The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ปีที่ 19 ฉบับที่ 1 มกราคม - มีนาคม 2562

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

วารสารธรรมทรรศน์

ปีที่ 19 ฉบับที่ 1 มกราคม - มีนาคม 2562

38 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

และมคี วามเจรญิ รงุ่ เรืองประชาชนมรี ายได้เพิ่มข้ึน 3. วิธดี �ำเนนิ การวจิ ัย
มีระบบการจัดการเครือข่ายวิสาหกิจที่ดีและ
สามารถพฒั นาไดอ้ ยา่ งยงั่ ยนื ต่อไป การวจิ ัยคร้ังนี้ เปน็ การวจิ ยั แบบผสานวธิ ี
จากความจำ� เปน็ และความสำ� คญั ดงั กลา่ ว (Mix Methods Research) (Koenchai, 2016 :
สมควรที่จะต้องศึกษาวิสาหกิจชุมชนเมืองแพร่: 297-314) ท้ังการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative
องค์ความรู้และการจัดการเชิงเครือข่ายเพ่ือการ Research) และการวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณ (Quantitative
พัฒนาท่ียั่งยืน เพ่ือเป็นแนวทางในการสนอง Research) ดงั น้ี
นโยบายแผนพัฒนาเศรษฐกิจสังคมแห่งชาติ ข้ันตอนของการด�ำเนินการวิจัยครั้งน้ี
แผนท่ี 12 เพ่ือเป็นแนวทางในการพัฒนาคณุ ภาพ จะแบง่ กจิ กรรมออกเปน็ 5 ระยะได้แก่
ชีวิตของประชาชนในเขตพื้นที่ และเพื่อเป็น ระยะที่ 1 (ศึกษาบริบท สภาพปัจจุบัน
แนวทางในการพัฒนาวิสาหกิจจังหวัดแพร่เกิด ปัญหา และเอกสาร) วิสาหกิจชุมชนในการสร้าง
ความเข้มแข็ง สร้างฐานเศรษฐกิจให้ม่ันคง เสรมิ อาชพี เพอ่ื ทำ� ความเขา้ ใจบรบิ ทสภาพปจั จบุ นั
ทั้งในระดับครอบครวั ชมุ ชน สังคม ประเทศชาติ ปญั หาวสิ าหกจิ ชมุ ชน ทดี่ ำ� เนนิ การจดั การวสิ าหกจิ
และเกิดเครือข่ายท่ีเข้มแข็งและเกิดการพัฒนา ชุมชน การพฒั นาอย่างย่งั ยืน ผ่านเอกสาร ลงพืน้ ท่ี
ที่ยงั่ ยืนตอ่ ไป แลกเปลีย่ นเรียนร้กู ับผู้มสี ่วนเก่ียวข้อง โดยมุ่งเน้น
การขับเคล่ือนนโยบายและการขยายองคค์ วามรู้
2. วตั ถุประสงค์ของการวจิ ัย ระยะที่ 2 (การศึกษาเชิงพ้ืนท่ีและการ
ส�ำรวจ) ในจังหวดั แพร่ทง้ั 4 กลมุ่ ได้แก่ วสิ าหกจิ
1. เพ่ือศึกษาศึกษาศึกษาบริบท สภาพ ไมแ้ ปรรปู ผา้ ทอ หมอ้ หอ้ ม และจกั สาน เพอ่ื ทำ� ความ
ปัจจุบันและปัญหาการด�ำเนินงานวิสาหกิจชุมชน เข้าใจองค์ความรู้และการจัดการเชิงเครือข่าย
จังหวดั แพร่ วิสาหกิจชุมชนอย่างมีส่วนร่วม เพื่อการพัฒนา
2. เพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎีเก่ียวกับ ทยี่ งั่ ยนื สามารถขบั เคลอื่ นการทำ� งานเชงิ เครอื ขา่ ย
องค์ความรู้และการจัดการเชิงเครือข่ายวิสาหกิจ ได้อย่างมีประสิทธภิ าพ นอกจากนีย้ งั รวมถึงระบบ
ชมุ ชนอย่างมีสว่ นร่วมเพอื่ การพฒั นาทยี่ ัง่ ยืน ความสัมพันธ์ และผลส�ำเร็จของการจัดการเชิง
3. เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ระบบความ เครือข่ายท่ีมีต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของวิสาหกิจ
สัมพันธ์และผลส�ำเร็จของการจัดการเชิงเครือข่าย ชุมชน อีกทั้งองค์ความรู้ และระบบการจัดการ
ทมี่ ีต่อการพัฒนาท่ยี ่งั ยนื ของวสิ าหกจิ ชมุ ชน เชิงเครือข่ายท่ีมีผลต่อการพัฒนาท่ียั่งยืนของ
4. เพ่ือน�ำเสนอองค์ความรู้ และระบบ วิสาหกิจชุมชนจังหวัดแพร่ โดยมีองค์กรพระพุทธ
การจดั การเชงิ เครอื ขา่ ยทมี่ ผี ลตอ่ การพฒั นาทย่ี งั่ ยนื ศาสนา องค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคชุมชน
ของวิสาหกจิ ชุมชนจงั หวัดแพร่ สกู่ ารพฒั นาเครือขา่ ยวิสาหกิจชมุ ชนอยา่ งย่ังยนื

ปที ี่ 19 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 39

ระยะท่ี 3 (สรุปผลการศึกษาเชิงพ้ืนท่ี) โปรแกรมส�ำเร็จรูปเพื่อการวิจัยทางสังคมศาสตร์
มุ่งเน้นการบูรณาการและการสรุปผลการด�ำเนิน สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมือมูล ได้แก่ ความถี่
โครงการพัฒนาใน 4 กลุ่ม ตลอดผลการศึกษา ร้อยละ ค่าเฉลี่ย คา่ สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน
รายประเด็น เพื่อเป็นข้อมูลในการจัดกิจกรรม
สง่ เสรมิ การจดั การเชงิ เครอื ขา่ ยดา้ นวสิ าหกจิ ชมุ ชน 4. สรปุ ผลการวจิ ยั
ในจังหวัดแพร่
ระยะท่ี 4 (การจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ 1. บริบท สภาพปัจจุบันของวิสาหกิจ
การจัดการเชิงเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนเพื่อการ ไมแ้ ปรรปู จงั หวดั แพร่เปน็ เมอื งไมส้ ัก ดำ� เนินอยา่ ง
พัฒนาท่ีย่ังยืนในฐานะปัจจัยการพัฒนาคุณภาพ เป็นรูปแบบมาอย่างยาวนาน มีการปรับกลยุทธ์
ชีวิตและจริยธรรมทางสังคมไทย) ท้ัง 4 กลุ่ม ของอุตสาหกรรมไม้สักตามสภาพและสถานการณ์
ในจงั หวดั แพร่ และถา่ ยทอดองคค์ วามรใู้ นลกั ษณะ บ้านเมืองที่เปล่ียนไป สามารถขับเคล่ือนการผลิต
สัมมนาเชิงปฏิบัติการให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เฟอร์นิเจอร์ไม้สักสู่ตลาดได้อย่างเป็นระบบ
วิสาหกิจชุมชนในการบริหารจัดการเชิงเครือข่าย เพ่ิมมลู คา่ รวมถงึ การสร้างรายได้ใหก้ บั ผ้ปู ระกอบ
เพื่อการพฒั นาท่ียง่ั ยนื ตอ่ ไป การ ปัจจุบันผู้ประกอบการและผู้ผลิตในชุมชน
ระยะท่ี 5 (สรุปผลการศึกษา) ประเมิน ท้ังขนาดกลางและขนาดเล็ก วิสาหกิจหม้อห้อม
และทบทวนการด�ำเนินงาน จัดท�ำข้อเสนอ เป็นเศรษฐกิจในครัวเรือน ท�ำเป็นอาชีพหลัก
เชิงนโยบาย) การเผยแพร่องค์ความรู้วิสาหกิจ และอาชีพเสริมมีลักษณะท่ีเป็นการค้าขาย
ชุมชนในจังหวัดแพร่ ทั้ง 4 กลุ่ม ทั้งเอกสาร CD ท้ังค้าปลีกและค้าส่ง วิสาหกิจผ้าทอชาวไทย
แผน่ พบั โปสเตอร์ ภาคเหนือจะมีวัฒนธรรมที่ถ่ายทอดกันต่อคือ
เครอื่ งมอื ทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั ไดแ้ ก่ 1) การวจิ ยั การทอผ้า ซ่ึงมีมานานเป็นการทอผ้าฝ้าย
เชิงคุณภาพ (Qualitative Research) การวิจัย ส่วนใหญ่ทอเป็นผ้าซ่ินท่ีใช้ในชีวิตประจ�ำวัน
เชิงเอกสาร (Documentary Research) และผ้าซ่ินที่ต่อตีนจก วิสาหกิจเคร่ืองจักสาน
การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) กับ ใช้ภูมิปัญญาท้องถ่ินที่มีความรู้สร้างข้ึนด้วยกัน
ผู้ให้ข้อมูลส�ำคัญ (Key Informants) และการ เรียนรู้จากกันและกัน โดยใช้วัสดุจากไม้ไผ่
สนทนากลุ่มเฉพาะ (Focus Group Discussion) มีการพัฒนารูปแบบ และมีการรวมกลุ่มกัน
และ 2) การวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณ (Quantity Research) คิดประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์อ่ืนๆส่วนปัญหาการด�ำเนิน
ใช้แบบสอบถามเป็นเคร่ืองมือในการวิจัย ซึ่งเป็น งานวิสาหกิจชุมชนจังหวัดแพร่พบว่า ปัญหาการ
แบบสอบถามแบบเลือกตอบ (Check List) ด�ำเนินงานวิสาหกิจชุมชนจังหวัดแพร่ ส่วนมาก
โดยเกบ็ ขอ้ มลู จากสมาชกิ วสิ าหกจิ ชมุ ชนในจงั หวดั เป็นปัญหาการผลิต การตลาด การออกแบบ
แพรท่ งั้ 4 กลมุ่ และท�ำการวเิ คราะห์ข้อมูลโดยใช้ การจ�ำหน่าย การไม่มีศูนย์ข้อมูลแลกเปลี่ยน
ขา่ วสาร การด้านวัสดุไม่พอเพียง

40 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

2. องค์ความรู้การจัดการเชิงเครือข่าย เมอื งแพร่ หมอ้ หอ้ ม และเครอื่ งจกั สานจงั หวดั แพร่
วิสาหกิจชุมชนอย่างมีส่วนร่วม เพ่ือการพัฒนาท่ี มตี น้ กำ� เนดิ จากการทค่ี นในชมุ ชนไดร้ วมตวั กนั ผลติ
ยั่งยืนพบว่า วิสาหกิจผลิตภัณฑ์ไม้แปรรูปผ้าทอ ใช้ในครัวเรือนมาก่อน ต่อมาขายการผลิตมากข้ึน
และเครื่องจักสานจังหวัดแพร่ เพื่อการพัฒนาท่ี และได้ท�ำการจดทะเบียนวิสาหกิจชุมชนจนขยาย
ย่งั ยืน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ส่วนองค์ความรู้ เตมิ โตมา อาศยั ทนุ สว่ นตวั เปน็ เบอื้ งตน้ แตอ่ ยา่ งไร
และการจัดการเชิงเครือข่ายวิสาหกิจหม้อห้อม ก็ตามวิสาหกิจชุมชนจังหวัดแพร่ทั้ง 4 กลุ่ม
เพือ่ การพฒั นาท่ยี ่ังยืน พบว่า ภาพรวมทุกด้านอยู่ ก็มีปัญหาที่คล้ายคลึงกัน ได้แก่ ปัญหาการด้าน
ในระดับปานกลาง แหลง่ ทนุ ดา้ นตลาด ดา้ นการรวมกลมุ่ ดา้ นสง่ เสรมิ
3. ระบบความสัมพันธ์ของการจัดการ ข้อมูลข่าวสาร ด้านการท�ำบัญชีรายรับรายจ่าย
เชิงเครือข่ายที่มีต่อวิสาหกิจผลิตภัณฑ์ไม้แปรรูป ด้านการส่งเสริมการผลิตในมากขึ้น ซ่ึงสอดคล้อง
ผ้าทอ หม้อห้อม และเคร่ืองจักสานจังหวัดแพร่ กับธงพล พรหมสาขา ณ สกลนคร และอุทิศ
เพ่ือการพัฒนาที่ยั่งยืนนั้นยังไม่มีระบบการจัดการ สังขรัตน์ (Promsakha N. Sakolnakorn and
เครือข่ายท่ีชัดเจน ยังเป็นลักษณะที่เป็นแบบ Sangkharat, 2013) ไดก้ ลา่ ววา่ ในดา้ นปญั หาและ
ต่างคนต่างด�ำเนินการผลิต ความสัมพันธ์ยังไม่ อุปสรรคในการด�ำเนินงานของวิสาหกิจชุมชน
แน่นแฟ้น แต่สามารถด�ำเนินวิสาหกิจชุมชนได้ ในเขตลุ่มทะเลสาบสงขลา มีปัญหาดา้ นการตลาด
ค่อนข้างดี ด้านบัญชีและการเงิน ด้านการผลิต ด้านการใช้
4. องค์ความรู้ และระบบการจัดการ เทคโนโลยสี ารสนเทศ ดา้ นการออกแบบผลติ ภณั ฑ์
เชิงเครือข่ายท่ีมีผลต่อการพัฒนาท่ีย่ังยืนของ และต้นทุนการผลติ
วสิ าหกจิ ชมุ ชนจงั หวดั แพร่ พบวา่ เป็นการจดั การ 2. จากผลการศึกษาความคิดเห็นของ
เชิงเครือข่ายที่ต้ังอยู่บนพ้ืนฐานของเศรษฐกิจ ประชาชนที่เป็นสมาชิกวิสาหกิจชุมชนในจังหวัด
พอเพียง น�ำเอาวิถีวัฒนธรรมท้องถ่ินมาใช้ให้เกิด แพร่ต่อองค์ความรู้ และการจัดการเชิงเครือข่าย
ประโยชน์ ใช้วัสดุที่มีอยู่ และบุคลากรที่อาศัย วิสาหกิจชุมชนอย่างมีส่วนร่วม เพ่ือการพัฒนา
ในชมุ ชนเขา้ มามสี ว่ นรว่ มดำ� เนนิ การในการวางแผน ที่ยั่งยืน ซึ่งจากผลการศึกษาความคิดเห็นของ
ธรุ กจิ เนน้ ความเออ้ื อาทร ซงึ่ กนั ในการจดั การใหม้ ี ประชาชนที่เป็นสมาชิกวิสาหกิจไม้แปรรูป ผ้าทอ
คุณภาพชีวิตความเปน็ อยทู่ ี่ดี เมืองแพร่ และเครื่องจักสานจังหวัดแพร่ต่อ
องค์ความรู้และการจัดการเชิงเครือข่ายวิสาหกิจ
5. อภปิ รายผลการวิจยั ชุมชนอย่างมีส่วนร่วมเพ่ือการพัฒนาท่ียั่งยืน
โดยภาพรวม อยู่ในระดับเห็นด้วยมาก อภิปราย
1. จากผลการศึกษาบริบท สภาพ ได้ว่า สมาชิกวิสาหกิจชุมชนมีปฏิสัมพันธ์
ปัจจุบันและปัญหาการด�ำเนินงานวิสาหกิจชุมชน เชิงแลกเปล่ียนการมีวิสัยทัศน์ร่วมกันเป็นผลดี
จังหวัดแพร่ ทั้ง 4 กลุ่ม ได้แก่ ไม้แปรรูป ผ้าทอ

ปที ี่ 19 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 41

ต่อการจัดการเชิงเครือข่ายวิสาหกิจชุมชน เชิงเครือข่ายที่มีต่อวิสาหกิจผลิตภัณฑ์ไม้แปรรูป
ซึ่งสอดคล้องกับพระมหาสุทิตย์ อาภากโร และหม้อห้อมเพื่อการพัฒนาท่ีย่ังยืนน้ัน ยังไม่มี
(Phramaha Suthit Apakaro, 2004 : 18-50) ระบบท่ีชัดเจน เน่ืองจากการจัดการเชิงเครือข่าย
ไดก้ ลา่ วถงึ องคป์ ระกอบของเครอื ขา่ ยวา่ ความเปน็ ทีย่ ังไมก่ ารวางแผนในการจดั การเชงิ เครือข่ายใหม้ ี
เครือข่ายสิ่งหน่ึงที่ขาดมิได คือ การมีส่วนร่วม ระบบอยา่ งแทจ้ รงิ จะเหน็ ไดว้ า่ วสิ าหกจิ ผลติ ภณั ฑ์
การพึ่งพาอาศัย และการแลกเปลี่ยนความรูก ารมี ไม้แปรรปู ตา่ งคนต่างท�ำในการจัดการ การจดั การ
สว่ นรว่ มในกจิ กรรมตา่ งๆ ของสมาชกิ จะเปน็ ปจั จยั ความรู้ท่ีมีอยู่ในชุมชนยังไม่ได้น�ำมาปรับประยุกต์
ทหี่ นุนเสริมให้เครือขา่ ยนนั้ มีพลังมากขนึ้ ใช้เท่าท่คี วร
นอกจากน้ี ยงั สอดคลอ้ งกบั นฤมล นริ าทร ส่วนระบบความสัมพันธ์ของการจัดการ
(Nirathon, 2003 : 21) กลา่ ววา่ กระบวนการสรา้ ง เชิงเครือข่ายที่มีต่อวิสาหกิจผ้าทอเมืองแพร่และ
เครือข่ายที่สมบูรณ์นั้น ข้ันตอนการท�ำกิจกรรม เครอ่ื งจกั สานจงั หวดั แพร่ เพอื่ การพฒั นาทย่ี ง่ั ยืน
ร่วมกันในเมื่อเครือข่ายรู้สึกว่าตนได้รับประโยชน์ นั้นมีระบบความสัมพันธ์ของการจัดการเชิง
จากการเป็นเครือข่าย ความสัมพันธ์ของเครือขา่ ย เครือข่ายที่ชัดเจน แต่เป็นการปฏิสัมพันธ์เฉพาะ
จะแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น อาจน�ำไปสู่การขยายตัว ในระดับกลุ่มตนเองเท่านั้น การจัดการเชิง
ขยายกิจกรรม หรืออาจจะเกิดการลงทุนเพื่อ เครอื ขา่ ยทมี่ ตี อ่ วสิ าหกจิ เครอ่ื งจกั สานจงั หวดั แพร่
ด�ำเนินการจัดต้ังองค์กรใหม่ร่วมกัน ส่วนความคิด นั้น ประสบผลส�ำเร็จในระดับหนึ่ง หากจะท�ำให้
เห็นของประชาชนที่เป็นสมาชิกวิสาหกิจชุมชน การประกอบการวิสาหกิจเครื่องจักสานจังหวัด
หม้อห้อมต่อองค์ความรู้ และการจัดการ แพร่ มคี วามสำ� เรจ็ ในแง่ของการจัดการเครือข่าย
เชงิ เครอื ขา่ ยวสิ าหกจิ ชมุ ชนอยา่ งมสี ว่ นรว่ มเพอื่ การ เพื่อเกิดการพัฒนาท่ียั่งยืนให้มากข้ึน สมาชิก
พัฒนาที่ย่ังยืน โดยภาพรวม อยู่ในระดับเห็นด้วย วิสาหกิจจักสานจังหวัดแพร่ ควรขยายการสร้าง
ปานกลาง อภปิ รายได้วา่ สมาชกิ วสิ าหกจิ ชุมชนมี ภาคีเครือข่ายให้มากขึ้น อีกทั้งให้ภาครัฐและ
ปฏสิ มั พนั ธใ์ หเ้ กดิ ผลประโยชนแ์ ละความสนใจรว่ ม เอกชน ชุมชนได้เข้ามามีบทบาทในกระบวนการ
กันการมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน การพ่ึงพิงอิงร่วมกันอยู่ แลกเปลยี่ นเรยี นรู้ การประสานงาน ด�ำเนินงาน
ในระดบั ปานกลาง เพราะสมาชกิ วสิ าหกจิ หมอ้ หอ้ ม ในด้านการเพ่ิมแหล่งเงินทุน และการหาแหล่ง
ต่างคนก็ต่างผลิตกันเอง การรวมกลุ่มในด้าน ตลาดใหม่
การจัดการเชงิ เครอื ข่าย จึงไมม่ มี ากเทา่ ท่คี วร 4. องค์ความรู้ และระบบการจัดการ
3. จากผลการศกึ ษาและวเิ คราะหร์ ะบบ เชิงเครือข่ายที่มีผลต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของ
ความสัมพันธ์ และผลส�ำเร็จของการจัดการ วิสาหกิจชุมชนจังหวัดแพร่ของวิสาหกิจไม้แปรรูป
เชงิ เครอื ขา่ ยทม่ี ตี อ่ การพฒั นาทยี่ งั่ ยนื ของวสิ าหกจิ ผ้าหม้อห้อม ผ้าทอเมืองแพร่ และเคร่ืองจักสาน
ชุมชน มีระบบความสัมพันธ์ของการจัดการ จงั หวดั แพรน่ น้ั เปน็ การจดั การเชงิ เครอื ขา่ ยทตี่ ง้ั อยู่

42 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

บนพ้ืนฐานของเศรษฐกิจพอเพียง วัฒนธรรม ส�ำคัญของการพัฒนาวิสาหกิจชุมชน ทั้งในด้าน
ทอ้ งถนิ่ ทมี่ อี ยนู่ ำ� มาใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์ นำ� เอาวสั ดุ การให้ความรู้ การพัฒนาทักษะด้านต่างๆ
ทมี่ อี ยใู่ นจงั หวดั แพร่ และบคุ ลากรทอี่ าศยั ในชมุ ชน การสนับสนุนด้านการตลาด และการก�ำหนด
เข้ามามีส่วนร่วมด�ำเนินการในการวางแผนธุรกิจ ระเบียบต่างๆ เพอื่ สนับสนนุ วิสาหกิจชมุ ชน
การเอื้ออาทร การเคารพซ่ึงกันและกันในการ
จัดการและให้มีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ท่ีดี 6. ข้อเสนอแนะ
เป็นปจั จยั พน้ื ฐาน
หากจะทำ� ให้ระบบการจัดการเครอื ขา่ ยที่ 1. ข้อเสนอแนะการนำ� ผลการวิจยั ไปใช้
มีผลต่อการพัฒนาท่ียั่งยืนของวิสาหกิจชุมชน ควรมีการขยายเครือข่ายให้มากขึ้น
จังหวัดแพร่ให้เป็นรูปธรรมมากขึ้นน้ัน ควรมีการ โดยน�ำเอาหน่วยงานภาครัฐ เอกชน สมาชิกใน
เช่ือมโยงจากหน่วยงานภายนอกวิสาหกิจชุมชน ชุมชนต่างจังหวัด และหน่วยงานอื่นมาบูรณาการ
ให้มากท้ังภาครัฐ เอกชน องค์กรปกครองส่วน ให้มากข้ึนเน้นการสร้างเครือข่าย การมีส่วนร่วม
ท้องถิ่น เพ่ือสร้างปฏิสัมพันธ์ในด้านการจัดท�ำ ของทุกหนว่ ยงาน
ระบบเครือข่ายเน็ตเวิร์คให้กว้างขวางมากยิ่งข้ึน 2. ข้อเสนอแนะในการด�ำเนินการ
โดยอาศยั ทง้ั ปจั จยั ภายในวสิ าหกจิ ชมุ ชนและปจั จยั พฒั นาชมุ ชนจงั หวดั แพร่ พฒั นาสงั คม
ภายนอก ซึ่งสอดคล้องกับกษมาพร พวงประยงค์ และมนุษย์จังหวัดแพร่ ส�ำนักงานวัฒนธรรม
และนพพร จันทรน�ำชู (Poungprayong and จังหวัดแพร่ เกษตรจงั หวดั แพร่ ตลอดถึงคณะสงฆ์
Chantaranamchoo, 2013 : 108-120) ไดก้ ลา่ ววา่ จังหวัดแพร่ สามารถน�ำองค์ความรู้จากงานวิจัยน้ี
ปจั จยั การสนบั สนนุ จากภายนอก ปจั จยั ภมู ปิ ญั ญา ไปเป็นกรอบในการก�ำหนดแนวนโยบายจัดการ
ท้องถิ่น และปัจจัยการบริหารองค์กร สามารถ เครอื ขา่ ยเพอ่ื พฒั นาการบรหิ ารจดั การของวสิ าหกจิ
ท�ำนายแนวทางการพฒั นาวสิ าหกจิ ชมุ ชนร่วมกนั ชุมชนจังหวัดแพร่ด้านต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพ
ได้ร้อยละ 76.70 นอกจากน้ี ธงพล พรหมสาขา มากยิ่งขึ้น
ณ สกลนคร และอทุ ศิ สังขรัตน (Promsakha N. 3. ข้อเสนอแนะในการวิจยั ครั้งตอ่ ไป
Sakolnakorn and Sangkharat, 2013) ควรศกึ ษาเชงิ ลกึ โดยเนน้ กระบวนการ
ไดก้ ลา่ ววา่ แนวทางการพฒั นาการดำ� เนนิ งานของ มีส่วนร่วมและการเสริมสร้างความเข้มแข็งในการ
วิสาหกิจชุมชนหน่วยงานภาครัฐเป็นหน่วยงาน จดั การเชงิ เครอื ขา่ ยวสิ าหกจิ ชมุ ชน เพอื่ การพฒั นา
ที่ย่งั ยนื ต่อไป

ปที ี่ 19 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 43

References

Augyureekul, N., et al. (2007). An Evaluation of Development Potential of Phrae Province.
Applied Economics Journal, 14(1), 83-95.

Chadakarn Charoernrob, C., et al. (2012). Community Enterprise Development as the
Sufficient Economy. Research and Development News Document, 11(124), 1-5.

Chomraka, I., et al. (2011). A Communities Enterprises Marketing Network Management
Model for Increasing the Quality of commercial Competition in Uttaradit Province.
Area Based Development Research Journal, 3(5), 39-55.

Koenchai, N. (2016). Mixed Research Methodology: The Third Research Methodology.
Dhammathas Academic Journal, 16(2), 295-313.

National Economic and Social Development Plan, No.12 (2017-2021). (2017). Office of the
National Economic and Social Development Board. Office of the Prime Minister.

Nirathon, N. (2000). The Work Network-Making : Considerations. Bangkok : Thammasat
University.

Phramaha Suthit Apakaro. (2004). The Knowledge Nature and Management Network.
Bangkok : Duan Publication.

Phitsanulok Provincial Agricultural Extension Office. (2011). Data Report of Phitsanulok
Provincial Community Enterprise. Farmers Promotion and Development Group.
Phitsanulok Agriculture Office : Photocopy.

