The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ดร.ลำพอง กลมกูล (2567). เอกสารประกอบการสอน การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ (รหัสวิชา 200 308) Research fo Learning Development (200 308)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by polmcu, 2024-02-09 12:01:52

การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ (รหัสวิชา 200 308) Research fo Learning Development (200 308)

ดร.ลำพอง กลมกูล (2567). เอกสารประกอบการสอน การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ (รหัสวิชา 200 308) Research fo Learning Development (200 308)

วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 236 การตรวจสอบระดับฉันทามติมีเกณฑ์การพิจารณา 2 ส่วน ส่วนแรก คือ การกำหนดระดับความเห็นพ้องกัน ของเสียงส่วนใหญ่ เช่น กำหนดด้วยอัตราส่วนร้อยละ หรือกำหนดด้วยสถิติที่ใช้วัดแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง เช่น จากมาตรประมาณค่า หากผู้เชี่ยวชาญต่างเห็นด้วยในข้อความนั้น ว่ามีความสำคัญมาก โดยมีค่าเฉลี่ย 4.00 ขึ้น ไป ก็แสดงให้เห็นว่าสมาชิกส่วนใหญ่เห็นตรงกัน อย่างไรก็ตามจำเป็นต้องพิจารณาระดับการกระจายของความ คิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้วย โดยเฉพาะเมื่อใช้สถิติที่วัดแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลางเป็นเกณฑ์การพิจารณา ส่วนที่สอง การกำหนดเกณฑ์การยุติกระบวนการเดลฟาย เมื่อสมาชิกไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงทาง ความคิดจากรอบที่แล้ว ในบางครั้งแม้จะพบว่ามีเสียงส่วนใหญ่เห็นตรงกัน แต่เป็นการได้ข้อสรุปที่มีการ เปลี่ยนแปลงจากรอบที่แล้วสูงมากก็ควรดำเนินการเก็บข้อมูลต่อไปอีกรอบหนึ่ง เพื่อตรวจสอบระดับความคงที่ )Stability) ของคำตอบ หากข้อมูลยังมีการกระเพื่อมขึ้นลงหรือมีการเปลี่ยนแปลงใหม่แต่ละรอบ แสดงว่า สมาชิกยังไม่นิ่งทางความคิดก็ไม่ควรยุติกระบวนการ เดลฟาย 12. 5 เทคนิคการวิจัยแบบ EFR และ EDFR วีระยุทธ ชาตะกาญจน์ )2557: 209-211) กล่าวว่า ผู้พัฒนาเทคนิคการวิจัยแบบอนาคต EFR (Ethnographic Futures Research) คือ ศาสตราจารย์ดร.โรเบิร์ต บีเท็กซ์เตอร์)Robert B. Textor) แห่ง มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกา เป็นเทคนิคที่พัฒนามาจากระเบียบวิธีวิจัยทางมานุษยวิทยา เรียกว่า การวิจัยชาติพันธุ์วรรณนา )Ethnographic Research หรือ Ethonography) EFR เป็นเทคนิคการวิจัยที่พยายามจะดึงเอาอนาคตภาพและค่านิยมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับกระบวนการ เปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของกลุ่มประชากรที่ศึกษา โดยการสัมภาษณ์ที่มีลักษณะเฉพาะ กล่าวคือ เป็นการสัมภาษณ์แบบเปิดและไม่ชี้นำ )Non-directive open ended) โดยผู้วิจัยอาจมีหัวข้อหรือประเด็นที่ เตรียมไว้ประกอบเพื่อกันลืม แต่จะไม่มีลักษณะของการถามแบบชี้นำ หลักการสัมภาษณ์EFR นี้ถือว่าผู้ให้ สัมภาษณ์เป็นผู้ควบคุมการสัมภาษณ์และมีอิสระในการให้สัมภาษณ์อย่างเต็มที่ ลักษณะของการสัมภาษณ์ แบบ EFR ที่เด่นและแตกต่างไปจากการสัมภาษณ์แบบอื่น คือ จะมีการแบ่งช่วงการสัมภาษณ์ออกเป็นช่วง ๆ โดยอาจจะแบ่งตามหัวข้อที่สัมภาษณ์หรือตามช่วงเวลาที่เหมาะสม เช่น ทุก ๆ ประมาณ 10 นาทีผู้สัมภาษณ์ จะทำการสรุปการสัมภาษณ์จากบันทึกจดไว้หรือเทปบันทึกเสียงให้สัมภาษณ์ฟัง และขอให้ผู้ถูกสัมภาษณ์ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงและแก้ไขคำสัมภาษณ์ได้กระบวนการเช่นนี้เรียกว่า เทคนิคการสรุปสะสม )Cumulative Summarization Technique) โดยจะทำเช่นนี้จนจบการสัมภาษณ์เพื่อที่จะช่วยให้ผู้วิจัยมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น ว่า ข้อมูลที่ได้รับนั้นมีความน่าเชื่อถือ คือ มีทั้งความตรง )Validity) และความเที่ยง )Reliability) ของข้อมูล เพิ่มขึ้น โดยปกติการสัมภาษณ์แบบ EFR นี้จะประกอบไปด้วยอนาคตภาพที่เป็นทางเลือก )alternative) 3 ภาพ และเรียงลำดับกันไปคือ อนาคตภาพทางดี)Optimistic-realistic Scenario) อนาคตทางร้าย )Pessimistic-realistic Scenario) และอนาคตภาพที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด )Most-probable Scenario) อนาคตภาพทั้ง 3 ภาพนี้จะประกอบไปด้วยแนวโน้มในอนาคตที่ผู้ให้สัมภาษณ์คาดว่ามีโอกาสที่จะเกิดขึ้นจริง


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 237 )Possible, Probable) มิใช่แนวโน้มในอุดมคติที่ไม่มีโอกาสเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงมีการใช้คำว่า realistic กำกับ ไว้ทั้งในอนาคตภาพทางดีและอนาคตภาพทางร้าย )Optimistic-realistic Scenario, Pessimistic-realistic Scenario) เมื่อสัมภาษณ์ครบทั้ง 3 ภาพตามขั้นตอนการเสร็จแล้ว ผู้สัมภาษณ์อาจจะสรุปการสัมภาษณ์ให้ผู้ สัมภาษณ์ฟังทั้งหมดอีกครั้งหนึ่ง และขอให้ผู้สัมภาษณ์ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแก้ไขและ/หรือเพิ่มเติมคำ สัมภาษณ์อีก หรืออาจจะนำผลการสัมภาษณ์ที่จดบันทึกไว้หรืออัดเทปไว้กลับไปเรียบเรียงใหม่แล้วส่งผลการ สัมภาษณ์ที่เรียบเรียงแล้ว )Protocol) ไปให้ผู้สัมภาษณ์อ่านและตรวจแก้ไขเป็นการส่วนตัวก็ได้หลังจากนั้นจึง นำผลการสัมภาษณ์มาทำการวิเคราะห์เพื่อจะหาฉันทามติ)Consensus) ระหว่างกลุ่มผู้ให้สัมภาษณ์แล้วนำ แนวโน้มที่มีฉันทามติมาเขียนเป็นอนาคตภาพซึ่งเป็นผลการวิจัย โดยอาจจะสรุปขั้นตอนใหญ่ ๆ ของการวิจัย แบบ EFR ได้ดังนี้คือ วีระยุทธ ชาตะกาญจน์)2557: 209-211) กล่าวว่า ผู้พัฒนาเทคนิคการวิจัยแบบอนาคต EFR (Ethnographic Futures Research) คือ ศาสตราจารย์ดร.โรเบิร์ต บีเท็กซ์เตอร์ )Robert B. Textor) แห่งมหาวิทยาลัย สแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกา เป็นเทคนิคที่พัฒนามาจากระเบียบวิธีวิจัยทางมานุษยวิทยา เรียกว่า การวิจัยชาติ พันธุ์วรรณนา )Ethnographic Research หรือ Ethonography) EFR เป็นเทคนิคการวิจัยที่พยายามจะดึงเอาอนาคตภาพและค่านิยมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับกระบวนการ เปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของกลุ่มประชากรที่ศึกษา โดยการสัมภาษณ์ที่มีลักษณะเฉพาะ กล่าวคือ เป็นการสัมภาษณ์แบบเปิดและไม่ชี้นำ )Non-directive open ended) โดยผู้วิจัยอาจมีหัวข้อหรือประเด็นที่ เตรียมไว้ประกอบเพื่อกันลืม แต่จะไม่มีลักษณะของการถามแบบชี้นำ หลักการสัมภาษณ์EFR นี้ถือว่าผู้ให้ สัมภาษณ์เป็นผู้ควบคุมการสัมภาษณ์และมีอิสระในการให้สัมภาษณ์อย่างเต็มที่ ลักษณะของการสัมภาษณ์ แบบ EFR ที่เด่นและแตกต่างไปจากการสัมภาษณ์แบบอื่น คือ จะมีการแบ่งช่วงการสัมภาษณ์ออกเป็นช่วง ๆ โดยอาจจะแบ่งตามหัวข้อที่สัมภาษณ์หรือตามช่วงเวลาที่เหมาะสม เช่น ทุก ๆ ประมาณ 10 นาทีผู้สัมภาษณ์ จะทำการสรุปการสัมภาษณ์จากบันทึกจดไว้หรือเทปบันทึกเสียงให้สัมภาษณ์ฟัง และขอให้ผู้ถูกสัมภาษณ์ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงและแก้ไขคำสัมภาษณ์ได้กระบวนการเช่นนี้เรียกว่า เทคนิคการสรุปสะสม )Cumulative Summarization Technique) โดยจะทำเช่นนี้จนจบการสัมภาษณ์เพื่อที่จะช่วยให้ผู้วิจัยมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น ว่า ข้อมูลที่ได้รับนั้นมีความน่าเชื่อถือ คือ มีทั้งความตรง )Validity) และความเที่ยง )Reliability) ของข้อมูล เพิ่มขึ้น โดยปกติการสัมภาษณ์แบบ EFR นี้จะประกอบไปด้วยอนาคตภาพที่เป็นทางเลือก )alternative) 3 ภาพ และเรียงลำดับกันไปคือ อนาคตภาพทางดี)Optimistic-realistic Scenario) อนาคตทางร้าย )Pessimistic-realistic Scenario) และอนาคตภาพที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด )Most-probable Scenario) อนาคตภาพทั้ง 3 ภาพนี้จะประกอบไปด้วยแนวโน้มในอนาคตที่ผู้ให้สัมภาษณ์คาดว่ามีโอกาสที่จะเกิดขึ้นจริง )Possible, Probable) มิใช่แนวโน้มในอุดมคติที่ไม่มีโอกาสเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงมีการใช้คำว่า realistic กำกับ


