The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ปีที่ 19 ฉบับที่ 1 มกราคม - มีนาคม 2562

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

วารสารธรรมทรรศน์

ปีที่ 19 ฉบับที่ 1 มกราคม - มีนาคม 2562

88 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

2.3 เพื่อให้นักเรียนน�ำความรู้ภาษา 5. ข้อเสนอแนะ
ผไู้ ทยถน่ิ นางวั มาใชส้ อื่ สารในชวี ติ ประจำ� วนั และมี
ส่วนร่วมในการอนุรักษ์และสืบสานภาษาท้องถ่ิน 1. ควรมีการศึกษาภาษาผู้ไทยถิ่นนางัว
ของตนเอง เปรียบเทียบกับภาษาผู้ไทยถิ่นอ่ืนที่มีลักษณะ
ขอบข่ายเน้ือหาของหลักสูตรรายวิชา ใกล้เคียงกนั
ภาษาผไู้ ทยถน่ิ นางวั กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย 2. ควรมีการศึกษาเปรียบเทียบภาษา
ช้นั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย มขี อบข่ายเน้อื หาสาระ ผู้ไทยกับปัจจัยด้านอื่นๆ เช่น ช่วงอายุ เพศ การ
การเรียนรู้ แบ่งเป็น 4 หน่วยการเรียนรู้ ดังน้ี ศึกษา อาชีพ ตลอดจนแนวโน้มการเปล่ียนแปลง
1) ธรรมชาตขิ องภาษาผไู้ ทยถน่ิ นางวั 2) โครงสรา้ งคำ� ลักษณะของภาษาผู้ไทยท่จี ะเกดิ ขึ้นในอนาคต
และประโยค 3) ระบบความหมาย และ 4) กลอน 3. ควรศกึ ษาภาษาถน่ิ ของชาตพิ นั ธอ์ุ น่ื ๆ
ผญา และวรรณกรรม ในภาษาผ้ไู ทยถิน่ นางวั แล้วจัดท�ำแนวทางนโยบายและพัฒนาหลักสูตร
เพอ่ื การสืบสานและการอนรุ กั ษ์

References

Deepadung, S. (1990). Field Methods in Linguistics. Institute of Language and Culture for
Rural Development. Bangkok : Mahidol University.

Khanittanan, W. (1997). Phuthai. Bangkok : Thammasart University Press.
Khonhan, R. (2003). A Study of Vocabularies in Phuthai : A Historical Linguistic Approach.

Master Thesis in Thai. Graduate School : Mahasarakham University.
Luangthongkum, T. (1986). Linguistic field Research. Bangkok : Chulalongkorn University

Press.
Premsrirat, S. (1999). Language Maintenance and Language Shift in Minority Languages

of Thailand. In Studies in Endangered Languages. Papers from the International
Symposium on Endangered Languages, Tokyo, November 18-20 1995, ed. Kazuto
Matsumura, Tokyo, Japan.
_______. (2007). The Language Situation in Thai Social and the Diversity of Ethnic Group.
Prachathai Journal Online. https://prachatai.com/node/14124/talk. (Accessed 15
February 2018).
Puntumetha, B. (2011). Characteristics of Thai. Bangkok : Ramkhamhaeng University Press.
Reangchotiwit, P. (1992). Meaning Analysis. Chiangmai : Chiangmai University Press.

ความตอ้ งการจำ� เปน็ เพอ่ื พัฒนาการบรหิ ารจัดการความเสี่ยงทางวชิ าการ
ในโรงเรยี นมัธยมศกึ ษา สงั กดั องค์การบริหารสว่ นจงั หวัด
โดยประยุกต์ใช้แนวคิด SIPOC MODEL*

A Study of Needs to Develop Academic Risk Management
in Secondary Schools, under the Provincial Administrative

Organization by Applying SIPOC MODEL Concept

ราตรี เลิศหว้าทอง และพชรวิทย์ จันทร์ศิริสริ
Ratree Loetwathong and Pacharawit Chansirisira

คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม
Faculty of Education, Mahasarakham University, Thailand

Corresponding Author, E-mail: [email protected]

บทคดั ยอ่

การวิจยั คร้ังน้ี มวี ตั ถุประสงคเ์ พอื่ 1) ศกึ ษาขอบขา่ ยของงานวชิ าการและองคป์ ระกอบของการ
บรหิ ารจดั การความเสย่ี งงานวชิ าการในโรงเรยี นมธั ยมศกึ ษา สงั กดั องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั โดยประยกุ ต์
ใช้แนวคิด SIPOC MODEL 2) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจ�ำเป็น
ของการบริหารจัดการความเส่ียงงานวิชาการในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด
โดยประยกุ ตใ์ ชแ้ นวคดิ Sipco Model และ 3) เพอื่ เสนอแนวทางการพฒั นาการบรหิ ารจดั การความเสยี่ ง
งานวิชาการในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด โดยประยุกต์ใช้แนวคิด SIPOC
MODEL การวิจยั มี 3 คือ ข้นั ตอน 1 สงั เคราะหข์ อบข่ายงานวชิ าการและองค์ประกอบของการบริหาร
จัดการความเสี่ยงงานวิชาการในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด โดยประยุกต์ใช้
แนวคดิ SIPOC MODEL ขนั้ ตอนที่ 2 เกบ็ รวมรวมขอ้ มลู สภาพปจั จบุ นั สภาพทพี่ งึ ประสงคแ์ ละวเิ คราะห์
ความตอ้ งการจำ� เป็นของการบริหารจัดการความเสี่ยงงานวชิ าการในโรงเรยี นมัธยมศกึ ษา สังกัดองคก์ าร
บริหารส่วนจังหวัด โดยประยุกต์ใช้แนวคิด SIPOC MODEL กลุ่มตัวอย่างที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล
ไดแ้ ก่ กลมุ่ ผู้บรหิ าร และกล่มุ ครู จำ� นวนทั้งส้ิน 352 คน ก�ำหนดขนาดกล่มุ ตัวอย่างโดยการเปิดตารางเครจซี

* ไดร้ บั บทความ: 23 สิงหาคม 2561; แก้ไขบทความ: 8 กมุ ภาพันธ์ 2562; ตอบรบั ตพี มิ พ์: 14 กมุ ภาพันธ์ 2562
Received: August 23, 2018; Revised: February 8, 2019; Accepted: February 14, 2019

90 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

และมอร์แกน และท�ำการสุ่มตวั อยา่ งแบบแบง่ ชนั้ และขั้นตอนที่ 3 ศกึ ษาโรงเรยี นทมี่ แี นวปฏิบตั ทิ ีด่ ีดา้ น
การบรหิ ารจดั การความเสยี่ งงานวชิ าการ จำ� นวน 3 โรงเรยี น เครอื่ งมอื ทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั ไดแ้ ก่ แบบสอบถาม
แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับแบบสังเกต และแบบสัมภาษณ์แบบก่ึงโครงสร้างสถิติท่ีใช้ในการ
วเิ คราะหข์ อ้ มลู ไดแ้ ก่ คา่ เฉลย่ี สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน และวเิ คราะหเ์ นอื้ หาดว้ ยการวเิ คราะหเ์ ชงิ พรรณนา
ผลการวิจยั พบวา่
1. ขอบขา่ ยงานวชิ าการในโรงเรยี นมธั ยมศกึ ษา สงั กดั องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั ไดแ้ ก่ ขอบขา่ ย
งานวิชาการ 7 ด้าน และรูปแบบการบริหารจัดการความเส่ียงงานวิชาการในโรงเรียนมัธยมศึกษา
สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด โดยประยุกต์ใช้แนวคิด SIPOC MODEL เสนอรูปแบบด�ำเนินการ
เชงิ ระบบ ตามกระบวนการ SIPOC MODEL ประกอบด้วย 5 ดา้ น ไดแ้ ก่ 1) ด้านผู้ส่งมอบ (Supplier)
2) ด้านปัจจัยน�ำเข้า (Input) 3) ด้านกระบวนการท�ำงาน (Process) 4) ด้านผลผลิต (Output : O)
และ 5) ด้านผูร้ ับบรกิ าร (Customer)
2. สภาพปัจจุบันของการบริหารจัดการความเสี่ยงงานวิชาการในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัด
องค์การบรหิ ารสว่ นจงั หวัด โดยประยกุ ตใ์ ช้แนวคดิ SIPOC MODEL โดยภาพรวมอยู่ในระดบั มาก และมี
สภาพทพ่ี งึ ประสงค์ โดยภาพรวมอยู่ในระดบั มากที่สดุ สำ� หรบั ล�ำดับความต้องการจ�ำเป็นของรปู แบบการ
บรหิ ารจดั การความเสยี่ งงานวชิ าการในโรงเรยี นมธั ยมศกึ ษา สงั กดั องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั โดยประยกุ ต์
ใชแ้ นวคดิ SIPOC MODEL พบว่า ล�ำดับแรก คือ ดา้ นผลผลิต (Output) รองลงมา คือ ด้านผูร้ บั บริการ
(Customer) ส่วนดา้ นอนื่ มคี วามต้องการจ�ำเป็นเท่าๆ กัน
3. แนวทางการบริหารจัดการความเส่ียงงานวิชาการในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดองค์การ
บรหิ ารสว่ นจงั หวดั โดยประยกุ ตใ์ ชแ้ นวคดิ SIPOC MODEL สรา้ งพฒั นาการบรหิ ารจดั การความเสย่ี งทาง
วิชาการในโรงเรียนมัธยมศึกษา สงั กดั องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั
โดยประยกุ ตใ์ ชแ้ นวคดิ SIPOC MODE จากการสงั เคราะหข์ อ้ มลู โดยการสมั ภาษณ์ ความคดิ เหน็
ความรู้ ความเขา้ ใจ และความสามารถของผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษาและครู 8 กลมุ่ สาระ ในโรงเรยี นมธั ยมศกึ ษา
สงั กดั องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั เกย่ี วกบั การบรหิ ารจดั การความเสยี่ งงานวชิ าการของสถานศกึ ษา ขอ้ มลู
การบรหิ ารงานวชิ าการ 7 ดา้ น เปน็ ความเหน็ กอ่ นนำ� รปู แบบมาใชก้ อ่ นและหลงั การใชร้ ปู แบบการบรหิ าร
จัดการความเสี่ยงงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด โดยประยุกต์ใช้แนวคิด
SIPOC MODEL
ค�ำส�ำคัญ: งานวิชาการในโรงเรียนมัธยมศึกษา; การวิเคราะห์ความต้องการจ�ำเป็น; แนวคิด SIPOC
MODEL

ปีที่ 19 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 91

Abstract

The aims of this research were: 1) to study the scope of academic work and the
composition of academic risk management in secondary schools under the provincial
administrative organization by applying the SIPCO MODEL concept; 2) to study current
condition, desirable condition and needs of risk management of academic work in
secondary schools under the provincial administrative organization by applying the SIPCO
MODEL concept; 3) to provide a guideline for the development of academic risk management
in secondary schools under the provincial administrative organization by applying the
SIPCO MODEL concept. This study was carried out in 3 stages: 1) to synthesize the scope
of academic work and the composition of academic risk management in secondary schools
under the provincial administrative organization by applying the SIPCO MODEL concept;
2) to collect data regarding the current condition, the desired condition and needs of risk
management of academic work in secondary schools under the provincial administrative
organization by supplying the SIPCO MODEL concept. Sample groups used to collect data
included the executive groups and the teacher groups total (325 persons), set the sample
size by opening the table of Krejcie and Morgan, and stratified random sampling; 3) to
study 3 schools with the best practice of risk management of academic work. The research
instruments consisted of the five rating scale questionnaire, observation form and
semi-structured interview form. The statistics for data analysis included means ( ), standard
deviation (S.D.) and descriptive analysis.
The research findings were as follows:
1. The academic scopes in secondary schools under the provincial administrative
organization e.g. the seven academic scopes and the model of risk management of
academic work in secondary schools under the provincial administrative organization by
supplying the SIPCO MODEL concept, the model of system approach by process of
SIPCO MODEL consisted of 5 aspects: 1) Supplier 2) Input 3) Process 4) Output and 5)
Customer.
2. The current condition of risk management of academic work in secondary
schools under the provincial administrative organization by supplying the SIPCO MODEL

92 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

concept was at a high level and the desirable condition was at the highest level. For the
requirement order of the model of academic risk management in secondary schools
under the provincial administrative organization by applying the SIPCO MODEL concept
found that the first sequence was the output, the second sequence was the customer
and the other aspects of the need were equal.
3. Guidelines for risk management for academic work in secondary schools under
the provincial administration organization by applying the concept SIPOC MODEL to
develop academic risk management in secondary schools under the provincial
administration organization.
Is that applying SIPOC MODE concept from data synthesis by interviewing opinions,
to apply knowledge, understanding and ability of the school administrators and teachers
of 8 groups in secondary schools under the provincial administration organization about
risk management, academic work of educational institutions information on academic
administration 7 aspects as an opinion before applying the model before and after using
the risk management model for academic work of educational institutions under the
provincial administration organization by applying the SIPOC MODEL concept.
Keywords: academic work in secondary schools; needs analysis; SIPOC MODEL concept

1. บทน�ำ แบบรวมศนู ยอ์ ำ� นาจสสู่ ว่ นกลาง มกี ารบรหิ ารแบบ
จัดองค์กรซ้อนไม่มีเอกภาพด้านการวางนโยบาย
การศึกษาในประเทศไทยปัจจุบันนับว่า และมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรต่�ำ
ยงั มปี ญั หาอยมู่ าก โดยเฉพาะวกิ ฤตการทางปญั ญา เกิดการเหลื่อมล�้ำในโอกาสการเข้ารับการศึกษา
แล้วพาให้เกิดวิกฤตชาติ การแก้วิกฤตทางการ ขาดการพัฒนานโยบายอย่างต่อเน่ือง ขาดแคลน
ศึกษาจ�ำเป็นต้องท�ำหลายวิธีการ รวมท้ัง โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
กระบวนการสร้างแนวทางยุทธศาสตร์ทางปัญญา เพ่ือเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ และขาดความเชื่อมโยง
และการปฏิรูปการศึกษาเพื่อความเข้มแข็งทาง กับองค์กรการปกครองส่วนท้องถ่ินและชุมชน
ปัญญาแบบรอบด้านโดยเร็ว การปฏิรูปการศึกษา (Chansirisin, 2017 : 12)
จึงเป็นวาระเรง่ ด่วนของชาติ และประเด็นสำ� คญั ที่ จากการศึกษากระบวนการบริหารความ
จ�ำเป็นต้องมีการปฏิรูปการศึกษา โดยเฉพาะการ เ สี่ ย ง ท่ี เ ก่ี ย ว กั บ ก า ร บ ริ ห า ร ส ถ า น ศึ ก ษ า ที่ มี
บริหารจัดการศึกษาที่ยังขาดประสิทธิภาพและ ประสิทธิภาพ สามารถแบ่งการจัดการศึกษา
ประสิทธิผล กล่าวคือ ในปัจจุบันน้ีมีการบริหาร

ปีท่ี 19 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 93

พบว่าแบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอน ดังน้ี 1) ก�ำหนด จากความส�ำคัญดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัย
วัตถุประสงค์ (Define Objectives) 2) การระบุ จึงมีความสนใจท่ีจะศึกษาความต้องการจ�ำเป็น
ความเสย่ี ง (Risk Identification) 3) ปรมิ าณความ เพื่อการบริหารจัดการความเส่ียงงานวิชาการใน
เสย่ี ง (Risk Quantification) 4) การรายงานความ โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วน
เส่ียง (Risk Response) และ 5) การตรวจสอบ จังหวัด โดยประยุกต์ใช้แนวคิด SIPOC Model
และควบคุมความเส่ียง (Risk Control Monitor ทั้งนี้ เพื่อให้การบริหารจัดการความเส่ียงงาน
and Review) (Hussein, 2007 : 394) ได้แบง่ วิชาการด�ำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้อง
กระบวนการบรหิ ารความเสยี่ งออกเปน็ 5 ขน้ั ตอน กับเจตนารมณ์ของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัด
เช่นกัน ดังน้ี 1) การระบุความเส่ียง (Risk องค์การบริหารส่วนจังหวัด เพ่ือน�ำไปเป็นข้อมูล
Identification) 2) การประเมนิ ความเสย่ี ง (Risk ในการพัฒนาการบริหารจัดการความเส่ียงงาน
Assessment) 3) การวิเคราะห์ความเสี่ยง (Risk วชิ าการทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพเกดิ ประสทิ ธผิ ล อนั สง่ ผล
Analysis) 4) การตรวจสอบความเส่ียง (Risk ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการบริหารจัดการศึกษา
Monitoring) และ 5) การจัดการความเสี่ยง (Risk ในโรงเรยี นมัธยมศกึ ษา สงั กดั องคก์ ารบริหารส่วน
Management) จังหวัดทม่ี คี ุณภาพต่อไป
การบริหารจัดการศึกษาปัจจุบันคุณภาพ
การศึกษาของประเทศไทย โดยภาพรวมอยู่ใน 2. วตั ถุประสงค์ของการวิจัย
เกณฑ์ต่�ำกว่ามาตรฐาน ซึ่งเกิดจากปัจจัยหลาย
ประการปัจจัยหนึ่งท่ีส่งผลต่อคุณภาพการศึกษา 1. เพ่ือศึกษาขอบข่ายของงานวิชาการ
ของไทย คือ คุณภาพในการจัดการเรียนการสอน และองคป์ ระกอบของการบรหิ ารจดั การความเสยี่ ง
ของครู ซึ่งไม่ได้หมายถึงการจัดการเรียนการสอน งานวชิ าการในโรงเรียนมัธยมศึกษา สงั กัดองคก์ าร
ในเน้ือหาสาระวิชาเท่านั้น แต่ครูต้องมีความ บรหิ ารสว่ นจงั หวดั โดยประยกุ ตใ์ ชแ้ นวคดิ SIPOC
สามารถในการจัดการช้ันเรียนควบคู่ไปด้วย MODEL
ซึ่งสรุปผลได้ว่าการศึกษาความแตกต่างระหว่าง 2. เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพท่ี
การจัดการช้ันเรียนที่มีประสิทธิภาพสูงและ พึงประสงค์และความต้องการจ�ำเป็นของการ
ประสทิ ธภิ าพตำ่� พบวา่ ครทู มี่ ปี ระสทิ ธภิ าพในการ บริหารจัดการความเส่ียงงานวิชาการในโรงเรียน
จัดการชั้นเรียนจะมีบทบาทเป็นผู้ผลักดัน คือ มัธยมศึกษาสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด
ช่วยให้กิจกรรมทั้งหลายในชั้นเรียนด�ำเนินไปได้ โดยประยุกต์ใช้แนวคดิ SIPOC MODEL
อย่างราบรื่นช่วยให้ผู้เรียนประสบความส�ำเร็จ 3. เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาการ
ในการเรียนรู้ (Wienstine, 2007 : 8) บริหารจัดการความเสี่ยงงานวิชาการในโรงเรียน
มัธยมศึกษาสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด

94 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

โดยประยกุ ต์ใชแ้ นวคดิ SIPOC MODEL แบบสอบถามโรงเรียนละ 11 คน (กลุ่มผู้บริหาร
สถานศึกษา 3 คน และ กลุ่มครู 8) โดยการเลอื ก
3. วิธีดำ� เนินการวจิ ยั แบบเจาะจง (Purposive Sampling) จึงได้กลุ่ม
ตัวอย่างท้ังสิ้นจ�ำนวน 352 คน ผู้วิจัยจึงใช้กลุ่ม
การศกึ ษาวจิ ยั ครง้ั น้ี เปน็ การวจิ ยั แบบผสม ตัวอยา่ งจำ� นวน 256 คน
ผสานทง้ั วจิ ยั เชงิ ปรมิ าณ (Quantitative Research) 3. ในขั้นตอนการศึกษาโรงเรียนศึกษา
และเชงิ คณุ ภาพ (Qualitative Research) วเิ คราะห์ โรงเรียนท่ีมีแนวปฏิบัติที่ดีด้านการบริหารจัดการ
ขอ้ มลู ดว้ ยวธิ กี ารทางสถติ แิ ละการวเิ คราะหโ์ ดยใช้ ความเสี่ยงงานวิชาการในโรงเรียนมัธยมท่ีมีการ
กระบวนการวิจัยและพัฒนา (Research and ปฏิบัติงานด้านวิชาการเป็นเลิศ (Best Practice)
Development) (Laping, et al., 2017 : 125- จำ� นวน 3 โรงเรยี น ผวู้ จิ ัยเลือกโรงเรยี นคละสงั กดั
134) ประชากรท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่ กลุ่มผู้ให้ ท้ังสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด สังกัด
ข้อมูลในขั้นตอนน้ี ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ในการวิจัยขั้นตอนน้ี ประกอบด้วย บุคลากรของ และสงั กดั สำ� นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาเอกชน
สถานศึกษาในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด ข้ันตอนการด�ำเนินการวิจัย จ�ำแนกเป็น
ท้งั ประเทศ จ�ำแนกเป็น 2 กลุม่ ดงั นี้ 3 ขั้นตอน มีข้ันตอนการวิจัยและสถิติที่ใช้ในการ
1. ประชากร ไดแ้ ก่ กลุ่มผบู้ ริหารสถาน วเิ คราะห์ขอ้ มลู ดังนี้
ศกึ ษา (ผู้อ�ำนวยการสถานศึกษา รองผูอ้ �ำนวยการ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาองค์ประกอบรูปแบบ
สถานศกึ ษาฝ่ายวิชาการ และหัวหนา้ ฝา่ ยวชิ าการ การบริหารจัดการความเสี่ยงงานวิชาการใน
โรงเรียนละ 3 คน) จ�ำนวน 639 คน และกลุ่มครู โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วน
(ครผู สู้ อนทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ จำ� นวน 8 คน) จังหวัดโดยประยุกต์ใช้แนวคิด SIPOC MODEL
จ�ำนวน 1,704 คน รวมท้ังสน้ิ จำ� นวน 2,343 คน โดยวจิ ยั ทำ� การศกึ ษาเอกสาร ตำ� รา แนวคดิ ทฤษฎี
จาก 213 โรงเรียน ของโรงเรียนมัธยมศึกษา และงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องทั้งในประเทศและต่าง
ในสงั กดั องค์องคก์ ารบริหารสว่ นจังหวัด ประเทศ แล้วรวบรวมข้อมูลวิเคราะห์และ
2. กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้เก็บรวบรวมข้อมูล สังเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้ได้องค์ประกอบของการ
จ�ำนวนท้ังส้ิน 352 คน ได้จากการก�ำหนดขนาด บริหารจัดการความเสี่ยงงานวิชาการในโรงเรียน
กลมุ่ ตวั อยา่ งโดยการเปดิ ตารางเครจซแี่ ละมอรแ์ กน มัธยมศกึ ษา สังกดั องค์การบริหารส่วนจังหวดั และ
(Krejcie and Morgan) (Wongchali, 2017 : ท�ำการสังเคราะห์กรอบแนวคิดขอบข่ายงาน
135-146) และทำ� การสุ่มแบบแบ่งช้นั (Stratified วิชาการในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดองค์การ
Random Sampling) โดยใชโ้ รงเรยี นเปน็ หนว่ ยสมุ่ บรหิ ารสว่ นจงั หวดั และทำ� การยนื ยนั องคป์ ระกอบ
โดยการสมุ่ อยา่ งงา่ ย (Simple Random Sampling) ของผ้ทู รงคุณวฒุ จิ ำ� นวน 10 คน จากการสนทนา
และจ�ำแนกตามขนาดได้ 32 โรงเรียนๆ ผู้ตอบ

ปีท่ี 19 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 95

กลมุ่ (Focus Group Discussion) ตามเกณฑ์ มีดังนี้ 1) เป็นโรงเรียนท่ีได้รับรางวัล
ข้นั ตอนท่ี 2 ศึกษาสภาพปัจจบุ ัน สภาพท่ี ดีเด่นด้านผลงานทางวิชาการในระดับภูมิภาค
พึงประสงค์และความต้องการจ�ำเป็นของการ ขึ้นไปตามเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกโรงเรียนท่ีมี
บริหารจัดการความเส่ียงงานวิชาการในโรงเรียน รูปแบบการบริหารงานวิชาการ ในระดับชั้น
มัธยมศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด มัธยมศกึ ษาท่ีมีวิธปี ฏิบัตทิ ี่ดี และ 2) เปน็ โรงเรียน
โดยประยุกต์ใช้แนวคิด SIPOC MODEL โดยใช้ ทม่ี คี ะแนนผล O-net รว่ มจากคะแนน 5 กลมุ่ สาระ
แบบสอบถาม แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ปีการศึกษา 2559 ตามมาตรฐานสถาบันทดสอบ
ระดบั (Rating Scale) ทำ� การศกึ ษาสภาพปจั จบุ นั ทางการศกึ ษาแหง่ ชาติ (องคก์ รมหาชน) เครื่องมือ
และสภาพท่ีพึงประสงค์ของการบริหารจัดการ ท่ีใช้ คือ แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง แบบ
ความเส่ียงงานวิชาการในโรงเรียนมัธยมศึกษา สงั เกต และการสงั เคราะหเ์ อกสาร ทำ� การวเิ คราะห์
สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด โดยประยุกต์ใช้ ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เน้ือหาสถิติที่ใช้ในการ
แนวคิด SIPOC MODEL โดยมผี ูเ้ ช่ยี วชาญ จำ� นวน วิเคราะห์ข้อมูลคือ สถิติพรรณนาวิเคราะห์
5 คน มคี า่ ความสอดคลอ้ ง (IOC) อยรู่ ะหวา่ ง 0.60 (Descriptive Analysis) โดยใช้สถิติพ้ืนฐาน
-1.00 ค่าอ�ำนาจจ�ำแนกรายข้ออยู่ระหว่าง 0.83 ไดแ้ ก่ รอ้ ยละ คา่ เฉลยี่ และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน
และค่าความเช่ือม่ันท้ังฉบับ เท่ากับ 0.85 เก็บ
รวบรวมขอ้ มลู กลบั มาได้ 5 ฉบบั คดิ เปน็ รอ้ ยละ 100 4. สรุปผลการวจิ ัย
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ สถิติพื้นฐาน
ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 1. องค์ประกอบของการบริหารจัดการ
และท�ำการวิเคราะห์หาค่าดัชนีความต้องการ ความเส่ียงงานวิชาการในโรงเรียนมัธยมศึกษา
จ�ำเป็นจากสูตร โดยใช้สถิติ ดังนี้ (Wongwanit, สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด โดยประยุกต์ใช้
2005 : 279) แนวคิด SIPOC MODEL มีองค์ประกอบหลัก
PNI modified = (I - D) เชิงระบบ ประกอบด้วย 5 ด้าน ได้แก่ ด้านผู้ส่ง
I (Importance) หมายถึง ระดับความ ผลผลติ (Output) ด้านผู้รบั บริการ (Customers)
พงึ ประสงคท์ ี่ต้องการให้เกดิ และท�ำการยืนยันองค์ประกอบของผู้ทรงคุณวุฒิ
D (Degree of Success) หมายถงึ ระดบั จ�ำนวน 10 คน จากการสนทนากลุ่ม (Focus
สภาพท่เี ปน็ จรงิ ในปัจจุบนั Group Discussion) สรุปได้ขอบข่ายการบริหาร
ข้ันตอนที่ 3 การศึกษาโรงเรียนศึกษา งานวชิ าการ 7 ด้าน ดังน้ี ด้านการจัดการเรียนการ
โรงเรียนที่มีแนวปฏิบัติท่ีดีด้านการบริหารจัดการ สอนในสถานศกึ ษา มอบปจั จยั นำ� เขา้ (Suppliers)
ความเสี่ยงงานวิชาการ (Best Practice) จ�ำนวน ด้านปัจจัยน�ำเข้า (Input) ด้านกระบวนการ
3 โรงเรียน ผู้วิจัยมีแนวทางการเลือกโรงเรียน (Process) ดา้ นการวจิ ยั วดั ผล ประเมนิ ผลและการ
เทียบโอนผลการเรียน ด้านการพัฒนาหลักสูตร

