338 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
เพราะเป็นอาชีพที่ส่งเสริมการเบียดเบียนและ ประสงค์ของผู้ด�ำเนินงาน โดยเร่ิมต้นจากการ
การท�ำลายชีวิต ประกอบด้วย 1) สัตถวณิชชา ด�ำเนินงานในลักษณะขององค์กรธุรกิจ ที่ผสม
การค้าขาย ศรัตราอันเป็นเคร่ืองประหาร เช่น ผสานคุณค่าทางพุทธปรัชญาเข้ากับวิถีการ
หอก ดาบปนื ระเบดิ 2) สตั ตวณชิ ชา การคา้ มนษุ ย์ ด�ำเนินงาน เป็นจริยธรรมทางธุรกิจ เพื่อสร้าง
3) มงั สวณชิ ชา การค้าสัตว์ส�ำหรับฆ่าเป็นอาหาร รายได้ และสรา้ งความเตบิ โตแกอ่ งคก์ รอยา่ งยง่ั ยนื
4) มัชชวณิชชา การค้าขายสิ่งมึนเมา และ 5) พร้อมๆ กับการสร้างประโยชน์แก่สังคม ไปสู่การ
วิสวณชิ ชา การค้าขายยาพิษ ด�ำเนินงานในลักษณะขององค์กรไม่แสวงหา
การที่พระพุทธศาสนาสอนให้ละเว้นการ ผลก�ำไร ท่ีมีจรยิ ธรรมในระดบั เขม้ ข้นจนกลายเป็น
ค้าขายศัตราวุธก็เพราะเห็นว่า เป็นเคร่ืองมือ วิถีชีวิต เพ่ือพัฒนาจิตใจ และเป็นมรรคาในการ
แหง่ การเขน่ ฆา่ ทำ� ลายชวี ติ ทงั้ ตอ่ ตวั มนษุ ยแ์ ละสตั ว์ ด�ำเนนิ สจู่ ดุ หมายสงู สดุ ของชีวิต
การแสวงหาเลี้ยงชีพตนเองให้อยู่รอดจากการค้า
ศัตราวุธก็เท่ากับเป็นการด�ำรงชีวิตจากการฆ่า 3. พทุ ธปรชั ญากบั การดำ� เนนิ ธรุ กจิ แบบยง่ั ยนื
ท�ำลาย โดยเฉพาะกับชีวิตมนุษย์ด้วยกันเอง
การด�ำเนินงานที่ปราศจากการเบียดเบียนใดๆ พุทธปรัชญามีทัศนะในเรื่องการพัฒนา
ทงั้ ทางกาย และวาจา และไดแ้ บง่ ออกเปน็ 2 ระดบั ที่ยั่งยืน (Sustainable Development) คือการ
คือ ระดับโลกียะท่ียังเจือปนด้วยกิเลส และระดับ พัฒนามนุษย์ ตามหลักการทางพระพุทธศาสนา
โลกุตตระ ท่ีเป็นแนวทางปฏิบัติมีศีลเป็นกรอบ ด้วยการพัฒนาระบบการด�ำเนินชีวิต ท้ังสามด้าน
จรยิ ศาสตรใ์ นการด�ำเนินงาน และแบง่ การดำ� เนนิ ให้เป็นการพัฒนาที่มนุษย์ก่อน จึงจะเป็นการ
งานแบบสัมมาอาชีวะออกเป็น 2 ระดบั กล่าวคอื พฒั นาทไี่ ด้ผล คือ ระบบแห่งไตรสิกขา ไดแ้ ก่ ศีล
ในระดบั ตน้ ผทู้ ำ� งานไดร้ บั ผลตอบแทนทางการเงนิ สมาธิ ปัญญาโดยเน้นเฉพาะประเด็นที่พึงพัฒนา
การพฒั นาตนเองจากสมั มาอาชวี ะในระดบั ตน้ ไปสู่ เป็นสำ� คญั ดงั น้ี
ระดับสงู หรอื กล่าวอีกนยั หน่งึ คอื การกา้ วจากวิถี 1. ด้านพฤติกรรม เป็นช่องทางให้เกิด
การท�ำงานในระดับโลกียะที่ยังแสวงหารายได้ การพัฒนาต่อเน่ืองไปถึงการพัฒนาด้านจิตใจและ
ทช่ี าวพทุ ธปรชั ญามที ศั นะวา่ ยงั เปน็ วถิ กี ารทำ� งาน ดา้ นปญั ญาไดด้ ดี ว้ ย ดา้ นพฤตกิ รรม ไดแ้ ก่ ละความ
แบบใช้ลาภต่อลาภ ไปสู่ระดับโลกุตตระท่ีไม่ เคยชินท่ีไม่เกื้อกูล โดยใช้วินัยและวัฒนธรรม
แสวงหารายได้ เป็นวิถีการท�ำงานเพื่อผู้อื่นอย่าง เพื่อเร่งแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างเอาจริงความ
แทจ้ รงิ ทไ่ี มห่ วงั ผลตอบแทนใดๆ การดำ� เนนิ ธรุ กจิ ส�ำคัญของพฤติกรรมการหาความสุขเพราะมีผล
ดว้ ยจรยิ ธรรม และคำ� นงึ ถงึ ผลประโยชนข์ องชมุ ชน กระทบต่อการพัฒนามาก
สังคม และสิ่งแวดล้อม จะเห็นว่า สัมมาอาชีวะ 2. ด้านจิตใจ พัฒนาจิตให้มีศักยภาพ
มีลักษณะยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนตามความ ในการหาความสุขได้ง่ายขึ้น เสพบริโภคด้วยท่าที
มกี ็ได้ ไม่มกี ไ็ ด้ จนถึงขนั้ มีก็ได้ ไม่มกี ็ดี อย่างฉลาด
ปที ี่ 19 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 339
และมีจุดหมายท่ีนิรามิสสุข หมายถึง การมีความ ร่อยหรอของทรัพยากร และเร่ืองมลภาวะการ
สุขเป็นอิสระโดยไม่อาศัยการเสพ มีคุณธรรมและ พฒั นาจงึ ตอ้ งมปี จั จยั ฝา่ ยตวั มนษุ ยเ์ ปน็ หลกั เพราะ
มีความเพียร พยายาม ขยัน อดทนเกื้อกูลเพื่อน ลักษณะของมนษุ ยท์ เ่ี ปน็ สัตวท์ ี่มศี กั ยภาพสามารถ
มนุษย์และสงิ่ แวดลอ้ ม พฒั นาไดด้ เี ยยี่ ม เรยี กวา่ ความสามารถทจี่ ะววิ ฒั น์
3. ด้านปัญญา มีความรู้เข้าใจโลกและ (Evolvability) มนุษย์จึงต้องเข้าแทรกระหว่าง
ชีวิตตามความเป็นจริงของธรรมชาติ เสพบริโภค การพัฒนากับสภาวะแวดล้อม ซ่ึงท่านกล่าวว่า
ด้วยรู้เข้าใจคุณค่าแท้เป็นผู้บรรลุจุดหมายของการ การพัฒนาที่ย่ังยืนจะต้องเป็นระบบและเป็น
พัฒนามนุษย์ และเป็นผู้ทเ่ี ออื้ เฟอื้ เกือ้ กลู ต่อสงั คม กระบวนการ และเปน็ การแก้ปัญหาแบบทีเ่ รียกว่า
มนษุ ยแ์ ละธรรมชาตสิ งิ่ แวดลอ้ ม จะบรรลจุ ดุ หมาย บรู ณาการ (Integrated) คอื ทำ� ใหเ้ กดิ เปน็ องคร์ วม
การพัฒนาที่ยั่งยืน (Phra Dhamma Pitaka (Holistic) หมายความว่า องค์ประกอบทั้งหลาย
(Prayut Payutto), 1998 : 238) ที่เกี่ยวข้องจะต้องมาประสานกันครบถ้วนเป็น
บรู ณาการและสมั พนั ธก์ นั ถกู ตอ้ งและพอดที วั่ ตลอด
4. องค์ประกอบของการพฒั นาท่ยี ั่งยืน องค์รวม และมีลักษณะอีกอย่างหน่ึง คือ การมี
ดุลยภาพ (Balance) หรือพูดอีกนัยหน่ึงคือการ
องค์ประกอบของการพัฒนาที่ย่ังยืน ท�ำให้กิจกรรมของมนุษย์สอดคล้องกับกฎเกณฑ์
มีอยู่ 3 ระบบ ดงั น้ี ของธรรมชาติ
1. การพัฒนาเศรษฐกิจ (Economic การดำ� เนนิ ธรุ กจิ แบบตะวนั ตกนนั้ มงุ่ เนน้
Development) โดยมีการน�ำวิทยาศาสตร์และ พัฒนาเศรษฐกิจอยู่ได้เจริญดีไปพร้อมกับการ
เทคโนโลยีเข้ามาเป็นเคร่ืองมือในการพัฒนา อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ตามแนวความคิดตะวันตก