Phrae Provincial Agricultural Extension Office. (2011). Data Report of Phrae Provincial
Community Enterprise. http://www.sceb.doae.go.th/Documents/datachw/pdf.
(Accessed 10 June 2016).

Poungprayong, K. and Chantaranamchoo, N. (2013). The Development Approach of Small
and Micro Community Enterprise Processing and Product Group Samutsongkram
Province. Silapakorn Educational Research Journal, 5(1), 108-120.

Promsakha N. Sakolnakorn, T. and Sangkharat, U. (2013). Development Guidelines for
Small and Micro Community Enterprises in Songkhla Lake Basin. Department of
Educational Foundation. Faculty of Liberal Arts : Prince of Songkla University.



แนวทางการพฒั นาการท่องเทยี่ วเชิงสร้างสรรค์บนต้นทนุ ทางวฒั นธรรม
กรณีศึกษา: โฮงมนู มังเมืองขอนแกน่ ตำ� บลในเมือง อำ� เภอเมอื ง
จงั หวดั ขอนแก่น*
The Community Based Creative Tourism and Culture:

A Case Study of Hong Moon Mung KhonKean City Museum,
KhonKaen Province

สพุ ัตรา จึงตระกูล และสถาพร มงคลศรสี วสั ด์ิ
Supattra Guengtragoon and Sathaphon Mongkhonsrisawat

วิทยาลยั การปกครองท้องถ่ิน มหาวิทยาลัยขอนแก่น
College of Local Administration, KhonKaen University, Thailand

Corresponding Author, E-mail: [email protected]

บทคดั ย่อ

การวิจัยคร้ังนี้ มีวัตถุประสงค์ของการศึกษาแนวทางการทางการพัฒนาโฮงมูนมังเป็นแหล่ง
ท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์บนต้นทุนทางวัฒนธรรมเพื่อ 1) เพ่ือศึกษาปัญหาและอุปสรรค ของการด�ำเนิน
งานแนวทางการพฒั นาการท่องเท่ียวเชิงสร้างสรรคบ์ นตน้ ทนุ ทางวัฒนธรรม กรณีศึกษา: โฮงมูนมังเมือง
ขอนแก่น ตำ� บลในเมือง อำ� เภอเมือง จงั หวดั ขอนแก่น 2) เพอ่ื ศกึ ษาองค์ประกอบของการพัฒนาแนวทาง
การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์บนต้นทุนทางวัฒนธรรม กรณีศึกษา: โฮงมูนมังเมืองขอนแก่น
ต�ำบลในเมอื ง อำ� เภอเมือง จังหวัดขอนแกน่ 3) ศกึ ษาแนวทางการพฒั นาและขอ้ เสนอแนะแนวทางการ
พัฒนาการท่องเท่ียวเชิงสร้างสรรค์บนต้นทุนทางวัฒนธรรม กรณีศึกษา: โฮงมูนมังเมืองขอนแก่น
ต�ำบลในเมือง อ�ำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น โดยศึกษาจากกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก (Key-Informants)
แบบเฉพาะเจาะจง 4 กลุ่ม ประกอบด้วย 1) ผู้ก�ำหนดนโยบาย 2) กลุ่มหน่วยงานราชการท่ีเก่ียวข้อง
3) ผู้ประกอบการภาคเอกชนและนักท่องเท่ียว และ 4) ผู้น�ำชุมชน โดยการใช้วิธีสัมภาษณ์เชิงลึกการ
วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีเชงิ พรรณนาและวิเคราะหเ์ นอ้ื หาน�ำขอ้ มูลมาสรุปและเสนอแนะ

* ได้รับบทความ: 10 มนี าคม 2561; แกไ้ ขบทความ: 29 มกราคม 2562; ตอบรบั ตพี มิ พ์: 14 กมุ ภาพันธ์ 2562
Received: March 10, 2018; Revised: January 29, 2019; Accepted: February 14, 2019

46 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

ผลการวจิ ัยพบว่า
1. แนวทางการทางการพัฒนาโฮงมูนมังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ บนต้นทุนทาง
วัฒนธรรมส่งเสริมและพัฒนาองค์ประกอบ 5 ด้าน ได้แก่ 1) การสร้างคุณค่าของแหล่งท่องเที่ยว
2) ดา้ นการเรยี นรแู้ ละพฒั นาเครอื ขา่ ย 3) ดา้ นการประดษิ ฐค์ ดิ คน้ 4) ดา้ นการคมุ้ ครอง และ 5) ดา้ นการจงู ใจ
2. ปญั หาและอปุ สรรคในการดำ� เนนิ งานการพฒั นาโฮงมนู มงั เปน็ แหลง่ ทอ่ งเทยี่ วเชงิ สรา้ งสรรค์
บนตน้ ทนุ ทางวฒั นธรรม คอื 1) ปจั จบุ นั เยาวชนคนรนุ่ ใหมห่ ลงใหลในวฒั นธรรมตะวนั ตก จนคณุ คา่ มรดก
ทางวัฒนธรรมอีสานนั้นเส่ือมถอยลง คนรุ่นใหม่ไม่เห็นคุณค่าของการอนุรักษ์สืบทอดสืบสานในวิถีอีสาน
2) ขาดการบรหิ ารจดั การองคค์ วามรใู้ หก้ บั เยาวชนคนรนุ่ ใหมไ่ ดเ้ หน็ คณุ คา่ รว่ มกนั อนรุ กั ษส์ บื สานประเพณี
วัฒนธรรมวิถีอีสานอันดีงามไม่ให้เกิดการสูญหาย และ 3) ไม่มีการบริหารจัดการการท่องเที่ยว
เชงิ สรา้ งสรรค์ บนตน้ ทุนทางวฒั นธรรมแบบองคร์ วม หรอื แบบครบวงจร
สรุป แนวทางการพัฒนาโฮงมูนมังเป็นแหล่งท่องเท่ียวเชิงสร้างสรรค์ บนต้นทุนทางวัฒนธรรม
กรณศี กึ ษา: โฮงมนู มงั เมอื งขอนแกน่ ตำ� บลในเมอื ง อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั ขอนแกน่ นนั้ ตอ้ งเรมิ่ จากใหเ้ ยาวชน
คนรุ่นใหม่เห็นคุณค่าของมรดกบนต้นทุนทางวัฒนธรรม วิถีอีสาน ประเพณีอันดีงาม และให้เยาวชน
หันมาอนุรักษ์วัฒนธรรม สืบสานวิถีความเป็นอีสาน ขนบธรรมเนียมประเพณีท่ีควรค่าแก่การสืบทอด
ไมใ่ หส้ ญู หายจากร่นุ สรู่ ุ่น
ค�ำส�ำคัญ: การทอ่ งเท่ียวเชงิ สรา้ งสรรค์; ทุนทางวัฒนธรรม; โฮงมนู มัง

Abstract

The objective of this research was to study and analyze Community based
creative tourism and culture A case study of: Hong Moon Mung KhonKaen City Museum,
KhonKaen Province. First to study problems and obstacles the development of the Hong
Moon Mung to become a community based creative tourism. Second to study the
elements of the developed Hong Moon Mung to become a community based creative
tourism. Last, to study the develop Hong Moon Mung become a community based
creative tourism. On cultural costs 4 key informants were identified consisting are
1) Policy-maker 2) Groups of government agencies 3) Private entrepreneurs and
4) Community leaders. All groups are using in-depth interviews, data analysis using
descriptive and content analysis methods.

ปีท่ี 19 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 47

The research results were founded that:
1. There are 5 ways to develop Hong Moon Mung to be the creative and cultural
landmark. 1) Creating value. 2) Knowledge and development. 3) Invention. 4) Protection,
and 5) Motivation.
2. The obstacles to make Hong Moon Mung to be the creative and cultural
landmark are, 1) The youth are passionate to the western culture and let the value of I-San
culture decrease by not to continue it. 2) Lack of good management to make the youth
acknowledged and want to conserve the I-San culture. 3) Lack of good management to
make the Hong Moon Mung to be the creative and cultural landmark completely.
In conclusion of the development of the Hong Moon Mung to become a community
based creative tourism must begin with a new generation of young people who value
their heritage on the cost of the I-san culture. Starting from the new generation of young
people, the value of heritage on the cost of the I-san culture, good tradition and the
youth turned to cultural preservation. The traditions that should be worthy of inheritance
are not lost from generation to generation.
Keywords: Community Based Creative Tourism; Creative and Cultural; Hong Moon Mung

1. บทน�ำ มีความส�ำคัญต่อระบบเศรษฐกิจโลก 2 ด้าน คือ
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของการ
ในสภาวการณป์ จั จบุ นั เศรษฐกจิ โลกมกี าร ท่องเที่ยว และรายได้จากการท่องเที่ยว เป็นการ
ฟื้นตัวท่ีอ่อนแอมีปัญหาอุปสรรคที่เกิดจากภาวะ สร้างมลู ค่าหรอื คณุ ค่าจากความคิดของมนษุ ย์
วิกฤตจากสถานการคลังท่ีสะสมมาเป็นเวลานาน โดยองค์การยูเนสโก (United Nation
ส่งผลให้ประเทศต่างๆ เกิดการชะลอตัวทาง Educational, Science and Cultural Organization,
เศรษฐกิจ จากการได้รับผลกระทบด้านเศรษฐกิจ UNESCO) เกิดแนวคิดการพัฒนาการท่องเท่ียว
จงึ ทำ� ใหเ้ กดิ การแขง่ ขนั ภายใตค้ วามเจรญิ กา้ วหนา้ อย่างย่ังยืน จึงได้จัดการประชุมสหประชาชาติใน
ของยุคดิจิตอล (Digital) และระบบเทคโนโลยี ปี พ.ศ. 2515 ซึ่งต่อมาได้มีการส่งเสริมการ
สารสนเทศอนั ทนั สมยั (Information Technology: ทอ่ งเทย่ี วเชงิ สรา้ งสรรค์ (Creative Tourism) นบั วา่
IT) แนวคิดทส่ี �ำคญั อย่างหนง่ึ ทีก่ ่อเกดิ รายได้ให้กับ เป็นกระบวนทัศน์ใหม่ (New Travel Paradigm)
ประเทศ คอื การทอ่ งเทย่ี ว นบั วา่ เปน็ อตุ สาหกรรม เปน็ การเพมิ่ ทางเลอื กใหก้ บั นกั ทอ่ งเทยี่ ว จะเหน็ ได้
ทสี่ ามารถชว่ ยสง่ เสรมิ กระตนุ้ เศรษฐกจิ สรา้ งรายได้ ว่าจ�ำนวนนักท่องเที่ยวโลกมีอัตราการเติบโตต่อ
ใหก้ ับประเทศท่สี ร้างมูลคา่ อยา่ งมากมายมหาศาล

48 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

ปกี วา่ รอ้ ยละ 6 ซง่ึ ในปี 2558 มจี ำ� นวนนกั ทอ่ งเทยี่ ว เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ (Creative Economy)
ท่ัวโลก จ�ำนวน 1.2 พันล้านคน ซึ่งประเทศไทย (Sangsanit, 2013) ท่ีมีแนวคิดว่าท่องเที่ยว
มีอัตราการเติบโตของนักท่องเท่ียวขาเข้าสูงกว่า เชงิ สรา้ งสรรค์ เปน็ การถา่ ยทอดเรอื่ ง วถิ ชี วี ติ ความ
อัตราเฉล่ียของโลก ร้อยละ 12 ต่อปี ซึ่งสูงเป็น เป็นอยู่ของชุมชนน้ันๆ ให้นักท่องเที่ยวได้รับรู้
อันดับ 10 ของโลก นับวันจ�ำนวนนักท่องเที่ยว เร่ืองราวต่างๆ ของคนในชุมชน ได้เห็นถึงภูมิหลัง
ท่ัวโลกยิ่งมีเพ่ิมมากขึ้น (World Tourism ประวัติศาสตร์ ขนบธรรมเนียมประเพณี
Organization (UNWTO) ศลิ ปวฒั นธรรม รวมถงึ ภมู ปิ ญั ญา ทำ� ใหน้ กั ทอ่ งเทย่ี ว
ประเทศไทยเป็นประเทศท่ีมีความอุดม ได้เรียนรู้ ไม่เน้นการสร้างรายได้แก่ชุมชนแต่เน้น
สมบูรณ์ด้านทรัพยากรธรรมชาติเป็นอย่างมาก ความมีคุณค่าท่ีกอ่ ให้เกดิ แกช่ มุ ชนเพื่อความยัง่ ยืน
ท้ังที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ สิ่งที่มนุษย์สร้างข้ึน จงั หวดั ขอนแก่น ไดก้ อ่ ต้งั พิพิธภัณฑเ์ มือง
มีขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี ภูมิปัญญา โฮงมนู มงั เมอื งขอนแกน่ ตำ� บลในเมอื ง อำ� เภอเมอื ง
ปราชญ์ชาวบ้าน ศิลปวัฒนธรรมประจ�ำพื้นที่ของ จงั หวดั ขอนแกน่ โฮง มคี วามหมายวา่ หอ้ งหรอื หอ
แต่ละภูมภิ าคท่ีมคี วามเปน็ อัตลกั ษณ์ (Identities) ทมี่ ขี นาดใหญ่ มนู มงั มคี วามหมายวา่ ทรพั ยส์ มบตั ิ
จากแนวคดิ การทอ่ งเทย่ี วเชงิ สรา้ งสรรค์ (Creative หรือมรดกล�้ำค่า มรดกตกทอดของชาวขอนแก่น
Tourism) การท่องเที่ยวทางเลือก (Alternative จึงมีความหมายว่า ห้องหรือหอท่ีเก็บรวบรวม
Tourism) ที่พัฒนาต่อยอดมาจากแนวคิดการ เร่ืองราวทางมรดกอันล้�ำค่า ทางประวัติศาสตร์
ท่องเท่ียวโดยชุมชนหรือ Community-based ศลิ ปวฒั นธรรม ขนบธรรมเนยี มประเพณีอันดงี าม
Tourism อกี ทง้ั มาจากแนวคดิ ทฤษฎกี ารทอ่ งเทย่ี ว ที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตของคนขอนแก่นตั้งแต่ครั้ง
ยง่ั ยืน (Sustainable Tourism) ทใี่ ห้ความสำ� คัญ บรรพบุรุษจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลานในปัจจุบัน
กบั ชุมชนเป็นหลกั (Host Communities) ถา่ ยทอดเรอื่ งราวภมู หิ ลงั ศลิ ปวฒั นธรรมประเพณี
ดังนั้น รัฐบาลจึงได้เล็งเห็นความส�ำคัญ อันดีงาม ประวัติศาสตร์ของเมืองขอนแก่นมีมา
ของการสง่ เสรมิ การทอ่ งเทยี่ วในประเทศเปน็ วาระ ต้ังแต่สมัยบรรพบุรุษ เป็นทุนของวัฒนธรรมท่ีมี
แหง่ ชาติ (Nayional Agenda) ตง้ั แตป่ ี พ.ศ. 2552 คุณคา่ มีภูมปิ ญั ญาความรู้ และเกดิ จากการศึกษา
ปัจจุบันแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ค้นคว้า โดยผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ ปราชญ์
ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564) ซึ่งนำ� ทุนธรรมชาติ ชาวบ้านในทอ้ งถิ่นรวมถงึ ความศรทั ธา ความเชื่อ
ทนุ กายภาพ ทนุ สังคม ทนุ มนษุ ย์ ทนุ ทางการเงิน ความสามัคคีรักใคร่ผูกพันในสังคม เป็นการสร้าง
รวมถึงทุนทางวัฒนธรรม เป็นสิ่งขับเคล่ือนในการ กฎระเบียบกติกาที่จะท�ำให้อยู่ร่วมกันของคน
เปลี่ยนแปลงประเทศจากเศรษฐกิจยุคเก่ามา ในสังคม สอดคล้องกับ UNESCO ได้กล่าวถึง
ประยุกต์ผสมผสานให้มีความลงตัวให้เข้ากับ เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ เกิดจากแนวความคิด
เศรษฐกิจยุคใหม่ (New Economy) น่ันคือ ในการขับเคล่ือนจากอุตสาหกรรมที่มาจากความ

ปีท่ี 19 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 49

คิดสรา้ งสรรค์ ความมีประสบการณท์ สี่ ่ังสมมาเป็น สร้างสรรค์ บนต้นทุนทางวัฒนธรรม กรณีศึกษา:
ระยะเวลานาน โฮงมนู มงั เมอื งขอนแกน่ ตำ� บลในเมอื ง อำ� เภอเมอื ง
ด้วยเหตุผลดังกล่าว การศึกษาวิจัยใน จงั หวดั ขอนแก่น
ครง้ั น้ี เพ่ืออนุรกั ษส์ บื ทอดสบื สานในวิถอี สี านอันดี
งามจากรุ่นสู่รุ่นไว้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมให้ 3. วธิ ดี ำ� เนินการวจิ ยั
ตกทอดคงอยู่ของประเพณีแก่เยาวชนคนรุ่นใหม่
ไดเ้ ห็นคุณค่าได้เหน็ คณุ คา่ ร่วมกนั อนุรกั ษ์สบื สาน การวิจัยน้ี เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ
ประเพณวี ฒั นธรรมวถิ อี สี านอนั ดงี าม ไมใ่ หเ้ กดิ การ (Qualitative Research) (Nakhonchom, 2018
สูญหาย จึงท�ำการศึกษาแนวทางการพัฒนา : 163-173) เพ่ือให้ได้ข้อมูลปรากฏเชิงลึก
โฮงมูนมงั สกู่ ารเปน็ แหล่งท่องเทยี่ วเชิงสร้างสรรค์ โดยศึกษาจากข้อมูลเบื้องต้น (Primary Data)
บนต้นทุนทางวัฒนธรรม กรณีศึกษา: โฮงมูนมัง จากหนังสือ บทความ วิทยานิพนธ์ เอกสารของ
เมืองขอนแก่น ต�ำบลในเมือง อ�ำเภอเมือง จงั หวดั หน่วยงานราชการ รายงานการวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง
ขอนแก่น เพื่อเป็นแนวทางพัฒนาให้เป็นแหล่ง ตลอดจนข้อมูลจากการศึกษาสืบค้นทางระบบ
ท่องเท่ียวเชิงสร้างสรรค์ บนต้นทุนทางวัฒนธรรม อเิ ลก็ ทรอนกิ สท์ เี่ ปน็ ขอ้ มลู มาจากทางเวบ็ ไซตต์ า่ งๆ
ทคี่ วรคา่ แกก่ ารสบื สานวฒั นธรรมประเพณที ดี่ งี าม ขอ้ มลู การศกึ ษาภาคสนาม (Field Study) เปน็ การ
สืบทอดจนช่วั ลูกชั่วหลาน ศึ ก ษ า จ า ก ก า ร เ ก็ บ ข ้ อ มู ล ภ า ค ส น า ม โ ด ย ใ ช ้
แบบสอบถาม ซ่ึงเป็นการสัมภาษณ์แบบไม่เป็น
2. วตั ถุประสงค์ของการวจิ ัย ทางการทเ่ี นน้ การสมั ภาษณแ์ บบเจาะลกึ (In Dept
Interview) โดยการศึกษาจากกลุ่มผู้ให้ข้อมูล
1. เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคของ หลัก (Key information Interview) 4 กลุ่ม
การด�ำเนินงานแนวทางการพัฒนาการท่องเท่ียว ประกอบดว้ ย 1) ผู้กำ� หนดนโยบาย 2) ผบู้ ริหารท่ี
เชิงสร้างสรรค์ บนต้นทุนทางวัฒนธรรม กรณี เกยี่ วข้องกบั การทอ่ งเทย่ี ว 3) ผปู้ ระกอบการภาค
ศึกษา: โฮงมูนมังเมืองขอนแก่น ต�ำบลในเมือง เอกชนและนักท่องเที่ยว และ 4) ผู้น�ำชุมชน
อำ� เภอเมอื ง จังหวดั ขอนแกน่ โดยการใชว้ ธิ สี มั ภาษณเ์ ชงิ ลึก การวิเคราะหข์ อ้ มลู
2. เพ่ือศึกษาองค์ประกอบของการ ใช้เชิงพรรณนาและวิเคราะห์เนื้อหาเพ่ือน�ำข้อมูล
พัฒนาแนวทางการพัฒนาการท่องเท่ียวเชิง มาสรุปและใหข้ อ้ เสนอแนะ
สร้างสรรค์ บนต้นทุนทางวัฒนธรรม กรณีศึกษา:
โฮงมนู มงั เมอื งขอนแกน่ ตำ� บลในเมอื ง อำ� เภอเมอื ง 4. สรุปผลการวจิ ัย
จังหวัดขอนแกน่
3. ศึกษาแนวทางการพัฒนาและข้อ จากการศกึ ษาแนวทางการพฒั นาสง่ เสรมิ
เสนอแนะแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิง โฮงมูนมังเมืองขอนแก่น เป็นแหล่งท่องเท่ียว
เชงิ สรา้ งสรรค์ บนต้นทนุ ทางวัฒนธรรม โฮงมูนมงั

50 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

เมอื งขอนแกน่ อำ� เภอเมอื ง ตำ� บาลในเมอื ง จงั หวดั รใู้ หแ้ กเ่ ยาวชน โดยสอดแทรกในการเรยี นการสอน
ขอนแก่น ผู้วิจัยได้น�ำแนวคิดธุรกิจเชิงสร้างสรรค์ เพื่อเกิดการซึมซับวัฒนธรรมวิถีชีวิตอีสานให้
(Creative Economy) มาปรบั ใชใ้ นการพฒั นาการ เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้อนุรักษ์สืบสานต่อไป การ
ทอ่ งเทยี่ วเชงิ สรา้ งสรรค์ (Creative Tourism) และ ถ่ายทอดองค์ความรู้รวมถึงการบริหารจัดการให้
พิจารณาในองค์ประกอบหลัก 5 ด้านท่นี ำ� ไปสู่การ องค์ความรู้ให้อยู่กับท้องถ่ิน โดยการจัดอบรม
พฒั นา ดังน้ี มัคคุเทศก์ชุมชนและยุวมัคคุเทศก์ที่หลากหลาย
1. การสร้างคุณค่าของแหล่งท่องเที่ยว ช่วงอายรุ ุ่นเลก็ กลาง ใหญ่ เพื่อสร้างกลุ่มทีห่ ลาก
โฮงมูนมังเมืองขอนแก่น เป็นทรัพยากรท่ีมีคุณค่า หลายในการอนรุ กั ษส์ บื ทอดเรอ่ื งราวประวตั ศิ าสตร์
ด้านจิตใจ ซึ่งเก็บรวบรวมเรื่องราววิถีชีวิต เมอื งขอนแกน่ ประเพณีทด่ี งี าม วถิ อี ีสานท่คี วรค่า
ประวัตศิ าสตรข์ องเมือง เป็นแหล่งเรยี นร้รู ากเหง้า แก่การอนุรักษ์มรดกบนต้นทุนทางวัฒนธรรมของ
ของชาวขอนแก่น เพื่อให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้ คนขอนแก่นท่ีสืบทอดจากลูกหลานชาวขอนแก่น
เรยี นรวู้ ฒั นธรรมอันเก่าแก่ ไม่ว่าจะเปน็ ฮีตสบิ สอง อย่างแท้จรงิ
คลองสิบสี่ แบบจ�ำลองวิถีชีวิตอย่างเรียบง่ายของ ส่วนด้านการศึกษา “มีหลักสูตรของ
คนขอนแก่น ด้วยความเชื่อว่าเป็นการสร้าง ไทน้อยจาก EU เร่ืองของภาษาถิ่น คือ ไทน้อย
จติ สำ� นกึ รกั ทอ้ งถนิ่ ในบา้ นเกดิ เมอื งนอนของตวั เอง ตอนน้ีได้บรรจุในหลักสูตรการเรียนการสอนของ
เมอ่ื เกดิ ความภาคภมู ใิ จในบา้ นเกดิ พวกเขาเหลา่ นน้ั โรงเรียนเทศบาลนครขอนแก่น ตอนน้ีนักเรียน
จะกลับมาพัฒนาบ้านเกิดของตนเอง จากการ สามารถอ่านได้ และเราได้ให้นกั เรียน 11 โรงเรียน
สมั ภาษณก์ ลมุ่ ผกู้ ำ� หนดนโยบาย รหสั A 1 วนั ที่ 11 ไปเรียนรู้ในโฮงมูนมังมีรูปแบบ ฮีตสิบสองจะน�ำ
พฤษภาคม 2560 โฮงมนู มงั เปน็ แหลง่ เกบ็ รวบรวม การถอดบทเรียนในโฮงมูนมัง” สัมภาษณ์กลุ่ม
มรดกบนต้นทุนทางวัฒนธรรมของชาวอีสาน ผกู้ ำ� หนดนโยบาย รหสั A2 วนั ท่ี 7 มถิ นุ ายน 2560
ขนบธรรมเนียมประเพณี ฮีตสิบสองคลองสิบสี่ 3. ด้านการประดิษฐ์คิดค้น โฮงมูนมัง
ภูมิปัญญาชาวบ้าน วิถีอีสาน ปราชญ์ชาวบ้านให้ เมืองขอนแก่นมีภาพลักษณ์ที่น่าสนใจและเป็นที่
เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้เห็นคุณค่า มีความน่าสนใจ ดึงดูดให้นักท่องเท่ียวมาเย่ียมชม คือ การสืบสาน
ความมีเสน่ห์ เห็นความดีงามของจนเกิดการ ศิลปวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม เป็นแหล่ง
อนุรกั ษ์สืบสานวถิ อี สี านให้คงอยู่จากร่นุ สู่รุ่น รวบรวมประวัติศาสตร์ต่างๆ ของเมืองขอนแก่น
2. ด้านการเรียนรู้และพัฒนาเครือข่าย ให้ประชาชน นักศึกษา บุคคลทั่วไปได้มาเรียนรู้
หนว่ ยงานภาครฐั และองคก์ รทเี่ กยี่ วขอ้ งนำ� หลกั สตู ร อีกท้ังยังรองรับการเรียนรู้นอกห้องเรียนนักเรียน
ทอ้ งถนิ่ ความรู้ ภมู ปิ ญั ญา ปราชญช์ าวบา้ น วถิ อี สี าน ในสังกัดเทศบาลนครขอนแก่น ให้เยาวชนรุ่นใหม่
ขนบธรรมเนียมประเพณี ซึ่งเป็นมรดกบนต้นทุน ไดซ้ มึ ซับความเปน็ วิถอี ีสานภมู ิใจทมี่ มี รดกตกทอด
ทางวฒั นธรรมของชาวอสี าน มาถา่ ยทอดองคค์ วาม บนตน้ ทนุ ทางวฒั นธรรมไมไ่ ปลมุ่ หลงกบั วฒั นธรรม