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 238 ไว้ทั้งในอนาคตภาพทางดีและอนาคตภาพทางร้าย )Optimistic-realistic Scenario, Pessimistic-realistic Scenario) เมื่อสัมภาษณ์ครบทั้ง 3 ภาพตามขั้นตอนการเสร็จแล้ว ผู้สัมภาษณ์อาจจะสรุปการสัมภาษณ์ให้ผู้ สัมภาษณ์ฟังทั้งหมดอีกครั้งหนึ่ง และขอให้ผู้สัมภาษณ์ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแก้ไขและ/หรือเพิ่มเติมคำ สัมภาษณ์อีก หรืออาจจะนำผลการสัมภาษณ์ที่จดบันทึกไว้หรืออัดเทปไว้กลับไปเรียบเรียงใหม่แล้วส่งผลการ สัมภาษณ์ที่เรียบเรียงแล้ว )Protocol) ไปให้ผู้สัมภาษณ์อ่านและตรวจแก้ไขเป็นการส่วนตัวก็ได้หลังจากนั้นจึง นำผลการสัมภาษณ์มาทำการวิเคราะห์เพื่อจะหาฉันทามติ)Consensus) ระหว่างกลุ่มผู้ให้สัมภาษณ์แล้วนำ แนวโน้มที่มีฉันทามติมาเขียนเป็นอนาคตภาพซึ่งเป็นผลการวิจัย โดยอาจจะสรุปขั้นตอนใหญ่ ๆ ของการวิจัย แบบ EFR ได้ดังนี้คือ 1. การกำหนดกลุ่มตัวอย่าง 2. สัมภาษณ์ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะ คือ 2.1 เป็นแบบเปิดและไม่ชี้นำ )Non-directive, Open-ended) 2.2 เป็นแบบกึ่งมีโครงสร้าง )Semi-structured Interview) คือ มีการเตรียมหัวข้อหรือ ประเด็นการสัมภาษณ์ไว้ล่วงหน้า 2.3 ให้เทคนิคการสรุปสะสม )Cumulative Summarization) 2.4 สัมภาษณ์อนาคตภาพ 3 แบบ 1) optimistic-realistic (O-R) 2) pessimistic-realistic (P-R) 3) most-probable (M-P) 3. วิเคราะห์/สังเคราะห์ หาฉันทามติ 4. เขียนอนาคตภาพ )Scenario write-up) ส่วนเทคนิคการวิจัยแบบ EDFR (Ethnographic Delphi Futures Research) นั้น เป็นเทคนิคการ วิจัยอนาคตที่ตอบสนองจุดมุ่งหมายและความเชื่อพื้นฐานของการวิจัยอนาคตมากที่สุดวิธีหนึ่งในปัจจุบัน เป็น เทคนิคการวิจัยที่รวมเอาจุดเด่นหรือข้อดีของเทคนิค EFR และ Delphi เข้าด้วยกัน การรวมข้อดีของทั้งสอง เทคนิคช่วยแก้จุดอ่อนของแต่ละเทคนิคได้เป็นอย่างดี โดยหลักการแล้ว เทคนิค EDFR เป็นการผสมผสาน ระหว่างเทคนิค EFR กับ Delphi เข้าด้วยกัน ขั้นตอนต่าง ๆ ของ EDFR ก็คล้าย ๆ กับ Delphi เพียงแต่ว่าการ ปรับปรุงวิธีให้มีความยืดหยุ่นและเหมาะสมมากขึ้น โดยในรอบแรกของการวิจัย จะใช้การสัมภาษณ์แบบ EFR ที่ปรับปรุงแล้ว หลังจากการสัมภาษณ์ในรอบแรก ผู้วิจัย จะนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และสังเคราะห์และสร้าง เป็นเครื่องมือ ซึ่งมักจะมีลักษณะเป็นแบบสอบถาม แล้วส่งไปให้ผู้เชี่ยวชาญตอบตามรูปแบบของ เดลฟาย เพื่อที่จะนำการกรองความคิดเห็นของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาฉันทามติ มักจะทำประมาณ 2-3 รอบ หลังจาก นั้นจะนำข้อมูลมาวิเคราะห์ เพื่อหาแนวโน้มที่มีความเป็นไปได้มาก และมีความสอดคล้องทางความคิดเห็น


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 239 ระหว่างกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ เพื่อสรุปเขียนเป็นอนาคตภาพ โดยสรุปขั้นตอนใหญ่ ๆ ของการวิจัยแบบ EDFR (วีระ ยุทธ ชาตะกาญจน์, 2557: 211-213) ได้ดังนี้ 1. การกำหนดและเตรียมตัวกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ขั้นนี้นับว่าสำคัญและจำเป็นมาก เราเชื่อว่ายิ่งได้กลุ่ม ผู้เชี่ยวชาญที่เชี่ยวชาญจริง ๆ ยิ่งทำให้ผลการวิจัยน่าเชื่อถือมากขึ้นเท่านั้น ส่วนการเตรียมตัวกลุ่มผู้เชี่ยวชาญก็ ยิ่งมีความจำเป็น เพราะผู้เชี่ยวชาญอาจมองไม่เห็นความสำคัญของการวิจัยในลักษณะนี้ หรืออาจไม่มีเวลาให้ ผู้วิจัยได้เต็มที่ ผู้วิจัย จึงจำเป็นต้องติดตามกับผู้เชี่ยวชาญเป็นการส่วนตัว อธิบายถึงจุดมุ่งหมาย ขั้นตอนต่าง ๆ ของการวิจัย เวลาที่ต้องใช้โดยประมาณ และประโยชน์ของการวิจัย ย้ำถึงความจำเป็นและความสำคัญของการ ใช้ผู้เชี่ยวชาญแล้วจึงขอความร่วมมือ ถ้าไม่ได้รับความร่วมมือก็จำเป็นต้องไปหาผู้เชี่ยวชาญท่านอื่นต่อไป ถ้า ได้รับความร่วมมือก็ขอนัดวันและเวลาสำหรับสัมภาษณ์ การเตรียมผู้เชี่ยวชาญดังกล่าวนอกจากจะทำให้มั่นใจ ได้ว่ามีเวลาเตรียมตัวเตรียมข้อมูล จัดระบบข้อมูลและความคิดล่วงหน้า ช่วยให้ผู้วิจัยได้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เพิ่มขึ้น 2. สัมภาษณ์ )EDFR รอบที่หนึ่ง( การสัมภาษณ์มีลักษณะและขั้นตอนคล้ายคลังกับ EFR แต่ EDFR มี ความยืดหยุ่นมากกว่า กล่าวคือ ผู้วิจัยสามารถที่จะเลือกรูปแบบการสัมภาษณ์ที่จะสนองตอบต่อจุดมุ่งหมาย เวลา งบประมาณ และสถานการณ์ของการวิจัยได้ คือ อาจยึดตามรูปแบบของ EFR โดยเริ่มจาก Optimisticrealistic (O-R), Pessimistic-realistic (P-R) และ Most-Probable (M-P) ตามลำดับ หรืออาจจะเลือก สัมภาษณ์เฉพาะแนวโน้มที่ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าจะเป็นไปได้และน่าจะเป็น โดยไม่คำนึงถึงแนวโน้มเหล่านั้นจะ เป็นไปในทางดีหรือร้าย เพราะในการทำ EDFR รอบที่สองและสาม ถ้าหากผู้วิจัยสนใจที่จะแยกศึกษาอนาคต ภาพทั้ง 3 ภาพ ตามแบบ EFR ผู้วิจัยสามารถทำได้โดยการออกแบบสอบถามที่จะช่วยให้ได้อนาคตภาพทั้ง 3 ภาพอย่างเป็นระบบได้ 3. วิเคราะห์/สังเคราะห์ข้อมูล นำข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์และสังเคราะห์ เพื่อสร้างเป็นเครื่องมือสำหรับทำเดลฟาย 4. สร้างเครื่องมือ 5. ทำเดลฟาย )EDFR รอบที่สอง สาม...( 6. เขียนอนาคตภาพ 12 6.ข้อพิจารณาเปรียบเทียบระหว่าง EDFR กับ Delphi ข้อพิจารณาเปรียบเทียบระหว่าง EDFR กับ Delphi (วีระยุทธ ชาตะกาญจน์, )214-213 :2557มีดังนี้ ประการแรก EDFR ต่างจาก Delphi ตรงที่ในรอบแรกของการวิจัยนั้น EDFR ใช้การสัมภาษณ์แบบ EFR โดย วิธีการนี้จะช่วยให้ผู้วิจัยได้แนวโน้มที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด และทุกแนวโน้มจะนำไปศึกษาต่อในรอบที่สอง และสาม การทำเช่นนี้เป็นการเคารพความเชี่ยวชาญของผู้เชี่ยวชาญอย่างแท้จริง ประการที่สอง การวิจัยแบบเดลฟายตามรูปแบบเดิมนั้นมักจะเริ่มด้วยแบบสอบถามหรือแบบ สัมภาษณ์ที่มีโครงสร้างที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเองโดยการเก็บข้อมูลรอบที่หนึ่ง วิธีการนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นการดูถูก


