33
ประมาณ 4 158 ปหาน 5 224
ประโยชนจากโภคทรพั ย 5 232
ประสตู ิ 188 ปหานปธาน 156
ปรตั ถะ 133
ปรมปฺ ราย 317 ปหานปรญิ ญา 92
ปราโมทย 220
ปริจจาคะ 326 ปหานภาวนารามตา 203
ปริจเฉทรปู 1 40, 359
ปรญิ ญา 205, 206 ปหานวนิ ัย 243
ปริญญา 3 92
ปรญิ ไญยธรรม 206 ปหานสฺ า 331
ปริณตโภชี 250
ปริตตสุภา 351 ปคคาหะ 328
ปรติ ตาภา 351
ปริเทวะ 340 ปง สุกลู กิ ังคะ 342
ปรินพิ พาน 188
ปรินพิ พุตสถาน 188 ปจจยปริคคหญาณ 92, 345
ปริปุจฉา 339
ปรมิ ติ ปานโภชนา 138 ปจ จยาการ 12 105, 340
ปริยตั ธิ รรม 306, 332
ปริยัติศาสนา ปจจเวกขณญาณ 345
ปรยิ ัตสิ ทั ธรรม 51
ปรยิ ายทสฺสาวี 121 ปจจฺ ตฺตํ เวทิตพฺโพ วิฺ หู ิ 306
ปรยิ ายสทุ ธิ 219
ปริเยสนา 2 54 ปจ จัย 4 159, 202, 203
ปรวิ ัฏฏ 3 33
ปริวาร 73 ปจ จัย 24 350
ปรสิ สารชั ชภัย 75
ปรสิ ัญุตา 229 ปจจัยนิสิต 342
ปลาสะ 287
ปวิเวก 347 ปจจยั ปจจเวกขณ 243
ปวิเวกกถา 294
ปสงั สา 314 ปจจัยสนั นิสิตศลี 160
ปสนนฺ านํ ภยิ ฺโยภาวาย 296
ปสาทรูป 5 327 ปจจยั สมั ปทา 190
ปหาตัพพธรรม 40, 359
ปหานะ 206 ปจจัยใหเ กดิ สัมมาทฏิ ฐิ 2 34
ปหาน 3 205, 206
224 ปจ จุบนั 340
ปจ จบุ ันเหตุ 340
ปจ จุปปนนังสญาณ 72
ปจเจกพทุ ธเจา 142
ปจ ฉาชาตปจจยั 350
ปจ ฉิมทิศ 265
ปญจกัชฌาน 9, 356
ปญ จกนยั 9
ปญจทวาราวัชชนะ 343, 348, 356
ปญ จมฌาน 9
ปฺจมชฌฺ านกุสลจิตตฺ ํ 356
ปญจวิญญาณฐาน 343
ปฺ า 324
ปญ ญา 37, 67, 124, 183, 197, 204, 228,
237, 249, 251, 292, 301, 325, 346
ปญญา 3 93
ปญ ญากถา 314
ปญ ญาขนั ธ 218
ปญญาคุณ 217, 305
34
ปญ ญาจักขุ 217 ปาณาตปิ าตา เวรมณี 238, 240, 319
ปญ ญาปนบัญญตั ิ 28 ปาปณกิ ธรรม 3 95
ปฺาปนโต ปฺตตฺ ิ 28 ปาปณกิ ังคะ 95
ปญญาปย บญั ญตั ิ 28 ปาปมิตตะ 199
ปฺาปยตฺตา ปฺตฺติ 28 ปาปา, อารตี วิรตี 353
ปญ ญาพละ 229, 230 ปาปจ ฉา 308
ปญญาภาวนา 37 ปาพจน 2 35, 75
ปญญาวิมุต 62, 63 ปาราชิก 75
ปญญาวิมุตติ 43, 252 ปาริจรยิ านตุ ตรยิ ะ 127
ปญญาวุฒิ 179 ปารสิ ุทธิศีล 4 160, 285
ปญ ญาวฑุ ฒิธรรม 4 179, 193 ปาสาทโิ ก 322
ปญ ญาสมั ปทา 191, 229 ปาหุเนยโฺ ย 307
ปญญินทรีย 63, 349, 355 ปฏก 3 75
ปญญินทรียเจตสกิ 355 ปฏ กสมปฺ ทาเนน 317
ปฏฐาน 75 ปณ ฑปาตปฏสิ ังยตุ ต 342
ปณฑฺ ิตานฺจ เสวนา 353 ปณ ฑปาตสนั โดษ 203
ปตตปณฑิกังคะ 342 ปณ ฑปาตกิ ังคะ 342
ปต ตานุโมทนามัย 89 ปณ ฑิยาโลปโภชนะ 159
ปตติทานมยั 89 ปตติวสิ ยั 198, 351
ปพ พชติ ะ 150 ปตฆุ าต 245, 275
ปพ พชิตปธาน 32 ปย กรณ 273
ปพพชิตอภิณหปจ จเวกขณ 10 248 ปยวินาภาวตา 247
ปยรูป สาตรูป 6 × 10 266
ปพ พชั ชา 123
ปพ พัชชาจารย 211 ปย วาจา 186, 229
ปสสัทธิ 220, 281, 328 ปโย 278
ปสสฺ าส 346 ปส ณุ ํ วาจํ ปหาย ฯเปฯ 320
ปากกาล 338 ปสณุ าวาจา 321
ปากทานปรยิ าย 338 ปส ุณาย วาจาย เวรมณี 319
ปาจติ ติยะ 75 ปต กสณิ 315
ปาฏบิ ุคลกิ ทาน 12 ปติ 9, 220, 281, 328, 355
ปาฏปิ ุคฺคลิกา ทกขฺ ิณา 12 ปต ิ 5 226
ปาฏิโมกข (ปาติโมกข) 75, 160, 222, 243, ปตสิ ุเขกคฺคตาสหติ ํ 356
252, 254, 322, 344 ปุคคลปโรปรัญุตา 287
ปาฏิโมกขสงั วร (ปาตโิ มกขสงั วร) 222, 243 ปุคคลปญญัตติ 75
ปาฏโิ มกขสังวรศลี (ปาติโมกขสังวรศีล) 160 ปคุ คลสปั ปายะ 286
ปาฏิหาริย 3 94 ปุคคลญั ตุ า 287
ปาณาตบิ าต 137, 321 ปคุ คลาปเทส 166
ปาณาติปาตํ ปหาย ฯเปฯ 320 ปญุ ญาภิสังขาร 129
35
ปุตตฺ ทารสฺส สงฺคโห 353 ผสั สะ 6 272
ปุตตฺ สงฺคห 353
ปถุ ุชน 345, 351 ผัสสาหาร 212
ปถุ ชุ นกบั โลกธรรม 296
ปุพพเปตพลี 232 ผฏุ สสฺ โลกธมฺเมหิ จติ ตฺ ํ น กมปฺ ติ 353
ปุพพฺ นฺตาปรนเฺ ต อฺาณํ 209
ปพุ ฺพนฺเต อฺาณํ 209 ผุสนะ 343
ปพุ เพกตปญุ ญตา 140
ปพุ เพกตวาท 101 โผฏฐัพพะ 6, 40, 266, 277
ปพุ เพกตเหตวุ าท 101
ปุพเฺ พ จ กตปุ ฺตา 353 โผฏฐพั พตณั หา 264, 266
ปพุ เพนิวาสานุสสติ 274, 297
ปพุ เพนิวาสานุสสติญาณ 106, 323 โผฏฐัพพธาตุ 348
ปุรัตถิมทิศ 265
ปุริสเมธ 187 โผฏฐัพพวจิ าร 266
ปรุ สิ ตั ตะ 40
ปรุ สิ นิ ทรยี 40, 349 โผฏฐพั พวิตก 266
ปเุ รชาตปจจยั 350
ปฬุ ุวกะ 336 โผฏฐพั พสัญเจตนา 263, 266
ปชู นียสถาน, ปูชนียวตั ถุ 289
ปชู า จ ปูชนียานํ 353 โผฏฐัพพสญั ญา 266, 271
ปตู ิมตุ ตเภสชั 159
เปตตวิ ิสยั 351 พนนั 200
เปตวัตถุ 75
เปยยวชั ชะ 186, 229 พยาธิตะ 83, 84, 150
เปรต (ดู สัตตาวาส 7 ดว ย) 198, 284, 351
เปสลานํ ภกิ ขฺ นู ํ ผาสุวิหาราย 327 พยาธธิ ัมมตา 247
ผรณาปต ิ 226 พยาบาท 225, 321, 329, 347
ผรุสวาจา 321
ผรุสํ วาจํ ปหาย ฯเปฯ 320 พยาบาทวติ ก 70
ผรสุ าย วาจาย เวรมณี 319
ผล พร 4, 5 227
ผล 4 7
ผลจติ 165, 310, 332 พรหม, พรหมโลก 16 284, 298, 351
ผลญาณ
ผลสมังคี 356 พรหมจรรย 241
ผัสสะ 345
57 พรหมจกั ร 180
340, 355
พรหมจารี 250, 290
พรหมปารสิ ัชชา 351
พรหมปุโรหิตา 351
พรหมโลก 103
พรหมวหิ าร 4 161, 227
พระเจาจกั รพรรดิ 142, 287, 339
พระธรรม* 100, 116
พระพุทธเจา 100, 116, 142, 287, 290, 337
พระพุทธรูป 141
พระสงฆ 100, 116, 265
พฺรหฺมจรยิ ฺจ 353
พราหมณ 173
พราหมณคฤหบดี 339
พราหมณบรษิ ัท 152
*คาํ นําหนาดวย พระ ถา ไมม ใี นที่นี้ ใหต ัดคาํ วา พระ
ออก แลว ดูในตําแหนง ของคําน้ันๆ
36
พละ 227 พุทธโอวาท 3 97
พทุ ธัตถจรยิ า 96
พละ 4 229 พุทธานุมัต 201
พทุ ธานุสติ 335
พละ 5 228, 352 พทุ ธาปเทส 166
พุทธิจริต 262
พละ 5 ของพระมหากษัตรยิ 230 พุทฺโธ 303
เพียรของคฤหัสถ, ความ 32
พลกาย 339 เพียรของบรรพชติ , ความ 32
แพศย 173
พลี 289 โพชฌงค 7 281, 352
โพธิปก ขยิ ธรรม 37 51, 352
พลี 5 232 ไพบูลย 2 44
พหกุ ารธรรม 4 140
พหุการธรรม 7 292
พหกุ ารธรรม 10 324
พหุลกรรม 338
พหสุ สฺ ุตา 231
พหุสสฺ โุ ต 322
พหูสูต 231, 251, 252, 253, 254
พหูสูตมีองค 5 231 ภควา 303
พัฒนา 37 ภคนิ ภี รยิ า 282
พาลานํ, อเสวนา จ 353 ภพ (ดู วิโมกข ดว ย) 340
พาหาพละ 230 ภพ 3 98
พาหิรายตนะ 6 277 ภยญาณ, ภยตปู ฏ ฐานญาณ 311
พาหสุ จจฺ 324 ภยาคติ 196
พาหุสัจจะ 237, 292 ภรรยา 265
พาหสุ จฺจจฺ 353 ภรรยา 7 282
พชี นิยาม 223 ภวจกั ร 105, 340
พุทธ ดู พระพทุ ธเจา ภวตัณหา 74, 204, 206, 357
พทุ ธกจิ 304 ภวโยคะ 170
พุทธคารวตา 261 ภวราคะ 288, 330
พุทธคุณ 2 304 ภวังคะ 343
พทุ ธคุณ 3 305 ภวาสวะ 135, 136
พทุ ธคุณ 9 303 ภโวฆะ 215
พทุ ธจริยา 3 96 ภังคญาณ, ภงั คานปุ สสนาญาณ 311
พทุ ธจักขุ 217 ภพั พตาธรรม 6 267
พทุ ธเจดีย 4 141 ภพพฺ รปู ตาย 317
พุทธบัญญัติ 290 ภัย 5 229
พทุ ธภาวะ 304 ภัสสปริยันตะ 222
พทุ ธรปู 141 ภสั สสปั ปายะ 286
พุทธลลี าในการสอน 4 172 ภาวนา 205, 206
พุทธวงส 75 ภาวนา 2 36
พทุ ธวจนะ 302 ภาวนา 3 99
37
ภาวนา 4 37 มนสานเุ ปกขฺ ติ า 231
ภาวนาปธาน 156
ภาวนามยปญ ญา 93 มนสกิ าร 355
ภาวนามัย 88, 89
ภาวนีโย 278 มนายตนะ 356
ภาวรปู 2 40, 359
ภาวิต 4 37 มนนิ ทรยี 349, 356
ภาวติ กาย 37
ภาวติ จติ 37 มนษุ ย 161, 181, 235, 238, 248, 284, 351
ภาวติ ปญ ญา 37
ภาวติ ศีล 37 มนษุ ยธรรม 238
ภาวิตตั ต 280
ภาเวตัพพธรรม 36, 206 มนษุ ยโลก 103
ภิกขุนีวภิ ังค 75/1ก
ภิกขวุ ิภงั ค 75/1ก มนุษยสมบตั ิ 114
ภกิ ขอุ ปรหิ านยิ ธรรม 71 290
ภกิ ขอุ ปริหานยิ ธรรม 72 291 มโน (ดู ปย รูป สาตรปู ดว ย) 276, 356
ภิกษุณบี ริษัท 151
ภิกษบุ รษิ ัท 151 มโนกรรม 66
ภตู กสิณ 4 315
ภตู รูป 38, 39, 146 มโนกรรม 3 319, 320, 321
ภูมิ 284
ภมู ิ 4 162 มโนทวาร 77, 78
ภมู ิ 4, 31 351
ภูมิประเภท (จิต) 356 มโนทวาราวชั ชนะ 343
เภสชั 159, 203
โภคะ 227 มโนทวฺ าราวชฺชนํ 356
โภคพละ 230
โภควภิ าค 4 163 มโนทุจรติ 80
โภคสุข 192
โภคอาทยิ ะ, โภคาทิยะ 5 232 มโนธาตุ 348
โภชนสัปปายะ 286
โภชเนมัตตญั ตุ า 128 มโนมยทิ ธิ 297
มงคล 259 มโนวญิ ญาณ 266, 268
มงคล 38 353
มตะ 83, 84, 150 มโนวญิ ญาณธาตุ 348
มทะ 347
มโนสังขาร 120
มโนสัญเจตนาหาร 212
มโนสมั ผัส 266, 272
มโนสัมผสั สชาเวทนา 113, 266
มโนสจุ ริต 81
มรณะ 340
มรณธมั มตา 247
มรณภัย 229
มรณสติ 335
มรรค 7, 204, 205, 241
มรรค 4 164, 310, 332
มรรคปจจัย 350
มรรคภาวนา 352
มรรคมีองค 8 293, 352
มรรคสมังคี 57
มละ 9 308
มหากิรยิ าจิต 8 356
มหากุศลจิต 8 356
มหานิทเทส 75
38
มหาปกรณ 75 มานะ 9 309
มหาปเทส 41 166
มหาปเทส 42 167 มานัส 356
มายา 308, 347
มหาพรหมา 351 มาร 5 234
มหาภูต 4 38, 39, 146 มารดาบดิ า 265
มหาภตู รูป 4 39, 359 มาลาคนธฺ ฯเปฯ วิภูสนฏานา เวรมณี 242
มหายญั 5 187 มา อนุสสฺ เวน ฯเปฯ 317
มหาราช 4 270 มคิ ปก ษี 339
มหาวรรค 75 มจิ ฉตั ตะ 10 334
มหาวิบาก 8 356 มิจฉากัมมันตะ 334
มหาวิบากจิต 8 356 มิจฉาญาณ 334
มหาวภิ งั ค 75/1ก มิจฉาทฏิ ฐิ 34, 308, 321, 334
มหาสงฆ 254, 255 มจิ ฉาวณิชชา 5 235
มกั ขะ 308, 347 มิจฉาวาจา 334
มักนอย 294 มิจฉาวายามะ 334
มัคคจิต 4 356 มจิ ฉาวมิ ุตติ 334
มัคคญาณ 345 มิจฉาสติ 334
มัคคสมังคี (ดู มรรคสมังคี) มจิ ฉาสมาธิ 334
มัคคงั คะ 293 มจิ ฉาสงั กัปปะ 334
มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ 285, 328 มจิ ฉาอาชีวะ 334
มังสจกั ขุ 217 มิตรเทียม 4 168
มงั สวณิชชา 235 มติ รแท 4 169
มัจจมุ าร 234 มิตรแนะประโยชน 169
มจั ฉรยิ ะ 308, 330, 347, 355 มติ รปฏริ ูปก 4 168
มจั ฉริยะ 5 233, 257 มิตรมนี ้ําใจ 169
มชชฺ ปานา จ สฺโม 353 มติ รรวมสุขรว มทกุ ข 169
มชั ชวณิชชา 235 มติ รสหาย 265
มัชฌมิ นิกาย 75 มติ รอุปการะ 169
มชั ฌมิ าปฏปิ ทา 15, 204, 293 มิทธะ 355
มัตตญั ุตา 287 มญุ จิตกุ มั ยตาญาณ 311
มัททวะ 326 มุทิตา 161, 355
มนั ทกมุ าร 84 มทุ ตุ า 40
มาฆบูชา 97 มุสาวาท 137, 308, 321
มาตาปต ุอปุ ฏฐาน 123 มุสาวาทํ ปหาย ฯเปฯ 320
มาตาปตอุ ุปฏ านํ 353 มุสาวาทา เวรมณี 238, 240, 319
มาตาภรยิ า 282 มลู 2 340
มาตุฆาต 245, 275 มลู เหตุแหง การบญั ญตั พิ ระวินัย 10 327
มานะ 91, 288, 318, 329, 330, 347, 355 เมตตา 67, 161, 325
39
เมตตากายกรรม 273 ราคคั คิ 130
เมตตามโนกรรม 273
เมตตาและกรณุ า 239 ราชธรรม 10 326
เมตตาวจีกรรม 273
เมถนุ สงั โยค 7 283 ราชพลี 232
โมมูหจิต 2 356
โมหะ 4, 68, 318, 355 ราชสังคหวัตถุ 4 187
โมหจรติ 262
โมหมูลจิต 2 356 รกุ ขมลู เสนาสนะ 159
โมหัคคิ 130
โมหาคติ 196 รุกขมลู กิ งั คะ 342
ยกยอ ง 256, 257 รูป, รูปะ 6, 40, 157, 216, 266, 277, 298
ยถาภตู ญาณ 285 รปู 21, 28 38
ยถาพลสนั โดษ 122 รปู 22 41
ยถาลาภสนั โดษ 122
ยถาสนั ถติกังคะ 342 รปู 28 38
ยถาสารปุ ปสนั โดษ 122
ยมก 75 รปู ขันธ 216
ยส 296
ยกั ษ 270 รูปฌาน 4 7, 8, 9, 10, 299, 313
ยามา
โยคะ 4 270, 351 รปู ตณั หา 264, 266
โยคพหุโล 170
โยนิ 4 269 รปู ธรรม 19, 345
โยนโิ สมนสิการ 171
โยนโิ สมนสกิ ารสมั ปทา รูปธาตุ 348
2, 34, 179, 193
รส, รสะ 280 รปู ประมาณ 158
รสตัณหา
รสธาตุ 6, 40, 266, 277 รูปพรหม 16 351
รสวิจาร 264, 266
รสวติ ก 348 รปู ภพ 98
รสสญั เจตนา 266
รสสญั ญา 266 รปู ราคะ 329
รตตฺ ฺู 263, 266
รตั นตรัย 266, 271 รูปรปู 18 359
ราคจรติ 322
100, 116 รปู โลก 104
262
รปู วจิ าร 266
รูปวิตก 266
รปู วิบาก 5 343
รูปสัญเจตนา 263, 266
รปู สัญญา 266, 271
รปู ปปมาณกิ า 158
รูปสสฺ กมฺมฺ ตา 40
รปู สฺส ชรตา 40
รปู สสฺ มทุ ตุ า 40
รูปสสฺ ลหตุ า 40
รูปสฺส สนฺตติ 40
รูปสฺส อนิจฺจตา 40
รปู สฺส อปุ จย 40
รปู าวจร 8
รปู าวจรกริ ิยาจติ 5 356
รูปาวจรกุสลจติ 5 356
รปู าวจรจิต 15 356
40
รปู าวจรภมู ิ 16 162, 351 โลกุตตรธรรม 20, 306
รูปาวจรวบิ ากจติ 5 356 โลกตุ ตรธรรม 9, 46 310, 332
รปู าวจรสมาธิ 99 โลกตุ ตรภมู ิ 162, 351
รปู โน ธมฺมา 19 โลกตุ ตรวบิ ากจิต 4 (20)
ฤทธ์ิ 2 42 โลภะ 356
โลภมูลจิต 8 4, 68, 318, 355, 359
ลหุตา 40 โลหติ กะ
ลกั ขณรูป 4 40, 359 โลหิตกสิณ 356
ลกั ขณปู นชิ ฌาน โลหติ ุปบาท 336
ลกั ษณะตัดสินธรรมวินัย 7 7 315
ลักษณะตัดสินธรรมวนิ ยั 8 295 245, 275
ลทั ธนิ อกพทุ ธศาสนา 3 294
ลาภ 101 วจนกฺขโม 278
ลาภมจั ฉริยะ 296
ลาภานุตตริยะ 233, 257 วจสา ปริจติ า 231
ลีลาการสอน 4 127
ลูขประมาณ 172 วจกี รรม 66
