The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

๔๕ พรรษา พระพุทธเจ้า เล่ม ๒ โดยสมเด็จพระญาณสังวร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ืทีมงานกรุธรรม, 2022-03-12 11:48:04

๔๕ พรรษา พระพุทธเจ้า เล่ม ๒ โดยสมเด็จพระญาณสังวร

๔๕ พรรษา พระพุทธเจ้า เล่ม ๒ โดยสมเด็จพระญาณสังวร

Keywords: ๔๕ พรรษา พระพุทธเจ้า เล่ม ๒ โดยสมเด็จพระญาณสังวร

พรรษาท่ี ๑๑ 319

ภกิ ษผุ ถู้ อื เอาจวี รนค้ี วรเปน็ ผทู้ รงผา้ บงั สกุ ลุ ตลอดชวี ติ เปน็ ผอู้ ยปู่ า่ ตลอดชวี ติ นงั่ อาสนะ
เดียว(ฉันมื้อเดียว)ตลอดชีวิต เท่ียวไปตามล�ำดับตรอกตลอดชีวิต ท่านจักอาจท�ำให้
สมควรแก่จีวรน้ีได้หรือ ดั่งนี้ ท่านได้กราบทูลเม่ือพระพุทธเจ้าจักขอทรงเปล่ียนจีวร
ท่านว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักครอง ด่ังนี้ ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
ท�ำการเปลี่ยนจีวรกันอย่างนี้แล้ว ทรงครองจีวรที่พระเถระครอง พระเถระครองจีวร
ของพระศาสดา

ในบทวา่ บตุ ร ... ของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ เปน็ ต้น ความว่า พระเถระอาศยั
พระผู้มีพระภาคเจ้าเกิดแล้วโดยอริยชาติ เพราะเหตุน้ัน จึงช่ือว่า บุตรของพระผู้มี
พระภาคเจ้า ชื่อว่า ผูเ้ กดิ แต่อก เกดิ แต่พระโอษฐ์ เพราะอยู่ด้วยใจ ต้ังอยใู่ นบรรพชา
และอุปสมบทด้วยอ�ำนาจพระโอวาทท่ีออกจากพระโอษฐ์ ชื่อว่า ผู้เกิดแต่พระธรรม
ผู้อันธรรมนิรมิตแล้ว เพราะเกิดแต่พระธรรมโอวาท และเพราะทรงนิรมิตด้วย
พระธรรมโอวาท ชอ่ื วา่ ธรรมทายาท เพราะควรซึ่งทายาทด้วยพระธรรมโอวาทหรือ
ควรซ่งึ ทายาทดว้ ยโลกตุ ตรธรรม ๙

ชีวกสตู ร๑๙

สมยั หนง่ึ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ประทบั อยู่ ณ อมั พวนั ของหมอชวี กโกมารภจั จ์
เขตพระนครราชคฤห์ คร้ังน้ันแล หมอชีวกโกมารภัจจ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถงึ ทป่ี ระทบั ถวายบงั คมพระผมู้ พี ระภาคเจา้ แลว้ นงั่ ณ ทคี่ วรสว่ นขา้ งหนงึ่ ไดก้ ราบทลู
พระผมู้ พี ระภาคเจา้ วา่ ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ขา้ พระพทุ ธเจา้ ไดฟ้ งั คำ� นม้ี าวา่ ชนทงั้ หลาย
ย่อมฆ่าสัตว์เจาะจงพระสมณโคดม พระสมณโคดมทรงทราบ ข้อน้ันอยู่ ก็ยังเสวย
เน้ือสัตวท์ เ่ี ขาท�ำเฉพาะตน อาศัยตนท�ำ ดัง่ น้ี ขา้ แตพ่ ระองค์ผู้เจรญิ ชนเหลา่ ใดกล่าว
อย่างน้ีว่า ชนท้ังหลายย่อมฆ่าสัตว์เจาะจงพระสมณโคดม พระสมณโคดมทรงทราบ
ขอ้ นนั้ อยู่ ยงั เสวยเนอื้ ทเี่ ขาทำ� เฉพาะตน อาศยั ตนทำ� ดงั่ น้ี ชนเหลา่ นนั้ ชอ่ื วา่ กลา่ วตรง

๑๙ ม. ม. ๑๓/๕๖-๖๑/๔๘-๕๓.

320 ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า เล่ม ๒

กบั ทพี่ ระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรสั ไมช่ อ่ื วา่ กลา่ วตพู่ ระผมู้ พี ระภาคเจา้ ดว้ ยคำ� อนั ไมเ่ ปน็ จรงิ
ชอื่ วา่ ยนื ยนั ธรรมอนั สมควรแกธ่ รรม และสหธรรมกิ ผกู้ ลา่ วตามวาทะจะไมถ่ งึ ขอ้ ตเิ ตยี น
หรอื

พระพทุ ธเจา้ ตรัสว่า ดกู อ่ นชีวก ชนเหล่าใดกลา่ วอยา่ งน้วี ่า ชนท้ังหลายยอ่ ม
ฆา่ สัตว์เจาะจงพระสมณโคดม พระสมณโคดมทรงทราบขอ้ น้นั อยู่ ก็ยงั เสวยเนอ้ื สัตว์
ทเ่ี ขาทำ� เฉพาะตน อาศยั ตนทำ� ดงั่ นี้ ชนเหลา่ นน้ั ชอื่ วา่ กลา่ วตรงกบั ทเี่ รากลา่ วหามไิ ด้
ชอื่ วา่ กลา่ วตเู่ ราดว้ ยคำ� อนั ไมเ่ ปน็ จรงิ ดกู อ่ นชวี ก เรากลา่ ววา่ เนอื้ เปน็ ของไมค่ วรบรโิ ภค
ด้วยเหตุ ๓ ประการ คือเนื้อท่ีตนเห็น ๑ เนื้อที่ตนได้ยิน ๑ เนื้อท่ีตนรังเกียจ ๑
เรากล่าวเนื้อว่าเป็นของควรบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการ คือเนื้อท่ีตนไม่ได้เห็น ๑
เนอ้ื ทตี่ นไมไ่ ดย้ นิ ๑ เนอ้ื ทต่ี นไมไ่ ดร้ งั เกยี จ ๑ ดกู อ่ นชวี ก เรากลา่ วเนอื้ วา่ เปน็ ของควร
บริโภคดว้ ยเหตุ ๓ ประการนีแ้ ล

การแผ่เมตตา

ดกู อ่ นชวี ก ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั นี้ อาศยั บา้ นหรอื นคิ มแหง่ ใดแหง่ หนงึ่ อยู่ เธอมี
ใจประกอบดว้ ยเมตตา แผไ่ ปตลอดทศิ หนงึ่ อยู่ ทศิ ที่ ๒ ทศิ ท่ี ๓ ทศิ ที่ ๔ กเ็ หมอื นกนั
ตามนัยน้ี ทั้งเบ้ืองบน เบ้ืองล่าง เบื้องขวาง แผ่ไปตลอดโลกท่ัวสัตว์ทุกเหล่า
โดยความมตี นทว่ั ไปในทที่ กุ สถาน ดว้ ยใจประกอบดว้ ยเมตตาอนั ไพบลู ย์ ถงึ ความเปน็ ใหญ่
หาประมาณมไิ ด้ ไมม่ เี วร ไมม่ คี วามเบยี ดเบยี นอยู่ คฤหบดหี รอื บตุ รของคฤหบดี เขา้ ไป
หาเธอ แลว้ นมิ นตด์ ว้ ยภตั เพอื่ ใหฉ้ นั ในวนั รงุ่ ขนึ้ ดกู อ่ นชวี ก เมอ่ื ภกิ ษหุ วงั อยกู่ ร็ บั นมิ นต์
พอล่วงราตรีนั้นไป เวลาเช้า ภิกษุน้ันนุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปยังนิเวศน์
ของคฤหบดหี รอื บตุ รของคฤหบดี แลว้ นง่ั ลงบนอาสนะทเี่ ขาปลู าดไว้ คฤหบดหี รอื บตุ ร
ของคฤหบดีน้ันอังคาสเธอ ด้วยบิณฑบาตอันประณีต ความด�ำริว่า ดีหนอ คฤหบดี
หรอื บตุ รของคฤหบดผี นู้ ้ี องั คาสเราอยดู่ ว้ ยบณิ ฑบาตอนั ประณตี ดง่ั นี้ ยอ่ มไมม่ แี กเ่ ธอ
แม้ความดำ� รวิ ่า โอหนอ คฤหบดีหรอื บุตรของคฤหบดีผนู้ ี้พึงองั คาสเราดว้ ยบณิ ฑบาต
อันประณีต เช่นน้ีแม้ต่อไป ดัง่ น้ี ก็ไมม่ แี กเ่ ธอ เธอไมก่ �ำหนัด ไมส่ ยบ ไม่หมกมุ่น

พรรษาที่ ๑๑ 321

บิณฑบาตน้ัน มปี กตเิ หน็ โทษ มีปัญญาเครอ่ื งถอนตน บรโิ ภคอยู่ ดูกอ่ นชวี ก ท่านจะ
ส�ำคัญความข้อนั้นเป็นไฉนว่า ในสมัยนั้น ภิกษุน้ันย่อมคิดเพ่ือเบียดเบียนตน เพ่ือ
เบยี ดเบียนผอู้ ่นื หรอื เพอ่ื เบยี ดเบยี นทั้ง ๒ ฝา่ ยบ้างหรือ

ชวี กกราบทูลว่า ไมเ่ ปน็ เช่นนน้ั พระพทุ ธเจา้ ขา้
พระพทุ ธเจา้ ตรสั วา่ ดกู อ่ นชวี ก สมยั นนั้ ภกิ ษนุ นั้ ชอื่ วา่ ฉนั อาหารอนั ไมม่ โี ทษ
มใิ ชห่ รือ

ชวี กกราบทลู วา่ อยา่ งนนั้ พระพทุ ธเจา้ ขา้ ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ขา้ พระพทุ ธเจา้
ได้สดบั มาวา่ พรหมมีปกตอิ ยใู่ นเมตตา คำ� นน้ั เปน็ แต่ข้าพระพุทธเจ้าไดส้ ดับมา ค�ำน้ี
พระผู้มพี ระภาคเจา้ เป็นองค์พยานปรากฏแล้ว ด้วยว่า พระผู้มีพระภาคเจา้ ทรงมีปกติ
อยู่ดว้ ยเมตตา

พระพุทธเจ้าตรัสวา่ ดูกอ่ นชีวก บุคคลพึงมคี วามพยาบาท เพราะราคะโทสะ
โมหะใด ราคะ โทสะ โมหะนั้นตถาคตละแลว้ มีมูลอนั ขาดแล้ว เปน็ ดุจตาลยอดด้วน
ถงึ ความไมม่ ี มอี นั ไมเ่ กดิ ตอ่ ไปเปน็ ธรรมดา ดกู อ่ นชวี ก ถา้ แลทา่ นกลา่ วหมายเอาการ
ละราคะ โทสะ โมหะเปน็ ตน้ น้ี เราอนุญาตการกล่าวเชน่ น้นั แก่ท่าน

ชวี กกราบทลู วา่ ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ขา้ พระพทุ ธเจา้ หมายเอาการละ ราคะ
โทสะ และโมหะเปน็ ตน้ นี้

การแผก่ รณุ า มทุ ติ า อุเบกขา

พระพทุ ธเจา้ ตรสั วา่ ดกู อ่ นชวี ก ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั นี้ อาศยั บา้ นหรอื นคิ ม แหง่
ใดแหง่ หนงึ่ อยู่ เธอมใี จประกอบดว้ ยกรณุ า ประกอบดว้ ยมทุ ติ า ประกอบดว้ ย อเุ บกขา
แผไ่ ปตลอดทศิ หนงึ่ อยู่ ทศิ ท่ี ๒ ทศิ ที่ ๓ ทศิ ท่ี ๔ กเ็ หมอื นกนั ตามนยั น้ี ทงั้ เบอ้ื งบน
เบ้ืองล่าง เบื้องขวาง แผ่ไปตลอดโลกทั่วสัตว์ทุกเหล่า โดยความมีตนทั่วไป ในที่
ทกุ สถาน ด้วยใจประกอบดว้ ยอเุ บกขาอนั ไพบลู ย์ ถงึ ความเปน็ ใหญ่ หาประมาณมไิ ด้
ไมม่ เี วร ไมม่ คี วามเบยี ดเบยี นอยู่ คฤหบดหี รอื บตุ รของคฤหบดเี ขา้ ไปหาเธอ แลว้ นมิ นต์

322 ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า เล่ม ๒

ด้วยภัตเพ่ือให้ฉันในวันรุ่งขึ้น ดูก่อนชีวก เม่ือภิกษุหวังอยู่ก็รับนิมนต์ พอล่วงราตรี
นนั้ ไป เวลาเชา้ ภกิ ษนุ น้ั นงุ่ แลว้ ถอื บาตรและจวี รเขา้ ไปยงั นเิ วศนข์ องคฤหบดหี รอื บตุ ร
ของคฤหบดี แล้วน่ังลงบนอาสนะที่เขาปูลาดไว้ คฤหบดีหรือบุตรของคฤหบดีน้ัน
พึงอังคาสเธอด้วยบิณฑบาตอันประณีต ความด�ำริว่า ดีหนอ คฤหบดีหรือบุตรของ
คฤหบดีผนู้ ้ี อังคาสเราอย่ดู ้วยบิณฑบาตอนั ประณีต ด่ังนี้ ย่อมไม่มแี กเ่ ธอ แม้ความ
ดำ� รวิ า่ โอหนอ คฤหบดหี รอื บตุ รของคฤหบดผี นู้ พี้ งึ องั คาสเราดว้ ยบณิ ฑบาตอนั ประณตี
เช่นนี้แม้ต่อไป ด่ังน้ี ก็ไม่มีแก่เธอ เธอไม่ก�ำหนัด ไม่สยบ ไม่หมกมุ่นบิณฑบาต
นนั้ มปี กตเิ หน็ โทษ มปี ญั ญาเครอื่ งถอนตน บรโิ ภคอยู่ ดกู อ่ นชวี ก ทา่ นจะสำ� คญั ความ
ข้อน้ันเป็นไฉนว่า ในสมัยน้ัน ภิกษุย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนตน เพื่อเบียดเบียนผู้อ่ืน
หรอื เพื่อเบยี ดเบยี นทัง้ ๒ ฝ่ายบ้างหรือ

ชวี กกราบทลู วา่ ไมเ่ ปน็ เชน่ นน้ั พระพทุ ธเจา้ ขา้

พระพทุ ธเจา้ ตรสั วา่ ดกู อ่ นชวี ก สมยั นน้ั ภกิ ษนุ นั้ ชอ่ื วา่ ฉนั อาหารอนั ไมม่ โี ทษ
ไม่ใช่หรือ

ชวี กกราบทลู วา่ อยา่ งนน้ั พระพทุ ธเจา้ ขา้ ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ขา้ พระพทุ ธเจา้
ไดส้ ดบั มาวา่ พรหมมปี กตอิ ยดู่ ว้ ยกรณุ า มทุ ติ า อเุ บกขา คำ� นนั้ เปน็ แตข่ า้ พระพทุ ธเจา้
สดบั มา คำ� นพี้ ระผมู้ พี ระภาคเจา้ เปน็ องคพ์ ยานปรากฏแลว้ ด้วยวา่ พระผมู้ พี ระภาคเจา้
ทรงมีปกตอิ ยู่ด้วยกรุณา มุทติ า อุเบกขา

พระพทุ ธเจ้าตรสั วา่ ดูก่อนชวี ก บุคคลพงึ มีความเบียดเบยี น มคี วามไม่ยนิ ดี
มคี วามกระทบกระทงั่ เพราะราคะ โทสะ โมหะใด ราคะ โทสะ โมหะนน้ั ตถาคตละแลว้
มีมูลอันขาดแล้ว เป็นดุจตาลยอดด้วน ถึงความไม่มี มีอันไม่เกิดต่อไปเป็นธรรมดา
ดูก่อนชีวก ถ้าแลท่านกล่าวหมายเอาการละราคะ โทสะโมหะเป็นต้นนี้ เราอนุญาต
การกล่าวเชน่ นน้ั แก่ทา่ น

ชวี กกราบทลู วา่ ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ขา้ พระพทุ ธเจา้ หมายเอาการละ ราคะ
โทสะ โมหะเป็นต้นนี้

พรรษาท่ี ๑๑ 323

ฆ่าสตั วท์ ำ� บุญ ได้บาปด้วยเหตุ ๕ ประการ

พระพทุ ธเจา้ ตรสั วา่ ดกู อ่ นชวี ก ผใู้ ดฆา่ สตั ว์ เจาะจงตถาคตหรอื สาวกตถาคต
ผู้น้นั ย่อมประสบบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก ดว้ ยเหตุ ๕ ประการ คอื

ผู้น้ันกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านท้ังหลาย จงไปน�ำสัตว์ช่ือโน้นมา ดั่งน้ีช่ือว่า
ย่อมประสบบาปมใิ ช่บุญเปน็ อันมาก ดว้ ยเหตุประการท่ี ๑ นี้

สัตว์นั้นเมอ่ื ถูกเขาผูกคอนำ� มา ได้เสวยทุกข์โทมนสั ชอื่ ว่า ย่อมประสบบาป
มใิ ช่บญุ เปน็ อันมาก ดว้ ยเหตปุ ระการที่ ๒ นี้

ผนู้ ้ันพูดอย่างนว้ี า่ ท่านทัง้ หลายจงไปฆา่ สตั วน์ ี้ ชอ่ื ว่า ย่อมประสบบาป มใิ ช่
บุญเปน็ อนั มาก ดว้ ยเหตปุ ระการท่ี ๓ นี้

สตั ว์นน้ั เมื่อเขาก�ำลงั ฆา่ ยอ่ มเสวยทกุ ขโ์ ทมนัส ชอื่ ว่า ย่อมประสบบาป มใิ ช่
บญุ เปน็ อันมาก ด้วยเหตุประการที่ ๔ นี้

ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคตให้ยินดีด้วยเนื้อ เป็นอกัปปิยะ ชื่อว่า
ย่อมประสบบาปมิใชบ่ ุญเป็นอันมาก ดว้ ยเหตุประการที่ ๕ นี้

ดูก่อนชีวก ผู้ใดฆ่าสัตว์ เจาะจงตถาคตหรือสาวกตถาคตผู้น้ันย่อมประสบ
บาปมิใชบ่ ญุ เปน็ อันมาก ด้วยเหตุ ๕ ประการนี้

เม่ือพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างน้ีแล้ว หมอชีวกโกมารภัจจ์ได้กราบทูล
พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ไม่เคยมี ขา้ แตพ่ ระองค์ผูเ้ จรญิ ภกิ ษุท้งั หลายยอ่ มฉันอาหารอนั ไม่มีโทษหนอ ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของ
พระองค์แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนบุคคลผู้หงายของที่คว�่ำ เปิดของท่ีปิด บอกทาง
แกค่ นหลงทาง หรือส่องประทปี ในที่มดื ด้วยคดิ ว่า ผมู้ จี ักษจุ ักเห็นรูป ฉนั ใด พระผมู้ ี-
พระภาคเจ้าทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย ฉันน้ันเหมือนกัน ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ข้าพระองค์น้ีขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า พระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็น
สรณะ ขอพระผมู้ พี ระภาคเจา้ จงทรงจำ� ขา้ พระองคว์ า่ เปน็ อบุ าสกผถู้ งึ สรณะตลอดชวี ติ
ตัง้ แตบ่ ดั นีเ้ ป็นต้นไป ดัง่ นี้แล

324 ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า เล่ม ๒

อรรถกถาของพระสตู รนี้ ไดแ้ สดงวา่ ทช่ี อื่ วา่ ชวี กะ เพราะยงั เปน็ อยู่ มชี วี ติ อยู่
ท่ีชื่อว่า โกมารภัจจ์ เพราะพระราชกุมารชุบเล้ียงไว้ ดังท่ีท่านกล่าวไว้ว่า พระกุมาร
หมายถงึ พระอภยั ราชกมุ ารถามวา่ นน่ั อะไร พนาย ฝงู กาจงึ เกลอ่ื นกลาด พวกราชบรุ ษุ
ทลู วา่ ทารก พระเจ้าข้า ตรัสถามว่า ยังเป็นอยหู่ รือ พนาย ทลู ตอบวา่ ยงั เปน็ อยู่
พระเจา้ ขา้ จงึ ตรสั สง่ั ใหน้ ำ� ทารกเขา้ วงั มอบใหแ้ มน่ มเลย้ี งดู ชนทงั้ หลายจงึ ตง้ั ชอื่ ทารก
นนั้ วา่ ชวี กะ เพราะยงั เปน็ อยู่ และตงั้ สรอ้ ยชอื่ วา่ โกมารภจั จ์ เพราะพระราชกมุ ารให้
ชบุ เลยี้ งไว้

