The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ดร.ลำพอง กลมกูล (2567). เอกสารประกอบการสอน การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ (รหัสวิชา 200 308) Research fo Learning Development (200 308)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by polmcu, 2024-02-09 12:01:52

การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ (รหัสวิชา 200 308) Research fo Learning Development (200 308)

ดร.ลำพอง กลมกูล (2567). เอกสารประกอบการสอน การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ (รหัสวิชา 200 308) Research fo Learning Development (200 308)

วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 186 สื่อการสอน 1.เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 2. เอกสารประกอบการสอน 3. สื่อ Power Point สื่ออื่น เช่น Flip Chart การประเมินผล 1.ประเมินผลความสนใจของผู้ศึกษาขณะเรียน 2.การชักถาม ถามตอบ ของผู้เรียนขณะเรียน 3.การประเมินระหว่างเรียน การประเมินกลางภาค และการสอบประเมินปลายภาค 4.การบันทึกสรุปเนื้อหาประจำบท และนำเสนองานที่มอบหมาย


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 187 บทที่ 10 สถิติเพื่อการวิจัย สถิติเพื่อการวิจัยนั้นมีความสำคัญต่อการจัดทำวิจัย โดยก่อนจะวิเคราะห์สถิติเพื่อการวิจัยต้องมี การเตรียมและการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่จะได้มาซึ่งผลการวิเคราะห์เพราะการวิเคราะห์ข้อมูล เป็นการแสวงหาคำตอบหรือผลการวิจัยจากกลุ่มตัวอย่างหรือผู้ให้ข้อมูลสำคัญ โดยมีรายละเอียดของการ เตรียมและการวิเคราะห์ข้อมูลและการใช้สถิต ดังนี้ 10.1 การเตรียมข้อมูล 10.1.1ประเภทของข้อมูล 1.1 ข้อมูลเชิงเนื้อหา ได้แก่ ข้อความ คำบรรยาย ลักษณะของสิ่งต่างๆ เช่น ความสวยของนางงาม ความ ฉลาดของปลาวาฬ ความใหญ่ของตึก ระดับ 3 ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ ตัวเลขต่างๆ ซึ่งจัดระดับได้คือ 1. ตัวเลขที่บอกจำนวน เช่น กี่คน 2. ตัวเลขที่บอกลำดับที่ เช่นสอบได้ที่เท่าไหร่ 3. ตัวเลขที่บอกควรเปรียบเทียบเช่น คะแนน 50 คะแนน กับ 30 10.1.2การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา การจัดจำแนก เช่น หารจัดจำแนกตามความมาก ปานกลาง น้อย 2.1 การวิเคราะห์ แยกได้เป็น 2.2 ตามประเด็น เช่น เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา วัฒนธรรม การเมือง จิตวิทยา 2.2.1 ตามลำดับความสำคัญ เช่น สำคัญมากสุด ปานกลาง น้อย น้อยสุด 2.2.2 ที่เหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้น .ตามกาลเวลา เช่น อดีต ปัจจุบัน หรือ ตาม พศ 2.2.3 ตามกลุ่มบุคคล เช่น 2.2.4ผู้ใหญ่เด็ก ....... ตามสถานที่ เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ สงขลา ขอนแก่น 2.2.5 ตามปัญหา เช่น ปัญหายาเสพติด ปัญหาโสเภณี ปัญหาแรงงาน 2.2.6 ตามวิธืแก้ไข เช่น แก้ไขโดยใช้ความรุนแรง แก้ไขโดยใช้ความนุ่มนวล 2.2.7 ตามตำแหน่งผู้ให้ข้อมูล เช่น นายกรัฐม 2.2.8นตรี รัฐมนตรี ปลัดกระทรวง ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตามวิธีรวบรวมข้อมูล เช่น ข้อมูลที่ได้จาการสอบถาม ข้อมูลที่ได้จากการสังเกต 2.2.9


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 188 ตามคำถามหรือสมมุติฐาน เช่น คำถามว่าปัจจัยอะไรสำคัญที่สุด หรือสมมุติฐานการวิจัยที่คาดว่า 2.2.10 ปัญหาน่าจะมาจาก ก, ข, ค 10.1.3 การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ หรือ การใช้สถิติศาสตร์ มาเป็นเทคนิควิธีวิเคราะห์ 10.1.4 สถิติศาสตร์ ประเภทใหญ่ คือ 2 ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณในด้วยวิธีการทางสถิติ สรุปได้ 1 )สถิติที่ใช้เพื่อการบรรยายสรุปกลุ่มข้อมูล เช่น ค่าเฉลี่ยของคะแนนของนักศึกษาสถิติเพื่อการบรรยายสรุป หรือ Descriptive Statisticได้แก่ การมีข้อมูลเชิงปริมาณของคน หรือสัตว์ หรือ เหตุการณ์ หรือ สิ่งของ จำนวนมาก แล้วต้องการสรุปด้วยตัวเลข หรือค่า เพื่อบรรยายกลุ่มข้อมูลดังกล่าว สถิติที่ใช้เพื่อสรุปอ้างอิง ค่าสถิติจากกลุ่มตัวอย่าง ไปหากลุ่มที่ใหญ่ขึ้นหรือประชากร ในการสรุปอ้างอิงใช้สถิติ ตัวคือ 4 ทดสอบ 1. z – test 2. t – test 3. x 2 – test 4. F – test 10.1.5รายละเอียดของสถิติ บรรยาย สรุป รายละเอียดของสถิติ บรรยาย สรุป (Descriptive Statistic) ซึ่งเป็นการบรรยายสรุปกลุ่มข้อมูล ในลักษณะต่างๆ คือ กลุ่ม ด้วย 1 บรรยายสรุปกลุ่มข้อมูล 5.1 ตัว คือ 5 มี....ค่า )1( )1.1(Arithematic Mean )1.2(Median )1.3( Mode )1.4(Geometic Mean )1.5( Harmonic Mean )2(ค่าการกระจาย มี ตัว คือ 3 )2.1( Standard Deviation, Variance )2.2( Quartile Deviation )2.3( Range ตัว คือ 2 ค่าแสดงลักษณะของการแจกแจงของกลุ่ม มี )3(


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 189 )3.1( Kurtosis )แบน-ความโค้ง( )3.2( Skew new ) ...ความ( 5.2ค่าที่แสดงตำแหน่งของคะแนนใดคะแนนหนึ่งในกลุ่ม มี ตัว คือ 3 )1( Percentile Rank และ Score )2( Quartile Rank และ Score )3(Decil Rank และ Score 5.3ค่าที่เป็นมาตรฐาน มี ตัว คือ 2 )1( Z - score )2( T – score 5.4ค่าที่แสดงความสัมพันธ์ของตัวแปร ตั้งแต่ กลุ่ม คือ สายสัมพันธ์ตัว1 2 5.5ค่าที่นำมาจากค่าตัวแปรอิสระไปยังค่าตัวแปรตามของ กลุ่ม คือ 1Regression 10.1.6 รายละเอียดของสถิติ สรุป อ้างอิง (Inferential Statistic) เป็นการสรุปค่าจากกลุ่มตัวอย่างไปหาค่าในประชากร ซึ่งจะใช้ได้ในกราฟต่อไปนี้เท่านั้น มีการระบุประชากรที่ลักษณะและขนาด )1( ( N ) )ไม่มีลำเอียง( มีการสุ่มตัวอย่าง )2( จากกลุ่มประชากร หรือ มีความเป็นตัวแทนของประชากร( กลุ่มตัวอย่างมีลักษณะ และขนาดเล็กกว่าประชากร )3( ในกราฟที่เลือกแบบเจาะจง หรือสุ่มแบบเจาะจง จะใช้สถิติสรุปอ้างอิงต่อ(Inferential Statistic)ไปนี้ไม่ได้ ข้อตกลงเบื้องต้นในการใช้สถิติสรุปอ้างอิง 6.1 )1(กลุ่มตัวอย่างให้ข้อมูลที่เป็นตัวแทนของประชากร( Representation ) ความคลาดเคลื่อนในการสุ่ม เฉลี่ยเป็นศูนย์ )2( ข้อมูลของกลุ่มตัวอย่าง เป็นข้อมูลที่วัดได้ )3(( Measurable )นั้น คือ 3 เปรียบเทียบความต่างได้ เช่น )3.1(, 4, หน่วย 1 มีความต่างกัน 5 จุดเริ่มต้นเป็นศูนย์ หรือ เทียมก็ได้ )3.2( 6.2สถิติเพื่อการทดสอบ มี ตัว คือ 4( Test Statistics ) )1(z – test (2) t – test (3) x 2 – test (4) F – test 6.3 ความแตกต่างในการใช้สถิติทั้ง อย่าง คือ 4 สถิติทดสอบ ทดสอบค่าอะไร


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 190 z เฉลี่ยสายสัมพันธ์ t เฉลี่ย x 2 ความแปรปรวน กลุ่ม 1 F ความแปรปรวนหลายกลุ่ม ในการวิเคราะห์ข้อมูล ต้องมีการวางแผนการทำงานในขั้นตอนต่างๆ ถ้าการจัดวางแผนไม่ดี พอจะทำให้ผลที่ได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลไม่มีความหมายหรือไม่สามารถนำไปใช้ในการตัดสินใจได้ ดังนั้นจึงมี ความสำคัญมากที่จะตองมีการวางแผนสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล มีการเตรียมข้อมูลที่สมบูรณ์และมี วัตถุประสงค์ในการทำการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อทำการวางแผนว่าจะใช้เทคนิคแบบใดจึงจะทำให้การวิเคราะห์ บรรลุวัตถุประสงค์ 10.2 การสร้างรหัสและการกำหนดชื่อตัวแปรการลงรหัสข้อมูลใน SPSS การสร้างรหัส และกำหนดชื่อตัวแปร โดยการนำแบบสอบถามมากำหนดชื่อตัวแปร ในแต่ละ ขั้นตอนของแบบสอบถาม 1.การกำหนดตัวแปร )ใช้หน้าจอ Variable View) ในแต่ละตัวแปร โดยจะต้องกำหนด -Name หมายถึง ชื่อตัวแปร )ความยาวไม่เกิน 8 ตัว( -Type หมายถึง ชนิดตัวแปร )Variable Type) -Numeric เป็นตัวแปรชนิดเป็นตัวเลข -String เป็นตัวแปรที่มีค่าเป็นอักษร ตัวเลข -Width and Decimal หมายถึง ความกว้างและจำนวนจุดทศนิยมของแต่ละตัวแปร -Label หมายถึง ความหมายของตัวแปร -Values หมายถึง ค่าของตัวแปรกรณีที่แปลงจากข้อมูลเชิงกลุ่มเป็นตัวเลข เช่น 1= ชาย , 2= หญิง -Missing หมายถึง รหัสสำหรับค่าสูญหาย หรือ แบบสอบถามที่ไม่สมบูรณ์ ไม่มีคำตอบ -No missing values ไม่ได้กำหนดค่าสูญหาย กรณีไม่พิมพ์ข้อมูล โปรแกรมจะให้ค่าเป็นจุด ).( ซึ่งหมายถึง System – missing value -Discrete missing values ผู้ใช้เป็นผู้กำหนดรหัสของ missing เอง -Range plus one optimal discrete missing value -กรณีที่ผู้วิจัยกำหนดให้ผู้ตอบข้าม หรือ ไม่ต้องตอบคำถามบางข้อ ให้กำหนดรหัสของ -คำถามที่ต้องการข้ามไว้อีกรหัสหนึ่ง -Column หมายถึง การกำหนดความกว้างของ Column เฉพาะในหน้าจอ Data View


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 191 -Alingnหมายถึง การกำหนดตำแหน่งของข้อมูลใน Column หน้าจอ จัดให้ชิดซ้าย ขวา หรือ อยู่ตรงกลาง Column -Measures หมายถึง การกำหนดชนิดสเกลของข้อมูล ซึ่งในSPSS แบ่งเป็น 3 สเกล คือ Nominal , Ordinal และ Scale (หมายถึง Interval และ Ratio) 2. การพิมพ์ค่าตัวแปร )การพิมพ์ข้อมูลใน Data View) ขั้นตอน -คลิก Data View ด้านล่าง -พิมพ์ข้อมูลจากแบบสอบถามที่ได้กำหนดค่าไว้เรียบร้อยแล้ว ใน Variable View -การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล -เมื่อมีการบันทึกข้อมูลเรียบร้อยแล้ว มีความจำเป็นต้องตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล และหากพบว่ามีการ บันทึกข้อมูลผิดพลาด สามารถตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล ดังนี้ -ค้นหาค่าของตัวแปร กรณีที่มีการพิมพ์ค่าของข้อมูลไม่ถูกต้อง ต้องการตรวจสอบและแก้ไข สามารถทำได้โดย -คลิก Cell ใด ๆ ใน Column ที่ต้องการค้นหา -ใช้คำสั่ง Edit ⇒ Find -ระบุค่าที่ต้องการค้นหา -เลือก Find Next -ตัวอย่าง ต้องการหาค่า 3222 การเลือกบางส่วนของแฟ้มข้อมูล เช่น ต้องการเลือกเฉพาะเพศชาย ,ระดับการศึกษาปริญญาตรี มาคำนวณ สามารถทำได้โดย ใช้คำสั่ง Data ⇒ Select Cases จาก Box Select Case สามารถเลือกทางใดทางหนึ่ง ดังนี้ -All Case: เลือกทุก case (ไม่จำเป็นต้องระบุก็ได้( -If condition is satisfied: สามารถกำหนดเงื่อนไขของตัวแปรต่าง ๆ ของ Case ที่จะเลือก เช่น เลือกเฉพาะเพศชาย ตัวอย่าง - case ที่ขีดข้างหน้า แสดงว่ามีคุณสมบัติไม่ตรงกับที่กำหนด จึงไม่นำมาคำนวณ -Random sample of cases: สามารถเลือก Case แบบสุ่มได้ -Based on time or case range: เลือกข้อมูลตามช่วงเวลาที่กำหนด เมื่อข้อมูลเป็นอนุกรมเวลา และเป็นชนิด date เช่น เลือกยอดขายเฉพาะปี 1996 *การระบุจำนวนของ Case ที่จะนำมาคำนวณ เช่น 1-15 ตัวอย่าง


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 192 Use filter variable: เลือกตัวแปรชนิด Numeric จากแฟ้ม ข้อมูล และเมื่อเลือกทางเลือกนี้จะ เป็นการเลือก case ที่มีต่าง ๆ ยกเว้นศูนย์และ missing valuve Filtered หมายถึง case ส่วนที่ไม่ถูกเลือกยังคงอยู่ในแฟ้มข้อมูล Deleted หมายถึงการตัด Case ที่ไม่เลือกออกจากแฟ้มข้อมูล การลงรหัสข้อมูล การสร้างรหัส และกำหนดชื่อตัวแปร โดยการนำแบบสอบถามมากำหนดชื่อตัวแปร ในแต่ละ การกำหนดชื่อตัวแปร )Variable) ตัวแปร หมายถึง ชื่อที่ใช้แทนข้อมูลชนิดต่าง ๆ โดยข้อมูลที่จะนำมาเก็บในตัวแปรจะต้องตรงกับ ชนิดของข้อมูลที่กำหนดไว้ การนำข้อมูลไปใช้งานจะกระทำผ่านตัวแปรที่กำหนดนี้ กฎการตั้งชื่อตัวแปรที่สำคัญ 1. ชื่อของตัวแปรต้องเริ่มต้นด้วยตัวอักษร a – z เท่านั้นจะเป็นตัวพิมพ์ใหญ่หรือพิมพ์เล็กก็ได้ ส่วนตัวถัดไปจะเป็นตัวอักษรหรือตัวเลขก็ได้ 2. ห้ามใช้อักษรพิเศษอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ตัวอักษรหรือตัวเลข เช่น ? , + , - , * , / , … ยกเว้น เครื่องหมาย _ (underscore) เท่านั้น 3. ต้องไม่ซ้ำกับ Reserved Words ใน Visual Basic 2.2 คำสงวน )Reserved Words) คำสงวน หรือ Reserved Words เป็นคำที่ Visual Basic สงวนไว้ใช้เป็นคำสั่ง ไม่สามารถ นำคำเหล่านี้ไปเป็นชื่ออย่างอื่นได้ คำสงวนใน Visual Basic 2.3 ชนิดของข้อมูลใน Visual Basic (Varible Type) ในการประกาศตัวแปรสิ่งที่จะต้องกระทำคู่กันก็คือการระบุชนิดของข้อมูลที่จะเก็บในตัวแปรนั้น ด้วย ชนิดของข้อมูลใน Visual Basic 2.4 การประกาศตัวแปร และการกำหนดค่าข้อมูลให้กับตัวแปร รูปแบบการประกาศตัวแปรในภาษา Visual Basic จะใช้คำสั่ง Dim ซึ่งมีรูปแบบ ดังนี้ Dim ชื่อตัวแปร Asชนิดของข้อมูล การกำหนดค่าข้อมูลให้กับตัวแปร ในการกำหนดค่า )Assignment) ให้กับตัวแปร สำหรับชนิดของข้อมูลแต่ละชนิดจะมีรูปแบบ แตกต่างกัน โดยใช้เครื่องหมาย “ = ” ในการให้ค่ากับตัวแปร - ข้อมูลชนิดตัวเลข ข้อมูลชนิดตัวเลข เช่น Byte, Integer, Double จะสามารถใส่ตัวเลขลงไปได้เลย )ไม่ต้องมี เครื่องหมาย , ) เช่น Dim x As Integer = 4851


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 193 Dim y As Double = 1422.576 - ข้อมูลชนิดบูลีน ข้อมูลชนิดบูลีน )Boolean) จะมีค่าเป็นไปได้เพียง 2 ค่า คือ True หรือ False อย่างใด อย่างหนึ่ง สามารถนำไปกำหนดค่าให้กับตัวแปรได้ เช่น Dim a As Boolean = True Dim b As Boolean = False - ข้อมูลชนิดสตริง ข้อมูลชนิดสตริง )string) คือ ข้อมูลที่เป็นสายอักขระหรือเป็นการนำเอาอักขระแต่ละตัวมาวาง เรียงต่อกัน ซึ่งข้อมูลชนิดสตริงจะมีความยาวเท่าไรก็ได้ และไม่จำเป็นจะต้องเขียนอักขระทุกตัวติดกัน การ กำหนดข้อมูลที่เป็นสตริง จะต้องกำหนดจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดของสตริงเสมอ โดยใช้เครื่องหมาย Double quote )“ ”( เช่น Dim strName As String = “ Mr. WeerasakKajornboon” ในกรณีที่สตริงจำเป็นจะต้องมีเครื่องหมาย Double quote )“( อยู่ด้วยให้เขียนเครื่องหมายนี้ 2 อันซ้อนกัน เช่น กำหนดตัวแปร strมีค่าเป็น I Love “VB” for .NET programming จะต้องเขียน ดังนี้ Dim srt As String = “ I Love ”“VB”“for . NET Programming” 2.5 ค่าคงที่ )Constant) ค่าคงที่ คือ ค่าที่กำหนดให้กับตัวแปรค่าใดค่าหนึ่ง เพื่อจะนำไปใช้งานตลอดทั้งโปรแกรม โดย ไม่สามารถเปลี่ยนค่าตัวแปรนั้นได้การกำหนดค่าคงที่ มีรูปแบบ ดังนี้ Constชื่อค่าคงที่ = ค่าที่กำหนด เช่น Cont PI = 3.141 หรือ กำหนดชนิดของข้อมูลด้วย เช่น Constชื่อค่าคงที่ Asชนิดของข้อมูล = ค่าที่กำหนด Const VAT As Integer = 7 โดยปกติ การกำหนดชื่อค่าคงที่ นิยมใช้ภาษาอังกฤษตัวใหญ่ เพื่อให้แตกต่างจากตัวแปร


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 194 10.3 การจัดทำคู่มือลงรหัส ในกรณีที่มีจำนวนคำถามในแบบสอบถามมากๆ ผู้ใส่รหัสอาจจะจำรหัสได้ไม่ครบจึงจำเป็นต้อง จัดทำคู่มือลงรหัส อันประกอบด้วย ก. เลขที่แบบสอบถาม หมายถึงเลขที่ของแบบสอบถามที่ได้รับคืนกลับมา การใส่เลขที่แบบสอบถาม จะทำให้สามารถตรวจสอบข้อมูลจากแบบสอบถามได้ง่าย ในกรณีที่มีการพิมพ์ ข้อมูล เช่น ถ้าพบว่าอายุของผู้ตอบจากแบบสอบถามชุดที่ 150 เป็น 99 ปี ทำให้สามารถตรวจสอบว่าพิมพ์ ผิดหรือไม่ โดยตรวจสอบจากแบบสอบถามชุดที่ 150 ข. เลขที่คำถาม (Question Number )เป็นเลขที่คำถามในแบบสอบถาม ผู้วิจัยจะกำหนด รหัสให้ตรงกับเลขที่ข้อในแบบสอบถาม ค. ชื่อตัวแปร (Variable Name )ส่วนใหญ่มักจะกำหนดให้ชื่อตัวแปรสอดคล้องกับความหมาย ของข้อมูล เช่น เพศ มักจะใช้ SEX รายได้ เป็น INCOME เป็นต้น ง. รายการของข้อมูลเป็นส่วนที่ระบุถึงคำถามในแต่ละข้อ จ. ขนาดของตัวแปร เป็นการกำหนดความกว้างของตัวแปร ถ้าเป็นตัวแปรเชิงปริมาณ เช่น คะแนนสอบ ตัวแปรอาจจะมีจุดทศนิยม ต้องกำหนดจำนวนหลักหลังจุดทศนิยมด้วย เช่น ถ้าความกว้างของ ตัวแปร คะแนนสอบ เป็น 8.2 หมายถึงมีจำนวนจุดหน้าจุดทศนิยม 5 หลัก และจำนวนหลักหลังจุด ทศนิยม 2 หลัก ( เลข 8 รวมหมายถึงจำนวนหลักหน้าจุดทศนิยม จุดทศนิยมและจำนวนหลักหลังจุด ทศนิยม) ฉ. ค่าที่เป็นไปได้พร้อมคำอธิบายความหมาย (Possible Values or Label) หมายถึงส่วนที่จะระบุค่าที่เป็นไปได้ของตัวแปร เช่น ตัวแปร SEX มีค่า “ 0 ” หมายถึง ชาย และ ค่า “ 1 ” หมายถึงหญิง ส่วนเลข 9 หมายถึง ผู้ตอบไม่ตอบคำถามนี้(missing values) 10.4 การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล ข้อมูลสถิติควรจะมีความสมบูรณ์ครบถ้วน( Completeness) และความถูกต้อง (accuracy) มาก พอสมควร เพื่อผู้ใช้ข้อมูลจะได้นำไปใช้ในการวิเคราะห์วิจัยให้ได้ผลใกล้เคียงความจริงมากที่สุด การที่จะได้มา ซึ่งข้อมูลที่มีความสมบูรณ์ถูกต้องก็คือ ต้องขจัดความคลาดเคลื่อน ให้เหลือน้อยที่สุด วิธีการตรวจสอบคุณภาพของข้อมูล คือ 1ตรวจสอบความครบถ้วนของข้อมูล เป็นการตรวจสอบรายการต่างๆ ว่า ได้มีการบันทึก ) ครบถ้วนทุกรายการที่กำหนดหรือไม่ 2ตรวจสอบความถูกต้องและความแนบนัยของข้อมูล เป็นการตรวจสอบข้อมูลว่า มีการบันทึก ) มาถูกต้องแนบนัยหรือไม่ ดังนี้


