288 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
In addition to meditation effectively will take to society of peace because humans live
together by understanding, mercy, and kindness to each other and do not encroach and
it’s a succession of Buddhism to prosper. Therefore, it is seen that meditation has a
tremendous value for those who understanding in practical meditation. If any person has
been made meditation accurate that person may be pure and out of all suffering. They
will find true happiness living with wisdom. As the Buddha’s word “The best life is living
with wisdom”.
Keywords: Meditation; Improving the Quality of Human Life
1. บทน�ำ วัตถุต่างๆ มาสนองความต้องการของตนเองและ
หากการแสวงหานั้น ไม่อยู่ในกรอบของศีลธรรม
มนษุ ยท์ กุ คนลว้ นตอ้ งการมชี วี ติ อยอู่ ยา่ งมี ก็จะท�ำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เกิดความ
ความสขุ หา่ งไกลจากทกุ ข์ ปรารถนาใหก้ ารดำ� เนนิ เสอื่ มโทรมทางดา้ นจติ ใจ กอ่ ใหเ้ กดิ ปญั หาครอบครวั
ชีวิตของตนในทุกขณะเป็นไปด้วยความสุขกาย และสงั คม ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอาชญากรรม ฉก ชิง
สุขใจ ส่ิงท่ีมนุษย์พยายามท�ำตลอดชีวิตคือการ วงิ่ ราว การฆา่ ตวั ตาย การใชส้ ารเสพตดิ การมว่ั สมุ
เข้าหาความสุข และพยายามหนีความทุกข์แต่ใน ทางเพศ ปญั หาดงั กลา่ วลว้ นเกดิ จากจติ ใจทม่ี คี วาม
ความเป็นจริงการด�ำเนินชีวิตน้ันมักจะประสบ ตอ้ งการไมม่ ที ส่ี น้ิ สดุ ของมนษุ ยน์ นั่ เอง จติ ทไ่ี มไ่ ดร้ บั
ปัญหาตา่ งๆ มากมาย ซ่งึ มีทั้งดแี ละร้าย เน่อื งจาก การพัฒนาฝึกฝน จิตที่เต็มไปด้วยกิเลส ตัณหา
มนุษย์เกิดมาล้วนน�ำเอาความทุกข์เกิดมาด้วยกัน อปุ าทาน “จติ ” หรอื “ใจ” จงึ เปน็ บอ่ เกดิ ของความ
ทั้งสิ้น ต้นเหตุที่ท�ำให้เป็นทุกข์ก็คือ ความทะยาน ดแี ละความชว่ั ทงั้ ปวง ดงั ทพี่ ระพทุ ธองคท์ รงตรสั วา่
อยากในกาม คือ กามตัณหา ไดแ้ ก่ ความทะยาน “ธรรมท้ังหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นเจ้าใหญ่
อยากในภพ (โลกท่เี ป็นอย่ขู องสตั ว์ ภาวะชีวติ ของ ส�ำเร็จด้วยใจ ถ้าคนมีใจช่ัว ก็จะพูดชั่วหรือท�ำช่ัว
สัตว์) ได้แก่ ภวตัณหา (ความอยากเป็นนั่นเป็นนี่ ตามไปดว้ ยเพราะความชว่ั นน้ั ทกุ ขย์ อ่ มตดิ ตามเขา
หรอื อยากเกดิ อยากมอี ยคู่ งอยตู่ ลอดไป) และความ ไปเหมือนล้อหมุนตามรอยเท้าโคท่ีลากเกวียนไป
ทะยานอยากในวิภพ ได้แก่ วิภวตัณหา (ความ (Tipitaka 25/1/23) หากบคุ คลมีจติ ใจผ่องใสแล้ว
ทะยานอยากในความไม่มีไม่เป็น อยากไม่เป็นน่ัน จะพูดก็ตาม จะทำ� ก็ตาม ความสุขย่อมติดตามมา
ไม่เป็นน่ี) และความจริงอีกประการหนึ่งคอื มนุษย์ เหมือนดังเงาท่ตี ดิ ตามตัว
ส่วนใหญ่ด�ำเนินชีวิตในสภาพที่ให้ความส�ำคัญกับ ดังน้ัน ชีวิตมนุษย์จะมีความสุขอย่าง
กายมากกวา่ จติ ใจ มนษุ ยแ์ สวงหาความสขุ ทางกาย แท้จริงได้น้ัน จึงต้องมีการพัฒนาจิตปัญญาหรือ
และความมงั่ คงั่ ดา้ นวตั ถมุ ากกวา่ การแสวงหาความ คณุ ภาพจติ ใจ การพฒั นาจติ ใจทำ� ไดด้ ว้ ยการฝกึ ฝน
สขุ สงบทางใจ มนษุ ยพ์ ยายามทำ� ทกุ วถิ ที างทจี่ ะหา
ปที ี่ 19 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 289
การปฏิบัติเพ่ือให้จิตเป็นสมาธิ การเจริญสมาธิ โทสะ โมหะ สมาธมิ อี านภุ าพในการขวางกน้ั นวิ รณ์
เพื่อให้จิตเป็นสมาธินั้น ท�ำได้หลายวิธีไม่ว่าจะ หรือกิเลสไม่ให้มาท�ำให้เกิดทุกข์ (Tipitaka 11/
เป็นการฝึกบริกรรมหรือการฝึกปฏิบัติวิปัสสนา 352/369) การทำ� สมาธนิ ัน้ ตอ้ งเร่ิมจากการพฒั นา
เป็นต้น การเจริญสมาธิอย่างต่อเน่ืองจะท�ำให้เกิด ศีลเพื่อน�ำไปสู่สมาธิ ซ่ึงในแต่ละขั้นตอนของการ
ผลดตี อ่ สขุ ภาพกาย และจติ ใจ เมอื่ มนษุ ยม์ สี ขุ ภาพ ปฏิบัติ ผู้ปฏิบัติจะต้องพบกับอุปสรรคที่จะเป็น
กายและจิตใจท่ีดีก็จะท�ำให้ด�ำเนินชีวิตได้อย่างมี ส่ิงคอยขัดขวางการน�ำสมาธิไปพัฒนาชีวิต ท�ำให้
ความสุข ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุข ผปู้ ฏบิ ตั ไิ มส่ ามารถบรรลถุ งึ ความสงบไดแ้ ละสง่ิ นน้ั
ไมเ่ บยี ดเบยี นกนั มคี วามเมตตาตอ่ กนั สงั คมกจ็ ะมี กค็ อื กเิ ลสนนั่ เอง การนำ� สมาธมิ าพฒั นาชวี ติ ใหเ้ กดิ
แตค่ วามสงบรม่ เย็น มีขึ้นนั้น จ�ำต้องใช้ความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส
เพ่ือให้สามารถพัฒนาไปถึงขั้นการเจริญปัญญา
2. ความส�ำคัญของสมาธิกับการพัฒนา เพื่อให้เกิดความบริสุทธิ์หลุดพน้ ด้วยเหตนุ ี้การน�ำ
คุณภาพชีวิต สมาธมิ าพัฒนาชวี ิตจึงเปน็ เร่ืองสำ� คัญเปน็ อยา่ งย่งิ
การฝึกสมาธินับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
สมาธิเป็นหลักธรรมข้อหน่ึงท่ีปรากฏใน ส�ำหรับมนุษย์ปุถุชนผู้ด�ำเนินชีวิตอยู่ในทางโลก
“ไตรสิกขา” คือ ศีล สมาธิ และปัญญา การจะ ที่ต้องอยู่ในสังคมและเก่ียวข้องกับผู้คนมากมาย
พฒั นาสมาธใิ หเ้ กดิ ขนึ้ มไี ดน้ น้ั ตอ้ งมพี นื้ ฐานมาจาก การฝึกสมาธิย่อมเป็นปัจจัยให้เกิดความสุขได้
การพัฒนาศีลเพ่ือน�ำไปสู่การพัฒนาสมาธิและ พอสมควร รวมทั้งการท�ำสมาธิปฏิบัติปฏิบัติสมถ
ต่อเน่ืองไปถึงการพัฒนาปัญญา ซ่ึงทั้งสามส่ิงนี้ วปิ สั สนากรรมฐานเมอ่ื ฝกึ ฝนปฏบิ ตั อิ ยา่ งสมำ่� เสมอ
ผู้ปฏิบัติจ�ำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ให้เข้าใจและปฏิบัติ ด�ำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดี ย่อมเป็นหลักประกัน
ให้เกิดมีขึ้นไปพร้อมกัน เนื่องจากการเจริญศีล ได้ว่า ได้ท่ีพึ่งของชีวิตท่ีถูกต้องดีงามที่จะส่งผลให้
สมาธิ และปญั ญา ไปสคู่ วามวสิ ทุ ธิ คอื ความบรสิ ทุ ธิ์ เป็นผู้มีความสุขความเจริญ ทั้งในภพชาติน้ีและ
หลดุ พน้ นนั้ ตอ้ งอาศยั ศลี สมาธิ และปญั ญาทก่ี ำ� ลงั ภพชาติหน้า เด็กเคารพผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เมตตาเด็ก
เกิดข้ึนพร้อมในอารมณ์เดียวขณะปฏิบัติวิปัสสนา ทุกคนมีความรกั ใครส่ ามัคคีเปน็ น�ำ้ หนึ่งใจเดยี วกนั
คนทกุ คนสามารถสรา้ งนสิ ัยในการเจรญิ ศลี สมาธิ หากสามารถแนะน�ำต่อๆ กันไป ขยายไปยังเหล่า
และปญั ญาได้ การนำ� สมาธมิ าพฒั นาชวี ติ ใหม้ คี วาม มนษุ ยชาตอิ ยา่ งไมจ่ ำ� กดั เชอื้ ชาติ ศาสนา และเผา่ พนั ธ์ุ
สุขในชีวิตประจ�ำวันไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ไม่ใช่เรื่องท่ี สันติสุขอันไพบูลย์ท่ีทุกคนใฝ่ฝันก็ย่อมบังเกิดข้ึน
มนุษยจ์ ะไม่สามารถพัฒนาใหเ้ กดิ มขี ้ึนในตนเองได้ อย่างแน่นอน (Phramaha Supavit Phapatsaro,
การพฒั นาสมาธใิ หเ้ กดิ มขี นึ้ นนั้ ตอ้ งอาศยั การเรยี น 2018 : 183-189)
การถาม การปฏิบัติด้วยความเพียร เน่ืองจากใน ดังน้ัน จึงเห็นได้ว่าสมาธิเป็นส่ิงจ�ำเป็น
แต่ละขั้นตอนของการปฏิบัติน้ันต้องอาศัยความรู้ ส�ำหรับการด�ำเนินชีวิตของมนุษย์ เพราะสมาธิจะ
ความเขา้ ใจ การขดั เกลาจติ ใจใหเ้ บาบางจากโลภะ
290 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
เป็นส่ิงท่ีเข้าไปเพิ่มสมรรถนะของใจ ประคับ 2. วิธีภาวนาสมาธิ ให้เกิดสมาธิมีอยู่
ประคองใจ สรา้ งความงดงามทางจติ ใจใหก้ บั ดวงใจ หลายวิธดี ว้ ยกนั การฝกึ สมาธิจงึ ขึ้นอยกู่ บั จรติ ของ
หรอื จิตส�ำนึกภายในของแต่ละบุคคล การที่บคุ คล ตน การฝกึ สมาธิในคัมภีรท์ างพทุ ธศาสนาได้กล่าว
สามารถสร้างสมาธิให้มีขึ้นในตนได้ก็จะท�ำให้ทุก ถึงการท�ำสมาธิไว้หลายวิธีด้วยกัน เช่น การเดิน
ชวี ติ ในสงั คมอยรู่ ว่ มกนั ไดอ้ ยา่ งสงบสขุ สนั ติ รม่ เยน็ จงกรม การนง่ั สมาธิ การสวดมนต์ แต่กอ่ นการฝึก
บคุ คลทส่ี ามารถนำ� เอาสมาธไิ ปใชใ้ นชวี ติ ประจำ� วนั สมาธินั้น ในเบื้องตน้ ผปู้ ฏิบตั จิ ะต้องตั้งตนไว้ในศลี
ได้อย่างมีประสิทธิภาพย่อมได้รับผลดีจากการ อันบริสุทธ์ิ แล้วตัดปลิโพธเคร่ืองกังวลออกเสีย
ปฏิบัตอิ ย่างแน่นอน สมเดจ็ พระพฒุ าจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร) ไดร้ จนา
ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนจึงน�ำเสนอหลักการ ไว้ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคถึงวิธีภาวนาสมาธิว่า โยคี
ในการพัฒนาสมาธิเพ่ือให้ทราบและเข้าใจถึง บุคคลช�ำระศีลท้ังหลายให้บริสุทธ์ิแล้วพึงตั้งตนไว้
ขบวนการและขั้นตอนในการพัฒนาสมาธิอันจะ ในศลี อนั บรสิ ทุ ธด์ิ แี ลว้ นนั้ จงตดั ปลโิ พธเครอื่ งกงั วล
เปน็ ประโยชนแ์ ละสง่ ผลตอ่ การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ 10 ประการ คอื 1) อาวาสปลโิ พธ เครอ่ื งกงั วล คือ
มนษุ ย์ ดังน้ี ทอ่ี ยู่ 2) กลุ ปลโิ พธ เครอ่ื งกงั วล คอื ตระกลู 3) ลาภ
1. ความหมายของสมาธิ ปลิโพธ เครื่องกังวล คือ ลาภสักการะ 4) คณ
สมาธิ หมายถึง ความที่จิตมีอารมณ์ ปลิโพธ เคร่อื งกังวล คือ หมู่คณะ 5) กมั มปลิโพธ
เป็นหน่ึงเป็นสมาธิ (Tipitaka 12/463/503) เครอ่ื งกงั วล คอื นวกรรม (การกอ่ สรา้ ง) 6) อทั ธาน
สมาธิ หมายถงึ ความมใี จตงั้ มนั่ ความ ปลิโพธ เคร่ืองกังวล คือ การเดินทาง 7) ญาติ
ต้ังม่ันแห่งจิต การท�ำให้ใจสงบแน่วแน่ ไม่ฟุ้งซ่าน ปลิโพธ เครือ่ งกงั วล คอื ญาติ 8) อาพาธปลโิ พธ
ภาวะทจี่ ติ ตงั้ เรยี บแนว่ อยใู่ นอารมณ์ คอื สง่ิ อนั หนง่ึ เคร่ืองกังวล คือ โรคภัยไข้เจ็บ 9) คันถปลิโพธ
อนั เดียว (P.A. Payutto, 2013 : 401) เครอ่ื งกงั วล คอื การเลา่ เรยี น และ 10) อทิ ธปิ ลโิ พธ
สมาธิ หมายถงึ ความตง้ั อยู่ ดำ� รงอยู่ เครอื่ งกังวล คือ การแสดงอทิ ธิฤทธิ์
ความต้ังม่ัน ความไม่ซัดส่าย และความไม่ฟุ้งซ่าน สมาธใิ นการพฒั นาชวี ติ นน้ั ผปู้ ฏบิ ตั ติ อ้ งมี
ของจิตหรือภาวะท่ีจิตไม่ซัดส่าย (Phramaha ความรู้ความเข้าใจในความหมายและอารมณ์ท่ีจะ
Yodhin Yodhiko, 2018 : 119) ท�ำให้เกิดกับสมาธิ บุคคลควรมีการเรียนรู้วิธีการ
จากความหมายข้างต้น สรุปได้ว่า สมาธิ ปฏิบัติในเบ้ืองต้นของการปฏิบัติภาวนาสมาธิ
หมายถงึ การฝกึ จติ ใหม้ คี วามเขม้ แขง็ ตง้ั มนั่ ฝกึ ให้ ท�ำความเข้าใจเกี่ยวกับการฝึกและวิธีการปฏิบัติ
จติ สงบ อนั จะสง่ ผลใหส้ ภาวะจติ มอี ารมณเ์ ปน็ หนงึ่ สมาธิ ซง่ึ หากบคุ คลใดมสี มาธเิ ปน็ ฐานยอ่ มมผี ลมาก
แนว่ แน่ ไมห่ วนั่ ไหวฟงุ้ ซา่ น เปน็ ผมู้ สี ภาวะทางจติ ใจ มอี านสิ งสม์ าก (Suriyarangsee, 2018 : 177-187)
ทเี่ ขม้ แขง็ มน่ั คงไมห่ วนั่ ไหวตอ่ สงิ่ ตา่ งๆ ทม่ี ากระทบ โดยต้องมีครูอาจารย์ที่เป็นกัลยาณมิตรคอยให้
ความรูส้ กึ ทางใจ คำ� แนะนำ� เมอื่ เขา้ ใจถงึ ทมี่ าและวธิ กี ารแลว้ จงึ เลอื ก
ปีที่ 19 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 291
ท่จี ะเรยี น อารมณ์ทีจ่ ะก่อใหเ้ กดิ สมาธิ ซงึ่ เรียกว่า ประกอบข้ึนด้วยธาตุแห่งคุณงามความดีล้วนๆ
อารมณ์กมั มัฏฐาน อาจจะเลอื กเรยี นอย่างใดอย่าง 3) น่งั ขัดสมาธิ เทา้ ขวาทับเท้าซา้ ย มอื ขวาทบั มอื
หนึ่งในบรรดากัมมัฏฐาน 40 ประการ อันเหมาะ ซ้าย น้วิ ชี้ของมือขา้ งขวาจรดน้วิ หวั แม่มือ ข้างซา้ ย
สมแก่จริตจรยิ าของตน การฝกึ สมาธิเพ่อื น�ำเขา้ ไป นั่งให้อยู่ในท่าที่พอดี ไม่ฝืนร่างกายมากจนเกินไป
พัฒนาชีวิตนั้น จะมีขั้นตอนและวิธีการในการฝึก ไม่ถึงกับเกร็ง แต่อย่าให้หลังโค้งงอ หลับตาพอ
แตส่ ำ� หรบั ปถุ ชุ นคนทวั่ ไปทยี่ งั ตอ้ งใชช้ วี ติ สว่ นใหญ่ สบายคล้ายกับก�ำลังพักผ่อน ไม่บีบกล้ามเนื้อตา
อยู่กับทางโลก ต้องประกอบสัมมาอาชีพและ หรือขมวดคิ้ว แล้วตั้งใจให้ม่ัน วางอารมณ์สบาย
มีภาระหน้าท่ีที่ต้องรับผิดชอบมากมาย การฝึก สร้างความรู้สึกให้พร้อมท้ังกายและใจว่าก�ำลัง
ปฏิบัติสมาธิอย่างเข้มงวดจริงจังอาจจะยังไม่ เขา้ ไปสสู่ ภาวะแหง่ ความสงบสบายอยา่ งยงิ่ และ 4)
สามารถทำ� ไดถ้ งึ ทสี่ ดุ แตอ่ ยา่ งไรกต็ ามการฝกึ สมาธิ นกึ กำ� หนดนมิ ติ เปน็ ดวงกลมใสขนาดเทา่ แกว้ ตาดำ�
เพ่ือน�ำไปพัฒนาชีวิตในเบื้องต้นก็ยังเป็นส่ิงส�ำคัญ ใสบรสิ ทุ ธิ์ปราศจากรอยต�ำหนใิ ดๆ ขาวใส เย็นตา
ส�ำหรับการด�ำเนินชีวิต ดังน้ัน เพ่ือให้บุคคลมี เย็นใจ ดังประกายของดวงดาว ดวงแก้วกลมใสนี้
คุณภาพชีวติ ท่ดี ี ประสบความส�ำเร็จในการดำ� เนิน เรยี กวา่ บรกิ รรมนมิ ติ นกึ สบายๆ นกึ เหมอื นดวงแกว้
ชวี ิต ผ้เู ขียนจงึ ขอน�ำเสนอวธิ กี ารฝกึ สมาธิเบ้ืองต้น น้ันมานิ่งสนิทอยู่ ณ ศูนย์กลางกาย (เหนือสะดือ
เพอ่ื นำ� ไปพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ซง่ึ มวี ธิ กี ารฝกึ และวธิ ี ข้ึนมา 2 นิ้วมือ) นึกไปภาวนาไปอย่างนุ่มนวลเป็น
การปฏบิ ัตสิ มาธิเบอ้ื งต้นดังนี้ พทุ ธานสุ ติว่า สมั มา อะระหงั หรือค่อยๆ น้อมนกึ
2.1 วิธีการฝึกสมาธิเบ้ืองต้น สมาธิ ดวงแกว้ กลมใสใหค้ อ่ ยๆ เคลอื่ นเขา้ สศู่ นู ยก์ ลางกาย
คอื ความสงบ สบาย และความรสู้ กึ เปน็ สขุ อยา่ งยงิ่ น้อมนึกอย่างสบายๆ ใจเย็นๆ ไป พร้อมๆ กับ
ที่มนุษย์สามารถสร้างขึ้นได้ด้วยตนเอง เป็นส่ิงที่ คำ� ภาวนา
พระพุทธศาสนาก�ำหนดเอาไว้เป็นข้อควรปฏิบัติ อนึ่ง เมื่อนิมิตดวงกลมใสปรากฏแล้ว
เพื่อการด�ำรงชีวิตประจ�ำวันอย่างเป็นสุข ไม่ ณ กลางกาย ให้วางอารมณ์สบายๆ กับนิมิตน้ัน
ประมาท เตม็ ไปดว้ ยสตสิ มั ปชญั ญะ และปญั ญา อนั จนเหมอื นกบั วา่ ดวงนมิ ติ เปน็ สว่ นหนงึ่ ของอารมณ์
เปน็ เรอื่ งไมเ่ หลอื วสิ ยั ทกุ คนสามารถปฏบิ ตั ไิ ดง้ า่ ยๆ หากดวงนิมิตนั้นอันตรธานหายไป ก็ไม่ต้องนึก
การนงั่ สมาธเิ บอ้ื งตน้ มวี ธิ กี าร คอื 1) กราบบชู าพระ เสียดาย ให้วางอารมณ์สบาย แล้วนึกนิมิตน้ัน
รัตนตรัย เป็นการเตรียมตัวเตรียมใจให้นุ่มนวลไว้ ขึ้นมาใหม่แทนดวงเก่า หรือเม่ือนิมิตนั้นปรากฏ
เป็นเบื้องต้น แล้วสมาทานศีลห้า หรือศีลแปด ทอี่ น่ื ทไ่ี มใ่ ชศ่ นู ยก์ ลางกายใหค้ อ่ ยๆ นอ้ มนมิ ติ เขา้ มา
เพอื่ ยำ�้ ความมน่ั คงในคณุ ธรรมของตนเอง 2) คกุ เขา่ อยา่ งคอ่ ยเปน็ คอ่ ยไป ไมม่ กี ารบงั คบั และเมอ่ื นมิ ติ
หรือนั่งพับเพียบสบายๆ ระลึกถึงความดีที่ได้ มาหยุดสนทิ ณ ศนู ย์กลางกาย ให้วางสติลงไปยงั
กระท�ำไว้ดีแล้วในวันน้ี ในอดีต และที่จะต้ังใจท�ำ จุดศูนย์กลางของดวงนิมิตด้วยความรู้สึกคล้ายมีด
ต่อไปในอนาคตจนราวกับว่าร่างกายท้ังหมด วงดาวดวงเลก็ ๆ อกี ดวงหนงึ่ ซอ้ นอยตู่ รงกลางดวง
292 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
นิมิตดวงเดิม แล้วสนใจเอาใจใส่แต่ดวงเล็กๆ เข้ามาต้ังม่ันในกาย 4) เม่ือใจเข้ามาหยุดนง่ิ ในกาย
ตรงกลางนน้ั ไปเรอ่ื ยๆ ใจจะปรบั จนหยดุ ไดถ้ กู สว่ น การก�ำหนดนิมิตก็หยุดโดยอัตโนมัติ 5) รับรู้การ
เกิดการตกศูนย์และเกิดดวงสว่างขึ้นมาแทนที่ เปล่ียนแปลงภายในกายและจิตใจ ด้วยความสงบ
ดวงนเ้ี รยี กวา่ ดวงธรรม หรอื ดวงปฐมมรรค อนั เปน็ และ 6) อยใู่ นความดแู ลของกลั ยาณมติ รอยา่ งใกลช้ ดิ
