The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ดร.ลำพอง กลมกูล (2567). เอกสารประกอบการสอน การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ (รหัสวิชา 200 308) Research fo Learning Development (200 308)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by polmcu, 2024-02-09 12:01:52

การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ (รหัสวิชา 200 308) Research fo Learning Development (200 308)

ดร.ลำพอง กลมกูล (2567). เอกสารประกอบการสอน การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ (รหัสวิชา 200 308) Research fo Learning Development (200 308)

วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 136 ให้ระบุวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพคือ การจำแนก จัดประเภทข้อมูล การตีความ การ วิเคราะห์เนื้อหา )Content Analysis) และการสร้างข้อสรุปแบบอุปนัย )Analytic Induction) และนำเสนอ เป็นความเรียง การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ คือ การวิเคราะห์ด้วยสถิติแบบบรรยาย )Descripitive statistics) ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติอนุมาน )Inferential statistics) เช่น การ ทดสอบค่าที )t-test), การทดสอบค่าเอฟ )F-test), การวิเคราะห์ถดถอย )Regression Analysis) และสถิติ วิเคราะห์ขั้นสูง )Advance statistics) เช่น การวิเคราะห์โมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ )Structural Equation Model: SEM) และนำเสนอเป็นตาราง แผนภาพ ประกอบความเรียง 1.10.6 แผนปฏิบัติการวิจัย เป็นแผนเชิงปฏิบัติการ ที่ผู้วิจัยกำหนดขึ้นเป็นแนวทางในการดำเนินการวิจัย โดยระบุกิจกรรมให้ ชัดเจน พร้อมระบุช่วงเวลาตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดในการทำกิจกรรม 1.11 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ การเขียนประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ คือ การเขียนคาดการณ์ล่วงหน้าว่า หลังจากทำงานวิจัยเรื่อง นั้นสำเร็จแล้ว จะมีประโยชน์อะไรเกิดขึ้นบ้าง ซึ่งการเขียนประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ต้องให้สัมพันธ์และมุ่งไป ในทิศทางเดียวกันกับปัญหาหรือคำถามและวัตถุประสงค์ของการวิจัยด้วย อุปมาเหมือนเราเดินทางไปจังหวัด เชียงใหม่ เชียงใหม่ คือ วัตถุประสงค์ที่เราต้องการไปให้ถึง เมื่อไปถึงตรงนั้นแล้ว เราก็คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าว่า จะได้ประโยชน์อย่างนั้นอย่างนี้หรือได้พบสิ่งนั้นสิ่งนี้ ซึ่งประโยชน์หรือสิ่งที่เราคาดว่าจะได้รับนั้น ต้องสัมพันธ์ กับจังหวัดเชียงใหม่ด้วย คือ ต้องมีอยู่จริงที่จังหวัดเชียงใหม่ด้วย ส่วนใหญ่การเขียนประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ นิยมขึ้นต้นด้วยคาว่า “ทาให้ทราบ...”“ทาให้ได้...” เป็นต้น 1.12 สารบัญ )ชั่วคราว( การเขียนสารบัญ )ชั่วคราว( เป็นการวางโครงสร้างเนื้อหาของงานวิจัยให้เห็นว่า ในแต่ละบทมี ประเด็นที่จะศึกษาอย่างไรบ้าง ชื่อบทคืออะไร มีหัวข้อย่อยอย่างไร ซึ่งการออกแบบบทแต่ละบทนั้น ต้อง คำนึงถึงวัตถุประสงค์ของการวิจัยเป็นสำคัญ ควรให้เนื้อหาของแต่ละบทมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือ มุ่งไปสู่ การตอบปัญหาการวิจัย โดยอาจให้แต่ละบททาหน้าที่ตอบปัญหาการวิจัยในบางแง่มุมหรือตอบวัตถุประสงค์ข้อ ใดข้อหนึ่ง และควรให้เนื้อหาของแต่ละบทมีความสัมพันธ์ส่งทอดกันไปตามลำดับเหมือนลูกโซ่ สารบัญ )ชั่วคราว(หรือโครงสร้างของงานวิจัยเชิงคุณภาพภาคเอกสารนั้น ไม่มีรูปแบบที่แน่นอนตายตัว ขึ้นอยู่กับความ เหมาะสมของงานแต่ละเรื่อง ส่วนสารบัญ)ชั่วคราว(หรือโครงสร้างของงานวิจัยเชิงคุณภาพภาคสนาม และเชิง ปริมาณ ค่อนข้างจะมีรูปแบบแน่นอนตายตัว )ดูแผนภาพที่ว่าด้วยสารบัญ )ชั่วคราว( ในหน้าถัดไป(


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 137 1.13 บรรณานุกรม บรรณานุกรม คือ รายการเอกสารต่าง ๆ ที่นามาใช้อ้างอิงหรือประกอบการศึกษาค้นคว้าใน งานวิจัยแต่ละเรื่อง การเขียนบรรณานุกรมนั้น ให้เขียนไว้ในส่วนท้ายของงานวิจัย โดยเขียนไล่เลียงตามลาดับ อักษร และแบ่งหมวดหมู่ตามประเภทของเอกสาร เช่น เอกสารปฐมภูมิ ทุติยภูมิ เป็นต้น ส่วนรายละเอียด เกี่ยวกับการทาบรรณานุกรม ให้ดูบทที่ว่าด้วยการทำเชิงอรรถ บรรณานุกรมและภาคผนวก )บทที่ 4( โดย เรียงลำดับตามประเภทเอกสารดังนี้ ก. ข้อมูลปฐมภูมิ 1. พระไตรปิฎก )ภาษาบาลี-ไทย( 2. หนังสือ คัมภีร์ ตาราที่เป็นต้นฉบับ )Text) ข. ข้อมูลทุติยภูมิ (1( อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา ปกรณ์วิเสส (2( หนังสือทั่วไป/หนังสือแปล (3( บทความในวารสาร/หนังสือพิมพ์/สารานุกรม/บทวิจารณ์หนังสือ (4( ดุษฎีนิพนธ์/วิทยานิพนธ์/สารนิพนธ์ (5( รายงานวิจัย/รายงานการประชุมทางวิชาการ (6( จุลสาร/เอกสารอัดสาเนา/เอกสารที่ไม่ได้ตีพิมพ์เผยแพร่และเอกสารอื่น ๆ (7( สัมภาษณ์ (8( สื่ออิเล็กทรอนิกส์ 1.14 ประวัติผู้วิจัย ประวัติผู้วิจัย เป็นข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่า ผู้วิจัยมีภูมิหลังด้านการศึกษา มีประสบการณ์ มีผลงาน ทางวิชาการ และมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ที่สอดคล้องกับเรื่องที่จะทาการศึกษาหรือไม่อย่างไร ถือว่าเป็น ส่วนหนึ่งที่คณะกรรมการสอบจะนาไปประกอบการพิจารณาโครงร่างดุษฎีนิพนธ์ วิทยานิพนธ์ รวมทั้งเป็น ข้อมูลในการติดต่อประสานของเจ้าหน้าที่ผู้ประสานงาน )รูปแบบการเขียนประวัติผู้วิจัยให้ดูแผนภาพที่ว่าด้วย ประวัติผู้วิจัยในหน้าถัดไป( 1.15 เชิงอรรถ เชิงอรรถ )Footnote) คือ การทำรายการเอกสารอ้างอิงหรือคาอธิบายเพิ่มเติมที่อยู่ด้านล่างของ ข้อความในหน้ากระดาษแต่ละหน้า ถือว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมากของงานวิจัย เพราะเป็นหลักฐานที่ แสดงให้เห็นว่า ข้อเสนอของเรามีความน่าเชื่อถือและสามารถตรวจสอบแหล่งที่มาได้ ดังนั้น เมื่อจะนาเอกสาร


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 138 หลักฐานอะไรมาใส่ไว้ในเชิงอรรถ ควรประเมินเอกสารหลักฐานและผู้เขียนด้วยว่า มีน้ำหนักเพียงพอที่จะทำให้ งานวิจัยมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นหรือไม่ )สำหรับรูปแบบการทำเชิงอรรถนั้น ให้ดูในบทที่ 4 ว่าด้วยการทำ เชิงอรรถ บรรณานุกรมและภาคผนวก( 7.2 ตัวอย่างของแบบขอกำหนดหัวข้อและโครงร่างวิทยานิพนธ์/ดุษฎีนิพนธ์หลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา ภาควิชาบริหารการศึกษา คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย แบบขอกำหนดหัวข้อและโครงร่างวิทยานิพนธ์/ดุษฎีนิพนธ์ หลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา ภาควิชาบริหารการศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ************ ชื่อผู้ เสนอ: พระครูโกศลกิจจานุสิฐ ปุญฺญโกส โล หลักสูตร: พธ.ม.พุทธบริหารการศึกษา โทรศัพท์: อีเมล์ : ๑. ชื่อหัวข้อและโครงร่าง ภาษาไทย : แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำตามหลักพรหมวิหารธรรมสำหรับผู้บริหาร โรงเรียนมัธยมศึกษา เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ภาษาอังกฤษ: GUIDLINE FOR LEADERSHIP DEVELOPMENT UNDER PREMAVIVARADHAMMA FOR SECONDARY SCHOOL ADMINISTRATORS IN BANGKOKNOI DISTRICT ,BANGKOK 2. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ผู้บริหารสถานศึกษาเป็นกลไกสำคัญและมีบทบาทในการที่จะบริหารงานต่าง ๆ ในสถานศึกษาให้ บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้โดยการอาศัยความร่วมมือจากบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาทุกฝ่ายเช่น ครู ล าดับที่................


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 139 สอนในสถานศึกษา คณะกรรมการสถานศึกษา เนื่องจากการบริหารงานในสถานศึกษาจะเกิดประสิทธิภาพได้ นั้น จำเป็นต้องอาศัยผู้บริหารและผู้ร่วมงานที่มีประสิทธิภาพ ผู้บริหารสถานศึกษาจึงจำเป็นต้องใช้วิธีการที่ หลากหลาย ทั้งที่เป็นศาสตร์และศิลป์มาประยุกต์ใช้เพื่อให้สถานศึกษามีศักยภาพยิ่งขึ้น และพัฒนาให้ทันต่อ สภาวะการเปลี่ยนแปลงของสังคมปัจจุบันและอนาคต และการที่ผู้บริหารจะสามารถพัฒนางานในสถานศึกษา ให้มีประสิทธิภาพได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยปัจจัยอันจะนำพาสถานศึกษาให้บรรลุเป้าหมาย ซึ่งหมายถึง คุณลักษณะของผู้บริหารที่แสดงออกถึงความสำเร็จของการบริหารงานด้วยการมีมนุษยสัมพันธ์มีคุณธรรม จะจะช่วยส่งเสริมและสนับสนุนการบริหารงานให้มีสิทธิภาพยิ่งขึ้นและที่สำคัญคือ การสร้างศรัทธาในตัวเองให้ เกิดขึ้นกับผู้ร่วมงาน1 ผู้บริหารสถานศึกษาในยุคใหม่ในศตวรรษที่ 21 จึงต้องมีความรู้ความสามารถมีทักษะ มี วิสัยทัศกว้างไกล มีความชำนาญงาน มีมนุษยสัมพันธ์และมีประสบการณ์ทางการบริหารการศึกษาเพื่อพัฒนา สถานศึกษาให้ทันสมัยเหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของโลก2 ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ .ศ .2542 แก้ไขเพิ่มเติม( ฉบับที่ 2 )พ .ศ .2545 และแก้ไข เพิ่มเติม( ฉบับที่ 3 )พ.ศ.2553 ได้กำหนดให้กระทรวงศึกษาธิการมีอำนาจที่เกี่ยวกับการส่งเสริม และกำกับดูแล การจัดการศึกษาทุกระดับและทุกประเภท กำหนดนโยบาย แผนและมาตรฐานการศึกษา รวมทั้งการติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการจัดการศึกษา และมีความต้องการเกี่ยวกับการจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียน ทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุดกระบวนการจัดการศึกษา ต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพการจัดการศึกษา ทั้งการศึกษาใน ระบบ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ต้องเน้นความสำคัญทั้งร่ายกาย จิตใจ สติปัญหา ความรู้คุณธรรมจริยธรรมกระบวนการเรียนรู้และบูรณาการตามความเหมาะสมของแต่ละระดับการศึกษา จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่าง ๆ 3 ในการบริหารกิจการใด ๆ ก็ตามไม่ว่าจะเป็นการ บริหารรัฐกิจ บริหารธุรกิจ ผู้บริหารในฐานะผู้นำขององค์การจะต้องมีภาระหน้าที่ที่จะต้องสร้างความร่วมมือ ร่วมใจกันเป็นอย่างดีในการทำงานร่วมกันเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์บุคคลที่มีอำนาจในการติดต่อสัมพันธ์ ระหว่างบุคคล มีอิทธิพลเหนือผู้ตาม สามารถจูงใจคนให้ปฏิบัติตามความคิดเห็น ความต้องการ หรือคำสั่งของ เขาได้มีอิทธิพลเหนือการปฏิบัติการหรือพฤติกรรมของผู้อื่น มีหน้าที่ควบคุมตรวจตรา ประสานงาน วินิจฉัยสั่ง การโน้มน้าวใจผู้ใต้บังคับบัญชาให้ทำหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุด มีประสิทธิภาพสูงสุด สามารถทำงานร่วมกับ 1นายอัขราธร สังมณีโชติ, “คุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาที่พึ่งประสงค์ของชุมชน”, ปริญญาศึกษาศาตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2550), 2 ช ั ย ย น ต์ เ พ า พ า น , ผ ู ้ บ ร ิ ห า ร ส ถ า น ศ ึ ก ษ า ย ุ ค ใ ห ม ่ ใ น ศ ต ว ร ร ษ ที่ 2 1, [อ อ น ไ ล น์], แ ห ล ่ ง ท ี ่ ม า: https://www.conference.edu.ksu.ac.th/file//20160809_2488101126.pdf [16 ตุลาคม 2560]. 3 กระทรวงศึกษาธิการ, แนวทางการพัฒนาระบบการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษาตามกฎกระทรวงว่าด้วยระบบ หลักเกณฑ์และวิธีการประกันคุณภาพการศึกษา,( กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ชุมชนสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด, 2553), หน้า 1.