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 240 (Underestimate )ความเชี่ยวชาญของผู้เชี่ยวชาญ เพราะไปจำกัดข้อมูลที่ควรจะได้จากผู้เชี่ยวชาญ โดยการ กำหนดกรอบความคิดของผู้เชี่ยวชาญโดยผู้วิจัย ตัวอย่างเช่น ถ้าผู้วิจัยสนใจจะศึกษาแนวโน้มของเศรษฐกิจไทย ใน 10 ปีหน้า ผู้วิจัยอาจจะสร้างแบบสอบถามที่ครอบคลุมแนวโน้มเฉพาะที่ผู้วิจัยคิดว่าสอดคล้องและสำคัญ การทำเช่นนี้ผู้วิจัยอาจจะละเลยแนวโน้มหรือประเด็นที่สำคัญอื่น ๆ ที่ผู้วิจัยคาดไม่ถึงหรือไม่รู้ไปอย่างน่า เสียดาย ถึงแม้ว่าแบบสอบถามที่สร้างขึ้นจะเป็นแบบสอบถามแบบปลายเปิดก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญก็อาจจะไม่ตอบ เพราะขี้เกียจเขียน เพราะถูกชักนำให้คิดเฉพาะเรื่องที่ถูกถามในแบบสอบถาม ทำให้ลืมประเด็นที่น่าสนใจไป ได้แต่ถ้าหากมีการสัมภาษณ์ในรอบแรก ผู้วิจัยก็จะได้แนวโน้มและประเด็นที่สอดคล้องมากที่สุด ตอบสนอง จุดมุ่งหมายของการวิจัยอนาคตได้ดีกว่า และยิ่งไปกว่านั้นแนวโน้มทุกแนวโน้มยังได้รับการพิจารณาจากกลุ่ม ผู้เชี่ยวชาญอีกใน EDFR รองที่สอง ,สาม ...วิธีEDFR จึงน่าจะเป็นวิธีวิจัยที่ได้แนวโน้มอย่างครอบคลุมเป็น ระบบและน่าเชื่อถือมากกว่าเดลฟาย 12 7.ข้อพิจารณาเปรียบเทียบระหว่าง EDFR กับ EFR ข้อพิจารณาเปรียบเทียบระหว่าง EDFR กับ EFR( วีระยุทธ ชาตะกาญจน์, )215-214 :2557( มีดังนี้ ประการแรก EDFR ต่างจาก EFR ที่ระเบียบวิธีวิจัย กล่าวคือ EFR ใช้การสัมภาษณ์รอบเดียว เช่น EDFR ใช้ การสัมภาษณ์รอบแรกแล้วตามด้วยเดลฟายในรองที่สอง ,สาม ...วิธีการของ EDFR จะมีระบบของการได้ ข้อมูลที่เป็นที่น่าเชื่อถือได้มากกว่า ประการที่สอง ผลสรุปของการวิจัย EFR คือ อนาคตภาพที่ได้จากการสัมภาษณ์เพียงรอบเดียว โดย เลือกเอาแนวโน้มที่มีฉันทามติระหว่างผู้ให้สัมภาษณ์จุดอ่อนของวิธีนี้ก็คือการขาดระบบที่น่าเชื่อถือในการ พิจารณาแนวโน้มที่มีฉันทามติและโดยระเบียบวิธีนี้เองอาจทำให้แนวโน้มที่สำคัญต้องหมดไป เพราะเป็นไปได้ ที่ว่าผู้เชี่ยวชาญเพียงคนเดียวที่พูดถึงแนวโน้มเหล่านั้น ผู้เชี่ยวชาญคนอื่นตลอดจนผู้วิจัยก็อาจลืม นึกไม่ถึง หรือไม่รู้จึงไม่พูดถึงแนวโน้มเหล่านั้น แนวโน้มเหล่านั้นจึงหลุดออกไปจากผลการวิจัย เพราะไม่มีฉันทามติส่วน การวิจัยแบบ EDFR จะนำแนวโน้มที่ได้จากการสัมภาษณ์ในรอบแรกป้อนกลับไปให้ผู้เชี่ยวชาญทุกคนพิจารณา อีกรอบในการทำเดลฟาย ทำให้ทุกแนวโน้มได้รับการพิจารณาอย่างเป็นระบบเท่าเทียมกัน ผลสรุปที่ได้จาก การวิจัยแบบ EDFR จึงเป็นระบบและได้แนวโน้มที่มีความครอบคลุมและน่าเชื่อถือมากกว่า EFR แม้ว่า EDFR จะเป็นเทคนิคการวิจัยที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อการวิจัยอนาคตก็ตาม แต่เทคนิคการวิจัยแบบ EDFR รวมไปถึง Delphi และ EFR สามารถนำไปใช้วิจัยในทำนองเดียวกับการวิจัยรูปแบบอื่น ๆ ที่มีอยู่ได้ เช่น การวิจัยเพื่อสำรวจความคิดเห็น สำรวจปัญหา วิจัยเพื่อหารูปแบบ เพื่อกำหนดนโยบาย เพื่อกำหนด มาตรฐาน เพื่อหาวิธีแก้ปัญหาและเพื่อการตัดสินใจ จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันได้มีการนำเทคนิคการวิจัยอนาคต แบบต่าง ๆ ไปใช้ในวงการและองค์การต่าง ๆ มากมาย ทั้งเพื่อการวางแผนในอนาคต วิเคราะห์และแก้ปัญหา ในปัจจุบัน ตลอดจนการวิเคราะห์อดีต เพราะเทคนิคการวิจัยอนาคตโดยเฉพาะ Delphi และ EDFR นั้นช่วยให้ ผู้วิจัยได้ข้อมูลที่เป็นระบบและน่าเชื่อถือมากขึ้น


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 241 12 8.กรณีศึกษางานวิจัยที่ออกแบบด้วยการวิจัยอนาคต พระมหาธนศักดิ์ ธมฺมโชโต )ชื่นสว่าง( )2565) ได้ทำวิจัยเรื่อง อนาคตภาพการพัฒนาการบริหารการ จัดการโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนา การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบของการ พัฒนาการบริหารการจัดการโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนา 2) เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบของการ พัฒนาการบริหารการจัดการโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนา และ 3) เพื่อเสนออนาคตภาพการ พัฒนาการบริหารการจัดการโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนา รูปแบบงานวิจัยใช้เทคนิคการวิจัย อนาคตแบบเดลฟายและชาติพันธุ์วรรณนา ผู้ให้ข้อมูลเป็นผู้เชี่ยวชาญ 17 รูป/คน โดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า และการ สนทนากลุ่มผู้เชี่ยวชาญ 9 รูป/คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา และการวิเคราะห์ค่าสถิติ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่ามัธยฐาน ค่าฐานนิยม ค่าพิสัยระหว่างควอไทล์ และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1. องค์ประกอบของการพัฒนาการบริหารการจัดการโรงเรียนการกุศลของวัด ในพระพุทธศาสนา ประกอบด้วย 1) องค์ประกอบของการพัฒนาการบริหารการจัดการโรงเรียน การกุศลของวัดในพระพุทธศาสนา มี 4 องค์ประกอบหลัก 20 องค์ประกอบย่อย 2) หลักอิทธิบาท 4 ในการ พัฒนาการบริหารการจัดการโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนา มี 4 องค์ประกอบหลัก 12 องค์ประกอบย่อย และ 3) การพัฒนาการบริหารการจัดการโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนาตาม หลัก PDCA มี 4 องค์ประกอบหลัก 12 องค์ประกอบย่อย 2. การวิเคราะห์องค์ประกอบของการพัฒนาการบริหารการจัดการโรงเรียนการกุศลของวัดใน พระพุทธศาสนา ผู้เชี่ยวชาญมีแนวคิดเห็นที่สอดคล้องกัน โดยภาพรวมผู้เชี่ยวชาญเห็นด้วยมากที่สุดทุกด้าน ยกเว้นด้านงบประมาณที่เห็นด้วยในระดับมาก เมื่อพิจารณาค่าเฉลี่ยพบว่า โดยภาพรวมมีระดับความคิดเห็นอยู่ ในระดับมากที่สุดทุกด้าน 3. อนาคตภาพการพัฒนาการบริหารการจัดการโรงเรียนการกุศลของวัด ในพระพุทธศาสนาที่ได้จากการวิจัย EDFR ทำให้ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับอนาคตภาพการพัฒนาการบริหาร การจัดการโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนา ประกอบด้วย 1) องค์ประกอบของการพัฒนาการบริหารการจัดการโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนา ประกอบด้วย (1) ด้านวิชาการ ได้แก่ อิสระคล่องตัวรวดเร็ว การพัฒนาหลักสูตรยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ สร้าง สื่อและนวัตกรรมการศึกษาที่ทันสมัย การประกันคุณภาพการศึกษา และประสานความร่วมมือจากผู้มี ส่วนเกี่ยวข้อง )2) ด้านงบประมาณ ได้แก่ จัดทำแผนกลยุทธ์ จัดหารายได้ทรัพยากรเพื่อการศึกษา จัดทำ รายงานทางการเงิน จัดทำระบบฐานข้อมูลสินทรัพย์ ตรวจสอบติดตามรายงานการใช้งบประมาณ