ในพระสูตรนี้ มีความสังเขปดังได้กล่าวมานี้ ส่วนเร่ืองโดยพิสดาร มาใน
ชวี กวตั ถใุ นขนั ธกวนิ ยั แมค้ ำ� วนิ จิ ฉยั เรอ่ื งหมอชวี กโกมารภจั จน์ น้ั ทา่ นกไ็ ดก้ ลา่ วไวแ้ ลว้
ในอรรถกถาพระวนิ ัยช่อื สมันตปาสาทกิ า

หมอชวี กะหรอื หมอชวี กโกมารภจั จผ์ นู้ ้ี ถวายพระโอสถระบายออ่ น ๆ ระบาย
พระกายทม่ี ากไปดว้ ยโทษของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ แลว้ ตง้ั อยใู่ นโสดาปตั ตผิ ล เวลาจบ
อนโุ มทนา ถวายผา้ คทู่ ไี่ ดม้ าจากแควน้ สพี ี ดำ� รวิ า่ เราตอ้ งไปเฝา้ อปุ ฏั ฐาก พระพทุ ธองค์
วันละ ๒-๓ คร้ัง พระเวฬุวันแห่งน้ีก็อยู่ไกลเกินไป สวนมะม่วงของเรายังใกล้กว่า
อยา่ เลย เราจะสรา้ งวหิ ารถวายพระผมู้ พี ระภาคเจา้ ในสวนมะมว่ งของเรานแี้ หละ ดงั นน้ั
จึงให้สร้างท่ีเร้น กุฎี และมณฑปเป็นต้น ส�ำหรับพักกลางคืนและพักกลางวัน
สรา้ งพระคนั ธกฎุ ที เี่ หมาะแกพ่ ระผมู้ พี ระภาคเจา้ ในสวนอมั พวนั นนั้ สรา้ งกำ� แพงสแี ผน่
ทองแดง สูง ๑๘ ศอก ล้อมสวนอัมพวันไว้ อังคาสเลี้ยงภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้า
เป็นประมุข ด้วยภตั ตาหารพรอ้ มดว้ ยจีวร และหล่งั ทักษิโณทกมอบถวายวิหาร

บรรดาสว่ นทงั้ ๓ มสี ่วนทเ่ี ห็นแลว้ เป็นต้น เห็นเขาฆ่าเน้อื และปลา แล้วเอา
มาทำ� อาหารถวายภิกษทุ ัง้ หลาย ชื่อวา่ สว่ นที่เหน็ แลว้

ไดย้ นิ วา่ เขาฆ่าปลาและเน้ือ เอามาถวายภิกษุ ชอื่ ว่า ส่วนทไ่ี ดย้ ินแลว้

ส่วนท่สี งสัยมี ๓ อย่าง คือส่วนทส่ี งสัยว่าได้เหน็ มา ส่วนทีส่ งสัยวา่ ไดย้ ินมา
ส่วนท่ีสงสัยอันนอกไปจากทั้ง ๒ อย่างนน้ั ชอื่ ว่า ส่วนทตี่ นรังเกยี จ ในสว่ นที่สงสัย
ทัง้ ๓ นนั้ มีวินิจฉัยรวบรดั ด่ังนี้

พรรษาท่ี ๑๑ 325

ภิกษุทั้งหลายในพระศาสนานี้ เห็นคนทั้งหลายถือตาข่ายและแหเป็นต้น
ก�ำลังออกไปจากบ้านหรือก�ำลังเท่ียวอยู่ในป่า พอวันรุ่งข้ึน เมื่อภิกษุเหล่าน้ัน เข้าไป
บณิ ฑบาตในบ้านหลงั นนั้ คนเหล่านน้ั ก็นำ� บิณฑบาต (อาหาร) ทีม่ ปี ลาเน้อื เหลา่ นนั้
ถวาย ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั กส็ งสยั โดยการเหน็ นนั้ วา่ ปลาเนอ้ื เขาทำ� มาเพอื่ ประโยชนแ์ กภ่ กิ ษุ
ทงั้ หลายหรอื หนอ นช้ี อ่ื วา่ สงสยั โดยเหน็ รบั อาหารทส่ี งสยั โดยเหน็ นนั้ ไมค่ วร อาหาร
ใดภิกษุไม่ได้สงสัยอย่างน้ัน รับอาหารน้ันก็ควร ก็ถ้าคนเหล่าน้ันถามว่า ท่านเจ้าข้า
เหตไุ รพระคุณเจา้ จึงไมร่ บั ฟงั คำ� ตอบของภิกษุ แล้วกก็ ลา่ วว่า อาหารน้พี วกเราไม่ได้
ท�ำเพื่อประโยชน์แก่ภิกษุทั้งหลายดอก แต่เราท�ำเพ่ือประโยชน์ของตนเอง และเพื่อ
ประโยชนแ์ กข่ ้าราชการเปน็ ต้นตา่ งหาก รบั อาหารนัน้ กค็ วร

ภกิ ษทุ ง้ั หลายไมเ่ หน็ อยา่ งนนั้ เลย แตไ่ ดย้ นิ มาวา่ เขาวา่ คนทง้ั หลายถอื ตาขา่ ย
และแหเป็นต้น ออกจากบ้านไปหรือเท่ียวไปในป่า รุ่งข้ึน เมื่อภิกษุเหล่านั้นเข้าไป
บิณฑบาตยังบ้านน้ัน คนเหล่านั้นก็น�ำบิณฑบาตท่ีมีปลาเน้ือมาถวาย ภิกษุเหล่านั้น
ก็สงสยั โดยการได้ยินน้นั ว่า เขาทำ� เพือ่ ประโยชน์แกภ่ กิ ษทุ ัง้ หลาย หรือหนอ นชี้ ่อื ว่า
สงสยั โดยไดย้ นิ มา รบั อาหารนนั้ ไมค่ วร อาหารใดมไิ ดส้ งสยั อยา่ งนนั้ รบั อาหารนนั้ กค็ วร
แต่ถา้ คนท้งั หลายถามวา่ ทา่ นเจ้าขา้ เหตไุ รพระคณุ เจา้ จงึ ไม่รบั ฟังคำ� ตอบของภิกษุ
เหล่านั้นแล้วก็กล่าวว่า ท่านเจ้าข้า อาหารน้ีพวกเรามิได้ท�ำเพื่อประโยชน์แก่ภิกษุ
ทงั้ หลายดอก แตพ่ วกเราทำ� เพอื่ ประโยชนแ์ กต่ นเอง หรอื เพอื่ ประโยชนแ์ กพ่ วกขา้ ราชการ
เป็นตน้ ต่างหาก รบั อาหารน้ันก็ควร

อน่งึ ภิกษุไม่เห็น ไมไ่ ดย้ ินมา เมื่อภกิ ษุเหลา่ นน้ั เข้าไปบณิ ฑบาตยงั บ้านนัน้
คนท้ังหลายรบั บาตรเอาไป ตกแต่งบณิ ฑบาตท่มี ปี ลาเน้ือ น�ำไปถวาย ภกิ ษเุ หล่านั้น
ก็สงสยั วา่ เขาทำ� เพอื่ ประโยชนแ์ กภ่ ิกษทุ ้ังหลายหรอื หนอ นีช้ อื่ วา่ สงสยั นอกไปจาก
ทง้ั ๒ อยา่ งนน้ั รบั อาหารแมน้ น้ั กไ็ มค่ วร อาหารใดมไิ ด้ สงสยั อยา่ งนน้ั รบั อาหารนน้ั
กค็ วร แตถ่ า้ คนเหลา่ นนั้ ถามวา่ ทา่ นเจา้ ขา้ เหตไุ รพระคณุ เจา้ จงึ ไมร่ บั ฟงั คำ� ตอบของ
พวกภิกษุแล้วก็กล่าวว่า ท่านเจ้าข้า อาหารพวกนี้เรามิได้ท�ำเพื่อประโยชน์แก่ภิกษุ
ทงั้ หลายดอก เราทำ� เพอื่ ประโยชนแ์ กต่ นเอง หรอื วา่ เพอ่ื ประโยชนแ์ กข่ า้ ราชการเปน็ ตน้
ต่างหาก หรือวา่ พวกเราได้ ปวตั ตมงั สะคือเน้อื ที่เขามอี ย่แู ล้ว เปน็ ของกปั ปิยะ (ควร)
ทง้ั นนั้ จงึ ตบแตง่ เพอื่ ประโยชนแ์ กภ่ กิ ษทุ งั้ หลาย รบั อาหารนนั้ กค็ วร ในอาหารทเี่ ขาทำ�

326 ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า เล่ม ๒

เพื่อประโยชน์ เป็นเปตกิจคืออุทิศส�ำหรับคนที่ตายไปแล้ว หรือเพ่ือประโยชน์แก่งาน
มงคลเปน็ ต้น กน็ ยั น้เี หมือนกนั

แทจ้ รงิ อาหารใด ๆ ทเ่ี ขาไมไ่ ดก้ ระทำ� เพอ่ื ประโยชนแ์ กภ่ กิ ษทุ งั้ หลาย และภกิ ษุ
ท้ังหลายก็มิได้เคลือบแคลงสงสัยในอาหารอันใด รับอาหารนั้นทุกอย่างก็ควร แต่ถ้า
อาหารเขาท�ำเจาะจงภกิ ษทุ ั้งหลายในวัดหน่ึง ภิกษุเหลา่ น้นั ไม่ร้วู า่ เขาทำ� เพ่อื ประโยชน์
แกต่ น ภกิ ษเุ หลา่ อน่ื รู้ ภกิ ษเุ หลา่ ใดรู้ อาหารนน้ั กไ็ มค่ วรแกภ่ กิ ษเุ หลา่ นน้ั ควรแกภ่ กิ ษุ
นอกจากนี้ ภกิ ษเุ หลา่ อนื่ ไมร่ ู้ ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั เทา่ นนั้ รู้ อาหารนนั้ กไ็ มค่ วรแกภ่ กิ ษเุ หลา่ นนั้
ควรแก่ภิกษุเหล่าอ่ืน แม้ภิกษุเหล่าน้ันรู้ว่า เขาทำ� เพ่ือประโยชน์แก่พวกเรา แม้ภิกษุ
เหลา่ อน่ื กร็ วู้ า่ เขาทำ� เพอ่ื ประโยชนแ์ กภ่ กิ ษเุ หลา่ นน้ั อาหารนนั้ กไ็ มค่ วรแกภ่ กิ ษทุ งั้ หมด
ภิกษุท้งั หมดไม่รู้ กค็ วรแก่ภกิ ษทุ ั้งหมดน่ันแหละ

บรรดาสหธรรมิก ๕ ประเภท อาหารท่ีเขาท�ำเจาะจงแก่ภิกษุรูปใดรูปหน่ึง
ยอ่ มไมค่ วรแกส่ หธรรมกิ หมดทกุ รปู แตถ่ า้ บางคนเขาฆา่ สตั วเ์ จาะจงภกิ ษรุ ปู หนงึ่ แลว้
บรรจุบาตรเต็มด้วยเน้ือสัตว์น้ันถวาย แม้ภิกษุนั้นก็รู้อยู่ว่า เขาท�ำเพ่ือประโยชน์
แก่ตน ครนั้ รบั แลว้ กถ็ วายแก่พระภกิ ษรุ ปู อ่ืน ภกิ ษุนัน้ กฉ็ นั ด้วยความเชื่อถือภกิ ษุนั้น
ถามวา่ ใครเปน็ อาบตั ิ ตอบวา่ ไมเ่ ปน็ อาบตั ทิ ง้ั ๒ รปู เพราะวา่ อาหารใดเขาทำ� เจาะจง
แกเ่ ธอ เธอกไ็ ม่เปน็ อาบตั ิ เพราะเธอไมฉ่ ันอาหารนัน้ อีกรปู หน่งึ ฉัน กไ็ มเ่ ป็นอาบตั ิ
เพราะไมร่ ู้ ในการรับกปั ปิยมงั สะคอื เนื้อที่สมควรแกส่ มณะ ไม่เป็นอาบัติ ภกิ ษไุ ม่รวู้ า่
เป็นอทุ ิสสมังสะคอื เนอ้ื ท่ีเขาทำ� เจาะจง มาร้ภู ายหลังทฉ่ี นั แล้ว กไ็ ม่มีกิจคอื การแสดง
อาบัติ ส่วนภิกษุไม่รู้ว่าเป็นอกัปปิยมังสะคือเนื้อท่ีไม่สมควร มารู้ภายหลังฉันแล้ว
ต้องแสดงอาบัติ ภกิ ษรุ ู้วา่ เป็นอทุ สิ สมังสะ เนื้อทเ่ี จาะจง แลว้ ฉัน เปน็ อาบตั ิ ถงึ แม้
ภกิ ษไุ มร่ วู้ า่ เปน็ อกปั ปยิ มงั สะ มงั สะทไี่ มส่ มควร แลว้ ฉนั กเ็ ปน็ อาบตั ทิ ง้ั นน้ั เพราะฉะนน้ั
ภิกษุผู้กลัวอาบัติ แม้ก�ำหนดดูรูปลักษณะอาหารอยู่ ถามแล้วค่อยรับมังสะคือเน้ือ
หรอื เธอรบั โดยคดิ วา่ ในเวลาฉนั จกั ถามแลว้ ฉนั ควรถามแลว้ คอ่ ยฉนั ถามวา่ เพราะอะไร
เพราะว่าเป็นของที่รู้ได้ยาก จริงอยู่ เน้ือหมีก็เหมือนๆกับเนื้อหมู แม้เน้ือเสือเหลือง
เป็นต้นก็คล้ายกับเน้ือมฤค เพราะฉะน้ัน พระอาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า ถามแล้ว
ค่อยรบั จงึ ควร

พรรษาที่ ๑๑ 327

คำ� วา่ ไมเ่ หน็ คอื ไมเ่ หน็ เนอ้ื ทเี่ ขาฆา่ แลว้ เอามาเพอ่ื ประโยชนแ์ กภ่ กิ ษทุ งั้ หลาย
คำ� วา่ ไมไ่ ดย้ นิ คอื ไมไ่ ดย้ นิ วา่ เขาฆา่ แลว้ เอามาเพอ่ื ประโยชนแ์ กภ่ กิ ษทุ ง้ั หลาย
คำ� วา่ ไมส่ งสยั คอื ไม่สงสยั ดว้ ยอำ� นาจสงสัยว่าเหน็ มา เป็นต้น

มังสะที่บริสุทธ์ดิ ้วยเหตุ ๓ ประการนี้ ชื่อวา่ บริสุทธ์ิโดยส่วน ๓ จรงิ อยกู่ าร
ฉนั มงั สะทบ่ี รสิ ทุ ธโิ์ ดยสว่ น ๓ นน้ั กเ็ ชน่ เดยี วกบั ฉนั กบั ขา้ วและผกั ดองทเ่ี กดิ เองในปา่
ภกิ ษผุ อู้ ยูด่ ้วยเมตตา ฉันมงั สะเช่นนนั้ ยอ่ มไม่มโี ทษ เพราะฉะนนั้ ขา้ พเจา้ จึงกลา่ ววา่
กม็ ังสะน้ันควรฉนั ได้

คนท่ีให้ภิกษุฉันเนื้อหมีด้วยให้เช่ือว่าเน้ือหมู ฉันเน้ือเสือเหลืองโดยให้เช่ือว่า
ว่าเน้ือมฤค แลว้ พดู เสียดสวี ่า ท่านยังชอ่ื วา่ สมณะหรือ ท่านฉนั อกัปปิยมังสะ เน้อื ที่
ไมส่ มควร เชอ่ื วา่ ใหย้ นิ ดดี ว้ ยเนอื้ เปน็ อกปั ปยิ ะ สว่ นคนเหลา่ ใดรวู้ า่ เนอื้ หมี เหมอื นเนอ้ื หมู
เนอ้ื เสอื เหลอื งเหมอื นเนอื้ มฤค ในยามหาอาหารยากหรอื ใชเ้ ยยี วยา ความเจบ็ ไข้ กพ็ ดู วา่
นเี้ นอ้ื หมู นเ้ี นอ้ื มฤค ใหภ้ กิ ษฉุ นั ดว้ ยอธั ยาศยั เกอื้ กลู พระผมู้ พี ระภาคเจา้ มไิ ดท้ รงหมายถงึ
คนเหลา่ นั้น คือค�ำตรสั มไิ ด้หมายถงึ คนเหลา่ น้นั คนเหล่านนั้ ย่อมได้บุญเป็นอนั มาก

ส่วนหมอชีวกเป็นอริยสาวกผู้ประสบผล ผู้รู้ค�ำสั่งสอน เป็นผู้ถึงสัจจะแล้ว
แต่หย่ังซ้ึงพระธรรมเทศนาน้ี เกิดความเลื่อมใส เมื่อจะกระท�ำการชมเชย (สดุดี)
พระธรรมกถา จึงกล่าวอยา่ งน้วี ่า พระเจา้ ข้า ข้าพระบาทน้ขี อถึงพระผ้มู พี ระภาคเจ้า
ทัง้ พระธรรม ทง้ั พระภกิ ษสุ งฆว์ ่าเปน็ สรณะ

อนึ่ง ตามท่ีพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุในพระธรรมวินัยน้ี ในค�ำน้ัน
ถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าจะตรัสค�ำว่าภิกษุไว้โดยไม่เจาะจงแม้ก็จริง แต่ที่แท้พึงทราบว่า
ทรงหมายถึงพระองคน์ นั่ เอง จึงตรสั อยา่ งนี้ จริงอยู่ พระผู้มพี ระภาคเจ้าทรงหมายถึง
พระองคเ์ องนัน่ แหละ ใน ๓ อาคตสถาน คือใน ๓ ทม่ี า คอื ใน มหาวัจฉโคตตสูตร
ใน จงั กีสูตร และในสูตรนี้ แลว้ ทรงแสดงเทศนา

พรรษาที่ ๑๒

เมอื งเวรญั ชา

พระอาจารย์ได้แสดงว่า พรรษาที่ ๑๒ พระพุทธเจ้าเสด็จจ�ำพรรษาท่ีเมือง
เวรัญชา เมอื งเวรัญชานีเ้ ข้าใจว่าอยู่ระหว่างเมืองมธรุ ากบั เมืองสาวตั ถี เพราะในเส้น-
ทางที่เสด็จไปจ�ำพรรษาท่ี ๑๒ ณ เวรัญชาน้ัน เสด็จจากเมืองมธุรา และใน
มัชฌมิ นกิ าย เวรญั ชกสตู ร มกี ลา่ วถงึ ชาวเวรญั ชาไปเฝา้ พระพุทธเจา้ ที่ เมอื งสาวตั ถี
อนั แสดงวา่ ๒ เมอื งนอี้ ยไู่ มไ่ กลกนั ใน สมนั ตปาสาทกิ า อธบิ ายวา่ เสน้ ทางจากเมอื ง
เวรญั ชาไปเมอื งพาราณสนี ัน้ เปน็ ทางตรงหรือทางลัด ณ เมอื งเวรญั ชาน้ี พระพทุ ธเจา้
เสด็จจ�ำพรรษา ณ โคนไม้สะเดา ซ่ึงมีศาลหรือเทวาลัยของยักษ์ชื่อ นเฬรุ ตั้งอยู่
จงึ เรยี กไมส้ ะเดานวี้ า่ นเฬรปุ จุ มิ นั ทะ และสถานทดี่ งั กลา่ วนเี้ ปน็ บรเิ วณปา่ หรอื สวนชาน-
เมอื งเวรญั ชา ในระหวา่ งทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงจำ� พรรษา ณ เมอื งเวรญั ชานน้ั เปน็ เวลาที่
เมืองเวรัญชาก�ำลังอยู่ในภาวะทุพภิกขภัย เป็นเหตุให้ภิกษุต้องประสบความล�ำบาก
จะแสดงเรอ่ื งท่ีพระพทุ ธเจ้าประทับอย่ทู ่ีเมืองเวรัญชานีด้ ้วยพระสตู รต่าง ๆ เป็นต้น

ปฐมสังวาสสตู ร๑

วา่ ด้วยความอย่รู ว่ มเปน็ สามีภรรยา ๔
สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จพระพุทธด�ำเนินทางไกล อยู่ระหว่างเมือง
มธรุ ากบั เมอื งเวรญั ชา ฝา่ ยคฤหบดแี ละคหปตานจี ำ� นวนมาก กเ็ ดนิ ทางไกลอยใู่ นระหวา่ ง

๑ องฺ. จตกุ กฺ . ๒๑/๕๓/๗๔.

