188 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
ปอ้ งกนั มใิ หค้ นในชมุ ชนเขา้ ไปเกยี่ วขอ้ งยาเสพตดิ พรอ้ มจดั วทิ ยากรใหค้ วามรดู้ า้ นกฎหมายเขา้ มาใหค้ วามรู้
มีการจัดหน่วยเฝ้าระวังของชุมชนและหน่วยงานกองปราบปรามยาเสพติด ท�ำให้คนหวาดกลัว ไม่กล้า
กระท�ำผิด ซง่ึ เปน็ ผลทำ� ใหเ้ รอ่ื งยาเสพตดิ ลดจ�ำนวนอยา่ งชดั เจน
2. แนวทางในการเตรียมความพร้อมในการต่อต้านยาเสพติดของชุมชนวัดปุรณาวาส
โดยครอบครัวมีการดูแลและให้โอกาสกับคนที่ติดยา พร้อมกับชุมชนจัดกิจกรรมเพื่อให้เกิดรายได้ชุมชน
ตอ้ งมกี ารเฝา้ ระวงั พรอ้ มใหข้ า่ วสาร จดั อบรมเกยี่ วกบั ยาเสพตดิ ในเรอ่ื งของโทษและบทลงโทษทางกฎหมาย
อีกทง้ั ต้องสร้างงานใหก้ ับชุมชนน�ำภมู ปิ ญั ญาชาวบา้ นมาสร้างเป็นรายได้ให้กบั ชมุ ชน
ค�ำส�ำคัญ: การเตรยี มความพรอ้ ม; การต่อต้านยาเสพติด
Abstract
The purposes of this research were to study the preparation for the civil states
in anti-drug campaign: a case study of Wat Puranawat Community in Taweewattana District,
Bangkok Metropolis and find out a way to prepare for the civil states anti-drug campaign
in the community. The sample used in this research were 36 stakeholders working for
Wat Puranawat Community. By means of document analysis, the researcher collected
the data concerned with the community’s background. The collected data were divided
into 2 parts: part 1 was a questionnaire asking for general information of the sample and
part 2 the data were collected using a data record, interview, participatory observation
from and non-participatory observation form. The researcher analyzed the data by using
interviews, observations and subgroup conversations. Then the data were analyzed,
summarized and discussed by finding the traits of issues. Moreover, the researcher classified
main events and separated them into issues according to the research objectives.
Finally, the research results were presented using analytical description.
The research findings were as follows:
1. The community cooperated with government officials in charge having a
mutual agreement to make a plan and translate the policy to practice for preventive
measure and build relationships within the community to create power to combat narcotics
trafficking – anti-narcotics plan and solving drug abuse in the community. The main goal
was to prevent the community members from getting involved in narcotics as well as
ปีที่ 19 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 189
inviting guest speakers providing legal knowledge for the community members, supplying
agencies to keep the community informed of the danger of narcotics and narcotics
suppression agency. At this point, the community were afraid of partaking in wrong doing
which led to the reduction of drug abuse.
2. The approach to preparation for anti-narcotics campaign of the Wat Puranawas
Community was to having the family taking care of each other and giving a chance to
drug addicts. Furthermore, the community performed activities to create income for the
community members. The community had to keep the community members informed,
organizing workshops dealing with drug dangers and penalty determined by the laws.
Besides, employment should be provided for the community by making use of local
wisdom in order to enhance the community’s income and benefits.
Keywords: Preparation; Anti-narcotics Campaign
1. บทน�ำ ร่างกายท�ำให้สุขภาพทรุดโทรม ความจ�ำเส่ือม
เสียบุคลิกภาพ และปัญหาส�ำคัญท่ีตามมาอีก
ความเสอ่ื มโทรมของสงั คมไทยในปจั จบุ นั ประการหนึง่ ในยคุ ปัจจบุ นั “ยาบ้า” หรือ “เมท
มีมากมายด้วยเกิดจากสภาพการณ์ของเศรษฐกิจ แอมเฟตามีน” ซึ่งก็ได้มาจากการสังเคราะห์จาก
ท่ีท�ำให้คนไทยต้องด้ินรนคนกลายเป็นปัญหาของ พชื เสพตดิ โดยผเู้ สพยาบา้ รวมถงึ ยาเสพตดิ ชนดิ อนื่
ชนช้ันในประเทศเพ่ือตนเองอยู่รอด ด้วยวิธีการ มกั จะเรม่ิ ตน้ เสพเพราะความอยากรู้ อยากลองหรอื
ต่างๆ มีทั้งผิดและถูกจนก่อให้เกิดอาชญากรรม ใช้เพื่อเข้าสังคมแทบท้ังส้ินจากฤทธ์ิของยาท่ีท�ำให้
และปญั หายาเสพตดิ ซง่ึ เปน็ ปญั หาภยั รา้ ยแรงของ เกิดความสนุกสนานหรือคลายเครียด ท�ำให้ผู้ท่ีได้
ประเทศอนั มผี ลกระทบตอ่ สขุ ภาพกาย สขุ ภาพจติ ทดลองหันกลับไปเสพอีกคร้ัง เมื่อเสพไปนานๆ
และส่งผลกระทบต่อสังคม เศรษฐกิจ เป็นการ จะเกิดการดื้อยา จนต้องเพ่ิมปริมาณสารเสพติด
บ่นั ทอนความเจรญิ ของประเทศชาติ (Center for และจ�ำนวนครั้งในการเสพ ส�ำหรับผู้ที่มีจิตใจ
Dug Prevention and Suppression Department เข้มแข็งก็จะสามารถเลิกได้แต่หากเข้าสู่ระยะการ
of Mental Health, 2016) ซงึ่ ถา้ ประชาชนของ ติดยาทางร่างกาย จะเป็นช่วงที่ร่างกายขาดยา
ประเทศใดติดยาเสพติดไม่สามารถพฒั นาประเทศ ไม่ได้ผู้ที่พยายามจะหยุดหรือเลิกเสพในช่วงน้ี
ชาตใิ หเ้ จรญิ รงุ่ เรอื งได้ ซง่ึ ยาเสพตดิ มมี ากมายหลาย ต้องเผชิญกับแรงกดดันทางร่างกายอย่างหนัก
ชนิด ได้แก่ ฝิ่น เฮโรอีน ทินเนอร์ กัญชา ยาบ้า ทง้ั อาการหงดุ หงดิ เครยี ด กระวนกระวาย ซมึ เศรา้
ยาอี สาระเหย กระท่อม และยากระตุ้นประสาท และมีอาการอยากยาหรือเส้ียนยามากไม่สามารถ
เหล่าน้ีเป็นต้น แต่ละชนิดก่อให้เกิดผลร้ายแก่
190 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
ควบคุมตัวเองได้ เพราะฤทธิ์ของยาบ้า ได้เข้าไป 2011) ดังน้ัน เร่ืองของยาเสพติดถือได้ว่าเป็น
เปลย่ี นแปลงสมองและสารทเ่ี สพจะทำ� ใหป้ ระสาท ปัญหาที่มีมาอย่างยาวนาน การที่เราจะป้องกัน
เคลิบเคล้ิมจิตใจเป็นสุขทุกคร้ังเม่ือเสพ ถือว่าภัย ไม่ให้คนในครอบครัวหรือคนในชุมชนเข้าไป
ร้ายแรงต่อสุขภาพกาย และสุขภาพจิตส่งผลกระ ยงุ่ เกย่ี วกบั ยาเสพตดิ จะตอ้ งมกี ารรว่ มมอื รว่ มใจกนั
ทบต่อสังคม เศรษฐกิจ บ่ันทอนความเจริญของ ช่วยกันป้องกันดูแลบุตรหลานให้ดี มีความเข้าใจ
ประเทศชาติ (Leeka, et al., 2017 : 29-35) ในความเหลื่อมล�้ำของวุฒิภาวะในตัวเยาวชน
ด้วยเหตุน้ี จึงเป็นเรื่องยากส�ำหรับผู้ท่ีติด หรือบุคคลท่ีสังคมมองว่าเป็นปัญหาน้ัน ได้มีการ
ยาเสพติดจะควบคุมอารมณ์ความรู้สึกตัวเอง ดแู ลสอดสอ่ งภยั ของยาเสพตดิ โดยเฉพาะในชมุ ชน
ไมใ่ หก้ ลบั ไปใชย้ าเสพตดิ นน้ั อกี แมจ้ ะรวู้ า่ จะสง่ ผล ท่ีมีคนอาศัยอย่ทู ง้ั การศึกษา อาชีพ การทำ� งานทม่ี ี
เสยี ตอ่ รา่ งกายมากมายขนาดไหนกต็ ามและเชอ่ื วา่ ความแตกตา่ งกนั มาก ดงั นนั้ การทจ่ี ะสรา้ งชมุ ชนให้
หลายๆ ท่าน อาจเคยได้ยินผู้ติดยาได้สาธยาย แข็งแกร่ง จึงควรเริ่มต้นจากครอบครัวไปสู่ชุมชน
สรรพคณุ ของยาบา้ วา่ สามารถเพม่ิ พลงั ไดห้ ลงั จาก (Promsupa, 2006)
เสพ แตใ่ นความเปน็ จรงิ แลว้ ยาบา้ เปน็ เพยี งตวั ชว่ ย ฉะนนั้ การปอ้ งกนั ยาเสพตดิ ในชมุ ชนจาก
ใหร้ า่ งกายเกดิ การตนื่ ตวั ตลอดเวลาเทา่ นนั้ แตเ่ มอ่ื ปญั หาส่งิ เสพติดทำ� ไดห้ ลายวธิ ี เชน่ การใหค้ วามรู้
หมดฤทธิ์ยาผู้เสพจะอ่อนเพลียกว่าปกติ ถ้าใช้ โดยการอบรมแก่ทุกคนในชุมชนให้เห็นโทษหรือ
ติดต่อกันจะท�ำให้ดื้อยา ส่งผลโดยตรงต่อร่างกาย อันตรายจากส่ิงเสพติด เสริมกิจกรรมยามว่าง
คือ ปากและจมูกแห้งริมฝีปากแตก เบ่ืออาหาร โดยการส่งเสริมอาชีพแก่ชุมชนยามว่าง เช่น
ท้องเสียหรือท้องผูก มือส่ัน นอนไม่หลับ เป็นต้น การสอนนวดแผนโบราณ การรับจ้างปลอกขิง
นอกจากนี้ยังมีผลท�ำให้เกิดอาการทางจิตและ การต้ังศูนย์รับแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับส่ิงเสพติด
ประสาท เช่น สับสน เพอ้ พดู ไม่รเู้ รื่อง ได้ยินเสียง เม่ือพบว่ามีการซื้อขายหรือเสพส่ิงเสพติดภายใน
แวว่ หรอื เหน็ ภาพหลอนและเมอื่ ใชย้ าเสพตดิ นานๆ ชมุ ชน เขา้ รว่ มโครงการชมุ ชนปลอดสง่ิ เสพตดิ ตา่ งๆ
จะทำ� ใหร้ า่ งกายทรดุ โทรม หากไดร้ บั ยาในขนาดสงู ท้ังที่ทางราชการจัดข้ึน และชุมชนคิดริเริ่มข้ึนเอง
จะมีฤทธ์ิกดประสาทและระบบหายใจ ไข้สูงชัก และจัดลานสวนธรรมสุขภาพ ส่งเสริมการออก
หมดสติและมีโอกาสเสียชีวิตจากหลอดเลือด ก�ำลังกายของคนในชมุ ชน
ในสมองแตก หรือหัวใจวายได้ นอกจากยาบ้า สงิ่ สำ� คญั เมอื่ เกดิ ปญั หาใดๆ ขนึ้ หากคนใน
ไมส่ ามารถเพม่ิ พลงั ใหก้ บั ผเู้ สพแลว้ ยาบา้ กไ็ มท่ ำ� ให้ ครอบครัวและชุมชนให้ความสนใจและดูแลซ่ึงกัน
ผู้เสพฉลาดขึ้นมาได้อย่างแน่นอนตรงกันข้าม และกัน เช่ือได้ว่าปัญหาเหล่าน้ันก็จะเบาบางและ
หากเสพไปนานๆ จะท�ำให้เซลล์สมองถูกท�ำลาย คล่ีคลายลง เม่ือเรารู้กันถึงโทษและพิษภัยของ
มากขึ้น และอาจหมดสิทธ์ิฉลาดไปตลอดชีวิตก็ได้ ยาเสพติดกันไปแล้ว ดังน้ันจึงจ�ำเป็นอย่างยิ่งที่
(Office of the Narcotics Control Board, พวกเราต้องร่วมมือกันหาทางด�ำเนินการก�ำจัดยา
ปีท่ี 19 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 191
เสพติด เพื่อป้องกันปราบปรามการใช้ยาบ้าแก้ไข ฆาตกรรมของเจ้าหน้าท่ีทางการ และการฆ่า
ปญั หายาบา้ อยา่ งยง่ั ยนื และชว่ ยกนั รณรงคต์ อ่ ตา้ น ตดั ตอนจากเจา้ หนา้ ทไี่ มเ่ ปน็ ทางการและทน่ี า่ ตกใจ
การแพร่ระบาดของยาเสพติดในชุมชนและใน เป็นอยา่ งยิ่ง พบว่าเด็กและเยาชนหนั กลบั มานยิ ม
ครอบครัวของตนใหห้ มดไป เสพกาวและสารระเหย เพื่อทดแทนยาบ้า
ปจั จบุ นั แมร้ ฐั บาลจะประกาศสงครามกบั เน่ืองจากยาบ้าหายาก และมีราคาแพงข้ึนถึง 3
ยาเสพติดก็ตาม ไม่ได้หมายความว่า การป้องกัน เทา่ ตัว นอกจากนีย้ ังพบว่า เดก็ และเยาวชนหันไป
การปราบปรามยาเสพตดิ จะเปน็ หนา้ ทข่ี องรฐั บาล ทดลองเสพสารเสพติดชนิดใหม่ๆ ที่กฎหมายและ
เท่าน้ันการให้การศึกษาแก่ประชาชนอย่างท่ัวถึง ผู้ใหญ่อย่างเรายังตามไม่ทัน เช่น ไนตรัสออกไซด์
ก็มีส่วนในการช่วยให้ ชุมชนและสังคมมีความรู้ หรือท่ีเรียกกันในหมู่วัยรุ่นว่า ดมตรัส และด้ิว
ความเข้าถึงโทษของการติดยาเสพติด โดยเฉพาะ เป็นต้น (Center for Dug Prevention and
เยาวชนของชาติท่ีเดินหลงทางเข้าสู่ยาเสพติด Suppression Department of Mental Health,
จนเสียอนาคต รัฐบาลจึงเห็นความส�ำคัญเป็น 2016)
อนั ดบั ตน้ ทจี่ ะแกไ้ ขปญั หาของยาเสพตดิ ซง่ึ เปน็ ผล จากที่กล่าวมาข้างต้นสิ่งท่ีผู้วิจัยต้องการ
ของการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมอย่าง จะศึกษาในเรื่องการเตรียมความพร้อมตามแนว
จรงิ จงั ดว้ ย รวบถงึ เรอ่ื งของการจดั สรรงบประมาณ ประชารัฐในการต่อต้านยาเสพติด: ศึกษากรณี
ในการป้องกันและปราบปรามสิ่งเสพติดอย่าง ชุมชนวัดปุรณาวาสน้ัน เพราะชุมชนเป็นแหล่ง
เขม้ งวด รฐั บาลจงึ จดั บคุ ลากรและหนว่ ยงานในการ เรียนรู้ของเด็กถัดจากสถาบันครอบครัว ชุมชน
ป้องกันและปราบปรามสิ่งเสพติดให้เพียงพอ จึงมีส่วนส�ำคัญเพราะเป็นสถานท่ีเยาวชนมี
พร้อมทั้งด�ำเนินการอย่างต่อเนื่องในการบังคับใช้ ส่วนรว่ มในการร่วมกจิ กรรม ดงั น้นั การด�ำเนนิ การ
กฎหมาย ให้เจ้าหน้าท่ีต�ำรวจดูแลด้านส่ิงเสพติด ตา่ งๆ ภายในชมุ ชนจงึ เสย่ี งตอ่ การเขา้ ไปมสี ว่ นรว่ ม
ไม่ปล่อยปละละเลย มิเช่นนั้นจะท�ำให้การปราบ ในเรื่องของยาเสพติดหรือสุ่มเสี่ยงต่อการติดยา
ปรามไม่ได้ผลเท่าท่ีควร ฉะนั้นรัฐบาลจึงควร เสพติด ฉะนั้นในการป้องกันปัญหายาเสพติด
เขม้ งวดกบั ผกู้ ระทำ� ผดิ และลงโทษผกู้ ระทำ� ผดิ อยา่ ง ในชุมชน ท่ีผู้วิจัยมีความต้องการท่ีให้ทราบถึง
จริงจังและต่อเนื่อง การแก้ไขปัญหายาเสพติด ปัญหาในเร่ืองของยาเสพติดท่ีเกิดข้ึนในชุมชน
เปน็ หนา้ ทขี่ องทกุ ฝา่ ยทจี่ ะตอ้ งรว่ มมอื กนั ดว้ ยเหตุ วัดปุรณาวาส ส่วนใหญ่วัยรุ่นเห็นว่าเป็นการ
ดงั กลา่ วโครงการประชารฐั โดยรฐั บาลมคี วามตงั้ ใจ ช่วยเหลือตนเองให้เข้ากับกลุ่มเพื่อนได้ อีกท้ัง
จรงิ ทจ่ี ะขจดั ใหห้ มดไปจากผนื แผน่ ดนิ ไทย แตจ่ าก ปัญหาของครอบครัวที่ไม่ได้รับความอบอุ่นจาก
ข่าวทางโทรทัศน์และหน้าหนังสือพิมพ์มีให้เห็น พ่อแม่ ซ่ึงท่านต้องหาเลี้ยงครอบครัวจึงท�ำให้ขาด
เกอื บทกุ วนั วา่ มกี ารจบั ยาเสพตดิ และยดึ ทรพั ยอ์ ยู่ ในเร่ืองของการดูแลเอาใจใส่ภายในครอบครัว
เป็นประจ�ำ ในขณะเดียวกันก็มีการวิสามัญ โดยเฉพาะปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
192 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
อยา่ งมากเพราะการเปลย่ี นแปลงดงั กลา่ วกอ่ ใหเ้ กดิ รัฐในการต่อต้านยาติด ศึกษากรณีชุมชนวัด
ปญั หาตา่ งๆ ในชมุ ชนและสงั คมตามมา เชน่ ปญั หา ปุรณาวาส เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร เพอื่ นำ�
อาชญากรรม ปัญหาความยากจน ปัญหาสภาพ ผลไปดำ� เนนิ การเฝา้ ระวงั ดแู ลใหค้ วามรแู้ กเ่ ยาวชน
แวดล้อม ปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหายาเสพติด และคนในชุมชนในการป้องกันเร่ืองยาเสพติด
(Chaipattana Foundation, 2007) ปัญหา มีการบิหารการจัดการของผู้น�ำชุมชนที่มีความ
เหลา่ นจ้ี งึ ตกมาทตี่ วั เดก็ ทหี่ นั มาพงึ่ พาอาศยั กนั เอง เข้าใจ เข้าถึง ปรับปรุงเปล่ียนแปลงบทบาทของ
กับพวกเพ่ือนๆ เพราะด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ คนในชุมชนให้เกิดความเข้มแข็ง ตามในโยบาย
จงึ เขา้ ไปเกยี่ วขอ้ งกบั สารยาเสพตดิ ทที่ ำ� ใหพ้ วกเขา และการวางแผนประชารฐั เพอ่ื พฒั นาสอดคลอ้ งกบั
มีความสุข จากปัญหาที่กล่าวมาภายในชุมชน ความต้องการของชุมชน
เคยประสพปัญหามามาก แต่ยังไม่มีการจัดท�ำ
โครงการที่เอาจริง ทางผู้วิจัยจึงรว่ มกบั ผู้นำ� ชมุ ชน 2. วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจัย
วัดปุรณาวาส เขตทวีวัฒนา และส�ำนักงานคณะ
กรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามยาเสพตดิ (ป.ป.ส.) 1. เพื่อศึกษาบทบาทของชุมชนในการ
จดั ทำ� โครงการประชารฐั ดา้ นภยั ยาเสพตดิ ทชี่ มุ ชน เตรยี มความพรอ้ มตามแนวประชารฐั ในการตอ่ ตา้ น
วัดปุรณาวาส เน่ืองด้วยเป็นชุมชนท่ีมีขนาดเล็ก ยาเสพตดิ : ศกึ ษากรณชี มุ ชนวดั ปรุ ณาวาส
มปี ระชากรจำ� นวน 500 กวา่ ครวั เรอื น ซง่ึ ครอบครวั 2. เพอื่ ศกึ ษาแนวทางในการเตรยี มความ
ส่วนใหญ่มีอาชีพรับจ้างท่ัวไป และมีผู้ย้ายถิ่นฐาน พร้อมตามแนวประชารัฐในการต่อต้านยาเสพติด
เขา้ มาอย่ปู ะปนในชมุ ชนจ�ำนวนมาก ดงั น้ันจึงต้อง ของชมุ ชนวัดปุรณาวาส
ให้ความรู้และเตรียมความพร้อมที่จะช่วยให้คนใน
ชุมชนมีความตระหนักในเร่ืองโทษของยาเสพติด 3. วิธดี �ำเนนิ การวิจัย
ด้วยการอบรมสง่ั สอน ปลกู ฝังค่านิยม อดุ มการณ์
คุณธรรมที่ดีงามและเหมาะสม ช่วยกันสอดส่อง 1. ขอบเขตของเนื้อหาการวิจัยในคร้ังน้ี
ดูแลเด็กและเยาวชนในชุมชนโดยเปรียบเสมือน มุ่งศึกษาการเตรียมความพร้อมตามแนวประชารฐั
เป็นลูกหลานของตนเอง ชุมชนทม่ี ีสภาพแวดล้อม ในการต่อต้านยาเสพติด ศึกษากรณีชุมชนวัด
ทด่ี ี คนในชมุ ชนมจี ติ สำ� นกึ ทด่ี ี คนในชมุ ชนประพฤติ ปุรราวาส เขตทีววัฒนา กรุงเทพมหานครเพ่ือ
ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเด็กและเยาวชน เป็นการป้องกันและปราบปราม มิให้เกิดภัยจาก
เด็กและเยาวชนย่อมเจริญเติบโต และเรียนรู้แต่ ยาเสพติด
สงิ่ ดีๆ จากชมุ ชน 2. ประชากรทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั ครงั้ น้ี ผวู้ จิ ยั
ดว้ ยสาเหตดุ งั กลา่ ว ผวู้ จิ ยั จงึ มคี วามสนใจ ไดเ้ จาะจงชมุ ชนวดั ปรุ ณาวาส ไดแ้ ก่ ประธานชมุ ชน
ที่จะศึกษาการเตรียมความพร้อมตามแนวประชา จำ� นวน 1 ท่าน กรรมการชุมชน จ�ำนวน 5 ทา่ น
เจ้าหน้าท่ีสถานีต�ำรวจนครบาลศาลาธรรมสพน์
จ�ำนวน 5 ท่าน กลุ่มแม่บ้านชุมชนวัดปุรณาวาส
ปีท่ี 19 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 193
20 ทา่ น และพระสงฆ์ จำ� นวน 5 รปู รวมประชากร ชุมชน หนังสือประวัติ ต�ำรา และงานวิจัย 2)
36 ท่าน ด้วยวิธีการเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ การศึกษาภาคสนาม (Field Studies) โดยใช้วิธี
เปน็ การวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพดว้ ยวธิ กี ารดงั นี้ 1) เปน็ แบบ การเก็บรวบรวมข้อมูลตาม แบบประวัติศาสตร์
บนั ทกึ (Field Note) สำ� หรบั บนั ทึกเพื่อรวบรวม บอกเล่า (Oral History) ซึ่งเป็นการเก็บข้อมูล
ข้อมูลต่างๆ ระหว่างด�ำเนินการวิจัย 2) วิธีการ จากความทรงจ�ำของบุคคลหรือกลุ่มตัวอย่าง
สัมภาษณ์ (Interview) การวิจัยครั้งนี้ใช้แบบ และบนั ทกึ ขอ้ มลู ตา่ งๆ เหลา่ นนั้ โดยมขี นั้ ตอนดงั น้ี
สัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง (Non-Structured (1) การสัมภาษณ์ เป็นการซักถามข้อมูลจาก
Interview) เป็นการสัมภาษณ์แบบไม่เคร่งครัด ประชากรท่ีเจาะจง ใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบไม่มี
ในการตั้งค�ำถาม แต่ผู้วิจัยจะมีการต้ังค�ำถามหลัก โครงสรา้ ง โดยสมั ภาษณเ์ รอ่ื งราวตา่ งๆ ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง
ซึ่งในการสัมภาษณ์จะไม่เรียงค�ำหรือในบางคร้ัง กับประวัติความเป็นมาของชุมชน สภาพสังคม
กถ็ ามนอกเหนอื จากคำ� ถามทไี่ ดต้ งั้ ไว้ ทง้ั นข้ี น้ึ อยกู่ บั และวถิ กี ารดำ� เนนิ ชวี ติ ของกลมุ่ ชมุ ชนวดั ปรุ ณาวาส
สภาพการณ์ระหว่างการสัมภาษณ์ แต่ไม่เกิน ในพ้ืนท่ีกรณีศึกษาตั้งแต่จากอดีตจนถึงปัจจุบัน
ขอบเขตความต้องการในการศึกษาวิจัย โดยแบบ (2) ได้รูปแบบในการสังเกต 2 รูปแบบดังน้ี
สัมภาษณ์น้ี ผู้วิจัยได้จากการทบทวนวรรณกรรม การสังเกตแบบไม่มีไม่มีส่วนร่วม ผู้วิจัยเข้าไปยัง
และการลงพ้ืนที่กรณีศึกษาในคร้ังแรกแล้วน�ำมา ชุมชนที่ใช้เป็นกรณีศึกษาเพ่ือสังเกต ซักถาม
ประมวลเพ่ือตั้งเป็นค�ำถามที่ใช้ในการสัมภาษณ์ สภาพทว่ั ๆ ไป ของวถิ ชี วี ิตของชมุ ชนวัดปุรณาวาส
ซึ่งแบบสัมภาษณ์ท่ีสร้างขึ้นจะมีความแตกต่างกัน และการสังเกตแบบมีส่วนร่วม ผู้วิจัยเข้าไปมี
ไปตามความเหมาะสมในแต่ละกลุ่มตัวอย่าง ส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ และในชีวิตประจ�ำวัน
3) แบบสังเกต (Observation) การวิจัยในคร้ังนี้ ของกลุ่มตัวอย่าง ขณะเดียวกันจะซักถามและ
ผู้วิจัยจะใช้แบบสังเกต โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท จดบันทึกข้อมูลท่ีต้องการเพิ่มเต่ิมอย่างละอียด
คือ แบบสังเกตแบบมีส่วนร่วม (Participant มากขนึ้
Observation) และแบบสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม 4. การวิเคราะห์และน�ำเสนอผลการ
(Non-participant Observation) และ 4) แผนที่ วเิ คราะหข์ อ้ มลู ดงั น้ี 1) นำ� ขอ้ มลู ทเี่ รยี บเรยี งไดจ้ าก
ภมู ิประเทศ ทีแ่ สดงทีต่ ้งั ของชุมชนกรณีศึกษา เอกสารข้อมูล ท้ังเอกสารปฐมภูมิ และทุติยภูมิ
3. การเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัย จากแหล่งต่างๆ ในเรื่องท่ีเกี่ยวข้องกับการวิจัย
ดังน้ี 1) การรวบรวมเอกสาร เอกสารหรือข้อมูล และน�ำข้อมูลจากการบันทึกในขั้นตอนของการ
ทเ่ี กย่ี วกบั ชมุ ชนวดั ปรุ ณาวาส ประกอบดว้ ย เอกสาร ลงพ้ืนท่ีท่ีเป็นกรณีศึกษาในครั้งแรกมาวิเคราะห์
ช้ันตน้ (Primary Source) ไดแ้ ก่ เอกสารท้องถน่ิ และตั้งเป็นค�ำถามเพื่อใช้ในการสัมภาษณ์ตาม
หนงั สอื ทางราชการ เอกสารชั้นรอง (Secondary ประเด็นที่ตอ้ งการศกึ ษาวิจัย 2) น�ำข้อมูลจากการ
Source) ได้แก่ เอกสารแผ่นพับประชาสัมพันธ์ สัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างมาตรวจสอบความสมบูรณ์
194 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
ซึ่งการตรวจสอบข้อมูลใช้การตรวจสอบข้อมูล ก�ำหนดนโยบายตามรัฐบาล “ประชารัฐ” โดยให้