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 242 )3) ด้านบุคคล ได้แก่ เสริมสร้างประสิทธิภาพบุคลากร ป้องกันการกระทำผิดวินัย จัดอบรม เทคโนโลยีสมัยใหม่ วางแผนอัตรากำลัง ส่งเสริมบุคลากรให้มีความรู้ จิตสำนึก )4) ด้านทั่วไป ได้แก่ ประสานงานในสถานศึกษา ประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูล พัฒนา เครือข่ายการบริหาร ดูแลแหล่งเรียนรู้ สร้างความเลื่อมใสศรัทธา 2) หลักอิทธิบาท 4 ในการ พัฒนาการบริหารการจัดการโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนา ประกอบด้วย )1) ด้านฉันทะ )ทำด้วยใจรัก( ได้แก่ ยินดีกับความสำเร็จของผู้อื่น ปฏิบัติหน้าที่บริหารด้วยความเต็มใจ รักพอใจใน งาน )2) ด้านวิริยะ )พากเพียรทำ( ได้แก่ มีความขยัน พากเพียรที่จะค้นหาความรู้ หมั่นประชุมร่วมกัน )3) ด้านจิตตะ )จดจำจ่อจิต( ได้แก่ หนักแน่น รับผิดชอบงาน เป็นตัวอย่างทางคุณธรรมและจริยธรรม )4) ด้านวิมังสา )วิเคราะห์ ไตร่ตรอง( ได้แก่ บริหารงานให้สำเร็จทันต่อเหตุการณ์ ใช้สติปัญญาในการ ทำงาน กระตุ้นให้ผู้ใต้บังคับบัญชารู้จักคิดมีเหตุผล 3) การพัฒนาการบริหารการจัดการโรงเรียนการ กุศลของวัดในพระพุทธศาสนาตามหลัก PDCA ประกอบด้วย )1) ด้านการวางแผน ได้แก่ กำหนด เป้าหมายตามนโยบายวิสัยทัศน์และพันธกิจของโรงเรียน กำหนดผู้รับผิดชอบให้ชัดเจน ปฏิบัติงาน ตามเกณฑ์มาตรฐาน )2) ด้านการปฏิบัติ ได้แก่ ปฏิบัติตามแผนงาน เก็บรวบรวมข้อมูลเป็นระบบ สร้าง ความร่วมมือ )3) ด้านการตรวจสอบ ได้แก่ ตรวจสอบผลการดำเนินงาน ประเมินและติดตาม จัดเตรียมมาตรการป้องกันความผิดพลาด )4) ด้านการปรับปรุงแก้ไข ได้แก่ ปรับปรุงแก้ไขเมื่องานไม่ เป็นไปตามที่กำหนด ปรับปรุงแผนงานให้มีความสมบูรณ์และคุณภาพเพิ่มขึ้น และค้นหาสาเหตุที่ แท้จริงของปัญหาป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ 12.9 สรุป การวิจัยอนาคต เป็นการสำรวจสร้าง ทดสอบวิสัยทัศน์ที่เป็นไปได้หรือสิ่งที่พึงประสงค์ที่ต้องการจะให้ เกิดขึ้นในองค์กร เพื่อนำมาใช้ในการกำหนดนโยบาย ยุทธวิธี และแผนงาน ทั้งนี้เพื่อให้สิ่งที่พึงประสงค์มีโอกาส เกิดขึ้นจริงมากขึ้น จึงเป็นการศึกษาอนาคตเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่พึงประสงค์ การวิจัยอนาคตมีเทคนิควิธีที่นิยมใช้กันอยู่ 3 เทคนิควิธี คือ เทคนิคการวิจัยแบบ Delphi เทคนิคการ วิจัยแบบ EFR และเทคนิคการวิจัยแบบ EDFR แต่ละวิธีนักวิจัย/ผู้บริหารต้องรู้จักและเลือกใช้ให้เหมาะสม สอดคล้องกับข้อจำกัดโดยเฉพาะในเรื่องการสรรหาผู้เชี่ยวชาญในประเด็นวิจัยนั้น ๆ รวมทั้งประเด็นที่เป็น บริบทหรือสถานการณ์ของการทำวิจัยเชิงอนาคต การวิจัยโดยใช้เทคนิคเดลฟาย )Delphi Technique) คือ การวิจัยโดยใช้เทคนิคที่สกัดความคิดเห็น จากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้คำตอบที่เป็นเอกฉันท์เพื่อการตัดสินใจ เทคนิคเดลฟายเป็นการจัดกลุ่ม โดยให้ ข้อมูลย้อนกลับหลังจากการพิจารณาคำตอบเป็นข้อ ๆ ช่วยให้ผู้ตอบได้ทบทวนคำตอบของตน และอาจแก้ไข คำตอบของตนหลังจากที่ได้ข้อมูลย้อนกลับ โดยหลักการของเทคนิคเดลฟายตั้งอยู่บนความเชื่อที่ว่าบุคคลที่มี ความรู้ความสามารถในสาขานั้นจำนวนหลายคน ย่อมจะช่วยแก้ไขปัญหาได้ดีกว่าผู้ชำนาญเพียงคนเดียวหรือ สองคน โดยเทคนิคเดลฟายจึงมีกระบวนการ 3 ขั้นตอน หรือ 3 รอบ ในการทำนายเหตุการณ์ในอนาคต ได้แก่


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 243 รอบที่ 1 เรียกว่า เป็นขั้นการระดมสมอง )Brainstorming) รอบที่ 2 เป็นการประเมินความคิดเห็น )Evaluation of Ideas) และ รอบที่ 3 เป็นการประเมินซ้ำ )Re-evaluation of Ideas) เทคนิคการวิจัยแบบ EFR (Ethnographic Futures Research) เป็นเทคนิคการวิจัยที่พยายามจะดึง เอาอนาคตภาพและค่านิยมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของกลุ่ม ประชากรที่ศึกษา โดยมีขั้นตอนสำคัญ ได้แก่ 1) การกำหนดกลุ่มตัวอย่าง 2) สัมภาษณ์ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะ คือ 3) วิเคราะห์/สังเคราะห์ หาฉันทามติ 4) เขียนอนาคตภาพ )Scenario write-up) เทคนิคการวิจัยแบบ EDFR (Ethnographic Delphi Futures Research) นั้น เป็นเทคนิคการวิจัย อนาคตที่ตอบสนองจุดมุ่งหมายและความเชื่อพื้นฐานของการวิจัยอนาคตมากที่สุดวิธีหนึ่งในปัจจุบัน เป็น เทคนิคการวิจัยที่รวมเอาจุดเด่นหรือข้อดีของเทคนิค EFR และ Delphi เข้าด้วยกัน การรวมข้อดีของทั้งสอง เทคนิคช่วยแก้จุดอ่อนของแต่ละเทคนิคได้เป็นอย่างดี โดยหลักการแล้ว เทคนิค EDFR เป็นการผสมผสาน ระหว่างเทคนิค EFR กับ Delphi เข้าด้วยกัน โดยสรุปขั้นตอนสำคัญ ได้แก่ 1) การกำหนดและเตรียมตัวกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ 2) สัมภาษณ์ )EDFR รอบที่หนึ่ง( การสัมภาษณ์มีลักษณะและขั้นตอนคล้ายคลังกับ EFR แต่ EDFR มี ความยืดหยุ่นมากกว่า 3) วิเคราะห์/สังเคราะห์ข้อมูล นำข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์และสังเคราะห์ เพื่อสร้างเป็นเครื่องมือสำหรับทำเดลฟาย 4) สร้างเครื่องมือ 5) ทำเดลฟาย )EDFR รอบที่สอง สาม...( 6) เขียนอนาคตภาพ คำถามท้ายบท 1 . จงอธิบายความหมายของการวิจัยอนาคตว่าเป็นการวิจัยแบบใด และการวิจัยอนาคตมีประโยชน์ อย่างไรบ้าง 2. การวิจัยอนาคตมีเทคนิควิธีที่นิยมใช้กี่วิธี อะไรบ้าง และเทคนิควิธีไหนเป็นที่ได้รับความนิยมมาก ที่สุด 3. การวิจัยโดยใช้เทคนิคเดลฟาย )Delphi Technique) เป็นเทคนิคการวิจัยแบบใด และมีขั้นตอน สำคัญกี่ขั้นตอน อะไรบ้าง จงอธิบาย


