หมวด 4 133 [171]
4) แมชวี ิตกส็ ละใหไ ด
a) He tells you his secrets.
b) He keeps secret your secrets.
c) He does not forsake you in your troubles.
d) He can even die for your sake.
3. มติ รแนะประโยชน (อตั ถกั ขายี — Atthakkhàyã: the man who gives good counsel)
มลี ักษณะ 4 คอื
1) จะทําชั่วเสียหาย คอยหา มปรามไว
2) คอยแนะนาํ ใหตัง้ อยูในความดี
3) ใหไ ดฟ งไดรูสิ่งทไี่ มเ คยไดรไู ดฟง
4) บอกทางสขุ ทางสวรรคให
a) He keeps you back from evil.
b) He encourages you to do good.
c) He informs you of what you have not heard.
d) He shows you the way to heaven.
4. มติ รมีนํ้าใจ (อนกุ มั ปกะ มติ รมีความรักใคร หรือมติ รผรู ักใครเอ็นดู — Anukampaka:
the man who sympathizes) มีลักษณะ 4 คอื
1) เพือ่ นมที ุกข พลอยไมสบายใจ (ทุกข ทกุ ขด ว ย)
2) เพ่ือนมสี ขุ พลอยแชม ชื่นยินดี (สขุ สุขดวย)
3) เขาตเิ ตียนเพอื่ น ชวยยบั ยัง้ แกใ ห
4) เขาสรรเสรญิ เพ่ือน ชว ยพูดเสริมสนบั สนุน
a) He does not rejoice over your misfortunes.
b) He rejoices in your good fortune.
c) He protests against anyone who speaks ill of you.
d) He admires those who speak well of you.
D.III.187. ท.ี ปา.11/192/201.
[170] โยคะ 4 (สภาวะอนั ประกอบสัตวไวใ นภพ หรอื ผูกกรรมไวก ับวบิ าก — Yoga: the
Four Bonds) ไดแก กามโยคะ ภวโยคะ ทิฏฐโิ ยคะ อวิชชาโยคะ เหมอื นในอาสวะ 4.
ดู [136] อาสวะ 4.
D.III.230; A.II.10; Vbh.374. ท.ี ปา.11/259/242; องฺ.จตกุ กฺ .21/10/13; อภิ.ว.ิ 35/963/506.
[171] โยนิ 4 (กําเนิด, แบบหรอื ชนิดของการเกดิ — Yoni: ways or kinds of birth;
[172] 134 พจนานุกรมพุทธศาสตร
modes of generation)
1. ชลาพุชะ (สัตวเกดิ ในครรภ คอื คลอดออกมาเปน ตวั เชน คน โค สนุ ขั แมว เปน ตน —
Jalàbuja: the viviparous; womb-born creatures)
2. อณั ฑชะ (สัตวเกิดในไข คือ ออกไขเ ปน ฟองกอ นแลวจึงฟก เปนตวั เชน นก เปด ไก เปน ตน
— Aõóaja: the oviparous; egg-born creatures)
3. สงั เสทชะ (สัตวเกดิ ในไคล คือ เกิดในของชนื้ แฉะหมักหมมเนา เปอ ย ขยายแพรออกไปเอง
เชน กมิ ชิ าตบิ างชนดิ — Sa§sedaja: putrescence-born creatures; moisture-born
creatures)
4. โอปปาติกะ (สัตวเกิดผดุ ขน้ึ คือ เกดิ ผดุ เต็มตัวในทนั ใด ไดแ ก เทวดา สตั วนรก มนษุ ยบาง
พวก และเปรตบางพวก ทานวา เกิดและตาย ไมต องมีเช้อื หรือซากปรากฏ — Opapàtika:
spontaneously born creatures; the apparitional)
D.III.230; M.I.73. ที.ปา.11/263/242; ม.ม.ู 12/169/147.
[,,,] ราชสังคหวัตถุ 4 ดู [187] สังคหวัตถขุ องผูครองแผนดิน 4.
[172] ลีลาการสอน หรือ พุทธลีลาในการสอน หรือ เทศนาวิธี 4
(การสอนของพระพทุ ธเจา แตละคร้งั แมท ่เี ปน เพียงธรรมกี ถา หรือการสนทนาทว่ั ไป ซ่ึงมิใชค ราว
ท่ีมีความมุงหมายเฉพาะพิเศษ ก็จะดําเนินไปอยางสําเร็จผลดีโดยมีองคประกอบท่ีเปนคุณ
ลกั ษณะ 4 ประการ — Desanàvidhi: the Buddha’s style or manner of teaching)
1. สันทัสสนา (ชแี้ จงใหเ ห็นชัด คือ จะสอนอะไร กช็ ้แี จงจาํ แนกแยกแยะอธิบายและแสดงเหตุ
ผลใหชดั เจน จนผูฟง เขา ใจแจม แจง เห็นจรงิ เห็นจงั ดังจงู มือไปดเู หน็ กับตา — Sandassanà:
elucidation and verification)
2. สมาทปนา (ชวนใจใหอ ยากรบั เอาไปปฏบิ ตั ิ คอื สง่ิ ใดควรปฏบิ ตั ิหรอื หดั ทาํ กแ็ นะนําหรอื
บรรยายใหซ าบซง้ึ ในคณุ คา มองเหน็ ความสาํ คญั ทจ่ี ะตอ งฝก ฝนบาํ เพญ็ จนใจยอมรบั อยากลงมอื
ทาํ หรือนาํ ไปปฏบิ ตั ิ — Samàdapanà: incitement to take upon oneself; inspiration
towards the goal)
3. สมุตเตชนา (เรา ใจใหอาจหาญแกลวกลา คือ ปลุกเราใจใหก ระตือรอื รน เกดิ ความอุตสาหะ
มีกาํ ลังใจแขง็ ขนั มนั่ ใจทจี่ ะทาํ ใหสาํ เร็จจงได สูงาน ไมหวั่นระยอ ไมกลวั เหนื่อย ไมก ลัวยาก —
Samuttejanà: urging; encouragement; animation; filling with enthusiasm)
4. สมั ปหังสนา (ปลอบชโลมใจใหส ดชื่นราเริง คือ บํารุงจิตใหแ ชม ชืน่ เบกิ บาน โดยชีใ้ หเ ห็นผล
ดหี รอื คณุ ประโยชนท จ่ี ะไดร บั และทางท่จี ะกา วหนา บรรลุผลสาํ เร็จย่งิ ขึน้ ไป ทําใหผฟู ง มคี วามหวัง
และราเรงิ เบกิ บานใจ — Sampaha§sanà: gladdening; exhilaration; filling with
delight and joy)
อรรถกถาชแ้ี จงเพม่ิ เติมวา ขอ 1 ปลดเปลื้องความเขลาหรอื ความมืดมัว ขอ 2 ปลดเปลื้อง
หมวด 4 135 [175]
ความประมาท ขอ 3 ปลดเปลอ้ื งความอดื คราน ขอ 4 สมั ฤทธ์ิการปฏิบัติ จํา 4 ขอ นีส้ น้ั ๆ วา
ชใ้ี หช ดั ชวนใหป ฏบิ ตั ิ เรา ใหก ลา ปลกุ ใหร า เรงิ หรอื แจม แจง จงู ใจ แกลว กลา รา เรงิ
D.I.126; etc.; DA.II.473; UdA.242,361,384. ที.สี.9/198/161; ฯลฯ, ท.ี อ.2/89; อ.ุ อ.304,457,490.
[173] วรรณะ 4 (ชนชนั้ ในสงั คมอนิ เดีย ท่ีกาํ หนดดวยชาติกําเนิด ตามหลกั ศาสนา
พราหมณ — Vaõõa: castes)
1. กษตั รยิ (ชนชนั้ เจา , ชนชน้ั ปกครองหรอื นกั รบ — Khattiya: the warrior-caste; warrior-
rulers; noblemen)
2. พราหมณ (ชนช้ันเจาตาํ ราเจาพธิ ี, พวกพราหมณ — Bràhmaõa: the priestly caste;
brahmins)
3. แพศย (ชนชนั้ พอ คา และกสกิ ร — Vessa: the trading and agricultural caste; merchants
and farmers)
4. ศูทร (ชนชั้นตํ่า, พวกทาสกรรมกร — Sudda: the low caste; labourers and
servants)
M.II.128. ม.ม.13/576/520.
[174] วิธีปฏิบัติตอทุกข–สุข 4 (หลกั การเพียรพยายามใหไดผลในการละทกุ ข
ลุสุข, การปฏบิ ตั ิที่ถูกตอ งตอความทกุ ขและความสขุ ซ่ึงเปนไปตามหลักพระพทุ ธศาสนา ทแี่ สดง
วา ความเพียรพยายามทถ่ี ูกตอ ง จะมีผลจนสามารถเสวยสุขทไ่ี รทกุ ขได — Sukhapañisa§
vedanàya saphalappadhàna: fruitful exertion to enjoy happiness)
1. ไมเ อาทุกขท บั ถมตนทม่ี ไิ ดถ กู ทุกขท วมทับ (Being not overwhelmed by suffering, one
does not overwhelm oneself with suffering.)
2. ไมส ละความสขุ ทชี่ อบธรรม (One does not give up righteous happiness.)
3. ไมส ยบหมกมนุ (แม) ในสขุ ทชี่ อบธรรมนัน้ (One is not infatuated even with that
righteous happiness.)
4. เพียรพยายามทําเหตุแหงทกุ ขใหหมดสิ้นไป (One strives in the right way to eradicate
the cause of suffering.)
ขอ ท่ี 4 อาจพูดอกี สาํ นวนหนงึ่ วา “เพียรปฏิบัติเพือ่ เขาถึงความสขุ ที่ประณีตสงู ขึ้นไป”
M.II.223 ม.อ.ุ 14/12/13
[175] วิบัติ 41 (ความผิดพลาด, ความเคลือ่ นคลาด, ความเสยี หาย, ความบกพรอ ง, ความ
ใชการไมได — Vipatti: failure; falling away)
1. ศลี วิบตั ิ (วบิ ัติแหงศลี , เสียศีล, สาํ หรับพระภกิ ษุ คอื ตอ งอาบตั ปิ าราชิก หรือ สงั ฆาทิเสส —
Sãla-vipatti: falling away from moral habit; failure in morality)
[176] 136 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร
2. อาจารวบิ ัติ (วิบตั ิแหง อาจาระ, เสียความประพฤติ จรรยามรรยาทไมดี, สําหรับพระภิกษุ
คอื ตอ งลหกุ าบตั ิ แตถลุ ลจั จัย ถงึ ทุพภาสิต — âcàra-vipatti: falling away from good
behaviour; failure in conduct)
3. ทฏิ ฐิวบิ ตั ิ (วบิ ตั แิ หงทิฏฐ,ิ ความเห็นคลาดเคลอ่ื น ผดิ ธรรมผิดวนิ ัย — Diññhi-vipatti:
falling away from right view; failure in views)
4. อาชวี วบิ ัติ (วบิ ตั ิแหง อาชีวะ, ประกอบมิจฉาชีพ หาเลยี้ งชีพในทางที่ผิด — âjãva-vipatti:
falling away from right mode of livelihood; failure in livelihood)
Vin.II.87. วนิ ย.6/634/336.
[176] วิบัติ 42 (ขอเสีย, จุดออน, ความบกพรองแหงองคประกอบตางๆ ซึ่งไมอํานวยแก
การใหผ ลของกรรมดี แตเ ปด ชองใหก รรมชวั่ แสดงผล, สว นประกอบบกพรอง เปดชองใหก รรม
ชั่ว — Vipatti: failure; defect; unfavourable factors affecting the ripening of
Karma.)
1. คติวบิ ตั ิ (วบิ ัติแหงคต,ิ คติเสีย; ในชวงยาวหมายถงึ เกิดในกาํ เนิดตํา่ ทราม หรอื ท่เี กดิ อนั ไร
ความเจริญ ในชวงสั้นหมายถึง ที่อยู ท่ไี ป ทางดําเนินไมดี หรอื ทาํ ไมถ กู เรื่องไมถกู ที่ คือ กรณี
นน้ั สภาพแวดลอ มนนั้ สถานการณน ั้น ถ่นิ น้ัน ตลอดถงึ แนวทางดาํ เนินชวี ติ ขณะนัน้ ไมเอื้อ
อํานวยแกก ารกระทาํ ความดีหรอื การเจริญงอกงามของความดีและการทผ่ี ลดีจะปรากฏ แตก ลบั
เปดทางใหแ กค วามชวั่ และผลราย — Gati-vipatti: failure as regards place of birth;
unfavourable environment, circumstances or career)
2. อุปธวิ บิ ัติ (วบิ ัตแิ หงรา งกาย, รูปกายเสีย; ในชว งยาวหมายถึง รางกายวิกลวิการ ไมง ดงาม
บุคลิกภาพไมด ี ในชวงส้ันหมายถึง สุขภาพไมด ี เจ็บปวย มโี รคมาก — Upadhi-vipatti:
failure as regards the body; deformed or unfortunate body; unfavourable
personality, health or physical conditions.)
3. กาลวิบตั ิ (วิบัติแหงกาล, กาลเสีย; ในชวงยาวหมายถึง เกิดอยใู นสมยั ทโ่ี ลกไมม คี วามเจริญ
หรอื บา นเมอื งมีแตภัยพบิ ตั ิ ผูป กครองไมด ี สังคมเสอ่ื มจากศลี ธรรม มกี ารกดขเ่ี บียดเบียนกนั
มาก ยกยอ งคนช่ัว บีบคน้ั คนดี ในชว งสัน้ หมายถงึ ทาํ ผดิ กาลผดิ เวลา — Kàla-vipatti: failure
as regards time; unfavourable or unfortunate time)
4. ปโยควิบตั ิ (วบิ ัติแหง การประกอบ, กิจการเสยี ; ในชว งยาวหมายถึง ฝกใฝใ นทางทผี่ ดิ
ประกอบกิจการงานท่ีผิด หรือมีปกติชอบกระทาํ แตความชว่ั ในชวงส้ันหมายถงึ เมอื่ กระทํา
กรรมดี กไ็ มทําใหถงึ ขนาด ไมค รบถวนตามหลักเกณฑ ทําจบั จด ใชว ิธีการไมเ หมาะกับเรือ่ ง
หรือเมื่อประกอบความดีตอเน่ืองมา แตกลบั ทาํ ความช่วั หักลา งเสียในระหวา ง — Payoga-
vipatti: failure as regards undertaking; unfavourable, unfortunate or inadequate
undertaking)
วิบัติ 4 นี้ เปนสิ่งท่ีจะตอ งนํามาประกอบการพิจารณาในเร่ืองการใหผ ลของกรรม เพราะการ
หมวด 4 137 [177]
ปรากฏของวบิ าก นอกจากอาศัยเหตคุ ือกรรมแลว ยังตอ งอาศยั ฐานคือ คติ อุปธิ กาละ และ
ปโยคะ เปน ปจจยั ประกอบดว ย กลาวคอื จะตองพิจารณา กรรมนยิ าม โดยสัมพนั ธก ับปจจัยท้ัง
หลายที่เปนไปตามนิยามอื่นๆ ดวย เพราะนิยามหรือกฎธรรมชาติน้ันมีหลายอยาง มิใชมแี ต
กรรมนิยามอยา งเดยี ว
ดู [177] สมบัติ 4; [223] นยิ าม 5.
Vbh.338. อภิ.ว.ิ 35/840/458.