ลขู ปั ปมาณกิ า 158
เล่ือมใส 158 วจกี รรม 4 241, 319, 320, 321
โลก (เที่ยง ไมเทยี่ ง ฯลฯ) 256
โลก 31 337 วจีทวาร 77
โลก 32 102
โลก 33 103 วจีทุจริต 80
โลกธรรม 8 104
โลกธมเฺ มหิ 296 วจีบรม 168
โลกนาถ 353
โลกบาล 4 304 วจีวิญญตั ิ 40
โลกบาลธรรม 2 270
โลกวิทู 23 วจสี งั ขาร 119, 120
โลกตั ถจรยิ า 303
โลกาธปิ ไตย วจสี ุจริต 81
โลกียญาณ 96
โลกียธรรม 125 วณชิ ชา 5 235
โลกียภมู ิ 345
โลกียอภญิ ญา 20 วธกาภริยา 282
โลกตุ ตรกุศลจติ 4 (20) 162, 351
โลกุตตรจิต 8 (40) 63, 274 วรรณะ 227, 248
โลกุตตรญาณ 356
356 วรรณะ 4 173
345
วรรณกสณิ 4 315
วโย ปฺายติ 117
วสวตั ดี 270
วัชชอี ปริหานิยธรรม 7 289
วัฏฏะ 3 105, 340
วัฑฒิ หรือ วัฒิ หรือ วฒุ ิ 5 249
วัฒนมุข 6 201
วัณณะ 227, 277
วัณณมจั ริยะ 233, 257
วตฺตา จ 278
วัตถกุ าม 5
วตั ถุประสงคการบญั ญัติวินัย 10 327
วตั ถสุ มั ปทา 190
วตั รปฏิบัติ 251
41
วาจา, สภุ าสติ า จ ยา 353 วิญญาณาหาร 212
วาจาเปยยะ 187 วติ ก 9, 355
วาชเปยะ 187 วิตก 6 266
วาโยกสณิ 315 วิตกจริต 262
วาโยธาตุ 39, 146, 147, 148 วติ กกฺ วิจารปต ิสุเขกคคฺ ตาสหิตํ 356
วิกขมั ภนนโิ รธ 224 วิธปี ฏบิ ัติตอ ทุกข– สุข 4 174
วิกขัมภนปหาน 224 วิธูโร 95
วิกขายติ กะ 336 วนิ ยั 35, 75, 166, 167, 243, 294, 295
วกิ ขิตตกะ 336 วินัย 2 243
วกิ ารรูป 3, 5 40, 359 วนิ ัยปฎ ก 75
วกิ าลโภชนา เวรมณี 240 วินยานคุ ฺคหาย 327
วคิ ตปจ จัย 350 วนิ โย จ สุสิกฺขโิ ต 353
วจิ ฉทิ ทกะ 336 วินปิ าตกิ ะ 284, 312
วิจาร 9, 355 วนิ ลี กะ 336
วิบัติ 41 175
วจิ าร 6 266 วบิ ัติ 42 176
วจิ ารปต สิ ุเขกคฺคตาสหติ ํ 356
วิจกิ จิ ฉา 225, 288, 318, 329, 330, 355 วิปจิตัญู 153
วิจิกจิ ฺฉาสมฺปยตุ ฺตํ 356 วิปปยตุ ตปจ จยั 350
วิเจยยฺ เทติ 300 วปิ ริณามทกุ ขตา 79
วชิ ชมานบัญญตั ิ 28 วิปริตมนสิการ 359
วิชชา 3 106 วปิ ล ลาส, วิปลาส 4 178
วิชชา 8 297 วิปล ลาสนิมติ 107
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน 303 วิปสสนา 7, 47, 346
วชิ ชาภาคิยธรรม 36 วปิ สสนาญาณ 9 285, 297, 311, 345
วิชชามาเนนวิชชมานบญั ญตั ิ 28 วปิ ส สนาญาณ 10 311
วชิ ชามาเนนอวชิ ชมานบญั ญตั ิ 28 วิปสสนาธรุ ะ 26
วญิ ญัติรูป 2 40, 359 วปิ สสนาภาวนา 36
วิญญาณ 340, 356 วิปส สนายานกิ 61
วิญญาณ 6 266, 268 วิปส สนูปกเิ ลส 10 285, 328
วญิ ญาณกสิณ 315 วิปากจิต 36 (52) 356
วญิ ญาณกจิ 14 343 วปิ ากจิตตฺ ํ 356
วญิ ญาณขนั ธ 216, 356 วิปากปจ จัย 350
วญิ ญาณฐติ ิ 7 284 วิปากวัฏฏ 105
วญิ ญาณธาตุ 148, 149 วิปากสทั ธา 181
วญิ ญาณปวตั ต,ิ วิญญาณปวัตติอาการ 343 วปิ ุพพกะ 336
วญิ ญาณญั จายตนะ 207, 284, 298, 312 วิภวตัณหา 74, 204, 357
วิฺ าณจฺ ายตนกุสลจติ ตฺ ํ 356 วภิ ังค (วินัย) 75
วญิ ญาณญั จายตนภมู ิ 351 วภิ ังค (อภธิ รรม) 75
42
วมิ ังสา 213 วิสุทธคิ ณุ 305
วมิ านวตั ถุ 75/2
วิมตุ ตานุตตริยะ 126 วิสทุ ธเิ ทพ 82
วิมตุ ติ 227, 252
วิมุตติ 2 43 วิหิงสาวิตก 70
วิมตุ ติ 5 224, 236
วมิ ุตติกถา 314 วฑุ ฒิธรรม 4 179, 193
วมิ ตุ ติขันธ 218
วิมตุ ติญาณทัสสนกถา 314 วุฑฒิธรรม, วุฑฒิธรรม 5 249
วิมุตตญิ าณทัสสนขนั ธ 218
วิมุตโฺ ต 322 วุฒมิ ขุ 201
วโิ มกข 3 107
วิโมกข 8 298 วุตตฺ ํ เหตํ ภควตา 302
วริ ชํ 353
วริ ตเี จตสกิ 3 355 เวทนา 340, 355
วริ ตั ิ 3 108
วิราคะ 294, 295 เวทนา 2 110
วริ าคะ 5 224
วิราคสฺ า 331 เวทนา 3 111
วิริยะ 213, 228, 281, 325, 355
วริ ิยนิสิต 342 เวทนา 5 112
วิรยิ ปฏสิ งั ยตุ ต 342
วริ ิยพละ 229 เวทนา 6 113, 266, 358
วิริยสังวร 243
วิรยิ ารมฺภ 324 เวทนา 108 358
วิรยิ ารัมภะ 2, 237, 294, 301
วิรยิ ารมั ภกถา 314 เวทนาขันธ 216
วริ ิยนิ ทรยี 349
วิรูปก ษ 270 เวทนาเจตสกิ 5 359
วริ ูฬหก 270
วเิ วก 3 109 เวทนานุปสสนา, เวทนานุปส สนาสติปฏ ฐาน 182, 346
วเิ วก 5 224
วสิ มโลภสสฺ ปหานํ 339 เวทนานุปส สนาจตุกกะ 346
วิสวณชิ ชา 235
วิสังโยค 294 เวทลลฺ ํ 302
วสิ ยั รูป 4, 5 40, 359
วิสทุ ธิ เวทพหุโล 269
วสิ ทุ ธิ 7 92
285 เวปลุ ละ 2 44
เวปุลลธรรม 6 269
เวยยฺ ากรณํ 302
เวยยาวัจจมัย 89
เววณณฺ ยิ 248
เวสสวณั 270
เวสารัชชะ 4 180
เวสารัชชกรณธรรม 5 237
เวสารชั ชญาณ 4 180
เวหัปผลา 351
โวฏฐพั พนะ, โวฏฐปนะ 343, 356
โวสสัคคะ 5 224
ศรัทธา 183, 237, 249, 259, 292, 301
ศรัทธา 4 181
ศรัทธาไทย 255, 256, 257
ศาสนา 2 51
ศษิ ย 265
ศลี (ดู สลี วา ดวย) 37, 124, 183, 194, 201, 204,
43
227, 237, 249, 252, 253, 254, 259, 292, 324, สมติงสบารมี 325
สมถะ 346
325, 326, 346 สมถภาวนา 36
สมถยานิก 61, 63
ศลี 5 238 สมนนั ตรปจจยั 350
สมบตั ิ 31 114
ศีล 8 240 สมบตั ิ 32 115
สมบตั ิ 4 177
ศีล 8 ท้งั อาชวี ะ 241 สมบตั ขิ องอุบาสก 5 259
สมบัตขิ องอบุ าสก 7 260
ศลี 10 242 สมปญ ญา 183
สมมตกิ ถา 18
ศลี วิบตั ิ 175 สมมตเิ ทพ 82
สมมตเิ ทสนา 18
ศทู ร 173 สมมติสจั จะ 50
สมสัทธา 183
สกทาคามิผล 165 สมสลี า 183
สมันตจักขุ 217
สกทาคามผิ ลจิตตฺ ํ 356 สมาทปนา 172
สมาทานวริ ัติ 108
สกทาคามิมรรค 164 สมาธิ (ดู พละ 5 ดวย) 37, 124, 204, 220,
258, 281, 346
สกทาคามิมคฺคจิตตฺ ํ 356 สมาธิ 2 45
สมาธิ 31 46
สกทาคามี 56, 57, 351 สมาธิ 32 47
สมาธกิ ถา 314
สกทาคามี 3, 5 59 สมาธิขันธ 218
สมาธินทรยี 63, 349
สขภี รยิ า 282 สมาธิภาวนา 4 184
สมานสุขทกุ ข 169
สงเคราะห 273 สมานตั ตตา 186, 229
สมาบัติ 8 299
สจิตตฺ ปริโยทปนํ 97 สมุจเฉทนิโรธ 224
สมุจเฉทปหาน 224
สติ 3, 25, 228, 281, 301, 324, 355 สมุจเฉทวริ ตั ิ 108
สมุตเตชนา 172
สตินทรีย 349 สมุทยวาร 340
สมทุ ัย 204, 205
สตปิ ฏฐาน 346
สติปฏ ฐาน 4 182, 352
สตสิ งั วร 243
สติสมั ปชัญญะ 184, 239
สทารสนั โดษ 239
สนธิ 3 340
สนิทานธัมมเทสนา 134
สปทานจาริกังคะ 342
สพรหมจารี 290
สมจาคา 183
สมชีวติ า 144
สมชีวิธรรม 4 183
สมณบริษัท 152
สมณพราหมณ 265, 339
สมณพราหมณปริปุจฉา 339
สมณานฺจ ทสสฺ นํ 353
สมโณ โน ครูติ 317
สมดึงสบารมี 325
44
สยมั ภญู าณ 204 สงั คหพละ 229
สรณะ 3 100, 116
สรรพเมธะ สังคหวัตถุ 4 186
สวนะ 187
สรรี ะ 343 สังคหวัตถุของผคู รองแผนดิน 4 187
สวนานตุ ตริยะ 337
สวรรค 6 127 สงฺคโห, าตกานจฺ 353
สวรรคสมบตั ิ 270
สวฺ ากขฺ าโต ภควตา ธมโฺ ม 114 สงคฺ โห, ปุตตฺ ทารสสฺ 353
สฺวาคตปาฏโิ มกโฺ ข 306
สสงั ขารปรนิ พิ พายี 322 สงฆฺ คตา ทกขฺ ณิ า 12
สหชาตปจ จัย 60
สเหตกุ กามาวจรกริ ยิ าจติ 8 350 สงั ฆคารวตา 261
สเหตุกกามาวจรกศุ ลจิต 8 356
สเหตุกกามาวจรวิบากจติ 8 356 สงั ฆคุณ 9 307
สฬายตนะ 356
สอปุ าทิเสสนิพพาน 276, 340 สังฆทาน 12
สอุปาทเิ สสบุคคล 27
สักกะ 27 สังฆบดิ ร 290
สกั กายทฏิ ฐิ 270
สคั คกถา 329 สงั ฆปริณายก 290
สังกิเลส 246
สงั ขตธรรม 33 สงฺฆผาสตุ าย 327
สงั ขตลกั ษณะ 3 21
สงั ขตสงั ขาร 117 สงั ฆเภท 245, 275
สงขฺ าเยกํ ฯเปฯ 185
สังขาร 2 202 สงฆฺ สุฏุตาย 327
สังขาร 31 48
สงั ขาร 32 119 สงั ฆานสุ ติ 335
สงั ขาร 4 120
สังขารขันธ 185 สงั ฆาปเทส 166
สังขารทกุ ขตา 216
สงั ขารโลก 79 สังยุตตนกิ าย 75
สังขารุเปกขาญาณ 102
สงั เขป 4 311 สังโยชน 7 288
สังคณี 340 สงั โยชน 101 164, 329
สงั คหะ 2 75/3 สังโยชน 102
สังคหะ 4 49 330
340
สังวร 5 243
สังวรปธาน 156
สงั วรวนิ ยั 5 243
สงั วรศลี 243
สังเวชนยี สถาน 4 188
สงั สารจกั ร 105
สงั เสทชะ 171
สัจจะ 139, 197, 239, 325
สจั จะ 2 50
สจั จญาณ 73
สจั จานโุ ลมิกญาณ 311
สัจฉกิ าตพั พธรรม 206
สัจฉกิ ริ ยิ า 205, 206
สญั เจตนา 6 263, 266
สัญเจตนากาย 263
สัญญมะ 123
สัญญา 284, 312, 355
สญั ญา 6 266, 271
45
สัญญา 10 331 สันติ 197
สัญญาขันธ 216 สนั ติบท 352
สญั ญาวิปลาส 178 สนั ตรี ณะ, สันตีรณจติ 343, 356
สัญญาเวทยิตนโิ รธ 119, 298, 313 สนั ตฏุ ฐกิ ถา 314
สตั ตวณชิ ชา 235 สนตฺ ุฏี 324
สตั ตกั ขัตตุงปรมะ 58 สนฺตฏุ ี จ 353
สัตตาวาส 9 312 สนั ตุฏฐี 2, 294, 353
สัตถวณิชชา 235 สนฺตฏุ โ 322
สตฺถา เทวมนุสสฺ านํ 303 สันทัสสนา 172
สัตถุคารวตา 261 สนทฺ ิฏโิ ก 306
สัตถสุ าสน 166, 294, 295 สัปปาฏิหาริยธัมมเทสนา 134
สัตว 337 สปั ปายะ 7 286
สัตวโลก 102 สปั ปายการี 250
สัททะ 6, 40, 266, 277 สัปปายสมั ปชัญญะ 189
สัททตัณหา 264, 266 สปั ปายมตั ตญั ู 250
สทั ทธาตุ 348 สปปฺ ุรสิ กมฺมนโฺ ต 301
สัททบญั ญัติ 28 สปปฺ ุรสิ จินฺตี 301
สทั ทวิจาร 266 สปั ปรุ ิสทาน 8 300
สทั ทวติ ก 266 สปปฺ รุ ิสทานํ เทติ 301
สทั ทสัญเจตนา 263, 266 สปฺปุริสทฏิ ี 301
สัททสัญญา 266, 271 สปั ปุริสธรรม 71 287
สัทธรรม 1, 2, 34, 352 สปั ปุรสิ ธรรม 72 301
สัทธรรม 3 121 สปั ปุริสธรรม 8 301
สัทธรรม 7 301, 344 สปั ปรุ ิสธรรม 10 320
สัทธรรม 10 332 สปปฺ รุ สิ ธมมฺ สมนนฺ าคโต 301
สทฺธมฺมสมนนฺ าคโต 301 สัปปุรสิ บญั ญัติ 3 123
สทั ธมั มสวนะ 179, 193 สปปฺ ุรสิ ภตฺตี 301
สทธฺ มมฺ ฏ ิตยิ า 327 สปปฺ รุ สิ มนฺตี 301
สัทธา (ดู ศรัทธา ดว ย) 228, 355 สปปฺ ุริสวาโจ 301
สัทธาจรติ 262 สปั ปุรสิ สังเสวะ 179, 193
สทั ธานุสารี 63 สัปปุริสปู สสยะ 140
สทั ธาวิมุต 63 สพั พจิตตสาธารณเจตสิก 7 355
สทั ธาสัมปทา 191, 229 สพพฺ ปาปสสฺ อกรณํ 97
สทั ธนิ ทรยี 63, 349 สพฺพโลเก อนภิรตสฺา 331
สนั ดสุ ิต 270 สพพฺ สงขฺ าเรสุ อนิฏสฺ า 331
สันโดษ (ดู สนั ตฏุ ฐี ดวย) 65, 294 สัพพญั ตุ าญาณ 217
สนั โดษ 3, 12 122 สพั พตั ถคามินีปฏทิ าญาณ 323
สันตติ 40 สัพพากุสลสาธารณเจตสิก 4 355
46
สพเฺ พ สงขฺ ารา ฯเปฯ 86 สมั มาสมั พุทธปฏิญญา 180
สัมปชญั ญะ 2, 25, 182 สมฺมาสมฺพุทโฺ ธ 303
สมั ปชญั ญะ 4 189 สมั มาอาชวี ะ 239, 293, 241, 333, 355
สัมปฏจิ ฉนะ, สมั ปฏจิ ฉันนะ, สัมปฏิจฉนั นจิต 343, สัสสตทฏิ ฐิ 13
348, 356 สัสสเมธ 187
สมั ปทา 4 190 สาตถกสัมปชัญญะ 189
สมั ปทาของอุบาสก 260 สาเถยยะ 308, 347
สมั ปทาคณุ 4 190 สาธารณโภคี 273
สมั ปยุตตปจ จยั 350 สามเณร, สามเณรี 242
สัมปรายิกตั ถะ 3, 132 สามัคคีธรรม 289
สมั ปรายิกัตถสังวัตตนิกธรรม 4 191 สามัญญผล 4 165
สมฺปรายิกานํ อาสวานํ ปฏฆิ าตาย 327 สามญั ลักษณะ, สามญั ลกั ษณ 3 76, 86
สัมปหังสนา 172 สามิสสขุ 53
สัมปต ตวิรตั ิ 108 สามี 265
สัมผปั ปลาปะ 321 สามีจปิ ฏปิ นโฺ น 307
สมผฺ ปปฺ ลาป ปหาย ฯเปฯ 320 สามุกกังสิกาธรรมเทศนา 204
สมฺผปฺปลาปา เวรมณี 319 สายนะ 343
สมั ผัส 6 268, 272 สาระ 4 218
สมั พหลุ เถราปเทส, สมั พหุลัตเถราปเทส 166 สารณียธรรม 6 273
สัมโพธะ 295 สารัมภะ 347
สมั มสนญาณ 311, 345 สาราณียธรรม 6 273
สมั มัตตะ 10 333 สาวก 142
สมั มปั ปธาน 4 156, 352 สาสน 2 51
สมั มากัมมันตะ 241, 293, 333, 355 สิกขฺ ติ 346
สมั มาญาณ 333 สกิ ขา 3 124
สมั มาทสั สนะ 222, 285 สิกขาคารวตา 261
สมั มาทิฏฐิ 2, 34, 293, 319, 333 สกิ ขานุตตรยิ ะ 127
สมมฺ าทิฏิ 319 สกิ ขาบท 290
สมมฺ าทิฏ ิโก 320 สิกขาบท 5 238
สมั มาปฏิปทา 51 สกิ ฺขาปทํ สมาทิยามิ 240
สัมมาปาสะ 187 สิงคาลกมาณพ 200
สัมมาวาจา 293, 241, 333, 355 สิปปฺ จฺ 353
สัมมาวายามะ 293, 333 สีล (ดู ศีล ดว ย) 324
สัมมาวิมุตติ 333 สลี กถา 246, 314
สัมมาสติ 293, 333 สีลขนั ธ 218
สมั มาสมาธิ 293, 333 สลี ภาวนา 37
สมั มาสงั กปั ปะ 293, 333 สีลมยั 88, 89
สัมมาสัมพุทธเจดีย 4 141 สลี วา (ดู ศีล ดว ย) 250, 322
47
สีลวิสทุ ธิ 285 สุทธาวาส 5 244, 351
สลี สงั วร 243 สุทธิ 2 54
สลี สมั ปทา 2, 191, 229, 280, 344 สปุ ฏิปนฺโน 307
สีลสามญั ญตา 273 สภุ กิณหา 284, 312, 351
สลี พั พตปรามาส 329, 330 สุภรตา 294
สีลพั พตปุ าทาน 214 สุภาสิตา จ ยา วาจา 353
สลี านุสติ 335 สรุ า 200
สีสงั คะ 342 สุราธตุ ตะ 199
สหี นาท 180 สุราเมรยมชชฺ ปมาทฏ านา เวรมณี 238, 240
สุกขวิปส สก 61, 62 สสุ ุกาภยั 210
สขุ , สุขะ 9, 174, 220, 227, 296, 328 สหุ ทมติ ร 4 169
สขุ 21 52
สขุ 22 53 สูตร 166
เสขะ 1, 2, 55
สขุ ของคฤหัสถ 4 192 เสขปฏปิ ทา 344
