The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ดร.ลำพอง กลมกูล (2567). เอกสารประกอบการสอน การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ (รหัสวิชา 200 308) Research fo Learning Development (200 308)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by polmcu, 2024-02-09 12:01:52

การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ (รหัสวิชา 200 308) Research fo Learning Development (200 308)

ดร.ลำพอง กลมกูล (2567). เอกสารประกอบการสอน การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ (รหัสวิชา 200 308) Research fo Learning Development (200 308)

วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 86 2. การวิจัยแบบนำ-แบบรอง (dominant – less dominant design ) เป็นการวิจัยที่ดำเนินการด้วย วิธีการวิจัยหลักแนวทางใดแนวทางหนึ่ง แล้วเสริมด้วยอีกแนวทางหนึ่ง เช่นใช้การวิจัยเชิงปริมาณเป็นหลัก และ ใช้วิธีการบางอย่างของการวิจัยเชิงคุณภาพมาเสริม เช่น เพื่อขยายความ เพื่อตรวจสอบยืนยัน หรือเพิ่มความ ลึกของข้อมูล ในทางตรงกันข้ามอาจใช้การวิจัยเชิงคุณภาพเป็นหลักเสริมด้วยการวิจัยเชิงปริมาณ 3. การวิจัยแบบผสมผสาน (mixed-methodology design หรือ integrated approach) รูปแบบนี้ เป็นการผสานทั้งระดับมหภาคและจุลภาคระหว่าง 2 กระบวนทัศน์และแนวทางการวิจัย รูปแบบการวิจัยนี้จัด ว่าเป็นการวิจัยลูกผสม (hybrids) ในทางปฏิบัติเป็นการวิจัยที่ดำเนินการได้ยาก เนื่องจากต้องมีการผสมผสาน ทุกขั้นตอนของการวิจัยตั้งแต่นำเสนอปัญหา (ในบทนำของการวิจัย( จนถึงบทสรุปของการวิจัย ซึ่งในบาง ขั้นตอนอาจมาสามารถผสมผสานกันได้เต็มที่ด้วยข้อจำกัดของความแตกต่างในกระบวนทัศน์การ วิจัยระหว่างการวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงปริมาณ ขั้นตอนการวิจัยแบบผสานวิธี )Mixed Methods Research Process ) การวิจัยแบบผสานวิธี )Mixed Methods Research) ประกอบด้วยขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 การกำหนดคำถามการวิจัย ผู้วิจัยอาจจะตั้งคำถามการวิจัยเพียงหนึ่งคำถามซึ่งมี ลักษณะที่เป็นทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ หรือจะตั้งคำถามการวิจัยหลายคำถามซึ่งอาจจะแยกเป็นคำถาม เชิงปริมาณและคำถามเชิงคุณภาพ ขั้นตอนที่2 การกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย ผู้วิจัยสามารถตั้งวัตถุประสงค์ของการศึกษาไว้ ข้อเดียวหรือหลายข้อ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคำถามการวิจัย ขั้นตอนที่3 การเลือกระเบียบวิธีในการวิจัย ผู้วิจัยต้องพิจารณาเลือกรูปแบบการวิจัยที่เหมาะสม ที่สุดสำหรับการตอบคำถามการวิจัย ให้ถูกต้อง แม่นยำน่าเชื่อถือ และมีความเป็นไปได้ในการปฏิบัติงานวิจัย โดยคำนึงถึงองค์ประกอบที่สำคัญ ได้แก่ เวลาที่เหมาะสม การให้ค่าน้ำหนักของข้อมูลเชิงปริมาณหรือคุณภาพ การผสมผสานวิธีการ ความลึกซึ้ง ในทฤษฎีหรือวิธีการเปลี่ยนแปลงไป ขั้นตอนที่ 4 การเก็บรวบรวมข้อมูล ขั้นตอนที่ 5 การวิเคราะห์ข้อมูล ขั้นตอนที่ 6การตีความหรือแปลผลข้อมูล ขั้นตอนที่ 7 การกระทำข้อมูลให้ถูกต้อง ขั้นตอนที่ 8 การสรุปผลและการจัดทำรายงานการวิจัย ข้อจำกัดในการใช้วิธีการวิจัยแบบผสานวิธี ในทางปฏิบัติ พบว่าการวิจัยแบบผสานวิธีมีข้อพึงระวังและมีข้อจำกัดบางประการ คือ วิธีการ วิจัยเชิงปริมาณนั้นเป็นวิธีการที่เข้มงวด เป็นระบบและเป็นแบบแผน ส่วนวิจัยเชิงคุณภาพนั้นเป็นวิธีการที่ แนบเนียน ละเอียดอ่อน และยืดหยุ่น เมื่อนำวิธีทั้งสองมาใช้ในการวิจัยเรื่องเดียวกันจะต้องใช้ให้เหมาะสม อย่าปล่อยให้ความรู้สึกนึกคิดเชิงคุณภาพไปผ่อนคลายความเข้มงวดและความเป็นแบบแผนของวิธีการวิจัยเชิง


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 87 ปริมาณ ในขณะเดียวกันก็อย่าปล่อยให้ความรู้สึกนึกคิดเชิงปริมาณมีอิทธิพลทำให้วิธีการเชิงคุณภาพกลายเป็น การสำรวจหาข้อมูลเพิ่มเติมอย่างฉาบฉวย ซึ่งจะเป็นผลทำให้คุณภาพของงานวิจัยชิ้นนั้นลดลงนอกจากนี้ยัง พบว่า งานวิจัยแบบผสานวิธีมีข้อจำกัดที่สำคัญ คือ 1) นักวิจัยโดยเฉพาะหัวหน้าโครงการวิจัยต้องมีความรู้และประสบการณ์ในการทำวิจัยทั้งเชิง ปริมาณและเชิงคุณภาพคนที่ถูกต้องตามหลักวิธี ไม่เช่นนั้นจะได้งานวิจัยที่ไม่เข้มแข็งเท่าที่ควร 2) ในการวิจัยแบบผสานวิธี จะต้องใช้เวลาและทรัพยากรในการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลปริมาณ มากกว่าการทำวิจัยเชิงเดี่ยว ดังนั้นโครงการที่ถูกจำกัดด้วยเวลาและงบประมาณจึงไม่สามารถใช้กลยุทธ์โดยวิธี ผสานวิธีได้ ยกเว้นเป็นข้อมูลเสริมบางส่วน 3) อาจมีการใช้การวิจัยแบบผสานวิธีตามสมัยนิยม โดยเป็นการใช้แบบผิดๆ ตามที่ตนเข้าใจ หรือใช้โดยมักง่าย เช่น นักวิจัยเชิงปริมาณเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์แบบผิวเผิน หรือนักวิจัยเชิงคุณภาพ คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยการสุ่มตามหลักสถิติโดยไม่พิจารณาหลักเกณฑ์ที่เหมาะสม เป็นต้น 4.11 สรุป การที่จะแบ่งการวิจัยออกเป็นกี่ประเภทนั้นขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่งว่าจะยึดถือสิ่งใดเป็นเกณฑ์ หรือเป็นหลัก ทั้งนี้เพราะการใช้เกณฑ์ต่างกัน ก็จะแบ่งการวิจัยออกเป็นประเภทต่าง ได้ไม่เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้ ประเภทของการวิจัยจึงแบ่งกันได้หลายแบบเพราะขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่งดังกล่าว เช่น 1) แบ่งตาม จุดมุ่งหมายของการวิจัย 2) แบ่งตามประโยชน์ของการวิจัย 3) แบ่งตามวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล 4) แบ่งตาม ลักษณะการวิเคราะห์ข้อมูล 5) แบ่งตามลักษณะวิชาหรือศาสตร์6) แบ่งตามเวลาที่ใช้ในการวิจัย 7) แบ่งตาม ระเบียบวิธีวิจัย โดยการแบ่งประเภทการวิจัยดังกล่าวนั้นอยู่ภายใต้ระเบียบวิธีวิจัยในลักษณะ การวิจัยเชิง ปริมาณ การวิจัยเชิงคุณภาพ และการวิจัยเชิงผสานวิธี คำถามท้ายบทที่ 4 1. ให้นิสิตอธิบายการแบ่งประเภทของการวิจัยตามจุดมุ่งหมายของการวิจัยมาให้เข้าใจ 2. จงวิเคราะห์การแบ่งประเภทของการวิจัยตามประโยชน์ของการวิจัยมาให้เข้าใจ 3. จงวิเคราะห์การแบ่งประเภทของการวิจัยแบ่งตามลักษณะวิชาหรือศาสตร์มีลักษณะอย่างไร 4. จงอธิบายการวิจัยเชิงปริมาณมาให้เข้าใจและยกตัวอย่างมา 1 ตัวอย่าง 5. จงอธิบายการวิจัยเชิงคุณภาพมาให้เข้าใจและยกตัวอย่างมา 1 ตัวอย่าง 6. จงอธิบายการวิจัยเชิงผสานวิธีมาให้เข้าใจและยกตัวอย่างมา 1 ตัวอย่าง


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 88 รายการอ้างอิง โกศล มีคุณ. )2551(. การวิจัยเชิงปริมาณที่เสริมด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพ. วารสารพัฒนาสังคม. 10(1),27-40. ดุจเดือน พันธุมนาวิน และอัมพร ม้าคะนอง( .2552). การฝึกอบรมจิตลักษณะและทักษะแบบบูรณาการที่มี ต่อพฤติกรรมการพัฒนานักเรียนของครูคณิตศาสตร์ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น. โครงการวิจัย แม่บท :การวิจัยและพัฒนาพฤติกรรมไทย สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์ .)2540( .ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์.กรุงเทพฯ :เจริญผล. บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์ .)2549(. สถิติเพื่อการวิจัย(.พิมพ์ครั้งที่ 4). กรุงเทพ ฯ : จามจุรีโปรดักท์. ผ่องพรรณ ตรัยมงคลกูล, สุภาพ ฉัตราภรณ์. )2549(. การออกแบบการวิจัย, พิมพ์ลักษณ์, กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. พระเทพเวที( ประยุทธ์ปยุตโต .)2534( .)มหาวิทยาลัยกับงานวิจัยทางพระพุทธศาสนา .พระนคร : เนติกุลการพิมพ์. พวงรัตน์ทวีรัตน์ .)2538( .วิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์.พิมพ์ครั้งที่ .6 กรุงเทพฯ :สำนักพิมพ์แห่งจุลงกรณ์มหาวิทยาลัย. วิจิตร ศรีสอ้าน และทองอินทร์วงศ์โสธร .)2550( .หน่วยที่ :8 แนวคิดเกี่ยวกับการวิจัยทางการบริหาร การศึกษา .ใน คณะกรรมการผลิตและบริหารชุดวิชาการวิจัยทางการบริหารการศึกษา( บก)., ประมวลสาระ ชุดวิชาการวิจัยทางการศึกษา .พิมพ์ครั้งที่ .6 นนทบุรี :มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. วีระยุทธ ชาตะกาญจน์ .)2557( .การวิจัยเพื่อพัฒนาการบริหารการศึกษา.กรุงเทพฯ :วี .พริ้นท์ . ศักดิ์ไทย สุรกิจบวร .)2549( .การวิจัยเพื่อพัฒนาการบริหารการศึกษา .สกลนคร :สำนักงานโครงการ บัณฑิตศึกษา สาขาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร. ศิริชัย กาญจนวาสี, ทวีวัฒน์ปิตยานนท์และดิเรก ศรีสุโข .)2540( .การเลือกใช้สถิติที่เหมาะสม สำหรับการ วิจัย .กรุงเทพฯ :พชรกานต์พับลิเคชั่น. สุชาติประสิทธิ์รัฐสินธุ์ .)2540( .ระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์.กรุงเทพฯ:เลียงเชียง. สุนีย์มัลลิกะมาลย์ .)2555( .วิทยาการวิจัยทางนิติศาสตร์.พิมพ์ครั้งที่ .9 กรุงเทพฯ :สำนักพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. อเนก พ .อนุกูลบุตร .)2556( .วิจัยเชิงคุณภาพ Qualitative Research .กรุงเทพฯ :ก .พล . อุทุมพร จามรมาน .)2550( .หน่วยที่ :1 การวิจัยทางการศึกษา .ใน คณะกรรมการผลิตและบริหารชุดวิชาการ วิจัยทางการบริหารการศึกษา( บก)., ประมวลสาระชุดวิชาการวิจัยทางการศึกษา .พิมพ์ครั้งที่ .6 นนทบุรี :มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. Best J.W .& Kahn J.V( .2006 .)Research in Education .10thEd .Boston :Pearson Education . Easterby-Smith M .Thorpe R .& Lowe A( .1991 .)Management .Research :An Introduction. London :Sage.


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 89 Fraenkel J.R .& Wallen N.E( .2006 .)How to Design and Evaluate Research in Education . 6 th ed .New York :McGraw-hill. Haller, Emil J . and Knapp, Thomas R( . 1985, Summer . )Problems and methodology education administration. Education Administration Quarterly, 21. Hoy W.K .& Miskel C.G( .2008 .)Educational Administration :Theory Research and Practice. 8 th ed .Boston :McGraw-Hill. Hussey J.& Hussey R( .1997 .)Business Research. London :Macmillan Business. Kerlinger F .N .& Lee H .B( .2000 .)Foundations of Behavioral Research . 4 th ed .New York : Thomson Learning. Wiersma W( .1991 .)Research Methods in Education :An Introduction .5 th ed .Boston :Allyn and Bacon.


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 90 แผนการสอนประจำบทที่ 5 การออกแบบการวิจัยเพื่อการเรียนรู้ รายวิชา วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หัวข้อย่อย 5.1 การออกแบบการวิจัยกึ่งทดลอง 5.2 การออกแบบการวิจัยเชิงทดลอง 5.3 การควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน 5.4 ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเที่ยงตรงของการทดลอง 5.5 ข้อบกพร่องของการวิจัยเชิงทดลอง 5.6 ประโยชน์ของการวิจัยเชิงทดลอง 5.7 เกณฑ์สำหรับงานวิจัยเชิงทดลองที่ดี 5.8 สรุป สรุปแนวคิดที่สำคัญ กระบวนการวิจัยมีชนิดของการวิจัยที่แบ่งตามจุดมุ่งหมายของการวิจัย โดยมีกระบวนการที่เข้าไป ออกแบบการวิจัยเพื่อใช้เป็นเครื่องมือ หรือใช้เป็นกระบวนการที่จะมาได้มาซึ่งองค์ความรู้นั้น การออกแบบการ วิจัยจึงเป็นแนวทางที่เหมาะสมและสอดคล้องกับลักษณะเฉพาะของชนิดของการวิจัยนั้น ๆ ในการออกแบบ การวิจัย จึงมีการออกแบบการวิจัยกึ่งทดลอง การออกแบบการวิจัยเชิงทดลอง ซึ่งมีลักษณะเด่นของการวิจัย ด้วยวิธีการดังกล่าว กล่าวคือมีทั้งประโยชน์ ข้อบกพร่อง เกณฑ์เกณฑ์สำหรับงานวิจัยเชิงทดลองที่ดีแต่ทั้งหมด สะท้อนให้เห็นว่าเป้าหมายเพื่อการแสวงหาความรู้ให้กับผู้คน เพื่อที่จะได้นำความรู้เหล่านั้นไปเป็นกลไก แสวงหาความรู้ และใช้ความรู้เหล่านั้นไปเป็นเครื่องมือในการสร้างองค์ความรู้ และนำไปสู่การพัฒนาในองค์ รวม วัตถุประสงค์ 1.เพื่อศึกษากระบวนการออกแบบวิจัยกึ่งทดลอง การวิจัยเชิงทดลอง 2.เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความเที่ยงตรงของการทดลอง 3. เพื่อศึกษาข้อบกพร่อง ประโยชน์และเกณฑ์สำหรับงานวิจัยเชิงทดลองที่ดี กิจกรรมระหว่างเรียน 1.การบรรยายในชั้นเรียน 2.ผู้สอนผู้บรรยาย บรรยายตามกรอบของการบรรยาย


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 91 สื่อการสอน 1.เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 2. เอกสารประกอบการสอน 3. สื่อ Power Point สื่ออื่น เช่น Flip Chart การประเมินผล 1.ประเมินผลความสนใจของผู้ศึกษาขณะเรียน 2.การชักถาม ถามตอบ ของผู้เรียนขณะเรียน 3.การประเมินระหว่างเรียน การประเมินกลางภาค และการสอบประเมินปลายภาค


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 92 บทที่ 5 การออกแบบการวิจัยเพื่อการเรียนรู้ (Research Design) ในการปฏิบัติงานใด ๆ ให้บรรลุความสำเร็จตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ได้อย่างมี ประสิทธิภาพนั้น ใน การด าเนินการจ าเป็นจะต้องมี “การวางแผน”ไว้ล่วงหน้าว่า การปฏิบัติ งานนั้น ๆ มีความมุ่งหมายอะไร จะด าเนินการอย่างไร มีบุคคลใดบ้างที่เกี่ยวข้อง จะใช้ วัสดุอุปกรณ์อะไร และใช้งบประมาณด าเนินการเท่าไรจาก แหล่งงบประมาณใด เป็นต้น และในกรณีของการวิจัยก็เช่นเดียวกันที่จ าเป็นจะต้องมีการด าเนินการใน ลักษณะเช่นเดียวกัน ที่เรียกว่า “การออกแบบการวิจัย” เพื่อให้การวิจัยนั้น ๆ สามารถที่ด าเนินการในการ แสวงหา ข้อมูล/สารสนเทศอย่างเป็นระบบ เพื่อน ามาใช้ตอบปัญหาในการวิจัยได้อย่างถูกต้อง ชัดเจน และมี ประสิทธิภาพต่อไป 5.1 การออกแบบการวิจัยกึ่งทดลอง การวิจัยกึ่งทดลองถูกพัฒนามาเพื่อเป็นแนวทางในการเลือกตรวจสอบความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่าง โปรแกรมสุขศึกษาที่ถูกจัดขึ้นให้กับผู้เข้าร่วมกิจกรรมที่ เรียกว่าตัวแปรอิสระ กับตัวแปรตามซึ่งหมายถึงผลของ การ กระทำที่เกิดขึ้นกับผู้เข้าร่วมกิจกรรม เช่น การเปลี่ยนแปลงความรู้ ทัศนคติ หรือพฤติกรรม (Gasparrini, & Bernal, 2015) วิธีการเช่นนี้สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินการโครงการสร้างเสริมสุขภาพในชุมชนที่ ดำเนินการ กับกลุ่มตัวในชุมชนที่เป็นกลุ่มตัวอย่างตามสภาพธรรมชาติ แต่ในอดีตที่ผ่านมานักสาธารณสุขยัง ขาดทักษะขาดการ ออกแบบโครงการสร้างสุขภาพให้เหมาะสมกับการพัฒนาสู่การวิจัยได้ ทำให้โครงการต่าง ๆ มากมายจึงถูก มองข้ามไปไม่สามารถนำผลการทดลองมาเผยแพร่ในรูปแบบการวิจัยได้หากมีผู้จัดโครงการ สร้างเสริมสุขภาพ ออกแบบกิจกรรม (Intervention) ในรูปแบบการวิจัยกึ่งทดลองก็จะทำให้เพิ่มประสิทธิภาพ ของโครงการมากขึ้น จนสามารถพัฒนาไปสู่การสรุปผลเป็นงานวิจัยที่มีคุณภาพ และสามารถเผยแพร่เป็น ผลงานวิชาการสู่สาธารณะได้ เช่นกัน (Dinardo, 2010) 5.1.1 ความหมายของการวิจัยกึ่งทดลอง การวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Designs) เป็นการวิจัยลักษณะหนึ่งที่คล้ายกับรูปแบบการ ทดลอง แต่มีหลักการสำคัญคือ การวิจัยรูปแบบนี้ไม่เน้นการมีกลุ่มควบคุม จะมุ่งเน้นกิจกรรมเชิงปฏิบัติการ (Intervention Activities) ที่คาดว่ามีผลต่อการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมที่สังเกต (อรพินทร์ ชูชม, 2552) การ คัดเลือกตัวอย่างเข้ากลุ่มเพื่อการทดลองจะไม่สนใจในโอกาสของความน่าจะเป็น ซึ่งจะนำเอาใครที่ไหนอย่างไร ก็ได้ (Non-Randomized) มาเข้าร่วมกิจกรรมในการทดลอง และในการทดลองนี้จะไม่สามารถควบคุมปัจจัย ภายนอก ต่าง ๆ ที่คาดว่าจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมที่สนใจนั้นได้ครบทุกปัจจัย (DeRue, 2012)