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 140 ผู้อื่น โดยเป็นผู้ชักจูงให้ผู้อื่นที่เกี่ยวข้องร่วมแรง ร่วมใจทำงานเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ด้วยความสมัครใจ มีความกระตือรือร้นมุ่งให้ได้ผลงานดียิ่งขึ้น ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาเป็นองค์ประกอบที่สำคัญต่อความสำเร็จลุล่วงของโครงการต่าง ๆ การสร้างภาวะผู้นำที่ดีนั้นเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นสำหรับผู้บริหารทุกคน ทั้งนี้เนื่องจากผู้บริหารทำให้องค์การ บรรลุวัตถุประสงค์จึงต้องส่งเสริมให้เกิดระบบความร่วมมือในองค์การ ทำให้บุคลากรมีความยินดีเต็มใจให้ ความร่วมมือในการปฏิบัติงาน ว่าความพึงพอใจในการทำงานของครูมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับพฤติ กรรมการบริหารโรงเรียนของผู้บริหาร ซึ่งผู้บริหารถือว่าเป็นบุคคลที่มีบทบาท สำคัญในการนำพาการศึกษา ไปสู่เป้าหมายที่วางไว้นอกจากนี้ผู้บริหารยังเป็นผู้สร้างค่านิยม แรง บันดาลใจและความเชื่อรวมทั้งต้องสื่อสาร แก่นของค่านิยมและความเชื่อดังกล่าวสู่ผู้ตาม ผู้นำต้องมีวิสัยทัศน์มีลักษณะการทำงานเป็นทีม มีการประสาน ความร่วมมือมีทักษะการติดต่อสื่อสาร มีความรู้ทางการศึกษาเป็นอย่างดีและมีกระบวนการค้นหาและพัฒนา ศักยภาพของผู้ตามอย่างเหมาะสม จากความสำคัญดังกล่าวผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำตามหลักพรหมวิหาร ธรรมสำหรับผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานครเพื่อพัฒนาภาวะผู้นำด้วยหลัก พรหมวิหารธรรมและส่งเสริมภาวะผู้นำของผู้บริหารให้เป็นผู้บริหารในอุดมคติของครูนักเรียน ผู้ปกครองใน การบริหารโรงเรียนให้มีประสิทธิภาพต่อไป 3. วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันภาวะผู้นำสำหรับผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร 2. เพื่อพัฒนาภาวะผู้นำตามหลักพรหมวิหารธรรมสำหรับผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา เขต บางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร 3. เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำตามหลักพรหมวิหารธรรมสำหรับผู้บริหารโรงเรียน มัธยมศึกษา เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร 4. วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี ใช้เครื่องมือ คือ แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง( Semistructured Interview )ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ ผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน การวิเคราะห์ ข้อมูล โดยการวิเคราะห์เนื้อหา วิธีการตรวจสอบข้อมูลแบบ 3 เส้า ตามกรอบแนวคิดของ สุภางค์จันทวา นิชและแบบสอบถาม( questionnaire )ซึ่งลักษณะของแบบสอบถามเป็นมาตราส่วนประเมินค่า 5 ระดับ ตามแบบ ลิเคิร์ต( Likert Five Rating Scale )จากประชากรที่ใช้ในการศึกษา คือ ครูโรงเรียนมัธยมศึกษา เขต


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 141 บางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร เป็นจำนวน 350 คน สถิตที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน กับข้อมูลเชิงประจักษ์จากการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป พื้นที่ในการวิจัย คือ โรงเรียนมัธยมศึกษา เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร โดยใช้ระยะเวลา ระหว่างเดือน มกราคม – ธันวาคม 2562 รวมระยะเวลา 12 เดือน 5. กรอบแนวคิดการวิจัย กรอบแนวคิดการวิจัย เรื่อง แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำตามหลักพรหมวิหารธรรมสำหรับผู้บริหารโรงเรียน มัธยมศึกษา เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร โดยจากการสังเคราะห์แนวคิดของ เฮอร์เซย์และแบลน ชาร์ด( Hersey & Blanc, 1993p. 94( ดังนี้ ภาพที่1 กรอบแนวคิดในการวิจัย 6 .ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 6.1 ได้ทราบสภาพปัจจุบันภาวะผู้นำสำหรับผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร 6.2 ได้พัฒนาภาวะผู้นำตามหลักพรหมวิหารธรรมสำหรับผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา เขต บางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ภาวะผู้น าของผู้บริหาร 1. ผู้น า 2. ผู้ตาม 3. สถานการณ์ แนวทางการพัฒนาภาวะผู้น าตามหลักพรหม วิหารธรรมส าหรับผู้บริหาร ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม หลักพรหมวิหารธรรม


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 142 6.3 ได้แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำตามหลักพรหมวิหารธรรมสำหรับผู้บริหารโรงเรียน มัธยมศึกษา เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร 6.4 ผลการวิจัยสามารถพัฒนาภาวะผู้นำตามหลักพรหมวิหารธรรมสำหรับผู้บริหารโรงเรียนได้ ลงชื่อ.....................................................ผู้เสนอ วันที่.............../...................../................ 7.5 สรุป การเขียนโครงร่างการวิจัย เป็นหัวใจสำคัญประการหนึ่งของแผนการวิจัยที่วางและเขียนไว้ล่วงหน้า ก่อนลงมือดำเนินการวิจัยอย่างเป็นขั้นตอน การวางแผนงานในการทำวิจัยไว้ล่วงหน้าว่าจะต้องทำอะไรบ้างใน แต่ละขั้นตอน ขั้นตอนใดควรทำก่อนหรือหลังเพื่อให้งานวิจัยสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยทำให้ผู้วิจัยเห็น ลู่ทางล่วงหน้าในการแก้ปัญหาหรืออุปสรรคต่าง ๆ อันอาจเกิดขึ้นได้ โดยช่วยชี้แนะในเรื่องตัวแปรที่ศึกษา การ เลือกกลุ่มตัวอย่างในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล พร้อมทั้งช่วยทำให้ สามารถประเมินเกี่ยวกับแรงงานและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ รวมทั้งจะต้องเตรียมสิ่งจำเป็นต่าง ๆ อะไรบ้างไว้ล่วงหน้ จนใช้แสดงเพื่อผู้อนุมัติการทำวิจัยได้พิจารณาเพื่อตัดสินใจว่าสมควรให้ทำได้หรือไม่ รวมทั้งใช้แสดงเพื่อให้ผู้ให้ ทุนทำวิจัยได้มีข้อมูลในการตัดสินใจว่าเรื่องที่ทำนั้นสมควรได้รับทุนหรือไม่ และถ้าสมควรได้รับทุน ควรได้รับ ทุนมากน้อยเพียงใด โดยโครงร่างหรือแผนการวิจัยจะต้องผ่านการคิดอย่างถี่ถ้วนรอบคอบ ให้เห็นภาพรวม ของงานวิจัย ซึ่งเปรียบเสมือนแบบแปลนบ้านที่เขียนขึ้นโดยสถาปนิก สามารถออกแบบตามขนาด เนื้อที่ วัสดุ ก่อสร้าง งบประมาณ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง การเขียนเค้าโครงการวิจัยมีส่วนประกอบที่สำคัญหลายประการ โดยสาระสำคัญก็เพื่อแสวงความรู้ให้กับผู้คน เพื่อที่จะได้นำความรู้เหล่านั้นไปเป็นกลไกแสวงหาความรู้ และใช้ ความรู้เหล่านั้นไปเป็นเครื่องมือในการสร้างองค์ความรู้ และนำไปสู่การพัฒนาในองค์รวม ทำให้เกิดการเรียนรู้ เชิงประจักษ์แก่ชุมชนทางการศึกษา ชุมชนที่อยู่อาศัย และเป็นฐานในการพัฒนาองค์กร ประเทศชาติในด้าน ต่าง ๆ คำถามท้ายบทที่7 1.จงอธิบายขั้นตอนการเขียนโครงร่างการวิจัยมาโดยละเอียด 2.จงอธิบายความสำคัญของโครงร่างการวิจัย 3.จงอธิบายการกำหนดชื่อเรื่องและวัตถุประสงค์ของการวิจัยต้องมีความสอดคล้องกันอย่างไร 4 .การกำหนดกรอบแนวคิดการวิจัยจำเป็นต้องมีความสอดคล้องกับชื่อเรื่อง วัตถุประสงค์และ แนวคิด ทฤษฎีในเรื่องนั้นๆเพราะเหตุใด 5.ให้นิสิตเขียนแบบขอกำหนดหัวข้อและโครงร่างวิทยานิพนธ์/ดุษฎีนิพนธ์มาคนละ 1 ตัวอย่าง 6.ให้นิสิตเขียนโครงร่างการวิจัยฉบับสมบูรณ์มาส่งในชั่วโมงสุดท้ายของรายวิชา


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 143 รายการอ้างอิง กระทรวงศึกษาธิการ. )2553(. แนวทางการพัฒนาระบบการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษาตาม กฎกระทรวง ว่าด้วยระบบ หลักเกณฑ์และวิธีการประกันคุณภาพการศึกษา, กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ ชุมชนสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทยจำกัด. ชัยยนต์เพาพาน. )2560(. ผู้บริหารสถานศึกษายุคใหม่ในศตวรรษที่21, [ออนไลน์], แหล่งที่มา: https://www.conference.edu.ksu.ac.th/file//20160809_2488101126.pdf [16 ตุลาคม 2560]. บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. )2560(. คู่มือดุษฎีนิพนธ์วิทยานิพนธ์และสาร นิพนธ์, กรุงเทพฯ :โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์ .)2540( .ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์.กรุงเทพฯ :เจริญผล. พระเทพเวที( ประยุทธ์ปยุตโต .)2534( .)มหาวิทยาลัยกับงานวิจัยทางพระพุทธศาสนา .พระนคร : เนติกุลการพิมพ์. พวงรัตน์ทวีรัตน์ .)2538( .วิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์.พิมพ์ครั้งที่ .6 กรุงเทพฯ :สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. วิจิตร ศรีสอ้าน และทองอินทร์วงศ์โสธร .)2550( .หน่วยที่ :8 แนวคิดเกี่ยวกับการวิจัยทางการบริหาร การศึกษา .ใน คณะกรรมการผลิตและบริหารชุดวิชาการวิจัยทางการบริหารการศึกษา( บก)., ประมวลสาระชุดวิชาการวิจัยทางการศึกษา .พิมพ์ครั้งที่ .6 นนทบุรี :มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. วีระยุทธ ชาตะกาญจน์ .)2557( .การวิจัยเพื่อพัฒนาการบริหารการศึกษา.กรุงเทพฯ :วี .พริ้นท์ . ศักดิ์ไทย สุรกิจบวร .)2549( .การวิจัยเพื่อพัฒนาการบริหารการศึกษา .สกลนคร :สำนักงานโครงการ บัณฑิตศึกษา สาขาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร. ศิริชัย กาญจนวาสี, ทวีวัฒน์ปิตยานนท์และดิเรก ศรีสุโข .)2540( .การเลือกใช้สถิติที่เหมาะสม สำหรับการ วิจัย .กรุงเทพมหานคร :พชรกานต์พับลิเคชั่น. สุชาติประสิทธิ์รัฐสินธุ์ .)2540( .ระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์.กรุงเทพฯ:เลียงเชียง. สุนีย์มัลลิกะมาลย์ .)2555( .วิทยาการวิจัยทางนิติศาสตร์.พิมพ์ครั้งที่ .9 กรุงเทพฯ :สำนักพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. อเนก พ .อนุกูลบุตร .)2556( .วิจัยเชิงคุณภาพ Qualitative Research .กรุงเทพฯ :ก .พล . อุทุมพร จามรมาน .)2550( .หน่วยที่ :1 การวิจัยทางการศึกษา .ใน คณะกรรมการผลิตและบริหารชุด วิชาการวิจัยทางการบริหารการศึกษา( บก)., ประมวลสาระชุดวิชาการวิจัยทางการศึกษา . พิมพ์ครั้งที่ .6 นนทบุรี :มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. อัขราธร สังมณีโชติ. )2550(. คุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาที่พึ่งประสงค์ของชุมชน”, ปริญญาศึกษา ศาตรมหาบัณฑิต, บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยศิลปากร. Best J.W .& Kahn J.V( .2006 .)Research in Education .10thEd .Boston :Pearson Education .


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 144 Easterby-Smith M .Thorpe R .& Lowe A( .1991 .)Management .Research :An Introduction. London :Sage. Fraenkel J.R .& Wallen N.E( .2006 .)How to Design and Evaluate Research in Education . 6 th ed .New York :McGraw-hill. Haller, Emil J . and Knapp, Thomas R( . 1985, Summer . )Problems and methodology education administration. Education Administration Quarterly, 21. Hoy W.K .& Miskel C.G( .2008 .)Educational Administration :Theory Research and Practice. 8 th ed .Boston :McGraw-Hill. Hussey J.& Hussey R( .1997 .)Business Research. London :Macmillan Business. Kerlinger F.N .& Lee H.B( .2000 .)Foundations of Behavioral Research. 4 th ed .New York : Thomson Learning. Wiersma W( .1991 .)Research Methods in Education :An Introduction .5 th ed .Boston :Allyn and Bacon.


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 145 แผนการสอนประจำบทที่ 8 การเขียนรายงานการวิจัย รายวิชา วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หัวข้อย่อย 8.1 ลักษณะ ส่วนประกอบของรายงานการวิจัย 8.2 แนวทางการเขียนรายงานการวิจัย 8.3 การประเมินผลงานวิจัย 8.4 สรุป สรุปแนวคิดที่สำคัญ การรายงานการวิจัยเป็นหัวใจสำคัญประหารหนึ่ง เท่ากับเป็นการรายงานผลการิจัยทั้งหมดออกมา หรือรายงานผลการดำเนินงานมาตลอดระยะเวลาที่ยาวนานผ่านมา ซึ่งในบทนี้จะได้นำเสนอ ลักษณะ ส่วนประกอบของรายงานการวิจัย การประเมินผลงานวิจัย แนวทางการเขียนรายงานการวิจัย โดยการเขียน รายงานการวิจัยวิจัยมีเป้าหมายเพื่อการแสวงหาความรู้ให้กับผู้คน และใช้ความรู้เหล่านั้นไปเป็นเครื่องมือใน การสร้างองค์ความรู้ และนำไปสู่การพัฒนาในองค์รวม ทำให้เกิดการเรียนรู้เชิงประจักษ์แก่ชุมชนทางการศึกษา ชุมชนที่อยู่อาศัย และเป็นฐานในการพัฒนาองค์กร ประเทศชาติในด้านต่าง ๆ วัตถุประสงค์ 1.เพื่อศึกษาลักษณะ ส่วนประกอบของรายงานการวิจัย 2.เพื่อศึกษากระบวนการแนวทางการเขียนรายงานการวิจัย 3. เพื่อศึกษาวิธีการการประเมินผลงานวิจัย กิจกรรมระหว่างเรียน 1.การบรรยายในชั้นเรียน 2.ผู้สอนผู้บรรยาย บรรยายตามกรอบของการบรรยาย สื่อการสอน 1.เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 2. เอกสารประกอบการสอน 3. สื่อ Power Point สื่ออื่น เช่น Flip Chart การประเมินผล


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 146 1.ประเมินผลความสนใจของผู้ศึกษาขณะเรียน 2.การชักถาม ถามตอบ ของผู้เรียนขณะเรียน 3.การประเมินระหว่างเรียน การประเมินกลางภาค และการสอบประเมินปลายภาค