[177] สมบัติ 4 (ขอ ด,ี ความเพยี บพรอม, ความสมบรู ณแ หง องคป ระกอบตา งๆ ซ่ึงอํานวย
แกการใหผ ลของกรรมดี และไมเปดชองใหก รรมชว่ั แสดงผล, สว นประกอบอาํ นวย ชวยเสรมิ
กรรมดี — Sampatti: accomplishment; factors favourable to the ripening of good
Karma)
1. คตสิ มบตั ิ (สมบัตแิ หงคต,ิ ถึงพรอมดว ยคต,ิ คตใิ ห; ในชวงยาวหมายถงึ เกดิ ในกําเนิดอัน
อํานวย หรือทเ่ี กดิ อันเจรญิ ในชว งสัน้ หมายถึง ทอี่ ยู ทไี่ ป ทางดําเนินดี หรือทาํ ถกู เรือ่ ง ถกู ท่ี คอื
กรณนี ัน้ สภาพแวดลอ มนน้ั สถานการณนน้ั ถนิ่ ทีน่ ้ัน ตลอดถงึ แนวทางดาํ เนินชวี ติ ขณะนนั้ เอื้อ
อํานวยแกก ารกระทําความดี หรือการเจรญิ งอกงามของความดี ทําใหค วามดปี รากฏผลโดยงาย
— Gati-sampatti: accomplishment of birth; fortunate birthplace; favourable
environment, circumstances or career)
2. อุปธิสมบตั ิ (สมบัตแิ หง รา งกาย, ถงึ พรอ มดวยรปู กาย, รูปกายให; ในชว งยาวหมายถงึ มี
กายสงา สวยงาม บุคลิกภาพดี ในชวงสัน้ หมายถึง รา งกายแข็งแรง มสี ขุ ภาพดี — Upadhi-
sampatti: accomplishment of the body; favourable or fortunate body; favourable
personality, health or physical conditions)
3. กาลสมบตั ิ (สมบตั ิแหง กาล, ถึงพรอมดว ยกาล, กาลให; ในชว งยาว หมายถึง เกิดอยูใน
สมัยทโี่ ลกมีความเจรญิ หรือบา นเมอื งสงบสุข มกี ารปกครองที่ดี คนในสงั คมอยใู นศีลธรรม
สามัคคีกนั ยกยอ งคนดี ไมส งเสรมิ คนชั่ว ในชวงส้นั หมายถงึ ทาํ ถกู กาลถูกเวลา — Kàla-
sampatti: accomplishment of time; favourable or fortunate time)
4. ปโยคสมบตั ิ (สมบัติแหง การประกอบ, ถึงพรอมดว ยการประกอบความเพียร, กจิ การให;
ในชวงยาว หมายถึงฝกใฝในทางทถ่ี กู นาํ ความเพียรไปใชข วนขวายประกอบการท่ีถูกตองดงี าม
มปี กตปิ ระกอบกจิ การงานทถี่ กู ตอ ง ทาํ แตค วามดงี ามอยแู ลว ในชว งสน้ั หมายถงึ เมอ่ื ทาํ กรรมดี ก็
ทาํ ใหถึงขนาด ทาํ จรงิ จงั ใหค รบถวนตามหลกั เกณฑ ใชว ธิ กี ารที่เหมาะกับเรือ่ ง หรือทําความดี
ตอเน่ืองมาเปนพื้นแลว กรรมดีที่ทําเสริมเขา อกี จงึ เห็นผลไดงา ย — Payoga-sampatti:
accomplishment of undertaking; favourable, fortunate or adequate undertaking)
ดู [176] วบิ ัติ 4 2; [223] นยิ าม 5.
Vbh.339. อภิ.ว.ิ 35/840/459.
[178] 138 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร
[178] วิปลลาส หรือ วิปลาส 4 (ความรูเ หน็ คลาดเคล่ือน, ความรูเ ขาใจผดิ เพย้ี นจาก
ความเปน จริง — Vipallàsa: distortion)
วิปลาส มี 3 ระดับ คือ
1. สัญญาวิปลาส (สญั ญาคลาดเคล่ือน, หมายรผู ิดพลาดจากความเปนจริง เชน คนตกใจเหน็
เชือกเปนงู — Sa¤¤à-vipallàsa: distortion of perception)
2. จติ ตวปิ ลาส (จิตคลาดเคลอื่ น, ความคิดผิดพลาดจากความเปน จรงิ เชน คนบา คดิ เอาหญา
เปน อาหาร — Citta-vipallàsa: distortion of thought)
3. ทิฏฐวิ ปิ ลาส (ทฏิ ฐคิ ลาดเคลอ่ื น, ความเหน็ ผดิ พลาดจากความเปนจรงิ โดยเฉพาะเช่ือถอื ไป
ตามสญั ญาวปิ ลาส หรอื จติ ตวปิ ลาสนนั้ เชน มสี ญั ญาวปิ ลาสเหน็ เชอื กเปน งู แลว เกดิ ทฏิ ฐวิ ิปลาส
เชื่อหรือลงความเหน็ วา ทบี่ รเิ วณนัน้ มีงชู มุ หรอื มีจิตตวิปลาสวา ทุกส่ิงทเ่ี กดิ ข้ึนตอ งมผี ูส รา ง จงึ
เกดิ ทฏิ ฐวิ ปิ ลาสวา แผน ดนิ ไหวเพราะเทพเจา บนั ดาล — Diññhi-vipallàsa: distortion of views)
วิปลาส 3 ระดับนี้ ทเ่ี ปนพนื้ ฐาน เปน ไปใน 4 ดา น คือ
1. วปิ ลาสในสงิ่ ทไ่ี มเท่ียง วา เทย่ี ง (to regard what is impermanent as permanent)
2. วปิ ลาสในส่งิ ท่เี ปน ทกุ ข วา เปน สขุ (to regard what is painful as pleasant)
3. วิปลาสในส่งิ ทไี่ มเปน ตัวตน วา เปนตัวตน (to regard what is non-self as a self)
4. วปิ ลาสในสง่ิ ที่ไมง าม วา งาม (to regard what is foul as beautiful)
A.II.52 องฺ.จตุกฺก.21/49/66
[179] วุฒิ หรือ วุฑฒิธรรม 4 (ธรรมเปนเคร่ืองเจริญ, คณุ ธรรมทก่ี อใหเกิดความ
เจรญิ งอกงาม — Vuóóhi-dhamma: virtues conducive to growth)
1. สัปปรุ สิ สังเสวะ (เสวนาสัตบุรุษ, คบหาทานผทู รงธรรมทรงปญญาเปนกลั ยาณมติ ร —
Sappurisasa§seva: association with good and wise persons)
2. สัทธัมมัสสวนะ (สดับสัทธรรม, ใสใจเลาเรียนฟงอานหาความรูใหไดธรรมที่แท —
Saddhammassavana: hearing the good teaching)
3. โยนิโสมนสิการ (ทําในใจโดยแยบคาย, รูจักคิดพิจารณาหาเหตุผลโดยถูกวิธี —
Yonisomanasikàra: analytical reflection; wise attention)
4. ธมั มานธุ ัมมปฏปิ ตติ (ปฏิบัติธรรมสมควรแกธรรม, ปฏิบตั ธิ รรมถูกหลัก ใหธ รรมยอย
คลอ ยแกธ รรมใหญ สอดคลอ งตามวตั ถปุ ระสงคข องธรรมทงั้ หลายที่สัมพันธกนั , ดาํ เนนิ ชีวติ ถกู
ตอ งตามธรรม — Dhammànudhammapañipatti: practice in accord with the Dhamma,
i.e. in such a systematic way that all levels and aspects of the Dhamma are in accord
as regards their respective purposes; living in conformity with the Dhamma)
ธรรมหมวดน้ี ในบาลที ่ีมา เรียกวา ธรรมทีเ่ ปน ไปเพ่อื ปญ ญาวุฒิ [ปญ ญาวุฒธิ รรม] คือ เพอ่ื
ความเจรญิ งอกงามแหง ปญ ญา (Pa¤¤àvuóóhi: virtues conducive to growth in wisdom)
อยางไรกด็ ี ในการเลา เรยี นธรรมในประเทศไทยที่สืบกนั มา ไดร ูจักธรรมหมวดนใ้ี นช่ือส้นั ๆ
หมวด 4 139 [180]
วา วฒุ ิ 4 และอธบิ ายความหมายโดยมงุ ใหคนท่วั ไปเขา ใจและนาํ ไปใชป ระโยชนอยางกวา งๆ จงึ
จะแสดงความหมายแบบงา ยๆ ไวดวยดงั น้ี
1. สปั ปุรสิ สงั เสวะ คบหาสตั บรุ ษุ , เสวนาทานผรู ูผทู รงคณุ ความดี มคี วามประพฤตชิ อบดว ย
กาย วาจา ใจ
2. สัทธมั มัสสวนะ ฟงสทั ธรรม, ต้งั ใจฟงคาํ สั่งสอนของทาน เอาใจใสเ ลา เรยี น
3. โยนโิ สมนสิการ ทาํ ในใจโดยแยบคาย, รจู ักคิดพิจารณาใหเหน็ เหตผุ ลคณุ โทษในสง่ิ ท่ีไดเ ลา
เรียนสดบั ฟง น้นั จบั สาระที่จะนําไปใชประโยชนได
4. ธัมมานุธัมมปฏิปตติ ปฏิบตั ิธรรมสมควรแกธ รรม, นําสิง่ ทไ่ี ดเ ลา เรียนและตริตรองเห็น
แลวไปใชปฏบิ ตั ใิ หถ กู ตอ งตามหลกั สอดคลองกับความมุงหมายของหลกั การน้นั ๆ
A.II.245. อง.ฺ จตุกกฺ .21/248/332.
[180] เวสารัชชะ หรือ เวสารัชชญาณ 4 (ความไมครั่นครา ม, ความแกลวกลา
อาจหาญ, พระญาณอนั เปน เหตุใหทรงแกลวกลา ไมครน่ั ครา ม — Vesàrajja: intrepidity;
self-confidences)
พระตถาคตเจา ไมท รงมองเหน็ วา ใครกต็ าม จักทกั ทว งพระองคไดโดยชอบธรรมในฐานะ
เหลาน้ี คือ (The Perfect One sees no grounds on which anyone can with justice
make the following charges:)
1. สมั มาสัมพุทธปฏญิ ญา (ทานปฏิญญาวา เปนสัมมาสมั พุทธะ ธรรมเหลา นีท้ า นยังไมร ู —
Sammàsambuddha-pañi¤¤à: You who claim to be fully self-enlightened are not
fully enlightened in these things.)
2. ขณี าสวปฏญิ ญา (ทา นปฏญิ ญาวา เปน ขณี าสพ อาสวะเหลา นขี้ องทา นยงั ไมส น้ิ — Khãõàsava-
pañi¤¤à: You who claim to have destroyed all taints have not utterly destroyed
these taints.)
3. อันตรายิกธรรมวาทะ (ทานกลาวธรรมเหลาใดวา เปน อันตราย ธรรมเหลา นัน้ ไมอ าจกอ
อนั ตรายแกผ สู อ งเสพไดจ รงิ — Antaràyikadhammavàda: Those things which have been
declared by you to be harmful have no power to harm him that follows them.)
4. นยิ ยานกิ ธรรมเทศนา (ทานแสดงธรรมเพ่ือประโยชนอ ยา งใด ประโยชนอยา งนน้ั ไมเปน
ทางนําผูทําตามใหถึงความสิ้นทุกขโดยชอบจริง — Niyyànikadhammadesanà: The
Doctrine taught by you for the purpose of utter extinction of suffering does not
lead him who acts accordingly to such a goal.)
ดว ยเหตนุ ้ี พระองคจ งึ ทรงถงึ ความเกษม ถงึ ความไมม ภี ยั แกลว กลา ไมค รน่ั ครา มอยู (Since
this is so, he abides in the attainment of security, of fearlessness and intrepidity.)
เวสารัชชะ 4 นี้ คูก บั ทศพล หรอื ตถาคตพล 10 (เรียกกนั ทว่ั ๆ ไปวา ทศพลญาณ) เปน ธรรม
ทที่ ําใหพระตถาคต ทรงปฏญิ ญาฐานะแหงผูนาํ เปลง สีหนาทในบรษิ ทั ทง้ั หลาย ยงั พรหมจักรให
[181] 140 พจนานุกรมพุทธศาสตร
เปน ไป (Endowed with these four kinds of intrepidity, the Perfect One claims the
leader’s place, roars his lion’s roar in assemblies, and sets rolling the Divine Wheel.)
ดู [323] ทศพลญาณ.
M.I.71; A.II.8. ม.มู.12/167/144; องฺ.จตกุ ฺก.21/8/10.
[181] ศรัทธา 4 (ความเชือ่ , ความเช่ือทีป่ ระกอบดวยเหตุผล — Saddhà: faith; belief;
confidence)
1. กมั มสัทธา (เช่อื กรรม, เช่อื การกระทํา, เชอ่ื กฎแหง กรรม, เช่ือวา กรรมมอี ยจู รงิ คือ เช่ือวา
เมอ่ื ทําอะไรโดยมเี จตนา คอื จงใจทาํ ทงั้ รู ยอมเปนกรรม คือ เปนความดคี วามชั่วมีขนึ้ ในตน
เปนเหตุปจจัยกอใหเกิดผลดีผลรายสืบเนื่องตอไป การกระทําไมวางเปลา และเช่ือวาผลที่
ตอ งการจะสาํ เรจ็ ไดดว ยการกระทํา มิใชดว ยออนวอนหรือนอนคอยโชค เปนตน — Kamma-
saddhà: belief in kamma; confidence in accordance with the law of action)
2. วปิ ากสัทธา (เช่ือวิบาก, เชือ่ ผลของกรรม, เชือ่ วา ผลของกรรมมีจริง คอื เช่ือวากรรมทท่ี ํา
แลวตอ งมผี ล และผลตอ งมเี หตุ ผลดีเกดิ จากกรรมดี ผลชว่ั เกดิ จากกรรมชัว่ — Vipàka-
saddhà: belief in the consequences of actions)
3. กมั มสั สกตาสัทธา (เช่ือความท่สี ตั วม กี รรมเปนของของตน, เช่อื วาแตละคนเปนเจา ของ จะ
ตอ งรบั ผดิ ชอบเสวยวิบากเปนไปตามกรรมของตน — Kammassakatà-saddhà: belief in
the individual ownership of action)
4. ตถาคตโพธสิ ทั ธา (เช่อื ความตรสั รูของพระพุทธเจา, ม่ันใจในองคพ ระตถาคต วา ทรงเปน
พระสัมมาสมั พทุ ธะ ทรงพระคุณทั้ง 9 ประการ ตรัสธรรม บญั ญัตวิ นิ ัยไวด ว ยดี ทรงเปน ผูนํา
ทางท่แี สดงใหเ ห็นวา มนษุ ยคือเราทุกคนนี้ หากฝกตนดวยดี ก็สามารถเขา ถงึ ภมู ิธรรมสงู สดุ
บริสุทธห์ิ ลุดพน ได ดงั ทีพ่ ระองคไดทรงบําเพญ็ ไวเ ปนแบบอยา ง — Tathàgatabodhi-saddhà:
confidence in the Enlightenment of the Buddha)
ศรัทธา 4 อยางนี้ มมี าในบาลเี ฉพาะขอท่ี 4 (ตถาคตโพธสิ ัทธา) อยา งเดยี ว (เชน องฺ.สตฺตก.
23/4/3; A.III.3 เปนตน) วา โดยใจความ ศรัทธา 3 ขอตน ยอมรวมลงในขอที่ 4 ไดท ้ังหมด
อน่ึง ขอ 3 มขี อ ธรรมทม่ี าในบาลคี ลา ยกนั แตเ ปนเรอ่ื งของญาณ หรือปญ ญา ไมใชเร่ืองของ
ศรทั ธา คือ กมั มสั สกตาญาณ (ปรีชาหยงั่ รูความทีส่ ัตวม ีกรรมเปนของตน — knowledge that
action is one’s own possession) เชน อภ.ิ วิ. 35/822/443; Vbh.328.
