138 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
ศาสนายอ่ มทรงผลกระทบการเคารพนบั ถอื ศาสนา 3. เพ่ือศึกษาเง่ือนไขที่เก่ียวข้องกับสิทธิ
เม่ือมีหลายชนชาติพันธุ์อยู่ในพื้นที่ย่อมเกิดความ การพัฒนาของประชาชนภายใต้นโยบายเขต
ขัดแย้งความเชื่อศรัทธารวมถึงการให้คุ้มครอง เศรษฐกิจพิเศษจังหวดั มุกดาหารเป็นอยา่ งไร
พระพทุ ธศาสนาอกี ดว้ ย
จากเหตุผลดังกล่าว ผู้วิจัยมีความสนใจ 3. วิธดี �ำเนินการวจิ ัย
และต้องการที่จะศึกษาสิทธิการพัฒนาของ
ประชาชนภายใต้นโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ
ที่ส่งผลต่อด้านเศรษฐกิจชุมชน ด้านการเมือง (Qualitative Research) โดยประชากรผใู้ หข้ อ้ มลู
ดา้ นสงั คม และศาสนาวฒั นธรรม ดา้ นการประกอบ ไดแ้ ก่ ผใู้ หข้ อ้ มลู หลกั (Key Informants) ประกอบดว้ ย
อาชีพเกษตรกรรม ดา้ นส่งิ แวดลอ้ มและทรพั ยากร กลุ่มประชาชน พระสงฆ์ ผู้ประกอบการรายย่อย
ธรรมชาติจังหวัดมุกดาหาร และการเคลื่อนไหว ผ้ไู ด้รับความเดอื ดร้อน ผู้นำ� ชุมชน และผ้ใู หญบ่ า้ น
ด้านสิทธิของประชาชนพื้นที่จังหวัดมุกดาหาร จ�ำนวน 29 รปู /คน ผใู้ ห้ข้อมลู เพ่ือเสรมิ ผใู้ ห้ข้อมลู
ภายใต้นโยบายพฒั นาเขตเศรษฐกจิ พเิ ศษ นำ� มาสู่ หลัก เพื่อใช้ในการตรวจสอบข้อมูลที่ได้จากผู้ให้
ป ั จ จั ย ส า เ ห ตุ ท่ี มี ผ ล ต ่ อ สิ ท ธิ ก า ร พั ฒ น า ข อ ง ขอ้ มลู หลกั ไดแ้ ก่ กลมุ่ ผเู้ ชยี่ วชาญ กลมุ่ นกั วชิ าการ
ประชาชน จนไดข้ อ้ สรปุ และเสนอแนะเชงิ นโยบาย หน่วยงานราชการท่ีเกี่ยวข้อง และกลุ่มเครือข่าย
เก่ียวกับสิทธิการพัฒนาของประชาชนภายใต้ จำ� นวน 20 คน วธิ กี ารเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ใชว้ ธิ กี าร
นโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดมุกดาหาร สัมภาษณ์แบบเจาะลึก (In-depth Interview)
การวิเคราะห์ผลกระทบการเปล่ียนแปลงการ เป็นรายบุคคล เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวม
พัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ปัญหาและอุปสรรค ขอ้ มลู ใชแ้ นวทางการสมั ภาษณเ์ ปน็ เครอ่ื งมอื ในการ
ท่ีเกิดจากการต่อต้านจากชุมชน ในพื้นที่เกี่ยวกับ เก็บรวบรวมข้อมูล เพ่ือให้ได้ข้อมูลและผลการ
สิทธิการพัฒนาของประชาชนภายใต้นโยบายเขต วิเคราะห์ข้อมูลที่ถูกต้องเที่ยงตรง (Credibility)
เศรษฐกจิ พิเศษจงั หวัดมกุ ดาหารตอ่ ไป กับปรากฏการณ์ท่ีเกิดขึ้นจริง การจ�ำแนกข้อมูล
จัดกลุ่มข้อมูล และสังเคราะห์แบบแผนความ
2. วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย สัมพันธ์ (Pattern) จนไดข้ อ้ สรุป
ผวู้ จิ ยั ไดก้ ำ� หนดพน้ื ทใ่ี นการวจิ ยั ตามแหลง่
1. เพื่อศึกษาสิทธิการพัฒนาของ ของผใู้ หข้ อ้ มลู กลมุ่ ตา่ งๆ ในพนื้ ทเ่ี ปา้ หมาย 3 อำ� เภอ
ประชาชนภายใต้นโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ 11 ต�ำบล ประกอบด้วย ต�ำบลในอ�ำเภอเมือง
จังหวดั มกุ ดาหารเปน็ อยา่ งไร มุกดาหาร ได้แก่ 1) ต�ำบลศรีบุญเรือง 2) ต�ำบล
2. เพื่อศึกษาการเคล่ือนไหวด้านสิทธิ มุกดาหาร 3) ต�ำบลบางทรายใหญ่ 4) ต�ำบล
การพัฒนาของประชาชนภายใต้นโยบายเขต ค�ำอาฮวน 5) ต�ำบลนาศรีนวน จ�ำนวน 5 ต�ำบล
เศรษฐกจิ พิเศษจงั หวัดมุกดาหารเป็นอย่างไร ต�ำบลในอำ� เภอดอนตาล ได้แก่ 1) ต�ำบลโพธิ์ไทร
ปีที่ 19 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 139
2) ต�ำบลดอนตาลจ�ำนวน 2 ต�ำบล ต�ำบลอ�ำเภอ พัฒนาพื้นท่ีเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยกลุ่มจังหวัด
หว้านใหญ่ ในพื้นท่ี 1) ต�ำบลบางทรายน้อย เป็นผู้ส�ำรวจ เพ่ือน�ำเสนอไปยังส่วนกลางรับรอง
2) ตำ� บลชะโนด 3) ตำ� บลหวา้ นใหญ่ และ 4) ตำ� บล พ้ืนที่ที่น�ำเสนอทางจังหวัดมุกดาหาร ท�ำให้หลาย
ปง่ ขาม จ�ำนวน 4 ต�ำบล พ้ืนที่ 3 อ�ำเภอ จังหวัดมุกดาหาร ซึ่งมีพ้ืนที่
สาธารณะประโยชน์ตกเป็นพ้ืนที่ราชพัสดุท�ำให้มี
4. สรุปผลการวจิ ยั การเวนคืนที่พื้นท่ีหลายแห่ง เกิดการละเมิดสิทธิ
ชุมชน ไม่เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมคนในชุมชน
1. สิทธิการพัฒนาของประชาชนภายใต้ กบั ภาครฐั ในการจดั การดา้ นทรพั ยากร โดยเฉพาะ
นโยบายเขตเศรษฐกจิ พเิ ศษ พบว่า พ้ืนท่ีป่าชมุ ชน ปา่ สงวน พนื้ ที่สาธารณะประโยชน์
1.1 สิทธิการพัฒนาของประชาชน จะเหน็ ไดช้ ดั เจนวา่ พื้นที่ 1,080 ไร่ ถูกพฒั นาเปน็
แนวคิดพื้นฐานการพัฒนา เกิดจากธรรมชาติของ นิคมอุตสาหกรรมในเขตเศรษฐกิจพิเศษพ้ืนท่ี
มนษุ ย์ท่ีอย่รู วมกนั เปน็ กลุม่ ในแต่ละกลมุ่ จงึ ตอ้ งมี จังหวัดมุกดาหาร ซ่ึงไม่ใช่พ้ืนท่ีรกร้างหรือการใช้
ผนู้ �ำ รวมทงั้ มกี ารควบคุมดูแล หรอื จัดระเบียบกัน ประโยชน์ หากแต่เป็นพื้นที่สาธารณะประโยชน์
ภายในกลุ่ม ซึ่งอาจเรียกว่า การบริหารหรือ ในชุมชนท้องถิ่น เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์พ้ืนที่
การพัฒนาเพ่ือให้เกิดความสงบเรียบร้อยและอยู่ ดินให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และสร้างความเป็น
ร่วมกันอย่างมีความสุข ด้วยเหตุผลน้ีมนุษย์ ธรรมในกระบวนการมีส่วนร่วมการจัดหาพื้นท่ีดิน
จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงการพัฒนาได้ และอาจกล่าว เพอ่ื ใช้พัฒนาเศรษฐกิจพเิ ศษ
ได้ว่าที่ได้มีกลุ่มท่ีนั้นย่อมมีการพัฒนา การพัฒนา 1.3 สทิ ธขิ องประชาชนตามกฎหมาย
จึงเป็นการเปล่ียนแปลงท่ีมีการกระท�ำให้เกิดขึ้น ความส�ำคัญกับชุมชนท้องถิ่นในการมีส่วนร่วมใน
หรือมีการวางแผนก�ำหนดทิศทางไว้ล่วงหน้า การจัดการทรัพยากร และสิทธิของบุคคลที่จะมี
โดยการเปลยี่ นแปลงนต้ี ้องเปน็ ไปในทศิ ทางทด่ี ขี น้ึ ส่วนร่วมกบั รัฐและชมุ ชนในการพัฒนาพน้ื ท่ีชมุ ชน
ย่อมท�ำให้เจริญก้าวหน้า โดยผ่านล�ำดับข้ันต่างๆ ทอ้ งถนิ่ และการดำ� เนนิ การโครงการตา่ งๆ ท่อี าจ
ไปสู่ล�ำดับท่ีสามารถขยายและเติบโตข้ึนมีการ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง แม้แต่
ป รั บ ป รุ ง ใ ห ้ ดี ขึ้ น แ ล ะ เ ห ม า ะ ส ม ไ ป ก ว ่ า เ ดิ ม การด�ำเนินโครงการนโยบายส่งเสริมการค้าการ
ประชาชนในพ้ืนท่ีย่อมต้องการมีส่วนร่วมในการ ลงทุน 13 กิจการท่ีรัฐบาลได้ประกาศให้พื้นท่ี
พฒั นา ดงั่ การศกึ ษาสทิ ธกิ ารพฒั นาของประชาชน จังหวัดมุกดาหารได้สนองตามนโยบายของภาครัฐ
ภายใต้นโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ: กรณีศึกษา แตก่ ารดำ� เนนิ การนโยบายทอี่ ยภู่ ายใตค้ ำ� สงั่ รฐั บาล
เขตเศรษฐกจิ พเิ ศษจงั หวดั มุกดาหาร คสช. ใช้อ�ำนาจกฎหมายมาตรา 44 เพื่อด�ำเนิน
1.2 สิทธิการมีส่วนร่วมการจัดการ โครงการตามแผนพัฒนาด้านเศรษฐกิจบริเวณ
ทรัพยากร จากปัญหาท่ีรัฐได้มีการน�ำพ้ืนท่ี ชายแดน จึงเป็นการอ�ำนวยความสะดวกให้แก่
สาธารณะประโยชน์ชุมชนท้องถ่ินสู่กระบวนการ
140 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
นักลงทุนการลดข้อจ�ำกัดทางกฎหมาย และ นโยบายตั้งอยู่บนพ้ืนฐานของการที่ประชาชนจะ
ประชาชนในพื้นท่ีถูกจ�ำกัดสิทธิในการะบวนการ ตอ้ งเขา้ รว่ มกระบวนการถอื เปน็ ผมู้ สี ว่ นไดส้ ว่ นเสยี
ร่วมพัฒนาตามข้อกฎหมายว่าด้วยเรื่องสิทธิชุมชน นอกจากจะชว่ ยนำ� มาพจิ ารณาผลกระทบตอ่ ชมุ ชน
ส่งผลกระทบต่อชุมชนในพ้ืนที่ ขาดการร่วมคิด ถือเป็นการเคารพการตัดสินใจของภาครัฐให้เกิด
ความเข้าใจ ระหว่างชุมชนกับภาครัฐ เกิดปัญหา ความรอบคอบ และสอดรับกับปัญหาและความ
การละเมิดสิทธิชุมชนท้องถิ่นแย่งพื้นท่ีดินเพ่ือน�ำ ตอ้ งการของประชาชนมากย่งิ ขน้ึ
มาพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษหลักสิทธิความเป็น 2. การเคล่ือนไหวด้านสิทธิการพัฒนา
พลเมอื งตามระบอบประชาธปิ ไตยนนั้ ไดถ้ กู รฐั บาล ของประชาชนภายใต้นโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ
ใช้อ�ำนาจตามกฎหมายมาตรา 44 เพ่ือให้เกิด จังหวัดมุกดาหาร พบว่า การเคล่ือนไหวด้านสิทธิ
กระบวนการพัฒนานโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ การพัฒนาของประชาชน เป็นการรวมกลุ่มเพ่ือ
ให้เกิดความรวดเร็ว ตามหลักความเป็นระบอบ กระท�ำการปรับเปลี่ยนนโยบายหรือกระบวนการ
ประชาธปิ ไตยตามรฐั ธรรมนญู นน้ั สามารถเขา้ ไปสู่ เป็นการก�ำหนดนโยบายของรัฐ การรวมกลุ่มเพ่ือ
กระบวนการร่วมพัฒนามีสิทธิรับผลประโยชน์ กระท�ำการท่ีจงใจเปลี่ยนสัมพันธภาพทางอ�ำนาจ
รว่ มกบั ภาครฐั เพราะการมสี ว่ นรว่ มของประชาชน หลักๆ ของรัฐให้กลับเข้ามาสู่การมีส่วนร่วมของ
เปน็ หลกั ที่มีการยอมรบั ว่า มีส่วนส�ำคัญที่จะท�ำให้ ภาคประชาชน ภายใต้บริบทสิทธิการพัฒนาของ
เกิดความชอบธรรม ความเสมอภาค เพราะทุกคน ประชาชนภายใต้นโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษกรณี
ย่อมเข้าไปมีส่วนร่วมเก่ียวข้องให้ความร่วมมือ ศึกษาเขตเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดมุกดาหาร ดังน้ัน
รับผิดชอบในกิจกรรมการพัฒนาที่เป็นประโยชน์ ผวู้ ิจยั จงึ สามารถสรปุ ได้ดงั ตอ่ ไปน้ี
ตอ่ สงั คมชมุ ชนทอ้ งถนิ่ ทไี่ ดถ้ กู พฒั นา ตงั้ แตก่ ารคดิ 2.1 ประชาชนกับการยอมรับหน่วย
ริเร่ิม พิจารณาพื้นท่ีดิน การร่วมแนวปฏิบัติต่อ งานภาครฐั เช่น หอการคา้ จังหวัด ได้เขา้ มาส�ำรวจ
นโยบายจากภาครฐั สชู่ มุ ชน และรบั รขู้ อ้ มลู ขา่ วสาร พน้ื ทด่ี นิ ในเขตเศรษฐกจิ พเิ ศษมกุ ดาหาร ซง่ึ ใชพ้ น้ื ท่ี
ท่ีเป็นจริงในการด�ำเนินการโครงการของภาครัฐ ดินของสาธารณะหรือแม้แต่พื้นท่ีท�ำกินของ
มีส่วนร่วมรับผลประโยชน์จาการพัฒนาและการ ชาวบ้าน เพื่อจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมและเขต
ติดตามตรวจสอบ และประเมินผลการด�ำเนินการ อุตสาหกรรม โดยที่หนว่ ยงานของรฐั ไมไ่ ด้ให้ความ
ของภาครัฐ ตามแผนพัฒนาส่งเสริมยกระดับการ สำ� คญั กบั ชาวบา้ นในพน้ื ทมี่ ากนกั อาจจะกลา่ วไดว้ า่
ค้าลงทุนบริเวณจังหวัดมุกดาหาร หลักสิทธิการมี การเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ
ส่วนร่วมของประชาชนตามบัญญัติกฎหมาย ระหว่างประชาชนกบั รัฐนน้ั ยังขาดการมีสว่ นร่วม
รัฐธรรมนูญ ว่าด้วยเร่ืองสิทธิและเสรีภาพการท่ี ของประชาชนมาก ทง้ั น้ี สาเหตเุ กิดจากการไดร้ ับ
ประชาชนเข้าไปร่วมกิจกรรมอย่างใดอย่างหน่ึง ขอ้ มลู ไมท่ ว่ั ถงึ ภาครฐั ควรมกี ารใหข้ อ้ มลู การสรา้ ง
เพอ่ื ใหเ้ กดิ ประโยชนร์ ว่ มกนั ภาครฐั ตอ้ งพฒั นาตาม การมีส่วนร่วมและสอบถามความคิดเห็นของ
ปที ่ี 19 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 141
ประชาชนในพื้นท่ีให้มาก ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ 2.3 การจดั การทรพั ยากร การจดั หา
พ้ืนที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ชีวิตความเป็นอยู่ของ พน้ื ที่ดินและพน้ื ท่ีสาธารณะประโยชน์ เพอื่ พัฒนา
ประชาชน การวางผังเมือง ระบบสาธารณูปโภค พ้ืนท่ีให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษน้ัน ประชาชน
ตา่ งๆ ส่ิงที่รัฐควรจะตระหนักวา่ หลังจากส่ิงเหล่านี้ ในท้องถิ่นมีความกังวลกับการสูญเสียพ้ืนท่ีดิน
เกิดขึ้นแล้วจะเก่ียวข้องกับการด�ำรงชีวิต เกิดการ ทำ� กนิ และหากมกี ารขยายพนื้ ทนี่ คิ มอตุ สาหกรรม
เปล่ียนแปลงอยา่ งไรบา้ ง ในอนาคต ประชาชนอาจจะตอ้ งเจอกบั การทจ่ี ะถกู
2.2 ความคาดหวังของประชาชน เวนคนื ทดี่ นิ โดยทป่ี ระชาชนไมไ่ ดม้ สี ว่ นรว่ มในการ
กับการพัฒนา ในการพัฒนาตามนโยบายของรัฐ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดหาพ้ืนท่ีดิน
ในการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ ประชาชน ฉะน้ันแล้ว รัฐควรแสดงถึงความชัดเจนเก่ียวกับ
ไม่ได้คาดหวังกับการพัฒนาตามนโยบายของรัฐ การใชป้ ระโยชนพ์ น้ื ทดี่ นิ พน้ื ทส่ี าธารณะประโยชน์
อาจกล่าวไดว้ า่ ประชาชนในท้องถ่ินไม่ตอ้ งการให้ ว่าส่ิงท่ีรัฐได้ด�ำเนินการน้ันจะเกิดประโยชน์ต่อ
พ้ืนท่ีในชุมชนเป็นพื้นท่ีพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ประชาชนในท้องถ่ิน หรือเกิดประโยชน์แก่ท้ัง
การด�ำเนินวิถีชีวิตให้คงแบบเดิมไว้ ผลกระทบท่ี 2 ฝา่ ย เพอื่ ใหก้ ารใชป้ ระโยชนท์ ด่ี นิ เกดิ ประสทิ ธภิ าพ
จะเกดิ ขน้ึ ในพน้ื ทขี่ องชมุ ชนทอ้ งถน่ิ การดำ� เนนิ ชวี ติ สูงสุด และที่ส�ำคัญเกิดความเป็นธรรมในการ
ในวิถีชนบทจะเปลี่ยนแปลงไป วัฒนธรรมท้องถ่ิน จัดการทด่ี ินดว้ ย
ย่อมมีการเปล่ียนแปลงด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะ 2.4 การเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิ
ความสัมพันธ์ของประชาชนในท้องถิ่นที่เคยอยู่ การออกมาเคลอื่ นไหวเรยี กรอ้ งสทิ ธขิ องประชาชน
ร่วมกันในชุมชน แม้ว่าจะมีนโยบายเกี่ยวกับ ในพื้นท่ีเขตเศรษฐกิจพิเศษ ปัจจุบันยังไม่การ
การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน แต่ผลกระทบก็ยัง ไม่มีการเรียกร้องสิทธิใดๆ ข้ึนอาจกล่าวได้ว่า
เกิดข้ึนกับประชาชนในท้องถ่ิน อาจกล่าวได้ว่า ประชาชนได้รับความชัดเจนจากรัฐเก่ียวกับการ
การจัดต้ังเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษอาจส่งผล เยยี วยาทเ่ี กดิ จากการสญู เสยี ทด่ี นิ การจดั สรรพน้ื ท่ี
กระทบทั้งด้านบวกและด้านลบ ในด้านบวก ดินที่เหมาะสมกับและมีสภาพแวดล้อมท่ีเอื้อ
ประชาชนมีชีวติ ความเป็นอยู่ทีด่ ขี ึ้น ลูกหลานของ อ�ำนวยการต่อการด�ำรงชีพ ประชาชนบางส่วนได้
คนในชุมชนได้เข้าสู่ระบบการจ้างงานภายในพ้ืนท่ี เขา้ รว่ มกบั เครอื ขา่ ยเศรษฐกจิ พเิ ศษภาคตะวนั ออก
ใกล้บ้าน ส่วนในด้านลบท่ีอาจจะส่งผลกระทบได้ เฉียงเหนือเพ่ือรับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอ
ในชุมชน เก่ียวกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ แนะแนวทางมาตรการการปอ้ งกนั ในเรอื่ งของสทิ ธิ
ซงึ่ สง่ ผลกระทบกบั ประชาชนในทอ้ งถน่ิ ในเรอื่ งของ การใช้ประโยชน์และการถือครองที่ดินในชุมชน
อ�ำนาจและสิทธิในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ในการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิการ
และสิ่งแวดล้อม รวมถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของ พัฒนาของประชาชน มหาวิทยาลัยและกลุ่ม
คนในชมุ ชนด้วย อนุรักษ์ห้วยขาแข้ง ได้มาให้ความรู้ในประเด็น
142 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
ดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนมีสิทธิในกระบวนการ วัฒนธรรม และการเมือง อันท�ำให้สิทธิมนุษยชน
เรยี กรอ้ งตามกฎหมาย เกย่ี วกบั พนื้ ทด่ี นิ ทเ่ี ปน็ พนื้ ท่ี เสรีภาพขั้นพื้นฐานเกิดการบังคับใช้และเกิดผล
สาธารณะประโยชนแ์ ละพน้ื ท่ดี นิ ตนเอง กระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็น
3. เงอ่ื นไขทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั สทิ ธกิ ารพฒั นา อีกเร่ืองหน่ึงท่ีมีความส�ำคัญการเปิดให้โอกาส
ของประชาชนภายใต้นโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ ประชาชนไดเ้ ขา้ ไปมสี ว่ นรว่ มในกระบวนการตดั สนิ ใจ
จังหวัดมกุ ดาหาร สามารถแบง่ ได้ 4 ประเดน็ ดังนี้ เปน็ การเสรมิ พลงั อำ� นาจใหแ้ กป่ ระชาชน และกลมุ่
ประเดน็ ท่ี 1 สาเหตทุ ่ีเปน็ เง่ือนไขท่ีส่งผล องค์กรชุมชนให้สามารถในการจัดการทรัพยากร
ตอ่ สถานะสทิ ธิการพัฒนาของประชาชน สทิ ธิของ ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีข้ึนตามความจ�ำเป็นอย่างมี
ประชาชนเข้าไปร่วมพัฒนาตามหลักสิทธิชุมชน ศกั ดศิ์ รแี ละสามารถพฒั นาศกั ยภาพของประชาชน
มีผลต่อสิทธิการพัฒนาของประชาชน มีบัญญัติ ชมุ ชนในดา้ นภมู ปิ ญั ญา ทกั ษะ ความรู้ ความสามารถ
เก่ียวกับการรับรองสิทธิชุมชนขึ้นเป็นคร้ังแรก และการจัดการและรู้เท่าทันการเปล่ียนแปลงของ
มเี จตนารมณ์เพ่อื รบั รองสิทธชิ ุมชน ชมุ ชนทอ้ งถิน่ โลกได้ และประชาชนจะต้องเข้ามามีส่วนร่วม
และชุมชนท้องถ่ินดั้งเดิม คุ้มครองบุคคลในการ ในกระบวนการอย่างมีอิสระ การท�ำงานต้องเน้น
อนุรักษ์ บ�ำรุงรักษา และการได้รับประโยชน์จาก ในรปู กลมุ่ หรอื องคก์ รชมุ ชนทม่ี วี ตั ถปุ ระสงคใ์ นการ
ทรัพยากรธรรมชาติ จึงจ�ำเป็นต้องให้ประชาชน เข้าร่วมอย่างชัดเจน เนื่องจากพลังกลุ่มจะเป็น
ทอี่ าศยั อยใู่ นทอ้ งถ่นิ น้ันๆ เขา้ มามีสว่ นร่วมในการ ปัจจัยส�ำคัญท่ีท�ำให้งานพัฒนาต่างๆ บรรลุส�ำเร็จ
บริหารจัดการ ในส่วนของสิทธิพลเมืองของ ตามความมุง่ หมายได้
ประชาชนเปน็ สงิ่ ทไี่ ม่มรี ปู ร่าง ซ่ึงมีอยู่ในตัวมนษุ ย์ ประเดน็ ที่ 2 สาเหตทุ ป่ี ระชาชนตอ้ งการมี
มาตง้ั แตเ่ กดิ หรอื เกดิ ขนึ้ โดยกฎหมาย เพอ่ื ใหม้ นษุ ย์ ส่วนร่วมในการพัฒนาพื้นท่ีเขตเศรษฐกิจพิเศษ
ได้รับประโยชน์ และมนุษย์จะเป็นผู้เลือกใช้สิ่งน้ัน จังหวัดมุกดาหาร ประชาชนมีส่วนร่วมในการ
เองโดยไม่มีผู้ใดบังคับได้ เช่น สิทธิในการกิน พัฒนาการตัดสินใจของประชาชนในพื้นท่ี โดยให้
การนอน แต่สิทธิบางอย่างมนุษย์ได้รับโดย ภาครัฐและภาคประชาชนมีการสร้างหลักการมี
กฎหมายก�ำหนดให้มี เช่น สิทธิในการมี การใช้ ส่วนร่วมเข้าด้วยกัน เพ่ือท�ำให้ต่างฝ่ายได้รับรู้ถึง