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 195 3( การตรวจสอบความแนบนัยภายใน )Internal consistency) คือ การตรวจว่าข้อมูลที่มี ความสัมพันธ์กัน มีความสอดคล้องกันหรือไม่ 4( การตรวจสอบความแนบนัยภายนอก )External consistency) เป็นการตรวจสอบความ ถูกต้องของข้อมูล โดยอาศัยความรู้ความชำนาญหรือสถานการณ์ภายนอกมาช่วยในการพิจารณา การตรวจสอบข้อมูลสถิติควรจัดทำในขั้นตอนของการดำเนินงานทางสถิติ ดังนี้ 1. ขั้นการเก็บรวบรวมข้อมูล ) งานสนาม ( การเก็บรวบรวมข้อมูลสถิติ เป็นขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญ มาก เนื่องจาก ข้อมูลสถิติจะมีคุณภาพดีหรือไม่และมีความ เชื่อถือได้มากน้อยเพียงไร ขึ้นอยู่กับคุณภาพของ ข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติงานเก็บรวบรวมข้อมูล ดังนั้นการตรวจสอบ ข้อมูลในขั้นนี้จะต้องตรวจสอบอย่าง ละเอียดรอบคอบ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องมากที่สุด สำหรับนำไปใช้ในขั้นตอนต่อไป โดยต้องทำการตรวจสอบ - ความครบถ้วนของข้อมูล เป็นการตรวจสอบรายการต่างๆ ในแบบข้อถามว่าได้มีการบันทึก ครบถ้วนทุกรายการที่กำหนดหรือไม่ ในการบันทึกหรือกรอกแบบข้อถามนั้น ถ้ามีรายการหรือข้อถามใดที่ คำตอบว่างไว้เฉยๆ ก็จะถือได้ว่า แบบข้อถามนั้นขาดความครบถ้วนของข้อมูลไป นอกจากอาจมีบางรายการที่ ไม่ต้องทำการบันทึกข้อมูลเพราะเงื่อนไขบางประการ - ความถูกต้องและความแนบนัยของข้อมูล เป็นการตรวจสอบข้อมูลที่บันทึกอยู่ในแบบ ข้อถามว่า มีความถูกต้องหรือไม่ แบบข้อถามบางแบบอาจจะบันทึกมาครบถ้วนทุกรายการที่กำหนด แต่ข้อมูล ที่บันทึก อาจไม่ถูกต้อง 10.5 ขั้นตอนการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป ขั้นตอนการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป การวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป ประกอบด้วย 4ขั้นตอนใหญ่ๆ ดังนี้คือ 1) เลือกแฟ้มข้อมูล กรณียังไม่มีแฟ้มข้อมูลจะต้องสร้างแฟ้มข้อมูลโดยใช้ Data 2) เลือกวิธีการวิเคราะห์ข้อมูล 3) เลือกตัวแปรที่จะใช้ในการวิเคราะห์ 4) ตรวจสอบผลลัพธ์ที่ได้จากการวิเคราะห์ editorแต่ถ้ามีแฟ้มข้อมูลอยู่แล้วก็เปิดแฟ้มที่จะนำมาวิเคราะห์


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 196 ภาพที่ 11.1 ขั้นตอนการวิเคราะห์ข้อมูล ขั้นตอนการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติด้วยโปรแกรม SPSSขั้นตอนการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย SPSS การวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติด้วยโปรแกรม SPSS เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็ว โดยมีลำดับขั้นตอน การวิเคราะห์ ดังนี้ 1. การเตรียมข้อมูล ผู้วิจัยต้องเตรียมเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูลที่เหมาะสมกับการวิเคราะห์ ด้วยคอมพิวเตอร์ )ซึ่งแตกต่างจากการวิเคราะห์ด้วยมือ( โดยในแบบสอบถามนั้นจะต้องกำหนดชื่อตัวแปร )Variable Name) และค่าของตัวแปร )Value) ให้เป็นตัวเลขเท่านั้น 2. การสร้างแฟ้มข้อมูล ต้องกำหนดชื่อตัวแปร )Variable Name) ให้สอดล้องกับที่กำหนดไว้ใน แบบสอบถาม และสร้างคู่มือลงรหัส )Code book) ที่กำหนดสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่ง ประกอบด้วย การกำหนดชื่อตัวแปร )Variable Name หรือ Name) ตำแหน่งทศนิยมของค่าของตัวแปร )Decimals) คำอธิบายชื่อตัวแปร )Label) ค่าของตัวแปร )Value) ความหมายของค่าของตัวแปร )Value Label) และระดับการวัดข้อมูล )Maesure) 3. การบันทึกข้อมูล ข้อมูลที่จะบันทึกต้องเป็นตัวเลขเท่านั้น โดยกำหนดค่าของตัวแปรที่เป็น ตัวเลือกในแบบสอบถามให้เป็นตัวเลขเสียก่อน 4. การวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ ผู้วิจัยสามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้โดยง่าย ทั้งค่าสถิติพื้นฐานและ ค่าสถิติสำหรับทดสอบสมมุติฐาน โดยใช้คำสั่งจาก Menu bar เลือก Analyze แล้วเลือกค่าสถิติที่ต้องการ วิเคราะห์จาก Window ที่ปรากฏตามลำดับ ก็จะได้ผลการวิเคราะห์ตามต้องการ ตัวอย่างการใช้คำสั่งวิเคราะห์ข้อมูล 1. หาค่าเฉลี่ย หาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของข้อคำถามรายข้อ รายด้าน และรวมทุกด้าน โดยใช้คำสั่ง Analyze > Descriptive Statistics > Descriptive >เลือกข้อมูลใส่ใน Variable ตามต้องการ > OK


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 197 2. หาค่าสถิติการทดสอบค่าที เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม โดยใช้คำสั่ง Analyze > Compare Means > Independent Sample T Test >เลือกตัวแปรที่ต้องการ เปรียบเทียบใส่ในช่อง Grouping Variable >กำหนด define groups >นำตัวแปรตามใส่ในช่อง Test Variable(s) > OK 3. การหา One – Way ANOVA เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างตั้งแต่ 3 กลุ่ม โดย ใช้คำสั่ง Analyze > Compare Means > One – Way ANOVA >เลือกตัวแปรต้นที่แยกเป็น 3 กลุ่ม ใส่ใน ช่อง Factor และนำตัวแปรตามใส่ใน ช่อง Dependent >กำหนดการทดสอบความแปรปรวนใน Post Hoc โดยกำหนดช่อง Dunnet T3 และ Sheffe> Continue > OK4 10.6 โมเดลสมการโครงสร้าง Structural Equation Modeling: SEM ย้อนกลับไปเมื่อประมาณกว่า 1 ทศวรรษก่อนหน้านี้ ในช่วงที่มีการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์SPSS วิเคราะห์ข้อมูล กันอย่างแพร่หลาย การวิจัยที่มีจุดมุ่งหมายเพื่ออธิบายสาเหตุ (causal explanation) หรือ อธิบายความสัมพันธ์เชิงเหตุผล (causal relationships) หรือเพื่ออธิบายความเป็นเหตุและผล (cause and effect) ระหว่างตัวแปรภายนอก (exogenous variables) และตัวแปรภายใน (endogenous variables(ทั้ง กรณีของอิทธิพลทางตรงอิทธิพลทางอ้อม และอิทธิพลโดยรวมของตัวแปรที่สันนิษฐานว่าเป็นสาเหตุต่อตัวแปร ที่เป็นผลจะมีแบบแผนของโมเดลเส้นทาง (path diagram/model) ที่มีเฉพาะโมเดลโครงสร้าง )structural model) เท่านั้น ซึ่งในการวิเคราะห์เส้นทางเพื่อศึกษาปรากฏการณ์ต่างๆว่ามีสาเหตุเกิดมาจากอะไรนั้นผู้วิจัย อาศัยทฤษฎีและงานวิจัยต่างๆมาตั้งเป็นสมมติฐานโดยการสร้างเป็นแผนภาพเส้นทางแสดงอิทธิพลระหว่างตัว แปรต่างๆจากนั้นจึงดำเนินการทดสอบแผนภาพตามสมมติฐานนั้นว่าเหมาะสมหรือไม่โดยใช้สถิติวิเคราะห์ เส้นทาง (path analysis) ดังภาพที่ 10.1 . 4 โปรแกรมส าเร็จรูปทางสถิติ, ttps://sites.google.com[ออนไลน์วันที่ 25 เมษายน 2561]


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 198 ภาพที่ 10.1 โมเดลโครงสร้าง )structural model) 10.7 โมเดลสมการโครงสร้าง - โมเดลการวิจัยแบบใหม่ ระยะต่อมาและในปัจจุบัน อันเนื่องจากพัฒนาการของโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับการวิเคราะห์ SEM)ที่ใช้กันมากคือ โปรแกรม LISRELและโปรแกรม Mplus และโปรแกรม Amos เป็นต้น( ที่มีศักยภาพใน การวิเคราะห์ข้อมูลได้ซับซ้อนและลึกซึ้งได้มากขึ้น )โปรแกรม SPSS ไม่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลตามโมเดลแบบ ใหม่ได้(โมเดลการวิจัยยุคใหม่นี้จึงมีลักษณะแตกต่างจากโมเดลการวิจัยยุคก่อนคือ ตัวแปรในการวิจัยมีทั้งตัว แปรสังเกตได้ (observed variable) และตัวแปรแฝง (latent or unobserved variable) โดยที่ตัวแปรแฝง เป็นตัวแปรที่ไม่มีความคลาดเคลื่อนในการวัดซึ่งวัดได้จากตัวบ่งชี้ที่เป็นตัวแปรสังเกตได้ดังนั้นองค์ประกอบที่ สำคัญของโมเดลสมการโครงสร้าง คือ 1( โมเดลโครงสร้าง (structural model) ซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์เชิง สาเหตุ (causal relationship)ระหว่างตัวแปรภายนอกและตัวแปรภายใน ซึ่งอาจเป็นแบบทางเดียวและแบบ เส้นเชิงบวก (recursive and linear additive) หรือแบบสองทางและแบบเส้นเชิงบวก (non-recursive and linear additive)และ 2( โมเดลการวัด (measurement model) ซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรแฝง กับตัวแปรสังเกตได้ ดังนั้น โมเดลสมการโครงสร้างจะสะท้อนให้เห็นถึงทั้งการวิเคราะห์องค์ประกอบ (factor analysis) และการวิเคราะห์เส้นทาง(path analysis) ดังภาพที่ 10.2 X4 X2 X5 X1 X3 X7 X6 Y โมเดลโครงสร้าง (structural model)


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 199 ภาพที่ 10.2 โมเดลสมการโครงสร้าง )Structural Equation Model) จากภาพโมเดลการวิจัยประกอบด้วยโมเดลการวัด (measurement model) โมเดลและโมเดล 5 สมการโครงสร้าง(structural equation model) 1 โมเดล กรณีของ “โมเดลการวัด”ที่มีหลักฐานทางทฤษฎีและงานวิจัยเกี่ยวกับตัวแปรแต่ละตัวรองรับ สนับสนุนทั้ง )ใช้รูปวงรีเป็นสัญลักษณ์แทนตัวแปรแฝง และรูปสี่เหลี่ยมแทนตัวแปรสังเกตได้( โมเดล คือ 5 ตัวแปรแฝงภายนอก (exogenous latent variable)ได้แก่ 1) โมเดลการวัดตัวแปรแฝงPOTENTปัจจัยสมรรถนะขององ(ค์การ วัดจากตัวแปรสังเกต )5 ตัวแปร ได้แก่ )1(การจัดโครงสร้างที่เหมาะสม (STRUC) POTENT ACADEM PROCESS ENVIR EFFECTIV NT CHAR SATIS LO THINK ACTIV LEARN CHILD PAR TRUST POSIT SHARE EXPEC MOTIV ICT RESOU KNOW VISION STRUC DEFF MORN DEVEL CHANG โมเดลสมการโครงสร้าง(Structural Equation Model)


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 200 (2) วิสัยทัศน์ พันธกิจ และยุทธศาสตร์ (VISION) (3) ความรู้ความสามารถของบุคลากร (KNOW) (4) การจัดทรัพยากรการเรียนรู้ (RESOU) และ (5) การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการบริหาร (ICT) 2) โมเดลการวัดตัวแปรแฝง ACADEM วัดจากตัวแปรสังเกต )ปัจจัยภาวะผู้นำทางวิชาการ(4 ตัวแปร ได้แก่ (1) การนิยามและการสื่อสารเป้าหมายร่วม (DEFF) (2) การกำกับติดตาม และให้ข้อมูลป้อนกลับเกี่ยวกับกระบวนการเรียนการสอน(MORN) (3) การส่งเสริมการพัฒนาวิชาชีพ (DEVEL) และ (4) การเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง(CHANGE) ตัวแปรแฝงภายใน (endogenous latent variable)ได้แก่ 1) โมเดลการวัดตัวแปรแฝงPROCESS วัดจากตัวแปร )ปัจจัยการจัดกระบวนการเรียนรู้(5 ตัวแปร ได้แก่ (1)การเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (CHILD) (2) การจัดกิจกรรมส่งเสริมคุณภาพผู้เรียนอย่างหลากหลาย (ACTIV) (3) การเน้นกระบวนการคิด (THINK) (4) การจัดบรรยากาศให้เอื้อต่อการเรียนรู้ (LEARN) และ (5) การมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้อง (PAR) 2) โมเดลการวัดตัวแปรแฝงENVIR วัดจากตัวแปร )ปัจจัยบรรยากาศของโรงเรียน(5 ตัวแปร ได้แก่ (1)ความคาดหวังสูง (EXPEC) บรรยากาศเชิงบวก )2((POSIT) การให้ความเป็นกันเองและไว้วางใจซึ่งกันและกัน )3( (TRUST) การส่งเสริมให้มีการตัดสินใจร่วม )4((SHARE) และ การจัดระบบการจูงใจ )5( (MOTIV) 3) โมเดลการวัดตัวแปรแฝงEFFECTIV วัดจากตัวแปร )ปัจจัยประสิทธิผลของโรงเรียน(4 ตัวแปร ได้แก่ (1)ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (NT) คุณลักษณะของนักเรียน )2((CHAR) ความพึงพอใจของครู )3((SATIS) และ )4(ความเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้(LO) ตวัแปรเหล่าน้ีไดม้า จากการ review ทฤษฎีและงานวิจัย เช่นกัน เช่นกัน เช่นกัน เช่นกัน


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 201 การสร้างโมเดลสมการโครงสร้างนั้น มีได้ทั้งเพื่อการยืนยัน (confirmation) และเพื่อการสำรวจ (exploration) หมายความว่า การสร้างโมเดลอาจมีวัตถุประสงค์เพื่อการทดสอบทฤษฎี(theory testing) หรือเพื่อสร้างทฤษฎี(theory building) แต่ในบทความเรื่อง What is Structural Equation Modeling?[n.d.] และ Garson(2009) ให้ทัศนะว่า SEM เป็นเทคนิคเพื่อการทดสอบทฤษฎี (theory testing) มากกว่าเป็นเทคนิคเพื่อสร้างทฤษฎี (theory building) 10.8 สรุป การเตรียมและการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่จะได้มาซึ่งผลการวิเคราะห์เพราะการ วิเคราะห์ข้อมูลเป็นการแสวงหาคำตอบหรือผลการวิจัยจากกลุ่มตัวอย่างหรือผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 1 ประเภทของข้อมูลแบ่งออกเป็น )2 ประเภท คือ ข้อมูลเชิงเนื้อหา และข้อมูลเชิงปริมาณ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา จัดทำโดย การจัดจำแนกและการวิเคราะห์ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ หรือ การใช้สถิติศาสตร์ มาเป็นเทคนิควิธีวิเคราะห์ในการวิเคราะห์ข้อมูล เชิงปริมาณในด้วยวิธีการทางสถิติ สรุปได้ ประเภทใหญ่ คือ 2 1สถิติที่ใช้เพื่อการบรรยายสรุปกลุ่มข้อมูล เช่น ค่าเฉลี่ยของคะแนนของนักศึกษาสถิติเพื่อการ ) บรรยายสรุป หรือ Descriptive Statisticได้แก่ การมีข้อมูลเชิงปริมาณของคน หรือสัตว์ หรือ เหตุการณ์ หรือ สิ่งของจำนวนมาก แล้วต้องการสรุปด้วยตัวเลข หรือค่า เพื่อบรรยายกลุ่มข้อมูลดังกล่าว 2 สถิติเพื่อการทดสอบ )ในการวิเคราะห์ข้อมูล ต้องมีการวางแผนการทำงานในขั้นตอนต่างๆ ถ้าการจัด วางแผนไม่ดีพอจะทำให้ผลที่ได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลไม่มีความหมายหรือไม่สามารถนำไปใช้ในการตัดสินใจ ได้ ดังนั้นจึงมีความสำคัญมากที่จะตองมีการวางแผนสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล มีการเตรียมข้อมูลที่สมบูรณ์ และมีวัตถุประสงค์ในการทำการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อทำการวางแผนว่าจะใช้เทคนิคแบบใดจึงจะทำให้การ วิเคราะห์บรรลุวัตถุประสงค์ ตวัแปรเหล่าน้ีไดม้าจาก การ review ทฤษฎี และงานวิจัย ส่วนโมเดลสมการโครงสร้างมีหลักฐานทางทฤษฎีและงานวิจัยสนับสนุนว่า ตัวแปรแฝง POTENT และตัวแปรแฝงACADEM มีความสัมพันธ์กัน ต่างมีอิทธิพลทางตรงต่อตัวแปรแฝง PROCESSและตัวแปรแฝงENVIRและมีอิทธิพลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อตัวแปรแฝง EFFECTIV กรณีมีอิทธิพลทางอ้อม มีตัวแปรแฝงPROCESSและตัวแปรแฝงENVIRเป็นตัว แปรคั่นกลางหรือตัวแปรส่งผ่าน (intervening or mediating variable or mediator)ตัวแปร แฝง ACADEM มีอิทธิพลทางอ้อมต่อตัวแปรแฝง EFFECTIV ด้วยโดยผ่านตัวแปรแฝง PROCESS


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 202 การสร้างรหัส และกำหนดชื่อตัวแปร โดยการนำแบบสอบถามมากำหนดชื่อตัวแปร ในแต่ละ ขั้นตอนของแบบสอบถาม มีการกำหนดชื่อตัวแปร )Variable) ชนิดของข้อมูลใน Visual Basic (Varible Type) การประกาศตัวแปร และการกำหนดค่าข้อมูลให้กับตัวแปร การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล ข้อมูลสถิติควรจะมีความสมบูรณ์ครบถ้วน (Completeness) และความถูกต้อง (accuracy) มากพอสมควร เพื่อผู้ใช้ข้อมูลจะได้นำไปใช้ในการวิเคราะห์ วิจัยให้ได้ผลใกล้เคียงความจริงมากที่สุด การที่จะได้มาซึ่งข้อมูลที่มีความสมบูรณ์ถูกต้องก็คือ ต้องขจัดความ คลาดเคลื่อน ให้เหลือน้อยที่สุด วิธีการตรวจสอบคุณภาพของข้อมูล คือ 1ตรวจสอบความครบถ้วนของข้อมูล เป็นการตรวจสอบรายการต่างๆ ว่า ได้มีการบันทึก ) ครบถ้วนทุกรายการที่กำหนดหรือไม่ 2ตรวจสอบความถูกต )้องและความแนบนัยของข้อมูล เป็นการตรวจสอบข้อมูลว่า มีการบันทึก มาถูกต้องแนบนัยหรือไม่ ดังนี้ 3( การตรวจสอบความแนบนัยภายใน )Internal consistency) คือ การตรวจว่าข้อมูลที่มี ความสัมพันธ์กัน มีความสอดคล้องกันหรือไม่ 4( การตรวจสอบความแนบนัยภายนอก )External consistency) เป็นการตรวจสอบความ ถูกต้องของข้อมูล โดยอาศัยความรู้ความชำนาญหรือสถานการณ์ภายนอกมาช่วยในการพิจารณา โมเดลสมการโครงสร้าง Structural Equation Modeling: SEM ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ กว่า 1 ทศวรรษก่อนหน้านี้ในช่วงที่มีการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์SPSSวิเคราะห์ข้อมูล กันอย่างแพร่หลาย การวิจัยที่มีจุดมุ่งหมายเพื่ออธิบายสาเหตุ (causal explanation) หรืออธิบายความสัมพันธ์เชิงเหตุผล (causal relationships) หรือเพื่ออธิบายความเป็นเหตุและผล (cause and effect) ระหว่างตัวแปรภายนอก (exogenous variables) และตัวแปรภายใน (endogenous variables)ทั้งกรณีของอิทธิพลทางตรงอิทธิพล ทางอ้อม และอิทธิพลโดยรวมของตัวแปรที่สันนิษฐานว่าเป็นสาเหตุต่อตัวแปรที่เป็นผลจะมีแบบแผนของโมเดล เส้นทาง (path diagram/model) ที่มีเฉพาะโมเดลโครงสร้าง( structural model) เท่านั้น ซึ่งในการ วิเคราะห์เส้นทางเพื่อศึกษาปรากฏการณ์ต่างๆว่ามีสาเหตุเกิดมาจากอะไรนั้นผู้วิจัยอาศัยทฤษฎีและงานวิจัย ต่างๆมาตั้งเป็นสมมติฐานโดยการสร้างเป็นแผนภาพเส้นทางแสดงอิทธิพลระหว่างตัวแปรต่างๆจากนั้นจึง ดำเนินการทดสอบแผนภาพตามสมมติฐานนั้นว่าเหมาะสมหรือไม่โดยใช้สถิติวิเคราะห์เส้นทาง ระยะต่อมาและในปัจจุบัน อันเนื่องจากพัฒนาการของโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับการวิเคราะห์ SEM ที่ใช้กันมากคือ โปรแกรม(LISRELและโปรแกรม Mplus และโปรแกรม Amos เป็นต้นที่มีศักยภาพใน ) โปรแกรม( การวิเคราะห์ข้อมูลได้ซับซ้อนและลึกซึ้งได้มากขึ้นSPSS ไม่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลตามโมเดลแบบ ใหม่ได้โมเดลการวิจัยยุคใหม่นี้จึงมีลักษณะแตกต่างจากโมเดลการวิจัยยุคก่อนคือ ตัวแปรในการวิจัยมีทั้งตัว) แปรสังเกตได้(observed variable) และตัวแปรแฝง (latent or unobserved variable) โดยที่ตัวแปรแฝง เป็นตัวแปรที่ไม่มีความคลาดเคลื่อนในการวัดซึ่งวัดได้จากตัวบ่งชี้ที่เป็นตัวแปรสังเกตได้ดังนั้นองค์ประกอบที่