เศรษฐกิจเพ่ือสนองความมุ่งหมายทางเศรษฐกิจ ทเ่ี ปน็ ผนู้ ำ� กระแสโลกในการพฒั นาโลกอยา่ งชดั เจน
ด้วยการด�ำเนินการเชื่อมโยงกับการพัฒนามนุษย์ ก่อนหน้ายุคสภาพแวดล้อมนานาชาติ หรือสภาพ
(Human Development) แวดล้อมโลก ที่อธิบายถึงความพยายามแก้ไข
2. การพัฒนาคน โดยการพฒั นาคนให้ ปัญหาส�ำคัญ โดยไม่สามารถละท้ิงระบบทุนนิยม
ครบทงั้ 3 ดา้ น คอื พฤตกิ รรม จิตใจ และปัญญา การค้าเสรีบริโภคนิยมท่ียังคงเน้นการพัฒนา
การน�ำเอาปัญญา (Wisdom) กับศีล (Ethics) เศรษฐกิจแบบเร่งเพ่ิมผลผลิตไม่มีขีดจ�ำกัดของ
มาประสานกัน โดยมีจิตใจ (Mental Qualities) การบริโภค หลกั การดังกล่าวมคี วามขดั แยง้ กนั อยู่
เป็นตัวเชื่อม ซ่ึงจะน�ำไปสู่การสร้างจริยธรรม ในตัวเองอย่างชัดเจน เพราะเหตุว่าเศรษฐกิจท่ี
(Ethics) แตม่ ใิ ชจ่ รยิ ธรรมตามความหมายตะวนั ตก เจรญิ ดดี งั กลา่ ว ยอ่ มอยบู่ นความฟมุ่ เฟอื ยในการใช้
และทั้งหมดนี้เรยี กวา่ แดนของภาวนา ท รั พ ย า ก ร ธ ร ร ม ช า ติ แ ล ะ ส ่ ง ค ว า ม เ สี ย ห า ย
3. การพัฒนาส่ิงแวดล้อม ซ่ึงมีปัญหา เสื่อมโทรมไปยังธรรมชาติอย่างหนักหนามหาศาล
ทเี่ กดิ จากปจั จัยส�ำคัญ ไดแ้ ก่ เร่ืองประชากรความ
340 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
นับว่าปัญหาเดิมก็ยังแก้ไม่ได้ การด�ำเนินชีวิต ก็คือ การเปลี่ยนแปลงท่ีจะท�ำให้โลกมนุษย์กับ
แนวคดิ พนื้ ฐานทเี่ กยี่ วกบั ธรรมชาติ และพฤตกิ รรม โลกธรรมชาติไปดีด้วยกันและดียิ่งข้ึนด้วยกัน
ของมนุษย์ รวมกับแนวคิดท่ีมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจ อย่างกลมกลืนและเก้ือกูลกัน ดังน้ัน การด�ำเนิน
ด้วยการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็น ธรุ กจิ ที่ ยัง่ ยนื จึงหมายถึง การพฒั นาคน ครบทงั้
พลงั ผลกั ดนั เพอื่ ใหเ้ กดิ การพฒั นา แตข่ ณะเดยี วกนั พฤติกรรม จิตใจ และปัญญา และให้คนที่พัฒนา
ก่อให้เกิดความไม่สมดุลในแต่ละภาคของสังคม เต็มระบบเป็นแกนกลาง หรือปัจจัยตัวกระท�ำ
โดยรวม โดยเฉพาะอย่างย่ิงก่อให้เกิดปัญหา น�ำการพัฒนาคน และคนที่พัฒนาแล้วนั้นไป
ส่ิงแวดล้อม ประสานปรับเปล่ียนบูรณาการในระบบสัมพันธ์
พุทธปรัชญากับการด�ำเนินธุรกิจแบบที่ องคร์ วมใหญ่ของการด�ำเนินธุรกจิ คอื ทง้ั มนษุ ย์
ย่ังยืนกระบวนการพัฒนาคนตามหลักการท่ีเน้น สงั คม ธรรมชาติ และธรุ กิจ
การพัฒนาระบบการด�ำเนินชีวิตของคนทั้งด้าน ดงั นนั้ การการดำ� เนนิ ธรุ กจิ และสงั คมของ
พฤตกิ รรม จติ ใจ และปญั ญา เพอื่ ใหเ้ ปน็ ปจั จยั หลกั ทุกประเทศท่ัวโลก ไม่ว่าจะร�่ำรวยหรือยากจน
ในการประสานและบูรณาการระบบความสัมพันธ์ ประเทศใหญ่ หรือประเทศเล็กๆ ต้องได้รับการ
แบบองค์รวม เพ่ือให้เกิดประโยชน์และความ พจิ ารณาใหมต่ ามแนวความคดิ หลกั ของความยง่ั ยนื
สขุ รว่ มกนั ระหวา่ งบคุ คลสงั คม และสภาพแวดลอ้ ม การพัฒนาแบบใหม่นี้ จะเก่ียวข้องกับการปรับ
อันหมายถึงธรรมชาติให้ด�ำรงอยู่ได้ด้วยดีอย่าง เปลยี่ นการดำ� เนนิ งานใหม่ ทงั้ การพฒั นาและปฏริ ปู
เก้อื กลู ตอ่ เนื่องสมำ�่ เสมอเรื่อยไป ซงึ่ ในการด�ำเนนิ ทางสถาบันหลัก ทั้งด้านเศรษฐกิจ และสังคม
ธุรกิจนั้น องคป์ ระกอบฝา่ ยมนุษยม์ ีความส�ำคัญยงิ่ โ ด ย น โ ย บ า ย ด ้ า น ก า ร พั ฒ น า ต ้ อ ง ค� ำ นึ ง ก า ร
การด�ำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนต้องให้ความส�ำคัญท่ีสุด เปล่ียนแปลงด้านทรัพยากรธรรมชาติ และการ
กับเร่อื งการพัฒนาคนเปน็ แกนกลาง ซึง่ ระบบการ จำ� แนกตน้ ทนุ และผลประโยชน์ รวมถงึ การคำ� นงึ ถงึ
พัฒนามนุษย์ ประกอบด้วย 3 ด้านของการด�ำรง ความยุตธิ รรมของคนในสังคม
ชีวิตของมนษุ ย์ คือ พฤติกรรม จติ ใจ และปัญญา การดำ� เนนิ ธรุ กจิ ทย่ี งั่ ยนื ในทศั นะของพทุ ธ
ซ่ึงมีความสัมพันธ์อาศัยกันและส่งผลต่อกัน ปรัชญาจึงต้องสนองความต้องการพ้ืนฐานของ
เป็นปัจจัยแก่กันในกระบวนการด�ำเนินธุรกิจ ทุกคนรวมถึงโอกาสความต้องการ เพื่อให้มีชีวิต
จึงต้องพัฒนาเต็มท้ังคน และด้วยเหตุที่มนุษย์ ดีข้ึน แต่ส่ิงเหล่านี้ข้ึนอยู่กับเงื่อนไขของมาตรฐาน
มีปัจจัยท่ีมีเจตน์จ�ำนงค์ หรือเป็นปัจจัยตัวกระท�ำ การบริโภคซึ่งทุกๆ คน ควรมีโอกาสรับร่วมกัน
ในขณะที่ตัวมนุษย์เองมีความหมายสองส่วน คือ ภายใตข้ อบเขตความเปน็ ไปไดข้ องแนวคดิ เรอ่ื งการ
ในฐานะบุคคลท่ีเป็นส่วนร่วมในสังคมหรือองค์กร พัฒนาที่ย่ังยืน (Sustainable Development)
และในฐานะชวี ติ ทเี่ ปน็ สภาวะอนั มใี นธรรมชาติ คอื สามารถน�ำมาขยายรายละเอียดเพื่อการพัฒนา
ธรรมชาติส่วนหนึ่ง การแก้ปัญหาด้วยบูรณาการ ในมิติต่างๆ ดังนี้ แนวคิดเรื่องการด�ำเนินธุรกิจท่ี
ปที ่ี 19 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 341
ย่ังยืนในทัศนะของพุทธปรัชญา สามารถน�ำมา ของความสัมพันธ์ที่ดีและมั่นคงภายในหน่วยการ
ขยายรายละเอียดเพื่อการพัฒนาในมิติต่างๆ ผลิตแต่ละหน่วย ซึ่งหมายถึงการมีความสัมพันธ์
ทีเ่ กี่ยวข้อง ดังนี้ ทด่ี รี ะหวา่ งนายจา้ งกบั ลกู จา้ งทกุ ระดบั อนั จะนำ� ไป
1. มิติทางเศรษฐกิจ การด�ำเนินธุรกิจ สู่การกระจายผลประโยชน์จากการผลิตอย่างเป็น
ที่ยั่งยืนจะเกิดได้ ก็ต่อเมื่อมีการเติบโตทาง ธรรม นอกจากนี้ควรอยู่บนพ้ืนฐานของความ
เศรษฐกิจอย่างพอเพียง ที่จะตอบสนองความ สมั พนั ธท์ ดี่ รี ะหวา่ งผปู้ ระกอบการผลติ กบั ผบู้ รโิ ภค