สัทธา 4 น้ี เปนชุดสืบๆ กนั มา ที่คนไทยรจู กั กันมาก ซึง่ จัดรวมข้ึนภายหลงั แตศ รทั ธาทีม่ ี
หลักฐานมาในคัมภรี (ช้นั อรรถกถา) ไดแก สัทธา 2 คือ
1. กัมมผลสัทธา (เชือ่ กรรมและผลของกรรม, เชอื่ กฎแหง กรรม — Kammaphala-saddhà:
belief in kamma and its result; confidence in accordance with the law of action)
2. ตถาคตโพธสิ ทั ธา หรือ รตนตั ตยสทั ธา (เชื่อปญ ญาตรัสรูของตถาคต หรอื เชอ่ื พระ
รัตนตรัย — Tathàgatabodhi-saddhà: confidence in the Enlightenment of the
หมวด 4 141 [183]
Buddha, or Ratanattaya-saddhà: confidence in the Triple Gem)
จะเห็นวา ขอ 1 กมั มผลสทั ธา ในชุดสทั ธา 2 น้ี ครอบคลุมขอ 1, 2, 3 ในชุดสทั ธา 4 ทงั้
หมด และทานยังไดอธบิ ายไวดวยวา กมั มผลสัทธา เปน โลกิยสัทธา สว น รตนตั ตยสทั ธา ถา
ถูกตองจรงิ แทเ หน็ ประจักษด วยปญ ญามัน่ คงไมหวนั่ ไหว เปนโลกตุ ตรสทั ธา (ท้งั นี้ พงึ ดู อ.ุ อ.
110, 235; อติ ิ.อ.74, 353; เถร.อ.1/490; จริยา.อ.336)
[182] สติปฏฐาน 4 (ทตี่ ง้ั ของสต,ิ การตง้ั สตกิ าํ หนดพจิ ารณาสง่ิ ทง้ั หลายใหร เู หน็ ตามความ
เปน จรงิ คอื ตามทสี่ งิ่ นน้ั ๆ มนั เปน ของมนั — Satipaññhàna: foundations of mindfulness)
1. กายานปุ สสนาสติปฏฐาน (การตัง้ สตกิ ําหนดพจิ ารณากาย ใหรเู ห็นตามเปนจริงวา เปน
แตเพยี งกาย ไมใ ชสตั วบ ุคคลตัวตนเราเขา — Kàyànupassanà-~: contemplation of the
body; mindfulness as regards the body) ทา นจําแนกวิธีปฏิบตั ไิ วหลายอยาง คอื
อานาปานสติ กําหนดลมหายใจ 1 อริ ยิ าบถ กาํ หนดรทู ันอริ ิยาบถ 1 สัมปชัญญะ สรา ง
สมั ปชญั ญะในการกระทาํ ความเคลือ่ นไหวทุกอยาง 1 ปฏกิ ูลมนสิการ พจิ ารณาสว นประกอบอนั
ไมส ะอาดทงั้ หลายท่ปี ระชมุ เขาเปน รา งกายน้ี 1 ธาตุมนสกิ าร พจิ ารณาเห็นรางกายของตนโดยสัก
วาเปนธาตุแตล ะอยา งๆ 1 นวสวี ถิกา พจิ ารณาซากศพในสภาพตา งๆ อนั แปลกกนั ไปใน 9 ระยะ
เวลา ใหเห็นคติธรรมดาของรางกาย ของผูอ ื่นเชน ใด ของตนกจ็ ักเปนเชน นน้ั 1
2. เวทนานุปสสนาสติปฏฐาน (การตั้งสติกาํ หนดพิจารณาเวทนา ใหรเู ห็นตามเปนจรงิ วา
เปน แตเ พยี งเวทนา ไมใ ชส ตั วบ คุ คลตวั ตนเราเขา — Vedanànupassanà-~: contemplation of
feelings; mindfulness as regards feelings) คือ มีสติอยพู รอมดวยความรูชดั เวทนาอันเปน
สขุ กด็ ี ทุกขกด็ ี เฉยๆ ก็ดี ท้ังท่ีเปน สามิส และเปนนริ ามสิ ตามท่เี ปน ไปอยใู นขณะนน้ั ๆ
3. จติ ตานุปส สนาสตปิ ฏฐาน (การตั้งสติกาํ หนดพจิ ารณาจิต ใหรเู หน็ ตามเปนจริงวา เปนแต
เพียงจิต ไมใ ชสตั วบคุ คลตัวตนเราเขา — Cittànupassanà-~: contemplation of mind;
mindfulness as regards mental conditions) คือ มีสติอยพู รอ มดว ยความรูช ดั จติ ของตนที่
มรี าคะ ไมม รี าคะ มโี ทสะ ไมม ีโทสะ มีโมหะ ไมมีโมหะ เศราหมองหรอื ผองแผว ฟุงซานหรอื เปน
สมาธิ ฯลฯ อยา งไรๆ ตามท่ีเปน ไปอยใู นขณะนั้นๆ
4. ธมั มานปุ ส สนาสตปิ ฏ ฐาน (การตง้ั สตกิ าํ หนดพจิ ารณาธรรม ใหร เู หน็ ตามเปน จรงิ วา เปน แต
เพยี งธรรม ไมใ ชส ตั วบ คุ คลตวั ตนเราเขา — Dhammànupassanà-~: contemplation of mind-
objects; mindfulness as regards ideas) คอื มีสตอิ ยูพ รอมดวยความรูชัดธรรมทั้งหลาย
ไดแ ก นวิ รณ 5 ขนั ธ 5 อายตนะ 12 โพชฌงค 7 อรยิ สัจจ 4 วาคอื อะไร เปน อยา งไร มใี นตน
หรือไม เกดิ ข้นึ เจริญบริบรู ณ และดับไปไดอยางไร เปนตน ตามที่เปนจรงิ ของมันอยางนนั้ ๆ.
D.II.290–315; M.I.55–63. ท.ี ม.10/273–300/325–351; ม.มู.12/131–152/103–127.
[183] สมชีวิธรรม 4 (หลักธรรมของคชู ีวติ , ธรรมทจ่ี ะทาํ ใหค ูส มรสมชี ีวิตสมหรอื
สมํ่าเสมอกลมกลนื กัน อยูครองกันยืดยาว — Samajãvidhamma: qualities which make a
couple well matched)
[184] 142 พจนานกุ รมพุทธศาสตร
1. สมสัทธา (มีศรทั ธาสมกนั — Sama-saddhà: to be matched in faith)
2. สมสีลา (มศี ลี สมกนั — Sama-sãlà: to be matched in moral conduct)
3. สมจาคา (มจี าคะสมกัน — Sama-càgà: to be matched in generosity)
4. สมปญญา (มปี ญ ญาสมกนั — Sama-pa¤¤à: to be matched in wisdom)
A.II.60. อง.ฺ จตุกฺก.21/55/80.
[184] สมาธิภาวนา 4 (การเจรญิ สมาธิ, วิธฝี ก สมาธิแบบตางๆ จําแนกตามวัตถปุ ระสงค
— Samàdhi-bhàvanà: ways or kinds of concentration-development)
1. สมาธิภาวนาที่เปน ไปเพอ่ื ทิฏฐธรรมสุขวหิ าร (คือเพอ่ื การอยเู ปนสขุ ในปจจบุ ัน เชน ใช
เปนเครือ่ งพักผอ นจิต หาความสขุ ยามวาง เปนตน — concentration-development that is
conducive to happy living in the present)
2. สมาธิภาวนาท่ีเปน ไปเพื่อการไดญาณทสั สนะ (concentration-development that
is conducive to the acquisition of knowledge and insight)
3. สมาธภิ าวนาท่เี ปนไปเพ่ือสติและสัมปชัญญะ (concentration-development that
is conducive to mindfulness and full comprehension)
4. สมาธิภาวนาที่เปนไปเพื่ออาสวักขยะ คือความสิ้นอาสวะ (concentration-
development that is conducive to the destruction of cankers)
D.III.222; A.II.44. ท.ี ปา.11/233/233; องฺ.จตุกกฺ .21/41/57.
[185] สังขาร 4 (คาํ วา สงั ขาร ท่ีใชในความหมายตา งๆ — Saïkhàra: applications of
the word formation)
1. สงั ขตสงั ขาร (สงั ขารคือสังขตธรรม ไดแ กส ิ่งทัง้ ปวงท่ีเกดิ จากปจจัยปรงุ แตง รูปธรรมก็ตาม
นามธรรมก็ตาม ไดใ นคําวา อนิจจฺ า วต สงขฺ ารา เปน ตน — Saïkhata-saïkhàra: formation
consisting of the formed)
2. อภสิ งั ขตสงั ขาร (สงั ขารคอื สง่ิ ทกี่ รรมแตง ขนึ้ ไดแ กร ปู ธรรมกต็ าม นามธรรมกต็ าม ในภมู สิ าม
ทเี่ กดิ แตก รรม — Abhisaïkhata-saïkhàra: formation consisting of the karma-formed)
3. อภิสังขรณกสังขาร (สังขารคือกรรมท่ีเปนตัวการปรุงแตง ไดแก กุศลเจตนา และ
อกศุ ลเจตนาท้ังปวงในภูมิสาม ไดในคําวา สังขาร ตามหลกั ปฏจิ จสมุปบาท คือ [119] สังขาร 3
หรือ [129] อภสิ งั ขาร 3 — Abhisaïkharaõaka-saïkhàra: formation consisting in the
act of kamma-forming)
4. ปโยคาภิสงั ขาร (สงั ขารคอื การประกอบความเพยี ร ไดแกกําลังความเพยี รทางกายกต็ าม
ทางใจกต็ าม — Payogàbhisaïkhàra: formation consisting in exertion or impetus)
Vism.527. วิสทุ ธฺ .ิ 3/120.
หมวด 4 143 [187]
[186] สังคหวัตถุ 4 (ธรรมเครอ่ื งยดึ เหนี่ยว คอื ยึดเหนี่ยวใจบุคคล และประสานหมชู น
ไวในสามคั ค,ี หลกั การสงเคราะห — Saïgahavatthu: bases of social solidarity; bases
of sympathy; acts of doing favours; principles of service; virtues making for
group integration and leadership)
1. ทาน (การให คอื เอือ้ เฟอ เผอื่ แผ เสยี สละ แบง ปน ชวยเหลอื กันดวยส่งิ ของ ตลอดถงึ ให
ความรแู ละแนะนาํ สั่งสอน — Dàna: giving; generosity; charity)
2. ปยวาจา หรอื เปยยวัชชะ (วาจาเปน ทร่ี กั วาจาดดู ดม่ื นํา้ ใจ หรือวาจาซาบซงึ้ ใจ คือกลา วคาํ
สุภาพไพเราะออนหวานสมานสามัคคี ใหเกิดไมตรีและความรักใครนับถือ ตลอดถึงคาํ แสดง
ประโยชนป ระกอบดว ยเหตุผลเปน หลักฐานจงู ใจใหน ิยมยนิ ดี — Piyavàcà: kindly speech;
convincing speech)
3. อตั ถจรยิ า (การประพฤตปิ ระโยชน คอื ขวนขวายชว ยเหลอื กจิ การ บาํ เพญ็ สาธารณประโยชน
ตลอดถึงชวยแกไขปรับปรุงสงเสรมิ ในทางจรยิ ธรรม — Atthacariyà: useful conduct;
rendering services; life of service; doing good)
4. สมานตั ตตา* (ความมีตนเสมอ** คือ ทําตนเสมอตนเสมอปลาย ปฏบิ ตั ิสมาํ่ เสมอกันในชน
ทั้งหลาย และเสมอในสุขทุกขโดยรวมรับรูรวมแกไข ตลอดถึงวางตนเหมาะแกฐานะ ภาวะ
บคุ คล เหตกุ ารณแ ละสิ่งแวดลอม ถกู ตอ งตามธรรมในแตล ะกรณี — Samànattatà: even
and equal treatment; equality consisting in impartiality, participation and
behaving oneself properly in all circumstances)
ดู [11] ทาน 21; [229] พละ 4.
D.III.152,232; A.II.32,248; A.IV.218,363. ท.ี ปา.11/140/167; 267/244; องฺ.จตกุ ฺก.21/32/42;
256/335; องฺ.อฏ ก.23/114/222; อง.ฺ นวก.23/209/377.
[187] สังคหวัตถุของผูครองแผนดิน หรอื ราชสังคหวัตถุ 4
(สังคหวัตถุของพระราชา, ธรรมเครื่องยึดเหน่ียวจิตใจประชาชน, หลักการสงเคราะหประชาชน
ของนักปกครอง — Ràja-saïgahavatthu: a ruler’s bases of sympathy; royal acts of
doing favours: virtues making for national integration)
1. สัสสเมธะ (ความฉลาดในการบํารุงพืชพันธุธัญญาหาร สงเสริมการเกษตร —
Sassamedha: shrewdness in agricultural promotion)
2. ปรุ สิ เมธะ (ความฉลาดในการบาํ รงุ ขา ราชการ รจู กั สง เสรมิ คนดมี คี วามสามารถ — Purisa-
medha: shrewdness in the promotion and encouragement of government officials)
3. สมั มาปาสะ (ความรูจกั ผกู ผสานรวมใจประชาชนดวยการสงเสรมิ อาชีพ เชน ใหคนจนกูยมื
* ในปกรณฝ ายสันสกฤตของมหายาน เปน สมานารถฺ ตา (= บาลี สมานตฺถตา) แปลวา “ความเปน ผมู ีจดุ หมาย
รว มกนั หรือความคาํ นึงประโยชนอนั รว มกัน” (having common aims; feeling of common good)
**คําแปลน้ีถอื ตามทแ่ี ปลกันมาเดิม แตต ามคาํ อธิบายในคัมภรี นา จะแปลวา “ความมีตนรว ม” (participation)
โดยเฉพาะมงุ เอารว มสขุ รว มทุกข
[188] 144 พจนานุกรมพุทธศาสตร
ทนุ ไปสรางตัวในพาณิชยกรรม เปน ตน — Sammàpàsa: “a bond to bind men’s hearts”;
act of doing a favour consisting in vocational promotion as in commercial
investment)
4. วาชเปยะ หรือ วาจาเปยยะ (ความมีวาจาอนั ดดู ด่ืมน้าํ ใจ นํา้ คําควรด่ืม คอื รจู กั พูด รจู กั
ปราศรัย ไพเราะ สุภาพนุมนวล ประกอบดวยเหตผุ ล มปี ระโยชน เปนทางแหง สามัคคี ทาํ ใหเกดิ
ความเขา ใจอนั ดี และความนยิ มเช่อื ถอื — Vàjapeya: affability in address; kindly and
convincing speech)
ราชสังคหวตั ถุ 4 ประการนี้ เปนคาํ สอนในพระพทุ ธศาสนา สวนทแี่ กไขปรบั ปรุงคาํ สอนใน
ศาสนาพราหมณ โดยกลาวถึงคาํ ศัพทเดียวกัน แตช้ีถึงความหมายอันชอบธรรมทต่ี างออกไป
ธรรมหมวดน้ี วาโดยศพั ท ตรงกบั มหายญั 5 (the five great sacrifices) ของพราหมณ คอื
1. อัสสเมธะ (การฆามา บชู ายญั — Assamedha: horse sacrifice)
2. ปรุ สิ เมธะ (การฆาคนบูชายญั — Purisamedha: human sacrifice)
3. สมั มาปาสะ (ยญั อนั สรา งแทน บชู าในทขี่ วา งไมล อดบว งไปหลน ลง — Sammàpàsa: peg-
thrown site sacrifice)
4. วาชเปยะ (การดมื่ เพอื่ พลงั หรอื เพอ่ื ชยั — Vàjapeya: drinking of strength or of victory)
5. นิรคั คฬะ หรอื สรรพเมธะ (ยญั ไมม ลี ิ่มสลกั คือ ทัว่ ไปไมมีขีดขนั้ จํากดั , การฆาครบทกุ
อยางบูชายญั — Niraggaëa or Sabbamedha: the bolts-withdrawn sacrifice; universal
sacrifice)
มหายญั 5 ทพ่ี ระราชาพงึ บชู าตามหลกั ศาสนาพราหมณน ้ี พระพทุ ธศาสนาสอนวา เดมิ ทเี ดยี ว
เปน หลกั การสงเคราะหท ด่ี งี าม แตพ ราหมณส มยั หนงึ่ ดดั แปลงเปน การบชู ายญั เพอื่ ผลประโยชนใน
ทางลาภสกั การะแกต น ความหมายที่พึงตองการซง่ึ พระพทุ ธศาสนาสง่ั สอน 4 ขอแรก มีดังกลาว
แลวขางตน สวนขอ ท่ี 5 ตามหลกั สังคหวัตถุ 4 นี้วาเปนผล แปลวา ไมมลี มิ่ กลอน หมายความวา
บา นเมืองจะสงบสุขปราศจากโจรผูราย ไมตองระแวงภยั บา นเรอื นไมตองลงกลอน
S.I.76; A.II.42; IV.151; It.21; Sn.303; SA.I.145; SnA.321. สํ.ส.15/351/110; อง.ฺ จตุกฺก.21/39/54; องฺ.อฏ ก.23/91/152;
ขุ.อิต.ิ 25/205/246; ข.ุ ส.ุ 25/323/383; สํ.อ.1/169; อติ ิ.อ.123.
