The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ปีที่ 19 ฉบับที่ 1 มกราคม - มีนาคม 2562

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

วารสารธรรมทรรศน์

ปีที่ 19 ฉบับที่ 1 มกราคม - มีนาคม 2562

238 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

Supreeyaporn, C. & Kulachan, T. (2015). Developing of E-Journal Features for Open Journal
Systems. Thai Library Association Research Journal, 8(1), 101-114.

Thai-Journal Citation Index Centre: TCI. (2018). List of Thai Journals. http://www.kmutt.
ac.th/jif/public_html/index.html (Accessed 20 May 2018).

Thailand Research Fund. (2017). Project Assessment of Science and Technology Academic
Research Evaluation for Higher Education Institutes 2017. http://evaluation.trf.
or.th/keydefault.aspx (Accessed 17 August 2017).

Thamkaew, J. & Promchun, S. (2016). The Development of a Model of Academic Journal
Preparation for Research Article Publication. Journal of Education, Faculty of
Education, Srinakharinwirot University, 17(2), 54-69.

Uiphanit, T., Janpla, S. & Keawmanee, N. (2010). The Development of Electronic Journal
Online Management System: A case study of journal of Suan Sunandha Rajabhat
University Research. Research Report. Faculty of Humanities and Social Sciences.
Bangkok : Suan Sunandha Rajabhat University.

Wikipedia. (2017). Academic Journal. https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8
%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%
B4%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3 (Accessed 17
August 2017).

ความคดิ เหน็ ของนกั เรยี นต่อสภาพแวดล้อมทางการศกึ ษา:
กรณีศึกษาโรงเรียนวดั ศรจี นั ทรต์ ำ� บลในเมือง
อำ� เภอเมอื ง จังหวัดขอนแกน่ *

The Opinion of the Students to Educational Environment:
A Case Study of Wat Srijan School, Nai-muang Sub-district,

Muang District, KhonKaen Province

พระวรชดั ทะสา, พระมหาสัจจารกั ษ์ ไรส่ งวน และสิทธิพร เกษจอ้ ย
Phra Worachat Thasa, Phramaha Saccarak Raisa-nguan and Sitthiporn Khetjoi

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตอสี าน
Mahamakut Buddhist University, Isan Campus, Thailand
Corresponding Author, E-mail: [email protected]

บทคัดยอ่

การวิจัยเร่ืองนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลของนักเรียนโรงเรียนวัดศรีจันทร์
2) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนต่อสภาพแวดล้อมทางการศึกษาของโรงเรียนวัดศรีจันทร์
และ 3) เพ่ือศึกษาข้อเสนอแนะของนักเรียนโรงเรียนวัดศรีจันทร์ คณะผู้วิจัยใช้แบบสอบถามเก็บข้อมูล
จากนักเรียนโรงเรียนวัดศรีจันทร์ จ�ำนวน 135 รูป/คน และน�ำมาวิเคราะห์ประมวลผลโดยสถิติท่ีใช้
ไดแ้ ก่ คา่ รอ้ ยละ (Percentage) คา่ เฉลย่ี (Mean) และคา่ สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)
ผลการวจิ ยั พบว่า
1. นักเรียนโรงเรียนวัดศรีจันทร์ทั้งหมด จ�ำนวน 135 รูป/คน เป็นเพศชาย ร้อยละ 71.85
เปน็ เพศหญงิ ร้อยละ 28.15 ส่วนมากมีอายุ 14 ปี ซ่ึงศึกษาอยใู่ นชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 2 รอ้ ยละ 33.33
นักเรียนท่ีมีสถานภาพเปน็ คฤหัสถ์ ร้อยละ 65.19 และนักเรียนท่มี สี ถานภาพเป็นบรรพชติ ร้อยละ 34.81
2. ความคดิ เหน็ ของนกั เรยี นตอ่ สภาพแวดลอ้ มทางการศกึ ษาโรงเรยี นวดั ศรจี นั ทร์ โดยภาพรวม
อยู่ในระดับมาก ( = 3.87) เม่ือพิจารณาแต่ละด้าน พบว่า ด้านการเรียนการสอนอยู่ในระดับมาก
( = 4.06) ด้านสงั คมกลุ่มเพอ่ื นอย่ใู นระดบั มาก ( = 3.87) กจิ กรรมนกั เรยี นอยูใ่ นระดบั มาก ( = 3.89)

* ได้รับบทความ: 5 กนั ยายน 2561; แกไ้ ขบทความ: 11 กุมภาพันธ์ 2562; ตอบรบั ตพี มิ พ:์ 14 กุมภาพนั ธ์ 2562
Received: September 5, 2018; Revised: February 11, 2019; Accepted: February 14, 2019

240 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

และอาคารสถานที่อยูใ่ นระดับมาก ( = 3.66)
คำ� ส�ำคัญ: ความคิดเห็น; สภาพแวดล้อมทางการศกึ ษา; นกั เรยี น

Abstract

This research aimed: 1) to study the personal factors of the students of Wat Srijan
School, Nai-muang sub-district, Muang district, KhonKaen province, 2) to study the
opinion of the students towards educational environment, and 3) to study suggestions
to develop the educational environment of Wat Srijan School. The researcher collected
the data from 135 respondents by using questionnaires, and statistics use included
percentage, arithmetic mean, and standard deviation.
The findings were as follows:
1. Most of the respondents, 71.80 percent, were male, and 28.15 percent were
female. Most of the students, 33.33 percent, were 14 years old, and they were studying
in grade 8th. Majority percent, 65.19, were layman students, and 34.81 percent of the
students were Buddhist monks and novices.
2. The overall opinion of the students towards educational environment of Wat
Srijan School was at high mean level ( = 3.87). While considering in each aspect, it was
found that the aspect of learning and teaching was at high mean level ( = 4.06), aspect
of social group was at high mean level ( = 3.87), aspect of learning activities was at high
mean level ( = 3.89), and the aspect of buildings was at high mean level ( = 3.66).
Keywords: Opinion; Educational Environment; Students

1. บทน�ำ ขยัน ประหยัด ซ่ือสัตย์ มีวินัยสุภาพ สะอาด
สามคั คี และมีน�ำ้ ใจ (Phraathikan Boonchuay
กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นหน่วยงาน Chotivungso, et al., 2018 : 99-110) ประเทศไทย
หลกั ทรี่ บั ผดิ ชอบการจดั การศกึ ษาของชาตแิ ละวาง ได้มีการวางแผนและการก�ำหนดนโยบายทางการ
กรอบนโยบายหลกั เก่ยี วกบั การศึกษา ได้ประกาศ ศึกษา จำ� เป็นตอ้ งมีขอ้ มลู ทคี่ รบถว้ น ถูกต้อง และ
นโยบาย และทิศทางหลักร่วมกับส�ำนักงานคณะ ทันสมัย เพื่อให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างมี
กรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ก�ำหนดคุณธรรม ประสิทธิภาพ และพัฒนาการศึกษาได้สอดคล้อง
พนื้ ฐาน เพอ่ื ปลกู ฝงั ใหเ้ กดิ คณุ ลกั ษณะทพ่ี งึ ประสงค์ กบั ทศิ ทางการพฒั นาประเทศ สำ� นกั งานเลขาธกิ าร
แกน่ กั เรยี นและเยาวชนของชาติ 8 ประการ ไดแ้ ก่

ปีท่ี 19 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 241

สภาการศึกษา จึงได้จัดท�ำสถิติการศึกษาของ ปญั หาตา่ งๆ เหลา่ นี้ อาจสง่ ผลใหร้ ะบบการจดั การ
ประเทศไทย ปกี ารศึกษา 2556-2557 ขนึ้ โดยมี ศึกษาของแต่ละโรงเรียนมีขีดความสามารถลดลง
ขอ้ มลู และสารสนเทศทางการศกึ ษาเกย่ี วกบั สภาพ (The Office of Primary Education Area 4,
และแนวโน้มการจัดการศึกษาในภาพรวม ปีการ 2015) วดั ศรจี นั ทร์ (พระอารามหลวง) ไดเ้ ลง็ เห็น
ศึกษา 2553-2557 มีดังนี้ จ�ำนวนนักเรียนของ ถึงผลประโยชน์และความส�ำคัญของการศึกษาว่า
ปีการศึกษา 2557 นักเรยี น นักศกึ ษาอายุ 3-21 ปี มีประโยชน์ต่อการด�ำรงชีวิตอย่างไร และรู้ว่าการ
มจี ำ� นวน 12.8 ลา้ นคน (ไมร่ วมศนู ยพ์ ฒั นาเดก็ เลก็ ) ศึกษาน้ันจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น
ลดลงจากปีการศึกษา 2553 ร้อยละ 3 หรือ อย่างไร ทางวัดจึงได้ท�ำการก่อตั้งสถานศึกษาข้ึน
ประมาณ 0.4 ล้านคน ในระดับการศึกษาภาค คือ โรงเรียนวัดศรีจันทร์เป็นโรงเรียนการกุศล
บังคับ 9 ปี (อายุ 6-14 ปี) มีจ�ำนวนนักเรียน โดยทางวัดได้เปิดโอกาสให้เด็กที่ขาดแคลนและ
นกั ศกึ ษา 7.2 ลา้ นคน ลดลงจาก ปกี ารศกึ ษา 2553 ด้อยโอกาสทางการศึกษา ได้ศึกษาตามความ
รอ้ ยละ 7.6 หรือประมาณ 0.6 ล้านคน ในระดับ เหมาะสม นอกจากนั้นทางวัดยังได้เล็งเห็นว่าเด็ก
การศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน 12 ปี (อายุ 6-17 ป)ี มจี ำ� นวน ท่ีเข้ามาศึกษาในโรงเรียนวัดศรีจันทร์แห่งนี้ จะได้
นักเรียน นักศึกษา 9.3 ล้านคน ลดลงจากปีการ รบั การอบรมดา้ นคณุ ธรรมจรยิ ธรรม และฝกึ ปฏบิ ตั ิ
ศกึ ษา 2553 รอ้ ยละ 6 หรอื ประมาณ 0.57 ลา้ นคน ตามหลักไตรสิกขา ท้ังในสถานศึกษาและชีวิต
และการศึกษาระดับอุดมศึกษา (อายุ 18-21 ปี) ประจ�ำวันควบคู่กันไป และประชาชนมีความ
มจี ำ� นวนนกั เรยี น นักศึกษา 1.8 ลา้ นคน เพมิ่ ข้นึ ต้องการท่ีจะให้วัดศรีจันทร์เป็นศูนย์กลางในการ
จากปีการศึกษา 2553 ร้อยละ 18 หรอื ประมาณ พฒั นาคณุ ภาพดา้ นการศึกษาใหด้ ยี ง่ิ ขนึ้
0.28 ลา้ นคน (Lohitasthien, 2012) จากทก่ี ลา่ วมาขา้ งตน้ โรงเรยี นวดั ศรจี นั ทร์
จากสถิติดังกล่าว จะเห็นได้ว่าจ�ำนวน ได้มีการบริหารการศึกษาอยู่ภายใต้กระทรวง
นักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ศึกษาธิการ ในการจัดการศึกษาและยังมีปัญหา
ถงึ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6 มจี ำ� นวนลดลง จากขอ้ มลู การ ในเร่ืองของสภาพแวดล้อมทางการศึกษา เช่น
จัดการศึกษาของส�ำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ปญั หาในเรอ่ื งของการเรยี นการสอน ปญั หาการจดั
ประถมศึกษาขอนแก่น พบว่า การบริหารจัดการ กิจกรรม ปัญหาการบริการนักเรียน เป็นต้น
ศึกษามีแนวโน้มในการพัฒนาการศึกษาลดลง ทั้งน้ีอาจเป็นเพราะว่าทางโรงเรียนวัดศรีจันทร์
เพราะว่าการบริหารการศึกษา อาจมีงบประมาณ ยังขาดแคลนในเร่ืองของบุคลากรท่ีมีความรู้
ไม่เพียงพอ ครูขาดนวัตกรรมการเรียนการสอน เฉพาะด้าน ขาดแคลนทรัพยากรทางการศึกษา
ที่เหมาะสมกับโรงเรียน ขาดบุคลากรท่ีมีความรู้ ยังขาดแคลนงบประมาณ และยังขาดแคลนวัสดุ
ความสามารถเฉพาะด้าน และอีกท้ัง ยังขาดแคลน อุปกรณ์ในการจัดการเรียนการสอน (Srichan
วัสดุอุปกรณ์ในการจัดการเรียนการสอน เป็นต้น School, 2017) และจากการศกึ ษางานวจิ ยั วจิ ติ รา

242 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

สิงขรวฒั น์ (Singkornwatana, 2008) เร่ืองความ อาคารสถานที่ ซ่ึงเป็นการวิจยั เชิงสำ� รวจ (Survey
คิดเห็นของนักศึกษาต่อสภาพแวดล้อมทางการ Research) ประชากรทีท่ ำ� การศึกษาในครั้งนี้ คอื
ศึ ก ษ า ข อ ง วิ ท ย า ลั ย อ า ชี ว ศึ ก ษ า ฉ ะ เ ชิ ง เ ท ร า นกั เรยี นโรงเรยี นวดั ศรจี นั ทร์ ระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษา
จักรกฤษณ์ ประกอบผล (Prakobphol, 2006) ปที ่ี 1 ถงึ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6 ปพี ทุ ธศกั ราช 2559
เรื่องความคิดเห็นของนักศึกษาเกี่ยวกับสภาพ มีท้ังบรรพชิตและคฤหัสถ์ จ�ำนวน 135 รูป/คน
แวดลอ้ มทางการศกึ ษาในวทิ ยาลยั พณชิ ยการธนบรุ ี (Srichan School, 2017) เครอ่ื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการเกบ็
สุวิจักขณ์ หันชัยเนาว์ (Hanchainao, 2015) รวบรวมขอ้ มูลในการวิจัยครั้งนี้ เป็นแบบสอบถาม
เรอ่ื งการศกึ ษาสภาพแวดลอ้ มโรงเรยี นของโรงเรยี น ที่คณะผู้วิจัยสร้างขึ้นลักษณะแบบสอบถามเป็น
กลุ่มบางละมุง 3 สังกัดส�ำนักงานเขตพ้ืนท่ีการ แบบผสมผสานระหว่างแบบตรวจสอบรายการ
ศึกษาประถมศกึ ษาชลบรุ ี เขต 3 ได้ก�ำหนดกรอบ (Check List) กับแบบมาตราส่วนประมาณค่า
แนวคิดในการศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนต่อ (Rating Scale) แบบสอบถาม ประกอบด้วย
สภาพแวดล้อมทางการศึกษาโรงเรียนวัดศรีจันทร์ 3 ตอน คือ ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบ
ทค่ี วรศกึ ษาประกอบดว้ ย การเรยี นการสอน สงั คม แบบสอบถาม ตอนท่ี 2 แบบสอบถามมาตราส่วน
กลุ่มเพื่อน กิจกรรมนักเรียน และอาคารสถานท่ี ประมาณค่าความคิดเห็นของนักเรียนต่อสภาพ
เพอ่ื ปรบั ปรงุ สภาพแวดลอ้ มทางการศกึ ษาโรงเรยี น แวดล้อมทางการศึกษาโรงเรียนวัดศรีจันทร์
วดั ศรีจันทรใ์ หด้ ีและมปี ระสทิ ธภิ าพย่งิ ขึ้นไป ดังน้ี 1) การเรียนการสอน 2) สังคมกลุ่มเพื่อน
3) กิจกรรมนักเรียน และ 4) อาคารสถานที่และ
2. วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั ตอนที่ 3 แบบสอบถามปลายเปดิ (Open - Ended
Question) เก่ียวกับข้อเสนอแนะการส่งเสริม
1. เพ่ือศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลของ ด้านสภาพแวดล้อมทางการศึกษาของโรงเรียน
นกั เรียนโรงเรียนวัดศรีจนั ทร ์ วัดศรจี นั ทร์
2. เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียน คณะผวู้ จิ ยั นำ� แบบสอบถามใหผ้ เู้ ชยี่ วชาญ
ตอ่ สภาพแวดลอ้ มทางการศกึ ษาโรงเรยี นวดั ศรจี นั ทร์ 3 ท่าน เพื่อพิจารณาตรวจสอบความตรงและ
3. เพ่ือศึกษาข้อเสนอแนะของนักเรียน ครอบคลมุ เชงิ เนื้อหาของแบบสอบถาม แล้วนำ� ผล
โรงเรียนวัดศรจี ันทร์ การวิเคราะห์รายข้อเพื่อหาคุณภาพของเคร่ืองมือ
โดยหาค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC (Index of
3. วธิ ีดำ� เนินการวจิ ัย Item Objective Congruency) และน�ำมา
ปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ
การวิจัยเร่ืองนี้ มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษา นำ� แบบสอบถามและคำ� ถามปลายเปดิ ไปทดลองใช้
ความคิดเห็นของนักเรียนต่อสภาพแวดล้อม (Try–Out) กบั นกั เรยี นทไี่ มใ่ ชโ่ รงเรยี นกลมุ่ ตวั อยา่ ง
ทางการศกึ ษาโรงเรยี นวดั ศรจี นั ทร์ ไดแ้ ก่ การเรยี น
การสอน สังคมกลุ่มเพ่ือน กิจกรรมนักเรียนและ

ปที ี่ 19 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 243

ไดแ้ ก่ โรงเรยี นการกศุ ลวดั หนองแวง จำ� นวน 30 ชดุ จำ� นวน 47 รปู คดิ เป็นร้อยละ 34.81
เพอ่ื หาคา่ ความเชอ่ื มนั่ (Reliability) คา่ สมั ประสทิ ธิ์ ความคิดเห็นของนักเรียนต่อสภาพ
แอลฟา (Coefficient Alpha) ของครอนบาค แวดลอ้ มทางการศกึ ษาโรงเรยี นวดั ศรจี นั ทรโ์ ดยรวม
ไดค้ า่ ความเชอ่ื มน่ั เทา่ กบั 0.84 และวเิ คราะหข์ อ้ มลู อยใู่ นระดบั มาก ( = 3.87) เมอ่ื พจิ ารณาแตล่ ะดา้ น
โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ของความคิดเห็นต่อสภาพแวดล้อมทางการศึกษา
(Percentage) คา่ เฉล่ีย (Mean) และคา่ ส่วนเบีย่ ง ของนักเรียนโรงเรียนวัดศรีจันทร์พบว่า การเรียน
เบนมาตรฐาน (Standard Deviation) การสอน โดยภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก ( = 4.06)
สังคมกลุ่มเพ่ือน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก
4. สรุปผลการวจิ ยั ( = 3.87) กิจกรรมนักเรียน โดยภาพรวมอยู่ใน
ระดบั มาก ( = 3.89) และอาคารสถานท่ี โดยภาพ
นักเรียนที่ตอบแบบสอบถาม จ�ำนวน รวมอยูใ่ นระดับมาก ( = 3.66) ตามล�ำดบั
135 รปู /คน เป็นเพศชาย จำ� นวน 97 คน คิดเปน็
ร้อยละ 71.85 และเปน็ เพศหญงิ จ�ำนวน 38 คน 5. อภปิ รายผลการวจิ ยั
คิดเป็นร้อยละ 28.15 นักเรียนท่ีมีอายุ 14 ปี
จ�ำนวน 45 คน คิดเป็นร้อยละ 33.33 นักเรียน 1. ด้านการเรียนการสอน โดยภาพรวม
ทม่ี อี ายุ 13 ปี จำ� นวน 42 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 31.11 อยใู่ นระดบั มาก ทง้ั นอี้ าจจะเปน็ เพราะวา่ โรงเรยี น
นกั เรยี นทมี่ อี ายุ 15 ปี จำ� นวน 31 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ วดั ศรีจันทร์ มีการเตรียมการสอน จัดทำ� แผนการ
22.96 นกั เรยี นทม่ี อี ายุ 18 ปี จำ� นวน 8 คน คดิ เปน็ สอนและเนื้อหาท่ีเหมาะสม มีการจัดเวลาในการ
ร้อยละ 5.93 นกั เรยี นท่ีมีอายุ 16 ปี จ�ำนวน 5 คน เรียนการสอนที่เหมาะสม มกี ารใชเ้ ทคนคิ การสอน
คิดเป็นร้อยละ 3.70 และนักเรียนที่มีอายุ 17 ปี ทหี่ ลากหลายมคี วามทนั สมยั มกี ารจดั การเรยี นการ
จ�ำนวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 2.96 ระดับช้ัน สอนใหน้ กั เรยี นเรยี นรู้ และทำ� งานรว่ มกนั โดยเนน้
มัธยมศกึ ษาปที ่ี 2 จำ� นวน 45 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ ผู้เรียนเป็นส�ำคัญ และครูผู้สอนมีสัมพันธภาพที่ดี
33.33 ระดับชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 1 จ�ำนวน 42 คน กบั ผเู้ รยี น จงึ ทำ� ใหน้ กั เรยี นมคี วามคดิ เหน็ ตอ่ สภาพ
คิดเป็นรอ้ ยละ 31.11 ระดบั ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 3 แวดล้อมทางการศึกษาด้านการเรียนการสอน
จ�ำนวน 31 คน คิดเป็นร้อยละ 22.96 ระดับชั้น อยใู่ นระดบั มาก ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั สชุ าติ วงศย์ งศลิ ป์
มัธยมศึกษาปีท่ี 6 จ�ำนวน 8 คน คิดเป็นร้อยละ (Wongyongsil, 2007 : 2-3) ได้ศึกษาความพึง
5.93 ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จ�ำนวน 5 คน พอใจของครูและนักเรียนต่อสภาพแวดล้อมของ
คิดเป็นร้อยละ 3.70 และระดับชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ สถานศึกษาขั้นพื้นฐาน เขตพื้นท่ีการศึกษา
5 จ�ำนวน 4 คน คิดเปน็ ร้อยละ 2.96 นกั เรยี นท่มี ี กรุงเทพมหานคร เขต 2 พบว่า ครูและนักเรียน
สถานภาพเปน็ คฤหสั ถ์ จำ� นวน 88 คน คดิ เปน็ รอ้ ย มคี วามพงึ พอใจตอ่ สภาพแวดลอ้ มของสถานศกึ ษา
ละ 65.19 และนกั เรยี นทม่ี สี ถานภาพเปน็ บรรพชติ ขั้นพ้ืนฐาน เขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร

244 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

เขต 2 โดยดา้ นการเรียนการสอน อยู่ในระดบั มาก สถติ ิทร่ี ะดบั .05
และครูในสถานศึกษาขนาดใหญ่และขนาดใหญ่ 3. ด้านกิจกรรมนักเรียน โดยภาพรวม
พเิ ศษ มคี วามพงึ พอใจตอ่ สภาพแวดลอ้ มของสถาน อยใู่ นระดบั มาก ท้งั นี้อาจจะเปน็ เพราะวา่ โรงเรียน
ศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษากรงุ เทพมหานคร เปิดโอกาสให้นักเรียนเข้าร่วมกิจกรรมที่โรงเรียน
เขต 2 เมื่อพิจารณาโดยรวม ครูในสถานศึกษา จัดข้ึนอย่างเต็มท่ี ได้รับความร่วมมือจากนักเรียน
ขนาดใหญพ่ เิ ศษมคี วามพงึ พอใจตอ่ สภาพแวดลอ้ ม ในการจัดกิจกรรมร่วมกัน มีความเหมาะสมของ
ทางการศกึ ษาดา้ นการเรยี นการสอน มากกวา่ ครใู น ชว่ งเวลาในการจดั กจิ กรรมของนกั เรยี น และความ
สถานศึกษาขนาดใหญ่ มีคุณค่า มีประโยชน์ของกิจกรรมท่ีโรงเรียนจัดให้
2. ดา้ นสงั คมกลมุ่ เพอ่ื น โดยภาพรวมอยู่ แก่นักเรียน จึงท�ำให้นักเรียนมีความคิดเห็นต่อ
ในระดบั มาก ทงั้ นอี้ าจจะเปน็ เพราะวา่ การใหค้ วาม สภาพแวดลอ้ มทางการศกึ ษาดา้ นกจิ กรรมนกั เรยี น
ช่วยเหลือเก้ือกูลกันและกันระหว่างเพื่อนนักเรียน อยู่ในระดับมาก ซ่ึงสอดคล้องกับนฤมล ก้อนขาว
ความรักสามัคคีระหว่างเพ่ือนนักเรียนการช่วย (Konkhaw, 2016 : 14) ได้ศึกษาสภาพแวดล้อม
เหลือด้านการเรียนระหว่างเพื่อนนักเรียนด้วยกัน ทางการเรียนของนักเรียนโรงเรียนศรัทธาสมุทร
ความสามารถในการท�ำงานเป็นกลุ่มของนักเรียน สังกัดส�ำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา
ความรสู้ กึ อบอนุ่ และสนกุ สนาน เมอื่ ไดร้ วมกลมุ่ กนั เขต 10 จังหวัดเพชรบุรี พบว่า สภาพแวดล้อม
กับเพ่ือนนักเรียน จึงท�ำให้นักเรียนมีความคิดเห็น ทางการเรียนของนักเรียนโรงเรียนศรัทธาสมุทร
ต่อสภาพแวดล้อมทางการศึกษาด้านสังคมกลุ่ม สังกัดส�ำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษา
เพอ่ื น อยใู่ นระดบั มาก ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั จกั รกฤษณ์ เขต 10 โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก
ประกอบผล (Prakobphol, 2006 : 14 ) ได้ศึกษา โดยเรียงล�ำดับสภาพแวดล้อมทางการเรียนของ
ความคิดเห็นของนักศึกษาเก่ียวกับสภาพแวดล้อม นักเรียนในแต่ละด้าน จากค่าเฉล่ียมากไปหาน้อย
ทางการศึกษาในวทิ ยาลัยพณิชยการธนบรุ ี 5 ด้าน ได้แก่ ด้านสังคมกลุ่มเพื่อน ด้านการจัดกิจกรรม
คือ ด้านการเรียนการสอน ด้านสังคมกลุ่มเพ่ือน ผู้เรียน ด้านการเรียนการสอน ด้านการจัดการ
ด้านกิจการนักศึกษา และด้านอาคารสถานที่ ศึกษาเพ่ือสนองความมุ่งหวังของผู้เรียน ด้านการ
พบว่า นักศึกษามีความคิดเห็นต่อสภาพแวดล้อม ให้บริการผเู้ รยี น และด้านอาคารสถานท่ี
ทางการศึกษาในวิทยาลัยพณิชยการธนบุรี 4. ด้านอาคารสถานท่ี โดยภาพรวมอยู่
ด้านการเรียนการสอน และด้านสังคมกลุ่มเพื่อน ในระดบั มาก ทงั้ นอ้ี าจจะเปน็ เพราะวา่ ทางโรงเรยี น
อยู่ในระดับมาก ซ่ึงนักศึกษาชาย และนักศึกษา มีอาคารเรียนและห้องเรียนพอเพียงกับจ�ำนวน
หญิง มีความคิดเห็นต่อสภาพแวดล้อมทางการ นักเรียน มีห้องปฏิบัติการและห้องคอมพิวเตอร์
ศกึ ษาด้านสงั คมกลุ่มเพือ่ น ในวทิ ยาลยั พณชิ ยการ ส�ำหรับสืบคน้ ข้อมูลให้กบั นกั เรียนเพียงพอส�ำหรับ
ธนบุรี โดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยส�ำคัญทาง การใช้งาน มีสนามกีฬาท่ีออกก�ำลังกายพอเพียง