ตอ้ งการพืน้ ฐานของประชากรได้ โดยเฉพาะอยา่ ง อนั จะนำ� ไปสกู่ ารผลติ สนิ คา้ ทปี่ ลอดภยั ตอ่ ผบู้ รโิ ภค
ย่ิงจะต้องสามารถขจัดความยากจนและเน้นการ และส่ิงแวดลอ้ ม ในระดบั ราคาทผี่ ู้ผลิตผลติ ได้
กระจายโอกาสในการใช้ทรัพยากร เพ่ือลดความ 3. มติ ทิ างดา้ นสงิ่ แวดลอ้ มและทรพั ยากร
เทา่ เทยี มกนั ในสงั คม ในการน้ี ผทู้ ด่ี ำ� เนนิ การธรุ กจิ การด�ำเนินธุรกิจท่ียั่งยืน เป็นรูปแบบของการใช้
ที่ประสบความส�ำเร็จจนร�่ำรวยจึงต้องช่วยเหลือ ทรัพยากรที่เป็นการบ�ำรุงรักษา และอัตราการใช้
แบ่งปันผู้ยากจน และประเทศอุตสาหกรรม ทรัพยากรท่ีอยู่ภายใต้ขอบเขตหรือศักยภาพ
ซ่ึงมีฐานะร่�ำรวย ควรมีส่วนช่วยอย่างจริงจัง ที่ทรัพยากรน้ัน จะคืนกลับสู่สภาพปกติได้
ในการปรบั ปรงุ สภาพแวดลอ้ มในประเทศทยี่ ากจน แตถ่ า้ เปน็ ทรพั ยากรทไ่ี มม่ ลี กั ษณะการเกดิ ทดแทน
เพราะประเทศท่ียากจนส่วนหน่ึงได้สูญเสีย อย่างต่อเน่ือง การใช้ทรัพยากรประเภทเหล่านี้
ท รั พ ย า ก ร ใ ห ้ แ ก ่ ป ร ะ เ ท ศ ท่ี ร่� ำ ร ว ย ไ ป แ ล ้ ว จะต้องค�ำนึงถึงผลกระทบโดยรวมของการใช้
หากคนรวยและประเทศทรี่ ำ�่ รวยเพกิ เฉยตอ่ ปญั หา ทรัพยากรนั้นให้มากๆ เพราะอาจท�ำให้มีการ
ของคนยากจน คนยากจนก็จ�ำเป็นต้องต่อสู้ เปล่ยี นดลุ ยภาพของสสารในระบบนเิ วศ และหรือ
ด้วยตนเองเพื่อความอยู่รอดก่อนท่ีจะค�ำนึงถึง ท�ำให้คนในรุ่นหลังขาดโอกาสในการใช้ประโยชน์
ปัญหาส่ิงแวดล้อมซึ่งกระทบผู้คนจ�ำนวนมาก ทรัพยากรน้ัน ทางเลือกในกรณีดังกล่าวน้ีคือ
และอาจทำ� ใหป้ ญั หาสงิ่ แวดลอ้ มทวคี วามรนุ แรงขนึ้ การเพ่ิมประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรน้ันหรือ
จนยากทจ่ี ะแก้ไขได้ ชะลออตั ราการใช้ และพฒั นาเทคโนโลยใี นการใช้
2. มติ ทิ างสงั คม การดำ� เนนิ ธรุ กจิ ทยี่ ง่ั ยนื ทรัพยากรอ่ืนแทน จะต้องมีการพิทักษ์และสงวน
จะต้องสนับสนุนค่านิยมที่มีการส่งเสริมให้ รักษาความหลากหลายของพันธ์พืช พันธุ์สัตว์
ประชากรมีมาตรฐานการบริโภคทรัพยากรที่ไม่ ในสภาพธรรมชาตไิ ว้ เพราะสงิ่ มชี วี ติ ในระบบนเิ วศ
ฟุ่มเฟือย และอยู่ในขีดความสามารถของระบบ รวมทั้งมนุษย์ด้วย มีวิวัฒนาการร่วมกันมา
นิเวศนั้นๆ ที่จะรองรับได้รวมท้ังมีการส่งเสริม การสูญหายไปของส่ิงมีชีวิตชนิดใดชนิดหน่ึง
และพฒั นารปู แบบในการทจ่ี ะนำ� ของเสยี กลบั มาใช้ ย่อมส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตที่เหลือรอดจนอาจ
ใหม่ให้เหมาะสมกับความต้องการของสังคม เป็นเหตุให้มีการสูญหายของสิ่งมีชีวิตอีกหลายๆ
และศกั ยภาพทอี่ ำ� นวยประโยชนไ์ ด้ ควรอยบู่ นฐาน ชนดิ ตามมา
342 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
5. สรุป 6. องค์ความรู้ท่ีได้จากบทความน้ี
ในการด�ำเนินการธุรกิจตามหลักพุทธ 1. การด�ำเนินการทางธุรกิจทุกประเภท
ปรัชญาต้องงดเว้นการด�ำเนินธุรกิจที่ผิดที่เรียกว่า โดยธรรมชาตจิ ะเนน้ เรอื่ งผลกำ� ไรเปน็ สำ� คญั ยงิ่ เปน็
มิจฉาวาณิชชา คือ การเลี้ยงชีพในทางที่ผิด ตัวบ่งช้ีถึงความผลส�ำเร็จของการประกอบการ
เพราะเปน็ อาชพี ทสี่ ง่ เสรมิ การเบยี ดเบยี น และการ ธรุ กจิ ในการประกอบการธรุ กิจท่ีเนน้ ผลกำ� ไรเป็น
ท�ำลายชวี ติ ประกอบด้วย 1) สัตถวณิชชา การคา้ ส�ำคัญนี้ท�ำให้ความรู้สึกรับผิดชอบต่อเพ่ือนมนุษย์
ขายศรตั ราอันเปน็ เครื่องประหาร เชน่ หอก ดาบ ลดน้อยลง ผู้ประกอบการมุ่งเน้นในการกระจาย
ปืน ระเบิด 2) สัตตวณิชชา การค้ามนุษย์ สินค้าออกสู่ผู้บริโภคให้มากที่สุดเป็นการเน้น
3) มังสวณิชชา การค้าสัตว์ส�ำหรับฆ่าเป็นอาหาร ปริมาณของสินค้าเป็นหลักท�ำให้การใส่ใจต่อ
4) มัชชวณิชชา การค้าขายส่ิงมึนเมา และ 5) คุณภาพสินค้าท่จี ะเกดิ ข้นึ ผูบ้ รโิ ภคลดน้อยลง
วิสวณิชชา การค้าขายยาพิษ และยึดมั่นในการ 2. พุทธปรัชญาได้มีบทบาทต่อการ
สัมมาอาชีวะตามหลักพุทธปรัชญาโดยไม่มุ่งเน้น ด�ำเนินธุรกิจโดยยึดหลักสัมมาชีวะในมรรคมีองค์
เร่ืองก�ำไรเป็นส�ำคัญ และดูแลผู้บริโภคด้วยจิตใจ แปดเป็นตัวก�ำกับในการด�ำเนินธุรกิจ จะท�ำให้
ท่ีเอื้อเฟื้อ ผู้ประกอบการมีคุณธรรมมีจิตใจเอื้อเฟื้อต่อเพื่อน
ดังนั้น การด�ำเนินธุรกิจท่ีย่ังยืนในทัศนะ มนษุ ยด์ ว้ ยกนั มคี วามมงุ่ เนน้ เรอื่ งคณุ คา่ ทจ่ี ะเกดิ ตอ่
ของพทุ ธปรัชญา สามารถน�ำมาขยายรายละเอียด ผบู้ รโิ ภคมากกวา่ ราคาทจ่ี ะกอ่ ใหเ้ กดิ ผลกำ� ไรแกต่ น
เพ่ือการพัฒนาในมิติต่างๆ แบบองค์รวม 3. การดำ� เนนิ การทางธรุ กจิ ถา้ ผปู้ ระกอบ
ซึ่งประกอบด้วย 1) มิติทางเศรษฐกิจ 2) มิติ การมีคุณธรรมจริยธรรมอยู่ในใจไม่เอาเปรียบ
ทางสงั คม 3) มติ ทิ างดา้ นสง่ิ แวดลอ้ มและทรพั ยากร ผู้บริโภคมากนัก มีก�ำไรพออยู่ได้อย่างไม่ฝืดเคือง
ถ้าผู้ประกอบการในการด�ำเนินธุรกิจค�ำนึงถึง มีการค�ำนึงถึงคุณค่าชีวิตของเพื่อนมนุษย์มากกว่า
มิติเหล่าน้ีจะท�ำให้การด�ำเนินธุรกิจประสบความ ผลก�ำไรที่จะเกิดแก่ตน จะท�ำให้การด�ำเนินการ
ส�ำเรจ็ และมีความยงั่ ยนื ตลอดไป ธรุ กจิ ทุกประเภทมคี วามย่งั ยนื ต่อผ้บู รโิ ภค
References
Bangmo, S. (1989). Introduction to Business. 2nd Edition. Bangkok : Typography.
Boonbongkarn, C. (2010). Business Ethics. Printing No. 12. Bangkok : Dan Sutthakarn Printing
Co., Ltd.