พรรษาที่ ๑๒ 329

น้ันด้วย คราวนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จแวะไปประทับท่ีโคนไม้แห่งหนึ่ง คฤหบดี
และคหปตานเี หลา่ นน้ั ไดเ้ หน็ พระองคป์ ระทบั อยกู่ พ็ ากนั ไปเฝา้ ถวายอภวิ าทแลว้ ตา่ งนง่ั ลง
ณ ทสี่ มควรสว่ นขา้ งหนงึ่ พระองคจ์ งึ ตรสั พระธรรมเทศนานวี้ า่ คฤหบดแี ละคหปตานี
ท้งั หลาย สงั วาสะหรอื สงั วาส คือความอย่รู ว่ มกันเปน็ สามีภรรยา มี ๔ ประเภท

สงั วาส ๔ ประเภทมอี ะไรบ้าง คือชายผอี ยูร่ ่วมกบั หญิงผี ชายผอี ยู่ร่วมกบั
หญงิ เทวดา ชายเทวดาอย่รู ว่ มกับหญิงผี ชายเทวดาอยรู่ ่วมกับหญิงเทวดา

ชายผอี ยู่รว่ มกบั หญงิ ผเี ปน็ อย่างไร สามีเป็นคนท�ำปาณาตบิ าต อทินนาทาน
กาเมสุมจิ ฉาจาร พดู มสุ า ดืม่ สุราเมรยั เปน็ คนทุศลี มีธรรมลามก มใี จกลมุ้ ไปดว้ ย
มลทนิ คือความตระหน่ี อยคู่ รองเรือน มักดา่ วา่ สมณพราหมณ์ท้งั หลาย ฝ่ายภรรยาก็
เปน็ อย่างนั้นเหมอื นกัน อยา่ งนชี้ ายผีอย่รู ่วมกับหญงิ ผี

ชายผอี ย่รู ่วมกับหญงิ เทวดาเป็นอยา่ งไร สามีเปน็ คนทำ� ปาณาติบาต เปน็ ตน้
มักด่าว่าสมณพราหมณ์ท้ังหลาย ฝ่ายภรรยาเป็นผู้เว้นจากปาณาติบาต เว้นจาก
อทินนาทาน เว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร เว้นจากมุสาวาท เว้นจากการดื่มสุราเมรัย
เป็นคนมศี ลี มีธรรมงาม มีใจปราศจากมลทินคือความตระหนี่ อยคู่ รองเรือน ไมด่ า่ ว่า
สมณพราหมณ์ท้งั หลาย อยา่ งนีช้ ายผอี ยรู่ ว่ มกับหญงิ เทวดา

ก็ชายเทวดาอยู่ร่วมกับหญิงผีเป็นอย่างไร สามีเป็นผู้เว้นจากปาณาติบาต
เป็นต้น ไม่ด่าว่าสมณพราหมณ์ท้ังหลาย ฝ่ายภรรยาเป็นผู้ท�ำปาณาติบาตเป็นต้น
ด่าว่าสมณพราหมณท์ งั้ หลาย อย่างน้ชี ายเทวดาอยรู่ ่วมกบั หญงิ ผี

กช็ ายเทวดาอยรู่ ว่ มกบั หญงิ เทวดาเปน็ อยา่ งไร สามเี ปน็ ผเู้ วน้ จาก ปาณาตบิ าต
เป็นต้น ไมด่ า่ วา่ สมณพราหมณ์ท้งั หลาย ฝ่ายภรรยากเ็ ป็นเชน่ นัน้ เหมือนกนั อย่างน้ี
ชายเทวดาอยู่รว่ มกับหญิงเทวดา

คฤหบดีและคหปตานีท้ังหลาย น้แี ลสงั วาส ๔ ประเภท

ทง้ั คเู่ ปน็ คนทศุ ลี ตระหนี่ และดา่ วา่ สมณพราหมณ์ หญงิ ชายคนู่ นั้ เปน็ ภรรยา
และสามผี ีอยู่รว่ มกัน

330 ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า เล่ม ๒

สามเี ปน็ คนทศุ ลี ตระหนี่ และดา่ วา่ สมณพราหมณ์ ภรรยาเปน็ คนมศี ลี ใจบญุ
ไมต่ ระหน่ี นางนน้ั เปน็ หญงิ เทวดา อยูร่ ว่ มกับสามผี ี

สามเี ปน็ คนมศี ลี ใจบญุ ไมต่ ระหนี่ ภรรยาเป็นคนทศุ ีล ตระหน่ี และด่าว่า
สมณพราหมณ์ นางนั้นเป็นหญงิ ผี อยรู่ ว่ มกับสามีเทวดา

ทงั้ คเู่ ปน็ คนมศี รทั ธา รคู้ วามประสงคข์ องผขู้ อ สำ� รวมในศลี เลย้ี งชพี โดยชอบ
หญิงชายคู่น้ันเป็นภรรยาสามีพูดค�ำอ่อนหวานต่อกัน ย่อมบังเกิดความเจริญมาก
อยู่ด้วยกันเป็นผู้มีความผาสุก พวกศัตรูของภรรยาสามีท่ีมีความประพฤติดีสมกัน
ย่อมเสียใจ กามกามีคือผู้ที่ยังมีความใคร่ในกามท้ังคู่ ผู้มีศีลและพรตเสมอกัน
ครนั้ ประพฤติชอบในโลกนแ้ี ล้ว ละโลกนไ้ี ป ย่อมยนิ ดบี นั เทิงใจในเทวโลก

เรื่องเวรัญชพราหมณ๒์

โดยสมยั นนั้ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ประทบั อยู่ ณ โคนสะเดาทนี่ เฬรยุ กั ษส์ งิ สถติ
เขตเมืองเวรัญชา พร้อมดว้ ยภกิ ษุสงฆห์ มใู่ หญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป เวรญั ชพราหมณ์
ไดฟ้ งั ขา่ วตระหนกั แนว่ า่ ทา่ นผเู้ จรญิ พระสมณโคดมศากยบตุ ร ทรงผนวชจากศากย-
ตระกูล ประทับอยู่ ณ บริเวณต้นไม้สะเดาท่ีนเฬรุยักษ์สิงสถิต เขตเมืองเวรัญชา
พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป ก็แลพระกิตติศัพท์อันงามของท่าน
พระโคดมพระองค์นั้น ขจรไปอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงเป็น
พระอรหนั ต์ แม้เพราะเหตนุ ี้ ทรงตรัสรเู้ องโดยชอบ แม้เพราะเหตุนี้ ทรงบรรลุวิชชา
และจรณะ แมเ้ พราะเหตุน้ี เสดจ็ ไปดี แมเ้ พราะเหตนุ ้ี ทรงทราบโลก แมเ้ พราะเหตุนี้
ทรงเปน็ สารถีฝึกบุรษุ ทค่ี วรฝึก ไม่มีผอู้ ่นื ย่งิ กวา่ แม้เพราะเหตุนี้ ทรงเปน็ ศาสดาของ
เทพและมนุษย์ท้ังหลาย แม้เพราะเหตุนี้ ทรงเป็นพุทธะ แม้เพราะเหตุนี้ ทรงเป็น
พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้เพราะเหตุน้ี พระองค์ทรงท�ำโลกน้ีพร้อมท้ังเทวโลกมารโลก

๒ วิ. มหาว.ิ ๑/๑/๑.

พรรษาที่ ๑๒ 331

พรหมโลกให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เอง แล้วทรงส่ังสอนหมู่สัตว์
พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทพ และมนุษย์ให้รู้ ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามใน
ทา่ มกลาง งามในทสี่ ดุ ทรงประกาศพรหมจรรยพ์ รอ้ มทง้ั อรรถทง้ั พยญั ชนะ ครบบรบิ รู ณ์
บริสทุ ธิ์ อนึ่ง การเห็นพระอรหันต์ท้ังหลายเห็นปานน้นั เปน็ ความดี

เวรญั ชพราหมณ์กล่าวต่พู ระพุทธเจา้

หลังจากน้ันเวรัญชพราหมณ์ได้ไปในพระพุทธส�ำนัก คร้ันถึงแล้ว เวรัญช-
พราหมณ์ได้ทูลปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการทูลปราศรัยพอให้เป็นที่
บนั เทงิ เปน็ ทร่ี ะลึกถึงกนั ไปแล้ว จงึ น่ัง ณ ที่ควรส่วนขา้ งหนง่ึ เวรญั ชพราหมณน์ ่งั ณ
ทค่ี วรส่วนข้างหนง่ึ แล้ว ไดท้ ูลค�ำนแี้ กพ่ ระผูม้ ีพระภาคเจา้ ว่า ท่านพระโคดม ข้าพเจ้า
ได้ทราบมาว่า พระโคดมไม่ไหว้ไม่ลุกรับพวกพราหมณ์ ผู้แก่ผู้เฒ่าผู้ใหญ่ ผู้ล่วงกาล
ผ่านวัยมาโดยล�ำดับ หรือไมเ่ ช้ือเชญิ ด้วยอาสนะ ข้อท่ขี า้ พเจ้าทราบมานนี้ ้ัน เปน็ เชน่
นั้นจริง อันการท่ีท่านพระโคดมไม่ไหว้ไม่ลุกรับ พวกพราหมณ์ ผู้แก่ผู้เฒ่าผู้ใหญ่
ผ้ลู ว่ งกาลผ่านวยั มาโดยล�ำดบั หรอื ไม่เชือ้ เชญิ ด้วยอาสนะนีน้ น้ั ไมส่ มควรเลย

พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรสั วา่ ดกู อ่ นพราหมณ์ ในโลก ทง้ั เทวโลกมารโลกพรหมโลก
ในหมสู่ ตั วพ์ รอ้ มทง้ั สมณพราหมณ์ เทพ และมนษุ ย์ เราไมเ่ ลง็ เหน็ บคุ คลทเ่ี ราควรไหว้
ควรลุกรับ หรือควรเช้ือเชิญด้วยอาสนะ เพราะว่าตถาคตพึงไหว้ พึงลุกรับ หรือพึง
เชอื้ เชญิ บคุ คลใดด้วยอาสนะ แม้ศรี ษะของบุคคลนนั้ ก็จะพึงขาดตกไป

เวรัญชพราหมณ์กลา่ วกราบทูลวา่ ทา่ นพระโคดม มีปกติไมใ่ ยดี

พระผมู้ พี ระภาคเจ้าตรสั ว่า มีอยู่จรงิ ๆ พราหมณ์ เหตทุ ี่เขากลา่ วหาเราว่า
พระสมณโคดมมปี กตไิ มใ่ ยดดี ง่ั นี้ ชอื่ วา่ กลา่ วถกู เพราะความใยดใี นรปู เสยี ง กลน่ิ รส
โผฏฐพั พะเหลา่ นน้ั ตถาคตละไดแ้ ลว้ ตดั รากขาดแลว้ ทำ� ใหเ้ ปน็ เหมอื นตาลยอดดว้ น
ท�ำให้ไม่มีในภายหลัง ไม่มีเกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา น้ีแล เหตุท่ีเขากล่าวหาเราว่า
พระสมณโคดมมีปกติไมใ่ ยดี ดัง่ นี้ ชือ่ ว่ากล่าวถูก แตไ่ ม่ใชเ่ หตทุ ่ที า่ นม่งุ กลา่ ว

เวรญั ชพราหมณท์ ูลว่า ทา่ นพระโคดมไมม่ สี มบัติ

332 ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า เล่ม ๒

พระผมู้ พี ระภาคเจ้าตรัสว่า มอี ยู่จริง ๆ พราหมณ์ เหตทุ ีเ่ ขากลา่ วหาเราว่า
พระสมณโคดมไมม่ สี มบัติ ดง่ั นี้ ชื่อวา่ กลา่ วถูก เพราะสมบตั คิ อื รปู เสียง กลิน่ รส
โผฏฐพั พะเหลา่ นนั้ ตถาคตละไดแ้ ลว้ ตดั รากขาดแลว้ ทำ� ใหเ้ ปน็ เหมอื นตาลยอดดว้ น
ท�ำให้ไม่มีในภายหลัง ไม่มีเกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา นี้แลเหตุท่ีเขากล่าวหาเราว่า
พระสมณโคดมไมม่ ีสมบัติ ดั่งนี้ ชือ่ ว่ากลา่ วถกู แตไ่ มใ่ ช่เหตทุ ่ีท่านมุ่งกล่าว

เวรัญชพราหมณ์ทูลว่า ทา่ นพระโคดมกลา่ วการไม่ทำ�

พระผูม้ พี ระภาคเจ้าตรสั วา่ มีอยจู่ ริง ๆ พราหมณ์ เหตทุ เ่ี ขากล่าวหาเราว่า
พระสมณโคดมกลา่ วการไมท่ ำ� ดงั่ นี้ ชอ่ื วา่ กลา่ วถกู เพราะเรากลา่ วการไมท่ ำ� กายทจุ รติ
วจีทจุ รติ มโนทุจริต เรากลา่ วการไม่ท�ำส่ิงท่ีเป็นบาปอกศุ ลหลายอย่าง นีแ้ ลเหตทุ ี่เขา
กลา่ วหาเราวา่ พระสมณโคดมกลา่ วการไมท่ ำ� ดง่ั น้ี ชอื่ วา่ กลา่ วถกู แตไ่ มใ่ ชเ่ หตทุ ท่ี า่ น
ม่งุ กลา่ ว

เวรัญชพราหมณ์ทูลว่า ท่านพระโคดมกล่าวการขาดสูญ

พระผมู้ พี ระภาคเจ้าตรัสวา่ มีอยูจ่ รงิ ๆ พราหมณ์ เหตทุ ีเ่ ขากล่าวหาเราวา่
พระสมณโคดมกลา่ วความขาดสญู ดง่ั น้ี ช่ือวา่ กลา่ วถูก เพราะเรากล่าวความขาดสญู
แหง่ ราคะ โทสะ โมหะ เรากลา่ วความขาดสูญแหง่ สภาพทเ่ี ปน็ บาปอกุศลหลายอย่าง
น้แี ลเหตทุ ีเ่ ขากล่าวหาเราวา่ พระสมณโคดมกล่าวความขาดสูญ ด่งั นี้ ชอื่ ว่ากลา่ วถกู
แต่ไม่ใช่เหตทุ ท่ี า่ นมงุ่ กล่าว

เวรัญชพราหมณ์ทลู ว่า ทา่ นพระโคดมช่างรงั เกียจ

พระผูม้ ีพระภาคเจา้ ตรสั ว่า มีอย่จู ริง ๆ พราหมณ์ เหตทุ ่เี ขากลา่ วหาเราวา่
พระสมณโคดมชา่ งรงั เกยี จ ดง่ั น้ี ชอ่ื วา่ กลา่ วถกู เพราะเรารงั เกยี จกายทจุ รติ วจที จุ รติ
มโนทุจริต เรารังเกยี จความถงึ พรอ้ มแห่งสภาพทเ่ี ป็นบาปอกศุ ลหลายอย่าง น้ีแลเหตุ
ทเ่ี ขากลา่ วหาเราวา่ พระสมณโคดมชา่ งรังเกียจ ดงั่ น้ี ชื่อวา่ กลา่ วถกู แต่ไมใ่ ชเ่ หตทุ ี่
ทา่ นมุ่งกลา่ ว

พรรษาที่ ๑๒ 333

เวรญั ชพราหมณท์ ลู วา่ ท่านพระโคดมชา่ งกำ� จัด

พระผ้มู พี ระภาคเจ้าตรสั วา่ มีอยจู่ รงิ ๆ พราหมณ์ เหตุท่ีเขากลา่ วหาเราว่า
พระสมณโคดมช่างกำ� จัด ดั่งนี้ ชื่อวา่ กล่าวถกู เพราะเราแสดงธรรมเพอ่ื ก�ำจดั ราคะ
โทสะ โมหะ แสดงธรรมเพอ่ื ก�ำจัดสภาพท่ีเปน็ บาปอกุศลหลายอยา่ ง นแ้ี ล เหตทุ ี่เขา
กลา่ วหาเราวา่ พระสมณโคดมชา่ งกำ� จดั ดงั่ น้ี ชอ่ื วา่ กลา่ วถกู แตไ่ มใ่ ชเ่ หตทุ ท่ี า่ นมงุ่ กลา่ ว

เวรัญชพราหมณท์ ูลวา่ ท่านพระโคดมช่างเผาผลาญ

พระผ้มู ีพระภาคเจา้ ตรัสว่า มอี ยู่จรงิ ๆ พราหมณ์ เหตทุ ่ีเขากลา่ วหาเราวา่
พระสมณโคดมช่างเผาผลาญ ด่ังนี้ ช่ือว่ากล่าวถูก เพราะเรากล่าวธรรมท่ีเป็นบาป
อกศุ ล คอื กายทจุ รติ วจที จุ รติ มโนทจุ รติ วา่ เปน็ ธรรมซง่ึ เปน็ บาปอกศุ ลทค่ี วรเผาผลาญ
อันผู้ใดละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ท�ำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ท�ำให้ไม่มีในภาย
หลัง ไม่มีเกดิ อกี ตอ่ ไปเปน็ ธรรมดา เรากล่าวผ้นู น้ั ว่าเป็นคนชอบเผาผลาญ พราหมณ์
ธรรมทั้งหลายที่เป็นบาปอกุศลซ่ึงควรเผาผลาญ ตถาคตละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว
ท�ำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ท�ำให้ไม่มีในภายหลัง ไม่มีเกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา
น้ีแลเหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมช่างเผาผลาญ ด่ังนี้ ช่ือว่ากล่าวถูก
แต่ไม่ใช่เหตทุ ่ีท่านมุ่งกล่าว

เวรัญชพราหมณ์ทูลวา่ ท่านพระโคดมไม่ผดุ เกดิ

พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรสั วา่ มีอยูจ่ ริง ๆ พราหมณ์ เหตทุ ีเ่ ขากลา่ วหาเราวา่
พระสมณโคดมไมผ่ ดุ เกดิ ดง่ั นี้ ชอ่ื วา่ กลา่ วถกู เพราะการนอนในครรภต์ อ่ ไป การเกดิ
ในภพใหม่ อนั ผ้ใู ดละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ท�ำให้เปน็ เหมอื นตาลยอดด้วน ทำ� ให้
ไม่มีในภายหลัง ไม่มีเกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา เรากล่าวผู้นั้นว่า เป็นคนไม่ผุดเกิด
การนอนในครรภ์ตอ่ ไป การเกิดในภพใหม่ ตถาคตละไดแ้ ลว้ ตัดรากขาดแลว้ ทำ� ให้
เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ท�ำให้ไม่มีในภายหลัง ไม่มีเกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา
นแี้ ลเหตุท่เี ขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมไมผ่ ดุ เกดิ ดงั่ น้ี ชอื่ วา่ กลา่ วถูก แต่ไม่ใช่
เหตุทท่ี า่ นมุง่ กล่าว

334 ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า เล่ม ๒

ทรงอปุ มาดว้ ยลกู ไก่

ดกู อ่ นพราหมณ์ เปรยี บเหมือนฟองไก่ ๘ ฟอง ๑๐ ฟอง หรอื ๑๒ ฟอง
ฟองไกเ่ หลา่ นนั้ อนั แมไ่ กก่ กดแี ลว้ ฟกั ดแี ลว้ บรรดาลกู ไกเ่ หลา่ นน้ั ลกู ไกต่ วั ใด ทำ� ลาย
กระเปาะฟองด้วยปลายเลบ็ เท้าหรอื ดว้ ยจะงอยปาก ออกมาไดโ้ ดยสวัสดีก่อนกว่าเขา
ลูกไกต่ ัวนน้ั ควรเรยี กว่ากระไร จะเรยี กว่า พ่ี หรอื นอ้ ง