ปที ่ี 19 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 245

ส�ำหรับครูและนักเรียน มีโรงอาหารท่ีสะอาด การสอนของโรงเรียนวัดศรีจันทร์ ควรปรับปรุง
พอเพียงกับจ�ำนวนนักเรียนและถูกสุขอนามัย ในเร่ืองการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของครูผู้สอน
และมีบริเวณให้นักเรียนพักผ่อนหย่อนใจยามว่าง โดยค�ำนึงถึงความแตกต่างระหว่างนักเรียน
จึงท�ำให้นักเรียนมีความคิดเห็นต่อสภาพแวดล้อม ให้นักเรียนได้ปฏิบัติจริง ควรสร้างบรรยากาศ
ทางการศึกษาด้านอาคารสถานท่ีอยู่ในระดับมาก ในห้องเรียนให้มคี วามสนกุ สนานนา่ เรยี น
ซึ่งสอดคล้องกับพงศ์เทพ จิระโร และระพินทร์ 1.2 ด้านสังคมกลุ่มเพ่ือน โรงเรียน
ฉายวมิ ล (Jiraro and Chaiwimol, 2012 : 69) วดั ศรจี นั ทร์ ควรปรบั ปรงุ และสง่ เสรมิ ในเรอ่ื งความ
ได้ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาต่อสภาพ สัมพันธ์ระหว่างรุ่นพ่ีกับรุ่นน้อง และการยอมรับ
แวดล้อมของวิทยาลัยครูคังไข แขวงเชียงขวาง การตักเตอื นระหว่างเพื่อนนักเรยี น
ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 1.3 ด้านกิจกรรมนักเรียนที่ทาง
ปกี ารศกึ ษา 2552 ใน 4 ด้าน คือ อาคารสถานที่ โรงเรียนวัดศรีจันทร์จัดข้ึนน้ัน ควรให้นักเรียน
การเรียนการสอน กลุ่มเพื่อน และการบริหาร มีอิสระในการจัดกิจกรรมของนักเรียนภายใต้
พบวา่ นกั ศกึ ษามคี วามพึงพอใจตอ่ สภาพแวดล้อม การดูแลอยา่ งใกลช้ ดิ และการให้คำ� แนะน�ำของครู
ของวิทยาลยั ครคู ังไข ท้งั 4 ดา้ น อยใู่ นระดับมาก 1.4 ด้านอาคารสถานท่ีโรงเรียน
วัดศรีจันทร์ ควรเพิ่มสิ่งอ�ำนวยความสะดวก
6. ข้อเสนอแนะ ด้านส่ิงแวดล้อม เช่น โต๊ะ เก้าอ้ี และศาลา
(หลงั เลก็ ) สำ� หรบั พกั เวลาวา่ ง และควรจดั กจิ กรรม
1. ความคิดเห็นของนักเรียนต่อสภาพ รักษ์ความสะอาด เช่น โครงการกิจกรรม 5 ส
แวดล้อมทางการศึกษาโรงเรียนวดั ศรีจนั ทร์ เป็นประจำ� เปน็ ตน้
1.1 ดา้ นการเรยี นการสอน การเรยี น

References

Hanchainao, S. (2015). The Study of Educational Environment under Supervision of the
Office of Chonburi Primary Education Office Area 3. Master Degree Thesis. Graduate
School : Burapha University.

Jiraro, P., and Chaiwimol, R. (2012). The Satisfaction of the Students Towards Educational
Environment of Krukangkai Colleg, XiengKhoung District, Lao PDR., Semester 2010.
Journal of Education, 23(1), 69.

Konkhaw, N. (2016). The Study of Educational Environment of Satthasamut School in the
Supervision of Secondary Education, Phetchaburi Area 10. Research Report.
Graduate School : Burapha University.

246 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

Lohitasthien, B. (2012). Ministry of Education. http://www.thaigov.go.th/index.php/th/
news-ministry/2012-08-15-09-39-20/item/98859> (Accessed 15 November 2016).

Phraathikan Boonchuay Chotivungso, et al. (2018). A Strategy in Implanting of Moral Ethics
for Primary School Students in Basic Education under the Office of KhonKaen
Primary Education, Area 1. Dhammathas Academic Journal, 18(2), 99-110.

Prakobphol, J. (2006). The Opinion of the Students to Educational Environment of Thonburi
Commercial College. Master Degree Thesis. Graduate School : Srinakharinwirot
University.

Singkornwatana, W. (2008). The Opinion of Chachoengsao Vocational Students to the
Educational Evironment. Master Degree Thesis. Graduate School : Ramkhamhaeng
University.

Srichan School. (2017). Srichan School History. http://www.srichanschool.com/mainpage
( Accessed 13 November 2017).

The Office of Primary Education Area 4. (2016). Section 1 Educational Environment. http://
khonkaen4.go.th/data2559/1-2-3.pdf> (Accessed 15 November 2016).

Wongyongsil, S. (2007). The Satisfaction of Teachers and Students Towards Educational
Environment of Basic Education, Bangkok Area 2. Research Report. Graduate School
: Sripathum University.

การศกึ ษาแนวคดิ และวธิ ีปฏบิ ัตขิ องเครือขา่ ยพระบณั ฑติ อาสา
ในภาคเหนอื *

The Concept and Practical Study of Buddhist Monks
Volunteer in Northern Thailand

สุนทรี สุริยะรังษี
Soontree Suriyarangsee
มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วทิ ยาเขตเชียงใหม่
Mahachulalongkornrajvidyalaya University, Chiangmai Campus, Thailand
E-mail: [email protected]

บทคดั ย่อ

การวจิ ยั ครงั้ น้ี มวี ตั ถปุ ระสงคค์ อื 1) เพอ่ื ศกึ ษาแนวคดิ และวธิ กี ารปฏบิ ตั ขิ องเครอื ขา่ ยพระบณั ฑติ
อาสาในภาคเหนอื 2) เพอื่ ศกึ ษาหลกั พทุ ธธรรมในการปฏบิ ตั งิ านของเครอื ขา่ ยพระบณั ฑติ อาสาในภาคเหนอื
3) เพ่ือศึกษาการบูรณาการหลักพุทธธรรมมาใช้ในการปฏิบัติงานของพระบัณฑิตอาสาพัฒนาชาวเขา
ในภาคเหนือ เป็นการวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary) และการวิจัยแบบเชิงคุณภาพ (Qualitative
Research) ที่เก็บรวบรวมข้อมูลในภาคสนาม โดยใช้แบบสอบสัมภาษณ์ ท่ีได้รวบรวมข้อมูลโดยใช้การ
สมั ภาษณ์เชิงลกึ (Depth interview) จากเครอื ข่ายพระบัณฑติ อาสาท้งั หมด 14 อาศรม ทอ่ี ยู่ในจังหวดั
เชยี งใหม่ 7 อาศรม และในจังหวดั เชียงราย 7 อาศรม
ผลการวจิ ยั พบวา่ แนวคดิ และวธิ กี ารปฏบิ ตั ขิ องเครอื ขา่ ยพระบณั ฑติ อาสาฯ ในภาคเหนอื พบวา่
พระบณั ฑิตอาสามคี วามมงุ่ มน่ั ในการพัฒนาชุมชน โดยยึดนักเรียนและชาวบ้านเป็นศูนย์กลาง การอาศยั
ความร่วมมือของคนในชุมชนและหน่วยงานต่างๆ การเสริมสร้างศรัทธาให้กับคนในชุมชน เช่น มีภาวะ
ความเป็นผนู้ �ำ วางตวั เสมอตน้ เสมอปลาย ส�ำรวมสมณะสารปู มีความจริงใจตอ่ ชาวบา้ น มีมนุษยส์ มั พนั ธ์
ท่ีดี การกระท�ำตามสัจจะ แตม่ ีขอ้ สงั เกตว่า พระบัณฑติ อาสายงั ขาดการประเมินผลกิจกรรม เพื่อท่ีจะนำ�
ไปพฒั นาปรบั ปรุงการปฏบิ ตั งิ านในปีต่อไป
การบรู ณาการหลกั ธรรมมาใชใ้ นการปฏบิ ตั งิ านของพระบณั ฑติ อาสาฯ ในภาคเหนอื พบวา่ มกี าร
บูรณาการโดยได้น�ำหลักพุทธธรรมมาบูรณาการใช้ในการปฏิบัติงาน 3 ด้าน คือ 1) ด้านการบริหารตน

* ไดร้ บั บทความ: 19 พฤศจกิ ายน 2561; แกไ้ ขบทความ: 25 มกราคม 2562; ตอบรบั ตพี มิ พ:์ 14 กมุ ภาพนั ธ์ 2562
Received: November 19, 2018; Revised: January 25, 2019; Accepted: February 14, 2019

248 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

ได้น�ำหลักธรรม อทิ ธบิ าท 4 พรหมวหิ าร 4 สัจจะ ขันติและสติ น�ำมาบูรณาการใช้ในการฝกึ ฝนพฒั นา
ตนเองใหม้ ขี น้ึ ในตนเองทกี่ อ่ ใหผ้ อู้ นื่ หรอื ผรู้ ว่ มงานเกดิ ความรกั ความเคารพ และความศรทั ธาในตวั พระบณั ฑติ
อาสา 2) ด้านการบริหารคน ได้น�ำหลักธรรม สังคหวัตถุ 4 ทศพิธราชธรรม 10 และความสามัคคี
มาบูรณาการในการบริหารงานกับบุคคลต่างๆ เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวใจและครองใจคนให้เกิดความ
พรอ้ มเพยี ง ปรองดอง และรว่ มใจกนั อนั จะนำ� ไปสคู่ วามรกั สามคั คใี นหมคู่ ณะ ทำ� ใหก้ ารปฏบิ ตั งิ านประสบ
ความส�ำเร็จตามเปา้ หมาย 3) ด้านการบริหารงานไดน้ ำ� หลักธรรมอรยิ สัจ 4 สัปปุรสิ ธรรม 7 และอปรหิ า
นิยธรรม 7 มาบูรณาการในการบริหารงาน แก้ไขปัญหาในการปฏิบัติงานและในการบริหารจัดการตาม
หลักการท�ำงานที่ก่อให้เกิดความเจรญิ กา้ วหนา้ ในการท�ำงาน
ค�ำสำ� คญั : การปฏิบตั ิ; พทุ ธธรรม; การบรู ณาการพทุ ธธรรม

Abstract

This research aims to study; 1) the concepts and operations of the network
volunteer graduated monks in the northern region, 2) the Buddhist principles of the
network volunteer graduated monks in the northern region, 3) the integration of Buddhist
principles and applying to the network volunteer graduated monks in the northern region.
The methodology research is documentary and qualitative research which collected data
from the field by using the questionnaires and deep interviews from 14 network volunteer
graduated monks’ hermitages in the northern region by 7 hermitages from Chiang Mai,
and 7 in the Chiang Rai province.
The research found that: the concepts and operations of the network volunteer
graduated monks in the northern region, are committed to community development by
focusing students and people as the center, as well as engaging people in community and
other organizations being a unity and cultivate more faith to people in the community, such
as leadership, consistency, uniformity, sincerity to the villagers, good relationships, honesty.
However, it is noted that the network volunteer graduated monks still lacked of the
evaluation of activities that need to be improve their performance in the following year.
The integration of Buddhist’s principles into the work of the volunteer monks in
the northern region has been integrated by the Buddhist’s principles into the user in
three areas of operation: Firstly, Self-management was applied by the principle of

ปที ่ี 19 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 249

Iddhipàda4, Brahmavihàra 4, honesty, perseverance and patience, which brought kindness
and faith from others to volunteer graduated monks. Secondly; Human Management was
applied by the principles of Saïgahavatthu 4, Ràjadhamma 10 and harmony to integrate
human management in order to cultivate the harmony of the people and move forward
to the communities’ harmony. This operation caused to accomplish with the goal. Lastly;
the job management was applied by the 4 Noble Truth, the Sappurisa-dhamma 7 and
the parihàniyadhamma 7 (conditions of welfare) by integrating in the job management to
solve the problems of works and the principle management of works that causes progress
in works.
Keywords: Operation; Buddhist Principle; Integration of Buddhist Principle

1. บทน�ำ พระนสิ ติ จากมหาวทิ ยาลยั วทิ ยาเขต วทิ ยาลยั สงฆ์
ตา่ งๆ เพอื่ อาสาไปพฒั นาชมุ ชนบนพ้ืนทส่ี งู ท�ำงาน
การเข้าไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาตั้งแต่ ร่วมกับพระธรรมจาริกในเขตทุรกันดาร โดยเรียก
ปพี ทุ ธศกั ราช 2543 ของโครงการพระบณั ฑติ อาสา ชอื่ โครงการนน้ั วา่ “โครงการพระบณั ฑติ อาสาพฒั นา
พัฒนาชาวเขา ได้ก่อก�ำเนิดขึ้นเพ่ือสนับสนุนงาน ชาวเขา” (Phrapalad Suchart Suwadhoko,
เผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาของพระธรรมจารกิ โดยมงุ่ เนน้ 2005 : 1-3) การสง่ พระบณั ฑติ อาสา เขา้ ไปปฏบิ ตั ิ
ถงึ ชมุ ชนบนพน้ื ทสี่ งู ถน่ิ ทรุ กนั ดารและกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ ศาสนกจิ ในทอ้ งทบี่ นพน้ื ทส่ี งู เปน็ การทำ� งานเผยแผ่
ตา่ งๆ การกอ่ ตงั้ โครงการพระบณั ฑติ อาสาฯ ถอื เปน็ พระพทุ ธศาสนาในเชงิ รุก เพราะได้สำ� รวจหมบู่ ้าน
การพัฒนาศักยภาพของพระนิสิตในการท�ำงานให้ ที่ไม่มีพระในพื้นท่ี ชาวบ้านนับถือบรรพบุรุษไม่มี
กับสังคม กลุ่มชาติพันธุ์ท่ีอาศัยอยู่บนพื้นที่สูง ความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมของพระพุทธ
มปี ระเพณีวัฒนธรรม ความเชื่อ วิถีชวี ติ ความเป็น ศาสนา การเข้าไปส�ำรวจพื้นที่คร้ังแรกของ
อยู่แตกต่างจากพื้นท่ีราบ ถ้าหากพระนิสิตไม่มี เจา้ หนา้ ทโี่ ครงการพระบณั ฑติ อาสาพฒั นาชาวเขา
ใจรัก ไม่มีอุดมการณ์ในด้านการท�ำงานให้กับ มีความอยากล�ำบากมากเพราะชาวบ้านไม่มีความ
พระศาสนาและสงั คม ยากอยา่ งยง่ิ ทจี่ ะตอ้ งอดทน รู้เก่ียวกับบทบาทหน้าท่ีของพระสงฆ์ ชาวบ้าน
ฝา่ ฟนั ความลำ� บากเหลา่ นไ้ี ด้ ทงั้ นก้ี ต็ อ้ งอาศยั ความ มีความกลัวว่าพระสงฆ์เข้ามาจะมีการท�ำลาย
อดทน ความเพียรพยายามความตัง้ ใจจริง วัฒนธรรมของชนเผ่า และท�ำให้มีการเปล่ียน
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช ศาสนาทชี่ าวบา้ นเคารพนบั ถือ โดยเฉพาะหวั หน้า
วทิ ยาลยั เปน็ หนว่ ยงานทมี่ องเหน็ ความสำ� คญั ของ หมอผีของชนเผ่าชุมชน นอกจากน้ันยังเกรงว่า
การเผยแผ่พระพุทธศาสนา จึงได้มอบหมายให้ พระสงฆ์ท่ีมาจะเป็นสายสืบให้กับเจ้าหน้าที่
วทิ ยาเขตเชยี งใหมเ่ ปน็ ผรู้ บั ผดิ ชอบ ทำ� การคดั เลอื ก

250 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

บา้ นเมอื ง เพราะทผ่ี า่ นมาทางรฐั บาลมกี ารประกาศ Chiangmai Campus, 2003 : 110) ซ่งึ เราต่างรู้
สงครามเพอ่ื เอาชนะยาเสพติด เจ้าหนา้ ทเี่ ขา้ ตรวจ กนั ดวี า่ สภาพของคนในชมุ ชนบนพน้ื ทส่ี งู นนั้ มชี วี ติ
ค้นในชมุ ชน ทำ� ให้ชาวบ้านมีการระแวง ทางคณะ ความเป็นอยู่ท่ีล�ำบากยากจนอยู่แล้ว ดังน้ันการ
สำ� รวจไดช้ แี้ จงถงึ วตั ถปุ ระสงคข์ องโครงการทจ่ี ดั สง่ ท�ำงานท่ีจะทำ� ใหช้ มุ ชนพัฒนาไปอยา่ งม่นั คงยัง่ ยนื
พระเข้าท�ำงานในท้องที่ เพ่ือช่วยชาวบ้านในการ พระบณั ฑติ อาสาจะทำ� งาน 3 ดา้ นไปพรอ้ มๆ กนั คอื
พฒั นาชมุ ชน ทัง้ ด้านวตั ถแุ ละจติ ใจ จากการท่พี ดู 1. ด้านจิตใจ โดยใช้ธรรมะชะล้างความ
คุยกับผู้น�ำชุมชนแต่ละแห่ง มีการแบ่งรับแบ่งสู้ สกปรกของจิตใจ เป็นภูมิคุ้มกันจากส่ิงย่ัวยุไปใน
บางแห่งมีการปฏิเสธอย่างส้ินเชิง โดยอ้างว่าชาว ทางทเ่ี สอ่ื มทงั้ หลาย พระบณั ฑติ อาสาเองกเ็ ลง็ เหน็
บ้านไมม่ ีความพรอ้ ม ปญั หาน้ี จงึ ไดม้ กี ารท�ำงานในเชิงรุกโดยการเขา้ ไป
การเข้าไปอยู่ของพระนักพัฒนาบนพื้นท่ี มีส่วนร่วมในการเรียนการสอนในโรงเรียน โดยใช้
สงู กเ็ ปรยี บเหมอื นนกั วจิ ยั คนหนงึ่ ทเี่ ขา้ ไปมบี ทบาท ธรรมะเปน็ ตวั หลอ่ หลอมใหเ้ ดก็ เยาวชน คนในชมุ ชน
มีส่วนร่วมในชุมชน คอยเก็บข้อมูลศึกษาสภาพ เปน็ คนดี รจู้ กั บาปบญุ คณุ โทษ เกดิ จติ สำ� นกึ ละอาย
ทางดา้ นตา่ งๆ ของชมุ ชน ไมว่ ่าจะเปน็ ดา้ นวถิ ีชวี ติ ต่อการท�ำช่ัว เพ่ือปลูกจิตส�ำนึกให้เด็กเยาวชน
ประเพณีวัฒนธรรม หรือสภาพทางภูมิศาสตร์ ซ่งึ จะเปน็ ขุมก�ำลงั อนาคตของชาติ
เป็นต้น สิ่งเหล่าน้ีล้วนแต่เป็นส่ิงส�ำคัญท่ีจะเป็น 2. รักษาประเพณีวัฒนธรรมต่างๆ ของ
ตัวก�ำหนดทิศทางการพัฒนาไปในท่ีถูกท่ีควรและ แต่ละชาติพันธุ์ ถือเป็นส่ิงมีค่าและส�ำคัญเป็น
เหมาะสม นับว่าพระนักพัฒนาบนพื้นท่ีสูงหรือ เอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละชาติพันธุ์ เป็นการส่ือ
พระบัณฑิตอาสา ก็มีบทบาทท่ีส�ำคัญอย่างย่ิงใน ถึงอารยธรรม สืบทอดกันมาตั้งแต่โบราณสู่รุ่นลูก
การพัฒนาชุมชนบนพ้ืนที่สูง เมื่อเข้าไปอยู่ชุมชน จนถงึ ปจั จบุ นั สง่ิ เหลา่ นมี้ คี ณุ คา่ ยากทจี่ ะประเมนิ คา่
แล้วจ�ำเป็นที่จะต้องพัฒนาทางด้านวัตถุบ้าง อีกทั้งยังแฝงไปด้วยความรู้ภูมิปัญญาของคน
มใิ ชเ่ นน้ ไปในดา้ นใดดา้ นหนง่ึ เพราะการพฒั นาทาง ในอดีต เช่น การมัดมือของชาติพันธุ์กะเหรี่ยง
ดา้ นวตั ถนุ น้ั จะโดดเดน่ และสามารถเหน็ ภาพไดจ้ รงิ ซง่ึ จะทำ� กนั ปลี ะ 2 ครงั้ โดยความเชอ่ื ของชาตพิ นั ธ์ุ
เห็นการเปล่ียนแปลงทเ่ี ป็นรปู กระท�ำ แตค่ วรท่จี ะ กะเหรี่ยง คือ เป็นการเรียกขวัญให้ลูกหลาน
เปน็ ไปโดยพอดพี องาม ไม่เบยี ดเบยี นกำ� ลงั ศรัทธา ในครอบครวั ท้งั นีห้ ากมองลกึ ๆ ลงไปจะเหน็ ได้ว่า
มากจนเกินไป โดยโครงการพระบัณฑิตอาสา พธิ กี รรมเหลา่ นแี้ ฝงไปดว้ ยภมู ปิ ญั ญา นนั่ กค็ อื ทำ� ให้
พัฒนาชาวเขาบนพื้นท่ีสูง มีการจัดตั้งเครือข่าย เกิดความรักความสามัคคีกันในหมู่เครือญาติ
ประสานงานประจ�ำเครือข่ายเป็น 6 เครือข่าย ครอบครัว ท�ำใหเ้ ครอื ญาตไิ ด้มาพบปะกัน
ซ่ึงแต่ละเครือข่ายเน้นกระบวนการแบบเชิงรุก 3. ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
กระบวนการท�ำงานเป็นทีมและการมีส่วนร่วม ตอ้ งมกี ารปลกู จติ สำ� นกึ ในการอนรุ กั ษป์ า่ ไมธ้ รรมชาติ
(Mahachulalongkornrajvidyalaya University เชน่ เดยี วกบั การทำ� งานของพระนกั พฒั นาบนพน้ื ท่ี

ปีท่ี 19 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 251

สูงท่ีน�ำเอาพิธีกรรมทางศาสนามาเป็นส่วนในการ 3. เพื่อศึกษาการบูรณาการหลักพุทธ
อนุรักษ์ป่าไม้ เช่น การบวชป่า การปลูกป่าในวัน ธรรมมาใชใ้ นการปฏบิ ตั งิ านของพระบณั ฑติ อาสาฯ
ส�ำคัญต่างๆ เป็นต้น ก็เป็นอีกแนวทางหน่ึงท่ีช่วย ในภาคเหนอื
อนุรักษ์ป่าไม้ให้อยู่คู่กับชุมชน ปัจจุบันพระสงฆ์
กย็ งั เปน็ ทพี่ งึ่ ทงั้ ทางกายและจติ ใจ กเ็ หมอื นพระนกั 3. วิธดี ำ� เนินการวจิ ยั
พัฒนาบนพ้ืนที่สูงที่ไปเป็นที่พึ่งท้ังทางกายและใจ
แก่คนในถิ่นทุรกันดาร แต่การเข้าไปอยู่ในอาศรม การศึกษาคร้ังน้ี ผู้ศึกษาใช้รูปแบบท้ังใน
ตา่ งๆ ในแตล่ ะพน้ื ทขี่ องพระบณั ฑติ อาสา ขน้ึ ชอื่ วา่ เชิงเอกสาร (Documentary) และการวิจัยแบบ
เป็นพระนักพัฒนาบนพื้นท่ีสูงนั้นมิใช่เพียงแค่การ เชงิ คณุ ภาพ (Qualitative Research) ทเี่ กบ็ รวบรวม
เขา้ ไปอยเู่ ฝา้ อาศรม หรอื สรา้ งศาสนวตั ถจุ นใหญโ่ ต ข้อมูลในภาคสนาม โดยใช้แบบสอบสัมภาษณ์
มโหฬาร โดยมไิ ดใ้ สใ่ จเรอ่ื งอน่ื ๆ ไมเ่ หลยี วแลสภาพ ท่ีได้รวบรวมข้อมูลโดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก
ทางสังคมความเป็นอยู่ของคนในชุมชน แต่ได้ท�ำ (Depth interview) ดงั น้ี
หน้าทเ่ี ป็นพระนกั เผยแผ่โดยมิไดม้ ีวันหยุดนงิ่ 1. การศกึ ษาเชงิ เอกสาร (Documentary
จากการด�ำเนินการของพระบัณฑิตอาสา Study) ท�ำการศึกษาและรวบรวมข้อมูลจาก
นับว่าเป็นโครงการท่ีควรมีการน�ำมาศึกษาถึง เอกสารและรายงานท่ีเก่ียวข้อง เช่น รายงานการ
แนวคิดและวิธีการปฏิบัติของเครือข่ายของพระ ท�ำงาน เอกสารแสดงความสัมพันธ์ท่ีแสดงให้เห็น
บณั ฑติ อาสา โดยแบง่ แนวคดิ ในการปฏบิ ตั งิ านออก ถึงแนวคิด ทฤษฎีดังนี้ 1) ศึกษา ค้นคว้า และ
เป็น 3 แนวคดิ คอื 1) แนวคิดการท�ำงานเชิงพุทธ รวบรวมขอ้ มลู จากเอกสารและหลกั ฐานทเี่ กย่ี วขอ้ ง
2) แนวคดิ การทำ� งานเชงิ ภมู ปิ ญั ญา และ 3) แนวคดิ จากหนังสือ รายงานการปฏิบัติงานประจ�ำปีของ
การท�ำงานเชิงวัฒนธรรม เพ่ือที่จะน�ำไปใช้ในการ พระบัณฑิตอาสา 2) ท�ำการวิเคราะห์แนวคิด
พัฒนาและส่งเสริมในการท�ำงานให้มีคุณภาพมาก กระบวนการปฏิบัติงานตามนโยบายของโครงการ
ยง่ิ ขนึ้ เพอื่ จะไดน้ ำ� ไปสกู่ ารเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา พระ บณั ฑติ อาสาพฒั นาชาวเขา และ 3) สรุปผล
ซ่ึงนับว่าเป็นโครงการหนึ่งท่ีมีความส�ำคัญของ การศึกษาที่แสดงถึงแนวคิด การปฏิบัติงานของ
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วิทยาเขตเชยี งใหม่ โครงการพระบัณฑิตอาสาพฒั นาชาวเขา
2. การศกึ ษาเชงิ คุณภาพ (Qualitative
2. วัตถุประสงค์ของการวจิ ยั Research) ในภาคสนาม (Field Study) เพอื่ ทราบ
แนวคิดการปฏิบัติงาน การใช้พุทธธรรมในการ
1. เพ่ือศึกษาแนวคิดและวิธีการปฏิบัติ บูรณาการในการปฏิบัติงาน ในพื้นท่ีท่ีเป็นกรณี
ของเครอื ขา่ ยพระบณั ฑติ อาสาฯ ในภาคเหนือ ศึกษา โดยมีขั้นตอนศกึ ษาค้นควา้ ดังน้ี 1) ท�ำการ
2. เพอ่ื ศกึ ษาหลกั พทุ ธธรรมในการปฏบิ ตั ิ ศึ ก ษ า แ ล ะ คั ด เ ลื อ ก พื้ น ท่ี อ า ศ ร ม ใ น จั ง ห วั ด
งานของเครอื ข่ายพระบณั ฑิตอาสาฯ ในภาคเหนือ พระบัณฑิตอาสาในจังหวัดเชียงใหม่ 7 อาศรม