96 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

ในสถานศึกษา ด้านการประสานความร่วมมือ มคี า่ เฉลย่ี อยใู่ นระดบั มาก ( = 3.79) รองลงมาดา้ น
พัฒนาสาระหลักสูตรท้องถิ่นร่วมกับสถานศึกษา ผูส้ ง่ มอบปจั จยั น�ำเขา้ (Supplier) มคี ่าเฉลยี่ อยู่ใน
และองค์กรอ่ืน ด้านการพัฒนาระบบการประกัน ระดบั มาก ( = 3.77) รองลงมาคือ ดา้ นผลผลิต
คุณภาพในและมาตรฐานการศึกษา ด้านการ (Output) มคี ่าเฉลยี่ อย่ใู นระดับมาก ( = 3.76)
วางแผนงานด้านวิชาการ และด้านการนิเทศการ และด้านผรู้ ับบริการ (Customer) มคี ่าเฉล่ยี อย่ใู น
ศกึ ษา ระดบั มาก ( = 3.75) สภาพทีพ่ งึ ประสงค์ของการ
2. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลการศึกษา บริหารจัดการความเส่ียงงานวิชาการในโรงเรียน
สภาพปัจจุบันสภาพท่ีพึงประสงค์ และความ มัธยมศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด
ต้องการจ�ำเป็นของการบริหารจัดการความเส่ียง โดยประยุกต์ใชแ้ นวคดิ SIPOC MODEL โดยภาพ
ทางวิชาการของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัด รวมมีการด�ำเนินการอยู่ในระดับมาก ( = 4.35)
องค์การบริหารส่วนจังหวัด พบว่า สภาพปัจจุบัน เม่ือพิจารณารายด้าน มีค่าเฉล่ียอยู่ในระดับมาก
ของการบริหารจัดการความเสี่ยงงานวิชาการ ดา้ นผลผลติ (Output) ( = 4.40) ดา้ นผรู้ บั บรกิ าร
ในโรงเรยี นมัธยมศกึ ษา สังกดั องคก์ ารบริหารสว่ น (Customer) ( = 4.38) รองลงมาคอื ดา้ นปจั จยั
จังหวัดโดยประยุกต์ใช้แนวคิด SIPOC MODEL น�ำเขา้ (Input) และดา้ นกระบวนการ (Process)
โดยภาพรวมมีการด�ำเนินการอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ( = 4.34) และด้าน
( = 3.77) เมอื่ พจิ ารณารายดา้ น พบวา่ ดา้ นปจั จยั ผสู้ ง่ มอบปจั จัยนำ� เขา้ (Supplier) มคี า่ เฉล่ยี อยู่ใน
น�ำเข้า (Input) และดา้ นกระบวนการ (Process) ระดับมาก ( = 4.32)

ภาพท่ี 1 รปู แบบการบรหิ ารจดั การความเสย่ี งงานวชิ าการในโรงเรยี นมธั ยมศกึ ษา โดยประยกุ ตใ์ ชแ้ นวคดิ
SIPOC MODEL ท�ำการศกึ ษาสถานศกึ ษามีการปฏบิ ัติทเ่ี ป็นเลศิ Best Practice จ�ำนวน 3 แหง่

ปีท่ี 19 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 97

ส�ำหรับความต้องการจ�ำเป็นของการ วิชาการ 7) ด้านการนเิ ทศการศกึ ษา ท่ีผลการวิจัย
บริหารจัดการความเสี่ยงงานวิชาการของสถาน ออกมาเช่นน้ีอาจเป็นเพราะขอบข่ายงานด้าน
ศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด วชิ าการในโรงเรยี นหลายงานมลี กั ษณะใกลเ้ คยี งกนั
โดยประยกุ ตใ์ ชแ้ นวคดิ SIPOC MODEL ภาพรวม เช่ือมโยงกันและสามารถควบรวมกันได้ ประกอบ
(PNI = 0.153) เม่ือพิจารณารายด้าน โดยเรียง ด้วยงานวิชาการบางงานในโรงเรียนมีช่วงเวลา
ล�ำดับจากมากลงไปหาน้อย พบว่า ด้านท่ีมีความ ปฏบิ ตั ไิ มบ่ อ่ ยครง้ั อาจปฏบิ ตั ปิ ลี ะครง้ั หรอื มากกวา่
ตอ้ งการจำ� เปน็ มากทส่ี ดุ คอื ดา้ นผลผลติ (Output) จึงสามารถท่ีจะควบรวมเข้ากับงานท่ีใกล้เคียง
(PNI = 0.153) รองลงมา คือ ด้านผู้รับบริการ เช่ือมกันได้ เช่น งานการจัดการเรียนการสอน
(Customer) (PNI = 0.168) และด้านผู้ส่งมอบ ในสถานศึกษา ซ่ึงมีความสอดคล้องกับงานวิจัย
ปจั จยั นำ� เขา้ (Supplier) ดา้ นปจั จยั นำ� เขา้ (Input) ของรัชนีย์ สีหะวงษ์ ได้กล่าวถึงแนวทางการ
ด้านกระบวนการ (Process) มีล�ำดับเทา่ กนั (PNI พัฒนาการบริหารงานวิชาการด้านการนิเทศการ
= 0.145) ตามลำ� ดบั ศกึ ษา คือ ควรจดั ให้มกี ารประชมุ สมั มนา พบปะ
แลกเปลี่ยนในเร่ืองท่ีเกี่ยวกับการจัดกระบวนการ
5. อภปิ รายผลการวจิ ยั เรียนรู้ระหว่างครูและผู้นิเทศ เพ่ือปรับปรุงและ
พฒั นาการจดั กระบวนการเรยี นรใู้ หม้ คี ณุ ภาพตาม
ผลจากการศึกษาขอบข่ายการบริหาร เป้าหมายของหลักสูตรผู้บริหารสถานศึกษาเพ่ือ
จั ด ก า ร ค ว า ม เ ส่ี ย ง ง า น วิ ช า ก า ร ใ น โ ร ง เ รี ย น เป็นแนวทางในการปรับปรุงการจัดกระบวนการ
มัธยมศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด เรียนรู้หลักสูตรท่ีมีความเป็นรูปธรรม หลักสูตรจึง
โดยประยกุ ตใ์ ชแ้ นวคดิ SIPOC MODEL สามารถ เปรียบเสมือนหัวใจส�ำคัญของการศึกษารูปแบบ
อภิปรายผลได้ดังน้ี ขององค์ประกอบขอบข่ายการบริหารงานวิชาการ
1. จากการศึกษาขอบข่ายงานวิชาการ ทั้ง 7 ดา้ น
ของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดองค์การบริหาร 2. รปู แบบการบรหิ ารจดั การความเสยี่ ง
สว่ นจงั หวดั ประกอบดว้ ย ขอบขา่ ยการบรหิ ารงาน งานวชิ าการของโรงเรยี นมธั ยมศกึ ษา สงั กดั องคก์ าร
วชิ าการทง้ั 7 ด้าน ไดแ้ ก่ 1) ด้านการจัดการเรียน บรหิ ารสว่ นจงั หวัด พบว่า ผลจากการสนทนากล่มุ
การสอนในสถานศึกษา 2) ด้านการวิจัย วัดผล (Focus Group Discussion) เก่ียวกับประเด็น
ประเมินผล และการเทียบโอนผลการเรียน การสังเคราะห์ขอบข่ายการบริหารงานวิชาการ
3) ด้านการพัฒนาหลักสูตรใสถานศึกษา 4) ด้าน จาก 17 ด้าน โดยสังเคราะห์จากประเด็นเน้ือหา
การประสานความร่วมมือพัฒนาสาระหลักสูตร ท่ีเกิดความเส่ียงการบริหารจัดการสถานศึกษา
ท้องถ่นิ รว่ มกับสถานศึกษาและองคก์ รอนื่ 5) ด้าน ในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด ได้ 7 ด้าน
การพัฒนาระบบการประกันคุณภาพในและ ซงึ่ แนวทางการพฒั นารปู แบบกระบวนการ SIPOC
มาตรฐานการศกึ ษา 6) ดา้ นการวางแผนงานด้าน

98 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

MODEL เป็นกระบวนการขับเคลื่อนการบริหาร (Inputs) ดา้ นกระบวนการ (Process) ดา้ นผลผลติ
จัดการความเส่ียงงานวิชาการ สอดคล้องกับ (Output) และด้านผู้รับบริการ (Customer)
ไพโรจน์ ขาวสิทธิวงษ์ (Khaosittiwong, 2017 : สอดคล้องกบั วภิ า ทองเหงา้ (Thongngao, 2011
32) ได้ศึกษา SIPOC MODEL คือ ภาพรวม : 290-308) ได้ศกึ ษาวจิ ยั เร่อื งรปู แบบการบริหาร
ของกระบวนการท�ำงาน ท่ีท�ำให้คนท�ำงานเข้าใจ งานวิชาการของโรงเรียน สังกัดกรุงเทพมหานคร
วตั ถปุ ระสงคแ์ ละขอบเขตของงานมากขนึ้ แบง่ ออก พบว่า รูปแบบวิชาการของ โรงเรียนสังกัด
เป็น 5 ขั้นตอน ดังน้ี 1) S-Supplier ผู้ส่งมอบ/ กรงุ เทพมหานคร มคี วามเหมาะสม ความเปน็ ไปได้
ปจั จยั นำ� เขา้ 2) I-Input ปจั จยั นำ� เขา้ 3) P-Process ความถกู ตอ้ ง และใชป้ ระโยชนไ์ ดจ้ รงิ สอดคลอ้ งกบั
กระบวนการทำ� งาน 4) O-Output ผลลพั ธ์ และ 5) ทฤษฎีและกรอบแนวคดิ ของการวิจัยพบวา่ สภาพ
C-Customer ผ้รู ับบรกิ าร ทง้ั นเ้ี พื่อสง่ เสรมิ ให้การ ปัจจบุ ันของกลมุ่ ผ้บู รหิ ารสถานศกึ ษา และกลมุ่ ครู
บริหารจัดความเส่ียงของงานวิชาการบรรลุตาม สภาพปจั จบุ นั ของการบรหิ ารจดั การความเสย่ี งงาน
เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการจัดการศึกษา วิชาการในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดองค์การ
ที่เป็นเลิศอย่างมีคุณภาพ ซ่ึงส่งผลถึงการพัฒนา บริหารส่วนจังหวัดโดยประยุกต์ใช้แนวคิด SIPOC
ชุมชนและประเทศชาติได้อย่างเข้มแข็งสอดคล้อง MODEL โดยรวมมีการดำ� เนนิ การอย่ใู นระดับมาก
บุญเลิศ คณาธนสาร (Kanatanasan, 2016) โดยเรียงล�ำดับจากมากท่ีสุดไปน้อยท่ีสุด คือ
ในการเริ่มต้นปรับปรุงกระบวนการท�ำงานน้ันส่ิงท่ี ดา้ นปจั จยั นำ� เขา้ (Inputs) เทา่ กนั ดา้ นกระบวนการ
ส�ำคัญที่สุด คือ การท�ำความเข้าใจภาพรวมของ (Process) ด้านผู้ส่งมอบปัจจัยน�ำเข้า (Supplier)
กระบวนการใหเ้ หน็ อย่างถอ่ งแท้ โดยเริ่มต้นศกึ ษา ด้านผลผลิต (Output) และด้านผู้รับบริการ
ต้ังแต่ภาพรวมในระดับองค์กร (Organization) (Customer) สอดคล้องกับภาวรรณ โมรัฐเถียร
โดยใช้ Model ในการวิเคราะหท์ ช่ี อื่ วา่ “SIPOC” (Moratthien, 2012 : 13) พบว่า รูปแบบ
ในการท�ำความเข้าใจภาพรวมของกระบวนการ ครอบคลุมแนวคิดการบริหารโรงเรียนสู่ความเป็น
ทำ� งานภายในขององคก์ รเอง ในระดบั ย่อยลงมาที่ เลศิ โดยการจดั การความรกู้ ารมงุ่ เนน้ ครู ผสู้ อนและ
เป็นระดับฝ่าย หรือระดับแผนกในขั้นตอนการ บุคลากร ในด้านการบรหิ ารงานวิชาการ พบวา่ ผล
ท�ำงานที่มปี ระสทิ ธิภาพ การดำ� เนนิ งานดา้ นวชิ าการ ซง่ึ ประกอบดว้ ยปจั จยั
จากผลการศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่ 1) ดา้ นการพฒั นากระบวนการเรยี นรู้ ซงึ่ สอดคลอ้ ง
พึงประสงค์และความต้องการจ�ำเป็นของการ งานวจิ ัยเจตนา เมืองมูล (Mueangmoon, 2008-
บริหารจัดการความเส่ียงงานวิชาการในโรงเรียน 2009 : 47-62) ซงึ่ พบวา่ รปู แบบการบรหิ ารสคู่ วาม
มัธยมศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นเลิศของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ประกอบด้วย
โดยประยกุ ตใ์ ชแ้ นวคิด SIPOC MODEL คือ ดา้ น พฤตกิ รรมการบรหิ ารของผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษาการ
ผ้สู ่งมอบปจั จยั น�ำเขา้ (Supplier) ดา้ นปัจจัยนำ� เข้า จดั การองคก์ ร การบรหิ ารงานวชิ าการ การบรหิ ารงาน

ปที ี่ 19 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 99

งบประมาณ ซึ่งประกอบด้วยเร่ืองการบริหารงบ รวมท้ังสน้ิ จำ� นวน 2,343 คน จาก 213 โรงเรียน
ประมาณแบบมีส่วนร่วม และมุ่งเน้นผลงานด้าน ในสังกัดองค์องค์การบริหารส่วนจังหวัด พบว่า
วิชาการ และระดมทรัพยากรและการลงทุนเพ่ือ จากผลท่ีน�ำไปใช้เรียงล�ำดับความต้องการจ�ำเป็น
การศึกษาให้มีประสิทธิภาพสูง คุ้มค่าและโปร่งใส จากมากลงไปหาน้อย คือ ดา้ นผลผลิต (Output)
จากผลการวิจัยพบว่า ด้านผลผลิต (Output) ด้านผูร้ ับบรกิ าร (Customer) ด้านผ้สู ่งมอบปัจจยั
มคี วามสมั พันธ์ในระดบั สูงสุด ทง้ั นีอ้ าจเปน็ เพราะ นำ� เขา้ (Supplier) ดา้ นปจั จยั นำ� เขา้ (Inputs) และ
ผู้บริหารสถานศึกษา ที่มีการส่งเสริม สนับสนุน ด้านกระบวนการ (Process)
กระบวนการจัดการเรียนการสอนของครูผู้สอน 2. ข้อเสนอแนะในการวจิ ยั
โดยพฒั นาทกั ษะกระบวนการจดั การเรยี นการสอน 2.1 ควรศกึ ษาประเมนิ ความตอ้ งการ
ท่หี ลากหลายรูปแบบ จ�ำเป็นด้านอ่ืนๆ ของกลุ่มผู้บริหารสถานศึกษา
และกลมุ่ ครขู องโรงเรยี นมธั ยมศกึ ษา สงั กดั องคก์ าร
6. ขอ้ เสนอแนะ บรหิ ารสว่ นจงั หวดั (ใหญพ่ เิ ศษ ใหญ่ กลางและเลก็ )
2.2 ควรศกึ ษาสภาพปจั จุบนั สภาพ
1. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ที่พึงประสงค์และการวิเคราะห์ความต้องการ
จากการวิเคราะห์ความต้องการ จ�ำเป็นของการบริหารจัดการความเสี่ยงงาน
จำ� เปน็ เพอ่ื พฒั นาการบรหิ ารจดั การความเสย่ี งงาน วิชาการในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดองค์การ
วิชาการของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดองค์การ บริหารสว่ นจังหวดั
บรหิ ารส่วนจังหวัด โดยประยกุ ตใ์ ชแ้ นวคิด SIPOC 2.3 ควรพัฒนากลุ่มผู้บริหารสถาน
MODEL จากกลมุ่ ผบู้ รหิ ารสถานศึกษา (ผู้อ�ำนวย ศึกษา และกลุ่มครูหลังจากท่ีได้ศึกษาการบริหาร
การสถานศึกษา รองผู้อ�ำนวยการสถานศึกษา จั ด ก า ร ค ว า ม เ ส่ี ย ง ง า น วิ ช า ก า ร ใ น โ ร ง เ รี ย น
ฝา่ ยวชิ าการ หวั หนา้ ฝา่ ยวชิ าการ โรงเรยี นละ 3 คน) มัธยมศึกษาสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดและ
จ�ำนวน 639 คน และกลุ่มครู (ครูผู้สอนทุกกลุ่ม วิเคราะหค์ วามตอ้ งการจำ� เปน็ ด้านอืน่ ๆ
สาระการเรียนรู้ จ�ำนวน 8 คน) จ�ำนวน 1,704 คน

References

Chansirisin, P. (2017). The Development of Management Performance. 2st ed. Maha
Sarakham : MahaSarakham University Publisher.

Hussein, A. Hassan Al-Tamimi. (2007). Banks Risk Management: A Comparison Study of
UAE National and Foreign Banks, Journal of Risk Finance. The Journal of Risk
Finance, 8(4), 394-409.

100 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

Kanatanasan, B. (2016). SIPOC MODEL Concept. http://www.oknation.nationtv.tv (Accessed
3 January 2016).

Khaosittiwong, P. (2017). Process Analytics with SIPCO. Faculty of Science: Silpakorn
University.

Laping, U. (2017). Problems in Class of English for Buddhist AcademicPurpose a Case Study
of Master Degree Students, Master of Arts Program in Buddhism and Philosophy.
Mahamakut Buddhist University Lanna Campus Thailand. Dhammathas Academic
Journal, 17(1), 125-134.

Moratthien, Y. (2012). The Development of a School Management to the Excellence
Model, Bangkok Metropolitan Administration. Doctor of Philosophy. Graduate
School : Burapha University.

Mueangmoon, C. (2008-2009). The Educational Administration Model towards Excellence
of Small-Size Education Instttutions. Journal of Educational Administration
Burapha University, 3(1), 47-62.

Thongngao, W. (2011). The Pattern of Academic management of School in Bangkok
Metropolitan Administration. Doctor of Philosophy. Graduate School : Silpakorn
University.

Wongwanit, S. (2005). Classroom Action Research. 8th ed. Bangkok : Chulalongkorn
University.

Weinstein, C.S. (2007). Secondary Classroom Management: Lesson from Research and
Practice. (2nd ed.). New York : McGrawhill.

Wongchali, S. (2017). An Application of Buddhist Philosophy Four Noble Truths in to the
Course Syllabus of Social Studies Teachers in Srisaket Primary Educational Service
Area Office 3. Dhammathas Academic Journal, 17(1), 135-146.

การประยกุ ต์หลกั พุทธธรรมในการแก้ปญั หาพฤตกิ รรม
การเลน่ การพนันในชุมชนบ้านโนนเขวา ต�ำบลบ้านเหลา่

อำ� เภอบา้ นฝาง จงั หวัดขอนแก่น*
An Application of Buddhadhamma to Solve Gambling Behavior

in Ban Non Khwao Community, Ban Lao Sub-District,
Ban Fang District, KhonKaen Province

พระพุฒศิษฐ์ สริ ิปญโฺ ญฺ (จ�ำพรชัยนันต์), พระครสู ุธีคมั ภรี ญาณ, พระมหามติ ร ฐิตญโฺ ญ1
และแม่ชดี วงพร คำ� หอมกลุ 2

Phra Puthasit Siripãñño (Jampornchainan), Phrakhru Sudhikhambhirayan,
Phramaha Mit Thitapãñño and Maechee Duangporn Khamhomkul
มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น1

มหาวทิ ยาลยั มหามกุฏราชวิทยาลยั มหาปชาบดีเถรีวทิ ยาลัยในพระสังฆราชูปถัมภ์2
Mahachulalongkornrajavidyalaya University, KhonKaen Campus, Thailand
Mahamakut Buddhist University, Mahapajapati Buddhist College, Thailand

Corresponding Author, E-mail: [email protected]

บทคัดย่อ

การวจิ ยั ครง้ั นี้ มวี ตั ถปุ ระสงค์ 1) เพอื่ ศกึ ษาปจั จยั ทส่ี ง่ ผลตอ่ กระบวนการปอ้ งกนั และแกไ้ ขปญั หา
การเลน่ การพนนั ในชุมชนบ้านโนนเขวา ต�ำบลบ้านเหลา่ อำ� เภอบา้ นฝาง จงั หวดั ขอนแก่น 2) เพื่อศกึ ษา
การประยุกต์หลักพุทธธรรมในการแก้ปัญหาพฤติกรรมการเล่นการพนันในชุมชนบ้านโนนเขวา ต�ำบล
บ้านเหล่า อ�ำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ผู้วิจัย
ท�ำการศึกษาค้นคว้า รวบรวมข้อมูลจากเอกสาร และเก็บข้อมูลภาคสนามแบบสัมภาษณ์ (Interview)
โดยใชก้ ารสมั ภาษณเ์ ชิงลกึ (In-depth Interview)
ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยท่ีส่งผลต่อกระบวนการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเล่นการพนันและ
ส่งผลต่อความส�ำเร็จการดำ� เนินงาน พบวา่ สถานะภาพครอบครัวการศึกษา อาชีพ แรงจูงใจ สิ่งแวดลอ้ ม
รอบตัว เศรษฐกจิ และความอยู่รอดนน้ั มคี วามส�ำคัญตอ่ การเล่นการพนันและสง่ ผลต่อความส�ำเรจ็ การ

* ไดร้ ับบทความ: 8 มกราคม 2562; แก้ไขบทความ: 14 มนี าคม 2562; ตอบรับตพี ิมพ:์ 14 มนี าคม 2562
Received: January 8, 2019; Revised: March 14, 2019; Accepted: March 14, 2019

102 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

ดำ� เนนิ งานแก้ปญั หาพฤติกรรมการเล่นการพนนั
การประยุกตห์ ลกั พุทธธรรมในการแกป้ ญั หาพฤติกรรมการเล่นการพนัน พบวา่ 1) อบายมุข 6
2) หลกั อปรหิ านยิ ธรรม 3) สัมมัปปธาน 4) มรรคมีองค์ 8 5) ศีล 5 หลกั ธรรมเหลา่ นเ้ี ปน็ หลักธรรมท่ี
คนเราควรยึดถือปฏิบัติตามแล้วนั้น สามารถน�ำมาประยุกต์ใช้ในแก้ปัญหาพฤติกรรมการเล่นการพนัน
ในชุมชนบ้านโนนเขวา ต�ำบลบ้านเหล่า อ�ำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น ได้และท�ำให้คนภายในชุมชน
มีความเป็นอยู่ที่ดีข้ึน ห่างไกลจากการพนันและท�ำเป็นชุมชนท่ีปลอดการพนันอย่างถาวร ท�ำให้ชุมชน
นา่ อยแู่ ละเป็นชมุ ชนตน้ แบบด้านคณุ ธรรม
คำ� สำ� คัญ: พฤติกรรมการเล่นการพนัน; การป้องกันและแก้ไขปัญหา; หลกั พุทธธรรม

Abstract

The aims of this research were: 1) to study the factors influencing the process of
gambling preventing and solving in Ban Non Khwao community, Ban Lao Sub-district, Ban
Fang district, KhonKaen province; 2) to study the application of Buddhadhamma to solve
the gambling behavior in that community. This qualitative research was conducted through
the study of the relevant documents, fieldwork and in-depth interviews.
The research results indicate that: the factors influencing the process of gambling
preventing and solving in Ban Non Khwao community were: family status, education,
occupations, inspiration, environment, economics and survival. All are important factors
contributing to the success of gambling behavior prevention and solution.
The Buddhadhamma used to solve the gambling behaviors in such community
were: 1) Six Vices (aparihāniyadhamma: things leading never to decline but only to prosperity),
3) Sammappadhāna, 4) Aṭṭhańgika-magga: the Noble Eightfold Path and 5) Pañca-sīla: the
Five Precepts. These Dhammas should be practiced and applied to prevent the gambling
problems in the community. This will lead the community away from gambling, to be
safe, livable and serve as a moral community model.
Keywords: Gambling Behavior; Preventing and Solving; Buddhadhamma Principles