ปที ่ี 19 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 51

ของชาตติ ะวนั ตกจนขาดความเปน็ ตวั ตน จากความ 4. ด้านการคุ้มครอง โฮงมูนมังเมือง
เชอ่ื วา่ การจดั การศกึ ษาความรไู้ มไ่ ดอ้ ยใู่ นหอ้ งเรยี น ขอนแกน่ มคี ณะกรรมการทป่ี รกึ ษาโฮงมนู มงั เมอื ง
อย่างเดียว ความรู้สามารถอยู่ได้ทั่วไป โฮงมูนมัง ขอนแก่นท่ีมีหลายภาคส่วนเข้ามาร่วมดูแลรักษา
เป็นแหล่งเรียนรู้ให้เด็กเปล่ียนบรรยากาศจากห้อง และพัฒนาใหเ้ ป็นแหล่งเรียนรู้ ซงึ่ จะมกี ารประชมุ
ส่ีเหล่ียม อีกทั้งอยากให้คนขอนแก่นรู้สึกว่าชาว เปน็ ประจำ� ทกุ เดอื น จากคณะทำ� งานของโฮงมนู มงั
ขอนแก่นนัน้ มีรากเหงา้ เกดิ ความภาคภมู ิใจเพราะ ประกอบด้วย ประธานสภาเทศบาล สมาชิกสภา
จังหวัดขอนแก่นเราจะแตกต่างจากจังหวัดท่ีมี เทศบาล มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ สำ� นกั ศลิ ปากรท่ี 8
ประวัติศาสตร์ระดับประเทศมีเรื่องราวท่ีปรากฎ ขอนแก่น สมาคมไทสิกขา องค์กรพัฒนาเอกชน
ชัดเจน จะเห็นได้ว่าผู้ท่ีประสบผลส�ำเร็จระดับ หรอื อพช. (NGO) ผทู้ รงคณุ วฒุ แิ ละตวั แทนภาคชมุ ชน
ประเทศน้ันมีคนขอนแก่นอยู่เป็นจ�ำนวนมาก เช่น นอกจากน้ี กรมศิลปากรได้ข้ึนทะเบียน
นักการเมืองระดับประเทศ แพทย์ท่ีมีช่ือเสียง โบราณวัตถุในโฮงมูนมัง เพ่ือคุ้มครอง ควบคุม
โดง่ ดงั นกั กฬี าทมี ชาตจิ นถงึ ระดบั โลก ศลิ ปนิ ดารา และดูแลรักษาโบราณสถานได้อย่างเต็มที่ น�ำไปสู่
นักร้อง นกั สื่อสารมวลชน เป็นต้น กลุ่มคนเหล่านี้ การอนุรักษ์วัตถุโบราณที่มีคุณค่าภายในโฮงมูนมัง
ส่วนใหญ่ไปใช้ชีวิตเมืองใหญ่ไม่กลับมาเมือง เพอื่ ใหค้ งสภาพทด่ี ีทสี่ ดุ อกี ทัง้ ยังมีกฎ กติกาไม่ให้
ขอนแกน่ วัตถุส่ิงของนั้นเสื่อมสภาพ และถูกท�ำลายให้
ภายใต้แนวคิดของเทศบาลนครขอนแก่น สามารถคงสภาพไว้ได้นาน ดังค�ำกล่าวที่ว่า คณะ
ในการสร้างอัตลักษณ์ของเมืองสู่ฐานท่ีมั่นทาง กรรมการท่ีปรึกษาโฮงมูนมังได้มีการต้ังกฎกติกา
วฒั นธรรมรว่ มสมยั โดยการนำ� วรรณกรรมพนื้ บา้ น เพื่อให้นักท่องเท่ียวที่มาเย่ียมชม หรือมาศึกษา
ลมุ่ น้ำ� โขง คอื วรรณกรรมเร่ือง สงั ข์สนิ ไชย ซ่ึงเกดิ เรียนรดู้ า้ นประวัตศิ าสตรเ์ มอื งขอนแกน่ ดา้ นศิลป
แรงแรงบันดาลจากสิมวัดไชยศรี ต�ำบลสาวะถี วฒั นธรรม ขนบธรรมเนยี มประเพณี วิถีชวี ิตความ
จังหวัดขอนแก่น ได้ถ่ายทอดความงดงามด้าน เปน็ อยขู่ องชาวอีสาน รวมถงึ วถิ ีชวี ติ ชาวขอนแก่น
ศิลปะที่อยู่บน ฮูปแต้มของวรรณกรรมเร่ือง จนถึงผู้ท�ำคุณประโยชน์ให้กับเมืองขอนแก่น
สังข์สินไชย น�ำมาถ่ายทอดเรื่องราวเชิงสัญลักษณ์ ได้มีกติกาการใช้โฮงมูนมังร่วมกัน เช่น ห้ามน�ำ
คือ น�ำมาเป็นสถาปัตยกรรม ครีเอทีฟ อีโคโนมี อาหาร เคร่อื งด่มื เขา้ มา หา้ มสง่ เสยี งดัง หา้ มน�ำ
(CREATIVE ECONOMY) เสาไฟฟ้าสถาปัตยกรรม สัตว์เลีย้ งเข้ามา เดนิ เข้า-ออก ทางเดยี วไม่ยอ้ นศร
ที่มีรูปหอยสังข์ สินไซ และสีโห กลายเป็นภาพ หา้ มจบั ส่งิ ของที่มปี ้ายหา้ มจบั ซึง่ จะเกิดความเสยี
ลักษณ์ อัตลักษณ์ของเมือง ซึ่งก่อให้เกิดการปรับ หายชำ� รุด (สัมภาษณ์กลุ่มผู้กำ� หนดนโยบาย รหัส
ภูมิทัศน์เมืองให้น่าสนใจให้เป็นแหล่งท่องเท่ียว” A5 วันที่ 5 พฤษภาคม 2560)
สัมภาษณ์กลุ่มผ้กู ำ� หนดนโยบาย รหสั A1 วันท่ี 11 5. ด้านแรงจูงใจ จากการศึกษาองค์
พฤษภาคม 2560 ประกอบทางด้านการจูงใจในมิติการบริการท่ีดี

52 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

ความปลอดภัยของแหล่งท่องเท่ียวพบว่า มีความ ขอนแก่นเป็นเมืองท่องเที่ยวหลักในประเทศไทย
ปลอดภัยสูง เพราะสถานที่โฮงมูนมังอยู่ในแหล่ง น�ำไปสู่การท่องเท่ียวโลกให้เป็นที่รู้จัก และสร้าง
ชุมชน อยู่ในสวนสาธารณะบึงแก่นนครใจกลาง บรรยากาศให้เกิดการกิจกรรมอย่างต่อเน่ืองเป็น
เมอื งขอนแกน่ มคี วามสะดวกสบายในการเดนิ ทาง ประจ�ำ เพ่ือส่งเสริมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว
มีร้านอาหาร และหน่วยงานรัฐอยู่รอบบริเวณ เชงิ สรา้ งสรรค์ Creative Space หรือ Creative
ความมีเสน่ห์ของโฮงมูนมังอีกอย่างหน่ึงคือ อาสา Tour ใหเ้ ยาวชนรนุ่ ใหมส่ บื สานวถิ อี สี าน วฒั นธรรม
สมัครลูกหลานชาวขอนแก่นเป็นมัคคุเทศก์ชุมชน ประเพณีทอ้ งถน่ิ ท่ีขาดขายไปกลบั มาอนุรกั ษฟ์ น้ื ฟู
มีบคุ คลกิ ย้มิ แยม้ แจ่มใส สมั ผัสถึงความจรงิ ใจรอย ให้คงอยู่จากรุ่นสู่รุ่น ซ่ึงสอดคล้องกับแนวคิดของ
ย้ิมที่น่าประทับใจ และการแต่งกายแบบพ้ืนเมือง นาฬิกอัติภัค แสงสนิท (Sangsanit, 2013)
ดังน้ันเมื่อนักท่องเท่ียวได้มาเรียนรู้ ได้มาเห็น ทอ่ งเที่ยวเชงิ สร้างสรรค์ คอื การถา่ ยทอดเรื่องวิถี
โบราณวัตถุ งานศิลปะ วิถีชีวิตสมัยก่อน วัตถุ ชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนน้ันๆ ให้นักท่องเท่ียว
จ�ำลองบ้าง วัตถุจริงจริงบ้าง พัฒนาการของเมือง ได้รับรู้เรื่องราวต่างๆของคนในชุมชน ได้เห็นถึง
ขอนแก่น ขนบธรรมเนยี มประเพณีของชาวอสี าน ภูมิหลัง ประวัติศาสตร์ ขนบธรรมเนียมประเพณี
การดึงดูดเข้าไปชมป้าย สัญญาณต่างๆ การ์ตูน ศลิ ปวฒั นธรรมรวมถงึ ภมู ปิ ญั ญา ทำ� ใหน้ กั ทอ่ งเทยี่ ว
สัญลักษณ์ หรือ แมสคอต ร้านอาหาร รา้ นกาแฟ ได้เรียนรู้และเปลี่ยนกับเจ้าของพ้ืนที่อย่างแท้จริง
อาจจะมีล็อคมีร้านค้าให้แต่ละชุมชนเข้ามามีส่วน ซึง่ ไมเ่ นน้ การสร้างรายได้แก่ชมุ ชน แต่เนน้ ความมี
ร่วม แตต่ ้องมีมาตรฐาน ตอ้ งมคี วามสะอาด นกึ ถึง คณุ ค่าท่กี อ่ ใหเ้ กดิ แกช่ ุมชนน�ำไปสู่ความย่งั ยนื
แบรนด์ ชาวบ้านท�ำก็ได้แต่ต้องมีมาตฐานความ 2. ด้านการเรียนรู้และพัฒนาเครือข่าย
สะอาดที่เปน็ อกี เกรดหนงึ่ จะต้องหาจดุ เด่นแต่ละ การให้ความร่วมมือไม่เพียงแต่เฉพาะเจาะจงกลุ่ม
ชมุ ชนมา เชน่ ขอนแกน่ มขี นมตุบตบ๊ั ขึ้นชอ่ื ก็นำ� มา ใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นกระบวนการสร้างการมีส่วน
ขาย หรือไม่ก็มีการสาธิตในการท�ำในส่วนการจัด รว่ มในหลายภาคสว่ น ไมว่ า่ จะเปน็ ชมุ ชนทงั้ ในเขต
แสดงด้านใน(สัมภาษณ์กลุ่มหน่วยงานราชการท่ี และนอกเขตเทศบาล หน่วยงานภาครัฐ เอกชน
เก่ยี วขอ้ ง รหัส B2 วันท่ี 23 พฤษภาคม 2560) สถาบนั การศกึ ษา องคก์ ร สมาคมตา่ งๆ ในดา้ นการ
มีส่วนร่วมอย่างแท้จริงเพ่ือสร้างความสมัครสมาน
5. อภปิ รายผลการวจิ ัย สามคั คแี ละรเิ รมิ่ สรา้ งสรรคใ์ หช้ าวจงั หวดั ขอนแกน่
เกดิ ความรูส้ กึ เป็นเจ้าของ และเพอ่ื ส่งเสรมิ ใหช้ าว
1. แนวทางการพัฒนาการท่องเท่ียวเชิง ขอนแก่นเกิดความหวงแหน เกิดความภาคภูมิ
สรา้ งสรรค์ บนตน้ ทนุ ทางวฒั นธรรม โฮงมนู มงั เมอื ง ในในบ้านเกิดของตนเอง ควรมีการอบรมเพ่ิมพูน
ขอนแก่น โดยนำ� กรอบแนวคิด 5 ดา้ น นำ� ไปสกู่ าร ความรดู้ า้ นภาษาจนี และภาษาองั กฤษแกม่ คั คเุ ทศก์
พัฒนาการท่องเที่ยว ดังน้ี 1) ด้านการสร้างคณุ คา่ ชุมชนเพ่ือรองรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และ
ให้แหล่งท่องเท่ียว ควรมีการจัดงานส่งเสริมให้

ปีท่ี 19 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 53

การเรียนรู้และอนุรักษ์วัฒนธรรมฟื้นฟูภูมิปัญญา 6. ปัญหาและอุปสรรคของการด�ำเนิน
ท้องถิ่น บรรจุในด้านการศึกษาโรงเรียนในสังกัด งานการพฒั นาโฮงมนู มงั สกู่ ารเปน็ แหลง่ ทอ่ งเทยี่ ว
เทศบาลนครขอนแก่น เชงิ สรา้ งสรรค์ บนตน้ ทนุ ทางวฒั นธรรม กรณศี กึ ษา
3. ด้านการประดษิ ฐ์คิดค้น มกี ารค้นหา โฮงมนู มงั เมอื งขอนแกน่ ตำ� บลในเมอื ง อำ� เภอเมอื ง
อัตลกั ษณ์เมืองขอนแกน่ โดยนำ� วรรณกรรมล่มุ น�้ำ จังหวัดขอนแก่น คือ 1) เยาวชนคนรุ่นใหม่ไป
โขงสังข์สินไซ น�ำคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 5 หลงใหลในวฒั นธรรมตะวนั ตกจนหลงลมื รากเหงา้
ประการ มาใช้ในด้านการศึกษา พัฒนาองค์กร ของตนเอง 2) ขาดการการบริหารจัดการในการ
ขบั เคลอ่ื นสงั คมใหเ้ กดิ ความสนั ตสิ ขุ และสมานฉนั ท์ สบื สานขนบธรรมเนยี ม ประเพณอี นั ดงี าม วถิ คี วาม
การพัฒนาเมืองเพื่อปลูกฝังให้ประชาชนและ เป็นอีสานให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้อนุรักษ์สืบทอด
เยาวชน เห็นความส�ำคัญของคุณค่าในศิลป จากรุ่นสู่รุ่น 3) การบริการจัดการการท่องเที่ยว
วัฒนธรรมของตนเองที่มี เกิดความภาคภูมิใจ แบบครบวงจรหรือแบบองคร์ วม
ในท้องถ่ิน สร้างอัตลักษณ์ความเป็นเมืองมากขึ้น
โดยการสรา้ งประตมิ ากรรมเสาไฟประดบั เมอื งเปน็ 6. ขอ้ เสนอแนะ
รปู สโี ห หอยสงั ข์ และสินไซ
4. ด้านการคุ้มครอง หน่วยงานภาครัฐ 1. ข้อเสนอแนะเชงิ นโยบาย
เอกชน สถาบนั การศกึ ษา ผทู้ รงคณุ วฒุ ิ และชมุ ชน 1.1 หน่วยงานภาครัฐควรส่งเสริม
ให้การส่งเสริมและสนับสนุนให้มีคณะกรรมการที่ และสนับสนุนการพัฒนาโฮงมูนมังให้เป็นแหล่ง
ปรึกษาโฮงมูนมงั ควรท่ีจะต้องมกี ฎกติกาเพอื่ การ ท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ บนต้นทุนทางวัฒนธรรม
ปกป้องคุ้มครองทรัพย์สมบัติของท่ีมีคุณค่าทาง ให้เป็นท่ีรู้จักมีการจัดงานกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง
ประวัติศาสตร์ของเมืองขอนแก่นให้สามารถด�ำรง เป็นประจ�ำ ส่งเสริมขอนแก่นเป็นเมืองท่องเที่ยว
อยไู่ ด้อย่างยง่ั ยืน หลกั ในประเทศไทยสามารถนำ� ไปสกู่ ารทอ่ งเทยี่ วโลก
5. ดา้ นการจงู ใจ หนว่ ยงานภาครฐั เขา้ มา 1.2 หน่วยงานภาครัฐและองค์กร
ส่งเสริมให้สถานที่ท่องเท่ียวมีความน่าประทับใจ ท่ีเกี่ยวข้องเห็นความส�ำคัญและร่วมสนับสนุน
ในด้านความปลอดภัยมีมาตรฐานให้เป็นท่ียอมรับ ส ่ ง เ ส ริ ม ก า ร บ ริ ห า ร จั ด ก า ร ใ น ก า ร สื บ ส า น
การจอดรถ เทคโนโลยีสารสนเทศ มีส่ิงอ�ำนวย ขนบธรรมเนียม ประเพณีอันดีงาม วิถีความเป็น
ความสะดวกอย่างครบครันพร้อมให้บริการแก่นัก อีสานให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้อนุรักษ์สืบทอดจาก
ท่องเที่ยว ส่งเสริมองค์ความรู้ด้านภาษาแก่ รุ่นส่รู ุ่น
มัคคุเทศก์ชุมชน และส่งเสริมให้คนในชุมชนเห็น 1.3 ภาครัฐ หน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง
คุณค่ามรดกบนต้นทุนทางวัฒนธรรมอันดีงามที่ องคก์ ร เครอื ขา่ ย และชมุ ชน ตอ้ งมสี ว่ นรว่ มในการ
สืบทอดกันมา บรหิ ารจดั การการทอ่ งเทย่ี วแบบองคร์ วมหรอื แบบ
ครบวงจร (Activities of Tourism Services)

54 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

2. ข้อเสนอแนะเชงิ พฒั นา ภาษาจนี ภาษาองั กฤษ ใหม้ คี วามชำ� นาญเชย่ี วชาญ
ควรมพี น้ื ทสี่ ำ� หรบั การจดั กจิ กรรมการ และเข้าใจประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเมือง
แสดงของนักเรียน นักศึกษา ควรมีการแบ่งพ้ืนที่ ขอนแก่นเป็นอย่างดี และควรส่งเสริมให้มีการจัด
ให้เป็นสัดส่วนส�ำหรับการสืบค้น ค้นหาข้อมูล แสดงวางจำ� หนา่ ยผลติ ภัณฑ์ของดีแต่ละชุมชน
ไว้บริการ และควรน�ำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการ 3. ขอ้ เสนอแนะในการศึกษาครง้ั ตอ่ ไป
จดั ทำ� ฐานขอ้ มลู เพอื่ ใหก้ ารสบื คน้ ขอ้ มลู ไดส้ ะดวก ควรศึกษาการสืบสานภูมิปัญญา
รวดเร็ว และมีความความน่าเชื่อถือ รวมถึง ท้องถิ่นในการก�ำหนดแนวทางการพัฒนาการ
ควรพัฒนาเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูล สำ� หรับสถาน ท่องเท่ียวเชิงสร้างสรรค์ บนต้นทุนทางวัฒนธรรม
ท่ีท่องเท่ียวแบบครบวงจรของเมืองขอนแก่น เช่น กรณศี กึ ษา : โฮงมนู มงั เมอื งขอนแกน่ ตำ� บลในเมอื ง
บรกิ ารโปรแกรมทอ่ งเทยี่ ว โรงแรม ทพ่ี กั โฮมสเตย์ อ�ำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น เพื่อให้สอดคล้อง
การท่องเที่ยวกับชุมชน เป็นต้น นอกจากน้ี หรือรองรับแผนการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ
ควรเพิ่มพูนความรู้แก่มัคคุเทศก์ด้านภาษา เช่น เชิงสรา้ งสรรคข์ องจังหวัดขอนแกน่

References

Crispin Raymond Greg Richards. (2009). Creative Tourism, a Global Conversation. Rebecca
Wurzburger, Tom Aageson, Alex Pattakos, Sabrina Pratt: 9780865347243: Amazon.
com : Books.

Nakhonchom, V. (2018). The Model for Paying Homage to Buddha Relics in KhonKaen
Province. Dhammathas Academic Journal, 18(3) Special Issue, 163-173

Unesco. (2001). Universal Declaration on Cultural Diversity. http://unesdoc.unesco.org/
images/0012/001271/127160m.pdf (Accessed 12 September 2016).

Richards, G. (2010). Creative Tourism: A Global Conversation: How to Provide Unique
Creative Experiences for Travelers Worldwide. Santa Fe : Sunstone Press.

Sangsanit, N. (2013). Creative Tourism Policy Focus on Community Development for
Sustainable Tourism. http://dasta.23perspective.com (Accessed 12 September
2016).

การฟื้นฟูและรักษาความสมดุลสขุ ภาพกายและจิต
ตามหลกั พระพทุ ธศาสนา นิกายวชั รยาน*

Rehabilitation and Curing for the Physical and Mental
Balance According to Vajrayana Buddhism

สุทธพิ นั ธ์ ถนอมพนั ธ,์ พระครสู ุนทรสงั ฆพินติ , เทพประวิณ จันทร์แรง1 และสมหวัง แก้วสุฟอง2
Sutthipun Thanompun, Phrakru Sunthornsanghapinit,
Thepprawin Chanreang and Somwang Kaewsufong

มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่1
มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่2

Mahachulalongkornrajavidyalaya University, Chiang Mai Campus, Thailand
Chiang Mai University, Thailand

Corresponding Author, E-mail: [email protected]

บทคัดยอ่

การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการฟื้นฟูและรักษาความสมดุลสุขภาพกายและจิต
ในตะวันออกและตะวนั ตก 2) เพ่อื ศกึ ษากระบวนการและผลลัพธ์การฟ้นื ฟแู ละรักษาความสมดุลสขุ ภาพ
กายและจติ ตามหลกั พระพทุ ธศาสนา นกิ ายวชั รยาน และ 3) เพอื่ ศกึ ษาวเิ คราะหก์ ระบวนการและผลลพั ธ์
การฟื้นฟูและรักษาความสมดุลสุขภาพกายและจิตตามหลักพระพุทธศาสนา นิกายวัชรยาน ระเบียบวิธี
วจิ ัยเปน็ การศกึ ษาเชงิ วิเคราะหเ์ อกสารและส�ำรวจหาหลักฐานข้อมูลภาคสนาม จากการสัมภาษณ์แพทย์
ผปู้ ว่ ยและผปู้ ฏิบัตธิ รรมในชมุ ชนทิเบต เมอื งธรรมศาลา รฐั หิมาจลั ประเทศอนิ เดยี
ผลการวจิ ยั พบว่า
การฟื้นฟูและรักษาความสมดุลสุขภาพกายและจิตในตะวันออกและตะวันตก มีพัฒนาการจาก
การแพทย์แผนโบราณของชนเผ่าอย่างต่อเน่ือง โดยใช้สมุนไพรควบคู่การบูชาเทพเจ้าตามความเช่ือทาง
ศาสนาและวฒั นธรรมประเพณี ทางตะวนั ออกพฒั นาเปน็ ศาสตรอ์ ายรุ เวท การแพทยแ์ ผนจนี และการแพทย์
เชิงพุทธทางตะวันตกได้พัฒนาเป็นการแพทย์สมัยใหม่ กระบวนการฟื้นฟูและรักษาความสมดุลสุขภาพ
กายและจติ ตามหลกั พระพทุ ธศาสนา นกิ ายวชั รยาน เปน็ การเยยี วยาโรคตามโพธสิ ตั วม์ รรค แบง่ ออกเปน็

* ได้รับบทความ: 28 พฤษภาคม 2561; แกไ้ ขบทความ: 23 มกราคม 2562; ตอบรบั ตพี ิมพ์: 14 กุมภาพนั ธ์ 2562
Received: May 28, 2018; Revised: January 23, 2019; Accepted: February 14, 2019

56 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

2 แบบคอื 1) การรักษาความสมดุลสุขภาพกายและจิตเพอื่ สขุ ภาพทด่ี ี และ 2) การฟนื้ ฟูและรกั ษาความ
สมดลุ สขุ ภาพกายและจติ ในภาวะเจบ็ ป่วย กระบวนการแรกเปน็ การให้คำ� แนะนำ� ด้านอาหาร พฤติกรรม
การใชช้ วี ติ แกผ่ ทู้ มี่ ภี าวะสขุ ภาพปกติ กระบวนหลงั เปน็ การฟน้ื ฟคู วามสมดลุ ระดบั ตรธี าตขุ องผปู้ ว่ ยในดา้ น
อาหาร พฤติกรรม บ�ำบัดโดยยาสมุนไพร และรักษาแบบอ่ืน ผลลัพธ์ท่ีเกิดขึ้นส่งผลต่อ 3 ด้าน คือ
1) ไมเ่ จบ็ ปว่ ยหรือหายปว่ ย 2) อายุยืนยาว และ 3) ชวี ิตมคี วามสขุ สงบ เมือ่ วเิ คราะห์กระบวนการและ
ผลลัพธ์ พบว่า มที ัง้ ความเหมือนและความแตกตา่ งกับการดแู ลสขุ ภาพในระบบการแพทยส์ มัยใหม่
ค�ำสำ� คัญ: ความสมดลุ สุขภาพกายและจิต นกิ ายวชั รยาน; การแพทยแ์ ผนทเิ บต

Abstract

This research consists of 3 objectives as: 1) to study the concept of rehabilitation
and curing for the balance of physical and mental health in the Asia and the West; 2) to
study the process and outcomes of rehabilitation and curing for the balance of physical
and mental health in line of Vajrayana Buddhism and 3) to analyze the process and
outcomes of rehabilitation and curing for the balance in line of Vajrayana Buddhism.
Research methodology was a document analysis study and the survey for evidence-based
through field interviewed with the doctors, patients and practitioners in Tibetan
community: Dharamsala, Himachal Pradesh, India.
Results of the research were as follows:
The concept of rehabilitation and curing for the balance of physical and mental
health in the Asia and West had been developed from traditional medicine of the
primitives by healing with herbs and worship God; based on religious and cultural beliefs.
In the Asia, it was developed into Ayurvedic, Traditional Chinese Medicine and Buddhist
medicine and the West, it was developed into modern medicine. The process of rehabilitation
and curing for balanced of physical and mental in line Vajrayana Buddhism was the
Bodhisattva’s path healing by Tibetan doctors ; divided into 2 aspects as 1) the process
of promoting for the balance of physical and mental health; 2) the process of rehabilitation
and maintaining for the balance of physical-mental health. The first process is giving
dietary, habit and behaviors lifestyles advices for healthy personals. The second process
is rehabilitation and balance of three humors in body and mind patients by dietary,

ปที ่ี 19 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 57

habit and behaviors lifestyles advice, herbal medicine and other treatments. The results
of process; consisted of 3 effects: 1) wellbeing; recovery from illness; 2) longevity and 3)
peaceful life. The data analysis of process and outcomes of rehabilitation and curing for
balanced of physical and mental health in line of Vajrayana Buddhism illustrated there
were the similarity and the difference from modern medical science.
Keywords: The Physical and Mental Health Balance According to Vajrayana Buddhism;
Tibetan Medicine