แบบสามเส้า (Triangulation) ดา้ นขอ้ มูล (Data ชมุ ชน มสี ว่ นชว่ ยการปอ้ งกนั เกย่ี วกบั ยาเสพตดิ ดงั น้ี
Triangulation) เป็นการตรวจสอบข้อมูลท่ีได้ ชมุ ชนมคี วามพรอ้ มในการตอ่ ตา้ นยาเสพตดิ
มานนั้ วา่ ถกู ตอ้ งหรอื ไม่ โดยแหลง่ ทพี่ จิ ารณาในการ โดยศกึ ษาจากวฒั นธรรมและคา่ นยิ มภายในองคก์ ร
ตรวจสอบ ได้แก่ แหล่งข้อมูล เวลา สถานท่ีและ ของชุมชน ซ่ึงมีการปกป้องและป้องกัน ด้านสาร
แหล่งบคุ คลที่มคี วามตา่ งกัน แตไ่ ด้ขอ้ มูลท่ตี รงกนั ยาเสพตดิ ภายในชมุ ชน มกี ารใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั สาร
และการตรวจสอบสามเส้าด้วยวิธีการรวบรวม ยาเสพตดิ คอื ผเู้ สพตาย ผขู้ ายตดิ คกุ และบทลงโทษ
ข้อมูล (Methodological Triangulation) คือ ทางกฎหมายมีความร้ายแรงอย่างไร เพ่ือให้คนใน
การเก็บรวบรวมข้อมูลหลายวิธี ท้ังจากการศึกษา ชมุ ชนมคี วามตระหนกั ในการปอ้ งกนั เพอื่ มใิ หบ้ ตุ ร
เอกสาร การสัมภาษณ์ การสัมภาษณ์เชิงลึก หลาน พี่น้องต้องตกเป็นทาสของยาเสพติด
การสังเกตแบบมีส่วนร่วม และไม่มีส่วนร่วม ซ่ึงมีขบวนการมากมาย ทั้งนี้ทางชุมชนมีการ
เมอื่ ขอ้ มลู มคี วามถกู ตอ้ งแลว้ หลงั จากนนั้ กจ็ ำ� แนก แตง่ ตง้ั คณะกรรมการ เชน่ ผนู้ ำ� ชมุ ชน กลมุ่ แมบ่ า้ น
ข้อมูลออกเป็นประเภทหรือแบ่งไปตามหมวดหมู่ พระสงฆ์ และชาวบา้ นอาสาสมคั ร เขา้ รว่ มกจิ กรรม
ตามวัตถุประสงค์ท่กี ำ� หนดไวใ้ นวจิ ยั จิตอาสาป้องกันยาเสพติด ซ่ึงสังเกตจากการตอบ
5. สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลท่ีได้ ค�ำถามของคนในชุมชนพร้อมทั้งได้รับความ
จากการศึกษาเอกสารการเก็บข้อมูลภาคสนาม ช่วยเหลือจาก ฝ่ายภาครัฐบาลและภาคเอกชน
ด้วยวิธีการสัมภาษณ์ สังเกต และการสนทนา ได้ให้ความรู้และความช่วยเหลือมีความเข้าใจ
กลุ่มยอ่ ย นำ� มาทำ� การวเิ คราะห์ สรุป อภปิ รายผล ในบทบาทของผนู้ ำ� ชมุ ชนเปน็ อยา่ งมากในการเปน็
โดยจบั ประเดน็ หลกั ของเรอ่ื งและจำ� แนกเหตกุ ารณ์ แนวรว่ มทสี่ ำ� คญั ในการเตรยี มความพรอ้ มตามแนว
หลักด้วยการแยกเป็นประเด็น ตามวัตถุประสงค์ ประชารัฐในการตอ่ ต้านยาเสพติด
ของการวิจัย หลังจากนั้นจะน�ำเสนอรายงานแบบ แต่ชุมชนก็ยังมีจุดอ่อนของการเตรียม
พรรณนาเชิงวิเคราะห์ ความพรอ้ มกค็ อื ขอ้ มลู บางประการทางดา้ นบคุ คล
ยังให้ข้อมูลเก่ียวกับการติดสารยาเสพติดและ
4. สรปุ ผลการวิจยั กิจกรรมเก่ียวกับการปฏิบัติเรียนรู้สารยาเสพติด
ไมส่ อดคลอ้ งกบั ประโยชนข์ องชมุ ชนโดยตรง ชมุ ชน
สรุปการเตรียมความพร้อมตามแนว ยังยึดผู้น�ำเป็นหลักไม่มีการน�ำเสนอความคิดเห็น
ประชารัฐในการต่อต้านยาเสพติดศึกษากรณี ของตนเอง จึงท�ำให้ข่าวสารบางประการไม่ครบ
ชมุ ชนวดั ปรุ ราวาส เขตทววี ฒั นา กรงุ เทพมหานคร และทนั ตอ่ เหตุการณ์และส่งผลใหค้ นในชุมชนไม่มี
ผลการวเิ คราะห์ จดุ แขง็ จดุ ออ่ น โอกาส และภาวะ ความตระหนักในการเตรียมความพร้อมเท่าที่ควร
คุกคาม (SWOT Analysis) เก่ียวกับพฤติกรรม เปน็ ชมุ ชนระบบอปุ ถมั ภ์ คอื เปน็ ผรู้ บั มากกวา่ ผใู้ ห้
ในการเตรียมความพร้อม ของประชาชนเพ่ือการ
ปที ่ี 19 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 195
แนวทางในการเตรียมความพร้อมในการต่อต้าน 1. เพ่ือศึกษาบทบาทของชุมชนในการ
ยาเสพติดในชุมชนวัดปุรณาวาส จึงใช้วิธีการ เตรยี มความพรอ้ มตามแนวประชารฐั ในการตอ่ ตา้ น
บูรณาการกับกิจกรรมเพื่อเสริมความสามัคคี ยาเสพติด: ศึกษากรณีชุมชนวัดปุรณาวาส
ร่วมมือกันตระหนักถึงโทษของยาเสพติดให้กับ จากบทบาทและนโยบายของรัฐบาลที่ให้ชุมชน
คนในชุมชนเข้าไปเก่ียวข้องกับสารยาเสพติด รว่ มมอื กนั โดยมีผมู้ ีส่วนได้สว่ นเสยี คือ ผนู้ �ำชุมชน
ด้วยการจัดการความรใู้ หต้ ง้ั แตผ่ ู้น�ำชุมชน แม่บา้ น กรรมการชุมชน กลุ่มแม่บ้านชุมชน ครู พระสงฆ์
อาสาสมัคร พระสงฆ์ เพื่อเป็นแกนน�ำในการ เข้ามารับผิดชอบร่วมกัน โดยเขตทวีวัฒนาและ
ปอ้ งกนั พรอ้ มทง้ั เปดิ เวทใี หช้ มุ ชนมสี ว่ นรว่ มในการ สำ� นกั งานตำ� รวจนครบาลศาลาธรรมสพน์ ทท่ี ำ� การ
แสดงความคดิ เหน็ ลดบทบาทบางประการของผนู้ ำ� ตกลงกับชุนชน คือ ตกลงร่วมมือกันท�ำตามแผน
ชุมชนเพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนแสดงแนวคิดและ และนโยบายสู่การปฏิบัติโดยมีแนวทางท่ีจะเฝ้า
น�ำเสนอแนวทางปฏิบัติที่ดีในเร่ืองความคิดเห็นท่ี ระวังป้องกัน และสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนจน
แตกต่างเพื่อน�ำมาแกไ้ ข เพอ่ื ใหค้ นในชมุ ชนเกดิ ความตระหนกั ในการรว่ มมอื
ต่อต้านยาเสพติด ท้ังนี้มีเป้าหมายส�ำคัญคือ
5. อภิปรายผลการวิจยั ป้องกันมิให้คนในชุมชนติดยาเสพติด จ�ำหน่าย
หรือเขา้ ไปเก่ยี วข้องกบั ยาเสพตดิ ซ่ึงผลปรากฏว่า
การเตรยี มความพรอ้ มตามแนวประชารฐั ชุมชนมีการยอมรับอย่างดี โดยการน�ำบุตรหลาน
ในการต่อต้านยาเสพติด: ศึกษากรณีชุมชนวัด ที่ติดยาเสพตดิ มาปรึกษาเพอ่ื พาไปรักษา แสดงให้
ปุรณาวาส ผวู้ ิจัยพบวา่ คนในชมุ ชนมีความพร้อม เห็นว่าชุมชนมีความตระหนัก พร้อมทั้งยังเป็น
ท่ีต้องการจะเห็นชุมชนปลอดยาเสพติด มีความ สายใยของครอบครัวให้บุตรหลานได้แสดงความ
สามคั คี ชว่ ยลกู หลานทคี่ ดิ เขา้ ไปเกย่ี วขอ้ งยาเสพตดิ คิดเห็นเก่ียวกับสภาพแวดล้อม ความรักท่ีพ่อแม่
หรือก�ำลังติดอยู่ได้เลิกเข้ามาบ�ำบัดตามศูนย์การ มตี อ่ ลกู เปน็ การสรา้ งความสมั พนั ธท์ ดี่ ี ซง่ึ สอดคลอ้ ง
ช่วยเหลือของชุมชนท่ีร่วมกับส�ำนักงาน ป.ป.ส กบั งานวิจัยของพทิ ยา ศริ ิรักษ์ และคณะ (Sirirak,
หรือเตรียมตัวอย่างไรท่ีจะให้ชุมชนเกิดความ et al., 2012) ท�ำการวิจัยเร่ืองยุทธศาสตร์
เข้มแข็งในด้านการจัดการบริหารความรู้ให้ชุมชน การป้องกันการติดสารเสพติดของเยาวชน พบว่า
เกิดความเข้าใจว่าอะไรคือสาเหตุท่ีต้องรีบแก้ไข แนวทางการป้องกันการติดสารเสพติดมีแนวคิด
เพ่ือให้ชุมชนปลอดยาเสพติด ผู้วิจัยจึงได้ศึกษา หลักท่ีส�ำคัญ คือ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวบุคคล
ค้นคว้าท�ำการประชุมความต้องการของชุมชน สังคมและส่ิงแวดล้อมปัญหาและอุปสรรคในการ
วัดปุรณาวาส โดยพิจารณาตามวัตถุประสงค์ ด�ำเนินการ เพื่อป้องกันการติดสารเสพติด
ที่ผู้วิจัยได้ต้ังไว้ให้สอดคล้องกับการร่วมมือในการ ของเยาวชนในสถานศึกษาเกิดจากการจัดสรร
เตรยี มความพรอ้ มตามแนวประชารฐั ในการตอ่ ตา้ น ทรัพยากรที่ ไม่เหมาะสมความล้มเหลวในการ
ยาเสพตดิ : ศึกษากรณีชมุ ชนวดั ปรุ ณาวาส ดังน้ี
196 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
บรู ณาการของหนว่ ยงาน ภาครฐั เนอ่ื งจากโครงสรา้ ง ส�ำหรับเด็กและเยาวชนอย่างย่ังยืน ซ่ึงการมีพื้นที่
ของกระทรวงศึกษาธิการบุคลากร ในสถานศึกษา เพ่ือท�ำกิจกรรมเชิงบวกการได้รับการสนับสนุน
ละเลยบทบาทและหน้าที่ในการปฏิบัติตาม และก�ำลังใจจากชุมชนและชุมชนให้ความส�ำคัญ
นโยบายเนื่องจากภาระการท�ำงานท่ีสูงและ และมีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหา
ขาดความเป็น รูปธรรมอิทธิพลจากเพื่อนและ ยาเสพติดต้องด�ำเนินการดังน้ี 1) รัฐควรกระตุ้น
เครือข่ายยาเสพติดและท่ีส�ำคัญ คือการไม่ได้รับ ให้ภาคสังคมรับรู้และมีส่วนร่วมในการป้องกัน
ความร่วมมือจากเยาวชนในสถานศึกษาในการ และแกไ้ ขปัญหายาเสพติดมากขน้ึ 2) ใหม้ อี งค์การ
เข้าร่วมกิจกรรมท่ีจัดขึ้นเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน ทางสังคม ท�ำหน้าที่ด้านการป้องกันปัญหายา
และทักษะในการ ปฏิเสธยาเสพติดให้แก่เยาวชน เสพติดแบบบูรณาการกับภาครัฐและหน่วยงาน
เน่ืองจากกิจกรรมที่จัดข้ึนไม่น่า สนใจไม่สามารถ ทเี่ กยี่ วขอ้ ง 3) การปอ้ งกนั ควรมงุ่ ไปท่ี ชว่ งกอ่ นการ
รองรับจ�ำนวนเยาวชนในสถานศึกษาในการ เริม่ เสพ และ 4) ควรมกี ารพฒั นาเดก็ และเยาวชน
กำ� หนดแนวทางที่เหมาะสม ควบคู่กับสถาบันสังคมหลักได้แก่ครอบครัว
ดังนั้น ชุมชนและหน่วยงานรับผิดชอบ โรงเรยี นและชุมชน
เขตทววี ัฒนา และส�ำนกั งานต�ำรวจนครบาลศาลา นอกจากน้ัน บทบาทในการเฝ้าระวัง
ธรรมสพน์ กองก�ำกับการปฏิบัติการพิเศษเข้ามา ปัญหายาเสพติดในชุมชนเพื่อแนวทางการป้องกัน
เป็นวิทยากรเก่ียวกับการด�ำเนินการปราบปราม ตามแนวประชารัฐในการต่อต้านยาเสพติด
จับกุมผู้ผลิต ผู้น�ำเข้า ผู้ส่งออก ผู้จ�ำหน่าย โดยท�ำการร่วมมือกันกับภาคีของชุมชน ชาวบ้าน
ผคู้ รอบครองหรอื ขนยา้ ยสารเคมภี ณั ฑ์ และวตั ถดุ บิ ผนู้ ำ� ชมุ ชน กลมุ่ แมบ่ า้ น ครู อาจารย์ สถานอี นามยั
ทใ่ี ชใ้ นการผลติ ยาเสพตดิ การปราบปรามเครอื ขา่ ย ชุมชนปรากฏว่าจากการได้รับความช่วยเหลือ
ยาเสพติดระหว่างประเทศท่ัวราชอาณาจักร จากเครือข่ายชุมชนและภาครัฐท�ำให้ชุมชนมีการ
เพ่ือให้ทราบถึงโทษของกฎหมาย ซึ่งท�ำให้ชุมชน ดูแลกันเองมากขึ้นช่วยเหลือซึ่งกันและกันผล
มีความเข้าใจจากการสังเกตและการสัมภาษณ์ ของการจัดความรู้ไม่พบผคู้ ้าและผ้เู สพ สอดคล้อง
คนในชมุ ชนไมม่ คี วามรดู้ า้ นกฎหมายเมอ่ื หนว่ ยงาน กับหลักการของปราการ เกิดมีสุข และตวงทอง
ของส�ำนกั งาน ป.ป.ส เขา้ มาให้ความรู้จงึ ทำ� ใหเ้ กิด พชรพฤทธิภากร (Gerdmeesuk and Pachara
ความเขา้ ใจถงึ โทษและบทลงโทษ ชมุ ชนจงึ มหี นว่ ย pruethipakorn, 2015) โครงการชุมชนวิถีพุทธ
เฝา้ ระวงั ของชมุ ชนเกดิ ขนึ้ ซงึ่ สอดคลอ้ งกบั งานวจิ ยั ทม่ี กี ารสอนคณุ ธรรมจรยิ ธรรมใหก้ บั บา้ นทเ่ี ขา้ รว่ ม
ของประจัน มณีนลิ (Maneenin, 1986) และยงั โครงการ โดยการจดั การความรู้ใหก้ ับคนในชมุ ชน
สอดคลอ้ งกบั งานวิจัยของนาวี สกลุ วงศ์ธนา และ ให้มีประสิทธิภาพสามารถแก้ไขให้เกิดการรับรู้
คณะ (Saklonwongtana, et al., 2015) ท�ำการ เรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ท้ังน้ีเครือข่ายของ
วิจัยเรื่อง แนวทางการป้องกันปัญหายาเสพติด อาสาสมัครสัมพันธ์ชุมชนและหน่วยงานของรัฐ
ปที ี่ 19 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 197
กองปราบปรามยาเสพติด ได้รับความรู้และร่วม ชมุ ชนเขา้ มามสี ว่ นรว่ มในกจิ กรรมชมุ ชน ผนู้ ำ� ชมุ ชน
กิจกรรม ท�ำให้คนหวาดกลัวไม่กล้ากระท�ำผิด ตอ้ งมบี ทบาทใหม้ าก ซงึ่ สอดคลอ้ งกบั งานวจิ ยั ของ
จึงเป็นผลท�ำให้เรื่องของยาเสพติดลดจ�ำนวนอย่าง อทุ ยั เปล่ียนสี (Plensri, 2009) ท่ีศึกษาเรื่องการมี
ชดั เจน ด้วยสาเหตุดงั กลา่ วทำ� ให้รวู้ ่าเครอื ขา่ ยของ ส่วนร่วมและความพึงพอใจของพนักงานภาครัฐ
ชุมชนเมื่อได้เข้ามามีส่วนร่วมเพื่อช่วยเหลือสังคม และประชาชนในการแก้ไขปัญหายาเสพติดของ
ในชุมชนด้วยกัน โดยมีเป้าหมายร่วมกัน ป้องกัน รัฐบาล กรณีศึกษา อ�ำเภอวารินช�ำราบ จังหวัด
และแก้ไขปัญหายาเสพติดด้วยกันจึงท�ำให้เกิด อบุ ลราชธานี พบวา่ ระดบั การมสี ว่ นรว่ มและความ
แรงจูงใจร่วมกันกลายเป็นก�ำแพงที่แข็งแกร่ง พงึ พอใจในการแกไ้ ขปญั หายาเสพตดิ ของพนกั งาน
ปอ้ งกันยาเสพติดตามแนวประชารฐั อย่างแทจ้ ริง ภาครัฐและประชาชน ต่อการแก้ไขปัญหายา
2. เพอ่ื ศกึ ษาแนวทางในการเตรยี มความ เสพติด อยู่ในระดับปานกลาง ผู้เกี่ยวข้องกับการ
พร้อมตามแนวประชารัฐในการต่อต้านยาเสพติด ด�ำเนินงานงานแก้ไขปัญหายาเสพติดของรัฐบาล
ของชุมชนวัดปุรณาวาส โดยชุมชนได้จัดการหา แต่ละกล่มุ มสี ่วนร่วมในการ แกไ้ ขปญั หายาเสพตดิ
แนวทางในการป้องกันยาเสพติด ไปสู่การกระท�ำ แตกตา่ งกนั อยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั 0.002
ผิดโดยมีการเฝ้าระวังและป้องกันดังต่อไปนี้ รัฐบาลควรให้การศึกษาแก่ประชาชน
ชุมชนต้องให้ความสนใจเกี่ยวกับสารยาเสพติด อย่างทั่วถึงแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมอย่าง
เพราะเป็นนโยบายของรัฐบาลท่ีจะก�ำจัดสาร จรงิ จัง และจัดสรรงบประมาณในการปอ้ งกันและ
ยาเสพติดที่เป็นบ่อนท�ำลายชาติ โดยชุมชนมีศูนย์ ปราบปรามส่ิงเสพติด การบังคับใช้กฎหมายอย่าง
คอยบ�ำบัดให้ความรู้ โดยการอบรมแก่ทุกคน จริงจัง บางครั้งเจ้าหน้าท่ีต�ำรวจบางคนท่ีดูแล
ในชุมชนให้เห็นโทษหรืออันตรายจากสิ่งเสพติด ด้านสิ่งเสพติดก็ปล่อยปละละเลย หรือท�ำการค้า
และต้ังศูนย์รับแจ้งเบาะแสเก่ียวกับส่ิงเสพติด สิ่งเสพติดเสียเอง ท�ำให้การปราบปรามไม่ได้ผล
เม่ือพบว่ามีการซ้ือขายหรือเสพสิ่งเสพติดภายใน เท่าท่ีควร ดังนั้นรฐั บาลจงึ ควรเข้มงวดกับผกู้ ระท�ำ
ชุมชน จัดโครงการชุมชนปลอดสิ่งเสพติดต่างๆ ผดิ และลงโทษผกู้ ระทำ� ผดิ อยา่ งจรงิ จงั และตอ่ เนอื่ ง
ทั้งที่ทางราชการจัดขึ้น และชุมชนคิดริเร่ิมขึ้นมา พร้อมท้ังจัดบุคลากรและหน่วยงานในการป้องกัน
เพื่อเป็นการสร้างสิ่งแวดล้อมในชุมชนให้มี และปราบปรามสิ่งเสพติดให้เพียงพอ และด�ำเนิน
ประสทิ ธภิ าพ คนมคี วามสขุ มสี นามสำ� หรบั พกั ผอ่ น การอย่างต่อเนื่อง ชุมชนต้องมีการจัดการป้องกัน
ทำ� ใหบ้ รรยากาศของชมุ ชนดี ควรมกี ารแลกเปลย่ี น แนวร่วมเพื่อให้เบาะแสกับทางภาครัฐเพื่อเป็น
ขอ้ มลู เกย่ี วกบั ปญั หายาเสพตดิ เพอ่ื เปน็ การปอ้ งกนั แนวทางในการเข้ามาแก้ไข ให้ข่าวสารในการ
แก้ไขปัญหาเรื่องยาเสพติดระหว่างชุมชนกับ ปราบปรามยาเสพตดิ รวมถงึ สถานประกอบการดว้ ย
เจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั ในเวลาไมม่ ากนกั พรอ้ มกบั ซกั ถาม ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของสถิต สังข์ประไพ
คณะกรรมการ ผูน้ ำ� ชุมชน เพอื่ เปน็ การกระตุ้นให้ (Sangprapi, 2008) ทศ่ี กึ ษาเรอื่ ง บทบาทและการ
198 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
มสี ว่ นรว่ มของผปู้ ระกอบการทมี่ ตี อ่ การปอ้ งกนั และ ส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและแก้ไข
แก้ไขปัญหายาเสพติดในสถาน ประกอบการ ปัญหายาเสพติดในบ้านคลองม่วงเหนือ หมู่ท่ี 3
ประเภทที่พักอาศัยเชิงพาณิชย์ในเขตอ�ำเภออุทัย ตำ� บลลำ� พญากลาง อำ� เภอมวกเหลก็ จงั หวดั สระบรุ ี
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พบว่า ผู้ประกอบการ พบวา่ ประชาชนมสี ว่ นรว่ มในการปอ้ งกนั และแกไ้ ข
ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุ36-50 ปี มีต�ำแหน่ง ปัญหายาเสพติดอยู่ในระดับน้อย หากไม่มีการ
เปน็ ผดู้ แู ล เจา้ หนา้ ทท่ี พี่ กั อาศยั เชงิ พาณชิ ย์ มรี ะยะ ด�ำเนินการใดๆ เพ่ือแก้ไขปัญหาการมีส่วนร่วม
เวลาท�ำงาน 6-10 ปี สถานประกอบการมอี ายุ 6-10 ปี ของประชาชน อาจจะกลายเป็นปัญหาที่ยากแก่
ผอู้ าศยั สว่ นใหญเ่ ปน็ พนกั งานบรษิ ทั และเปน็ สถาน การแก้ไขจนส่งผลให้ชุมชนและสังคมเกิดความ
ประกอบการประเภทหอพกั ผปู้ ระกอบการสว่ นใหญ่ ว่นุ วาย
มีบทบาทและมีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไข ดั ง น้ั น ภ า ค รั ฐ ค ว ร มี ก า ร ร ณ ร ง ค ์
ปัญหายาเสพติด ในเรื่องการแจ้งเบาะแส การให้ ประชาสมั พนั ธ์ สรา้ งความรู้ ความเขา้ ใจ และความ
ข้อมูลข่าวสารและการรับทราบ ข่าวสารในการ ตระหนกั แกท่ กุ ภาคสว่ น โดยเฉพาะภาคประชาชน
ป้องกันและปราบปรามยา เสพติดของภาครัฐ ให้เห็นความส�ำคัญในการเข้ามามีส่วนร่วมในการ
ผู้ประกอบการมีความคิดเห็นท่ีมีต่อการ ป้องกัน ปอ้ งกนั และแกไ้ ขปญั หายาเสพติด ตลอดจนเข้ามา
และแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานประกอบการ มีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน และให้รับทราบถึง
โดยรวมเห็นด้วยอยู่ในระดับมาก และผู้ประกอบ ผลกระทบของปัญหายาเสพติดที่มีต่อตัวเอง
การท่ีมีระยะเวลาท�ำงาน มีความคิดเห็นต่อการ ครอบครัว สังคม เศรษฐกิจ และประเทศชาติ
ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถาน รวมทั้งปลูกจิตส�ำนึกให้รักหวงแหนบ้านเกิด
ประกอบการ โดยรวมแตกต่างกันสถานประกอบ ด้วยวิธีการรณรงค์ประชาสัมพันธ์เชิงรุกผ่านช่อง
การทมี่ อี ายตุ า่ งกนั มคี วามคดิ เหน็ ทมี่ ตี อ่ การปอ้ งกนั ต่างๆ เชน่ วิทยชุ มุ ชน โทรทศั น์ สื่อโซเชียล อย่าง
และแก้ไขปัญหายาเสพติดใน สถานประกอบการ ต่อเนื่อง และขับเคลื่อนงานผ่าน วิทยากร
ประเภทที่พักอาศัยเชิงพาณิชย์เก่ียวกับการ กระบวนการที่มีความรู้ความสามารถในการ
ขออนุญาตตามพระราชบัญญัตหิ อพัก และอาคาร โนม้ นา้ วและจงู ใจใหเ้ ขา้ มารว่ มกนั ปอ้ งกนั และแกไ้ ข
ชุดแตกต่างกัน จากการวิจัยถ้าชุมชนไม่ได้รับการ ปัญหายาเสพติด ในส่วนของชุมชนผู้น�ำควรสร้าง
สนับสนุนจากภาครัฐและเอกชนเข้ามามีส่วน ช่องทางในการมีส่วนร่วมของประชาชนเพิ่มขึ้น
เกี่ยวข้องแล้วจะท�ำให้การแก้ไขยาเสพติดเป็น โดยใชเ้ ทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาเปน็ เครอื่ งมือในการ
เรื่องที่แก้ไขไดย้ ากรวมถึง ชุมชนเองหากไม่มีความ ท�ำงาน ซึ่งสอดคล้องกับทวีศักด์ิ จันทร์โชติ
เข้มแข็งพอก็จะท�ำให้ชุมชนอ่อนแอปกป้องชุมชน (Chanchod, 2006) ทำ� การวจิ ยั เรอ่ื ง ปจั จยั ทม่ี ผี ล
ของตนเองไมไ่ ด้ สอดคลอ้ งกบั งานวจิ ยั ของชนภรณ์ ต่อความส�ำเร็จในการน�ำนโยบายป้องกันและ
สังสนา และพิพัฒน์ ไทยอารี วิจัยเร่ืองการมี ปราบปรามยาเสพติดสู่การปฏิบัติ: กรณีศึกษา
ปีที่ 19 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 199
กองก�ำกับการต�ำรวจ ตระเวนชายแดนที่ 43 ไหวตัวทัน และอาจท�ำลายพยานหลักฐานทิ้งไป
ผลการวจิ ยั พบวา่ ประชาชนไม่ให้ความร่วมมือกบั ท�ำให้เจ้าหน้าท่ีต�ำรวจไม่สามารถขยายผลติดตาม
หน่วยงาน ผู้บังคับบัญชาไม่ให้ความส�ำคัญ จบั กมุ ได้
ไม่สนับสนุน นอกจากน้ีผู้บริหารสถานศึกษา
บางแหง่ ขาดความมงุ่ มน่ั และเอาใจใสใ่ นการปอ้ งกนั 6. ข้อเสนอแนะ
ยาเสพตดิ ในสถานศึกษา
ดังน้ันการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันจึงอาจ 1. ข้อเสนอแนะเพื่อนำ� ผลการวจิ ยั ไปใช้
ต้องอาศัยตัวของนักเรียน ครอบครัว และสังคม 1.1 ควรมีหน่วยงานของทางภาครัฐ
เพื่อป้องกันไม่ให้มีการเสพยาเสพติดในเยาวชน และเอกชนใหม้ กี ารดแู ล สง่ เสรมิ สนบั สนนุ ใหม้ กี าร
สอดคล้องกับภัทระ เหล่ามีผล (Lawmeephon, ปอ้ งกนั และระวงั ภยั อนั ตราย อนั เกดิ จากยาเสพตดิ
2015) ฝ่ายปฏิบัติการของแต่ละหน่วยงานไม่ได้ ทุกชนิดและบ�ำบดั ผ้ทู เ่ี สพใหล้ ะเลกิ อยา่ งย่ังยืน
ประสานงานกันจริง การประชุมของแต่ละครั้ง 1.2 ควรมกี ารพฒั นาปญั หาเกย่ี วกบั
จะมแี ต่คณะกรรมการ ซง่ึ เปน็ ระดบั บรหิ ารไปรว่ ม ยาเสพติดอย่างต่อเน่ือง ตั้งแต่ในระดับชุมชน
ประชุมกัน ไม่มีเจ้าพนักงานระดับปฏิบัติงานเข้า ถงึ ระดบั ประเทศ มกี ารประสานงานกนั อยา่ งตอ่ เนอื่ ง
ร่วมประชุมด้วย จึงอาจจะท�ำให้ไม่ทราบถึง 1.3 ควรให้ความรู้เก่ียวกับโทษของ
แก่นปัญหาอย่างแท้จริง ซึ่งปัญหายาเสพติด ยาเสพติดและกฎหมายข้อบังคับท่ีมีผลต่อบท
ที่ผ่านมาได้มีการสร้างเครือข่ายกระจายไปตาม ลงโทษของผู้ค้าและผู้เสพอย่างจริงจัง และต้อง
แหล่งม่ัวสุมต่างๆ ท้ังสถานบันเทิง ร้านเกม กำ� หนดบทลงโทษเกย่ี วกบั ยาเสพตดิ อยา่ งหนกั ทสี่ ดุ
หอพักต่างๆ หรือไม่เว้นแม้แต่ส่วนราชการ เพ่อื ปอ้ งกนั การกระท�ำผดิ ซ้�ำซ้อน
หรือสถานศึกษา หลายคร้ังที่เจ้าหน้าที่ต�ำรวจ 2. ขอ้ เสนอแนะการวจิ ัยครง้ั ต่อไป
ชุดปราบปรามยาเสพติด ซ่ึงเป็นชุดปฏิบัติการ 2.1 การเตรียมความพร้อมตามแนว
ได้ท�ำการจับกุมเครือข่ายของหน่วยงานราชการ ประชารัฐในการต่อต้านยาเสพติด:ศึกษากรณี
หรอื สถานศกึ ษาได้ แตก่ ารประสานงานตอ้ งทำ� เปน็ ชมุ ชนวดั ปรุ ณาวาส เขตทววี ฒั นา กรงุ เทพมหานคร
หนังสือให้ผู้บังคับบัญชา ประสานงานกันกับ ระยะท่ี 2
หน่วยงานนั้น แล้วจึงส่งเร่ืองไปยังผู้ปฏิบัติ 2.2 ภาวะผชู้ มุ ชนทมี่ อี ทิ ธพิ ลตอ่ การ
ท�ำให้เกิดความล่าช้า กลุ่มผู้กระท�ำความผิด พัฒนาชุมชนให้เป็นชุมชนเศรษฐกิจพอเพียงอย่าง
ยั่งยนื
200 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
References
Center for Dug Prevention and Suppression Department of Mental Health. (2016). Statistics
for Treatment Reports. http://www.nccd.go.th (Accessed 31 May 2018).