สุขเวทนา (ดู เวทนา ดว ย) 111 เสตฆุ าตวิรตั ิ 108
สขุ สหคตํ 356 เสนาสนะ 159
สุขา ปฏิปทา ขิปฺปาภิ ฺ า 154 เสนาสนปฏิสังยุตต 342
สขุ า ปฏปิ ทา ทนธฺ าภิฺ า 154 เสนาสนสัปปายะ 286
สุขินทรยี 112, 349 เสนาสนสันโดษ 203
สเุ ขกคคฺ ตาสหิตํ 356 เสนาสนะปา 290
สุคติ 351 เสรีธรรม 352
สุคโต 303 เสวนา, ปณฑฺ ติ านฺจ 353
สจุ รติ 81 เสยี ง (ดู สทั ทะ)
สุจึ เทติ 300 โสก 1, 340
สุญญตะ 7 โสไจย 10 320
สญุ ญตวโิ มกข 107 โสดาบนั 56, 57, 275, 351
สุญญตสมาธิ 47 โสดาบัน 3 58
สตุ ะ 201, 249, 302 โสดาปตตผิ ล 165
สตุ ํ ปริโยทเปติ 221 โสดาปต ติมรรค 164
สุตฺตํ 302 โสตะ 40, 266, 276
สุตตนิบาต 75 โสตทวาร 78
สตุ ตวภิ ังค 75 โสตธาตุ 348
สตุ ตนั ตนัย 329 โสตวญิ ญาณ 266, 268, 356
สุตตนั ตปฎก 75 โสตวญิ ญาณธาตุ 348
สุตมยปญญา 93 โสตสมั ผัส 266, 272
สุทสั สา 351 โสตสมั ผสั สชาเวทนา 113, 266
สุทัสสี 351 โสตาปตฺติผลจิตตฺ ํ 356
สุทธวิปส สนายานิก 61 โสตาปตตฺ ิมคคฺ จิตตฺ ํ 356
48
โสตาปตติยังคะ 41 193 อกุศลจติ ตปุ บาท 12 85
โสตาปตตยิ ังคะ 42 194
โสตาปต ตยิ งั คะ 43 195 อกศุ ลเจตสกิ 14 355
โสตินทรีย 349
โสภณจติ 59 (92) 356 อกุศลธรรม 85
โสภณเจตสิก 25 355
โสภณสาธารณเจตสิก 19 355 อกุศลมูล 3 4, 68
โสมนสั 112, 358
โสมนสฺสสหคตํ 356 อกุศลวิตก 3 70
โสมนัสสนิ ทรยี 349
โสรจั จะ อกศุ ลวิบากจิต 7 356
โสวจสสฺ ตา 24
โสสานิกงั คะ 324, 353 อคติ 4 196
โสฬสญาณ
โสฬสวตั ถุกอานาปานสติ 342 องค 12 (ปฏจิ จสมปุ บาท) 340
345
346 องคคณุ ของกลั ยาณมิตร 7 278
องคประกอบของการศกึ ษา 34
องคป ระกอบภายนอก 1
องคประกอบภายใน 2
องคมรรค 293
องคแหงธรรมกถกึ 5 219
องคแหง ภกิ ษใุ หม 5 222
อดเิ รกลาภ 159
หตวิกขติ ตกะ 336 อดตี 340
หทัย 356 อดีตเหตุ 340
หทัยรปู 1 40, 359 อตัปปา 351
หทยั วตั ถุ 40 อตชิ าตบุตร 90
หลกั การแบงทรัพย 4 สว น 163 อติถิพลี 232
หลกั กําหนดธรรมวินัย 7 295 อติมานะ 347
หลักกาํ หนดธรรมวนิ ัย 8 294 อตตี ังสญาณ 72
หสิตุปปฺ าทจิตตฺ ํ 356 อทนิ นาทาน 137, 321
หิริ 23, 292, 301, 355 อทินนฺ าทานํ ปหาย ฯเปฯ 320
เหฏฐมิ ทิศ 265 อทนิ นฺ าทานา เวรมณี 238, 240, 319
เหตปุ จจัย 350 อทกุ ขมสขุ เวทนา (ดู เวทนา ดวย) 111
อโทสะ 4, 67, 355
อกนฏิ ฐา 351 อธนานํ ธนานุปปฺ ทานํ 339
อกรณียวณชิ ชา 5 235
อกปั ปยะ 167 อธมมฺ การปฏกิ ฺเขโป 339
อกาลิโก 306
อกริ ิยทฏิ ฐิ 14 อธมมฺ ราคสฺส ปหานํ 339
อกริ ิยา 101
อกุศล 1, 2, 317 อธรรมการนเิ สธนา 339
อกุศลกรรม
อกุศลกรรมบถ 10 4 อธกิ รณสมุปฺปาทวูปสมกสุ โล 322
อกุศลจติ 12 321
356 อธิคมสทั ธรรม 121
อธิจติ ตสกิ ขา 124
อธิปติปจ จัย 350
อธปิ ไตย 3 125
อธปิ จ จสลี วนั ตสถาปนา (ดู อาธปิ จ จสลี วนั ตสถาปนา)
49
อธิปญญาสิกขา 124 อนิฏฐารมณ 296
อนมิ ติ ตะ 7
อธโิ มกข 328, 355 อนมิ ติ ตวโิ มกข
อนมิ ิตตสมาธิ 107
อธิศีล 124, 255, 260 อนุกมั ปกะ 47
อนุชาตบุตร 169
อธษิ ฐาน 325 อนุตตฺ รํ ปฺุ กฺเขตตฺ ํ โลกสสฺ 90
อนตุ ตริยะ 3 307
อธิษฐาน 4 197 อนตุ ตริยะ 6 126
อนุตฺตโร ปรุ สิ ทมมฺ สารถิ 127
อธษิ ฐานธรรม 4 197 อนุทยตํ ปฏจิ จฺ 303
อนบุ ุพพนิโรธ 219
อธสิ ลี สิกขา 124 อนุบพุ พวิหาร 9 313
อนปุ ปย ภาณี 313
อนณสุข 192 อนุปาทนิ นกรูป 168
อนุปาทินนกสังขาร 41
อนภชิ ฌฺ า 319 อนุปาทินนธรรม 48
อนุปาทิเสสนิพพาน 22
อนภิชฺฌาลุ 320 อนปุ าทิเสสบคุ คล 27
อนปุ ุพฺพิกถํ 27
อนรยิ ปริเยสนา 33 อนุปพุ พิกถา 5 219
อนยุ นต 246
อนวัชชพละ 229 อนรุ ักขนาปธาน 339
อนโุ ลมญาณ 156
อนวัชชสขุ 192 อนุโลมเทศนา 311, 345
อนโุ ลมปฏจิ จสมปุ บาท 340
อนวชฺชานิ กมฺมานิ 353 อนโุ ลมปฏปิ ทา 340
อนสุ ติ 10 51
อนญั ญตัญญสั สามตี ินทรีย 349 อนุสสตานุตตริยะ 335, 354
อนสุ ฺสเวน 127
อนตั ตตา 76, 107 อนสุ ยั 7 317
อนสุ าวรีย 288
อนตั ตลักษณะ 47 อนุสาสนีปาฏหิ ารยิ 289
อเนสนา 94
อนตตฺ สฺ า 331 อโนตตัปปะ 203
อบาย 4 318, 355
อนตตฺ า 86 อบายภมู ิ 4 198, 351
อบายมขุ 4 198, 351
อนัตตานปุ สสนา 107 199
อนนั ตรปจจัย 350
อนันตรกิ กรรม, อนันตริยกรรม 5 245, 275
อนากุลา จ กมมฺ นฺตา 353
อนาคต 340
อนาคตผล 340
อนาคตงั สญาณ 72
อนาคามิผล 165
อนาคามผิ ลจิตตฺ ํ 356
อนาคามิมคคฺ จิตฺตํ 356
อนาคามิมรรค 164
อนาคามี 56, 57
อนาคามี 5 60
อนกิ ขฺ ิตฺตธุโร 269
อนจิ จตา 40, 76, 107
อนจิ จลกั ษณะ 47
อนิจฺจสฺ า 331
อนิจจฺ า 86
อนจิ จานปุ สสนา 107
50
อบายมขุ 6 200, 201 อภสิ งั ขรณกสังขาร 185
อปจยะ 294 อภิสงั ขาร 3 129
อปจายนมัย 89 อภิสงั ขารมาร 234
อปทาน 75 อภิสัมพทุ ธสถาน 188
อปรนเฺ ต อฺาณํ 209 อมตบท 352
อปราปริยเวทนียกรรม 338 อมัจจพละ 230
อปรยิ าปน นภูมิ 162 อโมหะ 4, 67, 355
อปริหานยิ ธรรม 71 289 อยส 296
อปรหิ านยิ ธรรม 72 290 อโยนิโสมนสิการ
อปริหานิยธรรม 73 291 อรรถ 31 34
อปณณกปฏิปทา 3 อรรถ 32 132
อปส เสนะ, อปสเสนธรรม 4 128, 344 อรรถบัญญตั ิ 133
อปายโกศล 202 อรหํ
อปายสหาย 71 อรหัตตผล 28
อปญุ ญาภิสงั ขาร 168 อรหตฺตผลจติ ตฺ ํ 303
อปปฺ ฏวิ าณิตา ปธานสมฺ ึ 129 อรหตั ตผลวมิ ุตติ 63, 165, 227
อพยาบาทวิตก 65 อรหตั ตมรรค 356
อพยาบาทสังกปั ป 69 อรหตตฺ มคคฺ จติ ฺตํ 333
อพฺยาปนนฺ จติ ฺโต 293 อรหันต 164
อพยฺ าปาท 320 อรหนั ต 2 356
อพฺรหฺมจริยา เวรมณี 319 อรหนั ต 4, 5, 60 37, 56, 57, 289
อภัพพฐาน 240 อรหันตฆาต 61
อภิชาตบุตร 275 อรหันตสมั มาสมั พทุ ธเจา 62
อภิชฌา 90 อริยะ 245, 275
อภชิ ฌาวสิ มโลภะ 321 อริยกันตศีล 287
อภิชจั จพลัง 347 อริยทรพั ย 7 351
อภญิ ญา 230 อรยิ ธรรม 10 194
อภิญญา 6 295 อริยบคุ คล 2 292
อภญิ ญาเทสติ ธรรม 37 274 อริยบคุ คล 4 320
อภิญญายธัมมเทสนา 352 อริยบคุ คล 7 55
อภฐิ าน 6 134 อรยิ บคุ คล 8 56
อภิณหปจ จเวกขณ 275 อริยปริเยสนา 63
อภิณหปจ จเวกขณ 10 247 อริยมรรค 10 57, 345
อภิณฺหํ เทติ 248 อริยวงศ 4 33
อภิธรรม 300 อริยวฑั ฒิ 5 320
อภธิ รรมนัย 75 อรยิ สจั จ 203
อภิธรรมปฎ ก 330 อริยสจั จ 4 249
อภสิ ังขตสงั ขาร 75 อริยสจจฺ าน ทสฺสนํ 205
185 204, 208, 209, 246
353
51
อริยสาวกกบั โลกธรรม 296 อสงั ขารปรนิ พิ พายี 60
อสงขฺ ารกิ ํ 356
อริยอฏั ฐงั คกิ มรรค 1, 2, 204, 241, 293 อสังสัคคกถา 314
อสัญญภี พ, อสญั ญสี ัตว 312, 351
อรูป 4 207, 354 อสนตฺ ุฏ ิตา กุสเลสุ ธมฺเมสุ 65
อสนฺตุฏ ิพหโุ ล 269
อรปู ฌาน 4 7, 10, 63, 207, 299, 313 อสัมภนิ นงั คะ 342
อสัมโมหสัมปชญั ญะ 189
อรปู ธรรม 19 อสโิ ลกภัย 229
อสภุ ะ 10 336, 354
อรปู ภพ 98 อสภุ สฺ า 331
อสุรกาย 198, 351
อรูปราคะ 329 อเสขะ 55
อเสขธรรม 10 333
อรูปโลก 104 อเสวนา จ พาลานํ 353
อโสกํ 353
อรูปวิบาก 4 343 อหิงสา 123
อหิรกิ ะ 318, 355
อรปู าวจร 8 อเหตุกกริ ิยาจติ 3 356
อเหตกุ จติ 18 356
อรูปาวจรกิริยาจิต 4 356 อเหตุกทฏิ ฐิ 14
อเหตวุ าท 101
อรปู าวจรกศุ ลจิต 4 356 อเหตอุ ปจ จยั วาท 101
อโหสิกรรม 338
อรูปาวจรจิต 12 356 อกั โกธะ 326
อักขธุตตะ 199
อรปู าวจรภูมิ 4 162, 351 อคั คิ 31 130
อคั คิ 32 131
อรปู าวจรวิบากจิต 4 356 อัคคิปาริจริยา 3 131
อังคุตตรนิกาย 75
อรูปโ น ธมฺมา 19 อัชฌตั ติกายตนะ 6 266, 276
อฺชลิกรณีโย 307
อลาภ 296 อัญญถตั ตะ 117, 118
อญั ญทตั ถหุ ร 168
อลีนตา 201 อญั ญมัญญปจ จัย 350
อญั ญสมานาเจตสกิ 13 355
อโลภะ 4, 67, 355 อญั ญสัตถารทุ เทส, อญั ญสัตถุทเทส 275
อัญญาตาวนิ ทรีย 349
อวชาตบตุ ร 90
อวคิ ตปจจัย 350
อวชิ ชมานบญั ญัติ 28
อวชิ ชา 206, 288, 329, 330, 340
อวิชชา 4 208
อวชิ ชา 8 209
อวชิ ชมาเนนวชิ ชมานบัญญตั ิ 28
อวิชชามาเนนอวชิ ชมานบญั ญัติ 28
อวิชชาโยคะ 170
อวชิ ชาสวะ 135, 136
อวิชโชฆะ 215
อวิโรธนะ 326
อวิหา 351
อวหิ ิงสา 326
อวิหงิ สาวติ ก 69
อวิหิงสาสังกปั ป 293
อสงั ขตธรรม 21
อสังขตธาตุ 1 310
อสังขตลกั ษณะ 3 118
52
อญั ญินทรยี 349 อปฺปฏวิ าณิตา ปธานสมฺ ึ 65
อัฏฐศลี 240 อัปปฏิวภิ ัตตโภคี 273
อัฏฐังคกิ มรรค 293 อัปปณหิ ติ ะ 7
อฏั ฐิกะ 336 อปั ปณหิ ติ วิโมกข 107
อัณฑชะ 171 อัปปณหิ ิตสมาธิ 47
อตั ตกลิ มถานโุ ยค 15, 293 อัปปนาภาวนา 99
อตั ตนาถะ 304 อัปปนาสมาธิ 45, 46
อัตตวาทปุ าทาน 214 อัปปมญั ญา 4 161, 227, 354
อตั ตสัมปทา 2, 280 อัปปมัญญาเจตสิก 2 355
อัตตสมั มาปณิธิ 140 อปั ปมาณสุภา 351
อตฺตสมฺมาปณธิ ิ 353 อัปปาณาภา 351
อตั ตหติ สมบัติ 304 อปั ปมาทะ 2, 3, 239
อัตตญั ุตา 287 อปั ปมาทคารวตา 261
อัตตัตถะ 133 อปั ปมาทสัมปทา 2, 280
อตั ตา 337 อปปฺ มาโท จ ธมเฺ มสุ 353
อัตตาธิปไตย 125 อปฺปสนนฺ านํ ปสาทาย 327
อตฺตานจฺ ปรฺจ อนปุ หจจฺ 219 อปั ปจฉกถา 314
อัตตาภนิ ิเวส 107 อปั ปจฉตา 2, 294
อัตถะ 144, 191 อพภฺ ูตธมฺมํ 302
อัตถะ 2 64 อัพโภกาสิกังคะ 342
อตั ถะ 31 132
อัตถะ 32 133 อพั ยากตธรรม 85
อยั ยาภริยา 282
อัตถจริยา 186, 229 อัสสเมธะ 187
อตั ถทวาร 201 อสฺสาส 346
อตั ถปฏสิ ัมภทิ า 155 อสสฺ ตุ ํ สณุ าติ 221
อัตถประมขุ 201 อากัปกริ ยิ า 251
อตั ถักขายี 169 อาการ 12 73
อตั ถญั ตุ า 287 อาการ 20 340
อตั ถปิ จจัย 350 อาการ 32 147
อตั ถสิ ขุ 192 อาการท่พี ระพุทธเจา ทรงสั่งสอน 3 134
อทั ธา 3 340 อาการปริวติ กเฺ กน 317
อนั ตคาหิกทิฏฐิ 10 337 อากาสกสณิ 315
อันตราปรินิพพายี 60 อากาสธาตุ 40, 148, 149
อันตรายของภกิ ษุสามเณรผูบวชใหม 4 210 อากาสานญั จายตนะ 207, 284, 298, 312
อันตรายิกธรรมวาทะ 180 อากาสานฺจายตนกุสลจิตฺตํ 356
อนั ตา 2 15 อากาสานญั จายตนภูมิ 351
อันโตชน 339 อากิญจัญญายตนะ 207, 284, 298, 312
อันวตั ถปฏปิ ทา 51 อากิจฺ ฺ ายตนกสุ ลจิตฺตํ 356
53
อากิญจัญญายตนภูมิ 351 อายตนะ 12 341
อาจารย 265 อายตนะภายนอก 6 266, 277, 341
อาจารย 4, 5 211 อายตนะภายใน 6 266, 276, 341
อาจารวิบัติ 175 อายมขุ 201
อาจณิ ณกรรม 338 อายุ 227
อาชชวะ 326 อายุวัฒนธรรม 5 250
อาชีวะ 241 อายสุ สธรรม 5 250
อาชวี ปาริสทุ ธิ 243 อารตี วริ ตี ปาปา 353
อาชวี ปาริสทุ ธศิ ีล 160 อารมณ 6 277
อาชีววิบัติ 175 อารมณ 150 359
อาชวี ฏั ฐมกศีล 241 อารยธรรม 10 320
อาชวี ิตภัย 229 อารยวัฒิ 5 249
อาณาจกั ร 287 อารยอษั ฎางคกิ มรรค (ดู อรยิ อฏั ฐงั คกิ มรรค
อาตมนั 337 ดว ย) 1, 2
อาทิกัมมิกะ 75/1ก อารักขสมั ปทา 144
อาทิพรหมจรรย 241 อารักขา 289
อาทีนวญาณ, อาทีนวานปุ ส สนาญาณ 311 อารญั ญิกงั คะ 342
อาทนี วสฺา 331 อารมั มณปจ จยั 350
อาเทศนาปาฏหิ ารยิ 94 อารัมมณปู นชิ ฌาน 7
อาธิปจจะ 227 อารุปป 4 8, 207
อาธปิ จจสลี วนั ตสถาปนา 138 อาโรคยะ 201
อานาปานสติ 182, 331, 335 อาโลกกสณิ 315
อานาปานสติ 16 ฐาน 346 อาโลกพหโุ ล 269
อาเนญชาภสิ งั ขาร 129 อาวฏภัย 210
อาโปกสณิ 315 อาวัชชนะ 343
อาโปธาตุ 39, 146, 147, 148 อาวาสมัจฉรยิ ะ 233, 257
อาพาธกิ ะ 83, 84, 150 อาวาสสัปปายะ 286
อาภัสสรา (ดู สัตตาวาส 9 ดวย) 284, 351 อาวาสโสภณ 253
อาวาสกิ ธรรม 51 251
อามิสทาน 11 อาวาสกิ ธรรม 52 252
อาวาสกิ ธรรม 53 253
อามิสบูชา 30 อาวาสิกธรรม 54 254
อาวาสกิ ธรรม 55 255
อามสิ ปฏิสนั ถาร 31 อาวาสกิ ธรรม 56 256
อาวาสกิ ธรรม 57 257
อามสิ ปริเยสนา 33
อามิสไพบลู ย 44
อามิสฤทธิ์ 42
อามสิ เวปุลละ 44
อามสิ สงเคราะห 49 อาสยานสุ ยญาณ 217
อามิสสังคหะ 49 อาสวะ 3 135
อายโกศล 71 อาสวะ 4 136, 170, 215
54
อาสวกั ขยะ 184 อจุ จากุลนี ตา 227
อาสวักขยญาณ 106, 274, 297, 323 อจุ จฺ าสยนมหาสยนา เวรมณี 240
อาสนั นกรรม 338 อจุ เฉททฏิ ฐิ 13
อาเสวนปจ จยั 350 อุชปุ ฏปิ นโฺ น 307
อาหาร 4 212 อฏุ ฐานสมั ปทา 144
อาหารปจ จัย 350 อดุ มมงคล 353
อาหารรูป 1 40, 359 อุตตรทิศ 265
อาหาเรปฏกิ ูลสญั ญา 354 อุตตฺ ริ จฺ ปตาเรติ 269
อาหเุ นยฺโย 307 อตุ ุนยิ าม 223
อาหไุ นยคั คิ 131 อุตสุ ปั ปายะ 286
อฏิ ฐารมณ 296 อุทเทสิกเจดีย 141
อติ ถัตตะ 40 อทุ ธังโสโตอกนฏิ ฐคามี 60
อิตถนิ ทรีย 40, 349 อุทธจั จะ 318, 329, 355
อติ ถีธุตตะ 199 อทุ ธจั จกกุ กุจจะ 225
อิติกิราย 317 อุทฺธจจฺ สมฺปยตุ ตฺ ํ 356