Namkanisorn, S. (1996). Business and Buddhist Ethics. Master of Arts Thesis. Graduate
School : Chulalongkorn University.
ปีที่ 19 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 343
Phavirai, R. (2005). Apithat for the New Generation. 6th Edition. Bangkok : Buddhist
Dharma Publishing.
Phra Dhamma Pitaka (Prayut Payutto). (2002). Buddhist Economics. 5th Edition. Bangkok
: Sand Printing Plant.
________. (1996). Sustainable development. 3rd Edition. Bangkok : International Publishing
House.
________. (1998). Buddhist Economics. 4th Edition. Bangkok : Publishers, Buddhist Foundation.
________. (1998). Education for a Sustainable Civilization. 3rd Edition. Bangkok : Phutthatham
Foundation.
Phutachoti, N. (2006). Sales Management. Bangkok : S. Asia Press Company.
Ruamjai, J. (2001). Study of Religious Images and the Application of Buddhist Principles
of Businessmen : Case study of Thai Buddhist Businessmen in Bangkok. Master of
Arts. Graduate School : Mahidol University.
Wachangngern, P. (2006). Business Ethics. 2nd Edition. Bangkok : Amon Printing.
Yousuk, K. and Sarayuth, P. (1989). Introduction to Business. Bangkok : Prayoonrawong.
ปีท่ี 19 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 347
กระบวนการพจิ ารณาบทความของวารสารวชิ าการธรรมทรรศน์
มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วทิ ยาเขตขอนแก่น
348 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
คำ� แนะน�ำส�ำหรบั ผนู้ ิพนธบ์ ทความ
สถานทตี่ ิดตอ่ เกี่ยวกับบทความ
ส�ำนกั วิชาการ มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น
30 หมู่ 1 ต�ำบลโคกสี อ�ำเภอเมือง จงั หวัดขอนแก่น 40000
โทรศัพท์ 043-283-546-7 (ตอ่ 114)
1. สว่ นประเภทของบทความท่ลี งตพี ิมพ์ในวารสาร
วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ ตีพิมพ์บทความประเภทตา่ งๆ ดงั น้ี
1.1 บทความพิเศษ บทความทางวิชาการพิเศษ ที่เสนอเน้ือหาความรู้วิชาการอย่างเข้มข้น
และผา่ นการอา่ นและพจิ ารณาจากผทู้ รงคณุ วฒุ ใิ นสาขาวชิ านนั้ ๆ มกี ลมุ่ เปา้ หมายเปน็ นกั วชิ าการในวงการ
วชิ าการ/วชิ าชีพ
1.2 บทความทางวชิ าการ ทเ่ี สนอเนอ้ื หาความรู้ วิชาการ มกี ลุ่มเป้าหมายท่เี ป็นนิสิต นกั ศึกษา
หรือประชาชนทั่วไป
1.3 บทความวิจยั (Research Article) ได้แก่ รายงานผลงานวิจยั ใหมท่ มี่ ีองค์ความรู้อันเป็น
ประโยชน์ ซึง่ ไม่เคยตีพิมพ์ในวารสารใดๆ มาก่อน
1.4 บทความปริทรรศน์ (Review Article) เป็นบทความท่ีรวบรวมความรู้จากตำ� รา หนงั สอื
และวารสารใหม่ หรือจากผลงานและประสบการณ์ของผู้นิพนธ์มาเรียบเรียงข้ึน โดยมีการวิเคราะห์
สงั เคราะหว์ ิจารณ์เปรยี บเทยี บกนั
1.5 ปกิณกะ (Miscellany) ได้แก่บทความทบทวนความรู้ เร่ืองแปล ย่อความจากวารสาร
ต่างประเทศ การแสดงความคิดเห็น วิจารณ์ แนะน�ำเคร่ืองมือใหม่ ต�ำราหรือหนังสือใหม่ที่น่าสนใจ
หรอื ขา่ วการประชมุ ท้งั ระดับชาตแิ ละระดบั นานาชาติ
การส่งบทความ
บทความท่ีจะตีพิมพ์ในวารสารวิชาการธรรมทรรศน์ ต้องส่งผ่านระบบลงทะเบียนออนไลน์
Website: http://www.tci-thaijo.org/index.php/dhammathas และรอการตรวจสอบจาก
กองบรรณาธิการ
ปีที่ 19 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 349
การตรวจสอบบทความและพสิ จู นอ์ กั ษร
ผู้นิพนธ์ควรตระหนักถึงความส�ำคัญในการเตรียมบทความให้ถูกต้องตามรูปแบบของบทความที่
วารสารก�ำหนด ตลอดจนตรวจสอบความถูกต้องแน่นอน พร้อมทั้งพิสูจน์อักษรก่อนที่จะส่งบทความนี้
ใหก้ บั บรรณาธกิ าร การเตรยี มบทความใหถ้ กู ตอ้ งตามขอ้ กำ� หนดของวารสารจะทำ� ใหก้ ารพจิ ารณาตพี มิ พ์
มีความรวดเร็วมากยิ่งข้ึน และทางกองบรรณาธิการขอสงวนสิทธ์ิท่ีจะไม่พิจารณาบทความจนกว่าจะได้
แกไ้ ขให้ถกู ต้องตามข้อกำ� หนดของวารสาร
การเตรียมบทความ
บทความตอ้ งเปน็ ตวั พมิ พด์ ดี โดยใชช้ ดุ แบบอกั ษร (font) ชนดิ ไทยสารบรรณ (TH Sarabun PSK)
ขนาดอกั ษร 16 จดั กน้ั หลงั ตรง และมรี ะยะหา่ งระหวา่ งบรรทดั หนง่ึ ชอ่ ง (Double Spacing) ตลอดเอกสาร
พมิ พ์หน้าเดยี วลงบนกระดาษ (A4) พมิ พ์ให้หา่ งจากขอบกระดาษ ดา้ นซ้าย และดา้ นขวา ขนาด 3.81ซม.
ดา้ นบน ขนาด 4.5 ซม. และด้านล่าง ขนาด 4.01 ซม. พรอ้ มใส่หมายเลขหนา้ กำ� กับทางมมุ ขวาบน
ทุกหนา้ บทความไมค่ วรยาวเกิน 12 หนา้ กระดาษพิมพ์ (A4) โดยนบั รวมภาพประกอบและตาราง
การพิจารณาและคดั เลอื กบทความ
บทความแต่ละบทความจะได้รับพิจารณาจากคณะกรรมการกล่ันกรองบทความวารสาร
(Peer Review) 2 ท่าน ที่มีความเช่ียวชาญในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง และได้รับความเห็นชอบจาก
กองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ โดยการพิจารณาบทความจะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อ
หรือข้อมูลของผู้เขียนบทความ และผู้เขียนบทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความ (Double - blind
Peer Review)
2. สว่ นบทคัดย่อ (Abstract)
บทคดั ยอ่ ควรมคี วามยาวไมเ่ กิน 350 คำ� โดยแยกต่างหากจากเนอื้ เรื่อง บทความวิจัย/วชิ าการ
ต้องมีบทคัดย่อท้ังภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ซึ่งบทคัดย่อควรเขียนให้ได้ใจความท้ังหมดของเร่ือง
ไมต่ อ้ งอา้ งอิงเอกสาร รปู ภาพ หรอื ตาราง และให้มีเพยี ง 2 สว่ นเท่าน้ัน คอื
1) วตั ถปุ ระสงค์ ควรกล่าวถึงจดุ ม่งุ หมายของการศกึ ษา