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 244 4. เทคนิคการวิจัยแบบ EFR (Ethnographic Futures Research) เป็นเทคนิคการวิจัยแบบใด และมี ขั้นตอนสำคัญกี่ขั้นตอน อะไรบ้าง จงอธิบาย 5. เทคนิคการวิจัยแบบ EDFR (Ethnographic Delphi Futures Research) นั้น เป็นเทคนิคการวิจัย แบบใด และมีขั้นตอนสำคัญกี่ขั้นตอน อะไรบ้าง จงอธิบาย รายการอ้างอิง บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์ .)2540( .ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์.กรุงเทพมหานคร :เจริญผล. พระเทพเวที( ประยุทธ์ปยุตโต .)2534( .)มหาวิทยาลัยกับงานวิจัยทางพระพุทธศาสนา .พระนคร : เนติกุลการพิมพ์. พวงรัตน์ทวีรัตน์ .)2538( .วิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์.พิมพ์ครั้งที่ .6 กรุงเทพมหานคร :สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. วิจิตร ศรีสอ้าน และทองอินทร์วงศ์โสธร .)2550( .หน่วยที่ :8 แนวคิดเกี่ยวกับการวิจัยทางการบริหาร การศึกษา .ใน คณะกรรมการผลิตและบริหารชุดวิชาการวิจัยทางการบริหารการศึกษา( บก)., ประมวลสาระชุดวิชาการวิจัยทางการศึกษา .พิมพ์ครั้งที่ .6 นนทบุรี :มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. วีระยุทธ ชาตะกาญจน์ .)2557( .การวิจัยเพื่อพัฒนาการบริหารการศึกษา.กรุงเทพมหานคร :วี .พริ้นท์ . ศักดิ์ไทย สุรกิจบวร .)2549( .การวิจัยเพื่อพัฒนาการบริหารการศึกษา .สกลนคร :สำนักงานโครงการ บัณฑิตศึกษา สาขาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร. ศิริชัย กาญจนวาสี, ทวีวัฒน์ปิตยานนท์และดิเรก ศรีสุโข .)2540( .การเลือกใช้สถิติที่เหมาะสม สำหรับการ วิจัย .กรุงเทพมหานคร :พชรกานต์พับลิเคชั่น. สุชาติประสิทธิ์รัฐสินธุ์ .)2540( .ระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์.กรุงเทพมหานคร:เลียงเชียง. สุนีย์มัลลิกะมาลย์ .)2555( .วิทยาการวิจัยทางนิติศาสตร์.พิมพ์ครั้งที่ .9 กรุงเทพมหานคร :สำนักพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. อเนก พ .อนุกูลบุตร .)2556( .วิจัยเชิงคุณภาพ Qualitative Research .กรุงเทพมหานคร :ก .พล . อุทุมพร จามรมาน .)2550( .หน่วยที่ :1 การวิจัยทางการศึกษา .ใน คณะกรรมการผลิตและบริหารชุด วิชาการวิจัยทางการบริหารการศึกษา( บก)., ประมวลสาระชุดวิชาการวิจัยทางการศึกษา . พิมพ์ครั้งที่ .6 นนทบุรี :มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. Best J.W .& Kahn J.V( .2006 .)Research in Education .10thEd .Boston :Pearson Education . Easterby-Smith M .Thorpe R .& Lowe A( .1991 .)Management .Research :An Introduction. London :Sage. Fraenkel J.R .& Wallen N.E( .2006 .)How to Design and Evaluate Research in Education . 6 th ed .New York :McGraw-hill.


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 245 Haller, Emil J .and Knapp, Thomas R( .1985, Summer .)Problems and methodology education administration. Education Administration Quarterly, 21. Hoy W.K .& Miskel C.G( .2008 .)Educational Administration :Theory Research and Practice. 8 th ed .Boston :McGraw-Hill. Hussey J.& Hussey R( .1997 .)Business Research. London :Macmillan Business. Kerlinger F.N .& Lee H.B( .2000 .)Foundations of Behavioral Research. 4 th ed .New York : Thomson Learning. Wiersma W( .1991 .)Research Methods in Education :An Introduction .5 th ed .Boston :Allyn and Bacon.


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 246 บรรณานุกรม กิตติพัฒน์นนทปัทมะดุล .)2554( .การวิจัยเชิงคุณภาพในสวัสดิการสังคม :แนวคิดและวิธีวิจัย .พิมพ์ครั้งที่ .2กรุงเทพฯ :สามลดา. ชัยอนันต์สมุทวณิช .)2543( .เพลินเพื่อรู้.กรุงเทพมหานคร :พี.เพรส. ทิพวรรณ หล่อสุวรรณรัตน์ .)2548( .องค์การแห่งการเรียนรู้ :จากแนวคิดสู่การปฏิบัติ.พิมพ์ครั้งที่ .2 กรุงเทพฯ :รัตนไตร. ธีระ นุชเปี่ยม .)2541( .สู่การเปลี่ยนแปลงกระบวนทรรศน์ .สังคมศาสตร์ปริทัศน์ )2( 19 .มกราคม-มิถุนายน : .110-99 พรธิดา วิเชียรปัญญา .)2547( .การจัดการความรู้ :พื้นฐานและการประยุกต์.กรุงเทพฯ :ธรรมกมลการพิมพ์. ราชบัญฑิตยสถาน .)2546( .พจนานุกรม ฉบับราชบัญฑิตยสถาน พ.ศ .2542.กรุงเทพฯ :นานมีบุ๊คส์ พับลิเคชั่นส์. น้ำทิพย์วิภาวิน .)2546( .การจัดการความรู้ .วารสารศรีปทุมปริทัศน์.ปีที่ 3ฉบับที่( .2กรกฎาคม–ธันวาคม :) .92-85 บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์. )2540). ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์. กรุงเทพ: เจริญผล. พระเทพเวที )ประยุทธ์ ปยุตโต(. )2534). มหาวิทยาลัยกับงานวิจัยทางพระพุทธศาสนา. พระนคร: เนติกุลการพิมพ์. พวงรัตน์ ทวีรัตน์. )2538). วิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. วิจิตร ศรีสอ้าน และทองอินทร์ วงศ์โสธร. )2550). หน่วยที่ 8: แนวคิดเกี่ยวกับการวิจัยทางการบริหาร การศึกษา. ใน คณะกรรมการผลิตและบริหารชุดวิชาการวิจัยทางการบริหารการศึกษา )บก.(, ประมวลสาระชุดวิชาการวิจัยทางการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 6. นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ราชบัณฑิตยสถาน .)2540( .พจนานุกรมศัพท์ปรัชญาอังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน .พิมพ์ครั้งที่ .2 กรุงเทพฯ :ราชบัณฑิตยสถาน . วีระยุทธ ชาตะกาญจน์. )2557). การวิจัยเพื่อพัฒนาการบริหารการศึกษา. กรุงเทพ: วี.พริ้นท์. ศักดิ์ไทย สุรกิจบวร. )2549). การวิจัยเพื่อพัฒนาการบริหารการศึกษา. สกลนคร: สำนักงานโครงการ บัณฑิตศึกษา สาขาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร. ศิริชัย กาญจนวาสี, ทวีวัฒน์ ปิตยานนท์และดิเรก ศรีสุโข. )2540). การเลือกใช้สถิติที่เหมาะสม สำหรับการ วิจัย. กรุงเทพ: พชรกานต์พับลิเคชั่น. สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ .)2548( .การจัดการความรู้จากทฤษฎีสู่การปฏิบัติ.พิมพ์ครั้งที่ .2 กรุงเทพฯ :จิรวัฒน์เอ็กเพรส. สุชาติ ประสิทธิ์รัฐสินธุ์. )2540). ระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์. กรุงเทพ:เลียงเชียง. สุนีย์ มัลลิกะมาลย์. )2555). วิทยาการวิจัยทางนิติศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 9. กรุงเทพ: สำนักพิมพ์แห่ง


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 247 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. อภิชัย พันธเสน .)2544( .พุทธเศรษฐศาสตร์ :วิวัฒนาการ ทฤษฎีและการประยุกต์กับเศรษฐศาสตร์สาขา ต่าง ๆ .กรุงเทพฯ :อมรินทร์. อรศรีงามวิทยาพงศ์ .)2541( .คุยกันเรื่องความคิดกับศาสตราจารย์นพ.ประเวศ วะสี .กรุงเทพฯ : มูลนิธิโกมล คีมทอง. อเนก พ.อนุกูลบุตร. )2556). วิจัยเชิงคุณภาพ Qualitative Research. กรุงเทพ: ก.พล. อุทุมพร จามรมาน. )2550). หน่วยที่ 1: การวิจัยทางการศึกษา. ใน คณะกรรมการผลิตและบริหารชุด วิชาการวิจัยทางการบริหารการศึกษา )บก.(, ประมวลสาระชุดวิชาการวิจัยทางการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 6. นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. อิกุจิโร โนนากะ, โนโบรุคอนโนะ, และแพทริก ไรน์โมลเลอร์ .)2550( .วิธีการสร้างความรู้( Methodology of Knowledge Creation .)แปลโดย ทวีนาคบุตร .กรุงเทพฯ:มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. Amrit Tiwana( .2000 .)The Knowledge Management Toolkit :Practical Techniques for Building knowledge Management System. Upper Saddle River, NJ :.Prentice Hall PTR . Best J.W. & Kahn J.V. (2006). Research in Education. 10th Ed. Boston: Pearson Education. Chum Wei Choo( .2000 .)“Working Knowledge :How Organizations Manage What They Know”. Congress of Southeast Asian Librarians. 7-9, 35, (April.) Clyde W .Holsapple( .2003 .)Handbook on Knowledge Management 1 Knowledge Matters. Berlin :Springer-Verlag Berlin. Dant, T( .1991 .)Knowledge ideology and discourse :A sociology perspective .New York : Routledge. Easterby-Smith M. Thorpe R. & Lowe A. (1991). Management. Research: An Introduction. London: Sage. Fraenkel J.R. & Wallen N.E. (2006). How to Design and Evaluate Research in Education. 6th ed. New York: McGraw-hill. Gillroy J.M( .1997 .)“Postmodernism efficiency and comprehensive policy argument in public administration”. American Behavioral Scientist .41 (1 )September :163 -190 . Haller, Emil J. and Knapp, Thomas R. (1985, Summer). Problems and methodology education administration. Education Administration Quarterly, 21. Hoy W.K. & Miskel C.G. (2008). Educational Administration: Theory Research and Practice. 8th ed. Boston: McGraw-Hill. Hussey J.& Hussey R. (1997). Business Research. London: Macmillan Business. Ikujiro Nonaka and Hirataka Takeuchi( .1995 .)The Knowledge Creating Company :How


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 248 JapaneseCompanies Create the Dynamics of Innovation. New York, [u.a :]Oxford University Press . Ikujiro Nonaka( .1998 .)Te Knowledge-Creating Company. USA :Harvard Business School Press. Jacky Swan( .2004“ . ) Knowledge Management in Action?”, in Handbook on Knowledge Management 1 :Knowledge Matters, edited by C.W .Hollsopple, 2nd editions, (Berlin : Springer :)281. Kerlinger F.N. & Lee H.B. (2000). Foundations of Behavioral Research. 4th ed. New York: Thomson Learning. Kuhn, T.S( .1970 .)The structure of scientific revolutions. Chicago :University of Cchicago Press. Marcuse H( .1964 .)One-dimensional man. Boston :Beacon. Michael Polanyi( .1962 .)Personal Knowledge :Towards a Post-CriticalPhilosophy. London : Routledge & Kegan Paul . Patton, M.Q( .1978 .)Utilization-focused evaluation. Beverly Hills, CA :.SAGE. Peter F .Drucker( .2009 .)The New Realities. 4 th ed .New Jersey :New Brunswick . Raymond J .Corsini( .2002 .)The Dictionary of Psychology. NY :Brunner-Rout ledge. Rubin A .& Barbie E( .2001 .)Research methods for social work. 4th ed .Belmont, CA : Wadsworth/Thomson Learning. Thomas H .Davenport and Laurence Prusak( .2000 .)Working Knowledge :How Organization Manage What They Know. 2 nd ed .Boston, Massachusetts :Harvard Business School Press. Tyson K.B( .1992 .)“A new approach to relevant scientific research for practitioners :The heuristic paradigm”. Social Work. 37 (6 :)541-556 Wiersma W. (1991). Research Methods in Education: An Introduction. 5th ed. Boston: Allyn and Bacon.