[188] สังเวชนียสถาน 4 (สถานทเี่ ปน ทต่ี งั้ แหง ความสงั เวช, สถานทเี่ นอื่ งดว ยพทุ ธประวตั ิ
ซึ่งพุทธศาสนิกชนควรไปดูเพื่อเปนเครื่องเตือนใจใหเกิดความไมประมาท จะไดเรงขวนขวาย
ประกอบกุศลกรรม และสําหรบั ผูศรัทธาจะไดจารกิ ไปชม เพ่อื เพ่มิ พูนปสาทะ กระทาํ สกั การะ
บชู า อันจะนําใหเ ขา ถึงสคุ ตโิ ลกสวรรค — Sa§vejanãyaññhàna: places apt to cause the
feeling of urgency; places made sacred by the Buddha’s association; places to
be visited with reverence; the four Buddhist Holy Places)
1. ชาตสถาน (ทพี่ ระพทุ ธเจา ประสตู ิ คอื อทุ ยานลมุ พนิ ี — Jàtaññhàna: birthplace of the
Buddha)
หมวด 4 145 [189]
2. อภสิ มั พทุ ธสถาน (ทพ่ี ระพทุ ธเจา ตรสั รอู นตุ รสมั มาสมั โพธญิ าณ คอื ควงโพธท์ิ ตี่ าํ บลพทุ ธคยา
— Abhisambuddhaññhàna: place where the Buddha attained the Enlightenment)
3. ธัมมจักกปั ปวตั ตนสถาน (ทพี่ ระพทุ ธเจา ทรงแสดงปฐมเทศนา ธัมมจกั กปั ปวตั ตนสตู ร
คอื ท่ปี าอสิ ปิ ตนมฤคทายวัน แขวงเมอื งพาราณสี เรยี กปจจุบนั วาสารนาถ — Dhamma-
cakkappavattanaññhàna: place where the Buddha preached the First Sermon)
4. ปรินิพพตุ สถาน (ที่พระพุทธเจาเสดจ็ ปรินิพพาน คือ ที่สาลวโนทยาน เมอื งกุสนิ ารา —
Parinibbutaññhàna: place where the Buddha passed away into Parinibbàna)
D.II.140. ที.ม.10/131/163.
[189] สัมปชัญญะ 4 (ความรูตัว, ความรตู วั ทวั่ พรอม, ความรูช ดั , ความรทู ่ัวชดั , ความ
ตระหนกั — Sampaja¤¤a: clear comprehension; clarity of consciousness; awareness)
1. สาตถกสมั ปชญั ญะ (รูชัดวา มปี ระโยชน หรอื ตระหนักในจดุ หมาย คอื รูตัวตระหนักชัดวา
ส่ิงที่กระทําน้ันมีประโยชนตามความมุงหมายอยางไรหรือไม หรือวาอะไรควรเปนจุดหมายของ
การกระทาํ นั้น เชน ผเู จรญิ กรรมฐาน เมื่อจะไป ณ ท่ีใดทห่ี น่ึง มใิ ชสกั วารูส กึ หรือนกึ ขึ้นมาวา จะ
ไป กไ็ ป แตต ระหนกั วา เมือ่ ไปแลวจะไดปติสขุ หรอื ความสงบใจ ชวยใหเ กิดความเจริญโดยธรรม
จึงไป โดยสาระคอื ความรตู ระหนักทจ่ี ะเลือกทาํ สงิ่ ทีต่ รงกบั วตั ถุประสงคหรืออาํ นวยประโยชนท่ี
มุง หมาย — Sàtthaka-sampaja¤¤a: clear comprehension of purpose)
2. สปั ปายสมั ปชญั ญะ (รชู ัดวา เปน สัปปายะ หรือตระหนกั ในความเหมาะสมเกือ้ กลู คอื รูตัว
ตระหนกั ชดั วา สงิ่ ของนนั้ การกระทํานั้น ท่ที ี่จะไปนนั้ เหมาะกนั กบั ตน เกือ้ กลู แกส ขุ ภาพ แกกจิ
เอ้ือตอการสละละลดแหง อกุศลธรรมและการเกดิ ขน้ึ เจริญงอกงามแหง กศุ ลธรรม จงึ ใช จึงทาํ
จงึ ไป หรือเลือกใหเหมาะ เชน ภกิ ษุใชจีวรท่ีเหมาะกับดินฟา อากาศและเหมาะกบั ภาวะของตนท่ี
เปนสมณะ ผเู จริญกรรมฐานจะไปฟงธรรมอันมปี ระโยชนใ นที่ชุมนมุ ใหญ แตรวู ามีอารมณซงึ่ จะ
เปน อันตรายตอกรรมฐาน ก็ไมไป โดยสาระคือ ความรูตระหนักทจ่ี ะเลอื กทาํ แตส ่งิ ท่เี หมาะสบาย
เออ้ื ตอ กาย จติ ชวี ติ กจิ พนื้ ภมู ิ และภาวะของตน — Sappàya-~: clear comprehension of
suitability)
3. โคจรสมั ปชญั ญะ (รชู ดั วา เปน โคจร หรอื ตระหนกั ในแดนงานของตน คอื รตู วั ตระหนกั ชดั อยู
ตลอดเวลาถงึ สงิ่ ทเ่ี ปน กจิ หนา ท่ี เปน ตวั งาน เปน จดุ ของเรอื่ งทตี่ นกระทาํ ไมว า จะไปไหนหรอื ทาํ อะไร
อนื่ กร็ ตู ระหนกั อยู ไมป ลอ ยใหเ ลอื นหายไป มใิ ชว า พอทาํ อะไรอนื่ หรอื ไปพบกบั สงิ่ อน่ื เรอ่ื งอน่ื ก็
เตลดิ เพรดิ ไปกบั สง่ิ นนั้ เรอื่ งนนั้ เปน นกบนิ ไมก ลบั รงั โดยเฉพาะการไมท งิ้ อารมณก รรมฐาน ซงึ่ รวม
ถงึ การบาํ เพญ็ จติ ภาวนาและปญ ญาภาวนาในกจิ กรรมทกุ อยา งในชวี ติ ประจาํ วนั โดยสาระคอื ความรู
ตระหนกั ทจี่ ะคมุ กายและจติ ไวใ หอ ยใู นกจิ ในประเดน็ หรอื แดนงานของตน ไมใ หเ ขว เตลดิ เลอ่ื น
ลอย หรอื หลงลมื ไปเสยี — Gocara-~: clear comprehension of the domain)
4. อสมั โมหสัมปชญั ญะ (รูชดั วาไมห ลง หรอื ตระหนกั ในตัวเน้อื หาสภาวะ ไมหลงใหลฟน
เฟอ น คือเม่อื ไปไหน ทําอะไร กร็ ตู วั ตระหนกั ชัดในการเคลือ่ นไหว หรือในการกระทาํ นั้น และใน
[190] 146 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร
สง่ิ ท่กี ระทํานั้น ไมห ลง ไมสบั สนเงอะงะฟน เฟอน เขา ใจลว งตลอดไปถึงตวั สภาวะในการกระทาํ ท่ี
เปน ไปอยนู ้ัน วา เปน เพยี งการประชุมกันขององคประกอบและปจจัยตางๆ ประสานหนนุ เน่ืองกัน
ขึ้นมาใหป รากฏเปนอยางน้ัน หรือสําเรจ็ กจิ นนั้ ๆ รทู นั สมมติ ไมห ลงสภาวะเชน ยดึ เห็นเปน ตวั ตน
โดยสาระคือ ความรูตระหนัก ในเรอ่ื งราว เนือ้ หา สาระ และสภาวะของสิง่ ท่ตี นเกี่ยวของหรือ
กระทําอยูนั้น ตามที่เปนจริงโดยสมมติสัจจะ หรือตลอดถึงโดยปรมัตถสัจจะ มิใชพ รวดพราด
ทาํ ไป หรอื สักวา ทํา มใิ ชทาํ อยา งงมงายไมรูเ รอ่ื ง และไมถูกหลอกใหล มุ หลงหรอื เขาใจผิดไปเสีย
ดว ยความพรามัว หรอื ดวยลกั ษณะอาการภายนอกที่ยัว่ ยุ หรือเยา ยวนเปน ตน — Asammoha-
~: clear comprehension of non-delusion, or of reality)
DA.I.183; VbhA.347. ที.อ.1/228; วิภงคฺ .อ.451.
[190] สัมปทา หรอื สัมปทาคุณ 4 (ความถงึ พรอม, ความพรง่ั พรอ มสมบรู ณแ หง
องคประกอบตางๆ ซง่ึ ทําใหท านท่ีบริจาคแลว เปน ทานอันยอดเยยี่ ม มผี ลมาก อาจเหน็ ผลทนั ตา
— Sampadà: successful attainment; accomplishment; excellence)
1. วตั ถสุ มั ปทา (ถงึ พรอ มดวยวตั ถุ คือบุคคลผเู ปนทีต่ ้งั รองรับทาน เชน ทกั ขิไณยบุคคลเปน
พระอรหันต หรอื พระอนาคามี ผูเ ขานโิ รธสมาบตั ไิ ด — Vatthu-sampadà: excellence of the
foundation for merit)
2. ปจ จัยสัมปทา (ถงึ พรอมดว ยปจจัย คอื สิ่งที่จะใหเ ปน ของบริสุทธ์ิ ไดม าโดยชอบธรรม —
Paccaya-sampadà: excellence of the gift)
3. เจตนาสมั ปทา (ถงึ พรอมดวยเจตนา คอื มเี จตนาในการใหส มบรู ณค รบ 3 กาล ทัง้ กอ นให
ขณะให และหลังให จติ โสมนัส ประกอบดว ยปญ ญา — Cetanà-sampadà: excellence of
the intention)
4. คุณาตเิ รกสัมปทา (ถึงพรอมดวยคณุ สว นพิเศษ คอื ปฏคิ าหกมคี ณุ สมบัติพิเศษ เชน
ทักขไิ ณยบคุ คลนน้ั ออกจากนิโรธสมาบตั ิใหมๆ — Guõàtireka-sampadà: excellence of
extra virtue)
DhA.III.93. ธ.อ.5/88.
[191] สัมปรายิกัตถสังวัตตนิกธรรม 4 (ธรรมทเี่ ปน ไปเพอื่ ประโยชนเ บอ้ื งหนา ,
ธรรมเปน เหตใุ หส มหมาย, หลกั ธรรมอนั อาํ นวยประโยชนส ขุ ขนั้ สงู ขนึ้ ไป — Samparàyikattha-sa
§vattanika-dhamma: virtues conducive to benefits in the future; virtues leading
to spiritual welfare)
1. สัทธาสมั ปทา (ถงึ พรอ มดว ยศรัทธา — Saddhà-sampadà: to be endowed with
faith; accomplishment of confidence)
2. สลี สมั ปทา (ถึงพรอมดว ยศลี — Sãla-sampadà: to be endowed with morality;
accomplishment of virtue)
หมวด 4 147 [193]
3. จาคสมั ปทา (ถงึ พรอมดวยการเสียสละ — Càga-sampadà: to be endowed with
generosity; accomplishment of charity)
4. ปญญาสมั ปทา (ถงึ พรอมดวยปญ ญา — Pa¤¤à-sampadà: to be endowed with
wisdom; accomplishment of wisdom)
ธรรมหมวดนี้ เรยี กกนั สนั้ ๆ วา สมั ปรายกิ ตั ถะ หรอื เรยี กตดิ ปากอยา งไทยๆ วา สมั ปราย-ิ
กตั ถประโยชน (อตั ถะ ก็แปลวา “ประโยชน” จงึ เปน คาํ ซ้าํ ซอนกัน)
A.IV.284. องฺ.อฏ ก.23/144/292.
[,,,] สัมมัปปธาน 4 ดู [156] ปธาน 4.
[192] สุขของคฤหัสถ หรือ คิหิสุข หรอื กามโภคีสุข 4 (สุขของชาวบาน,
สุขท่ีชาวบานควรพยายามเขาถึงใหไดสมํ่าเสมอ, สุขอันชอบธรรมที่ผูครองเรือนควรมี —
Gihisukha: house-life happiness; deserved bliss of a layperson)
1. อตั ถสิ ขุ (สุขเกิดจากความมีทรัพย คอื ความภูมิใจ เอิบอม่ิ ใจ วาตนมีโภคทรัพยที่ไดม าดวย
น้ําพักนาํ้ แรงความขยันหม่ันเพียรของตน และโดยชอบธรรม — Atthisukha: bliss of
ownership; happiness resulting from economic security)
2. โภคสขุ (สุขเกดิ จากการใชจ ายทรัพย คอื ความภูมิใจ เอิบอม่ิ ใจ วาตนไดใชทรพั ยท ่ไี ดม าโดย
ชอบน้ัน เลย้ี งชพี เล้ยี งผูควรเลี้ยง และบาํ เพญ็ ประโยชน — Bhogasukha: bliss of
enjoyment; enjoyment of wealth)
3. อนณสุข (สขุ เกดิ จากความไมเ ปน หน้ี คือ ความภมู ใิ จ เอิบอม่ิ ใจ วาตนเปนไท ไมมีหนีส้ นิ ติด
คางใคร — Anaõasukha: bliss of debtlessness; happiness on account of freedom
from debt)
4. อนวชั ชสขุ (สขุ เกิดจากความประพฤติไมม โี ทษ คือ ความภมู ิใจ เอิบอ่มิ ใจ วาตนมีความ
ประพฤตสิ ุจริต ไมบกพรอ งเสียหาย ใครๆ ติเตยี นไมไ ด ทัง้ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ —
Anavajjasukha: bliss of blamelessness; happiness on account of leading a fault-
less life)
บรรดาสุข 4 อยางนี้ อนวชั ชสุข มีคา มากทสี่ ดุ
A.II.69. องฺ.จตกุ ฺก.21/62/90.
[,,,] สุหทมิตร 4 ดู [169] สุหทมิตร 4.
