะเป็นปัญหาความเป็นไปได้หรือแนวคิดที่สนใจ จากนั้นจึงลงมือเขียนปัญหาและความ เป็นมาเพื่อให้ผู้อ่านงานวิจัยเห็นพ้องต้องกันกับผู้วิจัยว่า สิ่งที่ผู้วิจัยกระทำอยู่นี้มีเหตุผลความสำคัญจำเป็นจริง ๆ ที่จะต้องศึกษาเรื่องนี้ โดยในบทนี้จะกล่าวถึงการเขียนความเป็นมาและปัญหาการวิจัยเชิงคุณภาพตามลำดับ ภาพที่ 3.3 กระบวนการวิจัย การเขียนความเป็นมาของปัญหา การกำหนดวัตถุประสงค์การวิจัยเชิงคุณภาพ เมื่อผู้วิจัยได้ลำดับความเป็นมาและความสำคัญของปัญหารวมถึงการตั้งคำถามการวิจัยได้แล้ว ในบทนี้ จะกล่าวถึงการกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัยเชิงคุณภาพ พร้อมกับตัวอย่างของการกำหนดวัตถุประสงค์ของ การวิจัย


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 56 3.3.2 การกำหนดขอบเขตการวิจัยเชิงคุณภาพ ในการดำเนินการวิจัยนั้น จำเป็นจะต้องกำหนดขอบเขตของการวิจัยไว้ เพื่อให้ผู้ทำวิจัยได้ดำเนินการ ภายใต้สิ่งที่ตนได้วางกรอบไว้ มิเช่นนั้นแล้วนักวิจัยจะไม่มีทิศทางในการดำเนินงาน ทำให้เกิดอาการ สะเปะสะปะ ทำไปเรื่อย ซึ่งสิ่งที่นักวิจัยต้องกำหนดไว้ในขอบเขต ได้แก่ ขอบเขตด้านเนื้อหาหรือประเด็นที่ ศึกษา ขอบเขตด้านระเบียบวิธีวิจัย ขอบเขตด้านพื้นที่ และ/หรือขอบเขตด้านระยะเวลาเช่นเดียวกับทิวัตถ์ มณี โชติ (2560 ออนไลน์) ซึ่งได้กล่าวว่าขอบเขตการวิจัย หมายถึง การจำกัดหรือกำหนดขอบเขตให้แก่การวิจัยไม่ ควรนำไปปนกับข้อจำกัดของการวิจัยซึ่งมัก จะกล่าวถึงในตอนท้าย การกำหนดขอบเขตการวิจัยนั้น อาจ กำหนดได้หลายอย่าง เช่น 1. ขอบเขตที่เกี่ยวกับเนื้อหาที่ศึกษา 2. ขอบเขตที่เกี่ยวกับกลุ่มตัวอย่าง 3. ขอบเขตที่เกี่ยวกับเวลา 4. ขอบเขตที่เกี่ยวกับวิธีการรวบรวมข้อมูล 5. ขอบเขตที่เกี่ยวกับตัวแปรที่ต้องศึกษา การเขียนขอบเขตของการวิจัย จะต้องระบุให้ชัดเจน และถ้าเป็นไปได้ควรให้เหตุผลไว้ด้วยว่าทำไมจึง กำหนดขอบเขตไว้เช่นนั้น การศึกษาวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยเชิงคุณภาพ “การทบทวนไม่ใช่แค่การรวบรวม แต่ต้องประเมินด้วย” )โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์, 2553 : น.38) ผู้เขียนมีความเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับวลีดังกล่าว ทั้งนี้เพราะการศึกษาทฤษฏี แนวคิด เอกสาร วรรณกรรม และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องนั้น นักวิจัยต้องใช้วิจารณญาณที่ค่อนข้างสูงในการเลือกเอกสารต่าง ๆ มาศึกษา และ ทำการประเมินว่าเอกสารที่หยิบมานั้นมีความน่าเชื่อถือ และเกี่ยวข้องกับงานวิจัยของตนมากน้อยเพียงใด มิใช่ เป็นเพียงแค่การรวบรวมงานที่เกี่ยวข้องแล้วนำมาจัดพิมพ์ลงในเล่มรายงานวิจัยเท่านั้น ขั้นตอนการวิจัยเชิงคุณภาพ การดำเนินการวิจัยนั้นเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องโดยมีจุดเริ่มต้นกระทั่งถึงจุดสิ้นสุด ซึ่งในจุดเริ่มต้น ของการวิจัยนั้นจะเริ่มที่การกำหนดปัญหา การกำหนดขอบเขต เก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล และการ สรุปผลการวิจัย ซึ่งเนื้อหาในบทนี้จะกล่าวถึงขั้นตอนการวิจัยโดยเริ่มที่การออกแบบการวิจัย การเลือก กลุ่มเป้าหมาย และการทำงานภาคสนามตามลำดับ


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 57 ภาพที่ 3.4 กรอบแนวคิดที่สร้างจากข้อมูล 3.3.3 การสร้างเครื่องมือการวิจัยเชิงคุณภาพ แม้ว่าตัวผู้วิจัยจะเป็นเครื่องมือหลักของการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยเชิงคุณภาพ หากแต่นักวิจัย เมื่อลงไปทำการเก็บข้อมูลโดยที่ไม่มีการเตรียมความพร้อมหรือวัสดุอุปกรณ์ เครื่องช่วยต่าง ๆ ย่อมได้ข้อมูลที่ ไม่ครบถ้วนหรือได้ข้อมูลที่ไม่ดีพอดังนั้นเมื่อนักวิจัยจะลงไปในสนามเพื่อทำการเก็บรวบรวมข้อมูลนั้นจำเป็น จะต้องมีอุปกรณ์หรือเครื่องมือที่ใช้สำหรับช่วยในการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อให้สะดวกสำหรับนักวิจัยและเก็บ ข้อมูลได้ครบถ้วนตามประเด็นที่ต้องการ สำหรับเครื่องมือหรือวิธีการที่นิยมใช้เป็นหลักในการเก็บรวบรวมข้อมูลในงานวิจัยเชิงคุณภาพนั้น ได้แก่ การสังเกต การสัมภาษณ์ และการสนทนากลุ่ม 3.3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพ หลังจากที่ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างเครื่องมือเพื่อเป็นตัวช่วยในการเก็บรวบรวมข้อมูลแล้ว จากนั้น นักวิจัยก็ต้องนำเครื่องมือวิจัยที่สร้างขึ้นไปทำการเก็บรวบรวมข้อมูล ซึ่งข้อมูลแต่ละชนิด แต่ละประเภทล้วนมี เทคนิค วิธีการ ความยากง่ายในการเก็บที่แตกต่างกัน ซึ่งในบทนี้ผู้เขียนจะได้นำเสนอวิธีการเก็บข้อมูลตาม ลักษณะของเครื่องมือในแต่ละประเภทที่สืบเนื่องมาจากบทที่ผ่านมา และยกตัวอย่างของข้อมูลในแต่ละ ประเภทเพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น การวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพนั้นจะมีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างจากการวิจัยเชิงปริมาณอยู่บ้าง ซึ่ง กระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพนั้นจะเริ่มกระทำตั้งแต่การลงมือเก็บข้อมูล หรือเริ่มลงเข้าสู่สนาม ทั้งนี้


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 58 จะกระทำไปพร้อม ๆ กันตลอดระยะเวลาการเก็บข้อมูล เรื่อยไปจนกระทั่งหลังจากเสร็จสิ้นการเก็บข้อมูลก็ยัง กระทำต่อไป ซึ่งลักษณะการกระทำดังนี้จึงเป็นจุดที่ต่างจากการวิจัยเชิงปริมาณดังที่กล่าวผ่านมาข้างต้น สำหรับในบทนี้ผู้เขียนได้กล่าวถึงกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลตั้งแต่เริ่มเข้าสู่สนาม การตรวจสอบข้อมูล การใช้ ทฤษฎีช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล จวบจนกระทั่งการวิเคราะห์ข้อมูลเสร็จสิ้น การนำเสนอผลการวิจัยเชิงคุณภาพ อีกหนึ่งบทบาทของนักวิจัย หลังจากที่ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล และทำการวิเคราะห์ข้อมูลแล้ว นั้นคือ การสื่อสารให้ผู้ที่อ่านงานวิจัยที่นักวิจัยดำเนินการนั้นได้เข้าใจให้ตรงกับความต้องการของนักวิจัย ซึ่ง หากเป็นลักษณะการนำเสนอด้วยวาจามีการซักถามโต้ตอบระหว่างผู้ฟังและผู้นำเสนอ ความเข้าใจที่ตรงกันก็ จะเกิดขึ้นได้โดยง่าย แต่หากเป็นการนำเสนอโดยผ่านรูปเล่มที่สมบูรณ์ของรายงานวิจัยหรือในลักษณะบทความ ที่ต้องย่นย่อรายงานฉบับนั้นมาให้เหลือเพียง 10 – 20 หน้าซึ่งเป็นการสื่อสารทางเดียวของผู้เขียนรายงานไปยัง ผู้อ่าน ผู้อ่านย่อมแปลความโดยใช้สามัญสำนึกของตนเองเป็นหลัก ดังนั้น ถ้าผู้เขียนนำเสนอผลไม่ชัดเจนอย่าง เพียงพอแล้ว ความตั้งใจของผู้เขียนที่ตั้งใจนำเสนอในประเด็นต่าง ๆ อาจผิดเพี้ยนไปได้ หนังสือระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ จากแนวคิด ทฤษฎี สู่การปฏิบัติเล่มนี้ได้เรียบเรียบขึ้นจาก การศึกษาตำรา เอกสาร และงานวิจัยต่างๆ ทั้งจากต่างประเทศ ในประเทศ จากงานวิจัยของนักวิจัยท่านอื่น และงานวิจัยที่ผู้เขียนได้ทำการวิจัยด้วยตนเอง โดยเริ่มตั้งแต่ภาคทฤษฎี จนถึงการปฏิบัติและตัวอย่างของ งานวิจัยที่สอดคล้องกับทฤษฎีนั้นๆ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ที่อ่านหนังสืออยู่ในขณะนี้ได้มองเห็นภาพรวมของแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่จะออกมา นอกจากนี้ผู้อ่านยังสามารถพลิกแพลงแนวคิด ทฤษฎี แนวปฏิบัติ ไปใช้ใน งานวิจัยของตนได้ เพื่อให้เกิดการสร้างสรรค์ในวิธีดำเนินการวิจัยให้มากยิ่งขึ้น ได้ข้อมูลที่เป็นจริงตาม สภาพการณ์มากที่สุด “งานวิจัยมีหลายประเภท แต่ละประเภทมีขั้นตอน กระบวนการและการให้คำตอบที่แตกต่างกัน งานวิจัยที่เป็นเชิงคุณภาพ ก็เป็นประเภทหนึ่ง ที่มีขั้นตอน กระบวนการ และการให้คำตอบที่นำไปใช้ประโยชน์ ได้ในรูปแบบของการอธิบาย ให้รู้ถึงภูมิหลังที่มา สภาพปัจจุบัน และอนาคต ได้เป็นอย่างดี 3.4 การวิจัยแบบผสมวิธี ความเป็นมาของการวิจัยแบบผสมผสาน หากจะแบ่งการวิจัยหรือกระบวนการแสวงหาความรู้ ความ จริงอย่างมีระบบแบบแผนโดยอาศัยกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์สามารถแบ่งได้เป็น 3 ยุค คือ ยุคที่ 1 ยุค ระเบียบวิธีเดี่ยว หรือยุคนักวิจัยบริสุทธิ์ (Mono Method หรือ Purist Era) ยุคนี้ จะใช้กระบวนทัศน์การวิจัย แบบใดแบบหนึ่งเท่านั้น ระหว่างการวิจัย เชิงปริมาณบริสุทธิ์หรือการวิจัยเชิงคุณภาพบริสุทธิ์ ยุคที่ 2 ยุค ระเบียบวิธีแบบผสม (Emergence of Mixed Methods) จากข้อจำกัดของระเบียบวิธีเดี่ยว จึงเกิดการนำวิธี เก็บข้อมูลแบบต่างๆ มาใช้ในการวิจัย และยุคที่ 3 ยุคการวิจัยรูปแบบผสม (Emergence of Mixed Model Studies) นอกจากนี้ยังอาจแบ่งนักวิจัยได้เป็น 3 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มนักวิจัยบริสุทธิ์ (Purist) ซึ่งมีความเห็นว่า ไม่