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 93 การวิจัยกึ่งทดลองเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ที่ใช้ในการศึกษาในห้องทดลอง หรือในภาคสนามหรือสถานการณ์ ในชีวิตจริง ที่มีการจัดการกระทำกับตัวแปรอิสระ แต่ไม่สามารถทำการสุ่มตัวอย่างเข้ากลุ่มได้ โดยกลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ อาจจะเป็นกลุ่มตัวอย่างที่มีอยู่แล้ว ตามสภาพธรรมชาติเช่นนักเรียน ห้องเรียน มีลักษณะคล้ายคลึงกับ การวิจัยเชิงทดลอง แต่การวิจัยจึงทดลองไม่มีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างเข้ากลุ่ม สามารถสรุปการวิจัยกึ่งทดลองได้ ดังต่อไปนี้ 1.มักใช้กลุ่มตัวอย่างที่มีอยู่ตามสภาพจริงตามธรรมชาติ ซึ่งบางครั้งก็ไม่มีกลุ่มควบคุม 2.มีการจัดกระทำกับตัวแปรทดลองหรือตัวแปรอิสระ ซึ่งเป็นตัวแปรที่เกิดขึ้น เพื่อจะทำการทดลองว่า เป็นสาเหตุหรือไม่ ในกลุ่มทดลองโดยการจัดกระทำกับตัวแปรอิสระ อาจกระทำโดยนักวิจัยคนอื่นๆ การวิจัยกึ่ง ทดลองบางแบบ อาจไม่มีกลุ่มควบคุมแต่ใช้การวัดตัวแปรตามก่อน 3.มีการควบคุมสถานการณ์ที่มากระทบต่อผล ที่เกิดจากการทดลองและตัวแปร ที่ไม่ต้องการศึกษา เพื่อให้เกิดผลสูงสุด อันเนื่องมาจากตัวแปรทดลอง จึงมีการควบคุมอิทธิพลของตัวแปรเกิน หรือสถานการณ์ เงื่อนไขต่างๆ ที่ไม่ต้องการศึกษาและอาจจะมีผลต่อการทดลอง ซึ่งทำให้ผลการทดลองผิดพลาดหรือผิดเพี้ยน ไป ดังนั้นเพื่อให้ผลการทดลองถูกต้อง ตรงกับความเป็นจริง ต้องมีการควบคุมสถานการณ์ ที่มา กระทบกระเทือนต่อการวิจัย 4.พัฒนาขึ้นมาเพื่อให้มีความสมดุล ทั้งความเที่ยงตรงภายในและภายนอก คือผลของการแปรเปลี่ยน ในตัวแปรตาม เนื่องมาจากตัวแปรอิสระที่ต้องการศึกษาโดยพยายามขจัดอิทธิพลของตัวแปรเกิน ที่ส่งผลต่อตัว แปรตามให้หมดไป 5.มุ่งเน้นสร้างสถานการณ์ขึ้นแล้ว สังเกตผลที่ตามมา มุ่งทดสอบสมมุติฐานควบคุมตัวแปรเกินแล้ว ปล่อยให้ตัวแปรอิสระ ส่งผลต่อตัวแปรตามและวัดผลตัวแปรตาม 5.1.2 รูปแบบการวิจัยกึ่งทดลอง จากการศึกษาเอกสารเกี่ยวกับรูปแบบการวิจัยกึ่งทดลองมีหลายแบบซึ่งพอสรุปรูปแบบที่สำคัญดัง รูปแบบ ต่อไปนี้(อรพินทร์ ชูชม, 2552; Schaw, 2012) 1. แบบ Nonequivalent Control Groups เป็น รูปแบบที่ใช้กลุ่มควบคุมที่มีความคล้ายคลึงกับกลุ่ม ทดลองแต่ไม่มีการสุ่มตัวอย่าง 2. แบบ Time –Series Design เป็นรูปแบบที่ใช้ศึกษากระบวนการที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาต่าง ๆ ภายในกลุ่ม ทดลอง 3. แบบ Case Studies เป็นรูปแบบที่ใช้กลุ่มตัวอย่างที่ไม่ได้รับการสุ่มและไม่มีกลุ่มควบคุมจะใช้ศึกษาใน สถานการณ์ที่ ต้องการข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจเฉพาะกลุ่มหรือรายบุคคล ปัจจัยที่มีผลต่อความเที่ยงตรงภายในการวิจัยกึ่งทดลอง 1.เหตุแทรกซ้อนคือ มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นในอนาคตแล้วมีผลต่อตัวแปรตาม 2.วุฒิภาวะมีการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจร่างกาย ของกลุ่มตัวอย่าง 3.การทดลองจะได้คะแนนสูงขึ้น ในการทดสอบภายหลังการทดลอง


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 94 4.เครื่องมือการวิจัย เครื่องมือการวิจัยมีความเที่ยงตรง มีมาตรฐาน 5.อคติในการเลือกกลุ่มตัวอย่าง มักเกิดจากการเลือกกลุ่มตัวอย่าง โดยอคติของผู้วิจัย 6.การสูญหายของกลุ่มประชากร ระหว่างการทดลองมักเกิดขึ้นในการทดลองที่ใช้เวลายาวนาน ขั้นตอนการวิจัยกึ่งทดลอง 1.กำหนดปัญหาและบ่งชี้ปัญหาการวิจัยให้ชัดเจน 2.การตั้งสมมุติฐานในการวิจัย เพื่อเป็นการหาคำตอบที่ผู้วิจัยคาดหวัง จะได้รับจากการวิจัยกึ่งทดลอง 3.การออกแบบการวิจัย ต้องมีการกำหนดประชากรกลุ่มตัวอย่าง การจัดกลุ่มตัวแปรเข้ากลุ่มทดลอง และกลุ่มเปรียบเทียบ มีการควบคุมตัวแปรต่างๆ 4.การเลือกเครื่องมือในการวิจัย การศึกษาการนำร่อง เพื่อความเป็นไปได้ในการทดลอง การวางแผน การดำเนินงาน 5.ดำเนินการตามแผนที่กำหนดไว้ 6.จัดเรียงข้อมูล 7.วิเคราะห์ผลการทดลอง 8.สรุปผลการทดลองและเขียนรายงาน 5.1.3 ประโยชน์ของการวิจัยแบบกึ่งทดลอง 1.หากในกรณีไม่สามารถควบคุมสภาพการณ์ทดลองได้ อย่างเคร่งครัด สามารถใช้รูปแบบการวิจัย แบบกึ่งทดลองได้ 2.หากในกรณีที่ไม่สามารถสุ่มกลุ่มตัวอย่าง จากประชากรได้ เนื่องจากข้อจำกัด สามารถใช้รูปแบบการ วิจัยแบบ กึ่งทดลองได้ 3.ผลการทดลองสามารถแสดงถึง ความสัมพันธ์ที่เป็นเหตุเป็นผลกันได้ใน 4.สามารถใช้ทดสอบทฤษฎี เพื่อยืนยันว่าทฤษฎีนั้นยังมีความถูกต้อง ทันสมัย ข้อดีของการวิจัยกึ่งทดลอง 1.เป็นทางเลือกในการตรวจสอบ ความสัมพันธ์เชิงเหตุผลในสถานการณ์ ที่ไม่เอื้ออำนวยที่จะทำการ ควบคุมการทดลองได้ อย่างสมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะการวิจัยเชิงพฤติกรรมของมนุษย์ 2.สามารถที่จะนำมาใช้ในเชิงปฏิบัติ และสามารถอ้างอิงผลและนำไปใช้ในสถานการณ์จริงได้ 3.เหมาะที่จะใช้กรณีที่ผู้วิจัย ไม่สามารถทำการสุ่มกลุ่มตัวอย่างเข้ากลุ่มทดลองได้ โดยเฉพาะการวิจัย ภาคสนาม ดังนั้นใครก็ตามที่กำลังมองหาทีมงานมืออาชีพ ที่พร้อมให้คำปรึกษา คำแนะนำและให้ความช่วยเหลือ พร้อมรับทำวิจัยวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research)ที่มีคุณภาพ บนพื้นฐานของราคาที่ยุติธรรม


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 95 5.2 การออกแบบการวิจัยเชิงทดลอง การวิจัยเชิงทดลอง คือ การววิจัยที่ใช้ตัวแปรอิสระอย่างน้อย 1 ตัว ซึ่งถูกเรียกว่าตัวแปรทดลอง และ ตัวแปรทดลองนี้ จะถูกกระทำอย่างรอบคอบโดยผู้วิจัย เพื่อศึกษาผลที่ได้จากตัวแปร การวิจัยเชิงทดลอง เป็น กระบวนการค้นหาความรู้ความจริงโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์แบบหนึ่ง ซึ่งศึกษาความเปลี่ยนแปลงของตัว แปรในการทดลองที่เกิดขึ้น ภายใต้เงื่อนไขหรือสถานการณ์ ที่ได้รับการควบคุมอย่างรัดกุม เพื่อศึกษาเงื่อนไข หรือสถานการณ์ ที่จัดขึ้นนั้นเป็นสาเหตุที่แท้จริงหรือปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนแปลงนั้นหรือไม่ โดยผู้วิจัยจะใช้ วิธีการสังเกตเปรียบเทียบความแตกต่างของตัวแปรที่เปลี่ยนแปลงไประหว่างปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสภาพ ปกติกับที่เกิดขึ้นในสภาพที่ได้รับการควบคุมตามเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่เป็นความจริงต่าง ๆ สามารถนําไปใช้ในการอธิบาย ทํานายและควบคุมได้ ในบรรดาประเภทของการวิจัยทั้งหมด การวิจัยเชิง ทดลองเป็นการวิจัยที่มีความสําคัญมาก คือ เป็นการวิจัยประเภทเดียวที่พยายามศึกษาผลกระทบของตัวแปร และเป็นประเภทเดียวที่มีการทดสอบ สมมติฐานเกี่ยวกับความสัมพันธ์เชิงสาเหตุและผลในการศึกษาทดลอง ผู้วิจัยจะมองเห็นผลของตัวแปรอิสระ เพียงตัวแปรเดียวที่สงผลต่อตัวแปรเพียง 1 ตัว หรือมากกว่า ตัวแปร อิสระในการวิจัยเชิงทดลองจะต้อง พาดพิงถึงบ่อยๆ ในฐานะที่เป็นตัวแปรทดลอง )Experimental variable) หรือ ตัวแปรจัดกระทํา )Treatment variable) สําหรับตัวแปรตามนั้นเรียกว่า ตัวแปรเกณฑ์ )Criterion variable) หรือตัวแปร ผลลัพธ์ )Outcome variable) จะนําเสนอผล )results)หรือผลลัพธ์ )Outcome) ที่ได้ จากการศึกษา การวิจัยเชงทดลองเป็นการศึกษาจากสาเหตุไปหาผล คือต้องการจะทราบว่าตัวแปรที่ศึกษานั้น เป็น สาเหตุที่ทําให้เกิดผลเช่นนั้นจริงหรือไม่ เช่น ถ้าเกิด X แล้วจะต้องเกิด Y หรือไม่ )If X the Y) ดังนั้นถ้าจะ กล่าวให้เห็นชัดขึ้นก็อาจกล่าวได้ว่า การวิจัยเชิงทดลองเป็นการวิจัยเพื่อหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลของปรากฏ การณ์ต่าง ๆ และถือกันว่าเป็นการวิจัยที่ให้ความเชื่อถือในผลการวิจัยที่ดีที่สุด ต่อไปนี้จะขอกล่าวถึงประเด็น สําคัญ ๆ ของการวิจัยเชิงทดลอง ความมุ่งหมายทั่วไปของการวิจัยเชิงทดลอง การวิจัยเชิงทดลองมีความมุ่งหมายที่สําคัญดังนี้ 1.1 เพื่อค้นหาข้อเท็จจริงของสาเหตุที่ทําให้เกิดผล 1.2 เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสาเหตุและผลของปรากฏการณ์ต่าง ๆ p1.3 เพื่อนําผลการวิจัยไปสร้างเป็นกฏเกณฑ์สูตร ทฤษฎี 1.4 เพื่อวิเคราะห์หรือค้นหาข้อบกพร่องของงานต่าง ๆ เพื่อนําไปปรับปรุงแก้ไขหรือพัฒนาให้ มี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น 1.5 เพื่อนําผลการทดลองไปใช้ กลุ่มตัวอยางที่ใช้ในการวิจัยเชิงทดลอง ในการวิจัยเชิงทดลองมักจะมีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย 2 ประเภท 2 ประเภทคือ 2.1 กลุ่มทดลอง )Experimental group) หมายถึง กลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการจัดกระทำในการทดลอง นิยมใช้สัญลักษณ์ E


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 96 2.2 กลุ่มควบคุม )Control group) หมายถึง กลุ่มตัวอย่างที่ผู้วิจัยจัดให้ มีลักษณะเหมือนกลุ่มทดลอง แต่ไม่ได้รับการจัดกระทำคงปล่อยให้เป็นไปตามสภาพธรรมชาติ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการเปรียบเทียบกลุ่ม ทดลองนิยมใช้สัญลักษณ์ C 3. ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยเชิงทดลอง เพื่อให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับการวิจัยเชงทดลองยิ่งขึ้น จึงขอกล่าวถึงตัวแปรสำคัญในการวิจัยเชิง ทดลอง ซึ่งมี 4 ชนิดดังนี้ 3.1 ตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระ )Independent variable) เป็นตัวแปรที่ผู้วิจัยกําหนดขึ้นเพื่อที่จะ ทําการทดลองว่าเป็น “สาเหตุ” หรือไม่ ตัวแปรอิสระนี้บางทีเรียกว่า ตัวแปรการทดลอง )Experimental variable) หรือตัวแปรจัดกระทำ นิยมใช้สัญลักษณ์ X 3.2 ตัวแปรตาม )Dependent variable) เป็นตัวแปรที่ต้องการทราบว่าเป็น “ผล” ที่เกิดจาก “สาเหตุ” หรือไม่นิยมใช้สัญลกษณ์Y 3.3 ตัวแปรเชื่อมโยง )Intervening variable) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตัวแปรสอดแทรก เกิดขึ้น จากกระบวนการทางจิตวิทยาระหว่าง ดําเนินการทดลอง จึงไมสามารถควบคุมตัวแปรชนิดนี้ได้ และมีผล ต่อ พฤติกรรมที่แสดงออกมาด้วย จากการที่ตัวแปรนี้เกิดขึ้นระหว่างตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม จึงอาจ เรียกว่า ตัวแปรภายใน ก็ได้เช่น ความโกรธ ความวิตกกังวล การปรับตัว การจูงใจ เป็นต้น 3.4 ตัวแปรแทรกซ้อน หรือตัวแปรภายนอก )Extraneous variable) เป็นตัวแปรที่เกิดขึ้นและ อาจมี อิทธิพลต่อผลการทดลองโดยที่ผู้วิจัยไม่ต้องการให้เกิดขึ้นหรือไม่ต้องการทราบ ตัวแปรชนิดนี้นักวิจัย สามารถ กําหนดวิธีการควบคุมได้จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตัวแปรควบคุม )Control variable) ตัวแปร แทรกซ้อนอาจ เกิดขึ้นได้จากแหล่งต่าง ๆ กัน ดังนี้ 1) จากกลุ่มตัวอย่างหรือกลมประชากร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้การทดลอง ทำให้เกิดตัวแปรแทรกซ้อนได้ มากมาย เช่น อายุความรู้พื้นฐาน ระดับการศึกษา เชื้อชาติบุคลิกภาพ สติปัญญา ความถนัด สภาพของ ครอบครัว ความสนใจ เจตคติเป็นต้น 2) จากวิธีดําเนินการทดลองและการทดสอบในการวิจัยเชงทดลอง ิ วิธีดําเนินการทดลองและ การ ทดสอบก็อาจมีตัวแปรแทรกซ้อนเกิดขึ้นด้วย เช่น ความผิดพลาดในวิธีดําเนินการ คุณภาพของเครื่องมือที่ ใช้ ทดสอบ เวลาที่ใช้ทดสอบความลําเอียง ความคลาดเคลื่อนของเวลาที่ใช้ในการทดลอง 3) จากแหล่งภายนอก สิ่งแวดล้อมก็มีส่วนทําให้เกิดตัวแปรแทรกซ้อนในการวิจัยเชิงทดลอง ได้ เหมือนกัน เช่นบรรยากาศขณะทดลอง เสียงรบกวน สถานที่ไม่เหมาะสม ฯลฯ แต่ตัวแปรแทรกซ้อนเหล่านี้ ผู้วิจัยสามารถควบคุมได้


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 97 5.3 การควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน ได้กล่าวมาแล้วว่า ในการวิจัยเชิงทดลองนั้นยอมมีตัวแปรแทรกซ้อนเกิดขึ้นเสมอ ซึ่งผู้วิจัยจะต้อง ควบคุมตัวแปรชนิดนี้ให้หมดไป เพื่อจะได้ทราบว่าตัวแปรตามเป็นผลมาจากตัวแปรอิสระอย่างแท้จริง การ ควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนนิยมใช้หลักการควบคุม ที่เรียกว่า Max-Min-Con Principle ดังต่อไปนี้ เพื่อความแปรปรวนที่เป็นระบบให้มากที่สุด )Maximized systematic variance) เป็นการ ควบคุม ตัวแปรแทรกซ้อนโดยการเพิ่มความแปรปรวนระหว่างกลุ่ม หรือความแปรปรวนเนื่องมาจากการ ทดลองให้ สูงสุด ซึ่งทําได้โดยการกําหนดวิธีการทดลองให้กับกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมให้แตกต่างและเป็น อิสระซึ่งกัน กันและ ตลอดจนควบคุมเวลาและสภาวะของการทดลองให้เหมาะสม เพื่อให้สามารถจัดกระทํากับ ตัวแปร อิสระให้ส่งผลต่อตัวแปรตามมากที่สุด ลดความแปรปรวนของความคลาดเคลื่อน )Minimized error variance) เป็นการควบคุมตัว แปร แทรกซ้อนโดยการทําให้ค่าความแปรปรวนของความคลาดเคลื่อนมีค่าน้อยที่สุดหรือเป็นศูนย์ซึ่ง ความคลาด เคลื่อน )Error) แบ่งได้เป็น 2 ชนิดดังนี้ 1) ความคลาดเคลื่อนอย่างมีระบบ )Systematic error) เป็นความคลาดเคลื่อนที่มีผลต่อ กลุ่มม ตัวอย่างทั้งกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน เช่น ความบกพร่องของเครื่องมือวัด การจับเวลาทดสอบผิดพลาด เป็นต้น ซึ่งผู้วิจัยสามารถแก้ไขความคลาดเคลื่อนนี้ได้กล่าวคือ ถ้าทราบว่าเครื่องมือวัดมีความบกพร่องก็แก้ความ คลาดเคลื่อนได้โดยการสร้างเครื่องมือวัดให้มีความเที่ยงตรงและความเชื่อมั่นสูง ตลอดจนให้มีความเป็น ปรนัย และมีประสิทธิภาพสูงด้วย 2) ความคลาดเคลื่อนอย่างสุ่ม )Random error) เป็นความคลาดเคลื่อนที่เกิดกับกลุ่ม ตัวอย่าง บางส่วน ทําให้เกิดความไม่เท่ากันของโอกาสในการเกิดขึ้นของตัวแปรแทรกซ้อน เช่น ความเหนื่อย ความ ประมาทเลินเล่อ การเดาของผู้ถูกทดลอง ความสนใจ อารมณ์สุขภาพร่างกาย ฯลฯ ความคลาดเคลื่อน ชนิดนี้ สามารถแก้ไขโดยใช้กฎการแจกแจงปกติ )Normal distribution law) คํานวณหาค่าสถิติเพื่อจัด กระทํากับ ความคลาดเคลื่อนนี้ 4.3 ควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนที่ส่งผลอยางมีระบบ )Control extraneous systematic variance) เป็นการควบคุมหรือขจัดให้ตัวแปรอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทดลองออกให้หมด เพื่อให้ตัวแปร ตามที่เกิดขึ้น เป็นผลมาจากตัวแปรอิสระเท่านั้น มีวิธีการทําดังนี้ 1) การสุ่ม )Randomization) วิธีนี้ถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดเป็นการกระทําให้กลุ่มตัวอย่างที่ สุ่มออกมา จากกลุ่มประชากรมีคุณสมบัติด้านต่าง ๆ พอ ๆ กัน จึงสามารถควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้เป็น อย่างไรการสุ่ม ในการวิจัยเชิงทดลองมี 2 แบบ คือ - การสุ่มแบบกําหนด )Random Assignment) หมายถึง ทุกๆ คนที่เป็น กลุ่มตัวอย่าง จะมีความเท่าเทียมกันและแต่ละคนจะถูกสุ่มให้ได้รับเงื่อนไขการทดลองหรือการควบคุม - การ สุ่มแบบเลือกสรร )Random Selection) หมายถึง ทุกๆ สมาชิกของประชากรที่มี ความเท่าเทียมกันจะถูก เลือกให้เข้ามาเป็นสมาชิกในกลุ่มตัวอย่าง