ประตูเบ้ืองต้นที่จะเปิดไปสู่หนทางแห่งมรรคผล 2. หลกั การฝกึ สมาธิ (การน่งั สมาธิ)
นิพพาน การระลึกนึกถึงนิมิตสามารถท�ำได้ในทุก ดงั น้ี 1) นอ้ มใจมาเกบ็ ไว้ ณ ศนู ย์กลางกาย แตล่ ะ
แหง่ ทกุ ทที่ กุ อริ ยิ าบถไมว่ า่ จะนง่ั นอน ยนื เดนิ หรอื ครัง้ เกบ็ ใจไวใ้ หน้ านทส่ี ุด จนกระท่งั กลายเป็นนสิ ยั
ขณะทำ� ภารกจิ ใดๆ มใี จตง้ั มน่ั ภายใน 2) มสี ตกิ ำ� กบั ใจตลอดเวลา ทำ� ให้
การนง่ั สมาธติ อ้ งทำ� ใหส้ มำ่� เสมอเปน็ ประจำ� ระลึกรู้ตัวอยู่เสมอ ไม่ยินดียินร้ายในเวลาเห็น
ทำ� เรื่อยๆ ทำ� อย่างสบายๆ ไมเ่ รง่ ไม่บังคับ ทำ� ได้ รปู ฟงั เสยี ง ดมกลนิ่ ลมิ้ รส สมั ผสั รธู้ รรมารมณใ์ ดๆ
แค่ไหนให้พอใจแค่น้ัน ซ่ึงจะเป็นการป้องกันมิให้ (เชน่ ในคำ� สรรเสรญิ เยนิ ยอ ยศศกั ดิ์ ชอ่ื เสยี ง ฯลฯ)
เกิดความอยากจนเกินไปจนถึงกับท�ำให้ใจต้อง 3) ตั้งใจฝึกสมาธิอย่างสม่�ำเสมอ และตรงเวลา
สญู เสยี ความเปน็ กลาง และเมอ่ื การฝกึ สมาธบิ งั เกดิ เป็นประจ�ำ และ 4) มีอาจารย์ท่ีมีความรู้ความ
ผลจนได้ดวงปฐมมรรค ท่ีใสเกินใส สวยเกินสวย สามารถจรงิ คอยควบคมุ ใหค้ ำ� แนะนำ� อยา่ งใกลช้ ดิ
ติดสนิทม่ันคงที่ศูนย์กลางกายแล้ว ให้หมั่นตรึก 3. ขอ้ ควรระวงั ในการนงั่ สมาธิ ดงั นี้
ระลกึ ถงึ อยเู่ สมอ อยา่ งนแ้ี ลว้ ผลแหง่ สมาธจิ ะทำ� ให้ 1) อย่าใช้ก�ำลังคือ ไม่ใช้ก�ำลังใดๆ ทั้งสิ้น เช่น
ชวี ิตด�ำรงอยู่บนเสน้ ทางแหง่ ความสุข ความสำ� เร็จ ไม่บีบกล้ามเน้ือตา เพ่ือจะให้เห็นนิมิตเร็วๆ
และความไมป่ ระมาทตลอดไป ทงั้ ยงั จะทำ� ใหส้ มาธิ ไมเ่ กรง็ แขน ไมเ่ กร็งกล้ามเน้ือหน้าทอ้ ง ไม่เกร็งตัว
ละเอยี ดลมุ่ ลกึ ไปตามลำ� ดบั อกี ดว้ ย เมอ่ื เขา้ ใจถงึ วธิ ี เพราะการใช้ก�ำลังตรงส่วนใดของร่างการก็ตาม
การในการฝกึ สมาธเิ บอื้ งตน้ เปน็ พน้ื ฐานแลว้ เมอื่ มี จะท�ำให้จิตเคล่ือนจากศูนย์กลางกายไปสู่จุดน้ัน
การฝึกปฏิบัติต่อไปจึงควรจะได้เรียนรู้ถึงเทคนิค 2) อยา่ อยากเหน็ คือ ท�ำใจใหเ้ ป็นกลาง ประคอง
เบอ้ื งตน้ ในการนง่ั สมาธิ หลกั การฝกึ สมาธติ ลอดจน สตมิ ใิ หเ้ ผลอจากบรกิ รรมภาวนา และบรกิ รรมนมิ ติ
ข้อควรระวังในการนัง่ สมาธิ ดังนี้ ส่วนจะเห็นนิมิตเมื่อใดน้ัน อย่ากังวล ถ้าถึงเวลา
1. เทคนิคเบ้ืองต้นในการน่ังสมาธิ แลว้ ยอ่ มเหน็ เอง การบงั เกดิ ของดวงนมิ ติ นนั้ อปุ มา
ดงั น้ี 1) หลบั ตาเบาๆ ผนงั ตาปดิ 90% 2) อยา่ บงั คบั เสมือนการข้ึนและตกของดวงอาทิตย์ เราไม่อาจ
ใจเพยี งตง้ั สติ วางใจเบาๆ ณ ศนู ยก์ ลางกายกำ� หนด จะเรง่ เวลาได้ 3) อยา่ กงั วลถงึ การกำ� หนดลมหายใจ
นมิ ติ เปน็ ...ดวงแกว้ ใสๆ...เบาๆ องคพ์ ระใสๆ...เบาๆ เข้าออก เพราะการฝึกสมาธิเพื่อให้เข้าถึง
ลมหายใจ เข้า-ออก...เบาๆ อาการทอ้ ง พอง-ยบุ ... พระธรรมกายภายใน อาศยั การนกึ ถงึ อาโลกกสณิ
เบาๆ เพียงอย่างใดอย่างหน่ึง 3) ก�ำหนดนิมิต คือ กสิณความสว่าง เปน็ บาทเบ้ืองตน้ 4) เมอื่ เลกิ
นึกนิมิตอย่างต่อเน่ือง เพ่ือเป็นกุศโลบายล่อใจให้ จากนงั่ สมาธแิ ลว้ ใหต้ งั้ ใจไวท้ ศี่ นู ยก์ ลางกายทเี่ ดยี ว
ปีท่ี 19 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 293
ไม่ว่าจะอยใู่ นอริ ยิ าบถใดก็ตาม เช่น ยืน เดิน นอน หนักแน่น เยือกเย็น และเช่ือม่ันในตนเองมี
หรือนั่ง อย่ายา้ ยฐานทต่ี งั้ จิตไปไว้ท่อี นื่ เป็นอันขาด มนุษยสัมพันธ์ดี วางตัวได้เหมาะสมกับกาลเทศะ
ให้ตั้งใจบริกรรมภาวนา พร้อมกับนึกถึงบริกรรม เป็นผู้มีเสน่ห์ เพราะไม่มักโกรธ มีความเมตตา
นมิ ติ เปน็ ดวงแกว้ ใส หรอื องคพ์ ระแกว้ ใส ควบคกู่ นั กรุณาตอ่ บุคคลทัว่ ไป
ไปตลอด และ 5) นิมติ ตา่ งๆ ท่ีเกิดขึน้ จะตอ้ งน้อม 1.3 ดา้ นชวี ติ ประจำ� วนั ชว่ ยใหค้ ลาย
ไปตง้ั ไวท้ ศี่ นู ยก์ ลางกายทง้ั หมด ถา้ นมิ ติ เกดิ ขน้ึ แลว้ เครยี ด เปน็ เครอื่ งเสรมิ ประสทิ ธภิ าพในการทำ� งาน
หายไป กไ็ มต่ อ้ งตามหา ใหภ้ าวนาประคองใจตอ่ ไป และการศึกษาเล่าเรียน ช่วยเสริมให้มีสุขภาพ
ตามปกติ ในท่สี ุดเมอื่ จติ สงบ นิมิตยอ่ มปรากฏขนึ้ ร่างกายแข็งแรง เพราะร่างกายกับจิตใจย่อมมี
มาใหม่อีก (Phra Mongkulthepmunee (Sod อิทธิพลต่อกัน ถ้าจิตใจเข้มแข็งย่อมเป็นภูมิ
Caṇdasaro Jaisaigrad A., 2016) ตา้ นทานโรคไปในตัว
สรุปได้ว่า การฝึกสมาธิในเบื้องต้นนั้น 1.4 ด้านศีลธรรมจรรยา เป็นผู้มี
ผฝู้ กึ ควรจะตอ้ งไดร้ บั คำ� แนะนำ� จากผรู้ ู้ ทงั้ นเ้ี พอ่ื จะ สมั มาทฏิ ฐิ เชอื่ กฎแห่งกรรม สามารถคมุ้ ครองตน
ได้น�ำไปใช้เป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติให้ ให้พ้นจากความช่ัวทั้งหลายได้ เป็นผู้มีความ
ได้ผลและบรรลุวัตถุประสงค์เป็นประโยชน์ต่อผู้ ประพฤติดี เนื่องจากจิตใจดีท�ำให้ความประพฤติ
ปฏบิ ัตอิ ย่างแทจ้ รงิ ทางกายและวาจาดีตามไปด้วย เป็นผู้มีความ
มกั นอ้ ย สันโดษ รกั สงบและมขี ันติเปน็ เลศิ เปน็ ผู้มี
3. สมาธกิ ารพัฒนาคณุ ภาพชีวติ มนษุ ย์ ความเอ้ือเฟื้อเผื่อแผ่ เห็นประโยชน์ส่วนรวม
มากกวา่ ประโยชนส์ ว่ นตวั เปน็ ผมู้ สี มั มาคารวะและ
โดยภาพรวมแล้วการฝึกสมาธิเป็นส่ิงที่มี มคี วามออ่ นนอ้ มถ่อมตน
ประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตมนุษย์เป็น 2. สมาธิมีผลต่อครอบครวั
อย่างยิง่ ซ่ึงประโยชน์ดังกล่าวอาจจะสรปุ ได้ ดังนี้ 2.1 ท�ำให้ครอบครัวมีความสงบสุข
1. สมาธิมีผลตอ่ ตนเอง เพราะสมาชิกในครอบครัวเห็นประโยชน์ของการ
1.1 ด้านสุขภาพจิต ส่งเสริมให้ ประพฤติธรรม ทกุ คนตัง้ ม่นั อยู่ในศีล ปกครองกัน
คุณภาพของใจดีขึ้น คือ ทำ� จิตใจ ผอ่ งใส สะอาด ดว้ ยธรรม เดก็ เคารพผใู้ หญ่ ผใู้ หญเ่ มตตาเดก็ ทกุ คน
บริสุทธิ์ สงบ เยือกเย็น ปลอดโปรง่ โลง่ เบา สบาย มีความรกั ใคร่สามคั คี เป็นนำ�้ หนง่ึ ใจเดยี วกัน
มีความจำ� และสตปิ ญั ญาดีข้นึ สง่ เสริมสมรรถภาพ 2.2 ท�ำให้ครอบครัวมีความเจริญ
ทางใจ ทำ� อะไรคดิ อะไรไดร้ วดเรว็ ถกู ตอ้ ง เลอื กคดิ ก้าวหน้า เพราะสมาชิกต่างก็ท�ำหน้าท่ีของตน
แต่ในส่งิ ท่ีดีเท่านัน้ โดยไมบ่ กพรอ่ ง เปน็ ผมู้ ใี จคอหนกั แนน่ เมอ่ื มปี ญั หา
1.2 ดา้ นพฒั นาบคุ ลกิ ภาพ ทำ� ใหเ้ ปน็ ครอบครวั หรอื มอี ปุ สรรคอนั ใด ยอ่ มรว่ มใจกนั แกไ้ ข
ผมู้ บี คุ ลกิ ภาพดี กระฉบั กระเฉง มคี วามองอาจสงา่ ปัญหานน้ั ๆ ใหล้ ุล่วงไปได้
ผา่ เผย มผี วิ พรรณผอ่ งใส มคี วามมนั่ คงทางอารมณ์
294 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
3. สมาธิมีผลตอ่ สังคมและประเทศชาติ มีเหตผุ ล และเป็นผูร้ ักสงบ
3.1 ท�ำให้สังคมสงบสุข ปราศจาก 4. สมาธมิ ผี ลต่อศาสนา
ปญั หาอาชญากรรมและปญั หาสงั คม เพราะปญั หา 4.1 ท�ำให้เข้าใจพระพุทธศาสนาได้
ทั้งหลายท่ีเกิดขึ้นในสังคม ไม่ว่าจะเป็นปัญหา อยา่ งถกู ตอ้ งและรซู้ งึ้ ถงึ คณุ คา่ ของพระพทุ ธศาสนา
การฆ่า การข่มขืน โจรผู้ร้าย การทุจริตคอรัปชั่น รวมท้ังรู้เห็นด้วยตัวเองว่าการฝึกสมาธิไม่ใช่เร่ือง
ลว้ นเกดิ ขนึ้ มาจากคนทขี่ าดคณุ ธรรม เปน็ ผมู้ จี ติ ใจ เหลวไหลหากแต่เป็นวิธีเดียวที่จะท�ำให้พ้นทุกข์
อ่อนแอ หวั่นไหวต่ออ�ำนาจส่ิงย่ัวยวนหรือกิเลส เขา้ สูน่ พิ พานได้
ไดง้ า่ ย ผทู้ ฝ่ี กึ สมาธยิ อ่ มมจี ติ ใจทเ่ี ขม้ แขง็ มคี ณุ ธรรม 4.2 ท�ำให้เกิดศรัทธาต้ังมั่นในพระ
ในใจสงู ถา้ แตล่ ะคนในสงั คมตา่ งฝกึ ฝนอบรมใจของ รัตนตรัยพร้อมที่จะเป็นทนายแก้ต่างให้กับพระ
ตนใหห้ นกั แนน่ มนั่ คง ปญั หาเหลา่ นกี้ จ็ ะไมเ่ กดิ ขน้ึ ศาสนา อันจะเป็นก�ำลังส�ำคัญในการเผยแพร่การ
ส่งผลใหส้ งั คมสงบสขุ ได้ ปฏบิ ตั ธิ รรมทถี่ กู ตอ้ ง ใหแ้ พรห่ ลายไปอยา่ งกวา้ งขวาง
3.2 ท�ำให้เกิดความมีระเบียบวินัย 4.3 เปน็ การสบื อายพุ ระพทุ ธศาสนา
และเกิดความประหยัด ผู้ท่ีฝึกใจให้ดีงามด้วยการ ให้เจริญรุ่งเรืองตลอดไป เพราะตราบใดท่ี
ท�ำสมาธิอยู่เสมอ ย่อมเป็นผู้รักระเบียบวินัย พุทธศาสนกิ ชน ยังต้งั ใจปฏบิ ัตธิ รรมเจริญภาวนาอยู่
รักความสะอาด มีความเคารพกฎหมายของบ้าน พระพทุ ธศาสนากจ็ ะเจรญิ รงุ่ เรอื งอย่ตู ราบนั้น
เมอื ง ดงั นน้ั บา้ นเมอื งเรากจ็ ะสะอาดนา่ อยู่ ไมม่ คี น 4.4 จะเป็นก�ำลังส่งเสริมทะนุบ�ำรุง
มกั งา่ ยทง้ิ ขยะลงบนพน้ื ถนน จะขา้ มถนนก็เฉพาะ ศาสนา เพราะเมื่อเข้าใจซาบซ้ึงถึงประโยชน์ของ
ตรงทางขา้ ม เปน็ ตน้ เปน็ เหตใุ หป้ ระเทศชาตไิ มส่ นิ้ การปฏิบัติธรรมด้วยตนเองแล้ว ย่อมจะชักชวน
เปลืองงบประมาณ เวลาและก�ำลังเจ้าหน้าท่ี ผ้อู ืน่ ใหท้ �ำทาน รกั ษาศลี เจริญภาวนาตามไปดว้ ย
ท่ีต้องใช้ไปในการแก้ปัญหาท่ีเกดิ ขน้ึ จากความไม่มี เม่ือใดท่ีทุกคนในสังคมต้ังใจปฏิบัติธรรม ท�ำทาน
ระเบยี บวนิ ยั ของประชาชน รักษาศีล และเจริญภาวนา เม่ือนั้นย่อมหวังได้ว่า
3.3 ท�ำให้สังคมเจริญก้าวหน้า สันติสุขท่ีแท้จริงจะบังเกิดขึ้นอย่างแน่นอน (Phra
เม่ือสมาชิกในสังคมมีสุขภาพจิตดีรักความเจริญ Mongkulthepmunee (Sod Caṇdasaro Jaisaigrad
กา้ วหนา้ มปี ระสทิ ธภิ าพในการทำ� งานสงู ยอ่ มสง่ ผล A., 2016)
ให้สังคมเจริญก้าวหน้าตามไปด้วย และเมื่อมี
กจิ กรรมของสว่ นรวม สมาชกิ ในสงั คมกย็ อ่ มพรอ้ ม 4. สรุป
ทีจ่ ะสละความสุขสว่ นตน ให้ความรว่ มมือกบั สว่ น
รวมอย่างเต็มท่ี แม้มีผู้ไม่ประสงค์ดีต่อสังคม การพัฒนาคุณภาพชีวิตมนุษย์ตาม
มายแุ หยใ่ หเ้ กดิ ความแตกแยกกจ็ ะไมเ่ ปน็ ผลสำ� เรจ็ แนวทางพระพุทธศาสนา โดยใช้หลักการฝกึ สมาธิ
เพราะสมาชิกในสังคมเป็นผู้มีจิตใจหนักแน่น เพ่ือน�ำพาไปสู่ความสุขในชีวิตประจ�ำวันน้ันถือว่า
เป็นสิ่งส�ำคัญ และมีประโยชน์อย่างย่ิงต่อการ
ปที ่ี 19 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 295
ด�ำเนินชีวิต ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ส่วนตน สังคม พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทำ� ใหม้ นษุ ยม์ คี วามเหน็ ความ
ประเทศชาติ และพระศาสนา การฝึกสมาธิย่อม เขา้ ใจทกุ สง่ิ ไดถ้ กู ตอ้ งตามความเปน็ จรงิ หากปฏบิ ตั ิ
ช่วยให้มนุษย์มีสุขภาพจิตท่ีดี มีความเข้าใจและ ได้ถูกต้อง เป็นหนทางแห่งความบริสุทธ์ิหลุดพ้น
เห็นใจเพ่ือมนุษย์ด้วยกัน อยู่ร่วมกันด้วยความมี พน้ ทกุ ข์ มคี วามสขุ ทแ่ี ทจ้ รงิ เปน็ การสง่ เสรมิ คณุ ภาพ
เมตตาตอ่ กัน ไม่เบยี ดเบียน ขม่ เหง ทำ� ร้ายซึ่งกัน ชีวิตท่ีดีแก่มวลมนุษยชาติ มนุษย์มีชีวิตอยู่ด้วย
และกัน อีกท้ังการด�ำเนินรอยตาม ค�ำสอนของ ปญั ญาและสบื ทอดพระพทุ ธศาสนาใหค้ งอยสู่ บื ไป
References
Mahachulalongkornrajavidyalaya. (1996). Tipitaka of M.C.U. Version. Bangkok : Mahachulalong
kornrajavidyalaya Printing house.
Phra Brahmagunabhorn (P. A. Payutto). (2013). Dictionary of Buddhism Version of Dhamma
Collection. (The 1st Additional Clear/Terminate.). Bangkok : Dhammasapa Buddhism.
Phra Mongkulthepmunee (Sod Caṇdasaro Jaisaigrad A.). (2016). Meditation : Basic Method
of Meditation Practice. http://jaisai.org/show.php?id=17615. (Accessed 1 December
2017).
Phramaha Supavit Phapatsaro. (2018). Health Restoration of Elder People in the Monasteries
in the North East. Dhammathas Academic Journal, 18(3), 183-189.
Phramaha Yodhin Yodhiko. (2018). Visuddhimaga Studies. Khonkaen : Khonkaenkanpim
Partnership.
Suriyarangsee, S. (2018). A Process of Strengthening the Conscience of Five Precepts to
Youth in School, Chiang Mai Province. Dhammathas Academic Journal, 18(1),
177-187.
บทบาทของผนู้ �ำในกระบวนทัศนใ์ หม*่
Role of Leader in the New Paradigm
เจ้าอธิการบุญช่วย โชตวิ โํ ส (อุ้ยวงค)์
Chao Athikan Bunchuai Chotivungso (Auiwong)
มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วิทยาเขตขอนแก่น
Mahachulalongkornrajavidyalaya University, KhonKaen Campus, Thailand
E-mail: [email protected]
บทคดั ยอ่
ประเทศไทยนน้ั ยงั อยใู่ นระหวา่ งเปลย่ี นผา่ นเหมอื นกระบวนทศั นอ์ กี หลายๆ อยา่ งทย่ี งั ไมต่ กผลกึ
ยังไม่ชัดเจน พลเมืองทุกคนมีความรู้สึกยากล�ำบากและก่อให้เกิดความขัดแย้ง และเม่ือถึงวิธีการจัดการ
ความขดั แยง้ ในกระบวนการทใี่ ชก้ ระบวนการแกป้ ญั หาขอ้ พพิ าททางเลอื ก หรอื การเจรจาไกลเ่ กลย่ี คนกลาง
ก็เปน็ ทง้ั ศาสตรแ์ ละศิลปใ์ หมท่ ่สี ังคมยงั ไมค่ ่อยเข้าใจ และก็ไมใ่ ช่วิทยาศาสตรท์ จ่ี ะสามารถทำ� การทดลอง
ซำ�้ โดยใครๆ กไ็ ด้ เพอื่ ใหไ้ ดผ้ ลมาเหมอื นกนั แตเ่ ปน็ กระบวนการทางสงั คมทต่ี อ้ งการ ทกั ษะเฉพาะตวั ทตี่ อ้ ง
ฝึกฝนเหมือนกับกระบวนการทัศน์กีฬา ทางดนตรีและอีกหลายๆ อย่าง ดังนั้น ส�ำหรับการแก้ไขปัญหา
ดังกล่าวจึงจ�ำเป็นต้องพัฒนาบทบาทของผู้น�ำแต่ละองค์กรให้ดีย่ิงข้ึน เพื่อสร้างผู้น�ำที่เป็นคนกลางท่ีมี
ทั้งศาสตร์และศิลป์ในกระบวนทัศน์ใหม่ โดยมุ่งพัฒนาแก่นส�ำคัญ ประกอบด้วย ระบบคุณธรรม ระบบ
ผลงาน และระบบสมรรถนะ โดยผนู้ ำ� องคก์ รทเี่ ปน็ คนกลางนนั้ จะตอ้ งประกอบไปดว้ ยบทบาทสำ� คญั ไดแ้ ก่
การมวี สิ ยั ทศั น์ การวางกลยทุ ธ์ การมศี กั ยภาพ เพอื่ นำ� การเปลย่ี นแปลงความสามารถตอ่ การควบคมุ ตนเอง
และการใช้อำ� นาจแกผ่ ูอ้ ่ืน
ค�ำส�ำคัญ: บทบาทของผนู้ ำ� ; กระบวนทศั น์ใหม่
Abstract
Thailand is still in a transitional paradigm, many of which have not been crystallized
yet. Every citizen has feelings of hardship and it causes the conflict. And when it
approaches the conflict management in the using the process of resolving disputes by
* ได้รับบทความ: 3 กนั ยายน 2561; แก้ไขบทความ: 14 กุมภาพันธ์ 2562; ตอบรบั ตพี มิ พ์: 11 มนี าคม 2562
Received: September 3, 2018; Revised: February 14, 2019; Accepted: March 11, 2019
298 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
choice or negotiations with the mediator is both science and new art which society still
doesn't understand. It is not a science experiment that can be duplicated by anyone
to get the same result. But as a social process that requires unique skills that must be
practiced as a paradigm of sports, music and many more so for resolving such problems.
We need to develop the role of each organization better. To create a centralized leadership
is both science and art in a new paradigm by developing core consists of Merit System,
Performance System and competency by leading organizations such as the middleman.
It must include the major role of a visionary. The strategy is the potential for modification.
This is ability to self-control and the use of empowering others.