Chaipattana Foundation. (2007). The Beginning of the Concept of Sufficiency Economy.
http://www.chaipat.or.th/ (Accessed 5 December 2017).
Chanchod, T. (2006). Factors Affecting Success in Implementing Drug Prevention and
Suppression Policy into Practice: Case Study of Border Patrol Police Division 43.
Master of Arts Thesis. Graduate School : Development Strategy College Songkhla
Rajabhat University.
Gerdmeesuk, P. and Pacharapruethipakorn, T. (2015). Knowledge Management for the
Development of the Potential of the Buddhist Community: a case study of
Puranawat Temple, Thawi Watthana District, Bangkok. Research Papers Faculty
of Education. Bangkok : Bangkokthonburi University.
Lawmeephon, P. (2015). Problems and Obstacles in the Operation of Drug Prevention
and Suppression of the Provincial Police Station in Pathum Thani Province. Master
of Political Science Political Administration. Graduate School : Thammasat
University.
Leeka, J., et al. (2017). The Model and Process to Create Strength of Villages Monasteries
Schools on the Problems Addictive Drug Tackling, a According to Buddhism in the
Northeastern Region. Dhammathas Academic Journal, 17(2), 29-35.
Maneenin, P. (1986). Factors Affecting Drug Offenses Committed by the Thai Muslim
Offenders in the Four Southern border Provinces. Term Paper. Graduate School
: Mahidol University.
Office of the Narcotics Control Board. (2011). Basic Knowledge for Drug Prevention in
Youth. 2nd edition. Bangkok : Idea Square Printing Partnership Limited.
Panpit, P. (2009). Factors Affecting Preventive Behaviors Against Drugs of Non-formal
Education Students in Prapradaeng District, Samutprakarn Province. Thesis Master
of Arts. Graduate School : Dhonburi Rajabhat University.
ปที ี่ 19 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 201
Plensri, U. (2009). Participation and Satisfaction of Government Employees and People
in Solving Government Drug Problems Case Study: Warin Chamrap District Ubon
Ratchathani Province. Master of Political Science Thesis. Graduate School : Ubon
Ratchathani University.
Promsupa, S. (2006). Factors Affecting the Behavior of Drug Addiction Prevention of upper
Secondary School Students in the District Ubon Ratchathani. Master of Arts Thesis.
Graduate School : Ubon Ratchathani Rajabhat University.
Saklonwongtana, N., et al. (2015). Sustainable Drug Prevention Guidelines for Children and
Youth: Immunity to Create a White World. The National Defense Course for the
Joint State-Private Sector National Defense College. Bangkok : Thailand National
Defence College.
Sangprapi, S. (2008). Role and Participation of Entrepreneurs towards Prevention and
Problem Solving Drugs in Commercial Residential Establishments in Uthai District,
Phra Nakhon Si Ayutthaya Province. Master of Business Administration. Phra
Nakhon Si Ayutthaya Rajabhat University.
Sirirak, P., et al. (2012). Youth Drug Prevention Strategy. National Defense Course,
National Defense College. Bangkok : Thailand National Defence College.
พุทธศลิ ปล์ ้านชา้ ง: แนวคดิ พัฒนาการ คุณคา่ ทางศลิ ปะ
และวัฒนธรรม*
The Buddhist Arts in Lanchang: Concept, Development
and Art Cultural Values
สวุ ิน ทองปั้น
Suwin Thongpun
มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย วทิ ยาเขตขอนแก่น
Mahachulalongkornrajavidya University, KhonKaen Campus, Thailand
E-mail: [email protected]
บทคัดย่อ
การวจิ ยั ครง้ั นี้ มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื 1) ศกึ ษาแนวคดิ พฒั นาการ พทุ ธศลิ ปล์ า้ นชา้ ง 2) เพอื่ ศกึ ษา
คุณค่าและการสอ่ื ความหมายทางพุทธปรัชญาจากพุทธศลิ ปล์ า้ นชา้ ง และ 3) เพื่อศกึ ษาการเปลยี่ นแปลง
และกระบวนการจดั การพทุ ธศลิ ปล์ า้ นชา้ ง เปน็ การวจิ ยั เชงิ เอกสาร โดยการเกบ็ ขอ้ มลู จากเอกสารชน้ั ปฐมภมู ิ
และทุตยิ ภมู ิ วเิ คราะห์ข้อมลู ดว้ ยวธิ กี ารพรรณนา
ผลการวจิ ยั พบว่า
1. แนวคิด พัฒนาการ พุทธศิลป์ล้านช้างเกิดจากอิทธิพลทางศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี
ในแตล่ ะยคุ ดงั นี้ ในพทุ ธศตวรรษท่ี 12-13 พทุ ธศลิ ปล์ า้ นชา้ งไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากศลิ ปะทวารวดี ในพทุ ธศตวรรษ
ท่ี 14-15 พทุ ธศลิ ป์ลา้ นช้างได้รบั อิทธพิ ลจากศลิ ปะเขมร-จาม ในพุทธศตวรรษท่ี 16-17 พทุ ธศิลป์ลา้ นชา้ ง
ได้รับอิทธิพลจากศิลปะเขมรแบบบาปวนและศาสนาพราหมณ์ไศวนิกาย และในพุทธศตวรรษท่ี 18-19
พทุ ธศลิ ปล์ า้ นชา้ งไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากศลิ ปะเขมรกบั ทวารวดี แตล่ ะยคุ จะมกี ารนำ� ศลิ ปะมาผสมผสานแนวคดิ เดมิ
แลว้ สรา้ งพทุ ธศลิ ปท์ เ่ี ปน็ เอกลกั ษณ์ของลา้ นชา้ ง
2. คณุ คา่ และการสอ่ื ความหมายทางพทุ ธปรชั ญาของพทุ ธศลิ ปล์ า้ นชา้ ง พบวา่ คณุ คา่ พทุ ธศลิ ป์
ล้านช้างประกอบไปด้วย คุณค่าด้านศิลปะ คือ การสร้างสรรค์งานศิลปะที่เป็นเอกลักษณ์ของล้านช้าง
คณุ คา่ ดา้ นวฒั นธรรม ประเพณี คอื วฒั นธรรม ประเพณที เี่ กดิ จากพทุ ธศลิ ป์ คณุ คา่ ดา้ นจติ ใจ คอื สง่ิ ทเ่ี ปน็
ที่พึ่งและเป็นจุดศูนย์รวมจิตใจของชาวล้านช้าง ส�ำหรับการส่ือความหมายทางพุทธปรัชญา คือ แนวคิด
* ไดร้ ับบทความ: 30 สงิ หาคม 2561; แกไ้ ขบทความ: 25 มกราคม 2562; ตอบรบั ตีพมิ พ์: 14 กุมภาพันธ์ 2562
Received: August 30, 2018; Revised: January 25, 2019; Accepted: February 14, 2019
204 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
ทฤษฏี และหลักการปฏิบัตทิ ่เี กิดจากพุทธศิลปล์ ้านชา้ ง
3. การเปลี่ยนแปลงและกระบวนการจัดการพุทธศิลป์ล้านช้าง พบว่า การเปลี่ยนแปลงพุทธ
ศิลป์ล้านช้างเกิดจากแนวคิดทางศิลปะแต่ละยุคที่เข้ามาผสมผสานกับศิลปะเดิมแล้วท�ำให้พุทธศิลป์
ล้านชา้ งเปล่ียนไปตามยุคตามสมยั ส่วนกระบวนการจัดการพทุ ธศลิ ปล์ า้ นช้าง คอื การจดั การพุทธศลิ ป์
ให้คงอยอู่ ย่างยง่ั ยนื โดยอาศัยความรว่ มมือกนั ของหนว่ ยงานภาครฐั เอกชน รัฐวสิ าหกจิ วัด และชมุ ชน
ในการจดั การพทุ ธศลิ ปล์ า้ นชา้ งไมใ่ หเ้ สอ่ื มสลาย ใหค้ งอยเู่ ปน็ มรดกทางวฒั นธรรมแกอ่ นชุ นรนุ่ หลงั สบื ตอ่ ไป
คำ� สำ� คัญ: พทุ ธศลิ ป์ลา้ นช้าง; แนวคดิ ; พัฒนาการ; คณุ ค่าทางศิลปะและวฒั นธรรม
Abstract
The aims of this documentary research were: 1) to study the concepts and
development of Lan Chang Buddhist art; 2) to study the values and meaning communication
in terms of Buddhist philosophy from Lan Chang Buddhist art; 3) to study the transformation
and management of Lan Chang Buddhist art. The study was carried out by collecting the
data from the primary and secondary sources and the obtained data were interpreted
by the descriptive analysis.
The research results were as follows:
1. The concept and development of Lan Chang art was caused by the influence
of art, culture, and traditions in each era as follows: in the 12th-13th century, it was
influenced by Dvaravati art, in the 14-15th century Buddhist era, it was influenced by
Khmer Cham art and in the 16th-17th century, it was influenced Khmer Baphuon art and
Shaivism sect of Brahmanism and later in the 18th-19th century, it was influenced by
Khmer art and Dvaravati. Each era brings art to mix the original concept and create a
unique Buddhist art of Lan Chang.
2. In terms of the value and meaning communication of Buddhist philosophy of
Lan Chang Buddhist art, it was found that the value of Lan Chang Buddhist art consists
of artistic value which is to create a unique art of Lan Chang; the cultural value that is the
cultures and traditions arose from Buddhist art; the psychological value that is the refuge
and the center of the mind of the Lan Chang people. For the meaning communication
of Buddhist philosophy is the concept, theory and principle of practices from the
ปที ี่ 19 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 205
Buddhist art of Lan Chang.
3. In regards to the transformation and management process of Lan Chang
Buddhist art, it was found that the transformation of Lan Chang art was arisen from the
artistic concepts of each era that came together with the original art and then changed
the Buddhist art of Lan Chang according to each era. As for the process for managing the
Buddhist art, Lan Chang, is the management of Buddhist art to sustainably remain by
collaborating with government agencies, private enterprises, temples and communities
in the management of Buddhist art to remain as a cultural heritage for future generations.
Keywords: Buddhist Arts in Lanchang; Concept; Development; Art Cultural Value
1. บทน�ำ ตอ่ มาอาณาจกั รลา้ นชา้ งเกดิ ความวนุ่ วาย
มกี ารแยง่ ชงิ ราชสมบตั กิ นั ทำ� ใหอ้ าณาจกั รลา้ นชา้ ง
อาณาจักรล้านช้างเป็นอาณาจักรของ ถกู แยกออกเปน็ 3 อาณาจกั ร (Jantavongpaisan,
ชนชาติลาวต้ังอยู่บริเวณแถบลุ่มแม่น้�ำโขง 2015 : 278) คือ 1) อาณาจักรลา้ นช้างเวียงจนั ทน์
ท้ังสองฝั่ง ในบริเวณประเทศลาวและภาคตะวัน ซึ่งเป็นอาณาจักรที่สืบทอดมาจากอาณาจักร
ออกเฉียงเหนือของไทย อาณาจักรแห่งน้ี ลา้ นชา้ งศรสี ตั นาคนหตุ เดมิ ซง่ึ มอี าณาเขตปกครอง
ได้สถาปนาข้ึนอย่างเป็นปึกแผ่นและม่ังคง ดินแดนภาคกลางของลาวในปัจจุบัน มีพระเจ้า
ในปี พ.ศ. 1896 ในสมยั พระเจา้ ฟา้ งมุ้ อาณาจกั รนี้ ไชยเชษฐาธริ าชที่ 2 เปน็ ปฐมกษตั รยิ ์ 2) อาณาจกั ร
มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน บางยุคมีความ ล้านช้างหลวงพระบาง ได้ถือก�ำเนิดจากความ
เจริญรุ่งเรือง บางยุคก็มีความร่วงโรยสลับกันมา แตกแยกระหว่างเวียงจันทน์และหลวงพระบาง
หลายยคุ หลายสมยั จนกระทงั้ มาถงึ ยคุ สมยั พระเจา้ ใน ปี พ.ศ. 2250 มีอาณาเขตปกครองดินแดน
ไชยเชษฐาธิราช (พ.ศ. 2091 - พ.ศ. 2114) ภาคเหนือของลาวในปัจจุบัน มีพระเจ้ากิ่งกิสราช
และรัชสมัยพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราช (พ.ศ. เปน็ ปฐมกษตั รยิ ์ (พ.ศ. 2249-2256) และมเี ชอื้ สาย
2181 - พ.ศ. 2238) ถือว่าเป็นยุคทองของ กษตั รยิ ส์ บื ราชสมบตั ิ ตอ่ มาจนกระทงั่ ประเทศลาว
อาณาจกั รลา้ นชา้ ง ซงึ่ เปน็ ยคุ ทมี่ คี วามเจรญิ รงุ่ เรอื ง ตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2492
ทง้ั การเมอื งการปกครอง ศลิ ปวฒั นธรรม ตลอดจน และ 3) อาณาจกั รลา้ นชา้ งจำ� ปาศกั ด์ิ ถอื กำ� เนดิ ขน้ึ
ความรุ่งเรืองพระพุทธศาสนา อาณาจักรล้านช้าง ในปี พ.ศ. 2257 เมอ่ื พระเจา้ สรอ้ ยศรสี มทุ รพทุ ธางกรู
ในสมัยท่ีรุ่งเรืองมีอาณาเขตครอบคลุมภาคอีสาน ป ร ะ ก า ศ แ ย ก อ า ณ า เ ข ต จ� ำ ป า ศั ก ด์ิ อ อ ก จ า ก
ของไทย ลาว เวียดนามบางส่วนและจีนตอนใต้ เวียงจันทน์ ซึ่งปกครองดินแดนภาคใต้ของลาว
(Phramaha Daowsayam Vachirapayyo, 2012 ต้ังแต่เขตเมืองนครพนม เมืองค�ำม่วนลงไปจนถึง
: 45)
206 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
เมอื งเชยี งแตง เมอื งมโนไพรตอ่ แดนเขมร สว่ นทาง พระพุทธศาสนา ท้ังท่ีเป็นพุทธศิลป์แบบพ้ืนบ้าน
ด้านตะวันตกมีอาณาเขตกินบริเวณไปไกลจนถึง และแบบราชส�ำนัก ซึ่งเป็นองค์ความรู้ท่ีได้รับการ
เมอื งทง่ หรือเมืองสุวรรณภมู ิ (Wikipedia, 2017) สั่งสมถ่ายทอดและพัฒนาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน
อาณาจักรล้านช้างท้ัง 3 อาณาจักรต่างก็มีการ โดยอาศัยแรงศรัทธาในการสร้างสรรค์ผสมผสาน
ปกครองอยา่ งเปน็ อสิ ระไมข่ นึ้ ตอ่ กนั ในปี พ.ศ. 2321 กับศิลปวฒั นธรรมด้งั เดิม และพทุ ธศลิ ป์ที่โดดเดน่
อาณาจกั รลา้ นชา้ งทง้ั 3 แหง่ ไดต้ กเปน็ เมอื งขนึ้ ของ ที่สุดในล้านช้างที่เห็นประจักษ์ เช่น ฝั่งลาว
อาณาจกั รสยาม มีพระธาตุหลวง พระธาตุอิงฮัง พระบาง เป็นต้น
ในปี พ.ศ. 2446 อาณาจกั รลา้ นชา้ งถกู แยก สว่ นฝง่ั ไทยมพี ทุ ธศลิ ปท์ เ่ี ปน็ ศลิ ปะลา้ นชา้ งทเ่ี ดน่ ชดั
ออกเปน็ 2 สว่ น ซงึ่ เปน็ การลม่ สลายของอาณาจกั ร เชน่ พระธาตุพระนม พระธาตเุ รณู พระศรสี องรัก
ล้านช้าง โดยอาศัยแม่น�้ำโขงเป็นที่แบ่งเขตแดน พระใส พระพุทธรปู ไม้ เปน็ ตน้
ดินแดนที่อยู่ฝั่งแม่น�้ำโขงฝั่งหนึ่งกลายมาเป็น ดังน้ัน ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะท�ำการวิจัย
ประเทศลาว ส่วนดินแดนที่อยู่ฝั่งแม่น�้ำโขงอีกฝั่ง พุทธศิลป์ล้านช้าง โดยเฉพาะพุทธรูปและเจดีย์
หนึ่งกลายมาเป็นประเทศไทย การล่มสลายของ เพือ่ สะทอ้ นให้เห็นถึงปรัชญา แนวคดิ การพฒั นา
อาณาจักรล้านช้างเป็นการล่มสลายทางการเมือง คุณค่าทางศลิ ปะ วฒั นธรรม ประเพณี และวิถชี วี ติ
การปกครองเทา่ นัน้ แต่ ศาสนา ปรัชญา ความเช่อื ของชาวล้านชา้ งจากพุทธศิลปส์ ืบต่อไป
วิถีชีวิต ศิลปะและวัฒนธรรมของล้านช้างไม่ล่ม
สลายไปกับอาณาจักรแต่อย่างใดท่ีเห็นประจักษ์ 2. วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย
ชัดเจนคือ ท้ังประเทศไทยและประเทศลาวยังคง
สบื ทอดสงิ่ เหลา่ นมี้ าจนถงึ ปจั จบุ นั 1. เพอ่ื ศกึ ษาแนวคดิ พฒั นาการ พทุ ธศลิ ป์
พุทธศิลป์ล้านช้างท่ีสะท้อนให้เห็นถึง ลา้ นช้าง
ปรัชญา ความเช่ือ วิถีชีวิต ศิลปะและวัฒนธรรม 2. เพ่ือศึกษาคุณค่าและการส่ือความ
ทเ่ี หน็ ชดั เจน ไดแ้ ก่ พระพุทธรปู และเจดยี ์ ซึ่งเป็น หมายทางพุทธปรชั ญาจากพทุ ธศลิ ปล์ า้ นช้าง
สรา้ งตามแนวคดิ ทางปรชั ญา ความเชอื่ วฒั นธรรม 3. เพ่ือศึกษาการเปล่ียนแปลงและ
ขนมธรรมเนยี มประเพณขี องชาวลา้ นชา้ ง จงึ กอ่ ให้ กระบวนการจดั การพทุ ธศิลป์ลา้ นช้าง
เกดิ ศลิ ปะทเี่ ปน็ เอกลกั ษณข์ องลา้ นชา้ ง ซง่ึ พทุ ธศลิ ป์
ล้วนแล้วแต่ก็ตั้งอยู่บนพ้ืนฐานแห่งความศรัทธา 3. วิธีด�ำเนินการวิจัย
ความเชื่อและปรัชญาการด�ำเนินชีวิตตามอุดมคติ
ของพทุ ธศาสนา การวิจัยครั้งน้ี เป็นการวิจัยเชิงเอกสาร
การสรา้ งสรรคพ์ ทุ ธศลิ ปล์ า้ นชา้ ง เปน็ งาน (Documentary Research) โดยการศึกษาและ
สร้างสรรค์ท่ีแสดงออกซ่ึงความมีศรัทธาต่อ รวบรวมข้อมูล จากเอกสารและหลักฐานที่
เกยี่ วข้อง ไดแ้ ก่ หนังสอื รายงานการวจิ ัย รายงาน
การประชมุ ภาพถ่าย วัตถุทแ่ี สดงถึงความสัมพนั ธ์
ปีที่ 19 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 207
ทางประวัติศาสตร์และความเป็นมาของแนวคิด ชัดเจนคือเขมรในสมัยนั้นได้สร้างปราสาทต่างๆ
พัฒนาพุทธศิลป์ คุณค่า และการสื่อความหมาย และพระพุทธรูปอย่างมากมาย เมื่อเป็นเช่นน้ี
เชงิ พทุ ธปรชั ญาทเ่ี กดิ จากพทุ ธศลิ ปล์ า้ นชา้ ง วเิ คราะห์ พุทธศิลป์ล้านช้างจึงได้รับอิทธิพลจากศิลปะ
ข้อมูลด้วยวิธกี ารพรรณนาตามหลักอุปนัยวธิ ี วัฒนธรรมเขมรไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะศิลปะ
ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันท่ี 7 ซึ่งเป็นศิลปะแบบ
4. สรปุ ผลการวจิ ยั มหายาน ทเ่ี หน็ ประจกั ษช์ ดั เจนคอื การสรา้ งนครวดั
และการสร้างพระพุทธรูปในยุคนั้นมีการประดับ
1. แนวคดิ พฒั นาการ พทุ ธศลิ ปล์ า้ นชา้ ง ตกแต่งด้วยเคร่ืองทรงอาภรณ์ ซ่ึงเป็นศิลป์แบบ
มีดังนี้ บายน สว่ นลกั ษณะของพระพทุ ธรปู จะเปน็ พทุ ธรปู
1.1 แนวคิด พัฒนาการ พุทธศิลป์ ปรางนั่งสมาธิแบบหลวมๆ แสดงถึงการสร้างของ
ลา้ นชา้ ง ไดแ้ ก่ ศลิ ปกรรมทสี่ รา้ งขนึ้ รบั ใชพ้ ระพทุ ธ ช่างชาวบา้ น ส�ำหรับพระพทุ ธรูปทเ่ี ป็นเอกลักษณ์
ศาสนาโดยตรง ทงั้ ในดา้ นจติ รกรรม ประตมิ ากรรม ของล้านช้างที่พบในบริเวณนครจําปาสัก ซ่ึงเป็น
และสถาปัตยกรรม (Rodboon, 1985 : 190) พทุ ธรูปมีลกั ษณะทส่ี �ำคญั คือ พระพกั ตร์แสดงถงึ
เชน่ พระพทุ ธรปู ทค่ี น้ พบครงั้ แรกทเ่ี วยี งจนั ทนใ์ นปี ความสงบพระเนตรเหลอื บลงตำ่� รมิ พระโอษฐห์ นา
พ.ศ. 2511 ในบริเวณบ้านท่าลาด เมืองโพนโฮง พระโอษฐ์กว้างแสดงอาการแย้มอยา่ งสงบ
แขวงเวยี งจนั ทน์ มอี ายใุ นราวพทุ ธศตวรรษที่ 13-17 1.2 แนวคิด พัฒนาการ ลักษณะ
ซ่ึงเป็นพุทธรูปหินทราย มีลักษณะร่วมสมัยกับ พุทธศิลป์ล้านช้างประเภท สถาปัตยกรรม ได้แก่
ศลิ ปะทวาราวดีของไทย ส่วนลกั ษณะพระพุทธรูป เจดยี ห์ รอื พระธาตุ สถาปตั ยกรรมลา้ นชา้ งประเภท
มีพระอุษณียะหรือมวยผมเต้ียๆ เป็นลักษณะของ เจดีย์ได้รับอิทธิพลจากศิลปะล้านนาในช่วงปลาย
การตัดผมด้วยพระขันธ์ ซึ่งสร้างตามสภาพจริง พุทธศตวรรษท่ี 20 อาณาจักรล้านช้างมีความ
พระเกศาขมวดเป็นก้นหอยแบนติดพระเศียร สัมพนั ธก์ บั อาณาจกั รล้านนา
พระหัตถ์ทั้งสองข้างยกข้ึน พระหัตถ์ยืนออกมา ในสมยั พระเจา้ ไชยเชษฐาธริ าชไปปกครอง
ตรงๆ ซึ่งเหมือนกับพระพุทธรูปสมัยทวาราวดี อาณาจกั รลา้ นนาอยู่ 2 ปี หลงั จากทพ่ี ระเจา้ โพธสิ าล
ครองจวี รพลาดผา่ นพระกร (แขน) ท้ังสองข้างและ ราชเจา้ ผเู้ ปน็ พระบดิ า ซงึ่ ปกครองลา้ นชา้ งสวรรคต
ตกลงมาตรงๆ ชายผ้าดา้ นหนา้ โคง้ เปน็ รูปตัวยู (U) พระเจ้าไชยเชษฐา จึงกลับมาปกครองอาณาจักร
พุทธศิลป์ที่ค้นพบที่นครจ�ำปาสักในราว ล้างช้าง พร้อมกบั การน�ำพระแกว้ มรกต พระพุทธ
พุทธศตวรรษท่ี 15-18 บริเวณแค้วนจ�ำปาสัก สหิ งิ ศ์ และพทุ ธรปู ทส่ี ำ� คญั อน่ื ๆ จากลา้ นนามาดว้ ย
ทางตอนใต้ของประเทศลาว ซึ่งมีพื้นที่ติดต่อกับ หลงั จากนน้ั อาณาจกั รลา้ นนากบั อาณาจกั ลา้ นชา้ ง
เขมรในขณะน้ัน อาณาจักรล้านช้างได้มีความ ได้มีความสัมพันธ์กันเร่ือยมาจนถึงปลายพุทธ
สัมพันธ์กับเขมร และในสมัยนั้นเขมรได้มีความ ศตวรรษที่ 21 จงึ เปน็ ทป่ี ระจกั ษช์ ดั วา่ ศลิ ปะลา้ นชา้ ง
เจริญรุ่งเรืองทางด้านศิลปะมาก ท่ีเห็นประจักษ์
208 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
ได้รับอิทธิพลจากศิลปะล้านนา ท่ีเห็นประจักษ์ 4. มีการประดับกาบที่มุมเจดีย์
ชัดเจนคือ เจดีย์ทรงระฆัง เช่น พระธาตุหมากโม ท้ัง 4 มุม ลักษณะของกาบคล้ายกับการประดับ
วดั วชิ ลุ เมอื งหลวงพระบาง ซงึ่ เปน็ ศลิ ปะแบบลา้ นนา กาบลา่ งในเจดยี ท์ รงปราสาทในศลิ ปะลา้ นชา้ งและ
ซ่ึงมีต้นแบบมาจาก พระธาตุหริภุญชัย จังหวัด คล้ายกาบพรหมศรที่ประดับตามอาคารหรือ
ล�ำพูน ซึ่งได้รับอิทธิพลจากศิลปะพุกาม สืบสาย โคนเสาในศิลปะรตั นโกสินทร์
ตอ่ เนอื่ งมาจากลงั กาอกี ทอดหนง่ึ เปน็ ศลิ ปะทไ่ี ดร้ บั 5. องค์ระฆังอยู่ในผังสี่เหล่ียม
อทิ ธพิ ลจากชา่ งสกลุ เวยี งคำ� และสกลุ ชา่ งเชยี งแสน ขนาดใหญ่และเต้ีย คล้ายกับเจดีย์ทรงระฆังสมัย
มาผสมกบั วฒั นธรรม ความเชอื่ ของทอ้ งถน่ิ ลา้ นชา้ ง อยุธยาท่ีมีองค์ระฆังกลมขนาดใหญ่และต้ังอยู่บน
แล้วสร้างงานศิลปะที่เอกลักษณ์ของล้านช้างเอง ฐานบัวเตย้ี ๆ
ส�ำหรบั เจดยี ท์ ่เี ปน็ เอกลกั ษณข์ องล้านชา้ งมีดงั นี้ 6. บัลลังก์เป็นบัวคว�่ำ-บัวหงาย
1.2.1 แบบท่ี 1 เจดยี ท์ รงระฆงั สเ่ี หลยี่ ม มีลูกแก้วอกไก่ประดับท้องไม้อยู่ในผังสี่เหลี่ยม
เอกลักษณ์ของเจดีย์ท่ีเป็นศิลปะล้านช้างแบบที่ ล้อกบั องค์ระฆงั
โดดเด่นและรู้จักกันดีคือเจดีย์ทรงระฆังสี่เหล่ียม 7. ปล้องไฉนทรงส่ีเหล่ียมกรวย
หรอื ทีเ่ รยี กว่า เจดยี ท์ รงดอกบวั เหลี่ยม ศลิ ปะลาว มนเรียบจนถึงยอด แตกต่างจากปล้องไฉนทั่วไป
เรียกว่า หัวน�้ำเตา้ หรอื แบบหวั ปลี สว่ นนักวชิ าการ ทท่ี �ำเปน็ ปล้องๆ
ฝรั่งเศสเรียกว่า ทรงเหยือกน�้ำหรือตุ่มยอดอ่อน 8. ปลีอยู่ในแผ่นส่ีเหลี่ยมใน
ดอกไม้ เจดีย์ทรงดอกบัวเหล่ียมเป็นเจดีย์ท่ีมีส่วน ลักษณะของกรวยเหลย่ี ม
ขององค์ระฆังเป็นสี่เหลี่ยมซึ่งได้รับอิทธิพลจาก 9. ส่วนปลายของเส้นลวดแต่ละ
เจดีย์เพ่ิมมุมของอยุธยาและพม่า เจดีย์ทรงระฆัง เส้นสะบัดขึ้นเรียกว่า บัวงอน (ภาคเหนือเรียกว่า
สี่เหลี่ยมมสี ว่ นประกอบดงั นี้ ปากแล ส่วนศัพท์ช่างไทยเรียกว่า บัวปากปลิง)