2) ผลการวจิ ยั พบว่า ควรประกอบดว้ ย ผลทไ่ี ดร้ บั จากการค้นควา้ ศกึ ษา และผลของค่าสถิติ
(ในกรณมี ีการวิเคราะห)์
3) ค�ำส�ำคัญ ควรมีค�ำส�ำคัญไม่เกิน 3 ค�ำ ที่ครอบคลุมชื่อเรื่องที่ศึกษาและจะปรากฏอยู่ใน
สว่ นท้ายของบทคัดย่อท้ังภาษาไทยและภาษาอังกฤษ และคน่ั ดว้ ยเคร่อื งหมายอัฒภาค (Semicolon) (;)
350 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
3. สว่ นเนอื้ เรอ่ื ง ควรประกอบดว้ ย
3.1 การเตรียมต้นฉบบั สำ� หรบั การเขยี นบทความวิจยั ประกอบด้วย
3.1.1 บทน�ำ (Introduction) เป็นส่วนกล่าวน�ำโดยอาศัยการปริทรรศน์ (Review)
ข้อมูลจากรายงานวิจัย ความรู้ และหลักฐานต่างๆ จากหนังสือหรือวารสารท่ีเก่ียวข้องกับเรื่องท่ีศึกษา
และกลา่ วถงึ เหตุผลหรือความส�ำคัญของปญั หาในการศกึ ษาครงั้ นี้
3.1.2 วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั (Research Objectives) เปน็ การกำ� หนดวตั ถปุ ระสงค์
หรอื จดุ มงุ่ หมายของการวิจัย รวมถึงรวบรวมหลักการ วิธีการ โดยมรี ายละเอียดวา่ จะตอ้ งศกึ ษาอะไรบา้ ง
เพือ่ เป็นแนวทางในการวเิ คราะห์ข้อมูล และเสนอผลการวิจยั ไดอ้ ย่างชัดเจน
3.1.3 วธิ ดี ำ� เนนิ การวจิ ยั (Methods) เปน็ การกำ� หนด วธิ กี าร กจิ กรรม รายละเอยี ดของ
การวิจัย การศึกษาประชากร และกล่มุ ตวั อยา่ งในการศึกษา และวธิ ีการศกึ ษา เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจยั
รวมทัง้ สถิตทิ ่ีนำ� มาใชว้ เิ คราะหข์ อ้ มูล
3.1.4 สรุปผลการวิจัย (Results) เป็นการแสดงผลท่ีได้จากการศึกษาและวิเคราะห์
ในขอ้ 3.1.2 ควรจำ� แนกผลออกเปน็ หมวดหมแู่ ละสมั พนั ธก์ บั วตั ถปุ ระสงคข์ องการศกึ ษา โดยการบรรยาย
ในเนอื้ เรอื่ งและแสดงรายละเอยี ดเพม่ิ เตมิ ดว้ ยภาพประกอบ ตาราง กราฟ หรอื แผนภมู ิ ตามความเหมาะสม
3.1.5 อภิปรายผลการวิจัย (Discussion) เป็นการน�ำข้อมูลท่ีได้มาจากการวิเคราะห์
ของผนู้ พิ นธ์ นำ� มาเปรยี บเทยี บกบั ผลการวจิ ยั ของผอู้ นื่ เพอ่ื ใหม้ คี วามเขา้ ใจหรอื เกดิ ความรใู้ หมท่ เ่ี กยี่ วขอ้ ง
กับงานวิจัยนั้น รวมท้ังข้อดี ข้อเสียของวิธีการศึกษา เสนอแนะความคิดเห็นใหม่ๆ ปัญหาและอุปสรรค
ต่างๆ ทไี่ ดจ้ ากการศกึ ษาครง้ั นี้ เพือ่ เป็นแนวทางทจ่ี ะน�ำไปประยุกต์ใหเ้ กดิ ประโยชน์
3.1.6 ขอ้ เสนอแนะ (Suggestion) การแนะแนวการนำ� ผลการวจิ ยั ไปใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชนต์ อ่ ไป
3.1.7 กิตติกรรมประกาศ (ถ้ามี) (Acknowledgement) เป็นส่วนที่กล่าวขอบคุณ
ต่อองคก์ ร หนว่ ยงาน หรือบคุ คลที่ให้ความชว่ ยเหลือรว่ มมอื ในการวจิ ัย รวมทง้ั แหลง่ ทมี่ าของเงนิ ทุนวจิ ัย
และหมายเลขของทนุ วจิ ัย
3.1.8 เอกสารอา้ งองิ (References) ใชร้ ปู แบบการอา้ งองิ แบบแทรกในเนอื้ หาตามหลกั
เกณฑ์ APA (American Psychological Association) เป็นการอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อความไว้ใน
เคร่ืองหมายวงเล็บ ( ) แทรกในเน้ือหา ซ่ึงมีรูปแบบการเขียนอ้างอิงท่ีนิยมแพร่หลาย โดยมีกฎเกณฑ์
การอ้างอิงที่ออกแบบมา เพ่ือให้ผู้ใช้มีความชัดเจนในการลงรายการงานเขียนต่างๆ ที่ง่ายต่อการศึกษา
และการปฏบิ ัต ิ
ปีที่ 19 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 351
3.2 การเตรยี มต้นฉบบั สำ� หรบั การเขียนบทความวิชาการ ประกอบด้วย
3.2.1 บทน�ำ (Introduction) เป็นส่วนกล่าวน�ำโดยอาศัยการปริทรรศน์ (Review)
ข้อมูลจากรายงานวิจัย ความรู้ และหลักฐานต่างๆ จากหนังสือหรือวารสารท่ีเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ศึกษา
และกล่าวถงึ เหตผุ ลหรอื ความส�ำคัญของปัญหาในการศกึ ษาครั้ง
3.2.2 เน้ือหา (Content) เรื่องราวที่ผู้เขียนต้องการจะให้ผู้อ่านได้รับทราบ เนื้อหาท่ีดี
ตอ้ งมีรายละเอียดท่ีชดั เจนและน่าสนใจ ท้ังน้ขี ้ึนอยกู่ บั สมรรถภาพทางความคิดของผเู้ ขียนเป็นส�ำคญั
3.2.3 สรุป (Summarizing) เป็นวิธีการเขียนบทความท่ีผู้เขียนจะต้องเขียนให้เหลือ
เฉพาะสว่ นทม่ี คี วามสำ� คญั เปน็ การกลนั่ กรอง การรวบรวมหรอื การลดขอ้ ความใหเ้ หลอื สว่ นทสี่ ำ� คญั เทา่ นน้ั
3.2.4 เอกสารอา้ งองิ (References) ใชร้ ปู แบบการอา้ งองิ แบบแทรกในเนอื้ หาตามหลกั
เกณฑ์ APA (American Psychological Association) เป็นการอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อความไว้ใน
เครื่องหมายวงเล็บ ( ) แทรกในเน้ือหา ซ่ึงมีรูปแบบการเขียนอ้างอิงท่ีนิยมแพร่หลาย โดยมีกฎเกณฑ์
การอ้างอิงที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้มีความชัดเจนในการลงรายการงานเขียนต่างๆ ท่ีง่ายต่อการศึกษา
และการปฏิบัติ
3.3 การเตรยี มต้นฉบับส�ำหรบั การเขยี นบทวิจารณห์ นงั สือ ประกอบดว้ ย
3.3.1 ชอ่ื เร่ืองของหนงั สอื (Title) ใหร้ ะบุทงั้ ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
3.3.2 ช่อื ผ้เู ขียนหนงั สือ (Author) ให้ระบชุ ื่อเตม็ ทัง้ ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ พรอ้ ม
ระบสุ ถาบนั หรอื หนว่ ยงานทผ่ี เู้ ขียนสังกัด
3.3.3 ชอ่ื ผูว้ จิ ารณ์ (Name of Reviews) ให้ระบชุ ือ่ เตม็ ท้งั ภาษาไทยและภาษาองั กฤษ
พร้อมระบสุ ถาบนั หรือหนว่ ยงานของที่ผู้วิจารณส์ ังกดั
3.3.4 เน้ือหาการวิจารณ์ (Reviews Content) ในการเขียนเก่ียวกับหนังสือวิจารณ์
เน้ือเร่ืองจะเป็นส่วนแสดงความคิดเห็นและรายละเอียดในการวิจารณ์ โดยน�ำเสนอเรื่องราวจุดเด่น
จดุ บกพร่องของเรอื่ ง โดยทำ� การวจิ ารณ์หรอื วพิ ากษอ์ ย่างมหี ลกั เกณฑ์และเหตผุ ลตามหลกั วิชาการ
3.3.5 สรุป (Summarizing) เปน็ วธิ ีการเขียนสรุปความคดิ เหน็ ท้ังหมดทีว่ จิ ารณ์ รวมถงึ
ใหข้ ้อคิดหรอื ขอ้ สังเกตที่เปน็ ประโยชนส์ �ำหรบั ผูอ้ ่าน