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 203 สำคัญของโมเดลสมการโครงสร้าง คือ )1โมเดลโครงสร้าง (structural model) ซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์เชิง สาเหตุ (causal relationship)ระหว่างตัวแปรภายนอกและตัวแปรภายใน ซึ่งอาจเป็นแบบทางเดียวและแบบ เส้นเชิงบวก (recursive and linear additive) หรือแบบสองทางและแบบเส้นเชิงบวก (non-recursive and linear additive)และ )2โมเดลการวัด (measurement model) ซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร แฝงกับตัวแปรสังเกตได้ ดังนั้น โมเดลสมการโครงสร้างจะสะท้อนให้เห็นถึงทั้งการวิเคราะห์องค์ประกอบ (factor analysis) และการวิเคราะห์เส้นทาง(path analysis) คำถามท้ายบท 1.จงอธิบายขั้นตอนการเตรียมข้อมูลมาโดยละเอียดและเข้าใจ 2.จงอธิบายการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติด้วยโปรแกรม SPSS ว่ามีขั้นตอนการวิเคราะห์อย่างไร อธิบายมาให้เข้าใจ 3.จงอธิบายโมเดลสมการโครงสร้างมาให้เข้าใจ 4.จงอธิบายโมเดลสมการโครงสร้างการวิจัยแบบใหม่มาให้เข้าใจ 5.จงยกตัวอย่างการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติโดยหาค่า สถิติ การทดสอบค่าทีและการหา One – Way ANOVA 6.จงยกตัวอย่างการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โมเดลสมการโครงสร้างมาอย่างน้อย 1 ตัวอย่าง รายการอ้างอิง บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์ .)2540( .ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์.กรุงเทพมหานคร :เจริญผล. พระเทพเวที( ประยุทธ์ปยุตโต .)2534( .)มหาวิทยาลัยกับงานวิจัยทางพระพุทธศาสนา .พระนคร : เนติกุลการพิมพ์. พวงรัตน์ทวีรัตน์ .)2538( .วิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์.พิมพ์ครั้งที่ .6 กรุงเทพมหานคร :สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. วิจิตร ศรีสอ้าน และทองอินทร์วงศ์โสธร .)2550( .หน่วยที่ :8 แนวคิดเกี่ยวกับการวิจัยทางการบริหาร การศึกษา .ใน คณะกรรมการผลิตและบริหารชุดวิชาการวิจัยทางการบริหารการศึกษา( บก)., ประมวลสาระชุดวิชาการวิจัยทางการศึกษา .พิมพ์ครั้งที่ .6 นนทบุรี :มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. วีระยุทธ ชาตะกาญจน์ .)2557( .การวิจัยเพื่อพัฒนาการบริหารการศึกษา.กรุงเทพมหานคร :วี .พริ้นท์ . ศักดิ์ไทย สุรกิจบวร .)2549( .การวิจัยเพื่อพัฒนาการบริหารการศึกษา .สกลนคร :สำนักงานโครงการ บัณฑิตศึกษา สาขาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร.


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 204 ศิริชัย กาญจนวาสี, ทวีวัฒน์ปิตยานนท์และดิเรก ศรีสุโข .)2540( .การเลือกใช้สถิติที่เหมาะสม สำหรับการ วิจัย .กรุงเทพมหานคร :พชรกานต์พับลิเคชั่น. สุชาติประสิทธิ์รัฐสินธุ์ .)2540( .ระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์.กรุงเทพมหานคร:เลียงเชียง. สุนีย์มัลลิกะมาลย์ .)2555( .วิทยาการวิจัยทางนิติศาสตร์.พิมพ์ครั้งที่ .9 กรุงเทพมหานคร :สำนักพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. อเนก พ .อนุกูลบุตร .)2556( .วิจัยเชิงคุณภาพ Qualitative Research .กรุงเทพมหานคร :ก .พล . อุทุมพร จามรมาน .)2550( .หน่วยที่ :1 การวิจัยทางการศึกษา .ใน คณะกรรมการผลิตและบริหารชุด วิชาการวิจัยทางการบริหารการศึกษา( บก)., ประมวลสาระชุดวิชาการวิจัยทางการศึกษา . พิมพ์ครั้งที่ .6 นนทบุรี :มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. Best J.W .& Kahn J.V( .2006 .)Research in Education .10thEd .Boston :Pearson Education . Easterby-Smith M .Thorpe R .& Lowe A( .1991 .)Management .Research :An Introduction. London :Sage. Fraenkel J.R .& Wallen N.E( .2006 .)How to Design and Evaluate Research in Education . 6 th ed .New York :McGraw-hill. Haller, Emil J . and Knapp, Thomas R( . 1985, Summer . )Problems and methodology education administration. Education Administration Quarterly, 21. Hoy W.K .& Miskel C.G( .2008 .)Educational Administration :Theory Research and Practice. 8 th ed .Boston :McGraw-Hill. Hussey J.& Hussey R( .1997 .)Business Research. London :Macmillan Business. Kerlinger F.N .& Lee H.B( .2000 .)Foundations of Behavioral Research. 4 th ed .New York : Thomson Learning. Wiersma W( .1991 .)Research Methods in Education :An Introduction .5 th ed .Boston :Allyn and Bacon.


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 205 แผนการสอนประจำบทที่ 11 การวิจัยและพัฒนา รายวิชา วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หัวข้อย่อย 11.1 ความหมายและความสำคัญของการวิจัยและพัฒนา 11.2 ความแตกต่างของการวิจัยกับการวิจัยและพัฒนา 11.3 กระบวนการของการวิจัยและพัฒนา 11.4 การออกแบบการวิจัยและพัฒนา 11.5 สรุป สรุปแนวคิดที่สำคัญ การวิจัยและพัฒนา เป็นการวิจัยอีกลักษณะหนึ่งที่มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพัฒนางาน พัฒนา วิชาชีพ หรือการพัฒนาวิถีชีวิตของมนุษย์ เป็นการวิจัยที่มุ่งประดิษฐ์หรือพัฒนานวัตกรรมสำหรับการ ปฏิบัติงาน โดยใช้กระบวนการศึกษาค้นคว้าอย่างมีระบบและมีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อพัฒนาทางเลือกในการ ยกระดับคุณภาพงาน ซึ่งการวิจัยและพัฒนาจะให้ผลลัพธ์ที่สำคัญ 2 ลักษณะ คือ นวัตกรรมประเภทวัตถุที่เป็น ชิ้นงาน( Materials) และนวัตกรรมประเภทที่เป็นรูปแบบ วิธีการ กระบวนการ ระบบปฏิบัติการ( Methods) การวิจัยและการพัฒนาจึงเป็นกระบวนการแสวงหาความรู้อย่างมีเป้าหมาย เพื่อนำไปสู่การพัฒนาในองค์รวม ทำให้เกิดการเรียนรู้เชิงประจักษ์แก่ชุมชนทางการศึกษา ชุมชนที่อยู่อาศัย และเป็นฐานในการพัฒนาองค์กร ประเทศชาติในด้านต่าง ๆ วัตถุประสงค์ 1.อธิบายความหมายและความสำคัญของการวิจัยและพัฒนา 2.เข้าใจความแตกต่างของการวิจัยกับการวิจัยและพัฒนา 3.อธิบายขั้นตอนกระบวนการของการวิจัยและพัฒนา 4.อธิ .บายการออกแบบการวิจัยและพัฒนา กิจกรรมระหว่างเรียน 1.การบรรยายและร่วมสนทนาซักถามเกี่ยวกับเนื้อหาในบทเรียน 2.นำเสนอวิจัยวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับการเตรียมและการวิเคราะห์ข้อมูล/ 3.วิเคราะห์ผลการวิจัยเกี่ยวกับการเตรียมและการวิเคราะห์ข้อมูล 4.สรุปประเด็นสำคัญประจำบท


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 206 สื่อการสอน 1.เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 2. เอกสารประกอบการสอน 3. สื่อ Power Point สื่ออื่น เช่น Flip Chart การประเมินผล 1.ประเมินผลความสนใจของผู้ศึกษาขณะเรียน 2.การชักถาม ถามตอบ ของผู้เรียนขณะเรียน 3.การประเมินระหว่างเรียน การประเมินกลางภาค และการสอบประเมินปลายภาค 4.การบันทึกสรุปเนื้อหาประจำบท และนำเสนองานที่มอบหมาย


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 207 บทที่ 11 การวิจัยและพัฒนา การวิจัยและพัฒนา เป็นการวิจัยอีกลักษณะหนึ่งที่มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพัฒนางาน พัฒนาวิชาชีพ หรือการพัฒนาวิถีชีวิตของมนุษย์ เป็นการวิจัยที่มุ่งประดิษฐ์หรือพัฒนานวัตกรรมสำหรับการปฏิบัติงาน โดยใช้ กระบวนการศึกษาค้นคว้าอย่างมีระบบและมีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อพัฒนาทางเลือกในการยกระดับคุณภาพงาน ซึ่งการวิจัยและพัฒนาจะให้ผลลัพธ์ที่สำคัญ 2 ลักษณะ คือ นวัตกรรมประเภทวัตถุที่เป็นชิ้นงาน )Materials) และนวัตกรรมประเภทที่เป็นรูปแบบ วิธีการ กระบวนการ ระบบปฏิบัติการ )Methods) การวิจัยมีหลายประเภทซึ่งมีเกณฑ์การเรียกแต่ละประเภทแตกต่างกันไป ในบางครั้งการวิจัยนั้นอาจ เป็นเรื่องเดียวกันแต่เรียกต่างกัน ตัวอย่างเช่น การวิจัยเชิงทดลองกับการวิจัยเชิงปริมาณ ซึ่งการวิจัยเชิงทดลอง ก็เป็นการวิจัยที่ใช้วิธีการวิเคราะห์ทางสถิติซึ่งเป็นวิธีการวิจัยเชิงปริมาณเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ที่เรียกการวิจัยเชิง ทดลองเพราะยึดเกณฑ์ในการออกแบบการวิจัยมาเป็นฐานในการเรียกงานวิจัย )อุทัย ดุลยเกษม , 2550: 9) เช่นเดียวกับงานวิจัยประเภทวิจัยและพัฒนาก็เรียกตามประโยชน์ของการวิจัย ซึ่งเป็นระเบียบวิธีวิจัยที่ให้ได้ซึ่ง นวัตกรรม โดยหลักสูตรถือได้ว่าเป็นนวัตกรรมหนึ่งของการศึกษาซึ่งในการพัฒนาต้องอาศัยกระบวนการวิจัย และพัฒนา )ชวลิต ชูกำแพง, 2559: 35) ในบทนี้จะนำเสนอสาระสำคัญเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนา ตามลำดับดังนี้ 5.1 ความหมายและความสำคัญของการวิจัยและพัฒนา 5.2 ความแตกต่างของการวิจัยกับการวิจัยและพัฒนา 5.3 กระบวนของการวิจัยและพัฒนา 5.4 การออกแบบการวิจัยและพัฒนา แสดงรายละเอียดของเนื้อหาได้ดังนี้ 11.1 ความหมายและความสำคัญของการวิจัยและพัฒนา การวิจัยและพัฒนา )Research and Development: R&D) เป็นการวิจัยที่มุ่งประดิษฐ์หรือพัฒนา นวัตกรรมสำหรับการปฏิบัติงาน โดยใช้กระบวนการศึกษาค้นคว้าอย่างมีระบบ เพื่อให้เกิดทางเลือกหรือวิธีการ ใหม่ๆ สำหรับการยกระดับคุณภาพของงานหรือคุณภาพชีวิต )วีระยุทธ ชาตะกาญจน์, 2557: 240) ซึ่งการวิจัยและพัฒนา )Research and Development: R&D) หรือที่ นิยมเรียกตามชื่อย่อว่า การวิจัยแบบ “R and D” หมายถึง การพัฒนานวัตกรรมหรือผลิตภัณฑ์โดยอาศัย กระบวนการวิจัยในแต่ละขั้นตอนของการพัฒนา โดยมีเป้าหมายที่สำคัญคือการได้นวัตกรรมหรือผลิตภัณฑ์ที่ ผ่านการทดสอบภาคสนามอย่างเป็นระบบ และได้รับการปรับปรุงแก้ไขจนกว่าจะมีคุณภาพหรือมาตรฐาน ตามที่กำหนดไว้)Gall, Borg and Gall, 1996; รัตนะ บัวสนธ์, 2552: 1) โดยมีเป้าหมายที่สำคัญของการวิจัย


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 208 และพัฒนาคือการได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์หรือวิธีการ ใหม่ ๆ ซึ่งในวงการศึกษาคุ้นเคยกับคำว่า “นวัตกรรมทาง การศึกษา )Educational Innovation) โดยเฉพาะคำว่า “Innovation” หมายถึง การเปลี่ยนแปลงในการทำ สิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือการนำ สิ่งใหม่ ๆ และวิธีการใหม่ในการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง )Thorndike and Barnhart, 1965: 337) สอดคล้องกับคำในภาษาไทยที่คำว่า “นวัตกรรม” มาจากคำว่า “นว” ซึ่งหมายถึง ใหม่กับคำว่า “กรรม” ซึ่งหมายถึง การกระทำ รวมความจึงหมายถึง การกระทำใหม่ ๆ จากความหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่า นวัตกรรมทางการศึกษา จึงมีความหมายถึงผลิตภัณฑ์และวิธีการใหม่ โดยในทางการศึกษาได้แบ่งนวัตกรรม ออกเป็น 2 ประเภทด้วยกัน ได้แก่ ประเภทที่เป็นสื่อ วัสดุอุปกรณ์ผลิตภัณฑ์คู่มือ และประเภทที่เป็นเทคนิค วิธีการแนวคิด ทฤษฎีตลอดทั้งรูปแบบและระบบใหม่ ๆ )ชวลิต ชูกำแพง, 2559: 36-37) การวิจัยและพัฒนา )Research and Development) เป็นการวิจัยอีกลักษณะหนึ่งที่มีประโยชน์อย่าง ยิ่งต่อการพัฒนางาน พัฒนาวิชาชีพ หรือการพัฒนาวิถีชีวิตของมนุษย์ โดยมีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อพัฒนา ทางเลือกในการยกระดับคุณภาพงาน ในอดีตการวิจัยและพัฒนามักจะกำหนดขอบเขตอยู่ที่การพัฒนาสื่อ อุปกรณ์หรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ แต่ในระยะต่อมาการวิจัยและพัฒนาได้รับการนิยามในวงกว้างมากยิ่งขึ้น จึง หมายรวมถึงการพัฒนาระบบ รูปแบบ กระบวนการทำงาน หรือเทคนิคการทำงานใหม่ ๆ ด้วย ในปัจจุบัน องค์กรทางการศึกษาได้พยายามส่งเสริมให้บุคลากรในสังกัดมีความรู้ความสามารถด้านการวิจัยและพัฒนา โดยเชื่อว่าการวิจัยและพัฒนาจะช่วยให้ได้ทางเลือกหรือวิธีการใหม่ ๆ ทำให้การปฏิบัติงานในฐานะผู้สอนหรือ ผู้บริหารมีคุณภาพและประสิทธิภาพสูงขึ้นเป็นลำดับ )วีระยุทธ ชาตะกาญจน์, 2557: 246) การวิจัยและพัฒนาจะให้ผลลัพธ์ที่สำคัญ 2 ลักษณะ )สุพักตร์พิบูลย์, 2550: 15) คือ 1. นวัตกรรมประเภทวัตถุที่เป็นชิ้นงาน )Materials) ซึ่งอาจจะเป็นประเภท วัสดุอุปกรณ์ชิ้นงาน เช่น รถยนต์คอมพิวเตอร์ชุดการสอนสื่อการสอน ชุดกิจกรรมเสริมความรู้คู่มือประกอบการทำงาน 2. นวัตกรรมประเภทที่เป็นรูปแบบ วิธีการ กระบวนการ ระบบปฏิบัติการ )Methods) เช่น รูปแบบ การสอน วิธีสอน รูปแบบการบริหารจัดการ ระบบการทำงาน เทคนิคการบริหารจัดการ QC TQM, BSC เป็น ต้น ประเภทของการวิจัยที่แบ่งตามประโยชน์ของการวิจัย มี2 ประเภท คือ การวิจัยพื้นฐานหรือการวิจัย บริสุทธิ์)Basic Research หรือ Pure Research) ที่มุ่งแสวงหาความรู้มุ่งเน้นการผลิตหรือสร้างความรู้ในแต่ละ สาขาวิชาด้วยวิธีการที่เป็นระบบ เชื่อถือได้และวิธีวิทยาการวิจัยที่สาขาวิชานั้นยอมรับความรู้ใหม่ที่ได้คือหัวใจ สำคัญของการวิจัยแบบนี้โดยจะไม่ค่อยให้ความสนใจว่าใครจะนำความรู้ที่ได้ไปใช้อะไรและอย่างไร และการ วิจัยประยุกต์)Applied Research) ที่มีลักษณะเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม คือ เป็นการวิจัยมุ่งให้ได้ผลจาก การวิจัยไปใช้ในการปฏิบัติงาน ค้นหาการประยุกต์และวิธีการประยุกต์ใช้การวิจัยประยุกต์นี้จะสนใจเรื่อง ประโยชน์ใช้สอยที่ได้จาก การวิจัยมากกว่าการสร้างความรู้สำหรับศาสตร์สาขานั้น ๆ โดยตรง )ชวลิต ชูกำแพง, 2559: 35-36)


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 209 จากการแบ่งประเภทการวิจัยดังกล่าว การวิจัยและพัฒนาเป็นการวิจัยประยุกต์ที่เน้นการแสวงหาผลิตภัณฑ์ ใหม่ )New Product) สิ่งประดิษฐ์ใหม่ )New Inventions) พัฒนากระบวนการ )Process) พัฒนาระบบและ วิธีทำงาน )System and Procedures) และเทคโนโลยีใหม่ๆ )New Technologies) โดยใช้การวิจัยเป็นฐาน )Research-base Development) ซึ่งมีวิวัฒนาการและความเป็นมากับการประดิษฐ์คิดค้นทางด้าน วิทยาศาสตร์ธุรกิจ และอุตสาหกรรม และมิได้มีเฉพาะสาขางานดังกล่าวเท่านั้น แต่สามารถปฏิบัติได้ในทุก สาขาวิชา ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์หรือเทคโนโลยีวิศวกรรมการคมนาคมขนส่ง การบิน การเกษตร การแพทย์ สังคมศาสตร์มนุษยศาสตร์ศึกษาศาสตร์หรือแม้กระทั่งในกิจการด้านการทหารและกิจการพลเรือนในแทบทุก สาขา )ชวลิต ชูกำแพง, 2559: 36) โดยสรุปความสัมพันธ์และความแตกต่างของงานวิจัยทั้ง 3 ประเภท ดัง แสดงในภาพที่ 5.1 ภาพที่ 11.1 เปรียบเทียบระหว่างการวิจัยพื้นฐาน การวิจัยประยุกต์และการวิจัยและพัฒนา ที่มา: Gall, Borg and Gall (1979: 771-798) และพฤทธิ์ ศิริบรรณพิทักษ์ )2531) ความสำคัญของการวิจัยและพัฒนานั้นคือ ผลงานการวิจัยและพัฒนานับได้ว่าเป็นผลงานที่มีประโยชน์ มีคุณค่ายิ่ง ที่ช่วยสร้างสรรค์พัฒนานวัตกรรม ทั้งรูปแบบการทำงานและสิ่งผลิตให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น โดยได้ หลอมรวมงานวิจัยหลายประเภทบูรณาการไว้อย่างเป็นระบบ ครบวงจร ปัจจุบันหน่วยงานต่าง ๆ โดยเฉพาะ หน่วยงานในวงการศึกษา ได้มุ่งพัฒนาคุณภาพในการบริหารจัดการและการจัดการเรียนการสอน จึงได้ให้ความ สนใจทำการพัฒนาบุคลากร ฝึกอบรม และรณรงค์ส่งเสริมให้ผู้บริหารและครูอาจารย์ได้ผลิตผลงานวิจัยและ พัฒนากันอย่างกว้างขวาง (วีระยุทธ ชาตะกาญจน์, 2557: 246) สรุปได้ว่า การวิจัยและพัฒนา เป็นการวิจัยอีกลักษณะหนึ่งที่มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพัฒนางาน พัฒนาวิชาชีพ หรือการพัฒนาวิถีชีวิตของมนุษย์ เป็นการวิจัยที่มุ่งประดิษฐ์หรือพัฒนานวัตกรรมสำหรับการ ปฏิบัติงาน โดยใช้กระบวนการศึกษาค้นคว้าอย่างมีระบบและมีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อพัฒนาทางเลือกในการ ยกระดับคุณภาพงาน ซึ่งการวิจัยและพัฒนาจะให้ผลลัพธ์ที่สำคัญ 2 ลักษณะ คือ นวัตกรรมประเภทวัตถุที่เป็น ชิ้นงาน )Materials) และนวัตกรรมประเภทที่เป็นรูปแบบ วิธีการ กระบวนการ ระบบปฏิบัติการ )Methods) การวิจัยพื้นฐาน ความรู้พื้นฐาน ทฤษฎีการเรียนรู้- ทฤษฎีการสื่อสารฯลฯ การวิจัยและพัฒนา นวัตกรรมที่ผ่านการ ทดลองใช้ได้ผลดี หลักสูตรใหม่- วิธีการสอนใหม่- ผลิตภัณฑ์ใหม่- การวิจัยประยุกต์ ความรู้ประยุกต์ใน บางส่วน เครื่องมือทดสอบ-