[193] โสตาปตติยังคะ 41 (องคค ณุ เครอ่ื งบรรลุโสดา, องคประกอบของการบรรลุ
โสดา, คณุ สมบตั ิที่ทาํ ใหเปนพระโสดาบัน — Sotàpattiyaïga: factors of Stream-Entry)
1. สัปปรุ สิ สงั เสวะ (เสวนาสตั บรุ ษุ , คบหาทา นผทู รงธรรมทรงปญญาเปนกลั ยาณมติ ร —
Sappurisasa§seva: association with good and wise persons)
[193] 148 พจนานุกรมพุทธศาสตร
2. สัทธัมมัสสวนะ (สดับสัทธรรม, ใสใจเลาเรียนฟงอานหาความรูใหไดธรรมที่แท —
Saddhammassavana: hearing the good teaching)
3. โยนิโสมนสิการ (ทําในใจโดยแยบคาย, รูจักคิดพิจารณาหาเหตุผลโดยถูกวิธี —
Yonisomanasikàra: analytical reflection; wise attention)
4. ธัมมานธุ มั มปฏิปต ติ (ปฏิบตั ิธรรมสมควรแกธ รรม, ปฏิบัติธรรมถูกหลกั ใหธ รรมยอย
คลอ ยแกธ รรมใหญ สอดคลอ งตามวตั ถปุ ระสงคของธรรมท้ังหลายท่ีสัมพนั ธก นั , ปฏิบตั ิธรรม
น้ันๆ ใหสอดคลองพอดีตามขอบเขตความหมายและวัตถปุ ระสงคท ส่ี อดคลอ งกบั ธรรมขอ อนื่ ๆ
กลมกลนื กันในหลักใหญท ่เี ปนระบบทัง้ หมด, ดําเนนิ ชวี ิตถกู ตอ งตามธรรม — Dhammànu-
dhammapañipatti: practice in accord with the Dhamma, i.e. in such a systematic
way that all levels and aspects of the Dhamma are in accord as regards their
respective purposes; living in conformity with the Dhamma)
โสตาปต ตยิ งั คะ 4 หมวดน้ี ตรงกับหลักท่เี รียกวา [ ],,, ปญญาวุฒธิ รรม 4 หรือ [179] วุฒธิ รรม 4
ธรรม 4 ประการนี้ มใิ ชเ พียงเปนโสตาปตตยิ งั คะ ทจ่ี ะใหบรรลโุ สดาปตตผิ ล คือเปนพระโสดาบนั
เทานั้น พระพทุ ธเจาตรสั วา ธรรม 4 ประการนี้ เม่อื เจรญิ ปฏบิ ตั ิ ทําใหม าก ยอ มเปน ไปเพ่อื การบรรลุ
อรยิ ผลไดท กุ ขนั้ จนถึงอรหัตตผล (ส.ํ ม.19/1634–7/516–7 = S.V.411)
D.III.227; S.V.347, 404. ที.ปา.11/240/239; สํ.ม.19/1428/434; 1620/509.
[194] โสตาปตติยังคะ 42 (องคค ณุ เครอ่ื งบรรลุโสดา, คุณสมบัติที่ทําใหเปนพระ
โสดาบัน, คุณสมบัติของพระโสดาบัน — Sotàpattiyaïga: factors of Stream-Entry)
1. ประกอบดว ยความเลอ่ื มใสมนั่ ในพระพทุ ธเจา (unshakable confidence in the Buddha)
2. ประกอบดว ยความเลอื่ มใสมนั่ ในธรรม (unshakable confidence in the Dhamma)
3. ประกอบดวยความเลอ่ื มใสม่ันในสงฆ (unshakable confidence in the Sangha)
4. ประกอบดว ยอรยิ กันตศลี คือ ศลี อนั เปน ท่ชี น่ื ชมพอใจของพระอรยิ ะ บรสิ ุทธ์ิ ไมถ กู ตณั หา
และทฏิ ฐิแปดเปอนหรือครอบงํา และเปนไปเพอ่ื สมาธิ (unblemished morality)
S.V.345. ส.ํ ม.19/1420/431).
[195] โสตาปตติยังคะ 43 (องคคุณเครอ่ื งบรรลโุ สดา, คณุ สมบัตทิ ี่ทาํ ใหเปนพระ
โสดาบัน, คณุ สมบัติของพระโสดาบัน — Sotàpattiyaïga: factors of Stream-Entry)
1. ประกอบดว ยความเลอื่ มใสมนั่ ในพระพทุ ธเจา (unshakable confidence in the Buddha)
2. ประกอบดว ยความเลอ่ื มใสมั่นในธรรม (unshakable confidence in the Dhamma)
3. ประกอบดวยความเลื่อมใสมน่ั ในสงฆ (unshakable confidence in the Sangha)
4. ครองเรอื นดว ยใจปราศจากมัจฉรยิ ะ ยินดีในการแจกจายแบง ปนชว ยเหลือผอู ่นื (devo-
tion to charity; delight in giving and sharing)
S.V.397. สํ.ม.19/1597–8/499.
หมวด 4 149 [198]
[,,,] หลักการแบงทรัพย 4 สวน ดู [163] โภควภิ าค 4.
[196] อคติ 4 (ฐานะอนั ไมพึงถงึ , ทางความประพฤติทผ่ี ดิ , ความไมเท่ียงธรรม, ความ
ลําเอียง — Agati: wrong course of behaviour; prejudice)
1. ฉนั ทาคติ (ลาํ เอียงเพราะชอบ — Chandàgati: prejudice caused by love or desire;
partiality)
2. โทสาคติ (ลําเอยี งเพราะชัง — Dosàgati: prejudice caused by hatred or enmity)
3. โมหาคติ (ลาํ เอยี งเพราะหลง, พลาดผิดเพราะเขลา — Mohàgati: prejudice caused by
delusion or stupidity)
4. ภยาคติ (ลําเอียงเพราะกลัว — Bhayàgati: prejudice caused by fear)
D.III.182,228; A.II.18. ท.ี ปา.11/176/196; 246/240; องฺ.จตกุ กฺ .21/17/23.
[197] อธิษฐาน หรอื อธิษฐานธรรม 4 (ธรรมเปน ท่ีม่นั , ธรรมอันเปนฐานทีม่ ัน่
คงของบุคคล, ธรรมทค่ี วรใชเปนทีป่ ระดษิ ฐานตน เพอื่ ใหส ามารถยดึ เอาผลสาํ เร็จสงู สุดอันเปน ที่
หมายได โดยไมเกิดความสําคัญตนผิด และไมเ กดิ สิ่งมัวหมองหมกั หมมทบั ถมตน, บางทีแปลวา
“ธรรมทค่ี วรตงั้ ไวใ นใจ” — Adhiññhàna: foundation; foundations on which a tranquil
sage establishes himself; virtues which should be established in the mind)
1. ปญญา (ความรูชดั คือ หยง่ั รูใ นเหตุผล พจิ ารณาใหเ ขาใจในสภาวะของสิง่ ทงั้ หลายจนเขาถงึ
ความจริง — Pa¤¤à: wisdom; insight)
2. สัจจะ (ความจริง คือ ดํารงม่ันในความจริงที่รูชัดดวยปญญา เร่ิมแตจริงวาจาจนถึง
ปรมตั ถสจั จะ — Sacca: truthfulness)
3. จาคะ (ความสละ คือ สละสิ่งอนั เคยชิน ขอ ทเี่ คยยดึ ถอื ไว และส่งิ ท้ังหลายอันผิดพลาดจาก
ความจริงเสียได เริ่มแตสละอามสิ จนถึงสละกเิ ลส — Càga: liberality; renunciation)
4. อปุ สมะ (ความสงบ คอื ระงับโทษขอขัดของมัวหมองวนุ วายอนั เกิดจากกเิ ลสท้ังหลายแลว
ทาํ จิตใจใหส งบได — Upasama: tranquillity; peace)
ทงั้ 4 ขอนี้ พงึ ปฏบิ ตั ติ ามกระทดู งั น้ี
1. ปฺ นปฺปมชฺเชยฺย (ไมพ งึ ประมาทปญญา คือ ไมละเลยการใชป ญ ญา — Pa¤¤a§
nappamajjeyya: not to neglect wisdom)
2. สจจฺ ํ อนรุ กเฺ ขยยฺ (พงึ อนรุ กั ษส จั จะ — Sacca§anurakkheyya:to safeguard truthfulness)
3. จาคํ อนพุ รฺ ูเหยยฺ (พงึ เพม่ิ พูนจาคะ — Càga§ anubråheyya: to foster liberality)
4. สนตฺ ึ สิกฺเขยฺย (พึงศกึ ษาสันติ — Santi§ sikkheyya: to train oneself in tranquillity)
D.III.229; M.III.243. ที.ปา.11/254/241; ม.อุ.14/682/437.
[198] อบาย หรอื อบายภูมิ 4 (ภาวะหรอื ทอี่ นั ปราศจากความเจรญิ — Apàya: states
[199] 150 พจนานุกรมพุทธศาสตร
of loss and woe; low states of existence; unhappy existence)
1. นริ ยะ (นรก, สภาวะหรอื ทีอ่ ันไมมคี วามสุขความเจรญิ , ภาวะเรา รอนกระวนกระวาย —
Niraya: hell; woeful state)
2. ติรัจฉานโยนิ (กําเนดิ ดิรจั ฉาน, พวกมดื มัวโงเขลา — Tiracchànayoni: the animal
kingdom; realm of beasts)
3. ปต ตวิ สิ ยั (แดนเปรต, ภมู แิ หง ผหู วิ กระหายไรส ขุ — Pittivisaya: realm of hungry ghosts)
4. อสุรกาย (พวกอสูร, พวกหวาดหวนั่ ไรค วามรื่นเรงิ — Asurakàya: host of demons; the
unrelenting and dejected; frightened ghosts)
ดู [351] ภูมิ 4, 31.
It.93. ข.ุ อติ ิ.25/273/301.
[199] อบายมุข 4 (ชอ งทางของความเสอื่ ม, ทางท่จี ะนาํ ไปสูความพินาศ, เหตุยอ ยยับแหง
โภคทรพั ย — Apàyamukha: causes of ruin; sources for the destruction of the
amassed wealth)
1. อติ ถธี ุตตะ (เปนนกั เลงหญงิ , นกั เทยี่ วผูหญิง — Itthãdhutta: seduction of women;
debauchery)
2. สรุ าธุตตะ (เปน นกั เลงสุรา, นักด่ืม — Suràdhutta: drunkenness)
3. อกั ขธุตตะ (เปน นักการพนัน — Akkhadhutta: indulgence in gambling)
4. ปาปมติ ตะ (คบคนชวั่ — Pàpamitta: bad company)
อบายมุข 4 อยางนี้ ตรัสกบั ผคู รองเรอื นที่มหี ลักฐานแลว และตรสั ตอ ทา ยทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถ-
สงั วตั ตนิกธรรม 4 มุง ความวาเปน ทางพนิ าศแหง โภคะท่ีหามาไดแ ลว
A.IV.283. อง.ฺ อฏก.23/144/292.
[200] อบายมุข 6 (ชอ งทางของความเสอ่ื ม, ทางแหง ความพนิ าศ, เหตยุ อ ยยบั แหง โภคทรพั ย
— Apàyamukha: causes of ruin; ways of squandering wealth)
1. ติดสุราและของมึนเมา (addiction to intoxicants; drug addiction) มโี ทษ 6 คอื
1) ทรัพยห มดไปๆ เหน็ ชดั ๆ
2) กอการทะเลาะววิ าท
3) เปนบอ เกิดแหงโรค
4) เสยี เกียรตเิ สยี ชือ่ เสยี ง
5) ทําใหไมรูอาย
6) ทอนกําลังปญญา
a) actual loss of wealth
หมวด 4 151 [200]
b) increase of quarrels
c) liability to disease
d) source of disgrace
e) indecent exposure
f) weakened intelligence.
2. ชอบเท่ียวกลางคนื (roaming the streets at unseemly hours) มีโทษ 6 คอื
1) ชอื่ วา ไมร กั ษาตวั
2) ชอ่ื วาไมร กั ษาลกู เมีย
3) ชอื่ วาไมรกั ษาทรัพยส มบัติ
4) เปนท่ีระแวงสงสัย
5) เปนเปา ใหเขาใสค วามหรอื ขา วลอื
6) เปนทางมาของเรอื่ งเดอื ดรอ นเปนอันมาก
a) He himself is without guard and protection.
b) So also are his wife and children.
c) So also is his property.
d) He is liable to be suspected of crimes.
e) He is the subject of false rumours.
f) He will meet a lot of troubles.
3. ชอบเท่ยี วดูการละเลน (frequenting shows) มโี ทษ โดยการงานเสอ่ื มเสยี เพราะใจ
กงั วลคอยคิดจอ ง กับเสียเวลาเมื่อไปดสู ง่ิ น้ันๆ ทั้ง 6 กรณี คอื
1) ราํ ท่ไี หนไปท่นี น่ั
2)–6) ขบั รอง, ดนตรี, เสภา, เพลง, เถิดเทิงทไ่ี หน ไปท่ีนนั่ *
(He keeps looking about to see)
a) Where is there dancing?
b)–f) Where is there singing? ~ choral music? ~ story-telling? ~ cymbal playing?
~ tam-tams?
4. ติดการพนัน (indulgence in gambling) มโี ทษ 6 คือ
1) เม่อื ชนะยอ มกอเวร
2) เมือ่ แพกเ็ สยี ดายทรพั ยท ีเ่ สียไป
* คําแปลภาษาไทยถือตามท่แี ปลกนั มา สว นภาษาอังกฤษแปลตางหาก ไมไดมงุ ใหตรงกนั
[201] 152 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร
3) ทรัพยหมดไปๆ เห็นชดั ๆ
4) เขา ทป่ี ระชุม เขาไมเ ชือ่ ถอื ถอ ยคาํ
5) เปนท่ีหม่ินประมาทของเพอ่ื นฝงู
6) ไมเ ปน ท่ีพึงประสงคของผูท่ีจะหาคูครองใหล ูกของเขา เพราะเหน็ วา จะเลี้ยงลกู เมยี ไมไหว
a) As winner, he begets hatred.
b) As loser, he regrets his lost money.
c) There is actual loss of wealth.
d) His word has no weight in an assembly.
e) He is scorned by his friends and companions.
f) He is not sought after by those who want to marry their daughters, for they
would say that a gambler cannot afford to keep a wife.
5. คบคนชัว่ (association with bad companions) มโี ทษ โดยนาํ ใหก ลายไปเปน คนชัว่
อยา งคนทตี่ นคบทงั้ 6 ประเภท คอื ไดเ พอื่ นทจี่ ะนาํ ใหกลายเปน
1) นกั การพนนั (gamblers)
2) นกั เลงหญงิ (rakes; seducers)
3) นกั เลงเหลา (drunkards)
4) นักลวงของปลอม (cheaters with false things)
5) นักหลอกลวง (swindlers)
6) นักเลงหัวไม (men of violence)
6. เกียจครานการงาน (habit of idleness) มโี ทษ โดยทําใหย กเหตุตางๆ เปนขออางผดั
เพี้ยนไมท าํ การงาน โภคะใหมก็ไมเกดิ โภคะทม่ี อี ยกู ็หมดสิ้นไป คอื ใหอ างไปทั้ง 6 กรณวี า
1)–6) หนาวนกั — รอนนัก — เย็นไปแลว — ยังเชา นกั — หวิ นัก — อม่ิ นกั *
a)–f) He always makes an excuse that it is too cold, — too hot, — too late, —
too early, he is too hungry, — too full and does no work.
อบายมขุ หมวดนี้ ตรัสแกส งิ คาลกมาณพ กอนตรัสเรอ่ื งทศิ 6
D.III.182–184. ที.ปา.11/178–184/196–198.