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 98 2) การเพิ่มตัวแปร )Add to the design) ในกรณีที่ตัวแปรแทรกซ้อนบางตัวควบคุมได้ยากก็ให้เอา ตัวแปรนั้นเพิ่มเข้าไปโดยถือว่าเป็นตัวแปรอิสระที่จะต้องศึกษาด้วย 3) การจับคู่ )Matching) เป็นการใช้กลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่มีคุณสมบัติเหมือนกัน คือ ให้มีลักษณะของ ตัวแปรแทรกซ้อนในระดับที่เท่า ๆ กัน การจับคู่มี2 แบบคือ - จับกลุ่ม )Matched group) เป็นการจัดให้ทั้ง 2 กลุ่มมีคุณสมบัติเหมือนกัน โดยมิได้คํานึงถึงว่าสมาชิกในกลุ่มจะเท่ากันเป็นรายบุคคลหรือไม่ ซึ่งทำได้ โดยการ สุ่มกลุ่มตัวอย่างแต่ละกลุ่มแล้วนําทั้ง 2 กลุ่ม หรือหลาย ๆ กลุ่มมาทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย )`X ) และ ความแปรปรวน )S2) ถ้าพบว่า แตกต่างกันก็ต้องจัดกลุ่มใหม่เพื่อได้กลุ่มตัวอย่างที่มีค่าเฉลี่ยที่ไม่แตกต่างกัน - จับคู่รายบุคคล )Matched subjects) เป็นการจัดให้บุคคลที่มีความเหมือนกันหรือเท่า เทียมกันมาจับคู่กัน แล้วแยกออกเป็นคนละกลุ่ม ทําเช่นนี้จนได้ครบตามจํานวนที่ต้องการ ก็จะได้กลุ่ม ตัวอย่าง 2 กลุ่มที่มี คุณสมบัติทุกด้านเหมือนกัน นํา 2 กลุ่มนี้มาทดสอบดูนัยสําคัญเชิงสถิติเพื่อดูความ แตกต่างของค่าเฉลี่ยและ ความแปรปรวนเช่นเดียวกับการจับกลุ่ม 4.4 การใช้สถิติ )Statistical control) เทคนิควิธีการทางสถิติที่สามารถนำมาควบคุม ตัวแปรแทรก ซ้อนได้ ก็คือ การวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วม )Analysis of covariance) จะสามารถปรับคุณสมบัติที่ แตกต่างกันของกลุ่มตัวอย่างได้ทําให้ผลที่ปรากฏเป็นผลจากการทดลองเท่านั้น 4.5 การตัดทิ้ง )Elimination) เป็นการขจัดตัวแปรที่คิดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทดลองออกไป เช่น ถ้าคิดว่าความสนใจเกี่ยวข้องกับการทดลองและจะไม่เอามาเป็นตัวแปรอิสระ จําเป็นจะต้องตัดตัวแปรนี้ ออกไปวิธีการก็คือ เลือกเอากลุ่มตัวอย่างที่มีความสนใจเหมือน ๆ กัน เป็นต้น 5.4 ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเที่ยงตรงของการทดลอง ตัวแปรแทรกซ้อน )Extraneous variables) เป็นตัวแปรที่เกิดขึ้นและอาจมีอิทธิพลต่อผลการวิจัย ทั้งๆที่เราไม่ต้องการทราบ หรืออยากให้เกิดขึ้นแต่อย่างใด ในการทําวิจัยโดยเฉพาะการทดลองมุ่งจะควบคุม ตัวแปรแทรกซ้อนให้หมด จึงใช้หลัก Max-Min-Con. Principle มาใช้ซึ่งมีหลักดังนี้ 1. พยายามเพิ่มความแปรปรวนของตัวแปรตามอันเนื่องมาจากตัวแปรอิสระให้มีค่ามากที่สุด )Maximize Systematic Variance) 2. พยายามลดความแปรปรวนของคลาดเคลื่อนต่าง ๆ ให้มีค่าน้อยที่สุด )Minimize Error Variance) หรือทําให้ 2 σe มีค่าเท่ากับศูนย์ 3. พยายามควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนที่ส่งผลอย่างมีระบบ )Control Extraneous Systematic Variance) เป็นการพยายามให้ตัวแปรตามเกิดขึ้นมาจากตัวแปรอิสระเท่านั้น 4. โดยใช้สถิติควบคุม )Statistic Control) เช่น การวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วม )Analysis of Covariance) 5. การออกแบบการทดลอง )Experiment Design) ด้วยความระมัดระวัง เพื่อให้ค่าความแปรปรวน ทั้งหมด ) 2 σt ) มีค่าสูงสุด และความแปรปรวนของความคลาดเคลื่อน ) 2 σe ) มีค่าต่ำสุดจนเป็นศูนย์


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 99 5.4.1 ความเที่ยงตรงมี 2 ประเภท คือ ความเที่ยงตรงภายใน)Internal validity) หมายถึง สภาพการณ์ซึ่งความแตกต่างของตัวแปรตาม เป็น ผลโดยตรงมาจากการจัดกระทําตัวแปรอิสระ มิใช่ตัวแปรอื่น ถ้าหากสามารถอธิบายได้ว่าผลของการ ทดลอง เป็นผลที่เกิดขึ้นเพราะตัวแปรอื่นไม่ใช่เกิดจากตัวแปรอิสระแล้ว การทดลองนั้นก็จะขาดความ เที่ยงตรง ระดับ ของผลที่เกิดจากการกระทําตัวแปรอิสระ ก็คือระดับของความเที่ยงตรงภายในของการวิจัย เชิงทดลอง Campbel + Stanley ได้ชี้ให้เห็นว่ามีปัจจัยที่สำคัญ 8 ประการที่ส่งผลต่อความเที่ยงตรงภายใน )Internal Validity) ซึ่งมีปัจจัยดังต่อไปนี้ 1. ประวัติของกลุ่มตัวอย่าง )History) หมายถึง เหตุการณ์ใดๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการทดสอบครั้งแรก กับการทดสอบครั้งหลัง )pretest and posttest) ซึ่งไม่ใช่ส่วนหนึ่งของการจัดกระทํา )treatment) ในการ ทดลอง แต่อาจจะมีผลต่อการปฏิบัติของตัวแปร 2. วุฒิภาวะ )Maturation) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงทางกายหรือทางจิตภายในตัวอย่าง ในช่วง ระยะเวลาที่ทดลองนั้น ตัวอย่าง อายุมากขึ้น มีความเหนื่อยล้ำ เกิดความกังวล ให้ความร่วมมือมากขึ้น เป็นต้น 3. การทดสอบ )Testing) หมายถึง การได้คะแนนสูงขึ้นในการสอบภายหลัง )posttest) ซึ่งเป็นผลมา จากการสอบก่อน )pretest) ของตัวอย่าง นั่นก็คือการสอบก่อนจะช่วยให้ได้คะแนนสูงขึ้นในการสอบ ภายหลัง ไม่ว่า จะได้รับการกระทําหรือไม่หรือได้รับการสอนเพิ่มเติมหรือไม่ ระหว่างการสอบทั้งสองนั้นก็ตาม ถ้าช่วง ห่างของเวลาสอบ ทั้งสองครั้งมระยะเวลาสั้นแล้ว แนวโน้ม จะเกิดเหตุการณ์ อย่างนี้ได้ง่ายขึ้น ถ้าหากการสอบ ก่อน )posttest) เป็นการวัดความจํา ศัพท์หรือการแก้สมการใน คณิตศาสตร์ 4. เครื่องมือที่ใช้)Instrumentation) หมายถึง การขาดความเชื่อมั่น)reliability) หรือขาดความคง เส้นคงวาของเครื่องมือในการวัด ซึ่งอาจเป็นผลมาจากความไม่เที่ยงตรงในการวัดหรือเครื่องมือ เสื่อมคุณภาพ เช่น ข้อสอบก่อน )pretest) และข้อสอบภายหลัง )posttest) มีความยากง่ายไม่เท่ากัน การวัดข้อมูลด้วยการ สงเกตเป็นไปอย่างไม่เป็นระบบ เป็นต้น 5. การถดถอยทางสถิติ)Statistical Regression) มักเกิดขึ้นจากการเลือกตัวอย่างที่มีคะแนนสูง มาก หรือต่ำมากในการสอบก่อนและมีแนวโน้มที่จะได้คะแนนที่เข้าใกล้ค่าเฉลี่ยในการสอบภายหลังซึ่ง เป็นแนวโน้ม ที่เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ใช่เกิดจากอิทธิพลของตัวแปรอิสระ 6.ความแตกต่างในการเลือกตัวอย่าง )Differential Selection) มักเกิดจากการเลือกกลุ่มทดลองที่มี ความแตกต่างกันมากมาใช้ ทดลองหรือเลือกกลุ่มทดลองที่มีอยู่แล้ว เช่น การเลือกนักเรียนจากชั้น ที่มีอยู่แล้ว เมื่อผู้ทดลองมีความแตกต่างกันตั้งแต่ต้น ผลของการทดลองก็ย่อมแตกต่างกัน 7. การขาดหายของกลุ่มตัวอย่าง )Experimental mortality) มักเกิดขึ้นในการทดลองที่กินระยะเวลา ยาวนานตัวอย่างอาจจะถูกตัดตอนไปหรือขาดหายไปจากการทดลอง โดยไม่สามารถร่วมในกลุ่ม ทดลองได้จน ครบกระบวนการ ถ้าตัวอย่างเป็นผู้อาสาสมัคร )volunteer) เมื่อไม่สามารถทนต่อ สภาพการทดลองหรือมี เวลาไมพอ ก็ออกไปจากกลุ่มทดลอง ตัวอย่างที่อยู่รวมในกลุ่มทดลองจน สิ้นสุดกระบวนการจึงอาจเป็นคนที่มี ความร่วมมือสูง มีแรงจูงใจสูง ซึ่งอาจไม่ใช่ตัวแทนที่ดีของประชากร


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 100 8. ปฏิสัมพันธ์ระหว่างการเลือกกับวุฒิภาวะและอื่น ๆ )Selection-maturation interaction ,Etc) หมายความว่า ในการเลือกกลุ่มตัวอย่างเพื่อทำการทดลอง เช่น เลือกจากกลุ่มที่เป็นกลุ่มหรือเป็นชั้นอยู่แล้ว กลุ่มหนึ่งอาจได้เปรียบอีกกลุ่มมหนึ่งจากการที่ได้รับการกระทําเหมือนกัน ทั้งนี้อาจเป็น เพราะวุฒิภาวะ ประวัติความเป็นมาหรือการทดสอบของตัวอย่าง แม้ว่าการทดสอบครั้งแรกคะแนน ของกลุ่มทั้งสองจะเท่ากัน 5.4.2 ความเที่ยงตรงภายนอก (External validity) หมายถึง สภาพการณ์ที่ผลของการทดลองนั้นสามารถ นําไปขยายความ สรุปอ้างอิงหรือนําไปใช้กับ กลุ่มอื่นหรือในสิ่งแวดล้อมอื่น นอกเหนือสภาวะของการทดลอง หรืออาจกล่าวอีกอย่างหนึ่งได้ว่า ผลของการ ซึ่งยืนยันสนับสนุนความสัมพันธ์ของเหตุและผลนั้น ๆ สามารถยืนยันได้อีกในกลุ่มอื่น ในสิ่งแวดล้อมอื่น ในเวลา อื่น ตราบเท่าที่เงื่อนไขในการศึกษานั้นยังคล้ายของเดิม ความเที่ยงตรงภายนอก External Validity มีอยู่ 3 ประเภทดังนี้ 1. ความเที่ยงตรงเชิงประชากร (Population Validity) หมายถึง สภาพการณ์ที่ผลของการทดลอง จากกลุ่มตัวอย่าง สามารถพาดพิงไปยังประชากรได้ 2. ความเที่ยงตรงเชิงสภาพแวดล้อม (Ecological Validity)หมายถึง สภาพการณ์ที่ผลของการ ทดลองจากสงแวดล้อม ที่ผู้วิจัยเป็นผู้กำหนด สามารถพาดพิงไปยังสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ได้ 3. ความเที่ยงตรงเชิงเวลา (Temporal Validity)หมายถึง สภาพการณ์ที่ผลของการทดลองที่ได้จาก เหตุการณ์ปัจจุบัน สามารถนําไปใช้พาดพิงช่วงเวลาอื่น ๆ ได้ Bracht, G. H., & Glass, G.V.(1968) ได้ระบุเงื่อนไขหรือปัจจัยที่มีผลต่อสิ่งแวดล้อมของการ ทดลอง Ecological Valid ไว้ประการ ดังนี้10 1.การบรรยายถึงวิธีการจัดการทดลอง( Description of the experimental treatment) (not sufficiently described for others to replicate) เกิดขึ้นเมื่อผู้วิจัยไม่ได้ทําการบรรยายถึงวิธีการศึกษา อย่างชัดเจนและเพียงพอ ซึ่งจะทําใหเป็นการยากที่จะนําผลการศึกษาที่ได้ไปประยุกต์ใช้กับ สิ่งแวดล้อมอื่น 2.ผลจากการกระทําหรือทดลองหลายๆครั้ง( Multiple-treatment interference) (catalyst effect) เกิดขึ้นเมื่อกลุ่มตัวอย่างเดียวกันได้รับการทดลองมากกว่า หนึ่งครั้งติดต่อกัน ผลจากการ ทดลองครั้งก่อนยัง อยู่ในตัวผู้ถูกทดลองและมีผลต่อการกระทําในการทดลองครั้งใหม่ ลักษณะ เช่นนี้ทําให้ยากต่อการวัดประสทธิ ภาพของการทดลองครั้งหลัง ผลจากการทดลองหลายๆครงั้อาจ เกิดได้จากการที่ตัวอย่างหนึ่งถกทดลองใน เรื่องหนึ่งแล้วและถูกเลือกให้ทดลองในเรื่องอื่นอีก ประสบการณ์จากการทดลองครั้งก่อนจะส่งผลต่อการ ทดลองครั้งหลัง ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน จึงทําให้ยากในการสรุปอย่างยิ่ง 3. ฮาวทอร์นเอ็ฟเฟค( Hawthorne effect) (attention causes differences) กลุ่มทดลองมีการ แสดงออกอย่างหลากหลาย เพราะกลุ่มทดลองรู้ว่ากําลังถูกศึกษาอยู่


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 101 4. ผลของความแปลกใหม่และความแตกต่าง( Novelty and disruption effect (anything different makes a difference) การจัดกระทําอาจได้ผลเพราะเป็นสิ่งที่แปลกใหม่และกลุ่มทดลองตอบสนอง ต่อการจัดกระทําแบบพิเศษมากกว่าการจัดกระทําที่เป็นอยู่เดิม 5.ผลจากผู้ทดลอง (Experimenter effect) (it only works with this experimenter) การจัด กระทําอาจได้ผลเนื่องจากผู้ทดลองดําเนินการไปตามแผนที่ตัวเองกําหนดไว้แต่อาจจะไม่ได้ผลเมื่อ ผู้อื่นเป็นผู้ ทดลองแทน 6. การกระตุ้นจากการสอบครั้งแรก (Pretest sensitization) (pretest sets the stage) เกิดขึ้น เมื่อ ตัวอย่างหรือกลุ่มทดลองตอบ ตอบสนอง หรือมีปฏิกิริยาต่อการจัดกระทํา(treatment) เพราะ กลุ่มทดลอง ได้รับการทดสอบก่อน การทดสอบก่อนอาจทําให้กลุ่มทดลองตื่นเต้น วิตกกังวล หรือ มีอาการในลักษณะอื่นที่ ทราบว่าตัวเองจะต้องถกกระทำ ผลจากการกระทําจึงอาจแตกต่างไปจาก ตัวอย่างที่ไม่เคยได้รับการทดสอบ ก่อนจะถูกกระทําหรือถูกทดลอง ดังนั้นผลของการศึกษาจงไม่มี อาจนําไปสรุปอางอิงถึงประชากรที่ไม่เคยได้รับ การสอบก่อนได้ 7. การกระตุ้นจากการสอบครั้งหลัง )Posttest sensitization) (posttest helps treatment “fall into place”( การสอบครั้งหลังทําให้เกิดประสบการณ์การเรียนรู้ อาจเป็นสาเหตุที่ทําให้เกิดองค์ ความรู้ ที่เป็นผลจากการจัดกระทําก็ได้ ดังนั้น หากกลุ่มตัวอย่างไม่ได้รับการสอบครั้งหลังการจัด กระทําอาจไม่เกิดผล ก็เป็นไปได้ 8. ปฏิสัมพันธ์ ของประวัติศาสตร์ และผลการจัดกระทํา ) Interaction history and treatment effect ( )…to everything there is a time…( นอกจาก การที่ผู้วิจัยจะคำนึงถึงการอ้างอิง ข้อมูล ที่ได้ไปสู่ประชากรแล้ว ผู้วิจัยยังต้องคำนึงถึงการอ้างอิงข้อมูลไปยังห้วงเวลาอื่น ๆ อีกด้วย เพราะเมื่อเวลาผ่าน ไปเงื่อนไขต่างๆ ของการจัดกระทําอาจจะเปลี่ยนแปลงไปด้วย 9. วิธีการวัดตัวแปรอิสระ )Measurement of the dependent variable) (maybe only works with M/C tests) ผลการจัดกระทําอาจจะเห็นได้ชัดจากการวัดบางวิธีเท่านั้น เช่น กระบวนการสอน อาจจะใชได้ผลดีเมื่อผู้เรียนถูกวัดด้วยการสอบเขียนความเรียง แต่อาจไม่ได้ผลเมื่อทําการวัดโดย แบบทดสอบ เลือกตอบ 10. ปฏิสัมพันธ์ ของเวลา การสอบ และผลของการจัดกระทํา )Interaction of time of measurement and treatment effects) (it takes a while for the treatment to kick in) ผลจากการ จัดกระทําอาจปรากฏภายหลังจากหยุดให้ treatment ไปแล้วหลายสัปดาห์ดังนั้น ใน สถานการณ์เช่นนี้การ สอบหลังเรียน)posttest) ทันทีหลังจากให้ treatment อาจไม่ปรากฏผลอะไร เลย แต่ถ้าไป posttest หลังจากนั้นอีก 1 เดือน อาจจะได้ผลลัพธ์ที่แท้จริงจากการจดกระทำ )treatment) 5.5 ข้อบกพร่องของการวิจัยเชิงทดลอง ในการวิจัยเชิงทดลองมักพบข้อบกพร่องที่สําคัญ ๆ ดังนี้


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 102 1. กลุ่มตัวอย่างส่งผลให้ การวิจัยคลาดเคลื่อน เช่น กลุ่มตัวอย่างแต่ละกลุ่มการทดลองมี คุณสมบัติหรือ ลักษณะแตกต่างกันมาก เช่น พื้นฐานทางวัฒนธรรม สติปัญญา เป็นต้น หรือไม่ได้รับการกระทํา (treatment) ที่เสมอกันหรือกลุ่มตัวอย่างถูกจดกระทำในเรื่องที่มีพื้นฐานนั้น ๆ อยู่แล้ว 2. ขาดการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนที่รัดกุมดังนั้นผลการทดลองจึงอาจไม่เป็นผลเนื่องจาก การทดลอง 3. แบบแผนการทดลองขาดความเที่ยงตรงทั้งภายในและภายนอก (Internal and External validity) เช่น • ไม่สามารถตรวจสอบสมมติฐานได้หมด • การเลือกกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นตัวแทนของมวลประชากร • เครื่องมือขาดความเชื่อมั่น ความเที่ยงตรง • ข้อมูลที่ได้ขาดความเชื่อมั่น ความเที่ยงตรง • ผลการทดลองไม่สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายในการทดลอง 4. การใชสถิติวิเคราะห์ไม่เหมาะสมกับงานวิจัย 5. การสรุปผลการทดลองมักจะขาดความเชื่อมั่น ความเที่ยงตรง เพราะการควบคุม การ วางแผนต่าง ๆ ไม่รัดกุม 5.6 ประโยชน์ ของการวิจัยเชิงทดลอง การวิจัยเชิงทดลองมีประโยชน์ดังนี้ 1. ทําให้ทราบถึงองค์ประกอบที่เป็นสาเหตุของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเด่นชัด 2. เป็นการวิจัยที่เหมาะกับวิชาที่เป็นศาสตร์บริสุทธิ์ เช่น วิทยาศาสตร์จิตวิทยา วิศวกรรมศาสตร์ เป็น ต้น 3. ผลที่ได้จากการวิจัยด้านการเรียนการสอนสามารถนํามาช่วยพัฒนาการศึกษาให้ดีขึ้น และทําให้ครู อาจารย์มีความรู้กว้างขวาง 4. ช่วยให้ทราบจุดอ่อนของการเรียนการสอน และสามารถแก้ไขได้ตรงจุด 5.7 เกณฑ์สำหรับงานวิจัยเชิงทดลองที่ดี ก่อนจะแนะนําลักษณะในแต่ละรูปละรูปแบบของการวิจัย มีเกณฑ์ทั่วไปบางเกณฑ์สําหรับรูปแบบการ วิจัย ที่ดี ซึ่งควรจะใช้พิจารณาเกณฑ์ต่างๆ จะเขียนไว้อย่างคร่าว ๆ ดังนี้ 1. จะต้องมีการควบคุมอย่างพอเพียง นั่นคือ ตัวแปรภายนอกอาจจะส่งผลต่อผลการทดลองได้ ถ้าผล ที่ได้รับจากการทดลองมผลกระทบจากตัวแปรภายนอก และสามารถตรวจสอบจนทราบว่าตัวแปร ภายนอกที่ ส่งผลนั้นคืออะไร ก็อาจจะใช้การควบคุมในหัวข้อ “การควบคุมตัวแปรภายนอก”