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 210 11.2 ความแตกต่างของการวิจัยกับการวิจัยและพัฒนา ชวลิต ชูกำแพง )2559: 37-38) ได้กล่าวถึงความแตกต่างของการวิจัยกับการวิจัยและพัฒนาไว้ว่า การ วิจัยทั่ว ๆ ไป กับการวิจัยและพัฒนามีส่วนแตกต่างกันบางประเด็น ดังนี้ 1. เป้าหมายการทำวิจัย การวิจัยทั่ว ๆ ไป อาจจะมีเป้าหมายเพื่อการแสวงหา สั่งสม องค์ความรู้ หรือ นำความรู้ที่ได้รับไปใช้ประโยชน์ในทางใดทางหนึ่ง ซึ่งในเป้าหมายแรกนั้นก็จะเป็นเป้าหมายของการวิจัยบริสุทธิ์ หรือบางทีก็เรียกว่า การวิจัยพื้นฐาน )Pure or Basic Research) และในเป้าหมายที่สองก็จะเป็นเป้าหมายของ การวิจัยประยุกต์ )Applied Research) ในขณะที่เป้าหมายของการวิจัยและพัฒนานั้นเป็นไปเพื่อการได้ นวัตกรรมสำหรับการดำเนินงานในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยที่นวัตกรรมนั้นได้ผ่านกระบวนการสร้างและประเมิน ตรวจสอบคุณภาพมาอย่างรัดกุมแล้ว 2.. กระบวนการหรือขั้นตอนการวิจัย โดยทั่วไปแล้วการวิจัยส่วนใหญ่จะมีกระบวนการหรือขั้นตอนที่ จบในตัวเองในการทำวิจัยแต่ละเรื่อง ซึ่งขั้นตอนที่กล่าวมักจะประกอบด้วยการกำหนดปัญหาวิจัย การกำหนด วัตถุประสงค์ และ/หรือสมมติฐานการวิจัย วิธีการดำเนินการวิจัย )ซึ่งจะกล่าวถึงประชากรและกลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือเก็บข้อมูล วิธีเก็บข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล( ผลการวิจัย บทสรุป อภิปราย และข้อเสนอแนะ แต่ใน การดำเนินงานวิจัยและพัฒนานั้น การทำวิจัยในแต่ละขั้นตอนจะไม่จบหรือแยกตัวเองออกเป็นเอกเทศ หาก ทว่าการทำวิจัยในแต่ละขั้นตอนจะทำให้ได้ผลวิจัยเพื่อส่งต่อนำไปใช้สำหรับการดำเนินงานในขั้นต่อ ๆ ไป ดังที่ ได้กล่าวผ่านมาแล้วถึงลักษณะของขั้นตอนการวิจัยและพัฒนาที่พบว่าการทำวิจัยในขั้นตอนที่ 1 จะทำให้ เนื้อหาสาระความรู้ที่จะนำไปใช้ออกแบบและสร้างนวัตกรรม เมื่อสร้างนวัตกรรมเสร็จแล้วก็จะนำไปสู่การวิจัย เชิงทดลองใช้นวัตกรรม ครั้นทดลองแล้วก็จะต้องทำวิจัยเชิงประเมินผลนวัตกรรมดังนี้ ซึ่งจะเห็นว่าในแต่ละขั้น ก็เป็นการวิจัยต่อเนื่องไปสู่การวิจัยต่อไปตามลำดับนั่นเอง 3 . แหล่งข้อมูลหรือกลุ่มเป้าหมาย เครื่องมือและเทคนิควิธีการเก็บข้อมูล ในการดำเนินงานวิจัยและ พัฒนาสิ่งที่กล่าวนี้ค่อนข้างจะมีความหลากหลายมากกว่าการดำเนินงานวิจัย ทั่ว ๆ ไป เพราะว่าในแต่ละ ขั้นตอนของการวิจัยและพัฒนาก็มีการใช้แหล่งข้อมูลหรือกลุ่มเป้าหมาย เครื่องมือและเทคนิควิธีการเก็บข้อมูล ต่างกัน ในขที่งานวิจัยทั่วไปนั้น แหล่งข้อมูล กลุ่มเป้าหมาย อาจมีเพียงกลุ่มเดียว เครื่องมือเก็บข้อมูลมีเพียงชุด เดียวหรือฉบับเดียว เป็นต้น 4. . ระยะเวลาดำเนินการวิจัย ในการดำเนินงานวิจัยทั่วไปก็มักจะมีระยะเวลาสำหรับทำวิจัยเรื่องหนึ่ง ประมาณ 1 ปีการศึกษา หรือ 1 ปีงบประมาณ หรือบางเรื่องอาจจะใช้เวลาน้อยกว่านั้น )อาทิ การวิจัยเชิง ทดลอง หรือการวิจัยเชิงสำรวจ( แต่การดำเนินงานวิจัยและพัฒนาจะใช้เวลาค่อนข้างยาวนานจนกว่าจะได้ นวัตกรรมที่สามารถนำไปใช้ได้จริง เพราะต้องผ่านกระบวนการหรือขั้นตอนการวิจัยแต่ละขั้นให้เสร็จสิ้น เสียก่อน ซึ่งการดำเนินงานในแต่ละขั้นก็จำเป็นต้องใช้เวลาพอสมควร


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 211 11.3 กระบวนการของการวิจัยและพัฒนา การวิจัยและพัฒนา เป็นการพัฒนานวัตกรรมที่ต้องอาศัยกระบวนการวิจัย ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกัน ระหว่างวิธีการวิจัยกับวิธีการพัฒนา ดังนั้น กระบวนการวิจัยและพัฒนาที่นักวิจัยและนักการศึกษากำหนดขึ้น จึงมีรูปแบบ )Models) และกระบวนการที่แตกต่างกัน นำเสนอรูปแบบและกระบวนการของการวิจัยและ พัฒนา )ชวลิต ชูกำแพง, 2559: 38-45) ดังนี้ 1. รูปแบบเชิงระบบของ Walter Dick and Lou Carey เป็นรูปแบบที่ใช้สำหรับวิจัยและพัฒนา โปรแกรมการเรียนการสอน ประกอบด้วย 10 ขั้นตอน )ชวลิต ชูกำแพง, 2559: 38-40) ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 กำหนดเป้าหมายของการเรียนการสอน )Identify Instructional Goals) เป็นขั้นตอน ของการนิยามเป้าหมายของโปรแกรมการสอน วิธีการที่จะช่วยให้นิยามเป้าหมายของโปรแกรมการเรียนการ สอนได้อย่างชัดเจนและเหมาะสม ทำได้โดยการประเมินความต้องการจำเป็น )Need Assessment) ซึ่งจะทำ ให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาและอุปสรรคในการจัดการเรียนการสอนที่แท้จริง รวมทั้งความต้องการของผู้เรียน ซึ่งจะนำไปสู่การกำหนดเป้าหมายของโปรแกรมการเรียนการสอนที่ต้องการพัฒนาได้อย่างเหมาะสม ขั้นตอนที่ 2 ดำเนินการวิเคราะห์การเรียนการสอน )Conduct Instructional Analysis) เป็นขั้นตอน ของการวิเคราะห์การเรียนการสอนอย่างถี่ถ้วน เพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับทักษะขั้นตอนการปฏิบัติ และภารกิจ การเรียนรู้ของผู้เรียนในระบบการจัดการเรียนการสอน ขั้นตอนที่ 3 กำหนดพฤติกรรมและคุณลักษณะที่สำคัญ )Identify Behaviors and Characteristics) เป็นขั้นตอนของการนำข้อมูลจากการวิเคราะห์การเรียนการสอนมากำหนดเป็นพฤติกรรม ทักษะและ คุณลักษณะอื่น ๆ ที่จะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายของการเรียนการสอน ขั้นตอนนี้มักจะดำเนินการไปพร้อม ๆ กับขั้นตอนที่ 2 เนื่องจากเกี่ยวข้องและต่อเนื่องกัน ขั้นตอนที่ 4 เขียนจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม )Write Performance Objective) เป็นขั้นตอนของการ แปลงเป้าหมายของการเรียนการสอน ภายใต้ข้อมูลจากการวิเคราะห์ระบบการเรียนการสอนให้เป็นจุดประสงค์ เชิงพฤติกรรมที่ชัดเจน จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมจะเป็นตัวกำหนดวิธีการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับผู้เรียน ระดับต่าง ๆ เป็นพื้นฐานในการวางแผนสร้างแบบทดสอบ สร้างสื่อการเรียนการสอน และระบบการเรียนการ สอน ขั้นตอนที่ 5 พัฒนาข้อทดสอบอิงเกณฑ์ )Develop Criterion-referenced Test Item) เป็นขั้นตอน ของการพัฒนาข้อทดสอบเพื่อใช้สำหรับวินิจฉัยเพื่อจัดกลุ่มผู้เรียน ใช้ตรวจสอบความก้าวหน้าของผู้เรียน และ ใช้สำหรับประเมินประสิทธิผลของโปรแกรมการเรียนการสอน ขั้นตอนที่ 6 พัฒนายุทธศาสตร์การเรียนการสอน )Develop Instructional Strategy) เป็นขั้นตอน ของการกำหนดยุทธศาสตร์หรือแนวทางการเรียนการสอน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนบรรลุจุดประสงค์การเรียนการ สอน


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 212 ขั้นตอนที่ 7 พัฒนาและเลือกสื่อการเรียนการสอน )Develop and Select Instructional Materials) เป็นขั้นตอนการพัฒนาสื่อการเรียนการสอน ซึ่งอาจจะรวมถึงสื่อสิ่งพิมพ์ เช่น แบบเรียน คู่มือการฝึกอบรม เทป บันทึกเสียง เทปบันทึกภาพ คู่มือครู แผนการเรียนรู้ ขั้นตอนที่ 8 ออกแบบและดำเนินการประเมินเพื่อปรับปรุง )Design and Conducts Formative Evaluation) เป็นขั้นตอนการประเมินระหว่างดำเนินการเรียนการสอนตลอดโปรแกรม เพื่อนำข้อมูลไปใช้ ตัดสินใจและปรับปรุงการเรียนการสอนในขั้นตอนที่ 9 การประเมินในขั้นนี้มักจะดำเนินการโดยเจ้าของ โปรแกรม ซึ่งเป็นผู้ใกล้ชิดกับโปรแกรมที่สุด ขั้นตอนที่ 9 ปรับปรุงการเรียนการสอน )Revise Instructional) เป็นขั้นตอนของการนำผลการ ประเมินระหว่างดำเนินการมาใช้ปรับปรุงการเรียนการสอน โดยอาจพิจารณาปรับปรุงได้ตั้งแต่ขั้นตอนที่ 1 ถึง ขั้นตอนที่ 7 แล้วแต่ผลการประเมินว่าจะต้องปรับปรุงในขั้นตอนใด อาจเป็นการปรับปรุงเป้าหมายการเรียน การสอน การวิเคราะห์การเรียนการสอน พฤติกรรมที่ต้องการ วัตถุประสงค์ เชิงพฤติกรรม แบบทดสอบ ยุทธศาสตร์การเรียนการสอนและสื่อการเรียนการสอน ขั้นตอนที่ 10 ออกแบบและดำเนินการประเมินสรุปผล )Design and Conduct Summative Evaluation) เป็นขั้นตอนการประเมินเมื่อจบการเรียนการสอนตามโปรแกรมแล้ว เพื่อตัดสินคุณค่าของ โปรแกรมการเรียนการสอน โดยอาจเปรียบเทียบกับโปรแกรมอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกัน การประเมินเพื่อสรุปผลนี้ ควรดำเนินการโดยผู้ประเมินที่ไม่ใช่เจ้าของโปรแกรมการเรียนการสอน 2. รูปแบบการวิจัยและพัฒนาของ Hood (The Hood Model) (Heinich, R., 1981: 341-342) รูปแบบนี้ให้ความสำคัญในการศึกษาข้อมูลและการทบทวนวรรณกรรม ซึ่งมี 7 ขั้นตอนดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 แนวคิด )Concept) เป็นการวิเคราะห์ความจำเป็น ซึ่งต้องอาศัยการทบทวนและวางแผน ในด้านต่าง ๆ นำไปสู่การดำเนินการหัวข้อแผนคร่าว ๆ ของกิจกรรม รวมถึงลำดับขั้นตามองค์ประกอบของ นวัตกรรมนั้น ๆ ขั้นตอนที่ 2 การพัฒนาผลิตภัณฑ์เบื้องต้น )Preliminary product development) เป็นการกำหนด นวัตกรรมที่จะนำเสนอ โดยการเลือกแนวคิดที่จับต้องได้และสอดคล้องตามความจำเป็น สิ่งที่นำเสนอควรจับ ต้องสำหรับบุคลากรในโครงการหรือที่ปรึกษาภายนอกที่ทำหน้าที่ประเมิน ขั้นตอนที่ 3 การทดสอบภาคสนาม )Preliminary Field Test) เป็นการทดสอบภาคสนามและผ่าน การประเมินจากกลุ่มตัวแทนผู้ใช้ในกลุ่มเล็ก ๆ องค์ประกอบของนวัตกรรมในระยะสุดท้ายควรเป็นตัวแทนที่จะ พัฒนาและใช้การทดสอบในภาคสนาม ขั้นตอนที่ 4 การทดสอบผลลัพธ์ )Performance Test) เป็นการตัดสินใจว่านวัตกรรมที่สมบูรณ์ต้อง ถึงตามคุณสมบัติเฉพาะและกำหนดว่าควรปรับปรุงอย่างไร การประเมินในขั้นนี้ต้องเป็นทางการ และมีเกณฑ์ที่ เป็นมาตรฐาน ขั้นตอนที่ 5 ความพร้อมเชิงปฏิบัติ )Operational Readiness) เป็นการออกแบบเพื่อกำหนดความ สมบูรณ์ของนวัตกรรมและทำการปรับปรุงที่จำเป็นเพื่อการนำเผยแพร่


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 213 ขั้นตอนที่ 6 แผนการอภิปรายและเผยแพร่ )Dissemination) เป็นขั้นการประเมินกระบวนการ เผยแพร่นวัตกรรมที่เข้าถึงประชากรเป้าหมาย ซึ่งเป็นกลุ่มที่สนใจเบื้องต้น ขั้นตอนที่ 7 การควบคุมคุณภาพ )Quality Control) เป็นขั้นการกำกับติดตามนวัตกรรมจากการ รวบรวมข้อมูลสำหรับการทบทวนนวัตกรรมและการปรับปรุงออกแบบนวัตกรรมใหม่รูปแบบของ Hood 3. รูปแบบทั่วไปของการออกแบบและพัฒนาการเรียนการสอน )Generic Model. ADDIE model) ซึ่งประกอบด้วย 5 ขั้นตอน )Donald Clark, 2003: 12) ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 การวิเคราะห์ )analysis) เป็นขั้นตอนของการวิเคราะห์ ความต้องการจำเป็นเพื่อให้ทราบ ว่ามีปัญหาอะไรบ้างที่เป็นความจำเป็นที่แท้จริง ต้องปรับปรุงแก้ไข ทำได้โดยการศึกษาสภาพแวดล้อมที่ เกี่ยวข้องอย่างละเอียดครอบคลุมทุกด้าน ทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม ค่านิยม ความรู้สึกนึก คิดของผู้เกี่ยวข้อง จากนั้นกำหนดสภาพที่ต้องการนั้น สภาพที่ไม่สอดคล้องกันคือปัญหาที่เป็นความจำเป็นที่ แท้จริงอันจะนำไปสู่การกำหนดเป้าหมายของการพัฒนา ขั้นตอนที่ 2 การออกแบบ )Design) เป็นขั้นตอนการออกแบบนวัตกรรมที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายใน การแก้ปัญหาหรือพัฒนาใด ๆ ตามที่กำหนดรายละเอียดของการออกแบบ มักจะประกอบด้วยการกำหนด วัตถุประสงค์ของนวัตกรรม การกำหนดรายละเอียด และขั้นตอนของนวัตกรรม ขั้นตอนที่ 3 การพัฒนา )Development) เป็นขั้นตอนการดำเนินการพัฒนานวัตกรรมตาม รายละเอียดที่ออกแบบไว้ รวมทั้งพัฒนาเครื่องมือ วัสดุอุปกรณ์ประกอบการใช้และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ขั้นตอนที่ 4 การนำไปใช้ )Implementation) เป็นขั้นตอนการนำนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นไปใช้ใน ภาคสนาม ขั้นตอนที่ 5 การประเมินผล )Evaluation) เป็นขั้นตอนของการประเมินของการใช้นวัตกรรม หากผล ที่ได้ไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดต้องมีการปรับปรุงแก้ไข หาผลที่ได้เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดก็สามารถ เผยแพร่ต่อไป 4. กระบวนการวิจัยและพัฒนาของรัตนะ บัวสนธ์ )2552: 1-4) ได้เสนอกระบวนการในการพัฒนา นวัตกรรมการศึกษา ซึ่งมี 5 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 การวิเคราะห์ สังเคราะห์ สำรวจสภาพปัจจุบัน ปัญหาและความต้องการโดยเริ่มต้นจาก การวิเคราะห์ สังเคราะห์หรือทำการสำรวจสภาพปัจจุบันและปัญหา ตลอดจนความต้องการของผู้มีส่วน เกี่ยวข้องในสภาพปัจจุบัน มีปัญหาอุปสรรค และมีความต้องการในการแก้ไขหรือพัฒนางานที่กล่าวให้ดีขึ้น หรือไม่อย่างไร วิธีการที่จะทำให้ได้ข้อมูลก็กระทำได้โดยวิเคราะห์ สังเคราะห์ เอกสารสิ่งพิมพ์เกี่ยวกับผลการ ปฏิบัติงานที่ผ่านมา หรืออาจกระทำโดยการสำรวจความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงาน รวมทั้ง สำรวจความต้องการแก้ไขหรือพัฒนาการปฏิบัติงานในประเด็น การดำเนินงานขั้นนี้โดยส่วนใหญ่อาศัยการวิจัย เอกสาร )Documentary Research) หรือการวิจัยเชิงสังเคราะห์ )Synthesis Research) และการวิจัยเชิง สำรวจ )Survey Research)


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 214 ขั้นตอนที่ 2 การออกแบบ สร้าง และประเมิน นวัตกรรม เป็นขั้นตอนต่อเนื่องโดยนำผลที่ได้จาก ขั้นตอนที่ 1 มาใช้ในการออกแบบหรือวางแผนที่จะทำการสร้างนวัตกรรม แล้วสร้างนวัตกรรมตามที่ออกแบบ ไว้ โดยผ่านการประเมินตรวจสอบความสอดคล้องระหว่างส่วนประกอบต่าง ๆ ของนวัตกรรม และประเมิน ตรวจสอบความเหมาะสมก่อนที่จะนำนวัตกรรมไปใช้กับกลุ่มเป้าหมาย ผลจากการประเมินตรวจสอบ นวัตกรรมก็จะทำให้ได้ข้อมูลสำหรับการปรับปรุงแก้ไขจุดหรือประเด็นที่บกพร่องของนวัตกรรมต่อไปเพื่อให้ พร้อมสำหรับการนำไปใช้ในขั้นตอนที่ 3 ขั้นตอนที่ 3 การทดลองใช้นวัตกรรม เป็นขั้นตอนที่นำนวัตกรรมที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วไปทดลองใช้กับ กลุ่มเป้าหมายที่กำหนดไว้ ซึ่งในขั้นนี้จะอาศัยการดำเนินการวิจัยตามรูปแบบการวิจัยเชิงทดลอง )Experimental Research) ขั้นตอนที่ 4 การประเมินและปรับปรุง หลังจากทดลองใช้นวัตกรรมเสร็จสิ้นแล้วก็จะเป็นการ ประเมินผลการใช้นวัตกรรมในภาพรวมทั้งหมดจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งนี้เพื่อนำผลที่ได้รับนี้ไปเป็นข้อมูล สำหรับการปรับปรุงนวัตกรรมให้สมบูรณ์ต่อไป ในการประเมินผลนวัตกรรมนี้ก็จะดำเนินการในลักษณะของ การประเมินโครงการหรือการวิจัยเชิงประเมิน )Project Evaluation or Evaluation Research) ซึ่งก็จะมี แนวคิดเกี่ยวกับวิธีการหรือรูปแบบการประเมินต่าง ๆ ขั้นตอนที่ 5 การเผยแพร่นวัตกรรม หลังจากที่นวัตกรรมได้ผ่านการทดลองใช้ ประเมินผลในภาพรวม และปรับปรุงขั้นสุดท้ายแล้ว ก็นำนวัตกรรมไปสู่การเผยแพร่ซึ่งในขั้นตอนนี้ก็จะเกี่ยวข้องกับเรื่องของการ ประชาสัมพันธ์ การจดทะเบียนสินค้าหรือจดกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินทางปัญหา เป็นต้น และเมื่อมีการเผยแพร่ นวัตกรรมไปได้สักระยะหนึ่งก็อาจจะมีการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับผู้ใช้นวัตกรรม เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาเป็นผล ย้อนกลับไปสู่กระบวนการวิจัยและพัฒนาต่อไป 5. กระบวนการวิจัยและพัฒนาการศึกษาของวิชิต สุรัตน์เรืองชัย )2541: 2-9) ได้เสนอแนวทางการ ประยุกต์การวิจัยและพัฒนาไปใช้ในวงการศึกษา ดังนี้ 5.1 ประเมินความต้องการจำเป็น )Need Assessment) ขั้นตอนแรกนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ กระบวนการวิจัยและพัฒนา เพื่อค้นหาปัญหาที่แท้จริง ค้นหาสาเหตุของปัญหาและค้นหาแนวทางแก้ปัญหา การประเมินความต้องการจำเป็นทำได้โดยการกำหนดความต้องการ หรือความคาดหวังเกี่ยวกับการเรียนการ สอน หลังจากทราบความต้องการแล้ว ขั้นตอนต่อไปต้องศึกษาสภาพที่เป็นจริง มีหลายวิธีแล้วแต่ความ เหมาะสม เช่น การสำรวจ การสังเกต การสอบถาม การสัมภาษณ์ การวิเคราะห์เอกสาร จากนั้นนำสภาพที่ เป็นจริงเปรียบเทียบกับความต้องการที่กำหนดไว้ หากผลเปรียบเทียบพบว่าสภาพที่เป็นจริงแตกต่างจากความ ต้องการ แสดงว่ามีปัญหาเกิดขึ้นและเป็นปัญหาที่แท้จริงต้องตรวจสอบต่อไปว่าอะไรเป็นสาเหตุของปัญหาและ มีแนวทางแก้ปัญหาได้อย่างไร ข้อมูลทั้งหมดที่ได้จากการประเมินความต้องการจำเป็นจะนำไปใช้สำหรับ ตัดสินใจกำหนดเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของการวิจัยพัฒนา 5.2 ออกแบบผลิตภัณฑ์ )Product Design) เมื่อทราบเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของการวิจัยและ พัฒนาแล้ว ขั้นต่อมาผู้วิจัยต้องออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการศึกษาที่เหมาะสม โดยกำหนดวัตถุประสงค์ของการ