ทรัพย์สิน สิทธิในการร้องทุกข์เมื่อตนถูกกระท�ำ ปญั หาและความตอ้ งการไปพร้อมกนั ประชาชนก็
ละเมดิ กฎหมาย เป็นต้น ในด้านสิทธใิ นการพฒั นา จะได้มีส่วนร่วมมากยิ่งขึ้น การมีส่วนร่วมของ
ของประชาชนมหี ลายดา้ น โดยมกี ลไกตา่ งๆ ทง้ั ดา้ น ประชาชนในทอ้ งถนิ่ ยงั ประสบปญั หาในทางปฏบิ ตั ิ
เศรษฐกจิ สงั คม และวฒั นธรรมภายใตน้ โยบายเขต จะต้องอาศัยความร่วมมือจากประชาชนเป็นส่วน
เศรษฐกิจพิเศษ โดยมีประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วม ใหญ่ในการเสนอทางออก การแสดงความคิดเห็น
ในกระบวนการตัดสินใจ มีสิทธิโดยชอบที่จะ เพอ่ื เปน็ ทางเลอื กในการตดั สนิ ใจของภาครฐั ในการ
เขา้ รว่ มและมบี ทบาทในการพฒั นาเศรษฐกจิ สงั คม ด�ำเนินกิจกรรมต่างๆ และเพื่อเป็นแนวทางการ
ปีท่ี 19 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 143
พฒั นากระบวนการดงั กลา่ วใหป้ ระสบความสำ� เรจ็ เม่ือรัฐบาลได้ประกาศแผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจ
การเข้าไปสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมกับชุมชน พิเศษแล้วรัฐก็ต้องมองด้านวัฒนธรรมของชุมชน
โดยประชาชนได้รับผลประโยชน์จากการพัฒนา แบบดั่งเดิม ซ่ึงสิทธิทางวัฒนธรรม ถือว่าเป็นการ
พ้ืนที่ให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งจะต้องสร้าง คมุ้ ครองสทิ ธใิ นการแตง่ กายตามวฒั นธรรม การถอื
ความรู้ และความเข้าใจแก่ประชาชนในท้องถิ่น ปฏบิ ตั ติ ามประเพณวี ฒั นธรรมในทอ้ งถน่ิ ความเชอ่ื
เพอื่ ใหป้ ระชาชนในทอ้ งถน่ิ เกดิ ความเชอื่ มน่ั และรฐั ทางศาสนา การแสดงศิลปวัฒนธรรม ท่ีไม่มีการ
ควรรับฟังข้อมูลอย่างรอบด้าน และวิเคราะห์ บงั คับ หรอื ละเมดิ ให้มีการเปล่ียนแปลงวัฒนธรรม
บนหลักความเป็นจริง และค�ำนึงถึงผลกระทบที่ ซึ่งมีรัฐบาลได้ออกนโยบายพัฒนาเขตเศรษฐกิจ
ตามมาแก่คนที่ได้รับผลกระทบเป็นส�ำคัญ การมี พิเศษ ย่อมท�ำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้าน
สว่ นร่วมในการประเมนิ ผลของประชาชนสง่ ผลตอ่ วัฒนธรรม เพราะความหลากหลายของคนใน
สทิ ธกิ ารพฒั นาเศรษฐกจิ พเิ ศษ เปน็ กระบวนการท่ี ชมุ ชนเมอื งใหมท่ เ่ี ขา้ มาลงทนุ หรอื แรงงานประเทศ
ประชาชนในท้องถน่ิ ควรไดม้ ีโอกาสเข้าร่วมแสดง เพื่อนบ้าน สิทธิวัฒนธรรมถือเป็นปัจจัยที่ส�ำคัญ
ความคดิ เหน็ การรบั รขู้ อ้ มลู ขา่ วสารในพนื้ ทพี่ ฒั นา รัฐบาลต้องค�ำนึงถึงผลท่ีจะเกิดการเปล่ียนแปลง
เศรษฐกิจพิเศษ เพื่อเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหา ของชุมชนที่กลายมาสู่ความเป็นชุมชนเมือง
และเสริมสร้างศักยภาพให้กับเครือข่ายภาค ประชาชนต้องได้รับการคุ้มครองด้านวัฒนธรรม
ประชาชนให้มีความรู้ความเข้าใจท่ีสามารถเข้ามา ดั้งเดิมของท้องถนิ่ ดว้ ย
ร่วมด�ำเนินงานกับภาครัฐในฐานะหุ้นส่วนอย่างมี ประเดน็ ท่ี 4 สาเหตจุ ากการเรยี กรอ้ งสทิ ธิ
ประสทิ ธิภาพ การพัฒนาของประชาชน การเรียกร้องสิทธิการ
ประเดน็ ที่ 3 สาเหตจุ ากนโยบายเศรษฐกจิ พัฒนาของประชาชน การจัดหาพ้นื ท่ีดนิ และพื้นท่ี
พิเศษท่ีส่งผลต่อสิทธิการพัฒนาภายใต้นโยบาย สาธารณะประโยชน์ตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ
เศรษฐกจิ พิเศษ ทีม่ ีปัจจัยสง่ ผลตอ่ สิทธิการพฒั นา ชาวบา้ นไมม่ สี ว่ นรว่ ม และชาวบา้ นสว่ นใหญไ่ มเ่ อา
ปัจจัยด้านสังคมมีหลายด้าน เช่น เกิดการ เขตนคิ มอตุ สาหกรรมขนาดใหญ่ ปญั หาพน้ื ทจ่ี ดั ตงั้
เปลย่ี นแปลงสภาพสังคม และสงิ่ แวดลอ้ ม ซง่ึ หาก เขตเศรษฐกิจพิเศษ ปัญหาการจัดการท�ำผังเมือง
การเปลี่ยนแปลงเป็นไปในทิศทางท่ีเส่ือมโทรม รวมเกดิ ปญั หาเกย่ี วกบั การเรยี กรอ้ งสทิ ธกิ ารพฒั นา
และประชาชนท่ีอาศัยอยู่ในพื้นที่เกี่ยวข้องกับ ประชาชน เป็นจากการใช้อ�ำนาจตามมาตรา 44
สภาพแวดล้อมน้ัน ก็จะมีผลกระทบต่อสุขภาพได้ ให้พ้ืนที่สาธารณะประโยชน์ ต�ำบลค�ำอาฮวน
ส่วนสิทธิของประชาชนภายใต้นโยบายพัฒนา ตกเปน็ ทร่ี าชพสั ดุ และอกี หลายตำ� บลไมม่ ขี อ้ มลู วา่
เศรษฐกิจพเิ ศษนนั้ ประชาชนในชมุ ชนย่อมมีสทิ ธิ จะมกี ารพฒั นาในพนื้ ทข่ี องตนเองสง่ ผลใหช้ าวบา้ น
ทางวัฒนธรรมชุมชนท้องถิ่นเป็นหลัก จากการ ต้องท�ำหนังสือคัดค้านการแก้ไขผังเมืองรวมและ
มีเสรีภาพในการใช้ภาษาท้องถ่ินเพื่อใช้ส่ือสาร ผังเมืองเฉพาะเขตเศรษฐกิจพิเศษ และขอให้
144 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ไขผังเมืองกับ พดู ถงึ และไมใ่ หถ้ กู นำ� มาพดู กนั ในหนว่ ยงานทรี่ บั ผดิ
สำ� นกั งานโยธาธกิ าร และผงั เมอื งจงั หวดั มกุ ดาหาร ชอบทเี่ กย่ี วขอ้ ง และปญั หาผลกระทบ ขอ้ เรยี กรอ้ ง
ปัญหาการจัดต้ังนิคมอุตสาหกรรมและเขต การตอบสนองต่อข้อเรียกร้อง ในเชิงนโยบาย
อตุ สาหกรรม ขาดการมีส่วนร่วม และเลอื กมาจาก กระบวนการพฒั นาในพน้ื ทขี่ องภาครฐั เพอ่ื ใหก้ าร
สว่ นกลาง ไมไ่ ด้ค�ำถึงความถนดั และความสามารถ พัฒนาสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ในด้านการ
ของแรงงานในพน้ื ท่ี หากมกี ารตงั้ โรงงานอตุ สาหกรรม กระจายรายได้ การลดความเหล่ือมล้�ำ การสร้าง
แรงงานทต่ี อ้ งการกจ็ ะเปน็ แรงงานมฝี มี อื ซงึ่ ชาวบา้ น ความเปน็ ธรรม การเคารพสทิ ธมิ นษุ ยชน และสรา้ ง
ในพื้นที่ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีการศึกษาสูงหรือจบ ประโยชนใ์ หก้ บั ประชาชนในพนื้ ทตี่ ามวตั ถปุ ระสงค์
ในสาขาทต่ี อ้ งการ จงึ เปน็ ไปไดย้ ากทจ่ี ะเกดิ การจา้ ง ของเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ แผนพัฒนา
งานชาวบ้านในพื้นที่ ทางด้านปัญหาการจัดการ เศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ ฉบับที่ 12 และหลัก
ทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และสุขภาพ เศรษฐกิจพอเพียงโดยการทบทวนนโยบายหรือ
ประชาชนควรเรยี กรอ้ งใหร้ ฐั มกี ารศกึ ษาผลกระทบ ชะลอการด�ำเนินงานในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ
รวมท้ังด�ำเนินการตามท่ีมีบัญญัติหลักเกณฑ์ และจดั ใหม้ กี ารทบทวนพนื้ ที่ แผนงาน และกจิ การ
แนวทางไว้ตาม พ.ร.บ. สิ่งแวดล้อม หรือ พ.ร.บ. ที่จะส่งเสริมการลงทุนโดยการมีส่วนร่วมของ
สขุ ภาพแหง่ ชาติ รวมทงั้ เรอื่ งของการรบั ฟงั ความเหน็ ประชาชนตามหลักประชารัฐหรือนโยบายพ้ืนฐาน
จากชาวบ้าน และคนที่มสี ่วนรว่ มมีสว่ นไดส้ ว่ นเสีย แห่งรฐั ที่ต้องทำ� หนา้ ทีอ่ �ำนวยการสรา้ ง การมีสว่ น
หรือได้รับผลกระทบในพ้ืนท่ีนั้นๆ ท่ีถูกประกาศ ร่วมในนโยบายแห่งรัฐที่ประเทศไทยได้ปฏิบัติเป็น
เป็นพ้ืนท่ีเขตเศรษฐกิจพิเศษ ปัญหาการชดใช้ค่า บรรทดั ฐานมาโดยตลอด
เยยี วยาทเี่ กดิ ขน้ึ ตอ่ ชมุ ชนและจดั หาพนื้ ทดี่ นิ ทำ� กนิ
ใหม่รัฐต้องมีมาตรการชดเชยเยียวยาอันเป็นหลัก 5. อภิปรายผลการวจิ ยั
การสากล เพ่ือความเป็นธรรมกับผู้ที่ได้รับผลกระ
ทบจากการด�ำเนินการไม่ว่าจะเป็นโครงการหรือ จากผลการศกึ ษาเรอื่ ง สทิ ธกิ ารพฒั นาของ
นโยบายตา่ งๆ ประชาชนภายใต้นโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ:
กระบวนการเคล่ือนไหวด้านสิทธิการ กรณีศึกษาเขตเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดมุกดาหาร
พฒั นาชมุ ชนรปู้ ญั หาทเ่ี กดิ ขน้ึ ในพน้ื ทม่ี กี ระบวนการ ในคร้ังนี้ ผู้วิจัยสามารถอภิปรายผลของการวิจัย
เคล่ือนไหวต่อรองของผู้เดือดร้อน ซ่ึงชาวบ้าน ไดด้ ังน้ี
ในพ้ืนที่ต้องการให้ผู้ว่าราชการหน่วยงานรัฐและ จากการวิจัยครั้งนี้พบว่า สิทธิการพัฒนา
นากยกรัฐมนตรีลงมาในพื้นท่ี มาพบปะชาวบ้าน ของประชาชนภายใต้นโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ
เพราะทผี่ า่ นมานน้ั ยงั มหี นว่ ยรฐั ทไ่ี ดป้ ฏเิ สธปกปดิ จังหวัดมุกดาหาร จากข้อมูลที่พบท�ำให้ทราบว่า
ชาวบา้ นทม่ี คี วามเหน็ ตา่ ง และมกี ารถกู กดี กนั ไมใ่ ห้ นโยบายพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ นโยบายที่ด�ำเนิน
การมานานก่อนการเข้ายึดอ�ำนาจบริหารประเทศ
ปที ี่ 19 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 145
ของรัฐบาล คณะรักษาความสงบแหง่ ชาติ แตก่ าร เน่ืองจากว่าประชาชนสามารถใช้สิทธิเสรีภาพใน
ด�ำเนินการช่วงน้ัน ถือเป็นการอยู่ภายใต้ระบบ การแสดงความคดิ เหน็ รวมตวั กนั เพอื่ ปกปอ้ งตนเอง
ประชาธิปไตย ประชาชนสามารถใช้สิทธิเสรีภาพ และชมุ ชนจากผลกระทบทจ่ี ะเกดิ ขนึ้ จากโครงการ
ในการแสดงความคิดเห็นรวมตัวกัน เพื่อปกป้อง หรอื นโยบายของรฐั ตา่ งจากปจั จบุ นั ทน่ี โยบายเขต
ตนเองและชุมชนจากผลกระทบท่ีจะเกิดขึ้น เศรษฐกิจพิเศษด�ำเนินไปภายใต้รัฐบาลทหารท่ีมี
จากโครงการหรอื นโยบายของรัฐ ตา่ งจากปัจจบุ ัน อ�ำนาจเบ็ดเสร็จ ประกอบกับแนวคิดของอคิน
ท่ีนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษด�ำเนินไปภายใต้ รพีพัฒน์ (Rapeepat, 2009) ซึ่งได้อธิบายไว้ว่า
รัฐบาลทหารที่มีอ�ำนาจเบ็ดเสร็จ จากปัญหาสิทธิ สทิ ธชิ มุ ชนเปน็ สทิ ธริ ว่ มเหนอื ทรพั ยส์ นิ ของชมุ ชนที่
การพัฒนาของประชาชนที่อยู่ภายใต้กฎหมาย ให้ความส�ำคัญกับการใช้ประโยชน์จากทรัพยากร
รฐั ธรรมนูญ พทุ ธศกั ราช 2540 และ 2550 รวมถงึ เพอ่ื สว่ นรวมมากกวา่ ประโยชนส์ ว่ นตน เชน่ สมาชกิ
ฉบบั 2560 ซงึ่ ไดม้ กี ารบญั ญตั กิ ฎหมาย วา่ ดว้ ยสทิ ธิ ของชุมชน ซ่ึงท�ำหน้าที่ดูแลรักษาป่าเท่านั้น
และเสรภี าพของประชาชน ชใี้ หเ้ หน็ สทิ ธกิ ารพฒั นา จึงจะมีสทิ ธใิ ชแ้ ละได้ประโยชน์จากป่า รวมถงึ การ
ของประชาชนภายใตน้ โยบายเขตพัฒนาเศรษฐกจิ ท่ี ชุ ม ช น ก็ ส า ม า ร ถ ใ ช ้ อ� ำ น า จ อ อ ก ก ฎ เ ก ณ ฑ ์
พิเศษ กระบวนการจดั หาพนื้ ทดี่ ินพนื้ ที่ 3 อ�ำเภอ โดยค�ำนึงถึงความเป็นธรรมในสังคมเป็นส�ำคัญ
จังหวัดมุกดาหารขาดการมีส่วนร่วมจากชุมชน ตัวอย่างเช่น ชุมชนหลายแหลง่ มีกฎเกณฑอ์ นุญาต
โดยเฉพาะกลไกการเลือกพ้ืนที่เป็นกระบวนการ ใหแ้ ตล่ ะเฉพาะครวั เรอื นทแ่ี ตง่ งานใหมแ่ ละยากจน
ถูกก�ำหนดจากกลุ่มผู้ราชการจังหวดั และประธาน เทา่ นนั้ จงึ จะมสี ทิ ธใิ ชพ้ น้ื ทด่ี นิ เพอื่ ใชส้ ว่ นตวั ในขณะ
หอการค้าเป็นผู้น�ำเสนอ ไม่มีกระบวนการท่ีเปิด ทคี่ รวั เรอื นท่มี ฐี านะดจี ะไมไ่ ดส้ ทิ ธอิ ันนั้น
โอกาสให้ประชาชนได้ร่วมกระบวนการตัดสินใจ ประชาชนที่อยู่ในประกาศเป็นเขต
ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของเสน่ห์ จามริก ซ่ึงได้ เศรษฐกิจพิเศษ ต่างพยายามเรียกร้องขอให้
อธิบายไว้ว่า สิทธิชุมชนไม่ใช่สิทธิครอบครองเป็น หน่วยงานรัฐในจังหวัดมุกดาหาร เปิดเผยข้อมูล
เจ้าของอย่างเบ็ดเสร็จเหมือนสิทธิปัจเจกและสิทธิ รายละเอียดเก่ียวกับเขตเศรษฐกิจพิเศษให้กับ
ของรัฐ ที่เจ้าของสามารถใช้สิทธิของตนเองกีดกัน ประชาชนในพื้นที่ ทั้งในด้านบวกและด้านลบ
การเกี่ยวข้องจากภายนอกได้อย่างสนิ้ เชิง แตส่ ิทธิ ข้อมูลเก่ียวกับการด�ำเนินการเขตเศรษฐกิจพิเศษ
ชุมชนให้ความส�ำคัญกับผู้ท่ีอยู่กินดีอยู่ดี และดูแล อยา่ งโปรง่ ใส ผไู้ ดร้ บั ผลกระทบและชาวบา้ นในเขต
ทรัพยากรเพ่ือความอยู่รอดของชุมชนเป็นอันดับ เศรษฐกจิ พเิ ศษยงั ถกู ปดิ กน้ั สทิ ธิ เสรภี าพ และการ
แรก คนภายนอกจะมาอ้างสิทธิเพ่ือคุณภาพชีวิต แสดงความคดิ เหน็ การประชมุ และหา้ มมใิ หม้ กี าร
ท่ดี ขี องชมุ ชนเมอื ง มาอยู่เหนือการมชี ีวติ รอดของ พูดคุยถึงปัญหาความเดือดร้อนต่างๆ การจัด
ชุมชนไม่ได้ ระดบั ของการมสี ว่ นรว่ มจงึ ลดหลนั่ กนั กิจกรรมต่างๆ ในประเด็นนี้ จะเห็นได้ว่า
ไปตามความจ�ำเป็นพื้นฐานของชีวิตและสังคม ไม่สอดคล้องกับแนวคิดของ Cohen & Uphoff
146 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
(1980) ท่ีได้อธิบายไว้ว่า จะต้องเปิดโอกาสให้ ตามมา แตจ่ ะตอ้ งพจิ ารณาใหไ้ ดว้ า่ การทป่ี ระชาชน
ประชาชนมี ส่วนร่วมในการตัดสินใจท่ีจะก�ำหนด ไม่กระท�ำการอันใดเกิดขึ้นจากความรู้สึกที่เป็น
สภาพปัญหาและความต้องการด้วยตนเอง การมีส่วนร่วมหรือการไม่กระท�ำในกรณีอ่ืนๆ
โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในขน้ั ตอนของการวางแผนแกไ้ ข ที่ไม่เป็นการมีส่วนร่วม โดยให้มีนโยบาย กลไก
สภาพปัญหา และมาตรการชดเชยเยยี วยาบนหลกั การความเปน็
รฐั บาลตอ้ งทบทวนนโยบายเขตเศรษฐกจิ ธรรม ส�ำหรับชุมชนผูต้ อ้ งได้รบั ผลกระทบจากการ
พิเศษ และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการก�ำหนด ถูกผลักดันให้ออกจากพ้ืนท่ีที่เป็นรูปธรรมชัดเจน
ทิศทาง เป้าหมายหรือออกแบบการพัฒนารว่ มกัน ครอบคลุมความเสียหายที่เกิดข้ึนจริง รวมถึงค่า
และให้มีกลไกตัวแทนองค์กรเครือข่ายภาค เสียโอกาสจากการสูญเสียที่ดินท�ำกินในอนาคต
ประชาชนมสี ว่ นรว่ มในกลไกดำ� เนนิ งานในทกุ ระดบั โดยให้หน่วยงานท่ีเกี่ยวท้ังหมดจัดหาพื้นท่ีรองรับ
โดยให้ชะลอการเร่งรัดด�ำเนินการเขตเศรษฐกิจ ทเ่ี หมาะสมกบั สภาพพน้ื ทเ่ี ดมิ หรอื ใกลเ้ คยี งเพอื่ ให้
จนกว่าจะมีการด�ำเนินการตามต้องค�ำนึงถึงหลัก ชุมชนสามารถด�ำรงวิถีอัตลักษณ์ดั้งเดิมได้ก่อน
การความเป็นธรรม การมีส่วนรว่ มในกระบวนการ และในเบอ้ื งตน้ หนว่ ยงานทเ่ี กยี่ วขอ้ งตอ้ งสนบั สนนุ
ตัดสินใจ และประโยชน์ท่ีจะเกิดข้ึนกับสังคม เพื่อสร้างความมั่นคงของชมุ ชน ผ้ไู ดร้ ับผลกระทบ
โดยรวมและท้องถ่ิน ด้านการจัดหาท่ีดินและ อย่างต่อเนื่องในระยะแรกจนกว่าชุมชนจะมีความ
บรหิ ารจดั การทง้ั หมด และจดั ใหช้ มุ ชนทอ้ งถนิ่ ทอ่ี ยู่ มัน่ คงถาวร
อาศัยและท�ำประโยชน์ในพื้นท่ีเหล่านั้นมีส่วนร่วม การเคล่ือนไหวด้านสิทธิการพัฒนาของ
ส�ำรวจตรวจสอบความเหมาะสมของพื้นที่ รวมถงึ ประชาชนภายใต้นโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ
ขนาดปริมาณของการใช้พ้ืนที่ โดยพิจารณาถึง จังหวัดมุกดาหารนั้น เป็นการเข้าไปมีส่วนร่วม
ป ร ะ โ ย ช น ์ แ ล ะ ผ ล ก ร ะ ท บ ต ่ อ ชุ ม ช น ส ภ า พ กระบวนการตัดสินใจสภาพท้องถ่ินที่อยู่อาศัยการ
ส่ิงแวดล้อมในพื้นที่เป็นส�ำคัญในล�ำดับแรก ยอมรบั การพฒั นาตามนโยบายของรฐั ในหนว่ ยงาน
โดยให้ภาคประชาสังคมที่ไม่ใช่แต่เพียงภาคธุรกิจ ภาครฐั เชน่ หอการคา้ จงั หวดั ไดเ้ ขา้ มาสำ� รวจพนื้ ที่
เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ เข้าไปมีส่วนร่วมกับ ดินในเขตเศรษฐกิจพิเศษมุกดาหาร ซึ่งใช้พ้ืนท่ีดิน
คณะกรรมการเพอ่ื กำ� หนดยทุ ธศาสตรข์ องประเทศ ของสาธารณะหรือแม้แต่พ้ืนที่ท�ำกินของชาวบ้าน
ยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดด้วยกัน ในส่วนนี้ เพือ่ จัดต้ังนคิ มอตุ สาหกรรม และเขตอตุ สาหกรรม
สอดคล้องกับแนวคิดของ Weiner (1971) โดยที่หน่วยงานของรัฐไม่ได้ให้ความส�ำคัญกับ
กระบวนการเกี่ยวกับการกระท�ำอันแสดงถึงความ ชาวบ้านในพื้นท่ีมากนัก หน่วยงานรัฐควรมีข้อมูล
รู้สึกที่ท�ำให้ประชาชนขาดความสนใจและขาด ที่เกี่ยวกับการพัฒนาพื้นท่ีเขตเศรษฐกิจพิเศษท่ีมี
การกระท�ำได้ซึ่งการไม่กระท�ำของประชาชนที่มา ความชัดเจน และประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้าน
จากความรู้สึกน้ัน อาจก่อให้เกิดผลทางการเมือง ได้ทราบถึงกระบวนการข้ันตอนต่างๆ เพื่อลดการ
ปีที่ 19 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 147
เกิดผลกระทบต่อชาวบ้านน้อยท่ีสุด แสดงให้เห็น ประชาชนในชุมชนเข้าไปมีส่วนร่วมรับรู้ข้อมูล
ว่าไม่สอดคล้องกับแนวคิดของ Weiner (1971) ขา่ วสารอยา่ งหลีกเล่ยี งไม่ได้
ที่ได้อธบิ ายไวว้ า่ กระบวนการเกย่ี วกบั การกระทำ� ในการพัฒนาตามนโยบายของรัฐในการ
เพ่ือสนับสนุนหรือเรียกร้องกับผู้น�ำของรัฐบาล พัฒนาพื้นท่ีเศรษฐกิจพิเศษ ประชาชนไม่ได้คาด
ส�ำหรับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยและ หวงั กบั การพฒั นาตามนโยบายของรฐั และหากเกดิ
การปกครองในระบอบเผด็จการ ตัวอย่างเช่น ผลกระทบแล้วหน่วยงานรัฐ จะต้องมีมาตรการ
การชุมนุมคัดค้านหรือสนับสนุนการกระท�ำของ ป้องกันเพื่อไม่เกิดผลกระทบต่อประชาชนด้วย
รฐั บาล การออกเสยี งประชามติ ท่ีแสดงให้เหน็ วา่ ผลกระทบท่ีจะเกิดข้ึนในพ้ืนที่ของชุมชนท้องถิ่น
เป็นความคิดเห็นของมหาชนหรือความคิดเห็น การด�ำเนินชีวิตในวิถีชนบทจะเปล่ียนแปลงไป
สาธารณะ อันมีผลโดยตรงต่อการคัดค้านหรือ วัฒนธรรมท้องถ่ินย่อมมีการเปลี่ยนแปลงด้วย
สนับสนุนการท�ำงานของรัฐบาล และการสร้าง เช่นกัน ผลกระทบท่ีจะเกิดขึ้นในพ้ืนท่ีพัฒนาเขต
ความชอบธรรมให้แก่รัฐบาลเอง ผู้วิจัยมีแนวคิด เศรษฐกจิ พเิ ศษโดยเฉพาะดา้ นกฎหมาย ซงึ่ ปจั จบุ นั
สนับสนุนแนวคิดของ Weiner เพราะเหตุว่า ประเทศไทยไม่มีกฎหมายเฉพาะที่เป็นกฎหมาย
การเข้าไปมีส่วนร่วมกระบวนการตัดสินใจสภาพ แม่บทก�ำกับดูแลในเร่ืองเขตเศรษฐกิจพิเศษ
ท้องถิ่นที่อยู่อาศัย การยอมรับการพัฒนาตาม กฎหมายเฉพาะท่ีเป็นกฎหมายแม่บทก�ำกับดูแล
นโยบายของรัฐหน่วยงานท่ีเก่ียวข้องต้องให้ ในเร่ืองเขตเศรษฐกิจพิเศษยังอยู่ในกระบวนการ
ประชาชนในชุมชนเข้าไปมีส่วนร่วมรับรู้ข้อมูล ทางนติ บิ ญั ญตั ิ จะเหน็ ไดว้ า่ ไมส่ อดคลอ้ งกบั แนวคดิ
ขา่ วสารอยา่ งหลกี เลย่ี งไมไ่ ด้ และประชาชนจะตอ้ ง ของ Nie and Verba (1975) ท่ีได้อธิบายไว้ว่า