1. บทน�ำ ดังมีกรณีศึกษาของท่านลามะ พัคยับ รินโปเช
ป่วยด้วยโรคเบาหวาน และมีการติดเชื้อวัณโรค
ปัจจุบนั ดว้ ยโลกมีการเปลยี่ นแปลงสภาพ ทกี่ ระดกู สนั หลงั ตอ่ มาอาการตดิ เชอ้ื ลกุ ลาม แพทย์
สิง่ แวดล้อม ภูมศิ าสตร์ สังคม วฒั นธรรมและการ ไดแ้ นะนำ� ใหต้ ดั ขาทงิ้ ทา่ นไดข้ อคำ� ปรกึ ษาจากทา่ น
ดำ� เนนิ ชวี ติ ทำ� ใหม้ โี รคใหมๆ่ เชอ้ื กอ่ โรคทกี่ ลายพนั ธ์ุ ทะไลลามะที่ 14 ทรงแนะน�ำให้รักษาด้วยการท�ำ
สง่ ผลตอ่ ความเจ็บป่วยท่รี ุนแรงมากขนึ้ ประชาชน สมาธซิ าลงั (Tsa Lung Meditation) และสวดมนต์
ทั่วโลกจึงตื่นตัวในการแก้ไขปัญหาความเจ็บป่วย หลงั จากนนั้ แผลหายและทา่ นลามะสามารถเดนิ ได้
การแพทย์แผนปัจจุบันเป็นการแพทย์กระแสหลัก ทางคณะแพทย์มหาวิทยาลัยนิวยอร์กสรุปว่า
เน้นการใช้ความเจริญทางวิทยาศาสตร์และ เป็นการรักษาท่ีได้ผลมากกว่าการแพทย์แผน
เทคโนโลยี หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ในการดแู ลรกั ษา ปัจจุบัน (ASTV Manager Online, 2013)
ซึ่งช่วงหลังมีการพูดถึงข้อจ�ำกัดของระบบการ ด้วยปัญหาโรคและความเจ็บป่วยท่ีเพิ่มมากข้ึน
แพทยส์ มยั ใหมท่ ม่ี งุ่ รกั ษาโรคของผปู้ ว่ ยเฉพาะสว่ น และสังคมต้องการทางเลือกในการดูแลสุขภาพ
ไมไ่ ดค้ รอบคลมุ ทุกมิตทิ ง้ั กาย จติ สงั คม รวมทง้ั จติ ทคี่ รอบคลมุ มติ ิ กาย จติ สงั คม รวมทงั้ จติ วญิ ญาณ
วิญญาณ อันเป็นส่ิงส�ำคัญและเป็นศิลปะสูงสุด ดงั นน้ั ผ้วู จิ ัยจึงมคี วามสนใจศกึ ษาในการ
ในการเยยี วยารกั ษาโรค ทำ� ใหผ้ คู้ นหนั มาสนใจทาง ฟื้นฟูและรักษาความสมดุลสุขภาพกายและจิต
เลือกอื่นๆ เช่น สมุนไพรบ�ำบัด ธรรมชาติบ�ำบัด ตามหลกั พระพทุ ธศาสนา นกิ ายวชั รยาน ใหช้ ดั เจน
ชวจติ พลงั จกั รวาล สมาธบิ ำ� บดั (Chuaprapaisilp,
2000 : 78) ตลอดจนพุทธวิธีบ�ำบัดโรค พุทธวิธี 2. วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจัย
บ�ำบัดโรคในพระพุทธ ศาสนานิกายวัชรยานหรือ
การแพทยท์ เิ บตนน้ั เปน็ มรดกลำ้� คา่ ทไ่ี ดส้ บื ทอดมติ ิ 1. เพ่ือศึกษาการฟื้นฟูและรักษาความ
ทเ่ี ปน็ วทิ ยาศาสตรข์ องปรชั ญาพทุ ธศาสนามาหลาย สมดลุ สขุ ภาพกายและจติ ในตะวนั ออกและตะวนั ตก
ศตวรรษ ในระยะหลังวงการนักวิทยาศาสตร์ 2. เพื่อศึกษากระบวนการและผลลัพธ์
และการแพทย์ระดับโลกได้ให้ความสนใจศึกษา การฟน้ื ฟแู ละรกั ษาความสมดลุ สขุ ภาพกายและจติ

58 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

ตามหลกั พระพุทธศาสนา นกิ ายวชั รยาน มาวิเคราะหเ์ ชิงเนอื้ หา
3. เพอื่ วเิ คราะหก์ ระบวนการและผลลพั ธ์ ขน้ั ตอนที่ 4 ศกึ ษารวบรวมขอ้ มลู ทไี่ ดจ้ าก
การฟน้ื ฟแู ละรกั ษาความสมดลุ สขุ ภาพกายและจติ การจัดเสวนาหาความเห็นร่วมจากกลุ่มผู้ทรง
ตามหลักพระพทุ ธศาสนา นิกายวชั รยาน คุณวุฒิและเชี่ยวชาญในเรื่องการฟื้นฟูและรักษา
ความสมดุลสุขภาพกายและจิตตามหลักพระพุทธ
3. วธิ ดี �ำเนินการวิจัย ศาสนา นิกายวชั รยาน
ขน้ั ตอนที่ 5 นำ� ขอ้ มูลที่ได้จากการทำ� วิจัย
การวิจัยคร้ังนี้ เป็นการวิจัยเชิงเอกสาร ขั้นตอนต่างๆ มาท�ำการประมวลผล เรียบเรียง
(Documentary Research) และส�ำรวจหา มาสรุปวิเคราะห์ สังเคราะห์องค์ความรู้น�ำเสนอ
หลกั ฐานขอ้ มลู ภาคสนาม (Field Study) ในชมุ ชน ในรูปแบบพรรณนา
ทิเบตเมืองธรรมศาลา รัฐหิมาจัล ประเทศอินเดีย
อินเดีย (Dharamsala, Himachal Pradesh, 4. สรปุ ผลการวิจัย
India) น�ำเสนอโดยใช้การพรรณนา ซึ่งผู้วิจัยได้
จดั ขนั้ ตอนของการดำ� เนนิ การวจิ ยั 5 ขนั้ ตอน ไดแ้ ก่ การวิจัยเร่ือง การฟื้นฟูและรักษาความ
ขนั้ ตอนที่ 1 ศกึ ษารวบรวมขอ้ มลู การฟน้ื ฟู สมดลุ สขุ ภาพกายและจติ ตามหลกั พระพทุ ธศาสนา
และรกั ษาความสมดลุ สขุ ภาพกายและจติ ตามหลกั นิกายวัชรยาน ผู้วิจัยได้สรุปผลการวิจัย ดังนี้
พระพทุ ธศาสนาจากพระไตรปฎิ ก พระคมั ภรี ต์ นั ตระ 1. การฟื้นฟูและรักษาความสมดุล
ซง่ึ ถา่ ยทอดคำ� สอนทางการแพทยข์ องพระพทุ ธเจา้ สุขภาพกายและจิตในตะวันออกและตะวันตก
โดยครุ ทุ างการแพทยแ์ ผนทเิ บตและทา่ นทะไลลามะ มีพัฒนาการมาจากการแพทย์แผนโบราณของ
ขนั้ ตอนที่ 2 ศกึ ษารวบรวมขอ้ มลู การฟน้ื ฟู ชนเผา่ เพอื่ เอาชนะโรคและความเจบ็ ปว่ ยทมี่ มี าแต่
และรักษาความสมดุลสุขภาพกายและจิตในตะวัน ชา้ นาน ทำ� ใหเ้ กดิ วฒั นธรรมการดแู ลสขุ ภาพทผี่ สม
ออกและตะวันตก และตามหลักพระพุทธศาสนา กลมกลนื กนั ระหวา่ งความสขุ ทางกาย จติ ใจ สงั คม
นกิ ายวชั รยาน จากเอกสารวชิ าการ ตำ� รา บทความ ศีลธรรม และจิตวิญญาณ ในยุคโบราณความรู้
และวจิ ยั ทเี่ กยี่ วขอ้ งทง้ั ภาษาไทยและภาษาองั กฤษ ในการรกั ษาโรคคอ่ นขา้ งจำ� กดั การรกั ษาจงึ เปน็ ไป
ขั้นตอนท่ี 3 ศึกษารวบรวมข้อมูลภาค โดยใช้เวทมนตร์คาถาควบคู่กับการใช้ยาสมุนไพร
สนามโดยการส�ำรวจหาหลักฐานการฟื้นฟูและ เป็นหลัก รวมทั้งมีการบูชาเทพเจ้าตามความเชื่อ
รักษาความสมดุลสุขภาพกายและจิตตามหลัก ทางศาสนาและวฒั นธรรมประเพณี พฒั นาการทาง
พระพุทธศาสนา นิกายวัชรยาน โดยการสังเกต ประวตั ศิ าสตรข์ องมนษุ ยชาตไิ ดด้ ำ� เนนิ ไปพรอ้ มกบั
ลกั ษณะทางกายภาพของพนื้ ทแ่ี ละวถิ ชี วี ติ ในชมุ ชน วิทยาการทางการแพทย์และเภสัชกรรมอย่าง
และการสมั ภาษณ์แพทย์ ผู้ปว่ ยและผ้ปู ฏิบัติธรรม ต่อเน่ือง โดยมาจากการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม
ในชุมชนทิเบตเมืองธรรมศาลา แล้วน�ำข้อมูล จากการคา้ ขาย การตกเปน็ อาณานคิ มและการแลก

ปีที่ 19 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 59

เปล่ียนองค์ความรู้ในพื้นที่เขตใกล้เคียง การฟื้นฟู สุขภาพโลกเพ่ิมขึ้น มีการน�ำเทคโนโลยีมาใช้ในวิธี
และรักษาความสมดุลสุขภาพกายและจิตในตะวัน รกั ษาและปอ้ งกนั โรค จากผลกระทบเรอื่ งคา่ ใชจ้ า่ ย
ออกนั้นการแพทย์แผนจีน การแพทย์อายุรเวท ทสี่ งู ไรป้ ระสทิ ธภิ าพในการรกั ษาโรคเรอื้ รงั และไมไ่ ด้
ถือว่ามีวิทยาการด้านพัฒนามากที่สุด ในช่วง สนใจดา้ นจติ วญิ ญาณ อารมณแ์ ละสงั คมทางองคก์ าร
เปล่ียนผ่านวัฒนธรรมทางปัญญาแบบพราหมณ์ อนามัยโลกจึงได้น�ำการแพทย์แผนโบราณมาจัด
ในอินเดีย ได้เกิดการฟื้นฟูและรักษาความสมดุล เปน็ ระบบการแพทยแ์ บบคขู่ นานรว่ มกบั การแพทย์
สุขภาพกายและจิตตามหลักพระพุทธศาสนา สมยั ใหม่ให้มปี ระสทิ ธภิ าพยิง่ ขน้ึ
ซ่ึงแบ่งออกตามคือ นิกายเถรวาทและมหายาน 3. การฟื้นฟูและรักษาความสมดุล
ในนิกายเถรวาทมีหลักการดูแลสุขภาพแบ่งเป็น สขุ ภาพกายและจติ ตามหลกั พระพทุ ธศาสนา นกิ าย
3 วิธีคือ พุทธวิธีดูแลสุขภาพ พุทธวิธีรักษา และ วัชรยาน เป็นการดูแลสุขภาพที่มาจากแนวคิด
พทุ ธวธิ รี กั ษาดว้ ยพระธรรมโอสถในนกิ ายมหายาน ปรชั ญาทางพทุ ธศาสนา โดยใหค้ วามสำ� คญั ในเรอื่ ง
มกี ารแพทยท์ ปี่ ฏบิ ตั ติ ามโพธสิ ตั วม์ รรค รว่ มกบั การ ความสัมพันธ์ของจุลจักรวาลที่เป็นปัจจัยภายใน
บ�ำบัดดา้ นอาหารและทางพฤตกิ รรม ตัวบคุ คล ระหว่างร่างกาย จติ ใจ จิตวญิ ญาณและ
2. การฟื้นฟูและรักษาความสมดุล มหจักรวาลที่เป็นสภาพธรรมชาติของส่ิงแวดล้อม
สุขภาพกายและจิตในตะวันตกได้พัฒนาเป็นการ ตลอดจนโลกและจกั รวาล เชอ่ื ว่าสภาวะของจติ ใจ
แพทยส์ มยั ใหม่ โดยมที า่ น ฮปิ โปเครตสิ นกั ปราชญ์ เป็นปรากฏการณ์ท่ีเชื่อมโยงกับสภาวะทางกาย
ชาวกรีก บิดาการแพทย์สมัยใหม่เป็นต้นแบบของ กระบวนการฟื้นฟูและรักษาความสมดุลสุขภาพ
การรักษาผู้ป่วยตามหลักการเชิงเหตุผล แนวคิดนี้ กายและจติ ตามหลกั พระพทุ ธศาสนา นกิ ายวชั รยาน
ได้ถ่ายทอดสู่นักวิทยาศาสตร์ในรุ่นต่อมาและ แบง่ ออกเป็น 2 แบบ คือ 1) การรักษาความสมดลุ
พฒั นาความรอู้ ยา่ งกวา้ งไกล มกี ารผา่ ตดั สรา้ งกลอ้ ง สขุ ภาพกายและจติ ตามหลกั พระพทุ ธศาสนานกิ าย
จุลทรรศน์ ผลิตวัคซีน เป็นต้น ในช่วงศตวรรษท่ี วชั รยาน เพ่ือส่งเสรมิ สขุ ภาพท่ีดี และ 2) การฟื้นฟู
18-19 ไดเ้ กดิ การสาธารณสขุ และเวชกรรมปอ้ งกนั ความสมดุลสุขภาพกายและจิตตามหลักพระพุทธ
โรคพรอ้ มกบั แพทยศาสตร์ เพอื่ ควบคมุ การเจบ็ ปว่ ย ศาสนา นิกายวัชรยาน ในภาวะเจ็บปว่ ย
และแก้ปัญหาสังคมและส่ิงแวดล้อมที่มีผลต่อ 4. กระบวนการรักษาความสมดุล
สขุ ภาพ ตอ่ มาทางองคก์ ารอนามยั โลกไดผ้ ลกั ดนั ให้ สุขภาพกายและจิตตามหลักพระพุทธศาสนา
มกี ารเปลย่ี นแปลงบทบาททางการดแู ลสขุ ภาพโลก นิกายวัชรยาน เพ่ือส่งเสริมสุขภาพที่ดีเป็นการ
โดยสร้างเครือข่ายระหว่างประเทศมาต้ังแต่ปลาย ปฏิบัติในมิติของการส่งเสริมสุขภาพที่ดีของผู้ท่ีมี
ทศวรรษ 1970 จดั ประชมุ แลกเปลย่ี นและสรปุ บท ภาวะรา่ งกายปกติ หรอื ผทู้ ห่ี ายจากความเจบ็ ปว่ ยแลว้
เรยี นเกี่ยวกบั กลยทุ ธก์ ารสรา้ งเสริมสุขภาพมาเปน็ ให้มีภาวะความสมดุลของระบบตรีธาตุในร่างกาย
ระยะจวบจนปัจจุบัน ท�ำให้เกิดองค์กรทางด้าน อย่างต่อเน่ือง เพ่ือป้องกันโรคและความเจ็บป่วย

60 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

กระบวนการประกอบด้วย 4 ข้ันตอน คอื ขนั้ ตอน แพทยจ์ ะซกั ประวตั แิ ละตรวจรา่ งกายเพอื่ คดั กรอง
ที่ 1) การประเมนิ ภาวะสขุ ภาพ (Health assessment) คนไข้ ข้ันตอนท่ี 2) การวินิจฉัยโรค (Diagnosis)
แพทย์จะประเมินสุขภาพร่างกายและจิตใจโดยใช้ แพทย์จะน�ำองค์ความรู้จากพระคัมภีร์ตันตระ
จิตส�ำนึกในประสาทสัมผัสท้ัง 6 ด้าน ได้แก่ การ มาพิจารณาร่วมผลการคัดกรองโรค โดยซักถาม
สมั ผัส การดู การฟัง การพดู การได้กลิน่ และการ ดูลิ้น พร้อมกับจับชีพจรและตรวจปัสสาวะแล้ว
วิเคราะห์ เพื่อรวบรวมข้อมูลประเมินสุขภาพและ วนิ จิ ฉยั โรค ขน้ั ตอนท่ี 3) การรกั ษาโรค (Treatment)
ภาวะความสมดุลของระดับตรีธาตุในร่างกาย แพทย์จะท�ำการรักษาตามสาเหตุโรคและชนิด
โดยการสนทนา ซกั ถาม และตรวจรา่ งกาย ขนั้ ตอน ของธาตุ มวี ธิ กี ารทง้ั หมด 3 วธิ ี คอื 1) ใหค้ ำ� แนะนำ�
ที่ 2) การวนิ จิ ฉยั ภาวะสขุ ภาพ (Health Diagnosis) ด้านอาหารและพฤติกรรม 2) ใช้ยารักษาโรค
แพทย์จะน�ำข้อมูลการประเมินภาวะสุขภาพมา และ 3) รักษาแบบอ่ืน ได้แก่ การกด การอาบน�ำ้
วนิ จิ ฉยั โดยใชอ้ งคค์ วามรจู้ ากพระคมั ภรี ต์ นั ตระและ สมุนไพร การฝังเข็ม โดยเฉพาะการรักษาโดย
ทางโหราศาสตร์ ข้นั ตอนท่ี 3) การสง่ เสรมิ สุขภาพ ปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนาถือว่า เป็นการขจัดมูล
และป้องกันโรค (Health Promotion and เหตโุ รค เชน่ การสวดมนตราและธารณี ขอพรจาก
Prevention) แพทย์จะแจ้งชนิดของธาตุและ เทพเจ้า ท�ำสมาธิ ข้ันตอนท่ี 4) การติดตามการ
ให้ค�ำแนะน�ำในด้านอาหาร และพฤติกรรมท่ี ด�ำเนินโรค (Follow up) แพทย์จะนัดตรวจเป็น
เหมาะสมในชวี ติ ประจำ� วนั และตามฤดกู าล ตามวยั ระยะตามอาการของโรค
และสภาพร่างกายทเ่ี ปล่ียนแปลง เชน่ การปฏิบตั ิ 6. ผลลัพธ์การฟื้นฟูและรักษาความ
ตัวในหญิงตั้งครรภ์ การดูแลทารกแรกคลอด สมดลุ สขุ ภาพกายและจติ ตามหลกั พระพทุ ธศาสนา
การปฏบิ ตั ิในวัยหนมุ่ สาว ผู้ใหญ่ และวยั ชรา และ นิกายวัชรยาน แบ่งออกตามกระบวนการเป็น 2
ในขนั้ ตอนท่ี 4) การประเมินติดตามภาวะสขุ ภาพ แบบ คอื 1) ผลลพั ธข์ องกระบวนการรกั ษาความ
(Health Evaluation) เป็นไปตามสถานการณ์ สมดลุ สขุ ภาพกายและจติ ตามหลกั พระพทุ ธศาสนา
เปลย่ี นแปลงทเ่ี กดิ ข้นึ ตอ่ ผูข้ อรับคำ� ปรึกษา นกิ ายวชั รยาน เพอ่ื สขุ ภาพทดี่ ี และ 2) ผลลพั ธข์ อง
5. กระบวนการฟน้ื ฟคู วามสมดลุ สขุ ภาพ กระบวนการฟื้นฟูความสมดุลสุขภาพกายและจิต
กายและจติ ตามหลกั พระพทุ ธศาสนา นกิ ายวชั รยาน ตามหลกั พระพุทธศาสนา นิกายวัชรยาน ในภาวะ
ในภาวะเจบ็ ปว่ ย เมอ่ื รา่ งกายเสยี สมดลุ จะสง่ ผลให้ เจบ็ ปว่ ย ผลลพั ธข์ องกระบวนการแรกเปน็ ผลทเ่ี กดิ
โรคแสดงอาการออกมา แพทยจ์ ะทำ� การฟน้ื ฟคู วาม จากการปฏิบัติตามโพธิสัตว์มรรคในการดูแล
สมดุลของระดับตรีธาตุในร่างกายของคนไข้ สขุ ภาพเพอ่ื ปอ้ งกนั การเกดิ โรคจากอวชิ ชา สง่ ผลตอ่
โดยใช้การรักษาโรคในรูปแบบต่างๆ ประกอบดว้ ย 3 ดา้ น คอื 1) ท�ำให้มีร่างกายท่ไี ม่เจ็บปว่ ยเปน็ โรค
4 ขั้นตอน คือ ข้ันตอนท่ี 1) การคัดกรองคนไข้ มีสุขภาพที่ดีทั้งทางกายและใจ 2) มีอายุยืนยาว
(Perceptual and Investigatory Diagnostic) 3) ชวี ติ มคี วามสขุ สงบ สว่ นผลลพั ธข์ องกระบวนการ

ปที ี่ 19 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 61

หลงั ท�ำให้เกดิ ผล 3 ดา้ นคอื 1) ทำ� ให้หายปว่ ยจาก ท่ีใชบ้ ำ� บัดโรค
โรคและกลับคืนมามีสภาวะสุขภาพที่ดี 2) ท�ำให้ 3. กิจกรรมการดูแลสุขภาพมีความ
มีอายยุ นื ยาว 3) ชีวิตมคี วามสขุ สงบ เมื่อวเิ คราะห์ คล้ายคลึงกัน ได้แก่ กิจกรรมการส่งเสริมสุขภาพ
กระบวนการและผลลัพธ์การฟน้ื ฟแู ละรกั ษาความ ตามวัยและพัฒนาการของมนุษย์ ค�ำแนะน�ำด้าน
สมดลุ สขุ ภาพกายและจติ ตามหลกั พระพทุ ธศาสนา อาหารและพฤติกรรมในชีวิตประจ�ำวันเพื่อสร้าง
นิกายวชั รยาน พบว่า มที งั้ ความเหมือนและความ เสริมสุขภาพ ป้องกันและควบคุมไม่ให้เกิดโรค
แตกต่างกับการดูแลสุขภาพในระบบการแพทย์ และมขี อ้ ปฏบิ ตั ดิ า้ นพฤตกิ รรมเมอ่ื เจบ็ ปว่ ยดว้ ยโรค
สมยั ใหม่ ดังน้ี ระบบตา่ งๆ ของรา่ งกาย เพอื่ รักษาพยาบาล ฟื้นฟู
ในความเหมือนของกระบวนการของการ สขุ ภาพ
แพทยท์ ั้งสองระบบ ได้แก่ ในความแตกต่างระหว่างกระบวนการ
1. มีความครอบคลุมท้ัง 4 มิติของการ ของการแพทยท์ ้ังสองระบบ ไดแ้ ก่ 1) แพทยท์ เิ บต
ดแู ลสุขภาพ คอื การสง่ เสรมิ ป้องกัน รักษาและ จะท�ำการตรวจวินิจฉัยโรคด้วยตนเอง ไม่ได้พ่ึงพา
ฟื้นฟู โดยในกระบวนการฟื้นฟูและรักษาความ อุปกรณ์ทางการแพทย์และเทคโนโลยี ตัวแพทย์
สมดลุ สขุ ภาพกายและจติ ตามหลกั พระพทุ ธศาสนา จะเปรียบเสมือนเป็นเคร่ืองมือการแพทย์ที่มี
นิกายวัชรยาน ประกอบด้วย 2 กระบวนการคือ ประสทิ ธภิ าพ และ 2) ในกระบวนการรกั ษาความ
การรักษาความสมดุลสุขภาพกายและจิตเพ่ือ สมดลุ สขุ ภาพกายและจติ ตามหลกั พระพทุ ธศาสนา
สุขภาพท่ีดี และการฟื้นฟูและรักษาความสมดุล นิกายวัชรยาน เพ่ือสุขภาพที่ดี แพทย์จะให้ค�ำ
สขุ ภาพกายและจติ ในภาวะเจ็บป่วย ซึง่ คล้ายคลงึ แนะน�ำด้านอาหารและพฤติกรรม มุ่งเน้นการ
กับกระบวนการสร้างเสริมสุขภาพในระบบการ ปฏิบัติทางศาสนาเพ่ือป้องกันการก่ออกุศลกรรม
แพทยส์ มยั ใหม่ ทป่ี ระกอบดว้ ย 2 กระบวนการ คอื ที่เป็นสาเหตุของโรค ซึ่งแตกต่างจากการดูแล
1) การดูแลสุขภาพเพ่ือสร้างเสริมสุขภาพการ สุขภาพเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันและ
ปอ้ งกนั และควบคมุ ไมใ่ หเ้ กดิ โรค และ 2) การดูแล ควบคุมไม่ให้เกิดโรค ของการแพทย์สมัยใหม่ที่น�ำ
สขุ ภาพเพื่อรกั ษาพยาบาล ฟนื้ ฟูสุขภาพ เทคโนโลยีและความก้าวหน้าทางการแพทย์ เช่น
2. ลักษณะข้ันตอนในกระบวนการ การให้วัคซีน หรือบ�ำบัดรักษาในผู้ที่มีการติดเชื้อ
เปน็ การแกป้ ญั หาตามหลกั อรยิ สจั ทเ่ี ปน็ การบำ� บดั และในกระบวนการฟื้นฟูความสมดุลสุขภาพกาย
โรคของชีวิตของมนุษย์อย่างมีเหตุผล ในขั้นตอน และจิตตามหลักพระพุทธศาสนา นิกายวัชรยาน
แรกเรมิ่ จากมที กุ ข์ อนั หมายถงึ โรค มกี ระบวนการ ในภาวะเจ็บป่วย แพทย์จะใช้ความรัก เมตตา
ตรวจและวินิจฉัยโรค เปรียบเสมือนสมุทัย การปฏิบัติธรรมมาเยียวยาผู้ป่วยร่วมกับใช้ยา
ทเี่ ปน็ การหาเหตขุ องโรค เพอ่ื ใหเ้ กดิ นโิ รค คอื ภาวะ สมนุ ไพรและการรกั ษาแบบอนื่ เนน้ ใหผ้ ปู้ ว่ ยมกี าร
ทหี่ ายจากโรค โดยมมี รรค คอื ยา และกระบวนการ ปรับเปลี่ยนมุมมองในการใช้ชีวิต ต่างจากการ