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 215 ใช้ผลิตภัณฑ์ กำหนดโครงสร้างและองค์ประกอบของผลิตภัณฑ์ กำหนดรายละเอียดของการใช้ และขั้นตอน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และกำหนดเกณฑ์การประเมินประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ 5.3 พัฒนาผลิตภัณฑ์ )Product Development) เป็นขั้นตอนที่คณะผู้วิจัยลงมือปฏิบัติการ พัฒนา ผลิตภัณฑ์ตามรายละเอียดที่กำหนดไว้ การวางแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ ได้แก่ กำหนดขั้นตอน ระยะเวลา วัสดุ อุปกรณ์ เงินทุนที่ต้องใช้ขั้นตอนการพัฒนานวัตกรรมจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับหลักการ แนวคิด ทฤษฎีของ นวัตกรรมนั้น ๆ เป็นสำคัญ จากนั้นจึงดำเนินการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามแบบ 5.4 ตรวจสอบเบื้องต้น )Preliminary Test) เป็นการนำผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นไปตรวจสอบคุณภาพใน เบื้องต้นว่า ผลิตภัณฑ์มีลักษณะคุณภาพตรงตามที่กำหนดไว้หรือไม่ วิธีการตรวจสอบคุณภาพเบื้องต้น เริ่มจาก ผู้วิจัยทำการตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงสภาพ )Face Validity) ด้วยการพิจารณาลักษณะของผลิตภัณฑ์อย่าง ละเอียด เปรียบเทียบกับแบบที่กำหนดไว้ จากนั้นนำผลิตภัณฑ์ไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบและแสดงความ คิดเห็นว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีคุณภาพตรงตามที่กำหนดหรือไม่ เป็นการตรวจสอบความเที่ยงตรงจากความคิดเห็น ของผู้เชี่ยวชาญ นอกจากนั้นอาจมีการนำผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญแล้วไปทดลอง ใช้เบื้องต้นกับกลุ่มตัวอย่างขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ เพื่อตรวจสอบความเหมาะสมของการใช้ ผลิตภัณฑ์กับกลุ่มตัวอย่าง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ในขั้นตอนนี้เป็นการตรวจสอบเพื่อ ปรับปรุง )Formative Test) 5.5 ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ )Product Revision) เป็นการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ตามผลการตรวจสอบ เบื้องต้น ในทางปฏิบัตินั้นขั้นตอนการปรับปรุงผลิตภัณฑ์จะดำเนินควบคู่ไปกับขั้นตอนการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ ในขั้นตอนที่ 4 กล่าวคือ เมื่อตรวจสอบพบข้อบกพร่องตอนใดก็ทำการปรับปรุงแก้ไขให้เรียบร้อยก่อนที่จะ ตรวจสอบในขั้นตอนต่อไป 5.6 ตรวจสอบภาคสนาม )Field Test) เป็นขั้นตอนการนำผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการตรวจสอบและปรับปรุง เบื้องต้นแล้วไปทดลองใช้ในสถานการณ์จริงหรือใกล้เคียงกับสถานการณ์จริงเพื่อตรวจสอบคุณภาพขั้นสุดท้าย โดยกำหนดกลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่สำหรับทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ และสร้างเครื่องมือสำหรับตรวจสอบ ประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ และวิธีการหาคุณภาพของเครื่องมืออย่างชัดเจนและได้มาตรฐาน พร้อมกับกำหนด แบบแผนการทดลอง โดยเลือกแบบแผนการทดลองที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์และเกณฑ์การประเมิน ประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ที่กำหนดไว้ แล้วดำเนินการทดลอง ในระหว่างการทดลองนอกจากผู้วิจัย จะเก็บ รวบรวมข้อมูลเพื่อไว้สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลแล้ว ควรสังเกตและเก็บข้อมูลภาคสนามในประเด็นอื่น ๆ ด้วย เพื่อเป็นข้อมูลในการปรับปรุงแก้ไข และวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของนวัตกรรมตามที่นิยาม ไว้ โดยเลือกใช้สถิติให้เหมาะสมกับเกณฑ์ที่เหมาะสม หลังจากผ่านขั้นตอนการตรวจสอบภาคสนามแล้ว ผู้วิจัยควรสรุปได้ว่าผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นมี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนดหรือไม่ แต่หาผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่าการทดลองใช้นวัตกรรมยังไม่มี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนดและอยู่ในวิสัยที่สามารถปรับปรุงแก้ไขได้ ก็ทำการปรับปรุงแก้ไขแล้วนำ กลับไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่างอีก ถ้ายังไม่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด ดังนั้น ในขั้นตอนการ


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 216 ตรวจสอบภาคสนามอาจมีได้หลายรอบ ประมาณ 1-3 รอบ แล้วแต่กรณี จนกว่าจะได้ผลิตภัณฑ์ที่มี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด หรือหากพิจารณาแล้วไม่สามารถปรับปรุงแก้ไขได้อาจต้องยุติการวิจัยและ พัฒนาครั้งนั้น 5.7 สรุปและเผยแพร่ )conclusion and dissemination) เมื่อการตรวจสอบภาคสนามขั้นตอน สุดท้าย โดยการทดลองใช้ผลิตภัณฑ์แล้วพบว่า นวัตกรรมมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด การสรุปเขียน รายงานการวิจัยและเผยแพร่ต่อผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อประโยชน์ในการนำไปใช้อย่างกว้างขวางต่อไป นอกจากนี้ กระบวนการของการวิจัยและพัฒนา มีอยู่ 7 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การวิเคราะห์สภาพปัญหาความต้องการจำเป็น 2) สร้างนวัตกรรมเพื่อการแก้ปัญหา 3) นำนวัตกรรมไปทดลองใช้ 4) วิเคราะห์ผลการทดลองใช้นวัตกรรม 5) สรุปผล 6) เขียนรายงานการวิจัย และ 7) เผยแพร่ )สุพักตร์ พิบูลย์, 2550: 43) จากขั้นตอนทั้ง 7 นั้นจะพบว่า ในขั้นตอนแรก คือการ วิเคราะห์สภาพปัญหาความต้องการจำเป็น เป็นเพียงการศึกษาให้รู้ว่างานในหน้าที่ความรับผิดชอบนั้นมีปัญหา ที่แท้จริงมีลักษณะอย่างไร การสืบค้นหรือวิธีการหาปัญหาอย่างมีระบบ มักจะนิยมใช้การวิจัยเชิงสำรวจ หรือ การวิจัยเชิงคุณภาพ จากนั้นเมื่อได้ทราบปัญหาแล้ว ถ้าหยุดนิ่งไม่แก้ปัญหาหรือพัฒนาให้ดีขึ้น ก็ย่อมจะไม่มี การเปลี่ยนแปลงที่ดีเกิดขึ้น จึงต้องคิดค้นรูปแบบหรือนวัตกรรมเพื่อใช้ในการแก้ปัญหา ซึ่งนั่นก็คือการพัฒนา เมื่อพัฒนารูปแบบการแก้ปัญหาหรือนวัตกรรมแล้ว เพื่อให้รู้ว่ารูปแบบหรือนวัตกรรมนั้นมีประสิทธิภาพเพียงใด ก็ต้องนำไปทดลองใช้ นั่นคือการวิจัยเชิงทดลอง หากแก้ปัญหาไม่สำเร็จ ก็กลับไปวิเคราะห์ปัญหาและปรับปรุง รูปแบบหรือนวัตกรรม แล้วทดลองใช้ใหม่จนสามารถแก้ปัญหาได้สำเร็จ หากแก้ปัญหาได้สำเร็จแล้วก็เขียน รายงานการวิจัย และเผยแพร่ในรูปแบบหรือนวัตกรรมนั้น ๆ ให้เกิดประโยชน์ต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและ วงการวิชาการต่อไป จะเห็นได้ว่าบางครั้งจึงมีผู้เรียก การวิจัยและพัฒนาว่า R and D (Research and Development) หรือบางคนก็เรียกว่า R and D and D ซึ่ง D ตัวหลังก็คือ การเผยแพร่ )Defuse) (วีระยุทธ ชาตะกาญจน์, 2557: 242) 6. กระบวนการวิจัยและพัฒนาการศึกษาของสุพักตร์ พิบูลย์ )2550: 44-45) ซึ่งได้อธิบาย กระบวนการของการวิจัยและพัฒนาว่ามี 7 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 นักวิจัยและพัฒนาจะเริ่มกิจกรรมด้วยการวิเคราะห์ ทบทวนสภาพปัจจุบันและปัญหาในการ ทำงาน ในกรณีของครูและบุคลากรทางการศึกษาเป็นการวิเคราะห์ปัญหาการจัดการเรียนการสอนในห้องเรียน เช่น ปัญหาคุณภาพการเรียนการสอน ปัญหาพฤติกรรมและทักษะของผู้เรียน ปัญหากระบวนการสอน วิธีสอน สื่อประกอบการสอน และปัญหาการจัดการศึกษาของโรงเรียน เช่น ปัญหาคุณภาพการจัดการศึกษา ปัญหาใน


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 217 เรื่องทักษะ/ศักยภาพของครู กระบวนการสอน การบริหารจัดการ การให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม หรือปัญหา การจัดการศึกษาของเขตพื้นที่การศึกษา ขั้นที่ 2 สร้างนวัตกรรม ในขั้นตอนนี้นักวิจัยควรต้องทำการศึกษาหลักการ แนวคิด ทฤษฎี และกรณี ตัวอย่างการพัฒนาที่หลากหลาย เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ สามารถเทียบเคียงและเลียนแบบ )นักวิจัยและพัฒนา ควรจะเป็นนักบริโภคองค์ความรู้ หรือ Research Consumer) ก่อนตัดสินใจเลือกนวัตกรรมที่เห็นว่าเหมาะสม ที่สุด สร้างสรรค์ที่สุด แล้วสร้างต้นแบบนวัตกรรม นำไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่างขนาดเล็ก 3-5 ราย 8-10 ราย หรือ 20-30 ราย ตามลำดับ โดยมีการปรับปรุงและพัฒนาต้นแบบอย่างต่อเนื่อง ทำการตรวจสอบคุณภาพ หรือความเหมาะสม ทั้งโดยใช้หลักตรรกศาสตร์/ใช้ดุลยพินิจ )Logical Approach) เช่น ให้ผู้เชี่ยวชาญร่วม พิจารณาตัดสิน หรือวิเคราะห์พิพากษ์ในเชิงเหตุผลตามหลักทฤษฎี และใช้วิธีการเชิงประจักษ์ )Empirical Approach) ด้วยการทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่างขนาดเล็กดังกล่าวข้างต้น จนได้ต้นแบบนวัตกรรมที่มีคุณภาพ ตามเกณฑ์ที่กำหนด ขั้นที่ 3 นำนวัตกรรมไปทดลองใช้ เป็นขั้นตอนของการตรวจสอบคุณภาพในเชิงประจักษ์กับกลุ่ม ตัวอย่างขนาดใหญ่ หรือขนาดพอเหมาะที่จะเป็นตัวแทนได้ ก่อนการทดลองใช้นวัตกรรม ผู้วิจัยควรได้ทำการ วัด/วิเคราะห์สภาพพื้นฐานของกลุ่มตัวอย่าง )Pretest) เช่น ทดสอบความรู้ ประเมินพฤติกรรมวัดเจตคติ หรือ คุณลักษณะใด ๆ ที่เป็นตัวแปรที่คาดหวังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงหลังจากการทดลองใช้นวัตกรรม โดยทั่วไป ผู้วิจัย จะต้องตั้งสมมติฐานล่วงหน้าแล้วว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในลักษณะใดบ้าง หลังจากนั้นจึงเริ่มทำการ ทดลองตามแผนที่กำหนด โดยต้องมีการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนอย่างเหมาะสม เมื่อเสร็จสิ้นการทดลองหรือ ใส่ปฏิบัติการ )Treatment) แล้ว ก็ทำการวัดตัวแปรตามที่กำหนดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อนำไปเปรียบเทียบกับสภาพ เดิมหรือเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับผลที่เกิดขึ้นจากนวัตกรรม ขั้นที่ 4-5 วิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล ในขั้นตอนนี้นักวิจัย จะทำการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตรวจสอบผล ตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ ด้วยการเลือกใช้วิธีการทางสถิติที่เหมาะสม แล้วสรุปผลว่าเป็นไปตามสมมติฐานหรือไม่ ในกรณีที่เป็นหรือไม่เป็นไปตามสมมติฐานก็ต้องอภิปรายผลให้ชัดเจน ซึ่งในประเด็นนี้หากพบว่าคุณภาพงานยัง ไม่เหมาะสมหรือไม่เป็นไปตามสมมติฐาน แสดงว่ายังไม่สามารถพัฒนานวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพ การศึกษาได้ ควรต้องกลับไปทบทวนหรือปรับต้นแบบนวัตกรรมใหม่และทดลองใช้ใหม่ จนกว่าจะได้นวัตกรรม ที่มีประสิทธิภาพ ขั้นตอนที่ 6-7 การเขียนรายงานและการเผยแพร่ เป็นขั้นของการขยายองค์ความรู้สู่วงวิชาการ การ เขียนรายงานการวิจัยและพัฒนา ควรดำเนินการตามแบบที่เป็นมาตรฐานสากล และการเผยแพร่ผลงานถือเป็น บทบาทของนักวิจัยและพัฒนาทุกคนที่ควรจะทำการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และมีส่วนร่วมในการพัฒนาหรือ ยกระดับวิชาชีพของตนเอง โดยเชื่อว่าการแลกเปลี่ยนเรียนรู้นวัตกรรมทางการศึกษากันอย่างต่อเนื่องจะ เพิ่มพูนทักษะในการจัดการศึกษาของผู้บริหารได้เป็นอย่างดี


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 218 สรุปได้ว่า กระบวนการของการวิจัยและพัฒนาที่สำคัญมี 7 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การวิเคราะห์สภาพ ปัญหาความต้องการจำเป็น 2) สร้างนวัตกรรมเพื่อการแก้ปัญหา 3) นำนวัตกรรมไปทดลองใช้ 4) วิเคราะห์ผล การทดลองใช้นวัตกรรม 5) สรุปผล 6) เขียนรายงานการวิจัย และ 7) เผยแพร่ 11.4 การออกแบบการวิจัยและพัฒนา การบริหารหรือการทำงานใด ๆ ที่มุ่งแก้ปัญหาหรือพัฒนาให้เกิดคุณภาพนั้น เมื่อผู้บริหาร หรือ ผู้ปฏิบัติงานค้นพบปัญหาและเกิดความตระหนักในปัญหาก็จะคิดค้นรูปแบบสื่อหรือรูปแบบการพัฒนาที่มักจะ เรียกกันว่า นวัตกรรม เพื่อใช้ในการแก้ปัญหาหรือพัฒนางานดังกล่าว โดยที่รูปแบบสื่อหรือรูปแบบการพัฒนาที่ คิดขึ้นจะต้องมีเหตุผล หลักการ หรือทฤษฎีรองรับ ทั้งนี้อาจเลือกใช้วิธีการปรับปรุงในสิ่งที่ผู้อื่นได้ศึกษาหรือ เคยใช้ได้ผลในสถานการณ์ที่เป็นปัญหาเช่นเดียวกันมาก่อน หรืออาจคิดวิธีการขึ้นใหม่ก็ได้ แต่การที่จะทำให้รู้ หรือมั่นใจได้ว่าวิธีการที่คิดค้นขึ้นนั้นดีหรือไม่ จึงจำเป็นต้องนำมาทดลองจริง มีการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อ พิสูจน์ว่าสามารถแก้ปัญหาหรือพัฒนางานได้ ถ้าไม่ประสบความสำเร็จก็มีร่องรอยให้เห็นการปรับปรุงพัฒนา อย่างต่อเนื่องจนได้ผลดี และสามารถนำไปเผยแพร่ให้ผู้อื่นได้ทราบหรือนำไปใช้ต่อไป )วีระยุทธ ชาตะกาญจน์, 2557: 240) ในการออกแบบการวิจัยจะต้องกำหนดวัตถุประสงค์เฉพาะของการวิจัยอย่างชัดเจน กำหนดตัวบ่งชี้ หรือประเด็นที่มุ่งศึกษา กำหนดแหล่งข้อมูล หรือผู้ให้ข้อมูลในการวิจัยหรือทดลองใช้นวัตกรรม กำหนด แนวทางการเก็บรวบรวมข้อมูลและเครื่องมือที่ใช้ และกำหนดแนวทางการวิเคราะห์หรือตัดสินคุณภาพ นวัตกรรม ทุกรายการดังกล่าวนี้ควรถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าและเป็นที่รับทราบตรงกันระหว่างกลุ่มผู้เกี่ยวข้อง ต่าง ๆ )วีระยุทธ ชาตะกาญจน์, 2557: 244-245) ดังนี้ 1. การออกแบบในเรื่องประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ผู้วิจัย จะต้องกำหนดเป้าหมายประชากร หรือ กลุ่มเป้าหมายในการใช้นวัตกรรมอย่างชัดเจน โดยในการทดลองใช้นวัตกรรม ผู้วิจัยอาจเลือกใช้การทดลอง แบบกลุ่มเดียว โดยมีการทดสอบก่อนและหลังการทดลอง )One Group Pretest-Posttest Design) อาจทำ การวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบตัวแปรตามหรือตัวบ่งชี้คุณภาพกับกลุ่มทั่วไปที่ไม่ได้ใช้นวัตกรรม ในกรณีที่ทำการ ออกแบบทดลองแบบ 2 กลุ่มโดยมีกลุ่มควบคุมในกรณีนี้ผู้วิจัย จะต้องมั่นใจว่าจะไม่ก่อให้เกิดการได้เปรียบ เสียเปรียบ หรือเสียโอกาสสำหรับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นกลุ่มควบคุม 2. การออกแบบในเรื่องการวัดตัวแปรหรือการเก็บรวบรวมข้อมูล นักวิจัย จะต้องกำหนดประเด็น ตัว บ่งชี้ที่ต้องการวัด พร้อมทั้งกำหนดแหล่งข้อมูลหรือผู้ให้ข้อมูลหลักอย่างครบถ้วน กำหนดประเภทเครื่องมือหรือ วิธีการวัด ช่วงเวลาในการวัด พร้อมกำหนดแนวปฏิบัติในการพัฒนาเครื่องมือและตรวจสอบคุณภาพของเครื่อง มืดวัดแต่ละรายการให้ครบถ้วน


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 219 3. . การออกแบบในเรื่องสถิติและแนวทางวิเคราะห์ข้อมูล สถิติที่ใช้ในงานวิจัยและพัฒนาสามารถ เลือกใช้ในลักษณะเดียวกับงานวิจัยทั่ว ๆ ไป โดยจะมีทั้งสถิติเชิงบรรยาย )Descriptive Statistics) และสถิติ สรุปอ้างอิง )Inferential Statistics) ทั้งนี้ให้พิจารณาถึงความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการวิจัย ระดับการ วัดของตัวแปร และความสามารถในการสื่อความหมายได้อย่างชัดเจน เข้าใจง่าย ผลลัพธ์ที่ได้จากการวางแผนและออกแบบการวิจัยและพัฒนา คือ กรอบแนวทางการวิจัย หรือโครง ร่างการวิจัยที่มีรายละเอียดครบถ้วนสมบูรณ์ 11.5 สรุป การวิจัยและพัฒนา เป็นการวิจัยที่มุ่งประดิษฐ์หรือพัฒนานวัตกรรมสำหรับการปฏิบัติงาน เพื่อพัฒนา ทางเลือกในการยกระดับคุณภาพงาน ซึ่งจะให้ผลลัพธ์ที่สำคัญ คือ นวัตกรรมประเภทวัตถุที่เป็นชิ้นงาน )Materials) และนวัตกรรมประเภทที่เป็นรูปแบบ วิธีการ กระบวนการ ระบบปฏิบัติการ )Methods) ความสำคัญของการวิจัยและพัฒนานั้นคือ ผลงานการวิจัยและพัฒนานับได้ว่าเป็นผลงานที่มีประโยชน์ มีคุณค่ายิ่ง ที่ช่วยสร้างสรรค์พัฒนานวัตกรรม ทั้งรูปแบบการทำงานและสิ่งผลิตให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น โดยได้ หลอมรวมงานวิจัยหลายประเภทบูรณาการไว้อย่างเป็นระบบ ครบวงจร ปัจจุบันหน่วยงานต่าง ๆ โดยเฉพาะ หน่วยงานในวงการศึกษา ได้มุ่งพัฒนาคุณภาพในการบริหารจัดการและการจัดการเรียนการสอน จึงได้ให้ความ สนใจทำการพัฒนาบุคลากร ฝึกอบรม และรณรงค์ส่งเสริมให้ผู้บริหารและครูอาจารย์ได้ผลิตผลงานวิจัยและ พัฒนากันอย่างกว้างขวาง กระบวนการในการพัฒนานวัตกรรมการศึกษา 5 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 การวิเคราะห์ สังเคราะห์ สำรวจสภาพปัจจุบัน ปัญหาและความต้องการ ขั้นตอนที่ 2 การออกแบบ สร้าง และประเมิน นวัตกรรม ขั้นตอนที่ 3 การทดลองใช้นวัตกรรม ขั้นตอนที่ 4 การประเมินและปรับปรุง และขั้นตอนที่ 5 การเผยแพร่ นวัตกรรม คำถามท้ายบท 1. จงอธิบายถึงความหมายและความสำคัญของการวิจัยและพัฒนามาพอเข้าใจ 2. จงอธิบายความแตกต่างของการวิจัยกับการวิจัยและพัฒนาว่ามีส่วนแตกต่างกันในประเด็น ใดบ้าง 3. รูปแบบเชิงระบบของ Walter Dick and Lou Carey เป็นรูปแบบที่ใช้สำหรับวิจัยและ พัฒนาโปรแกรมการเรียนการสอน มีกี่ขั้นตอน คืออะไรบ้าง 4. รัตนะ บัวสนธ์ ได้เสนอกระบวนการวิจัยและพัฒนาสำหรับการพัฒนานวัตกรรมการศึกษา ไว้กี่ขั้นตอน คืออะไรบ้าง 5. จงอธิบายถึงกระบวนการวิจัยและพัฒนาการศึกษาที่นำไปการประยุกต์ใช้ในการวิจัยและ พัฒนาไปใช้ในวงการศึกษาได้อย่างไรบ้าง