252 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

และอาศรมพระบัณฑิตอาสาในจังหวัดเชียงราย ความเป็นอยู่อย่างมีความสุขและชุมชนมีความ
7 อาศรม 2) ศึกษาและรวบรวมข้อมูลจากการ เจรญิ
สมั ภาษณ์ 3) ด�ำเนินการวเิ คราะหแ์ นวคดิ และการ 1.2 แนวคดิ การทำ� งานเชงิ ภมู ปิ ญั ญา
ปฏบิ ตั งิ าน และการใชพ้ ทุ ธธรรมในการบรู ณการใน พระบัณฑิตอาสาจังหวัดเชียงใหม่ 7 อาศรมและ
การปฏบิ ตั ิงาน ของพระบัณฑติ อาสา และ 4) สรปุ พระบณั ฑติ อาสาจงั หวดั เชยี งราย 7 อาศรมใหค้ วาม
และน�ำเสนอผลการศึกษาท่ีได้ทั้งจากการศึกษา ส�ำคัญในภูมปัญญาชนเผ่า โดยพยายามศึกษา
ในเชิงเอกสารและภาคสนาม โดยน�ำมาวิเคราะห์ เขา้ ใจวถิ กี ารดำ� เนนิ ชวี ติ สนบั สนนุ สง่ เสรมิ สรา้ งจติ
ตามประเด็นที่ส�ำคัญ คือ แนวคิดการปฏิบัติงาน ส�ำนึกให้เห็นคุณค่า และให้ค�ำแนะน�ำท่ีถูกต้อง
การใชพ้ ทุ ธธรรมในการบรู ณาการในการปฏบิ ตั งิ าน เผยแผ่โดยประชาสัมพันธ์วัฒนธรรมสู่องค์กร
การน�ำเสนอผลการศึกษาวิจัย การน�ำเสนอข้อมูล ภายนอก
อยู่ในลักษณะการพรรณนาความ (Descriptive 1.3 แนวคดิ การทำ� งานเชงิ วฒั นธรรม
Presentation) เกย่ี วกบั แนวคดิ วธิ กี ารปฏบิ ตั งิ าน พระบัณฑิตอาสาจังหวัดเชียงใหม่ 7 อาศรมและ
และการประยุกต์ใช้พุทธธรรม ในการปฏิบัติงาน พระบณั ฑติ อาสาจงั หวดั เชยี งราย 7 อาศรม มแี นวคดิ
ของโครงการในครือข่ายพระบัณฑิตอาสาในการ ท่ีไม่แตกต่างกัน โดยพ้ืนฐานพระบัณฑิตอาสาให้
พัฒนาชาวเขาของจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ความรว่ มมือ ส่งเสรมิ สนบั สนุน ให้สบื สานในดา้ น
จ�ำนวน 14 อาศรม เพ่ือนำ� ไปสูก่ ารพฒั นาแนวคิด วัฒนธรรมชนเผ่าเป็นอย่างดีวิธีการปฏิบัติงานของ
การปฏิบัติและการใช้พุทธธรรมการบูรณการใน เครือข่ายพระบัณฑิตอาสาในภาคเหนือมีลักษณะ
การปฏบิ ัตงิ าน ในโครงการตอ่ ไป การด�ำเนินงาน ดังนี้
พระบัณฑิตอาสาประจ�ำอยู่ท่ีอาศรมทั้ง
4. สรุปผลการวิจัย จังหวัดเชียงใหม่ 7 อาศรม และจังหวัดเชียงราย
7 อาศรม ทา่ นไดป้ ฏบิ ตั งิ านทไ่ี มแ่ ตกตา่ งกนั สว่ นใหญ่
1. แนวคดิ และวธิ กี ารปฏบิ ตั ขิ องเครอื ขา่ ย จะปฏิบัติงาน ดังนี้ ท�ำกิจของสงฆ์ในการท�ำวัตร
พระบัณฑิตอาสาฯ ในภาคเหนือ ดังน้ี สวดมนต์ เจริญสมาธิภาวนา ในด้านเผยแผ่ เช่น
1.1 แนวคิดการท�ำงานเชิงพุทธพระ อบรมคุณธรรม จริยธรรม สอนหนังสือที่อยู่
บณั ฑติ อาสาประจำ� อยทู่ อ่ี าศรมทง้ั จงั หวดั เชยี งใหม่ โรงเรียนและสอนพระพุทธศาสนาในวันอาทิตย์
7 แหง่ และจงั หวดั เชยี งราย 7 แหง่ มแี นวคดิ ในการ ในด้านการพัฒนา เช่น พัฒนาอาศรมและสร้าง
ท�ำงานแบบเชิงพุทธที่ยึดหลัก ร่วมคิด ร่วมท�ำ ศาสนวัตถุต่างๆ เช่น ศาลา ทางเดิน เป็นต้น
ร่วมแก้ไขปัญหา โดยวิธีการท�ำงานแบบเชิงรุก และการอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อม เช่น การบวชป่า
ทำ� งานตามพนั ธกิจ 6 ไดน้ �ำหลกั ธรรม เช่น อดทน การท�ำแนวกันไฟ ท้ังยังให้การสนับสนุนในการ
เสยี สละ มคี วามซอ่ื สตั ย์ และมสี จั จะ มาเปน็ แนวคดิ อนรุ กั ษป์ ระเพณแี ละวฒั นธรรมของชนเผา่ ในดา้ น
ใช้ในการปฏิบัติงานเพ่ือพัฒนาคนชุมชนในให้มี

ปที ี่ 19 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 253

การสงเคราะห์ โดยการเย่ียมเยือนให้ความช่วย เชยี งราย 7 อาศรม จะพบวา่ ไดน้ �ำหลกั พทุ ธธรรม
เหลือด้านส่ิงของใช้ต่างๆ แก่ชาวบ้านที่ยากจน มาบูรณาการในการใช้ในการปฏิบัติงาน 3 ด้าน
เปน็ ตน้ แตม่ อี าศรมบา้ นดอนลา้ นตำ� บลวารี อำ� เภอ คอื 1) ดา้ นการบรหิ ารตน 2) ดา้ นการบรหิ ารคน
แม่สรวย จังหวัดเชียงรายที่มีการเสริมสร้างอาชีพ และ 3) ดา้ นการบริหารงาน ดงั นี้
ในการปลกู กาแฟให้กบั ชาวบา้ น 3.1 ด้านการบริหารตนการปฏิบัติ
ดงั นน้ั จะเหน็ วา่ การทำ� งานของพระบณั ฑติ งานพระบณั ฑติ อาสาในการปฏบิ ตั งิ านในโครงการ
อาสาของจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดเชียงราย พระบัณฑิตอาสาพัฒนาชาวเขาบนพื้นที่สูง
ปฏบิ ตั งิ านตามกรอบของพันธกิจ 6 ของโครงการ พระบัณฑิตอาสาได้น�ำหลักธรรม อิทธิบาท 4
พระบณั ฑิตอาสาพฒั นาชาวเขา ไดแ้ ก่ พันธกจิ ที่ 1 พรหมวหิ าร 4 สจั จะ ขนั ตแิ ละสติ นำ� มาบรู ณาการ
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาแก่ชุมชนบนพื้นที่สูง ใช้ในการฝึกฝน พัฒนาตนเองให้มีข้ึนในตนเอง
พันธกิจที่ 2 การรณรงค์ลด ละ เลิก อบายมุข ทก่ี อ่ ใหผ้ อู้ น่ื หรอื ผรู้ ว่ มงานเกดิ ความรกั ความเคารพ
พันธกจิ ที่ 3 ส่งเสรมิ สนับสนนุ ประสานงาน และ และความศรัทธาในตัวพระบณั ฑติ อาสา
จัดสวัสดีการสังคมสงเคราะห์บนพื้นที่สูง พันธกิจ 3.2 ดา้ นการบรหิ ารคนการปฏบิ ตั งิ าน
ที่4 การสร้างจิตส�ำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากร พระบณั ฑติ อาสาในการปฏบิ ตั งิ านในโครงการพระ
ธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดล้อม พนั ธกจิ ที่ 5 การให้การ บณั ฑติ อาสาพฒั นาชาวเขาบนพนื้ ทสี่ งู พระบณั ฑติ
ศึกษา ภาษา หน้าท่ีพลเมืองที่ดีตามระบอบการ อาสาไดน้ ำ� หลกั ธรรม สงั คหวตั ถุ 4 ทศพธิ ราชธรรม
ปกครองประชาธปิ ไตย และพนั ธกจิ ท่ี 6 การอนรุ กั ษ์ 10 และความสามัคคี มาบูรณาการในการบริหาร
ฟ้นื ฟูวฒั นธรรม ภมู ิปญั ญาชนเผา่ งานกบั บคุ คลตา่ งๆ เพอื่ เปน็ เครอ่ื งยดึ เหนยี่ วใจและ
2. หลักพุทธธรรมท่ีใช้ในการปฏิบัติงาน ครองใจคนใหเ้ กิดความพร้อมเพียง ปรองดองและ
ของพระบัณฑิตอาสาได้น�ำศาสตรค์ วามรดู้ ้านหลัก รว่ มใจกนั อนั จะนำ� ไปสคู่ วามรกั สามคั คใี นหมคู่ ณะ
พุทธธรรมทางพระพุทธศาสนามาใช้ในการท�ำงาน ท�ำให้การปฏิบัติงานประสบความส�ำเร็จตาม
ใหป้ ระสบความสำ� เร็จตามเป้าหมาย ไดแ้ ก่ พรหม เปา้ หมาย
วหิ าร 4 สงั คหวตั ถุ 4 อทิ ธบิ าท 4 ความสามคั คี สติ 3.3 ดา้ นการบรหิ ารงานการปฏบิ ตั งิ าน
อริยสัจ 4 สัปปุริสธรรม 7 ทศพิธราชธรรม 10 พระบณั ฑติ อาสาในการปฏบิ ตั งิ านในโครงการพระ
ความเพยี รและความอดทน อดกลนั้ บณั ฑติ อาสาพฒั นาชาวเขาบนพน้ื ทสี่ งู พระบณั ฑติ
3. การบรู ณาการหลกั พทุ ธธรรมมาใชใ้ น อาสาไดน้ ำ� หลกั ธรรมอรยิ สจั 4 สปั ปรุ สิ ธรรม 7 และ
การปฏิบัติงานของพระบัณฑิตอาสาการศึกษา อปรหิ านยิ ธรรม 7 มาบูรณาการในการบรหิ ารงาน
แนวคิดและวิธีการปฏิบัติของเครือข่ายบัณฑิต แก้ไขปัญหาในการปฏิบัติงาน และในการบริหาร
อาสาในภาคเหนือของพระบัณฑิตอาสาจังหวัด จัดการตามหลักการท�ำงานที่ก่อให้เกิดความเจริญ
เชียงใหม่ 7 อาศรม และพระบณั ฑติ อาสาจังหวัด ก้าวหนา้ ในการท�ำงาน

254 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

5. อภิปรายผลการวจิ ยั ปฏิบัติงานประสบความส�ำเร็จตามเปา้ หมาย
6. การปฏิบัติงานของพระบัณฑิตอาสา
1. แนวคดิ ในการทำ� งานของพระบณั ฑติ ถ้าจะให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ควรมีการประเมินผล
อาสาเปน็ แบบเชงิ รกุ หรอื แบบองคร์ วม คอื รว่ มคดิ หลังการปฏิบัติงานในกิจกรรมต่างๆ เพ่ือที่จะได้
ร่วมท�ำ ร่วมแก้ไขปัญหา โดยการเผยแผ่พระพุทธ เปน็ ขอ้ มลู ในการนำ� ไปพฒั นา ปรบั ปรงุ การปฏบิ ตั งิ าน
ศาสนาเน้นการพัฒนาชีวิตด้านจิตใจควบคู่กับการ ในการทำ� กจิ กรรมครง้ั ตอ่ ๆ ไป
พฒั นาสงั คม ชมุ ชน มงุ่ เนน้ ประโยชนส์ ขุ ของชมุ ชน 7. การปฏิบัติงานของพระบัณฑิตอาสา
ให้มีชีวิตทีด่ ีข้ึน จะตอ้ งมกี ารวางแผนการปฏบิ ตั ิงานตามพนั ธกจิ 6
2. ผู้ท่ีปฏิบัติงานโครงการพระบัณฑิต ตลอดทั้งปียังไม่พอ จะต้องยึดหลักธรรมทาง
อาสาพัฒนาชาวเขาบนพ้นื ที่สูง การสร้างแรงจงู ใจ พระพทุ ธศาสนามาประยกุ ตใ์ ชก้ บั ตนเอง และเพอื่ น
ทเ่ี ปน็ “ฉนั ทะ” ใหเ้ กดิ ขนึ้ ในการทำ� งาน ซง่ึ ถอื เปน็ ร่วมงาน และในการปฏิบัติงานด้วย โดยเฉพาะ
สงิ่ สำ� คญั ประการแรกทต่ี อ้ งมแี ละเปน็ ปจั จยั ในการ พระบัณฑิตอาสาจะต้องมีความเสียสละ และต้อง
ท�ำให้เกิดความศรัทธาและเช่ือม่ันในคุณค่าของ ใชค้ วามอดทนตอ่ สง่ิ ตา่ งๆ มาก เชน่ ปญั หาการเดนิ
สงิ่ ท่ตี นเองกระทำ� ทางสัญจรเข้า-ออกที่ล�ำบาก ขาดงบประมาณใน
3. พระบัณฑิตอาสาท่ีปฏิบัติงานใน การด�ำเนินงานกิจกรรมต่างๆ และชนเผ่ามีความ
โครงการพระบณั ฑติ อาสาพฒั นาชาวเขาบนพนื้ ทส่ี งู เชื่อด่ังเดิมของตน ยากต่อการเผยแผ่ค�ำสอนทาง
มีปัญหาการเดินทางสัญจรเข้า-ออกท่ีล�ำบาก พระพุทธศาสนา
ขาดงบประมาณในการด�ำเนินงานกิจกรรมต่างๆ
และชนเผ่ามีความเช่ือด่ังเดิมของตน ยากต่อการ 6. ขอ้ เสนอแนะ
เผยแผ่คำ� สอนทางพระพุทธศาสนา จะต้องมีความ
เสียสละและความอดทนสูง จึงจะปฏิบัติงาน 1. ข้อเสนอแนะในทางปฏบิ ัติ
ในโครงการน้ีได้สำ� เรจ็ 1.1 ผู้บริหารของมหาวิทยาลัยควร
4. พระบัณฑิตอาสาได้มีการพัฒนา เข้าเยี่ยมเยือนบัณฑิตอาสาให้มากข้ึน อย่างน้อย
ตนเองในการเป็นผู้น�ำเรียนรู้และเพิ่มศักยภาพ เดอื นละ 1 ครงั้ เพอื่ พบปะ พดู คยุ ปรกึ ษาหารอื ใน
ทักษะในการท�ำงานใหม่ๆ โดยตระหนักถึงคุณค่า การสรา้ งความสมั พันธอ์ ันดี และให้ก�ำลงั ใจในการ
ของเวลาและไดป้ ระสบการณใ์ หมๆ่ ปฏิบัติงาน
5. การปฏิบัติงานของพระบัณฑิตอาสา 1.2 ควรใหก้ ารสนบั สนนุ งบประมาณ
ในโครงการพระบัณฑิตอาสาพัฒนาชาวเขา เพ่ิมขนึ้
จะประสบความสำ� เรจ็ จะตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามพนั ธกจิ 6 1.3 จดั ใหม้ อี บรมบณั ฑติ อาสาในดา้ น
ท่ีเป็นกรอบในการปฏิบัติงาน โดยจะต้องมีการ การบริหารจัดการการปฏิบัติงานในรูปแบบต่างๆ
วางแผนในการปฏิบัติตลอดทั้งปี จึงจะให้การ อย่างนอ้ ยปีละ 1 ครั้ง

ปที ี่ 19 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 255

1.4 ควรให้มีการนัดพบปะระหว่าง 2.1 จัดท�ำคู่มือในการปฏิบัติงานใน
บณั ฑิตอาสาในภาคเหนือ เพอ่ื จะได้แลกเปลี่ยนวธิ ี เครือข่ายโครงการพระบัณฑิตอาสาชาวเขา
การทำ� งาน ปญั หา อปุ สรรค การแกไ้ ขปญั หาตา่ งๆ 2.2 ประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงาน
1.5 ควรมีการเก็บข้อมูลหลังท�ำ ต่างๆ ในสังคม ให้เห็นความส�ำคัญของโครงการ
กิจกรรมตา่ งๆ เสรจ็ ส้ินลง เพือ่ จะไดข้ ้อมลู ทีจ่ ะนำ� พระบณั ฑิตอาสาพฒั นาชาวเขา เพอื่ ท่ีจะได้ให้การ
ไปวิเคราะห์พัฒนา ปรับปรุงในการท�ำกิจกรรมใน สงเคราะห์ ช่วยเหลือคนในสังคมชนกลุ่มพ้ืนที่สูง
ครัง้ ตอ่ ไป ท่ีจะน�ำไปสู่การสร้างเครือข่ายและได้ร่วมกัน
2. ขอ้ เสนอแนะในการจดั องคค์ วามรู้ ท�ำงานในโครงการต่อไปยังเขม้ แขง็

References

Phrapalad Suchart Suwadhoko. (2005). The Religious Practices of the Graduated School
Volunteers: Hill Tribe Development Project Handbook. Chiangami : PD Printing.

Mahachulalongkornrajvidyalaya University Chiangmai Campus. (2003). The Report of
Religious Practices of the Gradated School Volunteers. Chiangmai : Mahachulalong
kornrajvidyalaya University Chiangmai Campus.



แรงจงู ใจในการปฏบิ ตั ิธรรมของนกั ศกึ ษา
มหาวทิ ยาลัยมหามกุฏราชวทิ ยาลยั วิทยาเขตอสี าน จงั หวดั ขอนแก่น*
Motivation in Buddhist Meditation of Students in Mahamakut

Buddhist University Isan Campus Khon Kaen Province

พระครูปลดั สุรวุฒิ แสงมะโน, พระปลดั วสันต์ ธรี วโร, อัครเดช นีละโยธิน,
ประชัน ชะชกิ ลุ และภัทรชัย อุทาพันธ์

Phrakhrupalad Surawut Saengmano, Phrapalad Wasan Teerawaro,
Akkharadet Neelayothin, Prachan Chachikul and Phattharachai Uthaphun

มหาวทิ ยาลัยมหามกุฏราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตอสี าน
Mahamakut Buddhist University, Isan Campus, Thailand

Corresponding Author, E-mail: [email protected]

บทคดั ย่อ

การวจิ ยั ครงั้ นี้ มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื 1) ศกึ ษาแรงจงู ใจในการปฏบิ ตั ธิ รรมของนกั ศกึ ษามหาวทิ ยาลยั
มหามกุฏราชวทิ ยาลยั วิทยาเขตอีสาน จงั หวดั ขอนแก่น และ 2) เพอื่ เปรยี บเทียบแรงจงู ใจในการปฏบิ ัติ
ธรรมของนกั ศกึ ษามหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตอสี าน จงั หวดั ขอนแกน่ โดยเปรยี บเทยี บ
จากเพศ สถานภาพ และสาขาวชิ าทเ่ี รียน ด้วยระเบียบวิธีวจิ ยั เชิงส�ำรวจ จากกลมุ่ ตัวอย่างของประชากร
ที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน จังหวัดขอนแก่น เข้าร่วมโครงการ
ปฏิบตั ิธรรม จำ� นวน 219 ราย
ผลการวจิ ยั พบวา่ 1) นกั ศกึ ษามหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั มแี รงจงู ใจในการปฏบิ ตั ธิ รรม
ในระดบั มาก 2) นกั ศกึ ษามหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัยทมี่ เี พศต่างกนั มแี รงจงู ใจในการปฏิบตั ธิ รรม
ไมแ่ ตกตา่ งกนั 3) นกั ศกึ ษามหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั ทม่ี สี ถานภาพตา่ งกนั มแี รงจงู ใจในการปฏบิ ตั ิ
ธรรมไมแ่ ตกตา่ งกนั 4) นกั ศกึ ษามหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั ทม่ี สี าขาวชิ าตา่ งกนั มแี รงจงู ใจในการ
ปฏบิ ตั ธิ รรมแตกตา่ งกัน อยา่ งมนี ัยสำ� คญั ทางสถิติทรี่ ะดับ .05
คำ� สำ� คัญ: แรงจงู ใจ; การปฏบิ ตั ธิ รรม

* ไดร้ บั บทความ: 12 มกราคม 2562; แกไ้ ขบทความ: 27 กมุ ภาพันธ์ 2562; ตอบรับตีพมิ พ:์ 18 มีนาคม 2562
Received: January 12, 2019; Revised: February 27, 2019; Accepted: March 18, 2019

258 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

Abstract

This research aims to study the motivation in Buddhist meditation of students at
Mahamakut Buddhist University Isan Campus and to compare the motivation in Buddhist
meditation of the students by their personal factors: gender, status, and major of education.
The survey methodology was used, to gather data from the samples of the population
who are students at Mahamakut Buddhist University, Isan Campus.
The results showed that: 1) the students at Mahamakut Buddhist University Isan
Campus reflected the motivation in Buddhist meditation at a high extent. 2) Gender
differences, male and female of students, are not different motivation in Buddhist
meditation. 3) The students with different status did not show the different motivation
in Buddhist meditation. 4) The students with different majors of education showed the
different motivation in Buddhist meditation, with statistical significance at the 0.05 level.
Keywords: Motivation; Meditation

1. บทน�ำ เกิดความผิดพลาดประสิทธิภาพประสิทธิผลลดลง
จนไม่อาจบรรลุเป้าหมายหรือล้มเหลวในชีวิต
โลกปจั จุบนั ในศตวรรษท่ี 21 นั้น แคบลง หน้าท่ีการงาน ดังนั้นจึงต้องมีการบริหารจัดการ
เน่ืองจากมีการเปล่ียนแปลงด้านการสื่อสารและ กับความเครียด โดยน�ำหลักการปฏิบัติธรรม
เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วและตลอด ในพระพทุ ธศาสนามาใช้ ฝกึ อบรมจติ ใหเ้ ขา้ ถงึ ความ
เวลา ทำ� ใหเ้ กดิ การแขง่ ขนั สงู ในการประกอบอาชพี จริงแท้เกิดความรอบรู้จนถึงที่สุดว่าอัตภาพ
และการด�ำรงชีวิต ที่เกิดผลกระทบตอการใช้ชีวิต ของตนเอง ซ่ึงประกอบด้วยรูปและนามนค้ี อื อะไร
ประจ�ำวัน และท�ำให้เกิดปัญหาทั้งต่อตนเอง ท�ำอย่างไรจึงจะสามารถปรับกายและจิตให้อยู่ใน
ส่วนรวม องค์กร สังคม รวมถึงประเทศชาติ สภาพปกติได้ ไม่ขาดตกบกพร่องท้ังทางกายและ
โดยทกุ คนจะตอ้ งมคี วามสามารถหรอื ทกั ษะในการ จิตใจ จิตจึงเป็นส่ิงท่ีส�ำคัญที่สุดที่จะต้องประกอบ
แก้ไข และปรับตัว เพื่อรับสภาพของเปลีย่ นแปลง ด้วยสติที่สมบูรณ์พร้อม เพราะความบกพร่อง
น้ันๆ แต่ถ้าไม่สามารถแก้ปัญหาหรือปรับตัวได้ ทางจิตอันเนื่องมาจากการขาดสติย่อมน�ำมา
ปัญหาก็จะเกิดขึ้นกับตนเองและอาจขยายผล ซ่งึ ความทุกขอ์ ยา่ งใหญห่ ลวงแกม่ นษุ ย์
กระทบต่อสังคมส่วนรวมด้วย เพราะเม่ือสภาพ การปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาน้ัน
จติ ใจถดถอยเกดิ ความเครยี ดมากขนึ้ ยอ่ มทำ� ใหก้ าร มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาความทุกข์ หรือขจัด
ใชช้ วี ติ และการทำ� งานขาดประสทิ ธภิ าพ ไมม่ สี มาธิ