62 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

แพทย์สมัยใหม่ที่เน้นการรักษาแบบแยกส่วน อย่างเป็นวัฒนธรรมเชิงพุทธในวิถีชีวิตประจ�ำวัน
ที่เป็นระบบผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางตามสาขาที่ใช้ ท้ังผู้ป่วยและแพทย์ โดยมีเป้าหมายสูงสุด คือ
เทคโนโลยีตอบสนองความตอ้ งการ การยกระดับจิตวิญญาณให้เข้าถึงชีวิตที่ดีงาม
ในความเหมอื นของผลลพั ธท์ างการแพทย์ ซ่ึงแตกต่างจากการแพทย์สมัยใหม่ที่เน้นการน�ำ
ทง้ั สองระบบ ไดแ้ ก่ 1) ลกั ษณะผลลพั ธท์ างสขุ ภาพ เทคโนโลยีและความก้าวหน้ามาตอบสนองความ
จะเปน็ ไปในทศิ ทางเดียวกนั โดยผลลัพธ์การฟนื้ ฟู ต้องการ ไม่ได้มุ่งเน้นให้รู้เท่าทันโรครวมทั้งไม่ได้
และรกั ษาความสมดลุ สขุ ภาพกายและจติ ตามหลกั ระบผุ ลลัพธ์ด้านความสุขของแพทยท์ ่ีชัดเจน
พระพุทธศาสนา นิกายวัชรยาน จะส่งผลในด้าน
สุขภาพท่ีดีท่ีมาจากการมีสุขภาพกายและใจท่ีดี 5. อภปิ รายผลการวิจยั
มอี ายยุ นื ยาว และความผาสกุ ของชวี ติ ซง่ึ คลา้ ยคลงึ
กบั ผลลพั ธข์ องการสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ ในระบบการ ในการศึกษาเร่ือง การฟื้นฟูและรักษา
แพทย์สมัยใหม่ท่ีได้ก�ำหนดเป้าหมาย 3 ด้าน คือ ความสมดุลสุขภาพกายและจิตตามหลักพระพุทธ
ร่างกายท่สี มบูรณแ์ ขง็ แรง ปราศจากโรค มสี ขุ ภาพ ศาสนา นิกายวชั รยาน ผู้วิจยั มีข้ออภปิ รายผลดังน้ี
ใจและกายท่ีดี มีอายุท่ียืนยาว ครอบครัว สังคม ผลลพั ธก์ ารฟน้ื ฟแู ละรกั ษาความสมดลุ สขุ ภาพกาย
ชุมชนผาสุก มีคณุ ภาพชวี ิตทด่ี ี และ 2) มงุ่ ผลลัพธ์ และจิตตามหลักพระพุทธศาสนา นิกายวัชรยาน
ทางสุขภาพให้เกิดข้ึนในมิติเชิงกว้าง ต้ังแต่ระดับ แบ่งออกได้ตามชนิดของกระบวนการดูแลสุขภาพ
บคุ คล ครอบครวั และชุมชน สงั คม ประเทศชาติ เป็น 2 แบบ คอื 1) ผลลัพธ์ของกระบวนการรกั ษา
ในทัศนะนิกายวัชรยานจะมีอุดมคติแบบพระ ความสมดุลสุขภาพกายและจิตตามหลักพระพุทธ
โพธสิ ตั วม์ รรคทเ่ี นน้ การชว่ ยเหลอื เพอื่ นมนษุ ยร์ ว่ ม ศาสนา นิกายวัชรยาน เพ่ือสุขภาพที่ดีและ
โลก คล้ายคลึงกับหลักการดูแลสุขภาพของการ 2) ผลลัพธ์ของกระบวนการฟื้นฟูความสมดุล
แพทยส์ มยั ใหม่ ทม่ี องวา่ สขุ ภาพ คอื ความสมบรู ณ์ สุขภาพกายและจิตตามหลักพระพุทธศาสนา
ทั้งกาย จิตใจ สังคม และจิตวญิ ญาณทีค่ รอบคลุม นกิ ายวัชรยาน ในภาวะเจ็บป่วย
การด�ำเนินชีวิตที่ยืนยาวและมีความสุขในระดับ ผลลพั ธข์ องกระบวนการรกั ษาความสมดลุ
บุคคล ครอบครัวและชมุ ชน และสังคม สุขภาพกายและจิตตามหลักพระพุทธศาสนา
ในความแตกต่างระหว่างผลลัพธ์ของการ นกิ ายวชั รยาน เพอื่ สขุ ภาพทด่ี ี ทำ� ใหเ้ กดิ ผล 3 ดา้ น
แพทยท์ ง้ั สองระบบ พบวา่ ผลลพั ธท์ างสขุ ภาพของ คอื 1) สขุ ภาพทดี่ ที ง้ั ทางกายและใจ ไมเ่ จบ็ ปว่ ยเปน็
กระบวนการฟื้นฟูและรักษาความสมดุลสุขภาพ โรค 2) มอี ายยุ นื ยาว และ 3) ชีวติ มีความสขุ สงบ
กายและจติ ตามหลกั พระพทุ ธศาสนา นกิ ายวชั รยาน ดังมีข้อมูลสนับสนุนว่า ชาวทิเบตเป็นชนชาติที่มี
คือ การมีสุขภาพกายและใจที่ดี อายุยืนยาวและ ความสุขจากการใช้ชีวิตท่ีเรียบง่าย (Siwarak,
ชวี ติ มคี วามสขุ สงบจะเชอื่ มโยงกนั ดว้ ยมกี ารปฏบิ ตั ิ 1993) ภาวะสุขภาพของชาวทิเบตน้ันมีสุขภาพ
ที่แข็งแรง ซ่ึงสอดคล้องกับการส�ำรวจข้อมูลใน

ปที ่ี 19 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 63

ชุมชนชาวทิเบต ณ เมืองธรรมศาลา ประเทศ ท้ังส่งเสริมให้มีการปฏิบัติในชีวิตประจ�ำวัน ซ่ึงใน
อินเดียท่ีพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุที่ ทุกวันน้ีพวกเขาคงมีการปฏิบัติ ท�ำให้จิตใจสงบ
มสี ขุ ภาพแขง็ แรง มอี ายยุ นื ไมค่ อ่ ยเจบ็ ปว่ ยดว้ ยโรค มีความสุข สามารถเผชิญปัญหาและแก้ไขปัญหา
ร้ายแรงและสามารถปฏิบัติกิจวัตรประจ�ำวันได้ดี ได้ดีขึ้น (Nong & Yuppo, 2017) และจากการ
ท้ังนี้เน่ืองมาจากชาวทิเบตได้มีการปฏิบัติตาม สังเกตในชุมชน พบว่า ในชีวิตประจ�ำวันของ
กระบวนการรักษาความสมดุลสุขภาพทางกาย ชาวทิเบตส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติทาง
และใจตามหลักพระพุทธศาสนา นิกายวัชรยาน ศาสนาตงั้ แตต่ นื่ เชา้ มา เชน่ สวดมนตท์ ว่ี ดั สวดมนต์
เพ่ือสุขภาพท่ีดี โดยปฏิบัติวัฒนธรรมเชิงพุทธ ก่อนรับประทานอาหาร ระหว่างเส้นทางในเมือง
ในชวี ติ ประจำ� วนั ผา่ นการใหค้ ำ� แนะนำ� ทางสขุ ภาพ มสี ถานทสี่ วดมนต์ (Mani Prayer Wheel) เปน็ ตน้
ของแพทย์ เพ่ือให้มีภาวะความสมดุลของระบบ ในปัจจุบันยังคงมีการประกอบพิธีกรรมท่ีส�ำคัญ
ตรีธาตุอย่างต่อเนื่องและกลมกลืนไปตามวัยของ ตามประเพณีท่ีมีมา เช่น การสวดมนต์เพ่ืออายุ
ชวี ติ เรม่ิ ตง้ั แตม่ ารดาตง้ั ครรภ์ โดยมขี อ้ แนะนำ� ดา้ น วัฒนะ ขอพรจากพระพุทธเจ้าแห่งการแพทย์ให้มี
อาหารและพฤติกรรม โดยเฉพาะการปฏิบัติทาง สุขภาพดีและช�ำระล้างอกุศล การปฏิบัติเช่นนี้
ศาสนา เชน่ นิมนตล์ ามะมาสวดมนตราในชว่ งใกล้ ในทัศนะนกิ ายวชั รยานถือวา่ เปน็ การป้องกนั การ
คลอด (Nyarongsha, 2017) ทารกทกุ คนจะไดร้ บั เกิดโรคและความเจ็บป่วยท่ีมีมูลเหตุจากอวิชชา
ตรวจดชู นดิ ของตรธี าตุ เพอื่ ใชป้ ระโยชนใ์ นการดแู ล ทมี่ อี ยใู่ นตวั มนษุ ย์ อนั ทำ� ใหเ้ กดิ ความหลงผดิ นำ� ไป
สขุ ภาพและพฒั นาศกั ยภาพใหเ้ ปน็ พทุ ธศาสนกิ ชน สู่การกระท�ำที่ไม่ดีงาม เกิดการส่ังสมอกุศลกรรม
ท่ดี ตี ่อไป (Men-Tsee-Khang Tibetan Medical รวมถึงการป้องกันความไม่สมดุลของตรีธาตุจาก
& Astro Institue, 2017) ปจั จัยดา้ นอาหารและพฤตกิ รรม
ส�ำหรับวัยหนุ่มสาว วัยผู้ใหญ่ รวมทั้ง ผลลพั ธข์ องกระบวนการฟน้ื ฟคู วามสมดลุ
วยั ชรามขี อ้ แนะนำ� ใหร้ บั ประทานอาหาร เครอ่ื งดม่ื สขุ ภาพกายและจติ ตามหลกั พระพทุ ธศาสนา นกิ าย
ตามลักษณะหมู่ธาตุ ตามรสอาหารในปริมาณ วัชรยาน ในภาวะเจบ็ ป่วย ท�ำใหเ้ กดิ ผล 3 ดา้ นคือ
ที่เหมาะสมเน้นให้มีพฤติกรรมต่อเน่ือง โดยมีการ 1) ท�ำให้หายป่วยจากโรคและกลับคืนมามีสภาวะ
ปฏิบัติพฤติกรรมตลอดชีวิต เพ่ือให้เกิดความสุข สุขภาพท่ีดี 2) ท�ำให้มีอายุยืนยาว และ 3) ชีวิต
มีชีวิตยืนยาว หลีกเลี่ยงเง่ือนไขการเจ็บป่วย มคี วามสุขสงบ ดังมีขอ้ มลู สนบั สนนุ วา่ การแพทย์
โดยการมีสติ ละเว้นจากอกุศลกรรม และมีการ ทิเบตน้ันมีประสิทธิภาพ สามารถรักษาโรคท่ี
ปฏิบัติทางศาสนา ดังจากการสัมภาษณ์ชาวทิเบต การแพทยแ์ ผนปจั จบุ นั ไมส่ ามารถรกั ษาหายได้ เชน่
พบวา่ ทางครอบครวั และศนู ยเ์ ดก็ ทเิ บต (Tibetan โรคขอ้ อกั เสบ ตับอกั เสบ เบาหวาน มะเรง็ เอดส์
Childrens Village : TCV ) ไดม้ กี ารสอนหลกั ธรรม ใหห้ ายปว่ ยจากโรคและกลบั คนื มามสี ภาวะสขุ ภาพ
เรอ่ื งกรรม ความเมตตา กรณุ า แกเ่ ดก็ ทกุ คนพรอ้ ม ทดี่ ี โดยใชต้ วั ยาสมนุ ไพรทม่ี สี รรพคณุ สงู และมาจาก

64 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

กระบวนการปรงุ ยา ผลติ ยา ทผี่ ่านการปลกุ เสกยา ตามโพธิสัตว์มรรคท่ีมุ่งช่วยเหลือเหล่าสรรพสัตว์
ตามวิธีการทางโหราศาสตร์ (Donden, 1995) ใหห้ ายจากความเจบ็ ปว่ ยทมี่ าจากอวชิ ชา เนน้ ใหม้ ี
ผปู้ ว่ ยโรครา้ ยแรงเหลา่ น้ี ไดม้ กี ารปฏบิ ตั ทิ างศาสนา การปฏิบัติเพ่ือความสมดุลท้ังกายและใจ ภายใต้
เช่น การปลอ่ ยสตั ว์ การบูชาตาราสีขาว ทำ� ใหเ้ กิด พลังที่เปี่ยมด้วยความศรัทธาในส่ิงดีงาม มุ่งม่ัน
พลงั ในการยดื อายขุ ยั ผปู้ ว่ ยใหม้ อี ายยุ นื ยาวออกไป เพียรพัฒนายกระดับคุณค่าของจิตใจและจิต
ส่งผลให้ผู้ป่วยมีความสุข และสามารถใช้ชีวิต วิญญาณ จนกลายเป็นวัฒนธรรมแบบพุทธในวิถี
ได้อย่างสงบ (Lama Zopa Rinpoche, 2002) ชีวิตประจ�ำวัน ส่งผลให้มีสุขภาพกายและใจที่ดี
ดังจากการศึกษาวิจัยแบบย้อนหลังจากการรักษา และหายป่วยไข้ และเมื่อมีการปฏิบัติท่ีเป็นหน่ึง
ผู้ป่วยโรคมะเร็งท่ีมีอาการของโรคลุกลามไม่ตอบ เดียวกับพระโพธิสัตวท์ ง้ั กาย วาจา ใจ จะน�ำเขา้ สู่
สนองการรักษาทางการแพทย์สมัยใหม่และมี พทุ ธภาวะแหง่ การรแู้ จ้งประจกั ษ์ การมีอิสระแห่ง
อาการทรุดลง เม่ือได้รับการรักษาแบบการแพทย์ จติ ใจทเี่ ปน็ ความสขุ แทจ้ รงิ อนั เปน็ เปา้ หมายสงู สดุ
แผนทิเบต โดยใช้ยาสมุนไพรอย่างต่อเนื่องและ ในการใช้ชีวติ ของชาวทเิ บต
ปฏิบัติตามข้อแนะน�ำด้านอาหารและพฤติกรรม
ในชีวิตประจ�ำวัน รวมท้ังท�ำสมาธิ ฝึกลมหายใจ 6. ข้อเสนอแนะ
เป็นประจ�ำ ทำ� ให้ผปู้ ว่ ยลดความเครยี ด เกดิ ความ
สบายใจ รู้สึกสงบสุข เมื่อติดตามผลการรักษา 1. ควรมกี ารกำ� หนดนโยบายดแู ลสขุ ภาพ
พบวา่ มอี าการดขี น้ึ และมคี ณุ ภาพชวี ติ ทดี่ ี (Bauer- ของชาตเิ ชงิ บรู ณาการระหวา่ งกระทรวงตา่ งๆ ทเี่ นน้
Wu, et al., 2014 : 502-512) ผลของการศึกษา การสร้างค่านิยม และความตระหนักทางการดูแล
นี้สอดคล้องกับหลักการแพทย์แผนทิเบตท่ีว่า สุขภาพบนพ้ืนฐานความสมดุลกายและใจท่ีเริ่ม
การปฏบิ ตั ทิ างศาสนาใหเ้ กดิ กศุ ลกรรมนน้ั เปน็ การ มาจากระดบั ครอบครวั
ขจดั กเิ ลส เปน็ การรกั ษาทต่ี รงกบั สาเหตุ การปฏบิ ตั ิ 2. ทางภาครฐั รว่ มกบั กระทรวงสาธารณสขุ
ด้านอาหารและพฤติกรรมท�ำให้ร่างกายฟื้นฟู ควรใหก้ ารสนบั สนนุ ดา้ นงบประมาณแกก่ ารแพทย์
ความสมดุลของตรีธาตุและกลับมามีสุขภาพที่ดี เชิงพุทธ รวมท้ังการแพทย์แผนทิเบตให้เป็นการ
การทผี่ ปู้ ว่ ยมองเหน็ สจั ธรรม ทำ� ใหต้ ระหนกั เขา้ ใจ แพทย์ทางเลือกแก่ประชาชน ร่วมให้บริการทาง
ความหมายของชวี ติ ทม่ี คี วามทกุ ข์ ความไมเ่ ทยี่ งแท้ สุขภาพแบบผสมผสานเคียงคู่กับการแพทย์แผน
เกดิ การปรบั เปลยี่ นวถิ ชี วี ติ มงุ่ เนน้ ในการทำ� ความดี ปัจจุบัน
ท�ำให้ชีวติ มคี วามสุข 3. ควรมีการศึกษาถึงประสิทธิผลของ
ผลลัพธ์ของการฟื้นฟูและรักษาความ การใช้วิธีปฏิบัติทางศาสนาตามหลักการพระพุทธ
สมดลุ สขุ ภาพกายและจติ ตามหลกั พระพทุ ธศาสนา ศาสนา นิกายวัชรยาน ในการดแู ลผู้ป่วยโรคเรื้อรงั
นิกายวัชรยาน กล่าวคือ ผลของการดูแลสุขภาพ ที่มีความทุกข์ทรมานจากโรค เช่น โรคมะเร็ง
การดแู ลผูป้ ว่ ยระยะสดุ ท้าย เป็นตน้

ปที ี่ 19 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 65

References

ASTV Manager Online. (2013). Dhamma and Health : Tibetan Lama Uses Psychic Powers to
Cure Disease. http://www.manager.co.th/Dhamma/ (Accessed 2 October 2013).

Bauer-Wu, S., et al. (2014). Tibetan Medicine for Cancer : An Overview and Review of Case
Studies. Journal of Integrative Cancer Therapies, 13(6), 502-512.

Chuaprapaisilp, A. (2000). Concept of Holistic Nursing. Songkha : Songkha-Naggarind
University Print.

Donden, Y. (1995). Health Through Balance an Introduction to Tibetan Medicine. Bangkok
: Pokkla.

Lama Zopa Rinpoche. (2002). Ultimate Healing The Power of Compassion. (2nd ed.).
Bangkok : Komol Keemthong Foundation.

Men-Tsee-Khang Tibetan Medical & Astro Institue. (2017). Relationship Between Tibetan
Medicine and Astrology. http://www.men-tsee-khang.org/tibastro/relation
(Accessed 15 July 15 2017).

Nong, T. and Yuppo, T. (22 June 2017). Interview.
Nyarongsha, T. (24 June 2017). Tibetan Medicine Docter of Nyerongsha Medical Institue,

Lhasa. Interview.
Siwarak, S. (1993). The Dalai lama’s Speech. (2nd ed.). Bangkok : Kledthai Publishing.



การพัฒนาหลักสตู รการจดั การเงนิ สว่ นบคุ คลเพอื่ วยั สูงอายุ
ส�ำหรับผูใ้ หญว่ ยั ทำ� งานในพ้นื ท่เี ทศบาลตำ� บลลวงเหนือ
อำ� เภอดอยสะเกด็ จงั หวดั เชียงใหม*่
The Development of an Elderly Personal Financial

Management Curriculum for Working Age Adults in
Laung-Neau Sub-district Municipality, Doi Saket District,

Chiang Mai Province

เอกพชิ ญ์ ชนิ ะขา่ ย
Ekapit Chinakai
วทิ ยาลัยบริหารศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั แมโ่ จ้
School of Administrative Studies, Maejo University, Thailand
E-mail: [email protected]

บทคัดย่อ

บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัญหาและความต้องการของผู้ใหญ่วัยท�ำงาน
2) พัฒนาหลักสูตรการจัดการเงินส่วนบุคคล และ 3) ประเมินผลหลักสูตรการจัดการเงินส่วนบุคคล
เพอ่ื วยั สงู อายสุ ำ� หรบั ผใู้ หญว่ ยั ทำ� งาน โดยใชก้ ารวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารแบบมสี ว่ นรว่ ม การจดั เวทแี ลกเปลยี่ น
เรียนรแู้ ละการสนทนากลมุ่ โดยใชก้ ระบวนการวเิ คราะหข์ อ้ มลู แบบเชงิ คณุ ภาพ
ผลการวิจัยพบวา่
1. ชุมชนยังไม่ให้ความส�ำคัญในการเตรียมความพร้อมด้านการเงินส่วนบุคคล เพ่ือเก็บไว้ใช้
ในวยั สูงอายุเทา่ ที่ควร แต่กลมุ่ ผใู้ หญ่วยั ทำ� งานมคี วามตอ้ งการความรดู้ ้านการออมเงนิ เพ่อื วัยสงู อายแุ ละ
การจัดรปู แบบการออมเงนิ เพ่ือวยั สงู อายขุ ึน้ ในชมุ ชน
2. การพฒั นาหลักสูตรฯ สมาชกิ ไดแ้ ลกเปลีย่ นเรียนรรู้ ว่ มกนั และไดต้ ้งั คณะทำ� งานเพือ่ จัดทำ�
หลักสูตรฯ กำ� หนดรายละเอียดชุดความรู้ ประกอบด้วย เนอื้ หาหลกั 5 หมวดสาระ ใช้ระยะเวลาอบรม

* ได้รับบทความ: 2 พฤศจิกายน 2561; แกไ้ ขบทความ: 7 มกราคม 2562; ตอบรับตพี มิ พ:์ 9 มกราคม 2562
Received: November 2, 2018; Revised: January 7, 2019; Accepted: January 9, 2019

68 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

รวมทง้ั สิ้น 8 ชว่ั โมง
3. การประเมินผลการจัดหลักสูตร พบว่า หลักสูตรมีการด�ำเนินการเป็นไปตามวัตถุประสงค์
ผู้เข้ารว่ มฝกึ อบรมมีความรู้ ความเขา้ ใจ เกดิ ความตระหนักถงึ ความส�ำคญั
คำ� ส�ำคญั : การเงนิ ส่วนบคุ คล; การพฒั นาหลักสตู ร; วัยสงู อายุ

Abstract

TThe objectives of the research article were 1) to study the problems and needs
of a pre-elder; 2) to develop an elderly personal financial management curriculum for a
pre-elder; 3) to evaluate an elderly personal financial management curriculum for
working age adults by using participatory action research and using qualitative analysis
process.
The results of this research were:
1. Awareness in preparation of an elder personal finance for a pre-elder in
communities were low. Meanwhile, a group of pre-elder had a need the knowledge of
savings for an elderly and model of saving money for the elderly in the community.
2. The community members had shared and learnt together for determining an
elder personal financial management curriculum for a pre-elder, consisted of five main
categories training period of 8 hours.
3. The results of the curriculum evaluation after the training showed that the
curriculum was implemented in accordance with the objectives. Training participants had
knowledge understanding and awareness of the importance.
Keywords: Personal Financial; Curriculum Development; Elderly

1. บทนำ� ประมาณ 10,500 ล้านคน โดยในปี 2070 จะมี
สดั สว่ นของผสู้ งู อายมุ ากถงึ รอ้ ยละ 24 ของจำ� นวน
สังคมโลกนับต้ังแต่วันนี้เป็นต้นไปก�ำลัง ประชากรโลกท้ังหมด ทั้งน้ีจ�ำนวนประชากรใน
กา้ วสสู่ งั คมทมี่ จี ำ� นวนประชากรของสงั คมผสู้ งู อายุ ประเทศไทยมีลักษณะของการเปล่ียนแปลงท่ี
(Aging Society) อย่างต่อเน่ืองและมีแนวโน้มท่ี คลา้ ยคลงึ กบั ประชากรของโลก ทม่ี สี ดั สว่ นผสู้ งู อายุ
สูงขึ้น ในปัจจุบันประชากรโลกมีจ�ำนวนประมาณ (60 ปี ขึน้ ไป) เพม่ิ ขนึ้ จากร้อยละ 13 ของจ�ำนวน
7,500 ลา้ นคน และคาดวา่ อีก 50 ปี ข้างหนา้ หรอื ประชากรทัง้ หมดในปี 2010 เป็นรอ้ ยละ 33 ของ
ปี 2070 โลกเราจะมีจ�ำนวนประชากรสูงถึง

ปที ่ี 19 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 69

จำ� นวนประชากรทง้ั หมด ในปี 2040 รอ้ ยละ 39 ของ วางแผนและดำ� เนินการเตรียม ความพรอ้ มก่อนท่ี
จำ� นวนประชากรทงั้ หมด ในปี 2070 (TERRABKK, ปัญหาจะเกิดขึ้น ย่อมดีกว่ารอให้ปัญหาเกิดแล้ว
2017) แสดงให้เห็นว่า โครงสร้างประชากรก�ำลัง ตามแก้ไขปัญหาภายหลัง โดยเฉพาะการเตรียม
เปล่ียนจากโครงสร้างประชากรวัยเด็กในอดีตเป็น ความพร้อมด้านการเงิน ซ่ึงถือว่าเงินเป็นปัจจัย
ประชากรวัยสงู อายหุ รอื สังคมผู้สงู อายุ ในอนาคต สำ� คญั ทตี่ อ้ งใชจ้ า่ ยหรอื แลกเปลย่ี นกบั ปจั จยั สำ� คญั
ประเทศต่างๆ ในโลกได้ให้ความสนใจ อื่นๆ ท่จี �ำเป็นตอ่ การด�ำรงชพี ของทุกคน
ต่อการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่สถานการณ์ พน้ื ทใี่ นเขตเทศบาลลวงเหนอื เปน็ อกี พน้ื ท่ี
ดังกล่าวข้างต้นมากขึ้น เช่นเดียวกับประเทศไทย หน่ึงท่ีมีจ�ำนวนประชากรในวัยสูงอายุจ�ำนวนมาก
ได้ให้ความส�ำคัญเก่ียวกับผู้สูงอายุมากขึ้นมีการ และมีแนวโน้มการเพ่ิมข้ึนอย่างต่อเน่ือง โดยมี
กำ� หนดนโยบายเกย่ี วกบั ผสู้ งู อายเุ ปน็ นโยบายระดบั สัดส่วนจ�ำนวนผู้สูงอายุต่อจ�ำนวนผู้ใหญ่วัยท�ำงาน
ชาติในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (อายรุ ะหว่าง 40-59 ป)ี เท่ากบั 2:1 จากจำ� นวน
ซ่ึงรัฐบาลได้ตระหนักถึงความส�ำคัญ และรณรงค์ ประชากรท้ังสิ้น 6,066 คน (Saardluan, D.,
ให้ทุกคนตระหนัก เข้าใจและพร้อมดูแลผู้สูงอายุ Interview, January 22 2013) ข้อมูลดังกล่าว
(Saraban, 2018 : 177-188) นอกจากนี้ยังมี ทำ� ใหเ้ หน็ ถงึ แนวโนม้ ทจี่ ะมผี สู้ งู อายมุ ากขนึ้ ในขณะ
กฎหมายทใี่ ชค้ มุ้ ครองผสู้ งู อายโุ ดยตรงคอื พระราช ที่จ�ำนวนผู้รับผิดชอบเลี้ยงดูผู้สูงอายุกลับมีจ�ำนวน
บัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 ซ่ึงมีผลบังคับใช้ใน ที่ลดน้อยลง ส่ิงที่ตามมาอย่างหลีกเล่ียงไม่ได้
วนั ท่ี 1 มกราคม พ.ศ. 2547 เปน็ ตน้ มา รวมทง้ั แผน คือ ปัญหาการช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุในชุมชน
พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 11 จากศกึ ษาคน้ ควา้ ตรวจเอกสารทเี่ กยี่ วขอ้ งเกย่ี วกบั
ซ่ึงในปี พ.ศ. 2555 ส�ำนักงานคณะกรรมการ การเตรียมความพร้อมให้กับผู้ใหญ่วัยท�ำงาน
พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้จัดท�ำ ในสงั คมไทย โดยเฉพาะระดบั ทอ้ งถนิ่ ซง่ึ หนงึ่ ในนนั้
แนวทางการขับเคล่ือนยุทธศาสตร์การพัฒนา คือ ชุมชนในเทศบาลลวงเหนือยังไม่ปรากฏท่ี
ผู้สูงอายุอย่างบูรณาการ เพื่อให้เกิดการท�ำงาน ชัดเจนส�ำหรับการจัดกระบวนการเรียนรู้สร้าง
เชงิ รกุ โดยมแี นวคดิ ทใี่ หค้ วามสำ� คญั กบั การพฒั นา ความพร้อมในด้านการเงินท่ีเป็นรูปธรรมส�ำหรับ
คนและระบบคมุ้ ครองทางสงั คมทเี่ นน้ ทกุ ภาคสว่ น ผใู้ หญว่ ยั ทำ� งานทก่ี ำ� ลงั จะเขา้ สวู่ ยั ผสู้ งู อายุ ซงึ่ ถอื ได้
มีส่วนร่วมใน การพัฒนาสังคมสวัสดิการเพื่อให้ ว่ายังไม่มีหลักสูตรการฝึกอบรมเพ่ือเตรียมความ
ประชากรไทยทุกกลุ่มทุกวัยมีหลักประกันยาม พร้อมให้ประชาชนในวัยท�ำงานเพื่อเข้าสู่การเป็น
ชราภาพอย่างทวั่ ถึงและมน่ั คง ผสู้ งู อายทุ มี่ คี ณุ ภาพชดั เจน (Rataan-Ubol, 2009
การเตรียมความพร้อมให้กับบุคคลวัย : 42) ดังนั้นผู้ศึกษาจึงมีความสนใจท่ีจะท�ำการ
ท�ำงานหรือผู้ใหญ่วัยก่อนผู้สูงอายุ จึงเป็นวิธีการ ศึกษาการพัฒนาหลักสูตร การจัดการเงินส่วน
ส�ำคัญต่อการแก้ไขปัญหาของผู้สูงอายุเพราะการ บคุ คลสำ� หรบั ผใู้ หญว่ ยั ทำ� งานเพอ่ื วยั สงู อายใุ นพน้ื ที่