Keywords: Role of Leader; New Paradigm
1. บทน�ำ เปลี่ยนแปลงและฟื้นฟูประเทศชาติได้อย่างจ�ำกัด
ส่งผลให้คนส่วนใหญ่จัดวางตนเองไว้ในฐานะ
สังคมไทยก�ำลังก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนผ่าน ผู้เฝา้ รอการเปลย่ี นแปลงจากผู้น�ำแถวหนา้ แทนที่
ครง้ั สำ� คญั เมอ่ื ประชาชนเรมิ่ ตนื่ ตวั และสนใจความ จะลงมอื กระทำ� หรอื สรา้ ง “ภาวะการนำ� ” เพอื่ การ
เป็นไปของการเปล่ียนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ เปล่ียนแปลงด้วยตนเองอุปสรรคส�ำคัญประการ
วฒั นธรรม สงิ่ แวดลอ้ ม และการเมอื งอยา่ งทไ่ี มเ่ คย หนึ่งที่ท�ำให้ปัจเจกบุคคลไม่กล้าริเริ่มกระท�ำการ
ปรากฏมากอ่ น สภาวะดงั กลา่ วมคี ณุ ปู การอยา่ งยงิ่ เปล่ียนแปลงสังคมด้วยตนเอง คือ การไม่รู้ว่าตน
ต ่ อ ก า ร ขั บ เ ค ลื่ อ น ป ร ะ เ ท ศ ช า ติ ใ ห ้ ข ้ า ม พ ้ น มีศักยภาพภายในที่สามารถเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่ง
สถานการณ์วกิ ฤต ดงั ท่ี (Vasee, 2014) กลา่ วไวว้ า่ ของการขบั เคลอื่ น และเปลยี่ นแปลงสงั คมแตค่ วาม
ทค่ี นไทยจะมฝี นั อนั ยงิ่ ใหญถ่ งึ สงั คมทด่ี งี ามอนั เปน็ ตระหนักรดู้ ังกล่าวกเ็ กดิ ขนึ้ ได้ไม่งา่ ยนัก เนอ่ื งจาก
ที่พึงปรารถนาของทุกคน เป็นประเทศไทยยุคศรี คนส่วนใหญ่ขาดเครื่องมือและพ้ืนท่ีการเรียนรู้ท่ี
อาริยะที่คนไทยสามารถรวมตัว ร่วมคิดร่วมท�ำ เอ้ือต่อการยกระดับศักยภาพภายใน
เพื่อสร้างประเทศไทยให้เป็นประเทศท่ีน่าอยู่ที่สุด ซึ่งเป็นต้นพลังของการเปล่ียนแปลงท่ี
ตามความฝนั อนั ยงิ่ ใหญไ่ ดจ้ รงิ เปน็ กระแสพลงั แหง่ กว้างขวางและลึกซ้ึงกว่าเดิม ความเป็นผู้น�ำท่ีให้
จิตนาการใหม่ กระแสพลังทางสังคมใหม่ท่ีจะเปิด คุณค่ากับศักยภาพและการพัฒนา “ด้านใน”
ประตูประเทศไทยไปสยู่ คุ ใหม่ เพอื่ กา้ วขา้ มมายาคติ ความคดิ และความเชอื่ เดมิ ๆ
แต่อย่างไรก็ตาม ความพยายามฟื้นฟู ของผนู้ ำ� เชงิ อำ� นาจ หนั กลบั มาพฒั นาความสามารถ
สงั คมในช่วงท่ีผ่านมา มกั มุ่งเนน้ ท่ีการปรับเปลย่ี น เชิงการสะท้อนย้อนมองตนเอง การเชื่อมโยงกับ
โครงสรา้ งสถาบนั ในระดบั มหภาค ซง่ึ เปดิ โอกาสให้ สรรพสงิ่ การเรยี นรู้ใหม่ เปลย่ี นตนเอง และความ
พลเมืองในฐานะสมาชิกของสังคมเข้าร่วม
ปที ่ี 19 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 299
รับผิดชอบ รวมทั้งต่อตนเอง ผู้อื่น สังคมและ อดกลนั้ ตอ่ สถานการณย์ ากลำ� บาก และมพี ลงั นำ� พา
สิ่งแวดล้อมรอบตัว สภาวะการน�ำแห่งอนาคต สังคมให้ฟื้นตัวกลับสู่ความปกติสุขอย่างรวดเร็ว
จึงเน้นความเป็นผู้น�ำแบบรวมหมู่และหลากหลาย และม่ันคง (Resilient Society) ผู้น�ำและภาว
ท่ีต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์มีจิตส�ำนึกและความ การณน์ ำ� กระบวนทัศนใ์ หม่ จึงทวีความส�ำคญั มาก
ประพฤติที่ซ่ือตรง มุ่งประโยชน์สุขของส่วนรวม ยิ่งข้ึนในสภาวการณ์ปัจจุบันซึ่งการศึกษาคร้ังน้ี
และสามารถขับเคลื่อนการเปล่ียนแปลงให้เกิดขึ้น จะท�ำให้ทราบการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ที่เป็น
อย่างมพี ลัง ทั้งในระดับบคุ คล องค์กร และสังคม สมรรถนะที่จ�ำเป็นต่อการพัฒนาบทบาทของผู้น�ำ
“ผนู้ ำ� แหง่ อนาคต” โดยสมรรถนะของผนู้ ำ� สมยั ใหม่ แตล่ ะองคก์ รใหด้ ยี งิ่ ขน้ึ เพอ่ื สรา้ งผนู้ ำ� ทเี่ ปน็ คนกลาง
จากสมรรถนะของผู้น�ำแบบเก่า โดยเฉพาะด้าน ทม่ี ที งั้ ศาสตรแ์ ละศลิ ปใ์ นกระบวนทศั นใ์ หม่ โดยมงุ่
ความเชื่อเกี่ยวกับมนุษย์ โดยแบบเก่าจะเชื่อว่า พัฒนาแก่นส�ำคัญด้านต่างๆ (Locke, H., &
มนุษย์ขาดความรับผิดชอบจ�ำเป็นต้องควบคุมให้ Dearden, P. 2005; Thomas, & Ely, 1996;
ท�ำงาน มนุษย์มีความเป็นปัจเจกชนสูง สามารถ Mills 2005; Eddy, & Van Der Linden, 2006)
ท�ำงานได้แต่ละบุคคล ส่วนกระบวนทัศน์ใหมห่ รือ
ผู้น�ำแบบใหม่ มีความเช่ือว่ามนุษย์เป็นผู้มีความ 2. ความเป็นมาของบทบาทผู้น�ำใน
รับผิดชอบและมีความเป็นปัจเจกชนน้อยต้อง กระบวนทศั น์ใหม่
ท�ำงานเป็นกลุ่มจึงจะท�ำให้ท�ำงานได้อย่างมี
ประสทิ ธภิ าพสงู สดุ จากฐานคตดิ งั กลา่ วและอาศยั เมื่อกล่าวถึงสภาวะความเป็นผู้น�ำท่ีให้
แนวความคดิ จาก Deming’s System of Profound คณุ คา่ กบั ศกั ยภาพและการพฒั นา “ดา้ นใน” (Self
Knowledge 5 Scholtes จงึ เสนอสมรรถนะของ Leadership) เพื่อก้าวข้ามมายาคติ ความคิด
ผนู้ ำ� สมยั ใหมเ่ ปน็ 4 ประการคอื (Smith, A., 2010) และความเช่ือเดิมๆ ของผู้น�ำเชิงอ�ำนาจ กลับมา
สมรรถนะท่ี 1 มีความสามารถในการคิดเก่ียวกับ พัฒนาความสามารถเชิงการสะท้อนย้อนมอง
ระบบและมีความรูใ้ นการน�ำ ระบบ สมรรถนะที่ 2 ตนเอง (Reflexivity) การเช่ือมโยงกับสรรพส่ิง
ความสามารถในความเข้าใจความแปรปรวนของ (Connectivity) การเรียนรู้ใหม่และเปล่ียนแปลง
งานที่จะต้อง วางแผนและแก้ปัญหา สมรรถนะ ตนเอง (Renewability) และความรับผิดชอบ
ที่ 3 เข้าใจวธิ กี ารเรียนรู้ การพฒั นา การปรบั ปรงุ (Responsibility) ท้ังต่อตนเอง ผู้อ่ืน สังคมและ
เพื่อการเรียนรู้และการปรับปรุงที่แท้จริงและ สิ่งแวดล้อมรอบตัว สภาวะการน�ำแห่งอนาคต
สมรรถนะท่ี 4 เขา้ ใจคนและเหตุผลของพฤติกรรม จึงเน้นความเป็นผู้น�ำแบบรวมหมู่และหลากหลาย
ดังน้ัน การพัฒนาผู้น�ำและภาวะการน�ำ (Collective หรอื Ecology of Leadership) ทตี่ อ้ ง
กระบวนทัศน์ใหม่ ท่ีสามารถรับมือกับความ ใช้ท้ังศาสตร์และศิลปะ มีจิตส�ำนึกและความ
เปลยี่ นแปลงอยา่ งพลกิ ผนั ทางสงั คม มคี วามอดทน ประพฤติที่ซื่อตรง มุ่งประโยชน์สุขของส่วนรวม
(Ethical Leadership) และสามารถขบั เคลอื่ นการ
300 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
เปลยี่ นแปลงใหเ้ กดิ อยา่ งมพี ลงั (Transformative แผนที่ของหลักสูตร องค์กร ชุมชน และกลุ่ม
Leadership) ทง้ั ในระดบั บคุ คล องคก์ ร และสงั คม วิชาชีพต่างๆ ท่ีสนใจการขับเคลื่อนและพัฒนา
“ผนู้ ำ� แหง่ อนาคต” จงึ ประกอบดว้ ย ภารกจิ 3 ดา้ น ประเทศด้วยกระบวนทัศน์ใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม
คือ (Panyamee, 2008; Bass, 1996; Sims Jr, บุคคลองค์กรที่มีบทบาทส�ำคัญในการขับเคลื่อน
&Lorenzi, 1992; Singhal, & Rogers, 2012; สังคม เช่น ส่ือมวลชน ภาคธุรกิจ สถาบันการ
Meijers, 2005; Nonaka, & Takeuchi, 1995) ศึกษา องค์กรประชาสังคม หน่วยงานรัฐ
1. สานพลังมุ่งม่ันและเรียนรู้ร่วมกัน หน่วยงานสาธารณสุข พระสงฆ์ นักพัฒนา
(Synergy of Network and Platform) โดยผนู้ ำ� และภาคีเครือข่ายของ สสส. เป็นต้น รวมท้ัง
แหง่ อนาคตจะตอ้ งทำ� การเชอื่ มโยงใหอ้ งคก์ รหนั มา ถอดบทเรียนและสังเคราะห์องค์ความรู้เกี่ยวกับ
สนใจเรื่องการพัฒนาศักยภาพในหลายระดับและ การพัฒนาผู้น�ำ จากเครือข่ายองค์กรภาคีและ
มิติ โดยมุ่งเน้นการร่วมหารือและพัฒนาเจตจ�ำนง เครือข่าย ผู้จัดท�ำหลักสูตรพัฒนาผู้น�ำทั้งในและ
รว่ มกนั ในการสรา้ งเครอื ขา่ ยความรว่ มมอื ดา้ นการ ต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังมีการสร้างเครือข่าย
พัฒนาและภาวะการน�ำเพ่ือฟื้นฟูและสร้างสรรค์ นักวิจัยรุ่นใหม่ และการจัดประชุมวิชาการ
โดยกิจกรรมที่ส�ำคัญส�ำหรับผู้น�ำในกระบวนทัศน์ ทอี่ อกแบบใหม้ กี ระบวนการเรยี นรรู้ ว่ มกนั ระหวา่ ง
ใหม่ คอื การสรา้ งเสริมศกั ยภาพ การนำ� กระบวน เครือข่าย เพื่อส่งเสริมให้ประยุกต์ใช้องค์ความรู้
ทัศน์ใหม่ในบริบทต่างๆ ของสังคม รวมทั้งจัดท�ำ จากการท�ำงานเป็นเครื่องมือ กระตุ้นให้ชุมชน
ชดุ สาระความรู้ เพอื่ การทำ� งานพฒั นาในระยะยาว วิชาการตื่นตัวเร่ืองผู้น�ำและภาวะการน�ำกระบวน
และหนุนเสริมให้ทุกบุคคลในองค์การสามารถ ทศั นใ์ หม่
เชอ่ื มโยง เปน็ เครอื ขา่ ยเพอื่ พฒั นางานรว่ มกนั ตอ่ ไป 3. การสื่อสารเพ่ือสร้างจินตนาการใหม่
ในอนาคต (Creative Communication for Social Change)
2. การจดั การองคค์ วามรแู้ ละนวตั กรรม โดยส่ือสารแนวคิดเรื่องผู้น�ำและภาวะการน�ำ
(Knowledge Creation and Innovation) ผู้น�ำ กระบวนทัศน์ใหม่ เพื่อฟื้นฟูและสร้างสรรค์สังคม
ในกระบวนทัศน์ใหม่ท่ีมีศักยภาพน้ัน ควรเป็น ออกไปในวงกว้าง เพื่อสร้างจินตนาการใหม่ให้
บุคคลที่มีการรวบรวม สังเคราะห์ และพัฒนา พลเมือง ทุกภาคส่วนตระหนักถึงความส�ำคัญของ
องค์ความรู้ท่ีเก่ียวข้องกับประเด็นผู้น�ำและภาวะ เรื่องนี้ผ่านการสร้างคณะท�ำงานเชิงยุทธศาสตร์
การนำ� กระบวนทศั นใ์ หมท่ เี่ หมาะสม สอดคลอ้ งกบั แ ล ะ เ ค รื อ ข ่ า ย ผู ้ น� ำ ด ้ า น ส่ื อ แ ล ะ ก า ร ส่ื อ ส า ร
การฟื้นฟูและสร้างสรรค์สังคมในปัจจุบันและ เชิงสร้างสรรค์เพื่อแสวงหาแนวทางส่งเสริมมิให้
อนาคต ผ่านการทบทวนวรรณกรรม ท้ังจากโลก ส่ือมวลชนเข้าใจเรื่องภาวะการน�ำกระบวนทัศน์
ตะวันตกและตะวันออก เพ่ือประมวลองค์ความรู้ ใหม่ และสามารถพัฒนาตนเองให้เป็น ผู้น�ำของ
พื้นฐานท่ีเกี่ยวข้อง การส�ำรวจข้อมูลและสร้าง สงั คมด้วยศกั ยภาพดงั กล่าว
ปีท่ี 19 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 301
ดังนัน้ อาจกล่าวไดว้ ่า การสนบั สนนุ การ สามารถวิเคราะห์ปัญหา อุปสรรคหรือโอกาสของ
ผลิตสื่อสาธารณะเพ่ือสร้างจิตส�ำนึก ให้สมาชิก หนว่ ยงานได้ นอกจากนย้ี งั สามารถกำ� หนดกลยทุ ธ์
สงั คมเหน็ คณุ คา่ ของการมบี ทบาทรว่ มเปลยี่ นแปลง โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีหรือแนวคิดซับซ้อนในการ
และฟื้นฟูประเทศชาราติ นอกจากภารกิจท้ัง 3 คดิ และพฒั นาเปา้ หมายหรอื กลยทุ ธข์ องหนว่ ยงาน
ดา้ นแลว้ “ผนู้ ำ� แหง่ อนาคต” ควรเปน็ ผนู้ ำ� ทม่ี งุ่ หวงั ที่ตนดูแลรับผิดชอบและประยุกต์แนวทางปฏิบัติ
ให้เกิดองค์กรที่ด�ำเนินงานเรื่องต่อเนื่องระยะยาว ทป่ี ระสบความสำ� เรจ็ (Best Practice) หรอื ผลการ
เพอ่ื ทำ� หนา้ ทส่ี ง่ เสรมิ และสนบั สนนุ การศกึ ษา และ วจิ ยั ต่างๆ มากำ� หนดแผนงานเชงิ กลยุทธ์ ในหนว่ ย
พัฒนาองค์ความรู้ รวมท้ังการปฏิบัติงานด้านผู้น�ำ งานที่ตนดูแลรับผิดชอบและก�ำหนดกลยุทธ์ที่
และภาวะการน�ำกระบวนทัศน์ใหม่ในสังคม เพื่อ สอดคลอ้ งกบั สถานการณ์ตา่ งๆ ที่เกิดขึ้นพร้อมกับ
เปน็ เสาหลกั หนงึ่ ในการพฒั นา ฟน้ื ฟแู ละสรา้ งสรรค์ การบูรณาการองค์ความรู้ใหม่มาใช้ในการก�ำหนด
ประเทศอย่างยง่ั ยนื ตอ่ ไป กลยุทธ์ขององค์กร
3. มีศักยภาพเพ่ือน�ำการปรับเปลี่ยน
3. บทบาทของผู้นำ� (Change Leadership) คอื การทผี่ นู้ ำ� มกี ารพฒั นา
เปลี่ยนแปลง เพื่อยกระดับการด�ำเนินงานของ
การท่ีผู้น�ำจะมีบทบาทของผู้น�ำใน องคก์ รใหม้ ขี ดี ความสามารถทางการแขง่ ขนั ทสี่ งู ขนึ้
กระบวนทัศน์ใหม่ สามารถสรุปรายละเอียดได้ ดังน้ันผู้น�ำที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับ
ดังนี้ (DeePrasert, 2006) บคุ คลในองคก์ รจำ� นวนมากไดด้ ำ� เนนิ งานอยา่ งเตม็
1. มีวิสัยทัศน์ (Visioning) ผู้น�ำทุกคน ความสามารถและยกระดบั การปฏบิ ตั งิ านใหส้ งู ขนึ้
ในทกุ ระดบั ขององคก์ รตอ้ งมวี สิ ยั ทศั นแ์ ละ จะตอ้ ง เพื่อเป็นการปรับปรุง เปล่ียนแปลงพัฒนาองค์กร
วิเคราะห์ความเปล่ียนแปลงที่เกิดข้ึนของโลก ให้มีขีดความสามารถทางการแข่งขันท่ีสูงข้ึน
ภายนอกตลอดเวลา กระบวนการ ในการสรา้ งวสิ ยั จะเรียกว่า ผู้น�ำการปฏิรูป (Transformational
ทัศนจ์ ะไมเ่ คยหยดุ น่ิง โอกาสใหม่และสง่ิ ทท่ี ้าทาย Leaders) ซึ่งคุณสมบัติพิเศษของผู้น�ำการปฏิรูป
เกิดข้ึนเรื่อยๆ สิ่งที่เป็นความฝันอาจจะกลายเป็น ได้ 6 ประการ ไดแ้ ก่ วสิ ยั ทศั น์ (Vision) คอื มคี วาม
ความจรงิ และสง่ิ ทค่ี าดหวงั บางอยา่ งอาจจะเปน็ ไป คิดและความสามารถในการหย่ังรู้ทิศทางสร้าง
ไมไ่ ด้ ในโอกาสตอ่ ไป ผ้นู ำ� จงึ ตอ้ งเปิดโอกาสใหเ้ กิด วสิ ัยทศั นอ์ งค์กร และสือ่ ความหมายของวสิ ยั ทศั น์
ววิ ฒั นาการของวิสยั ทศั น์ได้ สู่ผู้ใต้บังคับบัญชาสู่การปฏิบัติ (Charisma) คือ
2. มีการวางกลยุทธ์ (Strategic ความเกง่ ดี มีเสน่ห์ของผูน้ �ำทสี่ ามารถจงู ใจคนให้
Orientation) คือ การที่ผู้น�ำสามารถเข้าใจ เกิดความกระตือรือร้น ศรัทธา ในการท่ีจะร่วม
นโยบาย ภารกิจ รวมทั้งกลยุทธ์ของภาครัฐและ ท�ำงาน ด้วยความมุ่งมั่นเต็มที่การแสดงแสดงนัย
ส่วนราชการ ว่าสัมพันธ์เช่ือมโยงกับภารกิจของ ของความเป็นเลิศ (Symbolism) คือการจัดการ
หน่วยงานที่ตนดูแลรับผิดชอบอย่างไร อีกทั้ง
302 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
ค้นหา บุคคลที่ดีเด่นและให้รางวัล เพ่ือเป็นการ โครงสร้างขององค์กร ทั้งน้ีในส่วนด้านตัวของ
จูงใจให้มุ่งมั่น ท�ำงานด้วยความเป็นเลิศ การเอื้อ ผู้ปฏิบัติงานเอง ก็ต้องมีการปรับเปล่ียนค่านิยม
อ�ำนาจ (Empowerment) คือ มอบหมายงานท่ี (Values) และความต้องการเชิงจิตวิทยา
ทา้ ทายใหผ้ ใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชา ความรบั ผดิ ชอบดำ� เนนิ (Maslow’s Hierarchy of Needs) ของตนใหม่
งานเพ่ือให้โอกาสได้พัฒนาตนเอง โดยผู้น�ำเฝ้า ใหย้ กระดบั ท่สี ูงข้นึ
ตดิ ตามสนบั สนนุ อำ� นวยความสะดวก การกระตนุ้
ภมู ปิ ัญญาให้เกดิ ขึ้น (Intellectual Stimulation) 4. กระบวนทศั นใ์ หม่ของผนู้ ำ�
คอื กระตนุ้ ใหผ้ ใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาไดเ้ รยี นรใู้ นงานอยา่ ง
ถ่องแท้จากการท่ีใส่ใจในการท�ำงาน คิดแก้ไข จากเหตุการณ์บ้านเมืองในรอบสิบปี
ปรับปรุงงานอยู่ตลอดเวลา จนเกิดเป็นความ ท่ีผ่านมาต้องเผชิญกับการประท้วงความขัดแย้ง
เชยี่ วชาญในงาน เกดิ เปน็ ภมู ปิ ญั ญาและความสตั ย์ การชุมนุมคัดค้านท่ีบางคร้ังน�ำไปสู่ความรุนแรง
ซอ่ื ถอื มน่ั (Integrity) คอื มคี วามซอื่ สตั ย์ นา่ เชอ่ื ถอื ประชาชนคนไทยทกุ คนตา่ งเบอื่ หนา่ ยและตา่ งวติ ก
ไว้วางใจ กังวลถึงอนาคตของประเทศ โดยเฉพาะประเด็น
4. มกี ารควบคมุ ตนเอง (Self-Control) เกยี่ วกบั การพัฒนาประเทศ การคดิ คน้ และพัฒนา
คือ การที่ผู้น�ำสามารถพัฒนาการตนเอง โดยใช้ เพราะจากเหตุการณ์ท่ีผ่านมาของประเทศไทย
กระบวนการที่ใช้วิธีใดวิธีหนึ่งหรือหลายวิธีรวมกัน ต่างมีความคิดเห็นท่ีแตกต่างในประเด็นเกี่ยวกับ
เพื่อปรับพฤติกรรม ท่ีไม่พึงประสงค์ของตนเอง การสร้างโรงไฟฟ้าความคิดเห็นส่วนใหญ่ล้วน
ไปสู่พฤติกรรมที่พึงประสงค์ โดยที่ผู้น�ำน้ันเป็น ไม่ต้องการให้สร้าง เขื่อนก็ไม่ให้สร้าง แม้แต่ท่ีท้ิง
ผกู้ ำ� หนด พฤตกิ รรมเปา้ หมาย กระบวนการกระทำ� ขยะท่ีทุกคนจ�ำเป็นต้องใช้ก็สร้างไม่ได้เช่นกัน
ใหน้ ำ� ไปสเู่ ปา้ หมายนนั้ ดว้ ยตนเอง และการควบคมุ เพราะประชาชนเหล่านั้นต่างก็บอกเป็นเสียง
การกระท�ำน้ีเป็นทักษะที่เกิดจากการเรียนรู้ทาง เดยี วกนั วา่ จะสรา้ งทไี่ หนกแ็ ลว้ แตห่ า้ มมาสรา้ งใกล้
สังคม (Cognitive Social Learning) บ้านของตน จากกระแสเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้
5. การใชอ้ ำ� นาจแกผ่ อู้ น่ื (Empowerment) ส่งผลให้เกิดความสงสัยขึ้นมาเกี่ยวกับความเป็น
คือ การท�ำให้บุคลากรปฏิบัติงาน เกิดแรงจูงใจ ประชาธปิ ไตย และปจั เจกบคุ คลกไ็ ดแ้ สดงความคดิ
ภายใน (Intrinsic Motivation) รวมทง้ั ท�ำใหเ้ กิด เห็นว่ากระแสเหตุการณ์ต่างๆ เหลา่ น้ี ล้วนแตเ่ ป็น
ความเชือ่ ม่นั ในตนเองวา่ มีความสามารถเพียงพอ ประชาธิปไตยของประชาชน และบุคคลบางกลุ่ม
(Self-Efficacy) ท่ีจะท�ำงานนั้นส�ำเร็จ ให้เกิดข้ึน ก็ได้เรียกร้องให้เผด็จการกลับคืนมาก็มีเช่นกัน
ในตัวของผู้ปฏิบัติงาน ซ่ึงเป็นผลที่มาจากการ ดังน้ันค�ำถามคือเกิดอะไรข้ึนในประเทศไทยตอนน้ี
ปรับปรุงพฤติกรรมการบริหารของผู้น�ำ การปรับ เหตไุ ฉนจงึ สบั สนวนุ่ วายดงั กลา่ วคงจะมหี ลากหลาย
คุณลักษณะของงานที่ท�ำ ตลอดจนการปรับ ก็เช่นกัน ดังนั้น ค�ำถามไม่รู้จบ ค�ำตอบส�ำหรับ
คำ� ถามดงั กลา่ วคงจะมหี ลายอยา่ ง แตค่ ำ� ตอบทเ่ี ปน็
ปีที่ 19 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 303
จรงิ อย่างหนึ่งคอื ประเทศไทยในปัจจบุ ันนน้ั ก�ำลัง เชื่อมโยงกันอย่างเฉพาะพิเศษในงานวิจัยทาง
อยู่ในระหว่างเปลี่ยนผ่านของกระบวนทัศน์เดิม วิทยาศาสตร์และโทมัสคนู ยังได้อธิบายต่อว่า
เป็นกระบวนทัศน์ใหม่ (New Paradigm) “คนท่ีมีงานวิจัยอยู่ในกระบวนทัศน์เดียวกัน จะมี
โ ด ย เ ป ลี่ ย น จ า ก ป ร ะ ช า ธิ ป ไ ต ย แ บ บ ตั ว แ ท น กฎและมาตรฐานการปฏิบัติทางวิทยาศาสตร์
เปน็ ประชาธปิ ไตยแบบมสี ว่ นรว่ มหรอื อาจจะกลา่ ว เหมือนกันและได้ผลออกมาเหมือนกัน” ซ่ึงจาก
ได้ว่า เป็นการโอนอ�ำนาจอย่างเบ็ดเสร็จจาก ทัศนะดงั กลา่ ว สอดคลอ้ งกบั สงิ่ ที่ Smith (2010)
ประชาชนให้กับผู้แทน (สส., สว., สจ., สก., สท. ผเู้ ขยี นหนงั สอื The theory of moral sentiments
ฯลฯ) ภายในกระบวนทัศน์ใหม่ท่ีก�ำลังอยู่ใน ที่ได้ให้ค�ำจ�ำกัดความที่กระชับขึ้นว่า “กระบวน
ระหวา่ งเปลย่ี นผา่ นน้ี จงึ เกดิ ปญั หาขนึ้ ในหลายสว่ น ทัศน์ คือ วถิ ีทางท่ีเรามองโลก ดงั เช่น ปลามองน้ำ�
ดว้ ยกนั โดยเฉพาะหลายฝา่ ยทอี่ ยใู่ นกระบวนทศั น์ กระบวนทศั นอ์ ธบิ ายเรอ่ื งราวของโลกตอ่ เราชว่ ยให้
เดิมยังไม่เข้าใจตรงกันหรืออยู่ในช่วงของการ เราคาดเดาพฤติกรรมของโลกได้ การคาดเดา
ปรับเปล่ียนวิธีคิด ปรับกระบวนการ แสวงหา มีความส�ำคัญมาก” และยังมีอีกหลายๆ คน
กระบวนการท่ีดีท่ีสุดที่จะท�ำให้เกิดผลท่ีดีกว่าหรือ ท่ีพยายามอธิบายความหมายของกระบวนทัศน์
ดที ส่ี ดุ ในขณะทกี่ ระบวนทศั นก์ ำ� ลงั ปรบั เปลยี่ นอยู่ แต่ผู้ท่ีให้ความหมายที่น่าจะเข้าใจง่ายที่สุด คือ
นเ่ี อง ไมว่ า่ จะเปน็ การปรบั กระบวนทศั นเ์ รอ่ื งอะไร โจเอลอารเ์ ธอร์ บารเ์ คอร์ (Barker, 1993) ผูเ้ ขยี น
ก็ตามแต่ก็จะเกิดความรู้สึกของความไม่มั่นคง หนงั สอื Paradigms : Business of Discovering
ความไมม่ นั่ ใจ ไมค่ อ่ ยจะถนดั จะทำ� ไดไ้ หม และอกี the Future ทไี่ ดใ้ หค้ วามหมายวา่ “กระบวนทศั น”์
หลายๆ อยา่ งทเี่ กดิ ขนึ้ ในชว่ งเปลย่ี นผา่ นนนั้ เปรยี บ กลา่ วคอื กระบวนทศั นท์ างวทิ ยาศาสตรน์ น้ั ถา้ หาก
เสมอื นกบั ชว่ งเวลาทบี่ คุ คลจะปรบั เปลย่ี นกระบวน ตอ้ งทำ� การทดลองสำ� เรจ็ ในเรอ่ื งใดๆ กต็ าม เมอ่ื คน
ทัศน์ (Wattana, 2007 : 230) อ่ืนท�ำตามด้วยเคร่ืองมือแบบเดียวกันและขั้นตอน
ดังน้ันค�ำถาม กระบวนทศั น์ (Paradigm) เหมือนกันน้ัน ก็จะประสบความส�ำเร็จเหมือนกัน
นน้ั คอื อะไร อาจจะพจิ ารณาไดจ้ ากความหมายตาม แต่กระบวนทัศน์อื่นๆ เช่น ด้านกีฬาและศิลปะ
ทัศนะของ Kuhn (2012) นักประวัติศาสตร์ จะแตกต่างกันที่ใช้ ไม้แรคเก็ตก็ดี แปรงสี สีและ
ด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งเปน็ ตน้ ต�ำรับของการใชค้ ำ� วา่ กระดาษใหค้ นสองคนทำ� ตามทกุ ขนั้ ตอนเหมอื นกนั
Paradigm หรอื กระบวนทศั น์ โดยมมุ มองทางดา้ น แตก่ อ็ าจจะประสบความสำ� เรจ็ หรอื ไมป่ ระสบความ
วิทยาศาสตร์ได้นิยามไว้ว่า “กระบวนทัศน์นั้นคือ สำ� เรจ็ กไ็ ด้ จากเหตกุ ารณเ์ กย่ี วกบั ผผู้ ลติ นาฬกิ าสวสิ
ตัวอย่างต่างๆ ที่เป็นที่ยอมรับของการท�ำงานด้าน ที่ไม่สามารถมองทะลุสู่อนาคตได้ อาจจะเป็น
วิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง ตัวอย่างท่ีรวมไปถึงกฎ ตัวอย่างได้อย่างดีเพราะว่าผู้ผลิตเหล่าน้ัน ต่างก็มี
ทฤษฎกี ารนำ� ไปใชแ้ ละเครอื่ งมอื รวมกนั ซงึ่ ทง้ั หมด กรอบมกี ติกาที่ยึดถือ กันมาตลอด และไม่สามารถ
นี้ได้ก่อให้เกิดรูปแบบท่ีน�ำไปสู่แนวปฏิบัติท่ี มองออกนอกกรอบได้ โดยเฉพาะผูค้ นแต่ละสาขา
304 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
อาชพี ตา่ งกม็ กี รอบของตนเองทยี่ ดึ ถอื อยู่ อาทเิ ชน่ ยคุ เศรษฐกจิ ฟองสบู่ หลายๆ ครงั้ อาจสามารถมอง
บุคคลท่ีเป็นแพทย์ พยาบาล วิศวกร นักบัญชี เหตุการณ์นั้นได้ว่าเป็นโอกาสท่ีจะซ้ือที่ดินเพื่อ