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 103 2. ผลที่ได้จากการทดลองจะต้องสามารถสรุปอ้างอิงไปยังประชากรได้ ซึ่งก็คือจะต้องมีความ เที่ยงตรง ภายนอกนั่นเอง ในการทดลองใดๆ จะต้องมีความเที่ยงตรงภายในก่อน เมื่อมีความเที่ยงตรง ภายในแล้ว ความ เที่ยงตรงภายนอกก็จะตามมา ซึ่งก็คือผลของการทดลองนั้นจะต้องสามารถสรุปอ้างอิงไป ยังมวลประชากรได้ 3. จะต้องมีวิธีการบางอย่างมาเป็นตัวเปรียบเทียบกลุ่มที่ได้รับการทดลองกับกลุ่มอื่นๆ ในการ ทดลอง บางอย่างจะเรียกว่า กลมควบคุม ซึ่งกลุ่มควบคุมก็คือกลุ่มที่ไม่ได้รับตัวแปรทดลอง เช่น การทดลอง ผลของ การใช้ยากับสัตว์ กลุ่มมควบคุม คือ กลุ่มสัตว์ที่ไม่ได้รับยา 4. ข้อมูลที่ได้จะต้องมีความเพียงพอในการทดสอบสมมติฐาน ข้อมูลจะต้องมีการเลือกใช้สถิติที่ ถูกต้องเหมาะสม และสามารถสรุปอ้างอิงและทดสอบสมมติฐานได้อย่างถูกต้อง 5. ข้อมูลที่ได้จะต้องสะท้อนผลที่ได้รับจากการทดลอง ดังนั้นข้อมูลที่ได้มาไม่ควรจะได้มาจากการ วัดที่ ผิดพลาด 6. อาจจะมีตัวแปรภายนอกอื่นๆ ที่มีผลกระทบกับตัวแปรตาม ดังนั้นผลที่ได้รับจากตัวแปร ทดลอง อาจผิดพลาดได้ ซึ่งตัวแปรภายนอกอื่นๆ นี้ควรจะต้องถูกแยกออกหรือถูกควบคุมโดยใช้แบบ แผนการวิจัย 7. งานวิจัยจะต้องเป็นตัวอย่างที่ดีในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของจุดมุ่งหมาย , วิธีการ , สมมติฐาน ฯลฯ ให้ผู้วิจัยอื่นๆ สามารถนําไปใช้อ้างอิงได้ 8. รูปแบบการวิจัยง่ายๆ มักถูกใช้มากกว่ารูปแบบการวิจัยที่ซับซ้อน ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่ารูปแบบการ วิจัยจะต้องซับซ้อนเพียงพอสำหรับวัตถุประสงค์ของการทดลอง แต่การเลือกใช้รูปแบบการวิจัยที่ซับซ้อน มากๆ บางครั้งก็ไม่เกิดประโยชน์ต่องานวิจัย 5.8 สรุป ในกระบวนการของการวิจัย การวิจัยเชิงทดลอง เป็นการวิจัยที่เน้นกระบวนการค้นหาความเป็นจริง ตามหลักการทฤษฎี องค์ความรู้และเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยมุ่งเน้นการศึกษาความเปลี่ยนแปลงของตัวแปร ที่ เกี่ยวข้องภายใต้เงื่อนไขที่มีการควบคุมโดยกระบวนการวิจัย เพื่อศึกษาพฤติกรรมหรือสถานการณ์ว่า เป็น สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงนั้นหรือไม่ โดยวิธีการเปรียบเทียบของความแตกต่าง ของตัวแปรที่เปลี่ยนไปกับ พฤติกรรมที่เกิดขึ้น ในสภาพที่ถูกควบคุมและทำการสรุปผลความจริงที่ค้นพบ และนำไปอธิบายพฤติกรรม ต่างๆในเชิงเหตุผลได้ ดังนั้นจึงเป็นการวิจัยจากสาเหตุไปหาผลว่า ตัวแปรที่เกี่ยวข้องนั้นเป็นสาเหตุทำให้ เกิดผลหรือไม่ และได้ยอมรับว่าเป็นการวิจัย ที่ให้ผลได้น่าเชื่อถือมากที่สุด โดยเฉพาะหากนำมาใช้กับการวิจัย ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สามารถนำมาพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ ได้เป็นอย่างดี คำถามท้ายบทที่ 5 1. ให้นิสิตอธิบายการออกแบบการวิจัยกึ่งทดลองตามจุดมุ่งหมายของการวิจัยมาให้เข้าใจ 2. จงอธิบายการออกแบบการวิจัยเชิงทดลองมาให้เข้าใจ


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 104 3. จงอธิบายการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเที่ยงตรงของการทดลอง 4. จงอธิบายข้อบกพร่องของการวิจัยเชิงทดลอง 5. จงอธิบายประโยชน์ของการวิจัยเชิงทดลอง 6. จงอธิบายเกณฑ์สำหรับงานวิจัยที่ดี รายการอ้างอิง โกศล มีคุณ. )2551(. การวิจัยเชิงปริมาณที่เสริมด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพ. วารสารพัฒนาสังคม. 10(1),27-40. ดุจเดือน พันธุมนาวิน และอัมพร ม้าคะนอง( .2552). การฝึกอบรมจิตลักษณะและทักษะแบบบูรณาการที่มี ต่อพฤติกรรมการพัฒนานักเรียนของครูคณิตศาสตร์ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น. โครงการวิจัย แม่บท :การวิจัยและพัฒนาพฤติกรรมไทย สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์ .)2540( .ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์.กรุงเทพฯ :เจริญผล. บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์ .)2549(. สถิติเพื่อการวิจัย(.พิมพ์ครั้งที่ 4). กรุงเทพ ฯ : จามจุรีโปรดักท์. ผ่องพรรณ ตรัยมงคลกูล, สุภาพ ฉัตราภรณ์. )2549(. การออกแบบการวิจัย, พิมพ์ลักษณ์, กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. พระเทพเวที( ประยุทธ์ปยุตโต .)2534( .)มหาวิทยาลัยกับงานวิจัยทางพระพุทธศาสนา .พระนคร : เนติกุลการพิมพ์. พวงรัตน์ทวีรัตน์ .)2538( .วิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์.พิมพ์ครั้งที่ .6 กรุงเทพฯ :สำนักพิมพ์แห่งจุลงกรณ์มหาวิทยาลัย. วิจิตร ศรีสอ้าน และทองอินทร์วงศ์โสธร .)2550( .หน่วยที่ :8 แนวคิดเกี่ยวกับการวิจัยทางการบริหาร การศึกษา .ใน คณะกรรมการผลิตและบริหารชุดวิชาการวิจัยทางการบริหารการศึกษา( บก)., ประมวลสาระ ชุดวิชาการวิจัยทางการศึกษา .พิมพ์ครั้งที่ .6 นนทบุรี :มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. วีระยุทธ ชาตะกาญจน์ .)2557( .การวิจัยเพื่อพัฒนาการบริหารการศึกษา.กรุงเทพฯ :วี .พริ้นท์ . ศักดิ์ไทย สุรกิจบวร .)2549( .การวิจัยเพื่อพัฒนาการบริหารการศึกษา .สกลนคร :สำนักงานโครงการ บัณฑิตศึกษา สาขาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร. ศิริชัย กาญจนวาสี, ทวีวัฒน์ปิตยานนท์และดิเรก ศรีสุโข .)2540( .การเลือกใช้สถิติที่เหมาะสม สำหรับการ วิจัย .กรุงเทพฯ :พชรกานต์พับลิเคชั่น. สุชาติประสิทธิ์รัฐสินธุ์ .)2540( .ระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์.กรุงเทพฯ:เลียงเชียง. สุนีย์มัลลิกะมาลย์ .)2555( .วิทยาการวิจัยทางนิติศาสตร์.พิมพ์ครั้งที่ .9 กรุงเทพฯ :สำนักพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. อเนก พ .อนุกูลบุตร .)2556( .วิจัยเชิงคุณภาพ Qualitative Research .กรุงเทพฯ :ก .พล . อุทุมพร จามรมาน .)2550( .หน่วยที่ :1 การวิจัยทางการศึกษา .ใน คณะกรรมการผลิตและบริหารชุดวิชาการ วิจัยทางการบริหารการศึกษา( บก)., ประมวลสาระชุดวิชาการวิจัยทางการศึกษา .พิมพ์ครั้งที่ .6


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 105 นนทบุรี :มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. Best J.W .& Kahn J.V( .2006 .)Research in Education .10thEd .Boston :Pearson Education . Easterby-Smith M .Thorpe R .& Lowe A( .1991 .)Management .Research :An Introduction. London :Sage. Fraenkel J.R .& Wallen N.E( .2006 .)How to Design and Evaluate Research in Education . 6 th ed .New York :McGraw-hill. Haller, Emil J . and Knapp, Thomas R( . 1985, Summer . )Problems and methodology education administration. Education Administration Quarterly, 21. Hoy W.K .& Miskel C.G( .2008 .)Educational Administration :Theory Research and Practice. 8 th ed .Boston :McGraw-Hill. Hussey J.& Hussey R( .1997 .)Business Research. London :Macmillan Business. Kerlinger F .N .& Lee H .B( .2000 .)Foundations of Behavioral Research . 4 th ed .New York : Thomson Learning. Wiersma W( .1991 .)Research Methods in Education :An Introduction .5 th ed .Boston :Allyn and Bacon.


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 106 แผนการสอนประจำบทที่ 6 การเก็บรวบรวมข้อมูล รายวิชา วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หัวข้อย่อย 6.1 ประเภทของข้อมูล 6.2 แหล่งที่มาของข้อมูล 6.3 วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล 6.4 ขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูล 6.5 เทคนิคการรวบรวมข้อมูลจัดเป็นเชิงปริมาณเชิงปริมาณและผสม. 6.6 เทคนิคการเก็บข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ 6.7 เทคนิคการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณ 6.8 เทคนิคการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพ 6.9 การเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสารอื่นๆ 6.10 สรุป สรุปแนวคิดที่สำคัญ การวิจัย การรวบรวมข้อมูลเป็นหัวใจสำคัญประการหนึ่ง ในกระบวนการของการรวบรวมข้อมูล จะต้องรู้ถึง ประเภทของข้อมูล แหล่งที่มาของข้อมูล วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูล เทคนิคการรวบรวมข้อมูลจัดเป็นเชิงปริมาณเชิงปริมาณและผสม เทคนิคการเก็บข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ เทคนิคการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณ เทคนิคการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพ การเก็บรวบรวมข้อมูล จากเอกสารอื่นๆ โดยกระบวนวิธีการเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อการแสวงหาความรู้ให้กับผู้ประเด็นที่ทำการศึกษา เพื่อแสวงหาความรู้ในประเด็นที่ทำการศึกษาอย่างเข้าใจหมดจรด เพื่อที่จะได้นำความรู้เหล่านั้นไปเป็นกลไก แสวงหาความรู้ และใช้ความรู้เหล่านั้นไปเป็นเครื่องมือในการสร้างองค์ความรู้ และนำไปสู่การพัฒนาในองค์ รวม ทำให้เกิดการเรียนรู้เชิงประจักษ์แก่ชุมชนทางการศึกษา ชุมชนที่อยู่อาศัย และเป็นฐานในการพัฒนา องค์กร ประเทศชาติในด้านต่าง ๆ วัตถุประสงค์ 1.เพื่อศึกษาประเภทของข้อมูล แหล่งที่มาของข้อมูล วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล 2.เพื่อศึกษาถึงขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูล เทคนิคการรวบรวมข้อมูลจัดเป็นเชิงปริมาณเชิงปริมาณ และผสม


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 107 3.เพื่อศึกษาเทคนิคการเก็บข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ เทคนิคการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณ เทคนิค การเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพ และ การเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสารอื่นๆ กิจกรรมระหว่างเรียน 1.การบรรยายในชั้นเรียน 2.ผู้สอนผู้บรรยาย บรรยายตามกรอบของการบรรยาย สื่อการสอน 1.เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 2. เอกสารประกอบการสอน 3. สื่อ Power Point สื่ออื่น เช่น Flip Chart การประเมินผล 1.ประเมินผลความสนใจของผู้ศึกษาขณะเรียน 2.การชักถาม ถามตอบ ของผู้เรียนขณะเรียน 3.การประเมินระหว่างเรียน การประเมินกลางภาค และการสอบประเมินปลายภาค


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 108 บทที่ 6 การเก็บรวบรวมข้อมูล (Data Collection) การเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นขั้นตอนหนึ่งของกระบวนการ ทางสถิติ ที่มีความสำคัญ เพื่อให้ได้มาซึ่ง ข้อมูลที่ตอบสนองวัตถุประสงค์ และสอดคล้องกับกรอบแนวความคิด สมมุติฐาน เทคนิคการวัด และการ วิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งหมายรวมทั้ง การเก็บข้อมูล ( Data Collection) คือ การเก็บข้อมูลขึ้นมาใหม่ และการ รวบรวมข้อมูล ( Data Compilation) ซึ่งหมายถึง การนำเอาข้อมูลต่างๆที่ผู้อื่นได้เก็บไว้แล้ว หรือรายงานไว้ใน เอกสารต่างๆ มาทำการศึกษาวิเคราะห์ต่อ 6.1 ประเภทของข้อมูล ข้อมูล หมายถึง ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวแปรที่สำรวจโดยใช้วิธีการวัดแบบใดแบบหนึ่ง โดยทั่วไปจำแนก ตามลักษณะของข้อมูลได้เป็น 2 ประเภท คือ 1) ข้อมูลเชิงปริมาณ (Quantitative Data) คือ ข้อมูลที่เป็นตัวเลขหรือนำมาให้รหัสเป็นตัวเลข ซึ่ง สามารถนำไปใช้วิเคราะห์ทางสถิติได้ 2) ข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative Data) คือ ข้อมูลที่ไม่ใช่ตัวเลข ไม่ได้มีการให้รหัสตัวเลขที่จะนำไป วิเคราะห์ทางสถิติ แต่เป็นข้อความหรือข้อสนเทศ 6.2 แหล่งที่มาของข้อมูล แหล่งข้อมูลที่สำคัญ ได้แก่ บุคคล เช่น ผู้ให้สัมภาษณ์ ผู้กรอกแบบสอบถาม บุคคลที่ถูกสังเกต เอกสาร ทุกประเภท และข้อมูลสถิติจากหน่วยงาน รวมไปถึง ภาพถ่าย แผนที่ แผนภูมิ หรือแม้แต่วัตถุ สิ่งของ ก็ถือเป็น แหล่งข้อมูลได้ทั้งสิ้น โดยทั่วไปสามารถจัดประเภทข้อมูลตามแหล่งที่มาได้ 2 ประเภท คือ 1) ข้อมูลปฐมภูมิ ( Primary Data) คือ ข้อมูลที่ผู้วิจัยเก็บขึ้นมาใหม่เพื่อ ตอบสนองวัตถุประสงค์การ วิจัยในเรื่องนั้นๆ โดยเฉพาะ การเลือกใช้ข้อมูลแบบปฐมภูมิ ผู้วิจัยจะสามารถเลือกเก็บข้อมูลได้ตรงตามความ ต้องการและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ ตลอดจนเทคนิคการวิเคราะห์ แต่มีข้อเสียตรงที่สิ้นเปลืองเวลา ค่าใช้จ่าย และอาจมีคุณภาพไม่ดีพอ หากเกิดความผิดพลาดในการเก็บข้อมูลภาคสนาม 2) ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Data) คือ ข้อมูลต่างๆ ที่มีผู้เก็บหรือรวบรวมไว้ก่อนแล้ว เพียงแต่ นักวิจัยนำข้อมูลเหล่านั้นมาศึกษาใหม่ เช่น ข้อมูลสำมะโนประชากร สถิติจากหน่วยงาน และเอกสารทุก ประเภท ช่วยให้ผู้วิจัยประหยัดค่าใช้จ่าย ไม่ต้องเสียเวลากับการเก็บข้อมูลใหม่ และสามารถศึกษาย้อนหลังได้ ทำให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงและแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของปรากฏการณ์ที่ศึกษา แต่จะมีข้อจำกัดในเรื่อง ความครบถ้วนสมบูรณ์ เนื่องจากบางครั้งข้อมูลที่มีอยู่แล้วไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ของเรื่องที่ผู้วิจัยศึกษา และ


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 109 ปัญหาเรื่องความ น่าเชื่อถือของข้อมูล ก่อนจะนำไปใช้จึงต้องมีการปรับปรุงแก้ไขข้อมูล และเก็บข้อมูลเพิ่มเติม จากแหล่งอื่นในบางส่วนที่ไม่สมบูรณ์ 6.3 วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล อาจแบ่งเป็นวิธีการใหญ่ๆ ได้ 3 วิธี คือ 1) การสังเกตการณ์ (Observation) ทั้งการสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม ( Participant Observation) และการสังเกตการณ์แบบไม่มีส่วนร่วม ( Non-participant Observation) หรืออาจจะแบ่งเป็น การ สังเกตการณ์แบบมีโครงสร้าง ( Structured Observation) และการสังเกตการณ์แบบไม่มีโครงสร้าง ( Unstructured Observation) 2) การสัมภาษณ์ ( Interview) นิยมมากในทางสังคมศาสตร์ โดยเฉพาะการสัมภาษณ์โดยใช้ แบบสอบถาม ( Questionnaire) การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (In-depth Interview) หรืออาจจะจำแนกเป็น การสัมภาษณ์เป็นรายบุคคล และการสัมภาษณ์เป็นกลุ่ม เช่น เทคนิคการสนทนากลุ่ม ( Focus Group Discussion) ซึ่งนิยมใช้กันมาก 3) การรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร เช่น หนังสือ รายงานวิจัย วิทยานิพนธ์ บทความ สิ่งพิมพ์ต่างๆ เป็น ต้น 6.4 ขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูล 1) กำหนดข้อมูลและตัวชี้วัด 2) กำหนดแหล่งข้อมูล 3) เลือกกลุ่มตัวอย่าง 4) เลือกวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล 5) นำเครื่องมือรวบรวมข้อมูลไปทดลองใช้ 6) ลงมือเก็บรวบรวมข้อมูล ประเภทของเครื่องมือรวบรวมข้อมูล ตัวอย่างเช่น แบบทดสอบ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบประเมินค่าและมาตรวัดเจตคติ และ แบบวัดอื่นๆ 7 เทคนิคและเครื่องมือในการเก็บข้อมูล เทคนิคการเก็บข้อมูล เป็นกลไกและเครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมและวัดข้อมูลในลักษณะที่เป็นระบบ และมีวัตถุประสงค์เฉพาะ พวกเขามักจะใช้ในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และธุรกิจสถิติและการตลาด. แต่ละเทคนิคเหล่านี้อนุญาตให้รวบรวมข้อมูลประเภทที่แตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้อง รู้ลักษณะของพวกเขาและมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนในการเลือกผู้ที่อนุญาตให้รวบรวมข้อมูลที่เหมาะสม.