เวรัญชพราหมณ์ทูลวา่ ทา่ นพระโคดม ควรเรยี กวา่ พี่ เพราะมนั แกก่ วา่ เขา

ฌาน ๔ และ วิชชา ๓

พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรสั วา่ เรากเ็ หมอื นอยา่ งนน้ั แลพราหมณ์ เมอ่ื ประชาชน
ผตู้ กอยใู่ นอวชิ ชา เกดิ ในฟอง อนั กระเปาะฟองหมุ้ หอ่ ไว้ ผเู้ ดยี วเทา่ นน้ั ในโลก ไดท้ ำ� ลาย
กระเปาะฟองคอื อวชิ ชา แลว้ ไดต้ รสั รพู้ ระสมั มาสมั โพธญิ าณอนั ยอดเยยี่ ม เรานนั้ เปน็
ผเู้ จรญิ ทสี่ ดุ ประเสรฐิ ทสี่ ดุ ของโลก เพราะความเพยี รของเราทปี่ รารภแลว้ แล ไมย่ อ่ หยอ่ น
สติดำ� รงม่ันไม่ฟัน่ เฟือน กายสงบ ไม่กระสับกระสา่ ย จิตตั้งมนั่ มีอารมณ์เปน็ หนึ่ง

ปฐมฌาน เรานั้นแลสงัดแล้วจากกาม สงัดแล้วจากอกุศลธรรม ได้บรรลุ
ปฐมฌาน มวี ติ ก มีวิจาร มีปตี ิและสุขซึง่ เกิดแตว่ เิ วกอยู่

ทตุ ยิ ฌาน เราไดบ้ รรลทุ ตุ ยิ ฌาน มคี วามผอ่ งใสแหง่ จติ ณ ภายใน เปน็ ธรรม
เอกผดุ ขนึ้ ไมม่ วี ติ ก ไมม่ วี จิ าร เพราะวติ กวจิ ารสงบไป มปี ตี แิ ละสขุ ซงึ่ เกดิ แตส่ มาธอิ ยู่

ตติยฌาน เรามอี ุเบกขาอยู่ มีสติ มสี มั ปชญั ญะ และเสวยสขุ ด้วยนามกาย
เพราะปีติสิ้นไป ได้บรรลุตติยฌานท่ีพระอริยะท้ังหลายสรรเสริญว่า เป็นผู้มีอุเบกขา
มสี ติ มีสขุ อยู่ ดัง่ น้ี

จตุตถฌาน เราได้บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์และสุข เพราะละสุขละทุกข์
และดบั โทมนสั โสมนสั กอ่ น ๆ มอี เุ บกขาเปน็ เหตุให้สตบิ รสิ ทุ ธ์ิอยู่

พรรษาท่ี ๑๒ 335

บพุ เพนวิ าสานสุ ติญาณ เรานน้ั เมือ่ จติ เปน็ สมาธิ บรสิ ทุ ธิ์ผุดผ่อง ไมม่ กี ิเลส
ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแกก่ ารงาน ต้ังมนั่ ไม่หว่นั ไหว อย่างน้ีแล้ว ได้นอ้ มจติ
ไปเพ่ือบุพเพนิวาสานุสติญาณ คือความรู้ระลึกถึงขันธ์เป็นท่ีอาศัยอยู่ในปางก่อนได้
เรานนั้ ยอ่ มระลกึ ชาตกิ อ่ นไดเ้ ปน็ อนั มาก คอื ระลกึ ได้ ๑ ชาตบิ า้ ง ๒ ชาตบิ า้ ง ๓ ชาติ
บ้าง ๔ ชาตบิ า้ ง ๕ ชาติบา้ ง ๑๐ ชาติบ้าง ๒๐ ชาตบิ ้าง ๓๐ ชาติบา้ ง ๔๐ ชาตบิ ้าง
๕๐ ชาตบิ ้าง ๑๐๐ ชาตบิ า้ ง ๑,๐๐๐ ชาตบิ ้าง ๑๐๐,๐๐๐ ชาติบ้าง ตลอดสงั วัฏฏ-
กปั เปน็ อนั มากบา้ ง ตลอดววิ ฏั ฏกปั เปน็ อนั มากบา้ ง ตลอดสงั วฏั ฏววิ ฏั ฏกปั เปน็ อนั มาก
บา้ ง วา่ ในภพโน้นเราได้มชี ่อื อยา่ งนน้ั มีโคตรอยา่ งนนั้ มีผิวพรรณอยา่ งน้นั มีอาหาร
อย่างน้ัน เสวยสุขทกุ ขอ์ ยา่ งน้ัน ๆ มกี ำ� หนดอายุเพยี งเทา่ น้นั ครัน้ จตุ จิ ากภพนัน้ แล้ว
ไดไ้ ปเกดิ ในภพโนน้ แมใ้ นภพโนน้ เรากไ็ ดม้ ชี อื่ อยา่ งนนั้ โคตรอยา่ งนนั้ มผี วิ พรรณอยา่ ง
นนั้ มอี าหารอยา่ งนน้ั เสวยสขุ ทกุ ขอ์ ยา่ งนน้ั ๆ มกี ำ� หนดอายเุ พยี งเทา่ นนั้ ครนั้ จตุ จิ าก
ภพโนน้ แลว้ ไดม้ าเกดิ ในภพน้ี เรายอ่ มระลกึ ถงึ ชาตกิ อ่ นไดเ้ ปน็ อนั มาก พรอ้ มทง้ั อเุ ทศ
พร้อมทงั้ อาการ ดว้ ยประการฉะนี้

พราหมณ์ วชิ ชาท่ี ๑ นีแ้ ล เราไดบ้ รรลแุ ล้ว ในปฐมยามแห่งราตรี อวิชชา
เรากำ� จดั ไดแ้ ลว้ วชิ ชาเกดิ แกเ่ ราแลว้ ความมดื เรากำ� จดั ไดแ้ ลว้ แสงสวา่ งเกดิ แกเ่ ราแลว้
เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส ส่งจิตไปแล้วอยู่ ฉะนั้น
ความช�ำแรกออกคร้ังท่ี ๑ ของเราน้ีแล ได้เป็นเหมือนการท�ำลายออกจากกระเปาะ
ฟองแห่งลกู ไกฉ่ ะนัน้

จตุ ปู ปาตญาณ เรานนั้ เมอื่ จติ เปน็ สมาธิ บรสิ ทุ ธ์ิ ผดุ ผอ่ ง ไมม่ กี เิ ลสปราศจาก
อปุ กเิ ลส ออ่ น ควรแกก่ ารงาน ตงั้ มนั่ ไมห่ วน่ั ไหว อยา่ งนแี้ ลว้ ไดน้ อ้ มจติ ไปเพอื่ ญาณ
เคร่อื งรจู้ ตุ ิ ความเคลอื่ น และอุปบตั ิ ความเขา้ ถงึ ของสัตว์ทง้ั หลาย เราน้ันยอ่ มเลง็
เห็นหมสู่ ตั ว์ผกู้ ำ� ลังจตุ ิ เคลื่อน ก�ำลงั อุปบตั ิ เขา้ ถึง เลว ประณีต มผี ิวพรรณดี มผี วิ
พรรณทราม ไดด้ ี ตกยาก ด้วยทพิ ยจกั ษุอนั บริสทุ ธ์ิ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซ่ึง
หมู่สัตว์ผู้เข้าถึงตามกรรมว่า หมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอยู่เหล่านี้ ประกอบด้วยกายทุจริต
วจที จุ รติ มโนทจุ รติ ตเิ ตยี นพระอรยิ เจา้ เปน็ มจิ ฉาทฏิ ฐิ ยดึ ถอื การกระทำ� ดว้ ยอำ� นาจ
มิจฉาทิฏฐิ หม่สู ัตว์ผ้เู กดิ เปน็ อยู่เหลา่ น้นั เบอ้ื งหน้าแตก่ ายแตกตายไป เข้าถึงอบาย
ทุคติ วินิบาต นรก หรือว่าหมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอยู่เหล่านี้ ประกอบด้วยกายสุจริต

336 ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า เล่ม ๒

วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระท�ำด้วย
อำ� นาจสมั มาทฏิ ฐิ หมสู่ ตั วผ์ เู้ กดิ เปน็ อยเู่ หลา่ นน้ั เบอื้ งหนา้ แตก่ ายแตกตายไป เขา้ ถงึ
สคุ ตโิ ลกสวรรค์ เรายอ่ มเลง็ เหน็ หมสู่ ตั วผ์ กู้ ำ� ลงั จตุ กิ ำ� ลงั อปุ บตั ิ เลว ประณตี มผี วิ พรรณ
ดี มีผิวพรรณ ทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธ์ิล่วงจักษุของมนุษย์
ยอ่ มรู้ชัดซงึ่ หมูส่ ัตว์ผเู้ ข้าถงึ ตามกรรม ด้วยประการดงั่ น้ี

พราหมณ์ วิชชาท่ี ๒ นี้แล เราได้บรรลุแลว้ ในมัชฌิมยามแห่งราตรี อวชิ ชา
เรากำ� จดั ไดแ้ ลว้ วชิ ชาเกดิ แกเ่ ราแลว้ ความมดื เรากำ� จดั ไดแ้ ลว้ แสงสวา่ งเกดิ แกเ่ ราแลว้
เหมือนท่ีเกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส ส่งจิตไปแล้วอยู่ ฉะนั้น
ความช�ำแรกออกคร้ังที่ ๒ ของเรานี้แล ได้เป็นเหมือนการท�ำลายออกจากกระเปาะ
ฟองแห่งลกู ไก่ ฉะนั้น

อาสวกั ขยญาณ เรานนั้ เมอ่ื จติ เปน็ สมาธิ บรสิ ทุ ธิ์ ผดุ ผอ่ ง ไมม่ กี เิ ลส ปราศจาก
อุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หว่ันไหว อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิตไปเพื่อ
อาสวักขยญาณ ความหย่ังรู้เป็นเหตุสิ้นอาสวะคือกิเลสท่ีดองจิตสันดานท้ังหลาย
เรานนั้ ไดร้ ชู้ ดั ตามเปน็ จริงวา่ นีท้ กุ ข์ ได้รู้ชดั ตามเปน็ จริงว่า นี้เหตุใหเ้ กดิ ทุกข์ ไดร้ ูช้ ัด
ตามเป็นจรงิ วา่ นค้ี วามดบั ทุกข์ ได้รชู้ ัดตามเปน็ จริงว่า นี้ขอ้ ปฏิบัติใหถ้ ึงความดบั ทกุ ข์
ไดร้ ชู้ ดั ตามเปน็ จรงิ ว่า เหล่าน้ีอาสวะ ได้ร้ชู ดั ตามเป็นจริงวา่ นเ้ี หตเุ กดิ อาสวะ ได้รู้ชดั
ตามเป็นจริงว่า น้ีความดับอาสวะ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับ
อาสวะ เมื่อเรานั้นรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างน้ี จิตได้หลุดพ้นแล้วแม้จากกามาสวะ
ไดห้ ลดุ พน้ แลว้ แมจ้ ากภวาสวะ ไดห้ ลดุ พน้ แลว้ แมจ้ ากอวชิ ชาสวะ เมอื่ จติ ไดห้ ลดุ พน้ แลว้
ได้มีญาณหย่ังรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว ได้รู้ด้วยปัญญาอันยิ่งว่า ชาติส้ินแล้ว พรหมจรรย์
อยจู่ บแล้ว กิจทคี่ วรไดท้ ำ� เสรจ็ แลว้ กจิ อื่นอีกเพ่ือความเป็นอย่างนี้มไิ ด้มี

พราหมณ์ วชิ ชาที่ ๓ นี้แล เราไดบ้ รรลุแล้ว ในปัจฉมิ ยามแห่งราตรี อวิชชา
เรากำ� จดั ไดแ้ ลว้ วชิ ชาเกดิ แกเ่ ราแลว้ ความมดื เรากำ� จดั ไดแ้ ลว้ แสงสวา่ งเกดิ แกเ่ ราแลว้
เหมือนท่ีเกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส ส่งจิตไปแล้วอยู่ ฉะนั้น
ความช�ำแรกออกคร้ังท่ี ๓ ของเราน้ีแล ได้เป็นเหมือนการท�ำลายออกจากกระเปาะ
ฟองแหง่ ลูกไก่ ฉะนั้น

พรรษาท่ี ๑๒ 337

เวรญั ชพราหมณ์แสดงตนเป็นอุบาสก

เม่ือพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างน้ีแล้ว เวรัญชพราหมณ์ได้ทูลค�ำน้ีแก่
พระผมู้ ีพระภาคเจ้าว่า ท่านพระโคดมเป็นผเู้ จรญิ ที่สดุ ท่านพระโคดมเปน็ ผูป้ ระเสรฐิ
ทส่ี ดุ ข้าแต่ท่านพระโคดม ภาษติ ของพระองคแ์ จม่ แจ้งนัก ภาษิตของพระองค์ไพเราะ
นกั พระองคท์ รงประกาศธรรมโดยอเนกปรยิ ายอยา่ งนี้ เปรยี บเหมอื นบคุ คลหงายของ
ที่คว่�ำ เปิดของท่ีปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยต้ังใจว่า
คนมีจักษุจักเห็นรูป ด่ังน้ี ข้าพเจ้านี้ขอถึงท่านพระโคดม พระธรรม และพระสงฆ์
วา่ เปน็ สรณะ ขอพระองคจ์ งทรงจำ� ขา้ พเจา้ วา่ เปน็ อบุ าสกผถู้ งึ สรณะตลอดชวี ติ จำ� เดมิ
แตว่ นั นเ้ี ปน็ ตน้ ไป และขอพระองคพ์ รอ้ มดว้ ยภกิ ษสุ งฆ์ จงทรงรบั อาราธนาอยจู่ ำ� พรรษา
ท่เี มืองเวรญั ชาของข้าพเจา้ เถดิ

พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ทรงรบั อาราธนาดว้ ยพระอาการดษุ ณี ครนั้ เวรญั ชพราหมณ์
ทราบการรบั อาราธนาของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ แลว้ ไดล้ กุ จากทน่ี ง่ั ถวายบงั คมพระผมู้ -ี
พระภาคเจา้ ท�ำประทกั ษณิ หลีกไป

เมอื งเวรญั ชาเกดิ ทุพภกิ ขภยั

ก็โดยสมัยนั้นแล เมืองเวรัญชามีภักษาหารน้อย ประชาชนหาเล้ียงชีพ
ฝดื เคอื ง มกี ระดกู คนตายขาวเกลอ่ื น ตอ้ งมสี ลากซอื้ อาหาร ภกิ ษสุ งฆจ์ กั ยงั อตั ภาพให้
เป็นไปจากการแสวงหาก็ท�ำไม่ได้ง่าย ครั้งนั้นพวกพ่อค้าม้าชาวอุตตราปถะ มีม้า
ประมาณ ๕๐๐ ตวั ไดเ้ ขา้ พกั แรมตลอดฤดฝู นในเมอื งเวรญั ชา พวกเขาไดต้ กแตง่ ขา้ ว
แดงส�ำหรับภิกษุรูปละแล่งไว้ท่ีคอกม้า เวลาเช้า ภิกษุทั้งหลายครองอันตรวาสกแล้ว
ถอื บาตรจวี รเขา้ ไปบณิ ฑบาตในเมอื งเวรญั ชา เมอื่ ไมไ่ ดบ้ ณิ ฑบาต จงึ เทยี่ วไปบณิ ฑบาต
ทค่ี อกมา้ รบั ขา้ วแดงรปู ละแลง่ นำ� ไปสอู่ ารามแลว้ ลงครกโขลกฉนั สว่ นทา่ นพระอานนท์
บดข้าวแดงแล่งหน่ึงท่ีศิลา แล้วน้อมเข้าไปถวายแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มี-
พระภาคเจ้าเสวยพระกระยาหาร ท่บี ดพิเศษนน้ั อยู่ ได้ทรงสดับเสียงครกแล้ว

338 ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า เล่ม ๒

พระพุทธประเพณี

พระตถาคตทงั้ หลายทรงทราบอยู่ ยอ่ มตรสั ถามกม็ ี ทรงทราบอยู่ ยอ่ มไมต่ รสั
ถามก็มี ทรงทราบกาลแล้วตรัสถาม ทรงทราบกาลแล้วไม่ตรัสถาม พระตถาคตท้ัง
หลายยอ่ มตรสั ถามสง่ิ ทป่ี ระกอบดว้ ยประโยชน์ ไมต่ รสั ถามสงิ่ ทไี่ มป่ ระกอบดว้ ยประโยชน์
พระตถาคตทัง้ หลายทรงกำ� จัดสิ่งท่ไี ม่ประกอบด้วยประโยชน์ ดว้ ยขอ้ ปฏิบตั ิ พระผู้ม-ี
พระภาคเจ้าย่อมทรงสอบถามภิกษุท้ังหลายด้วยอาการ ๒ อย่าง คือ จักทรงแสดง
ธรรมอย่างหนึ่ง จักทรงบัญญัติสิกขาบทแก่พระสาวกทั้งหลายอย่างหน่ึง ครั้งน้ัน
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามพระอานนท์ว่า อานนท์ นั่นเสียงครกหรือหนอ ท่าน
พระอานนท์จึงกราบทูลเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นนั้นให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
สรรเสรญิ วา่ ดลี ะ ดลี ะ อานนท์ พวกเธอเปน็ สตั บรุ ษุ ชนะวเิ ศษแลว้ พวกเพอื่ นพรหมจารี
ช้นั หลังจักดูหม่ินขา้ วสาลแี ละขา้ วสุก อนั ระคนดว้ ยเนื้อ

พระมหาโมคคัลลานะเปลง่ สหี นาท

ครง้ั นน้ั ทา่ นพระมหาโมคคลั ลานะไดเ้ ขา้ ไปเฝา้ พระพทุ ธเจา้ ถวายบงั คม แลว้ นง่ั
ณ ทคี่ วรสว่ นขา้ งหนง่ึ ไดก้ ราบทลู คำ� นแ้ี กพ่ ระผมู้ พี ระภาคเจา้ วา่ พระพทุ ธเจา้ ขา้ บดั นี้
เมืองเวรัญชามีภักษาหารน้อย ประชาชนหาเลี้ยงชีพฝืดเคือง มีกระดูกคนตายขาว
เกลอื่ น ตอ้ งมสี ลากซอื้ อาหาร ภกิ ษสุ งฆจ์ ะยงั อตั ภาพใหเ้ ปน็ ไปดว้ ยการถอื บาตรแสวงหา
ก็ทำ� ไมไ่ ด้งา่ ย พระพุทธเจ้าข้า พ้นื เบ้อื งล่างแห่งปฐพอี นั กว้างใหญน่ ้ี สมบูรณ์ มีรสอัน
โอชา เหมือนน�้ำผ้ึงหว่ีไม่มีตัวอ่อนฉะน้ัน ขอประทานพระวโรกาส ข้าพระพุทธเจ้า
จะพงึ พลกิ แผน่ ดนิ พระภิกษุทงั้ หลายจักไดฉ้ ันง้วนดนิ พระพทุ ธเจ้าขา้

พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรสั ถามวา่ ดกู อ่ นโมคคลั ลานะ กส็ ตั วท์ อี่ าศยั แผน่ ดนิ เลา่
เธอจะท�ำอย่างไรแกส่ ัตวเ์ หลา่ นั้น

พระมหาโมคคัลลานะกราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะเนรมิตฝ่ามือข้างหน่ึง
ให้เป็นดุจแผ่นดินใหญ่ ยังสัตว์ผู้อาศัยแผ่นดินเหล่าน้ันให้ไปอยู่บนฝ่ามือน้ัน จะพลิก
แผน่ ดินด้วยมืออกี ขา้ งหนึ่ง พระพทุ ธเจ้าขา้

พรรษาท่ี ๑๒ 339

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อย่าเลยโมคคัลลานะ เธออย่าพอใจการพลิก
แผน่ ดนิ เลย สตั วท์ ัง้ หลายจะพงึ ได้รับผลตรงกนั ข้าม

พระมหาโมคคลั ลานะกราบทลู วา่ ขอประทานพระวโรกาส ขอภกิ ษสุ งฆท์ ง้ั หมด
พึงไปบณิ ฑบาตในอตุ ตรกุรทุ วปี พระพุทธเจา้ ขา้

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ก็ภิกษุผู้ไม่มีฤทธิ์เล่า เธอจะท�ำอย่างไรแก่ภิกษุ
เหล่านนั้

พระโมคคัลลานะกราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าจักท�ำให้ภิกษุเหล่านั้นไปได้
พระพุทธเจ้าขา้

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อย่าเลยโมคคัลลานะ เธออย่าพอใจการที่
ภิกษุสงฆ์ทงั้ หมดไปบณิ ฑบาตในอุตตรกรุ ทุ วปี เลย