1. เจดีย์ทรงระฆังสี่เหลี่ยมมักมี รปู แบบการสะบดั ลายเชน่ น้ี นา่ จะเรมิ่ สรา้ งเปน็ ฐาน
ฐานเขยี งเตยี้ ๆ ราว 2-3 ฐาน ซงึ่ ถือวา่ เปน็ รปู แบบ พุทธรูป พบในศิลปะล้านนาต้ังแต่ปลายพุทธ
ดั้งเดมิ มากท่สี ุด ศตวรรษท่ี 21 มาก่อน จากน้ันจึงน�ำไปใช้ในงาน
2. มลี กู แกว้ ขนาดใหญ่ (คลา้ ยแขง้ สถาปัตยกรรม เช่น เจดีย์วัดผ้าขาวป้าน เมือง
สงิ ห)์ มารองรบั ฐานบวั คว่�ำ-บวั หงาย สว่ นนเี้ องท่ีมี เชียงแสน แล้วจึงแพร่ไปยังลา้ นชา้ งและกลายเปน็
ลกั ษณะสมั พันธ์กบั ฐานแขง้ สิงหใ์ นศิลปะอยุธยา รูปแบบที่ได้รับความนยิ มมาก
3. ฐานบัวประดับลูกแก้วอกไก่ 10. ต้ังแต่ฐานเขียงขึ้นไปจนถึง
แบบล้านช้างประกอบด้วยฐานบัวคว�่ำ-บัวหงาย ปากระฆงั ทำ� เปน็ เพมิ่ มมุ ไมส้ บิ สองแสดงถงึ อทิ ธพิ ล
ที่ท้องไม้ประดับลูกแก้วอกไก่ 1 เส้น ส่วนของ จากเจดีย์เพ่ิมมุมในสมัยอยุธยา (Saysing, 2012 :
บัวควำ่� และบัวหงายจะยดื สงู มาก 64)
ปีที่ 19 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 209
1.2.2 แบบที่ 2 เจดยี ท์ รงปราสาทยอด ซึ่งเรียกว่า สัตตมหาสถาน ซึ่งเป็นเจดีย์สร้างขึ้น
เจดีย์ปราสาทยอดเป็นเจดีย์ท่ีมีรูปแบบท่ีเป็น เพอื่ ระลกึ ถงึ สถานที่ 7 แหง่ ครงั้ ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรง
เอกลักษณ์ของล้านช้าง ซึ่งมีลักษณะเด่นชัดที่ ประทับ 7 สัปดาห์หลังจากการตรัสรู้ การสร้าง
สังเกตได้ง่ายคือ เจดีย์ท่ีเป็นเรือนธาตุมีซุ้มจระน�ำ สัตตมหาสถานน้ี ได้รับแนวคดิ จากสัตตมหาสถาน
ประดษิ ฐานพระพทุ ธรปู เหนอื เรอื นธาตจุ ะเปน็ องค์ วัดมหาโพธาราม จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งสร้างข้ึน
ระฆังสี่เหล่ียมและมียอดแหลมการสร้างเจดีย์ ในสมัยพระเจ้าติโลกราช กษัตริย์ล้านนาโดยการ
ในระยะแรกๆ ได้รับอิทธิพลจากล้านนา เจดีย์ ถ่ายแบบมาจากวิหารพุทธคยาประเทศอินเดีย
ปราสาทยอดส่วนใหญ่ พบอยู่ในเขตเมืองหลวง 3) ท่ีวัดพระธาตุบังพวนมีเจดีย์บางองค์ที่มีรูปแบบ
พระบางในระยะ ตอ่ มาไดพ้ ฒั นาเจดยี ท์ รงประสาท เจดีย์ทรงปราสาทยอดแบบล้านนาปรากฏอยู่ด้วย
ยอดแบบใหม่ขึ้นซึ่งเป็นแบบเฉพาะของล้านช้าง (Saysing, 2012 : 81)
ซ่งึ พบอยู่ 2 รูปแบบ คือ 2. ส่วนยอดเป็นเจดีย์เพ่ิมมุมส่วน
เจดยี ท์ รงปราสาทยอดทไี่ ดร้ บั อทิ ธพิ ลจาก ยอดของเจดีย์ เป็นการผสมผสานระหว่างศิลปะ
ศลิ ปะลา้ นนากบั อยธุ ยาองคป์ ระกอบของเจดยี ก์ ลมุ่ ล้านนา ซึง่ เป็นเจดยี ์ทรงปราสาทยอดแบบลา้ นนา
นี้ประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลัก (Saysing, 2012 : มาใช้ แต่เปลี่ยนจากเจดีย์ทรงระฆังกลมมาเป็น
80) คือ 1) สว่ นเรอื นธาตเุ ป็นห้องสี่เหล่ยี มเพิม่ มมุ เจดีย์ทรงระฆังเหล่ียมแบบเพิ่มมุมตามแบบที่นิยม
หรือยกเก็จ และ 2) ส่วนยอดเป็นเจดีย์ทรงระฆัง ในศลิ ปะอยธุ ยา เจดยี ท์ รงปราสาทยอดแบบศลิ ปะ
และส่วนยอดของเจดีย์แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ ลา้ นชา้ ง เชน่ เจดยี เ์ ทพพลประดษิ ฐาราม อำ� เภอเมอื ง
1. สว่ นยอดเปน็ เจดยี ท์ รงระฆงั สเี่ หลย่ี ม จังหวัดหนองคาย พระธาตวุ ดั นาคใหญ่ ชานเมือง
เจดีย์กลุ่มน้ีที่เห็นชัดเจน คือ พระธาตุบังพวน นครเวียงจันทร์ เจดีย์กลุ่มน้ีสร้างในช่วงพุทธ
จังหวัดหนองคาย ส่วนยอดของเจดีย์ท�ำตามแบบ ศตวรรษที่ 22
เจดีย์ทรงระฆังทั่วไปแต่องค์ระฆังปรับเปล่ียนจาก 3. สว่ นเหนอื เรอื นธาตมุ เี รอื นชนั้ ซอ้ น
ทรงกลมมาเปน็ ทรงสเ่ี หลย่ี ม ซงึ่ เปน็ การผสมผสาน และมียอดเป็นเจดีย์ทรงบัวเหลี่ยม จัดเป็นเจดีย์
ระหว่างศิลปะอยุธยากับศิลปะล้านนาเข้าด้วยกัน ทรงปราสาทยอดท่ีมีรูปแบบผสมผสานระหว่าง
พระธาตุบังพวนสร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าไซย ศลิ ปะลา้ นนากับศลิ ปะล้านชา้ งอยา่ งชดั เจน โดยมี
เชษฐาธริ าช ซงึ่ สามารถสนั นษิ ฐานไดจ้ ากหลกั ฐาน การพัฒนาการไปอีกข้ันหนึ่งด้วยการเพ่ิมประสาท
คือ 1) พระองค์เคยประทับอยู่ในล้านนามาก่อน จำ� ลองหรอื ยอดซมุ้ เหนอื หลงั คาไว้ 4 ดา้ น และสว่ น
จึงท�ำให้พระองค์ทรงได้รับแนวคิดท้ังทางด้านคติ ยอดสุดของเจดีย์เป็นทรงระฆังส่ีเหลี่ยม ท่ีเห็น
ความเชอ่ื ดา้ นศลิ ปวฒั นธรรมและประเพณจี ากลา้ น ประจักษ์ชัดเจน ได้แก่ พระธาตุหนองสามหมื่น
นามาไม่มากก็น้อย 2) ในบริเวณพระธาตุบังพวน บา้ นแกง้ อำ� เภอภเู ขยี ว จงั หวดั ชยั ภมู ิ สรา้ งในปลาย
ยงั มโี บราณสถานทเี่ ปน็ อาคารจำ� นวน 7 หลงั ดว้ ยกนั พุทธศตวรรษท่ี 21 พระธาตุอานนท์วัดมหาธาตุ
210 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
อ�ำเภอเมือง จังหวัดยโสธร พระธาตุก่องข้าวน้อย ทรงระฆังส่ีเหล่ียมแบบล้านช้างขึ้นใหม่ทับลงบน
ฆา่ แม่ อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั ยโสธร ซงึ่ เจดยี ์ 2 องคน์ ้ี เรือนธาตุที่มีมาต้ังแต่เดิมจนเกิดเป็นเจดีย์ทรง
เปน็ พฒั นาการพทุ ธศลิ ปะในยคุ หลงั ในพทุ ธศตวรรษ ปราสาทรปู แบบใหมย่ งั ไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากศลิ ปะจาม
ที่ 24 ซง่ึ นยิ มสรา้ งเปน็ เจดยี ข์ นาดเลก็ ทรงสงู ชะรดู ทเี่ หน็ ไดช้ ดั เจนคอื 1) ซมุ้ มลี กั ษณะคลา้ ยใบไมข้ นาด
อย่างมาก และท่ีส�ำคัญส่วนยอดของปราสาท ใหญโ่ คง้ ออกแบบซมุ้ ในศลิ ปะจาม 2) องคพ์ ระธาตุ
จ�ำลองท�ำสูงอย่างมากจนมีความสูงเท่ากับองค์ อยู่ในผังส่ีเหล่ียมจัตุรัสเซาะร่องที่ผนังและเสา
ระฆงั (Saysing, 2012 : 87) ซง่ึ เปน็ รปู แบบเฉพาะทพี่ บในศลิ ปะจาม (Saysing,
4. เจดีย์ปราสาทยอดแบบล้านช้าง 2012 : 90)
ที่ได้รับอิทธิพลจากเขมร จาม และอยุธยา ได้แก่ พระธาตุพนม เป็นพระธาตุศักด์ิสิทธ์ิจึงมี
พระธาตุพนมได้รับอิทธิพลศิลปะจากเขมร จาม การสร้างจ�ำลองเจดีย์พระธาตุพนมออกไปอย่าง
และอยธุ ยา ผสมกับเจดีย์ทรงระฆงั ส่ีเหลี่ยม เจดยี ์ กวา้ งขวางและแพรห่ ลายท่ัวไป จนกลายเปน็ เจดยี ์
ปราสาทยอดแบบล้านช้าง ซ่ึงมีส่วนประกอบท่ี รูปแบบเฉพาะอีกแบบหน่ึง เช่น พระธาตุวัด
สำ� คญั คอื มเี รอื นธาตแุ บบเพมิ่ มมุ เหมอื นปราสาทขอม มหาธาตุ จังหวัดนครพนม เป็นเจดีย์ประสาท
มซี ้มุ จระสำ� หรบั ประดิษฐานพระพทุ ธรูป ส่วนยอด ยอดจากการจำ� ลองมาจากพระธาตพุ นม พระธาตุ
ของเจดยี ท์ รงระฆงั สเี่ หลยี่ ม ซง่ึ เปน็ รปู ทแ่ี พรห่ ลาย เชงิ ชุม อ�ำเภอเมือง จงั หวัดสกลนคร พระธาตเุ รณู
ในศลิ ปะลา้ นชา้ ง อ�ำเภอเรณู จังหวัดสกลนคร เป็นการสร้างเจดีย์
เรือนธาตุของเจดีย์ในกลุ่มน้ีอยู่ในผัง จำ� ลอง เปน็ เจดยี ป์ ราสาทยอดแบบลา้ นชา้ งทไี่ ดร้ บั
ส่ีเหล่ียมบนฐานเต้ียๆ มีการจัดระเบียบคล้ายกับ อทิ ธพิ ลแบบจากพระธาตพุ นม ไดร้ บั การผสมผสาน
ปราสาทขอมหรอื ปราสาทในศลิ ปะจาม คอื ทำ� เปน็ ของศลิ ปะสมยั อยธุ ยาตอนปลายและรตั นโกสนิ ทร์
อาคารผังสี่เหลี่ยมมีเรือนธาตุหลายชั้นตามแนว ตอนต้นสร้างครอบบนปราสาทในวัฒนธรรมขอม
ความคิดในการสร้างอาคารซ้อนชั้น เพ่ือแสดงให้ ซง่ึ สรา้ งในพทุ ธศตวรรษท่ี 17-18 แตร่ ปู แบบทเ่ี หน็
เห็นถึงฐานันดรสูงตามแบบปราสาทขอมเจดีย์ ในปัจจุบันนี้จัดเป็นเจดีย์ทรงปราสาทยอดแบบ
ในสายวัฒนธรรมนีแ้ บ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ ลา้ นชา้ ง ในพทุ ธศตวรรษท่ี 22 ซงึ่ เปน็ การซอ่ มแซม
กลมุ่ ที่ 1 ไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากศลิ ปะจาม ไดแ้ ก่ ในสมัยรัตนโกสินทร์ และพระธาตุท่าอุเทน
พระธาตพุ นม อำ� เภอพระธาตพุ นม จงั หวดั นครพนม วัดท่าอุเทน อ�ำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม
รปู แบบการสรา้ งครง้ั แรกของพระธาตพุ นม ซง่ึ ไดร้ บั พระธาตุสีแก้ว อ�ำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด
อทิ ธพิ ลจากศลิ ปะจามทส่ี รา้ งขนึ้ ในราวพทุ ธศตวรรษ พระธาตุท่ีสร้างครอบพุทธบาทบัวบกวัดพุทธบาท
ท่ี 15 ต่อมาส่วนยอดได้พังทลายลงเหลือเฉพาะ บัวบก อำ� เภอบ้านผือ จังหวัดอดุ รธานี เป็นตน้
สว่ นเรอื นธาตทุ ซ่ี อ้ นกนั 2 ชนั้ เมอื่ ถงึ สมยั พระเจา้ กลมุ่ ท่ี 2 ไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากศลิ ปะขอมเจดยี ์
ไชยเชษฐาธิราช กษัตริย์ล้านช้างได้มีการก่อเจดีย์ ทรงปราสาทยอดกลมุ่ นี้ ไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากปราสาท
ปีท่ี 19 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 211
ขอมสร้างในราวพุทธศตวรรษท่ี 22 รูปแบบของ สถานการณ์บ้านเมือง ยามใดที่บ้านเมืองสงบสุข
เจดยี จ์ ะมสี ว่ นสำ� คญั คอื การทำ� เรอื นธาตทุ เี่ ปน็ ทรง ไม่มีศึกสงคราม ประชาชนอยู่ดีกินดี กษัตริย์และ
ปราสาทซ้อนช้ันหลายชั้น เลียนแบบมาจาก ประชาชนก็จะหนั หน้าเขา้ วดั ท�ำบญุ สรา้ งคุณงาม
ปราสาทขอม มกี ารประดบั ซมุ้ จระนำ� ดว้ ยปราสาท ความดี ทะนบุ �ำรุงศาสนา โดยการปฏบิ ตั แิ ละการ
จ�ำลอง และมีการประดับกรอบสามเหล่ียมที่มุม สร้างศาสนวัตถุไว้เป็นที่สักการบูชา และสิ่งหน่ึงท่ี
เรือนธาตุท้ังส่ีมุม คล้ายนาคปก ส่วนท่ีเป็นศิลปะ ไดร้ บั จากการสรา้ งศาสนาวตั ถคุ อื คณุ คา่ ทางศลิ ปะ
ล้านช้าง คือ เจดีย์เหนือเรือนธาตุ เป็นเจดีย์ทรง 2.1.2 คุณค่าด้านวัฒนธรรม
ระฆงั สีเ่ หลยี่ ม ได้แก่ พระธาตุองิ ฮัง แขวงสะหวนั ประเพณี คือ วิถีชีวิตของชาวล้านช้างตั้งแต่เกิด
นะเขต สรา้ งครอบประสาทหลงั เดมิ ซง่ึ เปน็ ประสาท จนตายจะขึ้นอยู่กับพุทธศาสนา หลังจากมีการ
ในวฒั นธรรมขอมทม่ี อี ายอุ ยรู่ าวพทุ ธศตวรรษที่ 14 สรา้ งงานศลิ ป์ อนั ไดแ้ ก่ พทุ ธรปู และเจดยี ์ ซง่ึ พทุ ธ
(Saysing, 2012 : 94) ศิลป์เหล่านี้จะเป็นเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์
2. คุณค่าและการสื่อความหมายทาง ท่ีเป็นตัวแทนทางพระพุทธศาสนาและน�ำไปสู่
พุทธปรชั ญาพทุ ธศลิ ป์ล้านชา้ ง วิถีการปฏิบัติของชาวล้านช้าง เช่น การท�ำบุญ
2.1 คุณค่าทางพุทธศิลป์ลา้ นชา้ ง ตามความเชื่อของชาวพุทธ มีการใส่บาตร บูชา
2.1.1 คุณค่าด้านศิลปะ คือ องคพ์ ระธาตุ บชู าพระพทุ ธรปู และมกี ารเวยี นเทยี น
อาณาจกั รลา้ นชา้ งไดส้ รา้ งสรรคง์ านประตมิ ากรรม เป็นต้น เพ่ือระลึกถึงพระคุณพุทธ พระธรรมและ
ที่มีคุณค่าด้วยการสร้างสรรค์งานศิลปะให้เกิดข้ึน พระสงฆ์ ซงึ่ เปน็ ความเชอ่ื ตามหลกั พระพทุ ธศาสนา
มากมายจากแนวความคิด ความเช่ือ วัฒนธรรม และความเช่อื เหล่านี้ กจ็ ะน�ำไปสู่การปฏบิ ตั สิ บื ต่อ
ประเพณเี ดมิ ผสมกบั ศลิ ปะแบบบายน ศลิ ปะทวารวดี กันมาจนกลายเป็นวัฒนธรรมและประเพณีของ
ศิลปะเขมร ศิลปะล้านนา และความเชื่อแบบ ชาวลา้ นชา้ ง เชน่ ในวนั สำ� คญั ทางพระพทุ ธศาสนา
มหายานจากน้ัน ก็ได้พัฒนาแนวคิดด้านศิลปะ ชาวพุทธหลังช้างจะมีวัฒนธรรมและประเพณี
ออกแบบศลิ ปะแบบใหม่ จนกลายมาเปน็ พทุ ธศลิ ป์ อยา่ งหนง่ึ คอื หยดุ งานในวนั พระ และเขา้ วดั ทำ� บญุ
ท่เี ป็นเอกลกั ษณ์ของอาณาจักรล้านชา้ งเอง ปฏบิ ตั ธิ รรมตามวถิ ีความเช่อื ของชาวพุทธล้านช้าง
ดา้ นสถาปตั ยกรรม คอื อาณาจกั รลา้ นชา้ ง 2.1.3 คณุ คา่ ดา้ นการดำ� รงชวี ติ
สรา้ งสรรคง์ านศลิ ปะทจ่ี นกลายเปน็ เอกลกั ษณข์ อง คือ วิถีชีวิตของชาวล้านช้างต้ังแต่เกิดจนตายจะมี
ชาวลา้ นช้าง เช่น การสร้างเจดีย์ทเี่ ปน็ ลักษณ์ของ ความผูกพันอยู่กับพระพุทธศาสนา จะมีการ
ลา้ นชา้ ง คอื เจดยี ท์ รงสเี่ หลยี่ มและเจดยี ป์ ระสาทยอด ประพฤติปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนามีความ
ซึ่งเจดีย์ท้ังสองประเภทน้ีเป็นการสร้างสรรค์ด้าน เชื่อเรื่องกรรม การท�ำกรรมการรับผลของกรรม
ศิลปะท่ีเป็นเอกลักษณ์ และเป็นอัตลักษณ์ของ (ท�ำดีได้ดีท�ำชั่วได้ช่ัว) ถ้าใครท�ำชั่วเมื่อตายไปแล้ว
ชาวล้านช้าง การสร้างสรรค์งานศิลป์ข้ึนอยู่กับ กจ็ ะไปสอู่ บายภมู ิ คอื นรก แตถ่ า้ ทำ� ความดตี ายไป
212 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
แลว้ กจ็ ะไปสสู่ คุ ตภิ มู ิ คอื สสู่ วรรคแ์ ละกรรมนแ้ี หละ การสื่อความหมายพุทธศิลป์ประเภท
ทที่ �ำให้มนุษย์เวียนวา่ ยตายเกิด ดังนั้น เพอื่ ใหช้ วี ติ พระพทุ ธรูป มดี งั น้ี
ในชาตนิ ปี้ ระสบผลสำ� เรจ็ และชาตหิ นา้ จะไดไ้ ปเกดิ 2.2.1 พระอษุ ณยี ะเปน็ ลกั ษณะ
ในที่ดีๆ และบรรลุจุดมุ่งหมายสูงสุดท้ายของชีวิต วงกลมเตี้ยๆ แสดงถึงลักษณะการสื่อความหมาย
ในทางพระพุทธศาสนาคือ การหลุดพ้นจากความ ตามสภาพจริง ในคร้ังที่เจ้าชายสิทธัตถะอธิษฐาน
ทุกข์ท้ังปวง ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต้อง ออกบวชได้ทรงมวยผมแล้วตัดด้วยพระขันธ์
ปฏบิ ตั ติ ามหลกั พระพทุ ธศาสนาโดยการทำ� ความดี จงึ ทำ� ใหเ้ หลอื ทรงผมทม่ี ลี กั ษณะปมุ่ ของการตดั แลว้
ละความชัว่ และท�ำจติ ใจให้ผ่องใส มัดผมเป็นจุก ซึ่งเป็นการอธิบายพุทธลักษณะ
2.1.4 คุณค่าทางด้านจิตใจ ในเชิงความจริงหรือตามสภาพความจริง ต่อมา
พุทธศิลป์ถือว่าเป็นส่ิงหนึ่งที่เป็นจุดศูนย์รวมหรือ ได้มีการท�ำพระอุษณียะให้แหลมขึ้นและมีเปลว
เป็นพ่ึงทางจิตใจของชาวอาณาจักรล้านช้าง ไม่ว่า ซ่ึงความหมายถึงพระปัญญาของพระพุทธองค์
สถานการณ์บ้านเมืองจะตกอยู่ในสภาพอย่างไร (ปัญญารู้แจ้ง สามารถท�ำลายกิเลส และบรรลุ
ย่ิงในยามศึกสงครามพระพุทธศาสนาถือว่าเป็นท่ี พระนพิ พาน)
พึ่งทางใจอย่างยิ่ง หลังจากเสร็จศึกสงคราม 2.2.2 พระเกศาท�ำเป็นวงกลม
พระพทุ ธศาสนากจ็ ะเปน็ สง่ิ ทเี่ ยยี วยาทางดา้ นจติ ใจ ก้นหอย หมายถึง การหมดกิเลสเม่ือหมดกิเลส
ของชาวล้านช้างต้ังแต่กษัตริย์จนถึงประชาชน กไ็ มม่ ีการสืบต่อการเกดิ การแก่ การเจ็บ และการ
ซ่ึงเราจะเห็นได้ว่าพระมหากษัตริย์ล้านช้างแต่ละ ตายเปรียบเหมือนก้นหอยที่หมุนเป็นเกรียวรอบ
พระองค์จะนับถือพระพุทธศาสนาไม่ว่าจะยกทัพ ซ่ึงไม่มีการงอกเงยอีกต่อไปหรือเรียกอีกอย่างหน่ึง
ไปที่ ณ ใดหรือย้ายเมืองไปตั้ง ณ ที่ใด ต้องน�ำ ว่าไม่มีการสร้างภพ สร้างชาติ เป็นการหลุดพ้น
พระพทุ ธศาสนาไปดว้ ย และทเ่ี หน็ ประจกั ษช์ ดั เจน ไมม่ าเวยี นวายตายเกิดอีก (บรรลนุ ิพพาน)
อยา่ งหนงึ่ คอื กษตั รยิ แ์ ตล่ ะพระองคจ์ ะใชห้ ลกั ธรรม 2.2.3 พระพักตร์อ่ิมเอิบแสดง
ทางพระพุทธศาสนาช่วยในการปกครองบ้านเมือง ถึงบุคคลท่ีหลุดพ้นแล้ว ซ่ึงกิเลสไม่มีความกังวล
ดงั นนั้ กษตั รยิ จ์ งึ ใหก้ ารทะนบุ ำ� รงุ พระพทุ ธศาสนา จึงท�ำให้พระพักตร์มีความอิ่มเอิบเต็มเปี่ยมไปด้วย
และพาชาวล้านช้างสร้างสิ่งท่ีเป็นสัญลักษณ์ ความเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขาน้ัน แสดงว่า
ทางพระพุทธศาสนาข้ึนมา ซึ่งเรียกว่าพุทธศิลป์ บุคคลผู้ท่ีบรรลุนิพพานแล้ว เป็นบุคคลท่ีมีความ
อันได้แก่ พระพทุ ธรูป เจดีย์ ซึง่ ส่งิ เหลา่ นี้เปน็ สงิ่ ท่ี สงบสุข ดังที่พุทธภาษิตที่กล่าวไว้ว่า นิพพานัง
สรา้ งขน้ึ เพอ่ื คณุ คา่ ทางดา้ นจติ ใจหรอื เปน็ ทพ่ี ง่ึ ทาง ปรมังสุขัง (นพิ พานเปน็ สขุ อย่างยงิ่ )
ดา้ นจิตใจท้งั สนิ้ 2.2.4 พระเนตรปดิ และเหลอื บ
2.2 การส่ือความหมายทางพุทธ ต�่ำลง ซึ่งแสดงถึงบุคคลท่ีมีความสงบมีความสุข
ปรชั ญาพทุ ธศิลปล์ า้ นช้าง ไม่มีความกังวลไม่มีความห่วงใยถึงแม้ว่าพระเนตร
ปที ่ี 19 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 213
จะหลับ แต่พระพุทธองค์ยังเป็นบุคคลท่ีเป็นผู้รู้ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 หมวด คือ พระวินัย จ�ำนวน
ผตู้ ืน่ ผ้เู บิกบาน อยู่ตลอดเวลา 21,000 พระธรรมขนั ธ์ พระสูตร จ�ำนวน 21,000
2.2.5 พระโอษฐ์แสดงการ พระธรรมขันธ์ พระอภิธรรม จ�ำนวน 42,000
แย้มนั้นหมายถึง บุคคลท่ีมีความสงบสุขยิ้มแย้ม พระธรรมขันธ์ ซ่ึงบันทึกไว้เป็น 3 คัมภีร์ ในทาง
ตลอดกาล เปน็ ผมู้ เี มตตา กรุณา มุทติ า อเุ บกขา พระพทุ ธศาสนา เรยี กวา่ พระไตรปิฎก
การสอื่ ความหมายพทุ ธศลิ ปป์ ระเภทเจดยี ์ 6. ปลอ้ งไฉน หมายถึง หลกั ธรรมแต่ละ
มดี ังนี้ หลักธรรม หรือหัวข้อธรรมแต่ละหัวข้อท่ีองค์
1. การสรา้ งฐานเจดยี ท์ มี่ ี 2 ฐาน เปน็ การ สมเด็จสัมมาสัมพทุ ธเจ้าตรัสสอน เช่น ไตรลักษณ์
สอื่ ความหมายทางปรชั ญา คอื ฐานทห่ี นง่ึ หมายถงึ อรยิ สจั สี่ มรรคแปด เปน็ ต้น ถ้าเจดยี ์ทม่ี ปี ลอ้ งไฉน
มนษุ ยภ์ มู แิ ละฐานทส่ี อง หมายถงึ เทวภมู สิ ว่ นเจดยี ์ สามปล้อง หลายถึง ไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง
ที่มี 3 ฐาน เป็นการสื่อความหมายทางปรัชญาคือ อนัตตา) ถ้าเจดีย์มีปล้องไฉนสี่ปล้อง หมายถึง
ไตรภมู ิ ได้แก่ กามภมู ิ รูปภูมิ และอรูปภมู ิ อริยสัจส่ี (ทุกข์ สมุทัย นิโรจน์ มรรค) ถ้าเจดีย์มี
2. บวั ควำ่� บวั หงาย ซงึ่ ไดจ้ ากแนวคดิ ทาง ปล้องไฉนแปดปลอ้ ง หมายถึง มรรคมีองค์แปด
ดา้ นการบูชา ซงึ่ ดอกบัว หมายถึงดอกไม้ท่บี รสิ ทุ ธ์ิ 2.3 การเปลี่ยนแปลงและกระบวน
ควรแกก่ ารบูชา และอีกประเดน็ หน่ึงครง้ั ทเ่ี จา้ ชาย การจดั การพุทธศิลปล์ า้ นชา้ ง
สิทธัตถะประสตู ิ พระองค์เดนิ ได้ 7 กา้ ว แต่ละกา้ ว 2.3.1 การเปลี่ยนแปลงพุทธ
ก็จะมีดอกบัวมารองรับ ดังน้ัน การสร้างเจดีย์ ศิลป์ล้านช้าง เกิดจากแนวคิดทางศิลปะของ
ในอาณาจักรล้านช้าง จึงได้น�ำเอาดอกบัวมาเป็น แตล่ ะถนิ่ ในแตล่ ะยคุ แตล่ ะสมยั ทเ่ี ขา้ มาผสมผสาน
พ้ืนฐานรองรับองค์เจดีย์และระหว่างบัวคว�่ำ กับศิลปะเดิม แล้วพัฒนามาเป็นเอกลักษณ์ของ
บัวหงายหายจะมลี กู แก้ว ซ่งึ หมายถงึ สิง่ ที่บริสุทธิ์ อาณาจกั รลา้ นชา้ ง และการเปลย่ี นแปลงพทุ ธศลิ ป์
3. ประตูทั้ง 4 ด้านของเจดีย์ เรียกอีก อีกส่วนหนึ่งเกิดจากกษัตริย์ เม่ือกษัตริย์ได้รับ
อย่างหนึ่งว่า จัตุรมุข หมายถึง พรหมสี่หน้าหรือ อทิ ธพิ ลจากศลิ ปะใด ศลิ ปะนน้ั กจ็ ะเขา้ มามอี ทิ ธพิ ล
เรยี กวา่ พรหมวิหารส่ี ไดแ้ ก่ เมตตา กรณุ า มทุ ติ า ต่อการสรา้ งสรรค์งานศิลปะ ดงั มีรายละเอยี ดดงั นี้
และอเุ บกขา ในพุทธศตวรรษท่ี 12-13 พุทธศิลป์ลา้ นชา้ งไดร้ บั
4. องค์เจดีย์ที่มีรูปส่ีเหล่ียม หมายถึง อิทธิพลจากศิลปะ ทวารวดี เช่น พระพุทธรูปยืน
อรยิ สจั สี่ คอื ทกุ ข์ สมทุ ยั นโิ รธ มรรค สำ� หรบั เจดยี ์ สลักหิน พบที่บ้านท่าลาด ทางทิศเหนือของ
ที่มรี ปู แปดเหลี่ยม หมายถงึ มรรคมีองค์แปด นครหลวงเวียงจันทน์ ใกล้รามน�้ำงึบ เป็นศิลปะ
5. บลั ลงั ก์ หมายถงึ ธรรมหรอื องคธ์ รรม แบบทวารวดี
ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมมาพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ ในพุทธศตวรรษท่ี 14-15 พุทธศิลป์
รวมธรรมท้ังหมดได้ 84,000 พระธรรมขันธ์ ล้านช้างได้รับอิทธิพลจากศิลปะเขมร-จาม เช่น
214 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
การสรา้ งพระธาตพุ นม (องคเ์ ดมิ ) จงั หวดั นครพนม 1. การออกกฎหมายคุ้มครองพุทธศิลป์
พระธาตอุ งิ ฮงั ทแ่ี ขวงสะหวนั นะเขต และพระธาตโุ พน อันเปน็ มรดกทางวฒั นธรรมของชาติ
เป็นต้น 2. ต้ังหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรงและ
ในพุทธศตวรรษที่ 16-17 พุทธศิลป์ แต่งต้ังผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านท�ำงานพุทธศิลป์
ล้านช้างได้รับอิทธิพลจากศิลปะเขมรแบบบาปวน เพราะพทุ ธศลิ ปแ์ ตล่ ะประเภทจะมคี วามแตกตา่ งกนั
และศาสนาพราหมณ์ไศวนิกาย เช่น การสร้าง ของวัสดกุ อ่ สร้าง การบริหารจดั การ การซอ่ มแซม
ปราสาทวดั ภทู สี่ รา้ งแอบองิ กบั ภเู กา้ ทเ่ี ปน็ ตวั แทน จะต้องใช้ผู้เช่ียวชาญเฉพาะด้านเข้ามาดูแลรักษา
ของศวิ ลงึ ค์ จึงจะประสบผลส�ำเรจ็ และมปี ระสิทธภิ าพ
ในพทุ ธศตวรรษท่ี 18 ถงึ ตน้ พทุ ธศตวรรษ 3. จดั ตงั้ พพิ ธิ ภณั ฑพ์ ทุ ธศลิ ป์ เกบ็ รวบรวม
ท่ี 19 พุทธศิลป์ล้านช้างได้รับอิทธิพลจากศิลปะ ศิลปะ อันเปน็ สมบัตขิ องชาติ เพ่อื ใหอ้ นุชนรุ่นหลงั
เขมรปนกับทวารวดีแบบพ้ืนเมืองท่ีตกค้างอยู่ใน ได้ศึกษา ได้ท�ำการวิจัยและเพ่ือสร้างสร้างงาน
ทอ้ งถนิ่ ศิลปะตอ่ ไป
2.3.2 กระบวนการจดั การพทุ ธ 4. จดั เปน็ แหลง่ ทอ่ งเทยี่ ว และทพ่ี กั ผอ่ น
ศลิ ปล์ า้ นชา้ งใหป้ ระสบผลสำ� เรจ็ และมปี ระสทิ ธภิ าพ เพื่อให้คนในท้องถิ่นได้เห็นคุณค่าและความส�ำคัญ
ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกหน่วยงาน ไม่ว่า ในการอนุรักษพ์ ทุ ธศลิ ป์
จะเป็นหน่วยงานของรัฐ เอกชน รัฐวิสาหกิจ วัด 5. เผยแพร่ความรู้ สร้างความเข้าใจให้
และชุมชน เพ่อื ไมใ่ หพ้ ทุ ธศิลปล์ ้านช้างเส่ือมสลาย ตระหนักในคุณคา่ ของพทุ ธศลิ ป์ เพ่อื ให้ประชาชน
และสบื ทอดใหค้ งอยเู่ ปน็ มรดกทางวฒั นธรรมใหแ้ ก่ เกิดความซาบซึ้ง เห็นความส�ำคัญของพุทธศิลป์
อนุชนรุ่นหลัง ต้องมีกระบวนการในการจัดการ แลว้ นำ� ไปถา่ ยทอด สง่ั สอน จนกระทงั่ สรา้ งหลกั สตู ร
ดงั นี้ ใหอ้ นชุ นร่นุ หลังได้ศึกษา
References
Jantavongpaisan, P. (2015). Asian Arts Vietnam Kambodai Mynma and Thai. Bangkok :
Chulalongkorn University.