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 220 เอกสารอ้างอิง ชวลิต ชูกำแพง. )2559). การวิจัยและพัฒนาหลักสูตร: แนวคิดและกระบวนการ. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์ .)2540( .ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์.กรุงเทพฯ :เจริญผล. พฤทธิ์ ศิริบรรณพิทักษ์. )2531). การวิจัยและพัฒนาการศึกษา. ข่าวสารวิจัยการศึกษา. ปีที่ 11 ฉบับที่ 4 เมษายน-พฤษภาคม 2531. พระเทพเวที( ประยุทธ์ปยุตโต .)2534( .)มหาวิทยาลัยกับงานวิจัยทางพระพุทธศาสนา .พระนคร : เนติกุลการพิมพ์. พวงรัตน์ทวีรัตน์ .)2538( .วิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์.พิมพ์ครั้งที่ .6 กรุงเทพฯ :สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. รัตนะ บัวสนธ์. )2552). วิจัยเชิงคุณภาพทางการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์คำสมัย. วิชิต สุรัตน์เรืองชัย. )2541). การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน. ชลบุรี: ภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา. วีระยุทธ ชาตะกาญจน์. )2557). การวิจัยเพื่อพัฒนาการบริหารการศึกษา. กรุงเทพมหานคร: วี.พริ้นท์. วิจิตร ศรีสอ้าน และทองอินทร์วงศ์โสธร .)2550( .หน่วยที่ :8 แนวคิดเกี่ยวกับการวิจัยทางการบริหาร การศึกษา .ใน คณะกรรมการผลิตและบริหารชุดวิชาการวิจัยทางการบริหารการศึกษา( บก)., ประมวลสาระชุดวิชาการวิจัยทางการศึกษา .พิมพ์ครั้งที่ .6 นนทบุรี :มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. วีระยุทธ ชาตะกาญจน์ .)2557( .การวิจัยเพื่อพัฒนาการบริหารการศึกษา.กรุงเทพฯ :วี .พริ้นท์ . ศักดิ์ไทย สุรกิจบวร .)2549( .การวิจัยเพื่อพัฒนาการบริหารการศึกษา .สกลนคร :สำนักงานโครงการ บัณฑิตศึกษา สาขาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร. ศิริชัย กาญจนวาสี, ทวีวัฒน์ปิตยานนท์และดิเรก ศรีสุโข .)2540( .การเลือกใช้สถิติที่เหมาะสม สำหรับการ วิจัย .กรุงเทพฯ :พชรกานต์พับลิเคชั่น. สุชาติประสิทธิ์รัฐสินธุ์ .)2540( .ระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์.กรุงเทพฯ:เลียงเชียง. สุนีย์มัลลิกะมาลย์ .)2555( .วิทยาการวิจัยทางนิติศาสตร์.พิมพ์ครั้งที่ .9 กรุงเทพฯ :สำนักพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. อเนก พ .อนุกูลบุตร .)2556( .วิจัยเชิงคุณภาพ Qualitative Research .กรุงเทพฯ :ก .พล . อุทุมพร จามรมาน .)2550( .หน่วยที่ :1 การวิจัยทางการศึกษา .ใน คณะกรรมการผลิตและบริหารชุด วิชาการวิจัยทางการบริหารการศึกษา( บก)., ประมวลสาระชุดวิชาการวิจัยทางการศึกษา . พิมพ์ครั้งที่ .6 นนทบุรี :มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สุพักตร์ พิบูลย์. )2550). การวิจัยและพัฒนาสำหรับครูและบุคลากรทางการศึกษา. กรุงเทพฯ: จตุพรดีไซน์. อุทัย ดุลยเกษม. )2550). การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา. วารสารการศึกษาและการพัฒนาสังคม.


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 221 ปีที่ 3 ฉบับที่ 1: 9. Donald Clark. )2003(. “Instructional System Design-Analysis Phase”.Retrieved October. 2003 From www.nwlink.com/donclark/hrd/sat2.html Gall, Borg and Gall. (1996). Educational Research An Instruction. 6th ed. New York: Longman Publishers. Heinich R. (1981). Educating All Handicapped Children. 2nd ed. New Jersey: Edcational Technology Publications, Englewood Cliffs. Thorndike E.L. and Barnhart C. (1965). Thorndike and Barnhart Junior Dictionary. New York: Doubleday and Company Inc. Best J.W .& Kahn J.V( .2006 .)Research in Education .10thEd .Boston :Pearson Education . Easterby-Smith M .Thorpe R .& Lowe A( .1991 .)Management .Research :An Introduction. London :Sage. Fraenkel J.R .& Wallen N.E( .2006 .)How to Design and Evaluate Research in Education . 6 th ed .New York :McGraw-hill. Haller, Emil J . and Knapp, Thomas R( . 1985, Summer . )Problems and methodology education administration. Education Administration Quarterly, 21. Hoy W.K .& Miskel C.G( .2008 .)Educational Administration :Theory Research and Practice. 8 th ed .Boston :McGraw-Hill. Hussey J.& Hussey R( .1997 .)Business Research. London :Macmillan Business. Kerlinger F.N .& Lee H.B( .2000 .)Foundations of Behavioral Research. 4 th ed .New York : Thomson Learning. Wiersma W( .1991 .)Research Methods in Education :An Introduction .5 th ed .Boston :Allyn and Bacon.


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 222 แผนการสอนประจำบทที่ 12 การวิจัยอนาคต รายวิชา วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หัวข้อย่อย 12. 1ความหมายของการวิจัยอนาคต 12. 2เทคนิคการวิจัยแบบเดลฟาย 12.3 กระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้เทคนิคเดลฟาย 12.4 ประเด็นที่ต้องตัดสินใจในการใช้เทคนิคเดลฟาย 12. 5เทคนิคการวิจัยแบบ EFR และ EDFR 12.6 ข้อพิจารณาเปรียบเทียบระหว่าง EDFR กับ Delphi 12.7 ข้อพิจารณาเปรียบเทียบระหว่าง EDFR กับ EFR 12.8 กรณีศึกษางานวิจัยที่ออกแบบด้วยการวิจัยอนาคต 12.9. สรุป สรุปแนวคิดที่สำคัญ การวิจัยอนาคตเป็นวิธีวิทยาการวิจัยที่ได้รับการพัฒนาจนมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดยมี จุดมุ่งหมายอยู่ 2 ประการ คือ เพื่อกำหนดอนาคตของหน่วยงาน /องค์กร และเพื่อวิเคราะห์ศึกษา ตัดสินใจ เลือกยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมในการพัฒนาหน่วยงาน /องค์กร ให้บรรลุเป้าหมายในอนาคต ความสำคัญของการ วิจัยอนาคตพัฒนาขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของโลกในทุกวันนี้เกิดขึ้นรวดเร็วมาก ด้วยความเจริญก้าวหน้า ของเทคโนโลยีข่าวสาร และการอยู่ในยุคโลกไร้พรมแดง จึงมีปัจจัยมากมายที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตความ เป็นอยู่ของมนุษย์ในแต่ละสังคม ดังนั้น จึงจำเป็นต้องให้มีการก้าวทันและรู้เท่าทันของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และ คาดว่าน่าจะเกิดขึ้น ทั้งนี้เพื่อจะได้เตรียมการรองรับ ป้องกัน หรือทำการจัดการเชิงรุก เป็นผลให้การวิจัยมี ประโยชน์ในการให้ความรู้ให้กับผู้คน นำไปสู่การพัฒนาในองค์รวม ทำให้เกิดการเรียนรู้เชิงประจักษ์แก่ชุมชน ทางการศึกษา ชุมชนที่อยู่อาศัย และเป็นฐานในการพัฒนาองค์กร ประเทศชาติในด้านต่าง ๆ วัตถุประสงค์ 1.อธิบายการความของการวิจัยอนาคตได้ 2.เข้าใจเทคนิคการวิจัยอนาคต ทั้ง EFR EDFR Delphi 3.อธิบายขั้นตอนข้อพิจารณาเปรียบเทียบระหว่าง EDFR กับ EFR 4.อธิบาย.ออกแบบด้วยการวิจัยอนาคต


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 223 กิจกรรมระหว่างเรียน 1.การบรรยายและร่วมสนทนาซักถามเกี่ยวกับเนื้อหาในบทเรียน 2.นำเสนอวิจัยวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับการเตรียมและการวิเคราะห์ข้อมูล/ 3.วิเคราะห์ผลการวิจัยเกี่ยวกับการเตรียมและการวิเคราะห์ข้อมูล 4.สรุปประเด็นสำคัญประจำบท สื่อการสอน 1.เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 2. เอกสารประกอบการสอน 3. สื่อ Power Point สื่ออื่น เช่น Flip Chart การประเมินผล 1.ประเมินผลความสนใจของผู้ศึกษาขณะเรียน 2.การชักถาม ถามตอบ ของผู้เรียนขณะเรียน 3.การประเมินระหว่างเรียน การประเมินกลางภาค และการสอบประเมินปลายภาค 4.การบันทึกสรุปเนื้อหาประจำบท และนำเสนองานที่มอบหมาย


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 224 บทที่12 การวิจัยอนาคต การวิจัยอนาคตเป็นวิธีวิทยาการวิจัยแบบหนึ่งที่ได้รับการพัฒนาจนมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดยมี จุดมุ่งหมายอยู่ 2 ประการ คือ เพื่อกำหนดอนาคตของหน่วยงาน /องค์กร และเพื่อวิเคราะห์ศึกษา ตัดสินใจ เลือกยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมในการพัฒนาหน่วยงาน /องค์กร ให้บรรลุเป้าหมายในอนาคต ความสำคัญของการ วิจัยอนาคตพัฒนาขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของโลกในทุกวันนี้เกิดขึ้นรวดเร็วมาก ด้วยความเจริญก้าวหน้า ของเทคโนโลยีข่าวสาร และการอยู่ในยุคโลกไร้พรมแดง จึงมีปัจจัยมากมายที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตความ เป็นอยู่ของมนุษย์ในแต่ละสังคม ดังนั้น จึงจำเป็นต้องให้มีการก้าวทันและรู้เท่าทันของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และ คาดว่าน่าจะเกิดขึ้น ทั้งนี้เพื่อจะได้เตรียมการรองรับ ป้องกัน หรือทำการจัดการเชิงรุก( วีระยุทธ ชาตะกาญจน์, )166 :2557 ในบทนี้จะนำเสนอสาระสำคัญเกี่ยวกับการวิจัยอนาคต ตามลำดับดังนี้ 1. ความหมายของการวิจัยอนาคต 2. เทคนิคการวิจัยแบบเดลฟาย 3. กระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้เทคนิคเดลฟาย 4. ประเด็นที่ต้องตัดสินใจในการใช้เทคนิคเดลฟาย 5. เทคนิคการวิจัยแบบ EFR และ EDFR 6. ข้อพิจารณาเปรียบเทียบระหว่าง EDFR กับ Delphi 7. ข้อพิจารณาเปรียบเทียบระหว่าง EDFR กับ EFR 8. กรณีศึกษางานวิจัยที่ออกแบบด้วยการวิจัยอนาคต แสดงรายละเอียดของเนื้อหาได้ดังนี้ 12 1.ความหมายของการวิจัยอนาคต ราชบัณฑิตยสถาน )2551: 187) ได้ให้ความหมายของการวิจัยอนาคตว่าเป็นการสำรวจและศึกษา องค์ประกอบ ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา รวมทั้งข้อมูลเชิงอนาคต เพื่อทำนายแนวโน้มที่จะเกิดสภาวะทาง การศึกษาในอนาคต เป็นแนวทางการจัดการศึกษาในปัจจุบัน เพื่อให้เกิดวิธีการทางการศึกษาที่พึงประสงค์ ป้องกันอุปสรรค และข้อจำกัดต่าง ๆ ก่อนที่จะเกิดขึ้น สุวิมล ว่องวาณิช )2548: 216) ได้ให้ความหมายของวิธีวิทยาการวิจัยอนาคตไว้ว่า เป็นการสำรวจ สร้าง ทดสอบวิสัยทัศน์ที่เป็นไปได้หรือที่พึงปรารถนาจะให้เกิดและการนำวิสัยทัศน์เชิงอนาคตมาใช้ในการ กำหนดนโยบาย ยุทธวิธี แผนงาน ที่ต้องการให้เกิดมามีโอกาสจะเป็นจริงมากขึ้น การศึกษาอนาคตเป็น


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 225 การศึกษาเพื่อความเปลี่ยนแปลง )change) ที่คิดว่าจะเกิด ซึ่งต้องอาศัยศาสตร์ที่เป็นพหุสาขาวิชามาช่วย ทำนายหรือคาดการณ์ เป้าหมายของการวิจัยอนาคตมิใช่เพื่ออยากรู้เรื่องอนาคต แต่เป็นการช่วยให้ผู้บริหาร สามารถตัดสินใจได้ดีขึ้น ช่วยพัฒนาหน่วยงาน/องค์กรให้สามารถอยู่รอดได้ในโลกอนาคต การวิจัยแบบนี้ช่วยผู้ ตัดสินใจเกี่ยวกับการกำหนดนโยบายมากกว่าการศึกษาว่าสิ่งที่คาดการณ์ถูกหรือผิด ลักษณะสำคัญของการ วิจัยอนาคตที่สำคัญ คือ เป็นการวิจัยที่เน้นการตัดสินใจเป็นสำคัญ )Decision Centered) โดยช่วยอธิบาย แรงผลักดัน/ความกดดันที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เพื่อการตัดสินใจที่รอบคอบและฉลาดมากขึ้น เพื่อการพัฒนา หน่วยงาน/องค์กรไปสู่เป้าหมายในอนาคตที่กำหนดไว้อย่างชาญฉลาด และยังเป็นการวิจัยที่ให้ความสำคัญกับ ประเด็นหรือคำถาม )Subject-oriented or Question-oriented) ที่สนใจศึกษา วีระยุทธ ชาตะกาญจน์ )2557: 215) กล่าวว่า วิธีวิทยาการวิจัยอนาคตเป็นการสำรวจสร้าง ทดสอบ วิสัยทัศน์ที่เป็นไปได้หรือสิ่งที่พึงประสงค์ที่ต้องการจะให้เกิดขึ้นในองค์กร เพื่อนำมาใช้ในการกำหนดนโยบาย ยุทธวิธี และแผนงาน ทั้งนี้เพื่อให้สิ่งที่พึงประสงค์มีโอกาสเกิดขึ้นจริงมากขึ้น จึงเป็นการศึกษาอนาคตเพื่อให้เกิด การเปลี่ยนแปลงที่พึงประสงค์ โดยการวิจัยอนาคตมีเทคนิควิธีที่นิยมใช้กันอยู่ 3 เทคนิควิธี คือ เทคนิคการวิจัย แบบ Delphi เทคนิคการวิจัยแบบ EFR และเทคนิคการวิจัยแบบ EDFR แต่ละวิธีนักวิจัย/ผู้บริหารต้องรู้จักและ เลือกใช้ให้เหมาะสมสอดคล้องกับข้อจำกัดโดยเฉพาะในเรื่องการสรรหาผู้เชี่ยวชาญในประเด็นวิจัยนั้น ๆ รวมทั้งประเด็นต่าง ๆ ที่เป็นบริบทหรือสถานการณ์ของการทำวิจัยประเภทนี้ จุมพล พูลภัทรชีวิน )2529: 24) ได้ให้ความหมายว่า การวิจัยอนาคต หมายถึง วิธีศึกษาอย่างเป็น ระบบเกี่ยวกับทางเลือกอนาคตต่าง ๆ ที่เป็นไปได้ หรือน่าจะเป็นของกลุ่มประชากร หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง นอกจากนี้ จุมพล พูลภัทรชีวิจ )2532: 259) ได้อธิบายถึงจุดมุ่งหมายหลักของการวิจัยอนาคตไว้ว่า มิใช่อยู่ที่ว่า การทำนายที่ถูกต้อง หากแต่อยู่ที่การสำรวจและศึกษาแนวโน้มที่เป็นไปได้หรือน่าจะเป็นของเรื่องที่ศึกษาให้ มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ทั้งที่พึงประสงค์และไม่พึงประสงค์ เพื่อที่จะหาทางทำให้แนวโน้มที่พึงประสงค์นั้น เกิดขึ้น และป้องกันหรือขจัดแนวโน้มที่ไม่พึงประสงค์ให้หมดไป หรือหาทางที่จะเผชิญกับแนวโน้มที่ไม่พึง ประสงค์นั้นอย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าหากมันจะเกิดขึ้นจริงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นข้อมูลที่ได้จากการวิจัย อนาคตจะมีประโยชน์โดยตรงต่อการวางแผน การกำหนดนโยบาย การตัดสินใจ ตลอดไปจนถึงการกำหนด ยุทธวิธี )Strategies) และกลวิธี )tactics) ที่จะนำไปสู่การสร้างอนาคตที่พึงประสงค์ และป้องกันหรือขจัด อนาคตที่ไม่พึงประสงค์ สรุปได้ว่า การวิจัยอนาคต เป็นการศึกษาแนวโน้มของภาพเหตุการณ์ในอนาคต โดยมีการศึกษาอย่าง เป็นระบบ ซึ่งใช้ข้อมูลจากอดีต ปัจจุบัน ไปสู่อนาคต และใช้เทคนิคการวิจัยที่นิยมส่วนใหญ่คือแบบเดลฟาย 12 2.เทคนิคการวิจัยแบบเดลฟาย เทคนิคเดลฟาย )Delphi Technique) เป็นวิธีการรวบรวมและการประเมินความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เป็นวิธีการรวบรวมและประเมินอย่างมีระบบ โดยผู้ตอบ


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 226 สามารถตอบได้อย่างอิสระเสรี และมีโอกาสแก้ไขแนวความคิดที่ตอบในตอนแรก ๆ ของตนได้ด้วยการแสดง เหตุผล )ไชยยศ เรืองสุวรรณ. 2533: 156) การวิจัยโดยใช้เทคนิคเดลฟาย คือ การวิจัยโดยใช้เทคนิคที่สกัดความคิดเห็นจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้คำตอบที่เป็นเอกฉันท์เพื่อการตัดสินใจ เทคนิคเดลฟายเป็นการจัดกลุ่ม โดยให้ข้อมูลย้อนกลับ หลังจากการพิจารณาคำตอบเป็นข้อ ๆ ช่วยให้ผู้ตอบได้ทบทวนคำตอบของตน และอาจแก้ไขคำตอบของตน หลังจากที่ได้ข้อมูลย้อนกลับ )อุทุมพร จามรมาน. 2537: 131) เดลฟายเป็นเทคนิคการทำนายที่พัฒนาขึ้นโดยนักคิด นักวิจัยของ Rand Corporation คือ แฮนเมอร์ ดาร์นดี่ และแรทเชอร์ )Helmer, Dalkdy & Rescher) เมื่อประมาณกว่าสองศตวรรษมาแล้ว ในปัจจุบันเดล ฟายเป็นเทคนิคการทำนายที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ในเกือบจะทุกวงการ ไม่ว่าจะด้านธุรกิจ การเมือง การทหาร เศรษฐกิจ การสาธารณสุข การศึกษา และด้านอื่น ๆ นอกจากเดลฟายจะเป็นเทคนิคการวิจัยและ คาดการณ์อนาคตแล้ว เดลฟายยังเป็นเทคนิคการสื่อสารระหว่างกลุ่มผู้เชี่ยวชาญระหว่างกันโดยไม่มีการ เผชิญหน้ากันโดยตรงเช่นเดียวกับการระดมสมอง )Brainstorming) (วีระยุทธ ชาตะกาญจน์, 2557: 198) เดลฟายรูปแบบเดิมมีลักษณะเฉพาะ ต่อมาภายหลังก็มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่หลักการ และระเบียบวิธีใหญ่ ๆ ยังคงเหมือนเดิม คือการศึกษาความคิดเห็นของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญอย่างเป็นระบบ โดยการ ขอให้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนทำการคาดการณ์ว่าแนวโน้มหรือเหตุการณ์แต่ละอย่างจะเกิดขึ้นเมื่อใด หรือทำการ คาดการณ์ว่าภายในเวลาที่กำหนด เช่น อีก 20 ปีข้างหน้าจะมีเหตุการณ์หรือแนวโน้มใดที่จะเกิดขึ้นบ้าง หลังจากนั้นผู้วิจัย จะนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และป้อนผลการวิเคราะห์ ซึ่งปกติอยู่ในรูปของสถิติง่าย ๆ กลับไปให้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนพิจารณาคำตอบเดิมของตนเองเทียบกับของกลุ่ม แล้วทำการคาดการณ์หรือตอบ ตามรูปแบบที่ผู้วิจัยกำหนดอีกครั้งหนึ่ง ผู้วิจัยก็จะนำคำตอบไปวิเคราะห์ใหม่ แล้วอาจป้อนข้อมูลที่ได้จากการ วิเคราะห์กลับไปให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาอีกครั้ง โดยปกติกระทำการทำซ้ำ )Iterative Process) แบบนี้จะ ดำเนินต่อไปราว ๆ สองหรือสามรอบจนกว่าจะได้คำตอบที่เป็นฉันทามติ )Consensus) ของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ จุดมุ่งหมายของการทำซ้ำดังกล่าวก็เพื่อที่จะกรอง )Refine) ความเชี่ยวชาญของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญนั่นเอง )วีระ ยุทธ ชาตะกาญจน์, 2557: 198) โดยสรุปขั้นตอนสำคัญของเทคนิคการวิจัยแบบเดลฟาย )วีระยุทธ ชาตะกาญจน์, 2557: 199) ดังนี้ 1. กำหนดกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ )Panel Experts) ผู้วิจัย จะต้องหาวิธีและทำการคัดเลือกกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ที่มีความรู้ ความสามารถและความชำนาญในเรื่องที่จะศึกษา โดยปกติจะมีประมาณตั้งแต่สิบกว่าคนขึ้นไปจน อาจถึงเป็นร้อย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของการวิจัย ความซับซ้อนของเรื่องที่จะศึกษา เวลา และงบประมาณ 2. กำหนดประเด็นแนวโน้มและสร้างเครื่องมือสำหรับการวิจัย โดยทั่วไปมักจะอยู่ในรูปของ แบบสอบถามหรือการสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง 3. ทำเดลฟายรอบที่หนึ่ง โดยการส่งแบบสอบถามไปให้ผู้เชี่ยวชาญ หรือสัมภาษณ์( ตัวต่อตัว หรือโดย การโทรศัพท์ )หรือทำการประชุมทางไกล( Teleconferencing )โดยผ่านระบบสื่อสารทางเครื่องมือ อิเล็กทรอนิกส์เช่น ระบบคอมพิวเตอร์