เขา้ ไปมสี ว่ นรว่ มรเู้ หน็ ในการพฒั นาพนื้ ทท่ี จี่ ะทำ� ให้ กิจกรรมทางกฎหมายของพลเมืองที่มีจุดมุ่งหมาย
เกิดผลประโยชน์ระหว่างภาครัฐกับชุมชนท้องถ่ิน ทจี่ ะมอี ทิ ธพิ ลในการเลอื กหรอื กำ� หนดบคุ คลผดู้ ำ� รง
ดว้ ย ในสว่ นนจ้ี ะสอดคลอ้ งกบั แนวคดิ ของ Cohen ต�ำแหน่งในรฐั บาล หรอื มจี ดุ มงุ่ หมายท่จี ะสามารถ
and Uphoff (1980) ทไ่ี ดอ้ ธบิ ายไวว้ า่ กระบวนวธิ ี ด�ำเนินกระบวนการในการกดดันรัฐบาลให้กระท�ำ
การเก่ียวกับการมีส่วนร่วมในผลประโยชน์ การตามทพ่ี ลเมอื งนน้ั มคี วามตอ้ งการผวู้ จิ ยั เหน็ วา่
(Benefits) อันประกอบไปด้วย กระบวนวิธีการ ประชาชนไมไ่ ดค้ าดหวงั กบั การพฒั นาตามนโยบาย
เก่ียวกับการก�ำหนดผลประโยชน์ทางด้านสังคม ของรฐั ทไี่ มเ่ ปน็ ไปตามหลกั ของการมสี ว่ นรว่ มของ
และกระบวนวิธีการเกี่ยวกับการก�ำหนดผล ประชาชน ถึงแม้ว่าในบางคร้ังจะเปิดโอกาสให้
ประโยชน์ส่วนบุคคล ในส่วนนี้ผู้วิจัยเห็นว่า ประชาชนได้เข้าไปมีส่วนร่วมบ้าง แต่ไม่มีการแจ้ง
การเข้าไปมีส่วนร่วมกระบวนการตัดสินใจสภาพ ให้ทราบล่วงหน้าท�ำให้ประชาชนถูกปิดหูปิดตา
ท้องถิ่นที่อยู่อาศัย การยอมรับการพัฒนาตาม ไมส่ ามารถเขา้ ไปรว่ มพฒั นาไดอ้ ยา่ งทว่ั ถงึ แมว้ า่ จะ
นโยบายของรัฐหรือหน่วยงานที่เก่ียวข้องต้องให้ มีนโยบายเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน
148 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
แต่ผลกระทบก็ยังเกิดขึ้นกับประชาชนในท้องถิ่น 6. ข้อเสนอแนะ
อาจส่งผลกระทบ ทั้งด้านบวกและด้านลบกับ
ประชาชนในดา้ นตา่ งๆ รวมถงึ วถิ ชี วี ติ ความเปน็ อยู่ 1. ข้อเสนอแนะเชงิ วชิ าการ
ของคนในชุมชนด้วย 1.1 เก่ียวกับทฤษฎี เนื่องจากการ
ในส่วนของการจัดหาพื้นท่ีดินและพ้ืนท่ี ศึกษาคร้ังนี้ เป็นการศึกษาท่ีให้น้�ำหนักไปที่เร่ือง
สาธารณะประโยชน์ เพื่อพัฒนาพื้นท่ีให้เป็นเขต สิทธิการพัฒนาของประชาชนภายใต้นโยบายเขต
เศรษฐกิจพิเศษนั้น ประชาชนในท้องถ่ินมีความ เศรษฐกิจพิเศษ: กรณีศึกษาเขตเศรษฐกิจพิเศษ
กังวลกบั การสูญเสยี พืน้ ท่ดี นิ ทำ� กนิ ประชาชนอาจ จังหวัดมุกดาหาร ผลการศึกษาท่ีเน้นในเร่ืองของ
จะต้องเจอกับการที่จะถูกเวนคืนท่ีดิน โดยท่ี สิทธิการพัฒนาของประชาชน อาจมีข้อจ�ำกัดใน
ประชาชนไมไ่ ดม้ สี ว่ นรว่ มในการแสดงความคดิ เหน็ ที่ไม่สามารถเช่ือมโยงเข้ากับทฤษฎีทางรัฐศาสตร์
เกยี่ วกบั การจดั หาพนื้ ทดี่ นิ จะเหน็ ไดว้ า่ สอดคลอ้ ง ทั้งในแนวคลาสสิก และทฤษฎีสมัยใหม่ได้ดีพอ
กับแนวคิดของจรูญ สุภาพ (Suphab, 1981) อันมีผลต่อการน�ำไปสู่การสร้างข้อสรุปท่ัวไป
ทไ่ี ดอ้ ธบิ ายไวว้ า่ การมสี ว่ นรว่ มทป่ี ระชาชนจะพงึ มี (Generalization) เพื่อการอธิบายปรากฏการณ์
ในการกำ� หนดนโยบาย ในการตดั สนิ ใจและกจิ การ ในเชิงสิทธิของประชาชนในด้านอื่นๆ ท่ีแตกต่าง
ต่างๆ ของรัฐบาล และในทางการเมืองหรือการ ออกไปได้ ดังนั้น เพื่อให้การศึกษาเป็นประโยชน์
มีส่วนร่วมของประชาชนในรัฐบาล ตัวอย่างเช่น ในเชิงวิชาการมากย่ิงขึ้นต่อไป จึงควรแสวงหา
การเขา้ เปน็ รฐั บาล การมอี ทิ ธพิ ลตอ่ รฐั บาล รวมทงั้ แ น ว คิ ด แ ล ะ ท ฤ ษ ฎี ท า ง รั ฐ ศ า ส ต ร ์ ส มั ย ใ ห ม ่
การแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ในด้านการ ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั สทิ ธกิ ารพฒั นาของประชาชนมาชว่ ย
วางแผนการจัดท�ำผังเมืองเป็นกระบวนการส�ำคัญ เสริม และอธิบายปรากฏการณเ์ ช่นน้ี อนั จะท�ำให้
ของการวางแผนพัฒนาเชิงพื้นที่ของประเทศ หวั ข้อของการศึกษาวิจยั นี้มคี วามนา่ สนใจ มคี วาม
โดยกลไกของคณะกรรมการผังเมืองระดับจังหวัด ส�ำคัญ และเป็นประโยชนใ์ นทางวชิ าการต่อไป
และระดบั ชาติ เปน็ ความรทู้ ผี่ กู ขาดโดยนกั วชิ าการ 1.2 ระเบียบวิธีวิจัย จากการศึกษา
บริษัททีป่ รกึ ษา เจา้ หน้าทร่ี ัฐ ทง้ั นท้ี ำ� ให้ประชาชน วิจัยคร้ังนี้ ผู้วิจัยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ
ไม่มีส่วนร่วม และเกิดปัญหาท�ำให้ประชาชนไดร้ บั (Qualitative Research) เพื่อท�ำความเข้าใจ
ผลกระทบอย่างหลกี เลีย่ งไมไ่ ด้ ถงึ แม้วา่ ประชาชน ปรากฏการณ์สิทธิการพัฒนาของประชาชนและ
ในท้องถ่ินยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเร่ือง รปู แบบนโยบายเศรษฐกิจพเิ ศษ รวมท้ังตรวจสอบ
ดังกล่าวมากนัก ถ้าหากภาครัฐและภาคเอกชน หาตวั แปรทเี่ ปน็ สาเหตสุ ง่ ผลตอ่ สทิ ธกิ ารพฒั นาของ
มีความเห็นว่า การพัฒนาพ้นื ท่เี ขตเศรษฐกิจพิเศษ ประชาชนในพนื้ ทเี่ ขตเศรษฐกจิ พเิ ศษ ผวู้ จิ ยั เหน็ วา่
มุกดาหารเป็นเรื่องท่ีดีเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ในการวิจัยครั้งต่อไป ควรใช้รูปแบบวิธีวิจัยแบบ
และประชาชนไดป้ ระโยชน์ตอ่ ไป ผสมผสาน (Mixed Models) ซ่งึ เปน็ การวิจยั ท่ใี ช้
วิธีวิทยาทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพร่วมกันใน
ปีที่ 19 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 149
การดำ� เนนิ การวจิ ยั อนั จะทำ� ใหไ้ ดข้ อ้ มลู ทใี่ กลเ้ คยี ง ความคิดเห็น การนำ� เสนอการวเิ คราะหผ์ ลกระทบ
กับความจริงมากข้ึน และจะท�ำให้ได้ผลการวิจัย สิ่งแวดล้อมรอบชุมชน เพื่อให้ประชาชนรับรู้
ทีม่ คี วามหนักแนน่ มากกย่ิงขนึ้ และเสนอแนะข้อมูลต่างๆ เพิ่มเติมเพื่อน�ำมา
2. ขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบาย ประกอบการพิจารณา ท้ังนี้เป็นความร่วมมือใน
2.1 หน่วยงานของภาครัฐควรเปิด รูปแบบคณะกรรมการไตรภาคี ประกอบด้วย
โอกาสให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการ หน่วยราชการท่ีเกี่ยวข้อง ภาคเอกชน และภาค
พัฒนาท้องถ่ินของตนเอง เน่ืองจากประชาชน ประชาชนในท้องถิ่น ท�ำให้เกิดการเข้าใจและ
มีสิทธิการเป็นผู้อยู่ในพื้นท่ี ซึ่งได้รับผลกระทบ ยอมรับจากชุมชนมากข้ึน
โดยตรงจากนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยการ 3. ข้อเสนอแนะในการวจิ ัยคร้ังตอ่ ไป
จัดเวทีให้ประชาชนได้แสดงความคิดแลกเปล่ียน 3.1 ควรใช้กลุ่มเป้าหมายที่มีพื้นท่ี
เรียนรู้ วพิ ากษว์ ิจารณโ์ ดยสาธารณะ ตา่ งกนั เน่ืองจากบรบิ ทพ้ืนท่แี ละสถานการณ์ของ
2.2 ทำ� ใหท้ ราบวา่ ปญั หาทป่ี ระชาชน สิทธิการพัฒนาของประชาชนภายใต้นโยบายเขต
วติ กกงั วลกบั ปญั หาทจี่ ะสง่ ผลกระทบตอ่ ทรพั ยากร เศรษฐกจิ พเิ ศษ มกี ระบวนการและสาเหตทุ ตี่ า่ งกนั
ธรรมชาติ และส่ิงแวดล้อม ท่ีจะเกิดขึ้นในชุมชน เพ่ือให้หน่วยงานภาครัฐสามารถน�ำผลการวิจัย
เชน่ ด้านสาธารณสุข สาธารณปู โภค และบรโิ ภค ไปใช้ในการแก้ไขปัญหาสิทธิการพัฒนาของ
เป็นต้น ซึ่งหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องควรได้ ประชาชนภายใต้นโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ
ตระหนักถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนภายใต้ ตอ่ ไป
นโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ: กรณีศึกษาเขต 3.2 ควรศึกษาตัวแปรอื่นๆ ที่นอก
เศรษฐกจิ พเิ ศษจังหวัดมุกดาหาร เหนอื จากการศกึ ษาวจิ ยั ในครง้ั นท้ี เ่ี กย่ี วขอ้ งกบั สทิ ธิ
2.3 การเปิดโอกาสให้ชุมชนมีส่วน การพัฒนาของประชาชนภายใต้นโยบายเขต
ร่วมคิด รว่ มแสดงความคดิ เห็น และรับฟงั ในเร่ือง เศรษฐกิจพิเศษ เพื่อจะได้ทราบว่ามีตัวแปรอ่ืนใด
ต่างๆ เก่ียวกับโครงการผ่านกระบวนการรับฟัง ทม่ี คี วามสัมพนั ธ์ต่อสทิ ธิการพฒั นาของประชาชน
References
Cohen & Uphoff. (1980). Effective Behavior in Organizations. New York : Richard D. Irwin
Inc.
Fahdiewkan Magazine. (2010). The Justice in (not) ransition. 8th ed. (January - September).
Nonthaburi : Fahdiewkan Press.
150 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
Keawmanee, R. (2017). Conclusion Seminar Morning Talk on the Mae Sot Special Economic
Zone: Chance and potentiality for industial development in the Border. http://
www.oie.go.th/sites/default/files/attachments/article/Maesot_Spe cialEconomic-
Zone_220254.doc. (Accessed 15 August 2017).
Nie, N.H. and Verba, S. (1975). Political Participation, pp. 9-12. In Grunstiien and Nelson,
W.P. (eds.). Handbook Political Science : Non Government Politic. Massasuseette
: Addisen Wesley.
Rapeepat, A. (2009). Chaoban-Chaomueng on the Justice in Thai Society. Chaingmai :
Wanida Press.
Suphab, C. (1981). Political Principles. Bangkok : Thaiwatthanapanich.
Weiner, Myron. (1971). Political Participation : Crisis of the Political Process. In Crises and
Sequence in Political Development. Revised by Leonard Binder. Princeton : Princeton
University Press.
รูปแบบการเสรมิ สร้างทัศนคตกิ ารบริหารจดั การขยะมูลฝอย
ตามหลกั ธรรมาภิบาลของผบู้ ริหารเทศบาลเมอื ง
ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือตอนกลาง*
Modeling of Attitudes towards Waste Management According
to the Good Governance of the Municipal Administration
Northeastern Region
พระมหาประภาส แกว้ เกตพุ งษ์, พระมหาสากล เดนิ ชาบนั ,
พระธรรมรตั น์ หาญณรงค์, จุรี สายจันเจียม และสมศรี แก้วกติ ติ
Phramaha Prapas Kaewketpong, Phramaha Sakol Doenchaban,
Phra Thammarat Hannarong, Juree Saijunjiam and Somsri Kaewkitti
มหาวิทยาลัยมหามกฏุ ราชวิทยาลัย วทิ ยาเขตรอ้ ยเอ็ด
Mahamakut Buddhist University, Roi Et Campus, Thailand
Corresponding Author, E-mail: [email protected]
บทคัดย่อ
บทความวิจยั น้ี มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ 1) เสริมสร้างทศั นคติการบรหิ ารจัดการขยะมลู ฝอยตามหลกั
ธรรมาภบิ าลของผบู้ รหิ ารเทศบาลเมอื ง ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ตอนกลาง 2) เพอ่ื เปรยี บเทยี บการเสรมิ สรา้ ง
ทัศนคติการบริหารจัดการขยะมูลฝอยตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารเทศบาลเมือง ภาคตะวันออก
เฉยี งเหนอื ตอนกลาง และ 3) เพอ่ื เสนอแนะเกยี่ วกบั รปู แบบการเสรมิ สรา้ งทศั นคตกิ ารบรหิ ารจดั การขยะ
มลู ฝอย ตามหลกั ธรรมาภบิ าลของผบู้ รหิ ารเทศบาลเมอื ง ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ตอนกลาง กลมุ่ ตวั อยา่ ง
ท่ีใช้ในการวิจัยคร้ังน้ี ได้แก่ ผู้บริหารเทศบาลเมือง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง ประกอบด้วย
ส�ำนักงานเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ ส�ำนักงานเทศบาลนครขอนแก่น ส�ำนักงานเทศบาลเมืองมหาสารคาม
และส�ำนักงานเทศบาลเมืองรอ้ ยเอด็ จำ� นวน 1,264 คน โดยวธิ ีการสุ่มตัวอยา่ งแบบเปน็ ระบบจากบญั ชี
รายชื่อ โดยยึดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของ R.V. Krejcie และ D.W. Morgan สถิติที่ใช้ในการ
วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถาม ได้แก่ ค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉล่ีย
* ได้รบั บทความ: 16 กุมภาพันธ์ 2561; แก้ไขบทความ: 19 มีนาคม 2562; ตอบรบั ตีพมิ พ์: 26 มีนาคม 2562
Received: February 16, 2018; Revised: March 19, 2019; Accepted: March 26, 2019
152 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
(Mean) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการทดสอบความแปรปรวนแบบทางเดียว (One-Way
ANOVA) หรือ F-test และ T-test โดยก�ำหนดคา่ นัยส�ำคญั ทางสถติ ิทรี่ ะดบั P = 0.05
ผลการวิจัยพบวา่
1. การสเริมสร้างทัศนคติการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของผู้บริหารเทศบาลเมืองมีหลายวิธี
ไดแ ก การเก็บรวบรวมขยะมลู ฝอยจากแหล่งต่างๆ การขนสง่ การแปรสภาพ และการทําลายขยะมลู ฝอย
เพ่ือปองกันไมใหเกิดผลกระทบกับสิ่งแวดลอม การสรางจิตสํานึกด้านการจัดการขยะมูลฝอยใหกับ
ประชาชน มีมาตรการสนับสนุนสูความสําเร็จ ไดแก เร่งประชาสัมพันธการใชสินคาจากวัสดุที่นํากลับ
มาใชใหมใหเ ปนทยี่ อมรับแกกลุม่ แมบ า น ประชาชน และองคก รของรฐั การส่งเสริมใหล ดปริมาณการใช
ถงุ พลาสตกิ ในกลุมผจู้ าํ หนา ยสนิ คา รวมทง้ั สง เสริมและสนบั สนนุ การใหข า วสารและความรูเ กี่ยวกับขยะ
มูลฝอยแก่ชุมชน เพื่อใหประชาชนตระหนักในอันตรายของขยะมูลฝอย ดังน้ัน ประชาชนตองเขามา
มีสว นรว มในการแกไขปญหาตางๆ ดงั นี้ รวมคดิ รวมตัดสินใจ รว่ มวางแผนร่วมปฏบิ ตั ิ รวมรบั ประโยชน์
และร่ว มประเมินผล
2. ผลการเปรยี บเทยี บการบรหิ ารจดั การขยะมลู ฝอย ตามหลกั ธรรมาภบิ าลของผบู้ รหิ ารเทศบาล
เมอื งภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง ที่มีเพศต่างกันมีจิตส�ำนึกในการจัดการขยะมูลฝอยต่างกัน
สถานภาพการเป็นสมาชกิ เครอื ขา่ ยคัดแยกขยะตา่ งกัน มรี ูปแบบการจดั การขยะมูลฝอยต่างกัน และอายุ
ตา่ งกนั มรี ปู แบบการจัดการขยะมูลฝอยและมีพฤตกิ รรมการมสี ่วนรว่ มในการจัดการขยะมลู ฝอยต่างกนั
อย่างมนี ยั สำ� คัญทางสถิติทีร่ ะดับ 0.05
3. ขอ้ เสนอแนะเกยี่ วกบั การเสรมิ สรา้ งทศั นคตกิ ารบรหิ ารจดั การขยะมลู ฝอยตามหลกั ธรรมาภบิ าล
ของผบู้ รหิ ารเทศบาลเมืองภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ตอนกลาง เรียงลำ� ดบั ตามความถ่ีจากมากไปหาน้อย
ดังนี้ คณะกรรมการและบุคลากร ควรมีความรับผิดชอบและมีส่วนร่วมรับผิดชอบการด�ำเนินงานของ
เทศบาลเมือง รองลงมา คือ ควรมีการปฏิบัติต่อสมาชิกด้วยความเสมอภาคยุติธรรม และน้อยสุด คือ
ควรมกี ารชีแ้ จงใหส้ มาชิกมีความรู้ความเข้าใจในบทบาทและหน้าท่ขี องตนตามกฎระเบยี บ และข้อบงั คบั
ของเทศบาลเมอื ง
ค�ำสำ� คญั : รูปแบบ; การเสริมสรา้ งทศั นคติ; ขยะมูลฝอย; หลกั ธรรมาภิบาล
Abstract
This research served specific purposes: 1) enhance attitudes towards solid waste
management in accordance with good governance principles of municipal administration,
2) to compare the attitudes towards solid waste management in accordance with the
good governance of the municipal administration, and 3) to propose a model for enhancing
ปที ี่ 19 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 153
attitudes towards solid waste management in accordance with good governance principles
of city administrators. Northeastern region the samples used in this study were the municipal
administrators. The Northeastern central consists of the Office of the municipality in
Kalasin, Office of the municipality in KhonKaen, Office of the municipality in Maha Sarakham
and office of the municipality in Roi Et. A total of 1,264 people were interviewed by the
systematic sampling method. From the roster R.V. Krejcie and D.W. Morgan. The statistics
used for data analysis were frequency, percentage, mean, standard deviation (S.D.) and
T-test. One-way ANOVA or F-test and T-test were used to determine the significance
level at P = 0.05.
The research found that:
1. A model for enhancing the attitudes towards solid waste management of
municipal administration. There is a number of ways in which the municipal waste management
attitudes can be addressed by collecting waste from various sources, transporting, converting
and destroying. Garbage to prevent adverse effects on the environment. It also promotes
and supports the dissemination of information and knowledge about solid waste to the
community. In order for people to be aware of the dangers of solid waste, people have
to take part in solving problems. People in the community can participate in the following
are as : Participating in decision-making, jointly planning, and evaluation.
2. Comparative study of solid waste management in the municipal administration
central. Northeastern region at different sex consciousness of different waste management.
Member status of different waste sorting networks. There are different types of waste
management. And age difference There was a statistically significant difference at .05 level.
3. Suggestions for enhancing attitudes towards solid waste management. Corporate
Governance of the Northeastern Municipality. Sort by frequency to descending order. It
should be responsible and accountable for the operation of the municipality. Second, the
board should treat the members fairly. The members should have a clear understanding
of the roles and responsibilities of the members. The regulations of the municipality.