Phramaha Daowsayam Vachirapayyo. (2012). Buddhism in Laos. Bangkok : Medsayprinting.
Rodboon, S. (1985). Thai Arts. Bangkok : Roongwattana.
Saysing, S. (2012). Pagoda Buddha image Painting Sim Laos and Thai Arts. Nontaburi :
Museampress.
wikipedia. (2017). Lanchang Kingdom. http://th.wikipedia.org (Accessed 12 September
2017).
นเิ วศวทิ ยาเชงิ พุทธกบั แนวคดิ คุณค่า และการเสรมิ สรา้ ง
การอนุรักษ์ป่าชุมชนในจงั หวดั ขอนแกน่ *
Buddhist Ecology and Concepts Value and Strengthening
the Community Forest Conservation KhonKaen Province
จักรพรรณ วงศพ์ รพวณั
Chakkapan Wongpornpavan
มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั วทิ ยาเขตขอนแกน่
Mahachulalongkornrajavidyalaya University, KhonKaen Campus, Thailand
E-mail: [email protected]
บทคัดย่อ
การวิจัยเร่ืองนิเวศวิทยาเชิงพุทธกับแนวคิด คุณค่า และการเสริมสร้างการอนุรักษ์ป่าชุมชน
ในจังหวัดขอนแก่น มีวัตถุประสงค์ 3 ข้อ คือ 1) เพื่อศึกษาแนวคิดและคุณค่าของนิเวศวิทยาเชิงพุทธ
2) เพ่ือศึกษากระบวนการอนุรักษ์ป่าชุมชนในจังหวัดขอนแก่น 3) เพ่ือเสนอรูปแบบการเสริมสร้าง
การอนรุ ักษป์ ่าชมุ ชนตามหลักนิเวศวทิ ยาเชิงพทุ ธในจงั หวดั ขอนแก่น
ผลการวิจัยพบว่า แนวคิดและคุณค่าของนเิ วศวิทยาเชิงพทุ ธ พบว่า พทุ ธศาสนากับนิเวศวิทยา
มีความเกย่ี วข้องกันตรงทีไ่ ม่ไดแ้ บง่ แยกระหว่างส่งิ มีชวี ิตและธรรมชาตอิ อกจากกนั นิเวศวทิ ยาจะสอนให้
มนษุ ยร์ จู้ กั รกั ษาธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม สว่ นพทุ ธศาสนาจะมงุ่ สอนใหม้ นษุ ยม์ คี วามเมตตาตอ่ ธรรมชาติ
และให้ปฏิบัติต่อธรรมชาติเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตตน การท�ำลายธรรมชาติก็เหมือนกับการท�ำลาย
ตนเอง เพราะจุดรว่ มของมนุษยก์ บั ธรรมชาตคิ อื การพ่ึงพาอาศัยซึ่งกนั และกัน น่ันคอื การทำ� ลายส่ิงหนึ่ง
ย่อมมีผลต่อเน่ืองไปถึงการคงอยู่ของส่ิงอื่น อย่างเช่น การท�ำลายป่าไม้ย่อมก่อให้เกิดผลเสียหายตามมา
เช่น น�้ำทว่ ม ดินถล่ม และการขาดแคลนแหลง่ นำ�้ ธรรมชาติ เปน็ ตน้ การนำ� แนวคดิ ทางพุทธศาสนามาใช้
กบั การอนรุ กั ษท์ รพั ยากรปา่ ไม้ จงึ เปน็ การรกั ษาระบบนเิ วศวทิ ยาของปา่ ไมใ้ หค้ งอยอู่ ยา่ งสมบรู ณแ์ ละยง่ั ยนื
กระบวนการอนรุ กั ษป์ า่ ชมุ ชนในจงั หวดั ขอนแกน่ พบวา่ มปี า่ ชมุ ชน 2 แหง่ ทไ่ี ดร้ บั การจดั ตงั้ เปน็
ป่าชมุ ชนจากกรมป่าไมแ้ ลว้ คอื ป่าชมุ ชนบา้ นโคกสี และป่าชมุ ชนบา้ นหัวบงึ ส่วนปา่ ชุมชนบ้านกงกลาง
เป็นปา่ สาธารณประโยชน์ ยงั ไม่ไดข้ ้นึ ทะเบียนเปน็ ป่าชมุ ชน ดงั นัน้ ป่าชุมชนทง้ั 2 แหง่ ขา้ งต้น ไดร้ บั การ
* ไดร้ ับบทความ: 4 มกราคม 2562; แกไ้ ขบทความ: 11 มนี าคม 2562; ตอบรบั ตพี มิ พ์: 26 มนี าคม 2562
Received: January 4, 2019; Revised: March 11, 2019; Accepted: March 26, 2019
216 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
บริหารจัดการในฐานะเป็นป่าชุมชนอย่างเป็นกระบวนการ โดยชาวบ้านในชุมชนร่วมกับเจ้าหน้าของรัฐ
ไดบ้ รหิ ารจดั การพน้ื ทปี่ า่ ชมุ ชน โดยเรม่ิ ตงั้ แตก่ ารยน่ื คำ� รอ้ งขอจดั ทำ� โครงการปา่ ชมุ ชน การตรวจสอบพนื้ ท่ี
ตามค�ำขออนุญาตจัดท�ำโครงการป่าชุมชน การจัดท�ำโครงร่างเสนอผ่านหน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง และการ
อนุมตั ิจดั ตัง้ ใหเ้ ป็นป่าชุมชนจากกรมป่าไม้ ส่วนป่าชุมชนบา้ นกงกลาง ได้รบั การบรหิ ารจดั การโดยชมุ ชน
มีการแต่งต้ังคณะกรรมการรับผิดชอบป่าชุมชนในแต่ละแผนก เช่น แผนกการบ�ำรุง และฟื้นฟูป่าชุมชน
การใชป้ ระโยชน์จากปา่ ชมุ ชน เปน็ ตน้ ผลการด�ำเนินการท�ำให้พืน้ ท่ปี ่าชุมชนท้งั 3 แห่งน้ันได้รบั การดูแล
รกั ษาและฟน้ื ฟู จนมสี ภาพทคี่ อ่ นขา้ งจะเปน็ ปา่ สมบรู ณใ์ กลเ้ คยี งกบั ปา่ ธรรมชาตดิ ง้ั เดมิ และสามารถสรา้ ง
ผลผลติ กลบั คนื ใหก้ ับชุมชนได้
รปู แบบการเสรมิ สรา้ งการอนรุ กั ษป์ า่ ชมุ ชนตามหลกั นเิ วศวทิ ยาเชงิ พทุ ธในจงั หวดั ขอนแกน่ พบวา่
ปา่ ชุมชนท้งั 3 แห่ง มีรปู แบบการสร้างเสริม 4 ข้ันตอนดว้ ยกัน คือ 1) การสรา้ งความรู้ความเขา้ ใจและ
ความตระหนักร่วมกันในการใช้ประโยชน์จากป่าชุมชนเพ่ือให้เกิดความย่ังยืน 2) การพัฒนากิจกรรมใน
การอนุรกั ษ์ป่าชมุ ชนด้วยวิธีการตา่ งๆ 3) การควบคุมกิจกรรมเพอ่ื เพิ่มสมรรถนะในการอนรุ ักษ์ปา่ ชมุ ชน
ให้เกิดความย่ังยืน และ 4) การน�ำหลักธรรมทางพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ในการอนุรักษ์ป่า อันได้แก่
ความกตัญญู ความเมตตา ความย�ำเกรง ความพอประมาณ และความสนั โดษ หลกั ธรรมเหล่าน้ไี ดช้ ่วย
กล่อมเกลาจิตใจชาวบ้านให้มีความเอ้ือเฟื้อต่อกัน และท�ำให้ชาวบ้านได้เห็นคุณค่าและความส�ำคัญของ
ป่าไมใ้ นการอนรุ กั ษป์ า่ ชมุ ชนให้เกิดความยงั่ ยืนสบื ถงึ คนรุน่ หลงั ต่อไป
ค�ำสำ� คัญ: นิเวศวทิ ยาเชิงพทุ ธ; แนวคิด; คณุ คา่ ; การเสริมสร้าง; การอนรุ กั ษ์; ป่าชมุ ชน
Abstract
The research paper “Buddhist Ecology and Concepts Value and Strengthening the
Community Forest Conservation in KhonKaen Province” had three main purposes: 1) to
study the concepts and value of Buddhist Ecology 2) to study the community forest
conservation process in KhonKaen Province and 3) to propose a model to strengthening
the community forest conservation by way Buddhist ecology in KhonKaen province.
The result of research found that: The concept and value of Buddhist ecology
found that Buddhism and ecology are related to each other that do not divide between
life and nature. Ecology will teach humans how to preserve nature and the environment,
Buddhism will focus on teaching human beings to be kind to nature and to teat nature
as part of their lives. Natural destruction is like self-destruction, because the common
ปที ี่ 19 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 217
point of man and nature is dependence on each other, that is, destroying one thing will
have a continuous effect on the existence of other things, such as forest destruction will
cause damage, such as floods, landslides, and shortages of natural water etc. Applying
Buddhist concepts to forest resource conservation is preserving the ecology of the forest
to remain completely and sustainably.
Community forest conservation process in KhonKaen province found that there
are communityforests are managed as a community forest as a process. These are
community forests are managed by villagers in the community with the government
officials, by starting from filling a request for create a community forest project, inspection
of the area according to the request for permission to create a community forest project,
proposal of the proposal through relevant agencies, and approval to be established as
a community forest from the royal forest department. These community forests has been
managed by the community, there is a committee appointed for community forestry in
each duties, such as, maintenance duties, community forest restoration duties, and the duty
to take care of the utilization of community forests etc. The results of the implementation
of the three community forest areas have been maintained and quitea complete forest
close to the original natural forest and able to create productivity back to the community.
The model to strengthening the community forest conservation by way Buddhist
ecology in KhonKaen provincefound thatall three community forests have four model
of reinforcement : step 1, creating knowledge, understanding and mutual awareness in
the utilization of community forests to achieve sustainability, step 2, development of
activities in the conservation of community forests in various ways, step 3, controlling
activities to increase the capacity for community forest conservation to achieve
sustainability, and step 4, Applying Buddhist principles to forest conservation, such as
gratitude, kindness, fear, modesty, and solitude, Buddhist principles have helped to foster
the spirit of villagers to be generous, and more importantly, then, making the conservation
of community forests sustainable and continues to the next generation to preserve.
Keywords: Buddhist Ecology; Concepts; Value; Strengthening; Community; Forest
Conservation
218 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
1. บทน�ำ ในส่วนของจังหวัดขอนแก่น มีพ้ืนท่ี
ทรัพยากรป่าไม้ 1,296,400 ไร่ (ร้อยละ 11.91)
การด�ำรงชีวิตของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน ของพ้ืนที่จังหวัด โดยมีอุทยานแห่งชาติ 4 แห่ง
เก่ียวข้องกับส่ิงต่างๆ มากมายทั้งท่ีเป็นส่ิงมีชีวิต มีพื้นท่ีรวม 743,973 ไร่ วนอทุ ยาน 2 แหง่ มีพื้นที่
และไม่มีชีวิต การเก่ียวข้องเป็นไปได้ท้ังทางตรง รวม 6,200 ไร่ ป่าสงวนแห่งชาติ 22 แหง่ มีพน้ื ท่ี
และทางอ้อม ซง่ึ บางครั้งเกดิ ผลกระทบท�ำให้ชนดิ รวม 1,697,052 ไร่ ปา่ ชมุ ชน 206 แหง่ มพี นื้ ทรี่ วม
ของสิ่งมีชีวิตต่างๆ เกิดการเปล่ียนแปลงไปในทาง 49,316 ไร่ สภาพป่า ประกอบด้วย ป่าดิบเขา
ท่ีจะก่อให้เกิดวิวัฒนาการและในทางท่ีอาจน�ำมา ปา่ ดบิ แล้ง ปา่ เบญจพรรณ และป่าเต็งรัง พรรณไม้
การเส่ือมสลาย มนุษย์นับเป็นสิ่งมีชีวิตที่เฉลียว ส�ำคัญ ไดแ้ ก่ ประดู่ มะคา่ โมง ตะแบก เหียง พลวง
ฉลาดท่ีสุด เพราะสามารถปรับปรุงและดัดแปลง แดง เต็ง รัง พรรณไม้พื้นล่างที่ขึ้นอยู่หนาแน่น
เอาทรัพยากรธรรมชาติท่ีมีอยู่มาเป็นปัจจัย ไดแ้ ก่ วา่ นไพล ชนั ข่าป่า เพก็ หวาย กลว้ ยไมป้ า่
เกื้อหนุนชีวิตได้อย่างสมบูรณ์และกลมกลืนกับ หญ้าคา แฝก ฯลฯ อยา่ งไรกต็ าม ทรัพยากรปา่ ไม้
สภาพชวี ติ ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ทรพั ยากรปา่ ไมถ้ อื วา่ เปน็ ในจังหวัดขอนแก่นก็มีปัญหาป่าเสื่อมโทรมเช่นกับ
ทรพั ยากรธรรมชาตทิ มี่ คี วามสำ� คญั และมคี ณุ คา่ ยงิ่ ทอ่ี น่ื ๆ โดยสว่ นมากจะมสี าเหตมุ าจากกลมุ่ นายทนุ
ต่อชีวิตมนุษย์ อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์และ ว่าจ้างราษฎรตัดไม้เพื่อการแปรรูป ราษฎรบุกรุก
เก่ียวข้องกับการคงอยู่หรือการเปลี่ยนแปลงของ ลักลอบตัดไม้ การแผ้วถางป่าเป็นพ้ืนท่ีท�ำกิน
ทรัพยากรธรรมชาตอิ ่ืนๆ อาทิ อากาศ น้�ำ แร่ธาตุ การทำ� ถนน และแหลง่ นำ�้ ไฟปา่ ขาดแคลนอปุ กรณ์
และสัตว์ป่า เป็นต้น แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน เคร่ืองมือเคร่ืองใช้ส�ำหรับเจ้าหน้าที่รักษาป่า
มีการบุกรุกพ้ืนที่ป่าไม้รุนแรงขึ้นอย่างต่อเน่ือง ราษฎรขาดจติ สำ� นกึ ในการอนรุ กั ษฟ์ น้ื ฟทู รพั ยากร
อันเนื่องมาจากจ�ำนวนประชากรในประเทศ ปา่ ไม้ (KhonKaen Provincial Administrative
มเี พมิ่ ขน้ึ และการขยายตวั ทางดา้ นเศรษฐกจิ ทำ� ให้ Organization, 2018) เปน็ เหตุให้ปา่ ไมล้ ดลงและ
ประชาชนใช้ประโยชน์จากป่าไม้มากข้ึน ท้ังใน ชาวบ้านไม่สามารถจะใช้ประโยชน์จากป่าได้อย่าง
ลกั ษณะของการเปน็ อยอู่ าศยั การตดั ไมเ้ พอ่ื การคา้ เต็มท่ี
การเผาพื้นที่ป่าเพ่ือการเกษตร การเปล่ียนแปลง ในการแกป้ ญั หาเรอ่ื งทรพั ยากรปา่ ไมใ้ หค้ ง
พ้นื ทปี่ า่ เป็นพ้นื ทกี่ ารทอ่ งเที่ยว รวมถึงการพัฒนา อยู่น้ี ผู้วิจัยเห็นว่า พุทธศาสนาเป็นแนวทางหนึ่ง
โครงสร้างพ้ืนฐานของรัฐ ได้แก่ การสร้างเข่ือน ท่ีสามารถจะแก้ปัญหาได้เป็นอย่างดี เพราะพุทธ
การตัดถนน และการเดินสายไฟฟ้าแรงสูงก็เป็น ศาสนาและนเิ วศวทิ ยาตา่ งกก็ ลา่ วถงึ ชวี ติ ของทกุ สงิ่
สาเหตหุ นง่ึ ของการทำ� ลายพนื้ ทป่ี า่ เปน็ บรเิ วณกวา้ ง รวมท้ังมนุษย์ว่าอยู่ภายใต้กฎของธรรมชาติทั้งสิ้น
น่ันแสดงให้เห็นว่า เน้ือท่ีป่าท่ีลดลงส่วนใหญ่เกิด ความคล้ายคลึงกันระหว่างหลักค�ำสอนทางพุทธ
จากการกระทำ� ของมนุษย์ (Srichantawong and ศาสนาและนเิ วศวทิ ยา จะเหน็ ไดจ้ ากแนวความคดิ
Phomkhot, 2016 : 267)
ปที ี่ 19 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 219
เร่ืองระบบนิเวศน์ (Ecosystem) และชีวจักรวาล 2. วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจยั
(Biosphere) หลักการนิเวศวิทยาสอนให้คนรู้จัก
รกั ษาธรรมชาตแิ วดลอ้ ม สว่ นหลกั พทุ ธศาสนาสอน 1. เพ่ือศึกษาแนวคิดและคุณค่าของ
ให้คนมีเมตตาต่อธรรมชาติและให้ปฏิบัติต่อ นเิ วศวิทยาเชงิ พุทธ
ธรรมชาติเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ดังน้ัน 2. เพอ่ื วเิ คราะหก์ ระบวนการอนรุ กั ษป์ า่
การเข้าใจถึงแก่นแท้ของหลักนิเวศวิทยาและหลัก ชุมชนในจังหวดั ขอนแกน่
ค�ำสอนทางพุทธศาสนาจะท�ำให้มนุษย์มองเห็น 3. เพ่ือเสนอรูปแบบการเสริมสร้างการ
ความเปน็ จรงิ ของธรรมชาตวิ า่ ทกุ อยา่ งพง่ึ พาอาศยั อนุรักษ์ป่าชุมชนตามหลักนิเวศวิทยาเชิงพุทธใน
พ่ึงกันและกันตามหลักปฏิจจสมุปบาท (Tipitaka จังหวัดขอนแก่น
12/402/434) นั่นคือการท�ำลายธรรมชาตสิ ิง่ หนงึ่
ย่อมมีผลต่อเน่ืองไปถึงการคงอยู่ของส่ิงอ่ืน 3. วธิ ดี �ำเนนิ การวจิ ยั
อย่างเช่น การท�ำลายป่าไม้ก่อให้เกิดผลเสียหาย
หลายประการตามมา เชน่ ปัญหาน�้ำท่วม ดินถลม่ การวิจัยคร้ังน้ี เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ
การขาดแคลนแหลง่ น้ำ� ธรรมชาติ การทำ� ลายพันธุ์ (Qualitative Research) ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับ
สตั วป์ ่า เปน็ ต้น นิเวศวิทยาเชิงพุทธกับแนวคิด คุณค่า และการ
จากทก่ี ลา่ วมาแลว้ น้ี ผวู้ จิ ยั เหน็ วา่ แนวคดิ เสรมิ สรา้ งการอนรุ กั ษป์ า่ ชมุ ชนในจงั หวดั ขอนแกน่
ทางพุทธศาสนามีความเปน็ ธรรมชาตแิ ละใหค้ วาม ผวู้ จิ ยั ได้ด�ำเนินการวิจยั ตามขัน้ ตอน ดังน้ี
ส�ำคัญกับธรรมชาติส่ิงแวดล้อมเชิงนิเวศวิทยา 1. ศึกษาเชิงเอกสาร (Documentary
อย่างมาก และสามารถน�ำมาเป็นแนวทางในการ Research) ท�ำการศึกษาและรวบรวมข้อมูลจาก
แก้ไขปัญหาด้านนิเวศวิทยา โดยเฉพาะการ เอกสารและหลักฐานที่เก่ียวข้องพระไตรปิฎก
เสริมสร้างการอนุรักษ์ป้าไม้ได้ จึงได้ศึกษาวิจัย หนังสือ รายงานการวิจัย รายงานการประชุม
เรื่อง “นิเวศวิทยาเชิงพุทธกับแนวคิด คุณค่า ภาพถ่าย เอกสารแสดงความสัมพันธ์ท่ีแสดงให้
และการเสริมสร้างการอนุรักษ์ป่าชุมชนในจังหวัด เห็นถึงแนวคิด หลักการ ความเป็นมา รูปแบบ
ขอนแกน่ ” เพอื่ ทจี่ ะไดเ้ ขา้ ใจถงึ หลกั การและวธิ กี าร ความสมั พนั ธ์ กระบวนการสรา้ ง การใชต้ วั ชว้ี ดั การ
ในการบริหารจัดการกับทรัพยากรธรรมชาติป่าไม้ เสริมสร้างการอนุรกั ษ์ปา่ และแนวทางการจัดการ
ตามทัศนะทางพุทธศาสนาและน�ำเอาแนวทาง ตัวช้วี ัดทางนเิ วศวทิ ยาเชิงพุทธ
ดังกล่าวมาเสริมสร้างในการอนุรักษ์ป่าไม้ให้คงอยู่ 2. กลุ่มเปา้ หมาย และผู้ใหข้ ้อมลู ในการ
อย่างยั่งยืนเพื่อส่งต่อให้คนรุ่นหลังได้อนุรักษ์สืบ วิจยั ภาคสนามนนั้ ผู้วิจัยได้ใช้การสัมภาษณ์เชงิ ลกึ
ตอ่ ไป (Depth Interview) โดยก�ำหนดกล่มุ เปา้ หมายคอื
ประชากรทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั ปา่ ชมุ ชนทง้ั 3 แหง่ จำ� นวน
45 รปู /คน
220 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
3. เคร่ืองมอื ทใ่ี ชใ้ นการวิจยั ครง้ั นี้ ผู้วิจยั เสนอที่ปรึกษาโครงการวิจัย เพื่อพิจารณาและให้
ใช้เคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัย ขอ้ เสนอแนะ และ 3) ปรบั ปรงุ แบบสัมภาษณต์ าม
เชงิ คณุ ภาพ เปน็ แบบสมั ภาษณเ์ ชงิ ลกึ แบง่ ออกเปน็ ข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิ และท่ีปรึกษางาน
3 สว่ น ประกอบดว้ ย สว่ นท่ี 1 ขอ้ มลู โดยทวั่ ไปของ วิจัยกอ่ นนำ� ไปเก็บขอ้ มูล
ผตู้ อบแบบสมั ภาษณ์ ประกอบดว้ ย เพศ การศกึ ษา 6. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ผวู้ จิ ยั ไดด้ ำ� เนนิ
และต�ำแหน่งงาน ส่วนท่ี 2 แบบสัมภาษณ์ท่ี การตามขน้ั ตอน ดงั นี้ 1) นำ� หนงั สอื จากมหาวทิ ยาลยั
เกี่ยวกับกระบวนการอนุรักษ์ป่าชุมชนในจังหวัด มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น
ขอนแก่น และสว่ นท่ี 3 แบบสัมภาษณ์ท่ีเกีย่ วกับ ถงึ ผใู้ หข้ อ้ มลู หลกั เพอื่ ขออนญุ าตการใชพ้ นื้ ทศี่ กึ ษา
รูปแบบการเสริมสร้างการอนุรักษ์ป่าชุมชนใน ข้อมูลงานวิจัย และสัมภาษณ์เพ่ือเก็บข้อมูล
จังหวัดขอนแก่นตามหลักนิเวศวิทยาเชิงพุทธ 2) สรา้ งความสมั พนั ธก์ บั ผใู้ หข้ ้อมูลหลกั และกลุ่ม
มีลกั ษณะเปน็ เชงิ พรรณนาวเิ คราะห์ เป้าหมาย พบปะพูดคุยเพื่อสร้างความคุ้นเคย
4. การสร้างและหาคุณภาพเคร่ืองมือ แจ้งวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
แบบสัมภาษณ์ โดยเลือกจากกลุ่มเป้าหมาย 3) ก�ำหนดนัดหมายวันเวลาท่ีจะด�ำเนินการ
ซ่ึงมีเกณฑ์ในการคัดเลือก คือ การเลือกแบบ สัมภาษณ์ท่ีแน่นอน เพ่ือให้กลุ่มเป้าหมายได้
เจาะจง โดยการเลอื กจากผทู้ ม่ี สี ว่ นเกยี่ วขอ้ งกบั งาน เตรยี มตวั และเตรยี มเอกสารทเี่ กยี่ วขอ้ งในการเกบ็
วจิ ยั จำ� นวน 45 รปู /คน โดยแบง่ ออกเปน็ 2 กลมุ่ รวบรวมข้อมูล และ 4) ด�ำเนินการเก็บรวบรวม
คือ กลุ่มที่ 1 เลือกแบบเจาะจง (Purposive ข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับกลุ่มเป้าหมาย
Sampling) เป็นกลุ่มของพระสงฆ์และคฤหัสถ์ ที่เป็นผู้ให้ข้อมูลหลัก และกลุ่มเป้าหมายอ่ืนๆ
ท่เี กย่ี วขอ้ งกับปา่ ชมุ ชนทั้ง 3 แห่ง จ�ำนวน 15 รปู / โดยใช้วิธีบันทกึ เทป จดบนั ทึก และการสนทนา
คน และกลมุ่ ที่ 2 เลอื กแบบสมุ่ ตวั อยา่ ง ไดแ้ ก่ กลมุ่ 7. การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยท�ำการ
ประชากรผ้มู สี ว่ นได้เสยี และเข้วร่วมกจิ กรรมตา่ งๆ วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ โดยใช้การ
ในการอนุรกั ษป์ า่ ชุมชนทั้ง 3 แหง่ จ�ำนวน 30 คน แปรความ การตีความ และการวิเคราะห์ข้อมูล
5. การสรา้ งแบบสมั ภาษณม์ ขี น้ั ตอนดงั นี้ เชิงพรรณนา (Descriptive Analysis) ตามหลัก