นกั กฎหมาย นกั ธรุ กจิ หรอื ผปู้ ระกอบการ ขา้ ราชการ เก็งก�ำไรสร้างบ้านจัดสรรเพื่อผลก�ำไร รวมไปถึง
นักการเมือง ต่างก็มีกรอบของตัวเองท�ำอย่างนี้ได้ สรา้ งโรงพยาบาลเพอ่ื กอบโกย โดยหารไู้ มถ่ งึ วกิ ฤต
ท�ำอย่างนี้ไม่ได้ จึงท�ำให้บุคคลต่างๆ เหล่านี้ยังไม่ ทีจ่ ะเกดิ ข้ึนตามมา เพราะจริงๆ แล้วสิง่ นนั้ อาจจะ
สามารถมองทะลุกรอบได้ น่ันก็เพราะการขาด ไม่ใช่โอกาสที่แท้จริง แต่อาจจะเป็นวิกฤตเพราะ
ความคิดวิเคราะห์ที่เรียกว่า Critical Thinking เม่ือมีคนส่วนใหญ่มองเห็น และเห็นว่าเป็นโอกาส
หรอื Lateral Thinking (คิดออกนอกกรอบ) หรอื สง่ิ นน้ั อาจจะไมใ่ ชโ่ อกาสอกี ตอ่ ไป เฉกเชน่ เดยี วกนั
ทเี่ รยี กวา่ Creative Thinking (ความคดิ สรา้ งสรรค)์ กับการท่ีเราชอบแห่ไปลงทุนอะไรเหมือนๆ กัน
ซ่ึงในอดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาอย่าง จนมากเกนิ พอดจี นสง่ิ นนั้ กลายเปน็ วกิ ฤต อาทเิ ชน่
จอหน์ ควนิ ซี่ อาดมั ส์ (President John Quinsey การมีจ�ำนวนบ้านจัดสรรท่ีดินท่ีมีจ�ำนวนมากเกิน
Adams) เคยกล่าวไว้ว่า ความคิดสร้างสรรค์ ความตอ้ งการของผอู้ ยอู่ าศยั โอกาสจะเกดิ ขนึ้ เสมอ
ดังกล่าวก็จะเหมือนกับ Reactive Thinking เมื่อมีการเปล่ียนกระบวนทัศน์ ดังนั้น อาจกล่าว
(การคิด แบบ “เอ๊ะ”) ซ่ึงถ้าดูให้ดีระหว่างค�ำว่า ได้ว่า การรู้ว่ากระบวนทัศน์ก�ำลังเปล่ียนหรือไม่
Creative กบั Reactive คอื ตัว “C” ท่อี ยู่ คนละ จึงเป็นส่ิงส�ำคัญท่ีมนุษย์ทุกคนจะต้องรู้ เพราะถ้า
ตำ� แหนง่ หรอื ที่ อาดมั ส์ บอกวา่ “C” กค็ อื “See” หากไม่รู้ว่าจะผลักดันเพ่ือเปล่ียนกระบวนทัศน์
(มอง) ฉะนนั้ อยทู่ ี่ “ซ”ี (หรอื การมอง) หมายถงึ วา่ อย่างไร อย่างน้อยก็ควรจะรู้ว่าถึงเวลาแล้วท่ี
แล้วแต่ใครจะมองอย่างไร สมมติมามองค�ำว่า กระบวนทัศน์ต้องเปลี่ยน เพราะกระบวนทัศน์จะ
“Opportunity is NOWHERE” เราจะอา่ นอยา่ งไร เปลย่ี นไดก้ ต็ อ่ เมอื่ ลงมอื การแกป้ ญั หาอะไรแลว้ แต่
ก็ได้ อ่านว่า “Opportunity is No Where” ไมส่ ามารถแกไ้ ขไดเ้ พราะเดนิ มาถงึ ภาวะตบี ตนั หรอื
(โอกาสไม่เหน็ มเี ลย) ก็ได้ หรอื Opportunity is ถงึ ทางตันนัน่ เอง
Now Here” (โอกาสมาอยทู่ นี่ แ่ี ลว้ ) บางคนมองนำ�้
ท่ีเหลืออยู่ครึ่งแก้วว่า “เหลืออีกต้ังคร่ึงแก้ว” 5. กระบวนทศั น์ของการสอ่ื สาร
บางคนก็มองวา่ “เหลืออยู่แค่คร่ึงแกว้ จะพอหรอื ”
เป็นตน้ (Wattana, 2007) นอกจากน้ี ยงั มตี วั อยา่ งของกระบวนทศั น์
ดังนั้น เม่อื พูดถึง “Opportunity” หรือ ของการสื่อสาร ที่ไดเ้ ปลย่ี นจากการใช้ควนั ไฟ เชน่
“โอกาส” ก็อาจจะยังมีมุมมองอีกว่า อะไรท่ีเรียก อินเดียแดง หรือกระจกสะท้อน เช่น ทหารเรือ
ได้ว่าเป็น “โอกาส” และอะไรท่ีเรียกได้ว่าเป็น สมยั โบราณ มาเปน็ การใชม้ า้ เรว็ ใชจ้ ดหมายผกู ตดิ
“วกิ ฤต” หลายๆ ครั้ง สามารถจะมองผิดพลาดได้ ขานก หรอื เขยี นจดหมายลอยใสข่ วด มาเปน็ การใช้
เพราะหากจะมองโอกาสท่จี รงิ ๆ ไม่ใช่โอกาส เช่น จดหมายทางไปรษณยี ์ ใชก้ ารสง่ รหสั มอรส์ โทรเลข
จนมาถึงการใช้โทรศัพท์ตามสาย โทรศัพท์ไร้สาย
ปที ่ี 19 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 305
จนถึงเคร่ืองโทรสาร หรือ e-mail ซ่ึงสามารถส่ง อาจกลา่ วไดวา่ เมอ่ื กระบวนทศั นเ์ ปลย่ี นคนทกุ คน
กระดาษท่ีมีข้อความ ตั้งแต่หน่ึงหน้าไปจนถึงเอน จะเร่ิมต้นจากศูนย์พร้อมกัน แต่ถ้าคนที่มองทะลุ
ไซโคลปเี ดยี เปน็ เลม่ ๆ ภายในเวลาไมก่ นี่ าทหี รอื อาจ กรอบไปได้แล้ว จะสามารถรู้ได้ว่ากระบวนทัศน์
จะไมก่ ว่ี นิ าที สง่ ขา้ มทวปี ไปในทต่ี า่ งๆ ได้ อาจกลา่ ว กำ� ลงั จะเปลย่ี นแลว้ เตรยี มตวั ไวก้ อ่ น เขา้ ทำ� นองทว่ี า่
ได้ว่ากระบวนทัศน์การสื่อสารในปัจจุบันนั้น มองเห็นก่อนก็มีโอกาสถึงเส้นชัยก่อน ดังน้ัน
เมื่อเปรียบกับคนในอดตี 50 ปี 100 ปีที่แล้ว จงึ ตอ้ งพจิ ารณาวา่ กระบวนทศั นท์ เี่ ปลยี่ นไปตามท่ี
จะไม่เข้าใจในสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้ นั่นก็เพราะ บรรดานักมองอนาคตหรือผู้มีวิสัยทัศน์น้ัน
กระบวนทัศน์ยุคก่อนน้ัน ไม่สามารถอธิบายกฎ ไดพ้ ยายามบอกมาหลายยคุ หลายสมยั แลว้ วา่ อะไร
กตกิ า กระบวนการทฤษฎี และเครอ่ื งมอื ทใี่ ชอ้ ยใู่ น ก�ำลังจะเปล่ียนหรือเพ่ิงจะเปล่ียนไปของกระบวน
ปจั จบุ นั ได้ ดงั นนั้ กไ็ มอ่ าจจะคาดเดาไปไดใ้ นอนาคต ทัศน์มอี ะไรบา้ ง ซึ่งส่งิ ดังกล่าวสามารถพิจารณาได้
แตก่ ารจนิ ตนาการนน้ั สามารถไปไดไ้ กลกวา่ ดงั เชน่ จากหนังสือ Leadership in Future ของ Peter
วิทยาศาสตรท์ ่ียังไมส่ ามารถอธบิ ายหลายๆ เรอ่ื งท่ี Drucker Foundation ท่ีได้พูดถึงกระบวนทัศน์
มนุษย์มีจินตนาการ อาทิเช่น การเคล่ือนย้าย ใหม่ของผู้น�ำ เพราะส่ิงแรกที่ผู้น�ำจะต้องมีคือ
มวลสาร เช่น ตัวตน คนจากจุดหน่ึงไปยังจุดหน่ึง “การท�ำในส่ิงที่ถูกต้อง (Doing the Right
เหมอื นในภาพยนตร์ แตค่ วามฝนั เหลา่ นน้ั สกั วนั หนง่ึ Things)” ซ่ึงจะต่างจากกระบวนทัศน์เดิมเป็น
อาจจะเปน็ จรงิ ไปได้ จนิ ตนาการเหลา่ นก้ี เ็ กดิ ขนึ้ ใน กระบวนทศั นข์ องผจู้ ดั การคอื “การทำ� อะไร ใหถ้ กู
อดตี กอ่ นจะเปน็ ความจรงิ เชน่ ความฝนั ทจี่ ะบนิ ได้ ตอ้ ง (Doing the Things Right)” ซง่ึ มคี วามสำ� คญั
แบบนกของมนุษย์ จนได้มีความพยายามที่จะบิน ต่างกัน กล่าวคือ ผู้น�ำจะท�ำในส่ิงท่ีถูกต้องน้ันคือ
อย่างนกมาหลายต่อหลายคร้ังและมาส�ำเร็จเม่ือ การจะนำ� ใครไปในทศิ ทางไหนกแ็ ลว้ แต่ เชน่ สมมติ
พ่ีน้องตระกูลไรท์ได้เปล่ียนกระบวนทัศน์ของการ จะเดนิ ขน้ึ บนั ได การจะพาดบนั ไดไปกบั กำ� แพงไหน
บินเป็นผลส�ำเร็จ ดังน้ันความคิดเห็นหรือ จะมีการเดินทางต่อไปหรือจะกลายเป็นเหวอยู่
จินตนาการของคนเราจึงมักจะถูกมองว่าสติไม่ดี ข้างหน้า จึงส�ำคัญมากส�ำหรับยุคสมัยปัจจุบัน
จนกวา่ จนิ ตนาการนนั้ จะกลายเปน็ ความจรงิ ซง่ึ คน และอาจจะถึงขั้นส�ำคัญกว่าการท�ำอะไรให้ถูกด้วย
ทสี่ ามารถมองทะลกุ อ่ นใครไปในอนาคตจะสามารถ ซ�้ำไป นั่นก็เพราะการเดินผิดทิศ แม้จะเดินดีแล้ว
มองเห็นโอกาสได้ และไม่ต้องดูอ่ืนไกล กระบวน แม้จะปนี บนั ไดไดอ้ ย่างดีไมพ่ ลาด ตกลงมาแตท่ ว่า
ทศั นแ์ หง่ การสอื่ สารทเี่ ปลย่ี นจากโทรศพั ทม์ สี ายไป จุดหมายปลายทางไม่ใช่จุดท่ีถูกต้อง ก็คงจะเสีย
เป็นกระบวนทัศน์โทรศัพท์ไร้สายก็ดี หรือการ เวลาเปล่า จึงคล้ายกับเหตุการณ์ของนาฬิกาสวิส
สื่อสารทางไปรษณีย์ เป็นโทรสารไปเป็นอิเลค ท่ีเปลย่ี นไปเปน็ นาฬิกาญปี่ ุ่นนั่นเอง
โทรนิคเมลล์ก็ดีผู้ที่มองเห็นก่อนและด�ำเนินธุรกิจ ดงั นน้ั ผนู้ ำ� จงึ ตอ้ งเปน็ ผชู้ ชี้ อ่ งทางทถี่ กู ตอ้ ง
ดา้ นนี้ ก็จะประสบความส�ำเร็จได้อยา่ งมากมาย วา่ จะเดิน (Path Finding) ทำ� การปรับโครงสร้าง
306 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
ระบบและกระบวนการให้ตรงกับทิศทางท่ีจะ ซงึ่ ซอ่ นอยเู่ พอื่ ตอบสนองลกู คา้ ผมู้ สี ว่ นรว่ มกลยทุ ธ์
เดินไป (Aligning) และเติมพลัง (Empowering) การพัฒนาแบบย่งั ยนื ของผู้นำ� กระบวนทัศนใ์ หม่
ภาพท่ี 1 กลยุทธก์ ารพัฒนาแบบยงั่ ยนื ของผนู้ �ำในกระบวนทศั น์ใหม่
6. สรปุ มาเหมือนกัน แต่เป็นกระบวนการทางสังคมท่ี
ต้องการทักษะเฉพาะตัว ที่ต้องฝึกฝนเหมือนกับ
การเป็นผู้น�ำที่ดีในกระบวนทัศน์ใหม่ กระบวนทศั นท์ างกฬี า ทางดนตรแี ละอกี หลายๆ อยา่ ง
ตองมีความเขาใจในเร่ืองกระบวนทัศน์หรือ กล่าวโดยสรุปแล้ว บทบาทของผู้น�ำ
Paradigm โดยเฉพาะทเี่ กย่ี วขอ งกบั ประชาธปิ ไตย ในกระบวนการทศั นน์ น้ั สมควรอยา่ งยง่ิ ทจ่ี ะพฒั นา
กด็ ี เกย่ี วขอ้ งกบั การบรหิ ารจดั การทดี่ ี ไมว า่ จะเปน็ แก่นสำ� คญั ประกอบดว้ ย ระบบคณุ ธรรม (Merit
เรอื่ งการมสี ว่ นรว่ มหรอื อน่ื ๆ สำ� หรบั ประเทศไทยนนั้ System) ระบบผลงาน (Performance System)
ก็ยังอยู่ในระหว่างเปล่ียนแปลงเหมือนกระบวน และระบบสมรรถนะ (Competency) โดยผู้น�ำ
ทัศน์อกี หลายๆ อย่าง ทยี่ ังไมต กผลึก ยงั ไมช ดั เจน องค์กรนั้นๆ จะต้องประกอบด้วย วิสัยทัศน์
ทุกคนจึงรูสึกยากล�ำบากและก่อให้เกิดความ (Visioning) การวางกลยทุ ธ์ (Strategic Orientation)
ขัดแย้ง และเม่ือถึงวิธีการจัดการความขัดแย้ง ศักยภาพเพ่ือน�ำการปรับเปล่ียน (Change
ในกระบวนการท่ีใช้ กระบวนการแกปัญหา Leadership) การควบคมุ ตนเอง (Self Control)
ข้อพิพาททางเลือก หรือการเจรจาไกลเกลี่ย และการใช้อ�ำนาจแก้ผู้อื่น (Empowerment)
คนกลางก็เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ใหม่ท่ีสังคม จะท�ำให้มีกระบวนทัศน์ที่พัฒนาได้อย่างยั่งยืน
ยังไมค่อยเข้าใจ และก็ไมใช่วิทยาศาสตร์สามารถ ต่อไป
จะท�ำการทดลองซ�้ำโดยใครๆ ก็ไดให้ไดผล
ปีที่ 19 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 307
References
Barker, J.A. (1993). Paradigms : Business of Discovering the Future. The Harper Collins.
Bass, B. M. (1996). Theory of Transformational Leadership Redux. The Leadership Quarterly,
6(4), 463-478.
D.A., & Ely, R.J. (1996). Learning for the future: Making the case for Teaching Diversity.
Harvard Business Review, 74(5), 79-90.
Deeprasert, D. (2006). The development of the Security Agencies in the Southern Border
Provinces. Bangkok : Ministry of Defence.
Eddy, P.L., & Van Der Linden, K.E. (2006). Emerging Definitions of Leadership in Higher
Education New Visions of Leadership or Same Old “Hero” Leader?. Community
College Review, 34(1), 5-26.
Kuhn, T.S. (2012). The Structure of Scientific Revolutions. U.S.A.: University of Chicago Press.
Locke, H., & Dearden, P. (2005). Rethinking Protected area Categories and the New paradigm.
Environmental Conservation, 32(1), 1-10.
Meijers, E. (2005). Polycentric Urban Regions and the Quest for Synergy: is a Network of
Cities more than the Sum of the Parts?. Urban Studies, 42(4), 765-781.
Mills, R.C. (2005). Sustainable Community Change: A New Paradigm for Leadership in
Community Revitalization Efforts. National Civic Review, 94(1), 9-16.
Nonaka, I., & Takeuchi, H. (1995). The Knowledge-creating Company: How Japanese
Companies Create the Dynamics of Innovation. New York : Oxford University Press.
Panyamee, B. (2008). A Key Aspect of Leadership that Makes the Organization Successful.
Journal of Modern Management.
Sims Jr, H.P., & Lorenzi, P. (1992). The New Leadership Paradigm: Social Learning and
Cognition in Organizations. Sage Publications, Inc.
Singhal, A., & Rogers, E. (2012). Entertainment-education: A Communication Strategy for
Social Change. Rout Ledge.
Smith, A. (2010). The Theory of Moral Sentiments. Penguin. Thomas. The Role of the New
Paradigm Leader. Journal of KalasinKalasin University Year, 3(2).
Vasee, P. (2014). The New Paradigm of the Learning Community. Bangkok : Enhancing
Learning for Community Peace.
Wattanasap, W. (2007). Conflict: Principles and Solutions. Nonthaburi : King Prajadhipok.
The Nature of Abbhantarañāṇa*
Ven. Ratanak Keo, Phrakhru Bhavanabodhikun and Suwin Thongpan
Mahachulalongkornrajavidyalaya University, KhonKaen Campus, Thailand
Corresponding Author, E-mail: [email protected]
Abstract
The purpose of study is to analyze the nature of abbhantarañāṇa in the context
of knowledge. It intends to study the knowledge related to the perspectives of Buddhist
canonical texts, scholars and philosophical thinkers.
This paper analyzes the nature of abbhantarañāṇa (intuition) focusing on the
definition, meaning, nature and characteristics of abbhantarañāṇa. According to the
analytical result abbhantarañāṇa is a faculty of the mind: immediate knowledge putting
the term knowledge beyond the mental process of conscious thought. In the perspective
of Buddhism it is deemed a mental state between the universal mind and one's individual
mind. It is the first state of enlightenment, direct innovation or immediate knowledge
without technique and it exists secretly.
Otherwise abbhantarañāṇa is the ability to acquire knowledge without proof and
understanding and it is “inner knowledge, intelligence, insight, the ability to know or
understand without rational interference, interrogation, or experiment. On the other hand,
it is the first stage of enlightenment without technique and cause and it arises mysteriously.
The arising of abbhantarañāṇa is the nature of related process of intuitive nature itself
with arising new knowledge, special knowledge and inner insight. When it appears it is
very important to remember and take note due to this kind of knowledge can give benefits
for life.
Keywords: Abbhantarañāṇa; Intuition; Inner Knowledge
* ได้รบั บทความ: 19 ธันวาคม 2560; แกไ้ ขบทความ: 25 มกราคม 2562; ตอบรับตพี มิ พ:์ 14 กุมภาพันธ์ 2562
Received: December 19, 2017; Revised: January 25, 2019; Accepted: February 14, 2019
310 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
1. Introduction arises in our mind. Likewise we rarely know
the benefits and importance of this knowledge
This article is an analytical study of for our lives. As the definition, meaning,
Abbhantarañāṇa in the context of knowledge. nature, characteristic of Abbhantarañāṇa is
It intends to study the knowledge related not mostly interested and known-well in
to the perspectives of Buddhist canonical the term of philosophy. It is not described
texts, scholars and Philosophical thinkers. clearly. So we should put forward the
In Theravada Buddhism, Buddha, questions: what is Abbhantarañāṇa?
Buddhist scholars and especially the Thus this analytical article is going
meditators always talk about ñāṇa, using it to study definition, meaning, nature, chara
with other compound Pali word such as cteristic and kinds of Abbhantarañāṇa
vipassana-ñāṇa, solasa-ñāṇa and so on. One in perspectives of scholars and thinkers and
problem is that neither ‘16 vipassana-ñāṇa’, in terms of Theravada Buddhist philosophy.
‘three kinds of ñāṇa’, ‘solasa-ñāṇa’ nor
other ñāṇas which are taught in Buddhism 2. Definition
can be found in the Pali Canon except that
the terms of ‘Abbhantara-ñāṇa’ not appear. Abbhantarañāṇa is a compound Pali
Abbhantarañāṇa is not often talked word consists of abbayantara + ñāṇa.
about like vipassana-ñāṇa, solasa-ñāṇa (16 Abbhantara (Mahāthera,1997) (Pali, Sanskrit,
insight, knowledge) or three kinds of ñāṇa: Abbhayantara or Abbhayān-tara) means
insight; knowledge but it is a kind of new inner, inside between or between inside,
knowledge that always arises in the inner mind middle or middle place. Abbhantara (Nath,
of all human beings. It is the ability to acquire 1968) is used as a prefix for connecting to
knowledge without proof, conscious reasoning, other words. For example: abbhantarakiriya
or evidence or without understanding (abbhantara + kiriya) means inner verb,
how knowledge was acquired. It is like an inside verb. This verb that use the anta-prefix
automatic knowledge which arises by its or mana-prefix as an adverb of compound
self without practice and it always arises noun, mostly use is widely in Pali and
and appears by the nature of its self. Sanskrit words. There are many words that
Mostly we are not interested in what, when, use as prefix, abbhantara such as abbhant
where and why this kind of knowledge arasanna, abbhantarasima, abbhantaratha,
ปีที่ 19 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 311
abbhanta-rañāṇa and so on. having to go through thinking, an experiment
Ñāṇa (Pali, Sanskrit, ñā-thatu + or interrogation. It is translated in English
yu-suffix) means knowledge, intelligence, word “intuition” in term of philosophy. In the
insight, conviction and recognition. Ñāṇa is term of Buddhist epistemology, it is the purity
in the theory of cognition: it occurs in of first enlightenments, direct innovation or
intensive couple-compounds with the term immediately without humility (middleman).
sight such as cakkhu (eye) and dassana (sight It is enlightenment without technique and
or view), giving (right) understanding or middleman and it exists with secrecy.
enlightening. There are three kinds of ñāṇa Abbhantarañāṇa is translated as
(insight or knowledge): (1) atitamsa-ñāṇa: ‘inner knowledge, intelligence, insight or it
insight in to the past or knowledge of the is best translated as ‘intuition’ with the
past, (2) Anāgatamsa-ñāṇa: insight in to the English and philosophical word ‘intuition’
future, knowledge of the future and (3) (Petro). The word intuition comes from
paccuppannamsa-ñāṇa: insight in to the Latin verb intueri translated as to ‘consider’
present, knowledge of the present. And other or from the late Middle English word intuit
three kinds of ñāṇa (insight; knowledge): (1) to contemplate the ability to know without
acca-ñāṇa: knowledge of truths, (2) kicca- rational interference.
ñāṇa: knowledge of the functions with
regard to Four Noble Truths and (3) kata- 3. General Meaning
ñāṇa: knowledge what had been done with
regard to Four Noble Truths. Cakkhukaraṇa Abbhantarañāṇa is instant instruction
(giving (in)—sight, e.g. Dassana ‘knowing or consciously instinctively intuition, the
and seeing’, ‘clear sight’, i.e. perfect know possibility of understanding or knowing of
ledge; having a vision of truth, i.e. the something immediately without having to
theory of life with a recognition of truth, go through thinking, interrogation, or
philosophy and all-comprising knowledge. experiment. For instance, one understands
Abbhantarañāṇa is a compound Pali the goodness of owns lives by the sense
word: abbhanatara + ñāṇa = abbhanatarañāṇa of seeing or seeing without thinking.
means possibility of understanding or Abbhantarañāṇa is the beginning of
knowing something immediately without the first enlightenment, as a direct sight or
momentum, without the help of a mediator.