[201] วัฒนมุข 6 (ธรรมทเ่ี ปนปากทางแหงความเจริญ, ธรรมที่เปนดจุ ประตูชยั อันจะเปด
ออกไปใหก า วหนา สคู วามเจรญิ งอกงามของชวี ติ — Vaóóhana-mukha: channels of growth;
gateway to progress)
* บางฉบับเปน “กระหายนกั ” (too thirsty)
หมวด 4 153 [202]
1. อาโรคยะ (ความไมม ีโรค, ความมีสุขภาพดี — ârogya: good health)
2. ศลี (ความประพฤตดิ ี มวี นิ ยั ไมก อ เวรภยั ไดฝ ก ในมรรยาทอนั งาม — Sãla: moral conduct
and discipline)
3. พุทธานุมัต (ศึกษาแนวทาง มองดแู บบอยาง เขาถงึ ความคิดของพทุ ธชนเหลา คนผเู ปน
บัณฑติ — Buddhànumata: conformity or access to the ways of great, enlightened
beings)
4. สุตะ (ใฝเลาเรียนหาความรู ฝกตนใหเชี่ยวชาญและทันตอเหตุการณ — Suta: much
learning)
5. ธรรมานวุ ัติ (ดําเนินชวี ติ และกิจการงานโดยทางชอบธรรม — Dhammànuvatti: practice
in accord with the Dhamma; following the law of righteousness)
6. อลนี ตา (เพียรพยายามไมระยอ, มีกําลงั ใจแขง็ กลา ไมท อถอยเฉือ่ ยชา เพยี รกา วหนา เรอื่ ย
ไป — Alãnatà: unshrinking perseverance)
ธรรม 6 ประการชุดน้ี ในบาลีเดมิ เรยี กวา อตั ถทวาร (ประตแู หง ประโยชน, ประตูสจู ดุ
หมาย) หรือ อตั ถประมุข (ปากทางสปู ระโยชน, ตน ทางสูจุดหมาย) และอรรถกถาอธิบายคํา
อัตถะ วา หมายถงึ “วฒุ ”ิ คอื ความเจริญ ซ่ึงไดแ ก วฒั นะ ดังนั้นจึงอาจเรยี กวา วฒุ มิ ขุ หรอื ท่คี น
ไทยรูสกึ คุน มากกวาวา วฒั นมุข
อนง่ึ ในฝา ยอกศุ ล มหี มวดธรรมรจู กั กนั ดที เี่ รยี กวา อบายมขุ 6 ซง่ึ แปลวา ปากทางแหง ความ
เสอ่ื ม จงึ อาจเรยี กธรรมหมวดน้ดี ว ยคาํ ทเ่ี ปนคตู รงขา มวา อายมุข 6 (ปากทางแหงความเจรญิ )
J.I.366 ขุ.ชา.27/84/27
[202] อปสเสนะ หรือ อปสเสนธรรม 4 (ธรรมดุจพนกั พิง, ธรรมเปนท่อี ิงหรือ
พ่งึ อาศยั — Apassena: virtues to lean on; states which a monk should rely on)
1. สงขฺ าเยกํ ปฏเิ สวติ (ของอยางหน่ึง พจิ ารณาแลวเสพ ไดแก สิ่งของมปี จ จยั 4 คอื จวี ร
บิณฑบาต เสนาสนะ คลิ านเภสัช เปนตนกด็ ี บคุ คล และธรรมเปนตน ก็ดี ทจี่ ําเปน จะตอ ง
เกี่ยวขอ งและมีประโยชน พึงพจิ ารณาแลว จึงใชสอยและเสวนาใหเปนประโยชน — Pañisevanà:
The monk deliberately follows or makes use of one thing.)
2. สงฺขาเยกํ อธิวาเสติ (ของอยางหนึ่ง พิจารณาแลว อดกลน้ั ไดแ ก อนฏิ ฐารมณต า งๆ มี
หนาว รอ น และทุกขเวทนาเปนตน พึงรูจ กั พิจารณาอดกลั้น — Adhivàsanà: The monk
deliberately endures one thing.)
3. สงขฺ าเยกํ ปริวชฺเชติ (ของอยา งหนงึ่ พิจารณาแลว เวน เสยี ไดแ ก สง่ิ ทเ่ี ปน โทษ กอ อันตราย
แกรา งกายก็ตาม จิตใจก็ตาม เชน ชางราย คนพาล การพนนั สุราเมรัย เปน ตน พงึ รูจกั พจิ ารณา
หลกี เวน เสยี — Parivajjanà: The monk deliberately avoids one thing.)
4. สงขฺ าเยกํ ปฏิวิโนเทติ (ของอยา งหนึง่ พจิ ารณาแลว บรรเทาเสยี ไดแก ส่ิงท่ีเปนโทษกอ
[203] 154 พจนานุกรมพุทธศาสตร
อนั ตราย เชน อกุศลวิตก มกี ามวติ ก พยาบาทวติ ก วหิ ิงสาวติ ก เปนตน และความช่ัวรา ยทั้ง
หลาย เกิดข้ึนแลว พึงรูจ ักพจิ ารณาแกไข บาํ บัดหรอื ขจัดใหส ิน้ ไป — Pañivinodanà: The
monk deliberately suppresses or expels one thing.)
อปสเสนะ 4 น้ี เรียกอีกอยางวา อุปนสิ ยั 4 (ธรรมเปนท่ีพึง่ พงิ หรอื ธรรมชว ยอุดหนุน —
Upanissaya: supports; supporting states)
เมอื่ รูจ กั พจิ ารณาปฏิบตั ติ อ ส่ิงตางๆ ใหถ ูกตอ งดว ยปญญาตามหลักอปส เสนะ หรอื อุปนสิ ัย
4 อยา งนี้ ยอมเปน เหตุใหอ กุศลท่ยี ังไมเ กดิ ก็ไมเ กดิ ขึ้น ท่ีเกิดแลวก็เสอ่ื มสนิ้ ไป และกศุ ลทยี่ ังไม
เกิดยอมเกิดข้นึ ทเ่ี กิดข้นึ แลว ก็เจริญยง่ิ ขน้ึ ไป
ภกิ ษุผพู รอมดว ยธรรม 4 ประการน้ี ดาํ รงอยูในธรรม 5 คือ ศรทั ธา หริ ิ โอตตปั ปะ วิริยะ
ปญ ญา ทา นเรยี กวา นสิ สยสมั บนั (ผถู งึ พรอ มดว ยทพ่ี ง่ึ อาศยั — fully supported; resourceful).
D.III.224,270; A.IV.354; A.V.30. ท.ี ปา.11/236/326; 472/338; องฺ.นวก.23/206/366; องฺ.ทสก.24/20/32.
[,,,] อรหันต 4 ดู [62] อรหันต 4.
[,,,] อริยบุคคล 4 ดู [56] อรยิ บคุ คล 4.
[203] อริยวงศ 4 (ปฏิปทาที่พระอริยะทั้งหลายปฏิบัติสืบกันมาแตโบราณไมขาดสาย,
อริยประเพณี — Ariyava§sa: Ariyan lineage; noble tradition; the fourfold
traditional practice of the Noble Ones)
1. จวี รสนั โดษ (ความสนั โดษดวยจีวร — Cãvara-santosa: contentment as regards
robes or clothing)
2. ปณ ฑปาตสันโดษ (ความสันโดษดว ยบิณฑบาต — Piõóapàta-santosa: contentment
as regards alms-food)
3. เสนาสนสนั โดษ (ความสันโดษดว ยเสนาสนะ — Senàsana-santosa: contentment as
regards lodging)
4. ปหานภาวนารามตา (ความยนิ ดใี นการละอกศุ ลและเจรญิ กศุ ล — Pahànabhàvanà-
ràmatà: delight in the abandonment of evil and the development of good)
การปฏบิ ัติทีจ่ ดั เปนอรยิ วงศใ นธรรมทัง้ 4 ขอนั้น พระภิกษุพึงประพฤติดังน้ี
ก. สนั โดษดว ยปจจัยใน 3 ขอ ตน ตามมตี ามได
ข. มปี กติกลา วสรรเสรญิ คุณของความสันโดษใน 3 ขอ น้ัน
ค. ไมป ระกอบอเนสนา คอื การแสวงหาท่ผี ดิ (ทจุ รติ ) เพราะปจจัยทง้ั 3 อยา งนั้นเปน เหตุ (เพยี ร
แสวงหาแตโดยทางชอบธรรม ไมเ กียจคราน)
ง. เมื่อไมได ก็ไมเรารอนทุรนทุราย
จ. เมอื่ ได กใ็ ชโ ดยไมต ดิ ไมห มกมนุ ไมส ยบ รเู ทา ทนั เหน็ โทษ มปี ญ ญาใชส งิ่ นน้ั ตามประโยชน ตาม
ความหมายของมนั (มแี ละใชด ว ยสตสิ มั ปชญั ญะ ดาํ รงตนเปน อสิ ระ ไมต กเปน ทาสของสงิ่ นนั้ )
หมวด 4 155 [204]
ฉ. ไมถ อื เอาการท่ีไดประพฤตธิ รรม 4 ขอ น้ี เปน เหตยุ กตนขม ผูอืน่
โดยสรปุ วา เปน ผขู ยนั ไมเ กียจคราน มสี ตสิ ัมปชัญญะในขอนัน้ ๆ เฉพาะขอ 4 ทรงสอนไม
ใหสันโดษ สว น 3 ขอ แรกทรงสอนใหทําความเพียรแสวงหาในขอบเขตที่ชอบดว ยธรรมวินัยและ
มีความสนั โดษตามนัยทแ่ี สดงขางตน
อนึ่ง ในจฬู นิทเทส ทา นแสดงอรยิ วงศข องพระปจเจกพทุ ธเจาตางไปเลก็ นอ ย คอื เปล่ียนขอ
4 เปน สันโดษดว ยคิลานปจ จยั เภสชั บรขิ าร (medical equipment)
D.III.224; A.II.27; Nd2107. ท.ี ปา.11/237/236; อง.ฺ จตกุ กฺ .21/28/35; ข.ุ จ.ู 30/691/346.
[204] อริยสัจจ 4 (ความจริงอันประเสริฐ, ความจรงิ ของพระอริยะ, ความจรงิ ท่ีทําใหผ ูเ ขา
ถึงกลายเปนอรยิ ะ — Ariyasacca: The Four Noble Truths)
1. ทกุ ข (ความทกุ ข, สภาพที่ทนไดย าก, สภาวะทบ่ี ีบค้นั ขัดแยง บกพรอ ง ขาดแกน สารและ
ความเทย่ี งแท ไมใ หความพงึ พอใจแทจรงิ , ไดแก ชาติ ชรา มรณะ การประจวบกับสงิ่ อันไมเปน
ทร่ี ัก การพลัดพรากจากส่ิงที่รัก ความปรารถนาไมสมหวัง โดยยอวา อุปาทานขันธ 5 เปนทกุ ข
— Dukkha: suffering; unsatisfactoriness)
2. ทุกขสมทุ ัย (เหตุเกดิ แหงทุกข, สาเหตใุ หทกุ ขเ กิด ไดแ ก ตณั หา 3 คอื กามตณั หา ภวตณั หา
และ วภิ วตณั หา — Dukkha-samudaya: the cause of suffering; origin of suffering)
3. ทกุ ขนโิ รธ (ความดบั ทกุ ข ไดแ ก ภาวะทตี่ ณั หาดับส้ินไป, ภาวะทเ่ี ขาถึงเม่อื กาํ จัดอวชิ ชา
สาํ รอกตัณหาสนิ้ แลว ไมถ กู ยอ ม ไมตดิ ของ หลุดพน สงบ ปลอดโปรง เปนอิสระ คอื นพิ พาน
— Dukkha-nirodha: the cessation of suffering; extinction of suffering)
4. ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (ปฏิปทาท่ีนําไปสูความดบั แหงทกุ ข, ขอปฏบิ ัตใิ หถงึ ความดบั
ทกุ ข ไดแก อริยอัฏฐงั คิกมรรค หรอื เรียกอกี อยางหนง่ึ วา มชั ฌมิ าปฏปิ ทา แปลวา “ทางสาย
กลาง” มรรคมอี งค 8 นี้ สรุปลงในไตรสกิ ขา คือ ศลี สมาธิ ปญ ญา — Dukkha-nirodha-
gàminã pañipadà: the path leading to the cessation of suffering)
อรยิ สจั จ 4 นี้ เรยี กกนั สน้ั ๆ วา ทกุ ข สมทุ ยั นโิ รธ มรรค (Dukkha, Samudaya, Nirodha,
Magga); การแสดงอรยิ สัจจ 4 น้ี มีชือ่ เรยี กอกี อยา งหนึง่ วา สามุกกงั สิกาธรรมเทศนา (เชน องฺ.
อฏก.23/102/190) แปลตามอรรถกถาวา พระธรรมเทศนาท่ีพระพทุ ธเจาทรงหยิบยกขน้ึ ถือเอาไว
ดว ยพระองคเ อง คอื ทรงเหน็ ดว ยพระสยมั ภญู าณ (=ตรสั รเู อง) ไมส าธารณะแกผ อู นื่ (แตต ามท่ี
อธิบายกนั มา มกั แปลวา “พระธรรมเทศนาทพี่ ระพุทธเจา ทรงยกข้นึ แสดงเอง โดยไมต องปรารภ
คําถามหรอื การทูลขอรองของผฟู ง อยา งการแสดงธรรมเร่อื งอน่ื ๆ”; ความจรงิ จะแปลวา “พระ
ธรรมเทศนาข้ันสุดยอด” ก็ได ซ่ึงสมกับเปนเร่ืองที่ทรงแสดงทายสุดตอจาก อนุปุพพิกถา 5 คํา
แปลอยา งหลงั น้ี พงึ เทียบ องฺ.ทสก.24/95/208)
ดู [216] ขันธ 5; [74] ตัณหา 3; [293] มรรคมีองค 8; [124] สกิ ขา 3.
Vin.I.9; S.V.421; Vbh.99. วนิ ย.4/14/18; ส.ํ ม.19/1665/528; อภิ.ว.ิ 35/145/127.
[205] 156 พจนานกุ รมพุทธศาสตร
[205] กิจในอริยสัจจ 4 (หนาท่อี นั จะพึงทาํ ตออรยิ สัจจ 4 แตละอยาง, ขอที่จะตอ ง
ปฏบิ ัติใหถ กู ตองและเสร็จสิ้นในอริยสัจจ 4 แตล ะอยา ง จงึ จะชือ่ วารูอรยิ สจั จหรอื เปน ผตู รัสรู
แลว — Ariyasaccesu kiccàni: functions concerning the Four Noble Truths)
1. ปรญิ ญา (การกาํ หนดรู เปน กจิ ในทกุ ข ตามหลกั วา ทกุ ขฺ ํ อรยิ สจจฺ ํ ปริ เฺ ยยฺ ํ ทกุ ขค วรกาํ หนด
รู คอื ควรศกึ ษาใหร จู กั ใหเ ขา ใจชดั ตามสภาพทเ่ี ปน จรงิ ไดแ ก การทาํ ความเขา ใจและกาํ หนด
ขอบเขตของปญ หา — Pari¤¤à: comprehension; suffering is to be com-prehended)
2. ปหานะ (การละ เปนกิจในสมุทัย ตามหลกั วา ทกุ ฺขสมุทโย อรยิ สจจฺ ํ ปหาตพฺพํ สมุทยั ควร
ละ คือ กําจัด ทาํ ใหหมดส้นิ ไป ไดแ กการแกไ ขกาํ จัดตน ตอของปญหา — Pahàna: era-
dication; abandonment; the cause of suffering is to be eradicated)
3. สัจฉกิ ิริยา (การทาํ ใหแจง เปนกิจในนิโรธ ตามหลักวา ทุกฺขนิโรโธ อริยสจฺจํ สจฺฉิกาตพพฺ ํ
นโิ รธควรทําใหแจง คือ เขาถึง หรือบรรลุ ไดแ กก ารเขาถึงภาวะท่ีปราศจากปญ หา บรรลุจุดหมาย
ทตี่ อ งการ — Sacchikiriyà: realization; the cessation of suffering is to be realized)
4. ภาวนา (การเจรญิ เปน กจิ ในมรรค ตามหลกั วา ทกุ ขฺ นโิ รธคามนิ ี ปฏปิ ทา อรยิ สจจฺ ํ ภาเวตพพฺ ํ
มรรคควรเจรญิ คอื ควรฝก อบรม ลงมอื ปฏบิ ตั ิ กระทาํ ตามวธิ กี ารทจี่ ะนาํ ไปสจู ดุ หมาย ไดแ กก ารลงมอื
แกไ ขปญ หา — Bhàvanà: development; practice; the path is to be followed or developed)
ในการแสดงอรยิ สจั จ กด็ ี ในการปฏิบตั ิธรรมตามหลกั อรยิ สัจจ กด็ ี จะตอ งใหอ ริยสัจจแต
ละขอ สัมพนั ธต รงกันกับกิจแตละอยาง จงึ จะเปน การแสดงและเปนการปฏิบตั ิโดยชอบ ทั้งน้ี
วางเปนหัวขอ ไดดังนี้
1. ทุกข เปน ขัน้ แถลงปญ หาทีจ่ ะตอ งทาํ ความเขาใจและรขู อบเขต (ปรญิ ญา) — statement of
evil; location of the problem.
2. สมุทัย เปนข้ันวิเคราะหและวินิจฉัยมูลเหตุของปญ หา ซึ่งจะตอ งแกไขกําจดั ใหหมดสิน้ ไป
(ปหานะ) — diagnosis of the origin.