อติ ปิ โส ภควา 303 อุทธัมภาคิยสังโยชน 5 329
อิติวุตตกะ 75, 302 อุทธมุ าตกะ 336
อิทธบิ าท 4 213, 227, 352 อุทยพั พยญาณ = อุทยพั พยานุปสสนาญาณ
อิทธิปาฏหิ ารยิ 94 อุทยพั พยานุปสสนาญาณ 92, 311
อิทธิวิธา, อทิ ธิวธิ ิ 274, 297 อุทาน 75
อทิ ปั ปจจยตา 340 อุทานํ 302
อิทปปฺ จฺจยตาปฏิจฺจสมปุ ฺปนฺเนสุ ธมเฺ มสุ อเุ ทศาจารย 211
อฺาณํ 209 อุบาสกธรรม 5 259
อนิ ทร 270 อุบาสกธรรม 7 260
อนิ ทรยี 5 228, 258, 352 อุบาสกบรษิ ทั 151
อนิ ทรยี 6 276 อุบาสกปทุม 259
อินทรีย 22 349 อุบาสกรัตน 259
อนิ ทริยปโรปรยิ ตั ตญาณ 217, 323 อุบาสกิ าบริษัท 151
อนิ ทรียปจจัย 350 อเุ บกขา 9, 161, 281, 325, 328, 358
อินทรียสงั วร 128, 222, 243 อุเบกขาเวทนา 111, 112
อินทรยี สังวรศีล 160 อเุ บกขาสันตรี ณะ 2 343
อิรยิ าบถ 182 อโุ บสถ, อโุ บสถศีล 240
อริ ิยาปถสัปปายะ 286 อปุ การกะ 169
อิศวรกรณวาท 101 อุปกิเลส 16 347
อิสสรนิมมานเหตวุ าท 101 อุปฆาตกกรรม 338
อสิ สา 308, 330, 347, 355 อุปจยะ 40, 359
อคุ คหนมิ ติ 87 อุปจารภาวนา 99
อุคฆฏิตญั ู 153 อุปจารสมาธิ 45, 46
55
อุปธิวบิ ัติ 176 อุปายาส 1, 340
อุปธวิ เิ วก 109
อุปธสิ มบัติ 177 อเุ ปกขฺ าสหคตํ 356
อปุ นาหะ 347, 359
อุปนิสยั 4 202 อุเปกขนิ ทรีย 349
อปุ นสิ สยปจ จัย 350
อุปบารมี 325 อุเปกฺเขกคฺคตาสหิตํ 356
อุปปชชเวทนยี กรรม 338
อปุ ปตตเิ ทพ 82 อพุ เพคาปต ิ, อพุ เพงคาปติ 226
อปุ ปต ติภพ 340
อปุ ฺปาโท ปฺ ายติ 117 อภุ โตภาควิมุต 61, 62, 63
อปุ ปฬกกรรม 338
อุปรมิ ทศิ 265 อุภยตั ถะ 133
อปุ สมะ 197, 295
อปุ สมานสุ ติ 335 อมู ิภัย 210
อุปสมั ปทาจารย 211
อปุ หัจจปรนิ ิพพายี 60 เอกเถราปเทส, เอกตั เถราปเทส 166
อุปญญาตธรรม 2 65
อุปฏฐาน 328 เอกพชี ี 58
อุปตถมั ภกกรรม 338
อปุ าทาน 340 เอกัคคตา 9, 355
อปุ าทาน 4 214
อปุ าทานขันธ 5 206 เอกนั ตนพิ พทิ า 295
อปุ าทารปู , อปุ าทายรปู 24 38, 40
อุปาทนิ นกรปู 41 เอกาสนกิ งั คะ 342
อุปาทินนกสังขาร 48
อุปาทินนธรรม 22 เอกภี าพ 273
อุปายโกศล 71
เอเกน โภเค ภุ เฺ ชยยฺ 163
เอหิปสสฺ ิโก 306
โอกกนั ตกิ าปต ิ 226
โอกาสโลก 102
โอฆะ 4 215
โอตตัปปะ 23, 292, 301, 355
โอทาตกสณิ 315
โอปนยโิ ก 306
โอปปาติกะ 171
โอภาส 328
โอรมั ภาคยิ สงั โยชน 5 329
โอวาทของพระพทุ ธเจา 3 97
โอวาทปาฏิโมกข (โอวาทปาติโมกข) 97
โอวาทาจารย 211
เอกกะ — หมวด 1
Groups of One
(including related groups)
[1] กัลยาณมิตตตา (ความมกี ลั ยาณมติ ร คอื มผี แู นะนาํ สงั่ สอน ทป่ี รกึ ษา เพอื่ นทคี่ บหา
และบุคคลผูแวดลอมท่ีดี, ความรูจักเลือกเสวนาบุคคล หรือเขารวมหมูกับทานผทู รงคุณทรง
ปญ ญามคี วามสามารถ ซงึ่ จะชว ยแวดลอ ม สนับสนุน ชักจงู ช้ชี องทาง เปนแบบอยาง ตลอดจน
เปนเครอื่ งอุดหนนุ เกื้อกูลแกกัน ใหด ําเนนิ กาวหนา ไปดวยดี ในการศึกษาอบรม การครองชีวติ
การประกอบกจิ การ และธรรมปฏิบตั ,ิ สิง่ แวดลอ มทางสงั คมทดี่ ี — Kalyànฺamittatà: having
good friends; good company; friendship with the lovely; favourable social
environment) ขอนเ้ี ปน องคป ระกอบภายนอก (external factor; environmental factor)
“ภิกษุท้ังหลาย เมื่อดวงอาทิตยอุทัยอยู ยอมมีแสงอรุณข้ึนมากอน เปน บุพนิมิต ฉันใด ความมี
กัลยาณมิตรกเ็ ปน ตัวนํา เปน บุพนมิ ติ แหง การเกิดข้ึนของอารยอษั ฎางคิกมรรค แกภกิ ษุ ฉันน้ัน”
“ความมีกัลยาณมติ ร เทากับเปนพรหมจรรย (การครองชีวิตประเสริฐ) ท้งั หมดทีเดยี ว เพราะวา ผมู ี
กลั ยาณมิตรพงึ หวงั ส่ิงนไี้ ด คอื จักเจรญิ จกั ทําใหมากซ่ึงอารยอัษฎางคกิ มรรค”
“อาศยั เราผเู ปน กลั ยาณมิตร เหลา สัตวผูมีชาตเิ ปนธรรมดา ก็พน จากชาติ ผูมีชราเปนธรรมดา ก็พนจาก
ชรา ผมู มี รณะเปนธรรมดา ก็พน จากมรณะ ผมู โี สกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนสั และอุปายาสเปนธรรมดา ก็พน
จากโสกะ ปริเทวะ ทกุ ข โทมนัส และอปุ ายาส”
“เราไมเล็งเห็นองคประกอบภายนอกอ่ืนแมสักอยางเดียว ที่มีประโยชนมากสําหรับภิกษุผูเปนเสขะ
เหมอื นความมีกลั ยาณมติ ร, ภกิ ษุผูมีกัลยาณมติ ร ยอมกาํ จัดอกุศลได และยอมยงั กุศลใหเกดิ ข้ึน”
“ความมีกลั ยาณมติ ร ยอมเปน ไปเพ่ือประโยชนย ่งิ ใหญ, เพ่อื ความดํารงม่ัน ไมเ ส่อื มสูญ ไมอนั ตรธาน
แหงสทั ธรรม” ฯลฯ
S.V.2–30; A.I.14–18; It.10. ส.ํ ม. 19/5–129/2–36; องฺ.เอก. 20/72–128/16–25; ขุ.อติ ิ. 25/195/237.
[2] โยนิโสมนสิการ (การใชความคิดถกู วิธี คอื การทําในใจโดยแยบคาย มองสิ่งทง้ั
หลายดวยความคิดพจิ ารณาสบื คน ถงึ ตนเคา สาวหาเหตผุ ลจนตลอดสาย แยกแยะออกพิเคราะห
ดูดวยปญ ญาทค่ี ิดเปน ระเบียบและโดยอบุ ายวธิ ี ใหเ ห็นสิ่งนนั้ ๆ หรอื ปญหาน้นั ๆ ตามสภาวะและ
ตามความสัมพันธแหง เหตปุ จจัย — Yonisomanasikàra: reasoned attention; systematic
attention; analytical thinking; critical reflection; thinking in terms of specific
conditionality; thinking by way of causal relations or by way of problem-solving)
ขอนีเ้ ปน องคป ระกอบภายใน (internal factor; personal factor) และเปน ฝา ยปญญา (a
factor belonging to the category of insight or wisdom)
“ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เมื่อดวงอาทติ ยอ ุทัยอยู ยอมมีแสงอรณุ ขนึ้ มากอน เปน บุพนมิ ิต ฉันใด ความถึงพรอม
[3] 58 พจนานกุ รมพุทธศาสตร
ดวยโยนิโสมนสิการ กเ็ ปน ตวั นํา เปน บพุ นมิ ติ แหง การเกดิ ข้ึนของอารยอัษฎางคกิ มรรค แกภ กิ ษุ ฉันนั้น”
“เราไมเ ล็งเห็นองคป ระกอบภายในอ่นื แมส ักอยา งเดียว ที่มีประโยชนม าก สําหรับภกิ ษผุ เู ปนเสขะ เหมอื น
โยนโิ สมนสกิ าร ภิกษผุ ูมโี ยนิโสมนสิการ ยอ มกําจดั อกศุ ลได และยอมยงั กุศลใหเกดิ ขน้ึ ”
“เราไมเ ลง็ เหน็ ธรรมอน่ื แมสักขอ หน่ึง ซึง่ เปน เหตใุ หสมั มาทฏิ ฐิท่ียงั ไมเ กิด ก็เกดิ ขึ้น ทเี่ กิดขนึ้ แลว ก็
เจรญิ ยิง่ ขึ้น เหมอื นโยนิโสมนสกิ ารเลย”
“เราไมเ ล็งเหน็ ธรรมอื่น แมส กั ขอ หนง่ึ ซ่ึงจะเปนเหตุใหความสงสยั ทย่ี งั ไมเกิด กไ็ มเ กิดข้ึน ที่เกิดขน้ึ แลว
ก็ถูกขจัดเสยี ได เหมอื นโยนิโสมนสิการเลย”
“โยนิโสมนสิการ ยอมเปน ไปเพอื่ ประโยชนยิง่ ใหญ, เพื่อความดํารงมัน่ ไมเส่อื มสูญ ไมอ ันตรธานแหง
สทั ธรรม” ฯลฯ
ธรรมขอ อื่น ที่ไดรบั ยกยอ งคลายกับโยนโิ สมนสิการนี้ ในบางแง ไดแ ก อปั ปมาทะ (ความไม
ประมาท — earnestness; diligence), วิรยิ ารัมภะ (การปรารภความเพยี ร, ทําความเพียรมุง
ม่นั — instigation of energy; energetic effort), อัปปจ ฉตา (ความมกั นอ ย, ไมเหน็ แกไ ด
— fewness of wishes; paucity of selfish desire), สนั ตุฏฐี (ความสนั โดษ —
contentment), สมั ปชัญญะ (ความรตู วั , สาํ นกึ ตระหนักชดั ดวยปญญา — awareness; full
comprehension); กุสลธัมมานุโยค (การหม่นั ประกอบกุศลธรรม — pursuit of wholesome
states; devotion to good things); สีลสัมปทา (ความถึงพรอมแหง ศีล — possession of
virtue); ฉนั ทสัมปทา (ความถึงพรอ มแหงฉันทะ — possession of will), อตั ตสมั ปทา (ความ
ถงึ พรอ มแหงตนคือมจี ติ ใจซงึ่ พัฒนาเต็มที่แลว — self–realization, self-actualization),
ทฏิ ฐิสมั ปทา (ความถงึ พรอมแหงทิฏฐิ — possession of right view), และ อปั ปมาทสมั ปทา
(ความถึงพรอ มแหง อัปปมาทะ — possession of earnestness)
S.V.2–30; A.I.11–31; It.9. ส.ํ ม. 19/5–129/2–36; องฺ.เอก.20/60–186/13–41; ข.ุ อิติ. 25/194/236.
[3] อัปปมาทะ (ความไมป ระมาท คือ ความเปน อยอู ยางไมขาดสติ หรือความเพียรทม่ี สี ติ
เปนเครื่องเรงเราและควบคุม ไดแก การดาํ เนินชีวิตโดยมีสติเปนเคร่ืองกํากับความประพฤติ
ปฏิบตั แิ ละการกระทาํ ทุกอยาง ระมดั ระวงั ตวั ไมย อมถลาํ ลงไปในทางเสื่อม แตไ มยอมพลาด
โอกาสสําหรับความดีงามและความเจริญกาวหนา ตระหนักในสิ่งท่ีพึงทําและพึงละเวน ใสใจ
สาํ นกึ อยูเ สมอในหนาทอ่ี ันจะตอ งรับผดิ ชอบ ไมยอมปลอยปละละเลย กระทาํ การดวยความจริง
จงั รอบคอบ และรดุ หนาเร่ือยไป — Appamàda: earnestness; diligence; heedfulness)
ขอ นีเ้ ปน องคป ระกอบภายใน (internal factor; personal factor) และเปนฝา ยสมาธิ (a
factor belonging to the category of concentration)
“ภิกษุทั้งหลาย เมือ่ ดวงอาทิตยอ ุทยั อยู ยอมมีแสงอรุณขนึ้ มากอน เปนบุพนมิ ติ ฉันใด ความถงึ พรอ ม
ดว ยความไมประมาท ก็เปนตวั นํา เปน บุพนิมิตแหงการเกดิ ขนึ้ ของอารยอษั ฎางคกิ มรรค แกภิกษุ ฉันน้ัน”
“ธรรมเอก ที่มีอุปการะมาก เพื่อการเกิดข้นึ แหง อารยอษั ฎางคกิ มรรค ก็คือ ความถึงพรอ มดว ยความไม
ประมาท”
หมวด 1 59 [3]
“เราไมเลง็ เหน็ ธรรมอนื่ แมส กั ขอหนึ่ง ซงึ่ เปนเหตุใหอ ารยอษั ฎางคิกมรรคทย่ี งั ไมเกิด กเ็ กดิ ขึ้น ท่เี กดิ ขึ้น
แลว ก็เจริญบริบูรณ เหมือนอยางความถึงพรอ มดวยความไมประมาทน้เี ลย”
“รอยเทา ของสตั วบ กทง้ั หลาย ชนิดใดๆ กต็ าม ยอ มลงในรอยเทาชางไดท ัง้ หมด, รอยเทาชาง เรยี กวา
เปน ยอดของรอยเทา เหลา นน้ั โดยความใหญ ฉนั ใด กศุ ลธรรมทง้ั หลาย อยางใดๆ กต็ าม ยอ มมีความไม
ประมาทเปน มลู ประชมุ ลงในความไมป ระมาทไดท ง้ั หมด ความไมป ระมาท เรยี กไดว า เปน ยอดของธรรมเหลา
นน้ั ฉนั นนั้ ”
“ผูมีกลั ยาณมติ ร พงึ เปนอยโู ดยอาศัยธรรมเอกขอ นี้ คอื ความไมประมาทในกุศลธรรมท้ังหลาย”
“ธรรมเอกอันจะทําใหย ดึ เอาประโยชนไวไดทงั้ 2 อยา ง คอื ท้ังทฏิ ฐธมั มิกตั ถะ (ประโยชนปจ จุบัน
ประโยชนเฉพาะหนา หรือประโยชนส ามญั ของชีวติ เชน ทรพั ย ยศ กามสขุ เปนตน ) และสมั ปรายิกตั ถะ
(ประโยชนเ บอ้ื งหนา หรอื ประโยชนข ั้นสงู ขนึ้ ไปทางจติ ใจหรือคณุ ธรรม) กค็ อื ความไมป ระมาท”
“สังขาร (ส่งิ ที่ปจจยั ปรุงแตง ข้นึ ) ท้งั หลาย มคี วามเสือ่ มสน้ิ ไปเปนธรรมดา ทา นท้ังหลายจงยังประโยชนท ี่
มงุ หมายใหส าํ เรจ็ ดว ยความไมป ระมาทเถดิ ”
“ความไมป ระมาท ยอมเปน ไปเพ่ือประโยชนย ่งิ ใหญ, เพ่ือความดํารงมน่ั ไมเสื่อมสญู ไมอ นั ตรธานแหง
สัทธรรม” ฯลฯ
D.II.156; S.I.86–89; S.V.30–45; ท.ี ม. 10/143/180; สํ.ส. 15/378–384/125–129;
A.I.11–17; A.III.365; A.V.21. สํ.ม. 19/135–262/37–66; องฺ.เอก. 20/60–116/13–23;
อง.ฺ ฉกกฺ . 22/324/407; อง.ฺ ทสก. 24/15/23.
ทุกะ — หมวด 2
Groups of Two
(including related groups)
[4] กรรม 2 (การกระทํา, การกระทาํ ทป่ี ระกอบดว ยเจตนา ทางกายกต็ าม ทางวาจาก็ตาม
ทางใจกต็ าม — Kamma: action; deed)
1. อกศุ ลกรรม (กรรมท่ีเปนอกศุ ล, กรรมช่ัว, การกระทําท่ีไมดี ไมฉลาด ไมเ กดิ จากปญ ญา ทาํ
ใหเส่ือมเสียคณุ ภาพชีวติ หมายถึง การกระทําทเี่ กดิ จากอกศุ ลมูล คือ โลภะ โทสะ หรอื โมหะ —
Akusala-kamma: unwholesome action; evil deed; bad deed)
2. กุศลกรรม (กรรมท่เี ปน กุศล, กรรมด,ี การกระทําท่ดี ี ฉลาด เกดิ จากปญญา สงเสรมิ
คณุ ภาพของชวี ิตจติ ใจ หมายถึง การกระทําทเี่ กดิ จากกุศลมูล คอื อโลภะ อโทสะ หรืออโมหะ —
Kusala-kamma: wholesome action; good deed)
A.I.104, 263; It.25,55. องฺ.ตกิ .20/445/131,551/338; ขุ.อิต.ิ 25/208/248;242/272.
[,] กรรมฐาน 2 ดู [36] ภาวนา 2.
[5] กาม 2 (ความใคร, ความอยาก, ความปรารถนา, สงิ่ ทน่ี าใครน า ปรารถนา — Kàma:
sensuality)
1. กิเลสกาม (กิเลสทท่ี ําใหใคร, ความอยากท่เี ปน ตัวกเิ ลส — Kilesa-kàma: subjective
sensuality)
2. วัตถุกาม (วตั ถอุ นั นาใคร, สงิ่ ทนี่ าปรารถนา, สิง่ ที่อยากได, กามคุณ — Vatthu-kàma:
objective sensuality)
Nd12. ขุ.มหา.29/2/1
[6] กามคุณ 5 (สวนทนี่ า ใครนาปรารถนา, สว นทด่ี หี รอื สว นอรอยของกาม — Kàmaguõa:
sensual pleasures; sensual objects)
1. รูปะ (รปู — Råpa: form; visible object)
2. สทั ทะ (เสยี ง — Sadda: sound)
3. คันธะ (กล่ิน — Gandha: smell; odour)
4. รสะ (รส — Rasa: taste)
5. โผฏฐัพพะ (สัมผสั ทางกาย — Phoññhabba: touch; tangible object)
หา อยางน้ี เฉพาะสวนท่นี า ปรารถนา นา ใคร นา พอใจ (agreeable, delightful, pleasur-
able) เรยี กวา กามคณุ
M.I.85,173. ม.มู.12/197/168; 327/333.