ปีท่ี 19 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 259

ความทุกข์และเพื่อน�ำไปสู่การดับทุกข์โดยส้ินเชิง เพียงแต่ต้องเปิดใจรับความเป็นเหตุเป็นผลความ
ในทสี่ ดุ ดงั นน้ั การปฏบิ ตั ธิ รรมจงึ มคี วามสำ� คญั และ จรงิ ทเี่ กดิ ขนึ้ ไมป่ ฏบิ ตั ติ นในสงิ่ ทไ่ี มเ่ ปน็ เหตแุ ละผล
จ�ำเป็นอยา่ งย่ิงกบั มนษุ ย์ทุกคน โดยไม่เลอื กชนช้ัน มีความต้ังใจ มานะ และอดทนเป็นทตี่ ัง้ หลักการ
เชือ้ ชาติ อาชีพ เพศ วยั และฐานะ เพียงแตผ่ ้นู น้ั ปฏิบัติพุทธธรรมที่ใช้เป็นหลักในการปฏิบัติพุทธ
จะต้องมีความต้ังใจท่ีจะปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง ธรรมนั้นมีอยู่เพียง 2 ข้อเท่าน้ัน คือ 1) ต้องคิด
เพราะทุกคนล้วนต้องการความสุขและไม่ต้องการ วิเคราะห์พิจารณาให้เห็นความจริงที่ปรากฏมีอยู่
ทกุ ข์ท้ังสน้ิ ตรงหนา้ โดยคำ� นงึ ไวต้ ลอดเวลาวา่ “ทกุ ชวี ติ ไมว่ า่ คน
การปฏิบัติธรรมไม่จ�ำเป็นต้องปฏิบัติที่วัด หรอื สตั วต์ า่ งกม็ คี วามทกุ ข์ และทกุ ชวี ติ ตอ้ งมภี าระ
หรอื ในสำ� นกั ท่จี ัดข้ึนไว้ เพอื่ การปฏิบตั เิ ท่านน้ั เปน็ ในการแก้ทุกข์ตลอดเวลา ต้ังแต่ต่ืนจนหลับ
ความเขา้ ใจคลาดเคลื่อนและไม่จำ� เป็น เพราะการ เช่นเดียวกับทุกชีวิตโดยกระท�ำแบบน้ีจนตาย”
บรรเทาความทกุ ขห์ รอื ทำ� ใหท้ กุ ขล์ ดลงหรอื หมดไป ดังน้ัน การกระท�ำใดๆ ก็ตามที่เป็นไปเพ่ือการ
ไมไ่ ดข้ ้ึนอย่กู บั สถานทส่ี ามารถท�ำไดท้ ุกที่ ทกุ เวลา เบียดเบียนตนเองและชีวิตอื่น ก็ต้องหยุดกระท�ำ
ด้วยการท�ำความเขา้ ใจ และต้ังใจปฏบิ ตั ธิ รรมตาม ส่ิงเหล่าน้ัน ด้วยเหตุที่ผู้ปฏิบัติธรรมทุกคน
แนวทางที่พระพุทธเจ้าได้ทรงส่ังสอนไว้ด้วยความ ควรส�ำนึกว่าการเป็นคนท่ีมีจิตใจสูงและงดงามน้ัน
พยายาม และอดทน จนเกดิ ความแจม่ แจง้ ในธรรม จะตอ้ งมกี ารกระทำ� ทง้ั ทางกาย วาจา และใจเหมาะ
เหลา่ น้นั คอื รู้ถึงเหตปุ ัจจัยที่ทำ� ใหเ้ กิดทุกข์ และรู้ สมกับค�ำว่า “เกิดเป็นมนุษย์” ด้วยการไม่
วิธีที่จะน�ำไปสู่การดับทุกข์เหล่านั้น จิตใจก็เกิด เบียดเบียนและมีเมตตากรุณาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
ความสขุ คลายทกุ ข์ หรอื ดับทกุ ขน์ น้ั ได้ แมแ้ ตใ่ น ต่อชีวิตอื่น ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ก็ตาม
ขณะท่ีก�ำลังท�ำงานหรือปฏิบัติหน้าท่ีประจ�ำวัน 2) ในขณะทีย่ งั ไม่หลับ ให้มีสติ ให้ระลกึ รู้และรู้สกึ
น่ันเองความสุขจะเกิดข้ึนในจิตของ เม่ือได้ด�ำเนิน ตวั อยู่ทกุ ขณะว่า ก�ำลงั ท�ำอะไรอยู่ ทุกอริ ยิ าบถ น่ัง
ไปตามกระบวนการปฏิบัติธรรมท่ีถูกต้องตาม นอน เดนิ ยนื รวมถงึ ก�ำลังคิดนึกอะไร ดีใจ เสยี ใจ
ขน้ั ตอนของการฝกึ ปฏบิ ตั ติ นในไตรสกิ ขา กลา่ วคอื เศรา้ งว่ งเจบ็ ปวด และมอี ะไรเกดิ ขน้ึ กบั ตวั ซงึ่ ปรากฏ
การระมดั ระวงั กายวาจาดว้ ยการรกั ษาศลี การสงบ ทางตา หู จมูก ล้ิน กาย และใจ จากรอบๆ ตัว
ระงับจิตใจด้วยการปฏิบัติสมาธิ และการเข้าถึง การปฏบิ ตั ใิ นขอ้ น้ี คอื การเจรญิ สตสิ มั ปชญั ญะและ
ความจริงด้วยปัญญาท่ีรู้แจ้งธรรม และด้วยเหตุน้ี เขา้ สสู่ ตปิ ฏั ฐานไดใ้ นทสี่ ดุ ถา้ กระทำ� อยา่ งสมำ�่ เสมอ
เมอื่ ไดป้ ฏบิ ตั ธิ รรมพอสมควรแกธ่ รรม โดยไมจ่ ำ� กดั ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติพุทธธรรมในเบื้องต้นแล้ว
เวลาและสถานท่ี และก็จะเป็นผู้รู้ด้วยตัวของเอง ความทุกข์ท่ีไม่พึงปรารถนาแต่มักมาอยู่กับเป็น
ไม่ต้องให้ใครบอกหรือแนะนำ� หรอื คาดการณ์ใดๆ ประจ�ำนั้น ก็จะลดลง ความเป็นคนมีคุณธรรม
ท้ังส้ินหลักการปฏิบัติพุทธธรรมน้ันเป็นส่ิงท่ีท�ำได้ จรยิ ธรรม รวมถงึ มคี วามสขุ กจ็ ะเกดิ ขนึ้ และเมอ่ื ดี
ไม่ยาก ท้ังวิธีปฏิบัติและความเข้าใจที่ถูกต้อง ข้นี กร็ ูไ้ ด้ดว้ ยตนเอง ไม่จำ� เปน็ ต้องไปถามใครหรือ

260 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

ต้องให้ใครมาบอกวา่ เป็นคนดขี น้ึ แลว้ มีความสุข ปรัชญาของมหาวิทยาลัย ท่ีจะต้องพัฒนาตนเอง
มากขึน้ แลว้ ความปีติ ยนิ ดี และอิม่ ใจจะเกดิ มีขนึ้ เพอื่ ยกระดบั บคุ ลากรและนกั ศกึ ษานกั ศกึ ษาใหเ้ ปน็
กับตัวของเอง และก็ไม่ต้องการค�ำสรรเสริญใดๆ คนดที ง้ั กายและใจ กลา่ วคอื เปน็ ผมู้ คี วามรู้ ดว้ ยการ
จากใครความเป็นสุขเกิดกับตัวเอง เพราะว่ารู้ตัว ศึกษาค้นคว้า วิจัย และแสวงหาความรู้เก่ียวกับ
ของเองดีกว่าคนอื่นท้ังหมดว่าความท�ำดีแล้วและ วิชาการทางพระพุทธศาสนา เพ่ือประยุกต์เข้ากับ
เป็นคนมีคุณธรรม จริยธรรม และมีความสุข ศาสตร์ต่างๆ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา
โดยไม่ต้องให้มีใครมาบอกหรือชม นั้นก็เพียง มหาวิทยาลัยและพระพุทธศาสนา รวมท้ังเพ่ือ
พอแล้วสำ� หรบั ตวั แล้ว บรกิ ารความรเู้ กยี่ วกบั วชิ าการทางพระพทุ ธศาสนา
จากท่ีได้กล่าวมาแล้วข้างต้นจะเห็นได้ว่า ท้ังความรู้และการลงมือปฏิบัติ อันจะก่อให้เกิด
แรงจงู ใจทท่ี ำ� ใหม้ นษุ ยต์ อ้ งการปฏบิ ตั พิ ทุ ธธรรมคอื พัฒนาการต่อนักศึกษามหาวิทยาลัยมหามกุฏราช
ความตอ้ งการทจี่ ะมคี วามสขุ มีชีวติ ทีด่ ี และพ้นไป วิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน ต่อชุมชนและสังคม
จากความทุกข์ สามารถระงับดับทุกข์ได้ ทุกกาล รวมถึงเกิดความงสมดุลท่ยี ง่ั ยืน
ทกุ เวลา และทุกสถานที่ และยอมรับไดว้ า่ ตนนั้น ดงั นนั้ มหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั
เป็นคนดีทั้งกายและใจ สามารถด�ำเนินชีวิตไป วทิ ยาเขตอสี าน จงึ มนี โยบายใหน้ กั ศกึ ษาไดร้ บั การ
บนหนทางทถี่ กู ตอ้ งงดงาม ไมเ่ ปน็ ผเู้ บยี ดเบยี นผอู้ นื่ พัฒนาจิตใจ โดยการปฏิบัติธรรม ให้เป็นไปตาม
ให้ได้รับความเดือดร้อนหรือทุกข์ใจ เพราะรู้ว่า วตั ถปุ ระสงคข์ องมหาวทิ ยาลยั เพอื่ พฒั นาคณุ ภาพ
ตนต้องการความสุขเกลียดทุกข์ฉันใด ผู้อ่ืนก็ย่อม นกั ศกึ ษาใหเ้ ปน็ ผมู้ คี วามรู้ ความสามารถ มคี ณุ ธรรม
ตอ้ งการความสขุ เกลยี ดทกุ ขเ์ หมอื นฉนั นน้ั สว่ นผทู้ ี่ จริยธรรม และมีความรับผิดชอบต่อตนเอง
แม้จะอยู่ในวัดหรือในส�ำนักปฏิบัติธรรม หากไม่มี มหาวิทยาลัย พระพุทธศาสนา และสังคมโดย
หลกั ในการปฏบิ ตั ทิ งั้ สองขอ้ นน้ั กไ็ มอ่ าจจะพน้ จาก ส่วนรวมการศึกษาแรงจูงใจในการปฏิบัติวิปัสสนา
ทุกข์หรือพบกับความสุขได้ หรือไม่อาจเกิดความ กรรมฐาน ของนักศึกษานักศึกษามหาวิทยาลัย
สุขในการด�ำรงชีวิต การประกอบอาชีพในโลก มหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน จึงเป็นไป
ปัจจุบัน หรือการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขในสังคม เพ่ือเพิ่มพูน สติปัญญาเน้นการเจริญสติ โดยมีวิธี
องคก์ รทลี่ ว้ นแตป่ ระกอบดว้ ยทกุ ขแ์ ละปญั หาตา่ งๆ การตามรู้ตามดูอารมณ์ปรมัตถ์อยู่ตลอดเวลา
และเช่นเดียวกับนักศึกษามหาวิทยาลัยมหามกุฏ ซง่ึ ไดแ้ ก่ กาย เวทนา จติ และธรรม ดว้ ยใจท่ีเป็น
ราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตอสี าน เปน็ มหาวทิ ยาลยั สงฆ์ กลาง ไม่ปรุงแต่งเพิ่มเติม ดูตามความเป็นจริง
แห่งคณะสงฆ์ไทย ซ่ึงเป็นแหล่งเรียนรู้และบริการ ส่ิงใดปรากฏก็ก�ำหนดรู้จนเห็นความไม่เท่ียงแท้
วิชาการทางพระพุทธศาสนาและศาสตร์ชั้นสูง คือทุกส่ิง เป็นทุกข์ ไม่เท่ียง และบังคับควบคุม
ส�ำหรับพระภิกษุสามเณรและประชาชนท่ัวไป ไม่ได้ ซึ่งวิธีดงั กล่าว คือ “การเจริญสตปิ ฏั ฐาน 4”
ท่ีบัณฑิตของมหาวิทยาลัยทุกคน ต้องยึดถือหลัก เพ่ือพัฒนาจิตใจให้มีความมั่นคง มีเหตุผลรู้ดีรู้ช่ัว

ปที ่ี 19 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 261

ยอมรับความเป็นจริง และปฏิบัติตนให้อยู่ใน อีสาน จงั หวัดขอนแก่น จำ� นวน 245 ราย
ศลี ธรรมอันดไี ด้ 2. เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัยเป็นแบบ
ดงั นนั้ ผวู้ จิ ยั จงึ มองเหน็ ถงึ ความสำ� คญั และ สอบถาม (Questionnaire) ซง่ึ ไดศ้ กึ ษาและพฒั นา
มีความจ�ำเป็นอย่างย่ิงที่จะศึกษาแรงจูงใจการ ข้ึนมาจากการทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัย
ปฏิบัติธรรมของนักศึกษามหาวิทยาลัยมหามกุฏ ทเี่ กย่ี วขอ้ ง สำ� หรบั แบบสอบถามแบง่ ออกเปน็ 2 สว่ น
ราชวทิ ยาลัย วทิ ยาเขตอสี าน เพือ่ ให้เป็นไปสนอง คือ 1) ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม
นโยบาย วัตถุประสงค์ของมหาวิทยาลัยท่ีมุ่งให้ เป็นแบบตรวจสอบ (Check List) จ�ำแนกเพศ
บัณฑิตมหาวิทยาลัยมีการพัฒนาทางด้านจิตใจใน สถานภาพ และสาขาวิชาที่เรียน 2) แบบสอบถาม
ทางทีด่ ีขึน้ โดยยดึ หลักสติปัฏฐาน 4 เป็นแนวทาง มาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) โดยมี
ในการปฏิบัติธรรม ประโยชน์จากการศึกษาคร้ังนี้ 5 เกณฑ์ระดบั ของ Kibert Scale จ�ำนวน 22 ขอ้
ไม่เพียงจะเกิดแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยมหามกุฏ Model การตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ
ราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตอสี าน ตวั ผศู้ กึ ษาเองเทา่ นน้ั พิจารณาค่าความเที่ยงตรงของแบบสอบถาม
แต่ยังจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน สังคมและ หรือความตรงของเน้ือหา (IOC : Index of Item
ประเทศชาติ ท้งั ในทางวิชาการทางปฏิบตั ิต่อไป Objective Congruence) จากผเู้ ชย่ี วชาญ จำ� นวน
5 ท่าน มคี า่ เทา่ กบั 0.90 และการตรวจสอบความ
2. วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจัย เท่ียงตรง (Reliability) โดยทดลองใช้กับกลุ่ม
ตัวอย่างซึ่งเป็นนักศึกษา วิทยาลัยศาสนศาสตร์
1. เพอ่ื ศกึ ษาแรงจงู ใจในการปฏบิ ตั ธิ รรม เฉลิมพระเกียรติกาฬสินธุ์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏ
ของนักศึกษามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ราชวิทยาลัย จ�ำนวน 30 ชุด ได้ค่าสัมประสิทธิ์
วทิ ยาเขตอีสาน จังหวดั ขอนแกน่ ความเท่ียงแบบอัลฟ่า (Alpha Reliability
2. เพื่อเปรียบเทียบแรงจูงใจในการ Coefficient) ท้ังฉบับได้ค่าเท่ากับ 0.963 สรุป
ปฏิบัติธรรมของนักศึกษามหาวิทยาลัยมหามกุฏ ได้ว่า เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัยคร้ังน้ี มีคุณภาพ
ราชวิทยาลยั วิทยาเขตอีสาน จังหวัดขอนแกน่ ทั้งในด้านความตรง (Validity) และความเท่ียง
(Reliability) อยใู่ นระดบั ทสี่ งู ขน้ึ ไป ดงั นน้ั สามารถ
3. วิธีด�ำเนินการวิจยั น�ำไปใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ได้
3. เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู จากประชากรดว้ ย
การศึกษาคร้ังน้ี ผู้วิจัยใช้วิธีการวิจัย วิธีการจับฉลากแบบไม่ใส่คืนจากบัญชีรายช่ือ
เชิงสำ� รวจ ประกอบดว้ ย นักศึกษาที่เข้าร่วมกิจกรรมการปฏิบัติธรรมของ
1. ประชากรในการวิจัย คือ นักศึกษา นักศึกษามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
มหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตอสี าน วิทยาเขตอีสาน จังหวดั ขอนแก่น ท่เี ปน็ ประชากร
จังหวัดขอนแก่น ที่ร่วมกิจกรรมการปฏิบัติธรรม
ของมหาวิทยาลยั มหามกฏุ ราชวิทยาลยั วิทยาเขต

262 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

ในการวิจัยครั้งนี้ ได้รับแบบสอบถามคืนจ�ำนวน 3. เปรียบเทียบระดับแรงจูงใจในการ
219 ฉบบั คดิ เปน็ รอ้ ยละ 89.38 ของแบบสอบถาม ปฏิบัติธรรมของนักศึกษามหาวิทยาลัยมหามกุฏ
ที่ส่งไปทั้งหมด ราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน จังหวัดขอนแก่น
4. วิเคราะห์โดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ จ�ำแนกสมณะรูปของนักศึกษามหาวิทยาลัย
เพ่ือหาค่าเฉล่ีย ค่าส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน มหามกุฏราชวิทยาลัย ท่ีมีสถานภาพแตกต่างกัน
การทดสอบที และการทดสอบเอฟ (Tabacnick & คอื ระหวา่ งบรรพชติ กบั คฤหสั ถ์ ในการปฏบิ ตั ธิ รรม
Fidell, 2001) ของนักศึกษามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
วิทยาเขตอสี าน จงั หวดั ขอนแก่นที่แสดงให้เห็นถึง
4. สรปุ ผลการวจิ ัย แ ร ง จู ง ใ จ ใ น ก า ร ป ฏิ บั ติ ธ ร ร ม ข อ ง นั ก ศึ ก ษ า
มหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตอสี าน
1. ระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติธรรม จังหวัดขอนแกน่ ไมแ่ ตกต่างกันที่ระดบั ความมนี ยั
ของนักศึกษามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ซึ่งไม่เป็นไปตาม
วทิ ยาเขตอสี าน จงั หวดั ขอนแกน่ ผลการวจิ ยั พบวา่ สมมตุ ฐิ านทต่ี งั้ ไว้
นักศึกษามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 4. เปรียบเทียบระดับแรงจูงใจในการ
วิทยาเขตอสี าน จงั หวัดขอนแกน่ มีระดับแรงจงู ใจ ปฏิบัติธรรมของนักศึกษามหาวิทยาลัยมหามกุฏ
การปฏิบัติธรรม โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน จังหวัดขอนแก่น
( = 4.31, S.D. = 0.39) เมอื่ พจิ ารณาเปน็ รายดา้ น จ�ำแนกตามสาขานักศึกษามหาวิทยาลัยมหามกุฏ
พบวา่ ดา้ นพัฒนาตนเอง ( = 4.33, S.D. = 0.32) ราชวิทยาลัยวิทยาเขตอีสาน จังหวัดขอนแก่น
อย่ใู นระดับมาก รองลงมา ดา้ นพัฒนาองคค์ วามรู้ ท่ีมีสาขาแตกต่างกัน 4 กลุ่ม คือ กลุ่มคณะ
กับหลักธรรมตนเอง ( = 4.32, S.D. = 0.47) มนุษยศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ กลุ่มคณะ
อยู่ในระดับมาก ส่วนด้านพัฒนาการเรียนรู้ ศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาการสอนภาษาอังกฤษ
( = 4.31, S.D. = 0.43) มีระดับแรงจงู ใจอยใู่ น กลมุ่ คณะสงั คมศาสตร์ สาขาวชิ าการปกครองและ
ระดบั มาก ตามลำ� ดับ กลุ่มคณะสังคมศาสตร์ สาขาวิชาสังคมสงเคราะห์
2. เปรียบเทียบระดับแรงจูงใจในการ ศาสตร์ มีระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติธรรมของ
ปฏิบัติธรรมของนักศึกษามหาวิทยาลัยมหามกุฏ นักศึกษามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
ราชวิทยาลัยวิทยาเขตอีสาน จังหวัดขอนแก่น แตกต่างกัน ที่ระดับความมีนัยส�ำคัญทางสถิติ
จ�ำแนกตามเพศ นักศึกษามหาวิทยาลัยมหามกุฏ ที่ระดับ 0.05 ซึ่งเปน็ ไปตามสมมุตฐิ านที่ต้งั ไว้
ราชวิทยาลัยที่เป็นเพศชาย และเพศหญิงมีระดับ จากผลการวจิ ัยดังกลา่ ว ผ้วู จิ ัยได้ทดสอบ
แ ร ง จู ง ใ จ ใ น ก า ร ป ฏิ บั ติ ธ ร ร ม ข อ ง นั ก ศึ ก ษ า ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยรายคู่ด้วย Sheff’s
มหาวทิ ยาลยั มหามกุฏราชวทิ ยาลยั ไมแ่ ตกตา่ งกัน Method พบว่า นักศึกษากลุ่มคณะสังคมศาสตร์
ซึ่งไม่เปน็ ไปตามสมมตุ ิฐานทต่ี ัง้ ไว้

ปที ี่ 19 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 263

สาขาวชิ าสงั คมสงเคราะหศ์ าสตร์ มแี รงจงู ใจในการ อัตลักษณ์บัณฑิตมีความรอบรู้ในหลักพระพุทธ
ปฏบิ ตั ธิ รรมสงู กวา่ นกั ศกึ ษากลมุ่ คณะมนษุ ยศาสตร์ ศาสนาและสามารถเผยแผ่พระพุทธศาสนา
สาขาวิชาภาษาอังกฤษ กลุ่มคณะศึกษาศาสตร์ แกส่ ังคมในระดับชาติหรอื นานาชาติ (Ministry of
สาขาวิชาการสอนภาษาอังกฤษ และกลุ่มคณะ Education, 2018)
สงั คมศาสตร์ สาขาวชิ าการปกครอง 2. จากผลการเปรียบเทียบแรงจูงใจ
ในการปฏิบัติธรรมของนักศึกษามหาวิทยาลัยมหา
5. อภิปรายผลการวจิ ยั มกฏุ ราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตอสี าน จงั หวดั ขอนแกน่
โดยท่ีเป็นเพศชายและเพศหญิง พบว่า แรงจูงใจ
1. ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษามหา ในการปฏิบัติธรรมของนักศึกษามหาวิทยาลัย
วิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน มหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน จังหวัด
จังหวัดขอนแก่น ที่มีแรงจูงใจในการปฏิบัติธรรม ขอนแกน่ ทม่ี เี พศตา่ งกนั มคี วามคดิ เหน็ ไมแ่ ตกตา่ ง
โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ท้ังนี้อาจเนื่องจาก กัน ที่ระดบั นัยสำ� คัญทางสถติ ิท่ี .05 ซง่ึ เปน็ ไมเ่ ป็น
เป็นนโยบายของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราช ไปตามสมมุติฐานที่ต้ังไว้ ทั้งน้ีอาจเป็นเพราะว่า
วิทยาลัย วทิ ยาเขตอสี าน จงั หวัดขอนแกน่ ที่เนน้ ในปจั จบุ นั นกั ศกึ ษาหญงิ และนกั ศกึ ษาชาย มคี วาม
ผลผลิตนักศึกษาให้มีคุณภาพ ให้มีคุณธรรม เท่าเทียมกัน โอกาสทางการรับรู้และพัฒนาการ
จริยธรรม ตามข้อก�ำหนดมาตรฐานคุณลักษณะที่ จัดการเรียนรู้ที่เท่าเทียมกัน และการรับหรือการ
พึ่งประสงค์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยมหามกุฏ เรียนรู้เหมือนกัน สอดคล้องกับงานวิจัยของ
ราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตอสี าน จงั หวดั ขอนแกน่ รวม พระมานสั ฐานิสสฺ โร (Phra Manut Tanissaro,
ถึงการปลูกฝังการเข้าถึงหลักธรรมโดยการสั่งสอน 2012) เรอ่ื ง การศกึ ษาความพงึ พอใจของประชาชน
ของอาจารย์มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ตอ่ การเขา้ ปฏบิ ตั ธิ รรมในสำ� นกั ปฏบิ ตั ธิ รรมประจำ�
วิทยาเขตอีสาน จังหวัดขอนแก่นสอดคล้องกับ จังหวดั ราชบรุ ี แห่งที่ 18 พบว่า เพศชายและหญงิ
มาตรฐานการอดุ มศกึ ษา พ.ศ. 2561 วา่ ดว้ ยมงุ่ เนน้ มีความพึงพอใจต่อการเข้าปฏิบัติธรรมในส�ำนัก
การพัฒนาคนและสังคมไทยให้เป็นรากฐาน ปฏิบัติธรรม ประจ�ำจังหวัดราชบุรี แห่งที่ 18
ที่แข็งแกร่งของประเทศ มีความพร้อมทางกาย โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน ซึ่งไม่เป็นไปตาม
ใจ สติปญั ญา และทักษะศตวรรษท่ี 21 มีคณุ ธรรม สมมตฐิ านท่ตี งั้
จรยิ ธรรม เคารพกฎหมาย มภี าวะผนู้ ำ� รรู้ กั ษค์ ณุ คา่ 3. จากผลการเปรียบเทียบแรงจูงใจ
ความเปน็ ไทยและรบู้ รบิ ทสากล โดยมงุ่ หวงั ให้การ ในการปฏิบัติธรรมของนักศึกษามหาวิทยาลัย
จัดการศึกษาเป็นการศึกษาตลอดชีวิต สร้างวิถี มหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน จังหวัด
การเรียนรู้ของคนไทยให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ ขอนแกน่ ทจ่ี ำ� แนกระหว่างบรรพชติ และคฤหสั น์
สกู่ ารรว่ มกันสรา้ งสรรคน์ วัตกรรม เพือ่ การพฒั นา พบว่า แรงจูงใจในการปฏิบัติธรรมของนักศึกษา
คุณภาพชีวิตและสังคม รวมถึงสอดคล้องกับ