ปีที่ 19 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 103

1. บทนำ� ของตน และจิตใจ นอกจากนั้นยังเป็นภัยต่อการ
รักษาไว้ซึ่งความดี ลาภ ยศ สรรเสริญ ทรัพย์สิน
อบายมุขในทางพระพุทธศาสนาแปลว่า เงนิ ทอง พระพทุ ธศาสนาถอื วา่ อบายมขุ นนั้ เปน็ ตน้
หนทางแห่งความเส่ือม ทางแห่งความไม่เจริญ เหตุแห่งความเส่ือมท้ังปวง หรือเป็นปากทางแห่ง
งอกงาม ทางแหง่ ความเสอ่ื ม สาเหตขุ องความเสอ่ื ม ความเสื่อมต่อการด�ำเนินชีวิตอย่างแท้จริงและ
พระพุทธศาสนาได้แบ่งออกเป็นสองหมวดใหญ่ๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเล็งเห็นโทษ ท่ีเกิดจาก
ด้วยกัน คือ อบายมุข 4 ได้แก่ เป็นนักเลงหญิง อบายมุขนานับปการ พระองค์จึงทรงตรัสสั่งสอน
นกั เลงสรุ า นกั เลงการพนัน และคบคนชว่ั เป็นมติ ร ใหก้ ารดำ� เนนิ ชวี ติ ของมนษุ ยร์ จู้ กั การงดเวน้ ละ เลกิ
อบายมุข 6 ได้แก่ ด่ืมนำ้� เมา เท่ียวกลางคืน เท่ียวดู เพื่อให้มนุษย์ได้รู้แจ้งตามความเป็นจริง โดยชี้ให้
การละเล่น เลน่ การพนนั คบคนชั่วเปน็ มิตร และ เห็นโทษที่เข้าไปเก่ียวข้องอบายมุขทั้งปวง
เกียจคร้านในการท�ำงาน อบายมุข ทั้งหมดหาก ซึ่งเป็นการป้องกันต้นเหตุช่ัวภายในก่อน และ
ประพฤตเิ ขา้ แลว้ กเ็ ปน็ เหตใุ หเ้ กดิ ความเสอ่ื ม ใหเ้ กดิ ป้องกันเหตุภายนอกตามมา อานิสงส์ของการ
ความเส่ือมเสียแก่ร่างกายเหมือนกันทุกข้อ งดเว้นอบายมุข ย่อมท�ำให้ชีวิตมีความเจริญ
อบายมขุ คอื ทางแหง่ ความเสอ่ื ม จะมคี วามยอ่ ยยบั ก้าวหน้าในอายุไม่เจ็บไม่ไข้ได้ป่วย พลานามัย
ในโภคทรัพย์ เป็นความพินาศผลกระทบในตน ร่างกายแข็งแรงมีความฉลาดไหวพริบ มีปัญญา
ต่อสังคม เศรษฐกิจ ในระดับชาติ และระดับโลก ปฏบิ ตั ติ นถกู ตอ้ งตามครรลองครองธรรมรจู้ กั รบั ผดิ
ถา้ หากบคุ คลใดเขา้ ไปลมุ่ หลง บคุ คลนนั้ กเ็ สอื่ มจาก ชอบช่ัวดีต่อสังคม ท�ำบทบาทและหน้าท่ีเป็น
ลาภ ยศ สรรเสรญิ เสือ่ มจากทรพั ยส์ นิ เงินทอง ถ้า พลเมืองที่ดีมีคุณภาพ เห็นอกเห็นใจคนอื่น
ครอบครัวใดลุ่มหลง ครอบครัวน้ันก็เสื่อมท�ำให้ รัก เมตตา สงสาร ตลอดจนท�ำใหส้ ุขภาพจติ ร่าเริง
ครอบครัวเดอื ดร้อน ถ้าสังคมใดลมุ่ หลง สังคมน้ัน เบิกบานแจ่มใสใจ สงบ สังคมร่มเย็น (Phra
ก็เส่ือมท�ำให้วุ่นวาย ถ้าประเทศชาติใดลุ่มหลง Dhammapitaka (P. A. Payutto), 1997 : 6 - 63)
ประเทศชาตินั้นก็เสื่อม ความเสื่อมย่อมส่งผลให้ ปัจจุบันประชาชนในเขตชุมชนบ้าน
เกดิ ปญั หาตา่ งๆ แกผ่ ลู้ มุ่ หลง ทำ� ใหเ้ กดิ ความตกตำ�่ โนนเขวา ตำ� บลบา้ นเหลา่ อ�ำเภอบา้ นฝาง จังหวดั
ยากจน เดอื ดรอ้ น วนุ่ วาย รวมทง้ั ท�ำใหเ้ กิดความ ขอนแก่น เป็นหน่ึงในหมู่บ้านในการขับเคลื่อน
หายนะ และภยั พบิ ตั ติ า่ งๆ ตามมา อบายมขุ จงึ เปน็ โครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 มีการปฏิบัติธรรม
ภัยใหญ่ในการด�ำเนินชีวิตเป็นอย่างย่ิงการด�ำเนิน รักษาศีลในวันส�ำคัญทางศาสนา เม่ือถึงวันพระ
ชวี ติ ประจำ� วนั ตา่ งตกอยภู่ ายใตก้ เิ ลส คอื ความโลภ ประชาชนจะหยดุ ภารกจิ เพ่อื ไปรกั ษาศีล เพ่ือเขา้
โกรธ หลง จึงท�ำให้การด�ำเนินชีวิตผิดพลาดอยู่ วัดท�ำบุญฟังเทศน์น�ำหลักการศีล 5 มาใช้ในชีวิต
เสมอ และชวี ติ ทป่ี ระกอบดว้ ยอบายมขุ คอื การดมื่ ประจำ� วนั ซง่ึ สรา้ งความสงบสขุ ใหแ้ กช่ มุ ชนไมม่ สี ง่ิ
สุรายาเมา เล่นการพนัน เป็นนักเลง คบมิตรชั่ว เย้ายวนใจในหมู่บ้าน ซึ่งเป็นผลให้ประชาชนใน
เปน็ ตน้ ถอื วา่ เปน็ ชวี ติ ทก่ี ำ� ลงั เกดิ ภยั คกุ คามในชวี ติ

104 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

ชุมชนมีชีวิตอยู่อย่างสันติสุข นับว่าเป็นชุมชน ตำ� บลบ้านเหล่า อ�ำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแกน่
ท่ีสามารถน�ำมาศึกษา เพ่ือค้นหาแนวทางการ เพื่อค้นหาค�ำตอบของการมีส่วนร่วมในการแก้ไข
มสี ว่ นรว่ มของภาคประชาชนในการพฒั นาสามารถ ปัญหา การมีความพยายามในการป้องกันแก้ไข
นำ� ไปส่งเสริมคณุ ภาพชีวิต กอ่ เกดิ วถิ ีชวี ิตไทยและ ปญั หาการพนนั ในชมุ ชน โดยนำ� เอาหลกั พทุ ธธรรม
สืบสานส่งเสริมทางศาสนาเป็นหมู่บ้านหน่ึงที่มี มาปรับใช้และเห็นควรมีการศึกษาถอดบทเรียนถึง
โอกาสเขา้ สกู่ ระบวนการพฒั นาหมบู่ า้ นตามแนวคดิ รปู แบบการปอ้ งกนั แกไ้ ขปญั หาการพนนั ของชมุ ชน
เศรษฐกิจพอเพียง พฒั นาตนเองจากวถิ ีของชมุ ชน เพ่ือน�ำเสนอเป็นต้นแบบส�ำหรับการแก้ไขปัญหา
ทมี่ อี ยู่ สบื คน้ หาศกั ยภาพของตน เรยี นรทู้ จี่ ะพฒั นา การพนนั สำ� หรบั ชมุ ชนอื่นๆ ต่อไป
ตนเองโดยใช้เวทีประชาคมเป็นแหล่งแลกเปล่ียน
ทบทวน และก�ำหนดทิศทางการพัฒนาร่วมกัน 2. วัตถปุ ระสงค์ของการวิจยั
มีการพัฒนาชุมชนอย่างต่อเนื่องจนมีผลงานที่
เด่นชัด มีการพัฒนาชุมชนท่ีหลากหลายและ 1. เพื่อศึกษาปัจจัยท่ีส่งผลต่อกระบวน
ประสบความส�ำเร็จเป็นแบบอย่างที่ดีได้ สามารถ การป้องกันและแก้ไขปัญหาการเล่นการพนัน
เปน็ ตน้ แบบดา้ นเศรษฐกจิ พอเพียงจนได้รับรางวัล ในชุมชนบ้านโนนเขวา ต�ำบลบ้านเหล่า อ�ำเภอ
ระดับจงั หวัดในการเป็นหมบู่ ้านเศรษฐกิจพอเพยี ง บ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น
ระดับ “อยู่ดี มีสุข” จากการสัมภาษณผ์ ู้ใหญ่บา้ น 2. เพอื่ ศกึ ษาการประยกุ ตห์ ลกั พทุ ธธรรม
ชุมชนบ้านโนนเขวา ให้ข้อมูลว่าการท�ำงานของ ในการแก้ปัญหาพฤติกรรมการเล่นการพนัน
ชุมชนจะเป็นการสร้างภาคีเครือข่าย การท�ำงาน ในชุมชนบ้านโนนเขวา ต�ำบลบ้านเหล่า อ�ำเภอ
รว่ มกันระหว่างชุมชนกบั โรงเรียน วดั และตำ� รวจ บ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น
ท�ำงานร่วมกันแบบบูรณาการและท่ีส�ำคัญคน
ในชุมชนเกิดความสุข มีคุณภาพชีวิตท่ีดีขึ้น 3. วิธีดำ� เนนิ การวจิ ัย
เป็นการสรา้ งชุมชนใหเ้ ข้มแขง็ ท่ีสำ� คัญยงั เป็นการ
สร้างรากฐานทางด้านเศรษฐกิจให้เกิดความม่ันคง การวจิ ยั ในครงั้ นี้ ผวู้ จิ ยั ใชร้ ปู แบบการวจิ ยั
การพัฒนาชุมชนได้มีการพัฒนาชุมชนโดยการ เชงิ คณุ ภาพ (Qualitative Research) ผวู้ จิ ยั ทำ� การ
ประยกุ ตภ์ มู ปิ ญั ญาชาวบา้ น เชน่ การทอเสอื่ การสาน ศึกษาค้นคว้า และรวบรวมข้อมูลจากเอกสารท่ี
กระต๊ิบข้าวที่ถือเป็นวัฒนธรรมของภาคอีสาน เกี่ยวขอ้ ง เพ่ือน�ำมากำ� หนดเปน็ คำ� ถามในการวจิ ยั
เป็นตน้ จากนั้นจึงได้ลงพ้นื ท่เี พอื่ เก็บขอ้ มลู ภาคสนามแบบ
ดังน้ัน ผู้วิจัยจึงมีความจ�ำเป็นท่ีจะต้อง สัมภาษณ์ (Interview) ซ่ึงเป็นเคร่ืองมือท่ีในการ
ศกึ ษาการประยกุ ตห์ ลกั พทุ ธธรรมในการแกป้ ญั หา ศึกษาและรวบรวมข้อมูล โดยใช้การสัมภาษณ์
พฤติกรรมการเล่นการพนันของบ้านโนนเขวา เชิงลกึ (In-depth Interview) โดยมเี นือ้ หาสำ� คัญ
เกี่ยวกับการประยุกต์หลักพุทธธรรมในการแก้
ปัญหาพฤติกรรมการเล่นการพนันในชุมชนบ้าน

ปที ี่ 19 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 105

โนนเขวา ตำ� บลบา้ นเหล่า อ�ำเภอบ้านฝาง จังหวัด ขอ้ มลู หลกั ทตี่ อ่ การประยกุ ตห์ ลกั พทุ ธธรรมในการ
ขอนแก่น แกป้ ญั หาพฤตกิ รรมการเลน่ การพนนั ในชมุ ชนบา้ น
ส�ำหรับกลุ่มเป้าหมายผู้ให้ข้อมูลผู้วิจัยได้ โนนเขวา ดงั นน้ั ผวู้ ิจยั จึงตอ้ งท�ำการเกบ็ ขอ้ มูลดว้ ย
ท�ำการก�ำหนดโดยการสรรหากลุ่มตัวอย่างเพ่ือใช้ ตวั เองเพือ่ เป็นการสร้างความคุ้นเคยกับผู้ใหข้ อ้ มลู
ในการวิจัย ซึ่งใช้วิธีการแบบเจาะจง (Purposive ขั้นลงภาคสนามเพ่ือการสัมภาษณ์เก็บ
Sampling) จ�ำนวน 25 รูป/คน ประกอบด้วย ขอ้ มลู มดี งั นี้ 1) ดำ� เนนิ การประสานงาน และสำ� รวจ
กลมุ่ ประชากรมี 4 กล่มุ คอื 1) ผนู้ ำ� ชุมชน 5 คน บ้านโนนเขวา ต�ำบลบ้านเหล่า อ�ำเภอบ้านฝาง
ไดแ้ ก่ ผใู้ หญบ่ า้ น ประธาน อ.ส.ม. เหรญั ญกิ กองทนุ จังหวัดขอนแก่น รวมถึงเตรียมก�ำหนดช่วงระยะ
หมู่บา้ น เจา้ อาวาสวดั นาฬกิ าราม และขา้ ราชการ เวลาทเ่ี หมาะสม 2) ด�ำเนนิ การสมั ภาษณ์ตามกลุ่ม
ครู 2) นักศึกษา 5คน อายุต้ังแต่ 18 ปีข้ึนไป บคุ คลทกี่ ำ� หนด ตามวนั เวลาทป่ี ระสานงาน และ 3)
3) เยาวชน 10 คน อายตุ งั้ แต่ 10 ปี ขนึ้ ไป และ 4) เก็บรวบรวมข้อมลู และจดั เรยี บเรยี งเปน็ หมวดหมู่
ชาวบ้านทั่วไปในชมุ ชน 5 คน รวมกลมุ่ เป้าหมาย การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ครง้ั นใี้ ช้ การวเิ คราะห์
ในการศกึ ษาทัง้ สนิ้ จ�ำนวน 25 รูป/คน ข้อมูลวิธีการเชิงคุณภาพ โดยเป็นการวิเคราะห์
เครื่องมือการวิจัยคร้ังนี้ ได้แก่ แบบ ข้อมูลแบบบรรยายและพรรณนา (Descriptive
สัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) Research) การนำ� เสนอขอ้ มลู จะอยใู่ นลกั ษณะการ
ตามวัตถุประสงค์ในการวิจัยท่ีตั้งไว้ โดยมีขั้นตอน พรรณนาความ (Descriptive Presentation)
ดงั นี้ 1) ทำ� แบบสมั ภาษณต์ ามวตั ถปุ ระสงคก์ ารวจิ ยั ประกอบภาพถา่ ยและการพรรณนาความประกอบ
2) นำ� เสนอแบบสมั ภาษณต์ อ่ อาจารยท์ ป่ี รกึ ษาเพอ่ื การบรรยายเหตุการณ์ท่ีเก่ียวข้องกับการวิจัย
ตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหา 3) น�ำแบบ เครอื่ งมอื เกบ็ ขอ้ มลู ใชแ้ นวคำ� ถาม ซง่ึ ผวู้ จิ ยั กำ� หนด
สัมภาษณ์กลับมาแก้ไขตามค�ำแนะน�ำของอาจารย์ ด�ำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลเมื่อผู้วิจัยเก็บรวบรวม
ท่ีปรึกษา 4) น�ำเสนอแบบสัมภาษณ์ต่อผู้ทรงคุณ ข้อมูลทั้งเอกสารและภาคสนามได้เพียงพอต่อการ
จ�ำนวน 3 ท่าน เพื่อตรวจสอบความถูกต้องได้ ศึกษาตามวัตถุประสงค์บ้างแล้ว ผู้วิจัยได้ท�ำการ
5) น�ำแบบสัมภาษณ์ไปทดลองใช้กับบุคคลที่ไม่ใช่ วเิ คราะหข์ อ้ มลู ขนั้ ตน้ โดยนำ� มาจดั หมวดหมใู่ หเ้ ปน็
กลมุ่ เปา้ หมาย นำ� ผลทไ่ี ดม้ าคำ� นวณหาคา่ ความเชอื่ ระเบยี บตามเคา้ โครงเรอ่ื งแลว้ สรปุ ออกมา เพอ่ื เปน็
ม่ันและน�ำแบบสัมภาษณ์มาแก้ไขตามค�ำแนะน�ำ แนวทางในการวิเคราะห์และหาข้อมูลเพ่ิมเติม
ของผู้ทรงคุณวฒุ ิ และ 6) น�ำแบบสมั ภาษณล์ งใช้ ตอ่ ไป หลงั จากนน้ั อาจมกี ารเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เพมิ่
กับกลมุ่ เปา้ หมาย เตมิ ในสว่ นทยี่ งั ไมส่ มบรู ณ์ โดยการสมั ภาษณเ์ ขา้ ใน
การเก็บรวบรวมข้อมูล เน่ืองจากผู้วิจัย บางประเดน็ ทเ่ี ปน็ ประโยชนต์ อ่ การวเิ คราะหข์ อ้ มลู
ต้องการข้อมูลแบบเจาะลึกในประเด็นหลัก มากขึ้น และท�ำการวิเคราะห์ข้อมูลอีกคร้ังหนึ่ง
และความคิดเห็นส่วนตัวในด้านต่างๆ ของผู้ให้ ซ่งึ ใหไ้ ดข้ ้อมลู ท่ีถูกตอ้ งและเป็นจรงิ มากท่สี ดุ

106 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

4. สรุปผลการวจิ ัย ให้เกิดกับสังคม ท่ีมากไปกว่าน้ันต้องสร้างพลัง
ความสามัคคีและสร้างกระบวนการเรียนรู้ทาง
ผลการวจิ ยั ครง้ั น้ี ผวู้ จิ ยั ไดส้ รปุ ผลการวจิ ยั สังคม พร้อมท้ังสร้างความเชื่อม่ันในพลังชุมชน
วิเคราะห์ตามล�ำดับดงั ตอ่ ไปนี้ และการฟ้นื ฟูวัฒนธรรมประเพณีของชมุ ชน
1. ปจั จยั ทสี่ ง่ ผลตอ่ กระบวนการปอ้ งกนั ในขณะเดยี วกนั กระบวนการปอ้ งกนั และ
และแก้ไขปัญหาการเล่นการพนันและส่งผลต่อ แก้ไขปัญหายาเสพติดของชุมชนนั้น จ�ำต้องอาศัย
ความส�ำเร็จการด�ำเนินงาน พบว่า สถานะภาพ คนภายในชุมชนร่วมกันสร้างจิตส�ำนึกและการมี
ครอบครวั การศึกษา อาชีพ แรงจงู ใจ สิ่งแวดล้อม ส่วนร่วม โดยการร่วมคิด ร่วมค้นหาสถานการณ์
รอบตัว เศรษฐกิจ และความอยู่รอด นั้นมีความ สาเหตุของปัญหาและวิธีการป้องกันแก้ไขผ่าน
ส�ำคัญต่อการเล่นการพนันและส่งผลต่อความ กลไกการจัดประชุมประชาคม เม่ือพบปัญหาแล้ว
ส�ำเร็จการด�ำเนินงานแก้ปัญหาพฤติกรรมการเล่น ในชุมชนก็มีการประยุกต์หลักปรัชญาเศรษฐกิจ
การพนนั พอเพยี งมาใชใ้ นการแก้ไขปญั ญาและเป็นข้อตกลง
ปจั จยั สง่ ผลตอ่ ความสำ� เรจ็ การดำ� เนนิ งาน ภายในชุมชนให้เป็นการใช้มาตรการทางสังคม
นั้นจ�ำเป็นต้องอาศัยข้อมูลสถานการณ์และสาเหตุ ในชุมชนร่วมกันปรับใช้ประเพณีวัฒนธรรมของ
ของปญั หายาเสพตดิ ซง่ึ สง่ิ เหลา่ นจี้ ำ� เปน็ ตอ้ งอาศยั ทอ้ งถน่ิ ในการแกไ้ ขปญั หารว่ มกนั โดยมกี ารใหก้ าร
การสร้างจิตส�ำนึกร่วมเป็นเจ้าของปัญหาและ ศกึ ษาการเรยี นรภู้ ายในชมุ ชนและมคี วามคดิ ในการ
ร่วมรับผลประโยชน์ โดยมีการสนับสนุนของ สร้างเยาวชนแกนน�ำรุ่นใหม่ให้มีองค์ความรู้เป็น
หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ท้ังภายในและนอก ต้นกล้าต้นแบบจึงน�ำไปสู่การสร้างเครือข่ายท้ัง
อาศยั ตน้ ทนุ ทางสงั คมทม่ี อี ยใู่ นชมุ ชน ไดแ้ ก่ ระบบ ภายในและนอกชุมชนได้เพ่ิมมากข้ึนพร้อมกับ
เครอื ญาติ ระบบอาวโุ ส ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ วฒั นธรรม ขยายเครือข่ายแบบการบูรณาการสู่สถานศึกษา
ประเพณี และฐานทรัพยากร พร้อมกับการให้ ต่างๆ ในชุมชนที่ใกล้เคียงและให้โอกาสด้วยการ
โอกาสของการมสี ว่ นรว่ มของเยาวชน โดยการสรา้ ง ฟน้ื ฟบู ำ� บดั พรอ้ มกบั ปอ้ งกนั ดว้ ยระบบอาสาสมคั ร
โอกาสให้เยาวชนเข้าร่วมกิจกรรมด้านการป้องกัน ชุมชนโดยมีหน่วยงานราชการให้ความร่วมมือ
แก้ไขปัญหายาเสพติดผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย ภายใตก้ ารใช้มาตรการทางกฎหมายรัฐธรรมนญู
ก่อให้เกิดเป็นบริบทชุมชนในวิถีชนบทชุมชนเมือง 2. การประยุกต์หลักพุทธธรรมในการ
ท่ีมีการปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดกันของคนในชุมชนกับ แก้ปัญหาพฤติกรรมการเล่นการพนัน พบว่า 1)
ผู้น�ำภาวะผู้น�ำจ�ำเป็นต้องมีจิตมุ่งม่ันที่จะท�ำงาน อบายมขุ 6 2) หลกั อปรหิ านยิ ธรรม 3) สมั มปั ปธาน
เพอื่ ชมุ ชน การทจี่ ะเปน็ ตน้ แบบใหค้ นภายในชมุ ชน 4) มรรคมอี งค์ 8 5) ศลี 5 หลกั ธรรมเหลา่ นี้ เชน่
นั้นต้องสามารท�ำงานแบบพหุภาคีได้การด�ำเนิน การมีส่วนร่วมของชุมชน เน้นการเปิดโอกาสให้
งานเพ่ือให้เกิดผลกับชุมชนน้ันต้องไม่สร้างปัญหา คนในชมุ ชน เยาวชนเขา้ มามสี ว่ นรว่ ม โดยการสรา้ ง
ใหก้ บั ตนเองและชมุ ชน สามารถสรา้ งจติ สำ� นกึ รว่ ม

ปีท่ี 19 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 107

โอกาสให้เยาวชนเข้าร่วมกิจกรรมด้านการป้องกัน แกไ้ ขปญั หาพฤติกรรมการเลน่ การพนันของชุมชน
แก้ไขปัญหาพฤติกรรมการเล่นการพนันลักษณะ ซึ่งพบว่า มีการปรับใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจ
ตา่ งๆ คณุ ลกั ษณะของผนู้ ำ� ทม่ี จี ติ มงุ่ มน่ั ทจี่ ะทำ� งาน พอเพียงเป็นแนวทางในการด�ำเนินงาน โดยเน้น
เพ่ือชุมชน และการท�ำงานร่วมกันเป็นทีมด้วย หลักประโยชน์ 3 ประการ คือ หลักประโยชน์
ความเสียสละพร้อมที่จะรับฟังผู้อื่น เพ่ือการ ในชาติน้ี (ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์) โดยเน้นให้
ปรบั ปรงุ แกไ้ ข หลกั ธรรมเหลา่ นเี้ ปน็ หลกั ธรรมทคี่ น คนในชุมชนด�ำรงชีวิตอย่างเหมาะสม รู้จักการ
เราควรยึดถือปฏิบัติตามแล้ว นั้นสามารถน�ำมา แสวงหาทรัพย์ การเก็บรักษาทรัพย์อย่างถูกวิธี
ประยกุ ตใ์ ชใ้ นแกป้ ญั หาพฤตกิ รรมการเลน่ การพนนั หลกั ประโยชนใ์ นชาตหิ นา้ (สมั ปรายกิ ตั ถประโยชน)์
ในชมุ ชนบา้ นโนนเขวา ตำ� บลบา้ นเหลา่ อำ� เภอบา้ นฝาง คอื การปฏบิ ตั ติ นเหมาะสมตามหลกั ศลี ธรรม เชอ่ื กฎ
จังหวัดขอนแก่น ได้และท�ำให้คนภายในชุมชนมี แห่งการทำ� ดที ำ� ชั่วและหลักประโยชนอ์ ย่างย่งิ คือ
ความเป็นอยู่ท่ีดีข้ึน ห่างไกลจากการพนันและท�ำ การด�ำรงตนอย่างสงบสุขด้วยปัญญาไตร่ตรอง
เปน็ ชมุ ชนทป่ี ลอดการพนนั อยา่ งถาวร ทำ� ใหช้ มุ ชน มีสตเิ ทา่ ทันความทกุ ข์เพราะโลภ โกรธหรอื หลง
น่าอยแู่ ละเปน็ ชมชนตน้ แบบด้านคุณธรรม สิ่งท่ีส�ำคัญซ่ึงเป็นหัวใจการด�ำเนินงาน
การที่ชุมชนบ้านโนนเขวาด�ำเนินงาน ปอ้ งกนั แกไ้ ขปญั หาพฤตกิ รรมการเลน่ การพนนั ของ
ป้องกันแก้ไขปัญหาพฤติกรรมการเล่นการพนัน ชมุ ชนบา้ นโนนเขวาสำ� เรจ็ ผลได้ เพราะการทค่ี นใน
ในชมุ ชนได้ประสบผลส�ำเรจ็ เป็นเพราะพลังความ ชุมชนปฏิบัติตนอยู่ในหลักไตรสิกขา คือ ได้รักษา
ร่วมมอื ร่วมใจ รว่ มคิด รว่ มปฏบิ ตั ิ และร่วมรับผล ศลี ไดเ้ จรญิ สมาธิ และไดเ้ จรญิ ปญั ญา สรปุ โดยภาพ
จากการปฏิบัติของคนในชุมชน อีกทั้งจากภาพ รวมว่า หลักพุทธธรรม คือ 1) อบายมุข 6 2)
ลกั ษณข์ องการเปน็ ชมุ ชนทม่ี คี วามเขม้ แขง็ ลว้ นเกดิ หลักอปริหานิยธรรม 3) สัมมัปปธาน 4) มรรคมี
จากการท�ำงานร่วมกันของคนในชุมชน ที่ผ่าน องค์ 8 5) ศีล 5 สามารถน�ำมาบรู ณาการเพื่อแกไ้ ข
บทเรยี นท้งั ด้านลบและบวกร่วมกัน ซง่ึ เปน็ ไปตาม ปัญหาพฤติกรรมการเล่นการพนันของชุมชนบ้าน
หลักอปริหานิยธรรม 7 เช่นเดียวกับการสร้าง โนนเขวา ตำ� บลบา้ นเหลา่ อำ� เภอบ้านฝาง จังหวัด
จิตส�ำนึกท่ีดีในการท�ำงานร่วมกัน การเคารพ ขอนแก่น ไดด้ ้วยการปฏบิ ตั อิ ยา่ งต่อเน่อื งจะส่งผล
ระเบยี บ กตกิ า กฎเกณฑข์ องชุมชน ซง่ึ เป็นไปตาม ดตี อ่ สงั คมและทำ� ใหป้ ระชาชนพฒั นาทงั้ ดา้ นจติ ใจ
หลักสามัคคีธรรม อีกทั้งด้วยการเป็นหมู่บ้าน และอาชีพอย่างยง่ั ยืน
ในบริวารโครงการศูนย์ศึกษาอันเนื่องมาจาก 3. องค์ความรู้ใหม่การจัดการกับปัญหา
พระราชด�ำริ และโครงการหมู่บ้านศลี 5 ทำ� ใหก้ าร การพนันน้ัน ควรเริ่มตน้ จากระดบั ท้องถิน่ โดยการ
ด�ำเนินกจิ กรรมตา่ งๆ เพ่อื การพฒั นาคุณภาพชีวติ สรา้ งความเขา้ ใจรว่ มกนั เกยี่ วกบั ขอ้ เทจ็ จรงิ ของการ
ของคนในชุมชนได้รับอิทธิพลสูงจากหลักปรัชญา พนันประเภทต่างๆ อย่างรอบด้านเพื่อก�ำหนด
เศรษฐกิจพอเพียง เช่นเดียวกับการป้องกันและ เป้าหมายที่เหมาะสมและแสวงหาวิธีการแก้ไข