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 249 ภาคผนวก


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู(Research for Learning Development) คณะครุศาสตร มจร ปญหาที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนมีอะไรบาง (กิจกรรม Think-Pair-Share) …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… สรุปเปนแนวทางสำหรับตนเองเพื่อนำไปสูการพัฒนาปญหาวิจัย …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… วิเคราะหปญหาวิจัยในชั้นเรียน (ภาพรวม) และสะทอนคิด ชื่อ-นามสกุล (ฉายา).......................................................................................รหัส.......................................... ใหสรุปปญหาในชั้นเรียนที่เปนไปไดสำหรับนิสิตในการออกแบบ การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน ใบงานที่ 1 Copyright: Dr.Lampong Klomkul, EDU, MCU


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู(Research for Learning Development) คณะครุศาสตร มจร คำชี้แจง ใหนิสิตวิเคราะหปญหาวิจัยจากสถานการณที่กำหนดใหตอไปนี้ สถานการณที่ 1 นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 2 โดยสวนมากอานหนังสือวิชาภาษาไทยไมคลอง ปญหา คือ ……………………………………………………………………………………….…...… แนวทางการแกไข คือ………………………………………………………………………………...… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… สถานการณที่ 2 นักเรียนเขียนประโยคภาษาอังกฤษไมถูกตองตามหลักไวยากรณ ปญหา คือ ……………………………………………………………………………………….…...… แนวทางการแกไข คือ………………………………………………………………………………...… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… สถานการณที่ 3 นักเรียนสงการบานไมตรงเวลา ปญหา คือ ……………………………………………………………………………………….…...… แนวทางการแกไข คือ………………………………………………………………………………...… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… สรุปผลการวิเคราะหปญหาวิจัย …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… แบบฝกการวิเคราะหปญหาวิจัย (กิจกรรมกลุม Knowledge Sharing) ชื่อ-นามสกุล (ฉายา).......................................................................................รหัส.......................................... ใบงานที่ 2 Copyright: Dr.Lampong Klomkul, EDU, MCU


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู(Research for Learning Development) คณะครุศาสตร มจร คำชี้แจง ใหนิสิตวิเคราะหปญหาวิจัยที่เปนปญหาวิจัยของตนเองเพื่อเชื่อมโยงไปสูการออกแบบการวิจัย ปฏิบัติการในชั้นเรียนของตนเองที่สามารถใชในการฝกประสบการณวิชาชีพครู (ฝกสอน) สถานการณ……………………………………………………………………………………….…...… ปญหา คือ ……………………………………………………………………………………….…...… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… แนวทางการแกไขทั่วไป คือ …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… แนวทางการแกไขดวยกระบวนการวิจัย (พัฒนานวัตกรรมอะไร) …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… สรุปประเด็นที่ใชในการทำวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน (ของตนเอง) …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… แบบฝกวิเคราะหปญหาวิจัยเปนรายบุคคล (กิจกรรมเดี่ยว Self-reflection) ชื่อ-นามสกุล (ฉายา).......................................................................................รหัส.......................................... ใบงานที่ 3 Copyright: Dr.Lampong Klomkul, EDU, MCU


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู(Research for Learning Development) คณะครุศาสตร มจร คำชี้แจง ใหนิสิตเลือกประเด็นปญหาวิจัยที่สนใจและวิเคราะหความสำคัญของปญหาเพื่อเชื่อมโยงสู การพัฒนางานวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน ประเด็นปญหาวิจัยที่สนใจ ……………………………………………………………………………………….…………….....… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… ความเปนมาและความสำคัญของปญหา …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… สรุปผลการวิเคราะหความสำคัญของปญหา …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… แบบฝกวิเคราะหความสำคัญของปญหา (กิจกรรมเดี่ยว Critical Thinking) ชื่อ-นามสกุล (ฉายา).......................................................................................รหัส.......................................... ใบงานที่ 4 Copyright: Dr.Lampong Klomkul, EDU, MCU


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู(Research for Learning Development) คณะครุศาสตร มจร คําชี้แจง ใหนิสิตฝกทักษะการเขียน “ความเปนมาและความสําคัญของปญหา” โดยใชกรอบการเขียน Context, Significant, Gap ……………………………………………………………………………………….……… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………….……… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………….……… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… จึงทําใหผูวิจัยสนใจทําวิจัยเรื่อง…………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… แบบฝกทักษะการเขียน “ความเปนมาและความสําคัญของปญหา” (กิจกรรมเดี่ยว Context-Significant-Gap) ชื่อ-นามสกุล (ฉายา).......................................................................................รหัส.......................................... ความเปนมาและความสําคัญของปญหา ใบงานที่ 5 Copyright: Dr.Lampong Klomkul, EDU, MCU


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู(Research for Learning Development) คณะครุศาสตร มจร คําชี้แจง ใหนิสิตฝกการกําหนดชื่องานวิจัย วัตถุประสงคการวิจัย และประโยชนที่คาดวาจะไดรับ ชื่อวิจัย: ……………………………………………………………………………………….……… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… (องคประกอบของชื่อเรื่อง คือ วิธีการศึกษา ตัวแปร กลุมตัวอยาง และบริบท) วัตถุประสงคการวิจัย …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… (เพื่อศึกษา... เพื่อวิเคราะห... เพื่อพัฒนา... เพื่อสราง... เพื่อสังเคราะห... เพื่อเปรียบเทียบ...) ประโยชนที่คาดวาจะไดรับ …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… (ทําใหได..... ทําใหทราบ..... ) แบบฝกการกําหนดชื่องานวิจัย วัตถุประสงคการวิจัย และประโยชนที่คาดวาจะไดรับ (กิจกรรมเดี่ยว CAR-Proposal) ชื่อ-นามสกุล (ฉายา).......................................................................................รหัส.......................................... ใบงานที่ 6 Copyright: Dr.Lampong Klomkul, EDU, MCU


1 แบบฝกทักษะ ชื่อ-นามสกุล (ฉายา)...........................................สาขาวิชา...................วันที่................................. การหาประสิทธิภาพของแบบฝกทักษะการบวกโดยวิธีนับครบสิบ ขอมูลในการวิเคราะหไดรับจากงานวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนของครูจุฑามาศ เสาแบน โรงเรียนวัดฤทธิ์ (คําหมื่นปทุมานุสสรณ) อ.เมือง จ.สุโขทัย การหาประสิทธิภาพของนวัตกรรม โดยใชสูตร E1/E2 กําหนดเกณฑไวเปน 80/80 โดยที่ E1 คือ คาเฉลี่ยรอยละของคะแนนเต็มระหวางการปฏิบัติจากการใชนวัตกรรม E2 คือ คาเฉลี่ยรอยละของคะแนนเต็มหลังการใชนวัตกรรม ตารางที่ 1 แสดงคะแนนจากการทําแบบฝกทักษะระหวางเรียนและหลังเรียน รายการ คะแนนเต็ม คะแนนเฉลี่ย 1.คะแนนจากการทําแบบฝกทักษะระหวางเรียน A = 58 1 x = 57 2.คะแนนจากการทําแบบทดสอบหลังเรียน B = 40 2 x = 35 จากตารางที่ 1 สามารถนํามาคํานวณหาประสิทธิภาพของแบบฝกทักษะการบวกโดยวิธีนับ ครบสิบ ไดดังนี้ จากสูตร E1 = 100 1 × A x และ E2 = 100 2 × B x เมื่อ 1 x คือ คะแนนเฉลี่ยการทําแบบทักษะระหวางเรียน 2 x คือ คะแนนเฉลี่ยการทําแบบทดสอบหลังเรียน A คือ คะแนนเต็มของแบบฝกระหวางเรียน/หลังเรียน B คือ คะแนนเต็มของแบบทดสอบ แทนคา E1 = E2 = E1 = E2 = แสดงผลประสิทธิภาพของแบบฝกทักษะการบวกโดยวิธีนับครบสิบได ดังตารางที่ 2