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 110 6.5 เทคนิคการรวบรวมข้อมูลจัดเป็นเชิงปริมาณเชิงปริมาณและผสม การวิจัยเชิงปริมาณพยายามรวบรวมข้อมูลเชิงตัวเลขหรือข้อมูลที่แน่นอน เทคนิคของพวกเขาเป็น มาตรฐานเป็นระบบและพยายามที่จะได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงมีการใช้งานที่มากขึ้นในสถิติ หรือในวิทยาศาสตร์ที่แน่นอนเช่นชีววิทยาหรือเคมี. ในทางกลับกันการวิจัยเชิงปริมาณพยายามที่จะรับข้อมูลเกี่ยวกับบริบทและลักษณะของปรากฏการณ์ ทางสังคม. ด้วยเหตุนี้ข้อมูลตัวเลขจึงไม่เพียงพอและต้องการเทคนิคที่ช่วยให้ทราบความเป็นจริงที่เราต้องการ วิเคราะห์อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น. เทคนิคผสมดังที่ชื่อหมายถึงเป็นเทคนิคที่อนุญาตให้รวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณและคุณภาพในเวลา เดียวกัน. บางทีคุณอาจมีความสนใจในการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ: ลักษณะและความแตกต่าง. 6.6 เทคนิคการเก็บข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ 1- สัมภาษณ์ การสัมภาษณ์คือบทสนทนาที่วางแผนไว้อย่างดี ในนั้นผู้วิจัยยกชุดคำถามหรือหัวข้อการสนทนากับ หนึ่งหรือหลายคนเพื่อให้ได้ข้อมูลที่เฉพาะเจาะจง. สามารถทำได้เป็นการส่วนตัวทางโทรศัพท์หรือตามความเป็นจริง อย่างไรก็ตามในบางกรณีการโต้ตอบ ส่วนตัวกับผู้ให้สัมภาษณ์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อที่จะจดบันทึกข้อมูลที่ได้รับจากการสื่อสารที่ไม่ใช้คำพูด. ตัวอย่างเช่นในการสอบสวนที่ตรวจสอบสาเหตุของการละทิ้งโรงเรียนในสถาบันการศึกษาสามารถไป ใช้ในการสัมภาษณ์. ในกรณีนี้มันจะมีประโยชน์ในการสัมภาษณ์นักแสดงของปัญหาในฐานะผู้ปกครองและนักเรียนรวมทั้ง เจ้าหน้าที่ของรัฐที่จะเข้าใจปัญหาได้ดีขึ้น. จากการสัมภาษณ์องค์กรสามารถจัดโครงสร้างแบบกึ่งโครงสร้างหรือไม่เป็นทางการ. สัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง เป็นหนึ่งในผู้สัมภาษณ์มีรายการคำถามที่กำหนดไว้ก่อนหน้านี้และถูก จำกัด อย่างเคร่งครัด. ในการ การสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง มีคำแนะนำสำหรับคำถามหรือหัวข้อสนทนาทั่วไป อย่างไรก็ตามผู้ สัมภาษณ์สามารถพัฒนาคำถามใหม่เมื่อมีหัวข้อที่น่าสนใจเกิดขึ้น. ในที่สุด, การสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการ, เป็นคำถามที่ไม่ได้ชี้นำโดยรายการคำถามเฉพาะ ผู้ สัมภาษณ์มีหัวข้อที่ชัดเจนที่เขาต้องการตรวจสอบและแนะนำให้พวกเขาเป็นธรรมชาติในการสนทนา. 2- แบบสอบถามและแบบสำรวจ


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 111 แบบสอบถามและแบบสำรวจเป็นเทคนิคที่มีรายการคำถามปิดเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง. พวกเขามักจะใช้ในการวิจัยเชิงปริมาณ แต่ยังสามารถรวมคำถามเปิดเพื่อให้การวิเคราะห์เชิงคุณภาพ. มันเป็นเทคนิคที่แพร่หลายมากเพราะช่วยให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องจากผู้คนจำนวนมาก ข้อเท็จจริงของ การมีคำถามแบบปิดช่วยให้สามารถคำนวณผลลัพธ์และรับเปอร์เซ็นต์ที่ทำให้สามารถวิเคราะห์ได้อย่างรวดเร็ว. นอกจากนี้ยังเป็นวิธีการแบบว่องไวโดยคำนึงถึงว่ามันไม่จำเป็นต้องมีการปรากฏตัวของนักวิจัย สามารถทำได้อย่างหนาแน่นทางไปรษณีย์ผ่านอินเทอร์เน็ตหรือทางโทรศัพท์. เพื่อดำเนินการกับตัวอย่างการออกกลางคันของโรงเรียนแบบสอบถามอาจเป็นประโยชน์ในการรับข้อมูลที่ ถูกต้องจากนักเรียน ตัวอย่างเช่น: อายุ, เกรดที่เขาออกจากโรงเรียน, เหตุผลในการออกไป ฯลฯ. บางทีคุณอาจสนใจ 7 ลักษณะของแบบฟอร์มหลัก. 3- ข้อสังเกต การสังเกตการณ์เป็นเทคนิคที่ประกอบด้วยอย่างแม่นยำในการสังเกตการพัฒนาของ ปรากฏการณ์ที่เราต้องการวิเคราะห์ วิธีนี้สามารถใช้ในการรับข้อมูลเชิงคุณภาพหรือเชิงปริมาณตามวิธีที่ใช้. ในการวิจัยเชิงคุณภาพจะช่วยให้วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างผู้เข้าร่วมขอบคุณการวิเคราะห์ พฤติกรรมของพวกเขาและการสื่อสารที่ไม่ใช่คำพูด. ในการวิจัยเชิงปริมาณจะมีประโยชน์ในการติดตามความถี่ของปรากฏการณ์ทางชีวภาพหรือการ ทำงานของเครื่องจักร. ตัวอย่างเช่นหากคุณต้องการเข้าใจสาเหตุของการออกไปข้างนอกอาจเป็นประโยชน์ที่จะดูว่าครูและ นักเรียนสัมพันธ์กันอย่างไร ในกรณีนี้เทคนิคการสังเกตสามารถนำไปใช้ในชั้นเรียนใด ๆ. เมื่อใช้เทคนิคนี้ด้วยวิธีการเชิงคุณภาพจำเป็นต้องจัดระเบียบข้อสังเกตในหมวดหมู่ใจเพื่อให้คำสั่งใน การวิเคราะห์. หมวดหมู่เหล่านี้จะต้องเกี่ยวข้องกับข้อมูลที่ได้รับผ่านเทคนิคอื่น ๆ เพื่อให้มีความถูกต้องมากขึ้น. 4- กลุ่มโฟกัส กลุ่มเป้าหมายสามารถอธิบายเป็นการสัมภาษณ์กลุ่ม ประกอบด้วยการนำกลุ่มคนที่มีลักษณะเฉพาะที่ เกี่ยวข้องกับการสอบสวนและนำการสนทนาไปสู่ข้อมูลที่ต้องการได้รับ. มันเป็นเทคนิคเชิงคุณภาพที่มีประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ความคิดเห็นรวมความขัดแย้งหรือข้อมูล อื่น ๆ ที่เกิดขึ้นจากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คน. ต่อเนื่องกับตัวอย่างของการละทิ้งความสนใจกลุ่มสามารถนำไปใช้กับครูผู้ปกครองและ / หรือ นักเรียน. ในกรณีเหล่านี้ผู้เข้าร่วมจะถูกถามว่าอะไรคือสาเหตุของการออกกลางคันของโรงเรียนและจากนั้น กระตุ้นให้มีการอภิปรายและสังเกตการพัฒนาของสิ่งเดียวกัน. 5- เอกสารและบันทึก


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 112 เทคนิคนี้ประกอบด้วยการตรวจสอบข้อมูลที่มีอยู่ในเอกสารที่มีอยู่เช่นฐานข้อมูลบันทึกรายงานบันทึก การเข้างาน ฯลฯ. ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับวิธีนี้คือความสามารถในการค้นหาเลือกและวิเคราะห์ข้อมูลที่มีอยู่. มีความจำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงว่าข้อมูลที่เก็บรวบรวมสามารถให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือไม่สมบูรณ์. ด้วยเหตุผลนี้จึงต้องวิเคราะห์เกี่ยวกับข้อมูลอื่น ๆ เพื่อให้สามารถใช้ในการวิจัยได้. ในกรณีของการออกกลางคันสามารถสอบถามสถิติที่มีอยู่รวมถึงบันทึกทางวิชาการของนักเรียนที่ออก จากโรงเรียนได้. 6- ชาติพันธุ์วิทยา ชาติพันธุ์วิทยาเป็นเทคนิคเชิงคุณภาพที่ใช้การสังเกตอย่างต่อเนื่องของกลุ่มสังคมที่จะวิเคราะห์. ในนั้นผู้วิจัยเก็บบันทึกการสังเกตการณ์ของเขาและใช้เทคนิคอื่น ๆ เช่นการสัมภาษณ์และการสนทนากลุ่มเพื่อ เสริม. โดยมีวัตถุประสงค์คือเพื่อทำความเข้าใจในเชิงลึกพลวัตทางสังคมที่พัฒนาภายในกลุ่มที่กำหนด อย่างไรก็ตามมีข้อโต้แย้งรอบ ๆ ความเป็นกลางเพราะความยากลำบากในการแยกนักวิจัยออกจากการศึกษา ของเขาอย่างสมบูรณ์. สำหรับตัวอย่างการออกกลางคันของโรงเรียนชาติพันธุ์จะใช้กับการมีอยู่ของนักวิจัยที่โรงเรียน. สิ่งนี้จะช่วยให้เขาเก็บบันทึกการสังเกตของเขาเกี่ยวกับนักเรียนในบริบทของชุมชนวิชาการ. 7- เทคนิค Delphi เทคนิค Delphi ประกอบด้วยการตรวจสอบชุดของผู้เชี่ยวชาญในหัวข้อเฉพาะเพื่อเป็นแนวทางในการ ตัดสินใจ. ใช้ชื่อจาก Oracle of Delphi ซึ่งเป็นแหล่งที่ชาวกรีกมาเพื่อรับข้อมูลเกี่ยวกับอนาคตของพวกเขาและ จึงได้รับคำแนะนำสำหรับการตัดสินใจ. เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องผู้เชี่ยวชาญจะได้รับคำปรึกษาผ่านแบบสอบถาม การตอบสนองที่ได้รับจะถูก ทำปริมาณและวิเคราะห์เป็นข้อมูลเชิงปริมาณ. ในกรณีของการออกกลางคันโรงเรียนสามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับสาเหตุหลักของปัญหานี้ได้ ภายใน 10 ตัวเลือก. 6.7 เทคนิคการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณ การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) เป็นวิธีค้นหาความรู้และความจริงโดยเน้นที่ข้อมูลเชิง ตัวเลข การวิจัยเชิงปริมาณจะพยายามออกแบบวิธีการวิจัย ให้มีการควบคุมตัวแปรที่ศึกษา ต้องจัดเตรียม เครื่องมือรวบรวมข้อมูลให้มีคุณภาพ จัดกระทำสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องให้เป็นมาตรฐาน และใช้วิธีการทางสถิติ ช่วยวิเคราะห์และประมวลข้อสรุป เพื่อให้เกิดความคลาดเคลื่อน (Error) น้อยที่สุด


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 113 การวิจัยเชิงปริมาณ มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์ การอธิบายเน้นการ นำเสนอเชิงตัวเลขทางสถิติ เช่น ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เป็นต้น ลักษณะของข้อมูลการ วิจัยเชิงปริมาณ เป็นการศึกษาสภาพทั่วไปของสังคมโดยกำหนดตัวแปรต่างๆ เพื่อเก็บข้อมูลสถิติตัวเลข อาจ เป็นข้อมูลปฐมภูมิหรือทุติยภูมิ การเสนอภาพรวมจะมีวิธีการเก็บข้อมูลด้วยวิธีการสำรวจ เน้นการเก็บข้อมูล เพื่อทำการวิเคราะห์และทดสอบทฤษฎีหรือสร้างทฤษฎี และให้ความหมายในเชิงวิชาการมากกว่าการศึกษา แง่มุมของชาวบ้าน ขั้นตอนการวิจัยเชิงปริมาณประกอบด้วย ภาพที่ 6.1 การดำเนินการวิจัย การเลือกหัวข้อเรื่องการวิจัย (Research Topic)ในขั้นตอนแรกผู้วิจัยจะต้องตัดสินใจให้แน่ชัดเสียก่อน ว่าจะวิจัยเรื่องอะไร แล้วกำหนดเป็นหัวเรื่องที่จะวิจัย การกำหนดปัญหาในการวิจัย (Formulating the Research Problem)เป็นการตั้งปัญหาในเรื่องที่ ต้องการวิจัย เพื่อหาคำตอบ หรือเป็นการแจกแจงวัตถุประสงค์ของการศึกษา โดยต้องกำหนดขอบเขตของ ปัญหาให้ชัดเจน และเป็นปัญหาที่สามารถหาคำตอบได้ สำรวจทบทวนวรรณกรรม (Extensive Literature Survey)เป็นการทบทวนเอกสารแนวคิดทาง ทฤษฎี และผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหัวเรื่องที่ต้องการศึกษาเพื่อหาแนวคิดทางทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย และสำรวจให้แน่ใจว่าไม่วิจัยซ้ำกับผู้อื่น ทั้งนี้การวิจัยควรเน้นการเสริมสร้างให้เกิดความรู้ใหม่ การตั้งสมมุติฐานการวิจัย (Formulating Hypothesis)คาดคะเนแนวคิดเพื่อตอบคำถามของปัญหาใน การวิจัย หาความสัมพันธ์ของตัวแปรที่จะศึกษาไว้ก่อน จากนั้นจึงเก็บข้อมูลเพื่อมาพิสูจน์สมมุติ


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 114 การออกแบบการวิจัย (Research Design)เป็นการวางแผนกำหนดวิธีการในการดำเนินการในขั้นตอน ต่าง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบของปัญหาในการวิจัย เช่นการเก็บข้อมูล การเลือกเครื่องมือในการวิเคราะห์ ข้อมูล ระยะเวลาที่ต้องใช้ในการวิจัยบุคลากรและงบประมาณที่จะใช้ การเก็บรวบรวมข้อมูล (Data Collection)เป็นการวางแผนว่าจะเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างไร จะใช้ ข้อมูลปฐมภูมิ หรือทุติยภูมิ และถ้าเป็นข้อมูลทุติยภูมิควรจะเก็บอย่างไร การสร้างเครื่องมือรวบรวมข้อมูล ถ้า เป็นข้อมูลทุติยภูมิจะใช้ข้อมูลจากแหล่งใด การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis)ข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้จะนำมาบรรณาธิการความถูกต้อง (การ ตรวจสอบความถูกต้อง) และความน่าเชื่อถือของข้อมูลก่อน จึงทำการประเมินผลและวิเคราะห์ผลที่ได้และ พิสูจน์กับสมมติบานที่ตั้งไว้ การจัดทำรายงานผลและเผยแพร่ (Research Report)เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการวิจัย ผู้วิจัยต้อง เขียนรายงานเพื่อให้ผู้อื่นทราบถึงกิจกรรมที่ดำเนินในขั้นตอนต่างๆและสิ่งที่ค้นพบจากการวิจัย ซึ่งผู้วิจัยจะต้อง เขียนรายงานตามรูปแบบของการเขียนรายงานการวิจัย และเขียนด้วยความซื่อสัตย์ในสิ่งที่ค้นพบ การตั้งสมมติฐานและการทดสอบสมมติฐาน ข้อมูลจากการวิจัยเชิงปริมาณจะเหมาะสมกับการ ทดสอบทฤษฎีด้วยวิธีการแบบอุปนัย (Deductive) แนวปฎิฐานนิยมเป็นหลักการทดสอบความแม่นตรงของ ข้อมูล (Validity) ความเชื่อถือได้ของข้อมูล (Reliability) ใช้การเก็บข้อมูลจากคนจำนวนมากด้วยแบบสอบถาม คำถามในแบบสอบถามจึงจำเป็นต้องมีความชัดเจน 6.8 เทคนิคการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพ การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research)เป็นการวิจัยที่ต้องการค้นหาความจริงทั้งจาก “เหตุการณ์สภาพแวดล้อมตามความเป็นจริง” ซึ่งมี การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์กับ สภาพแวดล้อม เป็นหัวใจหลักของการวิจัย เพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ (Insight) จากภาพรวมที่มาจาก หลากหลายมิติหรือมุมมองนั่นจึงทำให้การวิจัยเชิงคุณภาพเป็นการวิจัยเชิงธรรมชาติ (Naturalistic Research) ซึ่งหมายความถึง การที่จะปล่อยให้ทุกๆอย่างคงอยู่ตามสภาพตามธรรมชาติปราศจากการกระทำ (Manipulate) ใดๆที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะทำให้ผลลัพธ์ที่ได้คลาดเคลื่อนไปได้ ซึ่งวันนี้เรามี วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลและข้อควรระวังดังนี้ การสัมภาษณ์


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 115 ภาพที่ 6.2 กรอบคำถามการวิจัย การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-Depth Interview) เป็นการสนทนาโดยมีจุดมุ่งหมายอยู่แล้ว แต่ต้องค่อยๆ ตะล่อมถามไปเรื่อยๆ ให้นึกถึงคำถาม 6 Question Words (ใคร / ทำอะไร / ที่ไหน / เมื่อไหร่ / ทำไม / อย่างไร) ให้ถามความคิดเห็น เหตุผล และมุมมอง ไม่ใช่ถามแบบบังคับให้ตอบว่า “ใช่-ไม่ใช่” “ถูกต้อง-ไม่ ถูกต้อง” ต้องเป็นมุมมองของผู้ให้ข้อมูล ไม่ใช่มุมมองของผู้วิจัย ไม่จำเป็นต้องเน้นให้ตอบเป็นตัวเลขเชิงปริมาณ อย่าใช้คำถามชี้นำเพื่อให้ตอบในแนวที่วางไว้ อย่าใช้คำถามที่ทำให้ผู้ตอบไม่อยากตอบ รู้สึกอับอายหรือไม่สบาย ใจ และไม่ควรใช้คำถามที่เป็นความรู้ทางวิชาการเกินไป (ต้องรู้ background การศึกษาของผู้ตอบด้วย) และ นอกจากนั้น ถ้ามีโอกาสสัมภาษณ์หลายๆ รอบ วิเคราะห์หลายๆ รอบ จะทำให้ได้รายละเอียดมากขึ้น เวลา เขียนบรรยายจะทำให้ได้อรรถรสมากขึ้น Unstructured interview เริ่มต้นจากคำถามทั่วๆ ไป Semi-structured interview สร้างข้อคำถามไว้ล่วงหน้าเป็นข้อๆ และค่อยๆ ตะล่อมถาม อย่างไรก็ ตาม การถามแต่ละครั้งของแต่ละคน จะแตกต่างกันไปตามบริบทของคำตอบของผู้ให้ข้อมูล ลักษณะของคำถามที่ใช้ในการสัมภาษณ์ Experience/behavior questions ถามประสบการณ์หรือเหตุการณ์ (ช่วยเล่าเหตุการณ์ให้ฟังหน่อย ได้มั้ยคะ ? ….( Opinion/value questions ถามความคิดเห็น (คิดอย่างไรกับ ..) Feeling questions ถามความรู้สึก (รู้สึกอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น …( Sensory questions ถามถึงสัมผัสทั้ง 5 (การเห็น การสัมผัส การรับรส การดมกลิ่น การได้ยิน) เห็น อะไร รสชาติเป็นอย่างไร รู้สึกอย่างไร ได้ยินว่าอย่างไร Knowledge questions ถามเกี่ยวกับสิ่งที่เขารู้ (ในเรื่องที่เป็นจริง ไม่ใช่ความรู้สึก) Background/demographic questions ถามภูมิหลังของผู้ให้ข้อมูล เช่น ทำงานมากี่ปีแล้วคะ ? Tips ข้อควรระวังของการสัมภาษณ์


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 116 การสัมภาษณ์มีข้อดีคือ ได้ข้อมูลมาก ใช้เวลาน้อย แต่ข้อจำกัดคือ ข้อมูลที่ได้อาจไม่ใช่ข้อมูลจริง ผู้ สัมภาษณ์ต้องมีทักษะในการเจาะลึกเพื่อให้ได้ข้อมูล ต้องใช้เวลาในการผูกมิตรกับผู้ให้ข้อมูล การสังเกต (Observation) ภาพที่ 6.3 กระบวนการสังเกตแบบมีส่วนร่วม การสังเกตแบบมีส่วนร่วม (Participation) ต้องเอาใจใส่ต่อทุกอย่างที่เกิดขึ้น ใช้ประสบการณ์ทั้งใน ฐานะคนในและคนนอกในเวลาเดียวกัน การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม นักวิจัยทำตัวเป็นคนนอก คอยจดบันทึกเหตุการณ์และสิ่งต่างๆ ที่ สังเกตเห็น ขณะอยู่ใน setting ที่เลือกศึกษา การบันทึกภาคสนาม (field note) บันทึกอะไร ? บันทึกฉากและบุคคล (setting) การกระทำ (acts) แบบแผนกิจกรรม (pattern of activities) ความสัมพันธ์ (relationship) ความหมาย (meaning) เพื่อให้ได้คำตอบว่า ทำไมจึงเกิดพฤติกรรมและการ กระทำนั้นๆ การอภิปรายกลุ่ม (Focus group discussion) ภาพที่ 6.4 การอภิปรายกลุ่ม (Focus group discussion)