108 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

ปัญหาการพนันในระดับชุมชนท้องถ่ิน และ พุทธธรรมในแก้ไขปัญหาครอบครัวของประชาชน
แนวทางท่ีจะสามารถสร้างสันติสุขไรความขัดแย้ง เขตตำ� บลแข้ อำ� เภออทุ มุ พรพสิ ยั จงั หวดั ศรสี ะเกษ
ใหเกิดมีขึ้นในโลกไดอยางแทจริงแลว คือ การน�ำ พบว่า ด้านการศึกษาด้วยการจัดกิจกรรมรณรงค์
เอาหลักพุทธธรรม มาเป็นเคร่ืองมือในการด�ำเนิน ประชาชนปฏิบัติธรรมเพ่ือแทรกหลักพุทธธรรม
การโดยเรม่ิ ทตี่ วั มนษุ ยแ ตล ะคนจะตอ งลงมอื ปฏบิ ตั ิ ด้านเศรษฐกิจต้องฝึกประชาชนให้เข้าหลักการ
การแกไ ขปญ หาทุกอยา ง ควรใชสตพิ ิจารณาแกไข ด�ำเนินชีวิตผ่านหลักธรรม และด้านครอบครัวฝึก
ปญ หาเพื่อหยุดการแสดงพฤติกรรมทไ่ี มเ หมาะสม อบรมด้านศีลธรรมให้เข้าใจหลักการครองชีวิตคู่
เชน่ เดยี วกบั ผลงานวจิ ยั ของพระมหาสำ� เรงิ ขนตฺ สิ าโร
5. อภิปรายผลการวิจัย (Phramaha Samreung Khantisaro, 2017)
ซึ่งได้ศึกษาวิจัยเร่ือง การประยุกต์หลักอริยสัจ 4
หวั ใจสำ� คญั ของกระบวนการปอ้ งกนั แกไ้ ข ในการแก้ปัญหาการเล่นการพนันของเยาวชนไทย
ปัญหาพฤติกรรมการเล่นการพนันของชุมชนคือ พบว่า สาเหตุที่วัยรุ่นติดการพนันได้ง่ายมี ดังน้ี
การท�ำงานแบบพหุภาคี ยึดฐานรากของชุมชน 1) สื่ออินเตอร์เน็ตออนไลน์ที่ สามารถเข้าไปใช้
ผ่านกระบวนการร่วมคิด ร่วมท�ำ ร่วมตรวจสอบ บริการได้อย่างง่ายดาย 2) เพื่อนแนะน�ำให้เล่น
แก้ไขปัญหาแบบองค์รวม มีความหลากหลาย และวัยรุ่นมีแนวคิดลองเล่นดูดีกว่า ร้อนเงินหรือ
ต่อเนื่อง การใช้กลไกเครือข่ายหนุนเสริมทั้งจาก มีความต้องการวัตถุตามสมัยนิยมสูง 3) ปัญหา
ภายในและนอกชุมชน สอดคล้องกับผลงานวิจัย ครอบครัวเกิดจากการท่ีต้องการประชด พ่อแม่
พระครสู งั ฆรกั ษธ์ รี พงษ์ ธรี เมธี (ทดั แกว้ ) (Phrakru หนีออกนอกบ้านและหาเงินใช้เอง บางคนหา
Sangkarak Theerapong Theeramathee ทางออกด้วยการไปเล่นพนันทำ� ให้ติดหนี้
(Tadkaew), 2014) ไดศ้ กึ ษาวจิ ยั เรอื่ งการประยกุ ต์ การประยุกต์หลักอริยสัจ 4 ในการแก้
หลักพุทธธรรมเพ่ือการแก้ไขปัญหาครอบครัวของ ปัญหาการเล่นการพนันของเยาวชนไทย ปฏิบัติ
ประชาชนเขตตำ� บลแข้ อำ� เภออทุ มุ พรพสิ ยั จงั หวดั ดังนี้ ผู้ปกครองเลี้ยงดูบุตรธิดาอย่างใกล้ชิดและ
ศรีสะเกษ พบว่า หลักพทุ ธธรรมเกยี่ วกับการแกไ้ ข ดูแลเอาใจใส่ ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่
ปญั หาครอบครวั ทป่ี รากฏในคมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนา บุตรหลาน ไม่เล่นการพนัน น�ำหลักอริยสัจ 4
เถรวาท พบว่า หลักพุทธธรรม หมายถงึ คำ� สอน มาอบรมสง่ั สอนใหร้ ซู้ ง้ึ ถงึ ปญั หาทเี่ กดิ ในครอบครวั
ของพระพทุ ธเจา้ มีความส�ำคัญ คอื เปน็ หลกั ธรรม และให้มีส่วน ร่วมในการแก้ปัญหา พร้อมทั้งสอน
เพอื่ การพฒั นาบคุ คล ครอบครวั ทำ� งาน สงั คม และ ให้รู้จักวิเคราะห์ความผิดชอบช่ัวดี ครู อาจารย์
หลักพุทธธรรมที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหา ในการให้ค�ำแนะน�ำเยาวชน จัดระบบการดูแล
ครอบครวั ของประชาชนตำ� บลแข้ อำ� เภออทุ มุ พรพสิ ยั ช่วยเหลือนักเรียน มีการป้องกันและแก้ปัญหา
จงั หวัดศรสี ะเกษ คอื พรหมวหิ าร 4 ทศิ 6 สงั คห รวมทั้งแนะน�ำให้ปฏิบัติตาม หลักอริยสัจ 4
วตั ถุ 4 และฆราวาสธรรม 4 แนวการประยกุ ตห์ ลกั

ปีท่ี 19 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 109

โดยการจดั ทำ� โครงการแนะแนว โครงการชว่ ยเหลอื การเลน่ การพนนั ใหข้ ยายกว้างขวางมากข้ึน
นักเรยี นที่ประสบปัญหา นอกจากนี้ พระสงฆแ์ ละ 1.2 การสรา้ งเครอื ขา่ ยและกลไกการ
ครูสอนศีลธรรมประจ�ำโรงเรียนยังสามารถช่วย แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างชุมชนและหน่วยงานที่
ชี้แนะเยาวชน อบรมสั่งสอน ให้ปฏิบัติตามหลัก เกี่ยวข้องในระดับพ้นื ที่
อรยิ สจั 4 ดงั นน้ั จงึ จะสามารถแกป้ ญั หาใหเ้ ยาวชน 2. ข้อเสนอแนะในการวิจยั คร้ังตอ่ ไป
ได้โดยมีส่วนร่วมในการจัดค่ายคุณธรรม และมี 2.1 ควรมกี ารศกึ ษาวจิ ยั การประเมนิ
ช่วั โมงสอนจรยิ ธรรมในโรงเรยี น ผลเครือข่ายองค์กรชุมชนในการป้องกันแก้ไข
ปัญหาพฤติกรรมการเลน่ การพนนั
6. ข้อเสนอแนะ 2.2 ควรมีการศึกษาเพื่อพัฒนา
ศักยภาพผู้น�ำและองค์กรท้องถ่ิน และการสร้าง
1. ขอ้ เสนอแนะในการนำ� ผลวิจัยไปใช้ เครอื ขา่ ยภาคประชาชนในการปอ้ งกนั แกไ้ ขปญั หา
1.1 ควรมีการสร้างและพัฒนาเครือ พฤตกิ รรมการเลน่ การพนัน
ขา่ ยองคก์ รชมุ ชนตน้ แบบเอาชนะปญั หาพฤตกิ รรม

References

Phra Dhammapitaka. (1997). The Buddhist Dharma. Edition 9. Bangkok : The Printing Press.
Phramaha Samreung Khantisaro. (2017). An Application of the Four Noble Truths in Solving

Gambling Problems of Thai Yourths. Buddhist Master's Thesis. Graduate School :
Mahachulalongkornrajavidyalaya University.
PhraKru Sangkarak Theerapong Theeramathee. (2014). an Application of Buddhadhamma
to Solve the Family Problems of People in the Kha Subdistrict Uthumphonphisai
District Sisaket Province. Buddhist Master's Thesis. Graduate School : Mahachulalong
kornrajavidyalaya University.



การก่อตวั และการเคลื่อนไหวทางการเมอื งของประชาชน
กลุ่มเครือขา่ ยชุมชนอนรุ ักษแ์ ละฟื้นฟูป่าภถู ำ้� ภูกระแต

อำ� เภอแวงน้อย จงั หวัดขอนแก่น*
Formation and Political Movement of People Forest Conservation
and Restoration Community Networks, in Phu Thum and

Phu Kra Tae, Wang Noi District, Khon Kaen Province

อ�ำนวย สงั ขช์ ่วย
Amnuay Sangchuay
มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ
North Eastern University, Thailand
E-mail: [email protected]

บทคดั ยอ่

การวจิ ยั ครง้ั น้ี มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ 1) ศกึ ษาปจั จยั ทนี่ ำ� ไปสกู่ ารกอ่ ตวั ของประชาชนกลมุ่ เครอื ขา่ ย
ชุมชนอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าภูถำ้� ภูกระแต อ�ำเภอแวงน้อย จังหวัดขอนแก่น 2) เพ่ือศึกษาแนวทางการ
เคล่ือนไหวทางการเมืองของประชาชนกลุ่มเครือข่ายชุมชนอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าภูถ้�ำ ภูกระแต อ�ำเภอ
แวงน้อย จังหวัดขอนแก่น และ 3) เพ่ือศกึ ษาผลกระทบจากการเคลอ่ื นไหวทางการเมอื งของประชาชน
กลุ่มเครือข่ายชุมชนอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าภูถ�้ำ ภูกระแต อ�ำเภอแวงน้อย จังหวัดขอนแก่น เป็นการวิจัย
เชิงคณุ ภาพ (Qualitative Research) โดยการสำ� รวจเอกสารและการสัมภาษณแ์ บบเจาะลกึ จากกลุม่
ผใู้ ห้ข้อมลู จ�ำนวน 3 กลมุ่ จ�ำนวน 30 คน ประกอบดว้ ย 1) ประชาชนกลุ่มแกนนำ� และประชาชนกล่มุ
สมาชกิ เครอื ขา่ ยชมุ ชนอนรุ กั ษแ์ ละฟน้ื ฟปู า่ ภถู ำ�้ ภกู ระแต จำ� นวน 10 คน 2) กลมุ่ ขา้ ราชการและเจา้ หนา้ ที่
ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ข้าราชการผู้บริหารองค์กรในพื้นที่ เจ้าหน้าท่ีท่ีเก่ียวข้องกับป่าไม้ เจ้าหน้าท่ีองค์การ
บรหิ ารสว่ นตำ� บล กำ� นนั ผใู้ หญบ่ า้ น จำ� นวน 10 คน และ 3) กลมุ่ นกั วชิ าการ สอื่ มวลชน เจา้ หนา้ ทอี่ งคก์ าร
พัฒนาเอกชน และประชาชนท่ัวไป จ�ำนวน 10 คน เคร่ืองมือท่ีใช้เป็นแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูล
โดยการวเิ คราะห์เน้อื หาและบรรยายสรปุ เชงิ พรรณนา
ผลการวิจยั พบว่า
1. ปจั จยั ทน่ี ำ� ไปสู่การกอ่ ตวั ของเครือข่าย มสี องปจั จยั ประกอบดว้ ย 1) ปจั จัยภายนอกชมุ ชน
คือ การเมืองแบบรวมศนู ยอ์ �ำนาจไวท้ ่ีส่วนกลาง ยทุ ธศาสตรก์ ารพฒั นาประเทศ และปจั จัยภายในชมุ ชน

* ได้รบั บทความ: 19 มถิ นุ ายน 2561; แก้ไขบทความ: 24 มกราคม 2562; ตอบรบั ตีพิมพ์: 14 กุมภาพนั ธ์ 2562
Received: June 19, 2018; Revised: January 24, 2019; Accepted: February 14, 2019

112 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

คอื การมวี ฒั นธรรมชมุ ชนทเ่ี ขม้ แขง็ มกี ารสรา้ งเครอื ขา่ ยในชมุ ชนอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ สมาชกิ ของเครอื ขา่ ย
ชมุ ชนทม่ี ีจติ สำ� นกึ ทางประชาสงั คม มผี นู้ �ำเครือขา่ ยทม่ี ีความสามารถในการกระตุ้นและผลกั ดนั เครอื ข่าย
2) แนวทางการเคลอื่ นไหวทางการเมือง พบว่า มแี นวทางท่ีหลากหลายได้แก่ มีการขยายพืน้ ทท่ี างสงั คม
เพอื่ สรา้ งแนวรว่ ม มีการรวมกลมุ่ ผนึกก�ำลงั ขยายเครือข่าย การเดินขบวน การใช้วธิ กี ารดอื้ แพ่งและการ
อบรมอาสาสมัครพิทกั ษ์ป่า และ 3) ผลกระทบจากการเคลื่อนไหวทางการเมอื ง 3 ดา้ น คอื ด้านการเมอื ง
ประชาชนกลุ่มเครือข่ายมีความเข้มแข็ง มีอ�ำนาจการต่อรองกับรัฐ สามารถจัดระเบียบการใช้ประโยชน์
จากปา่ สร้างความเข้มแข็งให้กบั สมาชิกภายในกลมุ่ เครอื ข่าย
2. แนวทางการเคลอื่ นไหวทางการเมอื ง พบวา่ มแี นวทางทหี่ ลากหลาย ไดแ้ ก่ มกี ารขยายพนื้ ที่
ทางสังคมเพอื่ สรา้ งแนวร่วม มกี ารรวมกลุม่ ผนกึ กำ� ลงั ขยายเครอื ขา่ ย การเดินขบวน การใชว้ ิธกี ารดอ้ื แพ่ง
และการอบรมอาสาสมคั รพิทักษ์ป่าๆ
3. ผลกระทบจากการเคลอื่ นไหวทางการเมอื ง 3 ดา้ น คอื 1) ดา้ นการเมอื ง ประชาชนกลมุ่ เครอื
ข่ายมีความเข้มแข็ง มีอ�ำนาจการต่อรองกับรัฐ สามารถจัดระเบียบการใช้ประโยชน์จากป่าสร้างความ
เข้มแข็งให้กับสมาชิกภายในกลุ่มเครือข่าย 2) ด้านเศรษฐกิจ สามารถฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของป่า
จนเกิดความอดุ มสมบรู ณ์ เพม่ิ พูนทรพั ยากรปา่ ไม้ พืชพนั ธขุ์ องป่ามากขนึ้ สมาชกิ ในชมุ ชนผู้หาของปา่ ได้
ให้ข้อมูลว่าทรัพยากรป่า ชุมชน มีรายได้จากการหาของป่าขายและการท�ำมาหาอยู่หากิน จนได้รับการ
ชว่ ยเหลอื สนบั สนนุ งบประมาณโครงการจากภาคสว่ นอน่ื ๆ และ 3) ดา้ นสงั คม เกดิ มแี กนนำ� ของประชาชน
ในการเฝ้าระวังรักษาทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมและสามารถวางแผนการจัดการทรัพยากร
ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเน่ือง เกิดความสัมพันธ์ของคนในชุมชนระหว่างชุมชนกับป่าไม้
มกี จิ กรรมการปลกู ปา่ บวชปา่ บญุ สขู่ วญั บงึ ละหานนา ทผี่ สมผสานระหวา่ งวฒั นธรรมประเพณกี บั พธิ กี รรม
ทางศาสนา ท�ำใหเ้ กดิ สงั คมแห่งการหวงแหน และมจี ิตวิญญาณของนกั อนรุ กั ษเ์ พมิ่ มากขน้ึ
คำ� สำ� คัญ: ประชาชนกลุม่ เครอื ข่ายชุมชน; การกอ่ ตัวและการเคล่ือนไหวทางการเมือง; การอนุรักษ์ฟนื้ ฟู
ปา่ ภูถำ�้ ภกู ระแต

Abstract

The purposes of this study were (1) to study the factors that cause the gathering
of the people in the Community Forest Conservation and Restoration Network in Phu
Thum and Phu Kra Tae, Wang Noi district, KhonKaen province, (2) to study the political
movement method of the people in that area, (3) to study the impact of the political
movement of the people in the area. This is a qualitative research. A questionnaire with
an in-depth interview was used as the research tool. There were 30 participants divided

ปที ี่ 19 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 113

into three main groups as follows: (1) 10 leaders and members of the Community Forest
Conservation and Restoration Network in Phu Thum and Phu Kra Tae, (2) 10 people who
work as Sub-district Administrative Organization officers, local chief, village chief, and park
rangers, (3) 10 people including academicians, journalists, non-governmental organization
officers, and residents. The data were analyzed by using content analysis and were
presented in a descriptive form.
The results show that:
1. There are two factors that lead to network formation. Factor outside the
community are centralized political power in the middle national development strategy.
The factors within the community are having a strong community culture create a network
in the community effectively by members of the community network with civil society
consciousness. There are network leaders with the ability to motivate and drive the network.
2. In terms of political movement guidelines, it was found that there are various
approaches, including expanding social spaces. They create a coalition, groups joining
forces to expand the marching network, using stubborn methods and training for forest
protection volunteers.
3. The impact of political movements in 3 areas: 1) Political: people in the network
group are strong. They have bargaining power with the state. They can organize utilization of
the forest and strengthening members within the network group; 2) Economic aspects, they
can restore forest fertility until abundance, increasing forest resources, more vegetation;
members of the Forest Seeker community have provided information that the community
forest resources are earning money from finding forest products and making a living; they
have been trusted until being rescued, supported project budget from other sectors; 3)
Social aspects there is a leader of people in the surveillance of natural resources and the
environment who can plan the management of natural resources and the environment
on a permanent basis continuously; the relationship of people in the community between
communities and forests is created through a forest planting activity, forest ordination and merit-
making forest to the lake “Lahan Na”. That combines culture, tradition and religious
rituals causing a society of cherished people and the spirit of the conservationism is expounding.
Keywords: Public Community Networks; Formation and Political Movement; Conservation
Restoration of Phu Tham and Phu Kra Tae

114 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

1. บทน�ำ สวนป่าปลูกไม้โตเร็ว จนท�ำให้เกิดความขัดแย้ง
อย่างรุนแรงเกี่ยวกับการเมืองเร่ืองยูคาลิปตัสและ
พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 และ สวนป่า การขับไล่ชาวบ้านออกจากพื้นท่ีป่าสงวน
พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 ยงั กอ่ ใหเ้ กดิ ความขดั แยง้ อยา่ งรนุ แรง ดงั เชน่ กรณี
ซ่ึงเป็นการอ้างสิทธิยึดครองป่าทั้งหมดเป็นของรัฐ โครงการจดั ทที่ ำ� กนิ ใหก้ บั ราษฎรผยู้ ากไรใ้ นพน้ื ทปี่ า่
โดยสมบูรณ์ เป็นการแย่งสิทธิการใช้สอยและ สงวนเสอ่ื มโทรมหรอื คจก. (Santisombat, 2000 : 98)
ควบคมุ ดแู ลทรพั ยากรปา่ ทงั้ หมดของชมุ ชนทเี่ คยมี การเคลื่อนไหวของประชาชนโลกท�ำให้
มาแต่เดิมไปจากราษฎรในท้องถิ่น (Phramaha เหน็ ภาพรวมของบทบาทของคนหลากหลายระดบั
Thainoi Yanamethi (Salangsing), Arunyawas ตั้งแต่การลุกขึ้นเรียกร้องสิทธิในการจัดสรร
and Panthachai, 2018 : 81-98) ยงิ่ ไปกว่านัน้ ทรัพยากรอย่างยั่งยืนของชนช้ันพื้นเมืองทั่วไป
รฐั ยงั ไดอ้ นญุ าตใหเ้ อกชนทมี่ ฐี านะทางเศรษฐกจิ สงู ท่ีเผชิญกับปัญหาการใช้อ�ำนาจ การรวมอ�ำนาจ
ด�ำเนินการขอสัมปทานป่าไม้และตักตวงผล การรวมศูนย์อ�ำนาจแบบเข้มข้นของภาครัฐและ
ประโยชน์จากทรัพยากรป่า โดยมิได้มีการดูแล นายทุนข้ามชาติที่จะพยายามเข้ามาใช้อิทธิพลดึง
ให้ปลูกทดแทนตามหลักเกณฑ์อย่างถูกต้องแต่ ทรพั ยากรของชมุ ชนทวั่ โลกใหก้ ลายเปน็ ทรพั ยากร
ประการใด ป่าจึงตกเป็นสมบัติใช้สอยของผู้มี ทีม่ ปี ัจจัยราคาถูก จงึ เกิดการต่อสูข้ องชนช้ันกลาง
อิทธิพลเพียงไม่ก่ีกลุ่ม คนจ�ำนวนน้อยน้ีสามารถ และเกดิ ปญั หาของชนชน้ั ในสงั คมในหลายประเทศ
ตักตวงผลประโยชน์มหาศาลในขณะที่ราษฎร ทม่ี กี ารเรยี กรอ้ งใหม้ กี ารแกไ้ ขขอ้ ตกลงเรอื่ งการคา้
ในทอ้ งถนิ่ ซงึ่ เคยเปน็ ผใู้ ชแ้ ละดแู ลรกั ษาปา่ กลบั ถกู ระหว่างประเทศท่ีเอื้อประโยชน์ให้กับบรรษัท
โยนบาปให้กลายเปน็ ผทู้ �ำลายปา่ ไป ในทางปฏบิ ตั ิ ขา้ มชาตขิ นาดใหญ่ หรอื แมแ้ ตก่ ารรวมตวั ของกลมุ่
การตราพระราชบัญญัติป่าไม้ก็มิได้มีการบังคับใช้ นักวิชาการและองค์กรพัฒนาเอกชนทั้งในและ
โดยเครง่ ครดั ปลอ่ ยใหเ้ กดิ อาการเรอื้ รงั มาเนน่ิ นาน ระหว่างประเทศ เพ่ือพยายามยกระดับแนวทาง
ในพื้นที่ป่าสงวนหลายแห่ง มีการจัดตั้งหมู่บ้าน ในการพัฒนาภาคเอกชนคนกลุ่ม,เล็กกลุ่มน้อย
อย่างเป็นทางการ มีทะเบียนบ้าน มีการเก็บภาษี ให้เป็นที่ยอมรับในสังคมโลก (Lertchusakul,
บ�ำรุงท้องท่ี มีโรงเรียนและสถานท่ีราชการต่างๆ 2003 : 109-110)
ซ่ึงก็เท่ากับการยอมรับการด�ำรงอยู่ของชาวบ้าน ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม จึงเป็น
และชมุ ชนของพวกเขาอยา่ งชอบธรรม ทงั้ ๆ ทีผ่ ดิ ขบวนการปลกุ ประชาชนใหม้ คี วามตน่ื ตวั เพอ่ื สรา้ ง
กฎหมายของรัฐ ในเวลาต่อมารฐั เรม่ิ เอาจริงเอาจัง อัตลักษณ์ความเป็นมนุษย์ของสังคมที่ปลอดจาก
กับการใช้กฎหมายบังคับ มีความพยายามที่จะ การครอบครองของรัฐท่ีปกครองโดยระบบเทคโน
อพยพชาวบ้านออกจากพื้นท่ีป่าสงวนแห่งชาติ แครต ครอบง�ำโดยระบบการตลาดโลกการสร้าง
มคี วามพยายามทจี่ ะใหธ้ รุ กจิ เอกชนหรอื ผมู้ อี ทิ ธพิ ล อัตลักษณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการทางสังคม
ในท้องถิ่นได้เช่าที่ป่าสงวนในราคาถูก เพ่ือสร้าง