312 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
It is enlightenment without technique and process of the receptive thought from past
cause (or guide), it arises mysteriously. experiences with intuitive nature (Carter,
Another meaning, abbhantarañāṇa 2001). We always receive impressions of
has a great variety of different meanings abbhantara-ñāṇa all the time. It is a natural
like inner sensing, unconscious cognition, function but a skill or knowledge that can
ranging from direct access into unconscious be developed and strengthened. Otherwise
knowledge, inner insight to unconscious it is skillful, subtle and elusive but always
pattern-recognition and the ability to presents to deal with knowledge and
understand something instinctively, wisdom. It has the necessary part of
without the need for conscious reasoning, becoming aware of what has already been
usually translated into English ‘intuition’, done or existed before. If acknowledged
translated into Khmer ‘អពភ្នត្រញាណ’ and Abbhantarañāṇa is always present or
Thai ‘อัชฌัตติกญาณ, การรู้เอง’, known by appears, rather than a transcendental
its self. In philosophical theory, there event, it becomes much easier to identify
are philosophers who contend that the its subtle nature.
word ‘intuition’ (Bertrand, 1976) is often Abbhantarañāṇa follows the flow of
misunderstood or misused to mean own intention and attention. A focused
instinct, truth, belief but rather meaning, mind will have access to strong and clear
realms of greater knowledge and other impressions of intuitive nature. When own
subjects, whereas others contend that mind is focused, it guides to specific and
faculties such as instinct, belief and meanings of the abbhantarañāṇa. When
intuition are factually related to intuition. the mind is focused intently on anything,
whatever it is focused on will have access
4. The Nature of Abbhantarañāṇa to its intuitive nature. The more mind keeps
the attention focused on something the
Abbhantarañāṇa is the ability to more which is revealed the deeper insight.
know without sensible interference. It is This is the key to conscious access of
the birthright, truth, buried treasure that abbhantarañāṇa.
arises in the mind or detector, messenger In the terms of Buddhism,
and life guide leading without thinking or abbhantarañāṇa is a faculty of mind of
considering. It is like a necessary part of
ปที ่ี 19 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 313
immediate knowledge and puts term 1. Abbhantarañāṇa-cittavidyā
knowledge beyond mental process of (Mental Intuition) deals with data and
conscious thought, as the conscious framework. It is the way of seeing the
intelligence cannot necessarily reveal combinations of information available to
subconscious information, or give such the mind that it has not seen before. It
information into communicable form. In the leads to certain level of creativity due to
practice to get knowledge and wisdom in piecing things together. In the sense,
Theravada Buddhism, there are various human with strong mental intuition has gift
techniques that have been developed for coming up with new innovative ideas
to produce many kinds of knowledge (Sayadaw, 2008).
(ñāṇa) including intuitive capability as well, 2. Abbhantarañāṇa-paññā (Wise
such as meditation resolving of which leads Intuition) is knowledgeable intuition that
to states of minor enlightenment. people have a more emotional, empathetic
Abbhantarañāṇa is considered as the sense of intuition which is able to sense
mental state or the discriminating mind how they feel emotionally or to know
between the universal mind and one's something or someone. The people who
individual. got emotionally intuitive are able to get a
sense of way other person feels for them
5. Kinds of Abbhantarañāṇa when they meet, even before meeting up
physically. The strong emotional intuition
Abbhantarañāṇa is divided into four of people who are able to feel something
kinds (abbhantarañāṇa): or someone before they meet and tell
1. Abbhantarañāṇa-cittavidyā: them if someone fits and can create a good
( )អព្ភនត្រញាណចតិ ្ត វទិ ្យា Mental Intuition relationship and know each other or work
2. A b b h a n t a r a ñ āṇa - p a ñ ñ ā : together effectively. They intuitively get a
(អពភ្ន្តរញាណបញ្ញា ) Intellectual Intuition sense of how people will come together
3. Abbhantarañāṇa- I n d r i y a : emotionally.
( )អព្ភនត្រញាណឥន្ទ្ិយរ Faculties Intuition 3. A b b h a n t a r a ñ āṇa - I n d r i y a
4. Abbhantarañāṇa- p r a k ɑt a : (Faculties Intuition or Physical Intuition) is
( )អព្ភន្តរញាណប្រាកដ Certainly Possible instinctive part of physical body. It is
Intuition
314 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
important how one would move, moments emotional and mental. These three bodies
before something happens to that exact feed into a space of awareness which is
and clear impression which would have collectively known as the psyche. The data
endangered them. This faculty intuition accumulated over time and tapped into
informs physical bodies on what one does subconsciously by them is used to create
to prevent being hurt to it and the person a sense of how human calculate the moves
intuitively avoids an accident due to being and make decisions (McHugh, 2008).
physically awkward. There is a distinction between the
4. Abbhantarañāṇa- p r a k ɑt a : three different kinds of intuitive senses that
(Certainly Possible Intuition) what one human will find useful. If one can recognize
tends to get confused on the difference oneself in one of these areas, s/he will be
between owns bodies intuition versus and able to tune in to wherever own intuition
the psyche’s intuition. The certainly is stronger.
possible intuition is very different from the As three bodies feed into the same
other three in that it is not about knowing space of awareness-the psyche-they are very
about specific areas like physical positions, strongly interlinked and it is important to
people or ideas. Psyche (Wehmeier, 2001) ensure that the three bodies are well-taken
is the mind, the deepest feeling and care of and well-developed. It will allow
attitude. Instead, it is the sense of things being more in tune with the inner subconscious
related to timelines. One gets a sense that and making decisions that are closest to
something is shifting or something is not the true selves. (Russell, 1979).
right and there are things looming ahead
so one starts preparing for it. This is predictive 6. Abbhantarañāṇa (Intuition) and
in nature and takes a holistic view of Vicara (investigation)
everything. It often has to do with not just
it but how one is involved in something Abbhantarañāṇa and Vicara (the
that is bigger. relation between abbhantarañāṇa and
In short, Abbhantarañāṇa is a kind of vicara) are strategies of thought that
sixth sense. In the basic model, humans depend on each other. Intuition exists first
have three different bodies–physical, or before the investigation. Abbhantarañāṇa
happens before vicara and it is the basic
ปีท่ี 19 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 315
provider to create awareness in the mind. The philosophical link between
Abbhantarañāṇa is sum of total the concluded abbhatarañāṇa and vicara: (1) when
mind to take and know something easily. abbhatarañāṇa is detective of various
For vicara is the proof giver to abbhantarañāṇa. discoveries, vicara is an analyst of the
Abbhantarañāṇa and vicara are two discovery, (2) when abbhatarañāṇa is the
forms of enlightenment which depend on provider of construction materials; vicara is
each other, go along together and com- as the recruiter and user of materials, (3)
plete to each other by different forms in when abbhatarañāṇa is the founder of the
the branches of enlightenment. There are related contact, vicara represents the value
four different characteristics Abbhantarañāṇa of the relationship, and (4) when
and Vicara. abbhatarañāṇa is too fast to think without
The four characteristics of reason or lack of reason, vicara comments
Abbhantarañāṇa (intuition): and is always slower and rarely sparse.
1. Abbhatarañāṇa is the detective Therefore both abbhatarañāṇa and vicara
of various discoveries. are depending on each other.
2. Abbhatarañāṇa is the provider
of construction materials. 7. Ñāṇas: The Insight Knowledge
3. Abbhatarañāṇa is founder of a
related contact. In Satipatthana vipassana is the
4. Abbhatarañāṇa is too fast to development of Insight Knowledge in terms
think without reason, lack of reason. of one central principle which called three
The four characteristics of Vicara universal characteristics and seven purific
(investigation): ations, stages of purification into 16 ñāṇas
1. Vicaraisananalystonthediscovery. (insight knowledge). Ñāṇa in Theravada
2. Vicara is a recruiter and use of Buddhism is taught clearly by the Buddha
materials. and frequently raised to talk by Buddhist
3. Vicara is representing the value scholars and meditators, not like
of the relationship. abbhatarañāṇa Here are the kinds of ñāṇa
4. Vicara is comments that are in Theravada Buddhism, namely:
always slower are rarely sparse. 1. Solasa-ñāṇa (16 insight;
knowledge or sixteen stages of Vipassanā):
316 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
knowledge namely (1) ñamarupa abandoned and are overcome by
paricchedañāṇa: knowledge to distinguish destruction, (15) phalañāṇa : knowledge
mental and physical states, (2) which realizes the fruit of the path and has
paccayapariggahañāṇa: knowledge of the nibbana as object and (16) paccavekkhana
cause-and-effect relationship between ñāṇa: knowledge which reviews the
mental and physical states, (3) sammasana- defilements still remaining (Payutto,
ñāṇa: knowledge of mental and physical 2003).
processes as impermanent, unsatisfactory 2. Other three kinds of ñāṇa,
and oneself, (4) udayabbaya ñāṇa: insight; knowledge: (1) Atitamsa-ñāṇa:
knowledge of arising and passing away, (5) insight into the past or knowledge of the
bhanga ñāṇa: knowledge of the dissolution past, (2) Anāgatamsa-ñāṇa: insight into
of formations, (6) bhaya ñāṇa: knowledge the future, knowledge of the future and
of the fearful nature of mental and (3) Paccuppannamsa- ñāṇa: insight into
physical states, (7) ādinava ñāṇa: the present and knowledge of the present.
knowledge of mental and physical states 3. Another three kinds of ñāṇa:
as unsatisfactory, (8) nibbidā ñāṇa: insight; knowledge: (1) Sacca- ñāṇa:
knowledge of disenchantment, (9) knowledge of the truth as they are, (2)
muncitukamayata ñāṇa: knowledge of Kicca-ñāṇa: knowledge of the functions
the desire to abandon the worldly state, with regards to the Four Noble Truths and
(10) patisankha ñāṇa: knowledge which (3) Kata-ñāṇa: knowledge what had been
investigates the path to deliverance and done with regard to the Four Noble Truths
instills a decision to practice further, (Ñānārāma, 2000).
(11) sankhārupekha ñāṇa: knowledge Thus three ñāṇas (Solasa-ñāṇa:
which regards mental and physical states sixteen stages of Vipassanā, another three
with, (12) anuloma ñāṇa: equanimity kinds of ñāṇa and other three kinds of ñāṇa)
knowledge which conforms to the Four above are different from abbhatarañāṇa.
Noble Truths, (13) gotrabhu ñāṇa: In Theravada Buddhism, all Ñāṇas are
knowledge of deliverance from the developed by course of knowledge in
worldly condition, (14) maggañāṇa: Theravada Buddhism but abbhatarañāṇa
knowledge by which defilements are exist by its self.
ปที ่ี 19 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 317
8. The characteristics of Abbhantarañāṇa clearly in the mind. It is like a new know
ledge (Bertrand Russell, 1979) or mental
1. Arising of Abbhantarañāṇa innovation of mind without thinking. It is
Abbhantarañāṇa is organic, fluid just like the memory of good or bad past
and free-flowing. The way to access the experiences, but it is be maybe the new
abbhantarañāṇa is by going outdoors and knowledge arising from the past experiences
connecting with nature. The nature is by its revalorizing and converting, therefore
intuitive and always in the flow and it rises up as the good knowledge that
balance. The power of nature makes it had never appeared in the mind
everything happen without any forces of before. This is beautiful, good one of
energy or human power. This is the presence knowledge in the positive way (Phrakhru
or shows the power of abbhantarañāṇa. Bhāvanābodhikun, 2011). This kind of
Example 1: Nature just knows and knowledge suddenly arises in the mind but
realizes that it too has the intuitive nature, it is fast to disappear, there as there is the
an inner knowing of exactly what needs appearance of Aphantarañāṇa which one
to be done, where to go and how to make should remember or take note of it,
things happen. The past experiences because it is going to disappear very fast
offer a gateway for receiving the answers. and mind cannot remember or understand
Whenever we connect to the intuitive flow what it is? (Upatessathera, 2012) This kind
of past experiences, it can be one with the of knowledge happens in the mind by
answers they provide. We feel them, think processing its self that we can call ‘the
of them, know them, connect with them process of intuitive nature’. This is the
and remember that it is everywhere. appearing of aphantarañāṇas (Tanabe,
Abbhantarañāṇa is waiting to give signs, 2010).
guidance and answers. 2. Practice to arise of Abbhantarañāṇa
Example 2: Sometimes, when we We can tries to practice when
sit with doing nothing, it is just like taking we are seeking intuitive insight into
a rest without thinking, considering or something or someone. Close our eyes and
investigating and set the mind free into sit quietly the first few. With this practice,
nature. Suddenly it arises the knowing of we will be able to focus on anything, when
something or understanding something
318 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
we are about and receive impressions eas- the analytical faculties and ordinary
ily. And then try this with ways we know impressions. This is the process of connecting
and with the thing or persons we do not to abbhantarañāṇ and attempt to practice
know anything about, with our discoveries this with as many things as we can. We can
as following: get the full benefit and insight this will bring
1. Close the eyes sit quietly and to us according to practice and observing
set the mind free. Take a few minutes in differences.
deep slow breathing in and out then relax. 3. The Importance of Abbhantarañāṇas
2. Bring things we want more Abbhantarañāṇa is the special
insight into our awareness and gently focus knowledge, inner insight that always arises
on them. in all human beings by its way. It is like
3. Ask our intuition: If these things knowledge of way of life, or knowing of
were an animal, what would (he/she) be? something in the correct way to solve the
Allow our creative imagination to transform problems of life or help to lead the life
them into the image/impression of an into the correct way to be free from any
animal. kinds of problems. It is not like
4. Stay focused on the thing and vippassanañāṇa or other kinds of ñāṇa
allows it to access its nature to us. Notice described above because those ñāṇas
the environment it is in. What is it doing? happen by depending on the way of
How is it moving? Ask it to access its nature practice like satipatthana vipassana or
to us and just continue to observe what vipassanakamathana that is insight
emerges in our inner vision or inner knowledge to release from suffering
thought. After a while, ask any questions (problem), but abbhantarañāṇa is a new
that come to mind. It will respond. knowledge, inner knowledge exists by
The abbhantarañāṇa will exist. itself according to the link between past
Our impression conveys, investigates experiences and present events with
and considers intuitive insight. If we stay intuitive nature. It is a good knowledge for
focused and allow things to reveal, we will leading into happiness of human beings.
come away with understanding and insight Therefore, when this kind of knowledge,
that could not have been realized through abbhantarañāṇa arises in the mind, we
ปีท่ี 19 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 319
must remember it and take note because technique and cause and arises mysteriously.
it will help us to get many benefits for our life. The nature of abbhantarañāṇa is a
faculty of the human mind, immediate
9. Conclusion knowledge with putting term knowledge
beyond mental process of conscious
Abbhantarañāṇa is the ability to thought. In the Buddhist perspectives it is
acquire knowledge without proof, conscious deemed a mental state between the
reasoning, evidence, or without understanding. universal mind and one's individual,
It is inner knowledge, intelligence, insight, discriminating mind.
the ability to know without rational inter The arising of abbhantarañāṇa is the
ference and the possibility of understanding process of intuitive nature itself as new
or knowing of something or some one knowledge, special knowledge and
immediately without thinking, interrogation, inner insight. When it appears it is very
or experiment. It is the purity of first importance to remember and take note
enlightenments, direct innovation or because this kind of knowledge can help
immediately without humility. It is us to get the benefits of knowing our
enlightenment without technique and living and understanding of something and
exists with secrecy. On the other hand, someone in finding correct way to solve
abbhanatarañāṇa is the beginning of the the problems and in helping us to practice
first enlightenment, as a direct sight or in correct way for happiness in present and
momentum, without demonstrating from next life.
a mediator. It is enlightenment without
References
Abbhantarañāṇ, T. k. (n.d.). The kinds of Abbhantarañāṇ. http://www.khsearch.com/
qna/1692 (Accessed November 30, 2017).
Bertrand Russell,:. 1. (1979). Outline of Philosophy. Unwin : Unwin Australia Pty Ltd (8
Napier Street, North Sydney, NSW 2060, Australia.
Bertrand, R. (1976). The Problems of Philosophy. New York : Oxford University Press.
Carter, J. A. (2001). The Value of Knowledge and The Problem of Epistemic Luck. New
York : Oxford University Press.
320 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
Development of Insight Knowledge. (n.d.). Development of Insight Knowledge. http://
www.buddhanet.net/knowledg.htm (Accessed November 23, 2017).
Intuition, T. N. (n.d.). The Nature of Intuition. https://byregion.byregion.net/articles-heal-
ers/Nature_of_ Intuition.html (Accessed November 22, 2017).
Mahāthera, A. B. (1997). Concise Pali-English Dictionary. Reprint: Delh: First Edition:
Colombo.
McHugh, C. (2008). Self-Knowledge in Consciousness. Research Degree of Ph.D. in
Philosophy. The University of Edinburgh.
Ñānārāma, T. V. (2000). Seven Stages of Purification and Insight Knowledge. Sri Lanka :
Buddhist Publication Society Kandy, Sri Lanka.
Nath, S. C. (1968). Khmer Dictionary 1-2. Phnom Penh: Buddhist Institute, Cambodia.
Payutto, B. P. (2003). Dictionary of Buddhism Thai-English Buddhist Dictionary. Bangkok :
Mahachulalongkorn Buddhist University Press.
Petro, M. (n.d.). Intuition. https://byregion.byre-gion.net/articles-healers/Nature_of_Intui-
tion.html (Accessed November 22, 2017).
Phrakhru Bhāvanābodhikun. (2011). Man Karma and Nibbāna in Theravāda Buddhist
Philosophy. Mahachulalongkorn Buddhist University Press.
Russell, B. (1979). Outline of Philosophy. Unwin: Unwin Australia Pty Ltd. (8 Napier Street,
North Sydney, NSW 2060, Australia,.
Sayadaw, V.L. (2008). The Requisites of Enlightenment (Bodhipakkhiya Dipani). the Wheel
Publication No 171/174.
Tanabe, J. (2010). Buddhist Philosophy and the Epistemological Foundations of Conflict
Resolution. Research Degree of Ph.D. in Philosophy, University of Bradford.
The Relation between Abbhatarañāṇa and Vica. (n.d.). Abbhatarañāṇa and Vica. https://
cambodiapiece.wordpress.com/ (Accessed November 28, 2017).
Upatessathera. (2012). The Path of Freedom. In P. H. Monichenda. Battambong Province:
Battambong Province, Cambodia.
Wehmeier, S. O. (2001). Oxford Advanced Learner’s Dictionary. New York : Oxford University
Press.
แรงจูงใจในพระพทุ ธศาสนากบั การท�ำงานจติ อาสา*
Motivation in Buddhism and Volunteer Spirit Working
พระแสงจนั ทร์ ฐติ สาโร และพระมหามิตร ฐิตปญโฺ ญ
Phra Saengjun Thitasarro and Phramaha Mitra Thitapanyo
มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น
Mahachulalongkornrajavidya University, KhonKaen Campus, Thailand
Corresponding Author, E-mail: [email protected]
บทคดั ยอ่
แรงจูงใจในการกระท�ำของมนุษย์เกิดจากความอยากหรือความต้องการ แบ่งออกเป็นสองอย่าง
ประการแรก แรงจูงใจฝา่ ยดี หมายถึง ความอยากหรอื ความตอ้ งการที่ตอ้ งการร้คู วามจริง ตอ้ งการท�ำใน
สิ่งทดี่ ีงาม อยากทำ� ใหส้ ำ� เรจ็ ผลเปน็ จริงข้ึน เป็นสง่ิ ทค่ี วรสง่ เสรมิ ด้วยการรู้จกั คดิ อยา่ งถูกวิธี จะทำ� ใหเ้ กิด
แรงจงู ใจไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง แรงจงู ใจอกี อยา่ งหนงึ่ คอื แรงจงู ใจฝา่ ยไมด่ ี หมายถงึ ความอยากหรอื ความตอ้ งการ
ทที่ ำ� แลว้ กอ่ ใหเ้ กดิ ปญั หาตอ่ ตนเอง และไมเ่ ปน็ ประโยชนต์ อ่ สว่ นรวม ควรหาวธิ ลี ดละและควบคมุ ไมใ่ หเ้ กดิ
ข้ึนอีก ส่วนการท�ำงานจิตอาสา หมายถึง การท�ำงานด้วยความสมัครใจ เพื่อประโยชน์ต่อสาธารณชน
ไมม่ งุ่ ผลประโยชนต์ อบแทน เปน็ การกระทำ� ทเี่ กดิ จากใจของตนอยา่ งมคี วามสขุ และความสำ� เรจ็ คอื ผลลพั ธ์
ทต่ี ้องการ ความยากลำ� บากและอปุ สรรคตา่ งๆ เป็นการเรียนรู้ มีโอกาสในการฝึกฝนพฒั นาตนเอง ลดละ
ความเห็นแก่ตัว ในเร่ืองของแรงจูงใจในพระพุทธศาสนากับการท�ำงานจิตอาสาท่ีถูกต้องจะต้องเกิดจาก
แรงจูงใจท่ีมุ่งหวังประโยชน์ และความอยู่ดีมีสุขเพื่อผู้อื่นและสังคม ด้วยจิตท่ีมีความบริสุทธ์ิใจอย่างไม่มี
ความเหน็ แก่ตวั นน้ั เอง
คำ� ส�ำคัญ: แรงจงู ใจในพระพุทธศาสนา; การท�ำงานจิตอาสา
Abstract
Motivation in human action is caused by craving or desire. It is divided into two
categories. First, the good motivation which want to know the truth, to do good things
that should be promoted to think properly for the appropriate motivation. The another
* ไดร้ ับบทความ: 28 มิถนุ ายน 2561; แกไ้ ขบทความ: 29 มกราคม 2562; ตอบรับตีพมิ พ์: 13 มีนาคม 2562
Received: June 28, 2018; Revised: January 29, 2019; Accepted: March 13, 2019
322 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
is bad motivation which so causes problems for themselves and useless to the public
that should find the way to relieve and control not to happen again. The volunteer
spirit working is to work voluntarily. The results are advantages for the others and
community not for themselves. Volunteers work by their soul happily and the achieve-
ment is their desired result. The various difficulties and obstacles are considered learning;
an opportunity to practice self-development reduces selfishness. The motivation in
Buddhism and volunteer spirit working, in the right way must be motivated to be
beneficial and happiness. They work for the other and society with pure spirit without
selfishness.