เหตุใหพ้ ระศาสนาดำ� รงอย่ไู มน่ านและนาน

ครงั้ นน้ั ทา่ นพระสารบี ตุ รไปในทสี่ งดั เรน้ อยู่ ไดม้ คี วามปรวิ ติ กแหง่ จติ เกดิ ขนึ้
อยา่ งนว้ี า่ พระศาสนาของพระผ้มู ีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลายพระองคไ์ หน ไมด่ �ำรงอยู่
นาน ของพระองค์ไหนด�ำรงอยนู่ าน ดง่ั นี้ ครัน้ เวลาสายัณห์ ท่านออกจากท่เี รน้ แลว้
เขา้ ไปเฝา้ พระผมู้ ีพระภาคเจ้า ถวายบังคมแล้วนัง่ ณ ที่ควรสว่ นขา้ งหนง่ึ แล้วกราบ
บังคมทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าไปในที่สงัด หลีกเร้นอยู่ ณ ต�ำบลน้ี
ได้มีความปริวิตกแห่งจิตเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า
ทัง้ หลายพระองค์ไหนไมด่ �ำรงอยู่นาน ของพระองค์ไหนด�ำรงอยนู่ าน ดงั่ นี้

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนสารีบุตร พระศาสนาของพระผู้มี-
พระภาคเจ้าพระนามวิปัสสี พระนามสิขี และพระนามเวสสภู ไม่ด�ำรงอยู่นาน
ของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ พระนามกกสุ นั ธะ พระนามโกนาคมนะ และพระนามกสั สปะ
ด�ำรงอยู่นาน

340 ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า เล่ม ๒

พระสารีบุตรกราบทูลถามว่า อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัยให้พระศาสนา
ของพระผู้มีพระภาคเจา้ พระนามวปิ สั สี พระนามสิขี และพระนามเวสสภู ไม่ดำ� รงอยู่
นาน พระพุทธเจ้าข้า

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนสารีบุตร พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระนามวิปัสสี พระนามสิขี และพระนามเวสสภู ไม่ทรงขวนขวายเพ่ือจะทรงแสดง
ธรรมโดยพสิ ดารแกส่ าวกทงั้ หลาย อนงึ่ สตุ ตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อทุ าน
อติ วิ ตุ ตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าท้ัง ๓ พระองค์
น้ันมีน้อย สิกขาบทก็มิได้ทรงบัญญัติ ปาติโมกข์ก็มิได้ทรงแสดงแก่สาวก เพราะ
อันตรธานแห่งพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้น เพราะอันตรธานแห่งสาวกผู้ตรัสรู้
ตามพระพทุ ธเจา้ เหลา่ นนั้ สาวกชน้ั หลงั ทต่ี า่ งชอื่ กนั ตา่ งโคตรกนั ตา่ งชาตกิ นั ออกบวช
จากตระกูลต่างกัน จึงยังพระศาสนานั้นให้อันตรธานโดยฉับพลัน ดูก่อนสารีบุตร
ดอกไมต้ า่ งพนั ธท์ุ เ่ี ขากองไวบ้ นพนื้ กระดาน ยงั ไมไ่ ดร้ อ้ ยดว้ ยดา้ ย ลมยอ่ มกระจาย ขจดั
กำ� จดั ซงึ่ ดอกไมเ้ หลา่ นน้ั ได้ ขอ้ นนั้ เพราะเหตอุ ะไร เพราะเขาไมไ่ ดร้ อ้ ยดว้ ยดา้ ยฉนั ใด
เพราะอันตรธานแห่งพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่าน้ัน เพราะอันตรธานแห่งสาวก
ผตู้ รสั รตู้ ามพระพทุ ธเจา้ เหลา่ นนั้ สาวกชนั้ หลงั ทตี่ า่ งชอ่ื กนั ตา่ งโคตรกนั ตา่ งชาตกิ นั
ออกบวชจากตระกูลต่างกัน จึงยังพระศาสนาน้ันให้อันตรธานโดยฉับพลันฉันนั้น
เหมอื นกนั เพราะพระผมู้ พี ระภาคพทุ ธเจา้ เหลา่ นน้ั ไมท่ รงขวนขวายเพอื่ จะทรงกำ� หนด
จติ ของสาวกดว้ ยพระหฤทยั แลว้ ทรงสงั่ สอนสาวก ดกู อ่ นสารบี ตุ ร เรอื่ งเคยมมี าแลว้
พระผมู้ พี ระภาคอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา้ พระนามเวสสภู ทรงกำ� หนดจติ แหง่ ภกิ ษสุ งฆ์
ดว้ ยพระหฤทยั แลว้ ทรงสง่ั สอน พรำ�่ สอนภกิ ษสุ งฆป์ ระมาณ ๑,๐๐๐ รปู ในไพรสณฑ์
อนั น่าสะพรึงกลวั แห่งหน่งึ วา่ พวกเธอจงตรกึ อย่างนี้ อย่าได้ตรึกอย่างนน้ั จงท�ำในใจ
อยา่ งนี้ อยา่ ไดท้ ำ� ในใจอยา่ งนนั้ จงละสว่ นน้ี จงเขา้ ถงึ สว่ นนอี้ ยเู่ ถดิ ดงั่ น้ี ลำ� ดบั นนั้ แล
จิตของภิกษุประมาณ ๑,๐๐๐ รูปน้ัน อันพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระนามเวสสภูทรงสัง่ สอนอยู่อย่างนั้น ทรงพรำ่� สอนอยอู่ ยา่ งนน้ั ได้หลดุ พ้นแล้วจาก
อาสวะท้ังหลายเพราะไม่ถือมั่น ในเพราะความที่ไพรสณฑ์อันน่าสะพรึงกลัวน้ัน
เปน็ ถนิ่ ทน่ี า่ สยดสยอง จงึ มคี ำ� นว้ี า่ ผใู้ ดผหู้ นงึ่ ซง่ึ ยงั ไมป่ ราศจากราคะ เขา้ ไปสไู่ พรสณฑ์
น้ัน โดยมากโลมชาติ ย่อมชชู ัน ดกู ่อนสารบี ุตร อนั นแ้ี ลเปน็ เหตุ อนั นี้แลเปน็ ปจั จยั
ใหพ้ ระศาสนาของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ พระนามวปิ สั สี พระนามสขิ ี และพระนามเวสสภู
ไม่ดำ� รงอยนู่ าน

พรรษาที่ ๑๒ 341

พระสารีบุตรกราบทูลถามว่า อะไรเปน็ เหตุ อะไรเปน็ ปัจจยั ใหพ้ ระศาสนา
ของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ พระนามกกสุ นั ธะ พระนามโกนาคมนะ และพระนามกสั สปะ
ด�ำรงอยนู่ าน พระพทุ ธเจา้ ขา้

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนสารีบุตร พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนาม
กกสุ นั ธะ พระนามโกนาคมนะ และพระนามกสั สปะ มไิ ดท้ รงขวนขวายนอ้ ย เพอ่ื ทจี่ ะ
ทรงแสดงธรรมโดยพสิ ดารแก่สาวกทัง้ หลาย อนงึ่ สตุ ตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา
อทุ าน อติ วิ ตุ ตกะ ชาดก อพั ภตู ธรรม เวทลั ละ ของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ ทงั้ ๓ พระองค์
นน้ั มมี าก สกิ ขาบทกท็ รงบญั ญตั ิ ปาตโิ มกขก์ ท็ รงแสดงแกส่ าวก เพราะอนั ตรธานแหง่
พระผมู้ ีพระภาคพทุ ธเจา้ เหลา่ น้นั เพราะอนั ตรธานแหง่ สาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจา้
เหลา่ นน้ั สาวกชนั้ หลงั ทต่ี า่ งชอื่ กนั ตา่ งโคตรกนั ตา่ งชาตกิ นั ออกบวชจากตระกลู ตา่ งกนั
จงึ ดำ� รงพระศาสนานน้ั ไว้ ไดต้ ลอดระยะกาลยนื นาน ดกู อ่ นสารบี ตุ ร ดอกไมต้ า่ งพนั ธ์ุ
ทเ่ี ขากองไวบ้ นพนื้ กระดาน รอ้ ยดแี ลว้ ดว้ ยดา้ ย ลมยอ่ มกระจายไมไ่ ด้ ขจดั ไมไ่ ด้ กำ� จดั
ไม่ได้ซึ่งดอกไม้เหล่าน้ัน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะเขาร้อยดีแล้วด้วยด้าย ฉันใด
เพราะอันตรธานแห่งพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่าน้ัน เพราะอันตรธานแห่งสาวก
ผตู้ รสั รตู้ ามพระพทุ ธเจา้ เหลา่ นน้ั สาวกชน้ั หลงั ทต่ี า่ งชอ่ื กนั ตา่ งโคตรกนั ตา่ งชาตกิ ัน
ออกบวชจากตระกลู ตา่ งกนั จงึ ดำ� รงพระศาสนานน้ั ไวไ้ ดต้ ลอดระยะเวลากาล ยนื นาน
ฉันน้ันเหมือนกัน ดูก่อนสารีบุตร อันนี้แลเป็นเหตุ อันนี้แลเป็นปัจจัยให้พระศาสนา
ของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ พระนามกกสุ นั ธะ พระนามโกนาคมนะ และพระนามกสั สปะ
ด�ำรงอยนู่ าน

ปรารภเหตุให้ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท

ลำ� ดบั นน้ั แล ทา่ นพระสารบี ตุ รลกุ จากอาสนะ ทำ� ผา้ อตุ ตราสงคเ์ ฉวยี งบา่ ขา้ งหนงึ่
ประนมอญั ชลไี ปทางพระผมู้ พี ระภาคเจา้ แลว้ กราบทลู วา่ ถงึ เวลาแลว้ พระพทุ ธเจา้ ขา้
ขา้ แตพ่ ระสคุ ต ถงึ เวลาแลว้ ทจี่ ะทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท ทจ่ี ะทรงแสดงปาตโิ มกขแ์ กส่ าวก
อันจะเปน็ เหตใุ ห้พระศาสนาน้ยี ง่ั ยืน ด�ำรงอย่ไู ด้นาน

342 ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า เล่ม ๒

พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรสั วา่ จงรอกอ่ นสารบี ตุ ร จงยบั ยง้ั กอ่ นสารบี ตุ ร ตถาคต
เท่าน้นั จักรูก้ าลในกรณยี น์ ้นั พระศาสดายงั ไมบ่ ัญญตั สิ ิกขาบท ยังไม่แสดงปาตโิ มกข์
แก่สาวก ตลอดเวลาที่ธรรมอันเป็นที่ต้ังแห่งอาสวะบางเหล่ายังไม่ปรากฏในสงฆ์ใน
ศาสนานี้ ต่อเมื่อใด อาสวฏั ฐานิยธรรม คอื ธรรมอนั เป็นทีต่ ั้งแห่งอาสวะ คอื กเิ ลสที่
ดองสันดานบางอย่างปรากฏในสงฆ์ในศาสนานี้ เมื่อนั้น พระตถาคตจึงจะบัญญัติ
สกิ ขาบท แสดงปาตโิ มกขแ์ กส่ าวก เพอื่ กำ� จดั อาสวฏั ฐานยิ ธรรมเหลา่ นนั้ และอาสวฏั -
ฐานิยธรรมบางเหล่ายังไม่ปรากฏในสงฆ์ในศาสนาน้ี ตลอดเวลาท่ีสงฆ์ยังไม่ถึงความ
เปน็ หมใู่ หญโ่ ดยภกิ ษผุ บู้ วชนาน ตอ่ เมอื่ ใดสงฆถ์ งึ ความเปน็ หมใู่ หญโ่ ดยภกิ ษผุ บู้ วชนานแลว้
และอาสวัฏฐานิยธรรมบางเหลา่ ยอ่ มปรากฏในสงฆใ์ นศาสนานี้ เมอ่ื นัน้ พระศาสดาจงึ
จะบัญญัติสิกขาบท แสดงปาติโมกข์แก่สาวก เพื่อก�ำจัดอาสวัฏฐานิยธรรมเหล่านั้น
และอาสวัฏฐานิยธรรมบางเหลา่ ยังไม่ปรากฏในสงฆใ์ นศาสนานี้ ตลอดเวลาท่สี งฆ์ยงั
ไมถ่ งึ ความเปน็ หมใู่ หญโ่ ดยแพรห่ ลาย ตอ่ เมอื่ ใดสงฆถ์ งึ ความเปน็ หมใู่ หญโ่ ดยแพรห่ ลายแลว้
และอาสวฏั ฐานยิ ธรรมบางเหลา่ ยอ่ มปรากฏในสงฆใ์ นศาสนาน้ี เมือ่ น้ันพระศาสดาจึง
จะบัญญัติสิกขาบท แสดงปาติโมกข์แก่สาวก เพื่อก�ำจัดอาสวัฏฐานิยธรรมเหล่าน้ัน
และอาสวัฏฐานิยธรรมบางเหล่ายังไม่ปรากฏในสงฆ์ในศาสนานี้ ตลอดเวลาท่ีสงฆ์ยัง
ไมถ่ งึ ความเปน็ หมใู่ หญเ่ ลศิ โดยลาภ ตอ่ เมอื่ ใดสงฆถ์ งึ ความเปน็ หมใู่ หญเ่ ลศิ โดยลาภแลว้
และอาสวัฏฐานิยธรรมบางเหล่าย่อมปรากฏในสงฆ์ในศาสนาน้ี เม่ือนั้น พระศาสดา
จงึ จะบญั ญตั สิ กิ ขาบท แสดงปาตโิ มกขแ์ กส่ าวก เพอ่ื กำ� จดั อาสวฏั ฐานยิ ธรรมเหลา่ นนั้ แหละ

ดกู ่อนสารีบุตร กภ็ กิ ษสุ งฆ์ไม่มีเสนยี ด ไม่มโี ทษ ปราศจากมวั หมองบรสิ ทุ ธิ์
ผดุ ผอ่ ง ตงั้ อยใู่ นสารคณุ เพราะบรรดาภกิ ษุ ๕๐๐ รปู น้ี ภกิ ษทุ ที่ รงคณุ ธรรมอยา่ งตำ่�
ก็เปน็ โสดาบัน มีความไม่ตกต�่ำเปน็ ธรรมดา เป็นผ้เู ท่ยี ง เป็นผู้ท่ีจะตรัสรใู้ นเบอ้ื งหน้า

เสด็จนเิ วศน์เวรญั ชพราหมณ์

คร้ันปวารณาพรรษาแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกท่านพระอานนท์
มารบั สงั่ วา่ ดกู อ่ นอานนท์ ตถาคตทง้ั หลายยงั มไิ ดบ้ อกลาผทู้ น่ี มิ นตใ์ หอ้ ยจู่ ำ� พรรษาแลว้
จักไม่หลีกไปสู่ที่จาริกในชนบท ข้อนี้เป็นประเพณีของตถาคตทั้งหลาย มาไปกันเถิด
อานนท์ เราจะบอกลาเวรญั ชพราหมณ์

พรรษาท่ี ๑๒ 343

ท่านพระอานนท์ทูลสนองพระพุทธดำ� รสั วา่ เป็นดงั รับสั่งพระพทุ ธเจ้าข้า

ขณะน้ันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอันตรวาสกแล้ว ถือบาตรจีวร มีท่าน
พระอานนท์เป็นปัจฉาสมณะ เสด็จพระพุทธด�ำเนินไปสู่นิเวศน์ของเวรัญชพราหมณ์
ครั้นถึงแล้วประทับน่ังเหนือพระพุทธอาสน์ท่ีเขาจัดถวาย ทันใดนั้นเวรัญชพราหมณ์
ดำ� เนนิ เขา้ ไปสทู่ ป่ี ระทบั ครนั้ แลว้ ถวายบงั คมนง่ั เฝา้ อยู่ ณ ทค่ี วรสว่ นขา้ งหนงึ่ พระองค์
รบั สง่ั วา่ ดกู อ่ นพราหมณ์ เราเปน็ ผอู้ นั ทา่ นนมิ นตใ์ หอ้ ยจู่ ำ� พรรษาแลว้ เราขอบอกลาทา่ น
เราปรารถนาจะหลกี ไปสทู่ จ่ี ารกิ ในชนบท เวรญั ชพราหมณ์ กราบทลู วา่ เปน็ ความจรงิ
ท่านพระโคดม ข้าพเจ้านิมนต์พระองค์อยู่จ�ำพรรษา ก็แต่ว่าไทยธรรมอันใดที่จะพึง
ถวายไทยธรรมอนั นนั้ ขา้ พเจา้ ยงั มไิ ดถ้ วาย และไทยธรรมนนั้ ไมใ่ ชว่ า่ จะไมม่ ี ทง้ั ประสงค์
จะไม่ถวายก็หาไม่ ภายในไตรมาสนี้ พระองค์จะพึงได้ไทยธรรมนั้น (ท่ีพราหมณ์จะ
พึงถวาย) แต่ท่ีไหนกันเล่า เพราะฆราวาสมีกิจมากมีกรณีย์มาก ขอท่านพระโคดม
พรอ้ มดว้ ยพระสงฆ์ จงทรงพระกรณุ าโปรดรบั ภตั ตาหารในวนั พรงุ่ นเ้ี พอ่ื เจรญิ บญุ กศุ ล
และปีติปราโมทย์ แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับอาราธนาโดย
ดุษณยี ภาพ แล้วทรงชแ้ี จงใหเ้ วรัญชพราหมณ์เหน็ แจง้ สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วย
ธรรมีกถาแล้ว ทรงลกุ จากทปี่ ระทับเสด็จกลบั

หลงั จากนนั้ เวรญั ชพราหมณส์ ง่ั ใหต้ กแตง่ ของเคยี้ วของฉนั อนั ประณตี ในนเิ วศน์
ของตน โดยผา่ นราตรนี น้ั แลว้ ใหเ้ จา้ พนกั งานไปกราบทลู ภตั กาลแดพ่ ระผมู้ พี ระภาคเจา้
วา่ ถงึ เวลาแลว้ ทา่ นพระโคดม ภัตตาหารเสร็จแลว้ ขณะนัน้ เป็นเวลาเช้า พระผู้ม-ี
พระภาคเจ้าทรงอันตรวาสกแล้ว ทรงถือบาตรจีวร เสด็จพระพุทธด�ำเนินไปสู่นิเวศน์
ของเวรญั ชพราหมณ์ ครนั้ ถงึ แลว้ ประทบั นงั่ เหนอื พระพทุ ธอาสนท์ เี่ ขาจดั ถวาย พรอ้ มดว้ ย
ภกิ ษสุ งฆ์ จงึ เวรญั ชพราหมณอ์ งั คาสภกิ ษสุ งฆ์ มพี ระพทุ ธเจา้ เปน็ ประมขุ ดว้ ยขาทนยี -
โภชนยี าหารอนั ประณตี ดว้ ยมอื ของตน จนใหห้ า้ มภตั แลว้ ไดถ้ วายไตรจวี รแกพ่ ระผมู้ -ี
พระภาคเจา้ ผเู้ สวยเสรจ็ ทรงนำ� พระหตั ถอ์ อกจากบาตรแลว้ ใหท้ รงครอง และถวายผา้
คู่ให้ภิกษุครองรูปละส�ำรับ พระองค์ทรงช้ีแจงให้เวรัญชพราหมณ์เหน็ แจง้ สมาทาน
อาจหาญ รา่ เรงิ ดว้ ยธรรมกี ถา แลว้ ทรงลกุ จากทป่ี ระทบั เสดจ็ กลบั

344 ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า เล่ม ๒

ครั้นพระองค์ประทับอยู่ท่ีเมืองเวรัญชาตามพระพุทธาภิรมย์แล้ว เสด็จพุทธ-
ดำ� เนนิ ไปยงั ทา่ ขา้ มปยาคะ ไมท่ รงแวะเมอื งโสเรยยะ เมอื งสงั กสั สะ เมอื งกณั ณกชุ ชะ
ทรงขา้ มแมน่ ำ้� คงคาทที่ า่ ขา้ มปยาคะ เสดจ็ พทุ ธดำ� เนนิ ถงึ พระนครพาราณสี ครน้ั พระองค์
ประทับอยู่ท่ีพระนครพาราณสีตามพระพุทธาภิรมย์แล้ว เสด็จจาริกไปโดยมรรคาอัน
จะไปสู่พระนครเวสาลี เมื่อเสด็จจาริกไปโดยล�ำดับ ถึงพระนครเวสาลีแล้ว ทราบว่า
พระองค์ประทับอย่ทู กี่ ฏู าคารสาลา ณ ปา่ มหาวนั เขตพระนครเวสาลีน้ัน

ปหาราทสูตร๓

สมัยหน่ึง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ โคนต้นสะเดาท่ีนเฬรุยักษ์
สงิ สถิต ใกลก้ รุงเวรัญชา คร้งั นน้ั ทา้ วปหาราทจอมอสรู เขา้ ไปเฝ้าพระผมู้ พี ระภาคเจา้
ถึงท่ีประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วยืนอยู่ ณ ท่ีควรส่วนข้างหน่ึง
พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ได้ตรัสถามท้าวปหาราทะจอมอสูรว่า ดูก่อนปหาราทะ พวกจอม
อสรู ยอ่ มอภิรมยใ์ นมหาสมุทรบา้ งหรือ

ท้าวปหาราทจอมอสูรกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกจอมอสูร
ยอ่ มอภิรมยใ์ นมหาสมทุ ร

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ดูก่อนปหาราทะ ในมหาสมุทรมีธรรมท่ี
นา่ อัศจรรย์อนั ไมเ่ คยมีมาสกั เท่าไรที่พวกอสรู เห็นแล้ว เหน็ แลว้ ย่อมอภิรมย์

ท้าวปหาราทะทูลว่า มี ๘ ประการพระเจา้ ขา้ ๘ ประการเปน็ ไฉน ขา้ แต่
พระองค์ผู้เจริญ มหาสมุทรลาดลุ่มลึกลงไปโดยล�ำดับ หาได้โกรกชันเหมือนเหวไม่
ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ขอ้ ทม่ี หาสมทุ รลาดลมุ่ ลกึ ลงไปโดยลำ� ดบั หาไดโ้ กรกชนั เหมอื น
เหวไม่ น้ีเป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการหนึ่งในมหาสมุทรที่พวกอสูร
เหน็ แล้ว เหน็ แล้ว จงึ อภิรมยอ์ ยู่

๓ องฺ. อฏฺกฺ. ๒๓/๑๐๙/๒๐๐.