ปีที่ 19 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 115

ที่มิใช่จุดมุ่งหมายสุดท้ายของการเคล่ือนไหวทาง (Thipwong, 2009)
สังคมรวมกลุ่มรูปแบบหน่ึง เพ่ือท้าทายอ�ำนาจรัฐ ปญั หาทเี่ ปน็ อุปสรรคส�ำคญั ในการพัฒนา
อ�ำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจและสงั คม แต่ด้วย ขององคก์ รชมุ ชนอยู่ 2 ประการ คอื ภาครัฐและ
จดุ ประสงคแ์ ละจดุ มงุ่ หมายเพอื่ การสรา้ งสงั คมใหม่ ระบอบการเมอื งทมี่ ฐี านความคดิ อยใู่ นกระแสหลกั
ทด่ี กี วา่ ขบวนการเคลอื่ นไหวทางสงั คมน้ี อาจจะมี ในการพัฒนาที่เกิดจากส่วนกลางมากกว่าการ
การขัดแย้งกับระบบคุณค่าทางสังคมเดิมแต่ ปลอ่ ยใหป้ ระชาชนไดพ้ ฒั นา และสามารถยนื อยบู่ น
เปน็ การตอ่ สเู้ พอ่ื ความเปน็ ไทของบคุ ลภายในสงั คม ขาของตนเองได้ ชุมชนจะต้องปรับตัวและสร้าง
ท่ีประชาชนถูกครอบง�ำโดยภาครัฐและการตลาด เครือข่ายและพัฒนาองค์กรให้สามารถต่อสู้กับ
โลกของสงั คมยคุ ใหม่ (Phongphaijit, 2002 : 7) กระแสของโลกาภิวัฒน์ สร้างความเข้มแข็งจาก
ประชาชนในเขตพื้นท่ีอ�ำเภอแวงน้อย ภายใน ขณะเดียวกันภาครัฐและระบอบการเมือง
จงั หวดั ขอนแกน่ เกดิ การเคลอื่ นไหวในชมุ ชนทเ่ี กดิ จะต้องมีความจริงจังในการพัฒนาสร้างการเมือง
จากการเปลี่ยนแปลงท่ีส�ำคัญๆ ในหลายเรื่อง ทม่ี คี วามเขม้ แขง็ กอ่ ใหเ้ กดิ ผลดตี อ่ ประชาชนทกุ คน
เช่น นโยบายของรัฐท่ีไม่เคยถูกตั้งค�ำถามเลย อย่างทั่วถึง ประการต่อมา รัฐต้องส่งเสริมให้คน
แตไ่ ดถ้ กู ตงั้ คำ� ถามเพม่ิ มากขนึ้ เชน่ การเคลอื่ นไหว ในชุมชนท้องถิ่น ได้มีโอกาสเรียนรู้ในอัตลักษณ์
ขององคก์ รประชาชนทท่ี ำ� ใหส้ งั คมเหน็ วา่ โครงการ ความเปน็ ตวั ตนอยา่ งเปน็ รปู ธรรม บนพน้ื ฐานของ
ของรฐั มปี ระโยชนต์ อ่ ประชาชน และมคี วามสำ� คญั ทุนทางสังคม วัฒนธรรม และองค์ความรู้ใหม่ท่ี
ต่อการด�ำรงชีพในเชิงนโยบาย จึงเป็นสิทธิและ เพียงพอที่จะด�ำรงตนในบริบทสถานการณ์โลก
ความชอบธรรมของกลุ่มองค์กรประชาชน การเรยี นรขู้ องปจั เจกบคุ คลในชมุ ชนถงึ ความรบั ผดิ
ประชาชนในเขตพื้นท่ีอ�ำเภอแวงน้อย จังหวัด ชอบอนั พงึ มตี อ่ ชมุ ชนและสงั คมรว่ มกนั พฒั นาเพอื่
ขอนแก่น จึงได้รวมตัวกันเป็นกลุ่มของประชาชน ป่าและชุมชนสามารถอย่รู ่วมกนั อยา่ งมคี วามสุข
ในการเคล่ือนไหวที่เริ่มจากก้าวเล็กๆ เมื่อหลาย ดังน้ัน ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษา
สิบปีก่อน กลายเป็นความร่วมมือร่วมใจในการ เรื่องการก่อตัวและการเคลื่อนไหวของประชาชน
รกั ษา จงึ ไดร้ วมตวั กนั ปกปอ้ งผนื ปา่ เพอื่ การอนรุ กั ษ์ ทางการเมืองของกลุ่มเครือข่ายชุมชนอนุรักษ์และ
และฟน้ื ฟปู า่ ภถู ำ้� ภกู ระแต อำ� เภอแวงนอ้ ย จงั หวดั ฟื้นฟูป่าภูถ�้ำ ภูกระแต อ�ำเภอแวงน้อย จังหวัด
ขอนแก่น ซึ่งเป็นป่าผืนสุดท้าย โดยมีหลักการ ขอนแก่น เพ่ือศึกษาปัจจัยในการก่อตัวของ
ในการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรของชุมชน การน�ำ ประชาชนกลุ่มเครือข่ายชุมชนอนุรักษ์ป่าภูถ�้ำ
กระบวนการอนุรักษ์ป่า โดยให้ชาวบ้านเข้ามามี ภกู ระแต รวมถงึ ศกึ ษาแนวทางการเคลอื่ นไหวของ
ส่วนร่วม เน้นวิถีวัฒนธรรม และความเก้ือกูลของ ขบวนการทางการเมืองภาคประชาชนและผล
คนในชมุ ชน คน้ หาและพฒั นาการใชท้ รพั ยากรรว่ ม กระทบจากการเคลื่อนไหว ท่ีเกิดจากการก่อตัว
ของชมุ ชนจนนำ� ไปสคู่ วามสำ� เรจ็ อยา่ งเปน็ รปู ธรรม ทางการเมืองของภาคประชาชน เพื่อการ

116 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

พัฒนาการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าภูถ้�ำ ภูกระแต เครือข่าย การดื้อแพ่ง และการอบรมอาสาสมัคร
อำ� เภอแวงนอ้ ย จงั หวดั ขอนแกน่ ท่ยี ่ังยืนต่อไป พิทักษ์ป่า และ 3) ศกึ ษาผลกระทบจากการก่อตัว
และการเคล่ือนไหวทางการเมืองของประชาชน
2. วัตถปุ ระสงค์ของการวิจยั กลุ่มเครือข่ายชุมชนอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าภูถ้�ำ ภู
กระแต อำ� เภอแวงนอ้ ย จังหวดั ขอนแกน่ เป็นผลก
1. เพ่ือศึกษาปัจจัยท่ีน�ำไปสู่การก่อตัว ระทบภายนอก ทางการเมอื งทางเศรษฐกจิ และทาง
ของประชาชนกลมุ่ เครอื ขา่ ยชมุ ชนอนรุ กั ษแ์ ละฟน้ื ฟู สงั คมภายใน ไดแ้ ก่ ทางการขยายเครอื ขา่ ยทางการ
ปา่ ภถู ำ�้ ภกู ระแต อำ� เภอแวงนอ้ ย จงั หวดั ขอนแกน่ พัฒนาแกนน�ำ การสร้างแกนน�ำทางการประสาน
2. เพื่อศึกษาแนวทางการเคล่ือนไหว ความร่วมมือ และการได้รับงบประมาณเคร่ืองมือ
ทางการเมืองของประชาชนกลุ่มเครือข่ายชุมชน ที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง
อนรุ กั ษแ์ ละฟน้ื ฟปู า่ ภถู ำ้� ภกู ระแต อำ� เภอแวงนอ้ ย เจาะลึก (In Depth Interview)
จงั หวดั ขอนแกน่ ประชากรกลมุ่ เปา้ หมายผใู้ หข้ อ้ มลู จำ� นวน
3. เพื่อศึกษาผลกระทบจากก่อตัวและ 30 คน จ�ำแนกออกเป็นเพศ ได้แก่ หญิง และชาย
การเคลื่อนไหวทางการเมืองของประชาชนกลุ่ม อายุ 18-30 ปี อายุ 31-50 ปี และอายุ 51 ปขี ้ึนไป
เครอื ขา่ ยชมุ ชนอนุรกั ษแ์ ละฟ้นื ฟปู า่ ภถู ้�ำ ภูกระแต ระดับการศึกษา ได้แก่ ระดับประถมศึกษา
อำ� เภอแวงนอ้ ย จงั หวัดขอนแก่น มัธยมศึกษา อุดมศึกษา และอาชีพ ได้แก่
รับราชการ รับจ้าง ค้าขาย ท�ำนา และท�ำไร่
3. วธิ ีด�ำเนนิ การวจิ ัย ประชาชนกลุ่มเครือข่ายผู้ให้ข้อมูลการวิจัย
เชิงคุณภาพ (Qualitative Research) แบบ
การวิจัยครั้งน้ี เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ สัมภาษณ์เจาะลึก คัดเลือกโดยวิธีเจาะจงตาม
(Qualitative Research) โดยการศกึ ษา 1) ปจั จยั สถานการณ์ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย
ทนี่ ำ� ไปสกู่ ารกอ่ ตวั ซงึ่ แบง่ ออกเปน็ ปจั จยั ภายนอก 1) ประชาชนกลุม่ แกนนำ� การกอ่ ตัวของประชาชน
และปจั จยั ภายใน มรี ปู แบบการเคลอ่ื นไหวทางการ กล่มุ เครอื ข่าย จำ� นวน 10 คน 2) ประชาชนที่เป็น
เมืองท่ีส่งผลกระทบต่อเครือข่ายชุมชนท้องถิ่น สมาชิกกลุ่มเครือข่ายชุมชนอนุรักษ์และฟื้นฟูป่า
2) ศึกษาแนวทางการเคลื่อนไหวของประชาชน ภถู �ำ้ ภกู ระแต จ�ำนวน 10 คน และ 3) ประชาชน
กลุ่มเครือข่ายชุมชนอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าภูถ้�ำ กลมุ่ นกั วชิ าการ ทเี่ ปน็ อาจารยผ์ สู้ อนในสถาบนั การ
ภกู ระแต อ�ำเภอแวงน้อย จังหวัดขอนแก่น โดยนำ� ศึกษา ส่ือมวลชน เจ้าหน้าท่ีขององค์การพัฒนา
แนวคิดการเคล่ือนไหวทางสังคมและแนวคิด เอกชน และเจ้าหน้าที่ที่เก่ียวข้องจ�ำนวน 10 คน
วัฒนธรรมชุมชน มาเป็นกรอบในการอธิบาย สรปุ ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู เชิงพรรณนา
การขยายพ้ืนที่ทางสังคมเพื่อสร้างแนวร่วม
การเดินขบวน การรวมกลุ่มผนึกก�ำลังขยาย

ปที ี่ 19 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 117

4. สรปุ ผลการวิจัย วัฒนธรรมชุมชนท่ีเข้มแข็ง มีการสร้างเครือข่าย
ในชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพ และสมาชิกของ
1. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของผู้ให้ เครือข่ายชุมชนที่มีจิตส�ำนึกทางประชาสังคม
ขอ้ มลู พบวา่ จำ� นวนของผใู้ หข้ อ้ มลู เรอ่ื ง การกอ่ ตวั มผี นู้ ำ� เครอื ขา่ ยทม่ี คี วามสามารถในการกระตนุ้ และ
และการเคลื่อนไหวทางการเมืองของประชาชน ผลักดันเครือข่ายชุมชนอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าภูถ้�ำ
กลุ่มเครือข่ายชุมชนอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าภูถ้�ำ ภกู ระแต อำ� เภอแวงนอ้ ย จงั หวดั ขอนแกน่ ทเี่ ขม้ แขง็
ภกู ระแต อำ� เภอแวงน้อย จังหวัดขอนแกน่ พบวา่ 3. แนวทางการเคลอ่ื นไหวทางการเมอื ง
มีจ�ำนวนผู้ให้ข้อมูล 30 คน พบว่า เป็นเพศชาย พบว่า มีแนวทางท่ีหลากหลายได้แก่ มีการขยาย
ท้ังหมด คิดเป็นร้อยละ 100 จ�ำแนกออกได้ดังน้ี พ้ืนท่ีทางสังคมเพื่อสร้างแนวร่วม มีการรวมกลุ่ม
1) จ�ำแนกออกเปน็ อายุ มจี ำ� นวนทงั้ หมด 30 คน ผนกึ ก�ำลงั ขยายเครอื ขา่ ย การเดินขบวน การใช้วธิ ี
พบว่า มีจำ� นวนมากท่ีสดุ อายุ 31-50 ปี จำ� นวน การดอ้ื แพง่ และการอบรมอาสาสมคั รพทิ ักษ์ป่า
19 คน คิดเป็นร้อยละ 63.3 รองลงมา พบว่า 4. ผลกระทบจากการเคล่ือนไหวทาง
อายุ 18-30 ปี จ�ำนวน 6 คน คิดเป็นร้อยละ 20 การเมือง 3 ดา้ น คอื 1) ดา้ นการเมอื งประชาชน
และอายุ 51 ปี ขน้ึ ไป จำ� นวน 5 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ กลมุ่ เครอื ข่ายมคี วามเข้มแข็ง มอี ำ� นาจการต่อรอง
16.7 2) จำ� แนกออกเปน็ ระดบั การศกึ ษา มจี ำ� นวน กบั รฐั สามารถจัดระเบียบการใชป้ ระโยชนจ์ ากปา่
ทัง้ หมด 30 คน พบว่า ระดับมัธยมศึกษา จำ� นวน สร้างความเข้มแข็งให้กับสมาชิกภายในกลุ่ม
12 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 40 รองลงมา มรี ะดบั ประถม เครือข่าย 2) ด้านเศรษฐกิจ สามารถฟื้นฟูความ
ศึกษา จำ� นวน 9 คน คิดเป็นร้อยละ 30 และระดบั อุดมสมบูรณ์ของป่า จนเกิดความอุดมสมบูรณ์
อุดมศึกษา มีจ�ำนวน 9 คน คิดเป็นร้อยละ 30 เพม่ิ พนู ทรพั ยากรปา่ พชื พนั ธข์ุ องปา่ มากขน้ึ สมาชกิ
และ 3) จ�ำแนกออกเป็นอาชีพ มีจ�ำนวนท้ังหมด ในชุมชนผู้หาของป่าได้ให้ข้อมูลว่าทรัพยากรป่า
30 คน พบว่า เป็นอาชีพรับราชการ มีจ�ำนวน ชุมชน มีรายได้จากการหาของป่าขายและการ
12 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 40 รองลงมา อาชพี ท�ำนา ทำ� มาหาอยหู่ ากนิ จนไดร้ บั การชว่ ยเหลอื สนบั สนนุ
จ�ำนวน 6 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 6 และอาชีพรบั จา้ ง งบประมาณโครงการจากภาคสว่ นอนื่ ๆ และ 3) ดา้ น
มจี ำ� นวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 16.7 อาชีพค้าขาย สงั คม เกดิ มแี กนน�ำของประชาชนในการเฝา้ ระวัง
จ�ำนวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 13.3 และอาชีพ รักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและ
ท�ำไร่ จ�ำนวน 3 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 20 สามารถวางแผนการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
2. ผลการวเิ คราะหป์ จั จยั ทน่ี ำ� ไปสกู่ ารกอ่ และส่ิงแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง เกิดความสัมพันธ์
ตัวของเครือข่ายพบว่า มี 2 ปัจจัย ประกอบด้วย ของคนในชมุ ชนระหวา่ งชมุ ชนกบั ปา่ ไม้ มกี จิ กรรม
ปัจจัยภายนอกชุมชน คือ การเมืองแบบรวมศูนย์ การปลกู ปา่ บวชปา่ บญุ สขู่ วญั บงึ ละหานนาทผ่ี สม
อำ� นาจไวส้ ว่ นกลาง มกี ารจดั ทำ� แผนยทุ ธศาสตรก์ าร ผสานระหว่างวัฒนธรรมประเพณีกับพิธีกรรมทาง
พัฒนาชุมชน และปัจจัยภายในชุมชน คือ การมี

118 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

ศาสนา ทำ� ใหเ้ กดิ สงั คมแหง่ การหวงแหน และมจี ติ เพอ่ื ผลประโยชนเ์ ฉพาะกลมุ่ ใดกลมุ่ หนงึ่ แตเ่ ปน็ ไป
วิญญาณของนักอนุรกั ษเ์ พ่มิ มากข้ึน เพ่ือผลประโยชน์ร่วมกัน ท่ีเป็นปัญหาร่วมกัน
การเคลื่อนไหวทางการเมืองของประชาชน มิใช่มี
5. อภปิ รายผลการวิจัย การน�ำเสนอมมุ มองคดั คา้ นนโยบาย โครงการภาค
รัฐเท่านั้น แต่เป็นการน�ำเสนอวิถีชีวิต วัฒนธรรม
1. ผลการวเิ คราะห์ ปจั จยั การกอ่ ตวั และ ของชมุ ชนตอ่ พน้ื ทส่ี าธารณะ ผา่ นสอื่ ไปยงั ภาคสว่ น
การเคลื่อนไหวทางการเมืองของประชาชนกลุ่ม ตา่ งๆ ตลอดจนจะสะทอ้ นและตอบโตก้ ระบวนการ
เครอื ขา่ ยชุมชนอนรุ กั ษแ์ ละฟน้ื ฟปู า่ ภูถ้�ำ ภูกระแต จัดการทรัพยากรธรรมชาติของรัฐ ขบวนการภาค
อ�ำเภอแวงน้อย จังหวัดขอนแก่น พบว่า ได้มีการ ประชาชนให้เป็นสื่อ ผ่านพื้นท่ีเพื่อบอกเล่าการ
รวมตัวของประชาชนจัดตั้งเป็นประชาชนกลุ่ม จัดการทรัพยากรโดยภาคประชาชน สังคม
เครือข่ายชมุ ชนอนรุ กั ษ์และฟนื้ ฟูป่าภถู ำ้� ภูกระแต ที่ปราศจากภาครัฐ และสามารถจัดการได้ผลดี
อ�ำเภอแวงน้อย จังหวัดขอนแก่นขึ้น เพ่ือตอบโต้ ในระดับหนึ่ง ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาวิจัยของ
ในลักษณะต่างๆ การเกิดกลุ่มเครือข่ายชุมชน ชชู ยั ศุภวงศ์ (Supawong, 1997 : 6) ไดอ้ ธบิ าย
อนุรักษ์และฟื้นฟูป่า ภายใต้ความไม่ไว้วางใจ วา่ การกอ่ ตัวและพัฒนาการของภาคประชาสังคม
ในระบบทเี่ ปน็ อยขู่ องระบบการเมอื งของรฐั ระบบ ประชาสงั คม ไดม้ มี าชา้ นานในสงั คมไทยในรปู แบบ
การตัดสินใจเชิงนโยบาย ต้ังค�ำถามกับโครงการ ต่างๆ ทง้ั ท่เี ปน็ การแก้ไขปญั หาเฉพาะหน้า เฉพาะ
นโยบาย ยุทธศาสตร์การพัฒนาและมาตรการ กลมุ่ หรอื มีจิตส�ำนึกร่วมกันในการแก้ปญั หาสังคม
ของรัฐ ภาคเอกชน ท่ีจะเข้ามาจัดการในพ้ืนที่ป่า จะเหน็ ไดจ้ ากกลมุ่ คน ชมรม หรอื องคก์ ร มกี ารรว่ ม
ท่ีขาดจากการตรวจสอบ อย่างรอบด้านจาก มือกันแก้ไขปัญหาและ/หรือผลักดันให้เกิดการ
ประชาชน มีลักษณะที่ต้องการปรับเปลี่ยนความ แก้ไขปัญหาในระดับต่างๆ เช่น คนจีนโพ้นทะเล
สัมพันธ์ เชิงอ�ำนาจระหว่างรัฐ ซ่ึงมิใช่การช่วงชิง รวมกลุ่มกันเป็นสมาคมจีน โดยมีจิตส�ำนึกร่วมกัน
อำ� นาจรัฐ ขบวนการเคลือ่ นไหวมลี กั ษณะเปน็ การ ในการช่วยเหลือเก้ือกูลคนในสังคมเดียวกัน
ต่อสู้ทางวาทกรรมการสู้ในเชิงสัญลักษณ์เพ่ือ การกอ่ ตัวและพัฒนาการของประชาสังคม เกดิ ข้ึน
ก�ำหนดต�ำแหน่งแห่งท่ีทางสังคมหรือสร้างความ เน่ืองจากประชาชนต้องเผชิญกับปัญหาหรือ
ชอบธรรมใหก้ บั ขบวนการเคลอื่ นไหว โดยการเรยี ก เหตุการณ์ต่างๆ ท่ีมีความส�ำคัญและได้ส่งผล
ร้องสิทธิการตัดสินใจตนเอง สิทธิในการจัดการ กระทบต่อคุณภาพการด�ำรงชีวิต คุณภาพ
ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม ส่ิงแวดล้อม ต่อชุมชน และ/หรือสังคมฯ เกิดการ
ทไี่ ดร้ บั ตกทอดจากบรรพชน ขบวนการเคลอ่ื นไหว รวมตัว รวมกลุ่มกันเพ่ือผลักดันการแก้ไขปัญหา
ทางสงั คมแบบใหมน่ ้ี เปน็ ขบวนการเคลอ่ื นไหวของ ของตน ขณะเดียวกันความซับซ้อนของปัญหา
ประชาชนคนธรรมดาทั่วไป ที่ไม่ได้เคล่ือนไหวใน กไ็ มอ่ าจดำ� เนนิ การโดยลำ� พงั องคก์ ารใดองคก์ รหนงึ่
ฐานะตวั แทนของชนชนั้ ใดชนั้ หนงึ่ และไมไ่ ดเ้ ปน็ ไป

ปีที่ 19 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 119

ได้หากแต่ต้องรวมตัว รวมกลุ่ม รวมพลังกันของ จงั ความทมุ่ เทสงู แตส่ ามารถดงึ ดดู ผเู้ ขา้ รว่ มจำ� นวน
ทุกส่วนในสังคม จึงจะแก้ปัญหาได้ เกิดเป็นภาค มากได้ สามารถสะท้อนถึงนัยแห่งความคาดหวัง
ประชาสังคมข้นึ ของผู้เข้าร่วมที่เกิดข้ึนจนมีลักษณะกลายเป็นวิธี
2. ผลการวเิ คราะหแ์ นวทางการเคลอ่ื นไหว การเชิงสถาบัน ที่ท�ำให้ขาดการท้าทายต่อระบบ
ทางการเมืองของประชาชนกลุ่มเครือข่ายชุมชน ปกตทิ เ่ี ปน็ อยู่ เชน่ การเดนิ ขบวน (Demonstration)
อนรุ กั ษแ์ ละฟน้ื ฟปู า่ ภถู ำ�้ ภกู ระแต อำ� เภอแวงนอ้ ย และการนดั หยดุ งาน (Strike) ซงึ่ ทงั้ สองวธิ กี ารนไ้ี ด้
จังหวัดขอนแก่น พบว่า มีรูปแบบการเคล่ือนไหว กลายเป็นการต่อรองเชิงสถาบันท่ีมีพิธีกรรมกฎ
ทีห่ ลากหลาย ไดแ้ ก่ การขยายพื้นทีท่ างสงั คมเพือ่ เกณฑท์ ต่ี ายตวั และความคาดหวงั ทชี่ ดั เจนระหวา่ ง
สร้างแนวร่วม การเดินขบวน การรวมกลุ่มผนึก ผู้ท่ีท้าทายและผู้ท่ีเผชิญหน้าด้วยวิธีการดังกล่าวนี้
ก�ำลงั ขยายเครือขา่ ยองค์กรประชาชน การดอื้ แพ่ง อาจผนวกด้วยวิธีการรูปแบบอ่ืนๆ เช่น การเดิน
การอบรมอาสาสมัครพิทักษ์ป่า จะเห็นได้ว่ากลุ่ม ขบวนเพ่ือหาเสียงสนับสนุนจากชุมชนรอบข้าง
เครอื ขา่ ยชุมชนอนรุ ักษ์และฟน้ื ฟูปา่ ภถู �ำ้ ภกู ระแต สอ่ื มวลชน การปดิ โรงงาน การยดึ โรงงาน สถานที่
มีรูปแบบการเคลื่อนไหวท่ีท�ำให้เห็นถึงตัวตนทาง ทำ� งาน ฯลฯ
สังคมของกลุ่มอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าภูถ้�ำ ภูกระแต 3. ผลการวเิ คราะหผ์ ลกระทบจากกอ่ ตวั
ภายใต้สภาวะความรับผิดชอบส่งผลต่อการด�ำรง และการเคลื่อนไหวทางการเมืองของประชาชน
อยอู่ ยา่ งยากไร้ และถกู ลดิ รอนความสามารถในการ กลุ่มเครือข่ายชุมชนอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าภูถ�้ำ
จัดการทรัพยากรของชุมชนนั้น กลุ่มอนุรักษ์และ ภูกระแต อ�ำเภอแวงนอ้ ย จังหวัดขอนแกน่ พบวา่
ฟ้ืนฟูป่าภถู ้�ำ ภูกระแต ไดห้ ันมาใชก้ ารเคลอ่ื นไหว 1) ดา้ นการเมอื งการเคลอ่ื นไหวของภาคประชาชน
ที่หลากหลายรูปแบบหน่ึง เพื่อปรับเปลี่ยนความ กลมุ่ เครอื ขา่ ย เกิดการประสานความรว่ มมืออย่าง
สมั พนั ธเ์ ชงิ อ�ำนาจกบั กล่มุ ตา่ งๆ ท้ังภายนอก เช่น ต่อเน่ืองท�ำให้สมาคมเพื่อนภู สามารถผลักดัน
รฐั องคก์ ารบริหารส่วนต�ำบล องค์การบรหิ ารส่วน แผนการจดั การทรพั ยากรธรรมชาตเิ ขา้ สหู่ นว่ ยงาน
จังหวดั และภายในชมุ ชน โดยเปน็ การตอ่ สู้ดิน้ รน ต่างๆ และเกิดแผนงานกิจกรรมท่ีท�ำร่วมกัน
ที่ไม่จ�ำกัดเฉพาะแต่ทรัพยากรทางวัตถุเท่านั้น อนั เปน็ การปรบั ระดบั ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งรฐั และ
แต่ยังรวมถึงการต่อสู้ทางวัฒนธรรมและการต่อสู้ เอกชน สร้างการมีส่วนร่วมในการพัฒนาและ
ในเชิงสัญลักษณ์ด้วย ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัย อนรุ กั ษป์ า่ รว่ มกนั 2) ดา้ นเศรษฐกจิ การเคลอ่ื นไหว
ของประภาส ป่นิ ตกแต่ง (Pintoktaeng, 1997 : ของประชาชนกลุ่มเครือข่ายการอนุรักษ์และฟื้นฟู
163-168) ที่สรุปว่า มีรูปแบบในการเคลื่อนไหว ป่าภูถ้�ำ ภูกระแต ได้ด�ำเนินงานประสบผลส�ำเร็จ
ทางการเมืองในลักษณะการเผชิญหน้า เรียกร้อง ในด้านการฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของป่าป่าภูถ้�ำ
และกดดนั เพอ่ื ใหร้ ฐั เปลยี่ นแปลงนโยบาย ลกั ษณะ ภกู ระแต ไดเ้ กดิ ความอดุ มสมบรู ณ์ การเพม่ิ ขนึ้ ของ
ส�ำคัญคือเป็นวิธีการที่ไม่ต้องการความเอาจริงเอา ทรพั ยากรปา่ พชื พนั ธข์ุ องปา่ กนิ ไดม้ มี ากขน้ึ ตวั ชว้ี ดั นี้