หมวด 2 61 [9]
[7] ฌาน 2 (การเพง, การเพงพนิ ิจดว ยจิตท่ีเปนสมาธแิ นว แน — Jhàna: meditation;
scrutiny; examination)
1. อารมั มณูปนชิ ฌาน (การเพง อารมณ ไดแ กส มาบัติ 8 คอื รูปฌาน 4 และอรูปฌาน 4 —
ârammaõåpanijjhàna: object-scrutinizing Jhàna)
2. ลกั ขณูปนชิ ฌาน (การเพง ลักษณะ ไดแ ก วปิ ส สนา มรรค และ ผล — Lakkhaõåpa-
nijjhàna: characteristic-examining Jhàna)
วิปส สนา ชอ่ื วาลักขณูปนิชฌาน เพราะพนิ ิจสังขารโดยไตรลกั ษณ
มรรค ชื่อวาลกั ขณูปนชิ ฌาน เพราะยงั กิจแหง วิปส สนานน้ั ใหส ําเรจ็
ผล ชอื่ วา ลักขณูปนชิ ฌาน เพราะเพง นิพพานอันมีลกั ษณะเปน สญุ ญตะ อนมิ ติ ตะ และ
อปั ปณหิ ิตะ อยางหนึ่ง และเพราะเหน็ ลักษณะอนั เปนสจั จภาวะของนพิ พาน อยางหนึง่
ฌานที่แบง เปน 2 อยางน้ี มมี าในคมั ภรี ช้ันอรรถกถา.
ดู [8], [9], [10] ฌาน ตางๆ และ [47] สมาธิ 32.
AA.II.41; PsA.281; DhsA.167. อง.ฺ อ.1/536; ปฏสิ ํ.อ.221; สงคฺ ณ.ี อ.73.
[8] ฌาน 2 ประเภท (ภาวะจิตท่ีเพงอารมณจ นแนว แน — Jhàna: absorption)
1. รปู ฌาน 4 (ฌานมรี ูปธรรมเปนอารมณ, ฌานทเี่ ปน รปู าวจร — Råpa-jhàna: Jhànas of
the Fine-Material Sphere)
2. อรูปฌาน 4 (ฌานมอี รปู ธรรมเปนอารมณ, ฌานที่เปน อรปู าวจร — Aråpa-jhàna: Jhànas of
the Immaterial Sphere)
คําวา รปู ฌาน กด็ ี อรปู ฌาน กด็ ี เริ่มใชคราวจัดรวมพุทธพจน เดิมเรียกเพียงวา ฌาน และ
อารปุ ป.
D.III.222; Dhs.56. ท.ี ปา.11/232/233; อภ.ิ ส.ํ 34/192/78.
[9] ฌาน 4 = รูปฌาน 4 (the Four Jhànas)
1. ปฐมฌาน (ฌานท่ี 1 — Pañhama-jhàna: the First Absorption) มีองค 5 คือ วติ ก
วจิ าร ปติ สขุ เอกคั คตา
2. ทุตยิ ฌาน (ฌานท่ี 2 — Dutiya-jhàna: the Second Absorption) มอี งค 3 คือ ปต ิ สขุ
เอกคั คตา
3. ตตยิ ฌาน (ฌานที่ 3 — Tatiya-jhàna: the Third Absorption) มอี งค 2 คอื สขุ เอกคั คตา
4. จตตุ ถฌาน (ฌานที่ 4 — Catuttha-jhàna: the Fourth Absorption) มอี งค 2 คอื
อุเบกขา เอกัคคตา
คมั ภรี ฝ า ยอภิธรรม นยิ มแบง รูปฌานน้เี ปน 5 ขัน้ เรยี กวา ฌานปญ จกนยั หรอื ปญจ-
กัชฌาน โดยแทรก ทุติยฌาน (ฌานที่ 2) ทม่ี อี งค 4 คือ วิจาร ปต ิ สุข เอกคั คตา เพ่ิมเขา มา
[10] 62 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร
แลว เลือ่ นทุตยิ ฌาน ตติยฌาน และจตตุ ถฌาน ในฌาน 4 ขา งตนน้อี อกไปเปน ตตยิ ฌาน จตุตถ
ฌาน และปญ จมฌาน ตามลําดบั (โดยสาระก็คือ การจาํ แนกขัน้ ตอนใหล ะเอยี ดมากขึน้ นน่ั เอง)
M.I.40. ม.มู.12/102/72.
[10] ฌาน 8 = รูปฌาน 4 + อรูปฌาน 4 (อรปู ฌาน 4 ดู [207] อรูป 4)
[11] ทาน 21 (การให, การเสยี สละ, การบรจิ าค — Dàna: gift; giving; charity; liberality)
1. อามิสทาน (การใหสิง่ ของ — âmisadàna: material gift)
2. ธรรมทาน (การใหธรรม, การใหความรูและแนะนําสั่งสอน — Dhammadàna: gift of
Truth; spiritual gift)
ใน 2 อยางน้ี ธรรมทานเปนเลิศ อามสิ ทานชวยคาํ้ จุนชีวิต ทาํ ใหเขามที พ่ี ึ่งอาศยั แต
ธรรมทานชวยใหเขารจู ักพึง่ ตนเองไดต อไป เมือ่ ใหอ ามิสทาน พึงใหธรรมทานดวย.
A.I.90. อง.ฺ ทกุ .20/386/114.
[12] ทาน 22 (การให — Dàna: gift; giving; almsgiving; offering; charity;
liberality; generosity; benevolence; donation; benefaction)
1. ปาฏบิ ุคลกิ ทาน (การใหจําเพาะบุคคล, ทานทใ่ี หเจาะจงตัวบคุ คลหรือใหเฉพาะแกบุคคลผู
ใดผูหนง่ึ — Pàñipuggalika-dàna: offering to a particular person; a gift designated
to a particular person)
2. สงั ฆทาน (การใหแกสงฆ, ทานที่ถวายแกส งฆเปนสวนรวม หรือใหแ กบ ุคคล เชน พระภิกษุ
หรอื ภิกษุณีอยา งเปนกลางๆ ในฐานะเปนตวั แทนของสงฆ โดยอทุ ศิ ตอสงฆ ไมเจาะจงรปู ใดรูป
หน่ึง — Saïghadàna: offering to the Sangha; a gift dedicated to the Order or to
the community of monks as a whole)
ในบาลเี ดมิ เรียกปาฏบิ คุ ลิกทานวา ปาฏิปุคคฺ ลกิ า ทกขฺ ณิ า (ของถวายหรอื ของใหทีจ่ ําเพาะ
บคุ คล) และเรยี กสงั ฆทาน วา สงฆฺ คตา ทกขฺ ิณา (ของถวายหรือของใหทถ่ี ึงในสงฆ)
ในทาน 2 อยางนี้ พระพทุ ธเจา ตรสั สรรเสริญสงั ฆทานวา เปน เลศิ มผี ลมากที่สุด ดัง
พทุ ธพจนว า “เราไมกลาววา ปาฏิบุคลกิ ทานมีผลมากกวาของที่ใหแกสงฆ ไมว าโดยปรยิ ายใดๆ” และได
ตรสั ชักชวนใหใ หส งั ฆทาน
M.III.254–6; A.III.392. ม.อ.ุ 14/710–3/459–461; อางใน มงคฺ ล.2/16; อง.ฺ ฉกฺก.22/330/439
[13] ทิฏฐิ 2 (ความเห็น, ความเห็นผิด — Diññhi: view; false view)
1. สัสสตทฏิ ฐิ (ความเห็นวาเที่ยง, ความเหน็ วามอี ัตตาและโลกซึ่งเท่ยี งแทย ั่งยนื คงอยตู ลอดไป
— Sassata-diññhi: eternalism)
2. อจุ เฉททิฏฐิ (ความเห็นวา ขาดสูญ, ความเห็นวา มีอตั ตาและโลกซ่ึงจักพินาศขาดสญู หมดสิ้น
ไป — Uccheda-diññhi: annihilationism)
หมวด 2 63 [17]
S.III.97. สํ.ข.17/179–180/120.
[14] ทิฏฐิ 3 (ความเห็น, ความเห็นผิด — Diññhi: view; false view)
1. อกิรยิ ทฏิ ฐิ (ความเหน็ วา ไมเ ปน อนั ทํา, เหน็ วา การกระทาํ ไมมีผล — Akiriya-diññhi: view of
the inefficacy of action)
2. อเหตุกทิฏฐิ (ความเหน็ วา ไมมีเหต,ุ เหน็ วา สิง่ ทัง้ หลายไมม ีเหตุปจ จยั — Ahetuka-diññhi:
view of non-causality)
3. นัตถกิ ทิฏฐิ (ความเห็นวาไมม ,ี เหน็ วา ไมม ีการกระทําหรือสภาวะทจ่ี ะกําหนดเอาเปนหลักได
— Natthika-diññhi: nihilistic view; nihilism)
M.I.404. ม.ม.13/105/111.
[15] ที่สุด หรือ อันตา 2 (ขอ ปฏิบัติหรือการดาํ เนินชีวติ ท่ีเอยี งสดุ ผดิ พลาดไปจากทาง
อันถกู ตอง คอื มัชฌมิ าปฏิปทา — Antà: the two extremes)
1. กามสขุ ลั ลกิ านโุ ยค (การหมกมุนอยูดว ยกามสุข — Kàmasukhallikànuyoga: the
extreme of sensual indulgence; extreme hedonism)
2. อัตตกลิ มถานโุ ยค (การประกอบความลําบากเดอื ดรอนแกต นเอง, การบบี ค้ันทรมานตนให
เดอื ดรอ น — Attakilamathànuyoga: the extreme of self-mortification; extreme
asceticism)
Vin.I.10; S.V.420. วินย.4/13/18; ส.ํ ม.19/1664/528.
[16] ทุกข 2 (สภาพที่ทนไดย าก, ความทุกข, ความไมสบาย — Dukkha: pain; suffering;
discomfort)
1. กายกิ ทกุ ข (ทุกขทางกาย — Kàyika-dukkha: bodily pain; physical suffering)
2. เจตสกิ ทกุ ข (ทกุ ขท างใจ, โทมนสั — Cetasika-dukkha: mental pain; mental suffering)
ดู [79] ทกุ ขตา 3 ดวย.
D.II.306; S.V.209. ท.ี ม.10/295/342; ส.ํ ม.19/942,944/280.
[17] เทศนา 21 (การแสดงธรรม, การชี้แจงแสดงความ — Desanà: preaching;
exposition)
1. บุคคลาธิษฐานเทศนา (เทศนามบี คุ คลเปนที่ตง้ั , เทศนาอา งคน, แสดงโดยยกคนขึน้ อา ง,
ยกคนเปนหลกั ฐานในการอธบิ าย — Puggalàdhiññhàna-desanà: exposition in terms of
persons)
2. ธรรมาธิษฐานเทศนา (เทศนามธี รรมเปน ที่ตงั้ , เทศนาอา งธรรม, แสดงโดยยกหลักหรือ
ตัวสภาวะขน้ึ อาง — Dhammàdhiññhàna-desanà: exposition in terms of ideas)
เทศนา 2 นี้ ทา นสรุปมาจากเทศนา 4 ในคมั ภีรท่ีอางไว
[18] 64 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร
PsA.449. ปฏสิ .ํ อ.77.
[18] เทศนา 22 (การแสดงธรรม ของพระพุทธเจา, การชี้แจงแสดงความ — Desanà:
preaching; exposition; teaching)
1. สมมติเทศนา (เทศนาโดยสมมต,ิ แสดงตามความหมายที่รูรว มกนั หรือตกลงยอมรบั กนั
ของชาวโลก เชน วา บุคคล สัตว หญิง ชาย กษัตรยิ เทวดา เปน ตน — Sammati-desanà:
conventional teaching)
2. ปรมตั ถเทศนา (เทศนาโดยปรมตั ถ, แสดงตามความหมายของสภาวธรรมแทๆ เชน วา อนจิ จงั
ทกุ ขงั อนตั ตา ขนั ธ ธาตุ อายตนะ เปน ตน — Paramattha-desanà: absolute teaching)
ผูฟงจะเขาใจความ สาํ เรจ็ ประโยชนดว ยเทศนาอยางใด กท็ รงแสดงอยางนั้น
ใน ท.ี อ. 1/436; สํ.อ. 2/98 และ ปจฺ .อ. 182 เปนตน กลาวถงึ กถา 2 คอื สมมติกถา และ
ปรมัตถกถา พึงทราบความหมายตามแนวความอยา งเดยี วกันน้ี
ดู [50] สัจจะ 2.
AA.I.94; etc. องฺ.อ.1/99, ฯลฯ.
[19] ธรรม 21 (สภาวะ, สงิ่ , ปรากฏการณ — Dhamma: things; states; phenomena)
1. รูปธรรม (สภาวะอันเปนรูป, ส่ิงท่ีมีรูป, ไดแกรูปขันธทั้งหมด — Råpadhamma:
materiality; corporeality)
2. อรปู ธรรม (สภาวะมใิ ชร ปู , สง่ิ ทไี่ มม รี ปู , ไดแ กน ามขนั ธ 4 และนพิ พาน — Aråpadhamma:
immateriality; incorporeality)
ในบาลที มี่ า ทา นเรียก รปู โน ธมฺมา และ อรปู โน ธมมฺ า
Dhs.193,245. อภิ.ส.ํ 34/705/279; 910/355.
[20] ธรรม 22 (สภาวะ, สิ่ง, ปรากฏการณ — Dhamma: things; states; phenomena)
1. โลกยี ธรรม (ธรรมอนั เปน วสิ ยั ของโลก, สภาวะเนอื่ งในโลก ไดแกขันธ 5 ทีเ่ ปนสาสวะทั้ง
หมด — Lokiya-dhamma: mundane states)
2. โลกุตตรธรรม (ธรรมอันมิใชวิสยั ของโลก, สภาวะพนโลก ไดแ กมรรค 4 ผล 4 นพิ พาน 1
— Lokuttara-dhamma: supermundane states) (+ โพธิปก ขยิ ธรรม 37: ข.ุ ปฏิ.620; Ps.II.166)
ดู [310] โลกุตตรธรรม 9.
Dhs.193,245. อภ.ิ ส.ํ 34/706/279; 911/355.
[21] ธรรม 23 (สภาวะ, สิ่ง, ปรากฏการณ — Dhamma: things; states; phenomena)
1. สังขตธรรม (สิง่ ทีป่ จจัยปรงุ แตง คือ ขันธ 5 ทั้งหมด — Saïkhata-dhamma: condi-
tioned things; compounded things)
2. อสังขตธรรม (ส่ิงท่ีปจจยั ไมป รงุ แตง คอื นพิ พาน — Asaïkhata-dhamma: the
หมวด 2 65 [26]
Unconditioned, i.e. Nibbàna)
Dhs.193,244. อภ.ิ ส.ํ 34/702/278; 907/354.
[22] ธรรม 24 (สภาวะ, สิง่ , ปรากฏการณ — Dhamma: things; states; phenomena)
1. อุปาทนิ นธรรม (ธรรมทถี่ ูกยดึ , ธรรมทก่ี รรมอันสัมปยตุ ดวยตณั หาและทิฏฐเิ ขา ยดึ ครอง
ไดแ ก นามขนั ธ 4 ท่ีเปนวบิ าก และรปู ทเี่ กิดแตกรรมทัง้ หมด — Upàdinna-dhamma: states
grasped by craving and false view; grasped states)
2. อนปุ าทนิ นธรรม (ธรรมทไี่ มถ กู ยดึ , ธรรมทกี่ รรมอนั สมั ปยตุ ดว ยตณั หาและทฏิ ฐไิ มเ ขา ยดึ ครอง
ไดแ ก นามขนั ธ 4 สว นนอกน้ี รปู ทมี่ ใิ ชเ กดิ แตก รรม และโลกตุ ตรธรรมทง้ั หมด — Anupàdinna-
dhamma: states not grasped by craving and false view; ungrasped states)
Dhs.211,255. อภิ.สํ.34/779/305; 955/369.
[23] ธรรมคุมครองโลก 2 (ธรรมทีช่ ว ยใหโ ลกมคี วามเปนระเบยี บเรยี บรอ ย ไม
เดอื ดรอนและสับสนวนุ วาย — Lokapàla-dhamma: virtues that protect the world)
1. หริ ิ (ความละอายบาป, ละอายใจตอ การทาํ ความชวั่ — Hiri: moral shame; conscience)
2. โอตตัปปะ (ความกลัวบาป, เกรงกลวั ตอความช่วั — Ottappa: moral dread)
A.I.51; It.36. อง.ฺ ทกุ .20/255/65; ข.ุ อติ ิ. 25/220/257.
[24] ธรรมทําใหงาม 2 (Sobhaõakaraõa-dhamma: gracing virtues)
1. ขนั ติ (ความอดทน, อดไดท นไดเ พอื่ บรรลคุ วามดงี ามและความมงุ หมายอนั ชอบ — Khanti:
patience: forbearance; tolerance)
2. โสรจั จะ (ความเสงย่ี ม, อธั ยาศยั งาม รกั ความประณตี หมดจดเรยี บรอ ยงดงาม — Soracca:
modesty; meekness)
Vin.I.349; A.I.94. วินย.5/244/335; อง.ฺ ทกุ . 20/410/118.
[,,] ธรรมที่พระพุทธเจาเห็นคุณประจักษ 2 ดู [65] อุปญญาตธรรม 2.
[,,] ธรรมเปนโลกบาล 2 ดู [23] ธรรมคมุ ครองโลก 2.
[25] ธรรมมีอุปการะมาก 2 (ธรรมท่ีเก้อื กลู ในกจิ หรือในการทําความดที กุ อยา ง —
Bahukàra-dhamma: virtues of great assistance)
1. สติ (ความระลึกได, นกึ ได, สํานกึ อยไู มเ ผลอ — Sati: mindfulness)
2. สัมปชัญญะ (ความรูชัด, รูชัดสิ่งที่นึกได, ตระหนัก, เขาใจชัดตามความเปน จริง —
Sampaja¤¤a: clear comprehension)
D.III.273; A.I.95. ท.ี ปา.11/378/290; อง.ฺ ทกุ .20/424/119.
[26] ธุระ 2 (หนาท่กี ารงานทีพ่ ึงกระทาํ , กจิ ในพระศาสนา — Dhura: burden; task; busi-
[27] 66 พจนานุกรมพุทธศาสตร
ness; responsibility in the Dispensation)
1. คนั ถธรุ ะ (ธุระฝา ยคัมภีร, กิจดานการเลา เรยี น — Gantha-dhura: burden of study;
task of learning)
2. วิปสสนาธุระ (ธรุ ะฝา ยเจรญิ วิปสสนา, กิจดา นการบําเพญ็ ภาวนา หรือเจรญิ กรรมฐาน อนั
รวมทั้งสมถะท่ีเปนเบ้ืองตน ซ่ึงเรียกรวมเขาไวดวยโดยฐานมีวิปสสนาเปนสวนสําคัญและคลุม
ยอด — Vipassanà-dhura: burden of insight development; task of meditation
practice)
ธุระ 2 นี้ มาในอรรถกถา
DhA.I.7. ธ.อ.1/7.
[27] นิพพาน 2 (สภาพทีด่ ับกเิ ลสและกองทุกขแ ลว , ภาวะทเ่ี ปนสุขสูงสดุ เพราะไรก ิเลสไร
ทุกข เปน อสิ รภาพสมบรู ณ — Nibbàna: Nirvàõa; Nibbàna)
1. สอุปาทเิ สสนิพพาน (นิพพานยงั มีอุปาทเิ หลอื — Saupàdisesa-nibbàna: Nibbàna
with the substratum of life remaining)
2. อนปุ าทิเสสนิพพาน (นพิ พานไมม อี ุปาทิเหลือ — Anupàdisesa-nibbàna: Nibbàna
without any substratum of life remaining)
หมายเหต:ุ ตามคาํ อธิบายนัยหนงึ่ วา
1. = ดบั กเิ ลส ยงั มีเบญจขนั ธเ หลอื (= กิเลสปรินิพพาน — Kilesa-parinibbàna: extinction
of the defilements)
2. = ดบั กิเลส ไมมเี บญจขันธเหลือ (= ขันธปรนิ พิ พาน — Khandha-parinibbàna: extinc-
tion of the Aggregates) หรือ
1. = นพิ พานของพระอรหนั ตผ ูยงั เสวยอารมณท ี่นาชอบใจและไมน า ชอบใจทางอินทรยี 5 รบั รู
สุขทกุ ขอ ยู
2. = นพิ พานของพระอรหนั ตผรู ะงับการเสวยอารมณทัง้ ปวงแลว
It.38. ขุ.อิต.ิ 25/222/258.