พรรษาที่ ๑๒ 345

อกี ประการหนง่ึ มหาสมทุ รเตม็ เปย่ี มอยเู่ สมอ ไมล่ น้ ฝง่ั ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ
ข้อที่มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ไม่ล้นฝั่ง นี้เป็นธรรมท่ีน่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา
ประการที่ ๒ ในมหาสมุทรที่พวกอสูรเห็นแลว้ เห็นแล้ว จงึ อภิรมยอ์ ยู่

อกี ประการหนงึ่ มหาสมทุ รไมเ่ กลอ่ื นดว้ ยซากศพ ในมหาสมทุ ร คลน่ื ยอ่ มซดั
เอาซากศพเข้าหาฝง่ั ให้ข้นึ บกทันที ขา้ แต่พระองคผ์ ู้เจรญิ ขอ้ ที่มหาสมุทร ไมเ่ กลือ่ น
ด้วยซากศพ และในมหาสมุทร คล่ืนย่อมซัดเอาซากศพเข้าหาฝั่ง ให้ขึ้นบกทันที
นี้เปน็ ธรรมท่ีนา่ อศั จรรยอ์ นั ไมเ่ คยมีมาประการที่ ๓ ในมหาสมุทรที่พวกอสูรเห็นแลว้
เหน็ แลว้ จึงอภิรมยอ์ ยู่

อกี ประการหน่ึง แมน่ ำ้� สายใหญ่ ๆ บางสาย คอื แมน่ ำ�้ คงคา ยมุนา อจิรวดี
สรภู มหี แม่น้�ำเหล่านั้นไหลไปถึงมหาสมุทรแล้ว ย่อมละนามและโคตรเดิมหมด
ถึงความนับว่า มหาสมุทรน่ันเอง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อท่ีแม่น้�ำสายใหญ่ ๆ
บางสาย คอื แม่นำ้� คงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหี แมน่ ้ำ� เหลา่ นน้ั ไหลไปถงึ มหาสมทุ ร
แล้ว ย่อมละนามและโคตรเดมิ หมด ถงึ ความนบั วา่ มหาสมุทรนัน่ เอง นเี้ ป็นธรรมท่ี
น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการท่ี ๔ ในมหาสมุทรที่พวกอสูรเห็นแล้ว เห็นแล้ว
จงึ อภิรมยอ์ ยู่

อีกประการหน่ึง แม่น้�ำทุกสายในโลกย่อมไหลไปรวมกันยังมหาสมุทร
และสายฝนจากอากาศตกลงสมู่ หาสมทุ ร มหาสมุทรกม็ ิไดป้ รากฏวา่ จะพรอ่ งหรอื เตม็
เพราะน�้ำนน้ั ๆ ขา้ แตพ่ ระองค์ผเู้ จรญิ ขอ้ ที่แม่นำ�้ ทกุ สายในโลกยอ่ มไหลไปรวมกันยัง
มหาสมุทร และสายฝนจากอากาศตกลงสมู่ หาสมทุ ร มหาสมทุ รก็มไิ ด้ ปรากฏวา่ จะ
พร่องหรือเต็มเพราะน�้ำน้ัน ๆ น้ีเป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการท่ี ๕
ในมหาสมทุ รที่พวกอสูรเห็นแลว้ เหน็ แล้ว จงึ อภิรมยอ์ ยู่

อีกประการหน่งึ มหาสมุทรมีรสเดียวคอื รสเคม็ ข้าแตพ่ ระองคผ์ ู้เจริญ ข้อท่ี
มหาสมุทรมีรสเดียวคือรสเค็ม นี้เป็นธรรมท่ีน่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๖
ในมหาสมทุ รทพี่ วกอสูรเหน็ แลว้ เห็นแล้ว จึงอภิรมยอ์ ยู่

346 ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า เล่ม ๒

อกี ประการหนงึ่ มหาสมทุ รมรี ตั นะมากมายหลายชนดิ ในมหาสมทุ รมรี ตั นะ
เหลา่ นี้ คอื แกว้ มกุ ดา แกว้ มณี แกว้ ไพฑรู ย์ สงั ข์ ศลิ า แกว้ ประพาฬ เงนิ ทอง ทบั ทมิ
มรกต ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ขอ้ ทมี่ หาสมทุ รมรี ตั นะมากมายหลายชนดิ ในมหาสมทุ ร
นนั้ มีรัตนะ คือแก้วมุกดา แกว้ มณี แกว้ ไพฑรู ย์ สงั ข์ ศิลา แก้วประพาฬ เงิน ทอง
ทับทิม มรกต นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการท่ี ๗ ในมหาสมุทรที่
พวกอสรู เหน็ แล้ว เห็นแลว้ จงึ อภิรมยอ์ ยู่

อีกประการหนง่ึ มหาสมทุ รเปน็ ทพ่ี ำ� นกั อาศยั ของพวกสิง่ มีชีวติ ใหญ่ ๆ สิ่งมี
ชีวิตในมหาสมุทรน้ันมีด่ังน้ี คือปลาติมิ ปลาติมิงคลา ปลาติมิลมิงคลา พวกอสูร
นาค คนธรรพ์ แมท้ มี่ รี า่ งกายประมาณ ๑๐๐ โยชน์ ๒๐๐ โยชน์ ๓๐๐ โยชน์ ๔๐๐
โยชน์ ๕๐๐ โยชนก์ ็มีอยู่ ขา้ แตพ่ ระองค์ผเู้ จริญ ข้อทมี่ หาสมุทร เปน็ ที่พ�ำนกั อาศยั
ของพวกส่ิงมีชวี ิตใหญ่ ๆ สิ่งมีชีวติ ในมหาสมทุ รนั้นมีดงั่ น้ี คือ ปลาตมิ ิ ปลาติมงิ คลา
ปลาตมิ ลิ มงิ คลา พวกอสรู นาค คนธรรพ์ แมท้ มี่ รี า่ งกายประมาณ ๑๐๐ โยชน์ ๒๐๐
โยชน์ ๓๐๐ โยชน์ ๔๐๐ โยชน์ ๕๐๐ โยชน์ก็มีอยู่ นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อัน
ไมเ่ คยมมี าประการที่ ๘ ในมหาสมุทรที่พวกอสรู เห็นแลว้ เห็นแลว้ จงึ อภริ มยอ์ ยู่

ขา้ แตพ่ ระองค์ผเู้ จริญ นี้แลธรรมทนี่ า่ อศั จรรยอ์ นั ไมเ่ คยมีมา ๘ ประการใน
มหาสมุทรทพ่ี วกอสรู เหน็ แล้ว เห็นแล้ว จึงอภริ มย์อยู่ ขา้ แตพ่ ระองคผ์ ู้เจริญ ก็ภกิ ษุ
ทัง้ หลายย่อมอภิรมยใ์ นธรรมวนิ ัยน้บี ้างหรือ

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนปหาราทะ ภิกษุทั้งหลายย่อมอภิรมย์ใน
ธรรมวนิ ัยนี้

ท้าวปหาราทะทลู วา่ ขา้ แต่พระองค์ผูเ้ จรญิ ธรรมวินยั นี้มธี รรมทน่ี า่ อศั จรรย์
อนั ไม่เคยมีมาสกั เทา่ ไร ภิกษทุ ง้ั หลายเห็นแล้ว เห็นแล้ว จึงอภิรมย์อยู่

พระผู้มพี ระภาคเจ้าตรัสว่า มี ๘ ประการ ปหาราทะ ๘ ประการเป็นไฉน
ดูก่อนปหาราทะ มหาสมุทรลาดลุ่มลึกลงไปโดยล�ำดับ ไม่โกรกชันเหมือนเหวฉันใด
ในธรรมวนิ ยั นก้ี ฉ็ นั นนั้ เหมอื นกนั มกี ารศกึ ษาไปตามลำ� ดบั มกี ารกระทำ� ไปตามลำ� ดบั
มกี ารปฏบิ ตั ไิ ปตามลำ� ดบั มใิ ชว่ า่ จะมกี ารบรรลอุ รหตั ตผลโดยฉบั พลนั ดกู อ่ นปหาราทะ
ข้อท่ีในธรรมวินัยนี้มีการศึกษาไปตามล�ำดับ มีการกระท�ำไปตามล�ำดับ มีการปฏิบัติ

พรรษาท่ี ๑๒ 347

ไปตามลำ� ดบั มใิ ชว่ า่ จะมกี ารบรรลอุ รหตั ตผลโดยฉบั พลนั นเี้ ปน็ ธรรมทน่ี า่ อศั จรรยอ์ นั
ไม่เคยมมี าประการที่ ๑ ในธรรมวนิ ัยนี้ ท่ีภกิ ษุเห็นแล้ว เห็นแล้ว จงึ อภริ มย์อยู่

ดกู อ่ นปหาราทะ มหาสมทุ รเตม็ เปย่ี มอยเู่ สมอ ไมล่ น้ ฝง่ั ฉนั ใด สาวกทงั้ หลาย
ของเราก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่ล่วงสิกขาบทท่ีเราบัญญัติไว้แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต
ดูกอ่ นปหาราทะ ข้อทส่ี าวกทง้ั หลายของเราไม่ล่วงสิกขาบททีเ่ ราบัญญตั ิไว้ แม้เพราะ
เหตุแห่งชีวิต นี้เป็นธรรมท่ีน่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการท่ี ๒ ใน ธรรมวินัยนี้
ที่ภกิ ษุท้ังหลายเห็นแล้ว เหน็ แลว้ จึงอภิรมยอ์ ยู่

ดูกอ่ นปหาราทะ มหาสมุทรไมเ่ กล่ือนดว้ ยซากศพ ในมหาสมทุ ร คล่ืนยอ่ ม
ซัดเอาซากศพเข้าหาฝั่ง ให้ขึ้นบกฉันใด ดูก่อนปหาราทะ ฉันน้ันเหมือนกัน บุคคล
ผู้ทุศีล มีบาปธรรม มีสมาจารไม่สะอาดน่ารังเกียจ ปกปิดความช่ัว มิใช่สมณะ
แตป่ ฏญิ ญาวา่ เปน็ สมณะ มใิ ชผ่ ปู้ ระพฤตพิ รหมจรรย์ แตป่ ฏญิ ญาวา่ ประพฤตพิ รหมจรรย์
เนา่ ใน ชุ่มด้วยราคะ เปน็ เพยี งดังหยากเยือ่ สงฆย์ อ่ มไม่อยู่ร่วมกบั บุคคลน้ัน ประชุม
กนั ยกวตั รเธอเสยี ทนั ที แมเ้ ขาจะนงั่ อยใู่ นทา่ มกลางภกิ ษสุ งฆก์ จ็ รงิ ถงึ กระนนั้ เขากช็ อื่
ว่าห่างไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ห่างไกลจากเขา ดูก่อนปหาราทะ ข้อท่ีบุคคลผู้ทุศีล
มบี าปธรรม มสี มาจารไม่สะอาดน่ารงั เกยี จ ปกปดิ ความช่ัว มิใชส่ มณะแตป่ ฏิญญาวา่
เป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์แต่ปฏิญญาว่าประพฤติพรหมจรรย์ เน่าใน
ชมุ่ ดว้ ยราคะ เป็นเพียงดังหยากเย่ือ สงฆย์ ่อมไม่อยู่รว่ มกับบุคคลนน้ั ประชมุ กันยก-
วตั รเธอเสยี ทนั ที แมเ้ ขาจะนง่ั อยใู่ นทา่ มกลางภกิ ษสุ งฆก์ จ็ รงิ ถงึ กระนน้ั เขากช็ อ่ื วา่ หา่ ง
ไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ห่างไกลจากเขา น้ีเป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา
ประการท่ี ๓ ในธรรมวินยั น้ี ทภี่ กิ ษุท้งั หลายเห็นแลว้ เหน็ แล้ว จึงอภิรมย์อยู่

ดกู อ่ นปหาราทะ แมน่ ำ้� สายใหญๆ่ บางสาย คอื แมน่ ำ�้ คงคา ยมนุ า อจริ วดี สรภู
มหี แมน่ ำ้� เหล่าน้ันไหลไปถึงมหาสมุทรแลว้ ยอ่ มละนามและโคตรเดิมหมด ถงึ ความ
นบั วา่ มหาสมทุ รนนั่ เอง ฉนั ใด ดกู อ่ นปหาราทะ ฉนั นน้ั เหมอื นกนั วรรณะ ๔ เหลา่ น้ี
คอื กษตั รยิ ์ พราหมณ์ แพศย์ ศทู ร ออกบวชเปน็ บรรพชติ ในธรรมวนิ ยั ทต่ี ถาคตประกาศ
แลว้ ยอ่ มละนามและโคตรเดิมเสีย ถงึ ความนับวา่ ศากยบุตรทัง้ น้นั ดูกอ่ นปหาราทะ
ขอ้ ทว่ี า่ วรรณะ ๔ เหลา่ นี้ คอื กษตั รยิ ์ พราหมณ์ แพศย์ ศทู ร ออกบวชเปน็ บรรพชติ
ในธรรมวินัยท่ีตถาคตประกาศแล้ว ย่อมละนามและโคตรเดิมเสีย ถึงความนับว่า

348 ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า เล่ม ๒

ศากยบตุ รท้งั นัน้ นี้เปน็ ธรรมทน่ี า่ อัศจรรยอ์ ันไมเ่ คยมีมาประการท่ี ๔ ในธรรมวินัยนี้
ทีภ่ ิกษุทงั้ หลายเหน็ แลว้ เห็นแลว้ จึงอภริ มย์อยู่

ดูก่อนปหาราทะ แม่น�้ำทุกสายในโลกย่อมไหลไปรวมกันยังมหาสมุทร
และสายฝนจากอากาศตกลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทรก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือ
เตม็ เพราะนำ�้ นนั้ ๆ ฉนั ใด ดกู อ่ นปหาราทะ ฉนั นน้ั เหมอื นกนั ถงึ แมภ้ กิ ษเุ ปน็ อนั มาก
จะปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือ
เตม็ ดว้ ยการปรนิ พิ พานนน้ั ดกู อ่ นปหาราทะ ขอ้ ทถี่ งึ แมภ้ กิ ษเุ ปน็ อนั มากจะปรนิ พิ พาน
ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือเต็มด้วยการ
ปรินิพพานน้ัน นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๕ ในธรรมวินัยน้ี
ทภ่ี กิ ษุทั้งหลายเหน็ แลว้ เห็นแลว้ จงึ อภิรมย์อยู่

ดูก่อนปหาราทะ มหาสมุทรมีรสเดียวคือรสเค็ม ฉันใด ดูก่อนปหาราทะ
ฉันนั้นเหมือนกัน ธรรมวินัยนี้มีรสเดียวคือวิมุตติรส รสคือวิมุตติ ความหลุดพ้น
ดกู อ่ นปหาราทะ ขอ้ ทธี่ รรมวนิ ยั มรี สเดยี วคอื วมิ ตุ ตริ ส นเี้ ปน็ ธรรมทน่ี า่ อศั จรรย์ อนั ไม่
เคยมมี าประการที่ ๖ ในธรรมวินยั นี้ ท่ภี กิ ษุทั้งหลายเหน็ แลว้ เหน็ แลว้ จึงอภิรมยอ์ ยู่

ดกู อ่ นปหาราทะ มหาสมทุ รมีรตั นะมากมายหลายชนดิ รัตนะในมหาสมุทร
น้ันมดี ่ังนี้ คอื แก้วมกุ ดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สงั ข์ ศลิ า แก้วประพาฬ เงนิ ทอง
ทบั ทมิ มรกต ฉนั ใด ดกู อ่ นปหาราทะ ฉนั นน้ั เหมอื นกนั ธรรมวนิ ยั นกี้ ม็ รี ตั นะมากมาย
หลายชนดิ รตั นะในธรรมวนิ ยั นนั้ มดี ง่ั นค้ี อื สตปิ ฏั ฐาน ๔ สมั มปั ปธาน ๔ อทิ ธบิ าท ๔
อนิ ทรยี ์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อรยิ มรรคมอี งค์ ๘ ดกู อ่ นปหาราทะ ขอ้ ทธ่ี รรมวนิ ยั
นม้ี รี ตั นะมากมายหลายชนดิ รตั นะในธรรมวนิ ยั นนั้ มดี งั่ นคี้ อื สตปิ ฏั ฐาน ๔ สมั มปั ปธาน
๔ อิทธิบาท ๔ อนิ ทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อรยิ มรรคมอี งค์ ๘ นี้เปน็ ธรรมท่ี
นา่ อศั จรรยอ์ นั ไมเ่ คยมมี าประการท่ี ๗ ในธรรมวนิ ยั นี้ ทภี่ กิ ษทุ งั้ หลายเหน็ แลว้ เหน็ แลว้
จงึ อภิรมยอ์ ยู่

ดูก่อนปหาราทะ มหาสมุทรเปน็ ทพี่ ำ� นักอาศัยของพวกสิ่งมีชวี ติ ใหญ่ ๆ สง่ิ มี
ชีวิตในมหาสมุทรน้ันมีด่ังน้ี คือปลาติมิ ปลาติมิงคลา ปลาติมิลมิงคลา พวกอสูร
นาค คนธรรพ์ แมท้ ม่ี รี า่ งกายประมาณ ๑๐๐ โยชน์ ๒๐๐ โยชน์ ๓๐๐ โยชน์ ๔๐๐

พรรษาที่ ๑๒ 349

โยชน์ ๕๐๐ โยชน์ มอี ยู่ ฉนั ใด ดกู ่อนปหาราทะ ฉนั นัน้ เหมือนกัน ธรรมวินยั น้ี
ก็เป็นที่พ�ำนักอาศัยแห่งสิ่งมีชีวิตใหญ่ ๆ สิ่งมีชีวิตในธรรมวินัยน้ันมีด่ังนี้ คือ
พระโสดาบัน ทา่ นผู้ปฏบิ ัติเพือ่ กระท�ำใหแ้ จง้ ซง่ึ โสดาปัตติผล พระสกทาคามี ท่านผู้
ปฏบิ ตั เิ พอื่ กระทำ� ใหแ้ จง้ ซงึ่ สกทาคามผิ ล พระอนาคามี ทา่ นผปู้ ฏบิ ตั เิ พอื่ กระทำ� ใหแ้ จง้
ซ่ึงอนาคามิผล พระอรหันต์ ทา่ นผู้ปฏบิ ัติเพื่อความเปน็ พระอรหันต์ ดูกอ่ นปหาราทะ
ข้อท่ีธรรมวินัยนี้เป็นที่พ�ำนักอาศัยแห่งส่ิงมีชีวิตใหญ่ ๆ สิ่งมีชีวิตในธรรมวินัยนั้นมี
ดั่งนีค้ ือ พระโสดาบนั ทา่ นผู้ปฏบิ ัติเพ่ือกระท�ำใหแ้ จง้ ซึง่ โสดาปตั ติผล พระสกทาคามี
ทา่ นผปู้ ฏบิ ตั เิ พอ่ื กระทำ� ใหแ้ จง้ ซง่ึ สกทาคามผิ ล พระอนาคามี ทา่ นผปู้ ฏบิ ตั เิ พอื่ กระทำ�
ใหแ้ จง้ ซง่ึ อนาคามผิ ล พระอรหนั ต์ ทา่ นผปู้ ฏบิ ตั เิ พอ่ื ความเปน็ พระอรหนั ต์ นเี้ ปน็ ธรรม
ที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๘ ในธรรมวินัยนี้ ท่ีภิกษุทั้งหลายเห็นแล้ว
เหน็ แลว้ จงึ อภริ มย์อยู่

ดกู อ่ นปหาราทะ ในธรรมวนิ ยั น้ี มธี รรมทน่ี า่ อศั จรรยอ์ นั ไมเ่ คยมมี า ๘ ประการ
นี้แล ท่ีภกิ ษุทง้ั หลายเหน็ แลว้ เห็นแล้ว จงึ อภิรมยอ์ ยู่

อรรถกถาแห่งปหาราทสูตรนี้ได้แสดงว่า ปหาราทะเป็นหัวหน้าอสูรท่านหน่ึง
จริงอยู่ บรรดาอสูรท้ังหลาย อสูรผู้เป็นหัวหน้ามี ๓ ท่าน คือเวปจิตติ ๑ ราหู ๑
ปหาราทะ ๑

เรอ่ื งภกิ ษุ ๕๐๐ รปู ๔

พระศาสดาได้ประทับที่เมืองเวรัญชา อันพราหมณ์ช่ือเวรัญชะทูลนิมนต์แล้ว
จงึ เสด็จจ�ำพรรษาพร้อมดว้ ยภิกษุ ๕๐๐ รปู เวรญั ชพราหมณถ์ ูกมารดลใจ มใิ หเ้ กดิ
สติปรารภถึงพระศาสดาแม้สักวันหน่ึง แม้เมืองเวรัญชาได้เป็นเมืองข้าวแพงแล้ว
พวกภกิ ษเุ ทยี่ วไปบณิ ฑบาตตลอดเมอื งเวรญั ชา ทงั้ ภายในภายนอก เมอื่ ไมไ่ ดบ้ ณิ ฑบาต
จึงล�ำบากมาก พวกพอ่ ค้าม้าจดั แจงภกั ษามีข้าวแดงราวแลง่ หนงึ่ ๆ เพือ่ ภกิ ษุเหล่านั้น

๔ ธมฺมปท. ๔/๔๔.