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 59 สมเหตุสมผลที่จะนำ วิธีการแสวงหาความรู้ความจริงที่อยู่บน ฐานคิดหรือปรัชญาในการมองความจริงต่างกัน มาใช้หาความจริง ด้วยกัน ดังนั้นนักวิจัยที่ยึดปรัชญาปฏิฐานนิยมก็ควรใช้การวิจัย เชิงปริมาณ และนักวิจัยที่ยึด ปรัชญาปรากฏการณ์นิยมก็ควรใช้การ วิจัยเชิงคุณภาพ 2. กลุ่มยึดสถานการณ์ (Situationist) มีความเห็นว่า บางสถานการณ์อาจใช้วิธีวิจัยเชิงปริมาณและวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ หาคำตอบในลักษณะเสริมเติมเต็มซึ่งกันและ กัน แต่ไม่ควรหลอมรวม ปรัชญาปฏิฐานนิยมและปรากฏการณ์นิยมเข้าด้วยกันเพราะทั้งสอง ปรัชญายังจำ เป็น ต่อการค้นหาความจริงที่ต่างกัน 3. กลุ่มปฏิบัติ นิยม (Pragmatist) มีความเห็นว่า อาจจะผสมผสานทั้งปรัชญา และวิธีการที่เหมาะสมเพื่อใช้ข้อดีของแต่ละปรัชญาและวิธีการ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในงานวิจัยนั้น (รัตนะ บัว สนธ์, 2551) จุดเน้นของกลุ่มปฏิบัตินิยมคือ ผลของการกระทำ การยึดปัญหา เป็นสำคัญ การใช้พหุวิธีใน การศึกษา และมุ่งที่การปฏิบัติในสภาพ ความเป็นจริง จากยุคต่างๆ ดังกล่าวจึงสรุปได้ว่า รูปแบบหลักของ การ วิจัยในปัจจุบันมี 3 รูปแบบ คือ การวิจัยเชิงปริมาณ การวิจัย เชิงคุณภาพ และการวิจัยแบบผสมผสาน โดยการ วิจัยแบบ ผสมผสานจัดอยู่ในยุคที่ 3 ของการเปลี่ยนแปลงวิธีวิทยาการวิจัย (Third Methodological Movement) การวิจัยแบบผสมผสานสามารถแบ่งการผสมผสานเป็น 2 ลักษณะ คือ การผสมผสานวิธีรวบรวม ข้อมูลหลายๆ วิธี ในการ วิจัย (Mixed Methods) และ การผสมผสานรูปแบบของการวิจัย เชิงปริมาณและเชิง คุณภาพ (Mixed Models) ซึ่งอาจผสมผสาน โดยให้น้ำหนักความสำคัญกับการวิจัยเชิงปริมาณและเชิง คุณภาพ เท่าเทียมกันหรือผสมผสานในลักษณะวิธีหลักวิธีรอง กล่าวคือ ให้น้ำหนักความสำคัญกับการดำ เนิน การวิจัยแบบใดแบบหนึ่ง มากกว่าอีกแบบหนึ่งทั้งในระยะเดียวกันหรือในระยะที่ต่างกันของ การวิจัย สำ หรับ การผสมผสานรูปแบบนี้ Creswell & Clark (2011) ได้เสนอปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกรูปแบบการ วิจัยไว้ 4 ประการ คือ ระดับการเชื่อมโยงของผลการวิจัย เชิงปริมาณและ เชิงคุณภาพ (Integration) ระดับ ความสำ คัญของผลการวิจัย เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ (Priority) เวลาในการดำ เนินการวิจัย เชิงปริมาณ และ เชิงคุณภาพ (Timing) และช่วงเวลาและวิธีการผสม ผสานการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ (Mixing) การวิจัย แบบผสมผสานยึดปรัชญาปฏิบัตินิยม ซึ่งเป็นแนวคิดที่มีความเชื่อ พื้นฐานในการแสวงหาความจริงที่ เน้นผลลัพธ์จากการปฏิบัติ มุ่งการ แก้ปัญหามากกว่าการยึดติดวิธีวิจัย ใช้วิธีเก็บข้อมูลหลากหลายวิธี และมุ่งที่ การปฏิบัติในโลกแห่งความเป็นจริง การวิจัยแบบผสมผสานเกิดขึ้นครั้งแรก ใน ค.ศ.1959 หรือ พ.ศ.2502 โดย Campbell และ Fiske เป็นผู้แนะนำ ให้ใช้วิธี เก็บข้อมูลเชิงปริมาณหลายๆ วิธี และเพิ่มวิธีเชิงคุณภาพเข้าไป ในการ ศึกษาเชิงปริมาณด้วย ในการศึกษาทางสังคมศาสตร์และ พฤติกรรมศาสตร์ หลังจากนั้นก็มีนักวิชาการ อีกหลายคน แสดง ทัศนะเกี่ยวกับการผสมผสานวิธีเก็บข้อมูล เช่น Sieber Bryman, Reichardt & Rallis เป็น ต้น จนกระทั่ง ค.ศ.2003 หรือ พ.ศ.2546 Creswell ได้เปรียบเทียบความเหมือนและความต่างระหว่าง รูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณการวิจัยเชิงคุณภาพ และการวิจัย แบบผสมผสาน ต่อมาใน ค.ศ.2005 หรือ พ.ศ.2548 การวิจัย แบบผสมผสานได้รับการยอมรับมากขึ้นจนมีการตีพิมพ์วารสาร ชื่อ Journal of Mixed Methods Research จนถึงปัจจุบัน


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 60 3.4.1 หลักการสำคัญของการวิจัยแบบผสมวิธี จุดเริ่มต้นของการวิจัยผสมวิธี คือ การจ าแนกข้อมูล เปรียบเทียบข้อมูล หรือตีความข้อมูล เช่นการ ตรวจสอบสามเส้า การเติมเต็มข้อมูล การพัฒนาเครื่องมือวัด การหามุมมองใหม่ ๆ และขยาย ความข้อมูล วิธีการวิจัยแบบผสมวิธีเป็นประเภทของการวิจัยที่ผู้วิจัยผสมผสานองค์ประกอบของการ วิจัยเชิงคุณภาพและ เชิงปริมาณเพื่ออธิบายความกว้างและความลึกและยืนยันผลการวิจัย ชื่อทาง ภาษาอังกฤษ คือ Mixed methods research )“Mixed Methods” or “MM”( เ ป ็ น พ ี ่ น ้ อ ง ข อ ง ก า ร ว ิ จ ั ย แ บ บ ห ล า ย ว ิ ธี )“Methodenkombination ภาษาเยอรมัน”( ซึ่งมีทั้งวิธีการเชิงคุณภาพหลายวิธี หรือการผสมผสานเชิง ปริมาณ แต่ไม่ได้น าผลมารวมกัน (Schoonenboom & Johnson, 2017) หลักการของวิธีการผสมวิธี (Mixed Method) ให้พิจารณา 3 ส่วนหลัก ๆ ดังนี้ ระเบียบวิธี วิจัย วิธี (Method) ที่แตกต่างกัน เช่น การเก็บรวบรวม ข้อมูล, การวิเคราะห์ข้อมูล และการตีความ หลักปรัชญาทฤษฎีและแนวคิดต่าง ๆ และเครื่องมือที่น ามา ประยุกต์ใช้ในการวิจัย ซึ่งหัวใจหลักของ วิธีการวิจัยแบบผสมวิธี คือ การรวบรวมข้อมูลที่ต้องน ามาตีความหรือ วิเคราะห์ร่วมกัน สิ่งที่ต้องระวัง ในการใช้วิธีการผสมวิธี ต้องน าข้อมูลทั้งสองชุดข้อมูลมารวมกันเพื่อจะน าไปสู่ การศึกษางานวิจัย ไม่ใช่ แยกกันแปลผลคนละวิธี การผสมวิธีไม่ใช่แค่การเพิ่มข้อมูลเชิงคุณภาพไปยังงานวิจัย เชิงปริมาณ (Creswell, 2015; Tashakkaori & Teddlie, 2010) ทั้งนี้วิธี (Method) แยกเป็น 3 ส่วน คือ 1) วิจัย (Research) ประกอบไปด้วย การวิจัยเชิงทดลอง การวิจัยกึ่งทดลอง และการวิจัยที่ไม่ใช่การทดลอง 2) วิธีการเข้าถึง (Approach) ประกอบด้วย แบบแผนการวิจัยผสมวิธีต่างๆ Convergence-Parallel, Embedded, Explanatory-Sequential, Exploratory-Sequential 3) ก า รออกแบบ (Design) เช่น Participant-Selection, Theory-Development, Instrument-Development, Multilevrl, EmbeddedExperimental เป็นต้น ในวิธี (Method) ที่แยกเป็น 3 ส่วน แต่ละส่วนน ามาผสมวิธีกัน ได้ สิ่งนี้เป็นหลักการ ของการวิจัยผสมวิธี (Edmonds & Kennedy, 2013) Creswell, Plano, Clark, Gutman and Hanson ให้ความหมายของการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) หมายถึง การวิจัยที่มีการเก็บข้อมูลหรือวิเคราะห์ข้อมูลทั้งที่เป็นชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ ซึ่งอาจเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันหรือเป็นลำดับก่อนหลังก็ได้ โดยผู้วิจัยให้ความสำคัญกับข้อมูล เป็นอันดับแรกและเกี่ยวข้องกับการบูรณาการข้อมูล ณ จุดหนึ่งจุดใดในกระบวนการวิจัย 3.4.2 จุดมุ่งหมายของการวิจัยแบบผสมผสาน จากการประมวลทัศนะของนักวิชาการ เช่น Creswell & Clark (2007) ; Creswell (2015) สามารถ สรุปจุดมุ่งหมายของ การวิจัยแบบผสมผสานได้ดังนี้ 1. เพื่อแก้ไขจุดอ่อนและเสริมจุดแข็งของการวิจัย เชิงเดี่ยว (Mono Method Research) 2. เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นในผลการวิจัยด้วยการใช้ วิธีต่างๆ ในการตรวจสอบสาม เส้า (Triangulation) 3. เพื่อเสริมความสมบูรณ์หรือเติมเต็มประเด็นที่ แตกต่างของปรากฏการณ์ที่ศึกษา 4. เพื่อค้นหาประเด็นหรือข้อค้นพบที่ผิดปกติ ขัดแย้ง หรือเป็นทัศนะใหม่ 5. เพื่อนำผลการศึกษาในระยะหนึ่งไป


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 61 ใช้ให้เป็นประโยชน์ ในอีกระยะหนึ่งของการวิจัย 6. เพื่อขยายงานวิจัยให้มีขอบเขตกว้างขวาง ลุ่มลึก มากขึ้น 7. เพื่อให้ได้ข้อมูลการวิจัยทั้งเชิงปริมาณและ เชิงคุณภาพ 3.4.3 ลักษณะสำคัญของการวิจัยแบบผสมผสาน จากทัศนะของ Teddlie, C. & Tashakkori, A (2003) ; Johnson & Christensen (2014) สามารถ สรุปลักษณะสำคัญ ของการวิจัยแบบผสมผสานได้ดังนี้ 1. ใช้วิธีเก็บรวบรวมและวิธีวิเคราะห์ข้อมูล ทั้งเชิง ปริมาณและเชิงคุณภาพเพื่อตอบคำถามวิจัย 2. รวมหรือผสมผสานข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและ เชิงคุณภาพ 3. ใช้ แนวคิดเชิงปรัชญาหรือกระบวนทัศน์หลากหลาย ร่วมกัน (Paradigm Pluralism) 4. เน้นความหลากหลายใน ทุกระดับของกระบวนการ วิจัย 5. ยึดคำถามหรือปัญหาวิจัยเป็นหลักในการกำ หนด วิธีการที่จะนำ มาใช้ใน การศึกษา 6. ใช้วิธีรวบรวมข้อมูลหลายๆ วิธี เพื่อเสริมซึ่งกัน และกันลักษณะทั้ง 6 ข้อดังกล่าวข้างต้นเรียก รวมกันว่า “การผสม ผสานวิธีวิทยา” )Methodological Eclecticism( ซึ่งหมายถึง การเลือกสรรและการบูร ณาการวิธีวิทยาที่เหมาะสมที่สุด จากการ วิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพมาใช้เพื่อศึกษาปรากฏการณ์ที่สนใจ 3.4.4 ความสำคัญของการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) การวิจัยแบบผสมผสาน( Mixed Methods Research) มีความสำคัญตามแนวคิดของ Greene and others ; Trocim ; Creswell ; Punch ; Viedero มี ดังนี้ 1. ผลการวิจัยจากวิธีการวิจัยแบบผสมผสานสามารถเสริมต่อกันโดยใช้ผลการวิจัยจากวิธีหนึ่งอธิบาย ขายความผลการวิจัยอีกวิธีหนึ่งช่วยให้การตอบคำถามการวิจัยได้ละเอียดชัดเจนมากกว่าการใช้รูปแบบการวิจัย เชิงปริมาณหรือเชิงคุณภาพเพียงรูปแบบเดียว 2. การใช้ผลการวิจัยจากวิธีหนึ่งไปช่วยพัฒนาการวิจัยอีกวิธีหนึ่งหรือการใช้ผลการวิจัยวิธีหนึ่งไปตั้ง คำถามการวิจัยอีกวิธีหนึ่ง 3.การวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพต่างก็มีจุดเด่นในตนเอง สามารถนำจุดเด่นมาใช้ ในการแสวงหาความรู้ความจริงได้ถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้น 4. การวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพต่างก็มีจุดด้อยในตนเอง ผู้วิจัยสามารถนำจุดเด่นของ การวิจัยเชิงปริมาณมาแก้ไขจุดด้อยของการวิจัยเชิงคูณภาพ ขณะเดียวกันอาจใช้จุดเด่นของการวิจัยเชิง คุณภาพมาใช้แก้ไขจุดด้อยของการวิจัยเชิงปริมาณ 5. สามารถนำผลผลิตจากการวิจัยแบบผสมผสานมาสร้างความรู้ความจริงที่สมบูรณ์สำหรับใช้ในการ ปรับเปลี่ยนทฤษฎีหรือการปฏิบัติงาน แบบแผนของการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) ในปัจจุบันมีแบบแผนการวิจัย 2 แบบแผน ดังนี้ แบบแผนที่ 1 การออกแบบการวิจัยเป็นลำดับ (Sequential Designs) แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบดังนี้