อกี นัยหนง่ึ กลา วถึงบุคคลวา
1. สอปุ าทเิ สสบุคคล = พระเสขะ
2. อนปุ าทิเสสบุคคล = พระอเสขะ
A.IV.379. อง.ฺ นวก.23/216/394.
[28] บัญญัติ 2 และ 6 (การกาํ หนดเรยี ก หรอื สิ่งทถ่ี กู กาํ หนดเรยี ก, การกาํ หนดตงั้ หรอื
ตราไวใหเ ปน ที่รกู นั — Pa¤¤atti: designation; term; concept)
1. ปญ ญาปยบัญญัติ หรอื อรรถบัญญัติ (บญั ญตั ใิ นแงเ ปนส่งิ อันพึงใหร กู นั , บญั ญัตทิ ีเ่ ปน
หมวด 2 67 [29]
ความหมาย, บัญญตั คิ ือความหมายอนั พึงกาํ หนดเรียก, ตวั ความหมายทจ่ี ะพึงถกู ต้ังชือ่ เรียก —
Pa¤¤àpiya~, Attha~: the Pa¤¤atti to be made known or conveyed; concept)
2. ปญญาปนบัญญัติ หรือ นามบญั ญตั ิ หรอื สทั ทบญั ญตั ิ (บญั ญตั ใิ นแงเ ปน เครอ่ื งใหรู
กัน, บญั ญัติที่เปนชอื่ , บญั ญัติที่เปน ศัพท, ชอ่ื ที่ต้ังขึ้นใชเ รียก — Pa¤¤àpana~, Nàma~,
Sadda~: the Pa¤¤atti that makes known or conveys; term; designation)
ปญญาปยบญั ญัติ เรยี กเตม็ วา ปฺาปย ตฺตา ปฺตตฺ ิ, ปญ ญาปนบัญญัติ เรียกเตม็ วา
ปฺาปนโต ปฺตฺติ
ปญญาปนบญั ญัติ หรือ นามบัญญัติ แยกยอยออกเปน 6 อยา ง คือ
1. วชิ ชมานบญั ญัติ (บญั ญัติสงิ่ ท่ีมอี ยู เชน รูป เวทนา สมาธิ เปน ตน — Vijjamàna~:
designation of a reality; real concept)
2. อวิชชมานบัญญัติ (บัญญตั สิ ิ่งทไี่ มมอี ยู เชน มา แมว รถ นายแดง เปนตน — Avijja-
màna~: designation of an unreality; unreal concept)
3. วชิ ชมาเนนอวชิ ชมานบญั ญตั ิ (บญั ญตั สิ งิ่ ทไี่ มม ี ดว ยสง่ิ ทม่ี ี เชน คนดี นกั ฌาน ซงึ่ ความจรงิ
มแี ตด ี คือภาวะทเ่ี ปนกศุ ล และฌาน แตคนไมม ี เปน ตน — Vijjamànena-avijjamàna~:
designation of an unreality by means of a reality; unreal concept by means of
real concept)
4. อวิชชมาเนนวิชชมานบญั ญัติ (บัญญัตสิ ิ่งทีม่ ี ดว ยสงิ่ ท่ไี มม ี เชน เสียงหญิง ซ่ึงความจริง
หญิงไมมี มแี ตเ สยี ง เปน ตน — Avijjamànena-vijjamàna~: designation of a reality by
means of an unreality; real concept by means of an unreal concept)
5. วชิ ชมาเนนวิชชมานบญั ญัติ (บญั ญัตสิ ่ิงทม่ี ี ดว ยส่ิงทม่ี ี เชน จกั ขุสมั ผสั โสตวญิ ญาณ
เปน ตน — Vijjamànena-vijjamàna~: designation of a reality by means of a reality;
real concept by means of a real concept)
6. อวชิ ชมาเนนอวชิ ชมานบญั ญัติ (บัญญตั ิสง่ิ ทไี่ มมี ดวยส่งิ ทีไ่ มม ี เชน ราชโอรส ลูก
เศรษฐี เปน ตน — Avijjamànena-avijjamàna~: designation of an unreality by means
of an unreality; unreal concept by means of an unreal concept)
Pug.A.171; Comp.198. ปฺจ.อ.32; สงคฺ ห.49; สงคฺ ห.ฏีกา253.
[29] บุคคลหาไดยาก 2 (Dullabha-puggala: rare persons)
1. บพุ การี (ผูทาํ อปุ การะกอ น, ผทู าํ ความดหี รอื ทําประโยชนใหแ ตต นโดยไมต อ งคอยคดิ ถึงผล
ตอบแทน — Pubbakàrã: one who is first to do a favour; previous benefactor; ready
benefactor)
2. กตญั ูกตเวที (ผรู ูอปุ การะท่ีเขาทําแลว และตอบแทน, ผรู ูจ กั คณุ คาแหงการกระทาํ ดขี องผู
อ่นื และแสดงออกเพือ่ บชู าความดนี น้ั — Kata¤¤åkatavedã: one who is grateful and
[30] 68 พจนานกุ รมพุทธศาสตร
repays the done favour; grateful person)
A.I.87. อง.ฺ ทกุ .20/364/108.
[30] บูชา 2 (Påjà: worship; acts of worship; honouring)
1. อามิสบชู า (บูชาดวยสิ่งของ — âmisa-påjà: worship or honouring with material
things; material worship)
2. ปฏิบตั ิบูชา (บชู าดว ยการปฎิบตั ิ — Pañipatti-påjà: worship or honouring with
practice; practical worship)
ในบาลที มี่ า ปฏิบตั บิ ูชา เปน ธรรมบชู า
A.I.93; D.II.138. อง.ฺ ทกุ .20/401/117; นยั ท.ี ม.10/129/160.
[31] ปฏิสันถาร 2 (การตอ นรับ, การรับรอง, การทักทายปราศรัย — Pañisanthàra:
hospitality; welcome; greeting)
1. อามสิ ปฏิสันถาร (ปฏิสันถารดว ยสิง่ ของ — âmisa-pañisanthàra: worldly hospitality;
material or carnal greeting)
2. ธรรมปฏสิ นั ถาร (ปฏิสันถารดวยธรรมหรอื โดยธรรม — Dhamma-pañisanthàra: doc-
trinal hospitality; spiritual greeting)
A.I.93; Vbh.360. องฺ.ทุก.20/397/116; อภิ.ว.ิ 35/921/487.
[32] ปธาน 2 (ความเพียร หมายเอาความเพยี รทีท่ าํ ไดยาก — Padhàna: hard struggles;
painstaking endeavours)
1. คิหปิ ธาน (ความเพยี รของคฤหสั ถ ทจี่ ะอาํ นวยปจ จยั สแี่ กบ รรพชติ เปน ตน ) — Gihi-padhàna:
struggle of householders to provide the four requisites.
2. ปพ พชิตปธาน (ความเพยี รของบรรพชิต ทีจ่ ะไถถอนกองกเิ ลส — Pabbajita-padhàna:
struggle of the homeless to renounce all substrates of rebirth.
A.I.49; Netti 159. องฺ.ทุก.20/248/63.
[33] ปริเยสนา 2 (การแสวงหา — Pariyesanà: search; quest)
1. อนริยปรเิ ยสนา (แสวงหาอยางไมป ระเสริฐ, แสวงหาอยา งอนารยะ คือ ตนเองเปนผมู ชี าติ
ชรา พยาธิ มรณะ โสกะ และสงั กเิ ลสเปนธรรมดา กย็ งั ใฝแสวงหาแตส ิง่ อนั มีชาติ ชรา พยาธิ
มรณะ โสกะ และสังกเิ ลสเปน ธรรมดา — Anariya-pariyesanà: unariyan or ignoble
search)
2. อริยปริเยสนา (แสวงหาอยา งประเสรฐิ , แสวงหาอยา งอารยะ คือ ตนเปนผูมีชาติ ชรา พยาธิ
มรณะ โสกะ และสงั กเิ ลสเปนธรรมดา แตร จู กั โทษขอ บกพรองของสง่ิ ทีม่ สี ภาพเชน นัน้ แลว ใฝ
แสวงธรรมอันเกษม คอื นิพพาน อันไมมสี ภาพเชน นัน้ — Ariya-pariyesanà: ariyan or
หมวด 2 69 [35]
noble search)
สองอยา งน้ี เทียบไดกบั อามิสปรเิ ยสนา และ ธรรมปริเยสนา ท่ีตรัสไวในอังคุตตรนกิ าย;
แตสาํ หรับคนสามญั อาจารยภ ายหลงั อธิบายวา ขอแรกหมายถงึ มจิ ฉาอาชีวะ ขอหลงั หมายถึง
สัมมาอาชีวะ ดังนก้ี ม็ ี.
M.I.161; A.I.93. ม.ม.ู 12/313/314; องฺ.ทุก.ฺ 20/399/116.
[34] ปจจัยใหเกิดสัมมาทิฏฐิ 2 (ทางเกิดแหงแนวความคดิ ทีถ่ กู ตอ ง, ตน ทางของ
ปญ ญาและความดีงามทงั้ ปวง — Sammàdiññhi-paccaya: sources or conditions for the
arising of right view)
1. ปรโตโฆสะ (เสียงจากผอู ่ืน การกระตนุ หรอื ชกั จงู จากภายนอก คือ การรับฟงคําแนะนาํ ส่ัง
สอน เลา เรยี น หาความรู สนทนาซกั ถาม ฟง คําบอกเลา ชักจูงของผอู ืน่ โดยเฉพาะการสดบั
สัทธรรมจากทานผเู ปนกลั ยาณมติ ร — Paratoghosa: another's utterance; inducement
by others; hearing or learning from others)
2. โยนโิ สมนสิการ (การใชความคดิ ถกู วิธี ความรจู ักคดิ คิดเปน คือ ทําในใจโดยแยบคาย
มองสิ่งทง้ั หลายดวยความคิดพิจารณา รูจักสบื สาวหาเหตผุ ล แยกแยะสงิ่ นนั้ ๆ หรอื ปญ หานนั้ ๆ
ออก ใหเ หน็ ตามสภาวะและตามความสมั พนั ธแ หง เหตปุ จ จยั — Yonisomanasikàra: reasoned
attention; systematic attention; genetical reflection; analytical reflection)
ขอ ธรรม 2 อยางนี้ ไดแ ก ธรรมหมวดท่ี [1] และ [2] น่ันเอง แปลอยา งปจจบุ ันวา “องค
ประกอบของการศกึ ษา” หรือ “บุพภาคของการศกึ ษา” โดยเฉพาะขอท่ี 1 ในทนี่ ใี้ ชคํากวา งๆ แต
ธรรมทตี่ องการเนน กค็ ือ กัลยาณมิตตตา
ปจจยั ใหเกิดมจิ ฉาทิฏฐิ ก็มี 2 อยาง คอื ปรโตโฆสะ และ อโยนิโสมนสกิ าร ซึง่ ตรงขามกับที่
กลาวมาน.ี้
ดู [280] บุพนมิ ิตแหงมรรค 7, [293] มรรคมอี งค 8
M.I.294; A.I.87. ม.ม.ู 12/497/539; องฺ.ทุก. 20/371/110.
[35] ปาพจน 2 (วจนะอนั เปนประธาน, พทุ ธพจนห ลกั , คําสอนหลกั ใหญ — Pàvacana:
fundamental text; fundamental teaching)
1. ธรรม (คําสอนแสดงหลักความจริงท่ีควรรู และแนะนําหลักความดีท่ีควรประพฤติ —
Dhamma: the Doctrine)
2. วนิ ัย (ขอ บญั ญัตทิ ีว่ างไวเ ปนหลกั กํากบั ความประพฤติใหเปน ระเบยี บเรียบรอ ยเสมอกัน —
Vinaya: the Discipline)
ดู [75] ไตรปฎก ดวย.
DII.154. ท.ี ม. 10/141/178.
[,,] พุทธคุณ 2 ดู [304] พทุ ธคุณ 2.
[36] 70 พจนานุกรมพุทธศาสตร
[,,] พุทธคุณ 3 ดู [305] พทุ ธคุณ 3.
[,,] ไพบูลย 2 ดู [44] เวปุลละ 2.
[36] ภาวนา 2 (การเจริญ, การทาํ ใหเ กิดใหม ีข้ึน, การฝก อบรมจติ ใจ — Bhàvanà:
mental development)
1. สมถภาวนา (การฝก อบรมจติ ใหเกิดความสงบ, การฝกสมาธิ — Samatha-bhàvanà:
tranquillity development)
2. วิปสสนาภาวนา (การฝกอบรมปญญาใหเ กิดความรแู จงตามเปนจริง, การเจริญปญญา —
Vipassanà-bhàvanà: insight development)
สองอยางนี้ ในบาลที ี่มาทา นเรียกวา ภาเวตพั พธรรม และ วชิ ชาภาคิยธรรม. ในคัมภรี สมัย
หลัง บางทีเรยี กวา กรรมฐาน (อารมณเ ปนทต่ี ง้ั แหงงานเจริญภาวนา, ท่ีตั้งแหงงานทาํ ความเพยี ร
ฝกอบรมจิต, วธิ ฝี กอบรมจิต — Kammaññhàna: stations of mental exercises; mental
exercise; สงคฺ ห. 51; Comp. 202)
D.III.273; A.I.60. ท.ี ปา.11/379/290; องฺ.ทุก.20/275/77.
[37] ภาวนา 4 (การเจรญิ , การทาํ ใหเปนใหมขี ึ้น, การฝกอบรม, การพฒั นา — Bhàvanà:
growth; cultivation; training; development)
1. กายภาวนา (การเจรญิ กาย, พฒั นากาย, การฝกอบรมกาย ใหรจู ักตดิ ตอ เกีย่ วของกบั สิ่งทั้ง
หลายภายนอกทางอนิ ทรียทงั้ หา ดวยดี และปฏบิ ตั ิตอ สงิ่ เหลาน้ันในทางทเ่ี ปน คุณ มิใหเกดิ โทษ
ใหก ศุ ลธรรมงอกงาม ใหอ กศุ ลธรรมเส่ือมสูญ, การพัฒนาความสมั พนั ธก ับสิ่งแวดลอ มทางกาย
ภาพ — Kàya-bhàvanà: physical development)
2. สีลภาวนา (การเจรญิ ศีล, พฒั นาความประพฤติ, การฝก อบรมศลี ใหต ัง้ อยูในระเบยี บวนิ ัย
ไมเบียดเบียนหรือกอ ความเดอื ดรอนเสียหาย อยูรว มกบั ผอู นื่ ไดดว ยดี เกื้อกูลแกกนั — Sãla-
bhàvanà: moral development)
3. จติ ตภาวนา (การเจรญิ จิต, พัฒนาจิต, การฝกอบรมจติ ใจ ใหเขมแขง็ ม่นั คง เจริญงอกงาม
ดว ยคุณธรรมท้ังหลาย เชน มีเมตตากรณุ า มีฉนั ทะ ขยันหมนั่ เพยี ร อดทน มสี มาธิ และสดชืน่
เบกิ บาน เปน สขุ ผองใส เปนตน — Citta-bhàvanà: cultivation of the heart; emotional
development)
4. ปญ ญาภาวนา (การเจริญปญญา, พัฒนาปญ ญา, การฝก อบรมปญญา ใหร ูเขาใจสิ่งทั้ง
หลายตามเปน จริง รูเ ทา ทนั เห็นแจง โลกและชวี ติ ตามสภาวะ สามารถทาํ จติ ใจใหเ ปน อสิ ระ ทําตน
ใหบริสุทธิ์จากกิเลสและปลอดพนจากความทุกข แกไขปญหาที่เกิดข้ึนไดดวยปญญา —
Pa¤¤à-bhàvanà: cultivation of wisdom; intellectual development; wisdom
development)
ในบาลที ม่ี า ทา นแสดงภาวนา 4 น้ี ในรปู ทเ่ี ปน คณุ บทของบคุ คล จงึ เปน ภาวติ 4 คอื ภาวติ กาย
หมวด 2 71 [39]
ภาวิตศลี ภาวติ จิต ภาวิตปญญา (ผไู ดเจรญิ กาย ศีล จติ และปญญาแลว ) บุคคลที่มคี ณุ สมบตั ิ
ชดุ นคี้ รบถวนยอ มเปนพระอรหนั ต
A.III.106. องฺ.ปฺจก. 22/79/121.
[38] รูป 21, 28 (สภาวะทแี่ ปรปรวนแตกสลายเพราะปจจยั ตางๆ อันขดั แยง , รา งกายและ
สวนประกอบฝายวัตถุพรอมทั้งพฤติกรรมและคุณสมบัติของมัน, สวนที่เปนรางกับทั้งคุณและ
อาการ — Råpa: corporeality; materiality; matter)
1. มหาภูต หรือ ภตู รปู 4 (สภาวะอันปรากฏไดเปนใหญๆ โตๆ หรือเปนตางๆ ไดม ากมาย, รปู
ทีม่ ีอยูโ ดยสภาวะ, รปู ตน เดมิ ไดแ กธาตุ 4 — Mahàbhåta: primary elements)
2. อปุ าทารูป หรอื อุปาทายรปู 24 (รูปอาศยั , รูปที่เปนไปโดยอาศัยมหาภตู , คุณและอาการ
แหง มหาภตู — Upàdà-råpa: derivative materiality)
M.II.262; Ps.I.183. ม.อุ.14/83/75; ขุ.ปฏ.ิ 31/403/275.
รูป 28 ก็คือรปู 2 หมวดขางตน นีเ้ อง แตน ับขอ ยอ ย กลา วคอื
1. มหาภูต หรือ ภตู รูป 4 (รูปใหญ, รูปเดิม — Mahàbhåta: primary elements; great
essentials) ดู [39]
2. อุปาทายรปู 24 (รปู อาศัย, รปู สบื เนือ่ ง — Upàdà-råpa: derived material qualities) ดู
[40]
Comp.157. สงฺคห.33.
[39] มหาภูต หรอื ภูตรูป 4 (Mahàbhåta: the Four Primary Elements; primary
matter)
1. ปฐวธี าตุ (สภาวะทแ่ี ผไปหรอื กินเนือ้ ท,ี่ สภาพอันเปนหลกั ที่ตง้ั ที่อาศยั แหงสหชาตรูป เรยี ก
สามัญวา ธาตุแขน แข็ง หรอื ธาตดุ ิน — Pañhavã-dhàtu: element of extension; solid
element; earth)
2. อาโปธาตุ (สภาวะท่ีเอิบอาบหรอื ดูดซึม หรอื ซานไป ขยายขนาด ผนกึ พูนเขาดว ยกัน เรียก
สามญั วา ธาตเุ หลว หรือ ธาตุนา้ํ — âpo-dhàtu: element of cohesion; liquid element;
water)
3. เตโชธาตุ (สภาวะท่ีทําใหรอ น เรยี กสามญั วา ธาตุไฟ — Tejo-dhàtu: element of heat or
radiation; heating element; fire)
4. วาโยธาตุ (สภาวะทท่ี าํ ใหส นั่ ไหว เคลอื่ นท่ี และคา้ํ จนุ เรยี กสามญั วา ธาตลุ ม — Vàyo-dhàtu:
element of vibration or motion; air element; wind)
สอี่ ยา งนี้ เรยี กอกี อยา งหนง่ึ วา ธาตุ 4 (ในคมั ภรี ช นั้ หลงั มี 2–3 แหง เรยี กวา มหาภตู รปู 4)
D.I.214; Vism.443; Comp.154. ท.ี สี.9/343/277; วิสทุ ฺธิ.3/11; สงคฺ ห.33.