3. นโิ รธ เปน ขั้นช้ีบอกภาวะปราศจากปญ หา อนั เปนจดุ หมายที่ตอ งการ ใหเ ห็นวาการแกป ญ หา
เปน ไปได และจดุ หมายน้นั ควรเขา ถึง ซงึ่ จะตอ งทําใหสําเร็จ (สจั ฉิกิริยา) — prognosis of its
antidote; envisioning the solution.
4. มรรค เปนขัน้ กําหนดวิธกี าร ขน้ั ตอน และรายละเอยี ดที่จะตอ งปฏิบตั ิในการลงมอื แกปญหา
(ภาวนา) — prescription of the remedy; programme of treatment.
ความสําเรจ็ ในการปฏบิ ัติทง้ั หมด พึงตรวจสอบดวยหลัก [73] ญาณ 3 2
Vin.I.10; S.V.422. วินย.4/15/20; ส.ํ ม.19/1666/529.
[206] ธรรม 4 (ธรรมทงั้ ปวงประดามี จดั ประเภทตามลักษณะความสมั พนั ธทม่ี นุษยพงึ
ปฏิบตั ิหรอื เกย่ี วขอ งเปน 4 จําพวก อนั สอดคลอ งกบั หลักอริยสจั จ 4 และกิจในอริยสัจจ 4 —
Dhamma: all dhammas [states, things] classified into 4 categories according as
they are to be rightly treated)
หมวด 4 157 [207]
1. ปริญไญยธรรม = ธรรมทเี่ ขากบั กิจในอริยสจั จขอ ท่ี 1 คอื ปริญญา (ธรรมอนั พึงกําหนดร,ู
สิง่ ทค่ี วรรอบรู หรือรเู ทา ทันตามสภาวะของมัน ไดแก อุปาทานขันธ 5 กลาวคอื ทกุ ขและสิง่ ทั้ง
หลายทอี่ ยใู นจาํ พวกทเี่ ปน ปญ หาหรอื เปนท่ีตัง้ แหง ปญหา — Pari¤¤eyya-dhamma: things
to be fully understood, i.e. the five aggregates of existence subject to clinging)
2. ปหาตัพพธรรม = ธรรมท่เี ขากับกิจในอริยสจั จข อ ท่ี 2 คือ ปหานะ (ธรรมอนั พงึ ละ, สง่ิ ท่ีจะ
ตอ งแกไขกําจัดทําใหห มดไป วาโดยตนตอรากเหงา ไดแก อวิชชา และภวตณั หา กลาวคือธรรม
จาํ พวกสมทุ ัยทีก่ อ ใหเ กดิ ปญ หาเปนสาเหตขุ องทกุ ข หรือพูดอีกอยางหนงึ่ วา อกศุ ลทงั้ ปวง —
Pahàtabba-dhamma: things to be abandoned, i.e. ignorance and craving for being)
3. สัจฉิกาตพั พธรรม = ธรรมท่เี ขากับกิจในอรยิ สจั จขอท่ี 3 คือ สจั ฉกิ ิรยิ า (ธรรมอนั พงึ
ประจกั ษแ จง, สิ่งที่ควรไดควรถงึ หรือควรบรรลุ ไดแ ก วิชชา และวมิ ุตติ เมื่อกลา วโดยรวบยอด
คอื นิโรธ หรอื นพิ พาน หมายถงึ ธรรมจําพวกทเี่ ปนจดุ หมาย หรือเปน ทด่ี บั หายส้ินไปแหงทุกข
หรอื ปญหา — Sacchikàtabba-dhamma: things to be realized, i.e. true knowledge
and freedom or liberation)
4. ภาเวตัพพธรรม = ธรรมทีเ่ ขากับกิจในอริยสัจจข อที่ 4 คือ ภาวนา (ธรรมอนั พงึ เจริญหรอื
พึงปฏิบัติบําเพ็ญ, สิ่งทีจ่ ะตองปฏบิ ัตหิ รอื ลงมือทํา ไดแก ธรรมที่เปนมรรค โดยเฉพาะสมถะ
และวิปสสนา กลาวคือ ประดาธรรมทเี่ ปนขอปฏบิ ตั หิ รอื เปนวิธกี ารทีจ่ ะทําหรือดาํ เนนิ การเพอื่ ให
บรรลจุ ดุ หมายแหง การสลายทกุ ขห รอื ดบั ปญ หา — Bhàvetabba-dhamma: things to be
developed, i.e. tranquillity and insight, or, in other words, the Noble Eightfold Path)
M.III.289; S.V.52; A.II.246. ม.อ.ุ 14/829/524; สํ.ม.19/291–5/78;อง.ฺ จตุกกฺ .21/254/333.
[207] อรูป หรอื อารุปป 4 (ฌานมอี รูปธรรมเปน อารมณ คอื อรปู ฌาน, ภพของสัตวผ ู
เขาถงึ อรูปฌาน, ภพของอรูปพรหม — Aråpa, âruppa: absorptions of the Formless
Sphere; the Formless Spheres; immaterial states)
1. อากาสานญั จายตนะ (ฌานอันกําหนดอากาศคือชอ งวา งหาท่ีสดุ มิไดเ ปนอารมณ หรอื ภพ
ของผูเขา ถึงฌานนี้ — âkàsàna¤càyatana: Sphere of Infinity of Space)
2. วิญญาณัญจายตนะ (ฌานอนั กาํ หนดวญิ ญาณหาทีส่ ดุ มไิ ดเปน อารมณ หรือภพของผูเขา ถึง
ฌานน้ี — Vi¤¤àõa¤càyatana: Sphere of Infinity of Consciousness)
3. อากญิ จญั ญายตนะ (ฌานอันกําหนดภาวะท่ีไมม อี ะไรๆ เปน อารมณ หรอื ภพของผูเขา ถึง
ฌานน้ี — âki¤ca¤¤àyatana: Sphere of Nothingness)
4. เนวสัญญานาสัญญายตนะ (ฌานอนั เขาถึงภาวะมีสญั ญาก็ไมใ ช ไมม สี ญั ญาก็ไมใช หรอื
ภพของผูเขาถงึ ฌานนี้ — Nevasa¤¤ànàsa¤¤àyatana: Sphere of Neither Perception
Nor Non-Perception)
D.III.224; S.IV.227. ที.ปา.11/235/235; ส.ํ สฬ.18/519/326.
[208] 158 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร
[208] อวิชชา 4 (ความไมร ูแจง, ไมรจู ริง — Avijjà: ignorance; lack of essential
knowledge)
1. ทกุ ฺเข อฺาณํ (ไมรูใ นทกุ ข — ignorance of suffering)
2. ทกุ ขฺ สมุทเย อฺาณํ (ไมรูใ นทุกขสมุทยั — ~ of the cause of suffering)
3. ทุกฺขนิโรเธ อฺาณํ (ไมรูในทุกขนิโรธ — ~ of the cessation of suffering)
4. ทุกฺขนิโรธคามนิ ิยา ปฏปิ ทาย อฺาณํ (ไมร ใู นทุกขนิโรธคามนิ ปี ฏิปทา — ~ of the
path leading to the cessation of suffering)
กลา วสัน้ ๆ คือ ไมร ใู นอรยิ สัจจ 4
S.II.4; S.IV.256; Vbh.135. สํ.นิ.16/17/5; สํ.สฬ.18/505/315; อภ.ิ วิ.35/256/181.
[209] อวิชชา 8 (ความไมรแู จง, ไมรูจริง — Avijjà: ignorance; lack of essential
knowledge) 4 ขอ แรกตรงกับอวิชชา 4; ขอ 5–8 ดงั น้ี
5. ปพุ พฺ นฺเต อฺาณํ (ไมร ใู นสว นอดีต — ignorance of the past)
6. อปรนฺเต อฺาณํ (ไมรูในสว นอนาคต — ~ of the future)
7. ปพุ พฺ นตฺ าปรนเฺ ต อฺ าณํ (ไมร ทู งั้ สว นอดตี ทง้ั สว นอนาคต — ~ of both the past and
the future)
8. อิทปฺปจฺจยตาปฏิจจฺ สมปุ ปฺ นเฺ นสุ ธมฺเมสุ อฺาณํ (ไมร ูในธรรมทง้ั หลายทีอ่ าศัยกนั จึง
เกดิ มขี ้ึนตามหลักอิทปั ปจจยตา — ~ of states dependently originated according to
specific conditionality)
Dhs.190,195; Vhh.362. อภ.ิ สํ.34/691/273; 712/281; อภ.ิ ว.ิ 35/926/490.
[210] อันตรายของภิกษุสามเณรผูบวชใหม 4 (ตามบาลีวาภยั สาํ หรบั
กลุ บุตรผบู วชในธรรมวินัยน้ี อนั เปน เหตุใหป ระพฤติพรหมจรรยอยูไดไ มย ่งั ยืน ตอ งลาสิกขาไป
— Bhaya: perils or terrors awaiting a clansman who has gone forth from home
to the homeless life; dangers to newly ordained monks or novices)
1. อูมภิ ยั (ภัยคลืน่ คือ อดทนตอ คําสงั่ สอนไมได เกิดความข้ึงเคียดคบั ใจ เบื่อหนา ยคํา
ตกั เตอื นพรํ่าสอน — æmibhaya: peril of waves, i.e. wrath and resentment caused
by inability to accept teaching and advice)
2. กุมภีลภัย (ภยั จระเข คือ เหน็ แกปากแกท อ ง ถกู จาํ กดั ดว ยระเบียบวินยั เกย่ี วกับการบริโภค
ทนไมได — Kumbhãlabhaya: peril of crocodiles, i.e. gluttony)
3. อาวฏภัย (ภัยนํ้าวน คือ หวงพะวงใฝทะยานในกามสุข ตัดใจจากกามคุณไมได —
âvañabhaya: peril of whirlpools, i.e. desire for sense-pleasures)
4.สสุ กุ าภัย (ภัยปลาราย หรือภยั ฉลาม คอื เกดิ ความปรารถนาทางเพศ รักผหู ญิง — Susukà
bhaya: peril of sharks, i.e. love for women)
M.I.460; A.II.123. ม.ม.13/190/198; องฺ.จตุกฺก.21/122/165.
หมวด 4 159 [212]
[,,,] อัปปมัญญา 4 ดู [161] พรหมวิหาร 4.
[211] อาจารย 4 (ผูประพฤตกิ ารอนั เกื้อกูลแกศษิ ย, ผูท ศี่ ิษยพ ึงประพฤติดว ยความ
เออ้ื เฟอ, ผูส ่งั สอนวิชาและอบรมดแู ลความประพฤติ — âcariya: teacher; instructor)
1. บรรพชาจารย (อาจารยใ นบรรพชา คือ ทา นผูใหสิกขาบทในการบรรพชา — Pabbajjà-
cariya: initiation-teacher; teacher at the Going Forth)
2. อปุ สมั ปทาจารย (อาจารยใ นอุปสมบท คอื ทานผสู วดกรรมวาจาในอุปสมบทกรรม —
Upasampadàcariya: ordination-teacher; teacher at the Admission)
3. นสิ สยาจารย (อาจารยผใู หนสิ ัย คอื ทา นทีต่ นไปขอถือนสิ ยั เปนอนั เตวาสกิ คอื ยอมตนเปน
ศษิ ยอยใู นปกครอง — Nissayàcariya: tutelar teacher; teacher from whom one takes
the Dependence)
4. อุเทศาจารย หรือ ธรรมาจารย (อาจารยผ ใู หอุเทศ, อาจารยผ ูส อนธรรม คอื ทานท่ี
ส่ังสอนใหว ชิ าความรู โดยหลกั วิชาก็ดี เปนท่ีปรกึ ษาไตถ ามคน ควาก็ดี — Uddesàcariya,
Dhammàcariya: teacher of textual study; teacher who gives the instruction;
teacher of the Doctrine)
บางแหง เตมิ โอวาทาจารย (อาจารยผ ใู หโ อวาท คอื อบรมตกั เตือนแนะนาํ เปนครั้งคราว
— Ovàdàcariya: teacher who gives admonitions) เขาอกี รวมเปน อาจารย 5.
Vism.94; VinA.V.1085, VII.1379. วิสทุ ฺธ.ิ 1/118; วนิ ย.อ.3/182,582; วนิ ย.ฏีกา4/168; มงฺคล.2/289.
[,,,] อาสวะ 4 ดู [136] อาสวะ 4.
[212] อาหาร 4 (สภาพทีน่ าํ มาซึ่งผลโดยความเปนปจจัยค้าํ จนุ รปู ธรรมและนามธรรมทง้ั
หลาย, เครื่องค้ําจนุ ชวี ติ , ส่งิ ทห่ี ลอ เลี้ยงรางกายและจิตใจ ทําใหเ กิดกําลังเจรญิ เติบโตและววิ ัฒน
ได — âhàra: nutriment)
1. กวฬงิ การาหาร (อาหารคือคําขา ว ไดแก อาหารสามญั ที่กลนื กินดดู ซึมเขา ไปหลอ เลย้ี งรา ง
กาย — Kavaëiïkàràhàra: material food; physical nutriment) เม่ือกาํ หนดรกู วฬิงการาหารได
แลว ก็เปนอนั กาํ หนดรรู าคะทีเ่ กดิ จากเบญจกามคณุ ไดด ว ย
2. ผัสสาหาร (อาหารคือผสั สะ ไดแ ก การบรรจบแหง อายตนะภายใน อายตนะภายนอก และ
วญิ ญาณ เปนปจ จัยใหเกดิ เวทนา พรอมทั้งเจตสกิ ท้งั หลายทจ่ี ะเกิดตามมา — Phassàhàra:
nutriment consisting of contact; contact as nutriment) เม่ือกาํ หนดรูผัสสาหารไดแ ลว
กเ็ ปนอนั กําหนดรเู วทนา 3 ไดดว ย
3. มโนสัญเจตนาหาร (อาหารคือมโนสัญเจตนา ไดแก ความจงใจ เปน ปจจยั แหง การทํา พูด
คิด ซ่งึ เรยี กวา กรรม เปนตวั ชกั นํามาซ่ึงภพ คอื ใหเกดิ ปฏสิ นธิในภพทั้งหลาย — Manosa¤
cetanàhàra: nutriment consisting of mental volition; mental choice as nutriment)
เมือ่ กาํ หนดรูม โนสญั เจตนาหารไดแ ลว ก็เปนอนั กําหนดรูต ัณหา 3 ไดด วย.
4. วญิ ญาณาหาร (อาหารคอื วญิ ญาณ ไดแ ก วญิ ญาณเปน ปจ จยั ใหเ กดิ นามรปู — Vi¤¤àõàhàra:
[213] 160 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร
nutriment consisting of consciousness; consciousness as nutriment) เมอื่ กําหนดรู
วญิ ญาณาหารไดแลว กเ็ ปนอันกาํ หนดรูนามรูปไดด วย.
D.III.228; M.I.48; S.II.101; Vbh.401. ที.ปา.11/244/240; ม.มู.12/113/87; ส.ํ นิ.16/245/122; อภ.ิ วิ.35/1081/543.
[213] อิทธิบาท 4 (คณุ เคร่อื งใหถ ึงความสาํ เร็จ, คุณธรรมทนี่ าํ ไปสคู วามสาํ เรจ็ แหง ผลท่ี
มุง หมาย — Iddhipàda: path of accomplishment; basis for success)
1. ฉันทะ (ความพอใจ คอื ความตอ งการที่จะทาํ ใฝใ จรกั จะทําส่ิงน้นั อยเู สมอ และปรารถนาจะ
ทําใหไดผลดยี ิ่งๆ ข้ึนไป — Chanda: will; zeal; aspiration)
2. วิรยิ ะ (ความเพยี ร คือ ขยนั หมนั่ ประกอบส่ิงน้นั ดว ยความพยายาม เขม แขง็ อดทน เอาธรุ ะ
ไมทอ ถอย — Viriya: energy; effort; exertion; perseverance)
3. จติ ตะ (ความคิดมุง ไป คือ ตงั้ จิตรบั รใู นสง่ิ ท่ีทําและทําสงิ่ นน้ั ดว ยความคิด เอาจิตฝก ใฝไม
ปลอ ยใจใหฟ ุงซา นเลอ่ื นลอยไป อุทิศตัวอุทศิ ใจใหแกส ่ิงทท่ี ํา — Citta: thoughtfulness;
active thought; dedication)
4. วมิ ังสา (ความไตรตรอง หรอื ทดลอง คอื หม่ันใชป ญญาพิจารณาใครครวญตรวจตราหา
เหตุผลและตรวจสอบขอย่ิงหยอ นในสง่ิ ที่ทําน้นั มกี ารวางแผน วัดผล คดิ คน วธิ ีแกไ ขปรับปรุง
เปนตน — Vãma§sà: investigation; examination; reasoning; testing)
D.III.221; Vbh.216. ที.ปา.11/231/233; อภ.ิ ว.ิ 35/505/292.