3.3.6 เอกสารอา้ งองิ (References) ใชร้ ปู แบบการอา้ งองิ แบบแทรกในเนอื้ หาตามหลกั
เกณฑ์ APA (American Psychological Association) เป็นการอ้างอิงแหล่งท่ีมาของข้อความไว้ใน
เครื่องหมายวงเล็บ ( ) แทรกในเน้ือหา ซึ่งมีรูปแบบการเขียนอ้างอิงที่นิยมแพร่หลาย โดยมีกฎเกณฑ์
การอ้างอิงท่ีออกแบบมาเพ่ือให้ผู้ใช้มีความชัดเจนในการลงรายการงานเขียนต่างๆ ท่ีง่ายต่อการศึกษา
และการปฏบิ ัติ
352 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
การอา้ งองิ แบบแทรกในเนอื้ หาตามหลกั เกณฑ์ APA
1. หนังสอื
1.1 คัมภีรพ์ ระไตรปฎิ กหรอื หนังสอื สำ� คัญพิมพเ์ ปน็ ชดุ
ใหอางช่ือยอคัมภีร์ เลม/ขอ/หนา และค่ันด้วยเคร่ืองหมายจุลภาค (,) ตัวอย่างเช่น
(พระไตรปฎิ ก, 27/855/191)
1.2 หนังสือ
(ผ้แู ต่ง, ปที พ่ี มิ พ์ : เลขหน้าทอ่ี ้างองิ (ถ้ามี))
ผูแ้ ตง่ คนเดยี ว ใหร้ ะบเุ ฉพาะนามสกุล โดยไม่ตอ้ งมคี ำ� น�ำหน้านาม หากเปน็ พระภกิ ษุ
ท่วั ไป ใหใ้ สค่ ำ� วา่ พระ, พระมหา น�ำหน้าช่ือตามดว้ ยฉายา และพระภกิ ษุท่ีมสี มณศักดิ์ ให้ใสช่ อ่ื สมณศกั ดิ์
ตามดว้ ยชอ่ื ตวั ในเคร่อื งหมายวงเลบ็ ถ้าไม่ทราบชอื่ ตัวใหใ้ สเ่ ฉพาะช่อื สมณศกั ด์ิ
ตวั อยา่ งเชน่ (พระพรหมบณั ฑิต (ประยูร ธมมฺ จิตโฺ ต), 2557 : 15)
(Phraphrombandit (Prayūn Thammačhittō), 2014 : 15)
ผแู้ ตง่ 2 คน ให้ระบเุ ฉพาะนามสกลุ ของผู้แตง่ ทงั้ 2 คน โดยใชค้ ำ� วา่ “และ” ส�ำหรับ
ผแู้ ตง่ ชาวไทย หรือ “and” หรือ “&” สำ� หรับผแู้ ตง่ ชาวตา่ งประเทศ ระหวา่ งค�ำใหเ้ วน้ ระยะหา่ งดา้ นหนา้
และดา้ นหลัง 1 เคาะ
ตัวอย่างเช่น (ศโิ รตน์ ภาคสุวรรณ และศิรลิ กั ษณ์ ไชยรังส,ี 2524 : 145-146)
(Phaksuwan and Chairangsi, 1981 : 145-146)
ผู้แต่ง 3 คน ให้ระบุเฉพาะนามสกุลของผู้แต่งแต่ละคนให้ค่ันด้วยเคร่ืองหมาย “,”
หน้าผแู้ ตง่ คนสุดทา้ ยต้องคั่นดว้ ย “และ” สำ� หรบั ผแู้ ตง่ ชาวไทย หรอื “and” หรือ “&” ส�ำหรับผู้แต่งชาว
ตา่ งประเทศ ระหวา่ งคำ� ใหเ้ วน้ ระยะห่างดา้ นหนา้ และดา้ นหลัง 1 เคาะ
ตัวอยา่ งเช่น (ภาสกร ดอกจนั ทร,์ สุรพล พรมกุล และสุบนั โยทุม, 2552 : 80)
(Dokchan, Phromkun and Yothum, 2009 : 80)
ผู้แต่งมากกว่า 3 คนขึ้นไป ให้ระบุเฉพาะนามสกุลของผู้แต่งคนแรกให้ค่ันด้วย
เครื่องหมาย “,” ตามดว้ ย “และคณะ” หรอื คนอ่ืนๆ ส�ำหรับผู้แต่งชาวไทย หรือ “et al.” หรือ “and
others” ส�ำหรับผู้แต่งชาวตา่ งประเทศ ระหวา่ งคำ� ใหเ้ ว้นระยะห่างดา้ นหน้าและดา้ นหลงั 1 เคาะ
ตัวอย่างเชน่ (สชุ าติ ประสทิ ธิ์รฐั สนิ ธุ์ และคณะ, 2525 : 100)
(Ratsin, et al., 1982 : 100)
ปีที่ 19 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 353
1.3 วารสาร
(ผู้แต่ง, ปที ี่พมิ พ์ : เลขหนา้ ท่ีอา้ งองิ (ถ้ามี))
ผแู้ ตง่ คนเดียว ใหร้ ะบเุ ฉพาะนามสกลุ โดยไมต่ ้องมีคำ� นำ� หนา้ นาม หากเป็นพระภิกษุ
ทวั่ ไป ใหใ้ สค่ �ำว่าพระ, พระมหา นำ� หนา้ ชื่อตามดว้ ยฉายา และพระภกิ ษทุ ่ีมีสมณศักด์ิ ให้ใสช่ อ่ื สมณศักดิ์
ตามดว้ ยช่อื ตวั ในเคร่อื งหมายวงเล็บ ถ้าไม่ทราบชอื่ ตวั ใหใ้ สเ่ ฉพาะชอื่ สมณศกั ดิ์
ตัวอยา่ งเช่น (พระพรหมบณั ฑิต (ประยูร ธมฺมจติ ฺโต), 2557 : 15)
(Phra Phrombandit (Prayūn Thammačhittō), 2014 : 15)
ผแู้ ต่ง 2 คน ใหร้ ะบุเฉพาะนามสกุลของผแู้ ตง่ ท้ัง 2 คน โดยใช้ค�ำวา่ “และ” สำ� หรับผู้
แตง่ ชาวไทย หรือ “and” หรอื “&” สำ� หรบั ผู้แต่งชาวตา่ งประเทศ ระหว่างคำ� ใหเ้ ว้นระยะหา่ งดา้ นหน้า
และด้านหลัง 1 เคาะ
ตัวอยา่ งเชน่ (ศโิ รตน์ ภาคสุวรรณ และศริ ลิ กั ษณ์ ไชยรังสี, 2524 : 145-146)
(Phaksuwan and Chairangsi, 1981 : 145-146)
ผแู้ ตง่ 3 คน ใหร้ ะบเุ ฉพาะนามสกลุ ของผแู้ ตง่ แตล่ ะคนใหค้ นั่ ดว้ ยเครอื่ งหมาย “,” หนา้
ผ้แู ตง่ คนสุดทา้ ยต้องคน่ั ดว้ ย “และ” สำ� หรบั ผ้แู ต่งชาวไทย หรอื “and” หรอื “&” ส�ำหรับผแู้ ตง่ ชาวตา่ ง
ประเทศ ระหวา่ งค�ำให้เวน้ ระยะหา่ งดา้ นหน้าและดา้ นหลัง 1 เคาะ
ตวั อย่างเชน่ (ภาสกร ดอกจนั ทร์, สุรพล พรมกลุ และสบุ นั โยทมุ , 2552 : 80)
(Dokchan, Phromkun and Yothum, 2009 : 80)
ผู้แต่งมากกว่า 3 คนข้ึนไป ให้ระบุเฉพาะนามสกุลของผู้แต่งคนแรกให้คั่นด้วย
เครอื่ งหมาย “,” ตามดว้ ย “และคณะ” หรอื คนอ่ืนๆ ส�ำหรับผู้แตง่ ชาวไทย หรือ “et al.” หรือ “and
others” สำ� หรบั ผ้แู ตง่ ชาวตา่ งประเทศ ระหว่างค�ำให้เว้นระยะหา่ งด้านหน้าและดา้ นหลงั 1 เคาะ
ตัวอย่างเช่น (สชุ าติ ประสทิ ธริ์ ฐั สินธุ์ และคณะ, 2525 : 100)
(Ratsin, et al., 1982 : 100)
1.4 วิทยานิพนธ์/ดุษฎนี ิพนธ์/สารนพิ นธ์/รายงานการวจิ ยั
(ผู้แตง่ , ปีที่พมิ พ์ : เลขหนา้ ท่ีอ้างอิง (ถ้ามี))
ผ้แู ต่งคนเดียว ให้ระบุเฉพาะนามสกลุ โดยไม่ตอ้ งมคี ำ� น�ำหน้านาม หากเป็นพระภิกษุ
ทวั่ ไป ใหใ้ ส่คำ� ว่าพระ, พระมหา น�ำหน้าชื่อตามด้วยฉายา และพระภิกษทุ ่มี สี มณศักดิ์ ให้ใส่ชือ่ สมณศกั ดิ์
ตามดว้ ยชอ่ื ตวั ในเคร่ืองหมายวงเล็บ ถา้ ไมท่ ราบชอ่ื ตวั ให้ใสเ่ ฉพาะชือ่ สมณศักดิ์
ตวั อยา่ งเช่น (พระพรหมบณั ฑติ (ประยูร ธมมฺ จติ ฺโต), 2557 : 15)
(Phra Phrombandit (Prayūn Thammačhittō), 2014 : 15)
354 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
ผูแ้ ต่ง 2 คน ใหร้ ะบุเฉพาะนามสกลุ ของผู้แตง่ ท้ัง 2 คน โดยใชค้ �ำว่า “และ” สำ� หรบั ผู้
แตง่ ชาวไทย หรือ “and” หรือ “&” ส�ำหรบั ผู้แต่งชาวต่างประเทศ ระหวา่ งคำ� ให้เวน้ ระยะหา่ งดา้ นหนา้
และด้านหลงั 1 เคาะ
ตัวอยา่ งเช่น (ศโิ รตน์ ภาคสวุ รรณ และศิริลกั ษณ์ ไชยรงั สี, 2524 : 145-146)
(Phaksuwan and Chairangsi, 1981 : 145-146)
ผแู้ ตง่ 3 คน ใหร้ ะบเุ ฉพาะนามสกลุ ของผแู้ ตง่ แตล่ ะคนใหค้ นั่ ดว้ ยเครอื่ งหมาย “,” หนา้