264 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

มหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตอสี าน ศาสตร์ พบว่า นักศึกษากลุ่มคณะสังคมศาสตร์
จังหวัดขอนแก่น ระหว่างบรรพชิต และคฤหัสน์ สาขาวชิ าสงั คมสงเคราะหศ์ าสตร์ มแี รงจงู ใจในการ
ไม่แตกต่างกัน ซึ่งไม่เป็นไปตามสมมุติฐานท่ีต้ังไว้ ปฏบิ ตั ธิ รรมสงู กวา่ นกั ศกึ ษากลมุ่ คณะมนษุ ยศาสตร์
อาจเนอื่ งจากวา่ จากการปฏบิ ตั ธิ รรมของนกั ศกึ ษา สาขาวิชาภาษาอังกฤษ กลุ่มคณะศึกษาศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตอสี าน สาขาวิชาการสอนภาษาอังกฤษ และกลุ่มคณะ
จังหวัดขอนแก่น เป็นภารกิจหลักท่ีต้องปฏิบัติอยู่ สงั คมศาสตร์ สาขาวชิ าการปกครอง ทรี่ ะดับความ
เป็นประจำ� ดว้ ยเหตนุ ี้แรงจงู ใจในการปฏิบัติธรรม มีนัยส�ำคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 ซ่ึงเป็นไปตาม
ของนักศึกษามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย สมมุติฐานทีต่ ัง้ ไว้ เนือ่ งจากว่า นกั ศกึ ษากล่มุ คณะ
วทิ ยาเขตอสี าน จงั หวดั ขอนแกน่ ระหวา่ งบรรพชติ สังคมศาสตร์ สาขาวิชาสังคมสงเคราะห์ศาสตร์
และคฤหัสน์ที่ไม่ต่างกัน สามารถร่วมกิจกรรม ได้รับการอบรมและเรียนรู้จากอาจารย์ที่เป็น
ป ฏิ บั ติ ธ ร ร ม ใ น วั น ส� ำ คั ญ แ ล ะ ต า ม น โ ย บ า ย พระสงฆ์ในหลักธรรมของพระพุทธศาสนา
มหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตอสี าน เพื่อในเป็นนักสังคมสังเคราะห์ ช่วยเหลือเพ่ือน
จงั หวดั ขอนแกน่ ดงั นน้ั แรงจงู ใจในการปฏบิ ตั ธิ รรม มนุษย์ ในการเป็นจิตอาสาในการแสดงพฤติกรรม
ไม่แตกต่างกัน ซึ่งการจัดการเรียนรู้สอดคล้องกับ ท่ีเหมาสม และอยู่สายงานของคณะสังคมศาสตร์
งานวิจยั ของธวลั รัตน์ ออ่ นราษฎร์ (Onrat, 2014) สาขาวิชาสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ รวมถึงนโยบาย
พบว่า แรงจูงใจในการปฏิบัติธรรมของนักศึกษา มหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตอสี าน
มหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตอสี าน จงั หวดั ขอนแกน่ ในการนำ� หลกั ธรรมมาใชป้ ระกอบ
จังหวัดขอนแก่น ระหว่างบรรพชิต และคฤหัสน์ การเรียนการสอน สอดคล้องกับจรรยาบรรณ
มคี วามคิดเหน็ ไม่แตกตา่ งกัน แห่งวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ (Social Work
4. จากผลการเปรียบเทียบแรงจูงใจ Professions Council, 2018) ท่ีว่า วิชาชีพ
ในการปฏิบัติธรรมของนักศึกษามหาวิทยาลัยมหา สังคมสงเคราะห์เป็นวิชาชีพที่มีแนวความคิด
มกฏุ ราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตอสี าน จงั หวดั ขอนแกน่ พื้นฐานมาจากแนวคิดมนุษย์นิยม หลักสิทธิ
จ�ำแนกตามสาขานักศึกษามหาวิทยาลัยมหามกุฏ มนุษยชน หลักการเคารพในศักด์ิศรีและคุณคา
ราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน จังหวัดขอนแก่น ของความเป็นมนุษย์ และหลักความเป็นธรรม
ท่ีมีสาขาแตกต่างกัน 4 กลุ่ม คือ กลุ่มคณะ ทางสังคม ซ่ึงลวนจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ
มนุษยศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ กลุ่มคณะ สังคมสงเคราะห์ น�ำไปสู่การสร้างคุณค่าความ
ศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาการสอนภาษาอังกฤษ เป็นมนษุ ยใ์ นตวั ของคนทุกคน และใหค วามสำ� คัญ
กลมุ่ คณะสังคมศาสตร์ สาขาวิชาการปกครองและ ต่อความเทาเทียม เคารพในความหลากหลาย
กลุ่มคณะสังคมศาสตร์ สาขาวิชาสังคมสงเคราะห์ ของมนุษย์

ปที ี่ 19 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 265

6. ขอ้ เสนอแนะ 2. ขอ้ เสนอแนะในการวจิ ยั ครง้ั ตอ่ ไปควร
ศกึ ษาวจิ ยั แรงจงู ใจในการปฏบิ ตั ธิ รรมของนกั ศกึ ษา
ในการวิจัยเร่ือง แรงจูงใจในการปฏิบัติ มหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตอสี าน
ธรรมของนักศึกษามหาวิทยาลัยมหามกุฏราช จังหวัดขอนแก่น โดยศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพเพ่ือ
วทิ ยาลยั วทิ ยาเขตอีสาน จังหวดั ขอนแก่น ผู้วิจยั ทราบรายละเอยี ด ดว้ ยการสมั ภาษณ์ (Interview)
มีขอ้ เสนอแนะ ดังน้ี โดยแบบสมั ภาษณ์ รวบรวมขอ้ มลู จากการสมั ภาษณ์
1. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ควรเพ่ิม เชงิ ลกึ (In-Depth Interview) กบั ผใู้ หข้ อ้ มลู สำ� คญั
ห้องปฏิบัติธรรมขนาดเล็กเพ่ือแยกและแบ่งตาม (Key Information) ในการวิจัยคร้ังต่อไป
ระดับของความสามารถของนักศึกษาปฏิบัติธรรม ควรศึกษาความพึงพอใจของประชาชนของการ
ควรจัดตามวันส�ำคัญทางศาสนาพุทธ ควรจะมี เข้าปฏิบัติธรรมหลายๆ ส�ำนักปฏิบัติ เพื่อท�ำการ
นโยบายที่ชัดเจนหรือแนวทางและข้ันตอนในการ เปรียบเทียบความพึงพอใจ และจะได้ไปปฏิบัติ
จูงใจให้มากขึ้น เช่น สถานที่เงียบสงบ ห้องน้�ำ เป็นแนวทางเดียวกันได้ และควรศึกษาเทคนิค
เพียงพอต่อนักศึกษาปฏิบัติเบ้ืองต้นไม่หนัก เพมิ่ เตมิ หรอื ดา้ นอน่ื ๆ ทมี่ ผี ลตอ่ ความพงึ พอใจของ
จนเกินไป และเน้นให้นักศึกษาเห็นประโยชน์ ประชาชนของการเขา้ ปฏบิ ตั ธิ รรม เพอ่ื ใหไ้ ดเ้ ทคนคิ
และสามารถนำ� ไปใชไ้ ดจ้ รงิ สรา้ งความรสู้ ึกศรัทธา ทเี่ ป็นไปในทางเดียวกนั
ตอ่ การปฏบิ ตั มิ ากขน้ึ

References

Ministry of Education. (2018). Notification of Ministry of Education Re: Higher Education
Standards. http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=52438&
Key=news_act (Accessed 19 November 2018).

Onrat, T. (2014). A Motivation in Buddhist Meditation of Master Degree’ Students in
Mahachulalongkornrajavidyalaya University, Nakhonsawan Buddhist College.
http://www.mcu.ac.th/userfiles/file/thesis/Educational-Administration/56-2-11-052.
pdf (Accessed 19 November 2018).

Phra Manut Tanissaro. (2012). The Study of People’s Satisfaction toward Meditation
Practice at the Meditation Centre of Ratchaburi Province No. 18. http://www.mcu.
ac.th/userfiles/file/thesis/Buddhist-Management/2555_Buddhist-Management/
55-09-2-023.pdf (Accessed 19 November 2018).

266 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

Social Work Professions Council. (2018). Code of Ethics for Social Workers. http://www.
swpc.or.th/index.php/extras/k2/k2-about/history-swpc/code-of-ethics-swpc-8-7-59
(Accessed 19 November 2018).

Tabacnick, B.G., & Fidell, L.S. (2001). Using Multivariate Statistics. 4th ed. Boston : Allyn
& Bacon.

การเสริมสรา้ งสัมมาชีพของชุมชนผู้ประกอบการคา้ ขายประค�ำ
ในจงั หวัดสรุ ินทร*์

Enhancing the Bead Trading Community’s Right Livelihood
in Surin Province

พระมหาสมพาน ชาคโร, พระศรีวิสทุ ธิคุณ และพระอธกิ ารเวยี ง กติ ฺตวิ ณโฺ ณ
Phramaha Somparn Chakaro, Phrasri Visudhikun and Phra Athikan Vieng Kittivanno

มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตสรุ นิ ทร์
Mahachulalongkornrajavidyalaya University, Surin Campus, Thailand

Corresponding Author, E-mail: [email protected]

บทคัดยอ่

การวิจัยครั้งน้ี มีวัตถุประสงค์ 1) เพ่ือศึกษาแนวคิดเก่ียวกับสัมมาชีพตามหลักพุทธธรรม
2) เพ่ือศึกษารูปแบบและกระบวนการเสริมสร้างหลักสัมมาชีพของชุมชน 3) เพื่อวิเคราะห์รูปแบบและ
กระบวนการเสรมิ สรา้ งหลกั สมั มาชพี ของชมุ ชนผปู้ ระกอบการคา้ ขายประคำ� ในจงั หวดั สรุ นิ ทร์ การประกอบ
อาชพี ของประชาชน โดยเฉพาะภาคการเกษตรมภี าวะความเสย่ี งทเ่ี กดิ จากการประกอบอาชพี แบบดงั้ เดมิ
เช่น ปลูกพืชอย่างเดียวกันทุกหมู่บ้าน ทุกต�ำบล ราคาผลผลิตตกต�่ำ การไม่มีอาชีพหรือรายได้เสริม
หลังฤดูการผลิตและยังมีการรวมตัวกันเป็นกลุ่มอาชีพมีน้อย การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนให้ความส�ำคัญ
ต่อการสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้แก่คนในชุมชนท้องถ่ิน จึงเป็นการพัฒนาท่ีเน้นกระบวนการมากกว่า
รูปแบบและต้องการความต่อเน่ืองในการปฏิบัติ รวมท้ังให้ความส�ำคัญต่อการพัฒนาที่เร่ิมจากฐาน
ทรพั ยากรในทอ้ งถนิ่ สมั มาชพี ชมุ ชน หมายถงึ ชมุ ชนโดยประชาชนมกี ารประกอบอาชพี โดยชอบ ซง่ึ มรี ายได้
มากกวา่ รายจ่าย และนำ� รายไดไ้ ปออมเพ่มิ ข้นึ ลดการเบียดเบียนตนเอง ผู้อืน่ และสิ่งแวดลอ้ ม ทั้งนีก้ าร
ด�ำรงชีวิตของประชาชนในชุมชนต้องสอดคล้องกับวิถีของชุมชน เพ่ือความมุ่งหมายในการสร้างระบบ
เศรษฐกิจฐานรากในชุมชน
ผลการวิจัยพบว่า สัมมาชีพชุมชน คือ การประกอบอาชีพที่อยู่ภายใต้กรอบของอริยมรรคที่มี
สมั มาทฐิ คิ อื ความเหน็ ถกู ตอ้ งเปน็ ตวั นำ� ทาง หลกั สมั มาชพี หมายถงึ การไมเ่ บยี ดเบยี นตวั เอง ไมเ่ บยี ดเบยี น
คนอ่นื และไม่เบยี ดเบียนส่ิงแวดล้อม ใหค้ วามเป็นธรรมตอ่ สังคม มีรายไดม้ ากกวา่ รายจา่ ย เปน็ ตน้

* ไดร้ บั บทความ: 2 กนั ยายน 2561; แกไ้ ขบทความ: 14 กุมภาพนั ธ์ 2562; ตอบรับตพี มิ พ์: 8 มีนาคม 2562
Received: September 2, 2018; Revised: February 14, 2019; Accepted: March 8, 2019

268 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

การเสรมิ สรา้ งสัมมาชีพชุมชน เพอ่ื การสร้างรูปแบบสินคา้ ทีเ่ ป็นอัตลกั ษณห์ รอื เอกลักษณ์เปน็ ของตนเอง
และเป็นแบรนใหม่ไม่ซ�้ำกับแบรนของคนอื่น เช่น ประค�ำหรือประเกือม หมายถึง เม็ดเงินหรือเม็ดทอง
ชนิดกลมที่น�ำมาร้อยเป็นเครื่องประดับ เป็นได้ท้ังสร้อยคอ สร้อยข้อมือ ก�ำไล เข็มขัด ต่างหู และอื่นๆ
ถ้าท�ำด้วยเงิน เรียกว่า ประค�ำเงิน ถ้าท�ำด้วยทอง เรียกว่า ประค�ำทอง ลักษณะพิเศษของประค�ำหรือ
ประเกือมสรุ นิ ทร์นน้ั จะเน้นศิลปะลวดลายตา่ งๆ มากมาย มฝี ีมือประณีตลวดลายเปน็ ที่แปลกตาประคำ�
ท่ีพบส่วนใหญ่จะเป็นสีด�ำ เพราะหลังจากทำ� เสร็จเรียบร้อยแล้วช่างจะต้องเอาไปลมดำ� เพื่อให้ลายที่แกะ
นนั้ เดน่ ชดั ขนึ้ ความสวยงามของประคำ� สรุ นิ ทร์ จะอยทู่ ล่ี ายแกะดา้ นนอกกบั ความแวววาวของเนอื้ โลหะเงนิ
หมู่บ้านท่ีท�ำประค�ำ คือ บ้านโชค บ้านเขวาสินรินทร์ และบ้านสดอ ต�ำบลเขวาสินรินทร์ อ�ำเภอ
เขวาสนิ รนิ ทร์ เปน็ หมบู่ า้ นทสี่ บื สานศลิ ปหตั ถกรรมเครอื่ งประดบั ประเภทประคำ� หรอื ประเกอื ม ทสี่ บื สกลุ
มากวา่ 500 ปแี ลว้ ปจั จบุ นั แทบทกุ หมบู่ า้ นในตำ� บลเขวาสนิ รนิ ทร์ มรี ายไดห้ ลกั จากการผลติ และจำ� หนา่ ย
ประค�ำ
ในปัจจุบันการใช้เครื่องประดับของสตรีชาวสุรินทร์เป็นส่วนใหญ่ สุภาพบุรุษจะใช้เป็นส่วนน้อย
การแต่งกายของสตรีชาวสุรินทร์นั้น จะใช้ผ้าไหมและจะใส่เคร่ืองประดับเงินประเกือม จนมีค�ำขวัญว่า
“นุ่งผ้าไหม ใส่ประเกือม” ในปัจจุบันการแต่งกายไปในงานพิธีต่างๆ ของชาวสุรินทร์จะนิยมนุ่งผ้าไหม
ใสเ่ ครอ่ื งประดับเงนิ เช่น งานบวชนาค งานแตง่ งานประเพณีอ่นื ๆ
คำ� ส�ำคัญ: เสริมสรา้ ง; สมั มาชพี ; ประกอบการ; ประคำ�

Abstract

The objectives of this research are: 1) to study the concept of life according to
Buddhist principles, 2) to study the pattern and process of enhancing the life principles
of the merchant community in Surin province, 3) to analyze the pattern and process of
enhancing the life principles of the merchant community in Surin province. The careers
of the people especially in the agricultural sectors became the risks that were caused
from by the traditional careers, such as the same crops in every village and every
sub-district, the recession of the products’ prices, no jobs or incomes after the production
season, and a small group gathering of careers. The development of community economy
put the emphasis on creating the learning processes for people in the local community.
It became the development process rather than the model and it was necessary to keep
practicing. It also focused on the development based on the local resources. The community’s

ปที ี่ 19 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 269

right livelihood referred to the community where people were engaged in their right
living to gain more incomes than expenditures, to increase income savings, and to reduce
harmfulness to oneself, others, and environments. Owing to the living of the people in
the community, it needed to be consistent with the ways of the community for the
purpose of creating the system of foundation economy in the community.
The findings of this research revealed that: the community’s right livelihood
was the living under the scopes of Ariyamagga or the noble paths, consisting of
Sammadithi or the right views to guide the livelihood. The principles of the right livelihood
referred to being harmlessness to oneself, others, and environments, upholding the
justice to the society, getting incomes rather than expenditures, and so on. Enhancing
the community’s right livelihood referred to the creation of the product models that
have its own identity or unique and new brands as follows: Beads or Prakuam referred
to the silver or gold beads with round types weaved together into ornaments, such as
necklaces, bracelets, belts, earrings and so on. If made with silver, they were called silver
beads. If done with gold, they were called gold beads. There were special features of
Surin’s beads with emphasis on the arts of many different designs, and the beads were
mostly found in black because after designing the beads, the craftsmen blackened them
in order to make the patterns more prominent. The beauty of Surin’s beads was on the
outside patterns and the glitter of silver metal. The villages making the beads consisted
of Ban Chok, Ban Khwaosinrin, and Ban Sador, Khwaosinrin sub-district, Khwaosinrin district,
which had been the villages of arts and crafts, jewelry or beads more than 500 years ago,
and almost every village in Khwaosinrin district mainly gained incomes from the production
and distribution of beads.
Currently, Surin’s women wear jewelry more than Surin’s men do. The dresses
of Surin’s women are silk and silver bead jewelry. The slogan also says, “Wear silk dress
and wear beads”. At present, the dresses of Surin’s people in the ceremonies are silk,
silver jewelry, such as the ordination ceremony, wedding, and other traditions.
Keywords: Enhancing; Right Livelihood; Trading; Beads

270 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

1. บทน�ำ ชาวบา้ นสอนชาวบา้ นในสงิ่ ทเ่ี ขาอยากทำ� ได้ ทำ� เปน็
สามารถเปน็ อาชพี เลี้ยงตนเองได้ ฝกึ ปฏิบตั ิจริงให้
ปัจจุบันสถานการณ์ท่ีเกี่ยวข้องกับการ สามารถน�ำไปเป็นอาชีพได้เพราะทุกพื้นที่จะมีคน
ประกอบอาชีพของประชาชน โดยเฉพาะภาค เกง่ ในแต่ละอาชพี อยแู่ ลว้ เช่น ทำ� นาไดผ้ ลผลติ สูง
การเกษตรมีภาวะความเส่ียงท่ีเกิดจากการ ท�ำสวนเก่งหรือเป็นช่างแกะสลัก และการแปรรูป
ประกอบอาชีพแบบด้ังเดิม เช่น ปลูกพืชอย่าง ผลติ ภณั ฑอ์ นื่ ๆ ซง่ึ จะคดั เลอื กและจดั เวทฝี กึ ทกั ษะ
เดยี วกันทุกหมูบ่ ้าน ทุกตำ� บล ราคาผลผลติ ตกต่ำ� การสอนการนำ� เสนอใหก้ บั คนเกง่ เหลา่ นี้ ยกใหเ้ ปน็
การไม่มีอาชีพหรือรายได้เสริม หลังฤดูการผลิต “วิทยากรสัมมาชีพชุมชน” หลังจากนั้นกลับไป
และยังมีการรวมตัวกันเปน็ กล่มุ อาชพี มนี อ้ ย (The สร้างทีมวิทยากรสัมมาชีพชุมชนระดับหมู่บ้าน
Office of the National Economic and Social หมูบ่ า้ นละ4 คน แลว้ เปิดรบั ลกู ศษิ ย์ทีส่ นใจอยาก
Development Board, 2007) ส่วนกลุ่มอาชีพ ฝกึ อาชพี ในแตล่ ะประเภทอาชพี หมบู่ า้ นละ 20 คน
ท่ีมีอยู่ไม่ได้รับการส่งเสริมจากหน่วยงานของรัฐ คนหรือครัวเรือน เม่ือผ่านการฝึกปฏิบัติแล้วขั้น
และไม่ได้ส่งเสริมพัฒนาอย่างเพียงพอ ส่งผลให้ พ้ืนฐานที่สุดก็จะสามารถสร้างอาชีพบนฐาน
ประชาชนต้องไปหางานท�ำในเมืองใหญ่ๆ และมี ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสร้างรายได้เลี้ยง
ส ่ ว น ร า ช ก า ร ท่ี มี ส ถ า น ท่ี ห รื อ ศู น ย ์ ฝ ึ ก อ บ ร ม ตนเองและครอบครัวได้ ขณะท่ีส่วนหนึ่งมีความ
ซ่ึงสามารถปรับเปลี่ยนเป็นศูนย์ฝึกอาชีพ/แหล่ง ก้าวหน้าก็จะมีแหล่งทุนสนับสนุนต่อยอดอาชีพ
เรียนรู้การประกอบอาชีพได้ แต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ สร้างผลผลิต สร้างผลิตภัณฑ์ข้ึนมาเข้าสู่ระบบ
เท่าท่ีควร ประกอบกับมีปราชญ์ชุมชนด้านอาชีพ OTOP เพอ่ื ขยายตลาดในวงกว้างต่อไป
ที่เช่ียวชาญและประสบผลส�ำเร็จในการประกอบ เพราะฉะนั้นจึงก�ำหนดกิจกรรมสร้าง
อาชีพดา้ นตา่ งๆ อยใู่ นหมู่บา้ น/ชมุ ชน แตม่ นี อ้ ยท่ี สมั มาชพี ชมุ ชนตามหลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง
สามารถถ่ายทอดการงานให้คนในชุมชนน�ำไปท�ำ ภายใต้การบูรณาการความร่วมมือของหน่วยงาน
ตามใหส้ ำ� เรจ็ ได้ (The Department of Community ของรัฐ โดยใช้พื้นที่เป้าหมายในความรับผิดชอบ
Development, 2017) ของยทุ ธศาสตรท์ ่ี 1 การสง่ เสรมิ การขบั เคลอื่ นการ
การด�ำเนินโครงการต่างๆ ในปี 2560 พัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในภาค
จึงมุ่งเน้นที่การยกระดับเศรษฐกิจฐานราก คือ การเกษตรและชนบท (Kaewdeep and Kaewthep,
“รายได”้ ทต่ี อ้ งทำ� ใหช้ มุ ชนมรี ายไดเ้ พมิ่ ขน้ึ โดยการ 1987)
สร้างอาชีพขึ้นมา จึงเป็นที่มาของ “สัมมาชีพ
ชมุ ชน” ซงึ่ กำ� หนดแผนการสรา้ งสมั มาชพี ชมุ ชนบน 2. วัตถปุ ระสงคข์ องการวิจยั
หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงอันมีเป้าหมาย
คือ ประชาชนได้รับการพัฒนาอาชีพและมีรายได้ 1. เพ่ือศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับสัมมาชีพ
หมู่บ้าน รวมของหมู่บ้านในประเทศไทยโดยให้ ตามหลักพุทธธรรม