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 147 บทที่ 8 การเขียนรายงานการวิจัย (Research Report) 8.1 ลักษณะ ส่วนประกอบของรายงานการวิจัย รายงานการวิจัยทำหน้าที่ในการสื่อความหมายและเผยแพร่ผลงานแก่บุคคลทั่วไปทั้งในและนอก วงการวิชาชีพ ดังนั้น ผู้ทำวิจัยจึงต้องอาศัยทักษะในการใช้ภาษาเป็นพื้นฐานเบื้องต้น และในการเขียนรายงาน การวิจัยที่ดี ยังต้องคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้ 1. ความชัดเจน (Clarity) รายงานการวิจัยต้องเขียนอย่างแจ่มชัด ไม่คลุมเครือหรือกำกวม สามารถ อธิบายแนวคิด กระบวนการต่าง ๆ ได้อย่างละเอียดและเป็นไปตามลำดับขั้นที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้อ่านไม่มีข้อ สงสัยในสิ่งที่เสนอ 2. ความกะทัดรัด (Conciseness) การเขียนควรใช้ถ้อยคำสำนวนที่กะทัดรัด ตรงจุด ไม่วกวนหรือ ซ้ำซาก มีลำดับขั้นที่เหมาะสมเพื่อให้ผู้อ่านจับใจความและเข้าใจทุกขั้นตอนของเนื้อหา 3. ความสมบูรณ์ (Completeness) รายงานการวิจัยที่ดีควรเสนอสาระสำคัญของงานวิจัยอย่างครบถ้วน เพื่อให้ผู้อ่านเห็นโครง ร่างทั้งหมด ตั้งแต่แนวคิด เป้าหมาย วิธีการ ไปจนถึงผลหรือข้อสรุปต่าง ๆ 4. ความถูกต้อง (Accuracy) ผู้เขียนรายงานต้องเสนอผลการวิจัยอย่างตรงไปตรงมา ไม่บิดเบือนจาก ความเป็นจริงที่ศึกษาและค้นพบ 5. ความซื่อตรง (Honesty) ผู้วิจัยต้องเสนอผลงานของตนโดยไม่ปิดบังข้อผิดพลาดบางประการที่ เกิดขึ้น ไม่แก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูล ไม่เปลี่ยนแปลงสมมติฐาน นอกจากนั้นผู้วิจัยต้องไม่มีความลำเอียงส่วนตัว ในอันที่เสนอผลเพื่อพยายามชักนำผู้อื่นไปตามความคิดของตนโดยไม่ตั้งบนความเป็นจริงตามผลการวิจัย โดยทั่วไปรูปแบบของรายงานการวิจัยจะประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน คือ ส่วนหน้า ส่วนเนื้อเรื่อง และส่วน ที่เป็นเอกสารอ้างอิง ซึ่งแต่ละส่วนประกอบด้วยส่วนย่อย ๆ ดังนี้ 1. ส่วนหน้า (Preliminary Section) ประกอบด้วย 1.1 ปกหน้าหรือปกนอก 1.2 ปกใน 1.3 บทคัดย่อ 1.4 กิตติกรรมประกาศ (ประกาศคุณูปการ ) 1.5 สารบัญ สารบัญตาราง และสารบัญแผนภูมิ 1.6 รายการสัญลักษณ์ที่ปรากฏในรายงาน 2. ส่วนเนื้อเรื่อง หรือส่วนเนื้อหา (The Body of the Report) ประกอบด้วย 5 ส่วน (5 บท)


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 148 บทที่ 1 บทนำ (Introduction) กล่าวถึง 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1.3 สมมติฐานการวิจัย (ถ้ามี) 1.4 ขอบเขตของการวิจัย 1.5 ข้อตกลงเบื้องต้น 1.6 ประโยชน์ของการวิจัย(ที่คาดว่าจะมี) 1.7 คำจำกัดความของคำที่ใช้ในการวิจัย บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง (Review of Related Literature) และสมมติฐาน (สมมติฐาน อาจอยู่หลังเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องนี้ก็ได้หรืออยู่หลังวัตถุประสงค์การวิจัย ก็ได้) บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย กล่าวถึง 3.1 ระเบียบวิธีการวิจัย 3.2 แหล่งข้อมูลกลุ่มตัวอย่าง 3.3 วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล 3.4 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล 3.5 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์และการแปลความหมาย ประกอบด้วย 4.1 เนื้อหา 4.2 ตาราง 4.3 แผนภูมิ บทที่ 5 สรุป อภิปรายและข้อเสนอแนะ 5.1 ข้อความที่เป็นปัญหาอย่างย่อ 5.2 คำอธิบายวิธีการอย่างย่อ 5.3 ข้อค้นพบหรือข้อสรุป 5.4 อภิปรายผล 5.5 ข้อเสนอแนะสำหรับการนำไปใช้และการทำวิจัยต่อไป 3. ส่วนหลัง – เอกสารอ้างอิง ประกอบด้วย 3.1 บรรณานุกรม 3.2 ภาคผนวก 3.3 ประวัติ และผลงานของผู้วิจัย


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 149 โดยทั่วไปรูปแบบของรายงานการวิจัยจะประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน คือ ส่วนหน้า ส่วนเนื้อเรื่อง และส่วนที่เป็นเอกสารอ้างอิง ซึ่งแต่ละส่วนประกอบด้วยส่วนย่อย ๆ ดังนี้ 1. ส่วนหน้า ส่วนหน้า เป็นส่วนแรกสุดก่อนถึงเนื้อหาของรายงานการวิจัย ควรเขียน ในแต่ละส่วน ดังนี้ ปกหน้าหรือปกนอก ให้ระบุชื่อเรื่อง อาจระบุชื่อหน่วยงานที่เป็นเจ้าของผลงาน ปีที่ทำ ปกใน โดยทั่วไปจะปรากฏสาระเหมือนปกนอกทุกประการ เพียงแต่ใช้กระดาษเนื้อในปกติ อาจมีปก ในฉบับภาษาอังกฤษ หรือภาษาต่างประเทศอื่นใดด้วย ถ้าคาดหวังที่จะเผยแพร่ผลการวิจัยในวงกว้าง ยิ่งขึ้น บทคัดย่อ ให้ระบุ ดังนี้ 1. ชื่อเรื่อง ชื่อผู้วิจัย ปีที่ทำการวิจัย 2. สาระโดยย่อ ซึ่งประกอบด้วย วัตถุประสงค์ของการวิจัย วิธีดำเนินการวิจัยโดยย่อ และสรุป ผลการวิจัย 3. อาจจัดทำบทคัดย่อภาษาอังกฤษ หรือภาษาต่างประเทศอื่นใดไว้ด้วยในกรณีที่คาดหวังจะขยายผล ในวงกว้างยิ่งขึ้น กิตติกรรมประกาศ เป็นส่วนที่ว่าด้วยการประกาศขอบคุณผู้ที่ให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุน จนมีผล ทำให้งานวิจัยแล้วเสร็จ ในบางกรณีอาจเขียนรวมส่วนนี้ไว้ภายใต้หัวข้อ “ คำนำ” ซึ่งกล่าวถึงที่มา วัตถุประสงค์ โดยย่อ และกล่าวขอบคุณผู้เกี่ยวข้องที่ให้การสนับสนุน การวิจัย สารบัญ เป็นการบอกโครงสร้างของเอกสารทั้งหมด ระบุรายการที่สำคัญๆ โดยบอกเลขหน้ากำกับไว้ ชัดเจน สะดวกต่อการตรวจค้นขณะอ่าน สารบัญตาราง สารบัญแผนภูมิ ในรายงานการวิจัยบางเรื่องอาจมีข้อมูลหรือแผนภูมิที่ต้องการนำเสนอ ค่อนข้างมาก ดังนั้น เพื่อความสะดวกในการสืบค้นหรืออ้างอิง จึงควรจัดทำสารบัญตารางหรือสารบัญแผนภูมิ ไว้ด้วย สัญลักษณ์ที่ปรากฏในเล่ม ในบางกรณีนักวิจัยได้ใช้สัญลักษณ์บางประการเพื่อสื่อความหมายบางเรื่อง บางประเด็นโดยใช้อย่างคงที่ตลอดทั้งเล่ม ในกรณีเช่นนี้ควรระบุสัญลักษณ์พร้อมบอกความหมายไว้ล่วงหน้าใน ส่วนนำของรายงานการวิจัย 2. ส่วนเนื้อเรื่อง หรือส่วนเนื้อหา (The body of the Report) ในส่วนนี้มีโครงสร้างสำคัญที่เพิ่มเติมจากเค้าโครงการวิจัย 2 บท คือบทที่ 4 และบทที่ 5 และมีการ ปรับเพิ่มเติมในบทที่ 3 บางส่วน รวมทั้งถ้ามีการค้นคว้ารายละเอียดอื่น ๆ เพิ่มเติมที่เห็นว่าจะช่วยให้ผู้อ่าน เข้าใจหรือทำให้รายงานการวิจัยมีสาระชัดเจนขึ้นได้ ก็อาจปรับเพิ่มในเค้าโครงการวิจัยได้ทุกบท ซึ่งในตอนต้น ได้กล่าวไว้แล้ว ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะ บทที่ 4 และบทที่ 5


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 150 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์และการแปลความหมาย ในบทนี้นับว่าเป็นหัวใจสำคัญของรายงานการวิจัย เพราะเป็นการเสนอข้อค้นพบที่ได้รายงาน ในส่วนนี้เป็นการนำผลวิเคราะห์ มารายงานไปตามลำดับ ซึ่งจะ สอดคล้องกับลำดับของจุดมุ่งหมายการวิจัยหรือสมมติฐานการวิจัย ก็ได้ โดยอาจนำเสนอเป็นกราฟ แผนภูมิ หรือตารางก็ได้ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม และต้องอธิบายความหมายของกราฟ แผนภูมิ และค่าตัวเลขต่าง ๆ ที่ แสดงในตารางด้วยทุกครั้ง เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจความหมายของผลวิเคราะห์ที่นำเสนอได้อย่างถูกต้องชัดเจน บทที่ 5 สรุป อภิปรายและข้อเสนอแนะ บทนี้เป็นบทสุดท้ายของตัวรายงาน จะกล่าวสรุปถึงงานวิจัยที่ ได้กระทำมาอย่างย่นย่อแต่ได้สาระสำคัญ โดยกล่าวตั้งแต่วัตถุประสงค์ของการวิจัย สมมติฐาน ความสำคัญของ การวิจัย วิธีดำเนินการศึกษา และผลการวิจัยที่ได้กล่าวถึง ผลการวิจัยในที่นี้เป็นการนำเอาผลวิเคราะห์ที่ได้ แปลความหมายแล้วในบทที่ 4 มากล่าวสรุปอีกครั้งหนึ่ง โดยเขียนสรุปเป็นข้อ ๆ เน้นการตอบคำถามต่อ จุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้อย่างครบถ้วน เขียนในรูปของข้อความที่คล้ายคลึงกับการเขียนสมมติฐาน เพื่อชี้ให้เห็นว่าผล วิจัยที่ได้นั้นสอดคล้องหรือขัดแย้งกับสมมติฐาน เมื่อเขียนสรุปผลหมดแล้วจึงอภิปรายผล ซึ่งเป็นการ วิพากษ์วิจารณ์ ผลวิจัยที่ได้ว่าสอดคล้องหรือขัดแย้งกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ และสอดคล้องหรือขัดแย้งกับทฤษฎี และผลวิจัยของผู้อื่นอย่างใดบ้าง นอกจากนี้ ก็อาจนำข้อสังเกตบางประการที่ผู้วิจัยได้พบที่เกี่ยวเนื่องกับการ ได้ผลวิจัยนั้นมากล่าวไว้ด้วย เพื่อช่วยให้ผู้อ่านได้เกิดความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหานั้นๆ อย่างละเอียด ลึกซึ้งกว่าเดิม อีกทั้งเป็นการชี้ช่องให้เห็นถึงแง่มุมและวิธีการที่จะศึกษาปัญหาวิจัยนั้นต่อไปอีกด้วย ในการนำเสนอตัวรายงานทั้ง 5 บทนี้ อาจต้องใช้สิ่งต่อไปนี้ประกอบด้วย ซึ่งได้แก่ อัญประภาษ คือ ข้อความที่คัดมาจากคำพูด หรือ ข้อเขียนของผู้อื่น นำมาไว้ในรายงานการวิจัยโดย มิได้เปลี่ยนแปลงหรือดัดแปลงข้อความนั้นๆ เชิงอรรถ คือ ข้อความที่มีไว้เพื่อแสดงที่มาของข้อความในตัวเนื้อหา หรือ อธิบายข้อความบางตอนใน ตัวเนื้อหาที่เรียบเรียงไว้ ซึ่งอาจจะยกข้อความนั้นมาโดยตรงและที่ประมวลความคิด เอามา ตาราง เป็นที่รวบรวมสิ่งที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าในรูปที่ย่นย่อแล้ว นำมาบรรจุลงเป็นรายการตาราง ซึ่งจะ ช่วยให้เข้าใจได้ง่ายและชัดเจนขึ้น ภาพประกอบ ได้แก่ กราฟแบบต่างๆ แผนภูมิ ภาพเขียน แผนผัง แผนที่ และภาพถ่ายต่างๆ 3. ส่วนหลัง – เอกสารอ้างอิง ประกอบด้วย บรรณานุกรม เป็นส่วนที่อยู่ถัดจากบทสุดท้ายของตัวรายงาน เป็นที่รวบรวมหลักฐานของเอกสารที่ใช้ อ้างอิงที่วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าทั้งหมด ในการเขียนบรรณานุกรมก็จะเขียนเรียงตามลำดับอักษร โดยเรียงจาก เอกสารภาษาไทยก่อนแล้วจึงเรียงภาษาอังกฤษตามมา โดยเรียงแยกออกจากกัน วิธีการเขียนเริ่มจากชื่อผู้แต่ง ชื่อหนังสือ สำนักพิมพ์ ( โรงพิมพ์) ปีที่พิมพ์ และจำนวนหน้าของหนังสือที่อ้างอิง ดังตัวอย่าง บรรณานุกรม สมคิด พรมจุ้ย. 2555. การเขียนรายงานการวิจัย. กรุงเทพฯ : จตุพร ดีไซน์. สมถวิล วิจิตรวรรณา และคณะ.2556. การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน. กรุงเทพฯ :


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 151 เจริญดีมั่นคงการพิมพ์. Fraenkel , J.R. and Wallen, N.E. 1993. How to Design and Evaluate Research in Education. New York : McGraw-Hill Inc. Wiersma. William. 1991. Research Methods in Education. Boston : Allyn and Bacon. ก่อนจะเสนอรายการของบรรณานุกรม ควรมีใบนำก่อน โดยเขียนคำว่า “ บรรณานุกรม” ไว้ตรงกลาง หน้า ภาคผนวก เป็นส่วนที่อยู่ต่อจากบรรณานุกรม เป็นที่รวบรวมรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ ได้แก่ ข้อมูล บางอย่าง เช่น คะแนนที่กลุ่มตัวอย่างทำได้ซึ่งอยู่ในรูปคะแนนดิบ เพื่อเป็นหลักฐานรายละเอียดเกี่ยวกับ เครื่องมือ เช่น เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล รายละเอียดคุณภาพเครื่องมือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูล ตัวอย่าง หนังสือนำขอความร่วมมือในการวิจัย ภาพประกอบบางอย่างเกี่ยวกับการทดลอง เป็น ต้น ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องกล่าวไว้ในตัวรายงาน (ในบทที่ 3) ดังนั้น ภาคผนวกจึงอาจมี หลายตอนก็ได้ ก็แยกเขียนเป็นภาคผนวก ก ภาคผนวก ข ต่อ ๆ ไป ตามลำดับ ก่อนจะเสนอรายงานของภาคผนวก ควรมีใบนำก่อน เช่นเดียวกับบรรณานุกรมแล้วพิมพ์คำว่า “ ภาคผนวก” ไว้ตรงกลางหน้า และถ้ามีหลายเรื่อง ก็พิมพ์ลงไปด้วยว่า ภาคผนวก ก คืออะไร ภาคผนวก ข คือ อะไร และต่อ ๆ ไป โดยพิมพ์ลงในหน้าเดียวกัน ประวัติผู้วิจัย สำหรับประวัติผู้วิจัย ไม่จำเป็นนักแล้วแต่สถาบันแต่ละแห่งจะกำหนดในส่วนหลังยังควร กล่าวถึงหัวข้อสำคัญอีกหัวข้อหนึ่ง คือ บทคัดย่อ (Abstract) บางสถาบันอาจนำไปไว้ในตอนส่วนหน้าก็ได้ บทคัดย่อ เป็นส่วนที่กล่าวถึงงานวิจัยในลักษณะย่อ เสนอแต่สาระสำคัญ และ เขียนอย่างกะทัดรัดแต่ ได้ใจความครอบคลุมหัวข้อสำคัญ ๆ ซึ่งได้แก่ จุดมุ่งหมายของการวิจัย วิธีดำเนินการศึกษา ซึ่งกล่าวถึงกลุ่ม ตัวอย่างและการได้มาของกลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลและผลวิจัยที่ได้ บาง สถาบันอาจนำไปไว้ในตอนส่วนหน้าก็ได้ 8.2 แนวทางการเขียนรายงานการวิจัย เปนงานขั้นสุดทายแตสําคัญมาก • เปนสิ่งที่บอกใหผูอื่นทราบขอคนพบขอสรุปและขอเสนอแนะตาง ๆ จากการ วิจัยรายงานเพื่อใคร • ผู้วิจัยตองวิเคราะหผูอานคือใคร - มีความรู้ทางวิชาการหรือไม่ ? - มีเวลาในการอ่านมากนอย - มีการตีพิมพเผยแพร่อยางไร มีทรัพยากร (เงิน,คน,เวลา) เพียงพอหรือไม่ รูปแบบการเขยนี มี 3 แบบ 1. เขียนเชิงวิชาการ