120 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

ได้จากสมาชิกในชุมชนผู้หาของป่าได้ให้ข้อมูลว่า สมัยใหม่ที่มีความคิดแตกต่างและหลากหลาย
ทรัพยากรป่าเพ่ิมข้ึน ชุมชน มีรายได้จากการหา ซ่ึงสอดคล้องกับการวิจัยของไชยรัตน์ เจริญสิน
ของป่าขายและหาอยู่หากิน ลดรายจ่ายตามช่วง โอฬาร (Charoensin-o-larn, 1995 : 64)
ฤดูกาลท่ีของป่ามี ซ่ึงแสดงให้เห็นว่า การอนุรักษ์ เร่ือง ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมใหม่โดยได้
และฟน้ื ฟปู า่ ภถู ำ�้ ภกู ระแตสามารถสรา้ งรายไดแ้ ละ สรปุ ขบวนการเคลือ่ นไหวทางสงั คมใหม่ ประการ
ลดรายจา่ ยใหก้ บั สมาชกิ ในชมุ ชน และทส่ี ำ� คญั การ ท่ีหนึ่ง ขบวนการเคล่ือนไหวเหล่านี้ ไม่ได้อยู่บน
รักษาป่าเป็นการรักษาพ้ืนที่เพ่ือการเลี้ยงสัตว์ พ้ืนฐานของชนชั้นเพียงอย่างเดียว ประการท่ีสอง
เพราะการเลี้ยงสัตว์ถือได้ว่าเป็นการสะสมกองทุน ประเด็นการเรียกร้องไม่ใช่เรื่องเดิมๆ ที่เป็นผล
เพื่อชีวิต และขายเพ่ือน�ำไปใช้จ่ายเม่ือเวลาเกิด ประโยชนเ์ ฉพาะกลุ่มใดกลมุ่ หนง่ึ แต่เป็นเรื่องของ
ความจำ� เปน็ และ 3) ดา้ นสงั คม การเคลอื่ นไหวของ คนจำ� นวนมากจากหลายกลมุ่ หลายชนชนั้ ประการ
ประชาชนกลมุ่ เครอื ขา่ ยเกดิ แกนนำ� ชาวบา้ นในการ ที่สาม ผู้เรียกร้องมีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหว
เฝา้ ระวงั รกั ษาทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม ดว้ ยตนเอง ไมใ่ ชก่ ารเรยี กรอ้ งผา่ นกลไกของรฐั หรอื
และสามารถวางแผนการจดั การทรพั ยากรธรรมชาติ กลไกทางการเมือง และประการท่สี ี่ เป้าหมายของ
และสงิ่ แวดลอ้ มอยา่ งตอ่ เนอื่ ง คนในชมุ ชนไดพ้ บปะ การเรียกรอ้ งต้องการสร้าง กติกาหรอื กฎเกณฑช์ ดุ
สังสรรค์ในงานกิจกรรมด้านการจัดการทรัพยากร ใหมใ่ นการดำ� รงชวี ติ ไมใ่ ชก่ ารชว่ งชงิ อำ� นาจของรฐั
ธรรมชาติเกิดความสัมพันธ์ของคนในชุมชนและ ดงั เช่น ขบวนการเคล่ือนไหวท่เี ป็นมาในอดตี
ระหว่างชุมชน โดยใช้กิจกรรมเป็นส่ือกลาง เช่น
การปลูกป่า บวชป่า บุญสู่ขวัญบึงละหานนา 6. ขอ้ เสนอแนะ
ซง่ึ กจิ กรรมตา่ งๆ ไดผ้ สมผสานวฒั นธรรมประเพณี
และพธิ กี รรมทางศาสนาเขา้ ไปดว้ ย ทำ� ใหเ้ กดิ สงั คม 1. ขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบาย
แห่งการหวงแหน และมีวิญญาณของนักอนุรักษ์ 1.1 ควรจัดให้มีการประชุมสัมมนา
เพมิ่ มากขนึ้ ซงึ่ สอดคลอ้ งกบั การวจิ ยั ของฉลาดชาย เผยแพร่ให้ประชาชนกลุ่มเครือข่ายประชาชน
รมิตานนท์ (Ramitanon, 2003 : 94) เรอ่ื งเอ็นจี โดยทั่วไป ได้รับทราบถึงปัจจัยในการสร้างความ
โอ: ขบวนการเคล่ือนไหวทางสังคมตามระบอบ เขม้ แขง็ ของภาคประชาชน อนั จะนำ� ไปสกู่ ารพฒั นา
ประชาธปิ ไตย ทวี่ า่ ขบวนการเคลอื่ นไหวทางสงั คม รูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
นอกจากจะเปิดโอกาสให้คนหลากหลาย ท้ังทาง ทส่ี นับสนุนการมีสว่ นรว่ มของภาคประชาชนอยา่ ง
ความคิด ความเช่ือ และปฏิบัติการได้มีโอกาส แทจ้ ริง
เคลอื่ นไหวแลว้ ยงั เปดิ โอกาสใหเ้ กดิ การมสี ว่ นรว่ ม 1.2 ควรมกี ารเผยแพร่ ประชาสมั พนั ธ์
ทางการเมอื งทไี่ มต่ อ้ งสงั กดั พรรคการเมอื งเปน็ เรอ่ื ง ปจั จยั สำ� คญั ทน่ี ำ� มาสกู่ ารกอ่ ตวั ของขบวนการภาค
ดสี ำ� หรบั ประชาธปิ ไตย เปน็ ทางเลอื กสำ� หรบั สงั คม ประชาชน ดว้ ยกระแสของการค้าเสรี ทุนนยิ มเสรี
โลกาภิวัตน์ โครงการของภาครัฐ ที่เน้นการสร้าง

ปีท่ี 19 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 121

ความเปน็ เมอื ง เนน้ ความเจรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกจิ โครงสรา้ งกลไกใหมๆ่ ขนึ้ มา เพอื่ เพม่ิ การมสี ว่ นรว่ ม
เปน็ สำ� คญั ขาดความคำ� นงึ ถงึ วถิ ชี วี ติ ความเปน็ อยู่ ของประชาชนให้มากยิ่งข้ึน ควรมีการพัฒนากลุ่ม
ของชุมชน/ท้องถ่ิน ได้เข้ามาดูดซับเอาทรัพยากร เครือข่ายภาคประชาชน ให้มีการจัดรูปขบวน
ของท้องถิน่ ทำ� ให้ภาคประชาชนออ่ นแอ ถูกจำ� กัด เคล่ือนไหวที่หลากหลาย การสร้างพันธมิตรทาง
สิทธิ เสรีภาพ ซ่ึงส่งผลกระทบทางการเมือง ยทุ ธศาสตรท์ หี่ ลากหลาย รายกลมุ่ ควรดำ� เนนิ การ
เศรษฐกจิ และสงั คม สง่ เสรมิ การตอ่ สดู้ ว้ ยวธิ กี ารขยายสทิ ธปิ ระชาธปิ ไตย
2. ข้อเสนอแนะในการน�ำผลการวิจัย เน้นการเมืองแบบเลือกตั้งผู้แทนมาเป็นการเมือง
ไปใชป้ ระโยชน์ แบบมีส่วนร่วม ยกระดับประเด็นการต่อสู้ให้เป็น
2.1 ด้านปัจจัยที่น�ำไปสู่การก่อตัว ประเด็นของปัญหาทางสงั คมเพม่ิ ความสามารถใน
ควรส่งเสริมให้มีผู้น�ำหรือแกนน�ำท่ีมีความเด่นชัด การประเมนิ วฒั นธรรมอำ� นาจทแ่ี ฝงฝงั ในสงั คมไทย
ในการขยายผลการก่อตัว การก่อเกิด การจัดตั้ง ไดอ้ ยา่ งลกึ ซง้ึ เพอื่ สรา้ งพนื้ ทก่ี ารตอ่ สทู้ างวฒั นธรรม
ทางการเมืองภาคประชาชนในแง่ภูมิปัญญา การเมอื งให้รองรับกบั วธิ คี ิด การเคล่อื นไหวตวั ตน
เชิงประจักษ์ต่อสาธารณชน มีภาพลักษณ์ที่ได้รับ ของขบวนการของประชาชน
การยอมรบั ศรทั ธา ตลอดจนมคี ณุ ลกั ษณะของผนู้ ำ� 2.3 ดา้ นผลกระทบจากการเคลอ่ื นไหว
ที่ดี ควรมีการแสวงหาสมาชิกร่วมขบวนการท่ีมี ของกลุ่ม
ความหลากหลาย และควรมีการจัดระบบองค์กร 2.3.1 ผลกระทบภายนอก
ภาคประชาชนมรี ะบบการบรหิ ารงานในลกั ษณะเปดิ ควรมีการร่วมมือกับภาครัฐและเอกชน ก�ำหนด
สมาชกิ ทกุ คนมสี ว่ นรว่ มอยา่ งเตม็ ท่ี เปน็ ขบวนการ แผนยุทธศาสตร์ในการอนุรักษ์ทรัพยากรอย่าง
มคี วามโปร่งใส มกี ารกำ� หนดบทบาทหน้าที่ กติกา ยงั่ ยนื มกี ารกำ� หนดเปน็ วาระประชาชนและกำ� หนด
การตรวจสอบงบประมาณ เปน็ กฎเกณฑท์ ส่ี ามารถปฏบิ ตั ริ ว่ มกนั จดั สรา้ งศนู ย์
2.2 ดา้ นการเคลอื่ นไหวทางการเมอื ง การเรียนรู้ธรรมชาติ ศึกษาค้นคว้า วิจัยจากการ
ควรยกระดบั ยทุ ธศาสตรพ์ นื้ ฐานของขบวนการภาค ปฏิบัติงานจริง สร้างองค์ความรู้ และภูมิปัญญา
ประชาชนในเชิงปริมาณ การขยายเช่ือมโยงกลุ่ม จากท้องถิ่น และพัฒนาวิสาหกิจชุมชน สร้างงาน
เพื่อสร้างอ�ำนาจการต่อรองทางนโยบายการต่อสู้ สร้างรายได้ บนฐานวัฒนธรรมชุมชน เน้นการ
ทางสังคม ควรยกระดับสถานภาพสิทธิประชาชน พึ่งพาปจั จยั ภายในชุมชนเป็นสำ� คญั
สิทธิชุมชนในเชิงนโยบายทุกมิติสิทธิต่อฐาน 2.3.2 ผลกระทบภายในควรจดั
ทรัพยากร สิทธิในท่ีอยู่อาศัย สิทธิในเศรษฐกิจ ระบบบริหารจัดการภายในกลุ่มให้เป็นระบบ
สทิ ธผิ บู้ รโิ ภคแรงงาน โดยมรี ฐั ธรรมนญู เปน็ จดุ เชอ่ื ม จัดท�ำบัญชีรายรับ รายจ่ายที่ชัดเจนและมีความ
ต่อระหว่างการเมืองในระบบกับการเมืองภาค โปรง่ ใสในการดำ� เนนิ งาน ควรส่งเสรมิ รปู แบบการ
ประชาชนและระบบราชการ ควรผลักดันให้เกิด ด�ำเนินงานเน้นการมีส่วนร่วมจากประชาชน

122 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

ทุกภาคส่วน สร้างการยอมรับและพัฒนาแกนน�ำ วจิ ยั มาปรบั ปรงุ แกไ้ ข เพอ่ื ประโยชนต์ อ่ สงั คมตอ่ ไป
และสร้างทัศนคติท่ีดีของสมาชิกกลุ่มต่อการ 3.2 ควรมีการศึกษาเปรียบเทียบถึง
อนุรกั ษท์ รพั ยากรธรรมชาติและส่งิ แวดล้อม ประเดน็ การกอ่ ตวั และรปู แบบการเคลอ่ื นไหวของ
3. ข้อเสนอแนะในการวิจัยครง้ั ต่อไป ประชนกลุ่มเครือข่ายการอนุรักษ์และฟื้นฟู
3.1 ควรมกี ารศกึ ษาถงึ การกอ่ ตวั ของ ทรัพยากรและส่ิงแวดล้อมในชุมชนแต่ละชุมชน
ภาคประชาชนในจังหวัดหรืออ�ำเภอท่ีใกล้เคียงว่า เพ่ือหาแนวทางท่ีอาจน�ำไปสู่การพัฒนาประชาคม
จะไดผ้ ลการวจิ ยั เชน่ เดยี วกนั หรอื ไม่ เพอ่ื นำ� ผลการ ในชุมชนไดอ้ ย่างยง่ั ยืน

References

Charoensin-o-larn, C. (1995). New Politics New Social Movement and the New Development
Discourse. Thammasat Journal, 21(1), 76-119.

Lertchusakul, K. (2003). Look and Face World Social Forum Same Sky 1,2 (April-June).
Phongphaijit, P. (2002). Way of Life, How to Fight the Contemporary People Movement.

Chiang Mai : Kanghan Publishing.
Phramaha Thainoi Yanamethi (Salangsing), Arunyawas, S. and Panthachai, S. (2018). Policy

and Mechanism of Community Forest Management of the People and Local
Administration in the Northeast. Dhammathas Academic Journal, 18(2), 81-98
Pintokaeng, P. (1997). The Politics of Environmental Folklore Movement in Thai Society.
Political Science. Graduate School : Chulalongkorn University.
Ramitanon, C. (2003). NGOs in a Democratic Social Movement. Siamrat Weekly Review,
49, 35 (24 - 30 January 2003).
Santisombat, Y. (2000). State, Community and Resource Management Policy: Knowledge
Survey Department of Sociology and Anthropology Faculty of Social Sciences.
Chiang Mai : Chiang Mai University.
Supawong, C. (1997). Development Concepts and Considerations about Thai Civil Society,
Civil Society Views Thinkers in Thai Society (Editor). Bangkok : Matichon.
Thipwong, P. (2009). Coordinator for the People Conservation and Rehabilitation Group,
Phu Tham PhuKrata Prida Naree Kham 668/24, Nai Mueang Subdistrict, Mueang
KhonKaen District, Khon Kaen Province.

กลยุทธก์ ารตลาดของธรุ กิจท่องเทย่ี วเชงิ ส่งเสริมสุขภาพ
ในภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ของประเทศไทย*

Marketing Strategy of Health-Promotional Tourism Business
in the Northeast of Thailand

ปิยธดิ า ศรีพล, รชั ดา ภักดียิง่ และวรวชิ โกวิทยากร
Piyathida Sripol, Ratchada Phakdeeying and Vorawit Kowithayakorn

มหาวิทยาลัยภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื
North Eastern University, Thailand
Corresponding Author, E-mail: [email protected]

บทคดั ย่อ

การวจิ ยั เรอ่ื งกลยทุ ธก์ ารตลาดของธรุ กจิ ทอ่ งเทย่ี วเชงิ สง่ เสรมิ สขุ ภาพในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื
ของประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพท่ัวไปของธุรกิจท่องเท่ียวเชิงส่งเสริมสุขภาพ วิเคราะห์
ปัจจัยท่ีมีผลต่อการด�ำเนินงานด้านการตลาด และก�ำหนดกลยุทธ์การตลาดของธุรกิจท่องเท่ียวเชิงส่ง
เสรมิ สขุ ภาพในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ของประเทศไทย ประชากรทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั ครงั้ นี้ คอื ผปู้ ระกอบการ
ธรุ กจิ ทอ่ งเทยี่ วเชงิ สง่ เสรมิ สขุ ภาพทผ่ี า่ นเกณฑม์ าตรฐานในเขตภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ของประเทศไทย
จำ� นวน 213 คน ใชว้ ธิ กี ารสมุ่ ตวั อยา่ งอยา่ งงา่ ยดว้ ยวธิ กี ารจบั สลาก ไดก้ ลมุ่ ตวั อยา่ ง 139 คน ตวั อยา่ งเครอ่ื งมอื
ใชแ้ บบสอบถาม สถติ ทิ ใี่ ช้ในการวเิ คราะห์ข้อมลู คอื สถติ ิเชิงพรรณนา ประกอบดว้ ย คา่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย
ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้วิธีวิเคราะห์ปัจจยั (Factor Analysis)
ผลการวจิ ยั พบวา่ ปจั จยั ทมี่ ผี ลตอ่ การดำ� เนนิ งานดา้ นการตลาดมที งั้ สน้ิ 10 ปจั จยั สามารถกำ� หนด
เปน็ กลยทุ ธก์ ารตลาดไดใ้ นรปู แบบ “7-P 3-C Wellness Tourism Model” ดงั นี้ 1) กลยทุ ธด์ า้ นผลติ ภณั ฑ์
และบ�ำรุงรักษา (Product and Maintain) 2) กลยุทธ์ด้านสถานที่และการจัดการ (Physical and
Management) 3) กลยุทธ์ด้านราคาและความคุ้มค่า (Price and Worthiness) 4) กลยุทธ์ด้านการ
สง่ เสรมิ การตลาด (Promotion) 5) กลยทุ ธด์ า้ นบคุ ลากร (Personnel) 6) กลยทุ ธด์ า้ นพนั ธมติ ร (Partnership)
7) กลยุทธ์ดา้ นการน�ำเสนอ (Presentation) 8) กลยทุ ธด์ ้านผ้ใู ห้ปรึกษา (Consultant) 9) กลยทุ ธด์ ้าน

* ได้รบั บทความ: 6 กมุ ภาพนั ธ์ 2561; แก้ไขบทความ: 4 กมุ ภาพนั ธ์ 2562; ตอบรับตพี ิมพ์: 14 กุมภาพันธ์ 2562
Received: February 6, 2018; Revised: February 4, 2019; Accepted: February 14, 2019

124 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

การชำ� ระเงิน (Convenient Payments) 10) กลยุทธด์ ้านความระมดั ระวงั (Carefulness)
คำ� ส�ำคญั : กลยทุ ธ์การตลาด; ทอ่ งเที่ยวเชงิ ส่งเสริมสุขภาพ

Abstract

The research on marketing strategy of health-promotional tourism business in the
Northeast of Thailand aimed to study the general conditions of health-promotional tourism
business, to analyze factors affecting the marketing implementation, and formulate marketing
strategies for the health-promotional tourism business in the Northeast of Thailand.
The population was 213 standardized health-promotional tourism business entrepreneurs
in the Northeast of Thailand. The Simple Purposive Sampling method was used to select
a sample group of 139 entrepreneurs. The statistics used for the analysis was descriptive
statistics which consisted of percentage, means, standard deviation and factor analysis.
The research results were found that: 10 factors affecting the marketing
implementation which hence formed as the marketing strategy in the form of “7-P 3-C
Wellness Tourism Model” : 1) product and maintaining strategy, 2) physical and management
strategy, 3) price and worthiness strategy, 4) promotion strategy, 5)personnel strategy,
6) partnership strategy, 7) presentation Strategy, 8) consultant strategy, 9) convenient
payments strategy, and 10) carefulness strategy.
Keywords: Marketing Strategy; Health-Promotional Tourism

1. บทนำ� ท่องเทีย่ วโลก (World Tourism Organization :
UNWTO) คาดการณ์เอาไว้ว่าน่าจะมีจ�ำนวน
จากสถานการณ์ระดับโลกการท่องเที่ยว นักท่องเท่ียวที่ท�ำการเดินทางระหว่างประเทศทั่ว
มีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเน่ือง ถึงแม้ว่า โลก รวมทง้ั สน้ิ ประมาณ 900-920 ลา้ นคน เพม่ิ ขน้ึ
สถานการณ์ความไม่แน่นอนที่มาจากผู้ก่อการร้าย รอ้ ยละ 3-4 และกอ่ ใหเ้ กดิ รายไดด้ า้ นการทอ่ งเทย่ี ว
ภยั ธรรมชาติ โรคระบาด และการปรบั ตวั ของราคา ทว่ั โลกประมาณ 870-880 พนั ลา้ นดอลลารส์ หรฐั ฯ
น้�ำมันท่ีเพ่ิมสูงขึ้น และด้วยความไม่แน่นอน โดยมีประเทศจีนเป็นกลไกส�ำคัญในการผลักดัน
ทั้งในทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจของหลายๆ การฟื้นตัวของการท่องเท่ียวโลก องค์การการ
ประเทศทั่วโลกน้ัน ซึ่งได้เป็นปัจจัยด้านลบแต่ ท่องเที่ยวโลกประมาณการวา่ ภายในปี พ.ศ. 2563
ลักษณะของแนวโน้มจ�ำนวนนักท่องเท่ียวจาก จะมจี ำ� นวนนักท่องเทยี่ วถงึ 1,561 ลา้ นคนโดยท่ีมี
ท่ัวโลกยังได้เพิ่มขึ้นๆ อย่างต่อเนื่อง องค์การการ

ปที ี่ 19 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 125

อัตราการเติบโตของจ�ำนวนนักท่องเที่ยวเฉลี่ย สขุ ภาพ การนวดเพื่อสขุ ภาพ สว่ นใหญ่เปน็ กิจการ
ร้อยละ 4.1 ต่อไป (Ministry of Tourism and ขนาดเลก็ ทม่ี ขี อ้ จำ� กดั ในการดำ� เนนิ กจิ การ ซง่ึ ภาครฐั
Sports, 2012) สถานการณ์การท่องเที่ยวโลก ได้มีการส่งเสริมการท่องเท่ียวเชิงสุขภาพ โดยให้
ปี 2560 เตบิ โตรอ้ ยละ 3-4 ใกลเ้ คยี งกบั การเตบิ โต ความส�ำคัญต่อการส่งเสริมและสนับสนุนการ
ของปี 2559 ส�ำหรับประเทศไทย ต้นปี 2560 ท่องเท่ียวเชิงสุขภาพในระดับต่างๆ เช่น ระดับ
มีจ�ำนวนนักท่องเท่ียวชาวต่างชาติ จ�ำนวน 9.07 ประเทศมีการจัดยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ
ล้านคน ขยายตัวรอ้ ยละ 0.41 เทียบจากช่วงเวลา ไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ ปี 2559-
เดยี วกนั ของปที ผ่ี า่ นมา สรา้ งรายได้ 4.72 แสนลา้ น 2568 ส�ำหรับระดับกระทรวงในยุทธศาสตร์การ
บาท ในขณะทจี่ ำ� นวนนกั ทอ่ งเทยี่ วภายในประเทศ ท่องเที่ยว ปี 2558-2560 ได้มุ่งสู่การเป็นหนึ่งใน
เพ่ิมข้ึนมาร้อยละ 5.43 ก่อให้เกิดรายได้จากการ การเปน็ ผู้นำ� การทอ่ งเท่ยี วสุขภาพของภมู ิภาค
ท่องเท่ียวภายในประเทศ 231 แสนล้านบาท ฉะนั้นความส�ำคัญธุรกิจบริการส่งเสริม
(Tourism Economic Review, 2017) สถานการณ์ สุขภาพ นับเป็นอีกหน่ึงธุรกิจท่ีสร้างรายได้เข้าสู่
การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในตลาดโลกมีมูลค่า ประเทศไทยอย่างมหาศาลควบคู่กับอุตสาหกรรม
ประมาณ 1,604 พันล้านบาท ประเทศไทยมสี ่วน การทอ่ งเทยี่ ว เพอ่ื เพม่ิ ศกั ยภาพของผใู้ หบ้ รกิ ารหรอื
แบ่งการตลาดประมาณ 285 พันล้านบาทสูงเป็น ผปู้ ระกอบการ
อันดับที่ 13 ของโลก ส�ำหรับรูปแบบของการ
ทอ่ งเทย่ี วเชงิ สขุ ภาพ (Health Tourism) แบง่ ออก 2. วัตถุประสงคข์ องการวิจยั
เป็น 2 ส่วน ได้แก่ การท่องเที่ยวเชิงส่งเสริมการ
แพทย์ (Medical Tourism) การท่องเทย่ี วเชงิ สง่ 1. เพ่ือศึกษาสภาพท่ัวไปของธุรกิจ
เสริมสุขภาพ(Wellness Tourism) เป็นการใช้ ทอ่ งเทย่ี วเชงิ สง่ เสรมิ สขุ ภาพในภาคตะวนั ออกเฉยี ง
บริการเชิงสุขภาพเพื่อฟื้นฟูและบ�ำรุงสุขภาพ เหนือของประเทศไทย
(Tourism Economic Review, 2016) ซ่ึงการ 2. วิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อการด�ำเนิน
ทอ่ งเทย่ี วเชงิ สขุ ภาพการแพทยโ์ ตกวา่ การทอ่ งเทย่ี ว ง า น ด ้ า น ก า ร ต ล า ด ข อ ง ธุ ร กิ จ ท ่ อ ง เ ที่ ย ว เ ชิ ง
เชิงสง่ เสรมิ สขุ ภาพถงึ 4 เทา่ เน่อื งจากผปู้ ระกอบ ส่งเสริมสุขภาพในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
การด้านการแพทย์ของไทยน้ัน ส่วนใหญ่เป็น 3. ก�ำหนดกลยุทธ์การตลาดของธุรกิจ
โรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ท่ีมีก�ำลังเงินทุน ท่องเท่ียวเชิงส่งเสริมสุขภาพในภาคตะวันออก
มีความสามารถในการบริหารจัดการมีมาตรฐาน เฉยี งเหนือของประเทศไทย
การบรกิ ารทส่ี งู จงึ มศี กั ยภาพในการสรา้ งรายไดท้ ด่ี ี
โดยไม่ต้องพึ่งพาภาครัฐมากนัก ขณะท่ีผู้ประกอบ 3. วิธดี �ำเนนิ การวจิ ยั
การเชิงส่งเสริมสุขภาพให้บริการการท�ำสปาเพื่อ
ประชากรทใี่ ชใ้ นการศึกษาคอื ผูป้ ระกอบ
การธรุ กจิ สปาทผ่ี า่ นการตรวจมาตรฐานสปาในภาค

126 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ของประเทศไทย จำ� นวน 213 รอ้ ยละ 23.0 ระหวา่ ง 7-9 ปี และ มากกวา่ 12 ปี
คน (The Office of Health Business Promotion, รอ้ ยละ 17.3 และระหวา่ ง 10-12 ปี รอ้ ยละ 13.6
2016) ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างอย่างง่ายด้วยวิธีการ ตามลำ� ดบั
จบั สลาก โดยคำ� นวณจากสตู รของ Taro Yamane ข้อมูลทั่วไปของธุรกิจเชิงส่งเสริมสุขภาพ
ทรี่ ะดบั ความเชื่อมนั่ 95% จะไดก้ ลุ่มตวั อย่างทใี่ ช้ ส่วนใหญ่ ลักษณะการจดทะเบยี น เป็นแบบบคุ คล
ในการวิจัย 139 คน ตัวอย่างเครอ่ื งมือทใ่ี ช้ในการ ธรรมดา รอ้ ยละ 54.7 รองลงมา เปน็ แบบห้างหนุ้
วิจัยใช้เป็นแบบสอบถามท่ีตรวจสอบความตรง ส่วนจำ� กดั ร้อยละ 37.4 ระยะเวลาในการดำ� เนนิ
(Validity) ของเคร่ืองมือและน�ำข้อมูลไปค�ำนวณ ธุรกิจ ระหว่าง 4-6 ปี ร้อยละ 39.6 รองลงมา
หาค่าสัมประสิทธ์ิความเที่ยงหรือความเช่ือมั่นของ ตำ�่ กวา่ หรือเทา่ กับ 3 ปี รอ้ ยละ 39.6 ทนุ ในการ
เครื่องมือชุดนี้ ได้ค่าสัมประสิทธ์ิความเท่ียงแบบ จดทะเบยี นของธรุ กจิ ตำ่� กวา่ หรอื เทา่ กบั 1 ลา้ นบาท
อัลฟา่ (Alpha-reliability Coefficient) ท้ังฉบบั ร้อยละ 46.8 รองลงมา ระหว่าง 2-5 ล้านบาท
เป็น 0.94 ร้อยละ 34.5 การด�ำเนินธุรกิจมีการก�ำหนด
เปา้ หมายในการเพม่ิ รายไดใ้ นแตล่ ะปเี พอื่ การเจรญิ
4. สรุปผลการวจิ ัย เติบโต 1-5% ร้อยละ 33.1 รองลงมา 6-10%
ร้อยละ 30.9 การท่องเท่ียวแห่งประเทศไทย
1. ผลวิเคราะห์ตามวตั ถปุ ระสงคข์ ้อที่ 1 ได้จัดงาน Road show ท่ีเก่ียวกับการส่งเสริม/
ศึกษาสภาพทั่วไปของธุรกิจท่องเท่ียวเชิงส่งเสริม ประชาสมั พนั ธ์การทอ่ งเท่ียว มผี ู้ประกอบการเคย
สขุ ภาพในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ของประเทศไทย เข้าร่วม ร้อยละ 40.3 ผู้ประกอบได้ท�ำสัญญา
ผตู้ อบแบบสอบถามสว่ นใหญเ่ ปน็ เพศหญงิ รอ้ ยละ รว่ มมอื กบั บรษิ ทั นำ� เทยี่ ว/สมาคม เพยี งรอ้ ยละ 24.5
52.5 เพศชาย รอ้ ยละ 47.5 อายุ อยรู่ ะหวา่ ง 35-44 2. ผลวเิ คราะหต์ ามวตั ถุประสงค์ข้อท่ี 2
ปี และ 45-54 ปี รอ้ ยละ 30.9 รองลงมา 25-34 ปี วิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อการด�ำเนินงานทางการ
รอ้ ยละ 20.9 สถานภาพ โดยสว่ นใหญส่ มรส รอ้ ยละ ตลาดของธรุ กจิ ทอ่ งเทยี่ วเชงิ สง่ เสรมิ สขุ ภาพในภาค
64.0 รองลงมา โสดและหม้าย/หย่า/แยกกันอยู่ ตะวนั ออกเฉียงเหนือ ระดับความคิดเหน็ ตอ่ ปจั จยั
รอ้ ยละ 23.8 และ12.2 ตามลำ� ดบั สว่ นใหญร่ ายได้ ภายในของธรุ กจิ สง่ เสรมิ สขุ ภาพโดยภาพรวมความ
ตอ่ เดอื น อยรู่ ะหวา่ ง 30,001-40,000 บาท รอ้ ยละ คิดเห็นอยู่ในระดับมาก โดยค่าเฉล่ียเท่ากับ 3.74
58.3 รองลงมา 20,001-30,000 บาท รอ้ ยละ 17.3 ปัจจัยภายนอกที่มีผลกระทบต่อธุรกิจส่งเสริม
ต�่ำกว่า 20,000 บาท ร้อยละ 11.5 อยู่ระหว่าง สุขภาพโดยภาพรวมความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก
40,001-50,000บาท ร้อยละ 10.8 มากกว่า โดยคา่ เฉล่ียเทา่ กับ 3.83
50,001 บาท ร้อยละ 2.1 ประสบการณ์ในการ ส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อการ
ประกอบกิจการธุรกิจส่งเสริมสุขภาพ อยู่ระหว่าง ดำ� เนินงานธรุ กิจส่งเสรมิ เชงิ สุขภาพ โดยรวมอย่ใู น
4-6 ปี รอ้ ยละ 28.8 รองลงมา ต่ำ� กวา่ เท่ากบั 3 ปี