Keywords: Model; Attitudinal Reinforcement; Solid Waste; Good Governance
154 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
1. บทน�ำ มากท้ังในด้านปัญหามลพิษจากขยะปัญหาความ
ไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยของชุมชนปัญหาขาด
ปจั จบุ นั ขยะมลู ฝอยเปน็ ปญั หาสง่ิ แวดลอ้ ม ความสมดลุ ทางนเิ วศวทิ ยา เปน็ ตน้ จากสภาวการณ์
ท่ีส�ำคัญต่อชุมชนและทวีความรุนแรงมากขึ้น ดังกล่าวผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจ�ำเป็นต้องมีการด�ำเนิน
เน่ืองจากปริมาณขยะมูลฝอยมีมากข้ึนในขณะท่ี การจัดการให้ถูกวิธีและจะต้องมีการให้การศึกษา
ความสามารถในการจดั เกบ็ ขนและกำ� จดั มคี อ่ นขา้ ง แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องได้เข้าใจในพิษภัยและอันตราย
จำ� กดั จงึ ทำ� ใหไ้ มส่ ามารถจดั การปญั หาไดท้ นั การณ์ อนั เกดิ จากขยะมลู ฝอย ทงั้ ในดา้ นการเกบ็ รวบรวม
เป็นเหตุให้เกิดปัญหาขยะตกค้างส่งกลิ่นเหม็น ขยะมูลฝอยการเก็บขนขยะมูลฝอยและการก�ำจัด
รบกวนเกิดปัญหาด้านทัศนียภาพและอาจส่งผล ขยะมูลฝอยปัญหาขยะเป็นปัญหาท่ีเกิดข้ึนจาก
กระทบต่อสุขภาพอนามัยท่ีดีของประชาชน การกระท�ำของคน ทั้งโดยต้ังใจหรือไม่ต้ังใจ
ซ่ึงเป็นปัญหาที่มีผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง การแก้ไขปัญหาที่มุ่งจะแก้ที่การกระท�ำของคน
และเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นตามล�ำดับแต่การ อย่างเดียว เพื่อที่จะควบคุมพฤติกรรมของคน
จัดการท้ังทางด้านการจัดเก็บและการท�ำลายขยะ ยอ่ มไมส่ ามารถทำ� ใหเ้ กดิ พฤตกิ รรมทพี่ งึ ประสงคไ์ ด้
มลู ฝอยยงั ไมม่ ปี ระสทิ ธภิ าพเพยี งพอ จงึ ทำ� ใหม้ ขี ยะ อีกท้ังการแก้ปัญหาการจัดการขยะ โดยมุ่งเน้น
มูลฝอยตกค้างไม่ได้รับการจัดเก็บและการก�ำจัด เทคโนโลยีในการก�ำจัดขยะมูลฝอยอย่างเดียว
อย่างไม่ถูกลักษณะจากปริมาณขยะมูลฝอยท่ี ย่อมส่งผลต่อค่าใช้จ่ายท่ีจะเกิดขึ้นในอนาคต
เพิ่มขึ้นและคาดการณ์ว่าจะมีปริมาณขยะมูลฝอย ซึ่งอาจต้องเพ่ิมมากข้ึนเร่ือยๆ ซ่ึงเป็นการลงทุนท่ี
เพมิ่ ขนึ้ ในอนาคตสง่ ผลใหส้ น้ิ เปลอื งงบประมาณคา่ ไม่คุ้มค่าหากเทศบาลเมืองยังจัดการปัญหาด้าน
ใช้จ่ายในการจัดเก็บด้านขยะมูลฝอยเป็นจ�ำนวน ขยะดว้ ยรูปแบบวธิ ีการเดิมๆ ที่ดำ� เนนิ การมายอ่ ม
เงนิ ทสี่ งู ขนึ้ ซงึ่ จะตอ้ งเพม่ิ งบประมาณเพม่ิ บคุ ลากร ไม่สามารถท่ีจะแก้ปัญหาดังกลา่ วขา้ งต้นได้ ดงั นน้ั
วัสดุอุปกรณ์เคร่ืองมือเคร่ืองใช้ในการจัดการขยะ เทศบาลเมืองควรท่ีจะปรับเปลี่ยนรูปแบบการ
มูลฝอย ดังน้ันการพัฒนาและการให้ประชาชนมี จดั การขยะมลู ฝอยตง้ั แตก่ ระบวนการเกบ็ รวบรวม
พฤติกรรมในการจัดการขยะมูลฝอยท่ีดีจึงเป็น การเก็บการขนและการคัดแยกขยะมูลฝอย
แนวทางหน่ึงที่จะลดปริมาณขยะและแบ่งเบา เพื่อที่จะก่อให้เกิดรายได้ต่อเทศบาลและลดค่าใช้
ภารกิจของภาครัฐได้ จา่ ยในการจัดการขยะมลู ฝอยลง
จากสภาวการณ์ดังกล่าวข้างต้นท�ำให้ จากปัญหาท่ีกล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัย
ประชาชนประสบกับปัญหาการจัดการมูลฝอย จึงสนใจที่จะศึกษารูปแบบการเสริมสร้างทัศนคติ
อย่างหลกี เลี่ยงไมไ่ ด้ ทั้งปัญหาการจัดหาพนื้ ท่ีใหม่ การบริหารจัดการขยะมูลฝอยของผู้บริหาร
สำ� หรบั กอ่ สรา้ งระบบกำ� จดั ขยะมลู ฝอยและปญั หา เทศบาลเมือง ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือตอนกลาง
การเพมิ่ ขนึ้ ของปรมิ าณมลู ฝอยในพนื้ ทขี่ องเทศบาล เพื่อน�ำผลการวิจัยไปปรับปรุงแก้ไขให้การบริหาร
การจัดการการควบคุมขยะมูลฝอยยังมีปัญหาอยู่
ปีท่ี 19 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 155
ง า น บุ ค ล า ก ร ข อ ง ส� ำ นั ก ง า น เ ท ศ บ า ล ใ ห ้ มี ขอนแก่น ส�ำนักงานเทศบาลเมืองมหาสารคาม
ประสิทธภิ าพ (Yuwaboon, 2000 : 93) สามารถ และสำ� นักงานเทศบาลเมอื งร้อยเอ็ด และการวิจยั
ท่ีจะปฏิบัติภารกิจในการบริหารจัดการให้บรรลุ เชงิ ปรมิ าณ (โดยใชแ้ บบสอบถาม) จำ� นวน 1,264 คน
วตั ถปุ ระสงคข์ องการบรหิ ารงานบคุ ลากรในโอกาส ผู้วิจัยได้สุ่มกลุ่มตัวอย่างจากประชากร
ตอ่ ไป โดยวิธีสุ่มตัวอย่างแบบเป็นระบบ (Systematic
Sampling) จากบัญชีรายช่ือโดยยึดขนาดกลุ่ม
2. วัตถุประสงค์ของการวจิ ยั ตัวอยา่ งตามตารางของ R.V. Krejcie และ D.W.
Morgan (Srisaad and Nilkaew, 1992 : 22-25)
1. เพ่ือศึกษาการบริหารจัดการขยะ ซ่ึงผลจากการสุ่มกลุ่มตัวอย่าง จ�ำนวน
มูลฝอยของผู้บริหารเทศบาลเมืองภาคตะวันออก 229 คน ตามสำ� นกั งานเทศบาลเมือง
เฉียงเหนอื ตอนกลาง
2. เพ่ือเปรียบเทียบรูปแบบการเสริม 4. สรุปผลการวจิ ยั
สร้างทัศนคติการบริหารจัดการขยะมูลฝอยตาม
หลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารเทศบาลเมือง 1. ทศั นคตกิ ารบรหิ ารจดั การขยะมลู ฝอย
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลางตามเพศ ของผบู้ รหิ ารเทศบาลเมอื งมหี ลายวธิ ี ไดแ ก การเกบ็
ตำ� แหนง่ งาน อายรุ าชการ วฒุ กิ ารศกึ ษา และเงนิ เดอื น รวบรวมขยะมูลฝอยจากแหล่งตางๆ การขนสง
3. เพื่อรวบรวมข้อเสนอแนะเกี่ยวกับ การแปรสภาพ และการทําลายขยะมูลฝอย
รูปแบบการเสริมสร้างทัศนคติการบริหารจัดการ เพื่อปองกันไมใหเกิดผลกระทบกับส่ิงแวดลอม
ขยะมูลฝอยตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหาร การสรางจิตสํานึกด้านการจัดการขยะมูลฝอย
เทศบาลเมืองภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือตอนกลาง ใหก บั ประชาชน มมี าตรการสนบั สนนุ สคู วามสาํ เรจ็
ไดแก เรง่ ประชาสัมพันธ์การใช้สินคาจากวัสดทุ ่นี าํ
3. วธิ ดี �ำเนินการวจิ ัย กลับมาใชใหมใหเปนที่ยอมรับแกกลุ่มแมบาน
ประชาชนและองคกรของรัฐ การส่งเสริมใหลด
ศึกษาและรวบรวมข้อมูลรายละเอียด ปริมาณการใชถุงพลาสติกในกลุมผู้จําหนายสินคา
ต่างๆ ที่ปรากฏในเอกสาร บทความ นโยบาย รวมทั้งสงเสริมและสนับสนุนการใหขาวสาร
แผนงาน โครงการ และผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง แ ล ะ ค ว า ม รู เ กี่ ย ว กั บ ข ย ะ มู ล ฝ อ ย แ ก ่ ชุ ม ช น
กบั ประเดน็ หลกั ธรรมาภบิ าล ทว่ี จิ ยั ศกึ ษาจากการ เพ่ือใหประชาชนตระหนักในอันตรายของขยะ
เก็บรวบรวมข้อมูลระดับปฐมภูมิ ด้วยวิธีการวิจัย มูลฝอย ดังนั้น ประชาชนตองเขามามีสวนรวม
ทั้งในเชิงคุณภาพ โดยกลุ่มเป้าหมายของการ ในการแกไ ขปญ หาตา งๆ ดงั นี้ รว มคดิ รว มตดั สนิ ใจ
เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ ผู้บริหารเทศบาลเมือง ร่วมวางแผนร่วมปฏิบัติรวมรับประโยชน์และ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง ส�ำนักงาน ร่ว มประเมนิ ผล
เทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ ส�ำนักงานเทศบาลเมือง
156 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
2. การเปรียบเทียบการเสริมสร้าง วา่ มคี ใู่ ดบา้ งทแ่ี ตกตา่ งกนั จำ� แนกตามเงนิ เดอื นดว้ ย
ทัศนคติการบริหารจัดการขยะมูลฝอยตามหลัก วิธีการของเชฟเฟ่ (Scheffe' Method) พบว่า
ธรรมาภบิ าลของผบู้ รหิ ารเทศบาลเมอื ง ภาคตะวนั ท่ีมีเงินเดือนต่างกันอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติที่
ออกเฉียงเหนือตอนกลาง โดยรวมท้ัง 6 ด้าน ระดบั .05 นอกนน้ั ไมพ่ บความแตกตา่ งเป็นรายคู่
จ�ำแนกตามเพศพบวา่ ไมแ่ ตกตา่ งกนั จ�ำแนกตาม 3. ผบู้ รหิ ารเทศบาลเมอื งภาคตะวนั ออก
ต�ำแหน่ง ไม่แตกต่างกัน จ�ำแนกตามอายุราชการ เฉียงเหนือตอนกลาง มีข้อเสนอแนะเก่ียวกับการ
แตกต่างกันอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 เสริมสร้างทัศนคติการบริหารจัดการขยะมูลฝอย
ซ่ึงเปน็ ไปตามสมมติฐานการวจิ ัยทีต่ งั้ ไว้ จึงท�ำการ ตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารเทศบาลเมือง
ทดสอบความแตกต่างเป็นรายคู่ด้วยวิธีการของ ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ตอนกลาง เรยี งลำ� ดบั ตาม
เชฟเฟ่ (Scheffe' Method) วา่ มคี ใู่ ดบา้ งทแี่ ตกตา่ ง ความถจี่ ากมากไปหานอ้ ย ดงั น้ี ผบู้ รหิ ารเทศบาล
กันจ�ำแนกตามอายุราชการ ด้วยวิธกี ารของเชฟเฟ่ เมืองควรมีความรับผิดชอบและมีส่วนร่วม
(Scheffe' Method) พบว่า แตกต่างกันอย่างมี รับผิดชอบการด�ำเนินงานของเทศบาลเมือง
นยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ รี่ ะดบั .05 นอกนนั้ ไมพ่ บความ รองลงมา คือ ควรมีการปฏิบัติต่อสมาชิกด้วย
แตกต่างเป็นรายคู่ ความเสมอภาคยตุ ธิ รรม และนอ้ ยสดุ คอื ควรมกี าร
การทดสอบความแตกต่างเป็นรายคู่การ ชี้แจงให้สมาชิกมีความรู้ความเข้าใจในบทบาท
เสริมสร้างทัศนคติการบริหารจัดการขยะมูลฝอย และหน้าที่ของตนตามกฎระเบียบ และข้อบังคับ
ตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารเทศบาลเมือง ของเทศบาลเมืองตามล�ำดบั
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง โดยรวมทั้ง
6 ด้าน จ�ำแนกตามวุฒิการศึกษาด้วยวิธีการของ 5. อภปิ รายผลการวจิ ัย
เชฟเฟ่ (Scheffe' Method) พบว่า ที่มีวุฒิการ
ศึกษาต่างกัน ปรากฏว่าวุฒิการศึกษาต่�ำกว่า การอภิปรายผลการวิจัยคร้ังน้ี กล่าวถึง
ปรญิ ญาตรี แตกตา่ งกบั ปรญิ ญาตรี และปรญิ ญาโท รูปแบบการเสริมสร้างทัศนคติการบริหารจัดการ
วุฒิการศึกษาปริญญาตรีแตกต่างกับต่�ำกว่า ขยะมูลฝอยตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหาร
ปริญญาตรีวุฒิการศึกษาปริญญาโท แตกต่างกัน เทศบาลเมือง ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ตอนกลาง
ตำ�่ กวา่ ปรญิ ญาตรี อยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ รี่ ะดบั ทง้ั หกดา้ นคอื ดา้ นหลกั นติ ธิ รรม ดา้ นหลกั คณุ ธรรม
.05 นอกนนั้ ไมพ่ บความแตกตา่ งเปน็ รายคจู่ ำ� แนก ด้านหลักความโปร่งใส ด้านหลักความมีส่วนร่วม
ตามเงนิ เดอื น พบวา่ แตกตา่ งกนั อยา่ งมนี ัยสำ� คญั ด้านหลักความรับผิดชอบ และด้านหลักความ
ทางสถิติที่ระดับ .05 ซ่ึงเปน็ ไปตามสมมติฐานการ ค้มุ คา่ ดงั ตอ่ ไปน้ี
วิจัยที่ตั้งไว้ จึงท�ำการทดสอบความแตกต่างเป็น 1. ด้านหลกั นติ ธิ รรม พบว่า โดยรวมอยู่
รายคูด่ ว้ ยวิธกี ารของเชฟเฟ่ (Scheffe' Method) ในระดับมาก ผลการวิจัยเป็นเช่นนี้อภิปรายได้ว่า
เทศบาลเมือง ภาคะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง
ปีที่ 19 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 157
ให้ความส�ำคัญกับการบริหารจัดการขยะมูลฝอย ลกั ษณะทช่ี อบไมช่ อบหรือเฉยๆ
ตามหลักธรรมาภิบาล โดยยึดหลักกฎหมาย 3. ดา้ นหลกั ความโปรง่ ใส พบวา่ โดยรวม
ระเบยี บขอ้ บงั คบั ของทางราชการ ใหเ้ ปน็ ทย่ี อมรบั อยู่ในระดับมาก ผลการวิจัยเป็นเช่นน้ีอภิปราย
ของสังคม อันจะท�ำให้สังคมยินยอมพร้อมใจกัน ได้ว่าเทศบาลเมือง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ปฏบิ ัติตามกฎหมายระเบียบ และขอ้ บงั คบั ตามไป ตอนกลาง ให้ความส�ำคัญกับการบริหารงานตาม
ด้วยสอดคล้องกับแนวคิดของสมพงษ์ เกษมสิน หลกั ธรรมาภบิ าล โดยมกี ารจดั ระบบงานและขอ้ มลู
มคี วามเหน็ วา่ การบรหิ ารคอื การใชศ้ าสตรแ์ ละศลิ ป์ ขา่ วสารเพอ่ื เปดิ เผยขอ้ มลู ขา่ วสารตอ่ สาธารณะชน
การนำ� เอาทรพั ยากรการบรหิ าร (Administrative พร้อมท่ีจะได้รับการตรวจสอบอยู่ตลอดเวลา
Resource) มาประกอบกันตามกระบวนการการ เพ่ือสร้างความโปร่งใสและสร้างความเชื่อถือ
บรหิ าร (Process of Administration) ให้บรรลุ ศรัทธาให้แก่ประชาชนสอดคล้องกับแนวคิดของ
วัตถุประสงค์ท่ีก�ำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพและ สรุ างค์ จันทรเ์ อม ให้ความหมายของความคิดเห็น
เหน็ วา่ การบรหิ ารมลี กั ษณะเดน่ เปน็ สากลอยหู่ ลาย วา่ เปน็ ความรสู้ กึ ทเ่ี กดิ ขนึ้ จากการรบั รู้ (Perceive)
ประการ ข้อมูลเกี่ยวกับส่ิงน้ัน ไม่ว่าข้อมูลน้ันจะมีหลักฐาน
2. ดา้ นหลกั คณุ ธรรม พบวา่ โดยรวมอยู่ อ้างอิงหรือไม่ หรืออาจเห็นด้วยตา ทัศนคติ คือ
ในระดับมาก ผลการวิจัยเป็นเช่นน้ีอภิปรายได้ว่า การที่บุคคลมีความรู้สึกท่ัวๆ ไปต่อส่ิงใดสิ่งหน่ึง
เทศบาลเมอื ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง ส่วนความคิดเห็น คือ การอธิบายเหตุผลที่มีต่อ
ให้ความส�ำคัญการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาล สง่ิ ใดสิ่งหน่ึงโดยเฉพาะ
ด้วยความเท่ียงธรรมมีความซื่อสัตย์สุจริต ยึดม่ัน 4. ด้านหลักความมีส่วนร่วม พบว่า
ในศลี ธรรม และจรยิ ธรรม ปฏบิ ตั ติ นเปน็ ตวั อยา่ งท่ี โดยรวมอยู่ในระดับมาก ผลการวิจัยเป็นเช่นน้ี
ดใี นสงั คม กำ� หนดกรอบการบรหิ ารงานตามอำ� นาจ อภิปรายได้ว่าเทศบาลเมือง ภาคตะวันออกเฉียง
หนา้ ทใี่ หถ้ กู ตอ้ งทกุ ขนั้ ตอน การบรหิ ารงานจดั การ เหนือตอนกลางให้ความส�ำคัญกับการบริหารงาน
ตามหลกั คณุ ธรรมนบั วา่ เปน็ สงิ่ ทมี่ คี วามสำ� คญั มาก ตามหลักธรรมาภิบาลด้วยการเปิดโอกาสให้
ในองค์การถ้าผู้บริหารยึดหลักคุณธรรมในการ ประชาชนรับรู้เสนอความเห็นในการตัดสินใจ
ท�ำงานจะสร้างความรักความสามัคคีข้ึนในองค์กร ปัญหาส�ำคัญและการมีส่วนร่วมในการประเมินผล
ดังนั้น ในการบริหารงานในองค์การในด้านต่างๆ งานเสนอความคิดในการแก้ไขปัญหาต่างๆ และ
จะต้องมีหลักคุณธรรมและปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เปดิ โอกาสใหป้ ระชาชนเขา้ รบั ฟงั การประชมุ สภาฯ
สอดคล้องกับแนวคิดของสุโท เจริญสุข กล่าวว่า เพื่อก�ำหนดนโยบายออกระเบียบและข้อบังคับ
ความคิดเห็นเป็นสภาพความรู้สึกทางด้านจิตใจ สอดคลอ้ งกบั แนวคดิ ของจมุ พล นภิ าเกษม กลา่ ววา่
ท่ีเกดิ จากประสบการณ์ และการเรยี นรขู้ องบุคคล ความคดิ เหน็ หมายถงึ ความรสู้ กึ ของบุคคลทีม่ ตี ่อ
อันเป็นผลให้บุคคลมีความคิดต่อสิ่งใดส่ิงหน่ึงใน สิ่งหนึ่งส่ิงใดโดยอาศัยพ้ืนฐานประสบการณ์และ
158 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
สภาพแวดล้อมของแต่ละบุคคลเข้ามาเก่ียวข้อง ความคดิ เหน็ มกั จะมอี ารมณเ์ ปน็ สว่ นประกอบและ
ในการแสดงออก เป็นส่วนที่พร้อมจะมีปฏิกิริยาเฉพาะอย่างต่อ
5. ด้านหลักความรับผิดชอบ พบว่า สถานการณ์ภายนอก
โดยรวมอยู่ในระดับมาก ผลการวิจัยเป็นเช่นน้ี
อภปิ รายไดว้ า่ ใหค้ วามสำ� คญั กบั การบรหิ ารจดั การ 6. ขอ้ เสนอแนะ
ขยะมูลฝอยตามหลักธรรมาภิบาลมีการก�ำหนด
เป้าหมายและมาตรฐาน โดยการวางกรอบความ 1. ขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบาย
รับผิดชอบให้มีขอบเขตท่ีชัดเจนครอบคลุมทั้ง ผลการวิจยั พบว่า โดยรวมท้ัง 6 ดา้ น
ระบบงานมีความต้ังใจและเอาใจใส่ต่อการบริหาร อยู่ในระดับมาก ดังนั้น เทศบาลเมือง ภาคตะวัน
งานค�ำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและ ออกเฉยี งเหนอื ตอนกลาง ควรรกั ษามาตรฐานนี้ไว้
ประชาชนโดยรวม สอดคลอ้ งกบั แนวคดิ ของภวู ดล และส่งเสริมให้บุคลากรมีส่วนร่วมในการแสดง
จันทรศร ให้ความหมายไวว้ า่ หมายถึง ความรสู้ กึ ความคิดเห็นที่มีต่อการบริหารจัดการขยะมูลฝอย
ของบุคคลที่มีต่อส่ิงใดสิ่งหนึ่งที่มีการแสดงออกท่ี หลกั ธรรมาภบิ าลอยา่ งตอ่ เนอื่ ง ใหอ้ ยใู่ นระดบั มาก
สามารถสังเกตได้และการแสดงความคิดเห็นของ ที่สุด โดยเฉพาะดา้ นหลักความมสี ว่ นรว่ ม
บุคคลหนง่ึ บคุ คลอ่ืนๆ อาจไม่เห็นด้วยก็ได้ 1.1 ดา้ นหลกั นติ ธิ รรม ขอ้ ทมี่ คี า่ เฉลย่ี
6. ดา้ นหลักความคุ้มคา่ พบวา่ โดยรวม ต�่ำสุด คือ มีการแบ่งแยกงานช้ีแจงขอบข่าย
อยู่ในระดับมาก ผลการวิจัยเป็นเช่นนี้อภิปราย ภาระงาน และมอบหมายคณะท�ำงานชัดเจน
ได้ว่าให้ความส�ำคัญกับการบริหารจัดการขยะ และเป็นธรรม ดังน้ัน เทศบาลเมืองควรบัญญัติ
มูลฝอยตามหลักธรรมาภิบาลมีการเพ่ิมความ กฎ ระเบียบ ประกาศ ค�ำสั่ง ข้อบังคับต่างๆ
สามารถในการบริหารงานเพ่ิมผลผลิตของงาน ตอ่ ไป
ในทางบวกให้เกิดความคุ้มค่ากับต้นทุนและ 1.2 ด้านหลักคุณธรรม ข้อท่ีมีค่า
ประโยชน์ท่ีได้รับและการประหยัดทรัพยากร เฉลี่ยต�่ำสุด ได้แก่ คณะกรรมการปฏิบัติหน้าที่
อย่างให้เกิดประโยชน์สูงสุดรณรงค์ให้ประชาชน ด้วยความขยันและอดทน ดังน้ัน เทศบาลเมือง
ประหยดั ทรพั ยากร ยึดแนวพระราชดำ� ริเศรษฐกจิ ควรปฏิบัติหน้าที่ด้วยคุณงามความดีไว้อย่าง
พอเพียงใช้งบประมาณแผ่นดินอย่างคุ้มค่าและ ต่อเนือ่ ง ต่อไป
จัดสรรต�ำแหน่งบุคลากรอย่างเหมาะสม สามารถ 1.3 ดา้ นหลกั ความโปรง่ ใส ขอ้ ทมี่ คี า่
ปฏิบัติหน้าท่ีมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เฉลี่ยต่�ำสุด ได้แก่ คณะกรรมการและสมาชิก
สอดคล้องกับแนวคิดของประภาเพ็ญ สุวรรณ มคี วามไวว้ างใจซงึ่ กนั และกนั ในการบรหิ ารเทศบาล
ไดใ้ หค้ �ำจ�ำกัดความของความคดิ เหน็ วา่ “เปน็ การ เมือง ดังนั้น เทศบาลเมืองควรรักษาไว้อย่าง
แสดงออกทางด้านทัศนคติอย่างหนึ่ง” การแสดง ต่อเน่ือง เพื่อประโยชน์ของคณะกรรมการและ
สมาชิกเทศบาลเมืองตอ่ ไป
ปที ี่ 19 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 159
1.4 ด้านหลักการมีส่วนร่วม ข้อที่มี เมืองควรปรับปรุงแก้ไข โดยส่งเสริมให้คณะ
ค่าเฉล่ียต่�ำสุด ได้แก่ เปิดโอกาสให้สมาชิกเข้ามา กรรมการและบุคลากร มีความรับผิดชอบและ
มสี ว่ นรว่ มในการวางแผนความคดิ เหน็ ของเทศบาล มีส่วนร่วมรับผิดชอบการต่อการด�ำเนินงานมาก
เมือง ดังน้ัน เทศบาลเมืองควรส่งเสริมให้สมาชิก ยิง่ ข้นึ
เข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนความคิดเห็นของ 1.6 ด้านหลักความคุ้มค่า ข้อท่ีมีค่า
การด�ำเนินงาน เพื่อให้เป็นไปตามแผนงานท่ี เฉลย่ี ตำ่� สดุ คอื สง่ เสรมิ สนบั สนนุ ใหค้ ณะกรรมการ
ก�ำหนดไวแ้ ละมีประสิทธภิ าพยงิ่ ข้ึน บริหารงานกองทุนอย่างมีประสิทธิภาพและเกิด
1.5 ด้านหลักความรับผิดชอบ ข้อที่ ประโยชน์กับสมาชิกอย่างสูงสุด ดังน้ัน เทศบาล
มคี า่ เฉลยี่ ตำ�่ สดุ ไดแ้ ก่ คณะกรรมการและบคุ ลากร เมืองควรปรับปรุงแก้ไข โดยส่งเสริมให้สมาชิก
มีความรับผิดชอบและมีส่วนร่วมรับผิดชอบ บริหารงานกองทุนอย่างมีประสิทธิภาพและ
การด�ำเนินงานของเทศบาลเมือง ดังนั้น เทศบาล เกิดประโยชนก์ ับสมาชกิ อยา่ งสงู สดุ
References
Pollution Control Department. (2006). Thailand's Pollution Situation Report 2006. Bangkok
: Pollution Control.