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู (๒๐๐ ๓๐๘) คณะครุศาสตร มจร 2 ตารางที่ 2 ประสิทธิภาพของแบบฝกทักษะการบวกโดยวิธีนับครบสิบ แบบฝกทักษะการบวกโดย วิธีนับครบสิบ ประสิทธิภาพ ประสิทธิภาพของกระบวนการ E1 ประสิทธิภาพของผลลัพธ E2 ชุดที่ 1 – ชุดที่ 9 จากตารางที่ 2 พบวา จากเกณฑประสิทธิภาพที่ตั้งไว คือ 80 / 80 และผลการทดลอง ใชนวัตกรรมคํานวณได คือ ........................... ดังนั้น สรุปไดวา ประสิทธิภาพของนวัตกรรมที่คํานวณ ไดสูงกวาเกณฑที่ตั้งไว จึงเหมาะสมในการนําไปใชพัฒนา.......................................................................... ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 1 โรงเรียนวัดฤทธิ์ (คําหมื่นปทุมานุสสรณ) การเปรียบเทียบทักษะการบวกจํานวนที่มีหนึ่งหลักสองจํานวนกอนและหลังใชแบบฝกทักษะการบวก จํานวนที่มีหนึ่งหลักโดยวิธีการนับครบสิบ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 1 ปรากฏผลดังนี้ ตารางที่ 3 แสดงผลการพัฒนาทักษะการบวกจํานวนที่มีหนึ่งหลักสองจํานวนของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปที่ 1 โรงเรียนวัดฤทธิ์ (คําหมื่นปทุมานุสสรณ) ปการศึกษา 2550 ที่ ชื่อนักเรียน คะแนน กอนเรียน ระหวางเรียน หลังเรียน 1 นักเรียนคนที่ 1 26 36 40 2 นักเรียนคนที่ 2 32 40 40 3 นักเรียนคนที่ 3 12 38 35 4 นักเรียนคนที่ 4 40 40 40 5 นักเรียนคนที่ 5 40 40 40 6 นักเรียนคนที่ 6 18 28 34 7 นักเรียนคนที่ 7 36 37 36 8 นักเรียนคนที่ 8 38 36 38 9 นักเรียนคนที่ 9 40 37 38 10 นักเรียนคนที่ 10 30 38 37 11 นักเรียนคนที่ 11 40 40 40 12 นักเรียนคนที่ 12 19 37 38 13 นักเรียนคนที่ 13 36 37 40 14 นักเรียนคนที่ 14 39 39 39 15 นักเรียนคนที่ 15 35 39 40 16 นักเรียนคนที่ 16 39 39 40 17 นักเรียนคนที่ 17 39 40 40


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู (๕๐๒ ๒๐๗) คณะครุศาสตร มจร 3 ที่ ชื่อนักเรียน คะแนน กอนเรียน ระหวางเรียน หลังเรียน 18 นักเรียนคนที่ 18 39 39 39 รวม คาเฉลี่ย ( x ) คาความเบี่ยงเบนมาตฐาน (S.D.) 8.77 2.82 1.92 ตารางที่4 แสดงคะแนนทักษะการบวกของนักเรียนหลังจากใชแบบฝกทักษะการบวกโดยวิธีนับครบสิบ นักเรียนคนที่ คะแนนกอนเรียน (Pretest) =Xi คะแนนหลังเรียน (Posttest) =Yi d = Yi - Xi d2 1 26 40 14 196 2 32 40 8 64 3 12 35 23 529 4 40 40 0 0 5 40 40 0 0 6 18 34 16 256 7 36 36 0 0 8 38 38 0 0 9 40 38 -2 4 10 30 37 7 49 11 40 40 0 0 12 19 38 19 361 13 36 40 4 16 14 39 39 0 0 15 35 40 5 25 16 39 40 1 1 17 39 40 1 1 18 39 39 0 0 รวม ∑d = ∑ 2 d = คาเฉลี่ย ( x ) 2 (∑d ) = คาความเบี่ยงเบน มาตฐาน (S.D.) 8.77 1.92


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู (๒๐๐ ๓๐๘) คณะครุศาสตร มจร 4 ทดสอบโดยใช t-test เปนการทดสอบความแตกตางแบบจับคู (Paired Difference Tests) สมมติฐานทางสถิติ H0: µ หลังเรียน= µ กอนเรียน (คะแนนเฉลี่ยหลังการใชนวัตกรรมเทากับกอนใชนวัตกรรม) H1: µ หลังเรียน> µ กอนเรียน 1. คํานวณหาคา t จากขอมูล สูตร t = 1 ( ) 2 2 − ∑ − ∑ ∑ n n d d d แทนคาได ; t = 96/32.38 t = 2.96 t = 2. คาวิกฤติ t ที่ระดับนัยสําคัญ α , df = n-1 (คาวิกฤติ t ใชวิธีการเปดตาราง) แทนคาได df = 18 -1 df = 17 กําหนดระดับนัยสําคัญที่ .05 ดังนั้น เปดตาราง t แบบหางเดียว ที่ α = .05 df = ............ ไดคา t17, .05 = 1.740 เปรียบเทียบคาของ t t17, .05 < หรือ > t คํานวณ คา t ที่ไดหมายความวา เราจะ ปฏิเสธ/ ยอมรับ Ho และ ปฏิเสธ/ ยอมรับ H1 แสดงวานักเรียนที่เรียนโดยใชแบบฝกทักษะการบวกโดยวิธีนับครบสิบ ที่ผูวิจัยไดพัฒนาขึ้น มี ............................................................................... สูงกวา กอนใช แบบฝกทักษะการบวกโดยวิธีนับครบสิบ ดวยความเชื่อมั่น 95 % ตารางที่ 5 การเปรียบเทียบคาเฉลี่ยของคะแนนกอนและหลังการใชแบบฝกทักษะการบวกโดยวิธี นับครบสิบ การทดลอง x S.D. t กอนเรียน หลังเรียน *มีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู (๕๐๒ ๒๐๗) คณะครุศาสตร มจร 5 จากตารางที่ 5 สรุปไดวา ผูเรียนที่เรียนโดยใช................................................. มี ...............................................................กอนและหลังการใชแบบฝกทักษะการบวกโดยวิธีนับครบสิบ .......................... (แตกตางกัน/ไมแตกตางกัน) โดยที่...................................................ของนักเรียนหลัง ใช................................................. กอนใชแบบฝกทักษะการบวกโดยวิธีนับครบสิบ อยางมีนัยสําคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05


ตัวอยางนวัตกรรมการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน Scan เพื่อดูนวัตกรรมฉบับสมบูรณ


ตัวอยางนวัตกรรมการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน Scan เพื่อดูนวัตกรรมฉบับสมบูรณ


ตัวอยางนวัตกรรมการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน Scan เพื่อดูนวัตกรรมฉบับสมบูรณ


ตัวอยางนวัตกรรมการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน Scan เพื่อดูนวัตกรรมฉบับสมบูรณ


ตัวอยางนวัตกรรมการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน Scan เพื่อดูนวัตกรรมฉบับสมบูรณ


ตัวอยางนวัตกรรมการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน Scan เพื่อดูนวัตกรรมฉบับสมบูรณ


ตัวอยางนวัตกรรมการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน Scan เพื่อดูนวัตกรรมฉบับสมบูรณ


ตัวอยางนวัตกรรมการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน Scan เพื่อดูนวัตกรรมฉบับสมบูรณ


ตัวอยางนวัตกรรมการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน Scan เพื่อดูนวัตกรรมฉบับสมบูรณ


ตัวอยางนวัตกรรมการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน Scan เพื่อดูนวัตกรรมฉบับสมบูรณ


รายงานการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนนี้เปนสวนหนึ่งของการศึกษา ตามหลักสูตรตามหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต คณะครุศาสตร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พุทธศักราช ๒๕๖๔ รายงานการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนา........................................................................... DEVELOPMENT OF……………………………………………………….. ชื่อ-นามสกุล ของผูวิจัย


รายงานการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนนี้เปนสวนหนึ่งของการศึกษา ตามหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต คณะครุศาสตร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พุทธศักราช ๒๕๖๔ (ลิขสิทธิ์เปนของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย) รายงานการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนา........................................................................... ชื่อ-นามสกุล ของผูวิจัย


ชื่อผูวิจัย ........................................................ (................................................) คณะครุศาสตร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อนุมัติใหงานวิจัยเรื่อง “……………………………………………………………….” เปนสวนหนึ่งของการศึกษารายวิชาปฏิบัติการสอน ในสถานศึกษา ตามหลักสูตรตามหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต ........................................................ (พระราชสุตาภรณ, รศ.ดร.) คณบดีคณะครุศาสตร คณะกรรมการตรวจงานวิจัย ........................................................ ประธานกรรมการ (................................................) ........................................................ กรรมการ (................................................) ........................................................ กรรมการ (................................................) ........................................................ กรรมการ (................................................) อาจารยที่ปรึกษางานวิจัย ใสชื่ออาจารยนิเทศก ประธานกรรมการ ใสชื่อครูพี่เลี้ยง กรรมการ


ง ชื่อวิจัย : การพัฒนา........................................................................................... ผูวิจัย : ชื่อผูวิจัย........................................................................... หลักสูตร : ตามหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต คณะกรรมการตรวจงานวิจัย : Xxxxxxxxxxxxx ประธานกรรมการ : Xxxxxxxxxxxxx กรรมการ : Xxxxxxxxxxxxx กรรมการ : Xxxxxxxxxxxxx กรรมการ บทคัดยอ XXXX…………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ความยาว ๑-๒ หนา


จ กิตติกรรมประกาศ ............................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ชื่อ-นามสกุล ผูวิจัย วันที่......................