ปีท่ี 19 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 271

2. เพื่อศึกษารูปแบบและกระบวนการ 4.1 แบบบันทึกเอกสาร ผู้วิจัยได้
เสริมสร้างหลักสัมมาชีพของชุมชนผู้ประกอบการ สรา้ งแบบบันทึกเอกสาร เพื่อใช้ส�ำหรบั บนั ทึกการ
ค้าขายประค�ำในจงั หวดั สุรินทร์ ค้นควา้ ขอ้ มลู จากเอกสาร
3. เพ่ือวิเคราะห์รูปแบบและกระบวน 4.2 แบบการสงั เกต ใชใ้ นการบนั ทกึ
การเสริมสร้างหลักสัมมาชีพของชุมชนผู้ประกอบ ข้อมูลจากการสังเกตและเก็บรวบรวมข้อมูลภาค
การค้าขายประคำ� ในจังหวัดสุรนิ ทร์ สนามในประเด็นท่ีเกี่ยวกับรูปแบบและกระบวน
การเสริมสร้างหลักสัมมาชีพของชุมชนผู้ประกอบ
3. วิธีด�ำเนนิ การวจิ ยั การคา้ ขายประค�ำในจงั หวดั สุรนิ ทร์
4.3 แบบสัมภาษณ์ ใช้บันทึกข้อมูล
การวิจัยเร่ืองการเสริมสร้างสัมมาชีพของ จากการสัมภาษณ์เกี่ยวกับรูปแบบและกระบวน
ผปู้ ระกอบการคา้ ขายประคำ� ในจงั หวดั สรุ นิ ทร์ โดย การพร้อมทั้งวิเคราะห์รูปแบบและกระบวนการ
มีวธิ ดี �ำเนินการวจิ ัยตามล�ำดับดังน้ี เสริมสร้างหลักสมั มาชพี ของชมุ ชน
1. รูปแบบการวิจัย การวิจัยนี้เป็นรูป 4.4 แบบสอบถาม ใช้แบบสอบถาม
แบบการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ (Qualitative Research) เป็นชุดของข้อค�ำถามที่สร้างข้ึนมาเพ่ือสอบถาม
2. ศึกษาเอกสาร โดยผู้วิจัยได้รวบรวม ความคิดเห็น ความต้องการ ความสนใจ เจตคติ
ข้อมูลเก่ียวกับแหล่งท�ำเคร่ืองเงิน กลุ่มงานท�ำ ของผตู้ อบทม่ี ตี อ่ สงิ่ ทผี่ สู้ รา้ งตอ้ งการทราบ รปู แบบ
เครอื่ งประดบั รา้ นคา้ ขายเครอ่ื งประดบั เชน่ เมด็ เงนิ ของแบบสอบถาม
หรือเม็ดทองและเอกสารท่ีเป็นข้อมูลเก่ียวกับ 5. การเก็บรวบรวมข้อมูล ด�ำเนินการ
เศรษฐกจิ ชมุ ชนหรอื เศรษฐกจิ พอเพยี ง หรอื เกษตร เก็บรวบรวมขอ้ มลู ดงั ต่อไปนี้
แบบพอเพียง เป็นต้น 5.1 ใช้แบบบันทึกเอกสาร การเก็บ
3. ผู้ให้ข้อมูล ผู้วิจัยได้ก�ำหนดกลุ่มผู้ให้ รวบรวมขอ้ มูล โดยใช้วิธีบนั ทกึ ข้อมูล ยอ่ ข้อความ
ข้อมูล คือ 1) กลุ่มผู้เช่ียวชาญด้านเคร่ืองประดับ ให้มีใจความตรงตามความหมายเดิม บันทึกถอด
จำ� นวน 5 คน 2) กลุม่ ร้านคา้ ขายผลติ ภัณฑ์เครือ่ ง ขอ้ ความใหเ้ ป็นขอ้ ความของผู้วจิ ัย
ประดบั จำ� นวน 5 คน 3) กลมุ่ ผนู้ ำ� ชมุ ชน จำ� นวน 8 คน 5.2 ใช้แบบสังเกต ในการบันทึก
4) กลมุ่ ปราชญท์ อ้ งถน่ิ 5 คน 5) กลมุ่ คร-ู อาจารย์ ข้อมูลจากการสังเกตและการเก็บรวบรวมข้อมูล
จ�ำนวน 5 คน และ 6) กลุม่ พระสงฆ์ จำ� นวน 5 รูป ภาคสนามในประเด็นท่ีเก่ียวกับรูปแบบและ
รวมผู้ใหข้ อ้ มลู ท้งั หมด จำ� นวน 33 คน กระบวนการเสริมสร้างหลักสัมมาชีพของชุมชน
4. เครอ่ื งมอื การวจิ ยั มี 4 แบบ คอื แบบ ผู้ประกอบการค้าขายประค�ำในจงั หวดั สุรินทร์
บันทึกเอกสาร แบบบันทึกการสังเกต แบบ 5.3 ใช้การบันทึกข้อมูลจากการ
สัมภาษณ์ และแบบสอบถาม การได้มาเครื่องมือ สมั ภาษณ์ กลมุ่ พระสงฆ์ กลมุ่ ผเู้ ชย่ี วชาญเครอื่ งเงนิ
แตล่ ะแบบมดี งั นี้

272 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

กลุ่มผู้ค้าขายเครื่องประดับ กลุ่มผู้น�ำชุมชน เป็นอยู่ท่ีเป็นของปัจเจกบุคคลแล้ว ยังมีการ
กลุ่มปราชญ์ทอ้ งถิ่น และครอู าจารย์ เปน็ ตน้ เอื้อเฟื้อความเป็นอยู่ของคนอื่นท่ีมีความสัมพันธ์
6. การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ด�ำเนิน ทางสายเลือดอีก คือ คนในครอบครัว สัมมาชีพ
การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ตามประเดน็ ทไ่ี ดก้ ำ� หนดไวแ้ ลว้ คอื การประกอบอาชพี ภายใตก้ รอบหลกั ศลี ธรรม
ในวัตถุประสงค์ของการวิจยั ดังน้ี คอื ทม่ี คี วามคดิ ความเหน็ ชอบเปน็ ตวั นำ� ทาง หากกลา่ ว
6.1 แนวคิดเก่ียวกับสัมมาชีพตาม ใหเ้ หน็ ภาพทชี่ ดั เจนขนึ้ จะหมายความถงึ การทำ� มา
หลักพทุ ธธรรมโดยใชก้ ารวิเคราะหแ์ บบพรรณนา หากินโดยไม่ได้จะเอาก�ำไรเป็นตัวส�ำคัญหรือเป็น
6.2 รูปแบบและกระบวนการเสริม เป้าหมายสูงสุด และค�ำนึงถึงความเป็นธรรมทาง
สร้างสัมมาชีพของชุมชนผู้ประกอบการค้าขาย สงั คม กลา่ วคอื ความสขุ ของตน และของคนทำ� งาน
ประคำ� ในจังหวดั สรุ นิ ทร์ โดยใชก้ ารวิเคราะห์แบบ รวมถึงประโยชน์ของผู้บริโภค และผู้รับบริการ
พรรณนา เป็นต้น โดยไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย
6.3 วิเคราะห์รูปแบบและกระบวน ผลการวิจัยพบว่า สัมมาชีพเป็นองค์แห่งความรู้
การเสริมสร้างสัมมาชีพของชุมชนผู้ประกอบการ ในด้านการพัฒนาพฤติกรรมของมนุษย์ทางกาย
ค้าขายประค�ำในจังหวัดสุรินทร์ โดยใช้รูปแบบ และวาจา เสริมสร้างการพัฒนาคุณภาพทางจิตใจ
พรรณนาเชงิ วิเคราะห์ และปัญญา ท�ำให้การพัฒนาครบกระบวนการ
7. เขียนรายงานการวิจัย ผู้วิจัยใช้วิธี พฒั นาไตรสกิ ขา เพอื่ ตอ้ งการใหม้ คี วามชวี ติ ทดี่ งี าม
บรรยาย เรียบเรียงเป็นความเรียงตามเน้ือหาที่ ประณีตย่ิงข้ึน แม้การหาเล้ียงชีวิตจะเป็นพ้ืนฐาน
รวบรวมไว้ โดยใช้วัตถุประสงค์เป็นหลักในการ ของการด�ำเนนิ ชีวิตของมนุษย์ทุกคน การแสวงหา
เรียบเรยี ง ปจั จยั ของการดำ� เนนิ ชวี ติ ตอ้ งตง้ั อยบู่ นพนื้ ฐานทาง
จรยิ ธรรมคอื การด�ำรงชวี ติ ดว้ ยหลกั สัมมาชพี หลัก
4. สรปุ ผลการวจิ ัย สัมมาชีพเป็นเร่ืองเศรษฐศาสตร์ในชีวิตประจ�ำวัน
ในประเด็นนี้ พระธรรมปิฏก ให้ความเห็นว่า
การศึกษาวิจัยเร่ือง การเสริมสร้าง เศรษฐศาสตรแ์ นวพทุ ธ คอื เศรษฐศาสตรส์ ายกลาง
สัมมาชีพชุมชนของผู้ประกอบการค้าขายประค�ำ หรือมัชฌิมาปฏิปทาด้วยว่ามีระบบวิถีชีวิตทาง
จังหวัดสุรินทร์ จากการศึกษาค้นคว้าข้อมูลทาง พระพุทธศาสนา คือ การด�ำเนินชีวิตไปทางสาย
เอกสาร พบทฤษฎีต่างๆ เกี่ยวกับการเสริมสร้าง กลางเป็นความพอดีน่ันเอง (Vasee, 1997)
หลักสัมมาชีพชุมชน จึงสรุปผลการวิจัยตาม 2. รูปแบบและกระบวนการเสริมสร้าง
วัตถปุ ระสงค์ ดงั ตอ่ ไปนี้ หลักสัมมาของชุมชน สัมมาชีพชุมชน หมายถึง
1. แนวคิดเกี่ยวกับสัมมาชีพตามหลัก ประชาชนมีการประกอบอาชีพโดยชอบมีรายได้
พุทธธรรม การมชี ีวติ อยขู่ องคนทกุ คน คือ การท�ำ มากกว่ารายจ่ายและเอารายรับไปออมเพ่ิมขึ้น
มาหากิน เพอ่ื ความอย่รู อดของชีวติ นอกจากการ

ปที ี่ 19 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 273

การลดเบียนเบียดตนเอง ผู้อื่นและสิ่งแวดล้อม การรวมกลมุ่ เพอ่ื การผลติ การตลาด ความเปน็ อยู่
การดำ� รงชวี ติ ของคนในชมุ ชนตอ้ งสอดคลอ้ งกบั วถิ ี สร้างสวัสดิการ การศึกษา สังคม และศาสนา
ของชุมชนเพื่อความมุ่งหมายในการสร้างระบบ ข้ันที่ 3 การร่วมมือกับองค์กรภายนอกในการท�ำ
เศรษฐกจิ ฐานรากในชมุ ชนได้ โดยยดึ หลกั เศรษฐกจิ ธุรกิจและพัฒนาคุณภาพชีวิต และทุกฝ่ายต้องได้
พอเพียงตามแผนงานยุทธศาสตร์พัฒนาเศรษฐกิจ รบั ประโยชนก์ ารพฒั นาชนบทในลกั ษณะเศรษฐกจิ
ฐานรากและชุมชนเข้มแข็ง เป็นการตอบสนอง พอเพยี ง จงึ เปน็ การใช้ “คน” เปน็ เปา้ หมายและเนน้
นโยบายชองรัฐด้านการลดความเหลื่อมล้�ำ “การพัฒนาแบบองค์รวม” หรือ “การพัฒนาแบบ
ทางสังคมการสร้างโอกาสเข้าถึงบริการของรัฐ บูรณาการ” ทั้งด้านเศรษฐกิจ จิตใจ สังคม
โดยก�ำหนดพ้ืนที่เป้าหมายในการด�ำเนินงาน วัฒนธรรมส่ิงแวดล้อม การเมือง เป็นต้น โดยใช้
ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาท่ีตอบสนองความ “พลังทางสังคม” ขับเคล่ือนกระบวนการพัฒนา
ตอ้ งการของคนปจั จบุ นั โดยไมท่ ำ� ใหผ้ คู้ นในอนาคต ในรปู ของกลมุ่ เครอื ขา่ ย หรอื ประชาสงั คม เปน็ การ
เกิดปัญหา เป็นการตอบสนองความต้องการของ ผนกึ กำ� ลังทุกฝา่ ยในลักษณะ “พหุภาคี” ประกอบ
ตนเอง” การพัฒนายั่งยืนรวมถึงการพัฒนาทั้ง ด้วยภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน
3 ด้าน คือ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคมและด้าน (Rerksariay, 1984)
สง่ิ แวดลอ้ มซง่ึ จะเชอื่ มโยงและสมั พนั ธก์ นั โครงการ เศรษฐกิจพอเพียงยึดหลักการผลิตและ
พัฒนาอ่ืนๆ ใดก็ตาม ต้องค�ำนึงถึงองค์ประกอบ บริโภคบนความพอประมาณ มีเหตุผลมีความสม
ท้ังสามด้านนี้ การพัฒนายั่งยืน คือ การอนุรักษ์ ดูลและมีภูมิคุ้มกันที่ดีเป็นพื้นฐานการพัฒนา
สิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนโครงสร้างระบบเศรษฐกิจ ทกุ เรอื่ งและเปน็ แนวทางในการดำ� เนนิ ชวี ติ ของคน
และสังคมเพื่อลดการบริโภคทรัพยากรและ ไทยโดยการพง่ึ พาตนเองได้ ในยคุ โลกาภวิ ฒั นข์ ณะ
ส่งิ แวดลอ้ ม ในระดบั ท่ียงั รกั ษาความสมดุลทีด่ ี เดียวกันแนวคิดการสร้างชุมชนให้เข้มแข็งเป็น
เศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง เศรษฐกิจ นโยบายทสี่ อดคลอ้ งกนั กบั การดำ� เนนิ การตามแผน
ท่ีสามารถอุ้มชูตัวเอง โดยต้องสร้างพื้นฐานทาง พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8
เศรษฐกจิ ของตนเองใหด้ ี คอื ตงั้ ตวั ใหม้ คี วามพอกนิ ซ่ึงเน้นให้ “คนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา”
พอใช้เพราะผู้ท่ีมีอาชีพและฐานะเพียงพอท่ีจะพึ่ง โดยยดึ หลกั วา่ “คนเปน็ ทงั้ เหตุ ทงั้ ปจั จยั และผลลพั ธ์
ตนเองได้ การพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง ส�ำหรับ ทสี่ ำ� คญั ทส่ี ดุ ของการปกครอง และพฒั นาประเทศ”
เกษตรกรน้ัน ควรการปฏบิ ัตติ ามข้ันตอน “ทฤษฎี จึงมุ่งเน้นให้ทุกคนมีการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ
ใหม”่ ของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ซง่ึ ประกอบ และการมีส่วนร่วมพัฒนาประเทศในทุกด้านและ
ดว้ ย 3 ข้ันตอน คอื ข้นั ที่ 1 การผลิตเพอ่ื ใช้บริโภค ก�ำหนดแผนยุทธศาสตร์การด�ำเนินงานเพื่อการ
ในครัวเรือน ในระดับการด�ำเนินชีวิตท่ีประหยัด ท�ำความเข้าใจกับชุมชนทุกกลุ่ม ทั้งนักการเมือง
และต้องมีความสามัคคีในท้องถิ่นด้วย ขั้นที่ 2 และบุคคลในวงการศึกษา เพ่ือให้มีมโนทัศน์

274 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

ทางการศกึ ษาตรงกนั ” คอื มคี วามเหน็ พอ้ งตอ้ งกนั จังหวัดสุรินทร์ มีช่างฝีมือหัตถกรรมท�ำประค�ำที่
ว่าจุดศูนย์กลางของการพัฒนาอยู่ท่ีคน ซึ่งเป็น มชี ่ือเสียงมาก สามารถคดิ ประดษิ ฐ์สร้างสรรคเ์ ป็น
ประเด็นส�ำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม เครื่องประดับที่มีลวดลายงดงามได้หลายรูปแบบ
ขณะเดียวกันก็เป็นผลของการพัฒนาคนในแผน ดว้ ยฝมี อื หตั ถกรรมทค่ี ดิ เอง ทำ� เอง ใชอ้ ปุ กรณง์ า่ ยๆ
พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นเป้าหมาย ดว้ ยภมู ปิ ญั ญาชาวบา้ น เปน็ ศลิ ปหตั ถกรรมพนื้ บา้ น
สูงสุดของการพฒั นา (Woongprayoon, 1999) ท่ีมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งด้านศิลปกรรมการท�ำ
3. เศรษฐกจิ ชมุ ชนของผปู้ ระการคา้ ขาย รูปทรง ลวดลายด้วยการลอกเลียนแบบจากธรรม
ประค�ำในจังหวัดสุรินทร์ผลิตภัณฑ์ ไม่ได้หมายถึง ชาตริ อบๆ ตวั ออกมาเปน็ งานศลิ ปะไดอ้ ยา่ งงดงาม
ตัวสนิ คา้ อย่างเดียว แตเ่ ป็นกระบวนการทางความ และมีการสืบทอดต่อกันมาทั้งหมู่บ้าน การเรียนรู้
คิดรวมถึงการบริการดูแลอนุรักษ์ทรัพยากร กนั ในครอบครวั ในชมุ ชน
ธรรมชาติ และสงิ่ แวดลอ้ ม การรกั ษาภมู ปิ ญั ญาไทย
การทอ่ งเทย่ี ว ศลิ ปวฒั นธรรมประเพณี การตอ่ ยอด 5. อภปิ รายผลการวิจยั
ภูมิปัญญาท้องถิ่นการแลกเปล่ียนเรียนรู้ เพ่ือให้
กลายเปน็ ผลติ ภณั ฑค์ ณุ ภาพทมี่ เี อกลกั ษณ์ มจี ดุ เดน่ ตามวัตถุประสงคท์ ้งั หมด 3 ข้อ สามารถ
จุดขาย ที่รู้จักกนั แพรห่ ลายท้ังในและต่างประเทศ อภปิ รายไดด้ งั น้ี กรมการพฒั นาชมุ ชนของเทศบาล
กจิ กรรมหลกั ทสี่ ำ� คญั คอื 1) ขยายสนิ คา้ ทอ้ งถนิ่ ไป เขวาสินรินทร์มุ่งขับเคลื่อนแผนชุมชน ไปสู่การ
ยังตลาดผลิตภัณฑ์ท่ีผลิตสอดคล้องกับวัฒนธรรม ปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง
ประเพณีท้องถิ่นรวมท้ังการพัฒนาคุณภาพเพื่อ ซึ่งผ่านกระบวนการวิเคราะห์ ท�ำให้มีความง่าย
ขยายตลาดออกสเู่ ครอื ข่ายทอ้ งถิ่น ภาคเมือง และ ทา้ ทาย และเปน็ ไปไดใ้ นการปฏบิ ตั ใิ หส้ อดคลอ้ งกบั
ตลาดโลก 2) ผลติ และคดิ คน้ ขนึ้ เองในทอ้ งถน่ิ อาศยั ทิศทางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ความรคู้ วามสามารถของคนในชมุ ชน ใหค้ วามรว่ ม ฉบับท่ี 12 (พ.ศ. 2560-2564) ยุทธศาสตร์ของ
มอื กนั รบั ผดิ ชอบ มหี นว่ ยงานของจงั หวดั กระทรวง ประเทศไทย นโยบายของรัฐบาล สถานการณ์
กรม กอง เป็นผู้คอยใหค้ ำ� แนะนำ� และคอยให้การ สภาพแวดล้อมในปัจจุบัน เพื่อให้บุคลากรทุกคน
สนับสนุนในด้านของเทคโนโลยี และการคิดค้น ใช้เป็นกรอบทิศทางการปฏิบัติงาน โดยสามารถ
อุปกรณ์หรือเครื่องมือต่างๆ ข้ันตอนการบริหาร กำ� หนดรปู แบบ น�ำไปประยุกต์สกู่ ารปฏบิ ตั ิงานได้
“หนงึ่ ต�ำบล หนงึ่ ผลติ ภัณฑ”์ (The Office of the ตามความเหมาะสม และกรมการพัฒนาชุมชนได้
National Economic and Social Development ก�ำหนดให้ปี 2560 ขบั เคล่อื นวาระกรมการพฒั นา
Board, 2007) พบว่า เครอ่ื งประดับสรอ้ ยประคำ� ชุมชน (Agenda) เพื่อมุ่งมนั่ กรมการพฒั นาชมุ ชน
เป็นสินค้าหน่ึงต�ำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ของดีจังหวัด พร้อมขับเคล่ือน สัมมาชีพชุมชนเข้มแข็งภายใต้
สุรินทร์จึงน�ำเสนอเพ่ือให้ชาวโลกได้รู้จักดังนี้ หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพ่ือก้าวไปสู่
“เศรษฐกจิ ครวั เรอื นมคี วามมน่ั คง ประชาชนใชช้ วี ติ

ปที ี่ 19 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 275

อย่ใู นชุมชนอย่างมง่ั คง่ั และ อย่างมีความสขุ ” จนผวิ เงนิ ด้านนอกตึงเรยี บ แล้วแกะลายให้งดงาม
การด�ำเนินงานเชิงยุทธศาสตร์ในการ เสร็จแล้วใช้เหล็กแหลมเผาไฟให้ร้อนแทงทะลุชัน
เชอ่ื มโยงจากทอ้ งถนิ่ สสู่ ากลในการพฒั นา คณุ ภาพ ให้เป็นรูส�ำหรับร้อยต่อกันเป็นเคร่ืองประดับ
มาตรฐานผลิตภัณฑ์ OTOP ไปสู่ตลาดท้ังใน (Insawang and Anantamongkol, 1989)
ประเทศและต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย ปัญหาและอุปสรรคการค้าขายเครื่องเงิน
จึงได้ก�ำหนดให้ “การส่งเสริมอาชีพผลิตสินค้า (ประคำ� ) ในปจั จบุ นั จากการลงพนื้ ทเี่ พอื่ เกบ็ ขอ้ มลู
OTOP” เป็นนโยบายเร่งด่วนท่ีส�ำคัญ เพื่อสร้าง เชงิ ประจกั ษ์ คอื การสงั เกต และการสมั ภาษณส์ รปุ
อาชีพและรายได้ให้กับประชาชนในชุมชนท้องถิ่น เป็นประเดน็ ดังนี้ 1) ความนยิ มของสงั คมปัจจุบัน
โดยมอบหมายให้กรมการพัฒนาชุมชน ส่งเสริม เรอ่ื งการประเครอ่ื งเงนิ คอื ประคำ� 2) ขนั้ ตอนการ
และพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนให้เข้มแข็งอย่างยั่งยืน ท�ำประค�ำต้องใช้เวลามาก 3) วัตถุดิบ (แร่เงิน)
เปน็ รากฐานเศรษฐกจิ ของประเทศ ซงึ่ เรม่ิ จากการ มรี าคาแพงมากขน้ึ 4) การใชเ้ ครอื่ งประดบั (ประคำ� )
รวมกลมุ่ ของประชาชนระดบั ฐานรากในการจดั การ ใช้เฉพาะบางโอกาสและบางประเพณีเท่าน้ัน
ทรัพยากรท่ีมีอยู่ ในท้องถ่ินให้เป็นผลิตภัณฑ์และ 5) เครื่องเงินประค�ำเป็นวัตถุมีค่าน�ำไปใช้อย่าง
บรกิ ารทมี่ คี ณุ ภาพไดม้ าตรฐาน มเี อกลกั ษณเ์ ฉพาะ ร ะ มั ด ร ะ วั ง เ ส ร็ จ ง า น เ ก็ บ ไ ว ้ ใ น ภ า ช น ะ ง า ม
ท้องถ่ิน ซึ่งเป็นแนวทางหน่ึงในการสร้างพลังการ 6) กระบวนการถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถ่ิน
พึ่งตนเองและ ช่วยเหลือกันของชุมชน เพื่อแก้ไข เช่น การท�ำประค�ำคนรุ่นใหม่ยังไม่ยอมรับ 7)
ปญั หาการประกอบอาชพี ทงั้ ในระดบั บคุ คล ระดบั ไม่มีผู้สนับสนุนส่งเสริมด้านการตลาดและการ
ครวั เรอื น ระดบั กลมุ่ ชมุ ชน หมบู่ า้ น ตำ� บล ตลอดจน ประชาสมั พนั ธเ์ ครอ่ื งเงิน 8) ไม่มีงบประมาณ
เครอื ขา่ ยกลมุ่ อาชพี ตา่ งๆ ใหม้ คี วามสามารถในการ เป็นต้นทุนการต่อยอดเศรษฐกิจชุมชน และ 9)
บริหารจัดการตามแนว ปรัชญาของเศรษฐกิจพอ แร่เงินที่น�ำมาท�ำประค�ำในปัจจุบันประเทศไทย
เพยี ง สามารถพฒั นา ต่อยอดไปถงึ ระดบั วสิ าหกิจ หายากมากข้ึนทุกวัน วัตถุดิบที่เป็นเม็ดเงินน้ัน
ขนาดกลางและขนาดยอ่ ม (SMEs) ตอ่ ไป ส่งั มาจากตา่ งประเทศ
การผลติ ประเกอื ม เรม่ิ จากการนำ� เมด็ เงนิ
บรสิ ทุ ธม์ิ าหลอมใหล้ ะลาย หลอ่ เปน็ แทง่ แลว้ รดี ให้ 6. ขอ้ เสนอแนะ
เป็นแผ่นบางๆ ด้วยการใช้ความร้อนจนอ่อนตัว
ตีและรีดด้วยเคร่ือง จนมีความบางประมาณ สรุปประเด็นเพื่อให้เห็นการศึกษาวิจัย
4 มลิ ลเิ มตร แลว้ นำ� มาตดั ตามรปู แบบลกู ประเกอื ม เรื่องประค�ำในมุมมองที่เป็นโยชน์ต่อสาธารณชน
ทตี่ อ้ งการ มว้ นเชอื่ มใหเ้ ปน็ เมด็ ตกแตง่ รมิ ขอบดว้ ย และบุคคลทั่วไปที่สนใจเร่ืองนี้ สามารถศึกษา
การปิดฝาด้วยแผ่นเงินเล็กๆ ลักษณะโค้งนูนและ ตอ่ ยอดได้ มดี ังนี้
ปดิ ขอบดว้ ยเสน้ ลวดเงนิ ใหเ้ รยี บรอ้ ย อดั ชนั ใหแ้ นน่ 1. ควรศึกษาการเสริมสร้างหลัก
สัมมาชีพของชุมชน ด้านการเล้ียงสัตว์น�้ำของ

276 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

อ�ำเภอสังขะจงั หวดั สุรนิ ทร์ ของชมุ ชน ด้านการเลย้ี งโค-กระบือในอ�ำเภออนื่ ๆ
2. ควรศกึ ษาการเสรมิ สรา้ งหลกั สมั มาชพี ของจงั หวดั สุรินทร์
ของชมุ ชน ด้านการปลูกผกั สวนครวั ไร้สารพิษของ 4. ควรศกึ ษาการเสรมิ สรา้ งหลกั สมั มาชพี
อ�ำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรนิ ทร์ ของชุมชน ด้านการปลูกข้าวหอมมะลิไร้สารพิษ
3. ควรศกึ ษาการเสรมิ สรา้ งหลกั สมั มาชพี ของกลุ่มหมบู่ ้าน ต�ำบล อ�ำเภอ จังหวัด

References

Insawang, K. and Anantamongkol, V. (1989). Research Report on Saving Groups for Production
and Rural Development. Bangkok : n.p.

Kaewdeep, K. and Kaewthep, K. (1987). Self-reliance, Potential for Countryside Development.
Bangkok : The Catholic Caucus of Thailand for Development.

Rerksariay, D. (1984). Countryside for Development. Bangkok : Siamese Printing.
The Department of Community Development. (2017). The Process of Community Enterprise

Operations the Office of Community Enterprise. http://www.fda.mopa.go.th
(Accessed 24 September 2017).
The Office of the National Economic and Social Development Board. (2007). Many Questions
about Economic Philosophy. Bangkok : Sufficiency Economic Subcommittee, Office
of the National Economic and Social Development Board.
Vasee, P. (1997). The Countryside Development Plan. Bangkok : Green Wisdom Company.
Woongprayoon, T. (1999). Preliminary Development of Economics. Bangkok : Thammasat
University Press.