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 152 - บทความทางวชาการและรายงานฉบับสมบูรณ์ 2. เขียนกึ่งวิชาการ - รายงานใหสาธารณชนทั้งไป ภาษาธรรมดางาย ๆ ไมใช้ศัพท์ทางวิชาการ - เน้นเนื้อหาสาระ, ขอคนพบ และขอเสนอแนะมากกวาระเบียบวิธีการศึกษา - แตมีขอความบอกใหทราบเปนผลการศึกษาวิจัย เชน บทความวิจัยทาง หนังสือพิมพ, นิตยสาร มีความยาวประมาณ 2 - 3 หนาอยางมาก 3. เขียนให้ผู้บังคับบัญชา Ö ต้องสรุปย่อ, เวลานายน้อย Ö เสนอแนะชัดเจน เพื่อตัดสินใจ Ö จําเปนเสนอทางเลือกที่ 1 ที่ 2 พรอมผลดีผลเสียจากผลวิจัย การทําโครงสรางการรายงาน ผลการวิจัย • ไมตองรอใหขนตอนต ั้ าง ๆ มาถึงจึงจะกําหนดโครงสราง • ควรกําหนดผลการวิจัยเป็น 3 สวน - ส่วนคํานำ o สวนเนื้อหา p สวนสนับสนุน (เพิ่มเติม) ขั้นที่ 9 การเขียนรายงานการวิจัย )Research Report( • เป็นงานขั้นสุดท้ายแต่สำคัญมาก • เป็นสิ่งที่บอกให้ผู้อื่นทราบข้อค้นพบข้อสรุปและข้อเสนอแนะต่าง ๆ จากการวิจัย รายงานเพื่อใคร • ผู้วิจัยต้องวิเคราะห์ผู้อ่านคือใคร * มีความรู้ทางวิชาการหรือไม่ * มีเวลาในการอ่านมากน้อย * มีการตีพิมพ์เผยแผ่อ่างไร มีทรัพยากร )เงิน คน เวลา( เพียงพอหรือไม่ ? รูปแบบการเขียนมี 3 แบบ 1.เขียนเชิงวิชาการ - บทความทางวิชาการและรายงานฉบับสมบูรณ์ 2.เขียนกึ่งวิชาการ - รายงานให้สาธารณชนทั่วไป ภาษาธรรมดาง่าย ๆ ไม่ใช้ศัพท์ทางวิชาการ - เน้นเนื้อหาสาระ ข้อค้นพบ และข้อเสนอแนะมากกว่าระเบียบวิธีการศึกษา


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 153 - แต่มีข้อความบอกให้ทราบเป็นผลการศึกษาวิจัย เช่น บทความวิจัยทางหนังสือพิมพ์ นิตยสาร มีความยาวประมาณ 2-3 หน้า 3.เขียนให้ผู้บังคับบัญชา - ต้องสรุปย่อ เวลานายน้อย - เสนอแนะชัดเจน เพื่อตัดสินใจ - จำเป็นเสนอทางเลือกที่ 1 ที่ 2 พร้อมผลดีผลเสียจากผลวิจัย การทำโครงสร้างการรายงานผลการวิจัย * ไม่ต้องรอให้ขั้นตอนต่างๆ มาถึงจึงจะกำหนดโครงสร้าง * ควรกำหนดผลการวิจัยเป็น 3 ส่วน ส่วนคำนำ .1 2. ส่วนเนื้อหา 3.ส่วนสนับสนุนเพิ่มเติม 1.ส่วนคำนำ 1.1 หน้าหัวเรื่อง • ชื่อรายงาน • ชื่อผู้แต่ง • สถาบันหรือสังกัด • วัน เดือน ปี ที่จัดพิมพ์ 1.2 คำนำ * กิตติกรรมประกาศขอบคุณบุคคล หน่วยงาน ช่วยเหลือ ให้ทุน * บทคัดย่อ หรือสรุปอภิปราย และข้อเสนอแนะ บางครั้งสำหรับผู้บริหาร )Executive Summary( * สารบัญ * รายชื่อตาราง สถิติและแผนภูมิ แผนภาพ 2.ส่วนเนื้อหา บทที่ 1 บทนำ บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล บทที่ 5 สรุป อภิปราย และข้อเสนอแนะ 3.ส่วนสนับสนุน )เพิ่มเติม(


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 154 บรรณานุกรม ภาคผนวก รายการคำจำกัดความ ศัพท์ทางวิชาการ ในเอกสารนี้จะมุ่งเสนอการเขียนรายงานที่เป็นเนื้อเรื่องเท่านั้นในส่วนเนื้อเรื่องนี้จำแนกเป็น 5 บท โดย ในแต่ละบทประกอบไปด้วยหัวข้อย่อยซึ่งมีลักษณะดังนี้ บทที่ 1 บทนำ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา * ปรากฏการณ์หรือสภาพการณ์ในขณะนั้นเกี่ยวกับเรื่องที่กำลังศึกษาอยู่ * ประเด็นที่เป็นปัญหาที่อยากจะหาคำตอบ * ประโยชน์ที่จะได้ถ้าทราบคำตอบปัญหานี้แล้ว 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย * เขียนในรูปประโยคบอกเล่าให้สอดคล้องกับปัญหาการวิจัย * เขียนอย่างชัดเจนง่ายแก่การเข้าใจ * เขียนในลักษณะต้องการคำตอบไม่ใช่ต้องการำไปใช้ประโยชน์อะไร * ถ้ามีวัตถุประสงค์มากให้เขียนแยกเป็นข้อ ๆ 1.3 ขอบเขตของการศึกษา * ระบุประชากรว่าครอบคลุมกลุ่มใดบ้าง * ตัวแปรต่าง ๆ ที่ศึกษา )ในกรณีที่ไม่สามารถศึกษาตัวแปรได้ทั้งหมด( * เนื้อหาหลัก ๆ ครอบคลุมประเด็นใดบ้าง 1.4 นิยามศัพท์เฉพาะ * เลือกศัพท์เฉพาะทางวิชาการที่มีความหมายหลากหลายไม่แน่นอนหรือกว้างเกินไป * ให้ความหมายศัพท์ต่าง ๆ ให้ผู้อ่านเข้าใจตรงกับผู้เขียน * เป็นศัพท์ที่กำหนดเฉพาะในการวิจัยนี้ซ฿งอาจไม่ตรงกับงานวิจัยอื่น 1.5 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ * เป็นประโยชน์ที่ได้จากผลการวิจัยนี้ * ประโยชน์ทางด้านวิชาการจะได้ความรู้ใหม่อย่างไร * ประโยชน์ทางการประยุกต์ใช้สามารถนำไปแก้ปัญหาหรือ กำหนดนโยบายอะไรบ้าง บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1 เอกสารที่เกี่ยวข้อง


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 155 * โครงการ แผนงาน ระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับตัวแปรที่ศึกษา * ทฤษฎีที่สนับสนุนเกี่ยวกับตัวแปรที่ศึกษา * แนวคิดจากข้อเขียนในเอกสารต่างๆ 2.2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง * ผลของการวิจัยที่มีตัวแปรลักษณะเดียวกันกับตัวแปรที่ศึกษา * ผลการวิจัยที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกับเรื่องที่ศึกษา * สรุปผลการวิจัยที่ค้นพบว่าสนับสนุนหรือขัดแข้งในปัญหาอย่างไร 2.3 กรอบแนวคิดในการวิจัย *เขียนตอบแนวคิดเชื่อมโยงกับตัวแปรต่างๆ โดยอาศัยแนวความคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่ เกี่ยวข้อง * เขียนในลักษณะความสำคัญของตัวแปร 2.4 สมมติฐานการวิจัย * เขียนเป็นประโยคบอกเล่าแสดงความสำคัญของตัวแปร * เขียนในลักษณะที่มีทิศทางว่าเป็นทางบวกหรือทางลบอะไร มากกว่าหรือน้อยกว่า บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย 3.1 รูปแบบการวิจัย * เป็นรูปแบบการวิจัยทดลองหรือไม่ทดลอง * ถ้าเป็นการวิจัยทดลองใช้แผนทดลองอย่างไร * ถ้าเป็นการวิจัยที่ไม่มีการทดลองใช้รูปแบบเชิงบรรยาย เชิงเปรียบเทียบ หรือเชิง สัมพันธภาพ 3.2 ประชากรและตัวอย่าง * ระบุประชากรให้ชัดเจนทั้งในด้านพื้นที่และช่วงเวลา * ขนาดตัวอย่างเท่าไหร่คิดจากสูตรอะไร * วิธีการเลือกตัวอย่างใช้วิธีการสุ่มหรือไม่มีการสุ่ม 3.3 ตัวแปรที่ศึกษา * ตัวแปรอิสระ และตัวแปรตามมีอะไรบ้าง * การวัดค่าตัวแปรวัดอย่างไร ใช้มาตราอะไร 3.4 เครื่องมือในการวิจัย * ใช้เครื่องมืออะไรการทดลองข้อมูล


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 156 * วิธีการสร้างเครื่องมือ ขอบเขตเนื้อหาในเครื่องและการตรวจสอบคุณภาพ 3.5 การวิเคราะห์และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล * วิธีการวิเคราะห์และสถิติที่ใช้ * การแปรค่าความหมายของสถิติ * สรุปผลตามวัตถุประสงค์และสมมติฐาน บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 4.1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล )กรณีที่ใช้สถิติขั้นสูง( * สัญลักษณ์ที่ใช้สูตรการคำนวณทางสถิติ * ความหมายของสัญลักษณ์ต่าง ๆ 4.2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล * เสนอผลการวิเคราะห์ตามวัตถุประสงค์ * อาจจะนำเสนอในรูป ข้อความ ตาราง และแผนภาพหรือแผนภูมิต่างๆ บทที่ 5 สรุป อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ 5.1 สรุปผลการวิจัย * สรุปผลตามวัตถุประสงค์หรือสมมติฐาน * ไม่เน้นค่าสถิติแต่เขียนภาษาเขียนประโยคที่ง่ายแก่การเข้าใจ * สอดคล้องกับสมมติฐานการวิจัย 5.2 อภิปรายผลการวิจัย *ข้อค้นพบสอดคล้องกับแนวความคิด ทฤษฎีของใคร * ถ้าข้อค้นพบขัดแย้งกับสมมติฐานหรือทฤษฎีใด ๆ ให้เสนอความคิดเห็นว่าทำไมข้อค้นพบจึง เป็นเช่นนั้น 5.3 ข้อเสนอแนะ - ใครบ้างที่ควรนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ - การนำไปใช้ประโยชน์ในลักษณะใด - ควรจะมีการปรับเปลี่ยนหรือคงไว้ สำหรับสิ่งที่เกี่ยวข้องอย่างไร - ควรจะมีการศึกษาต่อในประเด็นใดบ้าง - โดยสรุป การเขียนรายงานผลการวิจัยในส่วนที่เป็นเนื้อเรื่องนั้นเป็นส่วนที่สำคัญมากที่ชี้ให้เห็นถึง คุณภาพของการวิจัย ผู้เขียนจึงเขียนในรายละเอียดให้ครอบคลุมประเด็นที่สำคัญและบางหัวข้ออาจไม่มีถ้าไม่ เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยต้องพิจารณาให้รอบคอบว่าสิ่งใดควรนำเสนอและสิ่งใดไม่เป็นต้องนำเสนอ


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 157 ตัวอย่าง รูปแบบการเขียนรายงานการวิจัย บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- วัตถุประสงค์ของการศึกษา ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- สมมติฐานการวิจัย ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ขอบเขตการศึกษา ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- นิยามศัพท์เฉพาะ )ถ้ามี( ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- บทที่ 2 แนวความคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง แนวความคิดและทฤษฎี ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 158 ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- บทที่ 3 วิธีการดำเนินการวิจัย การศึกษาวิจัยครั้งนี้ ดำเนินการศึกษา ......... แบบ คือ 1.การวิจัยศึกษา )Documentary Research( เป็นการศึกษารวบรวมข้อมูลจากเอกสารต่าง ๆ ทั้งที่ เป็นทฤษฎีแนวความคิดและผลงานวิจัยที่เกี่ยวกับ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- -- 2.การวิจัยเชิงสำรวจ )Survey Research( ใช้แบบสอบถามแบบ.........โดยเน้นแบบสอบถามเป็น ตอนที่ 1 ลักษณะทั่วไปของ............................................ได้แก่................................. ตอนที่ 2 ........................................................................ได้แก่.................................. ก่อนที่จะนำแบบสอบถามที่สร้างขึ้นไปเก็บรวบรวมข้อมูลได้........................................และ อาจารย์ที่ปรึกษาทำการตรวจแนะนำในรายละเอียดและแก้ไขแบบสอบถามนำแบบสอบถามมาปรับปรุงแก้ไข ทำคู่มือลงรหัสข้อมูล เพื่อนำไปใช้ในขบวนการประมวลผลด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ในลำดับต่อไป ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรที่นำใช้ศึกษาเป็น....................โดยทำการสุ่มตัวอย่างจำนวน.............คน/ครอบครัว/ ครัวเรือน จากการสุ่มตัวอย่าง...................ดังนี้ 1.วิธีสุ่ม.................กล่าวคือ.............................. 2.วิธีสุ่ม............................กล่าวคือ.......................... ก า ร ร ว บ ร ว ม ข ้ อ ม ู ล ค ร ั ้ ง น ี ้ ใ ช ้ ว ิ ธ ี . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . โ ด ย ....................................................................................... .............................................................................................................................................................................. . ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 159 การศึกษาวิจัยครั้งนี้ใช้เวลาการเก็บข้อมูลระหว่าง............................................................รวมระยะเวลา ..........................วัน/เดือน/ปี วิธีวิเคราะห์ข้อมูล 1.กำหนดตัวแปรในการวิจัย ดังนี้ 1.1 ตัวแปรอิสระ )Independent Variables( 1.2 ตัวแปรตาม )Independent Variables( 1.3 ตัวแปรคุม )Control Variables( 2.การประมวลผลข้อมูล ที่ใช้โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS FOR WINDOWS โดยมีขั้นตอนดังนี้ 2.1 ตรวจสอบความสมบูรณ์และความถูกต้องขอบแบบสอบถามหลังจากดำเนินการ 2.2 บันทึกข้อมูลที่เป็นรหัสลงในแบบบันทึกข้อมูล และเครื่องคอมพิวเตอร์ตามลำดับ 2.3 ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ 2.4 ประมวลผลข้อมูลตามจุดมุ่งหมายของการศึกษาวิจัย 3.การวิเคราะห์ข้อมูล ทำการวิเคราะห์ข้อมูลตามวัตถุประสงค์ และสมมติฐาน ดังนี้ 3.1 วิเคราะห์.....................................จากค่าร้อยละ 3.2 วิเคราะห์เปรียบเทียบ........................โดยเปรียบเทียบจากค่าร้อยละและทดสอบ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระกับตัวแปรตามด้วย Chi square test : x2 ณ ระดับ 0.05 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ ลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง จากการเก็บรวบรวมข้อมูลตวอย่างคือ............................................................................................. ....... จำนวน......................................คน/ครัวเรือน/ครอบครัว มีแบบสอบถามส่วนหนึ่งที่คัดออกเนื่องจากข้อมูลไม่ สมบูรณ์จนไม่สามารถนำมาใช้วิเคราะห์จำนวน..............ชุด/ )ร้อยละ..............( จำนวนกลุ่มตัวอย่างที่นำมาใช้ ศึกษาวิจัย คือ........................คน/ครัวเรือน/ครอบครัว มีรายละเอียดดังนี้ ตารางที่ ....................ร้อยละของ...............จำแนกตาม................................................................ .. จำนวน ร้อยละ รวม 100.00 ) ( 100.00 ) (