[40] 72 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร
[40] อุปาทารูป หรอื อุปาทายรูป 24 (Upàdà-råpa: derivative materiality)
ก. ปสาทรูป 5 (รูปทเี่ ปนประสาทสาํ หรบั รบั อารมณ — Pasàda-råpa: sensitive material
qualities)
1. จกั ขุ (ตา — Cakkhu: the eye)
2. โสตะ (หู — Sota: the ear)
3. ฆานะ (จมกู — Ghàna: the nose)
4. ชิวหา (ล้นิ — Jivhà: the tongue)
5. กาย (กาย — Kàya: the body)
ข. โคจรรูป หรอื วสิ ัยรูป 5 (รปู ทีเ่ ปน อารมณหรือแดนรบั รูของอนิ ทรีย — Gocara-råpa or
Visaya-råpa: material qualities of sense-fields)
6. รปู ะ (รปู — Råpa: form)
7. สัททะ (เสยี ง — Sadda: sound)
8. คันธะ (กล่ิน — Gandha: smell)
9. รสะ (รส — Rasa: taste)
0. โผฏฐัพพะ (สมั ผสั ทางกาย — Phoññhabba: tangible objects) ขอน้ีไมนับเพราะเปน อนั
เดียวกับมหาภูต 3 คอื ปฐวี เตโช และ วาโย ท่กี ลา วแลวในมหาภตู
ค. ภาวรูป 2 (รูปที่เปนภาวะแหงเพศ — Bhàva-råpa: material qualities of sex)
10. อิตถตั ตะ, อิตถินทรยี (ความเปนหญิง — Itthatta: femininity)
11. ปุริสัตตะ, ปรุ ิสินทรยี (ความเปน ชาย — Purisatta: masculinity)
ง. หทยั รปู 1 (รปู คือหทัย — Hadaya-råpa: physical basis of mind)
12. หทยั วัตถุ* (ที่ตัง้ แหง ใจ, หวั ใจ — Hadaya-vatthu: heart-base)
จ. ชีวติ รูป 1 (รูปท่ีเปนชีวิต — Jãvita-råpa: material quality of life)
13. ชีวติ ินทรยี (อินทรียค อื ชวี ติ — Jãvitindriya: life-faculty; vitality; vital force)
ฉ. อาหารรูป 1 (รปู คืออาหาร — âhàra-råpa: material quality of nutrition)
14. กวฬงิ การาหาร (อาหารคือคําขาว, อาหารทก่ี ิน — Kavaëiïkàràhàra: edible food;
nutriment)
ช. ปรจิ เฉทรปู 1 (รปู ทก่ี าํ หนดเทศะ — Pariccheda-råpa: material quality of delimitation)
15. อากาสธาตุ (สภาวะคอื ชองวาง — âkàsa-dhàtu: space-element)
ญ. วิญญัติรูป 2 (รปู คอื การเคล่อื นไหวใหร คู วามหมาย — Vi¤¤atti-råpa: material quality
* ขอนี้ ในพระไตรปฎก รวมท้งั อภธิ รรมปฎก ไมมี เวนแตป ฏ ฐานใชคาํ วา วัตถุ ไมม ี หทัย
หมวด 2 73 [42]
of communication)
16. กายวญิ ญตั ิ (การเคลือ่ นไหวใหรคู วามหมายดว ยกาย — Kàya-vi¤¤atti: bodily inti-
mation; gesture)
17. วจวี ิญญตั ิ (การเคล่ือนไหวใหร คู วามหมายดวยวาจา — Vacã-vi¤¤atti: verbal inti-
mation; speech)
ฎ. วิการรปู 5 (รปู คืออาการทดี่ ดั แปลงทาํ ใหแ ปลกใหพ ิเศษได — Vikàra-råpa: material
quality of plasticity or alterability)
18. [รูปส สะ] ลหตุ า (ความเบา — Lahutà: lightness; agility)
19. [รูปส สะ] มทุ ุตา (ความออ นสลวย — Mudutà: pliancy; elasticity; malleability)
20. [รูปสสะ] กัมมัญญตา (ความควรแกการงาน, ใชการได — Kamma¤¤atà:
adaptability; wieldiness)
0. วญิ ญัตริ ปู 2 ไมน ับเพราะซาํ้ ในขอ ญ.
ฏ. ลักขณรปู 4 (รูปคือลักษณะหรืออาการเปนเคร่อื งกําหนด — Lakkhaõa-råpa: material
quality of salient features)
21. [รูปสสะ] อปุ จยะ (ความกอตัวหรอื เติบขึน้ — Upacaya: growth; integration)
22. [รูปสสะ] สนั ตติ (ความสืบตอ — Santati: continuity)
23. [รปู ส สะ] ชรตา (ความทรุดโทรม — Jaratà: decay)
24. [รูปสสะ] อนิจจตา (ความปรวนแปรแตกสลาย — Aniccatà: impermanence)
Dhs.127; Vism.443; Comp.155. อภิ.ส.ํ 34/504/185; วิสุทธฺ .ิ 3/11; สงฺคห.34.
[41] รูป 22 (สงิ่ ท่เี ปน รา งพรอ มทัง้ คณุ และอาการ — Råpa: matter; materiality)
1. อปุ าทนิ นกรปู (รปู ทก่ี รรมยดึ ครองหรอื เกาะกมุ ไดแ กร ปู ทเ่ี กดิ จากกรรม — Upàdinnaka-
råpa: kammically grasped materiality; clung-to materiality; organic matter)
2. อนุปาทินนกรูป (รูปท่ีกรรมไมยึดครองหรือเกาะกุม ไดแกรูปท่ีมิใชเกิดจากกรรม —
Anupàdinnaka-råpa: kammically ungrasped materiality; not-clung-to materiality;
inorganic matter)
Vbh.14; Vism.450; Comp.159. อภิ.ว.ิ 35/36/19; วสิ ุทฺธ.ิ 3/20; สงคฺ ห.35.
[42] ฤทธิ์ 2 (อิทธิ คือความสาํ เรจ็ ความรงุ เรอื ง — Iddhi: achievement; success;
prosperity)
1. อามสิ ฤทธ (อามิสเปนฤทธิ์, ความสาํ เรจ็ หรอื ความรุง เรอื งทางวตั ถุ — âmisa-iddhi:
achievement of carnality; material or carnal prosperity)
2. ธรรมฤทธิ์ (ธรรมเปน ฤทธิ,์ ความสาํ เร็จหรอื ความรงุ เรอื งทางธรรม — Dhamma-iddhi:
[43] 74 พจนานุกรมพุทธศาสตร
achievement of righteousness; doctrinal or spiritual prosperity)
A.I.93. อง.ฺ ทกุ .20/403/117.
[,,] โลกบาลธรรม 2 ดู [23] ธรรมคุมครองโลก 2.
[43] วิมุตติ 2 (ความหลดุ พน — Vimutti: deliverance; liberation; freedom)
1. เจโตวิมตุ ติ (ความหลดุ พน แหง จิต, ความหลดุ พนดวยอาํ นาจการฝกจติ , ความหลดุ พนแหง
จติ จากราคะ ดว ยกําลังแหงสมาธิ — Cetovimutti: deliverance of mind; liberation by
concentration)
2. ปญ ญาวิมตุ ติ (ความหลุดพน ดว ยปญญา, ความหลุดพนดวยอํานาจการเจรญิ ปญญา, ความ
หลดุ พนแหงจิตจากอวชิ ชา ดวยปญญาท่รี ูเหน็ ตามเปนจริง — Pa¤¤àvimutti: deliverance
through insight; liberation through wisdom)
A.I.60. องฺ.ทกุ .20/276/78.
[,,] เวทนา 2 ดู [110] เวทนา 2.
[44] เวปุลละ 2 (ความไพบูลย — Vepulla: abundance)
1. อามิสเวปุลละ (อามิสไพบลู ย, ความไพบลู ยแหงอามสิ — âmisa-vepulla: abundance
of material things; material abundance)
2. ธมั มเวปุลละ (ธรรมไพบลู ย ความไพบลู ยแ หงธรรม — Dhamma-vepulla: abundance
of virtues; doctrinal or spiritual abundance)
A.I.93. องฺ.ทุก.20/407/117.
[45] สมาธิ 2 (ความตงั้ มน่ั แหง จติ , ภาวะทจี่ ติ สงบนง่ิ จบั อยทู อ่ี ารมณอ นั เดยี ว — Samàdhi:
concentration)
1. อปุ จารสมาธิ (สมาธเิ ฉียดๆ, สมาธิจวนจะแนว แน — Upacàra-samàdhi: access con-
centration)
2. อัปปนาสมาธิ (สมาธแิ นวแน, สมาธิแนบสนทิ , สมาธิในฌาน — Appanà-samàdhi:
attainment concentration)
Vism.85, 371. วิสทุ ฺธ.ิ 1/105; 2/194.
[46] สมาธิ 31 (ความตงั้ มน่ั แหง จติ , ภาวะทจ่ี ติ สงบนง่ิ จบั อยทู อี่ ารมณอ นั เดยี ว — Samàdhi:
concentration)
1. ขณิกสมาธิ (สมาธชิ ่ัวขณะ — Khaõika-samàdhi: momentary concentration)
2. อุปจารสมาธิ (สมาธิจวนจะแนว แน — Upacàra-samàdhi: access concentration)
3. อปั ปนาสมาธิ (สมาธแิ นวแน — Appanà-samàdhi: attainment concentration)
DhsA.117; Vism.144. สงฺคณี.อ.207; วิสุทฺธิ.1/184.
หมวด 2 75 [50]
[47] สมาธิ 32 (ความตัง้ มน่ั แหง จิต หมายถึงสมาธใิ นวปิ สสนา หรือตัววิปส สนานั่นเอง แยก
ประเภทตามลกั ษณะการกาํ หนดพจิ ารณาไตรลกั ษณ ขอ ทใี่ หส าํ เรจ็ ความหลดุ พน — Samàdhi:
concentration)
1. สญุ ญตสมาธิ (สมาธิอันพิจารณาเหน็ ความวาง ไดแ ก วปิ ส สนาทีใ่ หถ งึ ความหลดุ พน ดวย
กาํ หนดอนตั ตลักษณะ — Su¤¤ata-samàdhi: concentration on the void)
2. อนมิ ิตตสมาธิ (สมาธิอันพิจารณาธรรมไมม นี มิ ิต ไดแ ก วิปสสนาทใ่ี หถงึ ความหลดุ พนดวย
กําหนดอนิจจลักษณะ — Animitta-samàdhi: concentration on the signless)
3. อัปปณหิ ิตสมาธิ (สมาธิอนั พิจารณาธรรมไมมคี วามตั้งปรารถนา ไดแ ก วปิ ส สนาท่ใี หถงึ
ความหลุดพน ดวยกําหนดทกุ ขลกั ษณะ — Appaõihita-samàdhi: concentration on the
desireless or non-hankering)
ดู [107] วิโมกข 3.
D.III.219; A.I.299; Ps.I.49. ท.ี ปา.11/228/231; องฺ.ตกิ .20/599/385; ขุ.ปฏิ.31/92/70.
[48] สังขาร 2 (สภาพทป่ี จจยั ท้ังหลายปรุงแตงขึ้น, ส่ิงท่เี กดิ จากเหตุปจ จยั — Saïkhàra:
conditioned things; compounded things)
1. อปุ าทินนกสงั ขาร (สังขารทกี่ รรมยดึ ครองหรอื เกาะกมุ ไดแ กอปุ าทนิ นธรรม — Upà-
dinnaka-saïkhàra: kammically grasped phenomena)
2. อนุปาทินนกสังขาร (สังขารท่กี รรมไมย ดึ ครองหรือเกาะกมุ ไดแกอนปุ าทนิ นธรรมทงั้ หมด
เวน แตอสงั ขตธาตุ คอื นพิ พาน — Anupàdinnaka-saïkhàra: kammically ungrasped
phenomena)
ดู [22] ธรรม 24; [41] รปู 22; [119] สงั ขาร 3 1; [185] สงั ขาร 4 ดวย.
AA.IV.50. องฺ.อ.3/223; วภิ งคฺ .อ.596.
[49] สังคหะ 2 (การสงเคราะห — Saïgaha: aid; giving of help or favours; act of
aiding or supporting)
1. อามสิ สังคหะ (อามิสสงเคราะห, สงเคราะหด ว ยอามิส — âmisa-saïgaha: supporting
with requisites; material aid)
2. ธมั มสังคหะ (ธรรมสงเคราะห, สงเคราะหดวยธรรม — Dhamma-saïgaha: aiding by
teaching or showing truth; spiritual aid)
A.I.91. อง.ฺ ทุก.20/393/115.
[50] สัจจะ 2 (ความจรงิ — Sacca: truth)
1. สมมติสจั จะ (ความจรงิ โดยสมมตุ ิ, ความจริงท่ขี ้นึ ตอ การยอมรับของคน, ความจริงท่ีถือ
ตามความกาํ หนดหมายตกลงกันไวของชาวโลก เชน วา คน สัตว โตะ หนงั สอื เปนตน —
[51] 76 พจนานุกรมพุทธศาสตร
Sammati-sacca: conventional truth)
2. ปรมตั ถสจั จะ (ความจริงโดยปรมตั ถ, ความจรงิ ท่มี อี ยใู นธรรมชาติ โดยไมข นึ้ ตอ การยอม
รบั ของคน, ความจริงตามความหมายขน้ั สดุ ทา ยทีต่ รงตามสภาวะและเทา ทีจ่ ะกลาวถงึ ได เชนวา
รปู นาม เวทนา จติ เจตสิก เปน ตน — Paramattha-sacca: ultimate truth, absolute truth)
AA.I.95; KvuA.34. องฺ.อ.1/100; ปจฺ .อ.153,182,241; ฯลฯ.
[51] สาสน หรือ ศาสนา 2 (คําสอน — Sàsana: teaching; dispensation)
1. ปริยัติศาสนา (คาํ สอนฝายปริยัติ, คําสอนอันจะตองเลาเรียนหรือจะตอ งชํา่ ชอง ไดแก
สุตตะ เคยยะ ฯลฯ เวทลั ละ — Pariyatti-sàsana: teaching to be studied or mastered;
textual or scriptural teaching; dispensation as text) = [302] นวงั คสัตถุศาสน
2. ปฏิบัตศิ าสนา (คาํ สอนฝายปฏิบัต,ิ คาํ สอนท่จี ะตองปฏบิ ัติ ไดแ ก สมั มาปฏิปทา อนโุ ลม-
ปฏปิ ทา อปจ จนีกปฏปิ ทา (ปฏปิ ทาทไี่ มขดั ขวาง) อนั วัตถปฏิปทา (ปฏิปทาทเี่ ปนไปตามความมุง
หมาย) ธัมมานธุ ัมมปฏิปทา (ปฏิบัตธิ รรมถกู หลัก) กลา วคือ การบําเพญ็ ศีลใหบรบิ ูรณ, [128]
ความคมุ ครองทวารในอนิ ทรียทงั้ หลาย โภชเนมัตตญั ตุ า ชาคริยานุโยค สตสิ ัมปชัญญะ, [182]
สตปิ ฏฐาน 4, [156] สัมมัปปธาน 4, [213] อทิ ธบิ าท 4, [258] อนิ ทรยี 5, [228] พละ 5, [281]
โพชฌงค 7, [293] มรรคมอี งค 8 — Pañipatti-sàsana: teaching to be practised;
practical teaching; dispensation as practice) ทเี่ ปน สําคัญในหมวดนี้ กค็ ือ [352] โพธิ-
ปก ขิยธรรม 37.
Nd1143. ขุ.ม.29/232/175.
[52] สุข 21 (ความสขุ — Sukha: pleasure; happiness)
1. กายกิ สุข (สขุ ทางกาย — Kàyika-sukha: bodily happiness)
2. เจตสิกสขุ (สขุ ทางใจ — Cetasika-sukha: mental happiness)
A.I.80. องฺ.ทกุ .20/315/101.
[53] สุข 22 (ความสขุ — Sukha: pleasure; happiness)
1. สามสิ สขุ (สขุ อิงอามสิ , สุขอาศยั เหยือ่ ลอ , สขุ จากวตั ถคุ ือกามคุณ — Sàmisa-sukha:
carnal or sensual happiness)
2. นริ ามิสสุข (สขุ ไมอ ิงอามิส, สุขไมตองอาศยั เหย่ือลอ , สุขปลอดโปรง เพราะใจสงบหรือไดรู
แจงตามเปน จริง — Niràmisa-sukha: happiness independent of material things or
sensual desires; spiritual happiness)
A.I.80. องฺ.ทกุ .20/313/101.
[54] สุทธิ 2 (ความบรสิ ุทธ์,ิ ความสะอาดหมดจด — Suddhi: purity)
1. ปรยิ ายสทุ ธิ (ความบริสทุ ธ์บิ างสว น, หมดจดในบางแงบางดา น ไดแก ความบรสิ ุทธข์ิ อง
หมวด 2 77 [57]
ปถุ ุชนจนถงึ พระอริยบคุ คลผตู งั้ อยูใ นอรหัตตมรรค ท่ีครองตนบริสทุ ธิด์ วยขอปฏิบัติหรือธรรมที่
ตนเขาถึงบางอยา ง แตยังมกี จิ ในการละและเจริญซึง่ จะตองทําตอ ไปอีก — Pariyàya-suddhi:
partial purity)
2. นปิ ปรยิ ายสทุ ธิ (ความบริสทุ ธสิ์ ิน้ เชงิ , หมดจดแทจ รงิ เต็มความหมาย ไดแก ความบรสิ ทุ ธ์ิ
ของพระอรหันตผูเสร็จกิจในการละและการเจริญธรรม ครองตนไรมลทินทุกประการ —
Nippariyàya-suddhi: absolute purity)
AA.I.293–4. อง.ฺ อ.2/4.
[,,] อรหันต 2 ดู [61] อรหนั ต 2.
[55] อริยบุคคล 2 (บุคคลผูป ระเสรฐิ , ผบู รรลธุ รรมพิเศษต้ังแตโ สดาปตตมิ รรคขนึ้ ไป, ผู
เปนอารยะในความหมายของพระพุทธศาสนา — Ariya-puggala: noble individuals; holy
persons)
1. เสขะ (พระเสขะ, พระผยู งั ตอ งศึกษา ไดแกพระอริยบุคคล 7 เบ้ืองตนในจาํ นวน 8 —
Sekha: the learner)
2. อเสขะ (พระอเสขะ, พระผไู มตอ งศึกษา ไดแกผบู รรลุอรหตั ตผลแลว — Asekha: the
adept)
ทั้ง 2 ประเภทน้ี ในบาลที ม่ี าเรียกวา ทักขไิ ณยบุคคล 2.
A.I.62. องฺ.ทุก.20/280/80.
[56] อริยบุคคล 4
1. โสดาบนั (“ผถู งึ กระแส”, ทา นผบู รรลโุ สดาปต ตผิ ลแลว — Sotàpanna: Stream-Enterer)
2. สกทาคามี (“ผกู ลบั มาอกี ครงั้ เดยี ว”, ทา นผบู รรลสุ กทาคามผิ ลแลว — Sakadàgàmã:
Once-Returner)
3. อนาคามี (“ผไู มเ วยี นกลบั มาอกี ”, ทา นผบู รรลอุ นาคามผิ ลแลว — Anàgàmã: Non-
Returner)
4. อรหนั ต (“ผคู วร”, “ผหู กั กาํ แหง สงสารแลว ”, ทา นผบู รรลอุ รหตั ตผลแลว — Arahanta: the
Worthy One)
ดู [164] มรรค 4; [329] สังโยชน 10 1.
D.I.156. นัย ที.สี.9/250–253/199–200.
[57] อริยบุคคล 8 แยกเปน มรรคสมงั คี (ผพู รอ มดวยมรรค) 4, ผลสมังคี (ผพู รอ มดว ย
ผล) 4
1. โสดาบนั (ทา นผูบรรลโุ สดาปตตผิ ลแลว , พระผูตัง้ อยูในโสดาปตตผิ ล — one who has
entered the Stream; one established in the Fruition of Stream-Entry; Stream-Enterer)
[58] 78 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร
2. ทา นผปู ฏบิ ัตเิ พื่อทําใหแ จง โสดาปต ตผิ ล (พระผูตัง้ อยูใ นโสดาปตติมรรค — one who
has worked for the realization of the Fruition of Stream-Entry; one established in
the Path of Stream-Entry)
3. สกทาคามี (ทา นผบู รรลุสกทาคามิผลแลว, พระผตู ง้ั อยใู นสกทาคามผิ ล — one who is a
Once-Returner; one established in the Fruition of Once-Returning)
4. ทา นผูป ฏิบตั ิเพอ่ื ทําใหแจงสกทาคามผิ ล (พระผตู งั้ อยใู นสกทาคามิมรรค — one who
has worked for the realization of the Fruition of Once-Returning; one established
in the Path of Once-Returning)
5. อนาคามี (ทานผูบ รรลอุ นาคามิผลแลว, พระผูต้ังอยใู นอนาคามิผล — one who is a
Non-Returner; one established in the Fruition of Non-Returning)
6. ทา นผปู ฏบิ ตั ิเพอื่ ทําใหแ จงอนาคามิผล (พระผตู ้ังอยูในอนาคามิมรรค — one who
has worked for the realization of the Fruition of Non-Returning; one established
in the Path of Non-Returning)
7. อรหันต (ทา นผูบรรลุอรหตั ตผลแลว , พระผตู ั้งอยใู นอรหัตตผล — one who is an
Arahant; one established in the Fruition of Arahantship)
8. ทานผปู ฏิบัตเิ พอ่ื ทําใหแ จง อรหัตตผล (พระผูต ั้งอยใู นอรหัตตมรรค — one who has
worked for the realization of the Fruition of Arahantship; one established in the
Path of Arahantship)
ทงั้ 8 ประเภทนี้ ในบาลที ี่มาทั้งหลายเรยี กวา ทกั ขไิ ณยบุคคล 8
ดู [164–5] มรรค 4 ผล 4 ดวย.
D.III.255; A.IV.291; Pug 73. ท.ี ปา.11/342/267; องฺ.อฏก.23/149/301; อภิ.ป.ุ 36/150/233.