การสร้างจิตส�ำนกึ รว่ มในพระพุทธศาสนา*
Consciousness in Buddhism

พระครอู ินทรสารวจิ ักร และพระมหามติ ร ฐิตปญฺโญ
Phrakhru Intasanvijak and Phramaha Mit Thitapanyo
มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแกน่
Mahachulalongkornrajavidyalaya University, KhonKaen Campus, Thailand
Corresponding Author, E-mail: [email protected]

บทคดั ย่อ

จติ สำ� นกึ รว่ มเกดิ จากระบบสงั คมกอ่ ใหเ้ กดิ โดยอาศยั ความสลบั ซบั ซอ้ นทอ่ี ยใู่ นสงั คมทเี่ ตม็ ไปดว้ ย
อตั ตาของมนษุ ย์ อตั ตาเปน็ รากแกว้ ของชวี ติ กอ่ เกดิ บทบาททง้ั สขุ ทง้ั ทกุ ขใ์ นโลกมากมายสดุ จะพรรณนา
กลายเปน็ การแยง่ ชงิ ความเปน็ ใหญ่ แยง่ ชงิ อำ� นาจการปกครองเกดิ เปน็ ปญั หาเรอื้ รงั ในสงั คม ปญั หาเหลา่ นี้
ล้วนแล้วแต่เกิดจากการไม่รู้บทบาทหน้าท่ีของตน มีความเห็นแก่ตัวจนลืมเพ่ือนร่วมโลก กลายเป็น
โศกนาฏกรรมในสงั คม เมอ่ื หนั ยอ้ นไปในอดตี กจ็ ะเหน็ วา่ ทง้ั บทเรยี นและคำ� สอนทางพระพทุ ธศาสนาเกย่ี วกบั
จติ สำ� นกึ เชน่ จติ สำ� นกึ ความเปน็ มนษุ ย์ จติ สำ� นกึ ของความเปน็ ลกู จติ สำ� นกึ ของความเปน็ นกั เรยี น พอโตขน้ึ
มโี ครงสรา้ งและตำ� แหนง่ ทเี่ ลอ่ื นไหลไปมา กลายเปน็ จติ สำ� นกึ ตามตำ� แหนง่ หนา้ ที่ ซงึ่ คนเรามอี ยหู่ ลายหนา้ ที่
เชน่ หนา้ ทคี่ วามเปน็ พอ่ แม่ ความเปน็ ลกู มตี ำ� แหนง่ งานราชการ เอกชน สง่ิ ทบ่ี คุ คลไดเ้ รยี นรจู้ ากสงั คมทสี่ ำ� คญั
ทส่ี ดุ คอื อำ� นาจการสรา้ งความรสู้ กึ ใหย้ นิ ยอมตอ่ อำ� นาจ หรอื มจี ติ สำ� นกึ ตามโครงสรา้ งทางสงั คม
ค�ำสำ� คัญ: การสรา้ งจติ สำ� นกึ รว่ ม; พระพทุ ธศาสนา

Abstract

The Consciousness had been by social system. It created with the complexity of
fully society of human ego. Ego is the taproot of life. The role of both the Happy and
suffering in the world. It's a big controversy, controversy over power more than that It is
a problem in the society. These problems are due to their inability to function. They
have a Selfishness to forget another one in the world. There are the problems become

* ไดร้ ับบทความ: 22 มกราคม 2561; แก้ไขบทความ: 7 มนี าคม 2562; ตอบรบั ตพี มิ พ์: 15 มีนาคม 2562
Received: January 22, 2018; Revised: March 7, 2019; Accepted: March 15, 2019

278 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

a tragedy in society. In the past, it was clear that both the lessons and the Buddhist
teachings about consciousness such as Human of consciousness, consciousness of the
child and the consciousness of a student. When it had growing up, it will be a structure
and a sliding position than it becomes a sense of duty. They have many functions for
example, the role of parents, children, and private jobs.People learned the power from
society. The power has created a sense of empowerment or social consciousness with
structure society.
Keywords: Consciousness; Buddhism

1. บทน�ำ เกิดเร็วดับเร็วเท่ียวไปไกลและเท่ียวไปดวงเดียว
(Tipitaka 215-216) แต่เปน็ ธรรมชาติทฝ่ี กึ ไดด้ งั ท่ี
จติ สำ� นกึ รว่ มเปน็ จติ ทเี่ กดิ ขน้ึ จากการสรา้ ง พระพุทธองค์ตรัสว่า “จิตท่ีด้ินรนกวัดแกว่งรักษา
การมสี ว่ นรว่ มทางสงั คม สรา้ งใหป้ ระชาชนมคี วาม ยากห้ามยากผู้มีปัญญาสามารถควบคุมให้ตรงได้
รู้สึกมีความรับผิดชอบถึงปัญหาท่ีเกิดขึ้นในสังคม เหมือนช่างศรดัดลูกศรให้ตรง ฉะน้ันจิตนี้ย่อม
ท�ำให้เกิดความรู้สึกที่ปรารถนาจะร่วมและมีส่วน ดิ้นรนไปมาเหมือนปลาที่ถูกยกข้ึนจากน้�ำโยน
ชว่ ยเหลือสงั คม โดยรับรู้ถึงสทิ ธคิ วบคู่ไปกบั หนา้ ที่ ไปบนบก ฉะน้ันผูม้ ปี ัญญาจงึ ควรละบ่วงแหง่ มาร”
และความรับผิดชอบ ส�ำนึกถึงพลังของตนว่า (Tipitaka 33/22) จิตนี้เป็นธรรมชาติท่ีรู้อารมณ์
สามารถร่วมแก้ไขปัญหาได้ และลงมือกระท�ำ คือ รับอารมณ์อยู่เสมอเรียกว่า “รู้อารมณ์”
เพื่อใหเ้ กดิ การแกป้ ญั หาดว้ ยวธิ กี ารตา่ งๆ โดยการ ดังข้อความที่ว่า “ธรรมชาติที่ชื่อว่าจิตเพราะคิด
เรียนรู้ และแก้ไขปัญหาร่วมกันกับคนในสังคม อธบิ ายวา่ รอู้ ารมณ”์ (Tipitaka 110) และจติ นม้ี ชี อ่ื
เพราะการอยรู่ ว่ มกนั ในสงั คมทกุ วนั น้ี จำ� เปน็ อยา่ ง ต่างๆ ท่ีเรียกขานกันถึง 10 ช่ือ ดังปรากฏใน
ยงิ่ ทจ่ี ะตอ้ งอาศยั ความมนี ำ้� ใจไมตรกี ารเออ้ื เฟอ้ื เผอื่ ธมั มสังคณีว่า “จิต มโน มานัส หทยั ปัณฑร มโน
แผก่ ารชว่ ยเหลอื เกอ้ื กลู กนั โดยไมห่ วงั ผลตอบแทน มนายตนะ มนนิ ทรีย์ วิญญาณ วญิ ญาณขันธ์ มโน
การดำ� รงชวี ติ ในสงั คมทมี่ กี ารชว่ ยเหลอื กนั ถงึ แมว้ า่ ธาตทุ เี่ หมาะสมกนั ในสมยั นนั้ นชี้ อื่ วา่ จติ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ใน
เรื่องราวหรือเหตุการณ์นั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้อง สมัยนั้น” (Tipitaka 6/22-28) คัมภีร์อรรถกถา
กบั เรา หรอื เราไมไ่ ดเ้ ดอื ดรอ้ นดว้ ย แตก่ เ็ ตม็ ใจทจ่ี ะ อฏั ฐสาลนิ แี หง่ ธมั มสงั คณวี า่ “ธรรมชาตใิ ดยอ่ มคดิ
แบง่ ปันให้การชว่ ยเหลือเอือ้ อาทรกัน ธรรมชาตินั้นชื่อว่าจิต ธรรมชาติใดเม่ือน้อมไปสู่
จติ ในพระพทุ ธศาสนาถอื วา่ เปน็ ธรรมชาติ อารมณ์ก็รู้อยู่ธรรมชาติน้ันช่ือว่า มโน (Tipitaka
ชนิดหนึ่งท่ีเป็นนามธรรมไม่มีรูปร่าง อาศัยอยู่ใน 191-192) จิตส�ำนึกในทางพุทธศาสนาน้ันเป็นจิต
รา่ งกายของสตั วท์ งั้ หลายมกั ดน้ิ รนกวดั แกวง่ รกั ษา ที่ประกอบด้วยเจตนา คือ มีความตั้งใจ จงใจ
ยากห้ามได้ยากมักตกไปในอารมณ์ที่ตนปรารถนา

ปีท่ี 19 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 279

ซงึ่ เปน็ ตวั นำ� หรอื ตวั เรมิ่ ตน้ ของการไปสกู่ ารกระทำ� จิตไรส้ ำ� นกึ หากจิตกงึ่ ส�ำนกึ ได้รับการกระตนุ้ เช่น
ทั้งกุศลกรรมและอกศุ ลกรรม เจตนาในกศุ ลกรรม การสะกดจิต การบ�ำบัดจิตหรือการรักษาคนไข้
นับว่าเป็นเจตนาของจิตส�ำนึกท่ีมีสติเป็นตัวก�ำกับ ท่ีเป็นโรคประสาท ส่ิงต่างๆ ที่อยู่ในจิตไร้ส�ำนึก
คือ มีความรู้ตัวทั้งก่อนท�ำ ขณะกระท�ำ และหลัง จะถกู รบั รูโ้ ดยจิตส�ำนกึ มากข้ึน
การกระท�ำ ส่วนอกุศลกรรมนั้นถือว่าเป็นการ จติ ไรส้ ำ� นกึ หรอื จติ ใตส้ ำ� นกึ (Unconscious
กระท�ำที่ไม่มีสติจึงไม่นับเข้าพวกกับส่ิงท่ีเรียกว่า Mind) หมายถึง ภาวะจิตที่ไม่อยู่ในภาวะที่รู้ตัว
จติ สำ� นึก ระลึกถึงไม่ได้ เป็นที่เก็บความคิดและความรู้สึก
จิตส�ำนึกหรือจิตรู้ส�ำนึก (Conscious ท่ีถูกเก็บกดท้ังหลาย เน่ืองจากอาจถูกบังคับหรือ
Mind) หมายถึง ภาวะจิตท่ีรู้ว่าตัวเองเป็นใคร ไม่สามารถแสดงอาการโต้ตอบได้ ในขณะนั้น
อยู่ที่ไหน ก�ำลังท�ำอะไรอยู่ รู้สึกอย่างไร อารมณ์ ในที่สุดก็จะฝังลึกลงในจิตใจ จนลืมไปช่ัวขณะ
เป็นเชน่ ไร หรือต้องการอะไร และแสดงพฤตกิ รรม ซ่ึงส่ิงต่างๆ เหล่าน้ี บางคร้ังถูกส่งออกมายัง
ที่สอดคล้องกับหลักแห่งความเป็นจริงตามหลัก จิตสำ� นึก จติ ไร้ส�ำนกึ จะเปน็ สว่ นของสัญชาตญาณ
เหตุและผล การคิด การตัดสินใจ การมีอารมณ์ ทั้งหลาย ความพึงพอใจ ความปรารถนาต่างๆ
ความรู้สึกต่างๆ เหล่าน้ีที่เกิดข้ึนในจิตส�ำนึก โดยมันไม่สนใจเรื่องของเวลา เหตุผลหรือความ
บางส่วนจะถูกย้ายไปเก็บไว้ในจิตไร้ส�ำนึก เช่น ขัดแย้ง ฟรอยด์บอกว่าถ้าความปรารถนาใน
ประสบการณท์ เ่ี ลวรา้ ยในอดตี ความเจบ็ ปวดฝงั ใจ จิตใต้ส�ำนึกไม่บรรลุผล จะท�ำให้เกิดการฝันหรือ
ความขัดขอ้ งขุ่นเคอื ง ความท้อแทผ้ ิดหวงั เปน็ ตน้ อาการทางโรคประสาทได้ (Kaewkangvan, 2003
ซึ่งแม้เราจะพยายามลืมสิ่งต่างๆ เหล่าน้ี หรือเรา : 13-16)
อาจจะคดิ วา่ เราลมื มนั ไปแลว้ แตแ่ ทท้ จี่ รงิ มนั ยงั คง พระพรหมคณุ าภรณ์ ไดก้ ลา่ วถงึ จติ สำ� นกึ
ฝงั ตัวอยู่ในจิตไร้สำ� นกึ ปญั หาต่างๆ ในชวี ิตมนุษย์ ทางสังคมคนเราต้องสร้างจิตส�ำนึกรวมในระดับ
เกิดจากการท่ีจิตส�ำนึกถูกรบกวนโดยส่ิงที่เก็บไว้ ประเทศชาติ โดยใหเ้ ริ่มจากตัวเองกอ่ น แลว้ ขยาย
ในจติ ไรส้ ำ� นึกมากเสยี จนควบคุมไม่ได้ ค่อยๆ พฒั นากนั ไป ขยายทัศนะออกไป ไมใ่ ชม่ อง
จิตก่ึงส�ำนึกหรือจิตก่ึงรู้ส�ำนึก หมายถึง อยแู่ คต่ วั เอง และผลประโยชนข์ องตวั จติ สำ� นกึ ทาง
ส่วนของจิตใจท่ีมิได้แสดงออกเป็นพฤติกรรม สังคมนั้น ตอนแรกเอาแค่ให้มีความรักบ้านเมือง
ในขณะน้ัน แต่เป็นส่วนที่รู้ตัวสามารถดึงออกมา มีความซาบซ้ึงภูมิใจในความดีงามของชุมชนหรือ
ใช้ได้ทุกเมื่อท่ีต้องการ มันท�ำหน้าที่ในการเชื่อม สังคมของตน ซึ่งจะแสดงออกมาในจิตใจและ
ประสานระหว่างจิตไร้ส�ำนึกและจิตรู้ส�ำนึกคอย สรา้ งสรรค์ จะทำ� ให้ชีวิตและสังคมเจรญิ พฒั นาไป
ตรวจสอบสิ่งที่จิตไร้ส�ำนึก ส่งมาให้กับจิตส�ำนึก ในทางทีด่ ีงามถกู ต้อง ส�ำหรบั มนุษยป์ ถุ ุชน ไดแ้ ค่นี้
และยังท�ำหน้าท่ีเก็บกดความปรารถนาและความ กน็ บั วา่ ดนี กั หนาแลว้ (Phra Brahmagunabhorn
ต้องการท่ีไม่อาจแสดงออกมาได้ลงไปไว้ใน (P.A. Payutto), 2007 : 72) พระพทุ ธศาสนาสอน

280 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

ใหเ้ รามองกวา้ ง กลา่ วคอื ไมใ่ หม้ องแคต่ วั เอง ไมใ่ ห้ อดุ มการณน์ นั้ จะตอ้ งมลี กั ษณะทเ่ี ออ้ื เฟอ้ื ไมบ่ บี คน้ั
มองแค่สงั คมของเรา แตใ่ ห้มองท้งั โลก ให้มปี ัญญา กลุ่มชน
มองเห็นระบบความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัยใน จติ ส�ำนกึ หมายถึง ภาวะท่ีจติ ต่นื และรตู้ ัว
สรรพสง่ิ ในธรรมชาติทงั้ หมด สามารถตอบสนองต่อสิ่งเร้าจากประสาทสัมผัส
การสร้างทัศนคติที่ดีแก่ประชาชนให้มี ทั้ง 5 คอื รปู เสยี ง กล่นิ รส และส่งิ ทส่ี ัมผัสไดด้ ว้ ย
ความเอ้ือเฟื้อมีน�้ำใจร่วมกันทุกคนมีสิทธิ หน้าที่ กาย ขณะทสี่ ญั ญา สญั ญาววิ ัฒน์ (Sanyavivath-
เท่าเทียมกัน ขณะเดียวกันอบรมให้ความรู้ด้าน na, 2006 : 41-45) ใหน้ ยิ ามคำ� วา่ จติ สำ� นกึ (Con-
จติ สาธารณะใหก้ บั ประชาชน เพมิ่ ทกั ษะและความ scious) หมายถงึ ความคิด ความรูส้ กึ ท่ีอย่สู ว่ นลึก
รู้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลของโลกที่เต็มไปด้วย ของบุคคล ติดตัวติดใจอยู่ตลอดเวลา คงทนและ
การแย่งชิงผลประโยชน์ เสริมสร้างจิตส�ำนึกทาง ไม่เปลี่ยนโดยง่าย ความหมายว่าจิตส�ำนึก
สังคม ตระหนักถึงบทบาท หน้าที่และสิทธิแห่ง (Conscientiousness) หรือความตระหนัก
ความเป็นมนุษย์และความเป็นพลเมืองของสังคม (Awareness) หมายถึง การตอบสนองต่อส่ิง
ทั้งในระดับชุมชน ที่เกิดข้ึน และตัดสินใจเลือกสนองตอบต่อส่ิงน้ัน
ในทางทีถ่ กู ตอ้ งตามกฎระเบียบ กฎหมาย กฎของ
2. แนวคิดเกีย่ วกับจติ ส�ำนึก สังคม จารีตประเพณี
แนวคดิ เรอ่ื งจติ สำ� นกึ เรมิ่ ตน้ มาจากศาสตร์
แนวคิดเกี่ยวกับจิตส�ำนึกร่วมทางสังคม ของจิตวิเคราะห์และจิตวิทยาทางหนึ่ง และในอีก
เป็นแนวคิดท่ีสามารถผสานสังคมในประเทศชาติ ทางหน่งึ คือ การศึกษาของกลมุ่ Marxist ซ่งึ ในทีน่ ้ี
ให้ตระหนักรู้ในความเป็นชาติได้ อย่างไรก็ตามถ้า จะอธิบายเฉพาะแนวคิดหลักๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี
จะท�ำใหส้ �ำเรจ็ จะตอ้ งมอี ะไรอย่างหนง่ึ ทีจ่ ะยดึ เปน็ 1. แนวคิดจิตส�ำนึกท่ีเริ่มต้นมาจาก
อดุ มการณส์ งู สดุ หรอื จะตอ้ งเอาหลกั อะไรสกั อยา่ ง ศาสตร์ของจิตวิเคราะห์และจติ วิทยา แนวคิดเรอ่ื ง
หนง่ึ มาสรา้ งมานำ� สงั คมนใี้ หม้ จี ติ สำ� นกึ ตอ่ จดุ หมาย จิตส�ำนึกในด้านนี้มีท่ีมาจากการแนวคิดพ้ืนฐาน
รว่ มกัน ซึง่ ขอเรียกว่าเปน็ “อุดมธรรมนำ� จติ ส�ำนึก ท่สี ำ� คัญ 4 แนวคดิ ได้แก่ 1) แนวคดิ ทางจติ วิทยา
ของสงั คม” ปจั จบุ นั ปญั หาของสงั คมมมี ากมายและ ที่เน้นธรรมชาติของประสบการณ์การมีสติส�ำนึก
สลบั ซบั ซอ้ น ยากที่จะแก้ไขไดจ้ นกลายเปน็ ปญั หา 2) แนวคดิ ทางจติ วทิ ยาทเี่ นน้ หนา้ ทขี่ องการทำ� งาน
เรื้อรังยากแก่การเยียวยา ดังเหตุน้ีอุดมธรรมน�ำ ของกระบวนการทางจิตส�ำนึก 3) แนวคิดทาง
จิตส�ำนึกของชีวิตและสังคม จ�ำต้องมีเพ่ือน�ำมา จิตวิทยาท่ีเน้นศึกษาพฤติกรรมและความส�ำคัญ
เยียวยาสังคม ก่อนที่ปัญหาเหล่านี้จะเลวร้ายไป ของการเรียนรู้ภายใต้จิตส�ำนึก นักคิดกลุ่ม
มากกว่านี้ อนงึ่ ส่ิงทเ่ี ราจะเอามาเป็นอุดมธรรมนำ� โครงสร้างนิยม เช่น Plato มีแนวคิดว่ามนุษย์
จิตส�ำนึกของสังคม หรือเป็นอุดมการณ์ของชาตินี้ แตกต่างไปจากสัตว์ตรงที่มนุษย์ประกอบด้วยจิต
จะตอ้ งมลี กั ษณะดที จี่ ำ� เปน็ ประกอบดว้ ย อยา่ งนอ้ ย

ปีท่ี 19 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 281

(Mind) ซ่ึงท�ำหน้าที่ในการสร้างแนวความคิด ไมว่ า่ จะพอใจหรือไมก่ ็ตาม และ สามเมอ่ื มนุษย์ถูก
(Idea) ขณะท่ี Aristotle เชอ่ื ในเรอื่ งการมชี วี ติ ของ แยกออกจากเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆ ในสังคมเพราะ
จติ (Mental Life) สว่ น Descartes มแี นวคิดว่า สภาพสงั คมทบี่ บี บงั คบั ใหม้ นษุ ยแ์ กง่ แยง่ แขง่ ขนั กนั
ม นุ ษ ย ์ ป ร ะ ก อ บ ข้ึ น ด ้ ว ย ร ่ า ง ก า ย แ ล ะ จิ ต ใ จ 2.2 ปญั หาเรอ่ื งความคดิ ความเขา้ ใจ
ซง่ึ ทำ� หนา้ ทเี่ กยี่ วขอ้ งกนั โดยจติ สรา้ งภาพจากการ ซง่ึ Marx เนน้ ไปในดา้ นระบบการเมอื ง ปญั หาเรอื่ ง
ท�ำงานของกายและกายท�ำงานตามความคิดที่เกิด การยอมรับระบบโครงสร้างอ�ำนาจท่ีมีอยู่ในสังคม
ขึ้นในจิต จากแนวคิดดังกล่าวท�ำให้เกิดแนวคิด น้ัน มีพ้ืนฐานมาจากเรื่องความคิดความเข้าใจ
สัมพันธ์นิยม (Associationism) และได้ถูกน�ำมา (Cognition) และหลกั การใหเ้ หตผุ ล (Rationality)
พัฒนาสร้างกลุ่มโครงสร้างนิยมข้ึนในประเทศ อ ง ค ์ ป ร ะ ก อ บ ข อ ง ค ว า ม คิ ด ค ว า ม เ ข ้ า ใ จ คื อ
เยอรมนั ในปี ค.ศ. 1879 โดย Wilhelm Max Wundt การตีความ (Interpretation) การตีความเกิดข้ึน
ซึ่งมีแนวคิดว่าจิต (Mind) มีองค์ประกอบอิสระ เมื่อสังคมเกิดการแตกแยกเป็นชนชั้นกลุ่ม
ตา่ งๆ มารวมกนั เปน็ โครงสรา้ งของจติ (Faculty of ผู้ปกครองได้เข้ายึดกุมปัจจัยการผลิตทางวัตถุ
Mind) โดยพฤติกรรมของบคุ คลเกิดจาการกระท�ำ และสามารถสั่งสมผลผลิตส่วนเกนิ จนเหลอื พอเอา
ของกายที่ถูกควบคุมและสั่งการโดยจิต ซึ่งกลุ่ม มาเล้ียงดูกลุ่มปัญญาชนของตนผู้ท�ำหน้าท่ีผลิตวิธี
แนวคิดน้ีเน้นศึกษาองค์ประกอบส�ำคัญที่เรียกว่า การตีความ ต่อจากน้ันกลุ่มผู้ปกครองท่ีสามารถ
จติ ส�ำนกึ (The Contents of Consciousness) ควบคมุ บรรดาสถาบนั ตา่ งๆ ในสงั คม รวมทงั้ กลไก
(Tantriratana, 2009 : 7-10) ท้ังหมดในการถ่ายทอดส่ือสารความคิดก็ได้ใช้
2. แนวคดิ จติ สำ� นกึ ในกลมุ่ ของ Marxist สถาบนั และกลไกเหลา่ นน้ั ทำ� การปอ้ นความคดิ นน้ั
เร่ิมต้นจาก Carl Marx ได้น�ำเสนอวิธีคิดแบบ ให้แก่สมาชิกในสังคม Goldman กล่าวว่า สิ่งที่
วัตถุนิยมของความคิดหรือจิตส�ำนึกทางสังคม เราคิดเป็นความคิดความเข้าใจ ที่เกิดจากข้อเท็จ
มนษุ ยว์ า่ ความคดิ หรอื จติ สำ� นกึ ของผคู้ นนน้ั กอ่ รปู จริง (Facts) ท่ีเรารับรู้ในระดับปรากฏการณ์
มาจากสภาพความเปน็ อย่ทู ี่เปน็ จริง (Kaewthep, (Phenomena) จะยังไม่ใช่ความเข้าใจที่มีส�ำนึก
1984 : 53) ซง่ึ มรี ายละเอยี ดในแต่ละมติ พิ อสงั เขป อย่างแท้จริงจนกว่าเราจะได้ท�ำการสะท้อน
ดงั น้ี (Reflection) ข้อเท็จจรงิ น้ันใหเ้ หน็ ทะลทุ ะลวงไป
2.1 ปญั หาความแปลกแยกนน้ั Marx ถงึ โครงสรา้ งความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งบคุ คล กลมุ่ และ
สรปุ วา่ เกดิ จาก หนง่ึ ผผู้ ลติ ถกู แยกออกจากผลผลติ สังคมเสียก่อน เพราะความคิดความองคป์ ระกอบ
ของตน ผทู้ �ำการผลติ ไมไ่ ดเ้ ปน็ เจา้ ของผลผลติ จาก ดา้ นความคดิ ความเขา้ ใจของจติ สำ� นกึ ในกลมุ่ เขา้ ใจ
นำ�้ มอื ของตน สองมนษุ ยถ์ กู แยกออกจากตวั เอง คอื ท่ีเรามีกันอยู่เป็นความเข้าใจที่ถูกป้อนมาให้คิด
ไมส่ ามารถจะควบคมุ การดำ� เนนิ ชวี ติ ของตนใหเ้ ปน็ Goldman เสนอว่าหลักการวิเคราะห์บุคคลหนึ่ง
ไปตามความปรารถนา เช่น ต้องท�ำงานเพื่อเงิน ควรประกอบด้วย หน่ึงจิตส�ำนึกนั้นมีเน้ือหาท่ี