1) ศกึ ษาแนวคดิ เอกสาร และงานวิจัยท่ีเกี่ยวขอ้ ง อุปนัยวิธี (Inductive Method) โดยการน�ำเอา
ตามวัตถุประสงค์ และกรอบแนวคิดในการวิจัย ข้อมูลท่ีได้ทั้งเอกสาร และภาคสนามมาสรุป
เก่ียวกับนิเวศวิทยาเชิงพุทธกับแนวคิด คุณค่า วิเคราะห์ เรียบเรียงเป็นเนื้อหางานวิจัยตาม
และการเสริมสร้างการอนุรักษ์ป่าชุมชนในจังหวัด วัตถุประสงค์ท้ัง 3 ข้อหลักน้ัน แล้วน�ำมาเสนอ
ขอนแก่น เพ่ือน�ำมาใช้เป็นแนวทางในการสร้าง ดว้ ยวธิ พี รรณนาเชิงวเิ คราะห์
แบบสัมภาษณ์ 2) ข้อมูลที่ได้มาจากข้ันตอนท่ี 1 8. ขนั้ เรยี บเรยี งขอ้ มลู ผวู้ จิ ยั ไดเ้ รยี บเรยี ง
น�ำมาเป็นประเด็นค�ำถามแบบสัมภาษณ์ แล้วน�ำ ข้อมูล ดังน้ี 1) เรียบเรียงข้อมูลท่ีได้จากการ
ปีที่ 19 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 221
วิเคราะห์ 2) จัดระเบียบข้อมูลตามข้ันตอนก่อน นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การท่ีสังคมมนุษย์
หลงั ทไ่ี ดม้ า และ 3) สรปุ อภปิ รายผล และเสนอแนะ ในปัจจุบันเห็นคุณค่าของป่าไม้น้อยลง จึงพา
ท�ำลายป่าไม้ด้วยวิธีการต่างๆ เพ่ือผลประโยชน์
4. สรปุ ผลการวจิ ัย ของพวกตนเมอื่ ไมม่ ปี า่ หรอื ปา่ ไมล้ ดจำ� นวนลงมาก
ภยั พบิ ตั ทิ เี่ กดิ จากผลพว่ งของการทำ� ลายปา่ ไมก้ เ็ กดิ
ผู้วิจัยไดส้ รปุ ผลการวิจยั ดงั นี้ ข้ึนมากเท่าที่ป่าไม้ได้ถูกท�ำลายไป ผู้ที่เดือดร้อน
1. แนวคิดและคุณค่าของนิเวศวิทยา ที่สุดก็คือสังคมมนุษย์น่ีเอง เมื่อเป็นเช่นนี้จึงระลึก
เชิงพุทธน้ันพบว่า เป็นแนวคิดท่ีน�ำหลักการทาง นึกถึงคุณค่าของพุทธศาสนาในการแก้วิกฤตป่าไม้
พุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ในการรักษาระบบนิเวศ ในเชงิ นเิ วศ เพอ่ี ทจี่ ะทำ� การฟน้ื ฟหู รอื อนรุ กั ษป์ า่ ไม้
ทางธรรมชาติ และสง่ิ แวดลอ้ มใหค้ งสภาพทมี่ คี วาม ในสว่ นทย่ี งั เหลอื อยใู่ หค้ งอยคู่ กู่ บั สงั คมมนษุ ยต์ อ่ ไป
สมดลุ ระหวา่ งมนษุ ยก์ บั ธรรมชาตมิ ี ปา่ ไมแ้ ละสง่ิ ที่ 2. กระบวนการอนุรักษ์ป่าชุมชนใน
เกี่ยวเนื่องกับความสมดุลของป่าไม้ เป็นต้น พุทธ จงั หวดั ขอนแกน่ พบวา่ กระบวนการบรหิ ารจดั การ
ศาสนามแี นวคดิ ทเ่ี ออ้ื อาทรตอ่ ธรรมชาติ มงุ่ พฒั นา ป่าชุมชนทั้ง 3 แห่งน้ัน มีป่าชุมชนที่ข้ึนทะเบียน
มนุษย์ให้เข้าถึงธรรมชาติ โดยให้มีการด�ำรงชีวิต เปน็ ป่าชมุ ชนที่สมบูรณ์แลว้ จากกรมปา่ ไม้ 2 แหง่
ท่ีสอดคล้องและกลมกลืนกับธรรมชาติ ดังจะเห็น คือ ป่าชุมชนบ้านโคกสี และป่าชุมชนบ้านหัวบึง
ได้ว่า มีการบัญญัติพระวินัยให้สอดคล้องกับ ส่วนอีกหนึ่งแห่งคือ ป่าชุมชนบ้านกงกลางยังเป็น
การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ โดยห้ามให้สาวก ท่ีสาธารณประโยชน์อยู่ในช่วงศึกษาข้อมูลเพื่อ
ท�ำลายต้นไม้ หรือป่าไม้ หากเป็นการกระท�ำที่ ด�ำเนินการขอจัดต้ังเป็นป่าชุมชนจากกรมป่าไม้
ท�ำลายป่าไม้ ถือว่าเป็นการละเมิดพระวินัย เช่น อย่างไรก็ตาม ป่าชุมชนท้ัง 3 แห่งน้ีได้บริหาร
มีบัญญัติว่า ภิกษุใดไปตัดหรือท�ำลายต้นไม้ จัดการในฐานะเป็นป่าชุมชน โดยคนในชุมชนได้
โดยเจตนา (Tipitaka 2/92/279) กจ็ ะมีการปรบั ร่วมกันบริหารจัดการพื้นท่ีป่าชุมชนอย่างเป็น
อาบัติแก่ภิกษุรูปนั้น นอกจากน้ี ยังมีหลักธรรม กระบวนการ ทั้งการบ�ำรุงและฟื้นฟูป่าชุมชน
ที่สอดคล้องกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้หรือ การใช้ประโยชน์จากป่าชุมชน ผลการด�ำเนินการ
คุณค่าด้านการพัฒนาชีวิตทางกาย วาจา และใจ ในการอนุรักษ์ป่าชุมชนท้ัง 3 แห่ง ท�ำให้พ้ืนที่ป่า
ให้กลมกลืนกับธรรมชาติ ซ่ึงส่งผลให้เกิดความรัก ชุมชนเหล่าน้ีได้รับการดูแลรักษา จนมีสภาพที่
ความกตัญญู และความส�ำนึกในการรักษาระบบ ค่อนข้างจะเป็นป่าสมบูรณ์ใกล้เคียงกับป่า
นิเวศทางธรรมชาติอย่างแท้จริง น้ีแสดงให้เห็นถึง ธรรมชาติด้ังเดิม จนสามารถสร้างผลผลิตกลับ
คุณค่าของพุทธศาสนาท่ีเอ้ือหนุนต่อการอนุรักษ์ คนื ใหก้ บั ชมุ ชนไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ไมว่ า่ จะเปน็ เรอื่ งของ
ธรรมชาติป่าไม้ เพราะพุทธศาสนาได้มองเห็น แหล่งนำ�้ อาหารปา่ การท่องเท่ียว และการศกึ ษา
คุณค่าของธรรมชาติ โดยเฉพาะป่าไม้น้ันได้ให้ ดูงานเชิงนิเวศ เป็นต้น สิ่งดังกล่าวนี้ล้วนเกิดจาก
ผลผลิตต่อมนุษย์และสิ่งมีชีวิตมากมายเหลือคณา
222 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
ผลผลิตของป่าชุมชนท่ีชาวบ้านแต่ละแห่งได้ร่วม อนรุ กั ษป์ า่ ชมุ ชนไดย้ นื ยาวและยงั่ ยนื มาจนทกุ วนั นี้
ดว้ ยชว่ ยกนั ดแู ลรกั ษา จนกลายเปน็ สมบตั อิ นั ลำ�้ คา่ สว่ นการเสรมิ สร้างการอนรุ กั ษป์ ่าชมุ ชนนั้น พบว่า
ประจ�ำหมู่บ้านโดยมีชุมชนเป็นเจ้าของ และใช้ ชมุ ชนทงั้ 3 แหง่ ไดร้ ว่ มกนั จดั กจิ กรรมในการเสรมิ
ประโยชน์จากผลผลิตจากป่าไม้ร่วมกัน สรา้ งการอนรุ กั ษป์ า่ ชมุ ชนในโอกาสตา่ งๆ ของชาติ
3. รปู แบบการเสรมิ สรา้ งการอนรุ กั ษป์ า่ และวนั สำ� คญั ทางพทุ ธศาสนาดว้ ยการปลกู ปา่ เสรมิ
ชุมชนตามหลักนิเวศวิทยาเชิงพุทธในจังหวัด ในพ้ืนที่ป่าชุมชน นอกจากนี้ทางพระสงฆ์ยังใช้
ขอนแก่น พบว่า ป่าชุมชนท้ัง 3 แห่ง มีรูปแบบ พธิ กี รรมทางพระพทุ ธศาสนาเขา้ มาชว่ ยเสรมิ สรา้ ง
การสรา้ งเสรมิ 3 ข้นั ตอนดว้ ยกัน คือ ขน้ั ตอนท่ี 1 ในการอนุรักษ์ป่า คอื พธิ กี ารบวชปา่ โดยพระสงฆ์
การสร้างความรู้ความเข้าใจ และความตระหนัก ไดน้ ำ� ผา้ จวี รไปหม่ ตามตน้ ไมใ้ หญย่ นื ตน้ เชน่ ไมพ้ ยงุ
รว่ มกนั ในการใชป้ ระโยชนจ์ ากปา่ ชมุ ชนเพอื่ ใหเ้ กดิ ไม้ประดู่ และไม้เต็งรงั เป็นต้น ชาวบ้านซ่ึงนับถอื
ความยงั่ ยนื ขนั้ ตอนท่ี 2 การพฒั นากจิ กรรมในการ พระพุทธศาสนาอยู่แล้วเม่ือเห็นพระสงฆ์เข้าไปท�ำ
อนรุ กั ษป์ า่ ชมุ ชนดว้ ยวธิ กี ารตา่ งๆ และขน้ั ตอนที่ 3 พธิ บี วชปา่ กเ็ กดิ ความเคารพยำ� เกรงตอ่ ปา่ ไมไ้ มก่ ลา้
เป็นการควบคุมกิจกรรมเพื่อเพิ่มสมรรถนะในการ ทจ่ี ะเขา้ ไปตดั ตน้ ไม้ หรอื ทำ� ลายเพราะเกรงกลวั ตอ่
อนุรักษ์ป่าชุมชนให้เกิดความย่ังยืน ซ่ึงการด�ำเนิน บาป ดว้ ยการทำ� เช่นนที้ ำ� ใหพ้ ้ืนท่ปี ่าชมุ ชนทุกแหง่
งานในแตล่ ะขน้ั ตอนนี้ ชาวบา้ นในแตล่ ะชมุ ชนไดม้ ี ได้รับการดูแลจากพระสงฆ์และชาวบ้านมาเป็น
การแต่งต้ังคณะกรรมกรรมชุดต่างๆ เข้ามาดูแล อย่างดี และสามารถรักษาป่าชุมชนหรือป่า
รกั ษาปา่ รว่ มกนั เชน่ คณะกรรมการฝา่ ยดำ� เนนิ งาน สาธารณประโยชน์แห่งน้ีไว้ได้สืบต่อกันมาจนถึง
คณะกรรมการฝา่ ยปลกู ปา่ ทดแทน คณะกรรมฝา่ ย ปัจจบุ นั
ลาดตระเวน คณะกรรมการฝ่ายหาผลประโยชน์
จากป่าชุมชน และคณะกรรมกรรมฝ่ายสนับสนุน 5. อภปิ รายผลการวิจัย
กจิ การปา่ ชมุ ชน เปน็ ตน้ โดยมกี ารแตง่ ตงั้ ชาวบา้ น
ในชุมชนเข้ามามีบทบาทในการอนุรักษ์ป่าชุมชน การวิจัยเรื่องนิเวศวิทยาเชิงพุทธกับ
รว่ มกนั จงึ ทำ� ใหป้ า่ ชมุ ชนเกดิ ความเขม้ แขง็ ในทกุ ๆ แนวคิด คุณค่า และการเสริมสรา้ งการอนุรกั ษป์ ่า
ด้านและสิ่งที่เกื้อหนุนให้ชาวบ้านมีความร่วมมือ ชุมชนในจังหวัดขอนแก่น เป็นการศึกษาเพ่ือน�ำ
ร่วมใจกันในการอนุรักษ์ป่าชุมชนได้อย่างมี แนวคดิ ทางนเิ วศวทิ ยาเชงิ พทุ ธไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นการ
ประสทิ ธภิ าพ คอื การนำ� หลกั ธรรมทางพทุ ธศาสนา เสรมิ สรา้ งการอนรุ กั ษป์ า่ ชมุ ชนในจงั หวดั ขอนแกน่
มาประยุกต์ใช้ในการอนุรักษ์ป่า เพราะหลักธรรม เน่ืองจากในสถานการณ์ปัจจุบันมีการบุกรุกพ้ืนที่
ทางพทุ ธศาสนาไดช้ ว่ ยกลอ่ มเกลาจติ ใจชาวบา้ นให้ ป่าไม้รุนแรงข้ึนอย่างต่อเนื่อง อันเน่ืองมาจาก
มคี วามเออื้ เฟอื้ ตอ่ กนั และทสี่ �ำคัญชาวบา้ นไดเ้ ห็น จ�ำนวนประชากรในประเทศมีเพ่ิมขึ้น และการ
คุณค่าและความส�ำคัญของป่าไม้ จึงท�ำให้การ ขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจท�ำให้ประชาชนใช้
ประโยชน์จากป่าไม้มากข้ึน ทั้งในลักษณะของการ
ปีท่ี 19 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 223
เปน็ อยอู่ าศยั การตดั ไมเ้ พอื่ การคา้ การเผาพน้ื ทป่ี า่ กบั การหา้ มพรากของเขยี วหรอื ตน้ ไม้ เปน็ ตน้ และ
เพอ่ื การเกษตร การเปลย่ี นแปลงพน้ื ทปี่ า่ เปน็ พนื้ ที่ การอนรุ กั ษโ์ ดยออ้ ม ไดแ้ ก่ การอยใู่ นปา่ แบบพงึ่ พา
การท่องเท่ียว รวมไปถึงการพัฒนาโครงสร้าง อาศัย โดยอาศัยป่าเป็นสถานท่ีสัปปายะในการ
พืน้ ฐานของรัฐ ไดแ้ ก่ การสร้างเขอ่ื น การตัดถนน ปฏิบัติธรรม ส่วนบทบาทการอนุรักษ์ป่าไม้ของ
เปน็ ตน้ ถอื ไดว้ า่ เปน็ สาเหตขุ องการทำ� ลายพน้ื ทปี่ า่ พระนภิ ากรโสภณ (ไกร ฐานิสฺสโร) พบวา่ ทา่ นได้
เปน็ บรเิ วณกวา้ ง เปน็ เหตใุ หท้ รพั ยากรธรรมชาตปิ า่ เน้นกุศโลบายในการสร้างเสริมความดี มุ่งพัฒนา
ไม้ของประเทศถกู ทำ� ลายไปอย่างตอ่ เน่ือง และกอ่ คุณภาพของชีวิตพร้อมกับการให้ค�ำปรึกษา
ใหเ้ กดิ ภยั พบิ ตั ติ า่ งๆ ขน้ึ มากมาย เชน่ จำ� นวนปา่ ไม้ การให้การศึกษาแก่ชุมชน รวมทั้งการส่งเสริม
ลดลง อทุ กภยั มมี ากขนึ้ ในฤดผู ล หรอื ฝนไมต่ กตอ้ ง ภู มิ ป ั ญ ญ า ใ น ท ้ อ ง ถิ่ น ใ น ก า ร อ นุ รั ก ษ ์ ป ่ า ไ ม ้
ตามฤดกู าล มภี าวะแหง้ แลง้ ในฤดแู ลง้ นำ�้ ในลำ� หว้ ย โ ด ย เ ป ็ น ก า ร ป ลู ก จิ ต ส� ำ นึ ก ใ น ก า ร อ นุ รั ก ษ ์
ล�ำคลองทั้งในเมืองและชนบทเน่าเสียปนเปื้อน ส่ิงแวดล้อมป่าไม้ให้กับชุมชนอันจะเป็นประโยชน์
ดว้ ยสารเคมพี นื้ ทเี่ กษตรเสอ่ื มคา่ และใหผ้ ลผลติ ตำ่� ต่อวิถีการด�ำรงชีวิตของชาวบ้านและชุมชน มีป่า
ก า ร ป น เ ป ื ้ อ น ข อ ง วั ต ถุ มี พิ ษ ใ น อ า ห า ร แ ล ะ เพม่ิ ขนึ้ และชาวบา้ นใหค้ วามรว่ มมอื เปน็ อยา่ งดี ซง่ึ
สง่ิ แวดลอ้ ม สตั วน์ ำ้� ลดลง สภาพสงั คมมกี ารเหน็ แก่ ตรงกับสุพิมล ศรศักดา (Sornsakda, 2012) ได้
ตวั และดรุ า้ ยเพิม่ ข้นึ ศึกษาวิจัยเรื่อง รูปแบบและกระบวนการอนุรักษ์
ปญั หาเหลา่ นลี้ ว้ นเปน็ ปรากฏการณท์ เ่ี กดิ ปา่ ชมุ ชนแนวพทุ ธในจงั หวดั อบุ ลราชานี สรปุ ไดว้ า่
ขน้ึ ในสงั คมปจั จบุ นั ซง่ึ สว่ นมากกม็ าจากการกระทำ� ป่าชุมชนมีจุดศูนย์กลางอยู่ท่ีคน ซึ่งท�ำมาหาเลี้ยง
ของมนษุ ยท์ ลี่ ะเลยตอ่ ธรรมชาตจิ ากสภาพปญั หาน้ี ชพี อยภู่ ายใตเ้ งอื่ นไขสภาพแวดลอ้ ม เปน็ ระบบการ
ทำ� ใหม้ นษุ ยห์ นั มาสนใจหาทางแกป้ ญั หาทรพั ยากร ผลติ ทส่ี อดคลอ้ งกบั ระบบนเิ วศทางธรรมชาตสิ ภาพ
ป่าไม้ด้วยวิธีการต่างๆ ซ่ึงก็สอดคล้องกับ พระครู ความสมดุลของทรัพยากร ในขณะท่ีป่าเศรษฐกิจ
ใบฎีกาถาวร สรปญฺโญ (เสนสอน) (Phrakhru เน้นที่การตักตวงเอาผลประโยชน์จากทรัพยากร
Baidika Thavon Sarapanyo (Sanson), 2011) ธรรมชาติ ดังน้ันกรอบแนวคิดของป่าชุมชนไม่ว่า
ได้ศกึ ษาวจิ ัยเร่ือง บทบาทพระสงฆ์กบั การอนรุ กั ษ์ จะเป็นการรักษา การฟื้นฟู การสร้างจิตส�ำนึกให้
ทรัพยากรป่าไม้: ศึกษาเฉพาะกรณีบทบาทของ กบั ชมุ ชน การปลกู ปา่ การรกั ษาตน้ ไม้ จงึ เชอ่ื มโยง
พระนิภากรโสภณ (ไกร ฐานิสสฺ โร) วดั หนองกลับ กบั เปา้ หมายในการเพมิ่ ประสทิ ธภิ าพในการใชท้ ดี่ นิ
อำ� เภอหนองบัว จงั หวัดนครสวรรคพ์ บวา่ แนวคดิ และการเพิ่มผลผลิตให้กับราษฎรในท้องถิ่น
และบทบาทการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของ ป่าชุมชนจึงเป็นแหล่งผลิตท่ีต้นทุนต่�ำของ
พระภกิ ษใุ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาทนนั้ ดำ� เนนิ การ ประชาชนระดบั ครวั เรอื น เปน็ ยทุ ธวธิ หี ลกั ของการ
อนรุ กั ษใ์ น 2 ลกั ษณะคอื การอนรุ กั ษโ์ ดยตรง ไดแ้ ก่ ขับเคล่ือนตัวเข้าสู่ระบบการใช้ท่ีดินอย่างมี
การไมท่ ำ� ลายปา่ ไมท้ กุ ประเภทซงึ่ มบี ทบญั ญตั เิ กย่ี ว ประสิทธิภาพ และความม่ันคงในการท�ำมาหากิน
224 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
การอนุรักษ์ป่าชุมชน จึงเป็นวิธีการที่ท�ำให้ นครราชสมี า: ศึกษาเฉพาะกรณีพระเทพสีมาภรณ์
ประชาชนในท้องถ่ินได้มีแหล่งผลผลิตทางด้าน เจา้ คณะจงั หวดั นครราชสมี า พบวา่ พระเทพสมี าภรณ์
อาหาร แหลง่ นำ้� ยารกั ษาโรค รวมถงึ แหลง่ ทอ่ งเทย่ี ว ไดน้ �ำเอาหลกั ธรรม “นิพทั ธกศุ ล” ที่กลา่ วถงึ การก
เป็นต้น ซึ่งก็ถือว่ามีความส�ำคัญต่อการด�ำรงชีวิต ระท�ำที่เก้ือกูลอ�ำนวยความสุข ความเจริญในการ
ของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตท้ังหลาย สอดคล้องกับ ด�ำเนินชีวิตท่ีท�ำแล้วได้กุศลมาอธิบายให้พระสงฆ์
พระปริยัติพัชราภรณ์ (สุพจน์ ปญฺญาธโร) (Phra และประชาชนได้มีจิตส�ำนึกในการร่วมกันอนุรักษ์
Pariyatpatcharaporn (Supot Pannadharo, ป่าซง่ึ มี 6 ประการ คือ อารามโป การปลูกสวนปา่
2013) ไดท้ ำ� การศกึ ษาเรื่อง วิเคราะห์การอนรุ ักษ์ ใหร้ ม่ รนื่ เพอ่ื คนไดพ้ กั ผอ่ น วนโรปา การปลกู ตน้ ไม้
ทรัพยากรป่าไม้ตามแนวคิดทางพระพุทธศาสนา ชนิดต่างๆ เสตุการกา การสร้างสะพาน ปปญฺจ
พบวา่ ทรพั ยากรปา่ ไมเ้ ปน็ ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละ การสร้างประปาหรือแหล่งน�้ำ อุทปานญฺจ
สิ่งแวดล้อมเกิดข้ึนเองตามธรรมชาติที่มีความ การจดั หาน้ำ� ดม่ื เช่น การขดุ บอ่ สรา้ งถังเกบ็ กกั นำ้�
สำ� คญั ตอ่ การดำ� รงชวี ติ ของมนษุ ย์ หลกั การอนรุ กั ษ์ ไว้ให้บริการแก่คนทั่วไป อุปสฺสยํ การสร้างหรือ
ทรัพยากรป่าไม้ เพ่ือให้เกิดความตระหนักเห็น การใหท้ พ่ี ักอาศยั และนำ� เอาหลกั ธรรมทเ่ี กอื้ กลู ปา่
คุณค่าในหน้าท่ีต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ และการอนุรกั ษป์ า่ สํวรปธาน คือ การระวงั ปา่ จะ
การลดอัตราการสูญเสียทรัพยากรป่าไม้เป็น หมดไปต้นไมจ้ ะตาย ปหานปธาน การละเว้นจาก
ทรัพยากรท่ีทดแทนไม่ได้ สามารถรักษาให้อยู่ใน การตดั ไมอ้ ยา่ งเดด็ ขาด ภาวนาปธาน การใหค้ วาม
สภาพที่อุดมสมบูรณ์ แนวคิดเก่ียวกับการอนุรักษ์ สนใจเพาะพันธุ์ไม้ต่างๆ และอารกฺขปธานให้การ
ให้รู้จักใช้ทรัพยากรอย่างฉลาด ประหยัด ให้เกิด ดูแลรักษาป่าให้คงอยู่ตลอดไป น้ีแสดงให้เห็นว่า
ประโยชนเ์ ปน็ การรักษาสมดลุ ของทรัพยากรปา่ ไม้ พระสงฆ์มีส่วนอย่างมากในการเป็นผู้น�ำในการ
และในการอนรุ กั ษท์ รพั ยากรปา่ ไมต้ ามแนวคดิ ทาง อนรุ กั ษป์ า่ ชมุ ชน เพราะพระสงฆน์ อกเหนอื จะเปน็
พุทธศาสนาจะเน้นในเร่ืองของความเข้าใจกับ ผู้น�ำทางกายภาพ คือ การลงมือพาชุมชนอนุรักษ์
ธรรมชาติ อนั จะกอ่ ใหเ้ กดิ ความกตญั ญแู ละรคู้ ณุ คา่ ป่าไม้ พระสงฆ์ยังเป็นผู้น�ำทางด้านวิญญาณ คือ
ดา้ นการอนรุ กั ษท์ รพั ยากรปา่ ไม้ พระสงฆม์ บี ทบาท นำ� หลกั ธรรมในทางพทุ ธศาสนามาประยกุ ตเ์ ทศนา
เป็นผู้น�ำด้านจิตวิญญาณให้การอบรมสั่งสอนและ สั่งสอนให้ประชาชนได้มีจิตส�ำนึกในการรักป่าไม้
ชักชวนพุทธบริษัทให้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ หวงแหนป่าไม้ เห็นคุณค่าของป่าไม้ ซ่ึงตรงกับ
ทรพั ยากรปา่ ไม้ เพอื่ ใหเ้ กดิ ประโยชนแ์ กต่ นเองและ พระอปุ กรณ์ ชเู ชอ้ื (Choocheu, 2002) ไดท้ ำ� การ
สังคมตามหลักธรรมและน�ำมาประยุกต์ใช้กับ วิจัยเร่ือง บทบาทพระสงฆ์และการมีส่วนร่วมของ
ศาสตรใ์ นสงั คมปจั จบุ นั ตรงกบั งานวจิ ยั ของจริ ศกั ด์ิ ประชาชนในการจัดการป่าในบริเวณภาคตะวัน
สีหวัฒน์ (Sihavat, 2001) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง ออกเฉียงเหนือ พบว่า พระสงฆ์มีบทบาทในการ
บทบาทพระสงฆ์กับการอนุรักษ์ป่าของจังหวัด จดั การปา่ ดว้ ยการเปน็ ผใู้ หก้ ารศกึ ษา เปน็ ผนู้ ำ� ทาง
ปีที่ 19 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 225
จิตใจ ผู้ให้การแนะน�ำส่งเสริมการประกอบอาชีพ เส่ือมโทรม ขาดความสมบูรณ์ จึงเห็นควรที่หนว่ ย
เปน็ ผนู้ ำ� ดา้ นกจิ กรรมกลมุ่ และผนู้ ำ� ดา้ นการอนรุ กั ษ์ งานของรัฐหรือชุมชนเองจะต้องเข้าไปดูแลหรือ
บทบาทดงั กลา่ วไดน้ ำ� ไปสกู่ ารเปลย่ี นแปลงทศั นคติ บริหารจัดการเพื่อให้สภาพของป่าเหล่านั้นฟื้นฟู
จิตส�ำนึกและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการ สู่สภาพทด่ี กี วา่ ที่เป็นอยูเ่ ช่นน้ี
จดั การปา่ พรอ้ มทง้ั ใหค้ วามรเู้ พอ่ื ชว่ ยปลกู ฝงั ทศั นะ 1.2 การบริหารจัดการป่าชุมชน
คติท่ีดีและเปล่ียนพฤติกรรมที่ท�ำลายสิ่งแวดล้อม ในแต่ละแห่งล้วนใช้งบประมาณในการด�ำเนินการ
ของคน น�ำค�ำสอนของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับการ แต่เท่าท่ลี งพนื้ ทศี่ ึกษา จะพบว่าปา่ ชมุ ชนในแตล่ ะ
ด�ำเนินชีวิตให้สมดุลกับธรรมชาติ โดยชุมชนได้มี แหง่ ขาดงบประมาณในการดำ� เนนิ การ หรอื ถา้ เปน็
การใหค้ วามรเู้ กยี่ วกบั ความส�ำคญั ของการอนรุ ักษ์ ป่าชุมชนท่ีได้รับอนุมัติจัดต้ังเป็นป่าชุมชนจาก
ส่ิงแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่องของป่าชุมชน จนใน กรมป่าไม้แล้ว ก็ค่อนข้างจะล่าช้า จึงท�ำให้การ
ท่ีสุดชุมชนให้ความร่วมมือท่ีจะรักษาฝืนป่าของ ดำ� เนนิ การบรหิ ารจดั การปา่ ชมุ ชนขาดการตอ่ เนอ่ื ง
พวกเขาเอาไว้เกิดพลังความร่วมมือจากชุมชนทุก ผวู้ จิ ยั เหน็ วา่ ควรจะมกี ารสนบั สนนุ งบประมาณให้
ฝา่ ย ไดแ้ ก่ ฝา่ ยของรฐั ผนู้ ำ� ชมุ ชน ผอู้ าวโุ สในชมุ ชน เพยี งพอและตอ่ เน่ืองเป็นไปตามกรอบเวลา เพื่อที่
เปน็ ตน้ (Maechee Duangporn Khamhomkul, จะให้การบริหารจัดการป่าชุมชนเป็นไปอย่าง
Maechee Chintakan Tummalukkita and ตอ่ เนื่องและมปี ระสทิ ธภิ าพ
Phrakru Preechawachiradhamma, 2018 : 2. ข้อเสนอแนะในการท�ำวิจยั คร้งั ต่อไป
245-254) 2.1 ปา่ ชมุ ชนบา้ นโคกสมี พี นื้ ทต่ี ดิ กบั
หมบู่ า้ นโคกสี หมู่ 2 และศนู ยก์ ารศกึ ษามหาวทิ ยาลยั
6. ข้อเสนอแนะ เทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ผู้วิจัยเห็นว่ามีความ
เชอ่ื มโยงกบั สงิ่ แวดลอ้ ม ดงั นนั้ ควรจะทำ� การศกึ ษา
การศกึ ษาวจิ ยั เรอื่ ง นเิ วศวทิ ยาเชงิ พทุ ธกบั วิจัยเร่ือง พุทธจริยศาสตรก์ ับการอนุรักษป์ า่ ชมุ ชน
แนวคิด คุณค่า และการเสริมสร้างการอนุรักษ์ ในภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ
ป่าชุมชนในจังหวัดขอนแก่น พบประเด็นท่ีควร 2.2 ป่าชุมชนบ้านหัวบึงมีศาลปู่ตา
เสนอแนะ ดังนี้ ในพ้ืนที่ป่าชุมชนชุมชน ชาวบ้านให้ความเคารพ
1. ขอ้ เสนอแนะเชิงนโยบาย นับถือกราบไหว้บูชา และไม่กล้าที่จะเข้าไป
1.1 ป่าชุมชนในจังหวัดขอนแก่น ท�ำความเสียหายในพ้ืนท่ีป่าชุมชน ผู้วิจัยเห็นว่า
มีอยู่เป็นจ�ำนวนมาก ทั้งท่ีเป็นป่าชุมชนที่ข้ึน ควรจะมีการศึกษาวจิ ยั เรอ่ื ง แนวคิดเร่อื งดอนป่ตู า
ทะเบียนจากกรมป่าไม้แล้ว และท่ียังเป็นป่า ในการอนรุ กั ษป์ า่ ชมุ ชนในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื
สาธารณประโยชน์ท่ัวไป ป่าบางแห่งมีสภาพ
226 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
References
KhonKaen Provincial Administrative Organization. (2017). Natural resources and environment.