Keywords: Motivation in Buddhism; Volunteer Spirit Working
1. บทนำ� หลักธรรม และกระบวนธรรมท่ีอธิบายแรงจูงใจ
ทอ่ี ยเู่ บอ้ื งหลงั ของพฤตกิ รรม และเปน็ พลงั ผลกั ดนั
แรงจูงใจพระพุทธศาสนาสามารถเทียบ ใหเ้ กดิ พฤตกิ รรมไวด้ ว้ ยเชน่ กนั ดงั เชน่ ทพ่ี ระพทุ ธเจา้
เคยี งจากหลกั การทคี่ ลา้ ยกนั ไดว้ า่ เปน็ ลกั ษณะของ ได้ตรัสไว้ว่า “ฉนฺทมูลกา...สพฺเพ ธมฺมา แปลว่า
จิตใจท่ีมีองค์ประกอบหลายอย่างท่ีเป็นตัวกระตุ้น ธรรมท้ังปวง..มีฉันทะเป็นมูล” (Thai Tipitaka
ให้มนุษย์คิด และแสดงออกมาทางพฤติกรรมใน 23/83/408) หมายความวา่ ธรรมท้งั ปวง มีความ
การกระท�ำกรรมต่างๆ ที่เกิดจากความอยากของ ต้องการเป็นต้นก�ำเนิดหรือว่ามีความอยากเป็น
มนุษย์ เมื่อกลา่ วถงึ ความอยากในพระพทุ ธศาสนา ที่ตั้งต้น ความอยากหรือความต้องการจึงเป็น
จะมที ้งั ความอยากดา้ นดี และความอยากด้านไม่ดี แรงจงู ใจของมนษุ ยไ์ ดท้ กุ อยา่ ง การทบ่ี คุ คลจะตง้ั ใจ
แต่จะท�ำอย่างไรจึงจะสร้างแรงจูงใจที่เป็นความ ท�ำงานหรือกระท�ำสิ่งใดหรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับ
อยากในทางท่ีดีให้เกิดขึ้นได้ แรงจูงใจจึงเป็นพลัง แรงจูงใจของบุคคลผู้นั้นเป็นส�ำคัญ ผู้ท่ีแสดง
ผลักดันให้คนมีพฤติกรรม และยังก�ำหนดทิศทาง พฤติกรรมจิตอาสาก็เช่นกัน ย่อมต้องมีแรงจูงใจ
เป้าหมายของพฤติกรรมน้ันด้วย ซึ่งอาจจะเกิดมา ในการท�ำงานด้วย กล่าวคือ จิตอาสา หมายถึง
ตามธรรมชาติหรือจากการเรียนรู้ก็ได้บุคคลที่ได้ การรู้จักเอาใจใส่เป็นธุระ และเข้าร่วมในเรื่องของ
รับแรงจูงใจที่ถูกต้องจะเกิดความกระตือรือร้น ส่วนรวมที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ มีความ
และพยายามดิ้นร้นเพื่อหาทางท�ำงานน้ันให้บรรลุ ส�ำนึก และยึดมน่ั ในระบบคุณธรรม และจรยิ ธรรม
เปา้ หมาย (Pongsopa, 2001 : 131) ท่ีดีงาม (Sutthirat, 1991 : 13) การท�ำงานจิต
แรงจูงใจ จึงเป็นการสร้างพลังใจให้กับ อาสา จึงเป็นการอาสาท�ำด้วยความสมัครใจ
ตนเอง และคนรอบขา้ ง ซงึ่ จะทำ� ใหเ้ กดิ ผลเปน็ กศุ ล เพ่ือส่วนรวมไม่หวังส่ิงตอบแทน โดยมีเป้าหมาย
หรืออกุศลน้ัน จะพบว่าในพระพุทธศาสนาก็มี
ปที ่ี 19 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 323
ของการทำ� งาน คือ ความส�ำเร็จและมีความสุขกับ กระตุ้นร่างกายให้กระท�ำพฤติกรรม โดยเป็นแรง
งานที่ท�ำ แรงจูงใจในการท�ำงานจิตอาสา จึงเป็น กระตนุ้ ทม่ี กี ารกำ� หนดทศิ ทางไวว้ า่ จะทำ� พฤตกิ รรม
ปจั จยั หนง่ึ ทสี่ ำ� คญั ในตวั ของบคุ คลทจี่ ะทำ� ใหท้ กุ คน ออกไปอย่างไร แบบใด (Waranusanuttigun,
ค�ำนึงถึงส่วนรวม ซึ่งอยู่เหนือความเป็นส่วนตัว 2003 : 157)
เป็นการกระท�ำที่ถูกต้องได้ช่ือว่าท�ำความดีเพราะ แรงจูงใจ หมายถึง บางสิ่งบางอย่างที่อยู่
เห็นคุณค่าของความดี จิตอาสาจึงท�ำให้ทุกคน ภายในตวั ของบุคคลทีม่ ผี ลท�ำใหบ้ ุคคลตอ้ งกระท�ำ
ในสังคมสามารถอยรู่ ว่ มกนั ได้ หรือเคล่ือนไหว หรือมีพฤติกรรม ในลักษณะที่มี
ดงั นนั้ การศกึ ษาทำ� ความเขา้ ใจใหล้ ะเอยี ด เปา้ หมาย (Walters, 1978 : 218) กลา่ วอกี นยั หนง่ึ
ลึกซึ้งเร่ืองแรงจูงใจ จึงเป็นสิ่งจ�ำเป็นท่ีจะช่วยให้ ก็คือแรงจูงใจ เป็นเหตุผลของการกระท�ำนัน่ เอง
เขา้ ใจถงึ พฤตกิ รรม และวธิ กี ารในการสรา้ งแนวทาง แรงจงู ใจ หมายถงึ สภาวะทอี่ ยู่ภายในตวั
เพอื่ เปลยี่ นพฤตกิ รรมไปในทศิ ทางทดี่ ี ในบทความน้ี ท่ีเป็นพลัง ท�ำให้ร่างกายมีการเคลื่อนไหวไปใน
จะได้ศึกษาแรงจูงใจในพระพุทธศาสนากับการ ทศิ ทางท่ีมเี ป้าหมายท่ีไดเ้ ลอื กไว้แลว้ ซึง่ มกั จะเป็น
ท�ำงานจิตอาสา เพื่อให้แรงจูงใจในการท�ำงาน เป้าหมายที่มีอยู่ในภาวะสิ่งแวดล้อม (Loundon
จติ อาสาเปน็ ไปอย่างถกู ตอ้ ง ม่งุ หวงั ประโยชน์และ and Bitta, 1988 : 368) จากความหมายนจ้ี ะเหน็
ความอยู่ดีมีสุข เพื่อผู้อ่ืน และสังคมด้วยความ ไดว้ า่ แรงจงู ใจจะเกย่ี วขอ้ งกบั องคป์ ระกอบทส่ี ำ� คญั
บรสิ ทุ ธ์ิใจ ปราศจากความเห็นแก่ตัว ผเู้ ขียนจะได้ 2 ประการ คือ 1) เป็นกลไกทไี่ ปกระตนุ้ พลงั ของ
น�ำเสนอตามล�ำดับตอ่ ไป ร่างกายให้เกดิ การกระท�ำ และ 2) เปน็ แรงบงั คบั
ให้กับพลังของร่างกายที่จะกระทำ� อย่างมที ศิ ทาง
2. ความหมายของแรงจูงใจท่ัวไป จากความหมายดังกล่าว สรุปได้ว่า
แรงจูงใจ (Motive) หมายถึง สภาวะท่ีเป็นแรง
แรงจงู ใจเปน็ พลงั ผลกั ดนั ใหค้ นมพี ฤตกิ รรม กระตุ้นเป็นพลังหรือเป็นกระบวนการที่สร้าง
และยังก�ำหนดทิศทางเป้าหมายของพฤติกรรมนั้น กระตุ้นช้ีน�ำและผลักดัน ให้บุคคลเกิดพฤติกรรม
ด้วย คนที่มีแรงจูงใจสูงจะใช้ความพยายามในการ หรือแสดงพฤติกรรมออกมา ท้ังที่เป็นพฤติกรรม
กระท�ำไปสู่เป้าหมาย โดยไม่ลดละแต่คนท่ีมี โดยสัญชาตญาณและพฤติกรรมจากการเรียนรู้
แรงจูงใจต่�ำจะไม่แสดงพฤติกรรมหรือไม่ก็อาจจะ เพอ่ื ให้บรรลเุ ป้าหมายตามท่ีแรงจงู ใจนน้ั ตอ้ งการ
ลม้ เลกิ การกระทำ� กอ่ นบรรลเุ ปา้ หมาย คำ� วา่ แรงจงู ใจ
จึงมกี ารใหค้ วามหมายไวต้ า่ งกนั ดงั น้ี 3. ความหมายของแรงจงู ใจในพระพทุ ธศาสนา
แรงจงู ใจ (Motivation) เป็นคำ� ส�ำคัญที่มี
ความหมายในฐานะที่เป็นตัวก�ำหนดพฤติกรรม 1. ความหมายเฉพาะ แรงจูงใจใน
ดังน้ัน แรงจูงใจ จึงหมายถึงแรงกระตุ้นหรือแรง พระพทุ ธศาสนานน้ั ไมป่ รากฏวา่ มกี ารบญั ญตั ศิ พั ท์
ผลักดันให้เกิดพฤติกรรม เป็นแรงท่ีให้พลังงาน หรอื ใหค้ วามหมายไวอ้ ยา่ งชดั เจน แตส่ ามารถเทยี บ
324 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
เคยี งถงึ ความหมายของแรงจงู ใจ ในลกั ษณะทส่ี ง่ ผล ไมด่ ี คอื ความพอใจ ชอบใจ อยาก รกั ใคร่ ตอ้ งการ
ให้เกิดการกระท�ำหรือการแสดงออกของมนุษย์ ไม่ดี ไม่สบาย ไม่เกื้อกูล เป็นอกุศล เรียกว่า ตัณหา
ซ่ึงเป็นเร่ืองเกี่ยวกับความอยาก ความปรารถนา และ 2) แรงจูงใจฝ่ายดี คือ ความพอใจ ชอบใจ
หรือความต้องการเม่ือกล่าวถึงความอยากนี้ อยาก รกั ใคร่ ตอ้ งการทดี่ งี าม สบายเกอื้ กลู เปน็ กศุ ล
โดยพ้ืนฐานของมนุษย์ปุถุชนท่ัวไปนั้น มนุษย์มี เรยี กวา่ ฉันทะ
ความต้องการ มีความปรารถนาไม่มีที่สิ้นสุด 2. กระบวนการของแรงจงู ใจในพระพทุ ธ
เพ่ือไม่ให้เกิดความสับสนในเร่ืองการใช้ค�ำท่ี ศาสนา ค�ำว่า แรงจูงใจ ตามความหมายทาง
หมายถึง ความอยากหรือความตอ้ งการนี้ ก่อนอน่ื จิตวิทยาตะวันตก โดยท่ัวไปนั้น หมายถึง สิ่ง
จึงท�ำความเขา้ ใจให้กระจ่างชัดกอ่ นว่า คำ� ศัพท์ทม่ี ี ซึ่งควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์อันเกิดจากความ
ความหมายครอบคลุมความอยากได้ในแง่ต่างๆ ตอ้ งการอันจำ� เปน็ พลงั กดดันหรอื ความปรารถนา
ใช้ค�ำว่า “ฉันทะ” แปลว่า ความพอใจคือความ ท่ีจะพยายามดิ้นรนเพื่อให้บรรลุผลส�ำเร็จตาม
ต้องการท่ีจะท�ำ ใฝ่ใจรักจะกระท�ำส่ิงน้ันอยู่เสมอ วัตถุประสงค์ ถ้าพิจารณาจากความหมายใน
และปรารถนาจะกระทำ� ใหไ้ ด้ผลย่งิ ๆ ข้นึ ไป (Phra ลักษณะน้ี จะพบว่าในพระพุทธศาสนานั้น
Bramagunabhorn (P.A. Payutto), 2016 : 160) ความอยาก ความปรารถนาหรือความต้องการ
ฉันทะ หมายถึง ความอยากหรือความต้องการ เปน็ แรงจงู ใจในการกระทำ� ของมนษุ ยห์ รอื ทำ� กรรม
มีทั้งท่ีเป็นกุศลและท่ีเป็นฝ่ายอกุศล แบ่งออกเป็น ต่างๆ มี 2 อย่าง ได้แก่ ฉนั ทะ และตัณหา (Phra
3 ประเภท มีดังนี้ 1) ตัณหาฉันทะ คือตัณหา Bramagunabhorn (P.A. Payutto), 2016 : 979)
หรือฉันทะท่ีเป็นตัณหาฝ่ายช่ัวหรือฝ่ายอกุศล ซึ่งแรงจูงใจท้ัง 2 อย่างน้ี จะมีขบวนการอย่างไร
2) กัตตุกมั มยาตาฉนั ทะ คือ ความใคร่ เพือ่ จะทำ� มีอธิบาย ดงั น้ี
ได้แก่ ความตอ้ งการท�ำหรืออยากท�ำ บางทถี อื เป็น 2.1 แรงจูงใจท่ีเป็นฉันทะในที่นี้
ค�ำกลางๆ คือ ใช้ในทางดกี ็ไดช้ ่ัวกไ็ ด้ แตม่ ักจดั รวม หมายถึง กุศลธรรมฉันทะ แปลว่า ฉันทะในกุศล
เขา้ เปน็ ฝา่ ยดี และ 3) กศุ ลธรรมฉนั ทะในกศุ ลธรรม ธรรม คือ ความพอใจ ความชอบ ความอยากในสงิ่
หรอื ธรรมฉนั ทะทเ่ี ปน็ กศุ ล เปน็ ฝา่ ยดงี ามหรอื กศุ ล ที่ดีงามหรือในสิ่งที่เป็นผลดี เก้ือกูลแก่ความเจริญ
มักเรยี กส้นั ๆ เพียงว่า กศุ ลธรรมฉันทะ (ความรกั ดี งอกงามในทางทเ่ี ปน็ ไปเพอ่ื ประโยชนส์ ขุ ทง้ั แกต่ น
ความใฝ่ดี) หรือธรรมฉันทะ (ความรักธรรมหรือ และคนอน่ื หรอื เรยี กสนั้ ๆ วา่ “ธรรมฉนั ทะ” ทแี่ ปลวา่
ความใฝ่ธรรม) (Phra Bramagunabhorn (P.A. ฉันทะในธรรมหรือฉันทะในความจริง ฉันทะใน
Payutto), 2016 : 978) ความดีงามหรือความต้องการความจริง ต้องการ
ดังน้ัน ความหมายของแรงจูงใจในพุทธ ความดีงามหรืออธิบายโดยรวมความได้ว่า ฉันทะ
ศาสนา คอื ความอยาก ความปรารถนาหรอื ความ คอื การตอ้ งการรคู้ วามจรงิ ตอ้ งการทำ� ใหส้ งิ่ ทด่ี งี าม
ตอ้ งการ แบง่ ออกเปน็ 2 อยา่ ง คอื 1) แรงจงู ใจฝา่ ย หรอื ภาวะทด่ี งี ามเกดิ มขี น้ึ อยากทำ� ใหส้ ง่ิ ทเี่ ปน็ คณุ
ปีที่ 19 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 325
ประโยชน์ส�ำเร็จผลเป็นจริงข้ึน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ท�ำจริงจัง เอางานสู้งาน มีความสุจริต อดทน
ฉันทะ สัมพันธ์กับการกระท�ำ คือ การกระท�ำ ซ่ือตรงต่องาน ซอ่ื ตรงตอ่ เหตผุ ล ทเี่ ปน็ ไปตามกฎ
เพอื่ ใหร้ คู้ วามจรงิ และการกระทำ� เพอ่ื สรา้ งภาวะท่ี ธรรมชาติ เกดิ ความพอดรี ะหวา่ งการกระทำ� กบั ผล
ดีงามหรือท�ำให้ส่ิงที่ดีงามเกิดมีขึ้นน้ัน คือ ฉันทะ ท่ีพึงประสงค์ นอกจากน้ีเนื่องจากผู้ท�ำด้วยฉันทะ
จะมีองค์ประกอบที่ส�ำคัญคือ การพิจารณาอย่าง ต้องการผลของการกระท�ำโดยตรงและต้องการ
ละเอียดถี่ถ้วน อย่างถูกวิธีหรือเรียกว่า โยนิโส ท�ำให้ผลน้ันเกิดข้ึน รวมท้ังเขาย่อมได้ประจักษ์ผล
มนสิการ หรือการคิดแยบคาย คิดถูกวิธี รู้จักคิด ท่ีเกิดต่อเน่ืองไปกับการกระท�ำ ซึ่งท�ำให้เขาได้รับ
หรือคิดเป็น ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ฉันทะอยู่ใน ความพงึ พอใจ ความอ่มิ ใจ ปตี ิ ปราโมทย์ ความสุข
กระบวนธรรมฝ่ายปัญญาและตั้งต้น เม่ือมีการใช้ และความสงบ ต้ังม่นั ของจิตใจนั่นเอง
ปัญญาน้ันเอง (Phra Bramagunabhorn, (P.A. 2.2 แรงจงู ใจทเี่ ปน็ ตณั หาคำ� วา่ ตณั หา
Payutto), 2016 : 987) ฉันทะ จึงเปน็ ภาวะจิต แปลวา่ ความกระหาย ความทะยาน ความอยาก
ท่ียินดี พอใจตลอดจนต้องการให้เกิดมีความด�ำรง ความเสน่หา ความรน ความร่าน ความกระสับ
อยดู่ ว้ ยดีของส่ิงทั้งหลาย ตามสภาวะท่ีควรจะเป็น กระสา่ ย ความกระวน กระวาย ไมร่ อู้ ่มิ โดยตัณหา
จะมขี องมนั ในภาวะอนั ดงี ามของสง่ิ ทด่ี นี นั้ ๆ ความ แยกออกไดเ้ ป็น 3 ประเภท คอื 1) ความกระหาย
ตอ้ งการใหส้ งิ่ ทงั้ หลายดำ� รงอยใู่ นภาวะทดี่ ที ถ่ี กู ตอ้ ง อยากได้อารมณ์ท่ีน่าชอบใจมาเสพเสวยปรนเปรอ
ท่ีงอกงามเรียบร้อยท่ีสุขสมบูรณ์ของมัน ซึ่งใน ตนหรือความทะยานอยากในกาม เรียกว่า
สภาวะจติ เชน่ น้ี ไมม่ คี วามอยากเสพเสวยสขุ เวทนา “กามตณั หา” 2) ความกระหายอยากในความถาวร
หรอื ความนกึ คดิ ผกู พนั กบั ตวั ตนเขา้ ไปเกย่ี วขอ้ งเลย มน่ั คง มอี ยคู่ งอยตู่ ลอดไปของตน หรอื ความทะยาน
ถือเป็นกระบวนการแห่งกุศลธรรมท่ีบริสุทธิ์ อยากในภพ เรียกว่า “ภวตัณหา” และ 3) ความ
ซึ่งกระบวนธรรมเช่นนี้ไม่เกิดข้ึนเองลอยๆ แต่จะ กระหายอยาก ในความดบั สิ้นขาดสญู แหง่ ตนหรอื
ต้องมีความคิดหรือความรู้ ความเข้าใจ เข้ามา ความทะยานอยากในวิภพ เรยี กวา่ “วิภวตัณหา”
เกย่ี วข้อง กลา่ วคอื ความรักในความดี และส่งิ ท่ีดี สามอยา่ งนี้ เรียกว่า ความอยากในกาม ในภพและ
หรือการก�ำหนดได้ว่าอะไรเป็นส่ิงท่ีดี ต้องอาศัย ในวิภพ ฉะนน้ั ตณั หา คอื ความกระหายอยากใน
ความรู้ คุณค่าของสิ่งหรือภาวะนั้นต่อชีวิตหรือ สิ่งที่ให้เวทนา หรือความกระหายอยากได้อารมณ์
รู้ความจริงเกย่ี วกบั สิง่ นัน้ กอ่ น ในสง่ิ ทชี่ อบใจมาเสพเสวยเวทนาอนั อรอ่ ย พดู สนั้ ๆ
เมื่อบุคคลมีฉันทะเป็นแรงจูงใจ ต้องการ ว่าอยากได้ อยากเอา (Phra Bramgunabhornd
ภาวะท่ีเป็นผลของการกระทำ� โดยตรง อันเป็นเหตุ (P.A. Payutto), 2016 : 985)
ใหเ้ ขามคี วามตอ้ งการทำ� จงึ สง่ ใหผ้ ลในทางตรงขา้ ม เมอ่ื พจิ ารณา ตณั หา ทง้ั 3 นท้ี ำ� ใหเ้ ราเหน็
กบั ตณั หา กลา่ วคอื ทำ� ใหต้ ง้ั ใจทำ� งาน นำ� ไปสคู่ วาม ภาพของความเกย่ี วเนอื่ งถงึ กนั และสามารถอธบิ าย
ประณีต ดีเลิศของงาน เพราะนิสัยใฝ่สัมฤทธ์ิ ได้กับทุกเรื่องท่ีมนุษย์อยากได้ อยากมี อยากเป็น
326 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
อยากครอบครอง หรือเมือ่ เบ่อื หน่าย ก็อยากทจ่ี ะ Tipitaka 16/258/131) ซึง่ ตัณหาจึงเปน็ ตวั ก่อให้
เปลี่ยนส่ิงนั้น ซ่ึงมนุษย์ต้องประสบพบอยู่เสมอๆ เกิดพฤติกรรมต่างๆ อันจะน�ำไปสู่ผลแห่งการ
ไมว่ า่ จะอยากไดอ้ ยากมอี ยากเปน็ อยากทจ่ี ะครอบ กระท�ำแล้วก็ไม่หยุดอยู่แค่น้ัน ตัณหาหรือความ
ครองในสิง่ ของท่ตี นมอี ยู่นั้นหรอื ภาวะท่ตี นเป็นอยู่ อยาก ของมนุษย์จะเป็นวงจรหมุนไปเร่ือย (Phra
ยง้ั ยนื อยกู่ บั ตนไปนานๆ เพราะยดึ ถอื วา่ เปน็ ของตน Bramagunabhorn (P.A. Payutto), 2016 : 985)
เม่ือเกิดความเบื่อหน่ายกับส่ิงน้ันๆ เกิดความทุกข์ ดังนั้น กระบวนการเกิดขึ้นของแรงจูงใจ
ใจอยากให้สิ่งที่ตนมีอยู่พ้นไป อยากทิ้งไปเพ่ือไป คือ ตัณหาเป็นตัวก�ำหนดพฤติกรรมของมนุษย์
ครอบครองส่ิงใหม่อีก วนเวียนอยู่อย่างนี้เร่ือยไป ให้กระท�ำไปตามความอยาก โดยมีจุดเริ่มต้นจาก
เปน็ ธรรมดาของมนษุ ยป์ ถุ ชุ น ซง่ึ ตณั หาเหลา่ นเ้ี ปน็ ส่ิงเร้าภายนอกรวมท้ังจากภายใน อันเกิดจากการ
ตัวกำ� กับการดำ� เนินชีวิตสว่ นใหญ่ของมนษุ ย์ คิดเองก็ได้ การมีแรงจูงใจฝ่ายไม่ดี ย่อมส่งผล
หลกั สำ� คญั เกยี่ วกบั การเกดิ ขนึ้ ของ ตณั หา กระทบตอ่ พฤตกิ รรมของมนษุ ยใ์ นเรอ่ื งอน่ื ๆ ตามมา
คือ ตามหลักปฏิจจสมุปบาท (Thai Tipitaka ไม่ว่าจะเป็นความอยากได้ของคนอื่น ความไม่
5/1/1) ตัณหา เกิดจากเวทนาเป็นปัจจัย โดยมี สมหวงั ลว้ นนำ� ไปสผู่ ลรา้ ยทางจติ ใจทร่ี นุ แรงใหเ้ กดิ
อวชิ ชา หรอื ความไมร่ ู้เปน็ มูลราก ในความหมายนี้ ความคับใจ ผลร้ายทางจิตข้อน้ี เป็นส่ิงที่ส�ำคัญ
การเกิดข้ึนของตัณหาน้ัน เป็นกระบวนการปกติ ท�ำให้ก่อปมปัญหาให้กับตนเองและสังคม เหล่าน้ี
ของมนุษย์ปุถุชนที่ยังมีกิเลส คือ ความกระหาย ลว้ นเปน็ ผลทีเ่ กดิ จากแรงจงู ใจฝา่ ยไมด่ ี เม่อื บุคคล
อยาก ในส่งิ ทใี่ ห้ เวทนา หรือความกระหายอยาก แสดงพฤติกรรมออกไปด้วยแรงจูงใจอย่างน้ี
ในอารมณท์ ชี่ อบใจหรอื ในกามคณุ ทงั้ หลาย เรม่ิ ตน้ ย่อมส่งผลให้เขาได้รับความเดือดร้อน ความทุกข์
จากการท่ีมนุษย์ได้ประสบกับส่ิงเร้าภายนอก ทรมานไม่ได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง แม้การ
ซ่งึ เรียกว่า อายตนะภายนอก ไดแ้ ก่ รูป เสยี ง กล่ิน กระทำ� บางอยา่ งอาจไมม่ คี นเหน็ แตผ่ ้กู ระทำ� ยอ่ ม
รส โผฏฐัพพะ กระทบตวั เรา นอกจากนี้ยงั รวมท้งั รู้ตัวเอง ความเดือดร้อนใจของตนย่อมมี ฉะน้ัน
เรื่องท่ีเราคิดข้ึนเอง หรือธรรมารมณ์ และเม่ือ ตัณหาเป็นความหมายท่ีไม่ดีไม่ควรท�ำให้เกิดขึ้น
อายตนะภายใน ภายนอก กระทบกนั สงิ่ ทที่ ำ� หนา้ ที่ ควรหาวธิ ลี ดละ และควบคุมไมใ่ ห้เกดิ ข้นึ อีก
รบั รู้คอื วิญญาณ ทัง้ 3 อยา่ งนี้ รวมเรยี กวา่ ผัสสะ จะเหน็ ไดว้ ่า แรงจูงใจในพระพทุ ธศาสนา
จาก ผัสสะ นี้ท�ำให้เกิด เวทนา คือ ความรู้สึกรู้ โดยธรรมชาติของมนุษย์ย่อมมีแรงจูงใจท้ัง ฝ่ายดี
อารมณข์ ึ้น ซึ่งมี 3 อย่าง คอื สุขเวทนา ความรสู้ กึ และฝ่ายไม่ดี ซึ่งการกระท�ำท่ีดีงามกิจกรรมทุก
สุขกาย สขุ ใจ ทุกขเวทนา ความรสู้ ึกไมส่ บายกาย อย่างที่เป็นไป เพ่ือแก้ปัญหาของมนุษย์ตลอดจน
ไม่สบายใจ อทุกขมสุขเวทนา ความรู้สึกเฉยๆ การบรรลุจุดมุ่งหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา
ไม่สุข ไม่ทุกข์ จากเวทนานี้ก่อให้เกิด ตัณหา จะต้องอาศัยแรงจูงใจ ฝ่ายดี ท่ีเรียกว่า ฉันทะ
คอื ความทะยานอยาก ความปรารถนาขึน้ (Thai เช่นเดียวกับการกระท�ำความที่ไม่ดี หรือกิจกรรม
ปีที่ 19 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 327
ที่ก่อปัญหาและสร้างความทุกข์ ทุกอย่างย่อมถูก หมายถึง ธรรมชาติที่รู้อารมณ์ สภาพที่นึกคิด
กระตุ้นด้วยแรงจูงใจ ฝา่ ยไม่ดี ทเี่ รยี กวา่ ตณั หาท่ีมี ความคิด ใจ กับ คำ� วา่ "อาสา" หมายถงึ ความหวัง
ความไม่รู้เป็นตัวตั้งต้น ซ่ึงกระบวนการเหล่าน้ี ความตอ้ งการ การรบั ทำ� โดยเตม็ ใจ สมคั ร แสดงตวั
ถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องสร้างข้ึนมิใช่เกิดขึ้นมาเอง ขอรบั ทำ� การนั้น (Phra Bramagunabhorn (P.A.