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 117 หลักสำคัญคือ ผู้ร่วมสนทนาทุกคน (ซึ่งควรมีประมาณ 6-12 คน) ควรมีภูมิหลังคล้ายกัน จะต้องไม่มี ความขัดแย้งกันเป็นส่วนตัว และไม่มีใครมีอำนาจเหนือคนอื่นในกลุ่ม เป็นการเก็บข้อมูลในกลุ่มที่มีปัญหา เดียวกัน มีประสบการณ์เดียวกัน มาแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกัน ประเด็นสนทนาต้องไม่ลึกซึ้ง หรือเป็นเรื่อง ส่วนตัว หรือ sensitive เกินไป 6.9 การเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสารอื่นๆ เอกสารส่วนบุคคล เช่น intimate diaries, personal letters (จดหมายส่วนตัว), autobiographies (ชีวิตและผลงาน หนังสือมุทิตาจิต) เอกสารทางการ เช่น internal documents (บันทึกข้อความ รายงานการประชุม), external communications (สิ่งพิมพ์เผยแพร่ประชาสัมพันธ์หน่วยงาน), personal records/files (แฟ้มประวัติบุคคล เวชระเบียน) ภาพถ่าย อาจเป็นภาพถ่ายที่ถูกค้นพบ หรือภาพถ่ายที่ผู้วิจัยได้ถ่ายขึ้นเพื่อเก็บเป็นหลักฐาน สถิติหรือข้อมูลที่เป็นตัวเลขเชิงปริมาณ (ใช้อ้างอิง เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับข้อมูลเชิงคุณภาพ) สัญลักษณ์หรือสิ่งของที่มีความหมาย เช่น พระพุทธรูป ไม้กางเขน ฟิล์มภาพยนตร์ วิดีทัศน์ และข้อมูลจาก social media Tips ข้อควรระวังของการเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร ข้อมูลเอกสารส่วนตัว อาจไม่ใช่ตัวแทนของประชากร ข้อมูลส่วนมากใส่ความคิดเห็นของผู้เขียนเป็น หลัก ทำให้ bias ได้ เอกสารบางอย่างผู้เขียนไม่ได้ศึกษาถ่องแท้ หรือเขียนบิดเบือนเพื่อลบล้างความผิดของตน ในอดีต 6.10 สรุป เทคนิคการเก็บข้อมูล เป็นกลไกและเครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมและวัดข้อมูลในลักษณะที่เป็นระบบ และมีวัตถุประสงค์เฉพาะ พวกเขามักจะใช้ในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และธุรกิจสถิติและการตลาด แต่ละ เทคนิคเหล่านี้อนุญาตให้รวบรวมข้อมูลประเภทที่แตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องรู้ลักษณะของ พวกเขาและมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนในการเลือกผู้ที่อนุญาตให้รวบรวมข้อมูลที่เหมาะสม การวิจัยเชิงปริมาณพยายามรวบรวมข้อมูลเชิงตัวเลขหรือข้อมูลที่แน่นอน เทคนิคของพวกเขาเป็น มาตรฐานเป็นระบบและพยายามที่จะได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงมีการใช้งานที่มากขึ้นในสถิติ หรือในวิทยาศาสตร์ที่แน่นอนเช่นชีววิทยาหรือเคมี ในทางกลับกันการวิจัยเชิงปริมาณพยายามที่จะรับข้อมูล เกี่ยวกับบริบทและลักษณะของปรากฏการณ์ทางสังคม ด้วยเหตุนี้ข้อมูลตัวเลขจึงไม่เพียงพอและต้องการ เทคนิคที่ช่วยให้ทราบความเป็นจริงที่เราต้องการวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 118 คำถามท้ายบท 1 .อธิบายถึงประเภทของข้อมูล และแหล่งที่มาของข้อมูลมีความสำคัญและจำเป็นอย่างไรต่อการวิจัย 2 .ให้สรุปภาพรวมของวิธีการเก็บข้อมูล และขั้นตอนการเก็บข้อมูลมีความสำคัญและจำเป็นอย่างไร ต่อการวิจัย 3 .เทคนิคการเก็บข้อมูลที่มีประสิทธิภาพมีความจำเป็นและมีความสำคัญอย่างไร 4 .ให้อธิบายเทคนิคการรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณ 5 .จงอธิบายเทคนิคการเก็บข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ รายการอ้างอิง บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์ .)2540( .ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์.กรุงเทพฯ :เจริญผล. พระเทพเวที( ประยุทธ์ปยุตโต .)2534( .)มหาวิทยาลัยกับงานวิจัยทางพระพุทธศาสนา .พระนคร : เนติกุลการพิมพ์. พวงรัตน์ทวีรัตน์ .)2538( .วิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์.พิมพ์ครั้งที่ .6 กรุงเทพฯ :สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. วิจิตร ศรีสอ้าน และทองอินทร์วงศ์โสธร .)2550( .หน่วยที่ :8 แนวคิดเกี่ยวกับการวิจัยทางการบริหาร การศึกษา .ใน คณะกรรมการผลิตและบริหารชุดวิชาการวิจัยทางการบริหารการศึกษา( บก)., ประมวลสาระชุดวิชาการวิจัยทางการศึกษา .พิมพ์ครั้งที่ .6 นนทบุรี :มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. วีระยุทธ ชาตะกาญจน์ .)2557( .การวิจัยเพื่อพัฒนาการบริหารการศึกษา.กรุงเทพฯ :วี .พริ้นท์ . ศักดิ์ไทย สุรกิจบวร .)2549( .การวิจัยเพื่อพัฒนาการบริหารการศึกษา .สกลนคร :สำนักงานโครงการ บัณฑิตศึกษา สาขาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร. ศิริชัย กาญจนวาสี, ทวีวัฒน์ปิตยานนท์และดิเรก ศรีสุโข .)2540( .การเลือกใช้สถิติที่เหมาะสม สำหรับการ วิจัย .กรุงเทพฯ :พชรกานต์พับลิเคชั่น. สุชาติประสิทธิ์รัฐสินธุ์ .)2540( .ระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์.กรุงเทพฯ:เลียงเชียง. สุนีย์มัลลิกะมาลย์ .)2555( .วิทยาการวิจัยทางนิติศาสตร์.พิมพ์ครั้งที่ .9 กรุงเทพฯ :สำนักพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. อเนก พ .อนุกูลบุตร .)2556( .วิจัยเชิงคุณภาพ Qualitative Research .กรุงเทพฯ :ก .พล . อุทุมพร จามรมาน .)2550( .หน่วยที่ :1 การวิจัยทางการศึกษา .ใน คณะกรรมการผลิตและบริหารชุด วิชาการวิจัยทางการบริหารการศึกษา( บก)., ประมวลสาระชุดวิชาการวิจัยทางการศึกษา . พิมพ์ครั้งที่ .6 นนทบุรี :มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. Best J.W .& Kahn J.V( .2006 .)Research in Education .10thEd .Boston :Pearson Education . Easterby-Smith M .Thorpe R .& Lowe A( .1991 .)Management .Research :An Introduction.


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 119 London :Sage. Fraenkel J.R .& Wallen N.E( .2006 .)How to Design and Evaluate Research in Education . 6 th ed .New York :McGraw-hill. Haller, Emil J . and Knapp, Thomas R( . 1985, Summer . )Problems and methodology education administration. Education Administration Quarterly, 21. Hoy W.K .& Miskel C.G( .2008 .)Educational Administration :Theory Research and Practice. 8 th ed .Boston :McGraw-Hill. Hussey J.& Hussey R( .1997 .)Business Research. London :Macmillan Business. Kerlinger F.N .& Lee H.B( .2000 .)Foundations of Behavioral Research. 4 th ed .New York : Thomson Learning. Wiersma W( .1991 .)Research Methods in Education :An Introduction .5 th ed .Boston :Allyn and Bacon.


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 120 แผนการสอนประจำบทที่ 7 การเขียนโครงร่างวิจัย รายวิชา วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หัวข้อย่อย 7.1 ความหมาย ความสำคัญ และส่วนประกอบของโครงร่างการวิจัย 7.2 แนวทางการเขียนโครงร่างการวิจัย 7.3 การประเมินโครงร่างการวิจัย 7. 4การทำโครงร่างการวิจัย ตัวอย่างของแบบขอกำหนดหัวข้อและโครงร่างวิทยานิพนธ์ / ดุษฎีนิพนธ์หลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา ภาควิชาบริหารการศึกษา คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลัย 7.5 สรุป สรุปแนวคิดที่สำคัญ การเขียนโครงร่างการวิจัย เป็นหัวใจสำคัญประการหนึ่งของแผนการวิจัยที่วางและเขียนไว้ล่วงหน้า ก่อนลงมือดำเนินการวิจัยอย่างเป็นขั้นตอน โดยในบทนี้จะได้ศึกษาถึงความหมาย ความสำคัญ และ ส่วนประกอบของโครงร่างการวิจัย แนวทางการเขียนโครงร่างการวิจัย การประเมินโครงร่างการวิจัย รวมทั้ง แนวทางการทำโครงร่างวิจัย โดยโครงร่างหรือแผนการวิจัยจะต้องผ่านการคิดอย่างถี่ถ้วนรอบคอบ ให้เห็น ภาพรวมของงานวิจัย ซึ่งเปรียบเสมือนแบบแปลนบ้านที่เขียนขึ้นโดยสถาปนิก สามารถออกแบบตามขนาด เนื้อที่ วัสดุก่อสร้าง งบประมาณ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง การเขียนเค้าโครงการวิจัยมีส่วนประกอบที่สำคัญหลาย ประการ โดยสาระสำคัญก็เพื่อแสวงความรู้ให้กับผู้คน เพื่อที่จะได้นำความรู้เหล่านั้นไปเป็นกลไกแสวงหา ความรู้ และใช้ความรู้เหล่านั้นไปเป็นเครื่องมือในการสร้างองค์ความรู้ และนำไปสู่การพัฒนาในองค์รวม ทำให้ เกิดการเรียนรู้เชิงประจักษ์แก่ชุมชนทางการศึกษา ชุมชนที่อยู่อาศัย และเป็นฐานในการพัฒนาองค์กร ประเทศชาติในด้านต่าง ๆ วัตถุประสงค์ 1.อธิบายการทำโครงร่างการวิจัยได้ 2.เข้าใจตัวอย่างของแบบขอกำหนดหัวข้อและโครงร่างวิทยานิพนธ์/ดุษฎีนิพนธ์ 3.เขียนแบบขอกำหนดหัวข้อและโครงร่างวิทยานิพนธ์/ดุษฎีนิพนธ์ได้ กิจกรรมระหว่างเรียน 1.การบรรยายและร่วมสนทนาซักถามเกี่ยวกับเนื้อหาในบทเรียน


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 121 2.นำเสนอวิจัย/วิทยานิพนธ์เกี่ยวกับการเขียนโครงร่างวิจัย 3.วิเคราะห์ผลการวิจัยเกี่ยวกับการเขียนโครงร่างวิจัย 4.สรุปประเด็นสำคัญประจำบท สื่อการสอน 1.เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 2. เอกสารคำสอน เรื่อง “การเขียนโครงร่างวิจัย” 3. สื่อ Power Point 4.สื่ออื่น เช่น Flip Chart การประเมินผล 1.ประเมินผลความสนใจของผู้ศึกษาขณะเรียน 2.การชักถาม ถามตอบ ของผู้เรียนขณะเรียน 3.การประเมินระหว่างเรียน การประเมินกลางภาค และการสอบประเมินปลายภาค


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 122 บทที่7 การเขียนโครงร่างวิจัย 7.1 ความหมาย ความสำคัญ และส่วนประกอบของโครงร่างการวิจัย เค้าโครงการวิจัย หมายถึงแผนการวิจัยที่วางและเขียนไว้ล่วงหน้าก่อนลงมือดำเนินการวิจัย แผนการ วิจัยต้องผ่านการคิดอย่างถี่ถ้วนรอบคอบ ซึ่งเปรียบเสมือนแบบแปลนบ้านที่เขียนขึ้นโดยสถาปนิก สามารถ ออกแบบตามขนาด เนื้อที่ วัสดุก่อสร้าง งบประมาณ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เค้าโครงการวิจัยมีส่วน ประกอบด้วยหัวข้อ ดังนี้ 1. ชื่อเรื่องหรือหัวข้อปัญหาวิจัย 2. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาวิจัยหรือภูมิหลัง 3. วัตถุประสงค์ของการวิจัยหรือความมุ่งหมายของการวิจัย 4. แนวคิดสำคัญ หรือสมมติฐานของการวิจัย (ถ้ามี) 5. ขอบเขตของการวิจัย 6. ข้อตกลงเบื้องต้น 7. ประโยชน์ของการวิจัย 8. คำนิยามศัพท์เฉพาะหรือคำจำกัดความที่ใช้ในการวิจัย 9. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 10. วิธีดำเนินการวิจัย 10.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 10.2 เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล 10.3 ทดลองและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ 10.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล 10.5 การวิเคราะห์ข้อมูล 10.6 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 11. แผนการดำเนินงานวิจัย 12. งบประมาณดำเนินงานวิจัย 13. ผู้รับผิดชอบโครงการวิจัย 14. บรรณานุกรม การเขียนเค้าโครงการวิจัยในหัวข้อต่าง ๆ มีแนวทางในการเขียนดังนี้


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 123 1. ชื่อโครงการวิจัย ชื่อโครงการวิจัยเป็นการสื่อความหมายให้ทราบถึงเรื่องที่จะทำวิจัยและระเบียบ วิธีการวิจัย ดังนั้นควรเลือกใช้ข้อความที่ชี้นำให้ผู้อ่านทราบปัญหาวิจัย และลักษณะที่เด่นเป็นพิเศษของ งานวิจัย อาจจะอยู่ในรูปของข้อความหรือวลีก็ได้ ไม่ควรตั้งชื่อโครงการวิจัยยาวหรือสั้นเกินไป โครงการวิจัยที่ดี ควรจะเขียนสะท้อนให้เห็นตัวแปร ประชากร และขอบเขตการวิจัย 2. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา สาระสำคัญของความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา จะต้องแสดงการมองปัญหาการวิจัยจากภาพกว้างมาสู่ภาพเล็กลงถึงเรื่องที่จะทำการวิจัย เพื่อให้เห็นความ เชื่อมโยงของการนำเข้าสู่ปัญหาวิจัย ซึ่งการเขียนควรแสดงเนื้อหา 4 ประการ จากภาพกว้าง ๆ เชื่อมโยง เกี่ยวกับปัญหาการวิจัยสู่ภาพที่เล็กลง ดังนี้ 2.1 การนำเข้าสู่ปัญหาการวิจัย เป็นการเกริ่นอย่างกว้าง ๆ ถึงประเด็นของปัญหา 2.2 ที่มาของปัญหาการวิจัย เป็นการเขียนเพื่อแสดงว่ามีเบื้องหลังที่มาอย่างไร 2.3 ปัญหาการวิจัย การเขียนต้องชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่แท้จริงของเรื่องที่จะทำวิจัย 2.4 ความสำคัญของปัญหา เขียนถึงความจำเป็นที่ต้องศึกษาปัญหาการวิจัย ถ้าหากไม่ทำการวิจัยจะ เกิดผลกระทบอะไรบ้าง จากส่วนประกอบของเค้าโครงการวิจัย ผู้วิจัยจะต้องศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง สนทนากับผู้รู้แล้วจึง สรุปกรอบความคิดในการเขียนที่เป็นภาพรวมโดยเชื่อมโยงขั้นตอนทั้งหมดเพื่อที่จะช่วยให้ผู้วิจัยได้เห็นภาพรวม ของโครงการวิจัยทั้งหมด หลังจากนั้นจึงลงมือเขียนโครงการวิจัย และเค้าโครงการวิจัยนี้ก็คือรายงานการวิจัย บทที่ 1 บทที่ 2 และบทที่ 3 นั่นเอง โดยหัวข้อ ที่ 1- 8 คือ บทที่ 1 หัวข้อที่ 9 คือบทที่ 2 และหัวข้อที่ 10 คือ บทที่ 3 3. วัตถุประสงค์ของการวิจัย ในการเขียนวัตถุประสงค์ควรยึดหลักดังนี้ 3.1 สอดคล้องกับโครงการวิจัย 3.2 ใช้ภาษาที่กะทัดรัด สั้น ได้ใจความชัดเจน 3.3 เขียนเป็นบรรยายความ และถ้ามีวัตถุประสงค์หลายข้อให้เขียนเป็นข้อ ๆ เรียงลำดับจาก วัตถุประสงค์หลักไปหาวัตถุประสงค์ย่อย 4. แนวคิดสำคัญ หรือสมมติฐานของการวิจัย (ถ้ามี) ถ้ามีการคาดคะเนคำตอบไว้ล่วงหน้าต้องเขียน สมมติฐานการวิจัย ซึ่งจะเขียนในลักษณะที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาปัญหา ต่าง ๆ จากปรากฏการณ์และตัว แปร งานวิจัยบางเรื่องมิได้มุ่งตอบคำถามใดหรือสิ่งที่ต้องการคำตอบ ไม่สามารถเขียนสมมติฐานได้ ในกรณีนี้ ผู้วิจัยควรเขียนเหตุผล แนวคิดสำคัญ หรือทฤษฏีที่จะใช้ในการวิจัยครั้งนั้น 5. ขอบเขตของการวิจัย เป็นการระบุขอบเขตการวิจัยเกี่ยวกับพื้นที่ทำการศึกษา ระยะเวลา หรือ ช่วงเวลาที่ทำการวิจัย ประชากร และตัวแปรที่ทำการวิจัย 6. ข้อตกลงเบื้องต้น เป็นเงื่อนไขที่ผู้วิจัยยอมรับโดยไม่ได้ตรวจสอบ เช่นข้อตกลงในเรื่องการวัดเขียนไว้ ว่านักศึกษาทำแบบทดสอบด้วยตนเองและเต็มความสามารถ


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 124 7. ประโยชน์ของการวิจัย ในการเขียนประโยชน์ควรเขียนดังนี้ 7.1 ควรเขียนเรียงลำดับข้อจากประโยชน์โดยตรงมากที่สุดไปสู่น้อยที่สุด 7.2 ต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และสิ่งที่ทำการวิจัย 7.3 ถ้าเขียนเป็นข้อ ภาษาที่ใช้ขึ้นต้นต้องมีลักษณะเช่นเดียวกัน 7.4 ถ้าเขียนเป็นข้อ ไม่ควรใช้คำว่า เพื่อ......ขึ้นต้นเพราะจะเกิดความสับสนกับวัตถุประสงค์ 8. คำจำกัดความที่ใช้ในการวิจัย ในการทำวิจัยแต่ละเรื่อง จะต้องเขียนคำจำกัดความที่มีความหมาย เฉพาะเจาะจงในเรื่องวิจัยนั้น ๆ ที่ได้กล่าวหรืออ้างในการวิจัย เช่น คำว่า “ นักศึกษา” หมายถึง ผู้ที่ลงทะเบียน เรียนหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิตสถาบันการพลศึกษา และเมื่อใช้คำว่านักศึกษา ก็จะต้องใช้คำนี้ตลอดทั้ง ฉบับ 9. การศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย ในการเขียนจะต้องเขียนในลักษณะสังเคราะห์ไม่ใช่การ เขียนย่อ การเขียนต้องแสดงถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อการวิจัยเพื่อสนับสนุนชี้ประเด็นที่โต้แย้ง เน้นให้เห็น ความสำคัญและยังเป็นหลักในการแปลความหมาย หรือสรุปข้อค้นพบของการวิจัยด้วย และต้องระบุแหล่ง อ้างอิงโดยยึดถือแบบการอ้างอิงระบบใดระบบหนึ่ง 10. วิธีดำเนินการวิจัย วิธีดำเนินการวิจัยจะต้องเขียนใน 4 หัวข้อย่อย ดังนี้ 10.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ระบุถึง ลักษณะของกลุ่มประชากร จำนวน และการได้มาซึ่งกลุ่ม ตัวอย่าง มีเกณฑ์ในการเลือกอย่างไร จำนวนเท่าไร 10.2 เครื่องมือการวิจัย ระบุถึงลักษณะของเครื่องมือว่าพัฒนาขึ้นมาเองหรือใช้เครื่องมือของใคร หรือ ประยุกต์มาจากของใคร ตลอดจนประสิทธิภาพและวิธีการใช้เครื่องมือ 10.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล ระบุวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล การจดบันทึกผู้เก็บ ช่วงเวลา และสถานที่ ที่จะเก็บรวบรวมข้อมูล 10.4 การวิเคราะห์ข้อมูล ระบุถึงวิธีการที่จะใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ระบุเกณฑ์หรือวิธีการที่จะใช้ สถิติ ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของข้อมูล 11. แผนการดำเนินงานวิจัย หรือปฏิทินปฏิบัติงานวิจัย จะต้องกำหนดเป็นกิจกรรมและขั้นตอนต่าง ๆ รวมทั้งระยะเวลาที่จะใช้ในแต่ละขั้นตอน 12. งบประมาณ ควรแจกแจงรายละเอียดของค่าใช้จ่ายตามหมวดเงินงบประมาณใน แต่ละกิจกรรม ให้เหมาะสม สมเหตุสมผล ไม่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป 13. ผู้รับผิดชอบโครงการ ผู้รับผิดชอบโครงการวิจัยจะเป็นเครื่องประกันคุณภาพของผลงานวิจัย ดังนั้นให้ระบุชื่อ- สกุล ตำแหน่งทางวิชาการ และวุฒิทางการศึกษา ถ้ามีผู้ร่วมงานทำวิจัยให้ระบุว่าใครเป็น หัวหน้าโครงการ ใครเป็นผู้ร่วมวิจัยหรือผู้ช่วยวิจัย 14. บรรณานุกรม ให้บันทึกแหล่งข้อมูล เอกสาร การสัมภาษณ์ ที่ได้ใช้ศึกษา เพื่อนำมาสนับสนุนการ เขียนโครงการวิจัย การเขียนบรรณานุกรมให้ยึดแบบใดแบบหนึ่งที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ การ