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 160 จากตารางที่ ..............พบว่า ............................................................................................................................. ...... .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .. ตารางที่ ....................ร้อยละของ...............จำแนกตาม................................................................ .. จำนวน ร้อยละ รวม 100.00 ) ( 100.00 ) ( จากตารางที่ ..............พบว่า ............................................................................................................................. ...... .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .. ตารางที่ ....................ร้อยละของ...............จำแนกตาม................................................................ .. จำนวน ร้อยละ รวม 100.00 ) ( 100.00 ) ( จากตารางที่ ..............พบว่า ............................................................................................................................. ...... .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .. หรือ รายการ รวม มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด 100.00 ) (


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 161 100.00 ) ( 100.00 ) ( รวม ) ( ) ( ) ( ) ( ) ( 100.00 ) ( ตารางที่..... ........................................................................................................................................................... ข้อ จำนวน ระดับคะแนน ความหมาย S.D. 1 2 รวม ผลการวิเคราะห์ข้อมูล จากผลการศึกษาพบว่า........................................................................................................... ................. ซึ่งผลการศึกษาดังกล่าวอาจมีความสัมพันธ์ของตัวแปรอิสระกับตัวแปรตามที่ทำให้............................................. มีความแตกต่างกัน ดังนั้นจึงทำการวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระและตัวแปรตามโดยมี สมมติฐานทางสถิติดังนี้ H0 : ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่าง....................กับ................................. H1 : มีความสัมพันธ์ระหว่าง.......................กับ................................ โดยมีหลักเกณฑ์ในการทดสอบสมมติฐานว่า หากค่าสถิติของ X2 ที่คำนวณได้มีนัยสำคัญทางสถิติน้อย กว่าหรือเท่ากับ 0.05 จะปฏิเสธสมมติฐาน H0 และยอมรับสมมติฐาน H1 ตารางที่ ............ ...การทดสอบความสัมพันธ์ระหว่าง..........................กับ..................................จำแนกตาม ชื่อตัวแปรอิสระ ชื่อตัวแปรตาม รวม ค่าของตัวแปรที่ 1 ค่าของตัวแปรที่.......... ค่าของตัวแปรที่ n ค่าของตัวแปรที่ 1 100.00 ) ( ค่าของตัวแปรที่.......... 100.00 ) ( ค่าของตัวแปรที่ n 100.00 ) ( รวม ) ( ) ( ) ( 100.00 ) (


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 162 X2 = df = Sig = จากผลการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่าง.................กับ......................................................................... . พบว่าไม่มีความสัมพันธ์/มีความสัมพันธ์ระหว่าง................................................................................. .................. หรืออาจกล่าวได้ว่า........................................................................................................... ..................................... หรือ จากผลการศึกษาพบว่า........................................................................................................... ................ ซึ่งผลการศึกษาดังกล่าวอาจมีความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของ.................................................................... ..... กับ...............................................................................ดังนั้นจึงทำการวิเคราะห์หาความแตกต่างระหว่าค่าเฉลี่ย ของ............................................................กับ.......................................โดยมีสมมติฐานทางสถิติดังนี้ H0 : ไม่มีความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของ..................................กับ..................................................... H1 : มีความแตกต่างระหว่าค่าเฉลี่ยของ........................................กับ................................................... .. โดยมีหลักเกณฑ์ในการทดสอบสมมติฐานว่า หากค่าทางสถิติของ T- test ที่คำนวณได้มี นัยสำคัญทาง สถิติน้อยกว่าหรือเท่ากับ 0.05 จะปฏิเสธสมมติฐาน H2 และยอมรับสมมติฐาน H1 จากผลการทดสอบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของ.....................กับ.................................................. พบว่าไม่มีความแตกต่าง/มีความแตกต่างระหว่าค่าเฉลี่ยของ............................กับ......................................... ..... หรือ จากผลการศึกษาพบว่า........................................................................................................... ................. ซึ่งผลการศึกษาดังกล่าวอาจมีความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวแปรอิสระคือ....................................... โดยมีสมมติฐานทางสถิติดังนี้ H0 : ไม่มีความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวแปรอิสระ H1 : มีความแตกต่างระหว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวแปรอิสระ บทที่ 5 สรุป อภิปราย และข้อเสนอแนะ ผลการวิจัยโดยสรุปมีดังนี้ 1………………………………………………………………….. 2………………………………………………………………… อภิปรายผล


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 163 จากผลการวิจัย ...........………………………………………………………………………………………………………………………………..................... ...........………………………………………………………………………………………………………………………………..................... ...........………………………………………………………………………………………………………………………………..................... . ข้อเสนอแนะ เชิงนโยบายและแผนงาน จากผลการวิจัย …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………................................................…….. จึงมีข้อเสนอแนะดังนี้ ...........………………………………………………………………………………………………………………………………..................... ...........………………………………………………………………………………………………………………………………..................... ...........………………………………………………………………………………………………………………………………..................... ...........………………………………………………………………………………………………………………………………..................... เชิงปฏิบัติการ จากผลการวิจัย ...........………………………………………………………………………………………………………………………………..................... ...........………………………………………………………………………………………………………………………………..................... . จึงมีข้อเสนอแนะดังนี้ ………………………………………………………………………………….................................................................................. ………………………………………………………………………………………………………………………………………....................... 8.3 การประเมินผลงานวิจัย การประเมินรายงานการวิจัยเป็นการตรวจสอบคุณภาพของรายงานการวิจัยว่ามีคุณภาพมากน้อย เพียงใด ในการประเมินรายงานการวิจัยนักวิจัยจะต้องกำหนดวัตถุประสงค์ของการประเมินให้ชัดเจนว่า ต้องการประเมินงานวิจัยเพื่อนำผลการประเมินไปใช้ในเรื่องใด สมคิด พรมจุ้ย(2555 : 203 - 204) ได้กำหนด วัตถุประสงค์ของการประเมินงานวิจัยมี 3 ประการ คือ 1. เพื่อนำผลการประเมินไปใช้ในการตัดสินใจว่าควรจะนำผลการวิจัยไปใช้ในการแก้ปัญหา หรือ พัฒนางาน


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 164 2.เพื่อนำผลการประเมินงานวิจัยไปใช้ในการตัดสินใจเกี่ยวกับการพิจารณาเลื่อนตำแหน่งงานหรือขอ ผลงานทางวิชาการ 3. เพื่อนำผลการประเมินงานวิจัยไปใช้ในการตัดสินใจให้รางวัลผลงานวิจัย การประเมินผลงานวิจัยพิจารณาจากความครบถ้วนของหัวข้อในรายงานการวิจัย ความชัดเจนและ ความถูกต้องของรายงานการวิจัยและคุณค่าของผลการวิจัยต่อวงวิชาการหรือการนำไปใช้ประโยชน์มี รายละเอียด ดังนี้ (สมคิด พรมจุ้ย. 2555) 1. ความครบถ้วนของหัวข้อ หัวข้อที่ปรากฏในรายงานการวิจัย ได้แก่ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1.3 ขอบเขตของการวิจัย 1.4 คำจำกัดความเชิงปฏิบัติการหรือนิยามศัพท์เฉพาะ 1.5 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1.6 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1.7 วิธีดำเนินการวิจัย 1.8 กลุ่มผู้ให้ข้อมูล หรือประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.9 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1.10 การเก็บรวบรวมข้อมูล 1.11 การวิเคราะห์ข้อมูล 1.12 การสรุปผลการวิจัย 1.13 การอภิปรายผล 1.14 ข้อเสนอแนะ 1.15 บรรณานุกรม 1.16 ภาคผนวก 1.17 บทสรุปสำหรับผู้บริหาร 2. ความถูกต้องและความชัดเจนในแต่ละหัวข้อ เป็นการพิจารณาว่านักวิจัยได้เขียนนำเสนอ สาระสำคัญของรายงานการวิจัยแต่ละหัวข้อได้ถูกต้อง ครบถ้วน และชัดเจนมากน้อยเพียงใด การวิจัยแต่ละเรื่องที่ทำสำเร็จจนกระทั่งเขียนเป็นรายงานการวิจัยแล้วนั้นย่อมมีคุณภาพที่ไม่เท่าเทียม กัน เนื่องจากบางเรื่องมีการสุ่มตัวอย่างที่ไม่ถูกต้อง ใช้เครื่องมือที่ขาดคุณภาพ เป็นต้น ดังนั้นจึงต้องมีการ ประเมินผลงานวิจัยว่ามีความถูกต้องสมบูรณ์และมีคุณภาพเชื่อถือได้เพียงใด ควรทำแบบสำรวจประเมิน งานวิจัยพอสรุปไว้เป็นข้อๆ ดังนี้ 1. ผู้วิจัยได้กำหนดปัญหาและเขียนปัญหาได้ชัดเจนหรือไม่


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 165 2. ปัญหาที่วิจัยมีหลักการหรือทฤษฎีรองรับหรือไม่ 3. ปัญหาที่วิจัยมีความสำคัญเพียงใด 4. ผู้วิจัยได้ศึกษางานเขียนทางวิชาการที่เกี่ยวข้องหรือไม่ ถ้ามี งานเขียนที่เกี่ยวข้องตรงประเด็นกับ ปัญหาที่วิจัยเพียงใด 5. สมมติฐานในการวิจัยมีหรือไม่ ถ้ามี ผู้วิจัยได้เขียนสมมติฐานได้ชัดเจนเพียงใด 6. มีการกำหนดคำนิยามปฏิบัติการของสิ่งที่มุ่งวัดอย่างเหมาะสมเพียงใด 7. ผู้วิจัยได้บรรยายถึงวิธีการวิจัยหรือวิธีตอบปัญหาอย่างชัดเจนหรือไม่ ผู้วิจัยได้ศึกษาจากตัวอย่าง ประชากรหรือศึกษาจากข้อมูลประชากร ถ้าศึกษาจากตัวอย่างประชากร ผู้วิจัยได้มาซึ่งตัวอย่างอย่างไร เหมาะสมเพียงใด 8. แหล่งของความคลาดเคลื่อนอันจะทำให้ผลการวิจัยผิดพลาดมีอะไรบ้าง ผู้วิจัยได้มีวิธีการควบคุม ความคลาดเคลื่อนเหล่านี้อย่างไรบ้าง 9. ผู้วิจัยใช้สถิติวิเคราะห์ข้อมูลหรือไม่ ถ้าใช้สถิติเหล่านั้นมีความเหมาะสมเพียงใด 10. ผู้วิจัยได้รายงานผลการวิจัยชัดเจนเพียงไร 11. ผู้วิจัยได้ลงข้อสรุปอย่างชัดเจนหรือไม่ ผู้วิจัยได้สรุปเกินขอบเขตหรือไม่ 12. ข้อจำกัดในการวิจัยเรื่องนี้มีหรือไม่ ผู้วิจัยได้เขียนอธิบายไว้อย่างชัดเจนหรือไม่ การประเมินรายงานการวิจัย การประเมินรายงานการวิจัย เป็นการตรวจสอบคุณภาพของรายงานการวิจัยว่ามีคุณภาพมากน้อย เพียงใด ในการประเมินรายงานการวิจัยนักวิจัยจะต้องกำหนดวัตถุประสงค์ของการประเมินให้ชัดเจนว่า ต้องการประเมินงานวิจัยเพื่อนำผลการประเมินไปใช้ในเรื่องใด สมคิด พรมจุ้ย(2555 : 203 - 204) ได้กำหนด วัตถุประสงค์ของการประเมินงานวิจัยมี 3 ประการ คือ 1. เพื่อนำผลการประเมินไปใช้ในการตัดสินใจว่าควรจะนำผลการวิจัยไปใช้ในการแก้ปัญหา หรือ พัฒนางาน 2.เพื่อนำผลการประเมินงานวิจัยไปใช้ในการตัดสินใจเกี่ยวกับการพิจารณาเลื่อนตำแหน่งงานหรือขอ ผลงานทางวิชาการ 3. เพื่อนำผลการประเมินงานวิจัยไปใช้ในการตัดสินใจให้รางวัลผลงานวิจัย การประเมินผลงานวิจัยพิจารณาจากความครบถ้วนของหัวข้อในรายงานการวิจัย ความชัดเจนและความ ถูกต้องของรายงานการวิจัยและคุณค่าของผลการวิจัยต่อวงวิชาการหรือการนำไปใช้ประโยชน์มีรายละเอียด ดังนี้ (สมคิด พรมจุ้ย. 2555) 1. ความครบถ้วนของหัวข้อ หัวข้อที่ปรากฏในรายงานการวิจัย ได้แก่ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 166 1.3 ขอบเขตของการวิจัย 1.4 คำจำกัดความเชิงปฏิบัติการหรือนิยามศัพท์เฉพาะ 1.5 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1.6 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1.7 วิธีดำเนินการวิจัย 1.8 กลุ่มผู้ให้ข้อมูล หรือประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.9 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1.10 การเก็บรวบรวมข้อมูล 1.11 การวิเคราะห์ข้อมูล 1.12 การสรุปผลการวิจัย 1.13 การอภิปรายผล 1.14 ข้อเสนอแนะ 1.15 บรรณานุกรม 1.16 ภาคผนวก 1.17 บทสรุปสำหรับผู้บริหาร 2. ความถูกต้องและความชัดเจนในแต่ละหัวข้อ เป็นการพิจารณาว่านักวิจัยได้เขียนนำเสนอ สาระสำคัญของรายงานการวิจัยแต่ละหัวข้อได้ถูกต้อง ครบถ้วน และชัดเจนมากน้อยเพียงใด การวิจัยแต่ละเรื่องที่ทำสำเร็จจนกระทั่งเขียนเป็นรายงานการวิจัยแล้วนั้นย่อมมีคุณภาพที่ไม่เท่าเทียม กัน เนื่องจากบางเรื่องมีการสุ่มตัวอย่างที่ไม่ถูกต้อง ใช้เครื่องมือที่ขาดคุณภาพ เป็นต้น ดังนั้นจึงต้องมีการ ประเมินผลงานวิจัยว่ามีความถูกต้องสมบูรณ์และมีคุณภาพเชื่อถือได้เพียงใด ควรทำแบบสำรวจประเมิน งานวิจัยพอสรุปไว้เป็นข้อๆ ดังนี้ 1. ผู้วิจัยได้กำหนดปัญหาและเขียนปัญหาได้ชัดเจนหรือไม่ 2. ปัญหาที่วิจัยมีหลักการหรือทฤษฎีรองรับหรือไม่ 3. ปัญหาที่วิจัยมีความสำคัญเพียงใด 4. ผู้วิจัยได้ศึกษางานเขียนทางวิชาการที่เกี่ยวข้องหรือไม่ ถ้ามี งานเขียนที่เกี่ยวข้องตรงประเด็นกับ ปัญหาที่วิจัยเพียงใด 5. สมมติฐานในการวิจัยมีหรือไม่ ถ้ามี ผู้วิจัยได้เขียนสมมติฐานได้ชัดเจนเพียงใด 6. มีการกำหนดคำนิยามปฏิบัติการของสิ่งที่มุ่งวัดอย่างเหมาะสมเพียงใด 7. ผู้วิจัยได้บรรยายถึงวิธีการวิจัยหรือวิธีตอบปัญหาอย่างชัดเจนหรือไม่ ผู้วิจัยได้ศึกษาจากตัวอย่าง ประชากรหรือศึกษาจากข้อมูลประชากร ถ้าศึกษาจากตัวอย่างประชากร ผู้วิจัยได้มาซึ่งตัวอย่างอย่างไร เหมาะสมเพียงใด