ผแู้ ตง่ คนสดุ ทา้ ยต้องคั่นดว้ ย “และ” ส�ำหรบั ผ้แู ตง่ ชาวไทย หรอื “and” หรอื “&” สำ� หรบั ผ้แู ตง่ ชาวต่าง
ประเทศ ระหวา่ งคำ� ให้เว้นระยะหา่ งด้านหนา้ และด้านหลัง 1 เคาะ
ตัวอย่างเช่น (ภาสกร ดอกจนั ทร์, สรุ พล พรมกุล และสบุ นั โยทุม, 2552 : 80)
(Dokchan, Phromkun and Yothum, 2009 : 80)
ผู้แต่งมากกว่า 3 คนขึ้นไป ให้ระบุเฉพาะนามสกุลของผู้แต่งคนแรกให้คั่นด้วย
เครอ่ื งหมาย “,” ตามดว้ ย “และคณะ” หรือคนอนื่ ๆ สำ� หรับผแู้ ต่งชาวไทย หรอื “et al.” หรอื “and
others” ส�ำหรับผู้แตง่ ชาวตา่ งประเทศ ระหว่างค�ำให้เวน้ ระยะหา่ งดา้ นหน้าและดา้ นหลัง 1 เคาะ
ตวั อยา่ งเช่น (สชุ าติ ประสิทธิร์ ัฐสินธ์ุ และคณะ, 2525 : 100)
(Ratsin, et al., 1982 : 100)
1.5 สมั ภาษณ์
(ช่ือผู้ใหส้ ัมภาษณ,์ วัน เดือน ปที ่สี มั ภาษณ์)
ผูใ้ ห้สมั ภาษณ์ ใหร้ ะบเุ ฉพาะนามสกลุ โดยไม่ต้องมคี ำ� น�ำหน้านาม หากเป็นพระภิกษุ
ท่ัวไป ใหใ้ ส่ค�ำว่าพระ, พระมหา น�ำหน้าชื่อตามดว้ ยฉายา และพระภกิ ษทุ ีม่ สี มณศักดิ์ ให้ใส่ชื่อสมณศกั ดิ์
ตามด้วยชื่อตัวในเครอ่ื งหมายวงเลบ็ ถา้ ไม่ทราบช่อื ตัวใหใ้ ส่เฉพาะชอื่ สมณศกั ดิ์
ตวั อยา่ งเช่น (พระครสู ุวธิ านพฒั นบัณฑิต), 15 สงิ หาคม 2557)
(Phrakru Suvithanphatthanabandhit, Interview, August 15
2014)
ปีท่ี 19 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 355
1.6 สื่ออิเล็กทรอนิกส์
(ผ้แู ตง่ , ปที ีพ่ ิมพ์ : เลขหน้าทอ่ี า้ งองิ (ถา้ มี))
ผแู้ ตง่ คนเดียว ใหร้ ะบเุ ฉพาะนามสกุล โดยไม่ต้องมีคำ� นำ� หน้านาม หากเป็นพระภิกษุ
ทวั่ ไป ใหใ้ สค่ ำ� ว่าพระ, พระมหา นำ� หน้าช่ือตามดว้ ยฉายา และพระภกิ ษทุ มี่ สี มณศักด์ิ ใหใ้ สช่ ่อื สมณศักดิ์
ตามดว้ ยชือ่ ตวั ในเครื่องหมายวงเลบ็ ถ้าไมท่ ราบชอื่ ตวั ให้ใสเ่ ฉพาะชอ่ื สมณศกั ด์ิ
ตวั อยา่ งเชน่ (พระพรหมบณั ฑติ (ประยูร ธมฺมจติ โฺ ต), 2557 : 15)
(Phra Phrombandit (Prayūn Thammačhittō), 2014 : 15)
ผูแ้ ตง่ 2 คน ให้ระบุเฉพาะนามสกลุ ของผ้แู ต่งทัง้ 2 คน โดยใช้ค�ำว่า “และ” ส�ำหรบั ผู้
แตง่ ชาวไทย หรอื “and” หรือ “&” ส�ำหรบั ผแู้ ตง่ ชาวต่างประเทศ ระหวา่ งคำ� ใหเ้ วน้ ระยะหา่ งดา้ นหนา้
และดา้ นหลงั 1 เคาะ
ตัวอย่างเชน่ (ศิโรตน์ ภาคสวุ รรณ และศิรลิ กั ษณ์ ไชยรงั สี, 2524 : 145-146)
(Phaksuwan and Chairangsi, 1981 : 145-146)
ผแู้ ตง่ 3 คน ใหร้ ะบเุ ฉพาะนามสกลุ ของผแู้ ตง่ แตล่ ะคนใหค้ นั่ ดว้ ยเครอ่ื งหมาย “,” หนา้
ผ้แู ต่งคนสุดทา้ ยตอ้ งคั่นด้วย “และ” สำ� หรับผู้แต่งชาวไทย หรอื “and” หรอื “&” สำ� หรบั ผูแ้ ต่งชาวต่าง
ประเทศ ระหวา่ งค�ำให้เวน้ ระยะห่างดา้ นหนา้ และดา้ นหลัง 1 เคาะ
ตวั อย่างเช่น (ภาสกร ดอกจันทร,์ สุรพล พรมกุล และสุบนั โยทุม, 2552 : 80)
(Dokchan, Phromkun and Yothum, 2009 : 80)
ผู้แต่งมากกว่า 3 คนขึ้นไป ให้ระบุเฉพาะนามสกุลของผู้แต่งคนแรกให้คั่นด้วย
เครื่องหมาย “,” ตามด้วย “และคณะ” หรือคนอนื่ ๆ สำ� หรบั ผ้แู ต่งชาวไทย หรอื “et al.” หรือ “and
others” ส�ำหรบั ผู้แตง่ ชาวตา่ งประเทศ ระหว่างคำ� ใหเ้ ว้นระยะหา่ งด้านหนา้ และดา้ นหลัง 1 เคาะ
ตัวอยา่ งเชน่ (สชุ าติ ประสทิ ธิร์ ัฐสินธุ์ และคณะ, 2525 : 100)
(Ratsin, et al., 1982 : 100)
356 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
การเขียนบรรณานุกรม
1. คัมภีรพ์ ระไตรปิฎกหรือหนงั สือสำ� คัญพิมพ์เป็นชุด :
ชื่อมหาวิทยาลยั ./(ปีทพ่ี ิมพ)์ ./ชอ่ื หนงั สอื /(ครงั้ ทพี่ มิ พ(์ ถ้าม)ี )./เมืองทพี่ ิมพ์/:/ส�ำนักพมิ พ.์
Mahachulalongkornrajavidyalaya University. (1996). Thai Tripitaka : Thai Version. Bangkok
: Mahachulalongkornrajavidyalaya Press.
2. หนังสือ :
นามสกลุ , อกั ษรยอ่ ชอื่ ./(ปที พี่ มิ พ)์ ./ชอื่ หนงั สอื /(ครง้ั ทพ่ี มิ พ(์ ถา้ ม)ี )./เมอื งทพี่ มิ พ/์ :/สำ� นกั พมิ พ.์
Maslow, A. (1970). Motivation and Personality. New York : Harper and Row Publishers.
3. วารสาร :
นามสกุล,/อกั ษรยอ่ ช่ือ./(ปที ี่พมิ พ์)./ช่ือเรอ่ื ง./ชอื่ วารสาร,/ปที (่ี ฉบบั ท)่ี ,/เลขหน้า.
Prescott, S.G. (2015). Will Instructors Save Time Using a Specifications Grading System?.
Journal of Microbiology & Biology Education, 16(2), 298.
4. วทิ ยานิพนธ์/ดษุ ฎนี พิ นธ/์ สารนพิ นธ์/รายงานการวิจยั :
นามสกลุ ,/อกั ษรยอ่ ชอ่ื ./(ปที พี่ มิ พ)์ ./ชอื่ เรอ่ื ง./ระดบั วทิ ยานพิ นธ.์ /ชอ่ื คณะ/:/ชอ่ื มหาวทิ ยาลยั .
Phrachanna Bhaddharakhito. (2015). An Analytical Study of Morality in Cambodian
Traditional Wedding at Chamnomkuet Village, Chamnom Sub-district, Mongkolborei
District, Banteay Meanchey Province Based on Buddhist Principle. Master of arts.
Graduate School : Mahachulalongkornrajavidyalaya University.
5. สัมภาษณ์ :
นามสกุล,/อกั ษรย่อชื่อ./(วัน เดือน ปี ทส่ี มั ภาษณ์)./ตำ� แหนง่ (ถ้าม)ี ./สัมภาษณ.์
Phrakru Suvithanphatthanabandhit. (10 May 2013). Voice-Rector. Interview.
6. สือ่ อิเลก็ ทรอนิกส์ :
นามสกุล,/อกั ษรยอ่ ชอื่ ./(ปีท่ีพมิ พ์)./ชือ่ เรอื่ ง./ชือ่ เวบ็ ไซต์./(วนั เดือน ปี ทส่ี ืบคน้ ).
Bhandari, P., Rishi, P. and Prabha, V. (2014). Positive Effect of Probiotic Lactobacillus
Plantarum in Reversing the LPS Induced Infertility in Mouse Model. http://www.
jmm.microbiologyresearch.org/content/journal/j mm/10.1099/jmm.0.000230;jses
sionid=1me6a81o04g7o.x-sgm-live-03. (Accessed 12 February 2014).