Srisaad, B. and Nilkaew, B. (1992). Population Reference when using Instrument with
Estimation Scale. Journal of Educational Measurement, Mahasarakam, 3(1), 22-25.
Yuwaboon, C. (2000). Good Governance. Bangkok : Bophit Printing.
การพฒั นาหลกั สูตรรายวชิ าภาษาอังกฤษเพ่ือการท่องเที่ยว
เชิงวัฒนธรรมตามแนวคดิ การศกึ ษาแบบใชพ้ ้นื ทเี่ ปน็ ฐานรว่ มกับ
การเรยี นรู้แบบเนน้ งานปฏิบัติ มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วทิ ยาลยั สงฆน์ ครพนม*
A Development of Subject Curriculum on English for Cultural
Tourism Based on Place-Based Education with Task-Based Learning
for the Students of Mahachulalongkornrajavidyalaya University
Nakhon Phanom Buddhist College
ศตพล ใจสบาย1, สำ� ราญ ก�ำจัดภยั และพระครูสริ เิ จติยานกุ ิจ2
Sataphol Jaisabai, Sumran Gumjudpai and Phrakru Sirijetiyanukit
มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสกลนคร1
วิทยาลัยสงฆน์ ครพนม มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั 2
Sakhon Nakhon Rajabhat University, Thailand
Nakhon Phanom Buddhist College, Mahachulalongkornrajavidyalaya University, Thailand
Corresponding Author, E-mail: [email protected]
บทคัดยอ่
การวิจัยคร้ังน้ี มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) พัฒนาหลักสูตรรายวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการท่องเท่ียว
เชงิ วฒั นธรรมตามแนวคดิ การศกึ ษาแบบใชพ้ นื้ ทเ่ี ปน็ ฐาน และการเรยี นรแู้ บบเนน้ งานปฏบิ ตั ิ มหาวทิ ยาลยั
มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาลยั สงฆน์ ครพนม และ 2) ศกึ ษาผลการใชห้ ลกั สตู รรายวชิ าภาษาองั กฤษ
เพื่อการท่องเท่ียวเชิงวัฒนธรรมตามแนวคิดการศึกษาแบบใช้พ้ืนท่ีเป็นฐาน และการเรียนรู้แบบเน้นงาน
ปฏบิ ตั ิ การพฒั นาหลักสูตรมี 3 ขน้ั ตอน คอื 1) ศึกษาขอ้ มลู พ้ืนฐาน 2) สร้างหลกั สูตร และ 3) ทดลองใช้
หลกั สตู ร กลมุ่ ตวั อยา่ งทใี่ ชใ้ นการทดลองใชห้ ลกั สตู ร คอื นสิ ติ สาขาวชิ าการสอนภาษาองั กฤษ ปกี ารศกึ ษา
2560 จำ� นวน 16 รปู /คน โดยการสมุ่ อยา่ งงา่ ยและมคี วามสมคั รใจ เครอื่ งมอื ทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั คอื หลกั สตู ร
รายวชิ า แผนบรหิ ารการสอน แบบวดั ความสามารถในการใชภ้ าษาองั กฤษ แบบวดั เจตคตติ อ่ การเรยี นวชิ า
* ไดร้ ับบทความ: 22 มกราคม 2561; แกไ้ ขบทความ: 29 มกราคม 2562; ตอบรบั ตพี ิมพ:์ 14 กุมภาพนั ธ์ 2562
Received: January 22, 2018; Revised: January 29, 2019; Accepted: February 14, 2019
162 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
ภาษาองั กฤษ แบบวดั ความตระหนกั เหน็ คณุ คา่ ในวฒั นธรรม และแบบสอบถามความพงึ พอใจตอ่ การเรยี น
สถติ ทิ ใ่ี ชใ้ นการวิเคราะหข์ ้อมลู คอื ร้อยละ ค่าเฉลย่ี ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และคา่ ทดสอบ t-test แบบ
Dependent Samples
ผลการวิจัยพบวา่
1. หลักสตู รรายวชิ าทีพ่ ฒั นาข้ึน มี 8 องค์ประกอบ คือ ทม่ี าและความสำ� คญั แนวคดิ พนื้ ฐาน
หลักการ จุดมุ่งหมาย โครงสร้างหลักสูตรและค�ำอธิบายรายวิชา แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
สือ่ และแหลง่ เรียนรู้ และการวดั และประเมนิ ผล สว่ นโครงสร้างเนอ้ื หามี 6 หน่วยการเรยี นรู้ รวมทัง้ สิ้น
45 ช่วั โมง ได้แก่ 1) Unit 1-General Information about Nakhon Phanom 2) Unit 2-A Day-trip
to Nakhon Phanom 3) Unit 3-Describing Phra That in Nakhon Phanom 4) Unit 4-Buddhism
and Thai ways of life 5) Unit 5-Cultural and Festivals และ 6) Unit-6 Special interest tour:
Sericulture at Na Wa district โดยที่กระบวนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรมู้ ี 4 ขั้นตอน ได้แก่ ขัน้ ท่ี 1
การนำ� เขา้ สบู่ ทเรยี น (Warm-up) ขน้ั ท่ี 2 กอ่ นการทำ� ภาระงาน (Pre-task) ขน้ั ท่ี 3 การทำ� ภาระงาน (Task
cycle) แบ่งออกเปน็ 3 ขั้นตอน คือ 1) การกำ� หนดภาระงาน (Task) 2) การวางแผนการทำ� ภาระงาน
(Planning) และ 3) การรายงานภาระงาน (Report) และขั้นที่ 4 การวิเคราะห์ภาษา (Language
analysis) แบ่งออกเปน็ 2 ขั้นตอน คอื 1) การวิเคราะห์ภาษา (Language analysis) และ 2) การฝึกใช้
ภาษา (Language practice)
2. ผลการทดลองใชห้ ลกั สตู รรายวชิ า พบว่า 1) นสิ ติ ท่ีเรยี นด้วยหลักสตู รรายวิชาภาษาองั กฤษ
เพ่ือการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมตามแนวคิดการศึกษาแบบใช้พื้นที่เป็นฐานและการเรียนรู้แบบเน้นงาน
ปฏบิ ตั มิ คี วามสามารถในการใชภ้ าษาองั กฤษหลงั การทดลอง สงู กวา่ กอ่ นการทดลองอยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทาง
สถติ ิที่ระดบั .01 2) นิสิตมีเจตคตติ ่อการเรยี นวชิ าภาษาองั กฤษหลังการทดลอง สูงกวา่ ก่อนการทดลอง
อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) นิสิตมีความตระหนักในคุณค่าทางวัฒนธรรมหลังเรียนด้วย
ตอ่ หลักสตู รรายวิชาอยู่ในระดบั มาก ( = 4.39, S.D. = .29) และ 4) นิสติ มคี วามพึงพอใจต่อการเรียน
ด้วยหลักสตู รรายวิชาอยู่ในระดับมาก ( = 4.39, S.D. = .19)
คำ� สำ� คัญ: หลักสูตรรายวชิ า; แนวคดิ การศึกษาแบบใช้พนื้ ที่เปน็ ฐาน; การเรียนรู้แบบเนน้ งานปฏิบัติ
Abstract
The purposes of this research were: 1) to develop a subject curriculum of English
for Cultural Tourism based on the place-based education and task-based learning at
Mahachulalongkornrajavidyalaya university Nakhon Phanom Buddhist College, and 2) to
ปีที่ 19 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 163
investigate the effect of the implementation of the developed curriculum. The developed
curriculum involved three stages: 1) studying necessary background information, 2)
construction of the curriculum, and 3) an experiment in using the curriculum. The samples
in this study were 16 monk/lay students majoring in English teaching during the
academic year 2017 who were willing to take part in the experiment and selected by a
simple random sampling method. The research tools included a subject curriculum,
Instructional Administrative plans, an English ability test, an English attitude test, awareness
of cultural values attitude test, and a questionnaire on satisfaction. The statistics used
included percentage, mean, standard deviations, and t-test for dependent samples.
The findings were as follows:
1. The developed subject curriculum consisted of 8 elements: Rationale and
significance, basic concepts, principles, objectives, structure and course description,
management of learning activities, learning material and resources, and assessment and
evaluation. The structure of the subject curriculum was comprised of 6 Units with a total
of 45 hours of instruction including: 1) Unit 1-General information about Nakhon Phanom;
2) Unit 2-A day-trip to Nakhon Phanom; 3) Unit 3-Describing Phra That in Nakhon Phanom;
4) Unit 4-Buddhism and Thai ways of life; 5) Unit 5-Cultural and Festivals; and 6) Unit
6-Special interest tour: Sericulture at Na Wa district. The management of learning activities
in the subject curriculum involved 4 stages: warm-up, pre-task, task cycle (comprising 3
steps: task, planning, and report), and language analysis (further divided into language
analysis and language practice).
2. Regarding the effect of the subject curriculum of English for cultural tourism
on the students' English ability, the results revealed that 1) the English ability posttest
scores of the students were significantly higher than their pretest scores (p<.01); 2) their
English attitude posttest scores were significantly higher than their pretest scores (p<.01);
3) the students were aware of the cultural values as a result of the subject curriculum
at a high level ( = 4.39, S.D. = 0.52); and the students were satisfied with learning with
the subject curriculum at a high level ( = 4.39, S.D. = .19).
Keywords: Subject Curriculum; Place-based Education; Task-based Learning
164 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
1. บทน�ำ การเรียนการสอนวัฒนธรรมท้องถิ่นตามแนวการ
สอนประสบการณก์ ารอา่ นแบบเสรมิ ตอ่ การเรยี นรู้
อตุ สาหกรรมวฒั นธรรม (Culture Industry) เพอื่ เสรมิ สรา้ งความสามารถการอา่ นภาษาองั กฤษ
ที่รัฐบาลให้ความส�ำคัญปรากฏอยู่ในแผนพัฒนา เพ่ือความเข้าใจ และเจตคติต่อวัฒนธรรมท้องถิ่น
เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 พ.ศ. ของนักศึกษามหาวทิ ยาลัยราชภัฏ พบว่า รปู แบบ
2560-2564 ในการส่งเสริมพัฒนาอุตสาหกรรม การเรียนการสอนวัฒนธรรมท้องถิ่นตามแนวการ
ท่องเที่ยวเชิงบูรณาการ ด้านการท่องเท่ียวโดยใช้ สอนประสบการณก์ ารอา่ นแบบเสรมิ ตอ่ การเรยี นรู้
ประโยชน์จากอัตลักษณ์และเอกลักษณ์แห่งความ มีคะแนนเฉลี่ยต่อวัฒนธรรมท้องถ่ินหลังการ
เป็นไทยที่สะท้อนวัฒนธรรมท้องถิ่นและวิถีชีวิต ทดลองสงู กวา่ กอ่ นการทดลองอยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทาง
ชมุ ชน อาทิ การทอ่ งเทยี่ วเชงิ ศลิ ปะและวฒั นธรรม สถิติที่ระดับ.01 ดังน้ันแล้ว ภาษาและวัฒนธรรม
เป็นต้น การประยุกต์หลักการดังกล่าวสอดคล้อง จึงไม่สามารถแยกออกจากกันได้ การบูรณาการ
กับพระราชบญั ญตั ิการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 วัฒนธรรมกับการเรียนการสอนภาษา จึงมีการ
แกไ้ ขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545 และ (ฉบับท่ี 3) ศกึ ษาอยา่ งกวา้ งขวาง เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ความเขา้ ใจ
พ.ศ. 2553 มาตรา 23 กบั การเรยี นการสอนภาษา วัฒนธรรมของตนเองและวัฒนธรรมอื่นอย่าง
องั กฤษ เนอ่ื งจากการสอนภาษาองั กฤษในประเทศ แท้จรงิ เน้ือหาวฒั นธรรมในการสอนภาษาองั กฤษ
ใดๆ ย่อมมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดอย่างย่ิงกับ ไม่จ�ำเป็นต้องจ�ำกัดอยู่เฉพาะการพูดถึงวัฒนธรรม
วัฒนธรรมของคนในประเทศนั้นๆ โดยใช้ ของประเทศทพ่ี ดู ภาษาองั กฤษเปน็ ภาษาแมเ่ ทา่ นน้ั
คุณลักษณะของท้องถิ่น สถานที่ และประเด็นที่ ส่ือวัฒนธรรมท่ีใช้ในการสอนภาษาอังกฤษ
ก�ำลังเป็นที่สนใจของท้องถ่ินมาเป็นเนื้อหาในการ ควรส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถสื่อสารระหว่าง
สอนให้สะท้อนวัฒนธรรมของตนเองท่ีสัมพันธ์กับ วัฒนธรรมได้ เชน่ การเรยี นการสอนภาษาอังกฤษ
วฒั นธรรมอนื่ ๆ อนั จะเปน็ การสรา้ งความรรู้ ะหวา่ ง ในประเทศไทยควรเกย่ี วขอ้ งกบั ความเขา้ ใจในเรอ่ื ง
วัฒนธรรม (Mckay, 2002) และอีกเหตุผลหนึ่ง วฒั นธรรมไทยด้วย
ทจ่ี ำ� เปน็ ตอ้ งเรยี นรวู้ ฒั นธรรม เนอ่ื งจากวฒั นธรรม ในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษน้ัน
เกิดจากการบูรณาการปฏิสัมพันธ์ระหว่างภาษา ทกั ษะทงั้ 4 การฟงั การพดู การอา่ น และการเขยี น
และความคิด รปู แบบวัฒนธรรม ประเพณี และวิถี นับได้ว่าเป็นทักษะที่ส�ำคัญ และจ�ำเป็นอย่างยิ่ง
ชวี ติ นำ� เสนอผา่ นภาษา วฒั นธรรมใดๆ ในโลกลว้ น เนอ่ื งจากเปน็ ทกั ษะทใี่ ชใ้ นการสอื่ สาร สอดคลอ้ งกบั
สะท้อนให้เห็นได้ผ่านทางภาษา (Brown, 1996; (Ur, 1998) ไดใ้ หค้ วามคดิ เหน็ เกย่ี วกบั เหตผุ ลทตี่ อ้ ง
cited in Mckay, 2002) พฒั นาทกั ษะการฟงั การพดู การอา่ นและการเขยี น
ดังที่งานวิจัยเกี่ยวกับการใช้วัฒนธรรม ของผเู้ รยี นวา่ ความสามารถในการสอื่ สารทง้ั 4 เปน็
ท้องถ่นิ ในการเรยี นการสอนภาษาองั กฤษนัน้ ดงั ที่ ทักษะท่ีส�ำคญั ทง้ั หมด เพราะเป็นทกั ษะท่ีแสดงให้
(Lornklang, 2007) ได้ศึกษาการพัฒนารูปแบบ
ปที ่ี 19 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 165
เหน็ วา่ ผเู้ รยี นมคี วามรทู้ างภาษา และชว่ ยใหเ้ รยี นรู้ ศึกษาในระบบ โดยน�ำบริบทของสถานที่ (Place
ทักษะได้ง่ายขึ้น การเรียนภาษาต่างประเทศไม่ได้ Context) มาบูรณาการเข้ากับสาระการเรียนรู้
เรยี นเพอื่ ความรเู้ กย่ี วกบั ภาษาเทา่ นนั้ แตเ่ รยี นเพอื่ ตามหลักสูตร และจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
ให้สามารถใช้ภาษาต่างประเทศเป็นเครื่องมือใน ตามหลักการเรียนรู้เชิงสถานการณ์ (Situated
การติดต่อสื่อสารกับผู้อ่ืนได้ตามความต้องการใน Learning) โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียน มีประสบการณ์
สถานการณต์ า่ งๆ ทงั้ ในชวี ติ ประจำ� วนั และการงาน ลงมืองานปฏิบัติในท้องถ่ิน สัมผัสด้านสถานที่
อาชพี การทผ่ี เู้ รยี นจะใชภ้ าษาทถ่ี กู ตอ้ งคลอ่ งแคลว่ คุณลักษณะ บทบาท และหน้าท่ีของพลเมือง
และเหมาะสมนั้น ขึ้นอยู่กับทักษะการใช้ภาษา ทีส่ ง่ เสรมิ ความย่ังยนื ของทอ้ งถน่ิ (Sobel, 2004)
ดังนัน้ ในการจดั การเรียนการสอนภาษาทด่ี ี ผู้เรยี น นอกจากจะน�ำแนวคิดการศึกษาแบบใช้พ้ืนที่
จะตอ้ งมโี อกาสไดฝ้ กึ ทกั ษะการใชภ้ าษาใหม้ ากทสี่ ดุ เป็นฐาน (Place-Based Education) มาใชใ้ นการ
ท้ังในห้องเรียนและนอกห้องเรียน การจัด จัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษแล้วและยังน�ำ
กระบวนการเรียนการสอนต้องสอดคล้องกับ แนวคดิ การเรยี นรแู้ บบเนน้ งานปฏบิ ตั ิ (Task-Based
ธรรมชาตแิ ละลกั ษณะเฉพาะของภาษา การจดั การ Learning) มาจดั กจิ กรรมทเ่ี ปน็ การเสรมิ สรา้ ง ฝกึ ฝน
เรียนการสอนภาษา จึงควรจัดกิจกรรมให้หลาก ทักษะการฟัง การพูด การอ่านและการเขียนให้
หลาย ทงั้ กจิ กรรมการฝกึ ทกั ษะทางภาษา กจิ กรรม ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ จากการปฏิบัติโดยฝึกให้
การฝึกผู้เรียนให้รู้วิธีการเรียนภาษาด้วยตนเอง ผู้เรียนได้แสดงออกตามเป้าหมายของการเรียน
ควบคู่ไปด้วย อาจจะน�ำไปสู่การเป็นผู้เรียนที่พ่ึง และฝึกฝนการใช้ภาษาอังกฤษ เพ่ือการสื่อสารใน
ตนเองทด่ี ี สามารถเรยี นรไู้ ดต้ ลอดชวี ติ โดยใชภ้ าษา ชีวิตจรงิ สื่อการเรียนควรจะเปน็ ของจริงท่ีพบเหน็
ต่างประเทศเป็นเครื่องมือการค้นคว้าหาความรู้ อยทู่ วั่ ไปในชวี ติ ประจำ� วนั หรอื ในทอ้ งถนิ่ (Brumfit,
ในการเรียนสาระการเรียนรู้อื่นๆ ในการศึกษาต่อ 1984, Candlin and Murphy, 1987 cited in
รวมทง้ั ในการประกอบอาชพี ซงึ่ เปน็ จดุ หมายสำ� คญั Kenny and Savage, 1997) กล่าวา่ ในการเรียน
ประการหนงึ่ ของการปฏริ ูปการเรียนรู้ แบบเน้นงานปฏิบัติผู้เรียนจะได้รับการกระตุ้น
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตาม ท้าทายด้วยสถานการณ์เพ่ือให้ผู้เรียนตัดสินใจ
แนวคิดการศึกษาแบบใช้พ้ืนที่เป็นฐาน ก�ำเนิดขึ้น โดยอาศยั ความรเู้ ดมิ และความรใู้ หมใ่ นการสนทนา
โดย David Sobel แห่งมหาวิทยาลัยแอนติออช ตดิ ตอ่ สอื่ สารระหวา่ งทำ� กจิ กรรมหรอื งานปฏบิ ตั นิ น้ั
นวิ องิ แลนด์ ประเทศสหรฐั อเมรกิ า เปน็ แนวคดิ ทม่ี ี และการเรียนรู้แบบเน้นงานปฏิบัติ ผู้สอนเสนอ
รากฐานมาจากปรัชญา กลุ่มประสบการณ์นิยม หัวข้อในการสอน ค�ำศัพท์ หรือวลีที่จะเป็น
(Experientialism) และได้รบั อิทธพิ ลจากแนวคิด ประโยชน์แก่ผู้เรียนเพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่
ทางการศึกษาของ John Dewey, William H. ผเู้ รยี นในการปฏบิ ตั งิ านทไี่ ดร้ บั มอบหมาย เสนอผล
Kilpatrick ซงึ่ เปน็ การเชอื่ มโยงชมุ ชนทอ้ งถน่ิ สกู่ าร งานที่ได้ต่อชั้นเรียน โดยผู้สอนจะเฝ้าดูการปฏิบัติ
166 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
งานดังกล่าวอาจใหค้ วามช่วยเหลอื กระตนุ้ ผู้เรยี น อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการพัฒนาหลักสูตร
ระหว่างการปฏิบัติงาน และผู้เรียนร่วมอภิปราย รายวิชานข้ี ึ้นในจังหวัดนครพนม
ถงึ งานท่ีผเู้ รยี นได้ปฏิบตั ิอย่างแท้จรงิ
จากความเป็นมาและความส�ำคัญของ 2. วตั ถุประสงคข์ องการวจิ ยั
ปญั หาผวู้ จิ ยั เหน็ วา่ การจดั การเรยี นการสอนภาษา
อังกฤษให้แก่นักเรียน นิสิต นักศึกษาทุกระดับ 1. เพ่ือพัฒนาหลักสูตรรายวิชาภาษา
มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ดังนั้นผู้วิจัย องั กฤษเพอ่ื การทอ่ งเทยี่ วเชงิ วฒั นธรรมตามแนวคดิ
จึงสนใจท่ีจะพัฒนาหลักสูตรรายวิชาภาษาอังกฤษ การศึกษาแบบใช้พื้นที่เป็นฐาน และการเรียนรู้
เพ่ือการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ตามแนวคิดการ แบบเน้นงานปฏิบัติเพื่อเสริมสร้างความสามารถ
ศกึ ษาแบบใชพ้ นื้ ทเี่ ปน็ ฐาน และการเรยี นรแู้ บบเนน้ ในการใช้ภาษาอังกฤษของนสิ ติ มหาวทิ ยาลยั มหา
งานปฏบิ ตั ิ ให้นสิ ติ ระดับปรญิ ญาตรี สาขาวชิ าการ จฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั วทิ ยาลยั สงฆน์ ครพนม
สอนภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ 2. เพ่อื ศกึ ษาผลการใช้หลกั สูตรรายวชิ า
ราชวิทยาลัย วิทยาลยั สงฆ์นครพนม ผูว้ ิจยั เหน็ ว่า ภาษาอังกฤษเพื่อการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมตาม
การส่ือสารทางด้านการท่องเท่ียวเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ แนวคิดการศึกษาแบบใช้พ้ืนท่ีเป็นฐานและการ
ตัวที่ผู้เรียนควรรู้ วิทยาลัยสงฆ์นครพนมมีความ เรียนรู้แบบเน้นงานปฏิบัติ เพ่ือเสริมสร้างความ
พรอ้ มและเหมาะสมในการพฒั นาหลกั สตู รรายวชิ า สามารถในการใชภ้ าษาองั กฤษของนสิ ติ มหาวทิ ยาลยั
ภาษาอังกฤษเพื่อการท่องเท่ียวเชิงวัฒนธรรม มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาลยั สงฆน์ ครพนม
เน่ืองจากสภาพแวดล้อม แหล่งท่องเท่ียวใกล้ ในประเด็น ดังนี้
วิทยาลัยมีสถานท่ีท่องเท่ียวทางวัฒนธรรมหลาย 2.1 เปรียบเทียบความสามารถใน
แห่ง จึงมีความเหมาะสมอย่างยิ่งท่ีจะพัฒนา การใชภ้ าษาองั กฤษเพอื่ การทอ่ งเทยี่ วเชงิ วฒั นธรรม
หลักสูตรรายวิชาขึ้น ซึ่งเป็นการเสริมสร้างความ ตามแนวคดิ การศกึ ษาแบบใชพ้ นื้ ทเ่ี ปน็ ฐานและการ
สามารถในการใชภ้ าษาองั กฤษดา้ นการฟงั การพดู เรียนรู้แบบเน้นงานปฏิบัติของนิสิตก่อนและหลัง
การอา่ น และการเขยี นของนสิ ติ และสามารถนำ� ไป การทดลองใช้หลกั สตู รรายวิชา
ใช้ในชีวิตจริง ชุมชนและสังคมอย่างเป็นรูปธรรม 2.2 เปรียบเทียบเจตคติต่อการเรียน