282 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

ลวงตาลวงใจไปจากความเป็นจริง สองเหตุใดคน ผิดพลาด จึงมีผลท�ำให้ผู้ท่ีท�ำการศึกษาสังคมโดย
กลุ่มน้ันๆ จึงยอมรับเน้ือหาที่ผิดพลาดน้ันว่าเป็น ยึดแนวทางของ Marx รุ่นหลังมีทัศนะในด้านลบ
ความจริง ต่อปัญหาจิตสำ� นกึ และละเลยการศกึ ษาจิตสำ� นกึ
2.3 ปัญหาจินตนาการที่สามารถ ที่เป็นตัวเสริมและหนุนช่วยการเปล่ียนแปลง
ครอบง�ำความเป็นจริงได้ Marx เรียกปัญหานี้ว่า (Kaewthep, 1984 : 12-13)
ความเพ้อฝัน (Phantasy) ในขณะที่ Sigmund
Freud เรยี กว่า จนิ ตนาการ (Imagine) Assound 3. การสรา้ งจติ สำ� นกึ รว่ มในพระพทุ ธศาสนา
ประยุกต์เอาหลักของจิตวิเคราะห์ระดับบุคคลมา
อธบิ ายปญั หาจนิ ตนาการระดบั สงั คมวา่ เมอ่ื ตอ้ งตก ขบวนการสร้างจิตส�ำนึกร่วมในพระพุทธ
อยู่ในความทกุ ข์ยาก การแก้ปญั หาปญั หาดงั กล่าว ศาสนาท่ีเป็นค�ำสอนทางพระพุทธศาสนาก็จะเน้น
อาจใชถ้ งึ 2 วธิ ี คอื 1) การแกป้ ญั หาตามหลกั ความ ทจ่ี ติ ใหอ้ ภยั จติ เออ้ื อาทรแกเ้ พอื่ รว่ มโลก สภาพรจู้ ติ
เป็นจริง (Reality Principle) และการแก้ปัญหา มลี กั ษณะรแู้ จง้ อารมณ์ อกี ทงั้ เปน็ ใหญเ่ ปน็ ประธาน
ตามหลักความพอใจ (Pleasure Principle) และ ในการรู้แจ้งอารมณ์ นอกจากน้ัน ยังเป็นสะพาน
2) เมอ่ื หนทางแกป้ ญั หาตามความเปน็ จรงิ ในสงั คม เช่ือมระหว่างความคิดกับสติปัญญาของมนุษย์ใน
ถูกปิดก้ันคนในสังคมก็จ�ำเป็นต้องเลือกหนทาง ทางพระพุทธศาสนาให้ความหมายจิตว่า คิดหรือ
เดยี วทมี่ เี หลอื อยู่ คอื แสวงหาการปลอบประโลมใจ รู้อารมณ์มีข้อความรองรับไว้ว่า “ธรรมชาติใด
ไม่ว่าจะเป็นระดับบุคคลหรือระดับกลุ่มแม้ว่าการ ย่อมคิด อธิบาย ความว่า ย่อมรู้แจ้งอารมณ์”
แก้ปัญหาแบบน้ีจะแก้ได้เฉพาะในจินตนาการ ความหมายว่า ก่อหรือสร้าง มีข้อความรองรับว่า
โดยต้นตอปัญหาที่แท้จรงิ จะยงั คงอยู่กต็ าม “ทช่ี อ่ื วา่ จติ เพราะกอ่ /สรา้ งใหว้ จิ ติ ร” ความหมายวา่
หลมุ พรางทตี่ อ้ งพงึ ระวงั ของการวเิ คราะห์ เก็บหรือส่ังสม มีข้อความรองรับว่า “ที่ชื่อว่าจิต
แบบ Marxist กค็ ือ การใชเ้ กณฑ์ทางชนชน้ั มาเปน็ เพราะสั่งสมสันดาน (การสืบต่อ) ของตน หรือท่ี
มาเปน็ ศนู ยก์ ลางของการวเิ คราะหน์ น้ั ทำ� ใหเ้ กดิ การ ชอื่ วา่ จติ เพราะสงั่ สมไวด้ ว้ ยกรรมและกเิ ลส” และ
มองขา้ มเกณฑอ์ นื่ ๆ ทางดา้ นสงั คมวทิ ยา เพราะคน ความหมายวา่ วจิ ติ ร มขี อ้ ความรองรบั วา่ “ทช่ี อ่ื วา่
เรานน้ั นอกจากจะเกดิ มาสงั กดั ชนชนั้ ใดชนชน้ั หนง่ึ จิต เพราะรักษาไว้ซ่ึงความวิจิตรหรือชื่อว่าจิต
แลว้ ผคู้ นเหลา่ นน้ั ยงั มฐี านะอน่ื ๆในสงั คมดว้ ย เชน่ เพราะมอี ารมณอ์ นั วจิ ติ ร หมายถงึ วจิ ติ รทง้ั ตวั ของ
การเปน็ พ่ี ปา้ นา้ อา ผหู้ ญงิ ผชู้ าย เดก็ ผใู้ หญ่ ฯลฯ จติ เองและอารมณท์ จี่ ติ ปรงุ แตง่ ขน้ึ (Tipitaka 110-
อีกประการหนึ่งเน่ืองจาก Marx มีปรัชญาในการ 166) ดว้ ยเหตนุ เี้ องเมือ่ พระพุทธเจ้าไดท้ รงส่ังสอน
ศกึ ษาวา่ “กระท�ำไปเพ่ือเปล่ยี นแปลงโลก” ทำ� ให้ ให้พระภิกษุได้พัฒนาจิตตนเองก่อนที่จะได้ไป
Marx ให้ความสนใจเฉพาะจิตส�ำนึกด้านท่ีเป็น พฒั นาจติ ใจผอู้ น่ื พระพทุ ธสรา้ งภกิ ษดุ ว้ ยการฝกึ จติ
อุปสรรคต่อการเปลี่ยนแปลง คือ จิตส�ำนึกท่ี ฝึกใจของภิกษุเหล่านั้น จนได้รู้แจ้งเห็นจริงใน
อารมณ์แล้ว พัฒนาจิตให้มีความส�ำนึกท่ีจะ

ปีท่ี 19 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 283

อนเุ คราะหเ์ วไนยสตั วใ์ หพ้ น้ ทกุ ข์ ผดงุ ธรรมใหห้ มนุ นามธรรม ซึ่งอาจจะมีคุณลักษณะเกิดจากสติ
ไปแก่ชาวโลกแล้วก็ส่งออกเผยแผ่พระธรรม ปัญญา การกระท�ำของมนุษย์ พฤติกรรมและ
อันประเสริฐ ก่อสติปัญญาให้เกิดแก่มวลมหาชน ประสบการณ์เหล่าน้ี จะก่อให้เกิดการแสดงออก
ดังพระด�ำรสั วา่ ทางบุคลิกภาพ ท้ังด้านดีและไม่ดีตามระดับ
พวกเธอท้ังหลาย จงเที่ยวจาริกไปเพื่อ จิตส�ำนึกที่มีอยู่ในตัวบุคคล การสร้างจิตส�ำนึกน้ัน
ประโยชนส์ ขุ แกม่ หาชน เพอ่ื ความเอน็ ดแู กโ่ ลกเพอื่ ยังมีความส�ำคัญท่ีจะต้องพัฒนาให้มีข้ึนกับมนุษย์
ประโยชน์ เพอ่ื ความเกอ้ื กลู เพอ่ื ความสขุ ทง้ั แกเ่ ทวดา อยา่ งต่อเน่อื ง
และมนุษย์ทง้ั หลาย
จงแสดงธรรมใหง้ ดงามในเบอ้ื งตน้ งดงาม 4. หลกั ธรรมทส่ี รา้ งจติ สำ� นกึ รว่ มทางสงั คม
ในทา่ มกลาง งดงามในเบื้องปลาย ให้เป็นไปพรอ้ ม
ท้ังอรรถะ พร้อมท้ังพยัญชนะให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ การสร้างจิตส�ำนึกร่วมควรเร่ิมต้นจาก
ส้ินเชิง ศีลธรรม คุณธรรม และจริยธรรม เพราะมีความ
สัตว์ท้ังหลายท่ีเป็นพวกมีธุลีในดวงตาแต่ ส�ำคัญอย่างยิ่งในการที่จะจูงใจหรือชักน�ำให้คน
เล็กน้อยก็มีอยู่ สัตว์พวกนี้ย่อมเสื่อมจากคุณท่ี กลุ่มคน และประชาชนหรือพลเมืองให้เข้าร่วม
ควรได้ เพราะไม่ได้ฟังธรรม สัตว์ผู้รู้ท่ัวถึงธรรม ยุคสมัยปัจจุบันสังคมท่ัวโลกเปิดรับวิถีการพัฒนา
จกั มเี ปน็ แน่ (Tipitaka 32/40) นเี้ ป็นความห่วงใย ต่างแดน ทุกสังคมมักจะยอมรับหรือถูกบังคับให้
ในเวไนยสัตย์ที่พระพุทธเจ้ามีต่อมวลมนุษยชาติ ยอมรับเอาวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไปจากวัฒนธรรม
การสร้างให้พระภิกษุสงฆ์ให้มีจิตส�ำนึกร่วมในการ มาเปน็ แบบบรโิ ภคนยิ ม หรอื สขุ นยิ มทอ่ี ยภู่ ายใตร้ ม่
ที่ผดุงธรรมให้หมุนไปในทุกสารทิศ เผยแผ่ธรรม เงาใหญ่ของทุนนิยม ท�ำให้สังคมท่ีเคยมีความโอบ
ขับเคล่ือนธรรมไปให้ท่ัวจักวาล ประกาศธรรมไป อ้อมอารี ช่วยเหลือรักใคร่กัน เปล่ียนเป็นมุ่ง
พร้อมๆ กันทั้งหมดที่ท�ำไปก็เพียงเพ่ือให้ชาวโลก แสวงหาทรัพย์มาตอบสนองสุขนิยมอย่างไม่มี
ได้พบกับสาระส�ำคัญของชีวิตเท่านั้น แต่ท่ีมากไป ขอบเขต หน้าท่ีต่างๆ ท่ีเราเคยมีต่อสังคม ชุมชน
กว่านั้นก็เพ่ือต้องการให้เวไนยสัตพบความสุข และประเทศชาติ รวมทั้งการปลูกจิตส�ำนึกให้กับ
อันสูงสุดในชีวิต คือ นิพพาน เยาวชนได้ถูกละเลย หรือให้ความส�ำคัญน้อยลง
จึงแสดงให้เห็นว่ามนุษย์จ�ำเป็นต้องมีการ มากจนนา่ เปน็ หว่ งวา่ สงั คมในอนาคตหรอื แมแ้ ตใ่ น
สร้างจิตส�ำนึกให้เกิดขึ้นในตนเอง และขยายสู่ ปัจจุบัน จะเต็มไปด้วยคนท่ีเห็นแก่ตัว เป็นสังคม
กล่มุ ชนเพื่อประโยชน์ตนและส่วนรวม แต่อยา่ งไร ที่แล้งน้�ำใจ ล่อแหลมต่อความล่มสลายของชาติ
ก็ตามลักษณะจิตมนุษย์ ก็ยังต้องเรียนรู้จาก เม่ือภัยมา เพราะคนในสังคมขาด “จิตส�ำนึกต่อ
ประสบการณ์ เพราะจิตนั้นยังมีความสนใจใน สว่ นรวม”
ส่ิงต่างๆ ผา่ นประสาทสัมผสั ทงั้ ทีเ่ ป็นรูปธรรมและ การสรา้ งจติ สำ� นกึ ทดี่ จี ำ� เปน็ ตอ้ งปลกู สรา้ ง
อยา่ งตอ่ เนอื่ ง เพอื่ การพฒั นาการจากการมจี ติ สำ� นกึ

284 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

ในเร่ืองเล็กๆ ภายในตัวตน (ปัจเจก) ไปสู่การมี อปริหานิยธรรมอันเป็นหลักธรรมท่ีเกิดข้ึนจาก
จิตส�ำนึกทางสังคม ซ่ึงขยายวงกว้างและมีความ พระสัพพัญญูตญาณของพระพุทธเจ้ามาใช้ใน
ซับซ้อนมากขึ้น เช่น จิตส�ำนึกของความเป็นชาติ องค์กรแล้วน�ำมาประเมินก็จะเห็นความแตกต่าง
ดังน้ัน การสอนเด็กให้รักความสะอาดไม่ทิ้งขยะ หรอื การเปลย่ี นแปลงในทางทดี่ ีได้ หลกั ธรรมขอ้ น้ี
ในสถานท่ีสาธารณะ จึงอาจส่งความหมายถึง พระพุทธเจ้าก็จะทรงเน้นไปท่ีความพร้อมเพียง
ความรับผิดชอบของผู้ประกอบการต่อการรักษา ในองค์ประชุมและจารีตประเพณี เพ่ือสร้างการ
สิ่งแวดล้อม การปลูกฝังให้เด็กรู้จักการแบ่งปัน เรียนรู้ ความรัก สามัคคีในองค์กรท่ีตนท�ำงาน
กอ็ าจสง่ ความหมายถงึ การมสี งั คมทผี่ าสขุ เออ้ื อาทร ไดเ้ ปน็ อย่างดี ทกุ คนมสี ิทธิที่แสดงออกและมีหนา้
และแบ่งปนั การปลูกฝงั ให้เด็กเคารพต่อกฎกตกิ า ที่ต้องรับผิดชอบในองค์กรร่วม สร้างให้ทุกคน
ต่างๆ ก็มีนัยยะ ถึงการเป็นนักการเมืองท่ีซื่อสัตย์ มีจิตส�ำนึกว่าเป็นหน้าที่ของเราทุกคนไม่ใช่เป็น
ไม่โกงเงินหรือท�ำสง่ิ ผิดกตกิ าของสังคม หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่งแต่เป็นหน้าที่ของ
ดังน้ัน หากไม่สามารถสร้างจิตส�ำนึกทาง ทกุ คน
สงั คม ใหก้ ลบั มาอยใู่ นเดก็ และผใู้ หญว่ นั นไี้ ด้ สงั คม เมื่อมีหลักในการประพฤติปฏิบัติร่วมกัน
ก็ต้องเตรียมใจรับความตกต�่ำๆ ของประเทศชาติ แล้วยังจ�ำเป็นต้องมีหลักในการให้เกียรติกันใน
ในอนาคตอันใกล้ได้เลย การเรียกให้คนจิตส�ำนึก องคก์ ร มนษุ ยเ์ รานอกจากจะใหค้ วามเสมอภาคกนั
รว่ มหรอื จติ สำ� นกึ ทด่ี ๆี ใหก้ ลบั มาเทา่ นนั้ จงึ จะทำ� ให้ แล้วยังต้องให้เกียรติความเป็นมนุษย์ด้วยกันอีก
สังคมออกจากกองทุกข์ได้ เฉกเช่น ทา่ นพุทธทาส หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ซึ่งจากสัพพัญญู
ภิกขุชี้ทางสว่างไว้ให้กับชาวโลกไว้ว่า ถ้าต้องการ ตญาณของพระพุทธเจ้าในเร่ืองการให้เกียรติ
สังคมท่ีเป็นสุขและสงบเย็น ต้องน�ำเอาศีลธรรม มหี ลายระดบั ดว้ ยกนั แตใ่ นบทความนผ้ี เู้ ขยี นจะนำ�
กลับมาสู่สังคม “ถ้าศีลธรรมไม่กลับมา โลกาจะ เสนอเฉพาะในองค์กรหรือเลือกเอาบางหลักธรรม
วนิ าศ” เป็นวลีส้นั ๆ ของทา่ นอาจารยพ์ ทุ ธทาสท่มี ี เทา่ นน้ั ทเี่ หน็ วา่ เหมาะสมในปจั จบุ นั ซงึ่ การนำ� เสนอ
ความหมายตอ่ การเปล่ียนแปลงสงั คมยง่ิ นัก ในครั้งนี้ใช่ว่าจะมีแต่หลักธรรมเท่านั้น ยังมีอีก
ในทางพระพุทธศาสนานั้น พระพุทธเจ้า หลายหลักธรรมท่ีเหมาะสม แต่ผู้เขียนต้องการ
ไดต้ รสั หลกั ธรรมทเ่ี ปน็ แนวทางในการเสรมิ สรา้ งให้ น�ำเสนอบางส่วน เช่น หลกั การอยรู่ ่วมในหมดู่ ้วยดี
เกิดจิตส�ำนึกร่วมกันหรือให้เกิดความสามัคคี ในด้านความสัมพันธ์กับผู้อื่นท่ีเป็นเพื่อนร่วมงาน
ปรองดองในสังคม ร่วมกิจการหรือร่วมชุมชน ตลอดจนพ่ีน้องร่วม
อปรหิ านยิ ธรรม 7 (Kurathamma, 2018 ครอบครัว พึงปฏิบัติหลักการอยู่ร่วมกันท่ีเรียกว่า
: 171-182) หมายถึง ธรรมเป็นท่ีต้ังแห่งความ สาราณยี ธรรม (ธรรมเป็นเหตุใหร้ ะลกึ ถึงกนั ) มี 6
ไม่เส่ือม 7 ประการ ผู้ปฏิบัติธรรมนี้จะเป็นไป ประการ คอื 1) เมตตามโนกรรม 2) เมตตาวจกี รรม
เพื่อความเจริญ ไม่ว่าองค์ใดก็ตามถ้าน�ำหลัก 3) เมตตากายกรรม 4) สาธารณโภคี 5) สลี สามัญ

ปที ี่ 19 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 285

ญตา และ 6) ทิฏฐิสามัญญตา อย่างไรก็ตาม นั้นมีความส�ำคัญอย่างย่ิงต่อมนุษย์ และการสร้าง
ในแนวทางปฏบิ ตั ิ สาราณยี ธรรม จำ� ตอ้ งมกี ารเรมิ่ ตน้ จิตส�ำนึกร่วมนั้น จ�ำเป็นต้องมีหลักการมาเป็น
ดว้ ยทฏิ ฐสิ ามญั ญตา เพอ่ื ปรบั ความคดิ เหน็ ใหล้ งรอย แนวทางในการปฏบิ ตั ิ ถา้ ขาดหลกั การและแนวทาง
แบบเดยี วกนั วา่ เราทง้ั ผองเปน็ พนี่ อ้ งกนั อยใู่ นโลก ปฏิบัติก็จะขาดความสมดุลในการเชิงปฏิบัติ
ใบเดียวกันหรือผืนแผ่นดินเดียวกัน แม้จะต่าง หลกั การและแนวทางนนั้ สามารถนำ� มาจากหลายแหง่
ศาสนากันแต่ก็เป็นมนุษย์เช่นด้วยกัน เมื่อปรับ เช่น นักวิชาการ นักศาสนา และหลักค�ำสอน
ความคิดเห็นได้อย่างน้ีแล้ว มนุษย์ก็จะเกิดความรู้ ทางศาสนา ซง่ึ ในทน่ี ผ้ี เู้ ขยี นไดน้ ำ� เสนอแนวทางการ
รักสามัคคี คิด พูด ท�ำต่อกันด้วยเมตตา เก้ือกูล สร้างจิตส�ำนึกร่วมผ่านหลักธรรมทางพระพุทธ
แบง่ ปนั กนั และกนั ปฏบิ ตั ติ อ่ กนั ตามกฎหมายอยา่ ง ศาสนา อันเกิดจากพระสัพพัญญูตญาณของ
เทา่ เทยี มกนั ดว้ ยสลี สามัญญตาและปรับความคดิ พระพทุ ธเจา้ ทพี่ ระพทุ ธองคม์ พี ระกรณุ าธคิ ณุ ไดน้ ำ�
เห็นให้มีเหตุผลลงรอยเดียวกันมากย่ิงขึ้นด้วยทิฏฐิ หลักธรรมที่พระพุทธองค์ค้นพบแล้วน�ำมาอบรม
สามัญญตา จึงเห็นว่าเป็นหลักธรรมอันเป็นท่ีตั้ง สงั่ สอนและชแ้ี นะให้กบั เวไนยสตั ว์ ได้ร้แู ละปฏิบตั ิ
แห่งความระลึกถึง เป็นหลักธรรมท่ีจะเสริมสร้าง จนเกดิ มรรคผลใหก้ บั ปฏบิ ตั ติ าม แนวทางการสรา้ ง
ความรู้สึกที่ดีให้เกิดข้ึนต่อกันและกันอยู่เสมอ จิตส�ำนึกร่วมท่ีผู้น�ำเสนอผ่านหลักอปริหานิยธรรม
ในยามท่ีระลึกถึงกัน ซ่ึงจะเป็นเครื่องมือในการ ธรรมเปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ ความไมเ่ สอื่ มและสาราณยี ธรรม
เสริมสร้างให้คนมีจิตส�ำนึกท่ีรับผิดชอบร่วมกัน ธรรมเปน็ เหตใุ หร้ ะลกึ ถงึ กนั ซง่ึ ภาพรวมแลว้ เหน็ วา่
และสร้างความสามัคคีมีน้�ำหน่ึงใจเดียวกันให้ หลกั ธรรมทงั้ สองสามารถนำ� ไปใชแ้ ละเกดิ มรรคผล
เกดิ ขน้ึ ด้วย ได้จริง เพราะว่ามนุษย์ย่อมมีจิตส�ำนึกกันทุกคน
แต่จิตส�ำนึกจะเกิดข้ึนช้าหรือเร็วข้ึนอยู่กับการ
5. สรุป ขัดเกลา ซ่ึงการขัดเกลาน้ันจึงจ�ำเป็นต้องอาศัย
หลักการ หลักคิด และความเช่ือท่ีมนุษย์ศรัทธา
จากแนวคิดความการสร้างจิตส�ำนึกร่วม เป็นพนื้ ฐานในการสรา้ ง
ในพระพทุ ธศาสนาดงั ทกี่ ลา่ วมาจะเหน็ วา่ จติ สำ� นกึ

References

Buddhadasa Phikkhu. (1998). Boromdhamma of Semester. Bangkok : Dhammadanamulnithi
Publisher.

Kaewkangvan, S. (2003). Personality Psychology. Bangkok : Publisher of the Villagers.
Kaewthep, K. (1984). Theory and Analysis of Political Economy. Bangkok : The Social

Sciences of Thailand.

286 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

Kurathamma, N. (2018). Development of a Problem-solving Model of Local Community
with the Principle of In Buddhism Integrated. Dhammathas Academic Journal,
18(3), 171-182.

Mahachulalongkornrajavidyalaya. (1996). Tipitaka of M.C.U. Bangkok : Mahachulalongkorn
rajavidyalaya Printing House.

Phra Brahmagunabhorn (P.A. Payutto). (2010). Dictionary of Buddhism. Bangkok : Mahachula
longkornrajavidyalaya University.

_______. (2007). Find the truth, National Religion “Dhamma brings the Consciousness of
Thai Society”. Bangkok : Prim Suay Printing.

Sanyavivathna, S. (2006). Theories and Strategies for Social Development. Bangkok :
Chulalongkorn University Publisher.

Tantriratana, C. (2009). General Psychology. Bangkok : Publisher of Thammasat University.

สมาธิกบั การพฒั นาคุณภาพชวี ติ มนษุ ย*์
The Meditation on Improving the Quality of Human Life

กาญจนา หาญศรวี รพงศ์ และพระมหามติ ร ฐติ ปญฺโญ
Kanjana Hansriworapong and Phramaha Mit Thitapanyo
มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตขอนแก่น
Mahachulalongkornrajavidyalaya University, KhanKaen Campus, Thailand
Corresponding Author, E-mail: [email protected]

บทคดั ยอ่

บทความนี้มุ่งเสนอการปฏิบัตสิ มาธิเพือ่ การพัฒนาคณุ ภาพชีวติ มนุษย์ โดยมวี ตั ถปุ ระสงค์เพอื่ ให้
ผอู้ า่ นมคี วามรู้ ความเขา้ ใจ และเหน็ คณุ คา่ ของสมาธทิ ส่ี ามารถนำ� มาใชป้ ระโยชนใ์ นการดำ� เนนิ ชวี ติ ไดจ้ รงิ
ท้ังประโยชน์ส่วนตน ครอบครัว สังคม ประเทศชาติ และพระพุทธศาสนา การพัฒนาสมาธิได้อย่าง
มีประสิทธิภาพจะส่งผลให้มนุษย์มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีมีความสุข นอกจากน้ียังท�ำให้สังคม
เกิดสนั ตสิ ุข สมาชิกในสงั คมเหน็ อกเหน็ ใจ เขา้ ใจกัน มีความเมตตาตอ่ กัน ไมเ่ บยี ดเบียนกัน มคี วามรักใคร่
สามคั คกี นั สง่ ผลใหป้ ระเทศชาตมิ คี วามมน่ั คงเปน็ ปกึ แผน่ อกี ทง้ั เปน็ การสบื ทอดพระพทุ ธศาสนาใหเ้ จรญิ
รงุ่ เรอื ง ดงั นน้ั การฝกึ สมาธจิ งึ มคี ณุ คา่ อยา่ งมหาศาลตอ่ ผทู้ มี่ คี วามรู้ ความเขา้ ใจ และนำ� ไปประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ
ซงึ่ หากบคุ คลไดน้ ำ� ไปปฏบิ ตั ไิ ดอ้ ยา่ งจรงิ จงั และถกู ตอ้ งแลว้ บคุ คลผนู้ น้ั จะถงึ ความบรสิ ทุ ธห์ิ ลดุ พน้ จากความทกุ ข์
ทง้ั ปวง พบความสขุ ทแ่ี ทจ้ รงิ มชี วี ติ อยดู่ ว้ ยปญั ญา สมดงั พทุ ธพจนท์ ว่ี า่ “ชวี ติ ทดี่ ที สี่ ดุ คอื ชวี ติ ทอี่ ยดู่ ว้ ยปญั ญา”
คำ� สำ� คญั : สมาธิ; การพฒั นาคณุ ภาพชีวติ มนษุ ย์

Abstract

The The main purposes of this article that were to made meditation to improve
quality of human life. The Reader have been knowledge and understanding to the values
of meditate to can be used in the lifestyle whether benefit for themselves, society,
nation and Buddhism. The result in development meditation effectively can be help
people. They have a good health because they are happiness both mind and body.

* ไดร้ ับบทความ: 4 มกราคม 2561; แกไ้ ขบทความ: 24 มกราคม 2562; ตอบรับตีพมิ พ:์ 14 กุมภาพนั ธ์ 2562
Received: January 4, 2018; Revised: January 24, 2019; Accepted: February 14, 2019


Click to View FlipBook Version