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 62 รูปแบบเชิงอธิบายเป็นลำดับ (Sequential Explanatory) การวิจัยรูปแบบนี้ผู้วิจัยจะแบ่งการวิจัยออกเป็นระยะ ๆ (Phases) ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลและ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณก่อนในระยะที่หนึ่ง แล้วดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์เชิงคุณภาพใน ระยะที่สอง ผู้วิจัยจะให้ความสำคัญกับข้อมูลเชิงปริมาณมากกว่าเชิงคุณภาพ ซึ่งข้อมูลเชิงคุณภาพจะใช้เสริม หรือสนับสนุนข้อมูลเชิงปริมาณ การบูรณาการจะเกิดขึ้นในขั้นตอนของการตีความและการอภิปรายผล 3.4.5 เกณฑ์การวัดคุณภาพของการวิจัยแบบผสมผสาน จากการที่การวิจัยแบบผสมผสานใช้วิธีเก็บข้อมูลทั้ง เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพหลายวิธีร่วมกัน จึง เกิดปัญหาว่าควรใช้ เกณฑ์ใดในการตัดสินคุณภาพของการวิจัยแบบนี้ โดยทั่วไปหากเป็น การวิจัยเชิงปริมาณ จะใช้การตัดสินจากความเที่ยงตรงภายใน (Internal Validity) ความเที่ยงตรงภายนอก (External Validity) และความเชื่อถือได้ (Reliability) แต่ถ้าเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ก็จะใช้การตัดสินจากความน่าเชื่อถือ (Credibility/Trustworthiness) ความเหมาะสมเข้ากันได้ (Fittingness) และการตรวจสอบได้ (Auditability) (Brannen, 2005) ในทัศนะของ Bryman เสนอว่า ควรใช้เกณฑ์ที่ตรงกับ วิธีเก็บข้อมูลหลัก เช่น ถ้าเป็นการ วิจัยแบบผสมผสานที่ใช้วิธี เชิงปริมาณเป็นวิธีหลัก ก็ควรพิจารณาที่ความเที่ยงตรงภายใน ความเที่ยงตรง ภายนอกและความเชื่อถือได้เป็นเกณฑ์ แต่ถ้าเป็น การวิจัยแบบผสมผสานที่ใช้วิธีเชิงคุณภาพเป็นวิธีหลัก ก็ควร พิจารณาที่ความน่าเชื่อถือ ความเหมาะสมเข้ากันได้และการตรวจ สอบได้เป็นเกณฑ์ และถ้าการวิจัยแบบ ผสมผสานบางแบบแผน ให้ความสำคัญกับวิธีเชิงปริมาณและวิธีเชิงคุณภาพอย่างเท่าเทียมกัน ก็ควรใช้เกณฑ์ที่ ยอมรับร่วมกัน (Convergent Criteria) ขณะที่ Onwuegbuzie & Johnson (2006 cited in Ihatola & Kihn, 2011) เสนอให้ใช้เกณฑ์ความเที่ยงตรงพหุ โดยเรียกเกณฑ์ดังกล่าวว่า “Multiple Validities” ซึ่ง หมายถึง การที่นักวิจัยใช้และแก้ไข ปัญหาเรื่อง ความเที่ยงตรงได้ทุกชนิดทั้งความเที่ยงตรงในการวิจัย เชิง ปริมาณและเชิงคุณภาพ ซึ่งหากแก้ปัญหาเรื่องความเที่ยงตรงได้ จะช่วยให้นักวิจัยสามารถสรุปอ้างอิง ผลการวิจัยได้อย่างดีหรือ มีความน่าเชื่อถือ ดังนั้น Multiple Validities จึงมีความสำคัญที่สุด (Johnson, 2014:) และเพื่อหลีกเลี่ยงการถกเถียงและความขัดแย้ง ซึ่งจะมีผลทำ ให้หาข้อยุติไม่ได้ Tashakkorri & Teddlie (2008) จึงเสนอว่า ควรสร้างคำ ศัพท์เฉพาะอย่างใหม่ขึ้นเพื่อใช้แทน คำศัพท์เดิมที่แต่ละวิธีวิจัยใช้จน เคยชิน เช่น ใช้คำว่า “Inference Quality” แทนคำว่า “Validity” ที่หมายถึง ความเที่ยงตรงในการ วิจัยเชิง ปริมาณ หรือ “Trustworthiness” ที่หมายถึง ความน่าเชื่อถือ ในการวิจัยเชิงคุณภาพ เป็นต้น เกณฑ์วัด คุณภาพของการวิจัยแบบผสมผสาน จึงเกี่ยวข้อง กับมาตรฐานของแต่ละวิธีวิจัยทั้งความเที่ยงตรงและความ เชื่อถือได้ ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นในทุกระยะของการวิจัยตั้งแต่การออกแบบการวิจัย การรวบรวมข้อมูล การ วิเคราะห์ข้อมูล และการแปลความหมาย ข้อมูลเพราะถ้าการดำ เนินการวิจัยในระยะใดขาดความเที่ยงตรง ก็ จะมีผลกระทบไปถึงการดำ เนินการในระยะอื่นๆ รวมถึง ความน่าเชื่อถือของผลการวิจัย


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 63 3.4.6 ประเภทของความเที่ยงตรงในการวิจัยแบบผสมผสาน จากการที่การวิจัยแบบผสมผสานเป็นการบูรณาการวิธี วิจัยทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ดังนั้น คุณภาพของผลการวิจัย จึงขึ้นอยู่กับทั้งความเที่ยงตรงและความเชื่อถือได้ แต่ความเที่ยงตรง จะต้องเกิดขึ้น ก่อนเป็นอย่างแรก Johnson (2014) กล่าวถึง ประเภทของความเที่ยงตรงในการวิจัยแบบผสมผสานว่ามีดังนี้ 1. Inside-outside Validity หมายถึง ความเที่ยงตรง ที่เกิดจากความสมดุลระหว่างมุมมองของคนใน หรือผู้ให้ข้อมูล (Insider) และมุมมองของผู้วิจัยในฐานะที่เป็นคนนอก (Outsider) 2. Paradigmatic/Philosophical Validity หมายถึง ความเที่ยงตรงที่เกิดจากการที่นักวิจัยมีความ เข้าใจอย่างชัดเจน ในกระบวนทัศน์การวิจัยหรือปรัชญาที่เป็นพื้นฐานของวิธีวิจัยทั้ง เชิงปริมาณและเชิง คุณภาพและนำ มาใช้ เพื่อสนับสนุนหรือเสริม ซึ่งกันและกันอย่างมีเหตุผล 3. Commensurability Validity หมายถึง ความเที่ยงตรง ที่เกิดจากการที่นักวิจัยอธิบาย ปรากฏการณ์ที่ศึกษาแบบองค์รวม สามารถสลับและบูรณาการวิธีคิด ทั้งแบบการวิจัยเชิงปริมาณและ เชิง คุณภาพเข้าด้วยกัน 4. Weakness Minimization Validity หมายถึง ความเที่ยงตรงที่เกิดจากการที่นักวิจัยวางแผน ออกแบบและเลือกใช้ วิธีวิทยาที่ตรงกับความมุ่งหมายของการวิจัยทั้งนี้เพื่อทำ ให้จุดอ่อน ของแต่ละวิธีวิทยามี น้อยที่สุด 5. Sequential Validity หมายถึง ความเที่ยงตรง ที่เกิดจากการที่นักวิจัยสร้างความรู้ ความเข้าใจ หรือข้อค้นพบ จากการใช้วิธีวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพจากระยะที่ดำ เนิน การก่อนหน้านั้น 6. Conversion Validity หมายถึง ความเที่ยงตรง ที่เกิดจากการที่นักวิจัยแปลงข้อมูลและแปลความหมายข้อมูล ที่ดัดแปลงมาอย่างเหมาะสม เช่น การตั้งชื่อตัวแปรและการจัด ประเภทของข้อมูลเป็นต้น Sample Integration Validity หมายถึง ความเที่ยงตรงที่เกิดจากการที่นักวิจัยสร้างข้อสรุปจากการ ใช้หลัก เหตุผลและหลักฐานที่เป็นข้อเท็จจริงอย่างหลากหลายจากกลุ่ม ตัวอย่างหรือกลุ่มเป้าหมายเพื่ออ้างอิง ไปยังประชากร Integrative Validity หมายถึง ความเที่ยงตรงที่เกิด จากการที่นักวิจัยสามารถบูรณาการข้อมูล การ วิเคราะห์ และการ สรุปผลเข้าด้วยกันเพื่อทำ ให้เกิดการอนุมานที่สมบูรณ์ บางครั้ง นักวิชาการเรียกว่า Metainferences Socio-political Validity หมายถึง ความเที่ยงตรง ที่เกิดจากการที่นักวิจัยสามารถสะท้อนความสนใจ ค่านิยม และมุมมอง จากจุดยืนที่หลากหลาย และจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่างๆ ในกระบวนการวิจัยจนทำ ให้ ผู้อ่านงานวิจัยเห็นคุณค่าของการอนุมาน Multiple Validities หมายถึง ความเที่ยงตรง หลายๆ ด้าน ทั้งภายในและภายนอกสำ หรับการวิจัย เชิงปริมาณและ ความเที่ยงตรงเชิงบริบท (Contextual Validity) ความสามารถ ในการสรุปอ้างอิง (Generalizability) และความสามารถในการ ถ่ายโอน (Transferability) สำ หรับการวิจัยเชิงคุณภาพที่


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 64 นักวิจัย สามารถเชื่อมโยงส่วนต่างๆ เหล่านั้นเข้าด้วยกัน จากความเที่ยงตรงในด้านต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น เห็น ได้ว่า การใช้เกณฑ์เพียงเกณฑ์ใดเกณฑ์หนึ่งย่อมไม่เพียงพอสำ หรับ การวิจัยแบบผสมผสาน (Ihantola & Kihn, 2011) ข้อดีและข้อจำกัดของการวิจัยแบบผสมผสาน ข้อดีและข้อจำกัดของการวิจัยแบบผสมผสานสรุปได้ดังนี้ ข้อดี ทำ ให้สามารถตอบคำถามวิจัยได้อย่างชัดเจนและ ครอบคลุม ซึ่งวิธีเชิงปริมาณหรือวิธีเชิงคุณภาพ อย่างเดียว ไม่สามารถตอบได้ ทำ ให้ได้ผลการวิจัยที่ก่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ในประเด็นที่ศึกษาอย่างลุ่มลึกและกว้างขวาง ทำ ให้นักวิจัยมีโลกทัศน์ทางวิชาการกว้างขวาง สอดคล้องกับความเป็นจริงของสังคม หรือเรื่องที่ ศึกษามากกว่า การยึดมั่นกับโลกทัศน์เชิงปริมาณหรือเชิงคุณภาพเพียงอย่างเดียว ทำ ให้นักวิจัยตั้งคำถามวิจัยและความมุ่งหมายของ การวิจัยได้หลากหลายและสามารถใช้วิธีเก็บข้อมูล อย่างหลากหลาย ในการหาคำตอบ การใช้กลยุทธ์การวิจัยที่หลากหลายจะช่วยเพิ่ม ความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้าง (Construct Validity) และถือเป็นการ ตรวจสอบสามเส้าด้านวิธีวิทยา (Methodological Triangulation) ข้อจำกัด มีความยุ่งยากในการดำ เนินการวิจัยโดยเฉพาะกรณี ที่นักวิจัยได้รับการฝึกมาเฉพาะการทำ วิจัยเชิง ปริมาณหรือ เชิงคุณภาพเพียงด้านเดียว สิ้นเปลืองทรัพยากร งบประมาณ และระยะเวลา ในการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล หากผลการวิจัยมีความขัดแย้งกันจะเกิดความยาก ในการสรุป เพื่อสร้างความเข้าใจกับผู้อ่านและการ นำ ไปใช้ นักวิจัยต้องมีความรู้และประสบการณ์การทำ วิจัย ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ 5. อาจใช้การวิจัยแบบผสมผสานแบบผิดๆ ตามความ นิยม เช่น เก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์แบบผิว เผินหรือสุ่ม กลุ่มตัวอย่างโดยไม่พิจารณาหลักเกณฑ์ที่เหมาะสม 3.5 รูปแบบเชิงสำรวจเป็นลำดับ (Sequential Exploratory) การวิจัยรูปแบบนี้ผู้วิจัยจะแบ่งการวิจัยออกเป็นระยะ ๆ (Phases) ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลและ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพก่อนในระยะที่หนึ่ง แล้วดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์เชิงปริมาณใน ระยะที่สอง ผู้วิจัยจะให้ความสำคัญกับข้อมูลเชิงคุณภาพมากกว่าเชิงปริมาณ ซึ่งข้อมูลเชิงปริมาณจะใช้เสริม หรือสนับสนุนข้อมูลเชิงคุณภาพ การบูรณาการจะเกิดขึ้นในขั้นตอนของการตีความและการอภิปรายผล 3.5.1 รูปแบบเชิงปริวรรตเป็นลำดับ (Sequential Transformative)


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 65 การวิจัยรูปแบบนี้ผู้วิจัยจะดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพหรือเชิง ปริมาณก่อนในระยะที่หนึ่ง แล้วดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์เชิงปริมาณหรือเชิงคุณภาพใน ระยะที่สอง ผู้วิจัยอาจจะให้ความสำคัญกับข้อมูลเชิงคุณภาพมากกว่าเชิงปริมาณ หรือข้อมูลเชิงปริมาณ มากกว่าข้อมูลเชิงคุณภาพ หรือให้ความสำคัญเท่า ๆ กัน ซึ่งข้อมูลจะใช้เสริมหรือสนับสนุนซึ่งกันและ กัน การบูรณาการจะเกิดขึ้นในขั้นตอนของการตีความและการอภิปรายผล แบบแผนที่ 2 การออกแบบการวิจัยแบบเกิดพร้อมกัน (Concurrent Designs) แบ่งเป็น 3 รูปแบบ ดังนี้ 3.5.2 รูปแบบเชิงสามเส้าแบบเกิดพร้อมกัน (Concurrent Triangulation) การวิจัยรูปแบบนี้ผู้วิจัยเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพพร้อมกัน ผู้วิจัยให้ ความสำคัญกับข้อมูลทั้งสองประเภทเท่ากัน การวิเคราะห์ข้อมูลอาจจะแยกกันและการบูรณาการจะเกิดขึ้นใน ขั้นตอนของการตีความข้อมูล การตีความเป็นการอภิปรายว่าข้อมูลมาบรรจบกันมากน้อยเพียงใด การวิจัย ประเภทนี้เหมาะที่ใช้เพื่อยืนยันความถูกต้องหรือตรวจสอบผลการวิจัยที่ได้จากแต่ละวิธี 3.5.3 รูปแบบเชิงฝังตัวแบบเกิดพร้อมกัน (Concurrent Embedded) การวิจัยรูปแบบนี้ ผู้วิจัยเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพพร้อมกัน แต่ ผู้วิจัยให้ความสำคัญกับข้อมูลทั้งสองประเภทไม่เท่ากัน ข้อมูลที่ฝังตัวอยู่ข้างในจะมีความสำคัญน้อยกว่า ซึ่ง ข้อมูลที่ฝังตัวจะใช้เพื่อตอบคำถามการวิจัยที่ต่างออกไป การวิเคราะห์ข้อมูลมักเป็นการแปรรูปข้อมูล การบูร ณาการจะเกิดขึ้นในขั้นตอนของการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยประเภทนี้เหมาะที่ใช้เพื่อศึกษาหัวเรื่องใดหัวเรื่อง หนึ่งในมุมกว้าง ๆ และในการศึกษากลุ่มหลายกลุ่มในงานวิจัยเรื่องหนึ่ง ๆ รูปแบบเชิงปริวรรตแบบเกิดพร้อมกัน (concurrent Transformative) การวิจัยรูปแบบนี้ผู้วิจัยเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพพร้อมกัน ทั้งนี้ ผู้วิจัยอาจให้ความสำคัญกับข้อมูลทั้งสองประเภทเท่ากันหรือไม่เท่ากันก็ได้ การวิเคราะห์ข้อมูลมักเกิดแยกกัน การบูรณาการจะเกิดขึ้นในขั้นตอนของการตีความข้อมูล ข้อจำกัดในการใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน ในทางปฏิบัติ พบว่าการวิจัยแบบผสานวิธีมีข้อพึงระวังและมีข้อจำกัดบางประการ คือ วิธีการวิจัยเชิง ปริมาณนั้นเป็นวิธีการที่เข้มงวด เป็นระบบและเป็นแบบแผน ส่วนวิจัยเชิงคุณภาพนั้นเป็นวิธีการที่แนบเนียน ละเอียดอ่อน และยืดหยุ่น เมื่อนำวิธีทั้งสองมาใช้ในการวิจัยเรื่องเดียวกันจะต้องใช้ให้เหมาะสม อย่าปล่อยให้ ความรู้สึกนึกคิดเชิงคุณภาพไปผ่อนคลายความเข้มงวดและความเป็นแบบแผนของวิธีการวิจัยเชิงปริมาณ ใน ขณะเดียวกันก็อย่าปล่อยให้ความรู้สึกนึกคิดเชิงปริมาณมีอิทธิพลทำให้วิธีการเชิงคุณภาพกลายเป็นการสำรวจ หาข้อมูลเพิ่มเติมอย่างฉาบฉวย ซึ่งจะเป็นผลทำให้คุณภาพของงานวิจัยชิ้นนั้นลดลงนอกจากนี้ยังพบว่า งานวิจัยแบบผสานวิธีมีข้อจำกัดที่สำคัญ คือ