70 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

เทศบาลตำ� บลลวงเหนอื อำ� เภอดอยสะเกด็ จงั หวดั รูร้ ว่ มกนั ของสมาชกิ ในชมุ ชน จ�ำนวน 28 คน
เชียงใหม่ 2. การพัฒนาหลักสูตรการจัดการเงิน
สว่ นบคุ คลสำ� หรบั ผใู้ หญว่ ยั ทำ� งาน เพอ่ื วยั สงู อายุ
2. วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจัย ในพน้ื ทเ่ี ทศบาลตำ� บลลวงเหนอื อำ� เภอดอยสะเกด็
จังหวดั เชยี งใหม่
1. เพ่ือศึกษาปัญหาและความต้องการ 2.1 การร่างแนวทางการพัฒนา
ของผใู้ หญว่ ยั ทำ� งานในการเตรยี ม ความพรอ้ มดา้ น ความพร้อมชมุ ชน เปน็ ขน้ั ตอนการรา่ งหลักสตู ร
การเงนิ เพอ่ื คณุ ภาพชวี ติ ทด่ี ใี นวยั สงู อายขุ องชมุ ชน โดยมีการแต่งต้ังคณะท�ำงาน จ�ำนวน 11 คน
ลวงเหนอื อำ� เภอดอยสะเก็ด จังหวดั เชียงใหม่ จากเวทีการแลกเปล่ียนเรียนรู้ในครั้งแรก
2. เพื่อพัฒนาหลักสูตรการจัดการเงิน ท�ำหน้าที่น�ำผลการวิเคราะห์ SWOT ชุมชน
ส่วนบุคคลส�ำหรับผู้ใหญ่วัยท�ำงาน เพื่อวัยสูงอายุ และศกึ ษาค้นควา้ ขอ้ มูลเพม่ิ เติม เพอื่ ดำ� เนินการ
ในพนื้ ทเี่ ทศบาลตำ� บลลวงเหนอื อำ� เภอดอยสะเกด็ ยกร่างหลกั สูตรฯ
จังหวดั เชียงใหม่ 2.2 การคนื ขอ้ มลู สชู่ มุ ชน หลงั จาก
3. เพ่ือประเมินผลการใช้หลักสูตรการ คณะท�ำงานฯ ได้ยกร่างหลกั สตู รเป็นที่เรียบร้อย
จัดการเงินส่วนบุคคลส�ำหรับผู้ใหญ่วัยท�ำงาน จะน�ำข้อมูลคืนสู่เวทีของชุมชน เพื่อให้สมาชิก
เพื่อวัยสูงอายุในพ้ืนท่ีเทศบาลต�ำบลลวงเหนือ ในชุมชนได้พิจารณาเห็นชอบรายละเอียดของ
อำ� เภอดอยสะเกด็ จงั หวดั เชียงใหม่ หลักสูตรร่วมกันอกี ครงั้ หนึง่
2.3 การนำ� หลกั สตู รไปทดลองปฏบิ ตั ิ
3. วิธีดำ� เนนิ การวจิ ยั หลังจากคณะท�ำงานฯ ได้น�ำข้อมูลคืนสู่เวทีของ
ชุมชนเพ่ือให้สมาชิกในชุมชนได้พิจารณาราย
การวิจัยในครั้งน้ี ผู้วิจัยได้ใช้การวิจัยเชิง ละเอียดของหลักสูตรร่วมกันแล้ว จะพิจารณา
ปฏบิ ตั กิ ารแบบมสี ว่ นรว่ ม (Participatory Action ความเหมาะสมของวนั เวลา สถานท่ี โดยมกี ลมุ่ เปา้
Research) ซึ่งเป็นการมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้อง หมายหลัก ที่จะต้องน�ำหลักสูตรไปทดลองปฏิบัติ
ทุกภาคส่วนในการให้ข้อมูลหลัก ได้แก่ ผู้สูงอายุ คือ ผู้ใหญ่วัยก่อนสูงอายุในชุมชนต�ำบลลวงเหนือ
ผใู้ หญว่ ยั ก่อนผู้สูงอายุ ผนู้ �ำท้องถ่นิ แกนนำ� กลุม่ จำ� นวน 20-25 คน โดยท�ำการมอบหมายให้คณะ
และเจา้ หนา้ ทห่ี นว่ ยงาน ทเ่ี กยี่ วขอ้ งผสู้ งู อายชุ มุ ชน ทำ� งานฯ ดำ� เนินการตอ่ ไป
ต�ำบลลวงเหนือ โดยมีขั้นตอนการด�ำเนินการวิจัย 3. ประเมินผลการพัฒนาหลักสูตรใช้
ดงั ต่อไปน้ี การประเมินผลแบบการมีส่วนร่วม ในการ
1. การวเิ คราะหช์ มุ ชน โดยศกึ ษาสภาพ ประเมินผล โดยแต่งต้ังกรรมการประเมินผล
ปัญหาและความต้องการของผู้ใหญ่ วัยท�ำงาน หลกั สตู ร จำ� นวน 5 คน เพอ่ื เสรมิ สรา้ งโอกาสให้
ในการเตรยี มความพรอ้ มดา้ นการเงนิ ฯ ใชว้ ธิ กี าร
สมั ภาษณเ์ ชงิ ลกึ และการจดั เวทแี ลกเปลยี่ นเรยี น

ปที ี่ 19 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 71

ทกุ สว่ นทเ่ี กยี่ วขอ้ งในชมุ ชนเขา้ มารว่ มแลกเปลยี่ น ท�ำให้เห็นได้ว่า ผู้ใหญ่วัยท�ำงานในพื้นที่เทศบาล
เรียนรู้ตั้งแตเ่ ร่ิมต้น การวางแผน การด�ำเนินการ ต�ำบลลวงเหนือขาด ความตระหนักรู้ ละเลย
การติดตามประเมนิ ผล และรายงานผล และไม่ให้ความส�ำคัญเก่ียวกับการเตรียมพร้อม
ด้านการเงินส�ำหรับวยั ผสู้ งู อายุ
4. สรปุ ผลการวจิ ยั 2. ความต้องการเตรียมความพร้อม
ดา้ นการเงนิ ฯ จากปญั หาทเ่ี กดิ ขน้ึ ในชมุ ชน สมาชกิ
1. สภาพปัญหาและความต้องการของ ในชุมชนต�ำบลลวงเหนือ มีโอกาสแสดงความคิด
ผู้ใหญ่วัยท�ำงานในการเตรียมความพร้อมด้านการ เห็นผ่านเวทีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของผู้มีส่วน
เงินเพ่ือวัยสูงอายุส�ำหรับผู้ใหญ่วัยท�ำงานในพื้นที่ เก่ียวข้องในชุมชนต�ำบลลวงเหนือ ทุกคนมีความ
เทศบาลต�ำบลลวงเหนือ ภาพรวมการออมของ เห็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกันว่าชุมชนต�ำบล
สมาชกิ ในชมุ ชนตำ� บลลวงเหนอื ซง่ึ เกดิ ขนึ้ ในระดบั ลวงเหนือควรให้ความส�ำคัญกับการเตรียมความ
บุคคลด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไปตามความ พรอ้ มดา้ นการเงนิ ใหก้ บั สมาชกิ ในชมุ ชน ซงึ่ เหน็ วา่
สามารถในการหารายได้ของแต่ละครอบครัวและ ผู้คนในวัยท�ำงานส่วนใหญ่ในชุมชนฯ ยังไม่มี
ความจ�ำเป็นในการใช้จ่ายเพื่อด�ำรงชีวิต ตลอดท้ัง ความรแู้ ละความเขา้ ใจตอ่ เรอ่ื งการออมเงนิ เพอื่ เกบ็
ความตระหนักรู้ถึงความส�ำคัญของการออม ท้ังนี้ ไว้ใช้ในวัยสูงอายุ ทั้งน้ีควรเร่ิมต้นจากการเพิ่มพูน
ด้วยวีถีชีวิตที่เรียบง่ายท�ำให้สมาชิกในชุมชน ความรู้ ความเข้าใจในด้านการเงินส่วนบุคคล
มีค่าใช้จ่ายไม่สูงมากนักในการด�ำรงชีวิต และท่ี เพอ่ื วยั สงู อายมุ ากขนึ้ โดยมคี วามประสงคใ์ หห้ นว่ ย
ส�ำคัญสมาชิกในชุมชนส่วนใหญ่มีวินัยทางด้าน งานหรือผู้ท่ีมีบทบาทในชุมชนได้ร่วมกันพัฒนา
การเงินค่อยข้างดีไม่ใช้จ่ายเกินตัว สามารถรักษา ความรู้ด้านการเงินส่วนบุคคลให้กับสมาชิก
ความสมดุลระหว่างรายรับกับรายจ่ายค่อนข้างดี ในชมุ ชน จึงน�ำไปสูก่ ารพฒั นาหลกั สูตรการจดั เงิน
แต่อย่างไรก็ตาม จากการสัมภาษณ์สมาชิกใน ส่วนบุคคลเพื่อวัยสูงอายุส�ำหรับผู้ใหญ่ วัยท�ำงาน
ชุมชนยังไม่มีผู้ใหญ่วัยท�ำงานคนใดมีการออมเงิน ในขนั้ ตอนตอ่ ไป
ทม่ี วี ตั ถปุ ระสงค์ เพอ่ื นำ� เงนิ ออมไวใ้ ชใ้ นวยั ผสู้ งู อายุ 3. การพัฒนาหลักสูตรการจัดการเงิน
เพราะส่วนใหญ่ให้ความใส่ใจกับการแก้ไขปัญหา ส่วนบุคคลส�ำหรับผู้ใหญ่วัยท�ำงาน เพ่ือวัยสูงอายุ
เฉพาะหน้า และจ�ำนวนน้อยมากท่ีคิดจะเก็บออม ในขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตร ผู้วิจัยได้น�ำข้อมูล
ไว้ใช้จ่ายในอนาคต ซึ่งส�ำหรับในจ�ำนวนน้อยของ จากการสัมภาษณ์เชิงลึกของสมาชิกในชุมชนและ
ผทู้ เ่ี กบ็ ออมกม็ กั จะมวี ตั ถปุ ระสงคเ์ กบ็ ออมเอาไวใ้ ช้ ข้อมูลจากการจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในพ้ืนที่
ในเร่ืองการศึกษาของบุตรและธิดา การลงทุน เทศบาลต�ำบลลวงเหนือ มาวิเคราะห์เพ่ือน�ำไปสู่
ค้าขาย และการเจ็บป่วยของสมาชิกในครอบครัว การพัฒนาการยกร่างหลักสูตรการจัดการเงิน
ส่วนการออมเพ่ือจะเก็บไว้ใช้ในยามชราท้ังที่เป็น ส่วนบุคคลเพื่อวัยสูงอายุส�ำหรับผู้ใหญ่วัยท�ำงาน
ของตนเองหรือสมาชิกในครอบครัวยังไม่มี

72 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

มีรายละเอียดข้ันตอนการพฒั นาหลักสตู ร ดงั น้ี การทำ� งานอยา่ งไมเ่ ปน็ ทางการและทกุ ครง้ั ทมี่ กี าร
3.1 การเตรียมความพร้อมคณะ ประชุมกลุ่มย่อยให้มีประธานและเลขานุการ
ท�ำงานจัดท�ำหลักสูตรฯ หลังจากการสัมภาษณ์ เข้าร่วมด้วยทุกคร้ัง เพื่อพิจารณาก�ำหนดราย
สมาชิกในชุมชนฯ ได้จัดเวทีแลกเปล่ียนเรียนรู้ ละเอยี ดหลักสตู รฯ
ร่วมกนั ขนึ้ น�ำข้อมลู การวิเคราะห์ จุดอ่อน จดุ แขง็ 3.4 การเลือกวิธีการและผู้ประเมิน
โอกาส อปุ สรรค (SWOT Analysis) และประเดน็ ผลหลักสูตร ใช้การประเมนิ ผลแบบการมีสว่ นรว่ ม
ปัญหาต่างๆ ท่ีผ่านจากการระดมความคิดจากเวที ในการประเมนิ ผล โดยแตง่ ตงั้ กรรมการประเมนิ ผล
ตลอดจนศึกษาค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่ง หลกั สูตร จำ� นวน 5 คน เพือ่ เสริมสร้างโอกาสให้
ข้อมูลต่างๆ เพื่อด�ำเนินการในรายละเอียดของ ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องในชุมชนเข้ามาร่วมแลกเปล่ียน
ข้นั ตอนต่อไป เรียนรู้ต้ังแต่เร่ิมต้นการวางแผน การด�ำเนินการ
3.2 การเตรียมความพร้อมข้อมูล และการติดตามประเมินผล
ข้อมูลท่ีต้องน�ำมาใช้ประกอบเพื่อพิจารณาในการ 3.5 การคืนข้อมูลสู่ชุมชนหลังจาก
จัดท�ำหลักสูตรฯ ได้น�ำข้อมูลจากการสัมภาษณ์ การยกรา่ งหลกั สตู รเปน็ ทเ่ี รยี บรอ้ ย คณะกรรมการฯ
เชงิ ลกึ และข้อมลู ท่ผี ่านการวิเคราะห์จากเวทแี ลก ได้ส่งหลักสูตรฉบับร่างเข้าสู่กระบวนการพิจารณา
เปลี่ยนเรียนรู้ในระดับต�ำบล และการค้นคว้า ของชุมชน เพื่อให้ชุมชนได้แสดงความคิดเห็น
หาความรู้จากแหล่งต่างๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับการออม ตอ่ หลกั สตู รฯ โดยผา่ นเวทกี ารประชมุ ประจำ� เดอื น
เงนิ เพ่ือวัยสูงอายุ ของเทศบาล โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้น�ำ
3.3 การยกร่างหลักสูตรเริ่มต้น หลกั สูตรไปทดลองใชต้ ามข้นั ตอนตอ่ ไป
โดยการน�ำข้อมูลการวิเคราะห์ภาพรวมของสภาพ 3.6 การน�ำหลักสูตรไปทดลองใช้
ปัญหาและความต้องการต่อการออมเงินเพ่ือวัย หลังจากคณะกรรมการฯ ได้ยกร่างหลักสูตรฯ
สูงอายุที่ได้จากเวทีการแลกเปล่ียนเรียนรู้ระดับ ซึ่งมีองคป์ ระกอบสำ� คัญ 6 องคป์ ระกอบ ไดแ้ ก่ 1)
ตำ� บลมาทำ� การวเิ คราะหอ์ ยา่ งละเอยี ดอกี รอบหนงึ่ หลักการและเหตผุ ลของหลกั สูตร 2) วตั ถุประสงค์
เพ่ือเป็นจุดริเร่ิมในการกระตุ้นพลังความคิด ของหลักสูตร 3) โครงสร้างเน้ือหาหลักสูตร
และสรา้ งการมสี ว่ นรว่ มของคณะทำ� งานฯ หลงั จาก ประกอบด้วย กลมุ่ สาระหลัก 4 กล่มุ สาระ ไดแ้ ก่
การวิเคราะห์สภาพปัญหา และความต้องการ 1) ความส�ำคัญของการจัดการเงินส่วนบุคคล
ในการเตรียมความพร้อมด้านการเงินเพ่ือวัยสูง (สภาพสงั คมไทยในปจั จบุ นั แนวโนม้ ของสงั คมไทย
อายุฯ เพื่อให้เกิดผลทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ในอนาคต สถานการณ์ของสังคมผู้สูงอายุ
และเป็นไปตามแผนท่ีก�ำหนดไว้ คณะท�ำงานฯ ในประเทศไทย ความจ�ำเป็นของการจัดการเงิน
ได้พิจารณาร่วมกันให้มีการแบ่งกลุ่มการท�ำงาน ส่วนบุคคลเพ่ือวัยสูงอายุ) 2) การจัดการหนี้
ออกเปน็ 3 กลมุ่ ๆ ละ 3 คน โดยสามารถนดั หมาย (ทำ� ไมเราตอ้ งเปน็ หนี้ ประเภทของหน้ี การเปน็ หนี้

ปีที่ 19 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 73

ให้เป็น การจัดการหน้ี) 3) การจัดการเงินส่วน เหมาะสมสอดคล้องกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของ
บุคคลเพ่ือวัยสูงอายุ (การวางแผนทางการเงิน สมาชิกชุมชนต�ำบลลวงเหนือ อีกท้ังมีเน้ือหาท่ีไม่
คือ การวางแผนชีวิต การออมเพ่ือวัยสูงอายุ ยากจนเกนิ ไป ประกอบกบั วทิ ยากรสามารถอธบิ าย
และรูปแบบและวิธีการจัดการเงินส่วนบุคคลเพื่อ เข้าใจได้ง่ายไม่น่าเบื่อมีกิจกรรมสอดแทรกและ
วยั สงู อาย)ุ 4) การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ 5) สอื่ การ เวลาที่ใช้ในการอบรม จ�ำนวน 1 วัน (8 ช่ัวโมง)
เรียนรู้ และ 6) การวัดการประเมินผล โดยคณะ ถือว่ามีความเหมาะสม ส่วนปัญหาและอุปสรรค
ทำ� งานฯ ไดน้ ำ� หลกั สตู รไปจดั ฝกึ อบรมใหก้ บั ผใู้ หญ่ พบว่า ในชุมชนมีการจัดกิจกรรมท่ีทับซ้อนกันอยู่
วัยกอ่ นสงู อายทุ อ่ี าศยั อยู่ในพน้ื ที่หมู่บ้านที่ 4 และ หลายกิจกรรม ท้ังท่ีเป็นการด�ำเนินงานของ
5 ตำ� บลลวงเหนอื จำ� นวน 22 คน ใชเ้ วลาการอบรม หน่วยงานในพื้นที่ คือ เทศบาล โรงเรียน วัด
1 วนั (8 ช่ัวโมง) และโรงพยาบาลต�ำบล ตลอดจนหน่วยงานจาก
4. การประเมินผลการใช้หลักสูตรการ ภายนอก เช่น พฒั นาชุมชนอำ� เภอ และการศกึ ษา
จัดการเงินส่วนบุคคลฯ ใช้การประเมินผลแบบ นอกระบบ เป็นต้น จึงท�ำให้เกิดอุปสรรคต่อการ
มีส่วนร่วม ท้ังนี้คณะท�ำงานฯ ได้เสนอช่ือสมาชิก นัดหมายสมาชิกเน่ืองจากเวลาที่จัดกิจกรรม
ในชมุ ชนทมี่ คี วามเหมาะสมโดยพจิ ารณาจากความ ทับซ้อนกัน ท�ำให้สมาชิกเกิดความกังวลและ
เก่ียวข้อง ความสนใจ เวลา และการให้ความ ขาดความใสใ่ จตอ่ กจิ กรรมอยา่ งจรงิ จงั และตอ่ เนอ่ื ง
ร่วมมือต่อการจัดกิจกรรมของชุมชนเป็นส�ำคัญ
เพื่อแต่งต้ังเป็นกรรมการประเมินผลหลักสูตร 5. อภิปรายผลการวจิ ยั
จ�ำนวน 5 คน มีรายละเอียดในการประเมินผล
คือ วตั ถปุ ระสงคห์ ลกั สูตร เนอ้ื หาสาระการเรยี นรู้ 1. สภาพปัญหาและความต้องการของ
วิธีการจัดการเรียนรู้ ส่ือ และกิจกรรมการเรียน ผู้ใหญ่วัยท�ำงานในการเตรียมความพร้อมด้านการ
ตลอดจนปัญหาอุปสรรค ซง่ึ พบวา่ หลกั สูตรมีการ เงินเพ่ือวัยสูงอายุ โดยภาพรวมของชุมชนต�ำบล
ด�ำเนินการเป็นไปตามวัตถุประสงค์ ผู้เข้าร่วมฝึก ลวงเหนอื ผคู้ นในชมุ ชนมวี ถิ ชี วี ติ ทเ่ี รยี บงา่ ยมคี วาม
อบรมมีความรู้ ความเข้าใจมากขึ้น เกิดความ สัมพันธ์ท่ีแนบแน่นผูกพันกับธรรมชาติและ
ตระหนักถึงความส�ำคัญและความจ�ำเป็นของการ ส่ิงแวดล้อม สมาชิกวัยท�ำงานของชุมชนส่วนใหญ่
จัดการเงินส่วนบุคคลเพื่อ วัยสูงอายุมากขึ้น จึงมีแหล่งรายได้จากภาคการเกษตรเป็นหลัก
ผเู้ ขา้ รว่ มฝกึ อบรมเกอื บทกุ คนไดม้ งุ่ มนั่ ทน่ี ำ� ความรู้ ซ่ึงขึ้นลงตามฤดูกาลบางช่วงมีรายได้ดีบางช่วง
เกี่ยวกับการจัดการเงินส่วนบุคคลเพ่ือวัยสูงอายุ ก็ขาดรายได้ จึงท�ำให้มีรายเหลือที่เก็บออมอยู่ใน
ไปปฏิบัติให้เกิดเป็นรูปธรรม อีกท้ังจะน�ำความรู้ ลักษณะการเก็บออมในช่วงส้ันๆ และมีจ�ำนวน
ท่ีได้รับจาก การฝึกอบรมไปเผยแพร่ให้กับบุคคล ไม่มากนัก ส่งผลต่อการเก็บออมเงินของสมาชิก
ใกล้ชิด ส่วนเน้ือหาในการฝึกอบรมมีความเห็นว่า ของชุมชนในระยะยาว เพ่ือไว้ใช้จ่ายในวัยสูงอายุ
ส่วนผู้ใหญ่วัยท�ำงานในชุมชนต�ำบลลวงเหนือ

74 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

ส่วนใหญ่ยังไม่มี การเก็บออมเงินที่มีวัตถุประสงค์ นริ ตุ ิ ไชยกลู (Chiyakun, 1979 : 3) ยวุ ฒั น์ วฒุ เิ มธี
อย่างชัดเจนส�ำหรับเก็บไว้ใช้จ่ายในวัยสูงอายุ (Wuttimatre, 1991 : 11-12) และสัญญา สัญญา
ซึ่งไม่สอดคล้องกับชารินี ฉัตรไชยสิทธิกูล ววิ ฒั น์ (Sanyaviwat, 1998 : 15-16) ซงึ่ ไดอ้ ธบิ าย
(Chatchaisittikun, 2000) ที่ศึกษาเร่ืองการ หลกั การส�ำคญั ของการทำ� งานพฒั นาชุมชนไวด้ ังนี้
วเิ คราะหก์ ารออมของครวั เรอื นในจงั หวดั เชยี งใหม่ 1) หลักการมสี ว่ นร่วมของประชาชน 2) หลักการ
โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาถึงปัจจัยส�ำคัญทาง พึ่งตนเองของชุมชน 3) หลักการท�ำงานร่วมกัน
ดา้ นเศรษฐกจิ และสงั คมทเี่ ปน็ ตวั กำ� หนดพฤตกิ รรม เป็นกลุ่ม 4) หลักการค้นหาและพัฒนาผู้น�ำที่มี
การออมและศึกษาถึงวัตถุประสงค์ของการออม ความรู้ ความสามารถ 5) หลักการประสานงาน
ภาคครวั เรอื นจงั หวดั เชยี งใหม่ ซง่ึ ขอ้ มลู ทใี่ ชใ้ นการ 6) หลักการความเข้าใจในวัฒนธรรมของชุมชน
ศกึ ษาไดม้ าจากการออกแบบสอบถาม จำ� นวน 434 7) หลักการประชาธิปไตยในการด�ำเนินงาน
ตัวอย่าง และจากการรวบรวมข้อมูลสถิติต่างๆ 8) หลักการสมทบ การพัฒนาชุมชนมุ่งที่จะให้
ท่ีงานวิจัยอ่ืนรวบรวมเอาไว้แล้ว พบว่า ส่วนใหญ่ ชุมชนเป็นศูนย์กลางของ การพัฒนา โดยใช้
มีจุดประสงค์ส�ำคัญ คือ เพื่อใช้ยามเจ็บป่วยหรือ ประชาชนและทรัพยากรในชุมชนเป็นส�ำคัญ
ชรา สว่ นผทู้ ไ่ี มม่ กี ารออมทรพั ยก์ บั สถาบนั ทางการ 9) หลักการขยายผล 10) หลักการจัดการชมุ ชน
เงนิ กเ็ นอื่ งจากมรี ายไดน้ อ้ ย จงึ มกั เกบ็ ไวเ้ พอื่ ใชจ้ า่ ย 3. การประเมินผลการทดลองใช้หลัก
ในชีวิตประจ�ำวัน เพ่ือความคล่องตัวในการน�ำเงิน สูตรฯ หลังจากการทดลองใช้หลักสูตรฯ พบว่า
ออกมาใช้ หลักสูตรมีการด�ำเนินการเป็นไปตามวัตถุประสงค์
2. การพฒั นาหลกั สตู รฯ หลกั สตู รไดผ้ า่ น ผู้เข้าร่วมฝึกอบรมมีความรู้ ความเข้าใจมากข้ึน
กระบวนการมสี ว่ นรว่ มการเรยี นรแู้ ละการสนบั สนนุ เกิดความตระหนักถึงความส�ำคัญและจ�ำเป็นของ
ทางสังคมจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของชุมชน ถือได้ การวางแผนหรือการจัดการเงินส่วนบุคคลเพ่ือ
ว่าเป็นที่น่าพอใจในการเร่ิมต้นกับกิจกรรมการ วัยสูงอายุมากขึ้น ผู้เข้าร่วมฝึกอบรมเกือบทุกคน
เตรียมความพร้อมด้านการเงินส่วนบุคคลเพื่อวัย ได้มุ่งมั่นท่ีน�ำความรู้เก่ียวกับการจัดการเงินส่วน
สูงอายุส�ำหรับผู้ใหญ่ วัยท�ำงานในระดับชุมชนแต่ บุคคลเพื่อวัยสูงอายุไปปฏิบัติให้เกิดเป็นรูปธรรม
อย่างไรก็ตามถึงแม้ระดับการมีส่วนร่วมและการ อีกท้ังจะน�ำความรู้ท่ีได้รับจากการฝึกอบรมไปเผย
สนับสนุนจากผู้เกี่ยวข้องท่ีมีส่วนได้ส่วนเสียของ แพร่ให้กับบุคคลใกล้ชิด ส่วนเนื้อหาในการฝึก
ชมุ ชนอยใู่ นระดบั ทไี่ มส่ งู มากนกั การเรมิ่ ตน้ ในการ อบรม ผเู้ ขา้ ฝกึ อบรมมคี วามเหน็ วา่ เหมาะสมไมม่ าก
พฒั นาหลกั สตู รฯ ครงั้ น้ี สง่ ผลตอ่ การขบั เคลอื่ นการ และน้อยจนเกินไป มีความสอดคล้องกับวิถีชีวิต
พฒั นาความพรอ้ มการรองรบั ชมุ ชนผสู้ งู อายดุ ำ� เนนิ ความเป็นอยู่ของสมาชิกชุมชนต�ำบลลวงเหนือ
ไปในทิศทางท่ีสอดคล้องกับความต้องการของ อีกท้ังเน้ือหาการอบรมไม่ยากจนเกินไป ประกอบ
ชุมชนต�ำบลลวงเหนือ สอดคล้องกับแนวคิดของ กับวิทยากรสามารถอธิบายเข้าใจได้ง่ายไม่น่าเบื่อ