ท�ำให้ผู้เรียนเกิดความตระหนักเห็นคุณค่าใน วชิ าภาษาองั กฤษของนสิ ติ กอ่ นและหลงั การทดลอง
วัฒนธรรมท้องถ่ินของตน และส่งผลให้ผู้เรียน ใช้หลกั สตู รรายวชิ า
มคี วามรู้ ความเขา้ ใจในวชิ าภาษาองั กฤษมากยง่ิ ขนึ้ 2.3 ศึกษาความตระหนักเห็นคุณค่า
ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั จดุ ประสงคข์ องหลกั สตู รทตี่ อ้ งการ ในวัฒนธรรมของนิสิตต่อการเรียนด้วยหลักสูตร
ให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจในภาษาอังกฤษ รายวชิ า
สามารถน�ำความรู้ทางภาษาอังกฤษไปประยุกต์ใช้ 2.4 ศกึ ษาความพงึ พอใจของนสิ ติ ตอ่
การเรียนด้วยหลกั สตู รรายวิชา
ปีที่ 19 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 167
3. วิธดี �ำเนนิ การวิจยั การเรียน จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการสอนและ
การจดั การเรยี นการสอน สอ่ื และแหลง่ เรยี นรแู้ ละ
การด�ำเนินการวิจัยเร่ืองการพัฒนา การวดั และประเมนิ ผล แลว้ ใหผ้ เู้ ชย่ี วชาญประเมนิ
หลักสูตรรายวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการท่องเท่ียว ความเหมาะสมของแผนการจดั การเรยี นรนู้ ำ� ขอ้ มลู
เชิงวัฒนธรรม ตามแนวคิดการศึกษาแบบใช้พ้ืนที่ ท่ีได้มาวิเคราะห์ และปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอ
เปน็ ฐานและการเรยี นรแู้ บบเนน้ งานปฏบิ ตั สิ ำ� หรบั แนะของผ้เู ชีย่ วชาญกอ่ นนำ� ไปทดลองใช้
นสิ ติ ระดบั ปรญิ ญาตรี ประกอบดว้ ย 3 ขน้ั ตอน ดงั นี้ 3. การทดลองใช้หลักสูตรรายวิชา
1. การศึกษาข้อมูลพ้ืนฐาน ผู้วิจัยได้ โดยผู้วิจัยเลือกใช้แบบแผนการทดลองแบบกลุ่ม
ศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับการ เดยี วมกี ารทดสอบกอ่ นและหลงั การทดลอง (One
พัฒนาหลักสูตรรายวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการท่อง Group Pretest-Posttest Design) ประชากร คอื
เที่ยวเชิงวัฒนธรรมตามแนวคิดการศึกษาแบบใช้ นสิ ติ สาขาวชิ าการสอนภาษาองั กฤษ มหาวทิ ยาลยั
พื้นที่เป็นฐาน และการเรียนรู้แบบเน้นงานปฏิบัติ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั และกลมุ่ ตวั อยา่ ง คอื
สำ� หรบั นสิ ติ ระดบั ปรญิ ญาตรี แลว้ นำ� มาสงั เคราะห์ นิสิตสาขาวิชาการสอนภาษาอังกฤษ จ�ำนวน 16
เป็นหลักการของหลักสูตรรายวิชา จุดมุ่งหมาย รูป/คน โดยการสมุ่ อย่างงา่ ย และมคี วามสมัครใจ
โครงสรา้ งหลกั สตู รและคำ� อธบิ ายรายวชิ า แนวทาง ในภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2560 ระยะเวลา
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สื่อ และแหล่งเรียนรู้ ทดลองใช้หลักสูตรรายวิชา ระหว่างวันที่ 17
การวัดและประเมินผล เพ่ือใช้เป็นข้อมูลประกอบ พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 ถึงวันที่ 12 มกราคม
การยกรา่ งหลกั สตู รรายวิชาในขัน้ ตอนตอ่ ไป พ.ศ. 2561 โดยใช้เวลา 17 วัน รวม 45 ชั่วโมง
2. การสรา้ งหลกั สตู รรายวชิ า โดยผวู้ จิ ยั (ไมน่ บั รวมกบั เวลาทใ่ี ชใ้ นการเกบ็ ขอ้ มลู กอ่ นทดลอง
น�ำข้อสรุปจากแนวคิดพ้ืนฐานทั้งหมดมาวิเคราะห์ กบั หลังทดลอง)
และก�ำหนดเป็นองค์ประกอบของหลักสูตร ได้แก่ ผู้วิจัยพิจารณาปรับปรุงแก้ไขตามผลการ
ที่มาและความส�ำคัญ แนวคิดพื้นฐาน หลักการ ทดลองใช้หลักสูตรรายวิชาในภาพรวมแล้วจัดท�ำ
จุดมุ่งหมาย โครงสร้างหลักสูตร และค�ำอธิบาย เป็นหลักสูตรฉบับสมบูรณ์ เพ่ือให้ได้หลักสูตรท่ี
รายวิชา แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ส่ือ พร้อมจะนำ� ไปใช้และเผยแพร่ต่อไป
และแหล่งเรียนรู้ การวัดและประเมินผล จากน้ัน
จดั ทำ� รายละเอียดของแตล่ ะองค์ประกอบดังกลา่ ว 4. สรปุ ผลการวจิ ยั
แล้วให้ผู้เชี่ยวชาญประเมินความเหมาะสมของ
หลักสูตรรายวิชา น�ำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ และ จากการศึกษาคร้ังน้ี ผู้วิจัยได้สรุปผลการ
ปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ วิจยั ในประเดน็ ดงั น้ี
กอ่ นนำ� ไปทดลองใช้ และสรา้ งแผนบรหิ ารการสอน 1. หลักสูตรรายวิชามี 8 องค์ประกอบ
ตามองคป์ ระกอบสำ� คญั ไดแ้ ก่ เนอื้ หาประจำ� หนว่ ย คอื ทมี่ าและความสำ� คญั แนวคดิ พนื้ ฐาน หลกั การ
168 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
จุดมุ่งหมาย โครงสร้างหลักสูตรและค�ำอธิบาย หลกั การ จดุ มงุ่ หมาย จดุ ประสงคก์ ารเรยี นการสอน
รายวิชา แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สื่อ เน้ือหาสาระและประสบการณ์ ยุทธศาสตร์การ
และแหล่งเรียนรู้ และการวัดและประเมินผล เรียนการสอน วัสดุอุปกรณ์และส่ือการเรียน
โดยมีผลการประเมินความเหมาะสมของร่าง การสอน และการประเมินผล เพ่ือสร้างหลักสูตร
หลักสูตรรายวิชาและแผนบริหารการสอนจาก ท่ีมีความเหมาะสมและความสอดคล้องกับสภาพ
ผู้เชยี่ วชาญ พบวา่ อยู่ในระดับมาก ความเปน็ จรงิ และนำ� รา่ งหลกั สตู รไปปรบั ปรงุ และ
2. ผลการทดลองใช้หลักสูตรรายวิชา แก้ไขตามค�ำแนะน�ำของผู้เชี่ยวชาญก่อนน�ำไป
พบว่า ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ ทดลองใช้
หลังเรียนหลักสูตรรายวิชาภาษาอังกฤษเพ่ือการ 2. ผลการทดลองใช้หลักสูตรรายวิชา
ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมตามแนวคิดการศึกษา พบว่า 1) ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ
แบบใช้พื้นที่เป็นฐานและการเรียนรู้แบบเน้นงาน เพื่อการท่องเท่ียวเชิงวัฒนธรรมตามแนวคิดการ
ปฏิบัติ และเจตคติต่อวิชาภาษาอังกฤษของนิสิต ศกึ ษาแบบใชพ้ นื้ ทเี่ ปน็ ฐาน และการเรยี นรแู้ บบเนน้
หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัย งานปฏบิ ตั ขิ องนสิ ติ หลงั การทดลองสงู กวา่ กอ่ นการ
ส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ความตระหนักเห็น ทดลองอยา่ งมนี ยั ส�ำคญั ทางสถติ ทิ ่รี ะดบั .01 ท้ังน้ี
คุณค่าทางวัฒนธรรมของนิสิตต่อการเรียนตาม อาจเป็นเพราะว่า แนวทางการจัดกิจกรรมการ
หลกั สตู รรายวิชาอยู่ในระดับมาก ( = 4.39, S.D. เรียนรู้ตามแนวคิดการศึกษาแบบใช้พ้ืนท่ีเป็นฐาน
= .39) และความพงึ พอใจของนสิ ติ ตอ่ การเรยี นตาม และการเรยี นรูแ้ บบเน้นงานปฏบิ ัติ ทง้ั 3 ขน้ั ตอน
หลักสูตรรายวชิ าอย่ใู นระดับมาก ( = 4.39, S.D. ได้แก่ ข้ันการศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ข้ันการสร้าง
= .19) หลักสูตรรายวิชา และข้ันการทดลองใช้หลักสูตร
รายวชิ า สามารถเสรมิ สรา้ งความสามารถในการใช้
5. อภปิ รายผลการวจิ ัย ภาษาอังกฤษของนิสิตหลังเรียนได้ เนื่องมาจาก
นิสิตมโี อกาสฝึกทกั ษะท้ัง 4 ทกั ษะ ได้แก่ การฟงั
จากผลการวิจัยและพัฒนาหลักสูตร การพูด การอ่านและการเขียน ซ่ึงสอดคล้องกับ
รายวิชาครั้งนี้ ผวู้ จิ ัยได้อภปิ รายผล ดงั นี้ Julia B. Akers (1999) ท่ีกล่าวไว้ว่า การเรียนรู้
1. จากผลการสร้างหลักสูตรรายวิชา ดว้ ยบรบิ ททห่ี ลายดา้ นและครอบคลมุ กระบวนการ
ท�ำให้ได้หลักสูตรที่มี 8 องค์ประกอบ ผลการ เรียนรู้จากกิจกรรมในชีวิตจริงท้ังภายในและ
ประเมนิ หลกั สตู รรายวชิ าและแผนบรหิ ารการสอน ภายนอกหอ้ งเรียน ทำ� ใหผ้ ู้เรียนเชอื่ มตอ่ และเขา้ ใจ
จากผู้เชี่ยวชาญ พบว่า หลักสูตรมคี วามเหมาะสม บทเรียน แล้วน�ำไปใช้กับชีวิตของตนเอง การจัด
และสอดคล้องอยู่ในระดับมาก ซึ่งสอดคล้องกับ กจิ กรรมการเรยี นการสอนทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพสง่ เสรมิ
Usanan (1989) และ Buasri (1999) ทก่ี ล่าวถงึ ใหน้ สิ ติ ไดท้ ำ� ความเขา้ ใจและเรยี นรจู้ ากสถานการณ์
องค์ประกอบท่ีส�ำคัญของหลักสูตร ประกอบด้วย
ปที ่ี 19 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 169
ในชวี ติ ประจำ� วนั มกี จิ กรรมการเรยี นรนู้ อกสถานท่ี (2000) ไดท้ ำ� การวจิ ยั เรอื่ ง เจตคตทิ มี่ ตี อ่ วชิ าภาษา
ที่ช่วยให้นิสิตมีความรู้และทักษะการใช้ภาษา อังกฤษของนักเรียนญ่ีปุ่น ระดับชั้นมัธยมศึกษา
อังกฤษและการท�ำงานร่วมกับผู้อ่ืน ส่งผลให้นิสิต ตอนปลาย พบวา่ นกั เรยี นทว่ั ไปมเี จตคตทิ ด่ี ตี อ่ วชิ า
มีทักษะการใช้ภาษาอังกฤษเพ่ือการสื่อสารที่ดีขึ้น ภาษาอังกฤษและผู้พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่
นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับผลการวิจัยของ โดยเฉพาะชาวอเมริกาเหนือ จากการที่นักเรียน
Junwanna (2010) ไดท้ ำ� การพฒั นาโปรแกรมการ ญ่ีปุ่นมีเจตคติท่ีดีต่อการพูดภาษาอังกฤษแบบ
ศกึ ษานอกระบบโรงเรยี นเพอื่ สง่ เสรมิ ความสามารถ อเมริกา และนิยมใช้สินค้าจากประเทศอเมริกา
ในการใช้ภาษาอังกฤษเพ่ืออาชีพ ตามแนวคิดการ โดยมเี จตคตใิ นแงล่ บตอ่ นกั เรยี นญป่ี นุ่ ทน่ี ยิ มการพดู
ศึกษาแบบใช้พืน้ ทีเ่ ปน็ ฐาน และแนวคิดการเรยี นรู้ ภาษาอังกฤษแบบอื่น การศึกษานม้ี งุ่ เนน้ การสอน
จากประสบการณ์ส�ำหรับผู้ประกอบอาชีพขับรถ ภาษาอังกฤษในแบบที่ความเหมาะสมต่อประเทศ
แท็กซี่ในกรุงเทพมหานคร ผลการวิจัยสรุปได้ว่า ญี่ปุ่นท่ีจะน�ำไปสู่การเตรียมความพร้อมให้แก่
ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษเพ่ือการ นักเรียนไปสู่การติดต่อส่ือสารระดับสากล เน้นรูป
สอ่ื สาร ทศั นคตเิ กยี่ วกบั การแกไ้ ขปญั หามลพษิ ทาง แบบให้เห็นเด่นชัดขึ้นเพียงรูปแบบเดียวและ
อากาศในกรงุ เทพมหานคร ทศั นคตติ อ่ การมจี รรยา ท�ำความเข้าใจในบริบทภาษาศาสตร์ สังคมของ
บรรณในการประกอบอาชีพ ทัศนคติต่อการ ภาษาอังกฤษในประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีอิทธิพลอย่าง
ส่งเสริมภาพลักษณ์การให้บริการรถแท็กซ่ีและ มากต่อเจตคติของผู้เรียนที่มีต่อวิชาภาษาอังกฤษ
ค ว า ม มี ส� ำ นึ ก แ ห ่ ง ค ว า ม เ ป ็ น เ จ ้ า ข อ ง พื้ น ท่ี ซงึ่ สอดคลอ้ งกบั Wongyai (2000) ที่ไดก้ ล่าวไวว้ า่
กรุงเทพมหานคร หลังการเข้าร่วมโปรแกรมการ ครูควรปรับปรุงรูปแบบวิธีสอน เปิดโอกาสให้มี
ศึกษานอกระบบโรงเรียนสูงกว่าก่อนเข้าร่วม กิจกรรมการเรียนการสอนเป็นกลุ่ม ให้ผู้เรียนมี
โปรแกรม อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โอกาสพูดแสดงความคิดเห็น ลงมือปฏิบัติ ทำ� งาน
2) เจตคติของนิสิตต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ร่วมกันเป็นกลุ่ม แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกัน
หลงั ทดลองสงู กวา่ กอ่ นทดลองอยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทาง และกัน จะท�ำให้อยากเรียนภาษาอังกฤษมากข้ึน
สถิติที่ระดับ .01 ทั้งอาจเป็นเพราะว่านิสิตรู้สึก สอดคลอ้ งกบั ผลการวจิ ยั ของ Mahaphattanathai
ประทับใจและมีความสนุกสนานในกิจกรรมการ (2005) ไดศ้ กึ ษาผลของการจดั การเรยี นรแู้ บบเนน้
เรียนรู้ ซึ่งจะเห็นได้จากการท่ีนิสิตมีความ งานปฏิบัติท่ีมีต่อความสามารถในการใช้ภาษา
กระตือรือร้น และให้ความสนใจในการร่วมกันท�ำ องั กฤษเพอ่ื การสอ่ื สารของนกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษา
กิจกรรมกลุ่ม และได้แก้ปัญหาท่ีเป็นสถานการณ์ ปีท่ี 4 โรงเรียนธนบุรีวรเทพีพลารักษ์ เขตธนบุรี
ที่ใกล้เคียงกับบริบทหรือชีวิตจริง มีเน้ือหาไม่ไกล กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการทดลองคือ นักเรียนชั้น
ตวั เกนิ ไป สามารถนำ� ไปประยกุ ตใ์ ชไ้ ดจ้ รงิ สง่ ผลให้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4 จำ� นวน 35 คน แบง่ เปน็ กลมุ่ เกง่
ผู้เรียนอยากเรียน ซ่ึงสอดคล้องกับ Matsuda จ�ำนวน 10 คน กลุ่มปานกลาง จ�ำนวน 15 คน
170 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
กลุ่มอ่อน จ�ำนวน 10 คน เคร่อื งมือที่ใชใ้ นการเกบ็ ได้เรียนรู้จากสถานการณ์จ�ำลอง และสถานการณ์
รวบรวมขอ้ มลู คอื แบบทดสอบวดั ความสามารถใน จริงท�ำให้เกิดความสนุกสนานเช่นเดียวกับเจตคติ
การใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร แบบประเมิน ตอ่ การเรยี นวิชาภาษาองั กฤษ
งานปฏิบัติแบบสอบถามวัดเจตคติต่อการเรียน จากผลการทดลองข้างต้นแสดงว่า
ภาษาอังกฤษและแบบสอบถามวัดพฤติกรรมกล้า หลักสูตรรายวิชาภาษาอังกฤษเพ่ือการท่องเท่ียว
แสดงออกในการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการส่ือสาร เชิงวัฒนธรรมตามแนวคิดการศึกษาแบบใช้พื้นท่ี
พบวา่ ความสามารถในการใชภ้ าษาองั กฤษเพอื่ การ เปน็ ฐานและการเรยี นรแู้ บบเนน้ งานปฏบิ ตั สิ ำ� หรบั
สื่อสารของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างหลังการเรียนรู้ นิ สิ ต ร ะ ดั บ ป ริ ญ ญ า ต รี ที่ ผู ้ วิ จั ย พั ฒ น า ขึ้ น มี
แบบเนน้ งานปฏบิ ตั สิ งู ขนึ้ เจตคตติ อ่ การเรยี นภาษา ประสิทธิภาพ และได้รบั การประเมนิ และปรับปรุง
อังกฤษของนักเรียนหลังการเรียนรู้แบบเน้นงาน แก้ไขมาอย่างต่อเนื่องตามลำ� ดับ จนเป็นหลักสูตร
ปฏิบัติค่าเฉล่ียสูงข้ึนและพฤติกรรมกล้าแสดงออก ทส่ี มบรู ณ์ สามารถน�ำไปเผยแพรไ่ ด้
ในการใช้ภาษาอังกฤษเพอ่ื การส่อื สารของนักเรียน
หลังการเรยี นรแู้ บบเน้นงานปฏิบัติสงู ข้ึน 3) ความ 6. ขอ้ เสนอแนะ
ตระหนักเห็นคุณค่าในวัฒนธรรมของนิสิตต่อการ
เรียนด้วยหลักสูตรรายวิชาท่ีพัฒนาข้ึนอยู่ในระดับ 1. ข้อเสนอแนะเพอื่ น�ำผลการวิจัยไปใช้
มาก ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าผู้เรียนได้เรียนอย่างมี 1.1 อาจารย์ ครผู สู้ อนภาษาองั กฤษ
ความสุขจากการท�ำกิจกรรม ลงมือปฏิบัติจริง ระดับอุดมศึกษา มัธยมศึกษาและประถมศึกษา
ท�ำงานเป็นกลุ่มคละความสามารถ ได้แลกเปลี่ยน สามารถน�ำหลักสูตรรายวิชานี้ไปใช้เพ่ือพัฒนาให้
เรียนรู้กับเพื่อนในห้องเรียน น�ำเสนอผลงานของ นิสิต นักศึกษา ผู้เรียนมีความสามารถในการใช้
ตนเอง ใชท้ กั ษะและความสามารถในการใชภ้ าษา ภาษาอังกฤษเพ่ือการส่ือสาร การน�ำเสนอภาษา
อังกฤษ ได้เรียนรู้จากสถานการณ์จ�ำลองและ อังกฤษ ยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษา
สถานการณ์จริง ท�ำให้เกิดความสนุกสนานเช่น อังกฤษ กจิ กรรมทส่ี ำ� คัญ คอื การเช่ือมโยงความรู้
เดียวกับเจตคติต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ กบั บรบิ ททอ้ งถน่ิ อาจารย์ ครคู วรสรา้ งสถานการณ์
และ 4) ความพึงพอใจของนิสิตต่อการเรียนด้วย จ�ำลองหรือน�ำส่ือต่างๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้
หลักสูตรรายวิชาท่ีพฒั นาข้ึนอยใู่ นระดบั มาก ทั้งน้ี ผู้เรียนเกิดการเชื่อมโยงประสบการณ์เดิม น�ำไปสู่
อาจเป็นเพราะว่าผู้เรียนได้เรียนอย่างมีความสุข การสรา้ งประสบการณค์ วามรใู้ หมใ่ นสถานการณจ์ รงิ
จากการท�ำกิจกรรม ลงมือปฏิบัติจริง ท�ำงานเป็น 1.2 ก่อนที่จะน�ำหลักสูตรรายวิชา
กลุ่มคละความสามารถ ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทพ่ี ฒั นาขนึ้ นไ้ี ปใช้ ควรศกึ ษาเอกสารหลกั สตู รอยา่ ง
กับเพ่ือนในห้องเรียน น�ำเสนอผลงานของตนเอง ละเอยี ด และจดั เตรยี ม เครอื่ งมอื สอ่ื วสั ดอุ ปุ กรณ์
ใช้ทักษะและความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ ให้พร้อม เพื่อให้การจัดกิจกรรมตามหลักสูตร
มปี ระสทิ ธิภาพ
ปีที่ 19 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 171
1.3 อาจารย์ ครผู สู้ อนอาจนำ� หลกั สตู ร 3.2 การฝีกผู้เรียนให้รู้จักการเรียนรู้
ที่พัฒนาข้ึนนี้ไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับเน้ือหาวิชา แบบร่วมมือส�ำคัญมากในช่วงแรกๆ เพราะหาก
ภาษาอังกฤษและระดบั ช้ันอืน่ ๆ ได้ ปล่อยให้ผู้เรียนด�ำเนินการเองท้ังหมด ผู้เรียน
2. ข้อเสนอแนะสำ� หรับผู้บรหิ าร จะปล่อยให้เพื่อนบางคนเท่านั้น ท�ำงานกลุ่ม
2.1 ผบู้ รหิ ารควรสนบั สนนุ ใหผ้ สู้ อน จึงควรก�ำกับดแู ลการอภิปรายกลมุ่ อยา่ งใกลช้ ดิ
น�ำรูปแบบการเรียนการสอนท่ีพัฒนาขึ้นไปใช้ 3.3 การประเมินผู้เรียนเป็นส่ิง
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสนบั สนนุ งบประมาณ จ�ำเป็นอย่างย่ิง ทั้งประเมินก่อนเรียนเพ่ือวางแผน
อุปกรณ์ ส่ือการเรียนการสอน โดยเฉพาะการ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและพัฒนา
ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากสถานท่ีจริงใน สื่อการสอนท่ีเหมาะสม ประเมินระหว่างเรียน
ท้องถิ่นทเ่ี อื้อตอ่ การเรียนรู้ด้วยตนเอง เพื่อให้การเสริมต่อการเรียนรู้หรือเพื่อให้ผู้เรียน
2.2 ผู้บริหารควรส่งเสริมให้ผู้สอน สามารถเรยี นรไู้ ดด้ ว้ ยตนเอง และประเมนิ การเรยี น
พัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นเพ่ือตอบสนองต่อนโยบาย รู้เมื่อจบบทเรียนเพื่อตรวจสอบว่าผู้เรียนบรรจุ
การบูรณาการวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น จุดประสงค์ของการเรียนที่ตั้งไว้หรือไม่โดยการ
ให้มากย่ิงขึ้น เพราะเน้ือหาและส่ือการเรียนการ ประเมินสามารถท�ำได้ ซักถาม สังเกต ใช้แบบ
สอนภาษาอังกฤษส่วนใหญ่มีบริบทของประเทศ ฝกึ หดั หรอื แบบทดสอบ เปน็ ตน้
ที่พูดภาษาองั กฤษเป็นภาษาแม่ 4. ขอ้ เสนอแนะในการทำ� วิจยั ครั้งต่อไป
3. ขอ้ เสนอแนะส�ำหรับผสู้ อน 4.1 ควรนำ� แนวคดิ การศกึ ษาแบบใช้
3.1 การคัดเลือก หรือการสร้าง พื้นที่เป็นฐาน และการเรียนรู้แบบเน้นงานปฏิบัติ
เน้ือหาวฒั นธรรมทอ้ งถน่ิ ต้องคำ� นงึ ผู้เรยี น ระดับ ไปศกึ ษาประสทิ ธผิ ลในวชิ าอน่ื ๆ ทมี่ เี นอ้ื หาเหมาะสม
ความยากง่ายของเน้ือหา และจุดประสงค์ของ ได้ เช่น ทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์
การเรียน เป็นส�ำคัญ ดังนั้น หากผู้สอนต้องการ วิทยาศาสตร์ เพื่อเป็นการยืนยันผลว่าหลักสูตร
บูรณาการวัฒนธรรมท้องถ่ินในการเรียนการสอน รายวิชานี้สามารถนำ� ไปใช้กบั วิชาอนื่ ๆ ได้
ภาษาอังกฤษ ควรตรวจสอบและค้นคว้าอย่าง 4.2 ควรศึกษาผลการใช้หลักสูตร
ละเอียดว่า มีแหล่งข้อมูลในหัวข้อน้ันๆ เพียงพอ รายวชิ านใี้ นดา้ นทกั ษะและกระบวนการทางภาษา
หรือไม่ ทั้งข้อมูลภาษาอังกฤษและภาษาไทย อังกฤษอื่นๆ ด้วย ว่าหลักสูตรรายวิชานี้สามารถ
จากน้ันจงึ รวบรวม คดั เลอื ก หรือเรยี บเรียงเนอื้ หา สรา้ งเสรมิ ทักษะและกระบวนการใดไดอ้ ีกบา้ ง
ขึ้นใหม่ให้เหมาะสมกับผู้เรียนและจุดประสงค์การ 4.3 ควรศึกษาผลการใช้หลักสูตร
เรียนรู้ แล้วจึงน�ำเน้ือหาท่ีสร้างขึ้นและผ่าน รายวิชานี้ในด้านทักษะการคิด เช่น การคิด
ผู้เชี่ยวชาญทางภาษาอังกฤษตรวจสอบแล้วมา วิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ
พัฒนาเปน็ บทเรยี นและกิจกรรมท่ีน่าสนใจ เปน็ ตน้ เนอื่ งจากในระหวา่ งการวจิ ยั นอกจากนสิ ติ
172 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
จะได้ฝึกทักษะการคิดแก้ปัญหาแล้ว ยังพบว่า ผเู้ รยี นยงั ไดค้ ดิ ดา้ นอนื่ อกี ดว้ ย จงึ นา่ จะศกึ ษาตอ่ ไป
References
Brumfit, C. (1984). Communicative Methodology in Language Teaching. New York : Cambridge
University Press.