สิ่งท่ีส�ำคญั คือ มนุษยต์ อ้ งฝึกฝนสรา้ งแรงจูงใจท่ีดี Payutto), 2016 : 558) จิตอาสา จะมีลักษณะ
อยเู่ สมอ เพราะมิเชน่ นัน้ จะถกู ควบคุมด้วยอำ� นาจ เดียวกันกับจิตส�ำนึก (ความรู้สึกดี หรืออยาก
ของความอยาก ซ่ึงเป็นแรงจูงใจฝ่ายไม่ดีได้ง่าย ตอบแทนสงิ่ ทเ่ี ป็นประโยชน์ต่อตนเอง สังคม โลก
ฉะนน้ั สงิ่ ส�ำคญั จึงอยูท่ ่ีการสร้างแรงจงู ใจฝ่ายดีให้ มวลมนุษย์) หรือภาวะที่จิตตื่น และรู้ตัวสามารถ
เกิดขึ้นบ่อยๆ ไม่ให้แรงจูงใจฝ่ายไม่ดีเกิดข้ึน ตอบสนองตอ่ สง่ิ เร้า จากประสาทสมั ผสั ทัง้ 5 คอื
ซงึ่ ในทางพระพทุ ธศาสนายอมรบั วา่ มนษุ ยส์ ามารถ รูป เสียง กล่ิน รส และสิ่งท่ีสัมผัสได้ด้วยกาย
ทจ่ี ะพฒั นาได้ แมม้ นษุ ยจ์ ะแสดงพฤตกิ รรมออกมา จิตสาธารณะ จิตส�ำนึกสาธารณะ จิตบริการ
ตามความต้องการ หรือตามแรงจูงใจฝ่ายไม่ดี จิตอาสา จิตส�ำนึกทางสังคม ค�ำศัพท์เหล่านี้
แต่มนุษย์ก็สามารถที่จะปรับเปล่ียนพฤติกรรม มลี กั ษณะมคี วามหมายคลา้ ยคลงึ กนั หรอื ปฏบิ ตั ใิ น
โดยเปลี่ยนแรงจงู ใจฝ่ายไมด่ ี ใหเ้ กดิ แรงจงู ใจฝ่ายดี แง่เดียวกัน (Phra Paisal Wisarlo, 2006 : 7)
ไดซ้ ง่ึ เปน็ จดุ เรม่ิ ตน้ ของพฤตกิ รรม เมอ่ื คดิ ดยี อ่ มนำ� ฉะน้ัน จิตอาสา หมายถึง การท�ำงานด้วยความ
ไปสู่การกระท�ำที่ดี และด้วยการฝึกฝนอย่างน้ี สมัครใจ ไม่มุ่งผลประโยชน์ตอบแทนเป็นการ
จงึ ทำ� ใหส้ งั คมมนษุ ย์พัฒนาขึ้นเรอ่ื ยๆ กระท�ำท่ีเกิดจากใจ งานท่ีทำ� นน้ั เปน็ งาน เพอ่ื ส่วน
ดงั นนั้ ตณั หา จงึ เปน็ สงิ่ ทพี่ งึ ละ และฉนั ทะ รวมหรอื เป็นประโยชนต์ ่อผู้อ่ืน
มงุ่ ประประโยชนท์ ต่ี อ้ งการทำ� ใหด้ งี ามสมบรู ณเ์ ตม็ 2. ความสำ� คญั ของจติ อาสา การทำ� ความ
สภาวะ ฉันทะ จงึ เป็นสงิ่ ทพ่ี ึง่ กระท�ำนั้นเอง การที่ ดีด้วยจิตอาสา เพื่อช่วยเหลือผู้อ่ืนและสังคมน้ี
จะสร้างแรงจูงใจให้เกิดขึ้นน้ันจึงต้องเข้าใจเรื่อง สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าอย่างมากมายที่เกิดขึ้น
ตัณหา และฉันทะให้ถูกต้อง ซ่ึงจะท�ำให้เกิด เม่ือคนในสังคมได้เรียนรู้ฝึกฝน เพ่ือที่จะลดละ
ประโยชน์ตนและส่วนรวมได้อย่างแท้จริงแก่ชีวิต ความเห็นแก่ตวั ลง จติ อาสา จึงมีความสำ� คัญและ
เม่ือเข้าใจความหมาย และกระบวนการของแรง จ�ำเป็นต่อการอยู่ร่วมกันในสังคม จิตอาสา
จูงใจในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ผู้เขียนจะได้ จงึ เปน็ การพฒั นาตนเองใหม้ คี วามเกง่ กลา้ สามารถ
อธิบายถงึ ความหมายความสำ� คัญของจิตอาสา ในการงานน้ัน นอกจากจะเกิดผลภายนอก คือ
การทเ่ี รามคี วามชำ� นชิ ำ� นาญมากขน้ึ ทำ� อะไรไดด ขี น้ึ
4. ความหมาย ความสำ� คญั ของจิตอาสา เขาจะมผี ลตอบแทนให้ หรอื จะไมม กี แ็ ลว้ แต่ แตเ่ รา
รูสึกในตัวเองของเรา เราท�ำไปแล้วเราก็สบายใจ
1. ความหมายของจิตอาสา ค�ำว่า อิ่มใจ (Phra Dhammapidok (P.A. Payutto),
จิตอาสา มาจากศัพท์ 2 ศัพท์ คือ ค�ำว่า “จิต”
328 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
2004 : 2) ฉะนน้ั ความสำ� คญั ของจติ อาสาเปน็ การ หรอื เดอื ดรอ้ นหรอื เปน็ การทำ� งาน ทเ่ี ปน็ ประโยชน์
พัฒนาตนเองให้มีความรู้ความสามารถในกิจการ แก่ผู้อื่นและสังคม ซ่ึงเป็นจิตท่ีปรารถนาจะช่วย
งานน้ัน จิตอาสา จึงเป็นความส�ำนึกที่มีต่อสังคม เหลือผู้อื่นให้พ้นจากความทุกข์ในรูปแบบต่างๆ
สว่ นรวมเกิดแรงกระต้นุ คอื ศรัทธาในการทำ� งาน โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน จะพบว่ามีความหมาย
มีความมั่นใจเห็นคุณค่าเห็นประโยชนของงานนั้น ใกล้เคียงกับลักษณะของแรงจูงใจที่เป็นฉันทะ
โดยการแสดงออกทางพฤติกรรมท่ีมีผลต่อตนเอง ซงึ่ เปน็ ภาวะจติ ทยี่ นิ ดี พอใจ ตอ้ งการใหเ้ กดิ มคี วาม
และสังคม กล่าวคอื ทำ� ใหส้ ังคมรจู้ กั แบ่งปัน มกี าร ด�ำรงอยู่ด้วยดีของสิ่งทั้งหลาย ตามสภาวะที่ควร
ช่วยเหลือเกื้อกูลซ่ึงกันและกัน ท�ำให้สังคมน่าอยู่ จะเป็นของส่ิงนั้น และเป็นแรงจูงใจหรือความ
และเป็นสังคมคุณภาพท่ีทุกคนสามารถอยู่ร่วมกัน ปรารถนาที่มุ่งประโยชน์ที่เป็นภาวะท่ีดีงามของ
ได้ พงึ่ พาอาศยั ซง่ึ กนั และกนั ผทู้ จ่ี ะทำ� งานจติ อาสา การกระท�ำนัน้ ๆ หรือส่ิงน้ันๆ โดยไมม่ ีจุดมุง่ หมาย
ย่อมมีแรงจูงใจในการท�ำงานด้วย ดังจะได้กล่าว เพื่อตนหรือเพ่ือสนองความสุขของตน (Phra
ในลำ� ดับต่อไป Dhammapidok (P.A. Payutto), 1998 : 510)
เมื่อพิจารณาความเกี่ยวเนื่องของฉันทะ
5. แรงจูงใจในพระพุทธศาสนากับการ กับการท�ำงานจิตอาสาท่ีเห็นชัดเจน อธิบายได้ว่า
ท�ำงานจติ อาสา กระบวนการของแรงจูงใจที่เป็นฉันทะ ก็คือการ
รู้จักคิดหรือการคดิ ถูกวธิ ี ซ่งึ ก็คอื การคดิ พิจารณา
การท่ีบุคคลจะตั้งใจท�ำงานหรือกระท�ำ ท�ำความเข้าใจโดยตลอดมองเห็นส่ิงท่ีดี และมี
สงิ่ ใดหรอื ไม่ ตอ้ งขน้ึ อยกู่ บั แรงจงู ใจของบคุ คลผนู้ น้ั คุณค่าของสิ่งหรือภาวะน้ันๆ จิตก็จะน้อมไปหา
เป็นส�ำคัญ ผู้ท่ีแสดงพฤติกรรมจิตอาสาก็เช่นกัน คอื มีความยนิ ดี พอใจ มีความมงุ่ มั่น ต้องการให้
ย่อมต้องมีแรงจูงใจในการท�ำงานด้วย การศึกษา เกิดส่ิงหรือภาวะท่ีดีงามตามความเป็นจริงนั้นและ
เรื่องแรงจูงใจ จึงเป็นส่ิงจ�ำเป็นที่จะช่วยให้เข้าใจ ถ้าส่ิงนั้นยังไม่บรรลุเป้าหมาย และคุณค่าอัน
ถึงพฤติกรรม และวิธีการเพ่ือเปลี่ยนพฤติกรรม สมบูรณ์ก็ย่อมเกิดมีฉันทะท่ีจะกระท�ำให้ส�ำเร็จ
ไปในทิศทางที่ต้องการ แรงจูงใจจึงมีความส�ำคัญ ตามนนั้ อยา่ งไรกต็ ามสำ� หรบั ปถุ ชุ นทว่ั ไปอาจมบี า้ ง
ในฐานะที่เป็นตัวก�ำหนดพฤติกรรม จากการที่ได้ บางเวลาที่จิตใจของปุถุชนน้ันว่างโล่ง โปร่งเบา
ศกึ ษาแรงจูงใจในพระพุทธศาสนา ท้ัง 2 ประการ และคดิ ถูกทาง หรอื ถกู วธิ ี ตามสภาวะและเหตุผล
คอื แรงจงู ใจทเี่ ปน็ ฉนั ทะ และแรงจงู ใจทเี่ ปน็ ตณั หา ตดั โอกาสของอวิชชา ตัณหา แลว้ ปญั ญา ปริสุทธิ
ท�ำให้ได้ทราบว่าการมีฉันทะหรือมีตัณหาเป็นแรง กจ็ ะเขา้ มา และเปน็ ปจั จยั กอ่ ใหเ้ กดิ ความกรณุ าขน้ึ
จูงใจในการกระท�ำ ก่อให้เกิดผลในทางจริยธรรม แต่ส�ำหรับพระอรหันต์ทั้งหลายมีพระพุทธเจ้า
หรือผลในทางปฏิบัติแตกต่างกันออกไปได้มาก เปน็ ตน้ เมอื่ สน้ิ อวชิ ชา ตณั หาหรอื กเิ ลสทงั้ ปวงแลว้
และเมื่อน�ำมาวิเคราะห์กับการท�ำงานจิตอาสา พลงั กำ� กบั และนำ� การกระทำ� ของทา่ นก็ คอื ปญั ญา
ซง่ึ เปน็ งานทสี่ มคั รใจชว่ ยเหลอื ผปู้ ระสบความทกุ ข์
ปที ี่ 19 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 329
และกรณุ า กอ่ ใหเ้ กดิ งานอนั ยง่ิ ใหญท่ ่ี เรยี กวา่ พทุ ธกจิ เป็นฉันทะท่ีมุ่งหวังประโยชน์ ความอยู่ดีมีสุขเพ่ือ
(Thai Tipitaka 30/667/332) น้ันเอง ซ่งึ ภาวะจิต ผู้อื่นและสังคมด้วยจิตท่ีมีความเมตตา กรุณา
ท่ีมีความเมตตาและกรุณานี้ เป็นพ้ืนฐานส�ำคัญ และบรสิ ทุ ธใิ์ จ อยา่ งปราศจากความเหน็ แกต่ วั หรอื
ของความหมายของ จติ อาสา การมจี ติ ที่ประกอบ ปราศจากแรงจูงใจท่ีเกิดจากตัณหาที่ปรารถนา
ไปด้วยความเมตตา กรุณา และปรารถนาจะ เสพความสุข และอารมณ์ท่ีชอบใจ เพื่อตนเป็น
ช่วยเหลือผู้อ่ืนด้วยความบริสุทธ์ิใจและเสียสละ สำ� คญั โดยใชห้ ลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนามาเปน็
โดยไมห่ วังผลตอบแทนแกต่ น ฉะนนั้ ภาวะจติ ทีม่ ี เครอื่ งมอื ในการขดั เกลาใหต้ นเองและผอู้ นื่ อยใู่ นศลี
ความเมตตา และ กรณุ า น้ี มีผู้กล่าวไว้วา่ เมตตา ในธรรม (Sasong, Chanraeng and Punthiya,
ยังต้องอาศยั ฉนั ทะ (กัตตุกัมมยตาฉนั ทะ) (Phra 2018 : 1-12) แต่ถ้าการท�ำงานจิตอาสาเป็นการ
Dhammapidok (P.A. Payutto), 1998 : 509) กระทำ� ทห่ี วงั ผลตอบแทนแกต่ นเอง อนั เกดิ มาจาก
เป็นจดุ เรม่ิ ตน้ เป็นท่ีตง้ั ตน้ หรือเปน็ ตัวเร่มิ อกี ด้วย การคาดหวังแบบยึดม่ันถือมั่นด้วยตัณหาแล้ว
หรอื กลา่ วไดว้ า่ เมตตา ซงึ่ เปน็ ลกั ษณะของจติ ทเี่ ปน็ ย่อมส่งผลให้บุคคลผู้นั้นมีความทุกข์ได้เช่นกัน
ความอยากในฝ่ายกุศลท่ีต้องการน�ำประโยชน์สุข อันเนื่องมาจากความผิดหวังได้เช่นกัน ฉะนั้น
เข้าไปให้ผู้อื่น ส่วนฉันทะเป็นความอยากในฝ่าย ผู้ที่ท�ำงานจิตอาสาด้วยแรงจูงใจอันเป็นตัณหา
กศุ ลทเ่ี กย่ี วข้องกับทุกสงิ่ ทกุ อยา่ งนั้น คอื การมีจติ จึงย่อมไม่ได้รับความสุข หรือความพึงพอใจ
ทย่ี นิ ดพี อใจ หรอื ตอ้ งการใหส้ ง่ิ ทงั้ หลายดำ� รงอยใู่ น จากการทำ� งานจติ อาสานนั้ หรอื แมใ้ นผลสำ� เรจ็ ของ
ภาวะที่ดีท่ีถูกต้องท่ีสุขสมบูรณ์ แต่ถ้าภาวะหรือ การทำ� งานจติ อาสาอยา่ งแทจ้ รงิ แตก่ ลบั ตอ้ งเผชญิ
สิ่งน้ันๆ ยังไม่เป็นเช่นน้ันก็ต้องการท�ำให้มีให้เป็น กับจิตใจท่ีร้อนรน กระวนกระวาย ฟุ้งซ่าน วิตก
อยา่ งนัน้ ดว้ ย กังวล หรือเกิดความรู้สึกอันเป็นอกุศลธรรมอื่นๆ
จะเหน็ ไดว้ า่ มคี วามสอดคลอ้ งกบั ลกั ษณะ เชน่ ความหวาดกลวั ความอจิ ฉารษิ ยา ความระแวง
ของการท�ำงานจิตอาสาที่เป็นการท�ำงานเพ่ือ เปน็ ตน้ อนั เนอ่ื งมาจากความไมเ่ ปน็ อยา่ งทใ่ี จยดึ ถอื
ประโยชนส์ ขุ ของผอู้ นื่ และสงั คม โดยไมไ่ ดห้ วงั สง่ิ ใด หรอื คาดหวงั หรอื การไมส่ มหวงั ดงั ทตี่ นเองตอ้ งการ
ตอบแทนเพื่อตนเอง แต่เป็นการมุ่งหมายเพื่อให้ หรือปรารถนาอันจะน�ำมา ซึ่งผลร้ายทางจิตใจ
งานนั้น เกิดประโยชน์ต่อผู้ที่ได้รับผลของงานน้ัน ท่ีรุนแรงก่อให้เกิดความทุกข์ ทรมานใจ และอาจ
อย่างแท้จริง โดยไม่มีความยึดติด คาดหวัง ขยายไปเปน็ ปัญหาตอ่ ชวี ิตและสงั คมได้
เพ่ือตนเอง หรอื ไม่มคี วามเหน็ แกต่ ัว อันจะนำ� ไปสู่ จากความท่ีกล่าวข้างต้น อธิบายได้ว่า
การเกิดข้ึนของความทุกข์ในจิตใจจากความยึดม่ัน แม้ว่าผู้ที่ท�ำงานจิตอาสาบางคนมีความตั้งใจที่ดี
ถือม่ันนัน้ ดังทไี่ ด้อธิบายไวแ้ ลว้ ก่อนหนา้ นี้ ด้วยแรงจงู ใจทเ่ี ป็นฉนั ทะนั้น คือ มงุ่ หวังประโยชน์
เม่ือพิจารณาแล้วการท�ำงานจิตอาสาที่ สุขผู้อื่นอย่างแท้จริง แต่ถ้าในระหว่างน้ันมีตัณหา
ถกู ตอ้ งหรอื ทค่ี วรจะเปน็ จะตอ้ งเกดิ จากแรงจงู ใจท่ี เข้ามาแทรกซ้อนหรือครอบง�ำในจิตใจ ก็อาจจะ
330 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
ทำ� ใหบ้ คุ คลผนู้ น้ั เกดิ ความขนุ่ มวั หมน่ หมอง นอ้ ยใจ สู่การคาดหวัง และยึดมั่นถือมั่นในผลของการ
ขัดเคือง ฟุ้งซ่าน หุนหันและเกิดความทุกข์ขึ้น กระท�ำ เพือ่ สนองความตอ้ งการของตนเอง ซง่ึ เมือ่
มาได้ เช่น ถ้าบุคคลน้ันพยายามช่วยเหลือใครสัก ผลทปี่ รากฏออกมาไมเ่ ปน็ ไปดงั ใจทค่ี าดหวงั กย็ อ่ ม
คนอย่างเต็มท่ี แต่คนที่ได้รับการช่วยเหลือไม่ได้มี เกิดความผิดหวัง และกอ่ เกดิ เปน็ ความทุกข์ข้นึ มา
ชวี ติ ทดี่ ขี นึ้ อยา่ งทค่ี าดหวงั หรอื คนทไ่ี ดร้ บั การชว่ ย ไดน้ น้ั เอง ถา้ อธบิ ายในแงม่ มุ นี้ การทำ� งานจติ อาสา
เหลือไม่ได้กระตือรือร้นท่ีจะน�ำความช่วยเหลือนั้น หรือการท�ำความดี โดยไม่มีความทุกข์ก็ท�ำได้
ไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ก็อาจเป็นเหตุให้บุคคลที่ โดยการพจิ ารณาใหเ้ หน็ ถงึ คณุ คา่ ทแ่ี ทจ้ รงิ ของการ
ใหก้ ารชว่ ยเหลอื หรอื คนทมี่ เี จตนาทด่ี นี นั้ เกดิ ความ ท�ำงานจิตอาสาอย่างเป็นอิสระ จากความรู้สึกที่
ทุกขไ์ ด้ หรอื ในกรณที ี่คนที่ทำ� งานจิตอาสาบางคน ถูกใจและไม่ถูกใจ จนตระหนักรู้ว่าส่ิงที่จะท�ำน้ัน
ท�ำงานด้วยแรงจูงใจท่ีเป็นฉันทะ ในตอนเริ่มต้น เปน็ สงิ่ ทด่ี มี คี ณุ คา่ เปน็ คณุ ประโยชนแ์ ทจ้ รงิ จากนน้ั
มีความรักในความดีงามแห่งชีวิต อยากที่จะสร้าง ก็จะเกิดความมุ่งม่ันที่จะท�ำให้ส่ิงท่ีดีงามน้ันเกิด
ความดีงาม หรือช่วยเหลือให้เกิดความดีงามและ เป็นจริงข้นึ มา
สุขสมบูรณ์แก่ผู้อ่ืน แต่ในระหว่างของการกระท�ำ นอกจากนี้ การทำ� งานจิตอาสาท่เี กิดจาก
นนั้ จติ ใจขาดสติ จนเกดิ เปน็ ความรกั และยดึ มนั่ ถอื แรงจูงใจที่เป็นฉันทะ จะไม่ก่อให้เกิดความทุกข์
มน่ั ในความดขี องตน จนเปน็ เหตใุ หบ้ คุ คลผนู้ นั้ เกดิ เพราะผู้ท่ีท�ำงานด้วยฉันทะ ได้เร่ิมต้นการกระท�ำ
ความวติ กกงั วลเกย่ี วกบั การรกั ษาความดงี าม และ มาจากความคิด หรือความเข้าใจแบบมีเหตุผล
ความบริสุทธิ์แห่งชีวิตของตน หว่ันกลัวต่อเหตุมัว และตระหนักว่าการกระท�ำจะส�ำเร็จผลหรือไม่
หมองทง้ั หลาย หรอื กลวั ถกู คนเขา้ ใจผดิ จนเกดิ เปน็ ย่อมเป็นไปตามเหตุผล หรือเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง
ความทุกข์ใจข้ึนได้ หรือบางคนมีความต้ังใจ และ ทั้งที่ควบคุมได้และควบคมุ ไมไ่ ด้ ฉะนัน้ จงึ ไม่ควร
ตอ้ งการอยา่ งแรงกลา้ ทจ่ี ะสรา้ งสรรคส์ งั คมใหด้ งี าม ยึดม่ันถือมั่นและยอมรับในผลที่ตรงกับเหตุและ
แตท่ ำ� ไมไ่ ดอ้ ยา่ งทใ่ี จปรารถนา หรอื เกดิ อปุ สรรคขน้ึ ไมเ่ กดิ ความทกุ ข์ จากผลของการทำ� งานนนั้ นน่ั เอง
ก็อาจน�ำไปสู่การขัดเคืองใจด้วยความยึดมันใน
ความเห็นของตนว่าถูกต้อง และอาจใช้วิธีรุนแรง 6. สรปุ
เพอ่ื เปลย่ี นแปลงสงั คมหรอื บงั คบั หรอื ปราบปราม
ผู้ที่คิดว่าเป็นอุปสรรคขัดขวางนั้นด้วยโทสะ แรงจูงใจ เป็นสภาวะท่ีเป็นพลังผลักดัน
โดยไม่มีความรัก หรือความปรารถนาที่ดีงามแก่ ให้บุคคลแสดงพฤติกรรมออกมา เพ่ือให้บรรลุ
ชวี ติ ของคนเหลา่ นัน้ อยา่ งแทจ้ รงิ เป้าหมายตามท่ีแรงจูงใจนั้นต้องการ แรงจูงใจ
ดงั นน้ั ผทู้ ท่ี ำ� งานจติ อาสาแมว้ า่ จะมคี วาม ในพระพุทธศาสนาจึงเป็นลักษณะท่ีส่งผลให้เกิด
ปรารถนาดีท่ีเป็นฉันทะในตอนเริ่มต้น แต่หาก การแสดงออกของมนุษย์ ในการท�ำกรรมต่างๆ
ปล่อยให้เกิดตัณหาเข้ามาครอบง�ำจิตใจย่อมน�ำไป ซง่ึ เกดิ จากความอยาก หรอื ความตอ้ งการ แบง่ ออก
เป็นสองอยา่ ง ได้แก่ ประการแรก แรงจงู ใจฝ่ายดี
ปีที่ 19 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 331
หมายถึง ความอยาก ความต้องการท่ีต้องการรู้ ท�ำงานจิตอาสา หมายถึง การท�ำงานด้วยความ
ความจรงิ ตอ้ งการท�ำใหส้ ่งิ ท่ดี ีงาม อยากท�ำใหส้ ง่ิ สมัครใจ ไม่มุ่งผลประโยชน์ตอบแทน เป็นการ
ที่เป็นคุณประโยชน์ส�ำเร็จผลเป็นจริงข้ึน เป็นส่ิงท่ี กระทำ� ทเี่ กดิ จากใจ งานทท่ี ำ� นน้ั เปน็ งานเพอื่ สว่ นรวม
ควรสง่ เสรมิ แรงจงู ใจด้านน้ใี หเ้ กดิ ให้มีขนึ้ ดว้ ยการ หรือเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น เป็นการกระท�ำท่ีเกิด
พิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน หรือรู้จักคิดอย่าง จากใจของตนอย่างมีความสุข และความส�ำเร็จ
ถูกวิธีหรือคิดเป็น จะท�ำให้เกิดแรงจูงใจได้อย่าง คือ เป้าหมายท่ีตนเองต้องการ โดยให้กิจท่ีท�ำ
ถกู ตอ้ ง ประการที่สอง แรงจงู ใจฝา่ ยไม่ดี หมายถงึ เพ่ือผู้อ่ืนรวมไปถึงความยากล�ำบากและอุปสรรค
ความอยากหรือความต้องการ ท่ีท�ำแล้วก่อให้เกิด ต่างๆ ท่ีต้องพบเจอก็ถือเป็นการเรียนรู้และเป็น
ปัญหาไม่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและส่วนรวม โอกาสในการฝกึ ฝนพฒั นาตนเอง เพื่อลดละความ
เป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรท�ำให้เกิดขึ้น หรือเมื่อเกิด เห็นแก่ตัว ฉะนน้ั แรงจูงใจในทางพระพุทธศาสนา
ขนึ้ แลว้ ควรหาวธิ ลี ดละ และควบคมุ ไมใ่ หเ้ กดิ ขนึ้ อกี กับการท�ำงานจิตอาสาท่ีถูกต้อง จะต้องเกิดจาก
และในทางพระพุทธศาสนายอมรับว่ามนุษย์ แรงจูงใจที่มุ่งหวังประโยชน์ และความอยู่ดีมีสุข
สามารถท่ีจะพัฒนาตนเองได้ โดยปรับเปล่ียน เพ่ือผู้อ่ืนและสังคม ด้วยจิตที่มีความบริสุทธ์ิใจ
พฤติกรรม ด้วยการสร้างแรงจูงใจฝ่ายดี เม่ือคิดดี อย่างไม่มีความเห็นแก่ตัว หรือปราศจากแรงจูงใจ
ย่อมน�ำไปสู่การกระท�ำท่ีดี และด้วยการฝึกฝน ท่ีปรารถนาเสพความสุขและอารมณ์ท่ีชอบใจ
อย่างน้ี จึงท�ำให้สังคมมนุษย์พัฒนาข้ึน ส่วนการ เพ่อื ตนเปน็ สำ� คญั นน้ั เอง
References
Loudon, D.L., & Bitta, D.A.J. (1988). Consummer Behavior: Concept and Applications. (3rd
ed). New York : McGraw-Hill.
MaClelland, D.C. (1953). The Achievement Motive. New York : Appletion Century Crotts. Inc.
Mahachulalongkornrajavidyalaya. (1996). Thai TipitakaThai Version. Bangkok : Mahachula
longkornrajavidyalaya Press.
Phra Bramagunabhorn (P.A. Payutto). (2016). Buddhism - Dharma Extended Edition. No.
45. Bangkok : Phlidhamma Publisher.
_______. (2016). Dictionary of Buddhism. No. 28. Bangkok : Phlidhamma Publisher.
_______. (2016). Dictionary of Buddhism. No. 16. Bangkok : Phlidhamma Publisher.
Phra Dhammapidok (P.A. Payutto). (1998). Buddhism Dhamma Revised and Expanded.
Bangkok : Mahachulalongkornrajavidyalaya University Press.
_______. (2004). Work for the Happiness and the Essence of Life. Bangkok : Pimsuay.
332 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
_______. (2010). Buddhist Dictionary Glossary of Terms. No. 14. Bangkok : Tharathach
Printing.
Phra Paisal Wisarlo. (2006). The Volunteer Project Volunteer for the King. Bangkok :
Sahadhammika.
Pongsopa, P. (2001). Educational Psychology. Bangkok : Pathnakansueksa.
Sasong, S. Chanraeng, T. and Punthiya, P. (2018). The Buddhist Socialization of Tai-Yai
(Shan) in Mae Hong Son Province. Dhammathas Academic Journal, 18(3), 1-12.
Suthirat, C. (1991). Teach Children to have Public mind. Bangkok : Vee Print.
Walter, K. (1978). The Working Class in Welfare Capitalism. London : Routledge & Kegan
Paul. Wittenauer.
Waranusanuttigun, S. (2003). Social Psychology : Theory and Application. Bangkok : Medcai
Printing Company.