ฉ สารบัญ เรื่อง หนา บทคัดยอภาษาไทย จ บทคัดยอภาษาอังกฤษ ช กิตติกรรมประกาศ ฌ สารบัญ ญ สารบัญตาราง ฏ สารบัญภาพ ฐ บทที่ ๑ บทนํา ๑ ๑.๑ ความเปนมาและความสําคัญของปญหา ๑ ๑.๒ คําถามวิจัย ๑.๓ วัตถุประสงคของการวิจัย ๑.๔ สมมติฐานการวิจัย ๑.๕ ขอบเขตการวิจัย ๑.๖ นิยามศัพทเฉพาะที่ใชในการวิจัย ๑.๗ ประโยชนที่ไดรับจากการวิจัย บทที่ ๒ แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวของ ๒.๑ ทฤษฎีหรือแนวคิดเกี่ยวกับ ๒.๒ ทฤษฎีหรือแนวคิดเกี่ยวกับ ๒.๓ ทฤษฎีหรือแนวคิดเกี่ยวกับ ๒.๔ งานวิจัยที่เกี่ยวของ ๒.๕ กรอบแนวคิดในการวิจัย บทที่ ๓ วิธีดําเนินการวิจัย ๓.๑ รูปแบบการวิจัย ๓.๒ ประชากรและกลุมตัวอยาง ๓.๓ เครื่องมือที่ใชในการวิจัย ๓.๔ การเก็บรวบรวมขอมูล ๓.๕ การวิเคราะหขอมูล บทที่ ๔ ผลการวิเคราะหขอมูล ๔.๑ ๔.๒


ช ๔.๓ บทที่ ๕ สรุป อภิปรายผลและขอเสนอแนะ XXX ๕.๑ สรุปผลการวิจัย XXX ๕.๒ อภิปรายผลการวิจัย XXX ๕.๓ ขอเสนอแนะ XXX บรรณานุกรม XXX ภาคผนวก XXX ภาคผนวก ก นวัตกรรมการวิจัย ภาคผนวก ข แผนการจัดการเรียนรู ภาคผนวก ค ภาพกิจกรรมการจัดการเรียนรู ประวัติผูวิจัย XXX


ซ สารบัญตาราง ตารางที่ ๓.๑ xxxxxxxxxxxxxxx XXX


ฌ สารบัญภาพ ภาพที่ หนา ๒.๑ xxxxx xx ๒.๒ xxxx xx ๒.๓ xxxx xx (ใสตามที่ปรากฏในเลม)


บทที่ ๑ บทนํา ๑.๑ ความเปนมาและความสําคัญของปญหา ในสังคมโลกปจจุบันที่มีความเจริญกาวหนาทางวัตถุและเทคโนโลยีสูงขึ้นอยางมาก จึง สงผลใหความเปนอยูของมนษุยดีขึ้นและสะดวกสบายมากขึ้นตามไปดวย แตถากลับมาพิจารณาอยาง ลึกซึ้งแลว จะพบวา ในความสุขสบายทางวัตถุของมนุษยนั้น เต็มไปดวยปญหาและความวุนวายตาง ๆ ในสังคมปจจุบัน เชน ปญหาอาชญากรรม ปญหาการทุจริตคอรรัปชัน ปญหาสิ่งแวดลอม ปญหา สุขภาพจิต ปญหาความขัดแยง และการขาดความสามัคคีในสังคม เปนตน ปญหาเหลานี้จะพบไดผาน สื่อสารมวลชนอยูบอยครั้ง เหตุการณเหลานี้แสดงใหเห็นถึงความจริงอีกดานหนึ่งวา การพัฒนาความ เจริญทางวัตถุเพียงอยางเดียว แตไมสนใจการพัฒนาทางดานจิตสํานึกทางศีลธรรมอันเปนคุณคาทาง จิตใจใหเติบโตควบคูกันสงผลใหมนุษยตกเปนทาสของความอยากได (Need) และกระทําสิ่งตางๆ ดวยความเห็นแกตัว จนกระทั่งเกิดการเบียดเบียนผูอื่น และสรางความทุกขใหแกตนเองและผูอื่น รวมทั้งสังคมโดยรวมได (ความยาว ๒-๓หนา) ๑.๒ คําถามวิจัย ๑.๒.๑ ชื่อนวัตกรรมที่สรางขึ้นมีองคประกอบอะไรบาง ๑.๒.๒ ชื่อนวัตกรรมที่สรางขึ้นมีคุณภาพตามเกณฑประสิทธิภาพที่ตั้งไว คือ ๘๐/๘๐ หรือไม อยางไร ๑.๒.๓ ผูเรียนที่เรียนโดยใช ชื่อนวัตกรรม มีผลการพัฒนา…ตัวแปรตาม...สูงกวา กอน เรียนหรือไม อยางไร


๒ ๑.๓ วัตถุประสงคของการวิจัย ๑.๓.๑ เพื่อสราง ชื่อนวัตกรรม ๑.๓.๒ เพื่อตรวจสอบคุณภาพของ ชื่อนวัตกรรม ๑.๓.๓ เพื่อเปรียบเทียบ…. ตัวแปรตาม ของนักเรียนชั้น… ระหวางกอนและหลังเรียนโดย ใช...... ชื่อนวัตกรรม ๑.๔ สมมติฐานการวิจัย ๑.๔.๑ ใสชื่อนวัตกรรม ที่พัฒนาขึ้น มีคุณภาพตามเกณฑประสิทธิภาพที่ตั้งไว คือ ๘๐/ ๘๐ ๑.๔.๒ ผูเรียนที่เรียนโดยใช ชื่อนวัตกรรม มีผลการพัฒนา…ตัวแปรตาม...สูงกวา กอน เรียน อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ ๑.๕ ขอบเขตการวิจัย ๑.๕.๑ ประชากร หรือ กลุมเปาหมายในการวิจัยในชั้นเรียน นักเรียนชั้น.........................หอง....................จํานวน..................คน โรงเรียน……………… อําเภอ........... จังหวัดปทุมธานี ภาคเรียนที่...............ปการศึกษา................ ๕.๒.๒ เนื้อหาหรือสาระการเรียนรู กลุมสาระการเรียนรู................................หนวยการเรียนรู....................เรื่อง.................... ๑.๕.๓ ตัวแปรที่สนใจศึกษา ตัวแปรตน คือ ........................................................................................................ ตัวแปรตาม คือ ..................................................................................................... ๑.๕.๔ ระยะเวลา ที่ทําวิจัยในชั้นเรียนที่นําไปสอนหรือแกปญหาหรือพัฒนาผูเรียน ภาคเรียนที่............ปการศึกษา..........................ระหวางวันที่.............................ถึง............................... จํานวน.....................ชั่วโมง ๑.๖ นิยามศัพทเฉพาะที่ใชในการวิจัย ๑.๖.๑ ๑.๖.๒ ๑.๖.๓ ๑.๗ ประโยชนที่ไดรับจากการวิจัย ๑.๗.๑ ๑.๗.๒ ๑.๗.๓


๓ บทที่ ๒ แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวของ ในการศึกษาแนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวของกับการวิจัยครั้งนี้ ผูวิจัยไดแบง ประเด็นในการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวของมีรายละเอียดดังตอไปนี้ ๒.๑ ทฤษฎีหรือแนวคิดเกี่ยวกับ เนื้อหาตามกลุมสาระการเรียนรู ๒.๒ ทฤษฎีหรือแนวคิดเกี่ยวกับ นวัตกรรม ๒.๓ ทฤษฎีหรือแนวคิดเกี่ยวกับ ตัวแปรตาม ๒.๔ งานวิจัยที่เกี่ยวของ ๒.๕ กรอบแนวคิดในการวิจัย แสดงรายละเอียดของการศึกษาในแตละประเด็นไดดังนี้ ใหเขียนตามเนื้อหาของงานวิจัยที่นิสิต ๒.๑ แนวคิดเกี่ยวกับ……


๔ ๒.๕ กรอบแนวคิดในการวิจัย การวิจัยเรื่อง “…………………………” จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวของ ผูวิจัย ไดกําหนดกรอบแนวคิดในการวิจัยเพื่อแสดงความเชื่อมโยงระหวางตัวแปร ไดดังภาพตอไปนี้ ภาพที่ ๒.๑ กรอบแนวคิดในการวิจัย ใหนิสิตนํากิจกรรมตามที่ไดออกแบบในวัตกรรมมาใส ตามจํานวนกิจกรรม สําหรับทักษะที่วัดผล คือ สิ่งที่นิสิต จะเก็บคะแนนหรือวัดผลการเรียนรูจากผูเรียน ขอมูลในกลองสี่เหลี่ยม เพิ่ม หรือ ลด ไดตามขอมูลของงานวิจัยแตละเรื่อง ใสชื่อ ตัวแปรตน ใสชื่อ ตัวแปรตาม ใสชื่อกิจกรรม ใสชื่อกิจกรรม ใสชื่อกิจกรรม ใสชื่อกิจกรรม ใสชื่อกิจกรรม ทักษะที่วัดผล ทักษะที่วัดผล ทักษะที่วัดผล ทักษะที่วัดผล


๕ บทที่ ๓ วิธีดําเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค1) เพื่อ…….. ๒) เพื่อ…… และ ๓) เพื่อ...... โดยมีรายละเอียด และขั้นตอนในการดําเนินการวิจัยดังนี้ ๓.๑ รูปแบบการวิจัย ๓.๒ ประชากรและกลุมตัวอยาง ๓.๓ เครื่องมือที่ใชในการวิจัย ๓.๔ การเก็บรวบรวมขอมูล ๓.๕ การวิเคราะหขอมูล แสดงรายละเอียดขั้นตอนการวิจัยไดดังนี้


๖ บทที่ ๔ ผลวิเคราะหขอมูล การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค1) เพื่อ…….. ๒) เพื่อ…… และ ๓) เพื่อ...... ผูวิจัยไดแสดงผล การวิเคราะหขอมูล ดังนี้ ๔.๑ ผลวิเคราะหขอมูลตามวัตถุประสงคขอที่ ๑ ๔.๒ ผลวิเคราะหขอมูลตามวัตถุประสงคขอที่ ๒ ๔.๓ ผลวิเคราะหขอมูลตามวัตถุประสงคขอที่ ๓ แสดงรายละเอียดผลการวิเคราะหขอมูลไดดังนี้


Click to View FlipBook Version