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 227 4. รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้ในรอบที่หนึ่ง 5. ทำเดลฟายรอบที่สอง โดยรอบนี้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละท่านจะได้รับข้อมูลป้อนกลับเชิงสถิติ)Statistical Feedback) ที่เป็นของกลุ่มโดยส่วนรวม เช่น ค่าร้อยละ ค่ามัธยฐาน )Median) และค่าพิสัยระหว่างควอร์ไทล์ )interquartile range) ของกลุ่ม ผนวกด้วยคำตอบเดิมของตนเอง แล้วขอให้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนพิจารณาตอบ ใหม่ 6. ทำเดลฟายรอบที่สาม, สี่... 7. สรุปและอภิปรายผล โดยการเสนอแนวโน้มที่มีฉันทามติตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้แล้วอภิปรายเสนอแนะ จากผลการวิจัย ไชยยศ เรืองสุวรรณ )2533: 156-157) กล่าวว่า หลักการของเทคนิคเดลฟายตั้งอยู่บนความเชื่อที่ว่า บุคคลที่มีความรู้ความสามารถในสาขานั้นจำนวนหลายคน ยอมจะช่วยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในด้านนั้นได้ดีกว่าผู้ ชำนาญเพียงคนเดียวหรือสองคน ดังนั้น เทคนิคเดลฟายจึงมีกระบวนการ 3 ขั้นตอนในการทำนายเหตุการณ์ใน อนาคต แต่ละขั้นเรียกว่า “รอบ )Round(” รอบที่ 1 เรียกว่า เป็นขั้นการระดมสมอง )Brainstorming) ผู้ชำนาญจะได้รับคำถามสวนใหญ่จะเป็น แบบสอบถามแบบปลายเปิด เพื่อเก็บรวบรวมความคิดเห็นจากผู้ชำนาญทั้งหมดในเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับประเด็น หรือปัญหา รอบที่ 2 เป็นการประเมินความคิดเห็น )Evaluation of Ideas) หลังจากผู้วิจัยได้ข้อมูลจากผู้ชำนาญ ในรอบที่ 1 แล้วจะนำข้อมูลไปเรียบเรียงเป็นแบบสอบถามแบบมาตราสวนประมาณค่าส่งกลับให้ผู้ชำนาญ ทบทวนความคิดเห็นอีกครั้ง รอบที่ 3 เป็นการประเมินซ้ำ )Re-evaluation of Ideas) ผู้วิจัยจะพัฒนาแบบสอบถามด้วยการ วิเคราะห์คำตอบในแบบสอบถามรอบที่ 2 เป็นแบบสอบถามที่ประกอบไปด้วยข้อความเดิม แต่เพิ่มการแสดง ค่าสถิติเกี่ยวกับการตอบข้อคำถามในรอบที่ 2 ของผู้ชำนาญทั้งหมด เช่น แสดงตำแหน่งค่ามัธยฐาน )Median) และค่าพิสัยระหว่างควอไทล์)Interquartile Range) ของแต่ละข้อคำถามส่งไปให้ผู้ชำนาญคนเดิมตอบอีก โดย ให้ผู้ชำนาญพิจารณาว่ามีความเห็นสอดคล้องกับ ตำแหน่งที่ผู้ชำนาญต่าง ๆ มีความคิดเห็นหรือไม่โดยให้ ทบทวน และการพิจารณาทบทวนคำตอบของตนเองอีกครั้งหนึ่ง และให้แสดงเหตุผลการตอบในกรณีที่คำตอบ ของตนตกอยู่สูงหรือต่ำกว่าพิสัยระหว่างควอไทล์ วิโรจน์สารรัตนะ )2553) กล่าวถึงประโยชน์ในการวิจัยอนาคตไว้ดังนี้ 1. ช่วยในกระบวนการตัดสินใจ ดังนี้ 1.1 ช่วยกำหนดกรอบการทำงานในการตัดสินใจเพื่อการวางแผน กล่าวคือแผนนโยบาย หรือ การตัดสินใจใด ๆ จะไม่สามารถกระทำได้หากขาดข้อตกลงเบื้องต้น )Assumption) หรือหากมีแต่เป็น ข้อตกลงเบื้องต้นที่ผิดพลาด ก็จะนำไปสู่ความเสียหาย ซึ่งข้อตกลงเบื้องต้นนี้สามารถได้มาด้วย


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 228 การศึกษาอนาคต แม้จะเป็นเพียงความเป็นไปได้หรือความน่าจะเป็นมากกว่าความถูกต้องแน่นอน แต่ก็เป็นหลักเกณฑ์ที่จะช่วยให้นักวางแผนนำไปพิจารณาประกอบการวางแผนหรือการตัดสินใจได้ 1.2 ช่วยในการตัดสินใจหาทางป้องกันปัญหาที่คาดว่าจะเกิดขึ้นก่อนจะกลายเป็นปัญหาขั้นวิกฤติและ การตัดสินใจเพื่อให้มีการกระทำกับโอกาสที่คาดว่าจะเป็นไปได้และเหมาะสม 1.3 ช่วยในการตัดสินใจเลือกวิธีการป้องกันปัญหาจากหลาย ๆ วิธีที่นักอนาคตได้เสนอทางเลือกไว้ให้ 1.4 ช่วยให้สามารถประเมินทางเลือกของนโยบายและการปฏิบัติเนื่องจากนักอนาคตได้ช่วยประเมิน ทางเลือกต่าง ๆ ไว้โดยวิเคราะห์ถึงผลกระทบที่เป็นไปได้ที่จะมีต่อโลกแห่งอนาคตนั้น 1.5 ช่วยเพิ่มโอกาสในการเลือกสรรจากทางเลือกหลาย ๆ ทางที่เสนอไว้ทำให้ผู้คนเป็นอิสระในการ เลือกสรร สามารถจะหลีกเลี่ยงจากการเป็นทาสของการยอมรับแนวโน้มในปัจจุบันที่อาจจะนำไปสู่ความ หายนะได้ 2. การศึกษาความเป็นไปได้ของอนาคตจะทำให้ประชาชนเกิดความมั่นใจในตนเองทำให้คนเริ่มมองไป ข้างหน้า คำนึงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งที่เป็นปัญหาและไม่เป็นปัญหา ทั้งยังช่วยให้ประชาชนยอมรับการ เปลี่ยนแปลงได้ง่ายขึ้น อันเนื่องจากได้รับการเตือนถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น และสามารถปรับตัวได้ 3. การมุ่งอนาคตจะทำให้ผู้คนคำนึงถึงแต่ในด้านดีและมีความมุ่งมั่นที่จะไปถึงให้ได้ 4. ช่วยในการสร้างสรรค์การวิจัยอนาคตจะสามารถชักจูงและให้ความสนใจต่อการแก้ปัญหาอย่าง สร้างสรรค์เพราะการมองอนาคตที่ห่างไกลออกไปมากกว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าย่อมทำให้สามารถคิดได้ อย่างสบายอารมณ์และสร้างสรรค์ซึ่งลักษณะความมีอิสระในการคิดเช่นนี้จะก่อให้เกิดกระแสความคิดที่ หลั่งไหลเข้าไปในความสำนึก และเมื่อได้รับการประเมินในภายหลังแล้วก็สามารถนำไปใช้ได้ 5. เป็นเทคนิคในด้านการวิจัยอนาคตจะช่วยชักจูงให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้เกิดความตระหนักว่า พวกเขาสามารถสร้างโลกได้โลกที่ดีกว่าที่คนอื่น ๆ คิด และจะทำให้พวกเขาทราบได้ว่า พวกเขาไม่สามารถจะ จัดการใด ๆ กับอดีตได้อีกแล้ว มีเพียงแต่อนาคตเท่านั้นที่ยังเปิดโอกาสให้พวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลงหรือ ควบคุมได้อยู่ 6. ช่วยในการสร้างปรัชญาแห่งชีวิต ช่วยให้บุคคลเกิดความคิดเกี่ยวกับเป้าหมายชีวิตอย่างเป็นระบบ ก่อให้เกิด “ปรัชญาชีวิต” ของแต่ละคนขึ้น อันจะทำให้บุคคลเปลี่ยนบทบาทจากการมีปฏิกิริยา )Reaction) กับปัญหา เป็นการเตรียมตัวป้องกัน )Preaction) ต่อปัญหา สรุปได้ว่า หลักการของเทคนิคเดลฟายตั้งอยู่บนความเชื่อที่ว่าบุคคลที่มีความรู้ความสามารถในสาขา นั้นจำนวนหลายคน ย่อมจะช่วยแก้ไขปัญหาได้ดีกว่าผู้ชำนาญเพียงคนเดียวหรือสองคน โดยเทคนิคเดลฟายจึง มีกระบวนการ 3 ขั้นตอน หรือ 3 รอบ ในการทำนายเหตุการณ์ในอนาคต ได้แก่ รอบที่ 1 เรียกว่า เป็นขั้นการ ระดมสมอง )Brainstorming) รอบที่ 2 เป็นการประเมินความคิดเห็น )Evaluation of Ideas) และรอบที่ 3 เป็นการประเมินซ้ำ )Re-evaluation of Ideas) . รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้ในรอบที่หนึ่ง


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 229 5. ทำเดลฟายรอบที่สอง โดยรอบนี้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละท่านจะได้รับข้อมูลป้อนกลับเชิงสถิติ)Statistical Feedback) ที่เป็นของกลุ่มโดยส่วนรวม เช่น ค่าร้อยละ ค่ามัธยฐาน )Median) และค่าพิสัยระหว่างควอร์ไทล์ )interquartile range) ของกลุ่ม ผนวกด้วยคำตอบเดิมของตนเอง แล้วขอให้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนพิจารณาตอบ ใหม่ 6. ทำเดลฟายรอบที่สาม, สี่... 7. สรุปและอภิปรายผล โดยการเสนอแนวโน้มที่มีฉันทามติตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้แล้วอภิปรายเสนอแนะ จากผลการวิจัย ไชยยศ เรืองสุวรรณ )2533: 156-157) กล่าวว่า หลักการของเทคนิคเดลฟายตั้งอยู่บนความเชื่อที่ว่า บุคคลที่มีความรู้ความสามารถในสาขานั้นจำนวนหลายคน ยอมจะช่วยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในด้านนั้นได้ดีกว่าผู้ ชำนาญเพียงคนเดียวหรือสองคน ดังนั้น เทคนิคเดลฟายจึงมีกระบวนการ 3 ขั้นตอนในการทำนายเหตุการณ์ใน อนาคต แต่ละขั้นเรียกว่า “รอบ )Round(” รอบที่ 1 เรียกว่า เป็นขั้นการระดมสมอง )Brainstorming) ผู้ชำนาญจะได้รับคำถามสวนใหญ่จะเป็น แบบสอบถามแบบปลายเปิด เพื่อเก็บรวบรวมความคิดเห็นจากผู้ชำนาญทั้งหมดในเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับประเด็น หรือปัญหา รอบที่ 2 เป็นการประเมินความคิดเห็น )Evaluation of Ideas) หลังจากผู้วิจัยได้ข้อมูลจากผู้ชำนาญ ในรอบที่ 1 แล้วจะนำข้อมูลไปเรียบเรียงเป็นแบบสอบถามแบบมาตราสวนประมาณค่าส่งกลับให้ผู้ชำนาญ ทบทวนความคิดเห็นอีกครั้ง รอบที่ 3 เป็นการประเมินซ้ำ )Re-evaluation of Ideas) ผู้วิจัยจะพัฒนาแบบสอบถามด้วยการ วิเคราะห์คำตอบในแบบสอบถามรอบที่ 2 เป็นแบบสอบถามที่ประกอบไปด้วยข้อความเดิม แต่เพิ่มการแสดง ค่าสถิติเกี่ยวกับการตอบข้อคำถามในรอบที่ 2 ของผู้ชำนาญทั้งหมด เช่น แสดงตำแหน่งค่ามัธยฐาน )Median) และค่าพิสัยระหว่างควอไทล์)Interquartile Range) ของแต่ละข้อคำถามส่งไปให้ผู้ชำนาญคนเดิมตอบอีก โดย ให้ผู้ชำนาญพิจารณาว่ามีความเห็นสอดคล้องกับ ตำแหน่งที่ผู้ชำนาญต่าง ๆ มีความคิดเห็นหรือไม่โดยให้ ทบทวน และการพิจารณาทบทวนคำตอบของตนเองอีกครั้งหนึ่ง และให้แสดงเหตุผลการตอบในกรณีที่คำตอบ ของตนตกอยู่สูงหรือต่ำกว่าพิสัยระหว่างควอไทล์ วิโรจน์สารรัตนะ )2553) กล่าวถึงประโยชน์ในการวิจัยอนาคตไว้ดังนี้ 1. ช่วยในกระบวนการตัดสินใจ ดังนี้ 1.1 ช่วยกำหนดกรอบการทำงานในการตัดสินใจเพื่อการวางแผน กล่าวคือแผนนโยบาย หรือ การตัดสินใจใด ๆ จะไม่สามารถกระทำได้หากขาดข้อตกลงเบื้องต้น )Assumption) หรือหากมีแต่เป็น ข้อตกลงเบื้องต้นที่ผิดพลาด ก็จะนำไปสู่ความเสียหาย ซึ่งข้อตกลงเบื้องต้นนี้สามารถได้มาด้วย การศึกษาอนาคต แม้จะเป็นเพียงความเป็นไปได้หรือความน่าจะเป็นมากกว่าความถูกต้องแน่นอน แต่ก็เป็นหลักเกณฑ์ที่จะช่วยให้นักวางแผนนำไปพิจารณาประกอบการวางแผนหรือการตัดสินใจได้


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 230 1.2 ช่วยในการตัดสินใจหาทางป้องกันปัญหาที่คาดว่าจะเกิดขึ้นก่อนจะกลายเป็นปัญหาขั้นวิกฤติและ การตัดสินใจเพื่อให้มีการกระทำกับโอกาสที่คาดว่าจะเป็นไปได้และเหมาะสม 1.3 ช่วยในการตัดสินใจเลือกวิธีการป้องกันปัญหาจากหลาย ๆ วิธีที่นักอนาคตได้เสนอทางเลือกไว้ให้ 1.4 ช่วยให้สามารถประเมินทางเลือกของนโยบายและการปฏิบัติเนื่องจากนักอนาคตได้ช่วยประเมิน ทางเลือกต่าง ๆ ไว้โดยวิเคราะห์ถึงผลกระทบที่เป็นไปได้ที่จะมีต่อโลกแห่งอนาคตนั้น 1.5 ช่วยเพิ่มโอกาสในการเลือกสรรจากทางเลือกหลาย ๆ ทางที่เสนอไว้ทำให้ผู้คนเป็นอิสระในการ เลือกสรร สามารถจะหลีกเลี่ยงจากการเป็นทาสของการยอมรับแนวโน้มในปัจจุบันที่อาจจะนำไปสู่ความ หายนะได้ 2. การศึกษาความเป็นไปได้ของอนาคตจะทำให้ประชาชนเกิดความมั่นใจในตนเองทำให้คนเริ่มมองไป ข้างหน้า คำนึงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งที่เป็นปัญหาและไม่เป็นปัญหา ทั้งยังช่วยให้ประชาชนยอมรับการ เปลี่ยนแปลงได้ง่ายขึ้น อันเนื่องจากได้รับการเตือนถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น และสามารถปรับตัวได้ 3. การมุ่งอนาคตจะทำให้ผู้คนคำนึงถึงแต่ในด้านดีและมีความมุ่งมั่นที่จะไปถึงให้ได้ 4. ช่วยในการสร้างสรรค์การวิจัยอนาคตจะสามารถชักจูงและให้ความสนใจต่อการแก้ปัญหาอย่าง สร้างสรรค์เพราะการมองอนาคตที่ห่างไกลออกไปมากกว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าย่อมทำให้สามารถคิดได้ อย่างสบายอารมณ์และสร้างสรรค์ซึ่งลักษณะความมีอิสระในการคิดเช่นนี้จะก่อให้เกิดกระแสความคิดที่ หลั่งไหลเข้าไปในความสำนึก และเมื่อได้รับการประเมินในภายหลังแล้วก็สามารถนำไปใช้ได้ 5. เป็นเทคนิคในด้านการวิจัยอนาคตจะช่วยชักจูงให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้เกิดความตระหนักว่า พวกเขาสามารถสร้างโลกได้โลกที่ดีกว่าที่คนอื่น ๆ คิด และจะทำให้พวกเขาทราบได้ว่า พวกเขาไม่สามารถจะ จัดการใด ๆ กับอดีตได้อีกแล้ว มีเพียงแต่อนาคตเท่านั้นที่ยังเปิดโอกาสให้พวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลงหรือ ควบคุมได้อยู่ 6. ช่วยในการสร้างปรัชญาแห่งชีวิต ช่วยให้บุคคลเกิดความคิดเกี่ยวกับเป้าหมายชีวิตอย่างเป็นระบบ ก่อให้เกิด “ปรัชญาชีวิต” ของแต่ละคนขึ้น อันจะทำให้บุคคลเปลี่ยนบทบาทจากการมีปฏิกิริยา )Reaction) กับปัญหา เป็นการเตรียมตัวป้องกัน )Preaction) ต่อปัญหา สรุปได้ว่า หลักการของเทคนิคเดลฟายตั้งอยู่บนความเชื่อที่ว่าบุคคลที่มีความรู้ความสามารถในสาขา นั้นจำนวนหลายคน ย่อมจะช่วยแก้ไขปัญหาได้ดีกว่าผู้ชำนาญเพียงคนเดียวหรือสองคน โดยเทคนิคเดลฟายจึง มีกระบวนการ 3 ขั้นตอน หรือ 3 รอบ ในการทำนายเหตุการณ์ในอนาคต ได้แก่ รอบที่ 1 เรียกว่า เป็นขั้นการ ระดมสมอง )Brainstorming) รอบที่ 2 เป็นการประเมินความคิดเห็น )Evaluation of Ideas) และรอบที่ 3 เป็นการประเมินซ้ำ )Re-evaluation of Ideas)