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 167 8. แหล่งของความคลาดเคลื่อนอันจะทำให้ผลการวิจัยผิดพลาดมีอะไรบ้าง ผู้วิจัยได้มีวิธีการควบคุม ความคลาดเคลื่อนเหล่านี้อย่างไรบ้าง 9. ผู้วิจัยใช้สถิติวิเคราะห์ข้อมูลหรือไม่ ถ้าใช้สถิติเหล่านั้นมีความเหมาะสมเพียงใด 10. ผู้วิจัยได้รายงานผลการวิจัยชัดเจนเพียงไร 11. ผู้วิจัยได้ลงข้อสรุปอย่างชัดเจนหรือไม่ ผู้วิจัยได้สรุปเกินขอบเขตหรือไม่ 12. ข้อจำกัดในการวิจัยเรื่องนี้มีหรือไม่ ผู้วิจัยได้เขียนอธิบายไว้อย่างชัดเจนหรือไม่ ประโยชน์การเขียนเค้าโครงการวิจัย 8.4 บทสรุป การรายงานการวิจัยเป็นหัวใจสำคัญประหารหนึ่ง เท่ากับเป็นการรายงานผลการิจัยทั้งหมดออกมา หรือรายงานผลการดำเนินงานมาตลอดระยะเวลาที่ยาวนานผ่านมา ซึ่งในบทนี้จะได้นำเสนอ ลักษณะ ส่วนประกอบของรายงานการวิจัย การประเมินผลงานวิจัย แนวทางการเขียนรายงานการวิจัย โดยการเขียน รายงานการวิจัยวิจัยมีเป้าหมายเพื่อการแสวงหาความรู้ให้กับผู้คน และใช้ความรู้เหล่านั้นไปเป็นเครื่องมือใน การสร้างองค์ความรู้ และนำไปสู่การพัฒนาในองค์รวม ทำให้เกิดการเรียนรู้เชิงประจักษ์แก่ชุมชนทางการศึกษา ชุมชนที่อยู่อาศัย และเป็นฐานในการพัฒนาองค์กร ประเทศชาติในด้านต่าง ๆ คำถามท้ายบท 1 .ความหมาย ลักษณะ ส่วนประกอบของรายงานการวิจัย มีประกอบที่สำคัญกี่ประการ อะไรบ้าง 2 .สรุปแนวทางวิธีการเขียนรายงานการวิจัยตามกรอบการศึกษาในบทนี้ 3 .สรุปกระบวนการเขียนรายงานการวิจัย ตามขั้นตอน อธิบายเป็นความเรียง 4 .แนวคิดการประเมินผลการเขียนรายงานการวิจัย 5 .จงอธิบายถึงลักษณะที่ดีและไม่ดีของงานวิจัยมาพอสังเขป รายการอ้างอิง บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์ .)2540( .ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์.กรุงเทพฯ :เจริญผล. พระเทพเวที( ประยุทธ์ปยุตโต .)2534( .)มหาวิทยาลัยกับงานวิจัยทางพระพุทธศาสนา .พระนคร : เนติกุลการพิมพ์. พวงรัตน์ทวีรัตน์ .)2538( .วิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์.พิมพ์ครั้งที่ .6 กรุงเทพฯ :สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. วิจิตร ศรีสอ้าน และทองอินทร์วงศ์โสธร .)2550( .หน่วยที่ :8 แนวคิดเกี่ยวกับการวิจัยทางการบริหาร


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 168 การศึกษา .ใน คณะกรรมการผลิตและบริหารชุดวิชาการวิจัยทางการบริหารการศึกษา( บก)., ประมวลสาระชุดวิชาการวิจัยทางการศึกษา .พิมพ์ครั้งที่ .6 นนทบุรี :มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. วีระยุทธ ชาตะกาญจน์ .)2557( .การวิจัยเพื่อพัฒนาการบริหารการศึกษา.กรุงเทพมหานคร :วี .พริ้นท์ . ศักดิ์ไทย สุรกิจบวร .)2549( .การวิจัยเพื่อพัฒนาการบริหารการศึกษา .สกลนคร :สำนักงานโครงการ บัณฑิตศึกษา สาขาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร. ศิริชัย กาญจนวาสี, ทวีวัฒน์ปิตยานนท์และดิเรก ศรีสุโข .)2540( .การเลือกใช้สถิติที่เหมาะสม สำหรับการ วิจัย .กรุงเทพมหานคร :พชรกานต์พับลิเคชั่น. สุชาติประสิทธิ์รัฐสินธุ์ .)2540( .ระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์.กรุงเทพฯ:เลียงเชียง. สุนีย์มัลลิกะมาลย์ .)2555( .วิทยาการวิจัยทางนิติศาสตร์.พิมพ์ครั้งที่ .9 กรุงเทพฯ :สำนักพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. อเนก พ .อนุกูลบุตร .)2556( .วิจัยเชิงคุณภาพ Qualitative Research .กรุงเทพฯ :ก .พล . อุทุมพร จามรมาน .)2550( .หน่วยที่ :1 การวิจัยทางการศึกษา .ใน คณะกรรมการผลิตและบริหารชุด วิชาการวิจัยทางการบริหารการศึกษา( บก)., ประมวลสาระชุดวิชาการวิจัยทางการศึกษา . พิมพ์ครั้งที่ .6 นนทบุรี :มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. Best J.W .& Kahn J.V( .2006 .)Research in Education .10thEd .Boston :Pearson Education . Easterby-Smith M .Thorpe R .& Lowe A( .1991 .)Management .Research :An Introduction. London :Sage. Fraenkel J.R .& Wallen N.E( .2006 .)How to Design and Evaluate Research in Education . 6 th ed .New York :McGraw-hill. Haller, Emil J . and Knapp, Thomas R( . 1985, Summer . )Problems and methodology education administration. Education Administration Quarterly, 21. Hoy W.K .& Miskel C.G( .2008 .)Educational Administration :Theory Research and Practice. 8 th ed .Boston :McGraw-Hill. Hussey J.& Hussey R( .1997 .)Business Research. London :Macmillan Business. Kerlinger F.N .& Lee H.B( .2000 .)Foundations of Behavioral Research. 4 th ed .New York : Thomson Learning. Wiersma W( .1991 .)Research Methods in Education :An Introduction .5 th ed .Boston :Allyn and Bacon.


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 169 แผนการสอนประจำบทที่ 9 การวิจัยใช้ประโยชน์ (Research Utilization) รายวิชา วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หัวข้อย่อย 9.1 การนำผลการวิจัยไปใช้ในการพัฒนาการเรียนรู้ 9.2 กระบวนการนำผลวิจัยไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ 9.3 สรุป สรุปแนวคิดที่สำคัญ การวิจัยมาใช้ประโยชน์ อย่างแท้จริงให้มากขึ้น ดังนั้นจึงควรศึกษาค้นคว้าถึงกระบวนการน า ผลการวิจัยที่เชื่อถือได้มาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาการศึกษา ให้ปรากฏชัดเจนต่อไป แนวทางการน า ผลการวิจัยไปใช้บูรณาการ ผลการวิจัย ไม่ว่าจะเป็นในรูปของข้อความรู้ใหม่ สิ่งประดิษฐ์หรือนวัตกรรม การ ยืนยันทฤษฎีข้อความจริง แนวทาง การ พัฒนาปรับปรุงงานหรือการตอบปัญหาข้อสงสัย จะเป็นข้อมูลหรือ ความคิดที่ทรงคุณค่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อผู้ที่เราต้องการ พัฒนา และเป็นเครื่องมือที่ใช้แสวงหายุทธศาสตร์ ที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนา ถ้าเป็นงานวิจัยในชั้นเรียน ผลการวิจัย ก็จะเป็น ประโยชน์ต่อการศึกษา ต่อ ผู้เรียนดังนั้นการนำผลการวิจัยไปใช้เพื่อพัฒนากลุ่มเป้าให้บรรลุตามวัตถุประสงค์จึงเป็นสิ่งที่ผู้นิเทศ จะต้อง ตระหนักถึงความส าคัญ และด าเนินการอย่างจริงจัง เพื่อให้เกิดผลในการปฏิบัติโดยเร็วส าหรับแนวทางการน าผลการวิจัยไป ใช้ในที่นี้ขอมุ่งเน้นไปที่การวิจัยในชั้นเรียนและน างานวิจัยเหล่านั้นมาบูรณาการกับการเรียน การสอนให้เกิดปรโยชน์ต่อตัวผู้เรียน และผู้ทำวิจัยซึ่งเป็นเป้าหมายร่วมกันทั้งผู้บริหารการศึกษา ผู้สอนและ ผู้เรียน ในการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนซึ่งมี หลากหลายแนวทาง การวิจัยมีเป้าหมายเพื่อการแสวงหา ความรู้ให้กับผู้คน เพื่อที่จะได้นำความรู้เหล่านั้นไปเป็นกลไกแสวงหาความรู้ และใช้ความรู้เหล่านั้นไปเป็น เครื่องมือในการสร้างองค์ความรู้ และนำไปสู่การพัฒนาในองค์รวม ทำให้เกิดการเรียนรู้เชิงประจักษ์แก่ชุมชน ทางการศึกษา ชุมชนที่อยู่อาศัย และเป็นฐานในการพัฒนาองค์กร ประเทศชาติในด้านต่าง ๆ ซึ่งในข้อเท็จจริงที่ ปรากฏทำให้เห็นว่าวิจัยมีความสำคัญต่อการพัฒนาในองค์รวมทั้งหมด ซึ่งจะได้จำแนกตามกรอขของการวิจัย เพื่อพัฒนาผู้เรียนได้ วัตถุประสงค์ 1.เพื่อศึกษาความสำคัญของการนำผลการวิจัยไปใช้ในการพัฒนาการเรียนรู้ 2.เพื่อศึกษากระบวนการวิจัยที่จะเป็นกลไกของการพัฒนาผู้เรียน 3. เพื่อให้กระบวนการวิจัยได้เป็นกลไก สำคัญของการพัฒนาผู้เรียน


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 170 กิจกรรมระหว่างเรียน 1.การบรรยายในชั้นเรียน 2.ผู้สอนผู้บรรยาย บรรยายตามกรอบของการบรรยาย สื่อการสอน 1.เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 2. เอกสารประกอบการสอน 3. สื่อ Power Point สื่ออื่น เช่น Flip Chart การประเมินผล 1.ประเมินผลความสนใจของผู้ศึกษาขณะเรียน 2.การชักถาม ถามตอบ ของผู้เรียนขณะเรียน 3.การประเมินระหว่างเรียน การประเมินกลางภาค และการสอบประเมินปลายภาค


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 171 บทที่ 9 การวิจัยใช้ประโยชน์ (Research Utilization) แนวปฏิบัติที่ดี ด้านการนำงานวิจัยไปไปใช้ในการเรียนการสอนหรือนำงานวิจัยไปบูรณาการในชั้น เรียน มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย พ .ศ .การศึกษาแห่งชาติ พ .บ .ร .2542 ที่แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่(2) พ .ศ . 2545 หมวก 4 แนวการจัดการศึกษาถือว่า ผู้เรียนสำคัญที่สุด มาตรา 24 และมาตรา 30 กล่าวว่าการจัด กระบวนการเรียนรู้กำหนดให้สถานศึกษาต้องสนับสนุน ให้ผู้สอน สามารถจัดบรรยากาศ ใช้สื่อ ใช้การวิจัย เป็น ส่วนหนึ่งของการส่งเสริมพัฒนาการเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ ผู้ทำงานเกี่ยวข้องกับ สถานศึกษาสามารถนำผลการวิจัยมาใช้เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปสถานศึกษา งานวิจัยที่มีคุณภาพจะเป็นประโยชน์ อย่างยิ่งต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ตั้งแต่การกำหนดนโยบายการศึกษา ระดับชาติไปจนถึงระดับการ จัดการเรียนรู้ในสถานศึกษา เป็นความจริงที่ว่าการจัดทำ พ .ศ .การศึกษาแห่งชาติ พ .บ .ร .2542 ที่ แก้ไข เพิ่มเติมฉบับที่ 2) พ .ศ .2545 ได้อาศัยงานวิจัยที่เชื่อถือได้จำนวนมาก เป็นแหล่งข้อมูลและอ้างอิง นับได้ว่าใน ระดับนโยบาย มีการใช้งานวิจัยให้เกิดประโยชน์อย่างจริงจัง สำหรับงานการนิเทศการศึกษาจึงควรที่จะได้ พิจารณานำผลการวิจัยมาใช้ประโยชน์ อย่างแท้จริงให้มากขึ้น ดังนั้นจึงควรศึกษาค้นคว้าถึงกระบวนการน า ผลการวิจัยที่เชื่อถือได้มาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาการศึกษา ให้ปรากฏชัดเจนต่อไป แนวทางการนำ ผลการวิจัยไปใช้บูรณาการ ผลการวิจัย ไม่ว่าจะเป็นในรูปของข้อความรู้ใหม่ สิ่งประดิษฐ์หรือนวัตกรรม การ ยืนยันทฤษฎีข้อความจริง แนวทาง การ พัฒนาปรับปรุงงานหรือการตอบปัญหาข้อสงสัย จะเป็นข้อมูลหรือ ความคิดที่ทรงคุณค่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อผู้ที่เราต้องการ พัฒนา และเป็นเครื่องมือที่ใช้แสวงหายุทธศาสตร์ ที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนา ถ้าเป็นงานวิจัยในชั้นเรียน ผลการวิจัย ก็จะเป็น ประโยชน์ต่อการศึกษา ต่อ ผู้เรียนดังนั้นการนำผลการวิจัยไปใช้เพื่อพัฒนากลุ่มเป้าให้บรรลุตามวัตถุประสงค์จึงเป็นสิ่งที่ผู้นิเทศ จะต้อง ตระหนักถึงความสำคัญ และดำเนินการอย่างจริงจัง เพื่อให้เกิดผลในการปฏิบัติโดยเร็วส าหรับแนวทางการน า ผลการวิจัยไป ใช้ในที่นี้ขอมุ่งเน้นไปที่การวิจัยในชั้นเรียนและนำงานวิจัยเหล่านั้นมาบูรณาการกับการเรียนการ สอนให้เกิดปรโยชน์ต่อตัวผู้เรียน และผู้ทำวิจัยซึ่งเป็นเป้าหมายร่วมกันทั้งผู้บริหารการศึกษา ผู้สอนและผู้เรียน ในการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนซึ่งมี หลากหลายแนวทาง เช่น 1. การนำผลการวิจัยไปใช้ปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการสอน ซึ่งสามารถใช้ได้ในลักษณะดังนี้ 1.1 ใช้แก้ปัญหาการเรียนการสอนโดยตรง เช่น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ อาจารย์ผู้สอนนำไปใช้ใน การปรับ กิจกรรมการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น หรือใช้ผลการประเมินเป็นข้อมูลย้อนกลับในการ พัฒนาคุณภาพการจัดการเรียน การสอนได้ 1.2 ใช้เป็นข้อมูลในการบริหารจัดการเพื่อสนับสนุนการเรียนการสอนให้เป็นไปอย่างราบรื่น และมี ประสิทธิผล ยิ่งขึ้น