http://www.kkpao.go.th/dep/kkpao_plan/E-PlanData/?mod=index&file=datacat3-1
(Accessed 5 March 2017).
Maechee Duangporn Khamhomkul, Maechee Chintakan Tummalukkita and Phrakru
Preechawachiradhamma. (2018). The Application of Aparihaniyadhamma Principle
to Conserve Community Forests of People in Nakhon Ratchasima Province.
Dhammathas Academic Journal, 18(3), 245-254.
Mahachulalongkornrajvidyalaya University. (1995). Thai-Tipitaka, Mahachulalongkorn
rajvidyalaya Edition. Bangkok : Mahachulalongkornrajvidyalaya.
Phra Pariyatpatcharaporn (Supot Pannadharo). (2013). A Study of Conservation of Forest
Resorurces According to Buddhist Concept, Natural Resources and Environment.
Research Report. Bangkok : Mahachulalongkornrajavidyalaya University.
Phra Upakorn Choocheu. (2002). Role of Monks and Public Participation in forest Management
in the Norteatheatern Region. Research Report. Bangkok :Thammasat University.
Phrakhru Baidika Thavon Sarapanyo (Sanson). (2011). A Study of the Role of Buddhist
Monk on forest Resource Conservation: A Case Study of Phraniphakhornsophon
(Khrai Thanissaro) WatNongkrub, Nongbua District, Nakhonsawan Province. Research
Report. Bangkok : Mahachulalongkornrajavidyalaya University.
Sihavat, J. (2001). Role of Monks and Forest Conservation in Nakhonratchasima Province:
A Case Study of Phratepsimaporn the Primate of Nakhonratchasima Province.
Research Report. Bangkok : Thammasat University.
Sornsakda, S. (2012). Patterns and Processes of Buddhist Community Forest Conservation
in Ubonratchathani. Research Report. Bangkok : Mahachulalongkornrajavidyalaya
University.
Srichantawong, P. and Phomkhot, S. (2018). Volunteer Spirit and Roles of Community
Forest Conservation and Management: Case Study of Phu Tao Pong, Ban BuengKum
Community Forest, Na Ho Sub-District, Dan Sai District, Loei Province. Volunteer Spirit for
Sustainable Social Development. The 5 National and the 3 International Conference
2018, Mahachulalongkornrajvidyalaya University, KhonKaen Campus. March 28-29.
การศึกษาคุณภาพวารสารวชิ าการ ตามหลกั เกณฑร์ ะดับชาติของ
ฐานขอ้ มลู TCI กรณศี ึกษาวารสารวิชาการมหาวทิ ยาลยั วลยั ลักษณ*์
A Study of Quality of Journals with TCI Database Criteria
Case Study of Walailak University Academic Journals
โกสินธุ์ ศริ ริ ักษ1์ และยวุ ธดิ า คงศร2ี
Kosin Sirirak and Yuwatida Kongsri
สถาบนั วจิ ัยและนวตั กรรม มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ จังหวัดนครศรธี รรมราช1
ศูนยบ์ รกิ ารวิชาการ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ จงั หวดั นครศรธี รรมราช2
Institute of Research and Innovation, Walailak University, Nakhon Si Thammarat, Thailand
The Center for Academic Services, Walailak University, Nakhon Si Thammarat, Thailand
Corresponding Author, E-mail: [email protected]
บทคัดย่อ
การวจิ ยั คร้ังนี้ มีวัตถปุ ระสงคเ์ พื่อส่งเสริมและสรา้ งความเข้มแขง็ การพัฒนาคณุ ภาพของวารสาร
วิชาการในมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ให้เกิดการแลกเปล่ียนเรียนรู้ หนุนเสริมกันตามเกณฑ์วารสารระดับ
ชาติของฐานข้อมูล Thai-Journal Citation Index (TCI) และให้สอดรับกับการประเมินคุณภาพทาง
วิชาการของหน่วยงานภายในประเทศ กลุ่มเป้าหมายเป็นบรรณาธิการวารสารวิชาการของมหาวิทยาลัย
จำ� นวน 3 วารสาร คอื สารอาศรมวฒั นธรรมวลยั ลกั ษณ์ วารสารนวตั กรรมการเรยี นรู้ มหาวทิ ยาลยั วลยั ลกั ษณ์
และวารสารสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั วลยั ลักษณ์ ใชว้ ธิ เี กบ็ รวบรวมขอ้ มลู หลักเกณฑ์ของฐานข้อมลู TCI
การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ศกั ยภาพของวารสาร และจดั ประชมุ เพอ่ื รว่ มแลกเปลย่ี นประสบการณ์ ปญั หา อปุ สรรค
แนวทางแกไ้ ข และสรา้ งความเขม้ แขง็ ในการพฒั นาคณุ ภาพของวารสารตามหลกั เกณฑข์ องฐานขอ้ มลู TCI
ผลการวิจยั พบวา่ สามารถจดั แบง่ กลมุ่ วารสารออกเปน็ 2 กลุม่ คือ 1) กลุ่มวารสารทต่ี อ้ งการ
พัฒนาคุณภาพตามเกณฑ์ระดับชาติของฐานข้อมูล TCI คือ วารสารนวัตกรรมการเรียนรู้ มหาวิทยาลัย
วลัยลักษณ์ และสารอาศรมวัฒนธรรมวลัยลักษณ์ 2) กลุ่มวารสารที่ต้องการพัฒนาคุณภาพตามเกณฑ์
ระดับชาติของฐานข้อมูล TCI กลุ่ม 1 คือ วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ท้ังน้ีวารสาร
วิชาการของมหาวิทยาลัยทั้ง 3 วารสารได้พัฒนาปรับปรุงคุณภาพได้ครอบคลุมตามหลักเกณฑ์คุณภาพ
* ได้รบั บทความ: 13 กนั ยายน 2561; แก้ไขบทความ: 13 กุมภาพนั ธ์ 2562; ตอบรับตีพิมพ:์ 14 กุมภาพนั ธ์ 2562
Received: September 13, 2018; Revised: February 13, 2019; Accepted: February 14, 2019
228 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
ของฐานขอ้ มลู TCI จ�ำนวน 10 หลักเกณฑ์ รวมถึงไดพ้ ัฒนามาใช้ระบบวารสารออนไลน์อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์
(E-Journal) ทำ� ให้วารสารมีประสทิ ธิภาพสูงขึน้ ประหยดั ค่าใชจ้ ่ายการตีพิมพร์ ปู เล่ม วารสารมคี วามเป็น
สากล สามารถดาวน์โหลดอ่านเน้ือหาบทความฉบับเต็ม สืบค้นข้อมูลออนไลน์ สร้างโอกาสการอ้างอิง
บทความเพม่ิ ขน้ึ และสามารถเขา้ ถงึ ไดจ้ ากทกุ ที่ สรปุ ผลการศกึ ษาพบวา่ มวี ารสารทส่ี ามารถพฒั นาคณุ ภาพ
ถูกประเมนิ เข้าสฐู่ านขอ้ มูล TCI กลุ่ม 2 จ�ำนวน 2 วารสาร คอื วารสารนวัตกรรมการเรียนรู้ มหาวิทยาลัย
วลัยลักษณ์ และสารอาศรมวัฒนธรรมวลัยลักษณ์ และวารสารท่ีสามารถพัฒนาคุณภาพจากฐานข้อมูล
TCI กลุ่ม 3 ถูกประเมินเข้าสู่ฐานข้อมูล TCI กลุ่ม 1 จ�ำนวน 1 วารสาร คือ วารสารสังคมศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั วลยั ลักษณ์ รวมถึงบรรณาธิการและเจา้ หนา้ ทีว่ ารสารมีความรคู้ วามเขา้ ใจ ปฏบิ ตั ิตามหลกั
เกณฑม์ าตรฐานดา้ นวารสารวชิ าการระดบั ชาตขิ องฐานขอ้ มลู TCI ไดอ้ ยา่ งมรี ะบบ เปน็ มาตรฐานเดยี วกนั
และมปี ระสทิ ธภิ าพ อนั จะสง่ ผลกระทบการดำ� เนนิ งานดา้ นวารสาร และผลกระทบตอ่ นโยบายการบรหิ าร
งานด้านการวจิ ัยของมหาวิทยาลัยตอ่ ไป
ค�ำสำ� คญั : วารสารวชิ าการ; ฐานขอ้ มูล TCI; มหาวิทยาลยั วลยั ลกั ษณ;์ หลักเกณฑ์วารสารระดบั ชาติ
Abstract
This research aims to encourage and reinforce the quality development of journals
with Thai-Journal Citation Index (TCI) database criteria: Case study of Walailak University
academic journals. The target group were selected from 3 journal’s editors are Walailak
Abode of Culture Journal, Journal of Learning Innovations Walailak University, and Walailak
Journal of Social Sciences. Data was analyzed using TCI database criteria, analyzing the
potential for the journals, and focus group discussion.
The results are classified into (1) group of journals for quality development with
TCI database criteria are Walailak Abode of Culture Journal, Journal of Learning Innovations
Walailak University, and (2) group of journals for the highest quality development in TCI
database (Tier 1) is Walailak Journal of Social Sciences. Three journals of Walailak University
have been developed to meet the quality standards of the TCI database all of these 10
criteria. Moreover, it has also developed an online journal system (E-Journal) to make
journals more effective, low cost for publication, universality, full journal content available
online, increase referral opportunities, and can be accessed from anywhere. The results
of these analyses showed that journals were indexed by TCI database are Walailak Abode
ปที ี่ 19 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 229
of Culture Journal, Journal of Learning Innovations Walailak University, and Walailak
Journal of Social Sciences. In addition, the editorial staffs of the journal are knowledgeable
and able implement the standards of the TCI database.
Keywords: Academic journal; TCI database; Walailak University; National Journal Criteria
1. บทน�ำ แตล่ ะมหาวิทยาลัย (Thailand Research Fund,
2017) ตลอดจนการตืน่ ตวั ของหลายมหาวทิ ยาลัย
ปัจจุบันการประเมินคุณภาพทางวิชาการ ที่ใช้ฐานข้อมูลดังกล่าวอ้างอิงส�ำหรับการก�ำหนด
ของหนว่ ยงานในประเทศไทยมหี ลายหนว่ ยงาน ทงั้ ต�ำแหน่งทางวิชาการ ผู้ส�ำเร็จการศึกษาระดับ
จากส�ำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมิน บัณฑิตศึกษา และการพัฒนาคุณภาพการบริหาร
คุณภาพการศึกษา (สมศ.) ที่ก�ำหนดเกณฑ์ งานด้านการวิจัยของมหาวิทยาลยั
มาตรฐานการวดั ระดบั คณุ ภาพผลงานทางวชิ าการ วารสารวิชาการ คอื วารสารที่ตีพมิ พเ์ ป็น
ของคณาจารย์และบัณฑิตศึกษา โดยอ้างอิงฐาน ระยะอย่างสม�่ำเสมอและต้องผ่านการตรวจ
ข้อมลู TCI ศูนย์ดชั นีการอ้างองิ วารสารไทยมหี ลัก คุณภาพบทความโดยผู้รู้ในสาขาวิชาน้ันๆ หรือท่ี
เกณฑเ์ พอื่ ใชพ้ จิ ารณาคณุ ภาพวารสารไทยดงั ตาราง เรียกวารสารประเภทนี้เป็นการเฉพาะว่าวารสาร
ที่ 1 รวมถึงคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนใน ผ่านการทบทวน (Peer-Reviewed Periodical)
สถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ.) มีประกาศเร่ืองหลัก วารสารวิชาการเป็นเวทีส�ำหรับการแนะน�ำและ
เกณฑ์การพิจารณาวารสารทางวิชาการ ส�ำหรับ น�ำเสนอผลงานค้นคว้าวิจัยใหม่หรือความเห็นทาง
การเผยแพรผ่ ลงานทางวชิ าการ พ.ศ. 2556 เพอ่ื ใช้ วิชาการใหม่ๆ เพื่อรับการตรวจสอบและการ
ประกอบในการพิจารณาแต่งตั้งบุคคลให้ด�ำรง วพิ ากษว์ จิ ารณใ์ นหมผู่ รู้ ดู้ ว้ ยกนั (Wikipedia, 2017)
ต�ำแหน่งทางวชิ าการจะต้องมีคณุ ภาพอยู่ในเกณฑ์ เป็นสิ่งพิมพ์ที่มีระยะเวลาหรือก�ำหนดออกอย่าง
ท่ี ก.พ.อ. กำ� หนด ทัง้ ท่เี ป็นวารสารรูปเล่มสง่ิ พิมพ์ ตอ่ เนอื่ ง และออกภายใตช้ อื่ เรอ่ื งเดยี วกนั อาจจะมี
หรือเป็นวารสารออนไลน์ส�ำหรับการเผยแพร่ผล เนื้อหา ท้ังท่ีเป็นวิชาการและไมใช่วิชาการ
งานทางวชิ าการโดยใหส้ ถาบนั อดุ มศกึ ษาถอื ปฏบิ ตั ิ (Juychum & Siriphan, 2015) มกี ำ� หนดออกเปน็
เป็นมาตรฐานเดยี วกัน (Ministry of Education, ระยะโดยไม่ส้ินสุด และมีเลขแสดงล�ำดับท่ี วัน
2013) และส�ำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย เดอื น ปี ของวนั ออกสงิ่ พมิ พน์ น้ั ๆ กำ� กบั ไว้ สงิ่ พมิ พ์
(สกว.) ได้ประเมินคุณภาพผลงานวิจัยเชิงวิชาการ ท่ีออกต่อเนื่อง ประกอบด้วย วารสารวิชาการ
ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสถาบัน นิตยสาร หนังสือพิมพ์ การออกวารสารจะออก
อดุ มศึกษาในประเทศไทย พ.ศ. 2560 โดยอา้ งองิ ได้ตง้ั แตร่ ายวัน รายเดอื น รายไตรมาส จะก�ำหนด
ฐานข้อมูล Scopus และฐานขอ้ มูล TCI เพ่อื ใช้ใน ออกอย่างไรอยู่ท่ีผู้จัดท�ำ แต่ต้องท�ำอย่างต่อเนื่อง
การก�ำหนดค่าน�้ำหนักคะแนนของผลงานวิจัยใน
230 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
ส�ำหรับวารสารวิชาการเป็นวารสารที่ตีพิมพ์ ตลอดจนชุมชนเปา้ หมายทจ่ี ะนำ� ผลการศกึ ษาวิจยั
บทความวิจัยใหม่ เพื่อใช้ประโยชน์ส�ำหรับการ ไปใชป้ ระโยชน์ (Daramae, 2016; Bumrungyart,
ค้นคว้าวิจัย นอกจากนี้อาจมีการตีพิมพ์บทความ 2011) ดังน้ัน วารสารวิชาการจึงเป็นเอกสารท่ี
วิชาการ บทความปริทัศน์ การแนะน�ำหนังสือ เผยแพร่ผลงานอย่างต่อเนื่องอย่างสม�่ำเสมอ
(Siripornm & Naraballob, 2013) นอกจากนี้ ท้ังในรูปแบบส่ิงพิมพ์หรือออนไลน์ และต้องผ่าน
วารสาร คอื ทรพั ยากรสารสนเทศประเภทหนงึ่ ทมี่ ี การตรวจคุณภาพบทความโดยผู้ทรงคุณวุฒิ
ก�ำหนดการออกต่อเน่ือง ท�ำให้ผู้อ่านได้รับความรู้ ในสาขาน้ันๆ (Peer-reviewed) ก่อนการตีพิมพ์
ทท่ี นั สมยั วทิ ยาการใหมๆ่ ทเี่ กดิ ขน้ึ จากผลงานทาง เปน็ ความรทู้ ท่ี นั สมยั วทิ ยาการใหมๆ่ ทเ่ี กดิ ขนึ้ จาก
วิชาการของผู้ที่ต้องการเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ ผลงานของผู้ที่ต้องการเผยแพร่ เพ่ือใช้ประโยชน์
ผลงานของตน ในปัจจุบันความก้าวหน้าของ สำ� หรบั การคน้ ควา้ วจิ ยั หรอื สามารถนำ� ไปอา้ งองิ ได้
เทคโนโลยดี ำ� เนนิ ไปอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง สง่ ผลใหว้ ารสาร เพื่อความก้าวหน้าในวิชาชพี นนั้ ๆ
มีการปรับปรุงรูปแบบและเน้ือหาของวารสาร วารสารอิเล็กทรอนิกส์ เป็นวารสารหรือ
เพื่อเพ่ิมช่องทางในการเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ สิ่งพิมพ์ต่อเน่ืองที่น�ำเสนอบทความวิชาการ
รูปแบบดังกล่าวคือ วารสารอิเล็กทรอนิกส์ บทความวิจัย หรือบทความท่ีเป็นประโยชน์
(E-Journal) (Juychum, 2011) วารสารวิจัย ตอ่ ผอู้ า่ น โดยจดั ทำ� บนั ทกึ และเผยแพรไ่ ปสผู่ อู้ า่ น
(Research Journal) เปน็ สงิ่ พมิ พว์ ชิ าการประเภท ใ น รู ป ข อ ง ไ ฟ ล ์ ข ้ อ มู ล ค อ ม พิ ว เ ต อ ร ์ ห รื อ ส่ื อ
หนึ่งที่น�ำเสนอผลการค้นคว้าวิจัย เป็นสื่อกลาง อิเล็กทรอนิกส์ ซ่ึงสามารถอ่านเนื้อหาได้ทั้ง
รายงานความก้าวหน้าในการวิจัยและการแลก เครือข่ายออนไลนแ์ ละออฟไลน์ (Supreeyaporn
เปลยี่ นแนวคดิ ในการวจิ ยั ซง่ึ จดั พมิ พเ์ ผยแพรอ่ ยา่ ง & Kulachan, 2015) หรือวารสารวิชาการในรูป
ตอ่ เนอื่ ง มีก�ำหนดออกเปน็ วาระ มคี วามสำ� คญั ต่อ สอื่ อเิ ลก็ ทรอนกิ สฉ์ บบั เตม็ ทเ่ี ผยแพร่ และใหบ้ รกิ าร
นักวิชาการและนักวิจัย เพราะมีการประเมิน ในระบบเครอื ขา่ ยอนิ เทอรเ์ นต็ (Uiphanit, Janpla
คณุ ภาพบทความ (Peer Review) กอ่ นการตพี มิ พ์ & Keawmanee, 2010) เป็นรูปแบบหนึ่งของ
จึงท�ำให้บทความมีความน่าเชื่อถือสามารถน�ำไป วารสารทม่ี เี นอ้ื หาของวารสารทง้ั หมดหรอื บางสว่ น
อ้างอิงได้ (Thamkaew & Promchun, 2016) ได้ถูกแปลงให้เป็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ และน�ำ
เป็นส่ือกลางการเผยแพร่ความรู้ ความคิดและ ไปไว้ในเว็บไซต์ให้ผู้อ่านทั่วไปท่ีใช้อินเทอร์เน็ต
พฒั นาการทไี่ ดจ้ ากการศกึ ษา คน้ ควา้ วจิ ยั ตลอดจน ส า ม า ร ถ ด า ว น ์ โ ห ล ด ห รื อ อ ่ า น เ นื้ อ ห า ผ ่ า น
ความเคลื่อนไหวในแง่มุมต่างๆ ของวิทยาการ คอมพิวเตอร์ของตนได้ แต่ก็ยังคงรูปแบบลกั ษณะ
อันหลากหลาย การอ่านวารสารจึงเป็นสิ่งส�ำคัญ ท่ัวๆ ไปของวารสารไว้เหมือนเดิม คือ มีก�ำหนด
ในการติดตามความรู้ใหม่เพ่ือเป็นข้อมูลในการ ออกที่แน่นอน ประกอบไปด้วยบทความหลายๆ
ศกึ ษา คน้ ควา้ วจิ ยั เผยแพรไ่ ปยงั ประชาคมวชิ าการ บทความในฉบับ มีส่ังซื้อหรือบอกรับเป็นสมาชิก
ปีท่ี 19 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 231
เพื่อให้สามารถเข้าถึงและสืบค้นข้อมูลออนไลน์ได้ ออนไลน์วารสาร ความหลากหลายของกอง
(Juychum, 2011) รวมถงึ เปน็ นวตั กรรมการพมิ พ์ บรรณาธกิ ารและบทความจากหนว่ ยงานภายนอก
อิเล็กทรอนิกส์ท่ีเกิดจากความก้าวหน้าทาง (Arya, 2013; Rajendran, Jeyshankar &
เทคโนโลยสี ารสนเทศ ซง่ึ เปน็ กระบวนการของการ Elango, 2011) รวมถงึ วารสารขาดบทคดั ยอ่ ภาษา
พิมพ์สารสนเทศให้สามารถอ่านได้แบบออนไลน์ องั กฤษ เปน็ ตน้ การศกึ ษาครงั้ นมี้ วี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่
หรืออยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ท�ำให้รูปแบบ สง่ เสรมิ และสรา้ งความเขม้ แขง็ การพฒั นาคณุ ภาพ
การนำ� เสนอวารสารเกดิ ความเปลย่ี นแปลงจากเดมิ ของวารสารวิชาการในมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ให้
ทเี่ ปน็ รปู แบบสงิ่ พมิ พม์ าเปน็ รปู แบบอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ เกดิ การแลกเปลย่ี นเรยี นรู้ หนนุ เสรมิ กนั ตามเกณฑ์
(Chotjirawatthana, 2011) ดังนั้นวารสาร วารสารระดบั ชาติของฐานขอ้ มลู TCI และสอดรับ
อิเล็กทรอนิกส์จึงเป็นวารสารวิชาการท่ีเผยแพร่ กบั การประเมนิ คณุ ภาพทางวชิ าการของหนว่ ยงาน
และให้บริการในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ภายในประเทศ
เป็นการเปล่ียนแปลงจากจากเดิมท่ีอยู่ในรูปแบบ
ส่ิงพิมพ์มาเป็นรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ สามารถ 2. วัตถปุ ระสงคข์ องการวจิ ัย
ดาวน์โหลด อ่านเนื้อหาบทความ สืบค้นข้อมูล
ออนไลน์ และเขา้ ถงึ ไดจ้ ากทวั่ ทุกมมุ โลก 1. เพื่อศึกษาคุณภาพวารสารวิชาการ
มหาวทิ ยาลยั วลยั ลกั ษณม์ วี ารสารวชิ าการ ของมหาวทิ ยาลยั วลยั ลกั ษณ์ ตามหลกั เกณฑร์ ะดบั
ที่อยูใ่ นฐานข้อมูล Thai-Journal Citation Index ชาตขิ องฐานขอ้ มลู Thai-Journal Citation Index
(TCI) จ�ำนวน 3 วารสาร คอื วารสารสังคมศาสตร์ (TCI)
มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ (TCI กลุ่ม 3) WMS 2. เพื่อส่งเสริมพัฒนาและสร้างความ
Journal of Management (TCI กลมุ่ 1) Walailak เข้มแข็งการพัฒนาคุณภาพของวารสารวิชาการใน
Journal of Science and Technology (TCI กลมุ่ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ให้เกิดการแลกเปล่ียน
1) (Thai-Journal Citation Index Centre, 2018) เรียนรู้ หนุนเสริมกันตามเกณฑ์วารสารระดับชาติ
มีวารสารวิชาการท่ีอยู่ในฐานข้อมูล Scopus ของฐานข้อมูล Thai-Journal Citation Index
จ�ำนวน 1 วารสาร คือ Walailak Journal of (TCI)
Science and Technology (Scopus, 2018;
Sirirak & Sirisathitkul, 2016) และวารสารท่ยี ัง 3. วธิ ีด�ำเนนิ การวิจัย