350 ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า เล่ม ๒

พระมหาโมคคัลลานเถระเห็นภิกษุเหล่านั้นล�ำบาก ได้มีความประสงค์จะให้ภิกษุฉัน
ง้วนดิน และประสงค์จะให้พวกภิกษุเข้าไปสู่อุตตรกุรุทวีปเพ่ือบิณฑบาต พระศาสดา
ไดท้ รงหา้ มทา่ นเสยี พวกภกิ ษมุ ไิ ดม้ คี วามสะดงุ้ เพราะปรารภบณิ ฑบาตแมส้ กั วนั หนง่ึ
พวกภิกษุทั้งหลายเว้นความประพฤติด้วยอ�ำนาจความอยากแล้วด�ำรงอยู่ พระศาสดา
ประทับอยู่ท่ีเมืองเวรัญชาน้ันสิ้นไตรมาสแล้ว ทรงอ�ำลาเวรัญชพราหมณ์ มีสักการะ
สมั มานะอนั พราหมณน์ น้ั กระทำ� แลว้ ทรงใหเ้ ขาตงั้ อยใู่ นสรณะแลว้ เสดจ็ ออกจากเมอื ง
เวรญั ชานัน้ เสด็จจาริกไปโดยล�ำดับ

วาโลทกชาดก (ชาดกเรอ่ื งน้ำ� หาง)

สมยั หนง่ึ เสดจ็ ถงึ กรงุ สาวตั ถี ประทบั อยใู่ นพระเชตวนั ชาวกรงุ สาวตั ถี กระทำ�
อาคันตกุ ภัตแด่พระศาสดาแลว้ ก็ในกาลน้ัน พวกกินเดนประมาณ ๕๐๐ คน อาศัย
พวกภิกษุอยู่ภายในพระวิหารนั่นเอง พวกเขากินโภชนะอันประณีตที่เหลือจากภิกษุ
ทงั้ หลายฉนั แลว้ กห็ ลบั นอน ลกุ ขนึ้ แลว้ ไปสฝู่ ง่ั แมน่ ำ�้ แผดเสยี ง โหร่ อ้ ง กระโดดโลดเตน้
ซ้อมมวยปล�้ำ เล่นกันอยู่ ประพฤติแต่อนาจารเท่าน้ัน ทั้งภายในวิหาร ทั้งภายนอก
วหิ าร พวกภกิ ษสุ นทนากนั ในโรงธรรมวา่ ดเู ถดิ ผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ในเวลาเกดิ ทพุ ภกิ ขภยั
พวกกินเดนเหล่าน้ีมิได้แสดงวิการอะไร ๆ ในเมืองเวรัญชา แต่บัดนี้กินโภชนะอัน
ประณตี เหน็ ปานน้แี ล้ว เที่ยวแสดงอาการแปลก ๆ เป็นอเนกประการ ส่วนพวกภกิ ษุ
สงบอยู่แม้ในเมอื งเวรัญชา ถึงในบัดนกี้ ็ยงั พากนั อยอู่ ยา่ งสงบเสงย่ี มเทียว พระศาสดา
เสดจ็ ไปสโู่ รงธรรมแลว้ ตรสั ถามวา่ ภกิ ษทุ งั้ หลาย พวกเธอพดู อะไรกนั เมอ่ื พวกภกิ ษุ
กราบทลู วา่ เรอ่ื งชอ่ื นี้ ดง่ั นแี้ ลว้ ตรสั วา่ แมใ้ นกาลกอ่ น คนกนิ เดนเหลา่ นเ้ี กดิ ในกำ� เนดิ
ลา เปน็ ลา ๕๐๐ ได้ดื่มน้ำ� มีรสน้อยอนั เลว ซึง่ ถงึ การนบั วา่ น้ำ� หาง เพราะเขาเอาน้�ำ
ขยำ� กาก อนั เปน็ เดนซง่ึ เหลอื จากนำ้� ลกู จนั ทนม์ รี สชมุ่ ทม่ี า้ สนิ ธพชาตอิ าชาไนย ๕๐๐ ดม่ื
แลว้ จึงกรองด้วยผา้ เปลอื กปอเก่า ๆ เท่ยี วรอ้ งเอ็ดอึงอยู่ เหมือนเมาน�้ำหวาน เม่อื จะ
ทรงแสดงกิริยาของลาเหล่าน้ัน อันพระโพธิสัตว์ ผู้อันพระราชาทรงสดับเสียงของลา
เหล่าน้ันตรัสถามแล้ว ได้กราบทูลแด่พระราชา ตรัสวาโลทกชาดกน้ีโดยพิสดารว่า
"ความเมาย่อมเกิดแก่พวกลา เพราะดื่มกินน้�ำหางมีรสน้อยอันเลว แต่ความเมาย่อม
ไม่เกิดแก่มา้ สนิ ธพ เพราะด่ืมรสทป่ี ระณีตนี้ ข้าแตพ่ ระราชาผเู้ ป็นจอมนรชน ลาน้นั

พรรษาที่ ๑๒ 351

เป็นสัตว์มีชาติเลว ด่ืมน้�ำมีรสน้อย อันรสนั้นถูกต้องแล้วย่อมเมา ส่วนม้าอาชาไนย
ผู้เอาธุระเป็นปกติ เกิดในตระกูลท่ีดี ดื่มรสที่เลิศแล้วหาเมาไม่" แล้วตรัสว่า ภิกษุ
ทงั้ หลาย สตั บรุ ษุ เวน้ ธรรมคอื ความโลภแลว้ ยอ่ มเปน็ ผไู้ มม่ วี กิ ารเลย ทง้ั ในเวลาถงึ สขุ
ทัง้ ในเวลาถึงทุกข์ อย่างน้ี ดง่ั น้ี เม่ือจะทรงสบื อนุสนธิแสดงธรรม ไดต้ รสั พระคาถาน้ี
ว่า สตั บรุ ุษทง้ั หลายยอ่ มเว้นในธรรมทงั้ ปวงแล สตั บรุ ษุ ทัง้ หลายหาใชผ่ ูป้ รารถนากาม
บ่นเพ้อไม่ บัณฑิตท้ังหลาย อันสุขหรือทุกข์ถูกต้องแล้ว ย่อมไม่แสดงอาการข้ึนลง
ดั่งนี้

เร่อื งของพระมหากัจจานะ๕

สมัยหน่ึง ท่านพระมหากัจจานะอยู่ ณ ภูเขาชันข้างหนึ่ง ใกล้กุรรฆรนคร
แคว้นอวันตี คร้ังน้ันแลคฤหบดีชื่อหลิททิกานิเข้าไปหาท่านพระมหากัจจานะถึงท่ีอยู่
อภิวาทแล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหน่ึง แล้วได้กล่าวกับท่านพระมหากัจจานะว่า
ขา้ แตท่ า่ นผเู้ จรญิ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรสั ภาษติ นใี้ นมาคณั ฑยิ ปญั หา อนั มใี นอฏั ฐกวรรค
วา่ มุนีละที่อย่แู ล้ว ไมม่ ีที่พักเทย่ี วไป ไมท่ �ำความสนิทสนมในบ้าน เปน็ ผวู้ า่ งจากกาม
ทง้ั หลาย ไมม่ งุ่ ถงึ กาลขา้ งหนา้ ไมท่ ำ� ถอ้ ยคำ� แกง่ แยง่ กบั ชนอน่ื ดง่ั น้ี ขา้ แตท่ า่ นผเู้ จรญิ
เนอื้ ความแหง่ พระพทุ ธวจั นะทพ่ี ระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรสั โดยยอ่ นี้ จะพงึ เหน็ ไดโ้ ดยพสิ ดาร
อยา่ งไร

พระมหากจั จานะไดก้ ลา่ ววา่ ดกู อ่ นคฤหบดี รปู ธาตเุ ปน็ ทอ่ี ยอู่ าศยั ของวญิ ญาณ
ก็แหละมุนีใดมีวิญญาณพัวพันด้วยราคะในรูปธาตุ มุนีน้ันท่านกล่าวว่า มีที่อยู่อาศัย
เที่ยวไป ดูก่อนคฤหบดี เวทนาธาต.ุ ... สญั ญาธาต.ุ ... สังขารธาตุ เปน็ ท่ีอยู่อาศัยของ
วิญญาณ ก็แหละมุนีใดมีวิญญาณพัวพันด้วยราคะในสังขารธาตุ มุนีนั้นท่านกล่าวว่า
มที อ่ี ยอู่ าศยั เทยี่ วไป ดกู อ่ นคฤหบดี มนุ ชี อ่ื วา่ เปน็ ผมู้ ที อี่ ยอู่ าศยั เทย่ี วไป ดว้ ยประการ
ฉะน้ีแล

๕ สํ. ขนฺธ. ๑๗/๑๑-๒๔/๑๒-๑๖.

352 ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า เล่ม ๒

ดูก่อนคฤหบดี ก็มุนเี ป็นผไู้ ม่มที อ่ี ยูอ่ าศัยเที่ยวไปอยา่ งไร
ดูก่อนคฤหบดี ความพอใจ ความก�ำหนัด ความเพลิดเพลิน ความทะยาน
อยาก ความเขา้ ถงึ ความยดึ มัน่ อนั เป็นทีต่ ั้งมนั่ ถือมัน่ และทีอ่ ยอู่ าศัยแห่งจติ เหล่าใด
ในรูปธาตุ ความพอใจ เป็นต้น เหล่าน้ันอันพระตถาคตทรงละเสียแล้ว ทรงตัดราก
ขาดแลว้ ทรงทำ� ให้เปน็ ด่ังตาลยอดดว้ น ทรงกระท�ำให้ไม่มี มอี นั ไม่เกดิ ข้นึ ตอ่ ไปเป็น
ธรรมดา เพราะฉะนนั้ พระตถาคต บณั ฑิตจงึ กลา่ วว่า เป็นผไู้ ม่มีทอี่ ยู่อาศยั เท่ยี วไป
ดูก่อนคฤหบดี ความพอใจ ความก�ำหนัด ความเพลิดเพลิน ความทะยานอยาก
ความเขา้ ถงึ ความยดึ มน่ั อนั เปน็ ทต่ี งั้ มนั่ ถอื มน่ั และทอ่ี ยอู่ าศยั แหง่ จติ เหลา่ ใด ในเวทนาธาตุ
ในสญั ญาธาตุ ในสงั ขารธาตุ ในวญิ ญาณธาตุ ความพอใจเปน็ ตน้ เหลา่ นน้ั อนั พระตถาคต
ทรงละเสยี แลว้ ทรงตดั รากขาดแลว้ ทรงทำ� ใหเ้ ปน็ ดง่ั ตาลยอดดว้ น ทรงกระทำ� ใหไ้ มม่ ี
มอี นั ไมเ่ กดิ ขนึ้ ตอ่ ไปเปน็ ธรรมดา เพราะฉะนนั้ พระตถาคต บณั ฑติ จงึ กลา่ ววา่ เปน็ ผู้
ไมม่ ที อี่ ยอู่ าศยั เทย่ี วไป ดกู อ่ นคฤหบดี มนุ ชี อื่ วา่ เปน็ ผไู้ มม่ ที อี่ ยอู่ าศยั เทย่ี วไปอยา่ งนแี้ ล
ดูก่อนคฤหบดี ก็มุนีเป็นผูม้ ที พี่ กั เทีย่ วไปอยา่ งไร
ดกู อ่ นคฤหบดี มนุ ที า่ นกลา่ ววา่ เปน็ ผมู้ ที พ่ี กั เทยี่ วไป เพราะซา่ นไปและพวั พนั
ในรูปอันเป็นนิมติ และเป็นที่พกั ดกู อ่ นคฤหบดี มุนีท่านกลา่ ววา่ เปน็ ผมู้ ีท่พี ักเทย่ี วไป
เพราะซา่ นไปและพัวพันในเสยี ง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐพั พะ ในธมั มารมณ์ อันเป็น
นมิ ิตและเป็นทพ่ี ัก ดกู ่อนคฤหบดี มุนเี ป็นผูม้ ที ี่พกั เท่ียวไป อยา่ งน้ีแล
ดกู ่อนคฤหบดี ก็มนุ เี ป็นผูไ้ มม่ ีที่พกั เทย่ี วไปอย่างไร
ดกู อ่ นคฤหบดี กเิ ลสเปน็ เหตซุ า่ นไปและพวั พนั ในรปู อนั เปน็ นมิ ติ และเปน็ ทพ่ี กั
อันพระตถาคตทรงละเสียแล้ว ทรงตัดรากขาดแล้ว ทรงท�ำให้เป็นด่ังตาลยอดด้วน
ทรงกระทำ� ใหไ้ มม่ ี มอี นั ไมเ่ กดิ ขนึ้ ตอ่ ไปเปน็ ธรรมดา เพราะฉะนน้ั พระตถาคต บณั ฑติ
จึงกล่าวว่า เป็นผูไ้ ม่มีทพ่ี กั เทย่ี วไป ดกู ่อนคฤหบดี กเิ ลส เปน็ เหตุซ่านไปและพัวพนั
ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ในธัมมารมณ์ อันเป็นนิมิตและเป็นที่พัก
อันพระตถาคตทรงละเสียแล้ว ทรงตัดรากขาดแล้ว ทรงท�ำให้เป็นดั่งตาลยอดด้วน
ทรงกระทำ� ใหไ้ มม่ ี มอี นั ไมเ่ กดิ ขนึ้ ตอ่ ไปเปน็ ธรรมดา เพราะฉะนน้ั พระตถาคต บณั ฑติ
จงึ กลา่ ววา่ เป็นผู้ไมม่ ที ่พี กั เท่ียวไป ดกู อ่ นคฤหบดี มุนชี ่อื วา่ เป็นผไู้ ม่มีที่พักเท่ียวไป
อยา่ งนแ้ี ล

พรรษาที่ ๑๒ 353

ดูก่อนคฤหบดี ก็มนุ เี ปน็ ผสู้ นทิ สนมในบา้ นอยา่ งไร
ดูกอ่ นคฤหบดี มุนบี างคนในโลกน้ี เป็นผคู้ ลุกคลีกบั พวกคฤหสั ถ์อยู่ คอื เป็น
ผพู้ ลอยชนื่ ชมกบั เขา พลอยโศกกบั เขา เมอ่ื พวกคฤหสั ถม์ สี ขุ กส็ ขุ ดว้ ย มที กุ ขก์ ท็ กุ ขด์ ว้ ย
เมอื่ พวกคฤหสั ถม์ กี รณยี กจิ ทคี่ วรทำ� เกดิ ขนึ้ กข็ วนขวายในกรณยี กจิ เหลา่ นนั้ ดว้ ยตนเอง
ดกู ่อนคฤหบดี มุนเี ปน็ ผ้สู นิทสนมในบา้ นอยา่ งน้ีแล
ดูกอ่ นคฤหบดี กม็ ุนไี ม่เป็นผ้สู นิทสนมในบ้านอย่างไร
ดูก่อนคฤหบดี ภิกษุในธรรมวินัยน้ี ไม่เป็นผู้คลุกคลีกับพวกคฤหัสถ์ คือ
ไมพ่ ลอยชน่ื ชมกบั เขา ไมพ่ ลอยโศกกบั เขา เมอื่ พวกคฤหสั ถม์ สี ขุ กไ็ มส่ ขุ ดว้ ย มที กุ ขก์ ็
ไม่ทุกข์ด้วย เม่ือพวกคฤหัสถ์มีกรณียกิจท่ีควรทำ� เกิดขึ้น ก็ไม่ขวนขวายในกรณียกิจ
เหลา่ น้ันดว้ ยตนเอง ดูกอ่ นคฤหบดี มุนีไม่เป็นผูส้ นิทสนมในบา้ นอย่างนี้แล
ดูกอ่ นคฤหบดี ก็มุนเี ปน็ ผูไ้ มว่ ่างจากกามทง้ั หลายอย่างไร
ดูก่อนคฤหบดี มุนีบางคนในโลกนี้ ยังเป็นผู้ไม่ปราศจากความก�ำหนัด
ความพอใจ ความรกั ความกระหาย ความกระวนกระวาย ความทะยานอยากในกาม
ทงั้ หลาย ดกู อ่ นคฤหบดี มนุ ีเปน็ ผไู้ ม่ว่างจากกามทัง้ หลายอยา่ งนแี้ ล
ดกู อ่ นคฤหบดี ก็มุนีเปน็ ผู้ว่างจากกามท้ังหลายอย่างไร
ดูก่อนคฤหบดี มุนีบางคนในโลกนี้ ย่อมเป็นผู้ปราศจากความก�ำหนัด
ความพอใจ ความรกั ความกระหาย ความกระวนกระวาย ความทะยานอยากในกาม
ทงั้ หลาย ดกู อ่ นคฤหบดี มนุ เี ป็นผูว้ า่ งจากกามทง้ั หลายอย่างนี้แล
ดกู ่อนคฤหบดี ก็มนุ ีเปน็ ผมู้ ุ่งถงึ กาลข้างหนา้ อย่างไร
ดกู อ่ นคฤหบดี มนุ บี างคนในโลกนี้ มคี วามปรารถนาอยา่ งนวี้ า่ ในกาลขา้ งหนา้
ขอเราพงึ เปน็ ผมู้ รี ปู อยา่ งนี้ มเี วทนาอยา่ งนี้ มสี ญั ญาอยา่ งน้ี มสี งั ขารอยา่ งน้ี มวี ญิ ญาณ
อยา่ งนี้ ดกู ่อนคฤหบดี มุนีเป็นผ้มู ุง่ ถึงกาลขา้ งหนา้ อย่างนแี้ ล
ดูกอ่ นคฤหบดี กม็ ุนเี ป็นผู้ไมม่ ุง่ ถงึ กาลขา้ งหน้าอยา่ งไร
ดูก่อนคฤหบดี มุนีบางคนในโลกน้ี ไม่มีความปรารถนาอย่างนี้ว่า ในกาล
ข้างหน้า ขอเราพึงเปน็ ผูม้ รี ูปอย่างน้ี มีเวทนาอยา่ งนี้ มีสญั ญาอยา่ งน้ี มสี งั ขารอย่างนี้
มวี ิญญาณอยา่ งนี้ ดูกอ่ นคฤหบดี มนุ เี ป็นผ้ไู มม่ ุง่ ถึงกาลข้างหน้า อยา่ งนแี้ ล