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 172 2. การนำผลการวิจัยไปใช้เป็นการสร้างองค์ความรู้ใหม่ เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาการเรียน การสอนโดย 2.1 นำไปใช้แก้ปัญหาหรือนำไปใช้ประโยชน์เชิงวิชาการที่เป็นความรู้ใหม่ นำไปอ้างอิงหรือนำไปสอน นักเรียน เพื่อความก้าวหน้าทางวิชาการ 2.2 นำไปใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับการศึกษาต่อไปเพื่อให้ได้ความรู้ที่ลึกซึ้งเป็นประโยชน์ยิ่งขึ้น 3. การนำผลการวิจัยไปใช้เป็นผลงานทางวิชาการ ผลการวิจัยนอกจากจะเป็นประโยชน์ในด้านการ ปรับปรุงและพัฒนางานหรือการจัดการเรียนการสอนแล้ว ยังเป็น ประโยชน์ ต่อการพัฒนาวิชาชีพอีกด้วย โดย ผู้วิจัยสามารถน าผลการวิจัยไปใช้เป็นผลงานวิชาการเพื่อขอเลื่อนวิทยฐานะ หรือปรับ ]ตำแหน่งให้สูงขึ้นได้ 9.1 การนำผลการวิจัยไปใช้ในการพัฒนาการเรียนรู้ การนำนวัตกรรมการเรียนรู้ไปใช้ประโยชน์ )Implication of Learning Innovation) นวัตกรรมการเรียนรู้ ) learning innovation ) สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในวงการศึกษาสรุปได้ดังนี้ 1.เพื่อนำนวัตกรรมมาใช้แก้ปัญหาในเรื่องการเรียนการสอน เช่น 1.1 ปัญหาเรื่องวิธีการสอน ปัญหาที่มักพบอยู่เสมอ คือ ผู้สอนส่วนใหญ่ยังคงยึดรูปแบบการสอนแบบ บรรยาย โดยมีครูเป็นศูนย์กลางมากกว่าการสอนในรูปแบบอื่น การสอนด้วยวิธีการแบบนี้เป็นการสอนที่ขาด ประสิทธิภาพและประสิทธิผลในบั้นปลาย เพราะนอกจากจะทำให้นักเรียนเกิดความเบื่อหน่ายขาดความสนใจ แล้ว ยังเป็นการปิดกั้นความคิดและสติปัญญาของผู้เรียนให้อยู่ในขอบเขตจำกัดอีกด้วย 1.2 ปัญหาด้านเนื้อหาวิชาบางวิชาเนื้อหามากและบางวิชามีเนื้อหาเป็นนามธรรมยากแก่การเข้าใจ จึง จำเป็นจะต้องนำเทคนิคการสอนและสื่อมาช่วย 1.3 ปัญหาด้านการวัดและประเมินผล เช่น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำครูผู้สอนนำไปใช้ในการปรับ กิจกรรมการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นหรือใช้ผลการประเมินเป็นข้อมูลย้อนกลับในการพัฒนา คุณภาพการจัดการเรียนการสอนได้ 1.4 ปัญหาเรื่องอุปกรณ์การสอน บางเนื้อหามีสื่อการสอนเป็นจำนวนน้อยไม่เพียงพอต่อการนำไปใช้ เพื่อทำให้นักเรียนเกิดความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาวิชาได้ง่ายขึ้นจึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาคิดค้นหาเทคนิค วิธีการสอน และผลิตสื่อการสอนใหม่ ๆ เพื่อนำมาใช้ทำให้การเรียนการสอนบรรลุเป้าหมายได้ 2. เพื่อนำนวัตกรรมไปใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอน การสร้างองค์ความรู้ใหม่ให้มีประสิทธิภาพ ยิ่งขึ้นและเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาโดยการนำสิ่งประดิษฐ์หรือแนวความคิดใหม่ ๆ ในการเรียนการสอนนั้น เผยแพร่ไปสู่ครู – อาจารย์ท่านอื่นๆ หรือเพื่อเป็นตัวอย่างอีกรูปแบบหนึ่งให้กับครู – อาจารย์ที่สอนในวิชา เดียวกันได้นำแนวความคิดไปปรับปรุงใช้หรือผลิตสื่อการสอนใหม่ ๆ เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาการเรียนการ สอนต่อไป 3. การนำนวัตกรรมไปใช้เป็นผลงานทางวิชาการ นวัตกรรมการเรียนรู้นอกจากจะเป็นประโยชน์ใน ด้านการปรับปรุงและพัฒนางานหรือการจัดการเรียนการสอนแล้ว ยังเป็นประโยชน์ ต่อการพัฒนาวิชาชีพอีก


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 173 ด้วย โดยผู้สร้างนวัตกรรมสามารถนำผลจากการนำนวัตกรรมไปใช้เป็นผลงานวิชาการเพื่อขอเลื่อนวิทยฐานะ หรือปรับตำแหน่งให้สูงขึ้นได้ ตัวอย่างนวัตกรรมการเรียนรู้ที่นำไปใช้ในการพัฒนาเรียนการสอน บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน )CAI ) ที่มีประสิทธิภาพที่สามารถทำให้ผู้เรียนที่เรียนด้วยบทเรียนนี้เกิดการเรียนรู้ตรงตามจุดประสงค์ที่ กำหนดไว้ในหลักสูตร ภาพที่ 9.1 บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน )CAI ) สื่อประสม (Multi Media) สื่อประสม หมายถึง การนำเอาสื่อหลาย ๆ ประเภทมาใช้ร่วมกันทั้งวัสดุ อุปกรณ์ และวิธีการเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดในการเรียนการสอน โดยการใช้สื่อแต่ละ อย่างตามลำดับขั้นตอนของเนื้อหา และในปัจจุบันมีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ร่วมด้วยเพื่อการพลิกหรือการ ควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการเสนอข้อมูลทั้งตัวอักษร ภาพกราฟิก ภาพถ่าย ภาพเคลื่อนไหว แบบวีดิทัศน์ และเสียง


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 174 ภาพที่ 9.2 ความจริงเสมือนเพื่อการช่วยสอน ความจริงเสมือน (Virtual Reality) หรือที่เรียกกันย่อ ๆ ว่า “ วีอาร์” )VR( เป็นกลุ่มเทคโนโลยีเชิง โต้ตอบที่ผลักดัน ให้ผู้ใช้เกิดความรู้สึกของการเข้าร่วมอยู่ภายในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ได้มีอยู่จริงที่สร้างขึ้นโดย คอมพิวเตอร์ ภาพที่ 9.3 การใช้อินเทอร์เน็ตช่วยสอน อินเทอร์เน็ต (Internet) คือ ระบบของการเชื่อมโยงข่ายงานคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่มากครอบคลุมไป ทั่วโลก เพื่ออำนวยความสะดวกในการให้บริการสื่อสารข้อมูล เช่นการบันทึกเข้าระยะไกล ฯลฯ กระบวนการนำผลวิจัยไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ การน าผลวิจัยมาใช้ประโยชน์ในการปฏิรูปการศึกษาทั้งการ บริหารการศึกษา การจัดการเรียนการสอนและ การนิเทศการศึกษา จึงควรดำเนินการตามขั้นตอน ดังนี้ 1. กำหนดวิสัยทัศน์ / ภาพอนาคต )Vision) ประกาศนโยบายชัด ให้ใช้การวิจัย/ผลวิจัยเป็นส่วนหนึ่ง ของ กระบวนการ ทำงานตาม พ.ร.บ. การศึกษา พ.ศ. 2542 ที่แก้ไขเพิ่มเติม )ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 2. พัฒนาวิธีคิด วิธีทำงานเชิงระบบ ทำให้ทุกคนได้รับความรู้ ความเข้าใจและเห็นประโยชน์


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 175 3. สร้างเงื่อนไขที่ทำให้เกิดการวิจัยและใช้ผลวิจัยในการทำงานโดยมีการประชุมร่วมคิด ร่วมปฏิบัติ และประเมินเป็น ระยะๆ 4. ให้การสนับสนุนทรัพยากร เงิน วัสดุ ข้อมูล จัดห้องสมุด ศูนย์วิชาการ ไปศึกษาดูงาน ให้เสนอและ เผยแพร่ผลงาน ให้กำลังใจ 5. การประเมินเพื่อสร้างสรรค์พัฒนา ทำไมถึงมีการบูรณาการ นอกเหนือจากจะเกิดประโยชน์ที่ เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนที่มีต่อผู้เรียน ต่อผู้สอน ต่อมหาวิทยาลัยและต่อชุมชน โดยรวมแล้ว ยังจะ ก่อให้เกิดสิ่งที่พึงปรารถนาแก่กลุ่มดังกล่าว ดังนี้ คือ การรู้สึก การรู้รอบ รอบรู้ หรือ รู้กว้าง การสร้างความรู้ ด้วยตนเอง กฏธรรมชาติของการเรียนการสอนและการวิจัย คือ กระบวนการวิจัย กระบวนการเรียนรู้ กระบวนการแก้ปัญหา กระบวนการค้นหาความรู้ความจริง กระบวนการคิดสร้างสรรค์ทางปัญญา กระบวนการ คิดแก้ปัญหา วิธีการทางวิทยาศาสตร์ วิธีบูรณาการงานวิจัยกับการเรียนการสอน วิธีบูรณาการงานวิจัยกับการ เรียนการสอน ก็คือ ใช้ขั้นตอนการวิจัยเป็นแนวทางในการพัฒนาการเรียนการสอน กล่าวคือ เริ่มต้นตามความรู้ และประสบการณ์เดิมของผู้เรียนแล้วให้ผู้เรียนคิดปัญหาหรือโจทย์ ตั้งวัตถุประสงค์ สมมุตติฐานออกแบบการ วิจัยเพื่อหาข้อมูลมาทดสอบสมมุติฐาน และหาค าตอบตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ สรุปผล รายงานการวิจัยเพื่อ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ใน กลุ่มของผู้เรียนและอาจารย์ตลอดจนผู้เกี่ยวข้องต่อไป ดังนั้นการเรียนการสอนตาม แนวทางนี้ จึงใช้การวิจัยเป็นกรอบแนวทางใน การจัดการเรียนการสอน )Research Based Instruction) แนวคิดที่ทำให้นักศึกษาเกิดการเรียนรู้ และเกิดความคิดสร้างสรรค์ทางปัญญา สร้างบรรยากาศ กระตุ้นให้นักศึกษาอยากจะรู้ อยากจะเรียน อยากจะทำ ซึ่งจะเป็นตัวเร่งให้เขาขับเคลื่อน เกิด ความรู้สึก อยากจะสร้างสรรค์ อยากจะรู้ อยากจะเรียน ใช้แรงจูงใจภายใน (Intrinsic Motivation) ให้เกิดการสร้างสรรค์ ความรู้ให้การเรียนู้โดยการลงมือท าจริง (Learning by Doing) ให้มีประสบการณ์เดิมความรู้เดิมบวกกับ / ความรู้ใหม่แล้วคิดทบทวนกลั่นกรองที่เรียกว่า การคิดแบบสะท้อนกลับไปกลับมา /ประสบการณ์ใหม่ (Reflective Thinking) ให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อนนักศึกษา และอาจารย์ (Interactive) เป้นการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและ กัน หาข้อสรุปร่วมกัน คือการสร้างองค์ความรู้ใหม่ สร้างความคิดใหม่ สะท้อน ความคิดใหม่เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ให้ ก้าวหน้ายิ่งๆขึ้น ความรู้จึงไม่หยุดนิ่งจะเกอดการคิดค้นต่อไปอีก จัดการท างานและเรียนรู้เป็นทีม (team Learning) จัดให้เป็นการเรียนรู้ ”วิธีการเรียนรู้“)Learning to learn) ไม่ใช่ การสอนหรือบอก


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 176 ภาพที่ 9.4 วงจรการเรียนรู้ตามทฤษฎี Constructionism ในวงจรการเรียนรู้ตามทฤษฎีนี้ การคิดแก้ปัญหา การสร้างความรู้ด้วยตนเอง คิดทบทวนแลกเปลี่ยนความรู้ ทั้ง 3 ขั้นตอนนี้ในรายละเอียดก็คือ ขั้นตอนของการวิจัยนั่นเอง


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 177 ภาพที่ 9.5 วงจรการเรียนรู้ ภาพที่ 9.6 งานวิจัยเพื่อรับใช้สังคม จากปัญหาจริง สู่งานวิจัย


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 178 ภาพที่ 9.7 โลกของการวิจัย ภาพที่ 9.8 การผสมผสานความรู้ บูรณาการ


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 179 ภาพที่ 9.9 ระบบนิเวศของงานวิจัยสายนานาชาติ ภาพที่ 9.10 ระบบนิเวศของงานวิจัยเพื่อรับใช้สังคม


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 180 ลักษณะของการจัดกิจกรรมการนำงานวิจัยไปใช้ในการเรียนการสอนและน ามาบูรณาการในชั้นเรียน โดยเน้นการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง 1. Active Learning เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนเป็นผู้กระทำ หรือปฏิบัติด้วยตนเอง ด้วยความ กระตือรือร้นเช่นได้คิดคนคว้า ทดลองรายงาน ทำโครงการ สัมภาษณ์ แก้ปัญหา ฯลฯ ได้ใช้ประสาทสัมผัส ต่างๆทำ ให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างแท้จริง ผู้สอนทำหน้าที่เตรียมการจัดบรรยายกาศการเรียนรู้จัดสื่อ สิ่งเร้าเสริมแรง ให้ค าปรึกษาและสรุปสาระการเรียนรู้ร่วมกัน 2. Construct เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนได้ค้นพบสาระสำคัญหรือองค์การความรู้ใหม่ด้วยตนเองอันเกิด จาก การได้ศึกษา ค้นคว้าทดลอง แลกเปลี่ยนเรียนรู้และลงมือปฏิบัติจริง ท าให้ผู้เรียนรักการอ่าน รัก การศึกษาค้นค้วาเกิดทักษะใน การแสวงหาความรู้เห็นความสำคัญของการเรียนรู้ซึ่งน าไปสู่การเป็นบุคคลแห่ง การเรียนรู้ )Learning Man) 3. Resource เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนได้เรียนรจากแห่ลงเรียนรู้ต่าง ๆ ที่หลากหลายทั้งบุคคลและ เครื่องมือทั้งใน ห้องเรียนและนอกห้องเรียนผู้เรียนได้สัมผัสและสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทั้งที่เป็นมนุษย์)เช่น ชุมชนครอบครัว องค์กรต่างๆ( ธรรมชาติและเทคโนโลยีตามหลักการที่ว่า “การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา และทุกสถานการณ์( 4. Thinking เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมกระบวนการคิด ผู้เรียนได้ฝึกวิธีคิดในหลายลักษณะ เช่น คิดคลอง คิดหลากหลาย คิดละเอียด คิดชัดเจน คิดถูกทาง คิดกว้าง คิดลึกซึ้ง คิดไกล คิดอย่างมีเหตุผลเป็นต้น การฝึก ให้ผู้เรียนได้คิดอยู่ เสมอในลักษณะต่างๆ จะทำให้ผู้เรียนเป็นคนคิดเป็นแก้ปัญหาเป็นอย่างรอบคอบมีเหตุผลมี วิจารณญาณในการ คิดมีความคิดสร้างสรรคีมความสามารถในการคิดวิเคราะห์ที่จะเลือกรับและปฏิเสธข้อูมล ข่าวสารต่างๆ ได้อย่าง เหมาะสม ตลอดจนสามารถแสดงความคิดเห็นออกได้อย่างชัดเจนและมีเหตุผลอันเป็น ประโยชน์ต่อการด ารง ชีวิตประจำวัน 5. Happiness เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนได้เรียนอย่างมีความสุข เป็นความสุขที่เกิดจากประการที่หนึ่ง ผู้เรียน ได้เรียนในสิ่งที่ ตนสนใจสาระการเรียนรู้ ชวนให้สนใจใฝ่ค้นคว้าศึกษาท้าทายให้แสดงความสามารถและ ให้ใช้ศักยภาพของตนอย่างเต็มที่ ประการที่สองปฏิสัมพันธ์)Interaction) ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอนและระหว่าง ผู้เรียนกับผู้เรียน มีลักษณะเป็นกัลยาณิมิตร มีการช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันมีกิจกรรมร่วมด้วยช่วยกันทำา ให้ผู้เรียนรู้สึกมีความสุขและสนุก กับการเรียน 6. Participation เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการวางแผนกำหนดงาน วางเป้าหมายร่วมกันและ มี โอกาสเลือก ทำงานหรือศึกษาค้นคว้าในเรื่องที่ตรงกับความถนัดความสามารถ ความสนใจ ของตนเองท าให้ ผู้เรียนเรียนด้วย ความกระตือรือล้น มองเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรียนและสามารถประยุกต์ความรู้น าไปใช้ ประโยชน์ในชีวิตจริง 7. Individualization เป็นกิจกรรมที่ผู้สอนให้ความสำคัญแก่ผู้เรียนในความเป็นอัตบุคคล ผู้สอน ยอมรับในความสามารถความคิดเห็นความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียนมุ่งให้ผู้เรียนได้พัฒนาตนเองให้เต็ม