ไม่อยู่ในฐานข้อมูล จ�ำนวน 2 วารสาร คือ สาร
อาศรมวัฒนธรรมวลัยลักษณ์ และวารสาร 1. กลุ่มเป้าหมายท่ีใช้ในการศึกษาคือ
นวัตกรรมการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ บรรณาธกิ ารวารสาร จำ� นวน 3 คน จาก 3 วารสาร
วารสารมีจุดท่ีควรปรับปรุง คือ การมีระบบ ได้แก่ สารอาศรมวัฒนธรรมวลัยลักษณ์ วารสาร
นวัตกรรมการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
232 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
เจา้ หน้าทง่ี านวารสาร จ�ำนวน 5 คน รวมท้ังหมด จัดอบรมการใช้งานระบบวารสารอิเล็กทรอนิกส์
8 คน ออนไลน์ ThaiJo
2. ขอ้ มลู ทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั ไดแ้ ก่ ขอ้ กำ� หนด
หลกั เกณฑข์ องหน่วยงานภายในประเทศ และหลัก 4. สรปุ ผลการวิจัย
เกณฑ์การพิจารณาคุณภาพวารสารในฐานข้อมูล
ระดบั ชาติของฐานขอ้ มลู TCI การวิเคราะหข์ ้อมลู 1. การวเิ คราะหห์ ลกั เกณฑก์ ารพจิ ารณา
ศักยภาพพื้นฐานของวารสาร และจัดประชุมกลุ่ม คุณภาพวารสารในฐานข้อมูลระดับชาติของฐาน
ย่อยและจัดประชุมกลุ่มใหญ่ เพื่อร่วมแลกเปล่ียน ข้อมลู TCI จากตารางที่ 1 แสดงรายละเอียดหลัก
ประสบการณ์ ปญั หา อปุ สรรค แนวทางแกไ้ ข และ เกณฑ์การพิจารณาคุณภาพวารสารในฐานข้อมูล
สร้างความเข้มแข็งในการพัฒนาคุณภาพของ ระดับชาติของฐานข้อมูล TCI ประกอบด้วย
วารสารตามเกณฑ์ระดับชาติ 10 หลักเกณฑ์ มี 3 หลักเกณฑ์หลัก คือ
3. การศึกษามีการเก็บรวบรวมข้อมูล 1) บทความทกุ บทความตอ้ งมกี ารควบคมุ คณุ ภาพ
ดา้ นเอกสารเปน็ ขอ้ มลู ทตุ ยิ ภมู ิ คอื ขอ้ กำ� หนดหลกั จากผทู้ รงคณุ วฒุ ิ 2) วารสารตอ้ งออกตรงตามเวลา
เกณฑ์ของหน่วยงานภายในประเทศ ข้อมูลหลัก ทกี่ ำ� หนด 3) วารสารตอ้ งมอี ายกุ ารตพี มิ พบ์ ทความ
เกณฑ์การพิจารณาคุณภาพวารสารในฐานข้อมูล วชิ าการไมน่ อ้ ยกว่า 3 ปี หรือไม่นอ้ ยกวา่ 6 ฉบับ
ระดับชาตขิ องฐานขอ้ มลู TCI การวเิ คราะหข์ ้อมูล และ 7 หลักเกณฑ์รอง คือ 1) วารสารต้องมี
พ้ืนฐานของวารสารวิชาการของมหาวิทยาลัยวลัย citation ท่ีตรวจสอบได้จากฐานข้อมูล TCI
ลักษณ์ จ�ำนวน 3 วารสาร คือ สารอาศรม 2) วารสารตอ้ งมกี ารกำ� หนดกตกิ าและรปู แบบการ
วฒั นธรรมวลยั ลกั ษณ์ วารสารนวตั กรรมการเรยี นรู้ ตีพิมพ์อย่างชัดเจน 3) วารสารต้องมีกอง
มหาวทิ ยาลยั วลยั ลกั ษณ์ และวารสารสงั คมศาสตร์ บรรณาธิการเป็นผู้ทรงคุณวุฒิมาจากหลากหลาย
มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และแผนการพัฒนา หน่วยงาน 4) วารสารต้องตีพิมพ์บทความที่มี
คุณภาพวารสารวิชาการของมหาวิทยาลัยวลัย ผู้นิพนธ์มาจากหลากหลายหน่วยงาน ท้ังภายใน
ลกั ษณ์ใหส้ ูงขึน้ และภายนอก 5) วารสารตอ้ งมกี ารตพี มิ พบ์ ทความ
4. เครื่องมือวิจัยของการศึกษาครั้งนี้ ที่มีรูปแบบการตีพิมพ์และรูปเล่มที่ได้มาตรฐาน
มแี บบสรปุ หลกั เกณฑก์ ารพจิ ารณาคณุ ภาพวารสาร 6) วารสารต้องมีเว็บไซต์ท่ีมีข้อมูลกติกาและ
ในฐานข้อมลู ระดับชาติของฐานขอ้ มูล TCI การจดั รปู แบบการตพี มิ พ์ และมกี ารปรบั ปรงุ เนอื้ หาใหท้ นั
ประชมุ กลมุ่ ยอ่ ย จำ� นวน 3 ครงั้ การจดั ประชมุ กลมุ่ สมัยอย่างต่อเนื่อง 7) วารสารต้องมีระบบการ
ใหญ่ จำ� นวน 1 ครง้ั โดยใชค้ ำ� ถามแบบกง่ึ โครงสรา้ ง ส่งบทความแบบออนไลน์ หรือระบบ Online
Submission
ปที ่ี 19 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 233
ตารางที่ 1 รายละเอยี ดหลกั เกณฑก์ ารพจิ ารณาคณุ ภาพวารสารในฐานขอ้ มลู ระดบั ชาตขิ องฐานขอ้ มลู TCI
หัวข้อ หลักเกณฑก์ ารพจิ ารณาคุณภาพวารสาร
หลกั เกณฑห์ ลกั 1. บทความทกุ บทความต้องมีการควบคุมคุณภาพจากผู้ทรงคุณวฒุ ิ
2. วารสารต้องออกตรงตามเวลาท่ีก�ำหนด
3. วารสารตอ้ งมอี ายุการตพี มิ พบ์ ทความวิชาการไม่นอ้ ยกว่า 3 ปี หรือ ไม่น้อยกวา่ 6 ฉบับ
หลักเกณฑร์ อง 4. วารสารต้องมี citation ทีต่ รวจสอบได้จากฐานขอ้ มูล TCI
5. วารสารต้องมกี ารก�ำหนดกติกาและรปู แบบการตีพมิ พ์อย่างชดั เจน
6. วารสารต้องมกี องบรรณาธกิ ารเป็นผูท้ รงคุณวฒุ ิมาจากหลากหลายหนว่ ยงาน
7. วารสารต้องตพี ิมพบ์ ทความทมี่ ผี นู้ พิ นธม์ าจากหลากหลายหนว่ ยงานท้ังภายในและภายนอก
8. วารสารตอ้ งมีการตีพิมพบ์ ทความทมี่ รี ูปแบบการตีพิมพ์และรูปเลม่ ทีไ่ ด้มาตรฐาน
9. วารสารตอ้ งมเี ว็บไซต์ท่มี ีข้อมูลกตกิ าและรปู แบบการตพี ิมพ์ และมีการปรับปรงุ เนื้อหาใหท้ นั สมยั อย่างต่อเนอื่ ง
10. วารสารตอ้ งมรี ะบบการส่งบทความแบบออนไลน์ หรือระบบ Online Submission
ตารางท่ี 2 แนวทางการพฒั นาวารสารวิชาการมหาวิทยาลัยวลยั ลักษณต์ ามฐานข้อมูล TCI
รายชอื่ วารสาร ปัญหา / อุปสรรค / จุดด้อย / ความตอ้ งการ แนวทางการพฒั นา
1. วารสาร - บางบทความในวารสารไม่มีบทคัดย่อภาษา - เพมิ่ บทคัดย่อภาษาองั กฤษในทุกบทความ
นวตั กรรม อังกฤษ - ฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการการใช้งานระบบวารสาร
การเรียนรู้ - วารสารไม่ปรากฏการอ้างองิ ในฐานขอ้ มลู TCI อิเล็กทรอนกิ สอ์ อนไลน์ ThaiJo
มหาวทิ ยาลัย - ขาดความหลากหลายของกองบรรณาธิการจาก - บริหารจัดการสัดส่วนระหว่างบทความภายนอกต่อ
วลัยลกั ษณ์ หน่วยงานภายนอก บทความภายในให้สูงขึ้น
- ขาดความหลากหลายของบทความจากหน่วย - แตง่ ตง้ั กองบรรณาธกิ ารใหม้ สี ดั สว่ นภายนอกตอ่ ภายใน
งานภายนอก สูงข้นึ
- วารสารไม่มรี ะบบ submission online - การจัดพมิ พบ์ ทความตามรูปแบบของ TCI
- วารสารเผยแพรล่ า่ ช้ากวา่ ก�ำหนดเวลา - เพม่ิ ชอื่ คณะ ชอ่ื หนว่ ยงาน ลงในหนา้ กองบรรณาธกิ าร
- ทีอ่ ยขู่ องกองบรรณาธิการวารสารไม่ชัดเจน วารสาร
- การอา้ งอิงบทความในแต่ละฉบับไม่เหมือนกัน - ระบุขอบเขตวารสาร จ�ำนวนการเผยแพร่ต่อปี
- วารสารไม่มีรูปแบบการอ้างอิงท่ีเป็นสากล รูปแบบการอ้างอิง การจัดรูปแบบของบทความท้ังเลม่ ที่
- ใชง้ บประมาณสงู ในการตีพิมพ์รปู เลม่ เป็นรปู แบบเดียวกันและสอดคลอ้ งกัน
- วารสารยังไม่เปน็ ท่ีรูจ้ ักแพร่หลาย - วารสารเผยแพร่ในรปู แบบออนไลน์ แทนการตพี ิมพร์ ูป
- วารสารขาดแคลนบทความตีพิมพ์ เล่ม เพ่อื ใช้งบประมาณนอ้ ยลง
- วารสารตอ้ งการยกระดบั เพอ่ื เขา้ สฐู่ านขอ้ มลู TCI - จัดนิทรรศการวารสารวิชาการของมหาวิทยาลัยเพ่ือ
ประชาสัมพันธ์ในงานประชมุ วิชาการ
- งานประชมุ วชิ าการภายในมหาวทิ ยาลยั หนนุ เสรมิ ใหผ้ ู้
เขา้ รว่ มงานประชมุ สง่ บทความฉบบั เตม็ มายงั วารสารของ
มหาวิทยาลัย เพื่อเป็นทางเลือกในการเผยแพร่ที่หลาก
หลายขน้ึ
234 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
รายชอื่ วารสาร ปัญหา / อุปสรรค / จดุ ด้อย / ความตอ้ งการ แนวทางการพฒั นา
2. สาร - บางบทความในวารสารไม่มีบทคัดย่อภาษา - เผยแพร่วารสารเป็นรอบปีปฏิทิน คือ มกราคม-
อาศรม องั กฤษ มถิ นุ ายน และ กรกฎาคม-ธันวาคม
วัฒนธรรม - กองบรรณาธกิ ารวารสารไม่มที ่ีอยทู่ ่ชี ัดเจน - แตง่ ตงั้ กองบรรณาธกิ ารใหม้ สี ดั สว่ นภายนอกตอ่ ภายในสงู ขน้ึ
วลัยลักษณ์ - วารสารก�ำหนดเผยแพรเ่ ปน็ ปีงบประมาณ - เพมิ่ บทคดั ยอ่ ภาษาอังกฤษในทกุ บทความ
- วารสารไมป่ รากฏการอ้างองิ ในฐานข้อมลู TCI - ฝึกอบรมเชงิ ปฏิบัติการการใชง้ านระบบ
- ขาดความหลากหลายของหนว่ ยงานภายนอกใน -เพม่ิ ชอื่ คณะชอ่ื หนว่ ยงานลงในหนา้ กองบรรณาธกิ ารวารสาร
กองบรรณาธิการวารสาร - ระบขุ อบเขตวารสาร จำ� นวนการเผยแพรต่ อ่ ปี รปู แบบ
- ขาดความหลากหลายของบทความจากหน่วย การอ้างอิง การจัดรูปแบบของบทความท้ังเล่มท่ีเป็นรูป
งานภายนอก แบบเดยี วกนั และสอดคลอ้ งกนั
- วารสารไมม่ รี ะบบ submission online - ฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการการใช้งานระบบวารสาร
- วารสารเผยแพร่ล่าชา้ กวา่ ก�ำหนดเวลา อเิ ลก็ ทรอนกิ สอ์ อนไลน์ ThaiJo
- ทอ่ี ยู่ของกองบรรณาธกิ ารวารสารไมช่ ัดเจน - วารสารเผยแพรใ่ นรปู แบบออนไลน์ แทนการตพี มิ พร์ ปู
- วารสารไม่มรี ูปแบบการอา้ งอิงท่เี ปน็ สากล เลม่ เพอ่ื ใชง้ บประมาณนอ้ ยลง
- ใช้งบประมาณสูงในการตีพิมพ์รูปเลม่ - จัดนิทรรศการวารสารวิชาการของมหาวิทยาลัยเพื่อ
- วารสารยังไม่เป็นทีร่ ูจ้ ักแพร่หลาย ประชาสมั พนั ธใ์ นงานประชมุ วชิ าการ
- วารสารขาดแคลนบทความตีพมิ พ์ - งานประชมุ วชิ าการภายในมหาวทิ ยาลยั หนนุ เสรมิ ใหผ้ ู้
- วารสารตอ้ งการยกระดบั เพอ่ื เขา้ สฐู่ านขอ้ มลู TCI เขา้ รว่ มงานประชมุ สง่ บทความฉบบั เตม็ มายงั วารสารของ
มหาวิทยาลัย เพ่ือเป็นทางเลือกในการเผยแพร่ท่ีหลาก
หลายขน้ึ
3. วารสาร - ทอ่ี ยขู่ องกองบรรณาธกิ ารวารสารไม่ชัดเจน - แตง่ ตง้ั กองบรรณาธกิ ารใหม้ สี ดั สว่ นภายนอกตอ่ ภายใน
สงั คมศาสตร์ - วารสารไม่มีรปู แบบการอ้างองิ ทเ่ี ป็นสากล สงู ข้นึ
มหาวทิ ยาลัย - วารสารไม่ปรากฏการอา้ งอิงในฐานขอ้ มูล TCI - ฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการการใช้งานระบบวารสาร
วลัยลักษณ์ - วารสารไมม่ ีระบบ submission online อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ออนไลน์ ThaiJo
- วารสารเผยแพรล่ ่าชา้ กวา่ กำ� หนดเวลา -เพม่ิ ชอื่ คณะชอ่ื หนว่ ยงานลงในหนา้ กองบรรณาธกิ ารวารสาร
- ใชง้ บประมาณสูงในการตีพิมพ์รูปเล่ม - ระบุขอบเขตวารสาร จ�ำนวนการเผยแพร่ตอ่ ปี รปู แบบ
- วารสารยงั ไม่เป็นทร่ี ู้จกั แพรห่ ลาย การอ้างอิง การจัดรูปแบบของบทความท้ังเล่มท่ีเป็นรูป
- วารสารขาดแคลนบทความตีพิมพ์ แบบเดยี วกันและสอดคลอ้ งกนั
- วารสารต้องการปรับกลุ่มจากฐานข้อมูล TCI - วารสารเผยแพรใ่ นรูปแบบออนไลน์ แทนการตีพมิ พร์ ูป
กลุ่ม 3 เป็น TCI กลุ่ม 1 เลม่ เพือ่ ใช้งบประมาณน้อยลง
- จัดนิทรรศการวารสารวิชาการของมหาวิทยาลัยเพ่ือ
ประชาสมั พนั ธใ์ นงานประชมุ วิชาการ
- งานประชมุ วชิ าการภายในมหาวทิ ยาลยั หนนุ เสรมิ ใหผ้ ู้
เขา้ รว่ มงานประชมุ สง่ บทความฉบบั เตม็ มายงั วารสารของ
มหาวิทยาลัย เพื่อเป็นทางเลือกในการเผยแพร่ท่ีหลาก
หลายข้นึ
ปีที่ 19 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 235
ตารางท่ี 3 ผลการพิจารณาวารสารวชิ าการมหาวทิ ยาลยั วลัยลกั ษณ์ในฐานขอ้ มลู TCI
หน่วยงานรบั ผิดชอบ อายุ จ�ำนวน ระบบ ผลการพจิ ารณา
รายชือ่ วารสาร วารสาร ฉบบั submission ของฐานขอ้ มลู หมายเหตุ
(ป)ี ตอ่ ปี online TCI
1. สารอาศรม อาศรมวัฒนธรรมวลยั ลักษณ์ 18 2 ฉบับ ThaiJo ver. 2 TCI กลุ่ม 2 เม่อื
วฒั นธรรมวลยั (https://www.tci-thaijo.org/in- พฤษภาคม
ลกั ษณ์ dex.php/cjwu) 2560
2. วารสาร ส�ำนักวิชาศิลปศาสตร์ 11 2 ฉบบั ThaiJo ver. 2 TCI กลุ่ม 1 เม่ือ
สังคมศาสตร์ (https://www.tci-thaijo.org/in- ตุลาคม
มหาวิทยาลัย dex.php/wjss) 2560
วลัยลกั ษณ์
3. วารสาร ศนู ยน์ วตั กรรมการเรยี นและการสอน 3 2 ฉบบั ThaiJo ver. 2 TCI กลุ่ม 2 เม่อื
นวตั กรรมการ (https://www.tci-thaijo.org/in- พฤษภาคม
เรียนรู้ dex.php/jliwu) 2561
มหาวทิ ยาลยั
วลัยลกั ษณ์
2. แนวทางการพัฒนาวารสารวิชาการ ลกั ษณจ์ ากเดมิ ตพี มิ พเ์ ผยแพรต่ ามปงี บประมาณให้
มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ตามฐานข้อมูล TCI จาก ตีพิมพ์เผยแพร่ตามปีปฏิทิน และการอบรมให้
การจดั เวทีประชมุ กลมุ่ ย่อยในแต่ละวารสาร ทำ� ให้ วารสารมีการใช้งานระบบวารสารอิเล็กทรอนิกส์
ทราบปญั หา อปุ สรรค จดุ ด้อย และความต้องการ ออนไลน์ ThaiJo โดยทกุ วารสารไดพ้ ฒั นาปรบั ปรงุ
ของวารสาร รวมถึงแนวทางการพัฒนาปรับปรุง คุณภาพได้ครอบคลุมตามหลักเกณฑ์คุณภาพของ
วารสาร โดยทงั้ 3 วารสาร ไดด้ ำ� เนนิ การตพี มิ พเ์ ผย ฐานข้อมูล TCI ดังแสดงในตารางท่ี 2
แพรอ่ อกวารสารใหต้ รงตามเวลาทกี่ ำ� หนด วารสาร 3. ผลการปรับปรุงวารสารวิชาการ
มีการก�ำหนดกติกาและรูปแบบการตีพิมพ์อย่าง มหาวทิ ยาลยั วลยั ลกั ษณใ์ นฐานขอ้ มลู TCI จากการ
ชัดเจนข้ึน การปรับปรุงกองบรรณาธิการวารสาร ปรับปรุงคุณภาพวารสารตามแนวทางการพัฒนา
ใหเ้ ปน็ ผทู้ รงคณุ วฒุ ทิ มี่ าจากหลากหลายหนว่ ยงาน ของแตล่ ะวารสาร และการอบรมการใชง้ านระบบ
การบรหิ ารจดั การเพอ่ื ตพี มิ พบ์ ทความใหม้ ผี นู้ พิ นธ์ วารสารอเิ ลก็ ทรอนกิ สอ์ อนไลน์ ThaiJo รวมถงึ การ
มาจากหลากหลายหน่วยงานทั้งภายในและ ย่ืนวารสารเพื่อพิจารณาคุณภาพให้อยู่ฐานข้อมูล
ภายนอก มกี ารตรวจสอบการตีพิมพ์บทความใหม้ ี TCI ตามความพร้อมของแต่ละวารสารนั้น ท�ำให้
รูปแบบการตีพิมพ์และรูปเล่มที่ได้มาตรฐานอย่าง สารอาศรมวัฒนธรรมวลัยลักษณ์ ได้รับการ
เข้มข้น การก�ำหนดสารอาศรมวัฒนธรรมวลัย พิจารณาคุณภาพวารสารให้อยู่ในฐานข้อมูล TCI
236 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
กลุ่ม 2 เมื่อเดือนพฤษภาคม 2560 มีเว็บไซต์ อิเล็กทรอนิกส์ (E-Journal) ท�ำให้วารสารมี
วารสาร คอื https://www.tci-thaijo.org/index. ประสิทธิภาพสูงข้ึน ประหยัดค่าใช้จ่ายการตีพิมพ์
php/cjwu วารสารสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั วลยั รปู เลม่ วารสารมคี วามเปน็ สากล สามารถดาวนโ์ หลด
ลกั ษณ์ จากเดิมอย่ใู นฐานข้อมูล TCI กลุม่ 3 ได้รบั อา่ นเนอื้ หาบทความฉบบั เตม็ สบื คน้ ขอ้ มลู ออนไลน์
การพิจารณาคุณภาพวารสารให้อยู่ในฐานข้อมูล สรา้ งโอกาสการอา้ งองิ บทความเพม่ิ ขนึ้ และสามารถ
TCI กลุ่ม 1 เมื่อเดือนตุลาคม 2560 มีเว็บไซต์ เข้าถึงได้จากทุกท่ี ซึ่งสอดคล้องกับ Juychum
วารสาร คอื https://www.tci-thaijo.org/index. (2011) Supreeyaporn & Kulachan (2015)
php/wjss และวารสารนวัตกรรมการเรียนรู้ Chotjirawatthana (2011) ท่ีพบว่า วารสาร
มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ได้รับการพิจารณา อเิ ลก็ ทรอนกิ สเ์ ปน็ แหลง่ สารสนเทศทเี่ กดิ จากความ
คณุ ภาพวารสารใหอ้ ยใู่ นฐานขอ้ มลู TCI กลมุ่ 2 เมอื่ ก้าวหน้าของเทคโนโลยี ซึ่งให้ความสะดวกในการ
เดือนพฤษภาคม 2561 มีเว็บไซต์วารสาร คือ เข้าถึงบทความได้รวดเร็วข้ึน และสามารถอ่าน
https://www.tci-thaijo.org/index.php/jliwu เน้ือหาได้ทั้งเครือข่ายออนไลน์และออฟไลน์
ดงั แสดงในตารางที่ 3 เพื่ออ�ำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้บริการสามารถ
เขา้ ถงึ สารสนเทศไดอ้ ยา่ งสะดวก รวดเรว็ และกวา้ ง
5. อภิปรายผลการวิจัย ขวางกวา่ วารสารในรปู สงิ่ พมิ พ์ ผลจากการปรบั ปรงุ
คุณภาพวารสารและยื่นวารสารเพื่อพิจารณา
หลักเกณฑ์การพิจารณาคุณภาพวารสาร คุณภาพให้อยู่ฐานข้อมูล TCI ท�ำให้สารอาศรม
ในฐานข้อมูล TCI ประกอบด้วย 10 หลักเกณฑ์ วัฒนธรรมวลัยลักษณ์ วารสารสังคมศาสตร์
มี 3 หลักเกณฑ์หลัก และ 7 หลักเกณฑ์รอง มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และวารสารนวัตกรรม
โดยวารสารวิชาการของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ การเรียนรู้ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ได้รับการ
ท้ัง 3 วารสาร ได้ปรบั ปรงุ พัฒนาคุณภาพวารสาร พิจารณาคุณภาพวารสารให้อยู่ในฐานข้อมูล TCI
ใน 5 หลักเกณฑ์หลัก คือ 1) วารสารมกี ารก�ำหนด กลมุ่ 2 เมอื่ เดอื นพฤษภาคม 2560 ฐานขอ้ มูล TCI
ก ติ ก า แ ล ะ รู ป แ บ บ ก า ร ตี พิ ม พ ์ อ ย ่ า ง ชั ด เ จ น กลมุ่ 1 เมอื่ เดอื นตลุ าคม 2560 และฐานขอ้ มลู TCI
2) วารสารมีกองบรรณาธิการเป็นผู้ทรงคุณวุฒิมา กลุม่ 2 เมอ่ื เดือนพฤษภาคม 2561 ตามล�ำดบั
จากหลากหลายหน่วยงาน 3) วารสารตีพิมพ์
บทความท่ีมีผู้นิพนธ์มาจากหลากหลายหน่วยงาน 6. ข้อเสนอแนะ
ท้ังภายในและภายนอก 4) วารสารมีการตีพิมพ์
บทความท่ีมีรูปแบบการตีพิมพ์และรูปเล่มท่ีได้ 1. วารสารวิชาการของมหาวิทยาลัย
มาตรฐาน และ 5) วารสารมีระบบการส่งบทความ ควรมกี ารพฒั นาคณุ ภาพใหม้ มี าตรฐานสงู ขนึ้ อยา่ ง
แบบออนไลน์ ทงั้ นวี้ ารสารวชิ าการของมหาวทิ ยาลยั ตอ่ เนอ่ื ง ในฐานขอ้ มลู อาเซยี น (ACI) หรอื ฐานขอ้ มลู
ทั้ง 3 ได้พัฒนามาใช้ระบบวารสารออนไลน์ Scopus
ปีท่ี 19 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 237
2. หน่วยงานภายในมหาวิทยาลัย วารสารวิชาการให้มีมาตรฐานที่สูงขึ้นอย่าง
ให้การสนับสนุนส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพของ ต่อเนื่อง
References
Arya, C. (2013). Sadhana - Academy Proceedings in Engineering Sciences: A Scientometric
Analysis. Sadhana, 38(4), 761-71.
Bumrungyart, U. (2011). Manuals for the Journal of the Humanities and Social Sciences.
Faculty of Humanities and Social Science. KhonKaen : KhonKaen University.
Chotjirawatthana, S. (2011). Electronic Journal Acquisitions in University Libraries. Library
Science Journal, 31(1), 65-82.
Daramae, F. (2016). Manual of Academic Journal. Southern Border Research and Development
Institute. Yala : Yala Rajabhat University.
Juychum, D. & Siriphan, S. (2015). A Content Analysis of Princess of Naradhiwas University
Journal. Research Report. Faculty of Liberal Arts. Naradhiwas : Princess of Naradhiwas
University.
Juychum, D. (2011). E-Journal: Another Choice of Service. Princess of Naradhiwas University
Journal, 3(1), 118-123.
Ministry of Education. (2013). Announcement of the Academic Journal Criteria Year 2013.
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2556/E/127/14.PDF (Accessed 17
August 2017).
Rajendran, P., Jeyshankar R. & Elango, B. (2011). Scientometric Analysis of Contributions
to Journal of Scientific and Industrial Research. International Journal of Digital
Library Services, 1(2), 79-89.
Scopus. (2018). Sources. https://www.scopus.com (Accessed 20 May 2018).
Siriporn, L. & Naraballob, F. (2013). Academic journal Praboromarajchanok Institute: Past
Present and Future. Journal of Nursing and Education, 6(4), 2-10.
Sirirak, K. & Sirisathitkul, C. (2016). Walailak Journal of Science and Technology - A Scientometric
Analysis from 2010 to 2015. Walailak Journal of Science and Technology, 13(6),
391-397.