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 125 เขียนรายงานการวิจัยเป็นสิ่งสำคัญขั้นตอนหนึ่งในการทำวิจัยที่จะสามารถนำรายงานการวิจัยนั้นไปให้ผู้สนใจที่ ไม่ได้ทำวิจัยได้ติดตามอ่านและรู้เรื่องเข้าใจตามไปด้วย ดังนั้นผู้วิจัยจึงต้องมีความรู้ในการเขียนรายงานการวิจัย ให้ถูกต้องตามรูปแบบด้วย การเขียนรายงานการวิจัยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเสนอผลงานการวิจัยให้ผู้อื่นได้รู้ถึง ปัญหาของการวิจัย ระเบียบวิธีการวิจัย และผลของการศึกษาปัญหานั้น นอกจากนี้ รายงานการวิจัยยังสามารถ เก็บไว้เป็นหลักฐาน เพื่อประโยชน์ในการเป็นแนวทางการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับปัญหาวิจัยต่อไป การเขียนเค้าโครงการวิจัยมีประโยชน์ ดังนี้ 1. เป็นการวางแผนงานในการทำวิจัยไว้ล่วงหน้าว่าจะต้องทำอะไรบ้างในแต่ละขั้นตอน ขั้นตอนใดควร ทำก่อนหรือหลังเพื่อให้งานวิจัยสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว 2. ช่วยทำให้ผู้วิจัยเห็นลู่ทางล่วงหน้าในการแก้ปัญหาหรืออุปสรรคต่าง ๆ อันอาจเกิดขึ้นได้ 3. ช่วยชี้แนะในเรื่องตัวแปรที่ศึกษา การเลือกกลุ่มตัวอย่างในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย และ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 4. ช่วยทำให้สามารถประเมินเกี่ยวกับแรงงานและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ รวมทั้งจะต้องเตรียมสิ่งจำเป็นต่าง ๆ อะไรบ้างไว้ล่วงหน้า 5. ใช้แสดงเพื่อผู้อนุมัติการทำวิจัยได้พิจารณาเพื่อตัดสินใจว่าสมควรให้ทำได้หรือไม่ 6. ใช้แสดงเพื่อให้ผู้ให้ทุนทำวิจัยได้มีข้อมูลในการตัดสินใจว่าเรื่องที่ทำนั้นสมควรได้รับทุนหรือไม่ และ ถ้าสมควรได้รับทุน ควรได้รับทุนมากน้อยเพียงใด 7.2 แนวทางการเขียนโครงร่างการวิจัย เค้าโครงการวิจัย หมายถึงแผนการวิจัยที่วางและเขียนไว้ล่วงหน้าก่อนลงมือดำเนินการวิจัย แผนการ วิจัยต้องผ่านการคิดอย่างถี่ถ้วนรอบคอบ ซึ่งเปรียบเสมือนแบบแปลนบ้านที่เขียนขึ้นโดยสถาปนิก สามารถ ออกแบบตามขนาด เนื้อที่ วัสดุก่อสร้าง งบประมาณ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เค้าโครงการวิจัยมีส่วน ประกอบด้วยหัวข้อ ดังนี้ 1. ชื่อเรื่องหรือหัวข้อปัญหาวิจัย 2. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาวิจัยหรือภูมิหลัง 3. วัตถุประสงค์ของการวิจัยหรือความมุ่งหมายของการวิจัย 4. แนวคิดสำคัญ หรือสมมติฐานของการวิจัย (ถ้ามี) 5. ขอบเขตของการวิจัย 6. ข้อตกลงเบื้องต้น 7. ประโยชน์ของการวิจัย 8. คำนิยามศัพท์เฉพาะหรือคำจำกัดความที่ใช้ในการวิจัย 9. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 126 10. วิธีดำเนินการวิจัย 10.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 10.2 เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล 10.3 ทดลองและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ 10.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล 10.5 การวิเคราะห์ข้อมูล 10.6 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 11. แผนการดำเนินงานวิจัย 12. งบประมาณดำเนินงานวิจัย 13. ผู้รับผิดชอบโครงการวิจัย 14. บรรณานุกรม การเขียนเค้าโครงการวิจัยในหัวข้อต่าง ๆ มีแนวทางในการเขียนดังนี้ 1. ชื่อโครงการวิจัย ชื่อโครงการวิจัยเป็นการสื่อความหมายให้ทราบถึงเรื่องที่จะทำวิจัยและระเบียบ วิธีการวิจัย ดังนั้นควรเลือกใช้ข้อความที่ชี้นำให้ผู้อ่านทราบปัญหาวิจัย และลักษณะที่เด่นเป็นพิเศษของ งานวิจัย อาจจะอยู่ในรูปของข้อความหรือวลีก็ได้ ไม่ควรตั้งชื่อโครงการวิจัยยาวหรือสั้นเกินไป โครงการวิจัยที่ดี ควรจะเขียนสะท้อนให้เห็นตัวแปร ประชากร และขอบเขตการวิจัย 2. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา สาระสำคัญของความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา จะต้องแสดงการมองปัญหาการวิจัยจากภาพกว้างมาสู่ภาพเล็กลงถึงเรื่องที่จะทำการวิจัย เพื่อให้เห็นความ เชื่อมโยงของการนำเข้าสู่ปัญหาวิจัย ซึ่งการเขียนควรแสดงเนื้อหา 4 ประการ จากภาพกว้าง ๆ เชื่อมโยง เกี่ยวกับปัญหาการวิจัยสู่ภาพที่เล็กลง ดังนี้ 2.1 การนำเข้าสู่ปัญหาการวิจัย เป็นการเกริ่นอย่างกว้าง ๆ ถึงประเด็นของปัญหา 2.2 ที่มาของปัญหาการวิจัย เป็นการเขียนเพื่อแสดงว่ามีเบื้องหลังที่มาอย่างไร 2.3 ปัญหาการวิจัย การเขียนต้องชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่แท้จริงของเรื่องที่จะทำวิจัย 2.4 ความสำคัญของปัญหา เขียนถึงความจำเป็นที่ต้องศึกษาปัญหาการวิจัย ถ้าหากไม่ทำ การวิจัยจะเกิดผลกระทบอะไรบ้าง จากส่วนประกอบของเค้าโครงการวิจัย ผู้วิจัยจะต้องศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง สนทนากับผู้รู้ แล้วจึง สรุปกรอบความคิดในการเขียนที่เป็นภาพรวมโดยเชื่อมโยงขั้นตอนทั้งหมดเพื่อที่จะช่วยให้ผู้วิจัยได้เห็นภาพรวม ของโครงการวิจัยทั้งหมด หลังจากนั้นจึงลงมือเขียนโครงการวิจัย และเค้าโครงการวิจัยนี้ก็คือรายงานการวิจัย บทที่ 1 บทที่ 2 และบทที่ 3 นั่นเอง โดยหัวข้อ ที่ 1- 8 คือ บทที่ 1 หัวข้อที่ 9 คือบทที่ 2 และหัวข้อที่ 10 คือ บทที่ 3 3. วัตถุประสงค์ของการวิจัย ในการเขียนวัตถุประสงค์ควรยึดหลักดังนี้


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 127 3.1 สอดคล้องกับโครงการวิจัย 3.2 ใช้ภาษาที่กะทัดรัด สั้น ได้ใจความชัดเจน 3.3 เขียนเป็นบรรยายความ และถ้ามีวัตถุประสงค์หลายข้อให้เขียนเป็นข้อ ๆ เรียงลำดับจาก วัตถุประสงค์หลักไปหาวัตถุประสงค์ย่อย 4. แนวคิดสำคัญ หรือสมมติฐานของการวิจัย (ถ้ามี) ถ้ามีการคาดคะเนคำตอบไว้ล่วงหน้าต้องเขียน สมมติฐานการวิจัย ซึ่งจะเขียนในลักษณะที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาปัญหา ต่าง ๆ จากปรากฏการณ์และตัว แปร งานวิจัยบางเรื่องมิได้มุ่งตอบคำถามใดหรือสิ่งที่ต้องการคำตอบ ไม่สามารถเขียนสมมติฐานได้ ในกรณีนี้ ผู้วิจัยควรเขียนเหตุผล แนวคิดสำคัญ หรือทฤษฏีที่จะใช้ในการวิจัยครั้งนั้น 5. ขอบเขตของการวิจัย เป็นการระบุขอบเขตการวิจัยเกี่ยวกับพื้นที่ทำการศึกษา ระยะเวลา หรือ ช่วงเวลาที่ทำการวิจัย ประชากร และตัวแปรที่ทำการวิจัย 6. ข้อตกลงเบื้องต้น เป็นเงื่อนไขที่ผู้วิจัยยอมรับโดยไม่ได้ตรวจสอบ เช่นข้อตกลงในเรื่องการวัดเขียนไว้ ว่านักศึกษาทำแบบทดสอบด้วยตนเองและเต็มความสามารถ 7. ประโยชน์ของการวิจัย ในการเขียนประโยชน์ควรเขียนดังนี้ 7.1 ควรเขียนเรียงลำดับข้อจากประโยชน์โดยตรงมากที่สุดไปสู่น้อยที่สุด 7.2 ต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และสิ่งที่ทำการวิจัย 7.3 ถ้าเขียนเป็นข้อ ภาษาที่ใช้ขึ้นต้นต้องมีลักษณะเช่นเดียวกัน 7.4 ถ้าเขียนเป็นข้อ ไม่ควรใช้คำว่า เพื่อ......ขึ้นต้นเพราะจะเกิดความสับสนกับวัตถุประสงค์ 8. คำจำกัดความที่ใช้ในการวิจัย ในการทำวิจัยแต่ละเรื่อง จะต้องเขียนคำจำกัดความที่มีความหมาย เฉพาะเจาะจงในเรื่องวิจัยนั้น ๆ ที่ได้กล่าวหรืออ้างในการวิจัย เช่น คำว่า “ นักศึกษา” หมายถึง ผู้ที่ลงทะเบียน เรียนหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิตสถาบันการพลศึกษา และเมื่อใช้คำว่านักศึกษา ก็จะต้องใช้คำนี้ตลอดทั้ง ฉบับ 9. การศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย ในการเขียนจะต้องเขียนในลักษณะสังเคราะห์ไม่ใช่การ เขียนย่อ การเขียนต้องแสดงถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อการวิจัยเพื่อสนับสนุนชี้ประเด็นที่โต้แย้ง เน้นให้เห็น ความสำคัญและยังเป็นหลักในการแปลความหมาย หรือสรุปข้อค้นพบของการวิจัยด้วย และต้องระบุแหล่ง อ้างอิงโดยยึดถือแบบการอ้างอิงระบบใดระบบหนึ่ง 10. วิธีดำเนินการวิจัย วิธีดำเนินการวิจัยจะต้องเขียนใน 4 หัวข้อย่อย ดังนี้ 10.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ระบุถึง ลักษณะของกลุ่มประชากร จำนวน และการได้มา ซึ่งกลุ่มตัวอย่าง มีเกณฑ์ในการเลือกอย่างไร จำนวนเท่าไร 10.2 เครื่องมือการวิจัย ระบุถึงลักษณะของเครื่องมือว่าพัฒนาขึ้นมาเองหรือใช้เครื่องมือของ ใคร หรือประยุกต์มาจากของใคร ตลอดจนประสิทธิภาพและวิธีการใช้เครื่องมือ


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 128 10.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล ระบุวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล การจดบันทึกผู้เก็บ ช่วงเวลา และ สถานที่ที่จะเก็บรวบรวมข้อมูล 10.4 การวิเคราะห์ข้อมูล ระบุถึงวิธีการที่จะใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ระบุเกณฑ์หรือวิธีการที่ จะใช้สถิติ ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของข้อมู 11. แผนการดำเนินงานวิจัย หรือปฏิทินปฏิบัติงานวิจัย จะต้องกำหนดเป็นกิจกรรมและขั้นตอนต่าง ๆ รวมทั้งระยะเวลาที่จะใช้ในแต่ละขั้นตอน 12. งบประมาณ ควรแจกแจงรายละเอียดของค่าใช้จ่ายตามหมวดเงินงบประมาณใน แต่ละกิจกรรม ให้เหมาะสม สมเหตุสมผล ไม่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป 13. ผู้รับผิดชอบโครงการ ผู้รับผิดชอบโครงการวิจัยจะเป็นเครื่องประกันคุณภาพของผลงานวิจัย ดังนั้นให้ระบุชื่อ- สกุล ตำแหน่งทางวิชาการ และวุฒิทางการศึกษา ถ้ามีผู้ร่วมงานทำวิจัยให้ระบุว่าใครเป็น หัวหน้าโครงการ ใครเป็นผู้ร่วมวิจัยหรือผู้ช่วยวิจัย 14. บรรณานุกรม ให้บันทึกแหล่งข้อมูล เอกสาร การสัมภาษณ์ ที่ได้ใช้ศึกษา เพื่อนำมาสนับสนุนการ เขียนโครงการวิจัย การเขียนบรรณานุกรมให้ยึดแบบใดแบบหนึ่งที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ การ เขียนรายงานการวิจัยเป็นสิ่งสำคัญขั้นตอนหนึ่งในการทำวิจัยที่จะสามารถนำรายงานการวิจัยนั้นไปให้ผู้สนใจที่ ไม่ได้ทำวิจัยได้ติดตามอ่านและรู้เรื่องเข้าใจตามไปด้วย ดังนั้นผู้วิจัยจึงต้องมีความรู้ในการเขียนรายงานการวิจัย ให้ถูกต้องตามรูปแบบด้วย การเขียนรายงานการวิจัยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเสนอผลงานการวิจัยให้ผู้อื่นได้รู้ถึง ปัญหาของการวิจัย ระเบียบวิธีการวิจัย และผลของการศึกษาปัญหานั้น นอกจากนี้ รายงานการวิจัยยังสามารถ เก็บไว้เป็นหลักฐาน เพื่อประโยชน์ในการเป็นแนวทางการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับปัญหาวิจัยต่อไป 7.3 การประเมินโครงร่างการวิจัย การประเมินรายงานการวิจัย เป็นการตรวจสอบคุณภาพของรายงานการวิจัยว่ามีคุณภาพมากน้อย เพียงใด ในการประเมินรายงานการวิจัยนักวิจัยจะต้องกำหนดวัตถุประสงค์ของการประเมินให้ชัดเจนว่า ต้องการประเมินงานวิจัยเพื่อนำผลการประเมินไปใช้ในเรื่องใด สมคิด พรมจุ้ย (2555 : 203 - 204) ได้กำหนด วัตถุประสงค์ของการประเมินงานวิจัยมี 3 ประการ คือ 1. เพื่อนำผลการประเมินไปใช้ในการตัดสินใจว่าควรจะนำผลการวิจัยไปใช้ในการแก้ปัญหา หรือ พัฒนางาน 2. เพื่อนำผลการประเมินงานวิจัยไปใช้ในการตัดสินใจเกี่ยวกับการพิจารณาเลื่อนตำแหน่งงานหรือขอ ผลงานทางวิชาการ 3. เพื่อนำผลการประเมินงานวิจัยไปใช้ในการตัดสินใจให้รางวัลผลงานวิจัย


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 129 การประเมินผลงานวิจัยพิจารณาจากความครบถ้วนของหัวข้อในรายงานการวิจัย ความชัดเจนและความ ถูกต้องของรายงานการวิจัยและคุณค่าของผลการวิจัยต่อวงวิชาการหรือการนำไปใช้ประโยชน์มีรายละเอียด ดังนี้ (สมคิด พรมจุ้ย. 2555) 1. ความครบถ้วนของหัวข้อ หัวข้อที่ปรากฏในรายงานการวิจัย ได้แก่ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1.3 ขอบเขตของการวิจัย 1.4 คำจำกัดความเชิงปฏิบัติการหรือนิยามศัพท์เฉพาะ 1.5 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1.6 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1.7 วิธีดำเนินการวิจัย 1.8 กลุ่มผู้ให้ข้อมูล หรือประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.9 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1.10 การเก็บรวบรวมข้อมูล 1.11 การวิเคราะห์ข้อมูล 1.12 การสรุปผลการวิจัย 1.13 การอภิปรายผล 1.14 ข้อเสนอแนะ 1.15 บรรณานุกรม 1.16 ภาคผนวก 1.17 บทสรุปสำหรับผู้บริหาร 2. ความถูกต้องและความชัดเจนในแต่ละหัวข้อ เป็นการพิจารณาว่านักวิจัยได้เขียนนำเสนอ สาระสำคัญของรายงานการวิจัยแต่ละหัวข้อได้ถูกต้อง ครบถ้วน และชัดเจนมากน้อยเพียงใด การวิจัยแต่ละเรื่องที่ทำสำเร็จจนกระทั่งเขียนเป็นรายงานการวิจัยแล้วนั้นย่อมมีคุณภาพที่ไม่เท่าเทียมกัน เนื่องจากบางเรื่องมีการสุ่มตัวอย่างที่ไม่ถูกต้อง ใช้เครื่องมือที่ขาดคุณภาพ เป็นต้น ดังนั้นจึงต้องมีการ ประเมินผลงานวิจัยว่ามีความถูกต้องสมบูรณ์และมีคุณภาพเชื่อถือได้เพียงใด ควรทำแบบสำรวจประเมิน งานวิจัยพอสรุปไว้เป็นข้อๆ ดังนี้ 1. ผู้วิจัยได้กำหนดปัญหาและเขียนปัญหาได้ชัดเจนหรือไม่ 2. ปัญหาที่วิจัยมีหลักการหรือทฤษฎีรองรับหรือไม่ 3. ปัญหาที่วิจัยมีความสำคัญเพียงใด


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 130 4. ผู้วิจัยได้ศึกษางานเขียนทางวิชาการที่เกี่ยวข้องหรือไม่ ถ้ามี งานเขียนที่เกี่ยวข้องตรง ประเด็นกับปัญหาที่วิจัยเพียงใด 5. สมมติฐานในการวิจัยมีหรือไม่ ถ้ามี ผู้วิจัยได้เขียนสมมติฐานได้ชัดเจนเพียงใด 6. มีการกำหนดคำนิยามปฏิบัติการของสิ่งที่มุ่งวัดอย่างเหมาะสมเพียงใด 7. ผู้วิจัยได้บรรยายถึงวิธีการวิจัยหรือวิธีตอบปัญหาอย่างชัดเจนหรือไม่ ผู้วิจัยได้ศึกษาจาก ตัวอย่างประชากรหรือศึกษาจากข้อมูลประชากร ถ้าศึกษาจากตัวอย่างประชากร ผู้วิจัยได้มาซึ่ง ตัวอย่างอย่างไร เหมาะสมเพียงใด 8. แหล่งของความคลาดเคลื่อนอันจะทำให้ผลการวิจัยผิดพลาดมีอะไรบ้าง ผู้วิจัยได้มีวิธีการ ควบคุมความคลาดเคลื่อนเหล่านี้อย่างไรบ้าง 9. ผู้วิจัยใช้สถิติวิเคราะห์ข้อมูลหรือไม่ ถ้าใช้สถิติเหล่านั้นมีความเหมาะสมเพียงใด 10. ผู้วิจัยได้รายงานผลการวิจัยชัดเจนเพียงไร 11. ผู้วิจัยได้ลงข้อสรุปอย่างชัดเจนหรือไม่ ผู้วิจัยได้สรุปเกินขอบเขตหรือไม่ 12. ข้อจำกัดในการวิจัยเรื่องนี้มีหรือไม่ ผู้วิจัยได้เขียนอธิบายไว้อย่างชัดเจนหรือไม่ 7.4 การทำโครงร่างการวิจัย ตัวอย่างของแบบขอกำหนดหัวข้อและโครงร่างวิทยานิพนธ์/ดุษฎี นิพนธ์หลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา ภาควิชาบริหารการศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โครงร่างดุษฎีนิพนธ์ วิทยานิพนธ์และสารนิพนธ์เป็นแผนการทำงานที่นิสิตเขียนขึ้น เพื่อให้เห็น ทิศทางหรือแนวทางการทำงานทางวิชาการของตน ส่วนใหญ่เนื้อหาของโครงร่างจะให้เหตุผลว่า ทำไมถึงทำ วิจัยเรื่องนั้น มีประเด็นปัญหาหรือคำถามอะไรที่ต้องการหาคำตอบ ต้องการบรรลุเป้าหมายอะไร จะใช้วิธี การศึกษาอย่างไร และเมื่อทำสำเร็จแล้ว คาดว่าจะมีประโยชน์ต่อวงวิชาการและต่อสังคมอย่างไร เป็นต้น )บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2560( มีหลักการเขียนโดยสังเขปดังนี้ 1.1 ชื่อเรื่อง )ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ( การตั้งชื่อเรื่องดุษฎีนิพนธ์ วิทยานิพนธ์และสารนิพนธ์ ควรเขียนเป็นคำนามวลี เช่น “วิธีการ ประกาศพระศาสนาของพระพุทธเจ้า” ไม่ควรเขียนเป็นประโยคสมบูรณ์ที่มีครบทั้งประธาน กริยา และกรรม เช่น “พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนา” ควรใช้ภาษากะทัดรัด ชัดเจน ไม่วกวนคลุมเครือ ที่สำคัญคือ ชื่อ เรื่องต้องสะท้อนหรือเล็งถึงประเด็นปัญหาที่ต้องการหาคำตอบด้วย 1.2 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา การเขียนความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา เป็นการให้เหตุผลประกอบว่า ทำไมเรื่องของเราจึงสมควร ศึกษาวิจัย ปัญหาที่ต้องการหาคำตอบนั้นสำคัญอย่างไร มีภูมิหลังหรือความเป็นมาอย่างไร ในอดีตที่ผ่านมา มี