Buasri, T. (1999). Theory: The Design and Development. 2nd edition. Bangkok : Thanachatch
Printing.
Candlin, C.N. (1987). The communicative Teaching of English: Principle and an Exercise
Typology. London: Longman Group Co.
Julia, B., Akers. (1999). Confronting the Realities of Implementing Contextual Learning
Ideas in a Biology Classroom. Unpublished Doctoral Dissertation. Virginia Polytechnic
Institute and State University : United States.
Junwanna, P. (2010). Development of a Non-Formal Education Program to Enhance Vocational
English Skills Based on Place-Based Education and Experiential Learning Approaches
for Taxi Drivers in Bangkok Metropolis. Thesis, Doctor of Philosophy Program in
Non-Formal Education. Graduate School : Chulalongkorn University.
Lornklang, T. (2007). A Development of the Local Culture Instructional Model Based on
Scaffolded Reading Experience Approach to Enhance English Reading Comprehension
Ability and Attitude towards Local Culture of Rajabhat University students. Thesis,
Doctor of Philosophy Program in Curriculum and Instruction. Graduate School :
Chulalongkorn University.
Mahapattanathai, K. (2005). Effect of Knowledge Management of Task-Based Learning on
English for Communication of 4 Mathayoom Suksa Students. Thonburi Worathep
ipalarak School. Thesis, Mater of English. Bangkok : Srinakharinwirot University
Matsuda, Aya. (2000). Japanese Attitudes toward English: A case study of High School
Students. Dissertation Abstracts International, 62(6), 239-A.
Mckay, S.L. (2002). Teaching English as an International Language: Rethinking Goals and
Approaches. Oxford : Oxford University Press.
Ministry of Foreign Affairs. (2011). Master Plan on Connectivity. Bangkok : Kharisamamidia
Printing.
ปีที่ 19 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 173
Murphy, J. (2003). Task-Based Learning, The Interaction Between Tasks and Learners. ELT
Journal, 352-353.
Sa-ngad, U. (1989). Curriculum Development. Bangkok : Mitsiam.
Sobel, D. (2004). Place-Based Education: Connecting Classroom and Community. Great
Barrington, MA : The Orion Society.
Sujarinpong, P. (2009). Guide. Bangkok : Kasetsart University.
Ur, Penny. (1998). A Course in language Teaching. Cambridge : Cambridge University Press.
Wirasombat, T. (2012). Preparation of Graduate Students for ASEAN Community. Lecture
Documentary at Chai Mai Rajabhat University. Bangkok : Thammasat University.
Wongyai, W. (2000). The Curriculum Development and Teaching Practice. Bangkok :
Surirayasan.
แนวทางพฒั นาการปฏบิ ัตธิ รรมนำ� การมีส่วนร่วมสรา้ งสงั คมฐานความร*ู้
Approach of Dhamma Practicing on Knowledge-based Society
Participation
ภานุมาศ จินารัตน์, ไพชยนต์ จนั ทเขต, ณรงค์ศักด์ิ ครุ ุพันธ์,
สริ ิพร แสนทวสี ุข, พนมพร ช่วงชงิ และพิศฐิ ขาวจันทร์
Panumat Jinarat, Paichayon Chanthakaat, Narongsuk Kurupan,
Siriporn Saentaweesuk, Phanomporn Choungching and Pisit Kaaochant
มหาวิทยาลัยการจดั การและเทคโนโลยีอีสเทริ น์
The Eastern University of Management and Technology, Thailand
Corresponding Author, E-mail: [email protected]
บทคดั ย่อ
การวจิ ยั ครัง้ น้ี มีวตั ถปุ ระสงค์เพือ่ นำ� เสนอแนวทางพัฒนาการปฏบิ ตั ิธรรมนำ� การมสี ว่ นรว่ มสร้าง
สังคมฐานความรู้ และมีวัตถุประสงค์รองเพื่อศึกษาระดับการปฏิบัติธรรม การมีส่วนร่วมและสังคมฐาน
ความรคู้ วบคไู่ ปพรอ้ มกบั การวเิ คราะหค์ วามสมั พนั ธร์ ะหวา่ งตวั แปรหลกั และตวั แปรองคป์ ระกอบดา้ นการ
ปฏบิ ตั ธิ รรม การมสี ว่ นรว่ ม รวมถงึ สงั คมฐานความรู้ โดยใชแ้ บบวดั พฤตกิ รรมทไี่ ดร้ บั การพฒั นามาจากการ
ทบทวนวรรณกรรมทงั้ ภายในประเทศและจากตา่ งประเทศ จำ� นวน 39 ขอ้ สำ� หรบั เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู จาก
กลมุ่ ตวั อยา่ งทเ่ี ปน็ สมาชกิ คณะกรรมการหมบู่ า้ นในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื จำ� นวน 365 คน มาใชใ้ นการ
วเิ คราะหข์ อ้ มลู ทางสถติ ิ โดยเฉพาะการวเิ คราะหค์ า่ เฉลย่ี สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน การวเิ คราะหส์ มั ประสทิ ธิ์
สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ แบบวัดพฤติกรรมได้รับการทดสอบคุณภาพเคร่ืองมือ
ตามหลักการวจิ ยั แล้วได้คา่ ความตรงเชิงเน้อื หา มีคา่ CVI เทา่ กับ .98 และมีค่าความเช่อื ม่ันเทา่ กบั .92
ผลการวจิ ยั พบว่า คา่ เฉลยี่ ตัวแปรหลักและตวั แปรองคป์ ระกอบการปฏบิ ตั ธิ รรม การมสี ่วนร่วม
และสังคมฐานความรู้อยู่ในระดับมาก และมีความสัมพันธ์ในเชิงบวกระดับปานกลางถึงมากที่สุดอย่างมี
นัยส�ำคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 โดยมีค่า r ระหว่าง .53 ถึง .80 นอกจากนั้นแล้วข้อค้นพบส�ำคัญ
พบว่า ตัวแปรองค์ประกอบการปฏิบัติธรรมและการมีส่วนร่วมสามารถอธิบายความแปรปรวนร่วมกัน
ตอ่ สงั คมฐานความรไู้ ดอ้ ยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ รี่ ะดบั .05 ทงั้ นจ้ี ดั เรยี งลำ� ดบั ตามคา่ อทิ ธพิ ล ประกอบดว้ ย
การมสี ่วนรว่ มรบั ผลประโยชน์ ปัจจยั เกอื้ กูล การมสี ่วนรว่ มวางแผน ตดิ ตามประเมนิ ผล ปญั ญา ศีลและ
* ได้รบั บทความ: 28 มิถนุ ายน 2561; แก้ไขบทความ: 11 กุมภาพนั ธ์ 2562; ตอบรับตพี ิมพ:์ 18 มีนาคม 2562
Received: June 28, 2018; Revised: February 11, 2019; Accepted: March 18, 2019
176 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
สมาธิ แต่อยา่ งไรก็ตามการน�ำไปใชป้ ระโยชน์ในทางปฏิบตั ินัน้ ควรตอ้ งเริ่มต้นจากการนำ� เอาผลวิจยั ไปใช้
เปน็ ข้อกำ� หนดเก่ยี วกับแนวนโยบาย การให้การสนับสนุน และการก�ำหนดคุณสมบตั ิส�ำคญั ของผู้ทีจ่ ะเขา้
มาเป็นคณะกรรมการหมู่บ้านเพ่ือยังประโยชน์ต่อสังคมฐานความรู้ที่มีการปฏิบัติธรรมนำ� การมีส่วนร่วม
ของสมาชกิ กรรมการหมบู่ า้ น
ค�ำสำ� คญั : การปฏบิ ตั ิธรรม; การมสี ่วนร่วม; สงั คมฐานความรู้
Abstract
This quantitative research is primarily aimed at presenting the development of
the Dhamma practice, leading to the participation of the knowledge-based society.
The secondary purpose is to study the level of Dhamma practice, participation and
knowledge-based society along with analyzing relationship between the main variables
and the components of the Dhamma practice, participation including the knowledge-
based society, using the behavioral model developed by the literature review in the
country and foreign countries on 39 items for collecting data from 365 northeastern
village council members for statistical analysis, especially the average analysis, standard
deviation, correlational coefficient analysis and multiple regression analysis. The behavioral
test was tested for quality of the instruments by research methodology found that the
content validity was CVI of .98 and the reliability was .92.
The research found that: Mean, primary variables, participation variable and the
knowledge-based society variable were at a high level, the correlation coefficients were
middle level to high level for statistically significant at .01 level, with r values between
.53 and .80. In addition, the key findings. Factors, composition, Dhammapractice variable,
and participation variable can explain the variance in knowledge-based society at the .05
level. Sorted by the influence, participation for benefits, supporting factor participation
for planning, tracking, evaluating, wisdom, precepts and meditation. However, the practical
implementation should be started with the result of research as a policy statement
support offering, personal quality configuration of people who would be a village
council for getting the benefit for knowledge-based society with the Dhammapractice
which leading the participation of members of the village council.
Keywords: Dhamma Practice; Participation; Knowledge-based Society
ปที ่ี 19 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 177
1. บทน�ำ โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมกันสร้างความ
ก้าวหน้าทางสังคมเศรษฐกิจ จ�ำเป็นต้องอาศัย
การเปล่ียนแปลงของกระแสโลกจากผล ความรู้ อาศยั ปญั ญาทม่ี ากพอสำ� หรบั นำ� ไปประยกุ ต์
ของความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และ ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการด�ำเนินชีวิตประจ�ำวัน
เทคโนโลยีเพื่อการส่ือสารมิได้เป็นเรื่องผิดปกติ ร่วมกันในหมู่มนุษย์ หากแต่การวางรากฐานให้ดี
แต่อย่างใดของสังคมโลก หากแต่มนุษย์ขาดแนว มคี วามมนั่ คงกลายเปน็ ประเดน็ ทมี่ ไิ ดห้ ยบิ ยกขนึ้ มา
ปฏิบัติส�ำหรับน�ำไปใช้เป็นหลักในการด�ำรงชีวิตให้ ใชเ้ ปน็ หลกั การสำ� คญั สำ� หรบั การนำ� ไปลงมอื ปฏบิ ตั ิ
รอดพ้นจากวิกฤติอันเป็นธรรมดาของทุกชีวิตท่ี ให้ปรากฏผลเชิงรูปธรรมชัดเจน โดยเฉพาะการ
อาศยั อยบู่ นโลกนเ้ี ปน็ ประเดน็ สำ� คญั ทคี่ วรแกก่ าร ประพฤติปฏิบัติดีตามหลักศาสนาส�ำหรับช้ีน�ำการ
ท�ำความเขา้ ใจอย่างชัดเจน แลว้ น�ำไปลงมอื ปฏิบัติ มีส่วนร่วมในกิจกรรมสร้างสรรค์ความรู้ท่ีมี
ให้ปรากฏผลชดั เชงิ รปู ธรรม เพ่ือลดปญั หาอันเป็น ประโยชน์ต่อการพัฒนาสังคม (Thongsri 2016)
ผลจากความรสู้ กึ คบั ขอ้ งใจ เปน็ ทกุ ขก์ บั การดำ� เนนิ อธิบายถึงหลักการส�ำคัญของการเข้าร่วมท�ำ
ชวี ติ ตามปกตใิ นแตล่ ะวนั (Sirikarn, 2008) สำ� รวจ กิจกรรม เพ่ือการพัฒนาสันติภาพในสังคมของ
การปฏิบัติธรรมของชนชั้นกลางแล้วพบว่าร้อยละ ประชาชนในพ้ืนท่ีทุกระดับ ทุกอาชีพน้ันเป็นหลัก
80 เปน็ สตรที ป่ี ระกอบอาชพี อสิ ระ อาศยั อยใู่ นเขต การท่ีเน้นการพัฒนาสังคม ส่วนการประกอบ
เมืองแล้วมุ่งมาปฏิบัติธรรม เพ่ือลดปัญหาความ กจิ กรรมทางศาสนา โดยเฉพาะการปฏิบัติตนตาม
ทกุ ขท์ เ่ี กดิ ข้ึนภายในจิตใจ จากการฝกึ ปฏบิ ัตธิ รรม หลกั ศาสนานนั้ เนน้ เพอื่ การสรา้ งสนั ตภิ าพในสงั คม
ตามกระบวนการฝึกสมาธิ ควบคุมจิตใจและ อันเป็นเป้าหมายส�ำคัญของทุกชีวิตท่ีอาศัยอยู่
อารมณใ์ ห้สงบนิง่ ได้เปน็ การชว่ั คราว เพราะฉะน้นั บนโลกทต่ี า่ งดน้ิ รนแสวงหาสนั ตภิ าพจากภายนอก
สังเกตไดว้ า่ ประชาชนทอี่ าศยั อยูใ่ นสงั คมสามารถ โดยละเลยการแสวงหาสันติภาพภายในจิตใจตน
ฝึกปฏิบัติธรรมอันเป็นการน�ำหลักศาสนามาใช้ จากการปฏบิ ตั ธิ รรม คอื การประพฤตติ นตามหลกั
เป็นแนวปฏิบัติในการด�ำรงชีวิตเพ่ือแสวงหา ความเชอื่ ทางศาสนา ซงึ่ ถอื เปน็ รากฐานทมี่ นั่ คงของ
ความสงบสุขร่วมกันของผู้อาศัยอยู่ในสังคม การด�ำเนินชีวิตท่ามกลางกระแสการเปล่ียนแปลง
เดียวกัน ซึ่งต่างเชื่อว่าการปฏิบัติธรรมช่วยให้การ ของโลก เพราะฉะนั้นการมีส่วนร่วมท�ำกิจกรรม
ด�ำรงชีวิตทุกเพศ ทุกวัยในทุกสังคมประสบกับ พฒั นาความรงุ่ เรอื งทางสงั คมเศรษฐกจิ ทง้ั จากการ
ความสงบสขุ โดยปราศจากความทุกข์อันเปน็ เหตุ เพิ่มผลผลิต หรือลดต้นทุนให้น้อยลงยังจ�ำเป็น
ให้ก่อความวุ่นวายในสังคมที่ต้องอาศัยทั้งความ ตอ้ งตงั้ อยบู่ นพนื้ ฐานการปฏบิ ตั ธิ รรมอยา่ งเขม้ แขง็
อดทน และการรบั ฟงั ไดอ้ ยา่ งลกึ ซง้ึ (Pongsiriwan ทง้ั การรกั ษากาย วาจา และใจใหบ้ รสิ ทุ ธิ์ ตลอดจน
and Theerapong, 2012) เพื่อให้ปรากฏผลชัด การฝึกปฏิบัติสติตนให้ถึงพร้อมปัญญาเพื่อการ
แจ้งต่อทุกการมีส่วนร่วมในการท�ำกิจกรรมภายใน พิจารณาใคร่ครวญต่อทุกสถานการณ์ที่เกี่ยวข้อง
สงั คม
178 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
กับความรุ่งเรืองของประเทศ ที่ต้องอาศัยความ วางแผน ดำ� เนนิ การ รับผลประโยชนไ์ ปจนถงึ การ
ร่วมมือจากประชาชนทุกฝ่ายในการใช้สติปัญญา ติดตามประเมินผลและการใช้ปัจจัยอ่ืนในการ
เพื่อพยายามคิดค้น และใคร่ครวญถึงหนทาง เก้ือกูลความส�ำเร็จของการร่วมกันสร้างสังคม
แนวทาง รวมถงึ การพฒั นาเครอื่ งมอื ขนึ้ มาใชใ้ นการ ฐานความรู้ที่ประกอบด้วยตัวความรู้ การสร้าง
แกไ้ ขปญั หา ตลอดจนพลกิ สถานการณท์ เ่ี ปน็ วกิ ฤติ ความรู้ การนำ� ความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ และเทคโนโลยี
ให้เป็นโอกาสส�ำหรับการพัฒนาประเทศซึ่งต้อง สารสนเทศเพ่ือการสื่อสาร ส�ำหรับน�ำไปแก้ไข
เรมิ่ ตน้ จากการสรา้ งจรยิ ธรรมใหป้ รากฏชดั ในสงั คม สภาพปัญหาการขาดคุณธรรมของผู้คนในสังคม
อย่างกวา้ งขวางก่อนเปน็ เบ้อื งตน้ (Moonsuwan, สามารถปรับปรุงแก้ไข และพัฒนาความประพฤติ
2016) ให้สุจริตได้ด้วยการปฏิบัติธรรมก่อนการเข้าร่วม
เพราะฉะน้ัน การปฏิบัติธรรมย่อมถูกน�ำ ในทุกกิจกรรมท่ีมีจุดเน้นส�ำคัญด้านการพัฒนา
มาใชใ้ นการนำ� รอ่ งดา้ นการมสี ว่ นรว่ มของประชาชน ประเทศชาติ ท้ังท่ีเก่ียวข้องกับการสร้างความรู้
ในการสร้างสังคมฐานความรู้ เพ่ือความเจริญ การเพ่ิมรายได้ ไปจนถึงการผลิตสิ่งของข้ึนมาใช้
รงุ่ เรอื งของประเทศชาตไิ ดอ้ ยา่ งชดั แจง้ ทงั้ นี้ ถอื วา่ ประโยชน์ส�ำหรับการสร้างความรุ่งเรืองแก่สังคม
การพัฒนาสังคมให้ประสบความส�ำเร็จตามความ ทั้งน้ีเชื่อม่ันว่าการปฏิบัติธรรมของประชาชน
คาดหวังจ�ำเป็นต้องอาศัยทรัพยากรมนุษย์ที่มี ส่งเสริมจิตส�ำนึกที่ดีเมื่อจ�ำเป็นต้องร่วมมือกัน
คุณค่าและคุณภาพทางจิตใจส�ำหรับน�ำไปใช้ ประสานปัญญาเข้ามาช่วยกันพัฒนาประเทศ
เป็นหลักในการปฏิบัติงานตามความคาดหวังน้ัน หากแตจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งเรม่ิ ตน้ จากการปรบั รากเหงา้ ของ
ซ่ึงด้วยเหตุผลนี้สภาพปัญหาที่เก่ียวกับการพัฒนา การประพฤติทุจริตเสียก่อนสร้างเสริมปัญญาให้
สงั คมผา่ นกระบวนการบรหิ ารงานเชงิ ประสทิ ธภิ าพ เป็นคุณต่อส่วนรวมท่ีเน้นสันติภาพเป็นส�ำคัญ
ย่อมต้องใช้การปฏิบัติธรรมของท้ังผู้บริหารและ (Mensuwan, et al., 2017)
บุคลากรเป็นตัวน�ำร่องการปฏิบัติงานให้ประสบ
ความส�ำเร็จตามความมุ่งหวังน้ัน ท้ังน้ีการปฏิบัติ 2. วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย
ธรรมช่วยให้เกิดความพากเพียร และรู้จักใฝ่ใจ
ตอ่ การพฒั นาตนเองควบคไู่ ปพรอ้ มกบั ความสำ� เรจ็ 1. เพ่ือศึกษาระดับการปฏิบัติธรรมน�ำ
ของการพัฒนาประเทศ (Pimchumlek, 2010) การมสี ว่ นรว่ มสรา้ งสงั คมฐานความรู้
ดงั น้ัน การปฏบิ ัติธรรมท่ปี ระกอบไปด้วย 2. เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของการ
การรักษาศีล การฝึกสมาธิ และการเจริญปัญญา ปฏิบัติธรรมน�ำการมีส่วนร่วมสร้างสังคมฐาน
สามารถน�ำไปใชใ้ นระหว่างการท�ำกิจกรรมร่วมกนั ความรู้
ของผู้เก่ียวข้องในการพัฒนาหมู่บ้าน ซึ่งในกรณีนี้ 3. เพ่ือน�ำเสนอแนวทางส�ำหรับการ
หมายถึงคณะกรรมการหมู่บ้านที่ต้องร่วมกัน ยกระดับการปฏิบัติธรรมน�ำการมีส่วนร่วมสร้าง
สังคมฐานความรู้
ปีท่ี 19 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 179
3. วิธีด�ำเนนิ การวิจยั 110,388 คน (Department of the Interior,
2014) ท้ังนีน้ ำ� มาก�ำหนดขนาดตัวอยา่ ง (Sample
งานวิจัยน้ี เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ Size) ตามสตู รของ Yamane ทร่ี ะดบั ความเชอ่ื มน่ั
โดยมีขั้นตอนการวิจัยที่เร่ิมต้นจากการทบทวน ร้อยละ 95 จากจำ� นวนประชากรท้ังหมด ได้ขนาด
วรรณกรรม สำ� หรบั นำ� มากำ� หนดกรอบแนวคดิ วจิ ยั กลมุ่ ตวั อยา่ งจำ� นวน 400 คน (Ngamyarn, 2011)
และนิยามเชิงปฏิบัติการเพ่ือน�ำไปใช้ร่างแบบวัด ส่วนการพัฒนาเครื่องมือวิจัยและการน�ำ
พฤติกรรมด้านการปฏิบัติธรรม การมีส่วนร่วม ไปใช้เก็บรวบรวมข้อมูลน้ัน ผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้นมา
และสังคมฐานความรู้ของกลุ่มตัวอย่างส�ำหรับ จากการทบทวนวรรณกรรมท้ังภายในประเทศ
น�ำมาใช้ในการวิเคราะห์ผล สรุปผล และรายงาน และต่างประเทศ แลว้ นำ� เอานิยามเชงิ ปฏิบัติการท่ี
ผลการวิจัย ทั้งนี้ส่วนประกอบของแต่ละข้ันตอน สามารถวเิ คราะหไ์ ดม้ าจดั ทำ� รา่ งแบบวดั พฤตกิ รรม
การวิจยั ตอ่ ไปนี้ จำ� นวน 39 ขอ้ แลว้ นำ� ไปทดสอบคณุ ภาพเครอ่ื งมอื
ประชากร (Population) คอื คณะกรรมการ ไดค้ า่ ดชั นีความตรง CVI เท่ากับ .98 และคา่ ความ
หมูบ่ า้ นเปน็ หน่วยในการวิเคราะหข์ อ้ มูล (Unit of เช่ือมั่นท่ี .92 ก่อนน�ำไปใช้เก็บรวบรวมข้อมูลที่มี
Analysis) โดยมีประธาน รองประธาน สมาชิก ความสมบูรณ์พอส�ำหรับการวิเคราะห์ผลจ�ำนวน
องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน และผู้ทรงคุณวุฒิ 365 ตัวอย่าง ส�ำหรับน�ำมาวิเคราะห์ผลด้วยสถิติ
ที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นคณะกรรมการหมู่บ้าน การหาคา่ เฉลยี่ สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน การวเิ คราะห์
เฉลี่ยหมู่บ้านละไม่เกิน 12 คน เป็นผู้ให้ข้อมูล สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์ถดถอย
(Department of the Interior, 2014) ท้ังน้ี พหคุ ณู
พิจารณาศึกษาเฉพาะภายในเขตภาคตะวันออก
เฉยี งเหนอื จำ� นวน 20 จงั หวดั แล้วน�ำมาแบ่งกลุม่ 4. สรปุ ผลการวิจยั
ตามลักษณะกลุ่มการปกครองออกเป็น 5 กลุ่ม
จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบด้วย จากผลการวิเคราะห์ข้อมูล สามารถสรุป
กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 ข้อค้นพบส�ำคัญ ตามวัตถุประสงค์วิจัยท่ีประกอบ
จำ� นวน 5 จังหวดั ตอนบน 2 จ�ำนวน 3 จงั หวดั ด้วยแนวทางพัฒนาการปฏิบัติธรรมน�ำการมี
ตอนกลาง จ�ำนวน 4 จงั หวดั ตอนลา่ ง 1 จำ� นวน สว่ นรว่ มสรา้ งสงั คมฐานความรนู้ นั้ ประกอบไปดว้ ย
4 จังหวัด และตอนล่าง 2 จ�ำนวน 4 จังหวัด ชุดตัวแปร ด้านการรับผลประโยชน์ การวางแผน
รวมทั้งส้ิน 20 จังหวัด แล้วน�ำมาสุ่มกลุ่มละ การติดตามประเมินผล ปัจจัยเกื้อกูล ร่วมกับการ
1 จงั หวดั ประกอบดว้ ย จงั หวดั อดุ รธานี มกุ ดาหาร ฝึกสมาธิ การรักษาศีล และการเจริญปัญญา
ขอนแก่น สุรนิ ทร์ และอุบลราชธานี เพ่อื คำ� นวณ ท้ังน้ีชุดตัวแปรน้ีสามารถอธิบายความแปรปรวน
จ�ำนวนหมู่บ้าน ได้จ�ำนวนหมู่บ้านท้ังสิ้น 9,199 ร่วมกันต่อสังคมฐานความรู้ได้อย่างมีนัยส�ำคัญ
หมู่บ้าน ได้จ�ำนวนคณะกรรมการหมู่บ้านท้ังหมด ทางสถิติท่ีระดับ .05 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์ความ
180 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
แปรปรวนร้อยละ 77.9 ต่อตัวแปรผลสังคมฐาน มีค่าสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์ท่ี .874 ส่วนความ
ความรู้ที่ประกอบด้วย ความรู้ การสร้างความรู้ สัมพันธ์ระหว่างคู่ตัวแปรองค์ประกอบด้านการ
การน�ำความรู้ไปใช้ประโยชน์ และเทคโนโลยี ด�ำเนินงาน และการรับผลประโยชน์มีระดับความ
สารสนเทศเพอื่ การสอ่ื สาร แตอ่ ยา่ งไรกต็ ามจากผล สมั พนั ธม์ ากทส่ี ดุ ของคตู่ วั แปรองคป์ ระกอบทนี่ ำ� ไป
การวิเคราะห์ความสัมพันธ์พบว่าตัวแปรหลัก ใช้ในการวิเคราะห์ถดถอยพหคุ ณู โดยมคี ่า r = .82
ทงั้ สามตวั แปรมคี วามสมั พนั ธไ์ ปในทศิ ทางเดยี วกนั เพราะฉะน้นั เมอ่ื นำ� ตัวแปรองค์ประกอบไปใช้เปน็
เชิงบวกอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ตัวแปรต้นในการพยากรณ์ตัวแปรตามสังคมฐาน
อยู่ในระดับมากท่ีสุดโดยเฉพาะความสัมพันธ์ ความรู้ ปรากฏผลการวิเคราะห์สัมประสิทธิ์
ระหว่างการมีส่วนร่วมและสังคมฐานความรู้ พยากรณ์ตามตารางตอ่ ไปน้ี
ตารางท่ี 1 อทิ ธพิ ลพยากรณต์ ามรูปแบบที่ 7 (n =365)
ตัวแปรต้น คะแนนดบิ คะแนนมาตรฐาน ผลทดสอบ นยั สำ� คญั พหุตัวแปร
(Independent) (B) (Beta) (t-test) (Sig.) (Collinearity)
Tol. VIF
คา่ คงที่ (Constant) .218 - 1.91 .056 --
.000 .29 3.43
1. รับผลประโยชน์ (BP) .292 .295* 6.38 .000 .33 2.90
.000 .37 2.67
2. ปจั จัยเกื้อกลู (SF) .231 .248* 5.78 .001 .32 3.08
.012 .33 2.95
3. วางแผน (PP) .168 .196* 4.81 .004 .42 2.10
.041 .28 3.56
4. ติดตามประเมินผล (EP) .148 .149* 3.40
5. ปัญญา (IT) .102 .107* 2.51
6. ศลี (PC) -.091 -.104* -2.82
7. สมาธิ (MP) .092 .097* 2.05
Durbin-Watson = 1.638, R2 = .779, Adjust R2 = .775, F = 179.819, Sig. .000
Dependent สงั คมฐานความรู้ (KBS)
*P< .05
จากตารางพบว่า ปัจจัยท่ีมีอิทธิพลสูงสุด โดยมีอิทธิพลร่วมกันอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติที่
ต่อการพยากรณ์ตัวแปรตามสังคมฐานความรู้นั้น ระดบั .05 โดยมคี า่ ทดสอบ F = 179. 819 ดงั นัน้
เรยี งลำ� ดบั จากตวั แปรรบั ผลประโยชนป์ จั จยั เกอื้ กลู เมื่อน�ำไปสร้างเป็นสมการพยากรณ์ตามคะแนน
วางแผน ตดิ ตามประเมนิ ผล ปญั ญา ศลี และสมาธิ มาตรฐาน สามารถสรา้ งรปู ของสมการได้ตอ่ ไปน้ี
ปีที่ 19 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 181
สงั คมฐานความรู้ (KBS) *P< .05
= .295* (BP) +. 248* (SF) + .196* (PP) นอกจากน้ียังสามารถน�ำมาร่างเป็น
+ .149* (EP) + .107* (IT) + ( .104 * PC) + .097* แนวทางการพัฒนาในลักษณะของภาพประกอบ
(MP) ได้ดงั ตอ่ ไปนี้
ภาพที่ 1 แนวทางพฒั นาการปฏิบัติธรรมน�ำการมสี ว่ นร่วมสรา้ งสงั คมฐานความรู้
จากภาพประกอบสามารถสรุปได้ชัดเจน มีอิทธิพลทางตรงต่อการมีส่วนร่วม และการมี
ถงึ ชดุ ตวั แปรทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอ่ การพยากรณส์ งั คมฐาน สว่ นร่วมส่งผลกระทบตอ่ ไปยงั สังคมฐานความรใู้ น
ความรู้นั้น ประกอบด้วย อิทธิพลจากตัวแปรศีล ลำ� ดบั ถดั ไป
สมาธิ และการเจริญปัญญาอันเป็นองค์ประกอบ ดังน้ัน สรุปได้ชัดถึงแนวทางพัฒนาการ
ส�ำคัญของการปฏิบัติธรรม โดยมีอิทธิพลร่วมกับ ปฏิบัติธรรมน�ำการมีส่วนร่วมสร้างสังคมฐาน
ตัวแปรองค์ประกอบการมีส่วนร่วมด้านการ ความรู้ได้อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติท่ีระดับ .05
วางแผน รบั ผลประโยชน์ ติดตามประเมินผลและ ผ่านชุดตัวแปรองค์ประกอบตามภาพประกอบ
ปัจจัยเก้ือกูล นอกจากน้ีแล้วการปฏิบัติธรรมนั้น ข้างตน้
182 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
5. อภปิ รายผลการวจิ ยั ส่วนร่วมได้นั้น หมายถึง การฝึกให้ทุกคนท่ีเข้าไป
มีส่วนร่วมในทุกกิจกรรมของสังคมเป็นบุคคล
จากสิ่งท่ีค้นพบส�ำคัญ คือ แนวทาง ท่ีมีศีล มีสมาธิ และมีปัญญาส�ำหรับใช้น�ำทุก
พฒั นาการปฏบิ ตั ธิ รรมนำ� การมสี ว่ นรว่ มสรา้ งสงั คม กิจกรรมของชวี ิต ซึ่งสอดคล้องกับผลการวจิ ัยของ
ฐานความรู้ ต้องอาศัยชุดตัวแปรองค์ประกอบ พระมหารัฐภูมิ รตนรสี และคณะ (Phramaha
ดา้ นการวางแผน รบั ผลประโยชน์ ตดิ ตามประเมนิ ผล Ratthaphumee Rattanawasi, et al., 2016)
ปจั จยั เกอ้ื กลู ปญั ญา ศลี และสมาธเิ รยี งตามลำ� ดบั พบวา่ การมสี ว่ นรว่ มทำ� กจิ กรรมสวดมนตไ์ หวพ้ ระ
โดยเฉพาะผลท่ีปรากฏชัดต่ออิทธิพลของตัวแปร ฝึกสมาธิ ร่วมท�ำกิจกรรมวันส�ำคัญทางศาสนา
ทัง้ หมดดังนี้ วันธรรมะสวนะ สมาทานศีล และการสืบสาน
1. ประเด็นพัฒนาการปฏิบัติธรรมน�ำ ประเพณไี ทย มคี า่ เฉลย่ี อยใู่ นระดบั มาก แตอ่ ยา่ งไร
การมีส่วนร่วม เป็นการฝึกฝนจิตใจของมนุษย์ ก็ตามผลวิจัยพอสรุปได้ถึงแนวทางการปฏิบัติ
ให้มีคุณภาพสูงขึ้น เพ่ือให้มีความเห็นไปจนถึง ธรรมะอนั ประกอบดว้ ย การรกั ษาศลี การฝกึ สมาธิ
การลงมอื ปฏบิ ตั อิ ยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ในการดำ� รงชวี ติ และการเจริญปัญญาอันเป็นการปฏิบัติธรรมะ
มิให้เป็นปัญหา และสรา้ งความเดอื ดร้อนแกส่ ังคม ส�ำหรับน�ำไปใช้ในการมีส่วนร่วมท�ำกิจกรรม
โดยเฉพาะปญั หาการสรา้ งความไมส่ งบสขุ ในสงั คม ของกลุ่ม หรือหมู่คณะอย่างมีจุดมุ่งหมาย
อันเป็นผลจากการมีพฤติกรรมท�ำความเดือดร้อน เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมะย่อมเป็นตัวน�ำการ
ใหแ้ ก่ผู้อื่น จากการประพฤตผิ ิดทกุ ประการจ�ำเปน็ มีส่วนร่วมต่อการพัฒนากล่มุ หรอื ชุมชนได้อยา่ งมี
ต้องอาศัยหลักในการปฏิบัติตนให้อยู่ภายในกรอบ นัยส�ำคัญทางสถติ ิ
ของศีลธรรม น้ันคือการปฏิบัติธรรมที่เป็น 2. การปฏิบัติธรรมน�ำการวางแผน
กระบวนการฝึกปฏิบัติให้เข้าใจในธรรมชาติของ อาจมสี ว่ นประกอบสำ� คญั ประกอบดว้ ย การตดั สนิ
การใช้ชวี ติ ไดอ้ ยา่ งสงบสุข สว่ นประเดน็ พฒั นาน้นั ใจต่อการก�ำหนดเป้าหมายของหมู่คณะไปจนถึง
สามารถฝึกฝนให้เป็นผลต่อการพัฒนาพฤติกรรม การรว่ มแสดงความคดิ เหน็ ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั โครงการ
ที่ไมส่ รา้ งความเดือดรอ้ นแกผ่ ู้อืน่ การพดู แตค่ วาม หรือกิจกรรมกลุ่มให้บรรลุต่อเป้าหมาย ซึ่งอาจ
จริงที่มีประโยชน์เหมาะสมกับผู้ฟัง และยังน�ำมา จ�ำเป็นต้องใช้ข้อมูล การน�ำเสนอแนวคิดไปจนถึง
ซ่ึงความสงบสุขในสังคม นอกจากน้ันแล้วยัง แนวทางส�ำหรับน�ำไปลงมือปฏิบัติให้บรรลุผล
สามารถฝึกปฏิบัติด้านการท�ำสมาธิเป็นประจ�ำ ตลอดจนการร่วมกันศึกษาผลกระทบท่ีจะเกิดขึ้น
อยา่ งนอ้ ยวนั ละ 10 ถงึ 15 นาที เพอ่ื เปน็ การฝกึ ให้ ภายหลังเร่ิมด�ำเนินการในทุกกิจกรรม ประเด็น
เป็นบุคคลท่ีมีจิตท่ีแน่วแน่ ฝึกการรับรู้ใน ความสัมพันธ์ที่ชัดเจนคือการปฏิบัติธรรมส่งผลให้
ทกุ อารมณข์ องตนแลว้ นำ� มาสกู่ ารแยกแยะความดี ทุกคนภายในกลุ่มสามารถลงมือปฏิบัติกิจกรรม
ความช่ัวเพื่อระงับผลท่ีจะเกิดขึ้นน้ันท่ีต้นเหตุ ไดอ้ ย่างเต็มกำ� ลังความสามารถ
ดังนั้นแนวทางพัฒนาการปฏิบัติธรรมน�ำการมี
ปที ี่ 19 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 183
เพราะฉะน้ันการปฏิบัติธรรมย่อมเป็น 3. การมีส่วนร่วมสร้างความรู้เกี่ยวข้อง
ธรรมะทช่ี ว่ ยใหท้ กุ คนเขา้ ใจถงึ ความสำ� คญั ของการ กับการสะสมประสบการณ์ การสรุปความรู้ของ
มสี ว่ นรว่ มกนั ทำ� ทกุ กจิ กรรมตงั้ แตก่ ารมสี ว่ นรว่ มกนั แต่ละคนที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมในการพัฒนา
วางแผน หรือคิดเห็นได้ตรงกันเพื่อให้การปฏิบัติ หมู่บ้านไปจนถึงการแบ่งปันความรู้เพ่ือน�ำมาสู่
งานนั้นบรรลุผล การประพฤติตนภายใต้กรอบ ประโยชน์สุขของชุมชนจ�ำเป็นต้องอาศัยความ
ศีลธรรม อีกท้ังฝึกฝนให้สมาชิกภายในกลุ่ม ร่วมมือจากสมาชิกของคณะกรรมการหมู่บ้าน
ได้ฝึกสมาธิเพ่ือควบคุมและก�ำกับทุกอารมณ์ ในการสร้างความรู้ขึ้นมาอย่างมีสติ เพื่อมุ่งน�ำเอา
ของตนไปจนถึงการฝึกใช้ปัญญาคิดวิเคราะห์ ผลลัพธ์ท่ีได้จากความรู้ท่ีได้รับไปใช้ให้เป็น
ถึงเหตุผลตามสภาพความจริง โดยธรรมชาติ ประโยชน์ตอ่ การพัฒนา และแก้ไขปญั หาทเี่ กิดขึน้
ย่อมน�ำการท�ำกิจกรรมของหมู่มนุษย์ไปในทางที่ ภายในหมู่บ้านของตน ประเด็นส�ำคัญอยู่ท่ีการ
ชอบ สอดคลอ้ งกบั ผลการวจิ ยั ของขวญั ษา เอกจติ ต์ ตระหนักถึงความส�ำคัญของการมีส่วนร่วมกันของ
และอทุ ยั สตมิ ั่น (Ekajit and Satimun, 2016) สมาชิกคณะกรรมการหมู่บ้านท่ีมีต่อการน�ำเอา
พบว่า การศกึ ษาที่มจี ุดมุ่งหมายเพ่ือการพฒั นาตน ความรู้ไปใช้เป็นพ้ืนฐานของการสร้างสังคมฐาน
ใหม้ ชี วี ติ ทด่ี งี าม มกี ารดำ� รงชวี ติ ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งนนั้ ความรู้ไดอ้ ย่างม่นั คง
จ�ำเป็นต้องใช้หลักไตรสิกขา ประกอบด้วย การมีส่วนร่วมสร้างสังคมฐานความรู้
ศีล สมาธิ และปัญญา โดยเน้นการฝึกอบรมตน ต้องอาศัยปัจจัยส�ำคัญหลายประการ โดยเฉพาะ
ใหม้ สี ติ สัมปชญั ญะทส่ี ามารถรักษากาย วาจา ใจ การอาศัยปัจจัยด้านก�ำลังคนภายในหมู่บ้าน
ได้อย่างถูกต้องอันเป็นพ้ืนฐานส�ำคัญของคุณภาพ โดยเฉพาะคณะกรรมการหมู่บ้านที่มีหน้าที่รับผิด
จิตใจ อีกทั้งยังต้องอบรมจิตให้มีความสงบมั่นคง ชอบรว่ มกนั กับผปู้ กครองทอ้ งถิน่ พนักงานของรัฐ
เป็นสมาธิ ซึ่งช่วยให้บุคคลมีความพร้อมด้านการ ไปจนถึงทุกหน่วยงานท่ีปรากฏชัดอยู่ในสังคม
พัฒนาคุณธรรมอันน�ำมา ซ่ึงการสร้างแนวปฏิบัติ เพราะฉะนั้น การมีส่วนร่วมกันสร้างความรู้
ตนใหเ้ ปน็ คนทส่ี มบรู ณ์ นอกจากนน้ั แลว้ การอบรม ท่ีสามารถน�ำไปใช้ประโยชน์ต่อการแก้ไขปัญหา
ปัญญาให้เกิดความแจ้งชัด ช่วยให้มนุษย์ท�ำ ในชวี ิตประจ�ำวัน ปญั หาเศรษฐกิจ ไปจนถึงปญั หา
กจิ กรรมทกุ ประเภทในการดำ� รงชวี ติ โดยปราศจาก การแพร่ระบาดของยาเสพติดจ�ำเป็นต้องอาศัย
การยดึ ติด มคี วามเป็นอิสระทางปญั ญา การมีส่วนร่วมของคณะกรรมการหมู่บ้านทุกคน
เพราะฉะน้ันการปฏิบัติตนตามหลัก โดยเฉพาะการมสี ่วนรว่ มแสวงหาข้อมลู และความรู้
ไตรสิกขาเป็นการปฏิบัติธรรมะส�ำหรับน�ำทุก ทน่ี ำ� มาใชแ้ กไ้ ขปญั หาภายในชมุ ชน ผลการวจิ ยั ของ
กจิ กรรมของมนษุ ย์ รวมถงึ การมสี ่วนร่วมดา้ นการ เอกชยั พมุ ดวง และวสนุ ยี ์ โสมทศั น์ (Phumduang
พัฒนาชุมชนของตนให้เจริญรุ่งเรืองได้อย่างมีนัย and Somathat, 2016) ทไี่ ดค้ น้ พบวา่ กระบวนการ
ส�ำคัญทางสถิติ
184 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
เรียนรู้ท่ีมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างภูมิปัญญาท้องถ่ิน 6. ขอ้ เสนอแนะ
น้ันมีสภาพเป็นไปตามกระบวนการจัดการความรู้
อย่างมีข้ันตอนต้ังแต่ ขั้นตอนการแสวงหาความรู้ จากข้อค้นพบอันส�ำคัญนี้บ่งชี้ให้ผู้ท่ี
สร้างความรู้ ถ่ายทอดความรู้ จัดเก็บ และสืบค้น เก่ียวข้องกับคณะกรรมการหมู่บ้านสามารถน�ำไป
ความรู้เพื่อให้ได้ความรู้ที่น�ำไปใช้พัฒนาความเข้ม ปรบั ใชด้ า้ นการคดั เลอื กคณุ สมบตั ิ การกำ� หนดแนว
แข็งและศักยภาพของชุมชน หากแต่ต้องอาศัย นโยบายด้านการพัฒนาคุณลักษณะไปจนถึงการ
ปจั จยั ดา้ นการมสี ว่ นรว่ มเปน็ ปจั จยั หลกั โดยเฉพาะ พัฒนาทักษะ และลักษณะนิสัยให้สอดคล้องกับ
การมีส่วนร่วมของผู้น�ำชุมชน สมาชิกองค์การ ทิศทางของการพัฒนาประเทศท่ีมุ่งไปสู่สังคมฐาน
บรหิ ารสว่ นตำ� บล ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ ผบู้ รหิ ารสถาน ความรู้ท่ีต้ังอยู่บนรากฐานท่ีมั่นคงจากการปฏิบัติ
ศกึ ษา หัวหน้ากลมุ่ อาชีพ และนักพัฒนาชมุ ชน ธรรม อันเป็นการท�ำความเข้าใจต่อตนเองอย่างมี
อย่างไรก็ตามผลวิจัยได้สรุปเพ่ิมเติมว่า เหตุผลตามหลักธรรมชาติท่ีปรากฏอยู่จริงของ
การมีส่วนร่วมจัดการความรู้ของคนในชุมชนน้ัน มนุษย์ ทัง้ ทีเ่ กี่ยวข้องกับวงจรชีวิต และความเปน็
มุ่งน�ำไปใช้ประโยชน์ในการแก้ไขปัญหา ป้องกัน อสิ ระทหี่ ลดุ พน้ จากความตอ้ งการทงั้ หลายของโลก
ปัญหา และพัฒนาความเข้มแข็งของชุมชน ดังนั้นข้อค้นจากงานวิจัยเชิงปริมาณนี้
ทั้งน้ีมีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติ สามารถน�ำไปใช้ก�ำหนดนโยบาย ก�ำหนดแนว
ระหว่างการมีส่วนร่วมและการจัดการความรู้ ปฏิบัติ และทิศทางการพัฒนาคณะกรรมการ
อันเป็นรากฐานส�ำคัญของสังคมฐานความรู้ หมู่บ้านร่วมถึงประชาชนในพ้ืนที่เกี่ยวกับการ
ยคุ ปัจจบุ นั ปฏบิ ตั ธิ รรมนำ� การมสี ว่ นรว่ มสรา้ งสงั คมฐานความ
รู้ไดอ้ ย่างชัดแจง้
References
Department of the Interior. (2014). Handbook VC: Village Committee (VC), Ministry of
Interior. Bangkok : Ministry of Interior.
Ekajit, K. and Satimun, U. (2016). The Threefold Learning and Self Development.
Khrusartparithat Journal, 3(2).
Mensuwan, S., et al. (2017). Peace Building Guidelines According to the 5 Precepts of
Mahachulalongkorn University students, NakhonSawan Campus. Journal of Peace
Studies, (5), Special Issue.
Moonsuwan, W. (2016). The Lack of Ethics in the Operation of Business Organizations.
Journal of Ratchaphark, 10(19).
ปที ี่ 19 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 185
Ngamyarn, A. (2011). Regarding the Yamane Formula. Journal of Business Administration,
34(131).
Phramaha Ratthaphumee Rattanawasi, et al. (2016). Participation of Students in Moral
Education Activities of MahachaiPittayakorn School. Under the Office of the Secondary
Education Service Area 26. Journal of Pimoldhamma Research Institute, 3(2).
Phumduang, E. and Somathat, W. (2016). The Process of Participatory Local wisdom Learning
According to the Community Economy of Occupational Groups in KhokKothao
Sub-district, Mueang District, SuphanBuri Province. Journal of Humanities and
Social Sciences, UbonRatchathani Rajabhat University.
Pimchumlek, T. (2010). The Concepts of Fourfold Dhamma Affecting the Efficiency of
Performance of the Rescue Team of Dhammarasamee Maneerat Foundation
Chonburi Province. Sahasart Sripathum Chonburi, 1(1).
Pongsiriwan, N. and Theerapong, T. (2012). Practice for the Development of Mercy: A Case
Study of Priest in the Dhamma Practicing Place of Plum Village. Journal of Human
Sciences, 13 (2).
Sirikarn, P. (2008). Buddhist Meditation Practice of Middle Class Citizen in Thai Society.
Journal of Buddhist Studies Chulalongkorn University, 15 (1).
Thongsri, P. (2016). Guidelines for Promoting Religious Leaders' Participation for Peace-building
in Three Southern Border Provinces. National Symposium.
การเตรยี มความพรอ้ มตามแนวประชารฐั ในการต่อตา้ นยาเสพติด:
ศึกษากรณชี ุมชนวดั ปรุ ณาวาส เขตทววี ฒั นา กรุงเทพมหานคร*
Preparedness for the Civil States in Anti-drug Preparations:
Case study of Puranawat Community at Taweewattana
District in Bangkok
ปราการ เกิดมีสุข
Prakan Gerdmeesuk
มหาวทิ ยาลัยกรงุ เทพธนบุรี
Bangkokthonburi University, Thailand
E-mail: [email protected]
บทคัดยอ่
การวิจัยคร้ังนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเตรียมความพร้อมตามแนวประชารัฐในการต่อต้าน
ยาเสพตดิ : ศกึ ษากรณชี มุ ชนวดั ปรุ ณาวาสและหาแนวทางในการเตรยี มความพรอ้ มในการตอ่ ตา้ นยาเสพตดิ
ในชมุ ชน กลมุ่ ตวั อยา่ งทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั ครง้ั นี้ ไดแ้ ก่ ผมู้ สี ว่ นไดส้ ว่ นเสยี กบั ชมุ ชนวดั ปรุ ณาวาส จำ� นวน 36 ทา่ น
ผู้วิจัยรวบรวมข้อมูลการวิจัยจากเอกสารความเป็นมาของชุมชน แบ่งออกเป็น 2 ตอนดังน้ี ตอนท่ี 1
เป็นแบบสอบถามข้อมูลสถานภาพท่ัวไป ตอนท่ี 2 เป็นการเก็บข้อมูลโดยใช้แบบบันทึก แบบสัมภาษณ์
และแบบสังเกตแบบมีส่วนร่วม และแบบสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีการ
สัมภาษณ์ สังเกต และการสนทนากลุ่มย่อย แล้วน�ำมาท�ำการวิเคราะห์ สรุป และอภิปรายผล
โดยจบั ประเดน็ หลกั ของเรอ่ื ง และจำ� แนกเหตกุ ารณห์ ลกั แยกเปน็ ประเดน็ ตามวตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั
จากนน้ั นำ� เสนอรายงานแบบพรรณนาเชิงวิเคราะห์
ผลการวจิ ยั พบวา่
1. ชุมชนรว่ มมอื กบั เจา้ หน้าทข่ี องรัฐรับผดิ ชอบ โดยมขี อ้ ตกลงร่วมกนั ทำ� ตามแผนและนโยบาย
ไปสู่การปฏิบัติท่ีจะป้องกันและสร้างความสัมพันธ์ภายในชุมชนให้เกิดพลังเพื่อต่อต้านยาเสพติดให้ได้
โดยจดั ทำ� แผนงานโครงการปฏบิ ตั กิ ารปอ้ งกนั และแกไ้ ขปญั หายาเสพตดิ ในชมุ ชน ซง่ึ มเี ปา้ หมายสำ� คญั คอื
* ไดร้ ับบทความ: 29 มกราคม 2562; แกไ้ ขบทความ: 6 มนี าคม 2562; ตอบรับตีพิมพ:์ 19 มนี าคม 2562
Received: January 29, 2019; Revised: March 6, 2019; Accepted: March 19, 2019