ปที ี่ 19 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 75

ระยะเวลาในการจดั ฝึกอบรมใชเ้ วลา 1 วัน ถือวา่ สมาชิกของชุมชนต�ำบลลวงเหนือที่จะสามารถ
เหมาะสมเพราะสมาชกิ ในชมุ ชนสามารถเขา้ รว่ มได้ เผชิญกับปัญหาในอนาคตได้และสามารถท�ำให้
โดยไมร่ บกวนเวลาในการประกอบอาชพี จนเกนิ ไป ชุมชนเป็นชุมชนที่มีความเข้มแข็ง อยู่เย็นเป็นสุข
จากปรากฏการณ์การพัฒนาจัดท�ำหลักสูตรฯ ไดอ้ ยา่ งยง่ั ยืนตอ่ ไป
ไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดความชัดเจนในการมีกิจกรรม
เน้ือหาสาระ วิธีการจัดการความรู้ และรับทราบ 6. ขอ้ เสนอแนะ
ปัญหาอุปสรรคในการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการ
ฝึกอบรมที่จัดขึ้นเท่านั้น สมาชิกท่ีเข้าร่วมฝึก 1. ขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบาย
อบรมฯ นอกจากไดค้ วามรู้ ความเขา้ ใจ จากการฝกึ 1.1 จากการจัดอบรมหลักสูตรการ
อบรมแลว้ สงิ่ สำ� คัญอีกประเด็นหนึง่ คือ เกดิ การ จดั การเงนิ สว่ นบคุ คลฯ พบวา่ ผเู้ ขา้ รว่ ม การอบรม
รับรู้ในกลุ่มอื่นๆ ที่มีบทบาทส�ำคัญเกี่ยวข้อง ไดร้ ับความรู้ ความเขา้ ใจ และเห็นว่าเรือ่ งเกี่ยวกบั
ในกระบวนการพัฒนาหลักสูตรฯ ต้ังแต่เริ่มต้น การเก็บออมเงินเพื่อวัยสูงอายุมีความส�ำคัญเป็น
โดยเฉพาะกลุ่มผู้น�ำชุมชนได้แก่ นายกเทศมนตรี อยา่ งมาก แตห่ ลายคนยังไม่ได้เรมิ่ ตน้ การเก็บออม
กำ� นนั ผใู้ หญบ่ า้ น สมาชกิ สภาเทศบาล ชมรมผสู้ งู อายุ ทั้งๆ ที่อายุใกล้ท่ีจะเข้าสู่วัยเกษียณ การเก็บออม
และสมาชิกของชุมชนในต�ำบลลวงเหนือ ซ่ึงเป็น เพ่ือวัยสูงอายุมีความจ�ำเป็นต้องใช้ระยะเวลาที่
ผู้ท่ีมีบทบาทอย่างส�ำคัญต่อการน�ำไปขยายผลให้ มากพอ ดังน้ันหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการ
เกิดเป็นรูปธรรมในการก�ำหนดนโยบายแผนงาน พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกภาคส่วน
โครงการ และกจิ กรรมทต่ี อ่ เนอื่ งบนฐานการมสี ว่ น ควรมีนโยบาย แผน และโครงการท่ีเก่ียวข้องกับ
ร่วมและแรงสนับสนุนทางสังคมที่สามารถช่วยให้ การเพิ่มพูนความรู้ และสร้างจิตส�ำนึกเก่ียวกับ
กระบวนการพัฒนาหลักสูตรฯ สามารถมุ่งสู่เป้า การออมเงินเพื่อวัยสูงอายุตั้งแต่วัยเริ่มต้นการ
หมายทชี่ มุ ชนคาดหวงั ซงึ่ สอดคลอ้ งกบั แนวคดิ แรง ทำ� งานอยา่ งจรงิ จงั และตอ่ เนอื่ ง
สนบั สนนุ ทางสงั คมของกอทตล์ บิ (Gottlieb, 1985 1.2 เทศบาลต�ำบลลวงเหนือต้อง
: 5-12) ทร่ี ะบวุ า่ แรงสนบั สนุนระดบั กลุม่ เครือข่าย ทบทวนปรับปรุงนโยบายการกระตุ้นและส่งเสริม
(Mezzo Level) เป็นการมองท่ีโครงสร้างและ การออมให้กับประชาชนทุกกลุ่มโดยมีการพัฒนา
หน้าท่ีของเครือข่ายสังคม ด้วยการพิจารณาจาก รูปแบบการออมท่ีจูงใจและ มีความเป็นไปได้
กลุ่มบุคคลที่มีความสัมพันธ์อย่างสม�่ำเสมอ ได้แก่ สำ� หรบั กลมุ่ คนทกุ ระดบั ในชมุ ชนใหม้ คี วามตอ่ เนอื่ ง
การให้ค�ำแนะน�ำ การช่วยเหลือด้านวัสดุส่ิงของ อย่างสมำ�่ เสมอ
ความเป็นมิตร การสนับสนุนทางอารมณ์ และการ 1.3 ภาครัฐควรเร่งส่งเสริมและ
ยกย่อง ถอื ไดว้ ่าเปน็ การเร่ิมตน้ ในการเตรียมความ สนับสนุนให้มีการศึกษาวิจัยบทบาทของภาคี
พรอ้ มดา้ นความมน่ั คงทางการเงนิ สว่ นบคุ คลใหก้ บั ภาครฐั ภาคเอกชน ภาคประชาสงั คม และสถาบัน
ทางสงั คมอนื่ ๆ ในการพฒั นาและสง่ เสรมิ สนบั สนนุ

76 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

งานทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การเตรยี มความดา้ นการออมเงนิ ไปสู่การปฏิบัติที่มีความต่อเน่ือง ดังน้ันชุมชน
เพอื่ กา้ วสสู่ งั คมผสู้ ูงอายทุ ีม่ ีคณุ ภาพ จึงควรก�ำหนดแผนการฝึกอบรมด้านการจัดการ
2. ขอ้ เสนอแนะส�ำหรบั ผู้ปฏบิ ตั ิ เงินส่วนบุคคลเพื่อวัยสูงอายุให้ชัดเจนอย่าง
2.1 การวิจัยในคร้ังนี้ เป็นการวิจัย เปน็ รูปธรรมและน�ำไปสกู่ ารปฏบิ ัตอิ ย่างสม�่ำเสมอ
ท่ีมีจุดมุ่งหมายในการพัฒนาหลักสูตร การจัดการ 3. ขอ้ เสนอแนะสำ� หรับการวิจัยต่อไป
เงินส่วนบุคคลเพ่ือวัยสูงอายุส�ำหรับผู้ใหญ่วัย 3.1 การศึกษาวิจยั ในครัง้ นี้ เป็นการ
ท�ำงานในพื้นท่ีเทศบาลต�ำบลลวงเหนือเท่านั้น ศึกษาเชิงลึกที่ใช้กรณีศึกษาเพียงแห่งเดียวเฉพาะ
เพ่ือให้เกิดการเตรียมความพร้อมมีระยะเวลา ในเขตพ้ืนท่ีเทศบาลต�ำบลลวงเหนือ เพื่อให้เกิด
ยาวนานมากข้ึน ชุมชนควรพัฒนาหลักสูตรการ ความเข้าใจปรากฏการณ์ที่หลากหลายของชุมชน
จัดการเงินส่วนบุคคลเพื่อวัยสูงอายุให้ครอบคลุม จงึ ควรขยายพนื้ ทกี่ ารศกึ ษาวจิ ยั ใหค้ รอบคลมุ ทง้ั ใน
สมาชิกในชมุ ชนทกุ กลมุ่ วยั ระดบั จงั หวัด ระดบั ภาค จนถึงระดับประเทศท้งั ท่ี
2.2 การมีส่วนร่วมของสมาชิกใน มีบริบทคล้ายคลึงและแตกต่างกันเพื่อท�ำความ
ชุมชนเป็นพ้ืนฐานท่ีส�ำคัญของการพัฒนา ท่ีย่ังยืน เข้าใจสามารถสังเคราะห์ในมิตเิ ชงิ ซอ้ นได้ดยี งิ่ ข้นึ
ดังนั้นชุมชนต้องให้สมาชิก ทุกเพศ ทุกวัย ทุกกล่มุ 3.2 ควรทำ� การศกึ ษาวจิ ยั การพฒั นา
รวมทัง้ กลุ่ม องคก์ ร หน่วยงาน และเครือข่ายภาคี หลกั สตู รหรอื การจดั การความรใู้ น การเตรยี มความ
ทุกภาคีในชุมชนมีส่วนร่วมในการร่วมคิด ร่วมท�ำ พร้อมเพื่อรองรับการเป็นชุมชนผู้สูงอายุในด้าน
ร่วมรับผล และร่วมติดตามประเมินผลในการ อื่นๆ ให้ครอบคลุมมากขึ้น
พัฒนาหลักสูตรการจัดการเงินส่วนบุคคลเพื่อ 3.3 ควรทำ� การศกึ ษาวจิ ยั การเตรยี ม
วัยสงู อายุของชมุ ชน ความพร้อมของชุมชนเพื่อรองรับการเป็นชุมชน
2.3 การพัฒนาท่ียั่งยืนในชุมชน ผู้สูงอายุที่มีคุณภาพในด้านอ่ืนๆ ให้ครอบคลุม
มีความจ�ำเป็นท่ีต้องมีการคิดวางแผนและน�ำแผน มากขึ้น

References

Chatchaisittikun, C. (2000). Analysis of Household Savings in Chiang Mai. Chiang Mai :
Chiang Mai University.

Chiyakun, N. (1979). Community Development. Bangkok : Thaianukrorthai.
Gottlieb, J.L. (1985). Social Participation of Individuals in four Rural Community of the

Northeast: Rural Sociology. Columbia : University Missouri Press.

ปที ่ี 19 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 77

Rataan-Ubol, A. (2009). The Study of State, Problems, Needs, and Non-Formal Education
and Informal Education Models to Enhance Learning for Preparation of Thai
Labour when Entering to the Elderly Age. Bangkok : Chulalongkorn University.

Saardluan, D. (22 January 2013). Interview.
Sanyaviwat, S. (1998). Community Development. Bangkok : Amy trading.
Saraban, S. (2018). Knowledge Management and Network of the Well-being Organizations

of the Elderly in Phayao. Dhammathas Academic Journal, 18 (2), 177-188.
TERRABKK. (2017). What is the World population in the next 50 years?. http://www.

populationpyramid.net (Accessed 28 August 2017).
Wuttimatre, Y. (1991). Community Development : From theory to Practice. Bangkok :

Bangkok Block.



การศกึ ษาภาษาผไู้ ทยถน่ิ นางัวและแนวทางสู่การจัดการเรียนการสอน
เพอื่ การสืบสานและการอนุรักษ์ ส�ำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย*
The Study of Phu Thai Dialect in Nangua and Guidelines
for Teaching and Learning Management for Inheritance and

Conservation for upper Secondary School

ยศกร สทิ ธิศักดไิ์ พบูลย์
Yotsakorn Sittisakpaiboon
มหาวิทยาลัยราชภฏั สกลนคร
Sakon Nakhon Rajabhat University, Thailand
E-mail: [email protected]

บทคัดย่อ

การวจิ ยั ครง้ั นมี้ วี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื 1) เพอ่ื ศกึ ษาขอ้ มลู พนื้ ฐานของภาษาผไู้ ทยถน่ิ นางวั อำ� เภอนาหวา้
จงั หวดั นครพนม ในดา้ นระบบเสยี ง ระบบคำ� ระบบประโยค และระบบความหมาย 2) เพอื่ ศกึ ษาแนวทาง
การจัดการเรียนการสอนภาษาผู้ไทยถ่ินนางัว อ�ำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม เพ่ือการสืบสานและ
การอนุรักษ์ ในการเก็บข้อมูลพ้ืนฐานภาษาผู้ไทยถ่ินนางัว ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเก็บรวบรวมข้อมูล
และวิเคราะห์ข้อมูล โดยวิธีการวิจัยภาษาศาสตร์ภาคสนาม และสัมภาษณ์ เก็บข้อมูลจากผู้บอกภาษา
(Data Informant) จ�ำนวน 30 คน การเกบ็ ขอ้ มลู แนวทางการจดั การเรียนการสอนภาษาผไู้ ทยถน่ิ นางวั
โดยเก็บขอ้ มูลจากผทู้ ่มี สี ว่ นเก่ียวข้องในการจัดการเรียนรู้ ผู้เช่ียวชาญด้านหลักสตู ร และการจัดการเรียนรู้
ผลการวิจยั พบว่า
1. ข้อมูลพื้นฐานของภาษาผู้ไทยถิ่นนางัว มีหน่วยเสียงพยัญชนะ 20 หน่วยเสียง ได้แก่
// มีหน่วยเสียงสระเดี่ยวจ�ำนวน 18 หน่วยเสียง
โดยแบง่ เปน็ เสียงสระแท้ส้นั 9 เสยี ง และเสียงสระยาว 9 เสยี ง มีหนว่ ยเสียงวรรณยุกต์ 5 เสียง ระบบค�ำ
ลักษณะโครงสรา้ งของพยางคเ์ ดียวมี 5 แบบ ระบบประโยค ประกอบด้วย ประโยคความเดยี ว ประโยค
ความรวม และประโยคความซ้อน ระบบความหมาย ประกอบดว้ ย ความหมายตรงและความหมายแฝง

* ไดร้ บั บทความ: 9 มีนาคม 2561; แกไ้ ขบทความ: 24 มกราคม 2562; ตอบรับตพี มิ พ์: 11 กุมภาพันธ์ 2562
Received: March 9, 2018; Revised: January 24, 2019; Accepted: February 11, 2019

80 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

2. ผลการศึกษาแนวทางการจัดการเรียนการสอนภาษาผู้ไทยถ่ินนางัว เพ่ือการสืบสานและ
การอนรุ กั ษ์ พบวา่ จากการประชมุ ผมู้ สี ว่ นเกยี่ วขอ้ งในการจดั การเรยี นรภู้ าษาผไู้ ทย สมั ภาษณผ์ เู้ ชย่ี วชาญ
ด้านหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน ได้ข้อสรุปแนวทางการการสืบสานและการอนุรักษ์ ดังน้ี
1) แนวทางนโยบายการจัดการเรียนการสอนภาษาผู้ไทยถ่ินนางัว 2) หลักสูตรภาษาผู้ไทยถ่ินนางัว
ส�ำหรบั นักเรยี นมัธยมศกึ ษาตอนปลาย
ค�ำสำ� คัญ: ภาษาผู้ไทยถ่ินนางัว; นโยบายการสอนภาษาถิ่น; หลกั สตู รและการสอน

Abstract

The purposes of this research were 1) To study Phu Thai dialect in Nangua region,
Nawa district, Nakhon Phanom province on a phoneme system, words system, sentence
system and meaning system. 2) To study the way for learning and teaching Phu Thai
dialect in Nangua region to inherit and conserve Phu Thai dialect in Nangua region.
The data were collected and analysed by field methods in linguistics methodology and
interview of 30 data informants in Nangua region. The data about learning and teaching
management Phu Thai dialect were collected from the stake holder in learning management
and the expert in learning and teaching management and curriculum.
The results of this study were found in the following:
1. The Data base of Phu Thai dialect at Nangua region as follow : The phoneme
system : there are 20 consonant phoneme as //.
There are 18 vowel phoneme that can be divided into 9 short vowels and 9 long vowels.
There are 5 tone levels. The sentence system is divided into 3 types : simple sentence,
compound sentence and complex sentence. The meaning system is divided into 2 types
: denotation meaning and connotation meaning.
2. The result of this study for learning and teaching guidelines for inheritance
and conservation of Phu Thai dialect at Nangua region is :From the stake holder meeting
and interview the expert in curriculum, learning and teaching management they
suggested 2 ways for inheritance and concervation this dialect : 1) To generate the policy
for teaching and learning management Phu Thai dialect in Nangua region 2) To generate
the curriculum of Phu Thai dialect in Nangua region for students in hight school.
Keywords: Phuthai Dialect in Nangua; Dialect Teaching Policy; Curriculum and Teaching

ปที ่ี 19 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 81

1. บทน�ำ แม้ว่ายังไม่มีนโยบายภาษาแห่งชาติเป็นทางการ
ท�ำให้ภาษาอื่นๆ หมดหน้าท่ี และความส�ำคัญ
ภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มล้วนมี เนอื่ งมาจากในปจั จบุ นั การใชภ้ าษาถนิ่ ใน
คุณค่าเป็นมรดกของมนุษยชาติ เนื่องจากเป็น ประเทศไทยกำ� ลงั อยใู่ นระหวา่ งวกิ ฤต คนสว่ นใหญ่
ระบบสอ่ื สารทสี่ รา้ งขน้ึ มาจากภมู ปิ ญั ญาเฉพาะของ ใช้ภาษาถ่ินกันน้อยลง ส่วนค�ำศัพท์และรูปแบบ
แตล่ ะกลมุ่ เพื่อวิถกี ารด�ำรงชีวติ ทีใ่ ช้อย่างต่อเน่ือง ประโยคกลายเปน็ ภาษาอนื่ หรอื ภาษาทางอนิ เทอรเ์ นต็
กันมาเป็นร้อยเป็นพันปี ภาษาเป็นระบบความคิด ทำ� ใหภ้ าษาเกิดสภาพถดถอย เสี่ยงตอ่ การสญู หาย
ความเข้าใจในโลกและสิ่งแวดล้อม เป็นแหล่งเก็บ ภาษาถิ่นนับเป็นภาษาชาติพันธุ์ท่ีมีความส�ำคัญ
ภูมิปัญญาด้านต่างๆ รวมทั้งเป็นอัตลักษณ์ทาง อยา่ งมากอนั บง่ บอกถงึ เอกลกั ษณข์ องทอ้ งถน่ิ และ
วัฒนธรรมหรือความเป็นตัวตนของแต่ละกลุ่มแต่ ภมู ปิ ญั ญาของบรรพบรุ ษุ สมยั กอ่ นทสี่ บื ทอดกนั มา
อยา่ งไรกต็ ามในโลกปจั จบุ นั ภาษาตา่ งๆ ไดเ้ กดิ การ หากภาษาถนิ่ สญู หาย กเ็ ทา่ กบั เราสญู เสยี ภมู ปิ ญั ญา
เปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว กลุ่มชาติพันธุ์ภาษา ของบรรพบุรุษไปด้วย ประเทศไทยเป็นประเทศ
ต่างๆ ล้วนได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง อันเน่ือง ท่ีมีวัฒนธรรมต่างๆ ที่หลากหลาย ยังมีภาษาถิ่น
มาจากการเปลี่ยนแปลงของโลก ระบบเศรษฐกิจ ทั้งภาษาไทยถ่ินเหนือ ภาษาไทยถิ่นกลาง ภาษา
การเมอื ง สงั คมและวฒั นธรรมสมยั ใหม่ ซง่ึ มอี ทิ ธพิ ล ไทยถ่นิ อสี าน ภาษาไทยถน่ิ ใต้ และภาษาของกลุ่ม
จากโลกตะวนั ตกไดม้ กี ารแพรข่ ยายอยา่ งไรพ้ รมแดน ชาตพิ นั ธต์ุ า่ งๆ ทอี่ าศยั อยทู่ วั่ ประเทศ ซง่ึ สง่ิ เหลา่ น้ี
ดว้ ยอำ� นาจและความเจรญิ ดา้ นการสอ่ื สารมวลชน ล้วนเปน็ เอกลักษณ์ของประเทศไทย
ที่ทรงพลัง ท�ำให้สามารถเข้าถึงในเกือบทุกพื้นท่ี ภาษาผู้ไทยถิ่นนางัว เป็นภาษาตระกูล
แม้ในเขตห่างไกล โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อดิจิตอล ไต กะได ท่ีไม่มีภาษาเขียนหรือตัวอักษรเป็นของ
ต่างๆ โดยใช้ภาษาที่เป็นมาตรฐานในระดับชาติ ตัวเอง มีแคเ่ สียงในภาษา หากเจา้ ของภาษาทเ่ี ป็น
เชน่ ภาษาไทยมาตรฐาน ซง่ึ เปน็ ภาษาราชการหรอื คนรุ่นใหม่มีการใช้ภาษาน้อยลงก็จะเสี่ยงต่อการ
ภาษาอังกฤษที่เป็นนานาชาติ จึงท�ำให้ภาษาของ สูญหายของภาษา นอกจากนี้สาเหตุที่จะท�ำให้
กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ จ�ำนวนมากอยู่ในภาวะวิกฤต ภาษานน้ั สญู หายเพราะการเปลยี่ นแปลง โดยภาวะ
และเสยี่ งตอ่ การสญู สนิ้ ไป (Premsrirat, 2007 : 1) ทางธรรมชาตขิ องภาษาจะเปลยี่ นแปลงไปตามการ
นอกจากนี้ สวุ ไิ ล เปรมศรรี ตั น์ (Premsrirat, เปล่ียนแปลงของกลุ่มผู้ใช้ภาษาที่ได้รับการศึกษา
1999 : 1) ไดก้ ลา่ ววา่ การกำ� หนดนโยบายทางการ ดีขึ้น มีการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง
ศกึ ษาหรอื ระบบการศกึ ษาทใี่ ชเ้ ฉพาะภาษาราชการ และวัฒนธรรมด้านต่างๆ ก็จะก่อให้เกิดการ
เพียงภาษาเดียว เป็นสื่อในการเรียนการสอน เปลี่ยนแปลงทางด้านภาษาตามมา เช่น มีค�ำเกิด
ท�ำให้ภาษาท้องถ่ินหมดความหมายและเยาวชน ขน้ึ ใหม่ มกี ารใชส้ ำ� นวนโวหารทแ่ี ปลกใหมแ่ ละสลบั
ไม่เห็นประโยชน์ของภาษาท้องถิ่นของตน อีกท้ัง ซับซ้อน ค�ำบางค�ำ ทีเ่ คยใช้กนั มาแต่เดมิ กลบั เสือ่ ม
นโยบายภาษาแห่งชาติ ซึ่งเป็นท่ีเข้าใจโดยทั่วไป ความนิยมลงไป ค�ำบางค�ำเป็นค�ำที่สังคมเลิกใช้
ที่ส่งเสริมการใช้ภาษาราชการเพียงอย่างเดียว