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 131 แนวคิดหรือทฤษฎีที่พยายามตอบปัญหานั้นหรือไม่ อย่างไร ถ้ามีผู้ศึกษาไว้บ้างแล้ว ต้องชี้แจงต่อไปว่า มี ประเด็นปัญหาใดบ้างที่ยังค้างคาอยู่หรือตอบแล้ว แต่ยังไม่สมบูรณ์ อุปมาเหมือนเราเสนอความเห็นในที่ประชุม ว่า ให้เอาอย่างนั้น อย่างนี้ ที่ประชุมจะเห็นด้วยกับข้อเสนอเราหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเหตุผลที่เราใช้สนับสนุน ข้อเสนอนั้นเป็นสำคัญ ทั้งหมดนี้ เพื่อแสดงเหตุผลให้เห็นว่า เรื่องที่นามาศึกษานี้สำคัญและจาเป็นหรือจูงใจ มากจนถึงขนาดทำให้ผู้ศึกษาสนใจและตัดสินใจเลือกศึกษาเรื่องนี้ 1.3 คำถามวิจัย การเขียนคำถามวิจัย คือ การเขียนระบุลงไปให้ชัดเจนว่า งานวิจัยเรื่องนั้นต้องการตอบปัญหา อะไร ส่วนใหญ่ปัญหาการวิจัยจะมีอยู่แล้วในความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา แต่ที่แยกออกมาเป็นอีก ข้อหนึ่งต่างหาก เพื่อเน้นให้เห็นปัญหาเด่นชัดมากยิ่งขึ้น 1.4 วัตถุประสงค์ของการวิจัย การเขียนวัตถุประสงค์ของการวิจัย คือ การวางเป้าหมายการทางานไว้ล่วงหน้าว่า งานดุษฎีนิพนธ์ วิทยานิพนธ์หรือสารนิพนธ์ของเราจะเดินทางไปสู่จุดหมายใด เหมือนการไปซื้อของในห้างสรรพสินค้า ถ้าเรามี เป้าหมายล่วงหน้าว่า จะไปซื้อของอะไร ที่ร้านไหน เราก็จะมุ่งไปหาร้านนั้นโดยตรง ไม่ต้องเสียเวลาเดินหาไป เรื่อย ๆ การเขียนวัตถุประสงค์การวิจัยมีประโยชน์มากในแง่ที่ทำให้ผู้วิจัยรู้ล่วงหน้าว่า งานวิจัยของตนมุ่งไปสู่ เป้าหมายใด เวลาลงมือเขียนจริง ๆ ก็จะไม่ต้องเสียเวลากับสิ่งที่ไม่ใช่เป้าหมายของตนเอง การเขียน วัตถุประสงค์การวิจัยนั้น นิยมเขียนแยกเป็นข้อ ๆ โดยขึ้นต้นคาว่า “เพื่อ...” โดยแต่ละข้อต้องสัมพันธ์กันและ มุ่งไปในทิศทางเดียวกัน กล่าวคือ มุ่งไปสู่การตอบปัญหาการวิจัยเหมือนกัน 1.5 ขอบเขตการวิจัย การเขียนขอบเขตการวิจัย คือ การเขียนระบุว่างานวิจัยเรื่องนั้น ๆ จะศึกษาภายในขอบเขตกว้าง แคบแค่ไหนเพียงไร จะเก็บข้อมูลจากเอกสารหรือจากกลุ่มประชากรกว้างแคบแค่ไหน การระบุขอบเขตการ วิจัย มีประโยชน์ในแง่ที่ทาให้เราเก็บข้อมูลได้อย่างครอบคลุมภายในขอบเขตที่กำหนดไว้ ส่วนข้อมูลนอกนั้น ถือว่าไม่ได้อยู่ในขอบข่ายแห่งการศึกษาของเรา เช่น เราเขียนขอบเขตไว้ว่า จะศึกษาเรื่องกรรมเฉพาะใน พระไตรปิฎก เราก็เก็บข้อมูลเรื่องกรรมเท่าที่มีในพระไตรปิฎก 45 เล่มเท่านั้น ไม่ต้องไปเก็บจากคัมภีร์รุ่นหลัง เช่น คัมภีร์รุ่นอรรถกถา ฎีกา เป็นต้น อุปมาเหมือนเราขีดวงกลมบนผืนทรายแล้วเก็บเมล็ดทรายเฉพาะภายใน วงกลมที่เราขีดไว้เท่านั้น ขอบเขตการวิจัย จึงเป็นการกาหนดกรอบหรือระบุขอบเขตของการวิจัยว่า จะทำการศึกษา กว้างขวางเพียงใด ครอบคลุมถึงเรื่องอะไร ซึ่งจะช่วยให้ผู้วิจัยไม่ศึกษานอกขอบเขต แต่ให้ศึกษาเฉพาะหน่วยที่ วิจัยเท่านั้น ซึ่งอาจแบ่งขอบเขตที่ศึกษาได้ดังนี้


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 132 1.5.1 ขอบเขตด้านเนื้อหา เขียนแสดงให้เห็นถึงขอบเขตของเนื้อหาเอกสารหรือคัมภีร์ที่ต้องการ ศึกษาว่าต้องการกำหนดแค่ไหน อย่างไร ซึ่งถือว่า เป็นข้อตกลงเบื้องต้นของดุษฎีนิพนธ์วิทยานิพนธ์ฉบับนั้น ๆ 1.5.2 ขอบเขตด้านตัวแปร ก.การวิจัยเชิงคุณภาพ )Qualitative Research) ควรระบุตัวแปรที่ศึกษาไว้อย่างกว้างๆและแสดง ให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องของตัวแปรที่สนใจศึกษา ข.การวิจัยเชิงปริมาณ )Quantitative Research) ควรระบุตัวแปรที่ศึกษาให้ชัดเจน เช่น ตัวแปร ต้น ตัวแปรตาม ตัวแปรสังเกตได้ ตัวแปรแฝง และ/หรือ ตัวแปรที่เกี่ยวข้อง ค.การวิจัยแบบผสมวิธี )Mixed Methods Research) ควรระบุทั้งตัวแปรเชิงคุณภาพและตัวแปร เชิงปริมาณให้ชัดเจน การกำหนดขอบเขตด้านตัวแปร ควรคำนึงถึงการทบทวนเอกสารและงานวิจัยด้วยว่า ตัวแปรแต่ ละตัวสอดคล้องกับแนวคิดทฤษฎีหรืองานวิจัยของใคร 1.5.3 ขอบเขตด้านประชากร/ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ก.การวิจัยเชิงคุณภาพ โดยเฉพาะการวิจัยภาคสนามควรระบุผู้ให้ข้อมูลสาคัญหรือ กลุ่มเป้าหมาย ให้ชัดเจนว่า ผู้ให้ข้อมูลสำคัญแบ่งเป็นกี่กลุ่ม แต่ละกลุ่มมีจานวนเท่าใด ข.การวิจัยเชิงปริมาณ ควรกำหนดขอบเขตด้านประชากรให้ชัดเจนว่า ต้องการเก็บรวบรวมข้อมูล กับกลุ่มใดและจานวนประชากรควรอ้างอิงแหล่งที่มาให้ชัดเจน สำหรับการวิจัยแบบผสมวิธี ต้องระบุขอบเขตทั้งด้านประชากรและผู้ให้ข้อมูลสำคัญ และการวิจัยเชิงคุณภาพ ภาคเอกสาร ไม่จาเป็นต้องระบุประชากรหรือผู้ให้ข้อมูลสำคัญแต่ให้ระบุคัมภีร์หรือตาราที่ใช้ศึกษาในห้วข้อ ขอบเขตด้านเนื้อหา 1.5.4 ขอบเขตด้านพื้นที่ )ถ้ามี( กำหนดพื้นที่การวิจัยให้ชัดเจนว่า ศึกษาที่ไหน หน่วยงานหรือ องค์กรใด ตั้งอยู่สถานที่ใด 1.5.5 ขอบเขตด้านระยะเวลา กำหนดระยะเวลาในการดาเนินการวิจัย โดยเริ่มนับตั้งแต่เมื่อได้รับ อนุมัติหัวข้อวิจัยไปจนถึงส่งเล่มรายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์เช่น ดำเนินการวิจัยตั้งแต่เดือนมกราคมพ.ศ. 2560 ถึง เดือนธันวาคม พ.ศ. 2560 รวมเป็นระยะเวลา 1 ปี เป็นต้น โดยพิจารณาถึงขอบเขตงานวิจัย 1.6 สมมติฐานการวิจัย )ถ้ามี( สมมติฐานการวิจัย )Research Hypothesis) เป็นคาตอบที่คาดคะเนความสัมพันธ์ระหว่างตัว แปรตั้งแต่สองตัวขึ้นไปซึ่งผู้วิจัยคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าอย่างสมเหตุสมผลเกี่ยวกับเรื่องที่ผู้วิจัยต้องการศึกษา มี ทฤษฎีรองรับและใช้ในการวิจัยเชิงปริมาณ มักเขียนอยู่ในรูปข้อความประกอบด้วย สมมติฐานแบบมีทิศทางที่ ระบุทิศทางของความแตกต่างอย่างชัดเจน เช่น “นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในเขตกรุงเทพมหานครที่ เข้าร่วมกิจกรรมรูปแบบการเรียนรู้เชิงรุกตามหลักพุทธจิตวิทยาเพื่อพัฒนาการรู้คุณค่าแห่งตนเองมีระดับการรู้


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 133 คุณค่าแห่งตนหลังเข้าร่วมกิจกรรมสูงกว่าก่อนเข้าร่วมกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ” และสมมติฐานแบบ ไม่มีทิศทางที่ไม่ระบุทิศทางของความแตกต่าง เช่น “บุคลากรที่มีสถานภาพต่างกันมีความคิดเห็นเกี่ยวกับ ประสิทธิผลการบริหารงานบุคคลของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตภาคเหนือแตกต่าง กัน” ดังนั้น การตั้งสมมติฐานจึงเป็นการตั้งขึ้นเพื่อใช้เป็นทิศทางในการพิสูจน์หรือทดสอบในการดำเนินการวิจัย ได้อย่างตรงประเด็น 1.7 นิยามศัพท์เฉพาะที่ใช้ในการวิจัย นิยามศัพท์เฉพาะที่ใช้ในการวิจัยเป็นการให้ความหมายกับคาศัพท์หรือตัวแปรที่ปรากฏในงานวิจัย มี 2 ลักษณะ คือ นิยามศัพท์เฉพาะเป็นการให้ความหมายกับศัพท์ที่ต้องการให้ผู้อ่านงานวิจัยเข้าใจตรงกัน ตลอดทั้งเล่ม เช่น “การเรียนรู้เชิงรุก หมายถึง กระบวนการที่ให้ผู้เรียนหรือผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้มีส่วนร่วม ได้ ลงมือปฏิบัติ คิดวิเคราะห์และนาเสนอด้วยความรู้ ความเข้าใจ” สำหรับการนิยามเชิงปฏิบัติการ )Operational Definition) เป็นการให้ความหมายกับตัวแปรที่ผู้วิจัยต้องการวัดค่า ปริมาณ หรือจัดกระทากับ ตัวแปร ซึ่งนาไปสู่การสร้างเครื่องมือการวิจัย โดยการให้คำนิยามเชิงปฏิบัติการไม่ใช่เป็นการให้นิยามตาม พจนานุกรม หรือคาที่มีความหมายทั่วไป แต่เป็นนิยามที่ต้องมีสิ่งบ่งชี้ว่าตัวแปรนั้นๆ สามารถวัดปริมาณได้ หรือจัดกระทำกับตัวแปรอย่างไร เช่น “การรู้คุณค่าแห่งตน หมายถึง คะแนนที่ได้จากนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ประเมินตนเองด้านดูตนออก บอกตนได้และใช้ตนเป็นจากแบบวัดการรู้คุณค่าแห่งตน” 1.8 ทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง หมายถึง การย้อนกลับไปสำรวจเอกสารและงานวิจัย ที่มีผู้ศึกษาไว้ในอดีต ซึ่งเป็นงานที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับงานวิจัยของเราโดยตรงหรือบางส่วนการทบทวน ก็คือ การสำรวจดูว่า งานเรื่องนั้น ๆ ผู้เขียนมุ่งศึกษาหาคาตอบในประเด็นปัญหาอะไร เมื่อศึกษาแล้วได้พบคาตอบว่า อย่างไรบ้าง คำตอบนั้นมีช่องว่าง )Academic Gap) หรือมีความไม่ชัดเจนอะไรที่จะเป็นช่องทางให้เราศึกษา เพื่อความชัดเจนต่อไป การทบทวนเอกสารฯ มีประโยชน์ในแง่ที่ทาให้เราเห็นพัฒนาการขององค์ความรู้ในด้าน นั้น ๆ ว่ามีความเป็นมาอย่างไร ก้าวหน้าไปถึงไหน เพื่อหลีกเลี่ยงการทำวิจัยซ้ำซ้อน และทาให้เราเห็นช่องทาง ที่จะศึกษาหาคำตอบต่อไป อุปมาเหมือนคนในอดีตได้สร้างบันไดหลายขั้นไว้ให้แก่เรา ถ้าเราอยากสร้างบันได ให้สูงขึ้นไปอีก ก็ต้องย้อนกลับไปทบทวนดูว่า ในอดีตได้สร้างบันไดไว้กี่ขั้นแล้ว บันไดเหล่านั้น มีวิธีการสร้าง อย่างไร มีข้อบกพร่องหรือช่องทางที่จะพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นหรือไม่ อย่างไร และมีโอกาสที่จะสร้างบันไดให้สูงขึ้น ได้หรือไม่ เป็นต้น ซึ่งการทบทวนอดีตแล้วพบข้อบกพร่องหรือช่องทางที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ขึ้นได้ ถือว่า เป็นโอกาสทองในการทำงานวิจัย เพราะนี้คือเหตุผลที่เราสามารถนาไปอ้างกับคนอื่น ๆ ได้ว่า งานวิจัยของเรา เป็นงานสร้างสรรค์ใหม่ เป็นงานที่จะสร้างองค์ความรู้ใหม่ได้ ไม่ใช่งานที่เดินซ้ำรอยหรือเป็นงานที่เอาสิ่งที่ผู้อื่นรู้ แล้วมาพูดทวนซ้ำอีก


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 134 ในการทบทวนวรรณกรรม ไม่ต้องมีเลขแสดงลาดับและตำแหน่งทางวิชาการของชื่อผู้แต่งให้พิมพ์ ด้วยตัวอักษรธรรมดา กรณีที่เป็นพระภิกษุที่มีสมณศักดิ์ให้ใช้ชื่อตามสมณศักดิ์ ตามด้วยชื่อและฉายาเดิม เช่น พระราชปริยัติกวี )สมจินต์ สมฺมาปญฺโญ(, พระครูโกศลศาสนบัณฑิต )กฤษณะ ตรุโณ( เป็นต้น 1.9 กรอบแนวคิดในการวิจัย กรอบแนวคิดในการวิจัย )Conceptual Framework) เป็นการเขียนเพื่อแสดงความสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปรที่ผู้วิจัยได้จากการทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนด ทิศทางการออกแบบการ วิจัย )Research Design) โดยสามารถใช้ได้กับการวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงปริมาณ 1.10 วิธีดำเนินการวิจัย วิธีดาเนินการวิจัย )Research Methodology) หรือบางครั้งเรียกว่า ระเบียบวิธีวิจัย เป็น องค์ประกอบที่สำคัญมาก เพราะผลการวิจัยที่ออกมาจะน่าเชื่อถือหรือไม่ ขึ้นอยู่กับวิธีการดำเนินการวิจัย ที่เรา ใช้เป็นเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูล การเขียนวิธีดำเนินการวิจัย คือ การแจงรายละเอียดว่า เมื่อถึงเวลาลงมือทาวิจัยจริง ๆ เราจะมีวิธีการและขั้นตอนการเก็บหลักฐานข้อมูลมาตอบปัญหาวิจัยอย่างไร จะ ใช้เครื่องมืออะไรเก็บข้อมูล )เช่น แบบสอบถาม การสัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกต การสนทนากลุ่ม( เมื่อได้ข้อมูล มาแล้วจะทำอย่างไรกับข้อมูลนั้น อุปมาเหมือนพ่อครัวชี้แจงเหตุผลว่า ตนจะทำอาหารพิเศษชนิดหนึ่งขึ้นมา พร้อมกับบอกวิธีการทำอาหารว่า มีลำดับขั้นตอนอย่างไร นับตั้งแต่วิธีการที่จะได้มาซึ่งวัตถุดิบสาหรับทำอาหาร ขั้นตอนการปรุงจะเริ่มจากอะไรก่อน อะไรหลัง เป็นต้น การเขียนวิธีการดำเนินการวิจัยทาได้หลายแบบ ดังนี้ 1.10.1 รูปแบบการวิจัย ก. การวิจัยเชิงคุณภาพ )Qualitative Research) ภาคเอกสาร หมายถึง งานวิจัยที่รวบรวมข้อมูลเพื่อตอบปัญหาการวิจัยจากเอกสารเท่านั้น เช่น งานวิจัยทางปรัชญางานวิจัยทางประวัติศาสตร์ งานวิจัยด้านวรรณคดี งานวิจัยคัมภีร์ศาสนา )ส่วนใหญ่เป็น งานวิจัยสายมนุษยศาสตร์( เวลาเขียนวิธีดาเนินการวิจัยต้องแจงให้ละเอียดว่า จะมีวิธีการเก็บข้อมูลจาก เอกสารที่จะศึกษาอย่างไร เมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว จะวิเคราะห์หรือตีความข้อมูลนั้นด้วยกรอบแนวคิดอะไร เช่น อาจบอกว่า จะวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการทางปรัชญา/ด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์/ด้วยวิธีการแบบวรรณคดี วิจารณ์/ด้วยวิธีแห่งศาสตร์แห่งการตีความ เป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง รวมทั้งแจงให้เห็นรายละเอียดของวิธีการ นั้น ๆ ด้วย ภาคสนาม หมายถึง งานวิจัยที่เก็บรวบรวมข้อมูลภาคสนามแบบคุณภาพ คือ การเก็บรวบรวม ข้อมูลในรูปของข้อความจากการสัมภาษณ์ การสนทนากลุ่มและข้อความบันทึกจากการสังเกตอย่างมีส่วนร่วม ดังนั้นในเวลาเขียนวิธีดาเนินการวิจัย ต้องแสดงให้เห็นรายละเอียดการเก็บรวบรวมข้อมูลเช่น วิธีการสัมภาษณ์


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 135 เชิงลึก )In-depth Interview) การสนทนากลุ่ม )Focus Group Discussion) การสังเกตแบบมีส่วนร่วม )Participant Observation) เป็นต้น ข. การวิจัยเชิงปริมาณ )Quantitative Research) หมายถึง การวิจัยที่ใช้วิธีการเก็บรวบรวม ข้อมูลในรูปของสถิติหรือตัวเลข เช่น 1( ระดับความคิดเห็นในการปฏิบัติงานตามหลักอิทธิบาทธรรมของ อาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน สามารถวัดได้เป็นค่าเฉลี่ย )̅ ) และ 2( ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็น ของประชาชนที่มีต่อการประยุกต์ใช้หลักภาวนา 4 ในการพัฒนาคุณภาพชีวิต สามารถวัดความแตกต่างของ ค่าเฉลี่ยก่อนและหลังการพัฒนาด้วยการทดสอบค่าที )t-test) ข้อมูลเหล่านี้ จะอยู่ในรูปของตัวเลข เรียกว่า “ข้อมูลเชิงปริมาณ” ซึ่งในการเขียนวิธีดำเนินการวิจัยเชิงปริมาณ ผู้วิจัยต้องนาเสนอให้เห็นรายละเอียด เกี่ยวกับวิธีการได้มาซึ่งกลุ่มตัวอย่าง )Sampling Design) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย )Measurement Design) และการวิเคราะห์ข้อมูล )Analysis Design) โดยที่การออกแบบการวิจัยเชิงปริมาณที่ดี ควรมีองค์ประกอบดังนี้ 1.10.2 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง/ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 1( ประชากร )Population) คือ กลุ่มบุคคลที่ใช้ในการศึกษาวิจัย ต้องระบุให้ชัดเจนว่าเป็นใคร มี จำนวนเท่าไรมีคุณลักษณะอย่างไร และระบุที่มา 2( กลุ่มตัวอย่าง )Sample) คือ ส่วนหนึ่งของประชากรที่นามาศึกษา ต้องระบุขนาดของกลุ่ม ตัวอย่าง )Sample size) และวิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่าง )Sampling Ramdom Design) 3( ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ )Key Informants) คือบุคคลที่ได้จากการเลือกแบบเจาะจง )Purposive Sampling) โดยมีคุณสมบัติตามที่ผู้วิจัยกำหนดไว้ 1.10.3 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ต้องเขียนรายละเอียดว่า เครื่องมือที่ใช้มีอะไรบ้าง พร้อมทั้งระบุลักษณะของเครื่องมือ หากสร้าง หรือพัฒนาเครื่องมือขึ้นเอง ต้องระบุขั้นตอนและวิธีการสร้าง การทดลองใช้และการตรวจสอบคุณภาพไว้ ชัดเจน 1.10.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล ต้องระบุวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล เช่น การสำรวจ การทดลอง การสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนา กลุ่ม และการสังเกตแบบมีส่วนร่วมรวมทั้งระบุขั้นตอนที่ผู้วิจัยใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลให้ชัดเจน 1.10.5 การวิเคราะห์ข้อมูล


Click to View FlipBook Version