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 66 1) นักวิจัยโดยเฉพาะหัวหน้าโครงการวิจัยต้องมีความรู้และประสบการณ์ในการทำวิจัยทั้งเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพคนที่ถูกต้องตามหลักวิธี ไม่เช่นนั้นจะได้งานวิจัยที่ไม่เข้มแข็งเท่าที่ควร 2)ในการวิจัยแบบผสานวิธีจะต้องใช้เวลาและทรัพยากรในการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลปริมาณมากกว่าการทำ วิจัยเชิงเดี่ยว ดังนั้นโครงการที่ถูกจำกัดด้วยเวลาและงบประมาณจึงไม่สามารถใช้กลยุทธ์โดยวิธีผสานวิธีได้ ยกเว้นเป็นข้อมูลเสริมบางส่วน 3) อาจมีการใช้การวิจัยแบบผสานวิธีตามสมัยนิยม โดยเป็นการใช้แบบผิดๆ ตามที่ตนเข้าใจหรือใช้ โดยมักง่าย เช่น นักวิจัยเชิงปริมาณเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์แบบผิวเผิน หรือนักวิจัยเชิงคุณภาพคัดเลือก กลุ่มตัวอย่างด้วยการสุ่มตามหลักสถิติโดยไม่พิจารณาหลักเกณฑ์ที่เหมาะสม เป็นต้น ทั้งวิธีการวิจัยเชิงปริมาณ และวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพต่างมีความสำคัญ ต่างมีจุดเด่นและมีข้อจำกัด ของตนเอง ถ้าได้นำมาเสริมกันจะช่วยเพิ่มจุดเด่นและลดจุดอ่อน เพิ่มความน่าเชื่อถือของการวิจัย และความ ครอบคลุมชัดเจนของผลการวิจัยยิ่งขึ้น จากที่กล่าวมาจะเห็นว่า พัฒนาการของการใช้วิธีการวิจัยนั้นมีความ ซับซ้อนและใช้ระเบียบวิธีขั้นสูงยิ่งขึ้นมาจนถึงปัจจุบันวิธีการวิจัยได้เจริญก้าวหน้าไปมากจนกล่าวได้ว่า ในขณะ นี้รูปแบบหลักของการวิจัยมี 3 รูปแบบ คือ การวิจัยเชิงปริมาณ การวิจัยเชิงคุณภาพ และการวิจัยแบบผสม (Mixed methods research) สิ่งที่มาผสมกันในแบบที่สามนี้ คือ การวิจัยผสม 2 รูปแบบแรกนั่นเอง ซึ่งการ ผสมของสองรูปแบบแรกนี้ อาจเป็นการผสมครึ่งต่อครึ่งหรือการผสมแบบมีรูปแบบหลักร่วมกับรูปแบบรอง ตัวอย่างการวิจัยแบบผสมผสาน ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างงานวิจัยที่ใช้การวิจัยแบบผสมผสาน 1. การวิจัยแบบผสมผสานแบบแผนคู่ขนาน (Concurrent Parallel Design) บางทีเรียกว่า แบบแผนสามเส้า (Triangulation Design) เรื่อง โครงการการ พัฒนาสมรรถนะระบบที่ปรึกษา ให้สภาเด็กและเยาวชนในประเทศไทย ผู้วิจัย สมพงษ์ จิตระดับ และสุรศักดิ์ เก้าเอี้ยน วัตถุประสงค์การวิจัย เพื่อกำ หนดแนวทาง สมรรถนะ คุณลักษณะ ที่พึงประสงค์ของบุคลากรที่ ปรึกษาให้สภาเด็กและเยาวชนระดับ ตำบล อำเภอ จังหวัดและประเทศไทย เพื่อพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรม เพื่อส่งเสริม สมรรถนะให้กับบุคลากรที่ปรึกษาได้ตรงกับความต้องการและ ปัญหาอุปสรรคที่มีอยู่ 3. เพื่อสร้างคู่มือให้กับบุคลากรที่ปรึกษาได้เรียนรู้ ด้วยตนเอง เพื่อเป็นแนวทางส่งเสริมที่สอดคล้องกับ ผู้เกี่ยวข้อง ฝ่ายต่างๆ ในการทำ งานประสานระดับนโยบายสู่การปฏิบัติได้จริง กระบวนการวิจัย นักวิจัยเก็บ ข้อมูลพร้อมกันทั้งสองวิธีการวิจัยอย่างเป็น อิสระต่อกัน ทั้งสองวิธีวิจัยมีความสำคัญเท่าเทียมกัน เริ่มจากการ เก็บข้อมูลเชิงปริมาณด้วยแบบสอบถามสมรรถนะในการให้ คำ ปรึกษา พร้อมกับเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพด้วย การสัมภาษณ์ คณะกรรมการ ที่ปรึกษาสภาเด็กและเยาวชน การสนทนากลุ่ม และ การบันทึกการศึกษา ภาคสนาม การวิเคราะห์ข้อมูลจะวิเคราะห์ แยกจากกัน โดยการวิจัยเชิงปริมาณใช้การวิเคราะห์ทางสถิติ และ การวิจัยเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา การวิเคราะห์วาทกรรม การจำแนกข้อมูล และการสร้างข้อสรุป แบบอุปนัย แล้วนำผลจาก ทั้งสองวิธีการวิจัยมารวม (Merge) เข้าด้วยกัน โดยรวมเนื้อหา ที่เหมือนกันและ เปรียบเทียบเนื้อหาที่แตกต่างกัน จากนั้นจึง สังเคราะห์ผลเพื่อนำ มาสรุปและตีความเพื่อให้เกิดความเข้าใจ ที่


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 67 สมบูรณ์ยิ่งขึ้น 2.การวิจัยแบบผสมผสานแบบแผนขั้นตอนเชิงสำ รวจ (Exploratory Sequential Design) เรื่อง การศึกษาและทดสอบปัจจัยเชิงสาเหตุของการใช้ ประโยชน์งานวิจัยของอาจารย์มหาวิทยาลัย : การวิจัย แบบผสมวิธี ผู้วิจัย ศิวะพร ภู่พันธ์ วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุของการใช้ประโยชน์ งานวิจัยของอาจารย์มหาวิทยาลัยและพัฒนากรอบ แนวคิดการวิจัย เพื่อพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการวัดการใช้ประโยชน์ งานวิจัยของอาจารย์มหาวิทยาลัย 3. เพื่อพัฒนาและตรวจสอบโมเดลความสัมพันธ์ เชิงสาเหตุของการใช้ประโยชน์งานวิจัย และศึกษา โครงสร้าง ความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของการใช้ประโยชน์งานวิจัยของอาจารย์ มหาวิทยาลัย กระบวนการวิจัย การวิจัยแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 เริ่มต้นด้วยการ วิจัยเชิงคุณภาพเป็นการวิจัยหลัก เพื่อสำรวจหัวข้อการวิจัยให้เข้าใจ ชัดเจน แล้วนำผลมาออกแบบการวิจัยเชิงปริมาณ ในระยะที่ 2 ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบผลการสำ รวจที่ได้จากการวิจัย เชิงคุณภาพด้วยการทำ การวิจัยเชิงปริมาณกับกลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่ การเก็บข้อมูลเริ่มจากการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลจำ นวน 22 คน ใช้แบบสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการ วิเคราะห์ข้อความ จากนั้นจึงนำข้อมูลที่ได้มาพัฒนา กรอบแนวคิด การวิจัยและข้อคำถามในแบบสอบถาม เพื่อการวิจัยเชิงปริมาณ วิเคราะห์ข้อมูลจาก แบบสอบถามด้วยการใช้สถิติพรรณนาและ วิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้างโดยใช้โปรแกรม LISREL การสรุป ผลการวิจัยจะสรุปตามระยะการวิจัย เริ่มจากผลการวิจัยเชิงคุณภาพ เกี่ยวกับปัจจัยเชิงสาเหตุของการใช้ ประโยชน์งานวิจัยของอาจารย์ มหาวิทยาลัย ต่อด้วยผลการวิจัยเชิงปริมาณโมเดลความสัมพันธ์ เชิงสาเหตุของ การใช้ประโยชน์งานวิจัยของอาจารย์มหาวิทยาลัย 3.การวิจัยแบบผสมผสานแบบแผนหลายระยะหรือ หลายช่วง (Multi-phase Design) เป็นการวิจัยที่ ประกอบด้วยหลายระยะ หลายรูปแบบ การวิจัยและอาจมีนักวิจัยหลายคนทำ งานเป็นทีม เรื่อง รูปแบบการ จัดการศึกษาแบบบูรณาการกระบวนการ คิดอย่างเป็นระบบและจิตบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ในสังคม พหุวัฒนธรรม สถาบันพระบรมราชชนก ผู้วิจัย ลิลลี่ ศิริพร และคณะ วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาแบบบูรณาการ กระบวนการคิดอย่างเป็นระบบและจิตบริการ ด้วยหัวใจความเป็น มนุษย์ในสังคมพหุวัฒนธรรม สถาบันพระบรมราชชนก 2. เพื่อศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบที่พัฒนาขึ้น กระบวนการวิจัย ระยะที่ 1 สร้างร่างรูปแบบการจัดการศึกษาแบบ บูรณาการกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบและจิต บริการด้วยหัวใจ ความเป็นมนุษย์ในสังคมพหุวัฒนธรรม จากการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสังเคราะห์เอกสาร และการสนทนากลุ่ม ระยะที่ 2 ทดลองใช้รูปแบบที่พัฒนาขึ้นด้วยการวิจัย เชิงปริมาณ


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 68 ระยะที่ 3 ตรวจสอบความถูกต้องของรูปแบบ ที่พัฒนาขึ้น ด้วยการนำ เสนอผลการทดลองในการ ประชุมเชิงปฏิบัติการ ระยะที่ 4 ประเมินประสิทธิผลของรูปแบบที่พัฒนาขึ้น โดยนำ รูปแบบไปทดลองใช้ในวิทยาลัย พยาบาล สังกัดสถาบัน พระบรมราชชนก แล้วเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์ เชิงลึก การสังเกตแบบ มีส่วนร่วม การสนทนากลุ่ม และการถอด บทเรียน 3.6 การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน วิจัยเชิงปฏิบัติการคืออะไร คําถามที่ว่าวิจัยเชิงปฏิบัติการคืออะไรนั้น จากการศึกษาเอกสารต่าง ๆ พอ สรุปได้ดังนี้Dick (2001) ให้คําอธิบายถึงความหมายของวิจัยปฏิบัติการว่าเป็นระเบียบวิธีวิจัยที่มี เป้าหมาย 2 อย่างตามชื่อเรียก 2 คํา “action” กับ “research” กล่าวคือ action ลงมือทํา นํามาซ ึ่งการเปลี่ยนแปลงใน หน่วยงาน ชั้นเรียน โรงเรียน หรือชุมชน research วิจัยเพื่อเพิ่มพูนตามความเข้าใจให้กับผู้วิจัยรวมถึงผู้ที่ เกี่ยวข้องกับผู้วิจัยหรือทั้ง 2 ฝ่ายในเรื่องของกระบวนการเปลี่ยนแปลงและผลที่ เกิดขึ้นการเปลี่ยนแปลง จุด เนนสำคัญของ วิธีการวิจัยเชิงปฏิบัติการ คือ การลงมือปฏิบัติและสําคัญลําดับรองลงมา คือ วิจัยช่วยในรูปของ การ เพ ิ่ มพูนความเข้าใจให้กับผู้ปฏิบัติงานโดยตรง กล่าวคือ เน้นการทําวิจัยในงานที่ตนกําลังปฏิบัติอยู่ เป็น การดําเนนการด้วยตนเองเพื่อเสาะหาค้นหาเกียวกับเรื่อง ของตัวเอง เช่น ครูก็มองงานของครู และถามตัวเอง ว่าทําไมตนถึงทำเช่นนั้น ทําไมถึงได้ผลอย่างนั้น เมื่อครูทํารายงานวิจัยผลงานวิจัย ของครูเป็นการนําเสนอการ ค้นหาอย่างมีระบบมีระบบถึงพฤติกรรมของตนและเหตุผลของพฤติกรรม เหล่านั้น รายงานแสดงถึง กระบวนการที่ครูได้ดำเนินการเพื่อเกิดความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับงานที่ทํา อยู่ มีการเปลยนแปลงเกิดขึ้นขึ้น ครู ก็เข้าใจและเรียนรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงความก้าวหน้าของสิ่งที่เกิด ขึ้นกับตนและผู้เกี่ยวข้อง และเพื่อจะได้ ดําเนินการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับการพัฒนาตนเองและ พัฒนางานของตนเองต่อไป ดังนั้นการทําวิจัยเชิงปฏิบัติการส่งผลต่อการตัดสินใจที่ทําให้ตัวเองเอาใจใส่มากขึ้น รับรู้และมี วิจารณญาณมากขึ้นในสิ่งที่ตนกำลังทำอยู่วิจัยเชิงปฏิบัติการทำให้ผู้ปฏิบัติงานมีความ รับผิดชอบ ผูกพันกับงาน ของตน ปรับปรุงและพัฒนางานของตนไม่สามารถไปบังคับให้คนอื่นทำตามเรา หรือไปรับผิดชอบแทนงานของ คนอื่น ๆ ได้นั่นคือทุกคนต่างก็ช่วยกันปรับปรุงเปลี่ยนแปลงพัฒนางานของตน จะมีส่วนช่วยทำให้การพัฒนา ยกระดับสู่สังคมและโลกในวงกวางต่อไป เหตุผลของการทําวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อต้องการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงสิ่งที่ทําอยู่ให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นในงานของตน อาจเริ่มด้วยการทำวิจัยเป็นรายกรณีศึกษาก่อน กล่าวคือ ถ้าเราต้องการให้เกิด การเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง เราไม่ใช่เพียงแต่พูด พูดถึงแต่เพียงความคิด ซึ่งไม่เพียง พอที่จะทำให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงตามที่ต้องการได้ เราจําเป็นต้องแสดงให้ปรากฎชัดถึงการนำข้อเสนอแนะ เชิง ความคิดไปสู่การปฏิบัติงานของเราเอง เพื่อทําให้ความคิดออกมาสู่การปฏิบัติให้เห็นประจักษ์เป็น ความ จริงที่สัมผัสได้ ข้อดีที่สําคัญข้อหนึ่งของการทําวิจัยเชิงปฏิบัติการคือ เริ่มด้วยการลงมือทําและ สรุปออกมาเป็น ทฤษฎีของตนเองจากผลการปฏิบัติของตน งานวิจัยเชิงปฏิบัติการจึงเป็นเรื่องราวของคนจริง ๆ ในสถานการณ์