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 181 ศักยภาพมากกว่าเปรียบเทียบแข่งขันระกว่างกันโดยมีความเชื่อมั่นผู้เรียนทุกคนมีความสามารถในการเรียนรู้ และ ได้มีวิธีการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน 8. เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนได้พัฒนาคุณลักษณะนิสัยที่ดีงาน เช่น ความรับผิดชอบ ความเมตตา กรุณา ความมีน้ำใจ ความขยัน ความมีระเบียบวินัย ความเสียสละ ฯลฯ และลักษณะนิสัยในการทำงานอย่างเป็น ระบบการ ทำงานร่วมกับผู้อื่น การยอบรับผู้อื่น และการเห็นคุณค่าของงาน เป็นต้น ภาพที่ 9.11 การจัดการเรียนรู้การสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางจากวิจัยใช้ประโยชน์ 9.2 กระบวนการนำผลวิจัยไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ กระบวนการนำผลวิจัยไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ การนำผลวิจัยมาใช้ประโยชน์ในการปฏิรูปการศึกษา ทั้งการบริหารการศึกษา การจัดการเรียนการสอนและ การนิเทศการศึกษา จึงควรดำเนินการตามขั้นตอน ดังนี้ 1. กำหนดวิสัยทัศน์ / ภาพอนาคต )Vision) ประกาศนโยบายชัด ให้ใช้การวิจัย/ผลวิจัยเป็นส่วนหนึ่ง ของ กระบวนการ ทำงานตาม พ.ร.บ. การศึกษา พ.ศ. 2542 ที่แก้ไขเพิ่มเติม )ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 2. พัฒนา วิธีคิด วิธีท างานเชิงระบบ ทำให้ทุกคนได้รับความรู้ ความเข้าใจและเห็นประโยชน์ 3. สร้างเงื่อนไขที่ทำให้เกิดการวิจัยและใช้ผลวิจัยในการทำงานโดยมีการประชุมร่วมคิด ร่วมปฏิบัติ และประเมินเป็น ระยะๆ 4. ให้การสนับสนุนทรัพยากร เงิน วัสดุ ข้อมูล จัดห้องสมุด ศูนย์วิชาการ ไปศึกษาดูงาน ให้เสนอและ เผยแพร่ผลงาน ให้ก าลังใจ 5. การประเมินเพื่อสร้างสรรค์พัฒนา ทำไมถึงมีการบูรณาการ นอกเหนือจากจะเกิดประโยชน์ที่ เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนที่มีต่อผู้เรียน ต่อผู้สอน ต่อมหาวิทยาลัยและต่อชุมชน โดยรวมแล้ว ยังจะ


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 182 ก่อให้เกิดสิ่งที่พึงปรารถนาแก่กลุ่มดังกล่าว ดังนี้ คือ การรู้สึก การรู้รอบ รอบรู้ หรือ รู้กว้าง การสร้างความรู้ ด้วยตนเอง กฏธรรมชาติของการเรียนการสอนและการวิจัย คือ กระบวนการวิจัย กระบวนการเรียนรู้ กระบวนการแก้ปัญหา กระบวนการค้นหาความรู้ความจริง กระบวนการคิดสร้างสรรค์ทางปัญญา กระบวนการ คิดแก้ปัญหา วิธีการทางวิทยาศาสตร์ วิธีบูรณาการงานวิจัยกับการเรียนการสอน วิธีบูรณาการงานวิจัยกับการ เรียนการสอน ก็คือ ใช้ขั้นตอนการวิจัยเป็นแนวทางในการพัฒนาการเรียนการสอน กล่าวคือ เริ่มต้นตามความรู้ และประสบการณ์เดิมของผู้เรียนแล้วให้ผู้เรียนคิดปัญหาหรือโจทย์ ตั้งวัตถุประสงค์ สมมุตติฐาน ออกแบบการ วิจัยเพื่อหาข้อมูลมาทดสอบสมมุติฐาน และหาค าตอบตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ สรุปผล รายงานการวิจัยเพื่อ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ใน กลุ่มของผู้เรียนและอาจารย์ตลอดจนผู้เกี่ยวข้องต่อไป ดังนั้นการเรียนการสอนตาม แนวทางนี้ จึงใช้การวิจัยเป็นกรอบแนวทางใน การจัดการเรียนการสอน )Research Based Instruction) แนวคิดที่ทำให้นักศึกษาเกิดการเรียนรู้ และเกิดความคิดสร้างสรรค์ทางปัญญา สร้างบรรยากาศ กระตุ้นให้นักศึกษาอยากจะรู้ อยากจะเรียน อยากจะทำ ซึ่งจะเป็นตัวเร่งให้เขาขับเคลื่อน เกิด ความรู้สึก อยากจะสร้างสรรค์ อยากจะรู้ อยากจะเรียน ใช้แรงจูงใจภายใน )Intrinsic Motivation) ให้เกิดการสร้างสรรค์ ความรู้ให้การเรียนู้โดยการลงมือทำจริง )Learning by Doing) ให้มีประสบการณ์เดิม/ความรู้เดิมบวกกับ ประสบการณ์ใหม่/ความรู้ใหม่แล้วคิดทบทวนกลั่นกรองที่เรียกว่า การคิดแบบสะท้อนกลับไปกลับมา )Reflective Thinking) ให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อนนักศึกษา และอาจารย์ )Interactive) เป้นการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและ กัน หาข้อสรุปร่วมกัน คือการสร้างองค์ความรู้ใหม่ สร้างความคิดใหม่ สะท้อน ความคิดใหม่เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ให้ ก้าวหน้ายิ่งๆขึ้น ความรู้จึงไม่หยุดนิ่งจะเกิดการคิดค้นต่อไปอีก จัดการ ทำงานและเรียนรู้เป็นทีม )team Learning) จัดให้เป็นการเรียนรู้ “วิธีการเรียนรู้” )Learning to learn) ไม่ใช่ การสอนหรือบอก 9.3 บทสรุป วิจัยใช้ประโยชน์เป็นแนวคิดที่ทำให้ผู้วิจัย จะได้นำองค์ความรู้ไปใช้เพื่อการพัฒนา ให้เกิดประโยชน์ อย่างสูงสุด และเกิดความคิดสร้างสรรค์ทางปัญญา สร้างบรรยากาศกระตุ้นให้นักศึกษาอยากจะรู้ อยากจะ เรียน อยากจะทำ ซึ่งจะเป็นตัวเร่งให้เขาขับเคลื่อน เกิด ความรู้สึกอยากจะสร้างสรรค์ อยากจะรู้ อยากจะเรียน ใช้แรงจูงใจภายใน )Intrinsic Motivation) ให้เกิดการสร้างสรรค์ความรู้ให้การเรียนู้โดยการลงมือทำจริง )Learning by Doing) ให้มีประสบการณ์เดิม/ความรู้เดิมบวกกับประสบการณ์ใหม่/ความรู้ใหม่แล้วคิดทบทวน กลั่นกรองที่เรียกว่า การคิดแบบสะท้อนกลับไปกลับมา )Reflective Thinking) ให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับ เพื่อนนักศึกษา และอาจารย์ )Interactive) เป้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและ กัน หาข้อสรุปร่วมกัน คือการ สร้างองค์ความรู้ใหม่ สร้างความคิดใหม่ สะท้อนความคิดใหม่เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ให้ ก้าวหน้ายิ่งๆขึ้น ความรู้ จึงไม่หยุดนิ่งจะเกิดการคิดค้นต่อไปอีก จัดการทำงานและเรียนรู้เป็นทีม )team Learning) จัดให้เป็นการ เรียนรู้ “วิธีการเรียนรู้” )Learning to learn) ไม่ใช่การสอนหรือบอก


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 183 คำถามท้ายบท 1 .ความหมายของวิจัยใช้ประโยชน์ทางการศึกษา มีองค์ประกอบที่สำคัญกี่ประการ อะไรบ้าง 2 .สรุปลักษณะของการวิจัยใช้ประโยชน์ทางการศึกษา จงยกตัวอย่างพร้อมอธิบาย 3 .สรุปกระบวนการวิจัยใช้ประโยชน์ทางการาศึกษา มีกี่ขั้นตอน จงอธิบาย 4 .แนวคิดการวิเคราะห์วิจัยใช้ประโยชน์ หัวข้อที่ควรปรากฏในรายงานการวิจัย ควรประกอบด้วย อะไรบ้าง 5 .จงอธิบายถึงลักษณะที่ดีและไม่ดีของงานวิจัยใช้ประโยชน์ รายการอ้างอิง บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์ .)2540( .ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์.กรุงเทพมหานคร :เจริญผล. พระเทพเวที( ประยุทธ์ปยุตโต .)2534( .)มหาวิทยาลัยกับงานวิจัยทางพระพุทธศาสนา .พระนคร : เนติกุลการพิมพ์. พวงรัตน์ทวีรัตน์ .)2538( .วิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์.พิมพ์ครั้งที่ .6 กรุงเทพมหานคร :สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. วิจิตร ศรีสอ้าน และทองอินทร์วงศ์โสธร .)2550( .หน่วยที่ :8 แนวคิดเกี่ยวกับการวิจัยทางการบริหาร การศึกษา .ใน คณะกรรมการผลิตและบริหารชุดวิชาการวิจัยทางการบริหารการศึกษา( บก)., ประมวลสาระชุดวิชาการวิจัยทางการศึกษา .พิมพ์ครั้งที่ .6 นนทบุรี :มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. วีระยุทธ ชาตะกาญจน์ .)2557( .การวิจัยเพื่อพัฒนาการบริหารการศึกษา.กรุงเทพมหานคร :วี .พริ้นท์ . ศักดิ์ไทย สุรกิจบวร .)2549( .การวิจัยเพื่อพัฒนาการบริหารการศึกษา .สกลนคร :สำนักงานโครงการ บัณฑิตศึกษา สาขาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร. ศิริชัย กาญจนวาสี, ทวีวัฒน์ปิตยานนท์และดิเรก ศรีสุโข .)2540( .การเลือกใช้สถิติที่เหมาะสม สำหรับการ วิจัย .กรุงเทพมหานคร :พชรกานต์พับลิเคชั่น. สุชาติประสิทธิ์รัฐสินธุ์ .)2540( .ระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์.กรุงเทพมหานคร:เลียงเชียง. สุนีย์มัลลิกะมาลย์ .)2555( .วิทยาการวิจัยทางนิติศาสตร์.พิมพ์ครั้งที่ .9 กรุงเทพมหานคร :สำนักพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. อเนก พ .อนุกูลบุตร .)2556( .วิจัยเชิงคุณภาพ Qualitative Research .กรุงเทพมหานคร :ก .พล . อุทุมพร จามรมาน .)2550( .หน่วยที่ :1 การวิจัยทางการศึกษา .ใน คณะกรรมการผลิตและบริหารชุด วิชาการวิจัยทางการบริหารการศึกษา( บก)., ประมวลสาระชุดวิชาการวิจัยทางการศึกษา . พิมพ์ครั้งที่ .6 นนทบุรี :มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. Best J.W .& Kahn J.V( .2006 .)Research in Education .10thEd .Boston :Pearson Education . Easterby-Smith M .Thorpe R .& Lowe A( .1991 .)Management .Research :An Introduction.


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 184 London :Sage. Fraenkel J.R .& Wallen N.E( .2006 .)How to Design and Evaluate Research in Education . 6 th ed .New York :McGraw-hill. Haller, Emil J . and Knapp, Thomas R( . 1985, Summer . )Problems and methodology education administration. Education Administration Quarterly, 21. Hoy W.K .& Miskel C.G( .2008 .)Educational Administration :Theory Research and Practice. 8 th ed .Boston :McGraw-Hill. Hussey J.& Hussey R( .1997 .)Business Research. London :Macmillan Business. Kerlinger F.N .& Lee H.B( .2000 .)Foundations of Behavioral Research. 4 th ed .New York : Thomson Learning. Wiersma W( .1991 .)Research Methods in Education :An Introduction .5 th ed .Boston :Allyn and Bacon.


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 185 แผนการสอนประจำบทที่ 10 สถิติเพื่อการวิจัย รายวิชา วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หัวข้อย่อย 10.1 การเตรียมข้อมูล . 10.2 การสร้างรหัสและการกำหนดชื่อตัวแปรการลงรหัสข้อมูลใน .SPSS 10.3 . การจัดทำคู่มือลงรหัส 10.4 .การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล 10.5 ขั้นตอนการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป . 10.6 โมเดลสมการโครงสร้าง .Structural Equation Modeling: SEM 10.7 โมเดลการวิจัยแบบใหม่ - โมเดลสมการโครงสร้าง . 10.8 สรุป สรุปแนวคิดที่สำคัญ สถิติเพื่อการวิจัย เป็นส่วนสำคัญประการหนึ่งในการวิจัย เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ มีค่าความเที่ยงตรง ให้เกิดขึ้นแก่ผลการวิจัย ซึ่งเนื้อหาในบทนี้จะได้ศึกษาการเตรียมข้อมูล การสร้างรหัสและการกำหนดชื่อตัวแปร การลงรหัสข้อมูลใน SPSS การจัดทำคู่มือลงรหัส การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล ขั้นตอนการ วิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป โมเดลสมการโครงสร้าง Structural Equation Modeling: SEM โมเดลสมการโครงสร้าง โมเดลการวิจัยแบบใหม่ โดยกระบวนวิธีวิทยาทางสถิติจะมีส่วนช่วยทำให้ ผลการวิจัยมีค่าความเที่ยงในเชิงสถิติ เป็นผให้การวิจัยมีประโยชน์ในการให้ความรู้ให้กับผู้คน นำไปสู่การพัฒนา ในองค์รวม ทำให้เกิดการเรียนรู้เชิงประจักษ์แก่ชุมชนทางการศึกษา ชุมชนที่อยู่อาศัย และเป็นฐานในการ พัฒนาองค์กร ประเทศชาติในด้านต่าง ๆ วัตถุประสงค์ 1.อธิบายการเตรียมและการวิเคราะห์ข้อมูลได้ 2.เข้าใจการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล 3.อธิบายขั้นตอนการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปได้ 4. อธิบายโมเดลสมการโครงสร้าง .Structural Equation Modeling: SEM ได้ กิจกรรมระหว่างเรียน 1.การบรรยายและร่วมสนทนาซักถามเกี่ยวกับเนื้อหาในบทเรียน 2.นำเสนอวิจัยวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับการเตรียมและการวิเคราะห์ข้อมูล/ 3.วิเคราะห์ผลการวิจัยเกี่ยวกับการเตรียมและการวิเคราะห์ข้อมูล 4.สรุปประเด็นสำคัญประจำบท


Click to View FlipBook Version