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 231 12 3.กระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้เทคนิคเดลฟาย วีระยุทธ ชาตะกาญจน์ )2557: 200-203) กล่าวว่า กระบวนการเดลฟายมีลักษณะสำคัญ 4 ประการ คือ การไม่เปิดเผยชื่อของผู้ให้ข้อมูล การเก็บข้อมูลซ้ำ การให้ข้อมูลย้อนกลับที่ได้รับการควบคุมจาก ผู้ดำเนินการ และการสรุปคำตอบของกลุ่มด้วยวิธีการทางสถิติ ซึ่งการไม่เปิดเผยชื่อของผู้ให้ข้อมูลกระทำโดยใช้ แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล และกระทำซ้ำโดยการใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บ ข้อมูลหลายรอบ สำหรับการให้ข้อมูลย้อนกลับนั้นเกิดขึ้นระหว่างรอบของการเก็บข้อมูล ซึ่งมีการวิเคราะห์ คำตอบที่ได้จากแต่ละรอบโดยผู้ดำเนินการเดลฟาย กระบวนการนี้ทำให้ผู้ให้ข้อมูลมีโอกาสตรวจสอบความคิด ของตนเองซ้ำ ส่วนสถิตินั้นจะแสดงให้เห็นถึงระดับของความสอดคล้องทางความคิดของกลุ่มผู้ให้ข้อมูล ในการใช้เทคนิคเดลฟายสามารถดำเนินการได้ใน 10 ขั้นตอน คือ การกำหนดทีมทำงานในการใช้เดล ฟาย เลือกกลุ่มผู้ให้ข้อมูลในกระบวนการเดลฟาย สร้างแบบสอบถามรอบแรก ทดสอบความเหมาะสมของ แบบสอบถาม ไม่ให้มีความคลุมเครือ ส่งแบบสอบถามไปยังกลุ่มผู้ให้ข้อมูล วิเคราะห์แบบสอบถามรอบแรก เตรียมแบบสอบถามรอบสอง ส่งแบบสอบถามรอบสองไปยังกลุ่มผู้ให้ข้อมูล วิเคราะห์คำตอบจากรองสอง ใน ขั้นตอนนี้สามารถทำซ้ำได้หลายรอบจนกว่าได้ฉันทามติ ขั้นสุดท้ายเป็นการจัดทำรายงานเพื่อนำเสนอข้อมูล การใช้เทคนิคเดลฟายจะมีผู้เกี่ยวข้องในกระบวนการ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผู้ตัดสินใจ ซึ่งต้องการใช้ผล การทำเดลฟายในการวางแผนพัฒนางาน กลุ่มผู้รับผิดชอบในกระบวนการเดลฟาย และกลุ่มผู้ให้ข้อมูล กระบวนการเดลฟายเริ่มต้นด้วยการศึกษาประเด็นคำถามที่ผู้มีอำนาจในการตัดสินใจอยากทราบ จากนั้นจะ เสาะหากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ หรือผู้เชี่ยวชาญมาแสดงความคิดเห็นเพื่อให้ได้คำตอบ การเก็บข้อมูลในรอบแรกจึง เปิดโอกาสให้มีการแสดงความคิดเห็นได้เต็มที่จากคำถามปลายเปิด จากนั้นสร้างแบบสอบถามจากข้อมูลที่ได้ จากรอบแรกแล้วส่งแบบสอบถามกลับไปให้ผู้ตอบกลุ่มเดิม วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้คืนมาแล้วสรุปผลการวิเคราะห์ ส่งไปให้ผู้ตอบทราบในแบบสอบถามฉบับใหม่ หลังจากที่ทราบความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ ทำการวิเคราะห์ ข้อมูลที่ได้กลับคืนมาใหม่ แล้วสรุปผลไปให้ผู้ตอบทราบ มีการดำเนินการซ้ำแบบเดิมจนกว่าจะได้ความคิดเห็นที่ ค่อนข้างสอดคล้องกัน เพื่อให้เข้าใจลำดับขั้นตอนของการใช้เทคนิคเดลฟาย )วีระยุทธ ชาตะกาญจน์, 2557: 200-203) โดยมีละเอียดดังต่อไปนี้ 1. ขั้นการวางกรอบการเก็บข้อมูล การกำหนดคำถามสำหรับวางกรอบการเก็บข้อมูล ผู้รับผิดชอบในกระบวนการเดลฟายต้องสอบถาม ความคิดเห็นจากผู้ตัดสินใจว่าต้องการนำข้อมูลไปทำอะไร สนใจอยากได้ข้อมูลสารสนเทศในเรื่องอะไร ซึ่งใน การสร้างคำถามในรอบนี้ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง หรือครึ่งวัน 2. ขั้นการกำหนดผู้เชี่ยวชาญ ประเด็นที่ผู้รับผิดชอบต้องพิจารณาในขั้นกำหนดผู้เชี่ยวชาญ คือ คุณสมบัติของกลุ่มผู้ให้ข้อมูล และ ขนาดของกลุ่มผู้ให้ข้อมูลว่าที่เหมาะสมควรมีขนาดเท่าใด 2.1 การกำหนดคุณสมบัติของกลุ่มผู้ให้ข้อมูล


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 232 ในการกำหนดผู้ให้ข้อมูลในเทคนิคเดลฟายต้องมีเงื่อนไขสำคัญ ได้แก่ ผู้ให้ข้อมูลต้องมีส่วนร่วมในกระบวนการ มีข้อมูลเพียงพอที่จะแลกเปลี่ยน มีแรงจูงใจอยากเข้าร่วมในกระบวนการ และรู้สึกสนใจในผลที่ได้จากการสรุป ความคิดของผู้เกี่ยวข้องที่ไม่สามารถหาได้จากที่อื่น การกำหนดขนาดของกลุ่มผู้ให้ข้อมูล หลังจากกำหนดกลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่มีคุณสมบัติตามเงื่อนไขนี้แล้ว ก็ต้องตัดสินใจในเรื่องขนาดของกลุ่มผู้ให้ข้อมูล ขนาดของกลุ่มที่เพียงพออยู่ระหว่าง 10-15 คน แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่ กับลักษณะของกลุ่มผู้ให้ข้อมูลด้วย หากข้อมูลเป็นเอกพันธ์ คือมีความคล้ายคลังกันมาก จำนวนสมาชิกที่ มากกว่า 30 คน จะให้ข้อมูลที่เป็นความคิดใหม่ ๆ มากขึ้น แต่หากต้องการได้ผู้สนับสนุนความคิดมาก ก็ใช้กลุ่ม ผู้ให้ข้อมูลขนาดใหญ่ได้ แต่ต้องไม่ลืมว่า สมาชิกในกลุ่มยิ่งมากก็ยิ่งต้องใช้เวลาในการวิเคราะห์ข้อมูลมาก 3. ขั้นการเก็บข้อมูล การเก็บข้อมูลสำหรับการใช้เทคนิคเดลฟายมีหลายรอบ ส่วนใหญ่จะไม่เกิน 4 รอบ แต่ละรอบจะมีการ เตรียมข้อมูล การนำเสนอข้อมูลด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้ 3.1 การเก็บข้อมูลรอบที่ 1 การเก็บรวบรวมข้อมูลรอบที่ 1 เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลกว้าง ๆ จากผู้เชี่ยวชาญ โดยใช้คำถาม ปลายเปิด ทำให้ผู้ให้ข้อมูลมีอิสระในการแสดงความคิดเห็น การเก็บข้อมูลในรอบนี้ต้องมีการจัดทำจดหมายนำ ที่ชี้แจงจุดมุ่งหมายของการเก็บข้อมูล ขอบคุณที่ผู้เชี่ยวชาญยอมสละเวลาให้ข้อมูล ถ้าเป็นไปได้ควรส่ง แบบสอบถามรอบแรกไปยังผู้เชี่ยวชาญที่ตอบรับจะเข้าร่วมในกระบวนการทันทีเพื่อสร้างความประทับใจให้กับ ผู้ให้ข้อมูล และเป็นการกระตุ้นความกระตือรือร้นในการให้ข้อมูลกับสมาชิกในกระบวนการเดลฟาย 3.2 การเก็บข้อมูลรอบที่ 2 หลังจากได้คำตอบจากรอบแรกแล้ว ต้องทำการวิเคราะห์เนื้อหา สรุปประเด็นความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด เพื่อนำไปให้สมาชิกในกลุ่มแสดงความคิดเห็นต่อประเด็น ต่าง ๆ ที่ปรากฏในข้อความทุก ประเด็น ในขั้นตอนนี้มีการจัดทำแบบสอบถามที่เป็นคำถามปลายปิดในรูปของมาตรการประมาณค่าสำหรับ เก็บข้อมูลในรอบที่ 2 คำถามที่ใช้ในแบบสอบถามรอบสองนี้เป็นข้อมูลจากความคิดเห็นของผู้ให้ข้อมูลในรอบ แรก ต้องไม่นำเสนอแนวคิดของตนเองเพิ่มเติมเข้าไปในแบบสอบถาม ข้อมูลที่ได้จาก การเก็บรวบรวมข้อมูลใน รอบที่สองจะได้รับการวิเคราะห์เพื่อสรุปผลของกลุ่มแล้วจัดทำเป็นแบบสอบถามสำหรับใช้ในการเก็บข้อมูลรอง ที่สาม 3.3 การเก็บข้อมูลรอบที่ 3 นำผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากรอบที่สองมาสร้างเป็นแบบสอบถามสำหรับเก็บข้อมูลในรองที่สาม จุดมุ่งหมายของการเก็บข้อมูลในรอบนี้เพื่อตรวจสอบความคิดเห็นของผู้ให้ข้อมูลซ้ำ ในรอบนี้ผู้ให้ข้อมูลแต่ละ คนจะได้รับข้อมูลย้อนกลับ โดยมีข้อมูล 2 ส่วน ส่วนแรก เป็นข้อมูลที่เป็นความคิดเห็นของกลุ่มที่แสดงด้วย ค่าสถิติ ส่วนที่สอง เป็นข้อมูลที่เป็นคำตอบของผู้เชี่ยวชาญที่เป็นเจ้าของคำตอบแต่ละคน สำหรับการนำเสนอ ข้อมูลย้อนกลับส่วนแรก ผู้เชี่ยวชาญทุกคนจะได้รับเหมือนกัน ส่วนข้อมูลส่วนที่สองผู้เชี่ยวชาญจะได้รับเฉพาะ คำตอบของตนเอง แบบสอบถามที่ส่งไปให้ผู้เชี่ยวชาญในรองที่สามของแต่ละคนจะมีลักษณะไม่เหมือนกัน การ


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 233 เก็บข้อมูลในรอบนี้ต้องการให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความคิดของตนเองใหม่ หลังจากที่ได้เห็นความคิดของกลุ่ม จากข้อมูลส่วนหนึ่ง หากยังคงยืนยันหรือไม่เปลี่ยนคำตอบจากรองที่สองก็สามารถให้เหตุผลประกอบได้ ข้อมูล ที่ได้รับกลับคืนมาต้องทำการวิเคราะห์และตรวจสอบระดับความสอดคล้องหรือฉันทามติของกลุ่มว่าสามารถยุติ การเก็บข้อมูลได้หรือไม่ ผู้วิจัยก็สามารถยุติกระบวนการเดลฟายในรอบที่ 3 แต่หากยังไม่พบฉันทามติก็ควร ดำเนินต่อไปในรอบที่ 4 โดยวิธีการแบบเดียวกัน 4. ขั้นการรายงานผล ขั้นตอนนี้เป็นการจัดทำรายงานผลที่ได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลจากรอบสุดท้าย เพื่อเสนอกลุ่ม ผู้เชี่ยวชาญและมีผู้มีอำนาจในการตัดสินใจสำหรับการนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป สรุปได้ว่า การใช้เทคนิคเดลฟายจะมีผู้เกี่ยวข้องในกระบวนการ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผู้ตัดสินใจ กลุ่ม ผู้รับผิดชอบในกระบวนการเดลฟาย และกลุ่มผู้ให้ข้อมูล โดยมีขั้นตอนของการใช้เทคนิคเดลฟายที่สำคัญ 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ขั้นการวางกรอบการเก็บข้อมูล 2) ขั้นการกำหนดผู้เชี่ยวชาญ 3) ขั้นการเก็บข้อมูล ประกอบด้วย การเก็บข้อมูลรอบที่ 1 – 2 - 3 และ 4) ขั้นการรายงานผล 12 4.ประเด็นที่ต้องตัดสินใจในการใช้เทคนิคเดลฟาย การเลือกใช้เทคนิคเดลฟายในการเก็บข้อมูลมีประเด็นที่ผู้รับผิดชอบกระบวนการนี้ต้องพิจารณาและ ตัดสินใจ โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับการกำหนดผู้เชี่ยวชาญ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล จำนวนรอบที่ใช้ใน การเก็บข้อมูล การกำหนดเกณฑ์การยุติกระบวนการเดลฟาย )วีระยุทธ ชาตะกาญจน์, 2557: 203-209) โดยมี รายละเอียดดังนี้ 1. ผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากเทคนิคเดลฟายเป็นการรวบรวมความคิดเห็นที่สอดคล้องกันระหว่างผู้เชี่ยวชาญในเรื่องใด เรื่องหนึ่ง ดังนั้นผลการวิจัย จะมีความถูกต้องน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับความรู้ความสามารถของ ผู้เชี่ยวชาญและจำนวนผู้เชี่ยวชาญ การใช้เทคนิคนี้จึงควรเลือกผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความสามารถในเรื่องนั้น ๆ อย่างแท้จริงหรือเป็นผู้มีส่วนร่วมรับผิดชอบมีประสบการณ์ในประเด็นที่ศึกษา นักวิชาการต่างเห็นพ้องต้องกันว่าไม่มีการจำกัดจำนวนผู้เชี่ยวชาญสูงสุด แต่ขอให้มีความเป็นตัวแทนที่ดีของ ประชากรเท่านั้น นอกจากนี้จำนวนผู้เชี่ยวชาญยังขึ้นอยู่กับระดับความเป็นเอกพันธ์ของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ เช่น Van de Ven & Gustafson (1975 อ้างใน วีระยุทธ ชาตะกาญจน์, 2557: 204) แนะนำว่าหากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ มีความเป็นเอกพันธ์ควรใช้ผู้เชี่ยวชาญประมาณ 30 คน ในขณะที่ ชนิตา รักษ์พลเมือง )2531 อ้างใน วีระยุทธ ชาตะกาญจน์, 2557: 204-205) เห็นว่า หากผู้เชี่ยวชาญมีความเป็นเอกพันธ์อาจใช้เพียง 10-15 คน แต่ถ้า ผู้เชี่ยวชาญมีความเป็นวิวิธพันธ์อาจต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมาก โดยมีรายละเอียดในตารางที่ 6.1 ตารางที่6.1 การลดลงของความคลาดเคลื่อนและจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการ จำนวนผู้เข้าร่วมโครงการ การลดลงของความคลาดเคลื่อน การเปลี่ยนแปลงสุทธิ


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 234 (Panel Size) (Error Reduction) (Net Change) 1-5 1.20-0.70 0.50 5-9 0.70-0.58 0.12 9-13 0.58-0.54 0.04 13-17 0.54-0.50 0.04 17-21 0.50-0.48 0.02 21-25 0.48-0.46 0.02 25-29 0.46-0.44 0.02 จากการศึกษาของ Macmillan (1971 อ้างใน วีระยุทธ ชาตะกาญจน์, 2557: 205-209) พบว่าหาก จำนวนผู้เชี่ยวชาญมีขนาดตั้งแต่ 17 คนขึ้นไป อัตราการลดลงของความคลาดเคลื่อน จะมีน้อยมากจนคงที่ ดัง ตารางที่ 6.1 ผู้ที่ใช้เทคนิคเดลฟายในการเก็บข้อมูลจึงมีการอ้างอิงผลการวิจัย จากตารางนี้ในการกำหนด จำนวนผู้เชี่ยวชาญไม่ต่ำกว่า 17 คน 2. เครื่องมือที่ใช้ในเทคนิคเดลฟาย การเก็บข้อมูลโดยใช้เทคนิคเดลฟายจะใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือสำคัญ รูปแบบของแบบสอบถาม ใช้ทั้ง 2 ประเภท คือ แบบสอบถามปลายเปิด และแบบสอบถามปลายปิดชนิดมาตรประมาณค่า )โดยทั่วไปใช้ มาตรประมาณค่า 5 ระดับ เทคนิคเดลฟายที่พัฒนามาแบบดั้งเดิม )Traditional Delphi Technique) จะเก็บ ข้อมูลรอบแรกโดยใช้แบบสอบถามปลายเปิด ส่วนรอบต่อมาจะใช้แบบปลายปิดดังกล่าวข้างต้น การเก็บข้อมูล ในรอบแรกโดยใช้แบบสอบถามปลายเปิดมีจุดมุ่งหมายเพื่อรวบรวมความคิดเห็นกว้าง ๆ จากผู้เชี่ยวชาญ สำหรับแบบสอบถามในรอบที่สองพัฒนามาจากคำตอบของแบบสอบถามในรอบแรก โดยนำความคิดเห็น ทั้งหมดจากผู้เชี่ยวชาญมาสังเคราะห์สร้างเป็นแบบสอบถามปลายปิดชนิดมาตรประมาณค่า แล้วส่งให้ ผู้เชี่ยวชาญจัดลำดับความสำคัญหรือคาดการณ์แนวโน้มในแต่ละข้อ การจัดทำแบบสอบถามในรอบที่ 3 นั้น จะมีการนำคำตอบของแต่ละข้อที่ได้รับจากแบบสอบถามรอบ ที่ 2 ทั้งหมดมาคำนวณค่าสถิติ ประเด็นที่ต้องพิจารณาในการจัดทำแบบสอบถาม คือ การเลือกค่าสถิติที่ใช้เป็น ข้อมูลย้อนกลับ ได้แก่ ค่ามัธยฐาน ฐานนิยม และค่าพิสัยระหว่างควอร์ไทล์ หรือความถี่ ร้อยละ เป็นต้น การให้ข้อมูลย้อนกลับในกระบวนการเดลฟายมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญได้รับรู้ระดับความคิดเห็นของ กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ โดยสรุปรวมว่าความคิดเห็นอย่างไรต่อข้อความแต่ละข้อ ข้อมูลย้อนกลับนี้จะนำเสนอด้วย ค่าสถิติ ค่าสถิติที่นำเสนอจะประกอบด้วยข้อมูล 2 กลุ่ม กลุ่มแรกประกอบด้วยค่าสถิติ 2 ส่วน คือ ค่าสถิติที่ แสดงความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญโดยสรุปรวมอาจแสดงด้วยค่าเฉลี่ย ค่ามัธยฐาน ค่าฐานนิยม หรือร้อยละเพื่อ แสดงความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ ค่าสถิติส่วนที่สอง คือ ค่าสถิติที่แสดงการกระจายของความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อแสดงระดับความสอดคล้องของความคิดของผู้เชี่ยวชาญ สถิติที่พบบ่อย ได้แก่ ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน ส่วนเบี่ยงเบนควอร์ไทล์ หรือการแจกแจงความถี่หรือร้อยละในแต่ละกลุ่มคำตอบ กลุ่มที่สองเป็น


วิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(Research for Learning Development) (200 308) หมวดวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มจร 235 ตัวเลข ที่แสดงคำตอบของผู้เชี่ยวชาญในรอบที่แล้ว เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นความสอดคล้องหรือความแตกต่าง ของความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนกับความคิดเห็นของกลุ่ม 3. จำนวนรอบที่เหมาะสม การเก็บข้อมูลโดยใช้เทคนิคเดลฟายสามารถดำเนินการได้หลายรอบจนกว่าจะได้คำตอบที่สอดคล้อง กันของสมาชิกในกลุ่ม จำนวนรอบที่เหมาะสมของเทคนิคเดลฟายขึ้นอยู่กับการได้ข้อสรุปที่มีฉันทามติ หรือ จนกว่าสามารถให้เหตุผลได้ว่าทำไมจึงไม่สามารถได้ข้อสรุปที่มีฉันทามติ โดยปกติการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ เทคนิคเดลฟายอย่างน้อยที่สุดจะต้องใช้ 2 รอบ แต่ไม่ควรเกิน 4 รอบ อย่างไรก็ตามผู้รับผิดชอบกระบวนการ ไม่สามารถคาดคะเนได้ล่วงหน้าว่าจะต้องใช้กระบวนการเก็บข้อมูลกี่รอบ เนื่องจากขึ้นอยู่กับระดับฉันทามติ ของกลุ่มว่าจะสามารถบรรลุผลได้ในกี่รอบ 4. ระดับฉันทามติที่เหมาะสม ฉันทามติ คือ ระดับความสอดคล้องทางความคิดของผู้ให้ข้อมูล การศึกษาความคิดเห็นของกลุ่มบุคคล จะยิ่งมีความหนักแน่น น่าเชื่อถือหากสมาชิกในกลุ่มทุกคนหรือส่วนใหญ่ มีความคิดเห็นตรงกัน การใช้เทคนิค เดลฟายในการเก็บข้อมูลก็เหมือนกับการการเก็บข้อมูลจากการประชุมกลุ่ม เมื่อสิ้นสุดการประชุมก็คาดหวังว่า จะได้ข้อสรุปเกี่ยวกับมติของกลุ่ม การประชุมกลุ่มทั่วไปเมื่อมีความไม่สอดคล้องกันทางความคิดก็มักจะมีการ อภิปรายแล้วหาข้อสรุปโดยการโหวต แต่สำหรับการใช้เทคนิคเดลฟายนั้น เนื่องจากไม่มีการเผชิญหน้าและ สมาชิกไม่มีโอกาสรับฟังความคิดเห็นของเพื่อนสมาชิกแต่ละคน การให้ข้อมูลย้อนกลับในลักษณะที่เป็น ภาพรวมของกลุ่มโดยนำเสนอในรูปของค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่ามัธยฐาน หรือฐานนิยม จึงเป็นความพยายามที่ จะให้สมาชิกได้ทราบข้อมูลของเพื่อนสมาชิกอื่น หลังจากได้ข้อมูลย้อนกลับแล้ว สมาชิกแต่ละคนสามารถ เปลี่ยนแปลงคำตอบของตนเองใหม่ได้ ขั้นตอนก็เหมือนการประชุมกลุ่มทั่วไป เมื่อมีการอภิปรายอย่าง หลากหลาย สมาชิกก็มีข้อมูลเพียงพอที่จะตัดสินใจ ว่าจะให้ข้อมูลสรุปอย่างไร ฉันทามติจึงเป็นเป้ามายของการใช้เทคนิคเดลฟายในการเก็บข้อมูลที่ต้องการให้ได้ข้อมูล สรุปของกลุ่ม ในทางปฏิบัติจริงมีความเป็นไปได้ที่แม้จะมีการเก็บข้อมูลหลายรอบแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถหาฉันทามติได้ นั่น คือ ยังคงความแตกต่างทางความคิดของผู้ให้ข้อมูล ในกรณีนี้ก็ต้องรายงานผลการศึกษาตามข้อเท็จจริง คือ ไม่ สามารถหาฉันทามติได้ การกำหนดระดับความสอดคล้องทางความคิดหรือการหาฉันทามติในเทคนิคเดลฟาย สามารถกำหนด ได้ด้วยค่าสถิติ 2 ประเภท ประเภทแรก กำหนดด้วยค่าร้อยละเพื่อแสดงให้เห็นอัตราส่วนผู้ที่มีความคิดเห็น สอดคล้องกันว่าอยู่ในระดับใด และมีการแสดงแจกแจงความถี่ของผู้ให้ข้อมูลว่ามีลักษณะของคำตอบกระจาย ในลักษณะใด ประเภทที่สอง เป็นการใช้สถิติที่วัดแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่ามัธยฐาน และค่า ฐานนิยม เพื่อบ่งบอกระดับความคิดเห็นของกลุ่มในลักษณะสรุปรวม และแสดงค่าสถิติการกระจาย เช่น ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนเบี่ยงเบนควอร์ไทล์ เพื่อให้ทราบระดับความแตกต่างทางความคิดเห็นของสมาชิกว่ามี มากน้อยเพียงใด เกณฑ์ที่ใช้ในการระบุฉันทามติจึงขึ้นอยู่กับลักษณะของค่าสถิติที่ใช้เป็นข้อมูลย้อนกลับ


Click to View FlipBook Version