354 ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า เล่ม ๒

ดกู ่อนคฤหบดี กม็ นุ ีเป็นผู้ท�ำถอ้ ยค�ำแก่งแย่งกับชนอน่ื อยา่ งไร

ดูก่อนคฤหบดี มุนีบางคนในโลกนี้ ย่อมเป็นผู้ท�ำถ้อยค�ำเห็นปานน้ีว่า
ท่านไม่รู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ เรารู้ท่ัวถึงธรรมวินัยนี้ ไฉนท่านจักรู้ท่ัวถึงธรรมวินัยน้ีได้
ท่านเป็นผู้ปฏิบัติผิด เราเป็นผู้ปฏิบัติชอบ ค�ำท่ีควรกล่าวก่อน ท่านกล่าวทีหลัง
คำ� ทค่ี วรกล่าวทีหลัง ท่านกลา่ วก่อน ค�ำของเรามปี ระโยชน์ ค�ำของท่านไมม่ ีประโยชน์
ข้อที่ท่านเคยประพฤติมาผิดเสียแล้ว เรายกวาทะแก่ท่านแล้ว ท่านจงประพฤติเพื่อ
ปลดเปล้ืองวาทะเสีย ท่านเป็นผู้อันเราข่มได้แล้ว หรือจงปลดเปล้ืองเสียเองถ้าท่าน
สามารถ ดูกอ่ นคฤหบดี มนุ ีเป็นผทู้ �ำถอ้ ยคำ� แก่งแยง่ กบั ชนอนื่ อยา่ งนแ้ี ล

ดกู ่อนคฤหบดี กม็ นุ ีไม่เปน็ ผทู้ �ำถ้อยคำ� แกง่ แย่งกับชนอน่ื อยา่ งไร

ดกู อ่ นคฤหบดี ภกิ ษบุ างรปู ในธรรมวนิ ยั นี้ ยอ่ มเปน็ ผไู้ มท่ ำ� ถอ้ ยคำ� เหน็ ปานนี้
วา่ ทา่ นยอ่ มไมร่ ทู้ วั่ ถงึ ธรรมวนิ ยั น้ี เรารทู้ ว่ั ถงึ ธรรมวนิ ยั นี้ ไฉนทา่ นจกั รทู้ วั่ ถงึ ธรรมวนิ ยั
นีไ้ ด้ ทา่ นเป็นผปู้ ฏิบัติผิด เราเป็นผ้ปู ฏิบตั ิชอบ ค�ำทคี่ วรกล่าวกอ่ น ทา่ นกล่าวทีหลงั
คำ� ทีค่ วรกลา่ วทีหลงั ท่านกลา่ วก่อน ค�ำของเรามีประโยชน์ คำ� ของทา่ นไมม่ ีประโยชน์
ข้อท่ีท่านเคยประพฤติมาผิดเสียแล้ว เรายกวาทะแก่ท่านแล้ว ท่านจงประพฤติเพื่อ
ปลดเปลื้องวาทะเสีย ท่านเป็นผู้อันเราข่มได้แล้ว หรือจงปลดเปลื้องเสียเองถ้าท่าน
สามารถ ดกู อ่ นคฤหบดี มนุ ไี ม่เปน็ ผ้ทู �ำถอ้ ยค�ำ แก่งแย่งกับชนอ่ืนอยา่ งนี้แล

ดกู อ่ นคฤหบดี พระพุทธวัจนะใดที่พระผมู้ ีพระภาคเจ้าตรัสแล้วในมาคณั ฑิย-
ปญั หา อนั มใี นอฏั ฐกวรรควา่ “มนุ ลี ะทอ่ี ยแู่ ลว้ ไมม่ ที พี่ กั เทยี่ วไป ไมท่ ำ� ความสนทิ สนม
ในบา้ น เปน็ ผวู้ า่ งจากกามทง้ั หลาย ไมม่ งุ่ ถงึ กาลขา้ งหนา้ ไมท่ ำ� ถอ้ ยคำ� แกง่ แยง่ กบั ชนอนื่ ″
ดงั่ น้ี ดกู อ่ นคฤหบดี เนอ้ื ความแหง่ พระพทุ ธวจั นะนนั้ ทพ่ี ระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรสั โดยยอ่
จะพงึ เห็นไดโ้ ดยพสิ ดาร ดว้ ยประการฉะน้ี

ในพรรษากาลนี้ ทา่ นทงั้ หลายไดร้ บั การอบรมมาเปน็ อนั มาก และโอวาทสำ� หรบั
นวกภิกษุที่อุปัชฌาย์พึงให้ ก็ยุติลงในวันนี้ จึงใคร่ที่จะได้กล่าวสรุปว่า ธรรมปฏิบัติ
ทัง้ หลายที่มเี ป็นอนั มาก เชน่ ในนวโกวาท กต็ ้ังแตใ่ นทุกะ หมวด ๒ เปน็ ต้นไป ซึง่ มี

พรรษาท่ี ๑๒ 355

มากขอ้ มากประการ แมจ้ ะมมี าก แตก่ อ็ าจสรปุ ลงไดใ้ น ไตรสกิ ขา คอื ในศลี ในสมาธิ
และในปัญญา เพื่อวิมุตติคือความหลุดพ้น อันศีล สมาธิ ปัญญา และวิมุตตินี้เป็น
อริยธรรม ท่ีพระพุทธเจา้ ตรัสไว้ เพราะฉะนัน้ จงึ อาจยอ่ ลงไดเ้ ป็น ๓ ดั่งน้ี

อกี ประการหนง่ึ ในเวลาอนั ใกลจ้ ะเสดจ็ ปรนิ พิ พาน พระพทุ ธเจา้ ไดต้ รสั ไว้ เปน็
พระปจั ฉมิ วาจาคอื พระวาจาสดุ ทา้ ยวา่ วยธมมฺ า สงขฺ ารา สงั ขารทงั้ หลาย มคี วามเสอื่ ม
ไปเปน็ ธรรมดา อปปฺ มาเทน สมปฺ าเทถ ทา่ นทง้ั หลายจงยงั ความไมป่ ระมาทใหถ้ งึ พรอ้ ม
เถดิ อปั ปมาทธรรม ธรรมคอื ความไม่ประมาท กไ็ ดแ้ ก่การที่เปน็ ผไู้ มป่ ราศจากสตคิ ือ
ความระลึกได้ พร้อมทั้งสัมปชัญญะ คือความรู้ตัว มีสติรักษาตน เป็นสติเนปกะ
ท่ีแปลว่า มีสติรักษาตนอยู่เสมอ ผู้ไม่ประมาทย่อมเป็นผู้ขวนขวายปฏิบัติละสิ่ง
ทค่ี วรละ ทำ� สง่ิ ทคี่ วรทำ� หรอื กลา่ วไดว้ า่ เปน็ ผขู้ วนขวายปฏบิ ตั อิ ยใู่ นศลี สมาธิ ปญั ญา
ไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง ในการปฏิบัติ จับปฏิบัติในวันน้ีทีเดียว ต้ังแต่บัดน้ีเป็นต้นไป
ทเี ดียว ชอ่ื วา่ เปน็ ผไู้ มป่ ระมาท ทา่ นพระอาจารยท์ ง้ั หลายไดก้ ลา่ ววา่ พระพทุ ธเจา้ ได้
ทรงสรปุ คำ� สงั่ สอนของพระองค์ทั้งสิ้นเข้าในอัปปมาทหรือเข้าในอัปปมาทธรรม ธรรม
คอื ความไมป่ ระมาท ซง่ึ มคี ำ� เปรยี บวา่ เหมอื นอยา่ งรอยเทา้ ชา้ ง ยอ่ มใหญก่ วา่ รอยเทา้
ทั้งหมด รอยเท้าของสัตว์ในโลกทั้งหมด ย่อมรวมเข้าได้ในรอยเท้าช้างฉันใด ธรรม
ทง้ั หลายทงั้ หมดกส็ รปุ เขา้ ไดใ้ นอปั ปมาทหรอื ในอปั ปมาทธรรมน้ี เรอื่ งธรรมสำ� หรบั เปน็
ทีส่ รุปธรรมท้ังหลายนี้ ยงั ไดม้ พี ระพุทธภาษิตตรัสไว้วา่ กุศลธรรม ท้งั หลายยอ่ มสรปุ
รวมเข้าในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ คือในทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ทางปฏิบัติให้ถึง
ความดับทุกข์ เหมือนอย่างรอยเท้าช้างใหญ่กว่ารอยเท้าสัตว์ท้ังหลาย รอยเท้าสัตว์
ทง้ั หลายยอ่ มรวมเขา้ ไดใ้ นรอยเทา้ ชา้ ง กศุ ลธรรมทงั้ หลายกเ็ ชน่ เดยี วกนั ยอ่ มสรปุ เขา้
ไดใ้ นอรยิ สจั จ์ท้งั ๔ นกี่ ็เปน็ อีกนัยหนึง่

วนั นจี้ งึ สรปุ โอวาททไ่ี ดแ้ สดงมาเขา้ ใน ไตรสกิ ขา พรอ้ มทงั้ วมิ ตุ ติ ความหลดุ พน้
หรือเข้าในอรยิ ธรรม สรปุ เขา้ ได้ในอปั ปมาท ความไมป่ ระมาท หรอื ในอปั ปมาทธรรม
สรุปเข้าได้ใน อริยสัจจ์ทั้ง ๔ เพราะฉะน้ัน เราท้ังหลาย จึงสมควรท�ำความเข้าใจ
ท�ำความจำ� ในธรรมอนั เปน็ ทส่ี รปุ นี้ไวใ้ ห้ดี และตั้งใจปฏิบัตติ ่อไป.



บรรณานกุ รม

จลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หวั , พระบาทสมเดจ็ . พระราชพธิ ีสิบสองเดอื น. ศลิ ปบรรณาคาร,
กรงุ เทพฯ, ๒๕๐๓.
ชินวรสิริวัฒน์, สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวง. พระคัมภีร์อภิธานัปปทีปิกา.
มหามกุฏราชวทิ ยาลยั , กรุงเทพฯ, ๒๕๒๓.
ปรมานุชิตชิโนรส, สมเด็จมหาสมณเจ้า กรมพระ. พระปฐมสมโพธิกถา. โรงพิมพ์
การศาสนา, กรุงเทพฯ, ๒๕๐๕.
พนรตั , สมเดจ็ พระ, สงั คตี ยิ วงศ.์ พมิ พใ์ นงานพระราชทานเพลงิ ศพ สมเดจ็ พระพฒุ าจารย์
(วน), ๒๕๒๑.
พทุ ธโฆสะ, พระ. ชาตกฏุกถา. มหามกุฏราชวทิ ยาลยั กรงุ เทพฯ, ๒๔๖๕.
______. ฌาโณทยปกรณํ. พิมพ์ในงานสมโภชพระสุพรรณบัฏ สมเด็จพระสังฆราช
(อยู)่ วดั สระเกศ, ๒๕๐๖.
______. ธมฺมปทฏฺ กถา (ภาค ๑-๘). มหามกฏุ ราชวิทยาลัย, กรุงเทพฯ, ๒๕๓๑.
______. ปปญจฺ สูทน.ี มหามกุฏราชวิทยาลัย, กรุงเทพฯ, ๒๔๖๓.
______. มโนรถปูรณี. มหามกฏุ ราชวิทยาลยั , กรุงเทพฯ ๒๔๖๓.
______. วสิ ุทฺธมิ คคฺ . มหามกุฎราชวทิ ยาลัย, กรุงเทพฯ, ๒๕๓๑.
______. สมนตฺ ปปฺ าสาทกิ า (ภาค ๑-๓). มหามกุฏราชวทิ ยาลยั , กรุงเทพฯ, ๒๕๑๐.
______. สารตถฺ ปกาสนิ ี (ภาค ๑-๓). มหามกุฏราชวทิ ยาลยั , กรุงเทพฯ, ๒๔๖๓.
______. สมุ งคฺ ลวลิ าสนิ ี (ภาค ๑-๓). มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย, กรงุ เทพฯ, ๒๔๖๓.
มิลินฺทปญหฺ า. มหามกฎุ ราชวิทยาลัย, กรุงเทพฯ, ๒๔๖๖.
รตั นปัญญา, พระ. ชนิ กาลมาลปี กรณ์ (ฉบับแปลไทย). พิมพ์ในงาน พระราชทาน
เพลิงศพนายพงษส์ วสั ดิ์ สรุ ิโยทยั , ๒๕๑๘

ราชบุรีดิเรกฤทธิ, พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหลวง. กฎหมายเก่า (กฎหมายราชบุรี)
เลม่ ๒. โรงพมิ พก์ องลหุโทษ, กรุงเทพฯ, ๑๒๖.

ลิไทย, พญา. ไตรภูมิกถา. ส�ำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลพิมพ์ในงานทอดกฐิน ณ
วดั ทับสะแก อ.ทับสะแก จ. ประจวบคีรีขันธ,์ ๒๕๒๕.

วชริ ญาณวโรรส, สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยา. พุทธประวัติ เลม่ ๑ - ๓.
มหามกฏุ ราชวิทยาลัย, กรงุ เทพฯ, ๒๔๘๔.

______. ต�ำนานวัดบวรนิเวศวิหาร. พิมพ์ในงานถวายพระเพลิงพระศพ สมเด็จ
พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, ๒๔๖๕.

______. ธรรมวิจารณ.์ มหามกฏุ ราชวิทยาลยั , กรุงเทพฯ ๒๕๐๑.

______. วิปสั สนากมั มฏั ฐาน. มหามกุฏราชวทิ ยาลยั , กรุงเทพฯ ๒๕๐๒.

วิมตวิ โิ นทนี. มหามกุฏราชวทิ ยาลยั , กรงุ เทพฯ

สฺยามรฏฺ สฺส เตปฏิ กํ. มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , กรงุ เทพฯ, ๒๕๒๕.

อนุรทุ ธ, พระ. อภธิ มมฺ ตฺถสงฺคหปาลิยา สห อภิธมฺมตถฺ วิภาวนิ ี นาม อภธิ มฺมตฺถสง-ฺ
คหฏกี า. มหามกุฏราชวิทยาลยั , กรุงเทพฯ, ๒๔๙๗.

อคั ควงั สะ, พระ. สทฺทนตี ิ ปทมาลา (ฉบบอกั ษรโรมนั ). Oxford University Press,
London, 1978.

Waddell, L.A. The Buddhism of Tibet or Lamaism. Cambridge, W. Heffer &
Sons, Ltd. 1958.





คำ� สงั่ คณะกรรมการอำ� นวยการจดั งานฉลองพระชนั ษา
สมเดจ็ พระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ๑๐๐ ปี ๓ ตลุ าคม ๒๕๕๖

ที่ ๔/๒๕๕๖
เรื่อง แต่งตงั้ คณะกรรมการฝ่ายจัดทำ� หนงั สอื ท่ีระลกึ และจดหมายเหตุ งานฉลองพระชนั ษา ๑๐๐ ปี

สมเดจ็ พระญาณสงั วร สมเดจ็ พระสังฆราช สกลมหาสังฆปรณิ ายก ๓ ตุลาคม ๒๕๕๖

ตามค�ำส่ังสำ� นักนายกรัฐมนตรี ท่ี ๑๙๙/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๓ กนั ยายน พ.ศ. ๒๕๕๕
เร่ือง แต่งตั้งคณะกรรมการอ�ำนวยการจัดงานฉลองพระชันษาสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จ
พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก ๑๐๐ ปี ๓ ตลุ าคม ๒๕๕๖ และคำ� สงั่ สำ� นกั นายกรฐั มนตรี
ที่ ๔๓/๒๕๕๖ ลงวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๖ เร่ือง แต่งตั้งที่ปรึกษาและกรรมการ
รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการอ�ำนวยการจัดงานฉลองพระชันษา
สมเดจ็ พระญาณสงั วร สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก ๑๐๐ ปี ๓ ตลุ าคม ๒๕๕๖
เพิ่มเติมซึ่งคณะกรรมการอ�ำนวยการจัดงานฯ มีอ�ำนาจหน้าท่ีในการแต่งต้ังคณะกรรมการ
คณะอนุกรรมการ หรือคณะท�ำงานฝ่ายต่าง ๆ เพ่ือช่วยเหลือการปฏิบัติงานตามที่เห็น
สมควร นน้ั

คณะกรรมการอ�ำนวยการจัดงานฉลองพระชันษาสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จ
พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก ๑๐๐ ปี ๓ ตลุ าคม ๒๕๕๖ ในคราวประชมุ ครง้ั ท่ี ๑/๒๕๕๖
เม่ือวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๖ ไดม้ มี ติใหแ้ ตง่ ต้งั คณะกรรมการฝา่ ยต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลอื การ
ปฏบิ ัติงานใหเ้ ปน็ ไปดว้ ยความเรียบร้อยและสมพระเกยี รติ

ดังนั้น อาศัยอ�ำนาจหน้าที่ตามค�ำส่ังส�ำนักนายกรัฐมนตรี และมติท่ีประชุม
คณะกรรมการอ�ำนวยการจัดงานฯ ดังกล่าว จึงให้แต่งต้ังคณะกรรมการฝ่ายจัดท�ำหนังสือท่ี
ระลกึ และจดหมายเหตุ งานฉลองพระชนั ษา ๑๐๐ ปี สมเดจ็ พระญาณสงั วร สมเดจ็ พระสงั ฆราช
สกลมหาสงั ฆปริณายก ๓ ตลุ าคม ๒๕๕๖ โดยมีองค์ประกอบและอำ� นาจหนา้ ท่ีดงั น้ี

๑. องคป์ ระกอบ

๑.๑ รัฐมนตรวี ่าการกระทรวงวัฒนธรรม ประธานกรรมการ
๑.๒ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม รองประธานกรรมการ
๑.๓ ปลดั สำ� นกั นายกรฐั มนตร ี กรรมการ

๑.๔ ผูอ้ �ำนวยการสำ� นักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาต ิ กรรมการ
๑.๕ อธบิ ดีกรมประชาสัมพนั ธ์ กรรมการ
๑.๖ ผู้อ�ำนวยการส�ำนักงานเสรมิ สรา้ งเอกลกั ษณข์ องชาต ิ กรรมการ
สำ� นักงานปลัดสำ� นกั นายกรัฐมนตร ี
๑.๗ นางสายไหม จบกลศกึ กรรมการ
๑.๘ นางสาวทรงสรรค์ นิลกำ� แหง กรรมการ
๑.๙ นายประสพโชค อ่อนกอ กรรมการ
๑.๑๐ ผแู้ ทนวัดบวรนิเวศวหิ าร กรรมการ
๑.๑๑ อธบิ ดกี รมศลิ ปากร กรรมการและ
เลขานุการ
๑.๑๒ ผ้อู ำ� นวยการส�ำนักหอจดหมายเหตุแหง่ ชาติ กรรมการ
กรมศลิ ปากร และผ้ชู ว่ ยเลขานุการ
๑.๑๓ ผอู้ �ำนวยการสำ� นกั วรรณกรรมและประวตั ิศาสตร ์ กรรมการ
กรมศลิ ปากร และผ้ชู ่วยเลขานกุ าร

๒. อำ� นาจหนา้ ที่

๒.๑ ดำ� เนนิ การจดั ทำ� หนงั สอื ทรี่ ะลกึ และจดหมายเหตใุ หเ้ ปน็ ไปดว้ ยความเรยี บรอ้ ย
๒.๒ ก�ำหนดหลักเกณฑ์และพิจารณากลั่นกรองหนังสือที่ระลึกของหน่วยงาน
ที่เสนอขอรว่ มจัดทำ�
๒.๓ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะท�ำงานเพ่ือช่วยเหลือการปฏิบัติงานตามท่ี
เหน็ สมควร
๒.๔ รายงานผลการดำ� เนนิ งานใหค้ ณะกรรมการอ�ำนวยการจดั งานฯ เพ่ือทราบ
๒.๕ ดำ� เนินการอื่น ๆ ทเี่ กย่ี วข้อง
ทงั้ นี้ ตงั้ แตบ่ ัดนี้เป็นตน้ ไป

ส่ัง ณ วันที่ ๒๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๖

(นางสาวยง่ิ ลกั ษณ์ ชนิ วตั ร)
นายกรัฐมนตรี

ประธานกรรมการอ�ำนวยการจดั งานฉลองพระชนั ษา
สมเดจ็ พระญาณสงั วร สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก ๑๐๐ ปี ๓ ตลุ าคม ๒๕๕๖




Click to View FlipBook Version