[58] โสดาบัน 3 (ทา นผูบรรลโุ สดาปต ตผิ ลแลว , ผแู รกถงึ กระแสอนั นาํ ไปสูพระนพิ พาน
แนตอ การตรัสรูขา งหนา — Sotàpanna: Stream-Enterer)
1. เอกพีชี (ผูมีพืชคอื อตั ภาพอนั เดยี ว คือ เกิดอีกครั้งเดียว กจ็ ักบรรลอุ รหัต — Ekabãjã: the
Single-Seed)
2. โกลงั โกละ (ผไู ปจากสกุลสสู กุล คือ เกดิ ในตระกลู สงู อีก 2–3 คร้ัง หรอื เกิดในสุคติอีก 2–3
ภพ ก็จักบรรลุอรหัต — Kolaïkola: the Clan-to-Clan)
3. สัตตักขตั ตุงปรมะ (ผูมเี จด็ ครั้งเปน อยางยิง่ คือ เวยี นเกิดในสุคติภพอกี อยา งมากเพยี ง 7
ครง้ั ก็จักบรรลุอรหัต — Sattakkhattu§parama: the Seven-Times-at-Most)
เกณฑแบงหรือเหตใุ หเ ปน เชน น้ี กําหนดดว ยวิปส สนาและความมีอินทรียอันแกก ลา ปาน
กลาง และออ นกวา กนั ตามลาํ ดับ
A.I.233: IV.380; V.120; Pug.3,16,74. อง.ฺ ติก.20/528/302;อง.ฺ นวก.23/216/394;องฺ.ทสก.24/64/129/;อภ.ิ ปุ.36/47–9/147.
หมวด 2 79 [61]
[59] สกทาคามี 3, 5 (ทา นผบู รรลสุ กทาคามผิ ลแลว , ผกู ลบั มาอกี ครงั้ เดยี ว — Sakadà-
gàmã: Once-Returner)
พระสกทาคามีนี้ ในบาลมี ไิ ดแยกประเภทไว แตในคัมภีรร ุนหลังแยกประเภทไวหลายอยาง
เชน ในคัมภีรป รมตั ถโชตกิ า แยกไวเ ปน 3 ประเภท คือ ผไู ดบ รรลุผลนัน้ ในกามภพ 1 ในรปู
ภพ 1 ในอรูปภพ 1
ในคัมภีรป รมัตถมัญชุสา จาํ แนกไว 5 ประเภท คือ ผูบรรลุในโลกน้แี ลว ปรนิ พิ พานในโลก
นี้เอง 1 ผบู รรลใุ นโลกน้แี ลว ปรนิ ิพพานในเทวโลก 1 ผบู รรลุในเทวโลกแลว ปรินิพพานใน
เทวโลกนน้ั เอง 1 ผูบรรลุในเทวโลกแลว เกิดในโลกนีจ้ ึงปรินพิ พาน 1 ผบู รรลใุ นโลกนแ้ี ลว ไป
เกดิ ในเทวโลกหมดอายุแลว กลบั มาเกดิ ในโลกนจี้ งึ ปรินิพพาน 1 และอธิบายตอ ทายวา พระ
สกทาคามีท่ีกลา วถงึ ในบาลหี มายเอาประเภทที่ 5 อยา งเดียว
นอกจากน้ี ทีท่ านแบงออกเปน 4 บาง 12 บาง ก็มี แตจ ะไมก ลา วไวในทนี่ ี้
KhA.182. ขทุ ทฺ ก.อ.199; วิสทุ ฺธ.ิ ฏกี า3/655.
[60] อนาคามี 5 (ทา นผบู รรลอุ นาคามผิ ลแลว , ผูไมเวียนกลบั มาอกี — Anàgàmã: Non-
Returner)
1. อันตราปรินพิ พายี (ผปู รนิ พิ พานในระหวาง คอื เกิดในสุทธาวาสภพใดภพหนงึ่ แลว อายยุ งั
ไมถ ึงกง่ึ ก็ปรนิ พิ พานโดยกเิ ลสปรินิพพาน — Antarà-parinibbàyã: one who attains
Parinibbàna within the first half life-span)
2. อุปหัจจปรนิ ิพพายี (ผูจวนจะถึงจงึ ปรนิ พิ พาน คือ อายุพน ก่ึงแลว จวนจะถงึ ส้นิ อายุจึง
ปรินพิ พาน — Upahacca-parinibbàyã: one who attains Parinibbàna after the first
half life-span)
3. อสังขารปรนิ พิ พายี (ผูป รินิพพานโดยไมต อ งใชแรงชกั จงู คือ ปรนิ ิพพานโดยงาย ไมต อง
ใชความเพยี รนัก — Asaïkhàra-parinibbàyã: one who attains Parinibbàna without
exertion)
4. สสังขารปรินิพพายี (ผูปรินพิ พานโดยใชแรงชกั จูง คอื ปรนิ พิ พานโดยตองใชความเพยี ร
มาก — Sasaïkhàra-parinibbàyã: one who attains Parinibbàna with exertion)
5. อทุ ธงั โสโตอกนฏิ ฐคามี (ผูมกี ระแสในเบื้องบนไปสอู กนิฏฐภพ คอื เกดิ ในสทุ ธาวาสภพใด
ภพหนึ่งก็ตาม จะเกิดเลอ่ื นตอ ขึ้นไปจนถึงอกนฏิ ฐภพแลวจงึ ปรนิ พิ พาน — Uddha§soto-
akaniññhagàmã: one who goes upstream bound for the highest realm; up-streamer
bound for the Not-Junior Gods)
เกณฑแบง ไดแกค วามตางแหง อนิ ทรีย มศี รัทธาเปนตน ท่ียิ่งหยอ นกวากนั
A.I.233; IV.14,70,380; V.120; Pug.16. องฺ.ตกิ .20/528/302; อง.ฺ นวก.23/216/394; องฺ.ทสก.24/64/129; อภ.ิ ปุ.36/52–6/148.
[61] อรหันต 2 (ผูบ รรลอุ รหัตตผลแลว , ทานผสู มควรรบั ทักษิณาและการเคารพบชู าอยา ง
[62] 80 พจนานกุ รมพุทธศาสตร
แทจ รงิ — Arahanta: an Arahant; arahant; Worthy One)
1. สกุ ขวิปส สก (ผเู หน็ แจงอยางแหง แลง คือ ทานผูมไิ ดฌ าน สาํ เรจ็ อรหัตดวยเจรญิ แต
วปิ ส สนาลว นๆ — Sukkhavipassaka: the dry-visioned; bare-insight worker)
2. สมถยานิก (ผูมสี มถะเปนยาน คอื ทานผูเจรญิ สมถะจนไดฌานสมาบตั แิ ลว จงึ เจรญิ
วปิ ส สนาตอ จนไดสําเร็จอรหัต — Samathayànika: one whose vehicle is tranquillity;
the quiet-vehicled)
การจําแนกพระอรหันตเปนสองประเภทอยางนี้ มาในคัมภีรชั้นหลังเชน ปรมัตถโชติกา
เปนตน ไมปรากฏในบาลีแหง ใด สรปุ คําอธบิ ายเพอ่ื เขาใจเพิม่ เติมดงั น้ี
ประเภทที่ 1 คอื ทานทอ่ี าศัยเพียงอปุ จารสมาธิ เจรญิ วปิ ส สนาไปจนถึงท่สี ุด แตเ มือ่ จะสาํ เรจ็
อรหตั นนั้ กเ็ ปน ผไู ดป ฐมฌาน ประเภทน้ี เรยี กอกี อยา งวา วปิ ส สนายานกิ หรอื สทุ ธวปิ ส สนายานกิ
(ผมู ีวปิ ส สนาลว นๆ เปน ยาน — Suddhavipassanàyànika: one whose vehicle is pure
insight; the insight-vehicled)
ประเภทที่ 2 คอื ที่บาลีเรียกวา อภุ โตภาควิมตุ
KhA.178,183; Vism.587,666. ขทุ ทฺ ก.อ.200; วสิ ุทฺธิ.3/206,312; วิสทุ ฺธิ.ฏีกา3/398;576.
[62] อรหันต 4, 5, 60 (Arahanta: an Arahant; arahant; Worthy One)
1. สกุ ขฺ วปิ สฺสโก (ผูเ จริญวปิ สสนาลว น — Sukkhavipassaka: bare-insight worker)
2. เตวชิ โฺ ช (ผูไดวิชชาสาม — Tevijja: one with the Threefold Knowledge)
3. ฉฬภิฺโ (ผูไ ดอภญิ ญาหก — Chaëabhi¤¤a: one with the Sixfold Super-
knowledge)
4. ปฏสิ มฺภทิ ปฺปตฺโต (ผูบ รรลปุ ฏิสมั ภทิ า — Pañisambhidappatta: one having attained
the Analytic Insights)
พระอรหันตท้ังส่ีในหมวดนี้ สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรง
ประมวลแสดงไวในหนังสอื ธรรมวภิ าค ปริเฉทที่ 2 หนา 41 พึงทราบคําอธิบายตามที่มาเฉพาะ
ของคาํ นั้นๆ
แตในคัมภรี ทง้ั หลายนยิ มจาํ แนกเปน 2 อยาง เหมอื นในหมวดกอนบาง เปน 5 อยา งบา ง ท่ี
เปน 5 คือ
1. ปญ ญาวมิ ตุ (ผูห ลดุ พนดวยปญญา — Pa¤¤àvimutta: one liberated by wisdom)
2. อุภโตภาควิมุต (ผูหลดุ พนทั้งสองสวน คือ ไดท ้งั เจโตวมิ ุตติ ขนั้ อรปู สมาบตั กิ อน แลว ได
ปญ ญาวมิ ุตติ — Ubhatobhàgavimutta: one liberated in both ways)
3. เตวชิ ชะ (ผไู ดวชิ ชาสาม — Tevijja: one possessing the Threefold Knowledge)
4. ฉฬภิญญะ (ผไู ดอภิญญาหก — Chaëabhi¤¤a: one possessing the Sixfold Super-
knowledge)
หมวด 2 81 [63]
5. ปฏิสัมภิทปั ปตตะ (ผบู รรลุปฏสิ มั ภทิ าสี่ — Pañisambhidappatta: one having gained
the Four Analytic Insights)
ท้ังหมดน้ี ยอ ลงแลว เปน 2 คอื พระปญญาวิมุต กับพระอุภโตภาควิมตุ เทานัน้ พระสุกข-
วปิ สสกท่ีกลาวถงึ ขางตน เปน พระปญ ญาวิมุต ประเภทหน่ึง (ในจาํ นวนพระปญ ญาวมิ ตุ 5
ประเภท คอื พระสกุ ขวิปส สก และทานผไู ดฌ าน 4 ข้นั ใดข้นั หน่ึงมากอ นไดบ รรลุอรหัตตผล)
พระเตวชิ ชะ กับพระฉฬภญิ ญะ เปน อุภโตภาควิมตุ ทั้งนัน้ แตท านแยกพระอุภโตภาควมิ ุตไว
เปน ขอ หนง่ึ ตางหาก เพราะพระอุภโตภาควิมตุ ทไ่ี มไดโ ลกยี วิชชาและโลกียอภญิ ญา กม็ ี สว น
พระปฏิสัมภิทัปปตตะ ไดความแตกฉานท้งั สด่ี วยปจ จยั ทัง้ หลาย คือ การเลาเรยี น สดบั สอบคน
ประกอบความเพียรไวเกา และการบรรลุอรหัต.
พระอรหนั ต 5 นัน้ แตล ะประเภท จําแนกโดยวโิ มกข 3 รวมเปน 15 จาํ แนกออกไปอกี โดย
ปฏปิ ทา 4 จึงรวมเปน 60 ความละเอยี ดในขอนี้ จะไมแ สดงไว เพราะจะทําใหฟ น เฝอ ผตู อ งการ
ทราบยิง่ ขึ้นไป พงึ นําหลกั ท่ีกลาวมาต้งั เปนเกณฑจ ําแนกไดเ อง
ดู [61] อรหันต 2; [106] วชิ ชา 3; [155] ปฏสิ มั ภทิ า 4; [274] อภิญญา 6.
Vism.710. วิสุทธฺ ิ.3/373; วสิ ุทธฺ ิ.ฏีกา3/657.
[63] อริยบุคคล 7 (บุคคลผูประเสริฐ — Ariyapuggala: noble individuals) เรียงจาก
สูงลงมา
1. อุภโตภาควมิ ุต (ผูห ลดุ พนท้งั สองสว น คอื ทา นทไ่ี ดสัมผสั วิโมกข 8 ดว ยกาย และส้ิน
อาสวะแลวเพราะเห็นดว ยปญญา หมายเอาพระอรหันตผ ไู ดเจโตวิมุตติข้ันอรปู สมาบตั ิมากอนที่
จะไดปญ ญาวิมตุ ติ — Ubhatobhàgavimutta: one liberated in both ways)
2. ปญญาวมิ ตุ (ผหู ลุดพนดวยปญ ญา คือ ทา นทมี่ ิไดสมั ผสั วโิ มกข 8 ดวยกาย แตสนิ้ อาสวะ
แลว เพราะเหน็ ดว ยปญ ญา หมายเอาพระอรหนั ตผ ไู ดป ญ ญาวมิ ตุ ตกิ ส็ าํ เรจ็ เลยทเี ดยี ว — Pa¤¤a-
vimutta: one liberated by understanding)
3. กายสกั ขี (ผเู ปนพยานดว ยนามกาย หรอื ผูประจักษกับตวั คือ ทา นท่ไี ดส ัมผัสวโิ มกข 8
ดวยกาย และอาสวะบางสวนกส็ ิ้นไปเพราะเหน็ ดวยปญ ญา หมายเอาพระอรยิ บคุ คลผูบ รรลุโสดา
ปต ตผิ ลแลว ขนึ้ ไป จนถึงเปน ผปู ฏบิ ัติเพือ่ อรหตั ทม่ี ีสมาธนิ ทรียแกกลา ในการปฏบิ ัติ — Kàya-
sakkhã: the body-witness)
4. ทิฏฐิปปตตะ (ผบู รรลุสัมมาทฏิ ฐิ คือ ทา นท่เี ขาใจอริยสจั จธรรมถกู ตอ งแลว และอาสวะบาง
สวนกส็ นิ้ ไปเพราะเห็นดวยปญ ญา หมายเอาพระอริยบคุ คลผบู รรลโุ สดาปต ติผลแลว ขน้ึ ไป จน
ถึงเปน ผูปฏบิ ตั เิ พอื่ อรหตั ทม่ี ปี ญญินทรียแกกลาในการปฏบิ ัติ — Diññhippatta: one attained
to right view)
5. สัทธาวมิ ุต (ผูห ลุดพนดวยศรัทธา คอื ทา นท่เี ขา ใจอริยสัจจธรรมถกู ตอ งแลว และอาสวะ
บางสวนกส็ น้ิ ไปเพราะเห็นดวยปญ ญา แตม ีศรทั ธาเปน ตวั นํา หมายเอาพระอริยบคุ คลผบู รรลุ
โสดาปตตผิ ลแลวขึน้ ไป จนถงึ เปนผูปฏบิ ัตเิ พือ่ อรหตั ท่มี ีสทั ธินทรียแกกลาในการปฏิบัติ —
[63] 82 พจนานุกรมพุทธศาสตร
Saddhàvimutta: one liberated by faith)
6. ธมั มานุสารี (ผแู ลน ไปตามธรรม หรอื ผแู ลนตามไปดวยธรรม คือ ทานผูป ฏิบตั เิ พอื่ บรรลุ
โสดาปต ติผลที่มปี ญญนิ ทรยี แกกลา อบรมอริยมรรคโดยมปี ญ ญาเปน ตัวนาํ ทานผนู ีถ้ า บรรลุผล
แลว กลายเปน ทิฏฐปิ ปต ตะ — Dhammànusàrã: the truth-devotee)
7. สัทธานุสารี (ผูแลน ไปตามศรัทธา หรอื ผูแลน ตามไปดว ยศรทั ธา คอื ทานผปู ฏบิ ัตเิ พื่อบรรลุ
โสดาปต ติผลที่มีสัทธินทรียแ กกลา อบรมอรยิ มรรคโดยมศี รทั ธาเปนตวั นํา ทานผูน ถ้ี าบรรลุผล
แลว กลายเปน สทั ธาวมิ ตุ — Saddhànusàrã: the faith-devotee)
กลาวโดยสรุป
บคุ คลประเภทที่ 1 และ 2 (อภุ โตภาควมิ ตุ และปญญาวิมตุ ) ไดแ กพระอรหนั ต 2 ประเภท
บคุ คลประเภทที่ 3, 4 และ 5 (กายสกั ขี ทฏิ ฐิปปต ตะ และสทั ธาวิมตุ ) ไดแ กพระโสดาบนั
พระสกทาคามี พระอนาคามี และทา นผตู ้ังอยูในอรหตั ตมรรค จาํ แนกเปน 3 พวกตามอนิ ทรียที่
แกกลา เปนตัวนําในการปฏบิ ัติ คอื สมาธินทรีย หรือปญ ญินทรยี หรอื สทั ธินทรีย
บุคคลประเภทที่ 6 และ 7 (ธมั มานุสารี และสทั ธานุสารี) ไดแกทานผูต้งั อยใู นโสดาปต ต-ิ
มรรค จาํ แนกตามอนิ ทรียท่ีเปน ตวั นาํ ในการปฏิบัติ คอื ปญญินทรยี หรอื สทั ธนิ ทรีย
อยา งไรกต็ าม ขอ ความทีอ่ ธบิ ายมาเกย่ี วกับบุคคลประเภทที่ 3, 4, 5 บางคมั ภีรก ลาววาเปน
การแสดงโดยนปิ ปริยาย คอื แสดงความหมายโดยตรงจาํ เพาะลงไป แตในคัมภีรปฏสิ มั ภทิ ามคั ค
ทานแสดงความหมายโดยปริยาย เรียกผูทีป่ ฏบิ ัติโดยมสี ัทธนิ ทรียเปนตวั นาํ วาเปน สัทธาวิมตุ
ตั้งแตบ รรลโุ สดาปตตผิ ล ไปจนบรรลุอรหตั ตผล; เรียกผูปฏบิ ัตโิ ดยมีสมาธินทรยี เ ปน ตัวนาํ วา
เปน กายสักขี ต้ังแตบรรลุโสดาปตติมรรค ไปจนบรรลุอรหัตตผล; เรียกผูท่ีปฏิบัติโดยมี
ปญ ญินทรยี เปนตวั นาํ วาเปน ทฏิ ฐปิ ปตตะ ตัง้ แตบ รรลโุ สดาปต ติผลไปจนบรรลอุ รหตั ตผล;
โดยนยั นีจ้ งึ มีคาํ เรียกพระอรหันตว า สัทธาวิมุต หรือ กายสักขี หรอื ทฏิ ฐปิ ปตตะ ไดด ว ย แตถา
ถือศัพทเครงครัด กม็ แี ต อุภโตภาควิมตุ กบั ปญญาวิมตุ เทาน้ัน
ในฎีกาแหงวิสุทธิมคั คคอื ปรมตั ถมญั ชุสา มคี ําอธิบายวา ผไู มไ ดว ิโมกข 8 เมื่อต้งั อยใู นโสดา
ปต ติมรรคเปน สทั ธานสุ ารี หรือ ธมั มานสุ ารี อยา งใดอยางหน่ึง ตอ จากนัน้ เปน สัทธาวมิ ุต หรือ
ทิฏฐิปปตตะ จนไดสําเรจ็ อรหตั ตผล จงึ เปน ปญญาวมิ ุต; ผูไดวิโมกข 8 เม่อื ต้งั อยใู น
โสดาปตตมิ รรคเปน สทั ธานุสารี หรอื ธัมมานสุ ารี อยา งใดอยางหนง่ึ ตอ จากนนั้ เปน กายสกั ขี
เมื่อสําเร็จอรหตั ตผล เปน อุภโตภาควมิ ุต
นอกจากน้ี มีขอสงั เกตวา บุคคลประเภทกายสกั ขีนเี่ องที่ไดช ือ่ วา สมถยานิก; สวนคําวา
ปญญาวิมุต บางแหงมีคําจาํ กัดความแปลกออกไปจากนี้วา ไดแกผ ูท บ่ี รรลุอรหตั โดยไมได
โลกียอภญิ ญา 5 และอรปู ฌาน 4 (ส.ํ นิ.16/283–9/147–150; S.II.121.)
อรยิ บุคคล 7 นี้ ในพระสุตตันตปฎก นยิ มเรียกวา ทักขไิ ณยบุคคล 7.
D.III.105,254; A.I.118; Ps.II.52; Pug.10,73; Vism.659. ท.ี ปา.11/80/115; 336/266; องฺ.ติก.20/460/148;
ขุ.ปฏ.ิ 31/493–5/380–3; อภ.ิ ปุ.36/13/139; วสิ ทุ ธิ.3/302; วสิ ุทธ.ิ ฏกี า3/562–568.