82 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

กลายเป็นภาษาท่ีตายไปแล้วตามกาลเวลา ดังนั้น มัธยมศึกษาตอนปลาย ในครั้งนี้ผู้วิจัยได้แบ่งการ
ในการอนรุ กั ษแ์ ละการสบื สานภาษาผไู้ ทยถนิ่ นางวั ด�ำเนินการวิจัยออกเป็น 3 ตอน ได้แก่ ตอนที่ 1
เพอื่ ใหภ้ าษาไดค้ งอยใู่ นสงั คมตอ่ ไป จงึ จำ� เปน็ อยา่ งยงิ่ ข้ันเตรยี มการ ตอนที่ 2 การเก็บข้อมูลภาษาผไู้ ทย
ท่ีต้องมนี โยบายภาษา ในระดบั ท้องถน่ิ ระดับกลุม่ และตอนท่ี 3 การพฒั นาแนวทางการจดั การเรยี น
ชาตพิ ันธุ์ เพื่อเป็นแนวทางในการจดั การเรียนการ การสอนภาษาผู้ไทยถิ่นนางัวเพื่อการสืบสานและ
สอนสหู่ อ้ งเรียน โรงเรียน และชุมชนตอ่ ไป การอนุรกั ษ์
ผู้วิจัยในฐานะท่ีเป็นครูปฏิบัติการสอน ตอนท่ี 1 ข้ันเตรยี มการ
ในโรงเรียนมัธยมศึกษาที่ตั้งอยู่ในชุมชนนางัว 1. การเตรียมกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการ
ท่ีมีภาษาถิ่น หรือภาษากลุ่มชาติพันธุ์ท่ีก�ำลัง วิจัย ผวู้ จิ ยั ได้คดั เลือกกลุ่มตวั อยา่ ง ท่ใี ช้ในการเกบ็
จะสูญหาย หากนักเรียนและเยาวชนคนรุ่นใหม่ ข้อมูลภาษาผู้ไทย ซ่ึงเป็นผู้บอกภาษา (Data
มีการใช้ภาษาผู้ไทยถ่ินนางัวลดน้อยลง ดังนั้น Informant) ไดแ้ ก่ กลมุ่ ชาตพิ นั ธผ์ุ ไู้ ทย มภี มู ลิ ำ� เนา
ผู้วิจัยจึงมีความสนใจท่ีจะศึกษาภาษาผู้ไทยถิ่น อยู่ในบ้านนางัว พูดภาษาผู้ไทยเป็นภาษาแม่
นางวั อยา่ งเปน็ ระบบ ซง่ึ ขอ้ มลู สารสนเทศทไ่ี ดจ้ าก ไมจ่ ำ� กดั เพศ ไดม้ าโดยการเลอื กตวั อยา่ งแบบลกู โซ่
การวิจัย จะเป็นแนวทางน�ำไปสู่การจัดการเรียน (Snowball Sampling) จ�ำนวนกลุ่มตัวอย่างไว้
การสอน เพอื่ การสบื สานและการอนรุ กั ษข์ องภาษา จำ� นวน 30 คน ซงึ่ กลมุ่ ตวั อยา่ งทเ่ี กบ็ ขอ้ มลู คนแรก
ผูไ้ ทยถนิ่ นางัวใหค้ งอยูก่ ับชมุ ชนต่อไป (First Informant Key Man) ได้จากการแนะน�ำ
ผู้น�ำชุมชนในหมู่บ้าน โดยผู้วิจัยได้น�ำหลักเกณฑ์
2. วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจยั การคัดเลือกผู้บอกภาษา ในการเก็บข้อมูลด้าน
ภาษาศาสตร์ภาคสนามของธีระพันธ์ ล. ทองค�ำ
1. เพ่ือศึกษาข้อมูลพ้ืนฐานของภาษา (L. Thongkum, 1986) และสุจิตลักษณ์ ดีผดุง
ผู้ไทยถ่ินนางัว อ�ำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม (Deepadung, 1990) ซึ่งนำ� มาประยุคใชเ้ พอ่ื การ
ในดา้ นระบบเสยี ง ระบบคำ� ระบบประโยค และระบบ คัดเลอื กผูบ้ อกภาษา
ความหมาย 2. ส�ำรวจพ้ืนที่เป้าหมายในการลงพ้ืนท่ี
2. เพ่ือศึกษาแนวทางการจัดการเรียน ภาคสนามเพ่ือการเก็บข้อมูล ได้แก่ พื้นที่ต�ำบล
การสอนภาษาผไู้ ทยถนิ่ นางวั อำ� เภอนาหวา้ จงั หวดั นางัว อ�ำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม โดยผู้วิจัย
นครพนมเพ่อื การสบื สานและการอนรุ ักษ์ เดินทางลงเขตพื้นท่ีด้วยตัวเอง โดยเป็นเขตพื้นท่ี
กลมุ่ ชาตพิ นั ธผ์ุ ไู้ ทยอาศยั และใชภ้ าษาผไู้ ทยในชวี ติ
3. วิธดี �ำเนินการวิจยั ประจำ� วนั
3. การคัดเลือกแหล่งข้อมูล หลังจาก
การวิจัยเรื่อง การศึกษาภาษาผู้ไทยถิ่น ได้ส�ำรวจพ้ืนท่ีในการจัดเก็บข้อมูลแล้ว พบว่า
นางัวและแนวทางสู่การจัดการเรียนการสอน
เพ่ือการสืบสานและการอนุรักษ์ ส�ำหรับนักเรียน

ปที ี่ 19 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 83

ตำ� บลนางวั มีจ�ำนวนทั้งหมด 8 หมบู่ ้าน และมผี ู้ใช้ 5. อุปกรณ์การจดั เก็บขอ้ มลู ใชอ้ ุปกรณ์
ภาษาผู้ไทยอยู่จ�ำนวน 3 หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่ท่ี 1 ของจรงิ ทอ่ี ยรู่ อบตวั ของผวู้ จิ ยั เชน่ สว่ นตา่ งๆ ของ
หมู่ที่ 2 และหมู่ท่ี 8 ซึ่งชาวบ้านจะเรียกหมู่บ้าน ร่างกาย เครื่องมือเคร่ืองใช้ รูปภาพในกรณีท่ีไม่มี
ดังกล่าวว่า ‘คุ้มผู้ไทย’ เป็นพ้ืนที่เป้าหมายในการ ตัวอย่างที่เป็นของจริง ในการถามค�ำพื้นฐานจาก
จัดเก็บข้อมูลในการวิจัย จ�ำนวนผู้บอกภาษา ผู้บอกภาษา การแสดงท่าทาง ตลอดจนบทบาท
หมู่บา้ นละ 10 คน สมมตเิ พอื่ ใหผ้ บู้ อกภาษาเขา้ ใจและบอกภาษาออก
4. การเตรียมรายการค�ำพ้ืนฐานต่างๆ มาไดอ้ ยา่ งชดั เจน
(Words List) เพื่อใช้ในการเก็บข้อมูล ด้านเสียง 6. สัทอักษร (Phonetic Alphabet)
ค�ำ และประโยค โดยผู้วิจัยได้ท�ำการศึกษาและ ในการจดบันทึกและการถ่ายทอดเทป (Record
ทบทวนวรรณกรรมรายการคำ� จากหนงั สอื เอกสาร and Transcribe) ผู้วจิ ยั ประยกุ ตใ์ ช้สัทอกั ษรของ
และงานวจิ ยั ทใ่ี ชใ้ นการเกบ็ ขอ้ มลู ทางภาษาศาสตร์ สมาคมสทั ศาสตรน์ านาชาติ (IPA : International
ภาคสนามจากการศกึ ษาภาษาต่างๆ ดงั นี้ Phonetic Association)
4.1 รายการค�ำพื้นฐาน (Basic 7. กล่องทดสอบเสียงวรรณยุกต์ท่ีใช้ใน
Vocabulary List) ตามเกณฑ์การจ�ำแนกค�ำพ้ืน การสัมภาษณ์ผู้บอกภาษา ผู้วิจัยได้ประยุกต์ใช้
ฐานของบรรจบ พนั ธเุ มธา (Puntumetha, 2011) กล่องทดสอบเสียงวรรณยุกต์ของเกดน่ีย์ กล่อง
4.2 ศึกษารายการค�ำเพ่ือเก็บข้อมูล ทดสอบวรรณยุกต์ในภาษาผู้ไทยของวิไลวรรณ
ภาษาผไู้ ทยของวไิ ลวรรณ ขนิษฐานนั ท์ และโรชินี ขนิษฐานันท์ (Khanittanan, 1997) และโรชินี
คนหาญ (Khonhan, 2003) สรุปได้ว่า รายการ คนหาญ (Khonhan, 2003)
คำ� พน้ื ฐานทผี่ วู้ จิ ยั จะใชใ้ นการเกบ็ ขอ้ มลู ภาษาผไู้ ทย 8. อุปกรณ์ส�ำหรับบันทึกเสียง กล้อง
สามารถแบง่ เปน็ หมวดค�ำต่างๆ จ�ำนวน 7 หมวด ถ่ายภาพ ผู้วิจัยใช้เคร่ืองบันทึกเสียงแบบดิจิตอล
ดังนี้ 1) หมวดค�ำเรยี กญาติ เชน่ พอ่ แม่ พ่ี นอ้ ง ปู่ นอกจากนี้ผู้วิจัยยังได้ใช้กล้องถ่ายภาพ ถ่ายภาพ
ย่า ตา ยาย ฯลฯ 2) หมวดค�ำเรยี กส่วนต่างๆ ของ ผบู้ อกภาษาและเก็บข้อมลู
รา่ งกาย เช่น หวั ผม หนา้ ตา ลนิ้ ฯลฯ 3) หมวด ตอนท่ี 2 การศกึ ษาข้อมลู ภาษาผไู้ ทย
คำ� เรยี กภูมิศาสตรแ์ ละธรรมชาติ เช่น ดนิ นำ้� ลม ขั้นรวบรวมข้อมูล
ไม้ ปา่ ฯลฯ 4) คำ� เรยี กเครอื่ งมอื เครอื่ งใชใ้ นการทำ� 1. เก็บรวบรวมข้อมูลด้านเอกสารและ
มาหากนิ เชน่ มีด เสียม จอบ ฯลฯ 5) เคร่ืองมือ งานวจิ ยั ทเี่ กยี่ วขอ้ งในประเดน็ ตา่ งๆ ตอ่ ไปน้ี 1) การ
เครอ่ื งใช้ภายในบ้าน เช่น ถว้ ย ชาม จน ไห หวด ศกึ ษาคำ� พนื้ ฐาน 2) การศกึ ษาคำ� พ้นื ฐานในภาษา
มีด ฯลฯ 6) คำ� กรยิ าสำ� คญั และจ�ำเปน็ เช่น นอน ถิ่นตระกูลไท กะได และ 3) การศึกษาภาษาผูไ้ ทย
นั่ง ยนื กิน พูด ฯลฯ และ 7) คำ� ขยายท่ีส�ำคัญและ 2. ศกึ ษาขอ้ มลู พนื้ ฐาน เอกสารงานวจิ ยั
จำ� เป็น เช่น อ้วน ผม ดี เลว เบา แขง็ ฯลฯ เกยี่ วกบั ภาษาผไู้ ทยในดา้ นตา่ งๆ ดงั นี้ 1) ระบบเสยี ง

84 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

(Phonology) 2) ระบบค�ำ (Morphology) จัดการเรียนการสอนภาษาผู้ไทยถิ่นนางัวน�ำเข้าสู่
3) ระบบประโยค (Syntax) 4) ระบบความหมาย ระบบการเรียนการสอนของในห้องเรียนของ
(Semantic) โรงเรยี น ซง่ึ ไดเ้ สนอแนวทางการพฒั นาการจดั การ
3. การเก็บรวบรวมข้อมูลภาคสนาม เรียนการสอนไว้ 2 ประการ ดังนี้ 1) แนวทาง
ในขั้นตอนนี้ ผู้วิจัยได้เก็บข้อมูลต่างๆ ด้วยตัวเอง นโยบายการสอนภาษาผู้ไทยถน่ิ นางัว 2) หลกั สตู ร
รวบรวมตามหมวดค�ำต่างๆ จ�ำนวน 7 หมวด ภาษาผู้ไทยถิน่ นางวั ซึ่งแนวทางในการพฒั นาการ
ที่ผู้วิจัยได้ศึกษาไว้ ซ่ึงเป็นการเก็บข้อมูลในระบบ จัดการเรียนการสอนแต่ละประการ มีขั้นตอนใน
เสยี งระบบคำ� ระบบประโยคและระบบความหมาย การดำ� เนินงาน
4. ในการเกบ็ ขอ้ มลู ระดบั ประโยค ผวู้ จิ ยั 1. แนวทางนโยบายการสอนภาษาผไู้ ทย
ได้บันทึกเสียงในการสนทนา ระหว่างผู้วิจัยและ ถน่ิ นางวั มขี นั้ ตอนการพฒั นาดงั นี้ 1) ขนั้ เตรยี มการ
ผู้บอกภาษา ส�ำหรับประโยคใดท่ีเกิดความสงสัย 2) ขั้นพัฒนาแนวทางนโยบาย 3) ข้ันประเมินผล
ก็จะให้ผู้บอกภาษาพูดเป็นประโยคอีกครั้งเพ่ือ แนวทางนโยบาย
บนั ทึกเสยี งแล้วน�ำมาถา่ ยถอดเทปในลำ� ดบั ต่อไป 2. หลกั สตู รภาษาผไู้ ทยถน่ิ นางวั มขี นั้ ตอน
5. ในการศกึ ษาระดบั ความหมาย ผวู้ จิ ยั ในการพัฒนาดังนี้ 1) ขั้นเตรียมการ 2) ขั้นยกรา่ ง
ได้พูดคุยและสอบถามผู้บอกภาษาถึงความหมาย หลกั สตู ร 3) ขนั้ นำ� เสนอรา่ งหลกั สตู ร 4) ขนั้ ตรวจสอบ
ของค�ำ ประโยค จากรายการค�ำที่ได้เตรียมมา และประเมนิ ร่างหลกั สตู รโดยผู้เชี่ยวชาญ
นอกจากนี้ยังต้องสอบถามความหมายของค�ำ
ประโยคจากบริบท ส่งิ แวดลอ้ มใกลต้ ัว หากผ้วู ิจัย 4. สรุปผลการวจิ ยั
เกิดข้อสงสัยก็จะท�ำการสอบถามซ�้ำและบันทึก
เสยี งไวเ้ สมอ เพอ่ื นำ� มาทำ� การวเิ คราะหอ์ กี ครงั้ หนงึ่ ตอนที่ 1 ผลการวจิ ัยภาษาผู้ไทยถิ่นนางัว
6. นำ� ขอ้ มลู ภาษาผไู้ ทยถนิ่ นางวั ทไี่ ดจ้ าก ระบบเสยี ง (Phonology)
การเก็บข้อมูลภาคสนาม มาตรวจสอบถูกต้อง 1. ระบบเสียงพยัญชนะ จากการศึกษา
โดยผเู้ ชยี่ วชาญภาษาผไู้ ทย ทง้ั ผเู้ ชยี่ วชาญในชมุ ชน ภาษาผู้ไทยถ่ินนางัว พบว่า หน่วยเสียงพยัญชนะ
และนักวิชาการ จากน้ันรวบรวมข้อมูลจากการ 20 หน่วยเสียง ได้แก่ /
วิเคราะหจ์ ดั ท�ำเปน็ สารสนเทศต่อไป /
ตอนท่ี 3 การพัฒนาแนวทางการจัดการ 2. ระบบเสียงสระ (Vowel) จากการ
เรียนการสอนภาษาผู้ไทยถิ่นนางัวเพ่ือการสืบสาน ศึกษาภาษาผู้ไทยถ่ินนางัว อ�ำเภอนาหว้า จังหวัด
และการอนุรักษ์งานวิจัยน้ี ผู้วิจัยได้ด�ำเนินการ นครพนม พบว่า หน่วยเสียงสระในภาษาผู้ไทย
ประชุมผู้ท่ีมีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดการเรียนการ ถ่ินนางัว มีหนว่ ยเสยี งสระเดย่ี ว จำ� นวน 18 หน่วย
สอนภาษาผู้ไทยถ่ินนางัว เพ่ือเสนอแนวคิดในการ เสยี ง โดยแบง่ เปน็ เสยี งสระแทส้ น้ั 9 เสยี ง และเสยี ง
สระยาว 9 เสียง ดงั น้ี

ปที ่ี 19 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 85

ตารางท่ี 1 แสดงเสยี งสระในภาษาผูไ้ ทยถน่ิ นางัว อำ� เภอนาหว้า จงั หวัดนครพนม

ตำ� แหนง่ ระดับล้นิ หน้า กลาง หลงั

สงู      
กลาง      
ต�ำ่      

3. ระบบเสียงวรรณยุกต์ (Tone) จาก เลข 5 เช่น / nok5 / ‘นก’
การศึกษาภาษาผู้ไทยถ่ินนางัว พบว่า หน่วยเสียง 4. ระบบคำ� (Word) ลักษณะโครงสรา้ ง
วรรณยกุ ตใ์ นภาษาผไู้ ทยถน่ิ นางวั มที ง้ั หมด 5 เสยี ง ของพยางค์เดยี วในภาษาผไู้ ทยมี 5 แบบ ดงั นี้
ดังตอ่ ไปนี้ 4.1 โครงสรา้ งแบบพยางคเ์ ดยี วแบบ
3.1 หนว่ ยเสยี ง / 1 / หมายถงึ เสยี ง CVV1-5 ประกอบด้วย พยญั ชนะตน้ เด่ียวกับสระ
วรรณยุกตต์ ่�ำ - ขน้ึ มี 2 หนว่ ยเสยี งยอ่ ย คำ� ใดที่มี เสยี งยาว ไมม่ พี ยญั ชนะทา้ ย มเี สยี งวรรณยกุ ต์ 1-5
เสียงวรรณยุกต์น้ีจะเขียนก�ำกับตัวเลข 1 เช่น กำ� กบั เช่น / ta1  / ‘ตา (อวัยวะ) / sa4  / ‘เลา่ ลอื
/ mat1 / ‘มดั ’/ phak1 / ‘ผัก’ โจษจนั ’
3.2 หนว่ ยเสยี ง / 2 / เสยี งสงู - ตกลง 4.2 โครงสรา้ งแบบพยางคเ์ ดยี วแบบ
ต�ำ่ มี 2 หนว่ ยเสยี งยอ่ ย ค�ำใดทม่ี ีเสยี งวรรณยกุ ต์นี้ CVC 1-5 ประกอบด้วยพยญั ชนะต้นเดีย่ วประสม
จะเขยี นกำ� กบั ดว้ ยหมายเลข 2 เช่น / khwaj1 / กับสระเสียงส้ัน มีพยัญชนะท้ายเป็นเสียงนาสิก
‘ควาย’/ khaj2 / ‘ไข’่ หรือก่ึงสระ มีเสียงวรรณยุกต์ 1-5 ก�ำกับ เช่น /
3.3 หนว่ ยเสียง / 3 / หมายถงึ เสยี ง dam1 / ‘ด�ำ’ / som4 / ‘เปร้ียว’
วรรณยุกต์ สูงกลางตกลงต่�ำ ค�ำใดท่ีมีเสียง 4.3 โครงสรา้ งแบบพยางคเ์ ดยี วแบบ
วรรณยุกต์นี้จะเขียนก�ำกับด้วยเลข 3 เช่น / CVVN1-5 ประกอบดว้ ย พยญั ชนะตน้ เดยี่ วประสม
khaw3 / ‘ขา้ ว’ / 3/ อา้ กับสระเสียงยาว มีพยัญชนะท้ายเป็นเสียงนาสิก
3.4 หนว่ ยเสียง / 4 / หมายถงึ เสยี ง หรอื กึง่ สระ มีเสยี งวรรณยกุ ต์ 1-5 กำ� กับ เชน่ /
วรรณยุกต์กลางเล่ือนเล่ือนข้ึนสูงค�ำใดที่มีเสียง nam1 / ‘หนาม’ / than2 / ‘ถ่าน’
วรรณยุกต์เสียงน้ีจะเขียนก�ำกับด้วยเลข 4 เช่น / 4.4 โครงสรา้ งแบบพยางคเ์ ดยี วแบบ
m4 / ‘แม่’ / nam4 / ‘น้ำ� ’ CVS4-5 ประกอบด้วย พยญั ชนะตน้ เดยี่ วประสม
3.5 หน่วยเสียง / 5 / เสยี งตำ่� - ข้นึ กบั สระเสยี งสน้ั มพี ยญั ชนะทา้ ยเปน็ เสยี งกกั มเี สยี ง
- ตกค�ำใดท่ีมีเสียงวรรณยุกต์น้ีจะเขียนก�ำกับด้วย วรรณยกุ ต์ 4, 5 กำ� กบั เชน่ / hokm5/ ‘รก รงุ รงั ’/

86 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

sa/ ‘วิดน�้ำ’ 5.3 ประโยคความซ้อน มีการเรียง
4.5 โครงสรา้ งแบบพยางคเ์ ดยี วแบบ หนว่ ยคำ� ในประโยคแบบ ประธาน + กรยิ า + กรรม
CVVS 3 ประกอบด้วย พยญั ชนะต้นเด่ยี วประสม (SVO) เป็นประโยคที่ประกอบด้วยประโยคหลัก
กับสระเสียงยาว มีพยัญชนะท้ายเป็นเสียงกัก และประโยคย่อย ซึ่งเป็นประโยคซ้อนอยู่ใน
มีเสยี งวรรณยกุ ต์ 3 ก�ำกบั เช่น / khut1 / ‘ขุด’ ประโยคหลัก โดยมีสันธานเป็นตัวเช่ือมตัวอย่าง
5. ระบบประโยค (Sentence) หลกั การวเิ คราะหป์ ระโยคความซอ้ นในภาษาผไู้ ทย
5.1 ประโยคความเดยี ว ประโยคท่ีมี ถ่นิ นางัว เช่น / kp2 an1 s4 ma2 m4
หน่วยนาม 1 หน่วย หน่วยกริยา 1 หน่วยหรือ wan2 ni5 hat2 la5/ ‘รองเท้าอันท่ี ซ้อื มา
มากกวา่ นน้ั มกี ารเรียงค�ำแบบ ประธาน + กรยิ า เม่อื วานน้ีขาดแล้ว’
+ กรรม (SVO) ตัวอย่างประโยค เช่น / nam4 6. ระบบความหมาย (Meaning) ด้วย
tom3 na2 / ‘น้ำ� ทว่ มนา’ เหตุที่ภาษาผู้ไทยถิ่นนางัว เป็นภาษาท่ีมีเฉพาะ
5.2 ประโยคความรวม รูปประโยค ภาษาพูด ไม่มีภาษาเขียน จึงไม่มีตัวอักษรใช้
เดยี่ วทม่ี กี ารเรยี งคำ� แบบ ประธาน + กรยิ า + กรรม รปู (Form) จงึ หมายถงึ เสยี งของคำ� นนั้ ไมไ่ ดห้ มาย
(SVO) ตงั้ แต่ 2 ประโยคขน้ึ ไป โดยมหี นว่ ยคำ� เชอื่ ม ถึงรูปของตัวอักษร การวิเคราะห์ความหมายของ
ท�ำหน้าท่ีเชื่อมประโยค ท้ังสองเข้าด้วยหน่วยค�ำ ค�ำในภาษาผู้ไทยในงานวิจัยน้ี ได้ยึดตามหลักการ
เช่ือมประโยคท้ังสองเข้าด้วยกัน หน่วยค�ำเชื่อม วิเคราะห์ความหมายของพรพิลาส เรืองโชติวิทย์
ประโยคในภาษาผู้ไทย /h/ ‘หรอื ’ / ka (Reangchotiwit, 1992)
I / ‘ก็เลย’ / ha la ka / ‘บางทกี ็’ ผลการวเิ คราะหป์ ระเภทของความหมายคำ�
ตวั อยา่ งประโยค เชน่ / to1  si1 paj1 na2 พบว่า ภาษาผู้ไทยถ่ินนางัว มีประเภทของความ
h5 si1 ju2 hn2/ ‘เธอจะไปนาหรือจะ หมาย 2 ประเภท ดงั น้ี 1) ความหมายตรง 2) ความ
อยู่บา้ น’ หมายแฝง

ตารางท่ี 2 ตวั อย่างการวเิ คราะห์ความหมาย

รูปคำ� ความหมายตรง ความหมายแฝง
/ ph3/ ผึ้ง
นัยประหวดั ความรสู้ กึ

แมลงชนิดหนึ่ง มักท�ำรังอยู่ เชอื่ กันต่อๆ มาว่าถ้าผึ้งทำ� รังท่บี า้ น ดี
รวมกันเปน็ ฝูง กินน�ำ้ หวานใน ใครจะนำ� โชคมาให้ จะไดท้ รัพย์
เกสรดอกไมเ้ ป็นอาหาร มีพษิ

ปีที่ 19 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 87

รูปค�ำ ความหมายตรง ความหมายแฝง
/ ho1 / ศรี ษะ
นยั ประหวัด ความรสู้ กึ
/ tin1 / เท้า
อวยั วะสว่ นบนสดุ ของรา่ งกาย เช่ือตอ่ ๆ กนั มาวา่ เป็นอวยั วะทีเ่ ป็น ดี
คน ประกอบดว้ ยส่วนท่บี รรจุ ของสงู
สมอง และสว่ นท่เี ปน็ ใบหนา้

อ วั ย ว ะ ส ่ ว น ล ่ า ง สุ ด ข อ ง เชือ่ ต่อๆ กันมาวา่ เปน็ อวัยวะท่ีต่�ำ ไม่ดี ต�่ำ
ร่างกายคน ส่วนท่ีใช้เหยียบ
พนื้

ตอนท่ี 2 ผลการพัฒนาแนวทางการ ส่ือสารดว้ ยภาษาผไู้ ทยถนิ่ นางัวในชีวติ ประจ�ำวนั
จดั การเรียนการสอนภาษาผ้ไู ทยถนิ่ นางัว เพอ่ื การ กลยุทธ์ที่ 4 ส่งเสริมและสนับสนุนให้
สบื สานและการอนุรกั ษ์ ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนการสอน
1. แนวทางนโยบายการจัดการเรียน ภาษาผไู้ ทยถ่ินนางวั อย่างต่อเน่ือง
การสอนภาษาผู้ไทยถิ่นนางัว การประชุมผู้มีส่วน กลยุทธ์ที่ 5 สร้างโอกาสให้นักเรียนใช้
เก่ียวข้องในการจัดแนวทางนโยบายการจัดการ ภาษาผู้ไทยถ่ินนางัวในกิจกรรมการเรียนการสอน
เรียนการสอนภาษาผู้ไทยถิ่นนางัวในเขตพ้ืนที่ ทงั้ ในห้องเรยี นและนอกหอ้ งเรยี น
ได้มีการก�ำหนดร่างนโยบายที่ประกอบด้วย 2. การพัฒนาร่างหลักสูตรภาษาผู้ไทย
วิสยั ทัศน์ พันธกิจ เปา้ ประสงค์ และกลยทุ ธ์ ดงั นี้ ถิ่นนางัว มีจุดมุ่งหมายของหลักสูตรหลักสูตร
กลยุทธแ์ นวทางนโยบาย ประกอบดว้ ย รายวิชาภาษาผไู้ ทยถน่ิ นางวั กลุม่ สาระการเรียนรู้
กลยทุ ธท์ ี่ 1 พฒั นาหลกั สตู รและการเรยี น ภาษาไทย ชนั้ มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย มจี ดุ มงุ่ หมาย
การสอนภาษาผู้ไทยถ่ินนางัว โดยใช้แหล่งเรียนรู้ ของหลักสูตร ดงั ต่อไปน้ี
และภูมปิ ัญญาในท้องถนิ่ 2.1 เพ่ือให้นักเรียนมีความรู้ความ
กลยุทธ์ท่ี 2 ส่งเสริมและพัฒนาการจัด เข้าใจ เกี่ยวกับภาษาผู้ไทยถ่ินนางัว ตามขอบเขต
การเรียนรู้ ภาษาผู้ไทยถิ่นนางัว เพ่ือให้นักเรียน สาระการเรยี นรขู้ องหลักสตู ร
มคี วามรคู้ วามเข้าใจ มเี จตคติที่ดี ภาคภูมิใจ และมี 2.2 เพ่ือให้นักเรียนมีเจตคติท่ีดี
สว่ นร่วมในการสบื สานและการอนุรักษ์ ตอ่ การอนรุ กั ษแ์ ละการสบื สานภาษาผไู้ ทยถนิ่ นางวั
กลยุทธ์ที่ 3 ส่งเสริมและสนับสนุนให้ เห็นคุณค่า เกิดความรักความภูมิใจของภาษา
โรงเรียนมีการจัดกิจกรรม เพ่ือพัฒนาทักษะการ ประจำ� ท้องถิน่


Click to View FlipBook Version