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 69 ที่เป็นจริงทุกอย่างเมื่อต้องการเปลี่ยนแปลงจำเป็นต้องแสดงถึงกระบวนการของการเปลี่ยนแปลงในการทางาน ของผู้ทำวิจัยเอง ความต้องการที่แท้จริงของการทำวิจัยเชิงปฏิบัติการ คือ ผลิตเรื่องราวของตนเองว่ามัน เปลี่ยนแปลงอย่างไร ในกระบวนการทางการศึกษาสําหรับตนเองและผู้อื่นที่เกี่ยวข้อง รายกรณีศึกษาต่าง ๆ ที่ ทำขึ้นจะสามารถรวบรวมสรุป เป็นองค์ความรู้ที่มาจากชีวิตการทำงานของนักปฏิบัติกับนักวิจัยซึ่งอยู่ในคน เดียวกัน เพื่อแสดงถึงพัฒนาการของการเรียนรู้และได้ความรู้ในขณะเดียวกัน ลักษณะของวิจัยเชิงปฏิบัติการ การวิจัยเชิงปฏิบัติการเริ่มจากการปรับปรุงงานของตนเปนรายบุคคล แล้วขยายวงกว้าง ออกไป เพื่อเผยแพร่ให้ผู้อื่นได้รับรู้ และยังหาปัญหาลักษณะเดียวกันต้องได้รับการปรับปรุง หรือพัฒนางานเหมือน ๆ กันก็ร่วมมือกัน แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ดังนั้นลักษณะสําคัญของวิจัยเชิง ปฏิบัติการคือ 1.จับงานที่ตนปฏิบัติอยู่ ลงมือดำเนินการด้วยสรรพวิธีเพื่อนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไข 2. กระบวนการดำเนินการโดยผ่านวงจรต่อเนื่องกันเป็นชุด ๆ เป็นวงจรเกลียวสว่าน (วงจรหนึ่ง ประกอบด้วย วางแผน ลงมือปฏิบัติ สังเกต รวบรวมข้อมูล และสะท้อนผล ซึ่งวนอย่างเป็นระบบ และปฏิบติ การอย่างมีวิจารณญาณ การปฏิบัติมีความสอดคล้องรองรับกัน มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องต่อเนื่องกันจนเกิดผล การเปลี่ยนแปลง 3.ลักษณะการตอบสนองทันเวลา ทันเหตการณ์ในขณะปฏิบัติงาน ดังนั้นจึงให้ความ สําคัญกับข้อมูล เชิงคุณภาพ 4. กิจกรรมทุกระยะสามารถเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องกับงาน ผู้ร่วมงานรับรู้ เข้ามา มีส่วนร่วมช่วยกันแลกเปลี่ยนกันแลกเปลี่ยนความเห็น วิพากษ์วิจารณ์ถึงกระบวนการ ปฏิบัติงานและผลท ี่ เกิดข ึ้นจากการปฏิบัติ และพยายามให้การร่วมด้วยช่วยกันกันดํารงคงอยู่ เพราะ เป็นการช่วยควบคุมกระบวน ของการปฏิบัติให้มีความเหมาะสมไปในตัวด้วย ในบางงานของวิจัยเชิงปฏิบัติการให้ความสําคัญกับการมีส่วน ร่วม (Participation) เพราะ การมีส่วนร่วมทําให้เกิดข้อมูลผูกพันมัดให้ลงมือทำเพื่อหวังผลให้เกิดการ เปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ Dick )2001( ให้แง่คิดว่าควรเปิดให้เป็นทางเลือกว่าวิจัยเชิงปฏิบัติการจะเน้นหนัก ในทางใดระหว่างข้อมูลเชิงคุณภาพกับการมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้อง เพราะยังต้องพิจารณาร่วมกับปัจจัยอื่น ๆ อีกหลายประการ และขึ้นกับการเน้นน้ำหนักระหว่างข้อดีข้อเสียต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นตามมาอีกด้วย 3.7 บทสรุป เชิงปฏิบัติการมีประวัติกว้างไกลทางภูมิศาสตร์ )สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย ไทย ฯลฯ( มิติทาง ทฤษฎีและปรัชญาที่บ่งบอกถึงการปฏิบัติของวิจัยเชิงปฏิบัติ ซึ่งแบ่งเป็น 2 สาย คือ สายที่ยึดทฤษฎีเป็น ฐาน )Critical action research) ซึ่งมีรากฐานเชิงวิพากษ์และทฤษฎี postmodern และเป็นประชาธิปไตยและ อิสระเสรี และสายที่ยึดการปฏิบัติเป็นฐาน )Practical action research) ซึ่งเน้นการประยุกต์และการ กลมกลืนกับบริบทที่ทําวิจัย เป้าหมายหลักที่สําคัญของวิจัยเชิงปฏิบัติสําหรับครู คือ การพัฒนาวิชาชีพครูให้


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 70 เจริญก้าวหน้า พร้อมกับปรับปรุงคุณภาพของนักเรียน ครูที่ดีมักสะท้อนการปฏิบัติงานของตนอย่างมี วิจารณญาณ เสมอ เป้าประสงค์สำคัญคือต้องการให้ครูทุกคนสามารถนำยุทธวิธีและแนวปฏิบัติสำหรับการ ผนวกวิจัยเชิงปฏิบัติ เข้ากับการปฏิบัติการสอนตามปกติในชั้นเรียนของครูได้เป็นอย่างดี คำถามท้ายบท 1. ความหมายของการวิจัยทางการศึกษา ความสำคัญของระเบียบวิธีวิจัย เป็นการศึกษาความสัมพันธ์ ที่เป็นรูปแบบระหว่างองค์ประกอบที่สำคัญกี่ประการ อะไรบ้าง 2. สรุปลักษณะการวิจัยเชิงปริมาณ )Quantitative Research) มาพอเข้าใจ จงยกตัวอย่างพร้อม อธิบาย 3. สรุปกระบวนการวิจัยเชิงคุณภาพทางการศึกษามีขั้นตอนที่สำคัญมีกี่ขั้นตอน จงอธิบาย 4. จงอธิบายถึงลักษณะการวิจัยแบบผสมวิธี มีขั้นตอนที่สำคัญมีกี่ขั้นตอน จงอธิบาย 5. จงอธิบายถึงคุณลักษณะของการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน รวมทั้งอธิบายถึงนักวิจัยที่มี ความสามารถ )Competent Researchers) ว่าต้องประกอบด้วยความรู้ ทักษะ และคุณสมบัติส่วนตัว อะไรบ้าง รายการอ้างอิง กิตติพัฒน์นนทปัทมะดุล .)2554( .การวิจัยเชิงคุณภาพในสวัสดิการสังคม :แนวคิดและวิธีวิจัย .พิมพ์ครั้งที่ .2กรุงเทพฯ :สามลดา. ทิพวรรณ หล่อสุวรรณรัตน์ .)2548( .องค์การแห่งการเรียนรู้ :จากแนวคิดสู่การปฏิบัติ.พิมพ์ครั้งที่ .2 กรุงเทพฯ :รัตนไตร. ชัยอนันต์สมุทวณิช .)2543( .เพลินเพื่อรู้.กรุงเทพฯ :พี.เพรส. ธีระ นุชเปี่ยม .)2541( .สู่การเปลี่ยนแปลงกระบวนทรรศน์ .สังคมศาสตร์ปริทัศน์ )2( 19 .มกราคม-มิถุนายน : .110-99 น้ำทิพย์วิภาวิน .)2546( .การจัดการความรู้ .วารสารศรีปทุมปริทัศน์.ปีที่ 3ฉบับที่( .2กรกฎาคม–ธันวาคม :) .92-85 พรธิดา วิเชียรปัญญา .)2547( .การจัดการความรู้ :พื้นฐานและการประยุกต์.กรุงเทพฯ :ธรรมกมลการพิมพ์. ราชบัญฑิตยสถาน .)2546( .พจนานุกรม ฉบับราชบัญฑิตยสถาน พ.ศ .2542.กรุงเทพฯ :นานมีบุ๊คส์ พับลิเคชั่นส์. ราชบัณฑิตยสถาน .)2540( .พจนานุกรมศัพท์ปรัชญาอังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน .พิมพ์ครั้งที่ .2 กรุงเทพฯ :ราชบัณฑิตยสถาน . สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ .)2548( .การจัดการความรู้จากทฤษฎีสู่การปฏิบัติ.พิมพ์ครั้งที่ .2


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 71 กรุงเทพฯ :จิรวัฒน์เอ็กเพรส. อภิชัย พันธเสน .)2544( .พุทธเศรษฐศาสตร์ :วิวัฒนาการ ทฤษฎีและการประยุกต์กับเศรษฐศาสตร์สาขา ต่าง ๆ .กรุงเทพฯ :อมรินทร์. อรศรีงามวิทยาพงศ์ .)2541( .คุยกันเรื่องความคิดกับศาสตราจารย์นพ.ประเวศ วะสี .กรุงเทพฯ : มูลนิธิโกมล คีมทอง. อิกุจิโร โนนากะ, โนโบรุคอนโนะ, และแพทริก ไรน์โมลเลอร์ .)2550( .วิธีการสร้างความรู้( Methodology of Knowledge Creation .)แปลโดย ทวีนาคบุตร .กรุงเทพฯ:มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. Amrit Tiwana( .2000 .)The Knowledge Management Toolkit :Practical Techniques for Building knowledge Management System. Upper Saddle River, NJ :.Prentice Hall PTR . Chum Wei Choo( .2000 .)“Working Knowledge :How Organizations Manage What They Know”. Congress of Southeast Asian Librarians. 7-9, 35, (April.) Clyde W .Holsapple( .2003 .)Handbook on Knowledge Management 1 Knowledge Matters. Berlin :Springer-Verlag Berlin. Dant, T( .1991 .)Knowledge ideology and discourse :A sociology perspective .New York : Routledge. Gillroy J.M( .1997 .)“Postmodernism efficiency and comprehensive policy argument in public administration”. American Behavioral Scientist .41 (1 )September :163 -190 . Ikujiro Nonaka and Hirataka Takeuchi( .1995 .)The Knowledge Creating Company :How JapaneseCompanies Create the Dynamics of Innovation. New York, [u.a :]Oxford University Press . Ikujiro Nonaka( .1998 . ) Te Knowledge -Creating Company . USA :Harvard Business School Press. Jacky Swan( .2004“ . ) Knowledge Management in Action?”, in Handbook on Knowledge Management 1 :Knowledge Matters, edited by C.W .Hollsopple, 2nd editions, (Berlin : Springer :)281. Kuhn, T.S( .1970 .)The structure of scientific revolutions. Chicago :University of Cchicago Press. Marcuse H( .1964 .)One-dimensional man. Boston :Beacon. Michael Polanyi( .1962 .)Personal Knowledge :Towards a Post-CriticalPhilosophy. London : Routledge & Kegan Paul . Patton, M.Q( .1978 .)Utilization-focused evaluation. Beverly Hills, CA :.SAGE.