พุทธปรชั ญาในการดำ� เนินธรุ กจิ แบบยง่ั ยืน*
Buddhist Philosophy in Sustainable Business Practices
ธัญญพทั ธ์ สวนดง และจรัส ลกี า
Thanyaphat Suandong and Jaras Leeka
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วิทยาเขตขอนแก่น
Mahachulalongkornrajavidyalaya University, KhonKaen Campus, Thailand
Corresponding Author, E-mail: [email protected]
บทคดั ย่อ
บทความนี้ มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื การนำ� พทุ ธปรชั ญามาประยกุ ตใ์ ชใ้ นการดำ� เนนิ ธรุ กจิ ไดอ้ ยา่ งยงั่ ยนื
โดยทพี่ ทุ ธปรชั ญาไดม้ แี นวคดิ ทนี่ ำ� ไปสกู่ ารปฏบิ ตั ิ เพอื่ การแกป้ ญั หาในการดำ� เนนิ ธรุ กจิ ทม่ี งุ่ แสวงหากำ� ไร
โดยไมค่ ำ� นงึ ถงึ ความถกู ผดิ ทางศลี ธรรมเปน็ ไปเพอื่ การเบยี ดเบยี นบคุ คลอน่ื พทุ ธปรชั ญาไดน้ ำ� เสนอแนวคดิ
เพื่อการด�ำเนินธุรกิจท่ีสุจริต ถูกต้อง ชอบธรรม โดยยึดตามหลักสัมมาอาชีวะที่เป็นการแสวงหาทรัพย์
บนทางสายกลางเน้นความพอดี ท่ีไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อ่ืนท่ีให้ความส�ำคัญในด้านคุณค่ามากกว่า
มลู คา่ เน้นคณุ ประโยชนม์ ากกวา่ ความคมุ้ ทุน และมจี ุดมุ่งหมายเพ่อื ประโยชน์สขุ ท้งั แก่ตน และสังคม
คำ� สำ� คัญ: พทุ ธปรชั ญา; ธุรกิจ; ความยงั่ ยนื
Abstract
This aim of this paper was to apply Buddhist philosophy in the sustainable
business operation because the current business operation is aimed at seeking profit
without moral consideration of rightness and wrongness and is for the purpose of
encroaching on other people. Therefore, to achieve business operations rightly according
to the ethical principles and sustainability in business operations, it is necessary to adopt
the principles of right livelihood (sammā ājīva) to be a guideline for conducting the
business for the benefits of oneself and society.
Keywords: Buddhist Philosophy; Business; Sustainability
* ได้รบั บทความ: 17 สงิ หาคม 2560; แก้ไขบทความ: 8 กุมภาพันธ์ 2562; ตอบรับตพี ิมพ:์ 19 มีนาคม 2562
Received: August 17, 2017; Revised: February 8, 2019; Accepted: March 19, 2019
334 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
1. บทน�ำ มาเป็นระบบธุรกิจ โดยการซ้ือขายสินค้ามีการใช้
เงินตราเป็นส่ือกลางอ�ำนวยความสะดวกในการ
สังคมไทยในสมัยโบราณ มีโครงสร้าง แลกเปล่ียน มีการสะสมทุนอย่างกว้างขวางและ
เศรษฐกิจเป็นแบบชุมชนบุพกาลมี “บ้าน” หรือ นำ� ทนุ นน้ั ไปใชห้ ากำ� ไรดว้ ยวธิ ตี า่ งๆ มกี ารใชเ้ งนิ ตรา
ชุมชนหมู่บ้านเป็นรากฐาน มีหลักฐานว่า สภาพ เปน็ สอ่ื กลางและการใหส้ นิ เชอื่ จากสนิ คา้ แมว้ า่ เงนิ
สังคมไทยนอกประเทศไทยบางแห่ง หมู่บ้าน ที่กู้จะถูกห้ามไม่ให้มีการเรียกดอกเบี้ย แต่จะใช้
ร่วมกันครอบครองท่ีนา มีการแบ่งปันที่นาในหมู่ บวกเพิ่มในราคาสิ้นค้า รวมท้ังและการหาก�ำไร
สมาชิก โดยปรับเป็นระยะเพื่อความเท่าเทยี มของ ก็เร่ิมแพร่หลาย เนื่องจากทัศนคติโดยทั่วไป
สมาชิกชุมชนหมู่บ้าน เพราะสมาชิกจะมีการย้าย เรม่ิ เปลยี่ นแปลง เกดิ จากการคา้ และธรุ กจิ ขยายตวั
ออกหรอื เขา้ ตายหรอื เกดิ ใหมเ่ ปน็ ระยะ การผลติ ทำ� ใหเ้ กดิ ชนชน้ั พอ่ คา้ และนกั ลงทนุ ผแู้ สวงหากำ� ไร
เป็นแบบพอยังชีพ ท�ำเองใช้เอง มีความเชื่อ เป็นปกติในการท�ำธุรกิจ นายทุนสามารถวางแผน
ในธรรมชาติ และบรรพบุรุษท่ีแสดงออกด้วยการ การผลิตขนาดใหญ่ ความสัมพันธร์ ะหวา่ งนายจา้ ง
นับถือผี และมีการปกครองตนเอง ซึ่งยังปรากฏ กบั ลกู จา้ งขาดความเหน็ อกเหน็ ใจกนั เพราะนายทนุ
ร่องรอยการปกครองตนเองเหลืออยู่ในระบบสภา ตอ้ งการผลก�ำไร
ผู้เฒ่าของหมู่บ้านในภาคอีสานบางแห่ง ต่อมา ปญั หาในการดำ� เนนิ ธุรกิจ คือ การนำ� เอา
ชมุ ชนบพุ กาลไทยไดว้ วิ ฒั นาการเขา้ สรู่ ะบบศกั ดนิ า ทรพั ยากรธรรมชาตมิ าแปลงสภาพ โดยมนษุ ยแ์ ละ
เกดิ รัฐ มีเจ้าฟา้ หรือกษัตรยิ ์ด�ำรงฐานะเปน็ ตวั แทน เครื่องจักรให้เป็นสินค้าและบริการ กระบวนการ
ชุมชนใหญ่ “เมือง” ซึ่งเป็นที่อยู่และฐานอ�ำนาจ และกจิ กรรมดงั กลา่ วน้ี เกดิ ขน้ึ เพอ่ื ตอบสนองความ
ของเจา้ ฟา้ เกดิ ขน้ึ ชมุ ชนไทยไดส้ รา้ ง “เมอื ง” หรอื ต้องการของบุคคลในสังคม กิจกรรมใดก็ตาม
รัฐไทยโบราณข้ึนหลายแห่งในภูมิภาคนี้ กระจาย ท่ีท�ำให้เกิดมีการผลิตสินค้าหรือบริการขึ้นแล้ว
อยู่ทางภาคเหนือและในดินแดนตอนเหนือ มีการแลกเปลี่ยนซ้ือขายกันและมีวัตถุประสงค์
นอกอาณาเขตไทย แผ่กระจายเป็นรปู พดั “เมือง” จะได้ประโยชน์จากการกระท�ำกิจกรรมนั้น
เหล่าน้ีอาศัยการเรียกเก็บผลิตผลส่วนเกินจาก (Yousuk and Sarayuth, 1989) กิจกรรมทาง
ชุมชน หรือ “บ้าน” ผ่านระบบส่งส่วย ทั้งส่วย เศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องของมนุษย์ที่เกี่ยวข้อง
ท่ีเป็นแรงงานและส่ิงของ โดยปล่อยให้การท�ำมา กับการผลิต การแลกเปล่ียนซ้ือขายสินค้าและ
หากินเล้ียงตัวเอง และการจัดการความสัมพันธ์ บรกิ าร โดยมจี ดุ มงุ่ หมายทจี่ ะแสวงหาผลกำ� ไรจาก
ภายในชมุ ชนเป็นเรอื่ งภายในของชุมชนเอง การประกอบธุรกิจนั้นๆ (Bangmo, 1989 : 13)
นับตั้งแต่มนุษย์ได้ตั้งถ่ินฐานเป็นชุมชน กิจกรรมทางธุรกิจที่ส�ำคัญ คือ การผลิต ซึ่งเร่ิม
ใหญ่ มนุษย์รู้จักการแบ่งงานกัน ท�ำให้ต้องมีการ ต้ังแต่กิจกรรมทางด้านการเกษตร การเพาะปลูก
ผลติ อาหาร มคี นตงั้ ถน่ิ ฐานเปน็ ชมุ ชนใหญ่ จงึ มกี าร การจัดหาวัตถุดิบ การด�ำเนินการผลิต จนได้เป็น
แลกเปลยี่ นสงิ่ ของทใี่ ชใ้ นการดำ� รงชวี ติ และพฒั นา
ปที ี่ 19 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 335
สนิ คา้ สำ� เรจ็ รปู กจิ กรรมตอ่ มา คอื การจดั จำ� หนา่ ย บรสิ ทุ ธิ์ คอื ไมเ่ บยี ดเบยี นหรอื ละเมดิ สทิ ธขิ องผอู้ นื่
ได้แก่การน�ำสินค้าส�ำเร็จรูปที่ผลิตได้ไปจ�ำหน่าย (Namkanisorn, 1996 : 13) เปน็ ความคดิ เหน็ ทม่ี า
ให้แก่ผู้บริโภค รวมทั้งกิจกรรมด้านบริการอ่ืนๆ จากการนำ� หลกั พทุ ธธรรมอนั เปน็ ระบบความรเู้ รอื่ ง
ทเ่ี กย่ี วกบั ธรุ กจิ ในดา้ นตา่ งๆ ธรุ กจิ แทบทกุ ประเภท ธรรมชาติหมดท้ังสิ้น นับว่าเป็นหลักความรู้เร่ือง
มีจุดมุ่งหมายที่ส�ำคัญคือ ต้องการก�ำไร แต่การ ของชีวิตและโลก เป็นรากฐานของหลักประพฤติ
ประกอบธุรกิจมักจะประสบกับอุปสรรคต่างๆ ปฏิบัติ หรอื จรยิ ธรรมในพระพุทธศาสนา ซึ่งชท้ี าง
มากมายทง้ั ภายในและภายนอก เชน่ การขาดแหลง่ แกป้ ญั หาของมนษุ ยด์ ว้ ยความรทู้ ถี่ กู ตอ้ งสอดคลอ้ ง
เงินทุนขาดบุคคลที่มีความรู้ความสามารถในการ กับสภาพตามความเป็นจริงของชีวิตและโลก
บรหิ ารธุรกิจ และยงั มคี ู่แขง่ ขนั อีกเป็นจำ� นวนมาก ระบบความรนู้ ี้ เรม่ิ ตน้ ที่ การตรสั รขู้ องพระพทุ ธเจา้
เป็นต้นท�ำให้การประกอบธุรกิจไม่ประสบความ อนั เป็นความรู้ในสง่ิ ท้ังหลายตามเป็นจรงิ มใิ ชก่ าร
ส�ำเร็จในเรื่องก�ำไรสูงสุดตามที่คาดหวังเอาไว้ เก็งทาย (Phavirai, 2005 : 3) แต่เป็นเรื่อง
(Ruamjai, 2001 : 11) เป้าหมายในเรื่องก�ำไร กฎเกณฑ์ท่ีมีอยู่จริงตามธรรมดาหรือธรรมชาติ
ทำ� ใหธ้ รุ กจิ มกี ารแขง่ ขนั เกดิ การเปลย่ี นแปลงสนิ คา้ การนำ� ระบบความรเู้ รอ่ื งธรรมชาตติ ามเปน็ จรงิ ของ
ท้ังในด้านคุณภาพ ปริมาณ และราคาผลของการ พระพุทธศาสนามาใช้แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในเชิง
ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงน้ีถือว่าเป็นการท�ำให้กิจการ ปฏิบัตกิ าร ซ่ึงเป็นการพฒั นาทางพฤตกิ รรม จติ ใจ
ของตนอยู่รอดและมีก�ำไร ขณะเดียวกันก็ท�ำให้ และปัญญาให้ประสานเก้ือหนุนสอดคล้องกัน
สั ง ค ม ไ ด ้ รั บ ค ว า ม ส ะ ด ว ก ส บ า ย ต า ม ไ ป ด ้ ว ย จึงเป็นหนทางที่ท�ำให้การพัฒนาถูกต้องและย่ังยืน
ดังนั้นธุรกิจจึงไม่อาจค�ำนึงถึงผลก�ำไรสูงสุดเพียง น�ำไปสู่อารยธรรมที่ยั่งยืนถ้าจะแก้ปัญหาของโลก
อยา่ งเดยี ว แตต่ อ้ งค�ำนงึ ถงึ ความอยรู่ อดและความ ให้ส�ำเร็จน�ำมนุษย์ไปสู่ชีวิตที่ดีงามมีความสุขอย่าง
ก้าวหน้าของธุรกิจด้วย โดยจะต้องประกอบธุรกิจ อารยชนผู้มีอารยธรรมที่แท้จริงได้ มนุษย์ต้อง
ให้สอดคล้องกับกฎหมายและประโยชน์ทางสังคม ด�ำเนินชีวิตเป็นระบบและต้องพัฒนาให้เกิด
รวมทง้ั ศีลธรรมอันดงี ามอีกดว้ ย ประโยชน์เกื้อกูลโยงประสานกันครบท้ังสามด้าน
พุทธปรัชญามีแนวทางปฏิบัติเพ่ือแก้ คือ ตัวมนุษย์เอง สังคม ส่ิงแวดล้อม และการ
ปัญหาในการด�ำเนินธุรกิจไว้ว่า การแสวงหาก�ำไร พิจารณาให้ตลอดรวม เรียกว่า ระบบองค์รวม
น้ันต้องมาจากการบริหารจัดการที่สุจริตถูกต้อง สมบูรณ์ (Phra Dhamma Pitaka (Prayut
โดยยึดตามหลักสัมมาอาชีวะที่เป็นการแสวงหา Payutto), 1998)
ทรพั ยบ์ นทางสายกลาง คอื พอดแี ละไมเ่ บยี ดเบยี น การด�ำเนินธุรกิจจ�ำเป็นต้องมีหลักการ
ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น (Phra Dhamma Pitaka หรือแนวทางปฏิบัติท่ีดีงามท่ีควรยึดถือเพราะใน
(Prayut Payutto), 2002) ก�ำไรท่ีได้มาจึง การท�ำงานต้องมีการสัมพันธ์ และประสานงาน
จะมีความชอบธรรมและเกิดจากกระบวนการที่ ร่วมมือกัน มิใช่ส�ำเร็จผลด้วยการท�ำงานเพียง
336 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
คนเดียว ดังน้ันจึงควรมีการวางกรอบให้ปฏิบัติ กบั การทธ่ี รุ กจิ ตอ้ งมจี รยิ ธรรม (มคี วามรบั ผดิ ชอบ)
เพื่อการท�ำงานร่วมกันอย่างสงบสุข ซึ่งหลักความ ถา้ จะใหน้ กั ธรุ กจิ ตอ้ งรบั ผดิ ชอบตอ่ สงั คมไปพรอ้ มๆ
ประพฤตทิ ดี่ คี อื จรยิ ธรรม หมายถงึ ธรรมทเ่ี ปน็ ขอ้ กับการแสวงหาก�ำไรแล้ว จะก่อให้เกิดการขัดกัน
ประพฤติ ศลี ธรรม กฎศลี ธรรม (Wachangngern, ของผลประโยชน์และมีผลเสียต่อธุรกิจได้เพราะ
2006 : 121) คือ ความประพฤติตามค่านิยมที่ การรับผิดชอบต่อสังคม จะขัดแย้งโดยตรงต่อ
พึงประสงค์จริยธรรมเป็นหลักเกณฑ์หรือแนวทาง วตั ถปุ ระสงคข์ องการประกอบการธรุ กจิ การบงั คบั
ที่ควรประพฤติและปฏิบัติของมนุษย์ในสังคม ให้ผู้บริหารธุรกิจต้องรับผิดชอบต่อสังคมเป็นเร่ือง
ซ่ึงบุคคลควรยึดถือในการด�ำเนินชีวิต ประกอบ ที่ผิดจริยธรรม เน่ืองจากเป็นการใช้เงินของคนอื่น
อาชพี และประกอบธรุ กจิ ตา่ งๆ ทง้ั นเ้ี พอ่ื กอ่ ใหเ้ กดิ เพ่ืออีกคนหน่ึง เช่น ผู้บริหารต้องบริหารโดยรับ
ประโยชน์ เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยและ ผิดชอบต่อเจ้าของกิจการ และต้องท�ำก�ำไรให้ได้
สันติสุขแก่ตนเองและบุคคลในสังคม เม่ือน�ำหลัก มากที่สดุ ตามที่เจา้ ของต้องการ และสอดคล้องกับ
จริยธรรมมาประยุกต์ใช้เข้ากับการด�ำเนินธุรกิจ กฎหมายและศีลธรรม แต่เม่ือใดก็ตามผู้บริหารได้
จะได้ “จริยธรรมทางธุรกิจ” (Business Ethics) ทำ� การบางอย่างทท่ี ำ� ใหเ้ งนิ ทตี่ ้องคืนให้กบั เจา้ ของ
ซึ่งเป็นแนวทางในการด�ำเนินธุรกิจให้เป็นไป ลดลง ถอื วา่ ผบู้ รหิ ารไดใ้ ชเ้ งนิ ทเ่ี ปน็ สว่ นของเจา้ ของ
อย่างถูกต้องและเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายในสังคม กล่าวอีกนัยหน่ึง เม่ือผู้บริหารเอาเงินส่วนหนึ่งที่
(Phutachoti, 2006 : 224) ต้องคืนต่อเจ้าของมาใช้ในเรื่องของการรับผิดชอบ
ความเขา้ ใจผดิ บางประการเกยี่ วกบั ความ ตอ่ สงั คม (Boonbongkarn, 2010 : 62)
สัมพันธ์ระหว่างธุรกิจ และแนวคิดทางศาสนา เป็นจริงการด�ำเนินธุรกิจล้วนมีความ
ปรัชญาที่บางคนเชื่อว่า ธุรกิจและจริยศาสตร์ สมั พนั ธก์ บั ผมู้ สี ว่ นไดส้ ว่ นเสยี ขององคก์ ร และความ
หรือจริยธรรมเป็นคนละเรื่องกัน ไม่เกี่ยวข้องกัน ส�ำเร็จอย่างยั่งยืนของธุรกิจจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วย
หรือไปด้วยกันไม่ได้ อาจเป็นการแสดงให้เห็นถึง การสนับสนุนจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งสิ้น
ความคดิ หรอื ความเชอื่ ทว่ี า่ การดำ� เนนิ ธรุ กจิ เปน็ ไป หากผู้บริหารด�ำเนินธุรกิจโดยปฏิบัติต่อทุกฝ่าย
เพ่ือการแสวงหาก�ำไรสูงสุดเท่าน้ัน เรื่องอ่ืนท่ีมิใช่ อย่างไร้จริยธรรม มุ่งหวังแต่ผลก�ำไรสูงสุดเพียง
เพอื่ การท�ำก�ำไรจะไมถ่ กู พิจารณา ธรุ กจิ คอื ธุรกจิ อยา่ งเดยี วยอ่ มไมเ่ ปน็ ผลดตี อ่ ธรุ กจิ เชน่ ประชาชน
มิใช่มูลนิธิหรือองค์กรการกุศลที่จะค�ำนึงถึงความ จะมองว่าธรุ กจิ ด�ำเนนิ งานโดยกดข่ีแรงงาน ปลอ่ ย
เดือดร้อนของสังคม ดังนั้นการด�ำเนินธุรกิจท่ี ของเสียในกระบวนการผลิตสู่สิ่งแวดล้อมโดยไม่
สมเหตสุ มผล คอื การทำ� ดว้ ยหลกั เหตผุ ลทางธรุ กจิ บ�ำบัดก่อน เพียงเพื่อเป็นการลดต้นทุนการผลิต
มากกว่าเหตุผลทางจริยศาสตร์ท่ีอาจเป็นเหตุให้ ใหต้ ำ่� ทสี่ ดุ ประชาชนยอ่ มเกดิ การตอ่ ตา้ นและไมซ่ อ้ื
ก�ำไรลดลง (มีค่าใช้จ่ายเพิ่มข้ึน) หากต้องค�ำนึงถึง สนิ คา้ ทา้ ยทสี่ ดุ เมอ่ื ประชาชนไมส่ ามารถดำ� รงชวี ติ
สังคมด้วย นอกจากน้ียังมีข้อโต้แย้งท่ีไม่เห็นด้วย อยู่อย่างมีความสุขในสังคม (ส่ิงแวดล้อมเป็นพิษ)
ปที ่ี 19 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 337
ธุรกิจดังกล่าวก็ไม่สามารถจะด�ำเนินงานในสังคม วัฒนธรรมจะไปตามนั้นท้ังกระบวน ด้วยอิทธิพล
ต่อไปได้ ดังน้ันผู้บริหารจึงควรดาเนินธุรกิจใน ความเชื่อนี้ มนุษย์จะมุ่งท�ำการทุกอย่างเพ่ือสร้าง
แนวทางทเ่ี ปน็ การเสรมิ สรา้ งความสมั พนั ธอ์ นั ดงี าม ความพรัง่ พรอ้ มทางวตั ถุ กระแสความนยิ มแบบน้ี
และมคี วามรบั ผดิ ชอบตอ่ ผมู้ สี ว่ นไดส้ ว่ นเสยี นนั่ คอื จะรนุ แรงขน้ึ จนกลายเปน็ บรโิ ภคนยิ มชาวตะวนั ตก
การด�ำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรมเพื่อความเป็น มรี ากฐานความคดิ ทางสงั คมบรโิ ภคนยิ ม คอื สงั คม
ธรรมและประโยชน์สุขแก่ทุกฝ่าย อย่างไรก็ตาม ซึ่งมีความเชื่อว่ามนุษย์จะมีความสุขสมบูรณ์เม่ือ
วงการธรุ กจิ ในปจั จบุ นั ตา่ งยอมรบั และดำ� เนนิ ธรุ กจิ วตั ถมุ เี สพพรง่ั พร้อม กระแสวฒั นธรรมอารยธรรม
อยา่ งมจี รยิ ธรรม เนอ่ื งจากธรุ กจิ และสงั คมตา่ งตอ้ ง ปัจจุบันเปล่ียนมาเป็นบริโภคนิยมเช่นน้ี เพราะมี
พึ่งพาอาศัยกัน และมีความสัมพันธ์กันในแง่ท่ีว่า ทฏิ ฐทิ เี่ ปน็ พน้ื ฐานความคดิ หรอื ความเชอื่ ซง่ึ สบื มา
ธุรกิจเป็นหน่วยย่อยของสังคม ใช้ทรัพยากรต่างๆ จากตะวันตก ที่สร้างสรรค์ความเจริญทางวัตถุ
จากสังคมและมีผลกระทบต่อวิถีความเป็นอยู่ของ ขึ้นมาโดยเฉพาะความโดดเด่นทางวิทยาศาสตร์
สังคม เม่ือสังคมเกิดปัญหา ธุรกิจก็ควรเข้ามา และเทคโนโลยี แลว้ เอาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ชว่ ยเหลอื เพ่ือเป็นการเก้ือกูลกนั มารับใช้สนองอุตสาหกรรมเพ่ือสร้างผลผลิต
ภายใต้แนวคิดการด�ำเนินธุรกิจของ ให้เกิดความเจริญทางเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม
ตะวันตกทส่ี ืบต่อมาน้นั เม่อื มคี วามเชือ่ มีความคิด มงุ่ ระดมทำ� การผลติ เพอื่ แกป้ ญั หาความขาดแคลน
มกี ารยดึ ถอื อดุ มการณห์ รอื แมเ้ พยี งคา่ นยิ มทางพระ (Scarcity) แต่พออยู่ในวิถีชีวิตของการสร้างผลิต
เรียกว่า “ทิฏฐิ” ทิฏฐิเป็นอย่างไรแล้ว แรงจูงใจ และจิตใจท่ีครุ่นคิดมุ่งหมายท่ีจะมีความพรั่งพร้อม
มาสนอง แล้วต่อจากน้ันกระบวนการของกรรม ทางวัตถุ หรือแนวคิดทิฏฐิว่าคนจะมีความสุขมาก
กด็ ำ� เนนิ ไปโดยการแสดงออกทางกาย วาจา ซง่ึ เปน็ ทส่ี ดุ เมอื่ มวี ตั ถเุ สพบรโิ ภคมากมายพรงั่ พรอ้ มทส่ี ดุ
ไปตามความเชื่อหรือยึดมั่นน้ัน เม่ือมีแนวคิด เป็นแนวทางของลัทธิบริโภคนิยม และการพัฒนา
ที่ไม่ถูกต้อง การพัฒนาก็ผิดพลาดในเร่ืองการ อตุ สาหกรรมอยา่ งเตม็ ทจี่ งึ กลายเปน็ ตวั การทำ� ลาย
ด�ำเนินชีวิต ความเป็นอยู่เร่ืองความสัมพันธ์กับ ธรรมชาติแวดล้อม (Phra Dhamma Pitaka
ส่ิงแวดล้อมไม่มีหรือว่าไม่ถูกต้อง และพาให้เกิด (Prayut Payutto), 1996 : 88)
ความผิดพลาดทางปัญญาเรียกว่า มิจฉาทิฏฐิ
เปน็ ทฏิ ฐทิ ผี่ ดิ คอื เหน็ ผดิ เชอ่ื ผดิ แนวความคดิ ผดิ 2. การดำ� เนนิ ธรุ กจิ ในทศั นะของพทุ ธปรชั ญา
เข้าใจผิดการด�ำเนินชีวิตผิดไปหมดทั้งกระบวน
ตามตัวอย่าง มนุษย์เชื่อหรือยึดถือความคิดว่า ตามคัมภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนา ไดก้ ลา่ วถงึ
มนษุ ยจ์ ะประสบความสำ� เรจ็ ชวี ติ เราจะสขุ สมบรู ณ์ หลักในการประกอบอาชีพท่ีถูกต้องตามหลัก
ตอ่ เมอ่ื มวี ตั ถพุ ร่งั พร้อม หรือมีเศรษฐกจิ มัง่ คง่ั ที่สดุ ศาสนาทเ่ี รยี กวา่ สมั มาอาชวี ะ คอื พระพทุ ธศาสนา
ถ้ามีความเช่ือหรือมีแนวความคิดแบบนี้ กระแส สอนให้งดเว้นการเลี้ยงชีพในทางที่ไม่สมควร
เรยี กว่า มจิ ฉาวณิชชา คือ การเลี้ยงชีพในทางท่ผี ดิ