ปที ี่ 19 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 127

ระดบั มาก โดยคา่ เฉลย่ี เท่ากบั 3.86 โดยพิจารณา Analysis (PCA) และใช้เทคนิควิธีการหมุนแกน
ค่าเฉล่ียพบว่า ด้านส่ิงแวดล้อมทางกายภาพ แบบ Varimax Orthogonal Rotation สามารถ
มคี า่ เฉลยี่ เทา่ กบั 3.97 รองลงมา ดา้ นกระบวนการ สกัดได้ทั้งหมด10 ปัจจัย โดยมีค่าน�้ำหนักองค์
มีค่าเฉล่ียเท่ากับ3.94 ด้านราคา มีค่าเฉล่ีย ประกอบระหวา่ ง .528 - .855 ดังนี้ 1) ปจั จัยด้าน
เทา่ กบั 3.93 ดา้ นผลติ ภณั ฑ์ มคี า่ เฉลยี่ เทา่ กบั 3.90 ผลิตภัณฑ์และบ�ำรุงรักษา (Product and
ดา้ นชอ่ งทางการจดั จำ� หนา่ ย ดา้ นบคุ ลากรและดา้ น Maintain) 2) ปัจจัยด้านสถานที่และการจัดการ
การสง่ เสรมิ การตลาด มคี า่ เฉลย่ี เทา่ กบั 3.83, 3.82 (Physical and Management) 3) ปัจจัยด้าน
และ 3.62 ตามล�ำดับ ราคาและความคุ้มค่า (Price and worthiness)
การดำ� เนนิ งานตามมาตรฐานธรุ กจิ สง่ เสรมิ 4) ปจั จยั ด้านการส่งเสริมการตลาด (Promotion)
สุขภาพสปา โดยรวมอย่ใู นระดบั มาก โดยคา่ เฉล่ีย 5) ปจั จยั ดา้ นบคุ ลากร (Personnel) 6) ปจั จยั ดา้ น
เทา่ กบั 3.94 โดยพิจารณาคา่ เฉล่ียพบว่า ดา้ นการ ผู้ให้ค�ำปรึกษา (Consultant) 7) ปัจจัยด้าน
บริหารการจัดการองค์กร มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.99 พนั ธมติ ร (Partnership) 8) ปจั จยั ดา้ นการนำ� เสนอ
รองลงมา ด้านสถานที่ และสิง่ แวดลอ้ ม มคี า่ เฉลยี่ (Presentation) 9) ปัจจัยด้านการช�ำระเงิน
เท่ากับ 3.94 ด้านการบริการ มีค่าเฉล่ียเท่ากับ (Convenient Payments) 10) ปจั จัยด้านความ
3.93 ด้านผลิตภัณฑ์เครื่องมือและอุปกรณ์มีค่า ระมดั ระวัง (Carefulness)
เฉลี่ยเท่ากับ 3.90 และด้านบุคลากร มีค่าเฉลี่ย 3. ผลวิเคราะห์ตามวตั ถปุ ระสงค์ข้อท่ี 3
เทา่ กับ 3.88 ก�ำหนดกลยุทธ์การตลาดของธุรกิจท่องเที่ยวเชิง
การวิเคราะห์ปัจจัยด้านการตลาด ส่งเสริมสุขภาพในภาคตะวันออกเฉียงเหนือใน
ซ่ึงประกอบด้วยส่วนประสมทางการตลาดและ ประเทศไทย จากการศึกษาวิจัยโดยการวิเคราะห์
มาตรฐานธุรกิจส่งเสริมสุขภาพสปา โดยท�ำการ ข้อมูลเพื่อก�ำหนดปัจจัยที่ส�ำคัญในคร้ังน้ี ผู้วิจัยได้
ตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรได้ค่า นำ� ผลการวเิ คราะหป์ จั จยั สว่ นประสมทางการตลาด
Kaiser-Meyer-Olkin Measure of Sampling และมาตรฐานธุรกิจส่งเสริมสุขภาพ จากมุมมอง
Adequacy: KMO เทา่ กับ .840 ซงึ่ มากกว่า .50 ของผู้ประกอบการ มาท�ำการการบูรณาการและ
ตามเกณฑ์ค่าที่ Hair (2006) ได้กล่าวไว้และค่า สังเคราะห์เป็นร่างกลยุทธ์การตลาดของธุรกิจ
Bartlett’s Test of Sphericity = 3148.479, ท่องเที่ยวเชิงส่งเสริมสุขภาพในภาคตะวันออก
df = 946, Sig = .000 มนี ัยส�ำคญั ทางสถติ ริ ะดับ เฉียงเหนือในประเทศไทย และด�ำเนินการเพื่อ
.001 จึงมีความเหมาะสมส�ำหรับน�ำมาวิเคราะห์ ตรวจสอบและยืนยันผลการสัมภาษณ์เชิงลึกและ
องค์ประกอบได้ โดยใช้การวิเคราะห์ปัจจัย สนทนากลุ่ม (Focus Group) กับกล่มุ ผปู้ ระกอบ
เชิงส�ำรวจ (Exploratory Factor Analysis) การผู้เช่ียวชาญด้านกลยุทธ์และนักวิชาการหน่วย
โดยวิธีสกัดปัจจัยแบบ Principle Component งานที่เกี่ยวข้องและได้ท�ำการสรุปผลกลยุทธ์การ

128 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

ตลาดของธรุ กจิ ทอ่ งเทยี่ วเชงิ สง่ เสรมิ สขุ ภาพในภาค “7-P 3-C Wellness TourismModel” ตาม
ตะวันออกเฉียงเหนือในประเทศไทย คือ รูปแบบ รูปภาพท่ี 1

ภาพที่ 1 รปู แบบกลยทุ ธก์ ารตลาดของธรุ กจิ ทอ่ งเทยี่ วเชงิ สง่ เสรมิ สขุ ภาพในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ของ
ประเทศไทยในรปู แบบ 7-P 3-C Wellness Tourism Model

5. อภปิ รายผลการวจิ ัย มาตรฐาน พรอ้ มจดั ใหม้ โี ปรแกรมใหบ้ รกิ ารทห่ี ลาก
หลายรูปแบบครบวงจร ซ่ึงเป็นที่นิยมตามความ
กลยุทธ์การตลาดของธุรกิจท่องเที่ยวเชิง ต้องการของผู้ใช้บริการจะเห็นได้ว่ามีความสอด
ส่งเสริมสุขภาพในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของ คล้องกับศัชชญาส์ ดวงจันทร์ และนริศา ค�ำแก่น
ประเทศไทยในรปู แบบ 7-P 3-C Wellness Tourism (Duangchant and Kamkaen, 2015 : 27-46)
Model ซง่ึ มรี ายละเอยี ดประกอบไปดว้ ยสว่ นตา่ งๆ ได้ศึกษาความคาดหวังต่อการเลือกใช้บริการสปา
ดังน้ี เพอื่ สขุ ภาพและความงาม พบวา่ ผใู้ ชบ้ รกิ ารมคี วาม
1. กลยทุ ธด์ า้ นผลติ ภณั ฑแ์ ละบำ� รงุ รกั ษา ต้องการผลิตภัณฑ์และการให้บริการหลากหลาย
(Product and Maintain) ผู้ประกอบการควรมี รปู แบบเพอื่ ตอ้ งการความสวยงามซงึ่ เปน็ ทน่ี ยิ มใน
การพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการพร้อมกับการ การดูแลสุขภาพร่างกายและมีความสอดคล้องกับ
ดูแลรักษา ไม่ว่าจะเป็นการรักษาความสะอาดใน ยศวดี แขวัฒนะ (Kaevatana, 2015 : 174-184)
ส่วนของเคร่ืองมืออุปกรณ์อย่างสม�่ำเสมอตาม

ปีท่ี 19 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 129

ศกึ ษาการพฒั นาธรุ กจิ สปาไทยสคู่ วามยงั่ ยนื : วธิ กี าร 3. กลยุทธ์ด้านราคาและความคุ้มค่า
ทางจติ วทิ ยาบรกิ าร พบว่า ด้านผลิตภณั ฑ์บรกิ าร (Price and Worthiness) นับเป็นปจั จยั ท่สี ำ� คญั
(Service Product) ธรุ กจิ สปาควรทจี่ ะมสี นิ คา้ และ ของงานการบริการและเป็นจุดแข็งที่เป็นหัวใจ
บริการที่สามารถตอบสนองความต้องการของ เพอ่ื ความไดเ้ ปรยี บกบั คแู่ ขง่ ขนั ราคามคี วามคมุ้ คา่
ผบู้ รโิ ภคไดด้ ี รวมทง้ั รชั ดา ภกั ดยี งิ่ (Phakdeeying, เหมาะสมกับบริการท่ีเลือกใช้เมื่อเทียบกับ
2012) ศึกษากลยุทธ์การจัดการการตลาดแบบ ผปู้ ระกอบการอนื่ ๆ และมกี ารแสดงราคาคา่ บรกิ าร
บรู ณาการเพอื่ สรา้ งความไดเ้ ปรยี บทางการแขง่ ขนั ท่ชี ดั เจน ซึ่งเปน็ สิ่งทส่ี ามารถสรา้ งความยึดเหนี่ยว
ของผปู้ ระกอบการธรุ กจิ นำ� เทย่ี วในภาคตะวนั ออก ลูกค้าให้เหนียวแน่น เพราะเร่ืองของราคาและ
เฉียงเหนือ พบว่า ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ถือว่าเป็น บรกิ ารเปน็ สงิ่ ทล่ี กู คา้ นำ� เอาไปตดั สนิ ใจในการเลอื ก
ปจั จยั สำ� คญั ในการกำ� หนดสนิ คา้ หรอื บรกิ ารใหต้ รง ใช้บริการว่ามีความเหมาะสมระหว่างราคากับ
กับความต้องการของลูกค้าให้มากที่สุด โดยเริ่ม บริการหรือไม่ จะเห็นได้ว่ามีความสอดคล้องกับ
ตง้ั แตก่ ารสรา้ งภาพลกั ษณข์ ององคก์ รใหเ้ ปน็ ทรี่ จู้ กั วรติยา รอดสม (Rodsom, 2015) ไดศ้ ึกษาส่วน
เน้นการบริการสินค้าที่มีความแตกต่างและมี ประสมการตลาดบริการท่ีมีผลต่อนักท่องเที่ยว
คุณภาพแกท่ ุกกลุ่มบรกิ าร ชาวจีนในการเลือกสถานบริการสปาเพ่ือสุขภาพ
2. กลยุทธ์ด้านสถานที่และการจัดการ ในอ�ำเภอเมืองเชียงใหม่ พบว่า ควรมีการก�ำหนด
(Physical and Management) นับได้ว่าเป็น อัตราการค่าบริการไว้เหมาะสมกับคุณค่าและ
ปจั จยั ตน้ ๆทค่ี วรใหค้ วามสำ� คญั เพอื่ ใหผ้ รู้ บั บรกิ าร คณุ ภาพการบริการท่ลี กู ค้าไดร้ ับ
ได้ประทับใจในสภาพแวดล้อม เน่ืองจากสปา 4. กลยุทธ์ด้านการส่งเสริมการตลาด
เพื่อสุขภาพผู้รับบริการจะต้องรับบริการครบทั้ง (Promotion) โดยใช้การให้ส่วนลด (Discount)
5 มติ คิ อื รปู รส กลน่ิ เสยี ง และสมั ผสั มกี ารตกแตง่ เขา้ มาเปน็ กลยทุ ธเ์ สรมิ จากกลยทุ ธร์ าคาและความ
ส ถ า น ท่ี มี เ อ ก ลั ก ษ ณ ์ ถู ก ต ้ อ ง เ ห ม า ะ ส ม แ ล ะ คมุ้ คา่ (Price and Worthiness) เพราะเปน็ กลยทุ ธ์
สอดคล้องกับวัฒนธรรมไทย สถานท่ีต้อนรับแยก อาจจะไม่มีกรอบหรือกรอบก็ได้ เช่น กลยุทธ์การ
ออกจากส่วนท่ีให้บริการอย่างชัดเจนมีการจัด ซื้อล่วงหน้า เข้ามาใช้โดยการให้ส่วนลดแก่ลูกค้า
แสงสว่างอย่างเหมาะสม เพียงพอตามบริเวณให้ ที่ขอซื้อการให้บริการแบบล่วงหน้าตามก�ำหนด
บริการจะเห็นได้ว่า มีความสอดคล้องกบั ศชั ชญาส์ เวลาทผ่ี ใู้ หบ้ รกิ ารกำ� หนด ซง่ึ ถา้ เปน็ ลกั ษณะแบบนี้
ดวงจนั ทร์ และนรศิ า คำ� แกน่ (Duangchant and ผู้ประกอบการยังสามารถท�ำการวางแผนงานของ
Kamkaen, 2015 : 27-46) ไดศ้ กึ ษาความคาดหวงั การให้บริการตามที่ลูกค้าต้องการได้เหมาะสม
ตอ่ การเลอื กใชบ้ รกิ ารสปาเพอื่ สขุ ภาพและความงาม ครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ ซึ่งยังเป็นการ
พบวา่ ปจั จัยดา้ นสถานท่ีใชบ้ ริการควรมกี ารจดั ให้ สนบั สนนุ กลยทุ ธบ์ คุ ลากร (Personnel) อกี ทางดว้ ย
เปน็ สัดส่วนให้มคี วามสวยงาม และลกู คา้ ยงั สามารถสะสมการมาใชบ้ รกิ าร เพอ่ื ให้

130 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

ลูกคา้ ไดร้ บั ส่วนลดเพ่ิมเตมิ ซึ่งถอื ได้ว่าเป็นอกี แรง ประกอบอาชีพเพื่อสร้างความเช่ือม่ันให้กับผู้ใช้
จงู ใจใหก้ บั ลกู คา้ อกี ดว้ ย ซง่ึ ตอ้ งใชก้ ารประชาสมั พนั ธ์ บรกิ าร
ในชอ่ งทางตา่ งๆ มาเปน็ ตวั ชว่ ย เชน่ สอื่ อนิ เตอรเ์ นต็ 6. กลยทุ ธด์ า้ นพันธมิตร (Partnership)
เปน็ สอ่ื ทร่ี วดเร็วและมีคุณภาพ ซงึ่ เปน็ อีกหนึ่งชอ่ ง เปน็ การเอาบรกิ ารสง่ เสรมิ สขุ ภาพไปเหมารวมเพอื่
ทางท่ีใชก้ ันมาก เพราะให้ขอ้ มลู และสร้างการรบั รู้ เป็นส่วนหน่ึงในการให้บริการของหน่วยงานอ่ืนๆ
ข่าวสารได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวางมากยิ่งขึ้น ที่เกี่ยวข้องเช่น การใช้บริการสปารวมอยู่กับแพ็ค
จะเห็นได้ว่า มีความสอดคล้องกับศัชชญาส์ เกจ็ การทอ่ งเทยี่ ว ซง่ึ จะตอ้ งอาศยั ความรว่ มมอื จาก
ดวงจันทร์ และนริศา คำ� แกน่ (Duangchant and หนว่ ยงานนนั้ ๆ เชน่ บรษิ ทั นำ� เทยี่ ว เปน็ ตน้ โดยจะ
Kamkaen, 2015 : 27-46) ไดศ้ กึ ษาความคาดหวงั ต้องอาศัยความร่วมมือหรือความช่วยเหลือจาก
ตอ่ การเลอื กใชบ้ รกิ ารสปาเพอื่ สขุ ภาพและความงาม เอเยนซี่เป็นสื่อกลางในการประสานงานนอกจาก
พบว่า ผู้ประกอบการควรมีการโฆษณาทางส่ือ ใช้ความร่วมมือจากหน่วยงานอ่ืนๆ แล้ว ยงั ต้องนำ�
หลากหลาย เชน่ เอกสาร วทิ ยุ สงิ่ พมิ พท์ างเวบ็ ไซต์ เอากลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด (Promotion)
มเี อกสารคมู่ อื แนะนำ� เกยี่ วกบั การบรกิ ารสปามกี าร มาช่วยเสริมกลยุทธ์ด้านพันธมิตรจะเห็นได้ว่ามี
ใหส้ ่วนลดตามระยะเวลาในการบรกิ าร ความสอดคล้องกบั ยศวดี แขวัฒนะ (Kaevatana,
5. กลยุทธ์ด้านบุคลากร (Personnel) 2015 : 174-184) ศกึ ษาการพัฒนาธุรกจิ สปาไทย
นบั เปน็ ทรพั ยากรมนษุ ยท์ สี่ ำ� คญั ยงิ่ ในการประกอบ สู่ความยั่งยืน: วิธีการทางจิตวิทยาบริการ พบว่า
กจิ การ เพราะเปน็ ตวั สำ� คญั ชว่ ยขบั เคลอ่ื นใหธ้ รุ กจิ ควรสรา้ งเครอื ขา่ ยพนั ธมติ รทางธรุ กจิ ทง้ั ผปู้ ระกอบ
ประสบความส�ำเร็จตามท่ีธุรกิจได้ต้ังเป้าหมายไว้ การสปาดว้ ยกนั เองและผปู้ ระกอบธรุ กจิ ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง
ดงั นนั้ ผปู้ ระกอบการควรใหค้ วามสำ� คญั แกบ่ คุ ลากร กันเพ่ือเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกันและ
หรอื พนกั งานใหก้ จิ การใหเ้ พยี งพอและควรวางแผน เปน็ การขยายฐานรบั บรกิ ารอย่างยั่งยืน
ดา้ นการบรหิ ารงานบคุ คล และองคก์ รใหเ้ หมาะสม 7. กลยทุ ธด์ า้ นการนำ� เสนอ(Presentation)
มรี ะบบการพฒั นาบคุ ลากรฝกึ อบรมทไี่ ดม้ าตรฐาน ผู้ประกอบการควรมีบริการด้านอาหารเครื่องด่ืม
และการวัดประเมินผลการปฏิบัติการสม�่ำเสมอ เพอื่ สขุ ภาพ มตี ลู้ อ็ คเกอรห์ รอื ตเู้ ซฟใหล้ กู คา้ จดั เกบ็
และตรงตามเกณฑ์มาตรฐานสปาที่สาธารณสุข ทรพั ยส์ ิน จะเห็นไดว้ า่ มีความสอดคลอ้ งกบั วรตยิ า
ได้ก�ำหนดไว้ จะเห็นได้ว่ามีความสอดคล้องกับ รอดสม (Rodsom, 2015) ได้ศึกษาส่วนประสม
ศชั ชญาส์ ดวงจนั ทร์ และนรศิ า คำ� แกน่ (Duangchant การตลาดบริการท่ีมีผลต่อนักท่องเท่ียวชาวจีน
and Kamkaen, 2015 : 27-46) ไดศ้ กึ ษาความ ในการเลอื กสถานบรกิ ารสปาเพอื่ สขุ ภาพ ในอำ� เภอ
คาดหวงั ตอ่ การเลอื กใชบ้ รกิ ารสปาเพอ่ื สขุ ภาพและ เมืองเชียงใหม่ พบว่า ด้านภาพลักษณ์และการ
ความงาม พบวา่ ผปู้ ระกอบการควรพฒั นาบคุ ลากร นำ� เสนอ สถานประกอบการตอ้ งมกี ารแบง่ พน้ื ทใี่ น
ให้มีความรู้และความช�ำนาญให้มีมาตรฐานในการ การบริการเป็นสัดส่วน ห้องที่ให้บริการสปาควร

ปีท่ี 19 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 131

เป็นสว่ นตวั มาใชบ้ รกิ ารไดใ้ นราคาพิเศษกวา่ บุคคลท่วั ไป
8. กลยทุ ธด์ า้ นผใู้ หป้ รกึ ษา (Consultant) 10. กลยุทธ์ด้านความระมัดระวัง
เป็นอีกกลยุทธ์ท่ีสนับสนุนการให้บริการได้มี (Carefulness) สถานประกอบการควรมีการ
ประสิทธิภาพมากย่ิงขึ้น การให้บริการจัดให้ค�ำ ปฏสิ มั พนั ธท์ ใ่ี กลช้ ดิ กบั ลกู คา้ รบั ขอ้ เสนอแนะตา่ งๆ
ปรึกษาเพื่อแนะน�ำบริการท่ีเหมาะสมต่อการรับ เก่ียวกับการท�ำงานและสิ่งอ�ำนวยความสะดวก
บรกิ าร ระบบนดั หมายลกู คา้ และระบบบรกิ ารเปน็ ในสปา มรี ะบบความปลอดภยั และระบบแจง้ เตอื น
มาตรฐานเดยี วกัน จะเห็นไดว้ า่ มคี วามสอดคล้อง หรอื มกี ารใหค้ วามรใู้ นเรอ่ื งขอ้ ควรระวงั และขอ้ หา้ ม
กับศัชชญาส์ ดวงจันทร์ และนริศา ค�ำแก่น ในการใช้บริการ เพ่ือเพ่ิมความม่ันใจน่าเช่ือถือ
(Duangchant and Kamkaen, 2015 : 27-46) ใหแ้ ก่ผู้ทมี่ าใชบ้ รกิ ารกับทางสถานประกอบการ
ได้ศึกษาความคาดหวังต่อการเลือกใช้บริการสปา
เพ่ือสุขภาพและความงาม พบว่า บุคคลที่อยู่ใน 6. ขอ้ เสนอแนะ
วยั กลางคนขน้ึ ไปไมไ่ ดใ้ หค้ วามสนใจกบั การสง่ เสรมิ
การตลาดเท่าที่ควร แต่ต้องการผลิตภัณฑ์และ 1. ข้อเสนอแนะจากผลการวิจัย
บริการท่ีดี เพ่ือให้ประกอบเป็นแหล่งข้อมูลที่ใช้ 1.1 ธุรกิจส่งเสริมสุขภาพมีความ
ในการปรกึ ษา เพ่ือตัดสินใจเลือกใช้บริการสปา ต่ืนตัวและปรับเปลี่ยนค่อนข้างรวดเร็วเป็นไปตาม
9. กลยทุ ธด์ า้ นการชำ� ระเงนิ (Convenient กระแสนิยม ซึ่งน่าจะมีผลต่อแนวคิดในระหว่าง
Payments) เป็นอีกกลยุทธ์ท่ีสนับสนุนการให้ ทที่ ำ� การวจิ ยั จงึ ตอ้ งตดิ ขอ้ มลู ขา่ วสารใหท้ นั ตอ่ การ
บริการได้มีประสิทธิภาพมากย่ิงขึ้น โดยให้มีช่อง เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ทางท่ีลูกค้าสามารถช�ำระเงินได้สะดวก เช่น 1.2 การศึกษาควรใช้ข้อมูลของ
การช�ำระเงินได้บางส่วนก่อนเข้ารับบริการ การ ผู้ประกอบการที่ยังไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานมาท�ำ
ช�ำระเงินผ่านบัตรเครดิต เป็นต้น ผู้ประกอบการ การวเิ คราะหด์ ว้ ย เพอื่ จะไดเ้ หน็ วา่ มคี วามแตกตา่ ง
อาจจะร่วมการค้ากับบัตรเครดิตให้สมาชิกบัตร ระหว่าง 2 กล่มุ หรอื ไม่
เครดติ มาใชบ้ รกิ ารในราคาทพ่ี เิ ศษกว่าลูกคา้ ทวั่ ไป 1.3 ควรศึกษาข้อมูลเพื่อหากลยุทธ์
ก็ได้ ซ่ึงตรงน้ีก็จะไปเป็นตัวช่วยสนับสนุนกลยุทธ์ การเพมิ่ ประสทิ ธภิ าพการบรกิ ารของธรุ กจิ ทอ่ งเทยี่ ว
ด้านพนั ธมิตรอกี ด้านหน่ึงด้วย จะเห็นได้ว่ามคี วาม เชงิ สง่ เสรมิ สขุ ภาพในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ของ
สอดคลอ้ งกบั สเุ นตรตรา จนั ทบรุ (Chantaburee, ประเทศไทยในครั้งตอ่ ไป
2016 : 49-63) ศกึ ษาโอกาสและความสามารถใน 2. ขอ้ เสนอแนะเชิงพฒั นา
การแขง่ ขนั ของธรุ กจิ สปาและนวดไทย พบวา่ ธรุ กจิ 2.1 ธุรกิจส่งเสริมสุขภาพในภาค
สปาและนวดแผนไทยบางแห่งร่วมเป็นพันธมิตร ตะวันออกเฉียงเหนือ ยังไม่ได้ใช้เคร่ืองมือสื่อสาร
ทางการค้ากับบัตรเครดิตโยให้สมาชิกบัตรเครดิต การตลาดท่ีเรียกว่า E-marketing อย่างเต็มที่
ขณะท่ีปัจจุบันลูกค้ารับข้อมูลข่าวสารทางสังคม

132 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

ออนไลน์ (Social Media) กนั มาก ดังน้นั ถ้าลกู คา้ 2.3 สร้างบุคลากรที่มีทักษะให้
มาใช้บริการแล้วเกิดความถูกใจ ประทับใจแล้ว บริการแบบมืออาชีพให้เพียงพอท้ังด้านปริมาณ
ท�ำการบอกต่อในสังคมออนไลน์จะช่วยท�ำให้ และด้านคุณภาพ
ข่าวสารแพร่ไปอย่างรวดเร็ว จึงต้องใช้การตลาด 2.4 แรงงานที่มีทักษะในการให้
ทางดา้ นนใี้ หม้ ากยงิ่ ขนึ้ พรอ้ มตอ้ งเลอื กใชส้ อ่ื ใหต้ รง บรกิ ารทเี่ ปน็ แบบมอื อาชพี ยงั ไมเ่ พยี งพอ จงึ ตอ้ งเรง่
กับกล่มุ ลกู คา้ เป้าหมายดว้ ย สร้างบุคลากรท่ีได้ตรงตรามาตรฐานให้มากยิ่งขึ้น
2.2 ผปู้ ระกอบการรายยอ่ ยมจี ำ� นวน เน่ืองจากบุคลากรบางคนผ่านการอบรมเพียงแค่
มากยังคงขาดทักษะด้านการจัดการธุรกิจจึงควร หน่ึงคอร์สก็มาท�ำงานบริการ จึงก่อให้เกิดความ
ทจี่ ะปรบั พฒั นางานทางดา้ นนี้ เช่ียวชาญท่ไี มเ่ พยี งพอ

References

Chantaburee, S. (2016). Opportunity and Competitiveness of Spa and Thai Massage
Business in Thailand. KasemBundit Journal, 17(2), 49-63.