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 72 Peter F .Drucker( .2009 .)The New Realities. 4 th ed .New Jersey :New Brunswick . Raymond J .Corsini( .2002 .)The Dictionary of Psychology. NY :Brunner-Rout ledge. Rubin A .& Barbie E( .2001 .)Research methods for social work. 4th ed .Belmont, CA : Wadsworth/Thomson Learning. Thomas H .Davenport and Laurence Prusak( .2000 .)Working Knowledge :How Organization Manage What They Know. 2 nd ed .Boston, Massachusetts :Harvard Business School Press. Tyson K.B( .1992 .)“A new approach to relevant scientific research for practitioners :The heuristic paradigm”. Social Work. 37 (6 :)541-556


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 73 แผนการสอนประจำบทที่ 4 ประเภทของการวิจัย รายวิชา วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หัวข้อย่อย 4.1 แบ่งตามจุดมุ่งหมายของการวิจัย 4.2 แบ่งตามประโยชน์ของการวิจัย 4.3 แบ่งตามวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล 4.4 แบ่งตามลักษณะการวิเคราะห์ข้อมูล 4.5 แบ่งตามลักษณะวิชาหรือศาสตร์ 4.6 แบ่งตามเวลาที่ใช้ในการวิจัย 4.7 แบ่งตามระเบียบวิธีวิจัย 4.8 การวิจัยเชิงปริมาณ 4.9 การวิจัยเชิงคุณภาพ 4.10 การวิจัยเชิงผสานวิธี 4.11 สรุป สรุปแนวคิดที่สำคัญ กระบวนการวิจัยมีชนิดของการวิจัยที่แบ่งตามจุดมุ่งหมายของการวจัย มีการวิจัยที่แบ่งตามประโยชน์ ของการวิจัย มีการแบ่งตามวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล แบ่งตามลักษณะการวิเคราะห์ข้อมูล แบ่งตามลักษณะ วิชาหรือศาสตร์แบ่งตามเวลาที่ใช้ในการวิจัย แบ่งตามระเบียบวิธีวิจัย การวิจัยเชิงปริมาณ การวิจัยเชิง คุณภาพ การวิจัยเชิงผสานวิธี มีการแบ่งการวิจัยมีเป้าหมายเพื่อการแสวงหาความรู้ให้กับผู้คน เพื่อที่จะได้นำ ความรู้เหล่านั้นไปเป็นกลไกแสวงหาความรู้ และใช้ความรู้เหล่านั้นไปเป็นเครื่องมือในการสร้างองค์ความรู้ และ นำไปสู่การพัฒนาในองค์รวม วัตถุประสงค์ 1.เพื่อศึกษากระบวนการวิจัยโดยการจำแนกตามจุดมุ่งหมายและประโยชน์ของการวิจัย 2.เพื่อศึกษากระบวนการวิจัยตามวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล 3. เพื่อศึกษากระบวนการวิจัยตามลักษณะวิชาหรือศาสตร์ตามเวลาที่ใช้ในการวิจัย ตามระเบียบวิธี วิจัย การวิจัยเชิงปริมาณ การวิจัยเชิงคุณภาพ การวิจัยเชิงผสานวิธี กิจกรรมระหว่างเรียน 1.การบรรยายในชั้นเรียน


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 74 2.ผู้สอนผู้บรรยาย บรรยายตามกรอบของการบรรยาย สื่อการสอน 1.เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 2. เอกสารประกอบการสอน 3. สื่อ Power Point สื่ออื่น เช่น Flip Chart การประเมินผล 1.ประเมินผลความสนใจของผู้ศึกษาขณะเรียน 2.การชักถาม ถามตอบ ของผู้เรียนขณะเรียน 3.การประเมินระหว่างเรียน การประเมินกลางภาค และการสอบประเมินปลายภาค


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 75 บทที่ 4 ประเภทของการวิจัย การที่จะแบ่งการวิจัยออกเป็นกี่ประเภทนั้นขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่งว่าจะยึดถือสิ่งใดเป็น เกณฑ์หรือเป็นหลัก ทั้งนี้เพราะการใช้เกณฑ์ต่างกัน ก็จะแบ่งการวิจัยออกเป็นประเภทต่าง ได้ไม่เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้ประเภทของการวิจัยจึงแบ่งกันได้หลายแบบเพราะขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่งดังกล่าวแล้ว ต่อไปนี้จะขอกล่าวถึงประเภทของการวิจัยโดยใช้เกณฑ์ต่าง ๆ กัน 4.1 แบ่งตามจุดมุ่งหมายของการวิจัย การแบ่งประเภทของการวิจัยโดยใช้จุดมุ่งหมายของการวิจัยเป็นเกณฑ์ในการแบ่งนั้น อาจแบ่งได้ เป็น ประเภทดังนี้3 1. การวิจัยเชิงพยากรณ์ (Predictive research) เป็นการวิจัยเพื่อที่จะนำผลที่ได้นั้นไปใช้ ทำนายสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต เช่น การวิจัยเรื่อง การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างผลสัมฤทธิ์ทางการ“ การวิจัยนี้ต้อ ”เรียนวิชาวิทยาศาสตร์กับคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษางการจะทดสอบว่า ผลการ เรียนวิชาคณิตศาสตร์มีความคล้อยตามกันหรือสัมพันธ์กันกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของวิชาวิทยาศาสตร์ หรือไม่ ทั้งนี้เพื่อจะนำผลที่ได้ไปทำนายว่านักเรียนที่มีผลการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ดีจะเรียนวิชาคณิตศาสตร์ได้ ดีเพียงใด แต่การพยากรณ์นี้เป็นการพยากรณ์นักเรียนทั้งกลุ่ม มิได้พยากรณ์เป็นรายบุคคล และมิได้หมายความ ว่าจะถูกต้องเสมอไป เพราะอาจมีสาเหตุอื่นมากมายที่ทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการพยากรณ์ได้ 2. การวิจัยเชิงวินิจฉัย (Diagnostic research) เป็นการวิจัยเพื่อศึกษาสาเหตุของปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง กลุ่มชน หรือชุมชน เพื่อให้เกิดความเข้าใจในปัญหา เข้าใจในพฤติกรรม ตลอดจนเข้าใจในสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาอันจะเป็นประโยชน์ในการช่วยเหลือ อนุเคราะห์ และทำการแก้ไข ต่อไป การวิจัยประเภทนี้นักสังคมสงเคราะห์นิยมใช้กันมาก เพื่อจะได้แก้ไขปัญหาได้ถูกจุด 3. การวิจัยเชิงอรรถาธิบาย (Explanatory research) เป็นการวิจัยเพื่อศึกษาเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นแล้วว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร มีสาเหตุมาจากอะไร และทำไมจึงเป็นเช่นนั้น การวิจัยประเภทนี้จะพยายาม ชี้ให้เห็นว่าตัวแปรใดสัมพันธ์กับตัวแปรใดบ้าง และสัมพันธ์กันอย่างไรในเชิงของเหตุและผล 4.2 แบ่งตามประโยชน์ของการวิจัย การแบ่งประเภทของการวิจัยโดยยึดประโยชน์ที่ได้จากการวิจัยเป็นเกณฑ์นั้น เราจะต้องพิจารณา ว่าในการทำการวิจัยมุ่งที่จะนำผลไปใช้ประโยชน์หรือไม่ ดังนั้นจึงสามารถแบ่งการวิจัยออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 76 1. การวิจัยพื้นฐาน )Basic research( หรือการวิจัยบริสุทธิ์ )Pure research) หรือการวิจัยเชิง ทฤษฎี (Theoretical research) เป็นการวิจัยที่เสาะแสวงหาความรู้ใหม่เพื่อสร้างเป็นทฤษฎี หรือเพื่อเพิ่มพูน ความรู้ต่าง ๆ ให้กว้างขวางสมบูรณ์ยิ่งขึ้นโดยมิได้คำนึงว่าความรู้นั้นจะนำไปแก้ปัญหาใดได้หรือไม่ การวิจัย ประเภทนี้มีความลึกซึ้งและสลับซ้อบซ้อนมาก เช่น การวิจัยทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ เป็นต้น 2. การวิจัยประยุกต์ (Applied research) หรือการวิจัยเชิงปฏิบัติ (Action research) หรือการ วิจัยเพื่อหาแนวทางปฏิบัติ (Operational research) เป็นการวิจัยที่มุ่งเสาะแสวงหาความรู้ และประยุกต์ใช้ ความรู้หรือวิทยาการต่าง ๆ ให้เป็นประโยชน์ในทางปฏิบัติหรือเป็นการวิจัยที่นำผลที่ได้ไปแก้ปัญหาโดยตรง นั่นเอง การวิจัยประเภทนี้อาจนำผลการวิจัยพื้นฐานมาวิจัยต่อแล้วทดลองใช้ เช่น การวิจัยเกี่ยวกับอาหาร ยา รักษาโรค การเกษตร การเรียนการสอน เป็นต้น ดังนั้นเราจึงไม่สามารถที่จะแยกการวิจัยพื้นฐานและการวิจัย ประยุกต์ออกจากกันได้โดยเด็ดขาด 4.3 แบ่งตามวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อนำมาใช้ในการวิจัยนั้นมีหลายวิธี ดังนั้นจึงมีผู้แบ่งประเภทของการ วิจัยตามวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ซึ่งแบ่งได้ดังนี้ 1. การวิจัยจากเอกสาร (Documentary research) เป็นการวิจัยที่ผู้วิจัยทำการเก็บรวบรวม ข้อมูลจากเอกสาร รายงาน จดหมายเหตุ ศิลาจารึก แล้วเสนอผลในเชิงวิเคราะห์ ส่วนใหญ่เอกสารที่ผู้วิจัยเก็บ รวบรวมนี้จะอยู่ในห้องสมุด ดังนั้นจึงอาจเรียกการวิจัยประเภทนี้อีกอย่างหนึ่งว่า การวิจัยจากห้องสมุด (Library research) 2. การวิจัยจากการสังเกต (Observation research) เป็นการวิจัยที่ผู้วิจัยทำการเก็บรวบรวม ข้อมูลด้วยวิธีการสังเกต การวิจัยประเภทนี้นิยมใช้มากทางด้านมานุษยวิทยา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการสังเกต พฤติกรรมของบุคคลในสังคมในแง่ของสถานภาพ (Status) และบทบาท (Role) 3. การวิจัยแบบสำมะโน (Census research) เป็นการวิจัยที่ผู้วิจัยทำการเก็บรวบรวมข้อมูลจาก ทุก ๆ หน่วยของประชากร 4. การวิจัยแบบสำรวจจากตัวอย่าง (Sample survey research) เป็นการวิจัยที่ผู้วิจัยทำการเก็บ รวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 5. การศึกษาเฉพาะกรณี (Case study) การศึกษาเฉพาะกรณีเป็นการวิจัยที่นักสังคมสงเคราะห์ นิยมใช้มาก ที่เรียกว่าการศึกษาเฉพาะกรณีก็เพราะเป็นการศึกษาเรื่องที่สนใจในขอบเขตจำกัดหรือแคบ ๆ และ ใช้จำนวนตัวอย่างไม่มากนัก แต่จะศึกษาอย่างลึกซึ้งในเรื่องนั้น ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อเท็จจริงที่จะทำให้ทราบว่า บุคคลนั้นหรือกลุ่มบุคคลนั้นมีความบกพร่องในเรื่องใด เนื่องมาจากสาเหตุใด เพื่อจะได้หาทางแก้ไขหรือ ช่วยเหลือต่อไป


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 77 6. การศึกษาแบบต่อเนื่อง (Panel study) เป็นการศึกษาที่มีการเก็บข้อมูลเป็น ระยะ ๆ เพื่อดู การเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาของกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งการศึกษาแบบต่อเนื่องนี้จะช่วยให้เข้าใจและทราบถึง ลักษณะการเปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดี 7. การวิจัยเชิงทดลอง (Experimental research) เป็นการวิจัยที่ผู้วิจัยเก็บข้อมูลมาจากการ ทดลอง ซึ่งเป็นผลมาจากการกระทำ (Treatment) โดยมีการควบคุมตัวแปรต่าง ๆ ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ที่กำหนดไว้ 4.4 แบ่งตามลักษณะการวิเคราะห์ข้อมูล ประเภท ดังนี้2 ถ้ายึดลักษณะของการวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยแล้ว อาจแบ่งการวิจัยได้เป็น .1การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) เป็นการวิจัยที่นำเอาข้อมูลทางด้านคุณภาพมา วิเคราะห์ ข้อมูลทางด้านคุณภาพเป็นข้อมูลที่ไม่เป็นตัวเลขแต่จะเป็นข้อความบรรยายลักษณะสภาพเหตุการณ์ ของสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และการเสนอผลการวิจัยก็จะออกมาในรูปของข้อความที่ไม่มีตัวเลขทางสถิติ สนับสนุนเช่นเดียวกัน การวิจัยประเภทนี้จึงมุ่งบรรยายหรืออธิบายเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยอาศัยความคิด วิเคราะห์ เพื่อประเมินผลหรือสรุปผลนั่นเอง .2การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative research) เป็นการวิจัยที่นำเอาข้อมูลเชิงปริมาณมา วิเคราะห์ กล่าวคือใช้ตัวเลขประกอบการวิเคราะห์ สรุปผล และการเสนอผลการวิจัยก็ออกมาเป็นตัวเลข เช่นเดียวกัน ดังนั้น การวิจัยประเภทนี้จึงมุ่งที่จะอธิบายเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยอาศัยตัวเลขยืนยันแสดงปริมาณ มากน้อยแทนที่จะใช้ข้อความบรรยายให้เหตุผล อนึ่งการวิจัยที่ดีนั้นไม่ควรใช้แบบใดแบบหนึ่งโดยเฉพาะ เพราะจะทำให้ผลที่ได้ไม่แจ่มชัด เท่าที่ควร ดังนั้นในการปฏิบัติมักจะประยุกต์การวิจัยทั้ง ประเภทนี้เข้าด้วยกัน เพื่อให้ผลการวิจัยมีทั้งเหตุ2 และผลและมีตัวเลขสนับสนุนอันจะทำให้ผลการวิจัยน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น 4 5.แบ่งตามลักษณะวิชาหรือศาสตร์ เมื่อยึดลักษณะวิชาหรือศาสตร์เป็นเกณฑ์ในการแบ่งประเภทของการวิจัย จะแบ่งการวิจัยออกได้เป็น 2 ประเภทดังนี้ 1. การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ )Scientific research) เป็นการวิจัยที่เกี่ยวกับปรากฎการณ์ธรรมชาติของ สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น การวิจัยประเภทนี้ได้กระทำกันมานานแล้ว และก่อให้เกิด ประโยชน์ต่อมวลมนุษย์อย่างมากมายเช่น การค้นพบยา รักษาโรค การค้นพบสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ เป็นต้น นอกจากนี้การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ยังสามารถใช้ แก้ปัญหาที่เกิดจากธรรมชาติได้อีกด้วย เนื่องจากการวิจัย ทางวิทยาศาสตร์มีเครื่องมือและอุปกรณ์ที่เที่ยงตรงและมีกฎเกณฑ์แน่นอน ตลอดจนสามารถควบคุมการ