ปที ี่ 19 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 357
ส่วนภาพประกอบ (Figure) และส่วนตาราง (Table)
ภาพประกอบและตารางควรมีเท่าที่จ�ำเป็น โดยพิมพ์หน้าละ 1 ภาพ หรือ 1 ตาราง ส�ำหรับ
ค�ำบรรยายภาพและตารางใหพ้ มิ พเ์ หนือภาพหรอื ตาราง ส่วนคำ� อธิบายเพิ่มเตมิ ใหใ้ สใ่ ต้ภาพหรือตาราง
การตดิ ต่อโฆษณาและการสมัครสมาชกิ
การตดิ ตอ่ โฆษณา การสงั่ ซอ้ื และการสมคั รเปน็ สมาชกิ วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ กรณุ าตดิ ตอ่
“บรรณาธิการวารสารวิชาการธรรมทรรศน์” ส�ำนักวิชาการมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วิทยาเขตขอนแกน่ อาคาร 100 ปี สมเดจ็ พระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร) เลขที่ 30 หมู่ 1 บ้านโคกสี
ต�ำบลโคกสี อ�ำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น 40000 โทรศัพท์ 0-4328-3546-7 (ต่อ 114)
โทรสาร 0-4328-3399 http://www.tci-thaijo.org/index.php/dhammathas
E-mail: [email protected]
1) ผศ.ดร.สรุ พล พรมกุล 088-578-1671
2) นางสาวสารกิ า ไสวงาม 085-752-1693
ก�ำหนดการออกวารสาร
ฉบับท่ี 1 มกราคม-มีนาคม
ฉบับท่ี 2 เมษายน-มิถุนายน
ฉบับที่ 3 กรกฎาคม-กนั ยายน
ฉบับท่ี 4 ตลุ าคม-ธนั วาคม
อัตราค่าวารสาร
กำ� หนดออกวารสารปีละ 4 ฉบบั จำ� หนา่ ยราคาฉบบั ละ 150 บาท ไม่รวมค่าสง่
อตั ราคา่ สมาชกิ
ปีละ 500 บาท
เพอื่ ใหเ้ ปน็ ไปตามกฎหมายลขิ สทิ ธิ์ ผนู้ พิ นธต์ อ้ งลงลายมอื ชอื่ ในแบบฟอรม์ ใบมอบลขิ สทิ ธบ์ิ ทความ
ใหแ้ กว่ ารสารฯ พรอ้ มกบั บทความตน้ ฉบบั ทไี่ ดแ้ กไ้ ขครง้ั สดุ ทา้ ย นอกจากน้ี ผนู้ พิ นธต์ อ้ งยนื ยนั วา่ บทความ
ต้นฉบับที่ส่งมาตีพิมพ์นั้น ได้ส่งมาตีพิมพ์เฉพาะในวารสารวิชาการธรรมทรรศน์เพียงแห่งเดียวเท่านั้น
หากมกี ารใชภ้ าพหรอื ตารางของผนู้ พิ นธอ์ นื่ ทป่ี รากฏในสงิ่ ตพี มิ พอ์ นื่ มาแลว้ ผนู้ พิ นธต์ อ้ งขออนญุ าตเจา้ ของ
ลขิ สทิ ธกิ์ อ่ นพรอ้ มทงั้ แสดงหนงั สอื ทไ่ี ดร้ บั การยนิ ยอมตอ่ บรรณาธกิ าร กอ่ นทบี่ ทความจะไดร้ บั การตพี มิ พ์
พมิ พ์ท่ี : ห้างห้นุ สว่ นจำ� กดั ขอนแก่นการพมิ พ์ 64-66 ถ.ร่นื รมย์ ต.ในเมือง อ.เมอื ง จ.ขอนแก่น 40000
Tel. 043-221938 E-mail : [email protected]
ปที ่ี 19 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 359
หนังสือขอเสนอบทความเพือ่ ลงตพี มิ พใ์ นวารสารวิชาการธรรมทรรศน์
เขียนที่....................................
.
………………...............................................
.................................................................
วนั ที่............. เดือน.................................. พ.ศ. .............
ขา้ พเจา้ ชือ่ ................................................. ฉายา..................................... นามสกุล........................................................
ทีอ่ ยู่ ................................................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................................................
โทรศัพท์ ......................................................................... E-mail: …….……………………………………………..............………...……………
มคี วามประสงค์ขอตพี ิมพบ์ ทความ ( ) บทความวจิ ยั ( ) บทความวิชาการ เรือ่ ง:
(ภาษาไทย)......................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................................................
(ภาษาอังกฤษ).................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................................................
ในวารสารวิชาการธรรมทรรศน์ ซึง่ ด�ำเนนิ การโดยส�ำนักวิชาการ มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย วิทยาเขต
ขอนแก่น โดยบทความฉบับนข้ี ้าพเจา้ ได้นิพนธข์ น้ึ เพือ่ .................................. จาก (ช่อื สถาบนั ).....................................................
ปกี ารศกึ ษา........................ หรอื ได้รับการสนับสนุนทนุ วจิ ยั จาก ....................................................................................................
เมอ่ื คณะบรรณาธกิ ารของวารสารพิจารณาแลว้ มมี ตใิ หแ้ กไ้ ขปรับปรงุ บทความ ขา้ พเจา้ มีความยินดีรบั ไปแก้ไขตามมติ
ดังกลา่ วนั้นและและข้าพเจา้ ขอรบั รองวา่ (ขดี เครอื่ งหมาย √ )
( ) เปน็ ผลงานทางวิชาการของขา้ พเจ้าแต่เพียงผ้เู ดียว
( ) เปน ผลงานของขาพเจาและผรู วมนิพนธ์ตามช่ือทร่ี ะบใุ นบทความจรงิ
( ) บทความนไ้ี มเ คยลงตพี มิ พใ นวารสารใดมากอน
( ) บทความน้ไี มไ่ ดค้ ดั ลอกหรอื ดดั แปลงมาจากของผ้ใู ดท้งั สิ้น
ทงั้ น ี้ ขา้ พเจา้ ไดช้ ำ� ระคา่ ธรรมเนยี มขอตพี มิ พบ์ ทความลงในวารสารวชิ าการธรรมทรรศน ์ ตามอตั ราทไี่ ดก้ ำ� หนดไว้ คอื
( ) บทความวิชาการ/บทความวิจัย 5,000 บาท
( ) บทความวิจยั ท่ีไดร้ บั การสนบั สนนุ ทุนวจิ ัย 5,000 บาท เป็นทเ่ี รยี บร้อยแล้ว
อน่ึง แม้เมื่อข้าพเจ้าปรับแก้ไขแล้ว แต่งานยังไม่เรียบร้อยและไม่ได้รับการให้การลงตีพิมพ์ ข้าพเจ้าไม่ติดใจเอาความ
ใดๆ ทงั้ สน้ิ จะยอมรบั การพจิ ารณาของคณะกองบรรณาธกิ ารถือวา่ เปน็ ท่ีสดุ
ลงชอ่ื ...............................................................
(..............................................................)
ผู้นพิ นธบ์ ทความ
360 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)
ใบสมัครเปน็ สมาชิกวารสารวิชาการธรรมทรรศน์
ที.่ ...........................................................................
วันที่........... เดือน ............................. พ.ศ............
เรียน บรรณาธิการวารสารวิชาการธรรมทรรศน์
ขา้ พเจา้ (ชอ่ื ภาษาไทย)..........................................................................................................................................................................
(ชอ่ื ภาษาอังกฤษ).............................................................................................................................................................................
ท่อี ยู่ (ทีส่ ามารถติดต่อได)้ .................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................................................
E - Mail............................................................................................... เบอรโ์ ทรศพั ท.์ .........................................................................
โทรสาร............................................................... มีความประสงคจ์ ะขอรบั สมัครเปน็ สมาชิกวารสารวิชาการธรรมทรรศน์
( ) สมาชิกประเภทรายปี 500 บาท (จำ� นวน 4 เลม่ )
( ) เลม่ ละ 150 บาท
พร้อมน้ี ข้าพเจ้าได้สง่
( ) เงินสด
( ) ธนาณตั ิ (สงั่ จ่าย.....................................................)
( ) ตั๋วแลกเงนิ ไปรษณยี ์
( ) แคชเชยี รเ์ ช็ค ในนาม..............................................................................
โปรดนำ� ส่งวารสารธรรมทรรศน์
สถานทตี่ ดิ ตอ่ ߛ ทบี่ ้าน ߛ ทที่ ำ� งาน
เลขท่.ี ..................... ถนน...................................... หม่ทู .่ี ................... ต�ำบล/แขวง......................................
อำ� เภอ/เขต...................................... จังหวัด...................................... รหสั ไปรษณยี .์ ..................................
โทรศัพท์........................................... โทรศพั ทเ์ คลอื่ นท.่ี ..............................................................................
โทรสาร....................................... E-Mail.....................................................................................................
(สำ� หรับเจา้ หน้าท่ี) ลงชอ่ื ................................................................
คา่ บ�ำรงุ ปี พ.ศ.................................................. (..............................................................)
เลขท่ใี บเสรจ็ ....................................................
ลงวันท.่ี ...........เดอื น......................พ.ศ............
ลงบัญชีแลว้ ......................................................