Duangchant, S. & Kamkaen, N. (2015). Consumers' Expectations for the Health and Beauty
Spa. SDU Res. J., 11(3), 27-46.

Hair, J.F., Black, W.C., Babin, B.J., et al. (2006). Multivariate Data Analysis. (6th ed.). New
Jersey : Pearson.

Kaevatana, Y. (2015). Thai Spa Development toward Sustainability: Service Psychology
Method. Academic Journal Bangkokthonburi University, 4(1), 174-184.

Ministry of Tourism and Sports. (2016). Strategic Ministry of Tourism and Sports. Bangkok :
Ministry of Tourism and Sports.

Phakdeeying, R. (2012). Holistic Marketing Management strategy for Competitive Advantage
of the Travel Agency Business in Northeastern region of Thailand. Doctor of
Business Administration. Graduate School : North Eastern University.

Rodsom, W. (2015). Services Marketing Mix Affecting Chinese Tourists Towards Selecting
Health Spa in Amphoe Mueang Chiang Mai. Journal of Business ChiangMai University,
1(3).

The Office of Health Business Promotion. (2016). Spa Services Standard. Department of
Health Service Support. Bangkok : Ministry of Public Health.

สิทธิการพัฒนาของประชาชนภายใตน้ โยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ:
กรณศี กึ ษาเขตเศรษฐกิจพิเศษจังหวดั มุกดาหาร*

People's Development Rights under the Special Economic Zone:
Case Study of Special Economic Zone Mukdahan

พระมหาไทยน้อย สลางสิงห์, ปยิ ลกั ษณ์ โพธิวรรณ์ และพัทฐกร ศาสนะสพุ ินธ์
Phramaha Thainoi Salangsing, Piyaluk Potiwan and Pattakorn Sasanasupin

มหาวิทยาลยั ราชภัฏมหาสารคาม
Rajabhat Mahasarakham University, Thailand
Corresponding Author, E-mail: [email protected]

บทคดั ย่อ

การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสิทธิการพัฒนาของประชาชนภายใต้นโยบายเขตเศรษฐกิจ
พิเศษ จังหวัดมุกดาหาร เพ่ือศึกษาการเคลื่อนไหวด้านสิทธิการพัฒนาของประชาชนภายใต้นโยบาย
เขตเศรษฐกจิ พิเศษจงั หวดั มกุ ดาหาร และเพอ่ื ศึกษาปจั จัยสาเหตทุ มี่ ผี ลต่อสิทธกิ ารพัฒนาของประชาชน
ภายใต้นโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดมุกดาหาร โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative
Research) โดยประชากรผใู้ หข้ อ้ มลู ไดแ้ ก่ ผใู้ หข้ อ้ มลู หลกั (Key Informants) ประกอบดว้ ย กลมุ่ ประชาชน
พระสงฆ์ ผปู้ ระกอบการรายยอ่ ย ผู้ได้รับความเดอื ดรอ้ น ผ้นู ำ� ชุมชนและผ้ใู หญบ่ ้าน จ�ำนวน 29 รปู /คน
ผู้ให้ข้อมูลเพื่อเสริมผู้ให้ข้อมูลหลัก เพ่ือใช้ในการตรวจสอบข้อมูลท่ีได้จากผู้ให้ข้อมูลหลัก ได้แก่ กลุ่ม
ผู้เช่ยี วชาญ กลุม่ นกั วชิ าการ หน่วยงานราชการที่เกีย่ วข้อง และกล่มุ เครือข่าย จำ� นวน 20 คน วิธกี ารเก็บ
รวบรวมข้อมูล ใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (In-depth Interview) เป็นรายบุคคล เครื่องมือที่ใช้
ในการเก็บรวบรวมข้อมูลใชแ้ นวทางการสัมภาษณเ์ ปน็ เครือ่ งมอื ในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล
ผลการวิจัยพบว่า สิทธิการพัฒนาของประชาชนภายใต้นโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ จังหวัด
มุกดาหาร ประกอบดว้ ย สทิ ธกิ ารพฒั นาของประชาชนสทิ ธกิ ารมสี ว่ นรว่ มการจัดการทรพั ยากรและสทิ ธิ
ของประชาชนตามกฎหมาย การเคลอื่ นไหวดา้ นสทิ ธกิ ารพฒั นาของประชาชนภายใตน้ โยบายเขตเศรษฐกจิ
พิเศษจังหวัดมุกดาหาร ประกอบด้วย การเคลื่อนไหวของประชาชนกับการยอมรับของภาครัฐการ
เคลื่อนไหวดา้ นความคาดหวงั ของประชาชนกับการพัฒนา การเคลือ่ นไหวดา้ นการจดั การทรัพยากรและ

* ได้รับบทความ: 22 ตุลาคม 2561; แกไ้ ขบทความ: 24 มกราคม 2562; ตอบรับตพี มิ พ:์ 14 กุมภาพันธ์ 2562
Received: October 22, 2018; Revised: January 24, 2019; Accepted: February 14, 2019

134 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

การเคล่ือนไหวด้านเรียกร้องสิทธิ และเงื่อนไขเกี่ยวข้องกับสิทธิการพัฒนาของประชาชนภายใต้นโยบาย
เขตเศรษฐกจิ พเิ ศษจงั หวดั มกุ ดาหาร ประกอบดว้ ย สาเหตทุ เี่ ปน็ เงอ่ื นไขทส่ี ง่ ผลตอ่ สถานะสทิ ธกิ ารพฒั นา
ของประชาชน สาเหตทุ ป่ี ระชาชนตอ้ งการมสี ว่ นรว่ มในการพฒั นาพนื้ ทเี่ ขตเศรษฐกจิ พเิ ศษจงั หวดั มกุ ดาหาร
สาเหตจุ ากนโยบายเศรษฐกจิ พเิ ศษทส่ี ง่ ผลตอ่ สทิ ธกิ ารพฒั นา และสาเหตจุ ากการเรยี กรอ้ งสทิ ธกิ ารพฒั นา
ของประชาชน
คำ� สำ� คญั : สทิ ธิการพัฒนา; นโยบายเขตเศรษฐกิจพเิ ศษ

Abstract

This research aims to study the development rights of people under the special
economic zone policy Mukdahan province, to study the movement of people's rights
under the policy of Mukdahan Special Economic Zone, to study the causal factors
affecting the development rights of people under Mukdahan Special Economic Zone.
Qualitative research the informant population was the key informants, consisting of the
population, Buddhist monks, small entrepreneurs, who suffered, community leaders and
headman 29 people. There informants were used to check the information provided by
the main contributors, i.e. expert groups, academic group relevant government sectors,
and the network of 20 people, data collection In-depth interviews were used as a tool to
collect data.
The research found that: development of people under the Special Economic Zone
Mukdahan Province consists of the development right of the people. Rights, participation,
resource management, and legal rights of the people. Mukdahan Special Economic-
Development Zone (MJPP) consists of public movement and government acceptance.
The movement of people's expectations and development. Resource management
movement and the claim movement. And the causes that affect the development rights
of people under the policy of Special Economic Zone Mukdahan. The cause was the
condition that affects the status of the people's development rights. The cause of
people wants to participate in the development of Mukdahan Special Economic Zone
because by special economic policies that affect development rights and the cause of
the people's development rights claim.
Keywords: Development Rights; Special Economic Zone Policy

ปที ่ี 19 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มีนาคม 2562) วารสารวชิ าการธรรมทรรศน์ 135

1. บทนำ� การลงทนุ ออกเปน็ 3 เขต และมสี ทิ ธปิ ระโยชนแ์ ละ
เงื่อนไขท่ีแตกต่างกัน ในส่วนของเขตเศรษฐกิจ
ประเทศตา่ งๆ ในโลก ไดใ้ หค้ วามสำ� คญั ตอ่ พิเศษบริเวณชายแดนของประเทศไทย จากการ
การจดั ตง้ั เขตเศรษฐกจิ พเิ ศษ (Special Economic ผลักดันของธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (Asian
Zones) เพื่อเปา้ หมายในการพัฒนาเศรษฐกิจของ Development Bank: ADB) ภายใต้กลยุทธ์
ประเทศและดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศ ส่งเสริมการใช้ประโยชน์ จากโครงการระเบียง
เขตเศรษฐกจิ พเิ ศษจะแบง่ ออกเปน็ 5 ประเภทหลกั เศรษฐกิจ (Economic Corridors) โดย ADB
ไดแ้ ก่ 1) เขตการค้าเสรี (Free Trade Zones) 2) ได้บรรจุแผนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษไว้เป็น
เขตการแปรรปู เพอ่ื การสง่ ออก (Export Processing แผนปฏิบัติการ (Action Plans) เพื่อการเปล่ียน
Zones: EPZs) 3) ท่าเรือเสรี (Free Ports) 4) ระเบยี งการขนส่ง (Transport Corridors) ใหเ้ ปน็
เขตประกอบการอตุ สาหกรรม (Enterprise Zones) ระเบยี งเศรษฐกจิ (Economic Corridors) ดังน้นั
และ 5) โรงงานเดี่ยว (Single Factory EPZ) ส�ำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ
ซงึ่ เขตเศรษฐกจิ พเิ ศษในรปู แบบตา่ งๆ ไดก้ ลายเปน็ สังคมแห่งชาติ (สศช.) จึงได้ริเริ่มแผนการพัฒนา
ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่ส�ำคัญ และได้ขยาย เขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยเฉพาะบริเวณชายแดน
ตวั อยา่ งรวดเรว็ ในแถบประเทศเอเชยี เชน่ ประเทศ ตง้ั แตป่ ี พ.ศ. 2547 รวมถงึ ไดม้ กี ารกำ� หนดนโยบาย
เมียร์ม่า และประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตย และหลักเกณฑ์เพื่อผลักดันการพัฒนาในปี พ.ศ.
ประชาชนลาว สำ� หรบั ประเทศไทยไดม้ กี ารผลกั ดนั 2556 ในรปู แบบของระเบยี บส�ำนักนายกรัฐมนตรี
ใหม้ ีเขตเศรษฐกิจพเิ ศษ ผา่ น พรบ. เขตเศรษฐกิจ อีกท้ังผลจากการประชุมคณะกรรมการนโยบาย
พเิ ศษ ตง้ั แตป่ ี พ.ศ. 2548 และไดถ้ กู บรรจไุ วใ้ นแผน เขตพัฒนาเศรษฐกิจพเิ ศษ (กนพ.) คร้ังที่ 1/2557
พฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาตฉิ บบั ท่ี 11 และ ภายใต้ การด�ำเนินงานของคณะรักษาความสงบ
12 ถอื เปน็ นโยบายหลกั ของรฐั บาลปจั จบุ นั ทท่ี ำ� ให้ แห่งชาติ (คสช.) ยังให้ความเห็นชอบพ้ืนที่ท่ีมี
เกดิ รปู แบบสำ� คญั ในการสรา้ งโอกาสทางเศรษฐกจิ ศักยภาพเหมาะสมในการจัดต้ังเป็นเขตพัฒนา
ด้วยเหตุผลของการต้องการเปิดให้มีการเชื่อมต่อ เศรษฐกิจพิเศษระยะแรกของไทยใน 5 พ้ืนที่
และการเคล่ือนย้ายของทุนและทรัพยากรต่างๆ ชายแดน รองรับการก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
ไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ มากขน้ึ (Sammawatthana, 2017) ในปี พ.ศ. 2558 ทำ� ให้เขตเศรษฐกิจพเิ ศษเกิดข้นึ
ส�ำหรับประเทศไทย ได้มีนโยบายการจัด ในหลายประเทศ ซึ่งไม่ใช่แต่ยุครัฐบาล พลเอก
ต้ั ง เ ข ต เ ศ ร ษ ฐ กิ จ พิ เ ศ ษ ใ น รู ป แ บ บ ข อ ง นิ ค ม ประยทธ์ จนั ทรโ์ อชา หรือรฐั บาลอืน่ และองคก์ าร
อุตสาหกรรมมาเป็นเวลานาน โดยได้มีการจัดต้ัง ปกครองส่วนท้องถิ่นใดหรือประเทศใดประเทศ
สำ� นกั งานคณะกรรมการสง่ เสรมิ การลงทนุ (Board หนงึ่ แตเ่ ปน็ ของระบบทนุ นยิ มโลกทร่ี กุ เขา้ มาจนถงึ
of Investment: BOI) และพระราชบญั ญตั สิ ง่ เสรมิ ปัจจุบัน ถึงรัฐบาลในยุค คสช. ท่ีน�ำเอากฎหมาย
การลงทนุ ในปี พ.ศ. 2520 โดยปจั จุบนั ได้แบ่งเขต

136 Dhammathas Academic Journal Vol. 19 No. 1 (January - March 2019)

มาตรา 44 เพื่อน�ำมาผลักดันเขตเศรษฐกิจพิเศษ อำ� นาจแหง่ รฐั หนา้ ทขี่ ององคอ์ ธปิ ตั ย์ แหง่ รฐั ยอ่ มมี
ในพ้ืนที่ชายแดนในประเทศไทย ท�ำให้เกิดความ ลักษณะพลการตามอ�ำเภอใจอยู่ในตัว ที่ไม่ต้อง
สัมพันธ์ของลัทธิเสรีนิยมใหม่และเขตเศรษฐกิจ ปรกึ ษาหารอื ขออนมุ ตั หิ รอื ฉนั ทามตจิ ากบคุ คลหรอื
พเิ ศษทเี่ ปน็ เรอ่ื งเชอื่ มโยงกนั ของโลกาภวิ ตั นท์ ท่ี ำ� ให้ ตามสิทธิของประชาชนที่ควรได้มีส่วนร่วมอ่ืนใด
เกดิ การไหลของทนุ สินคา้ คน สื่อ และเทคโนโลยี ตามมตขิ ององคอ์ ธปิ ตั ยเ์ ปน็ ทสี่ ดุ ยตุ ไิ มม่ กี ารตอ่ รอง
(Keawmanee, 2017) จากอ�ำนาจรัฐ ท�ำใหป้ ระชาชนทีโ่ ดนอำ� นาจพเิ ศษ
ปัจจุบันในยุคคณะรักษาความสงบแห่ง ยึดเวนคืนพ้ืนที่ดินท�ำกิน และรัฐบาลน�ำพ้ืนที่
ชาติ (คสช.) ไดใ้ ชด้ ้านกฎหมายมาตรา 44 มาจัด ชาวบ้านมาจัดสรรให้นักลงทุนเช่าพื้นที่เพื่อจัดตั้ง
การพื้นท่ีพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษท่ีมีการละเมิด เขตเศรษฐกิจพิเศษ ท�ำให้ประชาชนไม่สามารถ
สิทธิมนุษยชน มาเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาท่ี เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมในการเรียกร้องสิทธิ
ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยช่องทางปกติ โดยได้ใช้ ของตนเอง ท่ีเป็นธรรมเพราะบ้านเมืองยังไม่เข้าสู่
อ�ำนาจกฎหมายบีบบังคับการขอเวนคืนพ้ืนที่ดิน สภาวะปกติในความเป็นประชาธิปไตยท่ีสมบูรณ์
จากประชาชน โดยท่ีรัฐบาลได้เสริมอ�ำนาจ (Fahdiewkan Magazine, 2010 : 88-92)
กฎหมายมาตราพเิ ศษเพอื่ การบงั คบั ใชก้ ฎหมายให้ จากปัญหาที่เกิดข้ึนท�ำให้ชุมชนมีการ
มีประสิทธิภาพ เพื่อให้แก้ไขปัญหาต่างๆ ในช่วง เคลื่อนไหวต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมตามหลัก
เวลาเร่งดว่ น เปน็ ไปตามความคาดหวงั ของรฐั บาล ธรรมาภบิ าล ทร่ี ฐั ต้องเคารพสิทธิชมุ ชน หรอื กรณี
ในการจัดการด้านการส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ รัฐออกโฉนดท่ดี ินของรฐั เอง ดว้ ยการประกาศเปน็
บรเิ วณชายแดน จงึ ตอ้ งใชอ้ ำ� นาจพเิ ศษทที่ ำ� ใหเ้ กดิ พื้นท่ีราชพัสดุ การซ้ือท่ีดินจากเอกชนแล้วไป
การยกเว้นสถานะสิทธิของประชาชน เพื่อรัฐบาล ด�ำเนินการขอออกโฉนดน้ันเป็นเร่ืองเข้าใจได้
จะไดเ้ ขา้ ไปจดั การหาพน้ื ทข่ี องประชาชนไดง้ า่ ยขน้ึ แต่กรณีที่ราชพัสดุเป็นท่ีดินของรัฐ ชาวบ้านได้
โดยที่มีการใช้อ�ำนาจพิเศษท่ีรัฐบาลมีอ�ำนาจเหนือ พยายามกลา่ วถงึ การดำ� เนนิ การออกโฉนดพนื้ ทด่ี นิ
สทิ ธขิ องประชาชน ทอี่ ยภู่ ายใตส้ ภาวะยกเวน้ ทเี่ ปน็ ของรฐั เองไดอ้ ยา่ งไร ซง่ึ ชมุ ชนไดอ้ อกมาเคลอ่ื นไหว
เงอ่ื นไขระยะเวลาตามสถานการณท์ เ่ี กดิ ขน้ึ ไมป่ กติ ผา่ นกลมุ่ เครอื ขา่ ยจบั ตาเขตเศรษฐกจิ พเิ ศษ องคก์ ร
ช่ัวคราว ตามแนวคิดของ Giorgio Agamben ภาคประชาชน เครอื ขา่ ยภาคตะวนั ออก เพอื่ เรยี กรอ้ ง
ทมี่ องอำ� นาจกฎหมาย ทคี่ วามจำ� เปน็ สรา้ งกฎหมาย ให้รัฐบาลทำ� การวเิ คราะหผ์ ลกระทบ ร่างพระราช
ขน้ึ มา เพราะความจำ� เปน็ ของรฐั บาลทนี่ ำ� กฎหมาย บญั ญตั เิ ขตเศรษฐกจิ พเิ ศษภาคตะวนั ออก และรา่ ง
มาตรา 44 มาปรับใช้ตามสถานการณ์ที่รัฐบาลใช้ พระราชบัญญัติเขตเศรษฐกิจพิเศษ ตามข้ันตอน
ตามความจ�ำเป็น รวมถึงการก�ำหนดความหมาย ของรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2560
สภาวะยกเว้นว่าสภาพใดและเมื่อไหร่ที่ถือเป็น มาตรา 77 ทีส่ ุ่มเสี่ยงตอ่ การสรา้ งผลกระทบตอ่ วถิ ี
สถานการณ์ไม่ปกติ จึงต้องใช้อ�ำนาจพิเศษท่ีเป็น ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการท�ำให้กระบวนการเช่าท่ีดิน

ปที ี่ 19 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มนี าคม 2562) วารสารวิชาการธรรมทรรศน์ 137

ระยะยาว 99 ปี ในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ อ่ืนที่เหมาะสมกว่านี้อยู่ ชาวบ้านผู้ยากไร้หรือ
ชาวต่างชาติสามารถด�ำเนินการได้ โดยไม่ต้องขอ เกษตรกรที่ท�ำกินในพื้นท่ีดินเหล่าน้ีมาอย่าง
อนุญาตจากกรมที่ดิน และการยกเลิกการบังคับ ยาวนานมานับแต่บรรพบุรุษ จะเผชิญชะตากรรม
ใช้กฎหมายผังเมือง การรวบอ�ำนาจในการให้ และมีหนทางท่ีจะน�ำไปสู่การชะลอหรือยกเลิก
ใบอนุญาตต่างๆ ไว้ท่ีหน่วยงานเดียว รวมถึง ค�ำสง่ั และหาทางเยยี วยาอย่างไร
พระราชบญั ญัตเิ ขตเศรษฐกิจพิเศษ เพอ่ื ใชใ้ นพน้ื ท่ี ฉะน้ัน จงั หวัดมุกดาหารเปน็ พ้ืนที่อยภู่ าย
เขตเศรษฐกิจพิเศษ 10 จงั หวัด พร้อมกันนั้นยังถกู ใตก้ รอบการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพเิ ศษ ย่อมได้รับ
จำ� กดั สทิ ธปิ ระชาชนทเ่ี คยมอี ยเู่ ดมิ เชน่ กระบวนการ ผลกระทบจากการพฒั นาเขตเศรษฐกจิ พเิ ศษ ทง้ั ใน
ผังเมือง การวิเคราะห์ผลกระทบส่ิงแวดล้อมด้วย ดา้ นบวกและดา้ นลบ ตอ่ ระบบเศรษฐกจิ การเมอื ง
เพ่ือสร้างความเป็นธรรม และการย่ืนฟ้องหน่วย สังคม ศาสนา และวัฒนธรรม เกดิ ความเหล่อื มล�้ำ
งานรฐั ทล่ี ะเมดิ สทิ ธชิ มุ ชนตอ่ ศาลปกครองตามหลกั ทางสงั คม แรงงานขา้ มชาติ อยา่ งเลยี่ งไมไ่ ด้ โดยเฉพาะ
สิทธิมนุษยชน ตามกระบวนผลของการท่ีรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจย่อมมีผลต่อการค้าการลงทุนที่มีอยู่
ในยุคปัจจุบัน ได้อาศัยอ�ำนาจตามมาตรา 44 อาทิ การค้าชายแดน การค้าพาณชิ ยกรรม การจดั
ขดั กบั หลกั ใด หรอื ไม่ชอบด้วยกฎหมาย มาตราใด เก็บภาษีท้องถิ่น ระบบเศรษฐกิจชุมชน ตลอดจน
บ้างที่ขัดกับกฎหมายส่ิงแวดล้อม รวมถึงระเบียบ อุตสาหกรรมประเภทต่างๆ ในด้านการเมือง
สำ� นกั นายกวา่ ดว้ ยเขตเศรษฐกจิ พเิ ศษ ทจ่ี ะตอ้ งรบั การจัดต้ังเขตเศรษฐกิจพิเศษย่อมมีผลกระทบ
ฟงั หรอื ใหป้ ระชาชนในพนื้ ทม่ี สี ว่ นรว่ มในการรบั ฟงั ต่อบทบาทและอ�ำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครอง
ขอ้ คดิ เหน็ และสามารถยกฟอ้ งคณะกรรมการกรม ส่วนท้องถิ่น อาทิ เทศบาล องค์การบริหารส่วน
ที่ดินหรือกรมธนารักษ์ที่ได้มีการไปรังวัดหรือออก ต�ำบล และหน่วยงานอื่นๆ ที่เก่ียวข้อง รวมทั้ง
โฉนดที่ดินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ท�ำให้ชุมชน มผี ลกระทบตอ่ ความตอ้ งการของประชาชนในพน้ื ท่ี
ในพนื้ ทอ่ี อกมาเคลอื่ นไหวเรยี กรอ้ งความเปน็ ธรรม ในด้านสังคมในด้านการถือครองท่ีดิน การใช้
ใหร้ ฐั มหี ลกั ธรรมาภบิ าล ศกึ ษาผลกระทบทดี่ ำ� เนนิ ประโยชน์ที่ดิน รวมท้ังวิถีชีวิตและความเป็นอยู่
การตามขอ้ บญั ญตั หิ ลกั เกณฑแ์ นวทาง ตาม พ.ร.บ. และทสี่ ำ� คญั คอื สว่ นทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั แรงงานตา่ งดา้ ว
ส่ิงแวดลอ้ ม และ พ.ร.บ. สุขภาพแห่งชาติ และรบั ท่ีจะเกิดความเหลื่อมล้�ำ การจ้างงานคนในพื้นที่
ฟังความคิดเห็นจากชุมชนในพื้นท่ีท่ีจะได้มีส่วนได้ ล้วนแล้วมีผลต่อความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและ
เสียหรอื ได้รับผลกระทบในกรรมสทิ ธ์ิทีด่ นิ ภายใต้ ทรัพย์สินของประชาชน ส่วนในด้านวัฒนธรรม
นโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษภาครัฐจะมีแนวทางท่ี ย่อมมีผลกระทบต่อขนบธรรมเนียมประเพณีและ
ลดความเหลอื่ มล้ำ� ได้หรือไม่ ท�ำอย่างไรจะน�ำหลกั วัฒนธรรมด้ังเดิมของท้องถิ่น ที่อาจถูกครอบง�ำ
ธรรมาภิบาลมาใช้ รวมถึงประเด็นที่รัฐจัดหาพ้ืนท่ี จากวัฒนธรรมยุคใหม่ที่หล่ังไหลเข้ามาพร้อมกับ
ดนิ โดยอาศัยอำ� นาจตามมาตรา 44 และยงั มกี ลไก ความเจริญทางด้านเทคโนโลยีต่างๆ และด้าน


Click to View FlipBook Version