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 78 ทดลองได้เพราะทำการทดลองในห้องปฏิบัติการ จึงทำให้ผลการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ได้รับความเชื่อถือ มาก การวิจัยทาง วิทยาศาสตร์อาจจำแนกตามสาขาต่าง ๆ ได้ดังนี้ 1.1 สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพและคณิตศาสตร์ เช่น ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ ฯลฯ 1.2 สาขาวิทยาศาสตร์ เช่น ศิลยศาสตร์ รังสีวิทยา ฯลฯ 1.3 สาขาวิทยาศาสตร์เคมีและเภสัช เช่น อินทรีย์เคมี เภสัชศาสตร์ ฯลฯ 1.4 สาขาเกษตรศาสตร์และชีววิทยา เช่น สัตวศาสตร์ วนศาสตร์ ฯลฯ 1.5 สาขาวิศวกรรมศาสตร์และอุตสาหกรรมวิจัย เช่น วิศวกรรมชลประทาน วิศวกรรมไฟฟ้า ฯลฯ 2. วิจัยทางสังคมศาสตร์ )Social research) เป็นการวิจัยที่เกี่ยวกับสภาพแวดล้อม สังคม วัฒนธรรม และพฤติกรรมของมนุษย์ เช่น การวิจัยด้านปรัชญา สังคมวิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ เป็นต้น การวิจัยทาง สังคมศาสตร์นี้แตกต่างกับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์มาก เนื่องจากสังคมศาสตร์เป็นวิชาที่ว่าด้วยสังคม สิ่งแวดล้อม และพฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่งวัดไม่ได้โดยตรงและควบคุมได้ยาก แต่มนุษย์ก็ได้พยายามวัดโดยใช้ เครื่องมือวัดทางอ้อม เช่น ใช้แบบทดสอบ แบบสอบถาม แบบวัดเจตคติ ฯลฯ และได้นำเอาวิธีการทาง วิทยาศาสตร์มาช่วยในการวิจัย ทำให้ผลการวิจัยเป็นที่น่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น การวิจัยทางสังคมศาสตร์อาจ จำแนกตามสาขาต่าง ๆ ได้ดังนี้ 2.1 สาขาปรัชญา เช่น วรรณคดี การศึกษา ฯลฯ 2.2 สาขานิติศาสตร์ เช่น กฎหมายแพ่ง กฎหมายการปกครอง ฯลฯ 2.3 สาขารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ เช่น การเมือง การปกครอง การบริหารราชการ ทั่วไป ฯลฯ 2.4 สาขาเศรษฐศาสตร์ เช่น การเงินและการคลัง เศรษฐศาสตร์การพัฒนา ฯลฯ 2.5 สาขาสังคมวิทยาศาสตร์ เช่น ประชากรศาสตร์ พัฒนาชุมชน ฯลฯ การวิจัยทางสังคมศาสตร์เจริญก้าวหน้าช้ากว่าการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เพราะว่าปรากฏการณ์ทาง สังคมศาสตร์นั้นมีข้อจำกัดหลายประการ เช่น 1) การควบคุมปรากฏการณ์ทางสังคมให้คงที่นั้นทำได้ยาก 2) เมื่อวัฒนธรรมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้มนุษย์เปลี่ยนแปลงไปด้วย 3) การทำนายผลบางอย่างล่วงหน้า อาจไม่เกิดผลนั้นขึ้นมาเพราะมนุษย์อาจป้องกันไว้ ล่วงหน้าได้ 4) การที่จะศึกษาความคิด ความรู้สึกและเจตคติของมนุษย์นั้นทำได้ยากและวัดได้ยาก 5) ปัญหาทางสังคมศาสตร์จะเหมือนกับปัญหาของสามัญชน ทำให้คนทั่วไปคิดว่าวิชา สังคมศาสตร์เป็นวิชาสามัญสำนึกได้ แม้ว่าการวิจัยทางสังคมศาสตร์จะมีข้อจำกัดอยู่หลายประการก็ตาม แต่การวิจัยทางด้านนี้ก็สามารถ ศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ได้มากพอสมควร


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 79 4.6 แบ่งตามเวลาที่ใช้ในการวิจัย 1) การวิจัยแบบตัดขวาง Cross sectional research การวิจัยซึ่งอาศัยรูปแบบการวิจัย สำรวจโดยวางแผนการรวบรวมข้อมูลเพียงครั้งเดียวในช่วงมิติของเวลา ตามปกติ การวิจัยตัดขวางมักได้รับการ ประยุกต์ใช้เพื่อศึกษาประชากรที่ขนาดใหญ่ โดยอาศัยการสุ่มตัวอย่างครั้งเดียวเพื่อให้ได้กลุ่มตัวอย่างที่เป็น ตัวแทนของประชากร ในความเป็นจริง การวิจัยตัดขวางมีความหมายใกล้เคียงกับการวิจัยสัมพันธ์ 2) การวิจัยระยะยาว Longtitudinal research การ วิจัยซึ่งอาศัยรูปแบบการวิจัยสำรวจโดย วางแผนการรวบรวมข้อมูลหลายครั้งในช่วง มิติของเวลาช่วงห่างของการรวบรวมข้อมูลแต่ละครั้งอาจกำหนด เป็นรายสัปดาห์รายเดือนหรือรายปีก็ย่อมขึ้นกับจุดมุ่งหมายและปัญหาของการวิจัยเป็นสำคัญ อนึ่งการวิจัย ระยะยาวยังหมายความรวมถึงการศึกษาแนวโน้ม )Trend study) การศึกษากลุ่มตัวอย่างเดียวหลายครั้ง )Panel study) และการศึกษาหลายกลุ่มตัวอย่างหลายครั้ง )Cohort study) 4.7 แบ่งตามระเบียบวิธีวิจัย การแบ่งประเภทการวิจัยโดยยึดระเบียบวิธีวิจัยเป็นเกณฑ์นั้นเป็นที่นิยมใช้กันมาก ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้ 1.. การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ )Historical research) เป็นการวิจัยเพื่อค้นหาข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ ที่ผ่านมาแล้วในอดีต โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะบันทึกอดีตอย่างมีระบบ และมีความเป็นปรนัยจากการรวบรวม ประเมินผล ตรวจสอบ และวิเคราะห์เหตุการณ์เพื่อค้นหาข้อเท็จจริงในอันที่จะนำมาสรุปอย่างมีเหตุผล การ วิจัยประเภทนี้ต้องอ้างอิงเอกสารและวัตถุโบราณที่มีเหลืออยู่ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วมักไม่ใช้สถิติ สรุปได้ว่าการ วิจัยประเภทนี้มุ่งที่จะบอกว่า “เป็นอะไรในอดีต” )What was) เช่น การวิจัยเรื่อง “ระบบการศึกษาของไทยใน สมัยสมเด็จพระปิยมหาราช” เป็นต้น 2. การวิจัยเชิงบรรยายหรือพรรณนา )Descriptive research) เป็นการวิจัยเพื่อค้นหาข้อเท็จจริงใน สภาพการณ์หรือภาวการณ์ของสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันว่าเป็นอย่างไร การวิจัยประเภทนี้มักจะทำการสำรวจหรือ หาความสัมพันธ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องของความเชื่อ ความคิดเห็น และเจตคติ จึงกล่าวได้ว่าเป็นการวิจัยที่มุ่งจะ บอกว่า “เป็นอะไรในปัจจุบัน” )What is) นั่นเองเช่น การวิจัยเรื่อง “เจตคติของครูน้อยที่มีต่อผู้บริหาร การศึกษา” 3. การวิจัยเชิงทดลอง )Experimental research) เป็นการวิจัยเพื่อค้นหาความสัมพันธ์เชิงเหตุและ ผลของปรากฏการณ์ต่าง ๆ การวิจัยประเภทนี้ต้องมีการควบคุมตัวแปรต้น เพื่อสังเกตตัวแปรตามที่ เปลี่ยนแปลงไปเพื่อจะได้ทราบว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผล ดังนั้นตัวแปรในการวิจัยจึงต้องมีทั้งกลุ่ม ควบคุมและกลุ่มทดลอง สรุปได้ว่า การวิจัยประเภทนี้มุ่งที่จะบอกว่า “อะไรอาจจะเกิดขึ้น” )What may be) เช่น การวิจัยเรื่อง “การเปรียบเทียบความมีเหตุผลระหว่างกลุ่มที่สอนเรขาคณิตกับกลุ่มที่สอนตรรกศาสตร์”


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 80 4.8 การวิจัยเชิงปริมาณ การวิจัยเชิงปริมาณ )Quantitative Research) เป็นวิธีค้นหาความรู้และความจริง โดยเน้นที่ข้อมูล เชิงตัวเลข การวิจัยเชิงปริมาณจะพยายามออกแบบวิธีการวิจัยให้มีการควบคุมตัวแปรที่ศึกษาต้องจัดเตรียม เครื่องมือรวบรวมข้อมูลให้มีคุณภาพ จัดกระทำสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องให้เป็นมาตรฐาน และใช้วิธีการทางสถิติ ช่วยวิเคราะห์และประมวลข้อสรุปเพื่อให้เกิดความคลาดเคลื่อน )Error) น้อยที่สุด )บุญธรรม กิจปรีดา บริสุทธิ์,2549) การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative research) มีวัตถุประสงค์ที่จะพยายามให้คำอธิบายปรากฏการณ์ ทางวิทยาศาสตร์ โดยพยายามใช้แนวที่เรียกว่า ปฎิฐานนิยม )Positivism) การอธิบายปรากฎการณ์จึงเป็นการ นำเสนอเชิงตัวเลข ทางสถิติ เช่น ร้อยละของประชากรที่อาศัยอยู่ในเมือง ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของความพึงพอใจ เป็นต้น การวิจัยเชิงปริมาณ )Quantitative research) เป็นการศึกษาสภาพทั่วไปของสังคมโดยกำหนดตัว แปรต่างๆเพื่อเก็บข้อมูลสถิติตัวเลข อาจเป็นข้อมูลปฐมภูมิหรือทุติยภูมิ การเสนอภาพรวมจะมี ข้อมูลเชิง ปริมาณประกอบด้วย การวิจัยเชิงปริมาณ )Quantitative research) จะเก็บข้อมูลด้วยวิธีการสำรวจ เน้นการเก็บข้อมูลจาก คนจำนวนมาก เพื่อทำการวิเคราะห์และทดสอบทฤษฎีหรือสร้างทฤษฎีและให้ความหมายในเชิงวิชาการ มากกว่าการศึกษาแง่มุมของชาวบ้าน การวิจัยเชิงปริมาณ )Quantitative research) ข้อมูลจากการวิจัยเชิงปริมาณจะเหมาะสมกับการ ทดสอบทฤษฎีด้วยวิธีการแบบอุปนัย )Deductive) แนวปฎิฐานนิยมเป็นหลัก การทดสอบความแม่นตรงของข้อมูล )Validity) ความเชื่อถือได้ของข้อมูล )Reliability) การวิจัยเชิงปริมาณ )Quantitative research) ใช้การเก็บข้อมูลจากคนจำนวนมากด้วยแบบสอบถาม คำถามในแบบสอบถามจึงจำเป็นต้องมีความชัดเจน การวิจัยเชิงปริมาณ )Quantitative research) ขั้นตอนการวิเคราะห์ข้อมูลสามารถแยกออกจากการ เก็บข้อมูลโดยเด็ดขาดได้ การวิเคราะห์ข้อมูลอาจให้เจ้าหน้าที่วิเคราะห์เชิงสถิติดำเนินการได้โดยไม่จำเป็นต้องมี ความรู้เกี่ยวกับชุมชนที่ไปศึกษา ขั้นตอนการวิจัยเชิงปริมาณ ประกอบด้วย 1.) การเลือกหัวข้อเรื่องที่จะทำการวิจัย )Research a Topic) ในขั้นตอนแรกผู้วิจัยจะต้องตัดสินใจให้ แน่ชัดเสียก่อนว่าจะวิจัยเรื่องอะไร แล้วกำหนดเป็นหัวเรื่องที่จะวิจัย 2.) การกำหนดปัญหาในการวิจัย )Formulating the Research Problem) เป็นการตั้งปัญหาในเรื่อง ที่ต้องการวิจัยเพื่อหาคำตอบ หรือเป็นการแจกแจงวัตถุประสงค์ของการศึกษา โดยต้องกำหนดขอบเขตของ ปัญหาให้ชัดเจน และเป็นปัญหาที่สามารถหาคำตอบได้


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 81 3.) การสำรวจวรรณกรรม )Extensive Literature Survey) เป็นการทบทวนเอกสารต่างๆแนวคิดทาง ทฤษฎี และผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหัวเรื่องที่ต้องการศึกษา เพื่อหาแนวคิดทางทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย และสำรวจให้แน่ใจว่าไม่วิจัยซ้ำกับผู้อื่น ทั้งนี้การวิจัยควรเน้นการเสริมสร้างให้เกิดความรู้ใหม่ 4.) การตั้งสมมติฐานการวิจัย )Formulating Hypothesis) เป็นการคาดคะเนคำตอบของปัญหาใน การวิจัย หรือคาดคะเนความสัมพันธ์ของตัวแปรต่างๆ ที่จะศึกษาไว้ล่วงหน้าแล้วจึงหาข้อมูลมาพิสูจน์ 5.) การออกแบบการวิจัย )Research Design) เป็นการวางแผนกำหนดวิธีการในการดำเนินการใน ขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบของปัญหาในการวิจัย เช่นการเก็บข้อมูล การเลือกเครื่องมือในการ วิเคราะห์ข้อมูล ระยะเวลาที่ต้องใช้ในการวิจัย บุคลากรและงบประมาณที่จะใช้ 6.) การเก็บรวบรวมข้อมูล )Data Collection) เป็นการวางแผนว่าจะเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างไร จะใช้ ข้อมูลปฐมภูมิ หรือทุติยภูมิ และถ้าเป็นข้อมูลทุติยภูมิควรจะเก็บอย่างไร การสร้างเครื่องมือรวบรวมข้อมูล ถ้า เป็นข้อมูลทุติยภูมิจะใช้ข้อมูลจากแหล่งใด 7.) การวิเคราะห์ข้อมูล )Data Analysis) ข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้จะนำมาบรรณาธิการความถูกต้อง )การตรวจสอบความถูกต้อง( และความน่าเชื่อถือของข้อมูลก่อน จึงทำการประเมินผลและวิเคราะห์ผลที่ได้และ พิสูจน์กับสมมติบานที่ตั้งไว้ 8.) การเขียนรายงานผลการวิจัยและจัดพิมพ์เผยแพร่ )Research Report) เป็นขั้นตอนสุดท้ายของ การวิจัย ผู้วิจัยจะต้องเขียนรายงาน เพื่อให้ผู้อื่นทราบถึงกิจกรรมที่ดำเนินในขั้นตอนต่างๆ และสิ่งที่ค้นพบจาก การวิจัย ซึ่งผู้วิจัยจะต้องเขียนรายงานตามรูปแบบของการเขียนรายงานการวิจัย และเขียนด้วยความซื่อสัตย์ใน สิ่งที่ค้นพบ 4.9 การวิจัยเชิงคุณภาพ การวิจัยเชิงคุณภาพ เป็นการวิจัยที่แสวงหาความจริงในสภาพที่เป็นอยู่โดยธรรมชาติ )Naturalistic inquiry( ซึ่งเป็นการสอบสวน มองภาพรวมทุกมิติ )Holistic perspective( ด้วยตัวผู้วิจัยเอง เพื่อหาความสัมพันธ์ของปรากฏการณ์ที่สนใจกับสภาพแวดล้อมนั้น โดยให้ความสำคัญกับข้อมูลที่เป็น ความรู้สึกนึกคิด คุณค่าของมนุษย์ และความหมายที่มนุษย์ให้ต่อสิ่งแวดล้อมต่างๆรอบตัว เน้นการวิเคราะห์ ข้อมูลโดยการตีความสร้างข้อสรุปแบบอุบนัย )Inductive analysis(


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 82 กระบวนการวิจัย ปัญหาการวิจัย การวางแผนการวิจัย การวิเคราะห์ข้อมูล - สมมุติฐานการวิจัย - รูปแบบการวิจัย - เครื่องมือ - การเก็บข้อมูล การทบทวนวรรณกรรม งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง สรุปผลข้อมูล ทบ. ที่เกี่ยวกับ ขยายความรู้ องค์ความรู้ปัจจุบัน องค์ความรู้ใหม่ ภาพที่ 4.1 กระบวนการวิจัย กระบวนทัศน์การวิจัย )Research Paradigms( ประเภทของการวิจัย แบ่งตามวิธีการเก็บรวมรวบข้อมูล 1. การวิจัยเชิงปริมาณ )Quantitative research( 2. การวิจัยเชิงคุณภาพ )Qualitative research( ความแตกต่างระหว่างกระบวนทัศน์ทางปฏิฐานนิยมและปรากฏการณ์นิยม ลักษณะ ปฏิฐานนิยม ปรากฏการณ์นิยม ความเชื่อพื้นฐาน - ความจริงเป็นโลกภายนอก และวัดได้ ด้วยวัตถุวิสัย )objective( - ผู้วิจัยเป็นอิสระแยกออกจากสิ่งที่ถูก วิจัย - ความจริงทางสังคมสร้างขึ้นในความนึก คิดของมนุษย์และเป็นอัตตวิสัย )subjective(


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 83 - ความจริงเป็นเรื่องปราศจากค่านิยม บทบาทนักวิจัย -มุ่งประเด็นในสิ่งที่มีหลักฐานความจริง )Fact( - มองในพื้นฐานของเชิงเหตุและผล - จับแยกสภาพความจริงให้เล็ก พอเหมาะกับการศึกษา - สร้างสมมุติฐานและทดสอบ - มุ่งประเด็นของความหมาย )Meaning( - พยายามเข้าใจว่าอะไรเกิดขึ้น - มองภาพรวมทั้งสถานการณ์ - ค่อยๆพัฒนาความคิดข้อสรุปจาก ข้อมูลรูปธรรม ระเบียบวิธีวิจัย - ใช้วิธีการเชิงปริมาณ - สร้างนิยามปฏิบัติการเพื่อวัดได้ - ใช้กรอบทฤษฎีก่อนๆนำ - ใช้เครื่องมือในการเก็บช้อมูล - ใช้กลุ่มตัวอย่างมาก - สถานที่ทำวิจัยใช้ห้องทดลอง - ใช้วิธีการเชิงคุณภาพ - ใช้วิธีการหลายๆวิธีเพื่อสร้างแนวคิด นานาประการเกี่ยวกับปรากฏการณ์ - ไม่ใช้ทฤษฎีนำ ศึกษาจากปรากฎการณ์ ธรรมชาติ ความน่าเชื่อถือ - ความตรง)Validity( เครื่องมือที่ใช้วัด วัดในสิ่งที่ต้องการวัด หรือไม่ - ความเที่ยง )Reliability( การวัดให้ผลตรงกันทุกครั้งหรือไม่ )โดยที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของสิ่งที่ถูก วัด( - ก า ร ส ร ุ ป ผ ล อ ้ า ง อิ ง )Generaliability( โอกาสของรูปแบบที่ถูกสังเกตในกลุ่ม ตัวอย่างสามารถนำไปใช้ อ้างกับ ประชากรทั้งหมดได้มากน้อยเท่าใด - ความเชื่อถือได้ )Credibility( ผู้วิจัยสามารถเข้าถึงและมีความรู้ความ เข้าใจในความหมายต่างๆและข้อมูล - ก า ร พ ึ ่ ง พ า ก ั บ เ ก ณ ฑ ์ อ ื ่ น ๆ )Dependability( การสังเกตสิ่ง เดียวกัน โดยนักวิจัยหลายคนหลาย โอกาส -ว่าสอดคล้องกันเพียงใด - ก า ร ถ ่ า ย โ อ น ผ ล ก า ร ว ิ จั ย )Transferability( ความคิดและ ทฤษฎีที่สร้างขึ้นจากสถานการณ์หนึ่งๆ สามารถจะนำไปใช้กับสถานการณ์อื่น เพียงใด เปรียบเทียบความแตกต่างของการวิจัยเชิงคุณภาพกับการวิจัยเชิงปริมาณ ข้อแตกต่าง การวิจัยเชิงปริมาณ การวิจัยเชิงคุณภาพ 1. แนวคิดพื้นฐาน - ปฏิฐานนิยม )Postivism( - ปรากฎการณ์นิยม)Phenomenology(


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 84 2. วัตถุประสงค์ - มุ่งวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่าง ตัวแปรอิสระกับตัวแปรตาม - ต้องการเข้าใจความหมาย กระบวนการ ความรู้สึกนึกคิดโดยเชื่อมโยงกับบริบท ของสังคม 3 . ก า ร ก ำ ห น ด สมมุติฐาน - กำหนดล่วงหน้าก่อนทำการวิจัย - กำหนดคร่าวๆพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง ตามสถานการณ์ 4. การคัดเลือกตัวอย่าง - สุ่มโดยอาศัยการสุ่มชนิดที่ทราบโอกาส หรือคว ามน่าจะเป็นที่ถูกเลือก )Probability( - สุ่มโดยอาศัยการสุ่มชนิดที่ไม่ทราบ โอกาสหรือความน่าจะเป็นที่จะถูกเลือก เป็นตัวอย่าง )Non-probability sampling( 5. จำนวนตัวอย่าง - จำนวนมาก - จำนวนน้อย 6. ขอบเขตการวิจัย - ศึกษาในวงกว้าง โดยเลือกเฉพาะกลุ่ม ตัวอย่างที่สุ่มมา - ศึกษาแนวลึกเฉพาะกลุ่มที่สนใจ 7. บทบาทของผู้วิจัย - แยกผู้วิจัยออกจากเรื่องที่ศึกษา - ผู้วิจัยเป็นเครื่องมือในการทำวิจัย 8. วิธีการเก็บข้อมูล - แบบสอบถาม - แบบสัมภาษณ์ - การสังเกต - การสัมภาษณ์เจาะลึก - การจัดสนทนากลุ่ม - การบันทึกประวัติชีวบุคคล 9. การวิเคราะห์ข้อมูล - วิเคราะห์เชิงปริมาณโดยใช้สถิติช่วย )Statistical analysis( - วิเคราะห์เชิงตรรกะเป็นหลักอาจมีการ วิเคราะห์เชิงปริมาณช่วยเล็กน้อย )content analysis( 10. การรายงานผล - รายงานผลโดยอ้างอิงสถิติ)Report statistical analysis( - รายงานผลโดยอ้างอิงคำพูดหรือเรื่องราว จริงจากกลุ่มตัวอย่าง )Report rich narrative( 11. การสรุปผล -นำไปใช้อ้างอิงแทนประชาการทั้งหมด ได้ - ใช้อ้างอิงได้เฉพาะกลุ่ม 12. ทักษะของนักวิจัย - มีความสามารถทางสถิติ - มีความละเอียดอ่อนในการสังเกต เก็บ รวบรวมข้อมูล และการตีความ


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 85 4.10 การวิจัยเชิงผสานวิธี วิธีการวิจัยแบบผสานวิธี นักวิจัยมักเรียกชื่อเป็นภาษาอังกฤษในหลายลักษณะต่าง ๆ เช่น mixed methodology, mixed methods, mixed methods research หรืออีกหลาย ๆชื่อ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อ พิจารณาความหมายจะมีลักษณะคล้ายคลึงกัน คือ เป็น วิธีการวิจัยที่ผู้วิจัยใช้เทคนิค แนวทาง วิธีการ ความคิด รวบยอด หรือภาษา ผสมผสานร่วมกันระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพในการวิจัยเรื่องเดียวกัน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้มีการถกเถียง)debate) ทางความคิดเกี่ยวกับกระบวนทัศน์)paradigm) การวิจัยด้าน สังคมศาสตร์และพฤติกรรมศาสตร์ ระหว่างกลุ่มปฏิฐานนิยมหรือประจักษ์นิยม )positivist) ที่นิยมระเบียบวิธี เชิงปริมาณ (Quantitative methods) และกลุ่มโครงสร้างนิยมหรือปรากฏการณ์นิยม )constructivist) ที่ นิยมระเบียบวิธีเชิงคุณภาพ )Qualitative methods) ต่างฝ่ายต่างโต้แย้งว่าทฤษฎีของตนถูกต้อง และพยายาม โจมตีฝ่ายตรงข้ามเพื่อให้ฝ่ายตนเหนือกว่า จนกระทั่งได้เกิดบุคคลอีกกลุ่มหนึ่งขึ้นมาที่ระยะต่อมาเรียกว่า นัก ปฏิบัตินิยม (Pragmatists) ได้มีการจัดรวมทั้ง 2 กระบวนทัศน์เข้าด้วยกันเพื่อเป็นทางเลือกใหม่ในการวิจัย เรียกว่า ระเบียบวิธีแบบผสานวิธี )mixed methods) โดยจำแนกได้เป็น 3 ยุคใหญ่ ได้แก่ 1) ยุคระเบียบวิธี เดี่ยวหรือยุคนักวิจัยบริสุทธิ์ )monomethod or purist era) 2) ยุคระเบียบวิธีผสม )emergence of mixed methods) 3) ยุคการวิจัยรูปแบบผสานวิธี(emergence of mixed model studies) รูปแบบของการผสานวิธีกันระหว่างวิธีการเชิงปริมาณและวิธีการเชิงคุณภาพ รูปแบบหลักของ การวิจัยในปัจจุบันมี3 รูปแบบ คือการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) การวิจัยเชิงคุณภาพ )Qualitative Research) และการวิจัยแบบผสานวิธี )mixed methods research) โดย mixed methods เป็นเทคนิควิธีวิจัยทางสังคม-ศาสตร์แบบผสานวิธีระหว่างวิธีการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพเข้าด้วยกัน จุดมุ่งหมายของการผสานวิธีก็เพื่อการแก้ไขข้อจำกัดของแต่ละวิธีให้สามารถตอบคำถามการวิจัยได้สมบูรณ์ยิ่ง ขึ้น รูปแบบที่นิยมทำทั้งไทยและต่างประเทศ คือ ใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณเป็นตัวตั้งก่อนแล้วตามด้วยการวิจัย เชิงคุณภาพ ยกเว้นกรณีที่เป็นอุบัติการณ์ หรือเหตุการณ์ใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยเกิดขึ้น จึงจะใช้การวิจัยเชิง )โกศล มี คุณ,2551) คุณภาพเป็นตัวตั้งแล้วค่อยมาตรวจสอบสมมติฐานหรือทฤษฎีด้วยวิธีการวิจัยเชิงปริมาณ ลักษณะการ ผสมผสาน จำแนกออกเป็น 2 ลักษณะ คือ ระเบียบวิธีแบบผสานวิธี ) mixed methods ) และรูปแบบผสาน รูปแบบ (mixed model) ในการผสานวิธีกันระหว่างการวิจัย 2 รูปแบบนั้น อาจเป็นการผสมผสานแบบครึ่งต่อ ครึ่ง การผสานแบบมีรูปแบบหลักร่วมกับรูปแบบรอง หรือแบบผสมผสานทุกขั้นตอน โดยมีวิธีออกแบบดังนี้ (ผ่องพรรณ ตรัยมงคลกูล, สุภาพ ฉัตราภรณ์, 2549) 1. การวิจัยแบบ 2 ภาค ( two-phase design) เป็นการวิจัยในรูปแบบที่แยกการดำเนินการเป็น 2 ขั้นตอนอย่างชัดเจนด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน (การวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพครึ่งต่อครึ่ง( แล้ว นำเสนอผลการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ตอนโดยเอกเทศ แต่ละตอนตอบคำถามวิจัยต่างประเด็นกันโดยมีบทสรุป เป็นตัวเชื่อมโยงการวิจัยทั้งสองตอนเข้าด้วยกัน


Click to View FlipBook Version