[214] อุปาทาน 4 (ความยึดมัน่ , ความถอื ม่นั ดวยอาํ นาจกเิ ลส, ความยดึ ติดอันเนือ่ งมาแต
ตัณหา ผกู พันเอาตัวตนเปน ทต่ี ้ัง — Upàdàna: attachment; clinging; assuming)
1. กามปุ าทาน (ความยดึ ม่นั ในกาม คอื รูป เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐัพพะ ท่นี า ใคร นา พอใจ —
Kàmupàdàna: clinging to sensuality)
2. ทฏิ ปุ าทาน (ความยึดมัน่ ในทิฏฐหิ รือทฤษฎี คือความเหน็ ลัทธิ หรือหลกั คําสอนตา งๆ —
Diññhupàdàna: clinging to views)
3. สลี ัพพตปุ าทาน (ความยดึ มัน่ ในศลี และพรต คือ ถอื วา จะบรสิ ทุ ธหิ์ ลุดพน ไดเพียงดวยศีล
และวัตร หลกั ความประพฤติ ขอ ปฏิบตั ิ แบบแผน ระเบียบ วิธี ขนบธรรมเนยี มประเพณี ลัทธิ
พิธีตา งๆ ถือวาจะตอ งเปนอยางนน้ั ๆ โดยสกั วา ทาํ สบื ๆ กันมา หรอื ปฏิบัติตามๆ กันไปอยาง
งมงาย หรือโดยนิยมวาขลัง วาศักด์ิสิทธ์ิ มิไดเปนไปดวยความรูความเขาใจตามหลักความ
สมั พนั ธแ หง เหตุและผล —Sãlabbatupàdàna: clinging to mere rules and rituals)
4. อัตตวาทุปาทาน (ความยดึ ม่นั ในวาทะวาตัวตน คอื ความถอื หรอื สําคญั หมายอยูในภายใน
วา มีตวั ตน ที่จะได จะเปน จะมี จะสญู สลาย ถูกบบี คนั้ ทําลาย หรอื เปน เจาของ เปนนายบงั คับ
บัญชาสิ่งตางๆ ได ไมม องเห็นสภาวะของสิ่งทง้ั ปวง อันรวมทงั้ ตัวตนวาเปน แตเ พยี งส่งิ ท่ปี ระชมุ
ประกอบกนั เขา เปน ไปตามเหตปุ จ จยั ทง้ั หลายทมี่ าสมั พนั ธก นั ลว นๆ — Attavàdupàdàna:
clinging to the ego-belief)
หมวด 4 161 [215]
D.III.230; M.I.66; Vbh.375. ที.ปา.11/262/242; ม.ม.ู 12/156/132; อภ.ิ วิ.35/963/506.
[215] โอฆะ 4 (สภาวะอนั เปน ดุจกระแสนํา้ หลากทวมใจสตั ว, กิเลสดจุ นํ้าทวมพาผูต กไปให
พินาศ — Ogha: the Four Floods) ไดแ ก กาม ภพ ทิฏฐิ อวิชชา [กาโมฆะ ภโวฆะ ทิฏโฐฆะ
อวชิ โชฆะ] เหมือนในอาสวะ 4.
ดู [136] อาสวะ 4.
D.III.230,276; S.V.59; Vbh.374. ที.ปา.11/258/242; สํ.ม.19/333/88; อภ.ิ วิ.35/963/506.
ปญจกะ — หมวด 5
Groups of Five
(including related groups)
[,,,] กัลยาณธรรม 5 ดู [239] เบญจธรรม.
[,,,] กามคุณ 5 ดู [6] กามคณุ 5.
[,,,] กําลัง 5 ของพระมหากษัตริย ดู [230] พละ 5 ของพระมหากษัตริย
[216] ขันธ 5 หรือ เบญจขันธ (กองแหงรปู ธรรมและนามธรรมหา หมวดที่ประชุมกนั
เขาเปนหนว ยรวม ซึง่ บัญญัติเรยี กวา สัตว บคุ คล ตัวตน เรา–เขา เปน ตน , สวนประกอบหาอยาง
ทีร่ วมเขาเปนชีวิต — Pa¤ca-khandha: the Five Groups of Existence; Five Aggregates)
1. รูปขนั ธ (กองรปู , สว นทเ่ี ปน รูป, รา งกาย พฤติกรรม และคุณสมบตั ติ า งๆ ของสว นที่เปน
รางกาย, สวนประกอบฝายรปู ธรรมทงั้ หมด, สิง่ ที่เปน รา งพรอมท้ังคุณและอาการ — Råpa-
khandha: corporeality)
2. เวทนาขันธ (กองเวทนา, สวนที่เปน การเสวยรสอารมณ, ความรสู กึ สุข ทกุ ข หรือเฉยๆ —
Vedanà-khandha: feeling; sensation)
3. สัญญาขนั ธ (กองสญั ญา, สวนท่ีเปนความกําหนดหมายใหจาํ อารมณน ้นั ๆ ได, ความ
กาํ หนดไดหมายรูในอารมณ 6 เชนวา ขาว เขียว ดํา แดง เปนตน — Sa¤¤à-khandha:
perception)
4. สังขารขันธ (กองสงั ขาร, สว นที่เปน ความปรงุ แตง , สภาพทปี่ รุงแตง จิตใหดหี รือช่ัวหรือเปน
กลางๆ, คณุ สมบัติตา งๆ ของจติ มเี จตนาเปน ตัวนาํ ท่ปี รงุ แตง คณุ ภาพของจติ ใหเ ปนกุศล
อกุศล อัพยากฤต — Saïkhàra-khandha: mental formations; volitional activities)
5. วญิ ญาณขนั ธ (กองวญิ ญาณ, สว นทเี่ ปน ความรแู จง อารมณ, ความรอู ารมณท างอายตนะทง้ั 6 มี
การเห็น การไดย นิ เปนตน ไดแ ก วิญญาณ 6 — Vi¤¤àõa-khandha: consciousness)
ขันธ 5 น้ี ยอ ลงมาเปน 2 คอื นาม และ รูป; รูปขนั ธจัดเปนรูป, 4 ขันธนอกนัน้ เปน นาม.
อีกอยางหนง่ึ จัดเขาในปรมัตถธรรม 4: วญิ ญาณขันธเ ปน จติ , เวทนาขันธ สญั ญาขันธ และ
สงั ขารขันธ เปน เจตสกิ , รูปขันธ เปน รูป, สว น นิพพาน เปนขนั ธวินมิ ตุ คือ พนจากขันธ 5
เร่อื งขันธ 5 พึงดปู ระกอบในหมวดธรรมอนื่ ๆ เชน
1. รปู ขนั ธ ดู [38] รปู 21, 28; [39] มหาภตู 4; [40] อุปาทายรปู 24.
2. เวทนาขนั ธ ดู [110] เวทนา 2; [111] เวทนา 3; [112] เวทนา 5; [113] เวทนา 6.
3. สญั ญาขันธ ดู [271] สัญญา 6.
หมวด 5 163 [218]
4. สังขารขนั ธ ดู [119] สังขาร 3 1; [120] สงั ขาร 3 2; [129] อภสิ ังขาร 3; [263] เจตนา 6.
5. วญิ ญาณขนั ธ ดู [268] วญิ ญาณ 6.
นอกน้ี ดู [356] จิต 89; [355] เจตสกิ 52
S.III.47; Vbh.1. สํ.ข.17/95/58; อภิ.วิ.35/1/1.
[,,,] คติ 5 ดู [351] ภูมิ 4 หรือ 31.
[217] จักขุ 5 (พระจักษุอันเปน สมบัติของพระผมู ีพระภาคเจา — Cakkhu: the Five Eyes
of the Blessed One)
1. มังสจกั ขุ (ตาเน้ือ คือ ทรงมพี ระเนตรอนั งาม มอี าํ นาจ เหน็ แจมใส ไว และเหน็ ไกล — Ma
§sa-cakkhu: the physical eye which is exceptionally powerful and sensitive)
2. ทพิ พจักขุ (ตาทพิ ย คือ ทรงมีพระญาณอันเห็นหมูสตั วผ เู ปนไปตางๆ กัน ดวยอํานาจกรรม
— Dibba-cakkhu: the Divine Eye)
3. ปญ ญาจักขุ (ตาปญ ญา คอื ทรงประกอบดว ยพระปญญาคุณยิ่งใหญ เปนเหตุใหสามารถ
ตรัสรอู ริยสัจจธรรม เปนตน — Pa¤¤à-cakkhu: the eye of wisdom; Wisdom-Eye)
4. พทุ ธจกั ขุ (ตาพระพทุ ธเจา คอื ทรงประกอบดว ยอนิ ทรยิ ปโรปรยิ ตั ตญาณ และอาสยานสุ ย
ญาณ เปนเหตุใหทรงทราบอัธยาศัยและอปุ นสิ ัยแหง เวไนยสตั ว แลว ทรงสัง่ สอนแนะนาํ ใหบรรลุ
คุณวิเศษตา งๆ ยังพุทธกจิ ใหบรบิ รู ณ — Buddha-cakkhu: the eye of a Buddha;
Buddha-Eye)
5. สมันตจกั ขุ (ตาเห็นรอบ คอื ทรงประกอบดว ยพระสพั พญั ุตญาณ อันหยัง่ รธู รรมทกุ
ประการ — Samanta-cakkhu: the eye of all-round knowledge; All-seeing Eye;
omniscience)
Nd2235. ขุ.ม.29/51/52.
[,,,] ฌาน 5 ดู [9] ฌาน 4.
[218] ธรรมขันธ 5 (กองธรรม, หมวดธรรม, ประมวลธรรมทัง้ ปวงเขาเปนหัวขอใหญ —
Dhamma-khandha: bodies of doctrine; categories of the Teaching)
1. สลี ขันธ (กองศีล, หมวดศีล ประมวลธรรมทั้งหลาย เชน อปจายนมยั เวยยาวัจจมยั
ปาตโิ มกขสงั วร กายสุจริต สมั มาวาจา สมั มากมั มนั ตะ สมั มาอาชวี ะ เปน ตน — Sãla-khandha:
body of morals; virtue category)
2. สมาธขิ นั ธ (กองสมาธ,ิ หมวดสมาธิ ประมวลธรรมท้ังหลาย เชน ฉนั ทะ วริ ิยะ จติ ตะ
สัมมาวายามะ สัมมาสติ สมั มาสมาธิ เปนตน — Samàdhi-khandha: body of concen-
tration; concentration category)
3. ปญญาขนั ธ (กองปญ ญา, หมวดปญญา ประมวลธรรมทั้งหลาย เชน ธัมมวิจยะ วมิ ังสา
[219] 164 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร
ปฏสิ มั ภิทา สัมมาทฏิ ฐิ สัมมาสังกัปปะ เปน ตน — Pa¤¤à-khandha: body of wisdom or
insight; understanding category)
4. วิมุตตขิ ันธ (กองวิมุตติ, หมวดวิมุตติ ประมวลธรรมทัง้ หลาย เชน ปหาน วิราคะ วิโมกข
วสิ ุทธิ สนั ติ นโิ รธ นพิ พาน เปน ตน — Vimutti-khandha: body of deliverance; deliver-
ance category)
5. วิมุตติญาณทัสสนขันธ (กองวิมตุ ตญิ าณทัสสนะ, หมวดธรรมเกี่ยวกบั การรกู ารเห็นใน
วมิ ตุ ติ ประมวลธรรมท้ังหลาย เชน ผลญาณ ปจจเวกขณญาณ เปน ตน — Vimutti¤àõa-
dassana-khandha: body of the knowledge and vision of deliverance; knowing-
and-seeing-of-deliverance category)
ธรรมขนั ธ 4 ขอ ตน เรียกอกี อยา งวา สาระ 4 (แกน , หลักธรรมที่เปน แกน , หวั ใจธรรม —
essences)
D.III.279; A.III.134; A.II.140. ที.ปา.11/420/301; อง.ฺ ปจฺ ก.22/108/152; องฺ.จตุกกฺ .21/150/189.
[219] ธรรมเทสกธรรม 5 (ธรรมของนกั เทศก, องคแหง ธรรมกถึก, ธรรมทผี่ ูแสดง
ธรรมหรือสั่งสอนคนอืน่ ควรตัง้ ไวใ นใจ — Dhammadesaka-dhamma: qualities of a
preacher; qualities which a teacher should establish in himself)
1. อนุปพุ พฺ ิกถํ (กลา วความไปตามลาํ ดบั คอื แสดงหลักธรรมหรอื เน้อื หาวิชาตามลําดับความ
งายยากลุมลึก มีเหตุผลสัมพันธตอเน่ืองกันไปโดยลําดับ — Anupubbikatha§: His
instruction or exposition is regulated and gradually advanced.)
2. ปรยิ ายทสสฺ าวี (ชแ้ี จงยกเหตุผลมาแสดงใหเ ขาใจ คือ ชีแ้ จงใหเ ขาใจชดั ในแตละแงแ ตละ
ประเด็น โดยอธบิ ายขยายความ ยักเยอื้ งไปตา งๆ ตามแนวเหตุผล — Pariyàyadassàvã: It
has reasoning or refers to causality.)
3. อนุทยตํ ปฏิจจฺ (แสดงธรรมดวยอาศัยเมตตา คอื สอนเขาดวยจติ เมตตา มงุ จะใหเปน
ประโยชนแกเ ขา — Anudayata§ pañicca: It is inspired by kindness; teaching out of
kindliness.)
4. น อามิสนฺตโร (ไมแสดงธรรมดวยเห็นแกอามิส คือ สอนเขามใิ ชเพราะมงุ ทีต่ นจะไดล าภ
หรือผลประโยชนตอบแทน — Na àmisantaro: It is not for worldly gain.)
5. อตฺตานฺจ ปรฺจ อนปุ หจฺจ (แสดงธรรมไมก ระทบตนและผูอ่นื คือ สอนตามหลักตาม
เนอื้ หา มุง แสดงอรรถ แสดงธรรม ไมย กตน ไมเ สียดสขี ม ข่ผี อู ่นื — Anupahacca: It does
not hurt oneself or others; not exalting oneself while contempting others.)
A.III.184. อง.ฺ ปจฺ ก.22/159/205.
[220] ธรรมสมาธิ 5 (ธรรมทีท่ าํ ใหเกดิ ความมัน่ สนิทในธรรม เกิดความม่ันใจในการ
ปฏบิ ัตธิ รรมถกู ตอ ง กาํ จัดความขอ งใจสงสยั เสียได เมอื่ เกิดธรรมสมาธิ คือความมน่ั สนทิ ใน
หมวด 5 165 [222]
ธรรม ก็จะเกิดจิตตสมาธิ คอื ความตั้งมน่ั ของจิต — Dhamma-samàdhi: concentration of
the Dhamma; virtues making for firmness in the Dhamma)
1. ปราโมทย (ความชน่ื บานใจ รา เรงิ สดใส — Pàmojja: cheerfulness; gladness; joy)
2. ปต ิ (ความอิม่ ใจ, ความปล้มื ใจ — Pãti: rapture; elation)
3. ปสสทั ธิ (ความสงบเย็นกายใจ, ความผอ นคลายรนื่ สบาย — Passaddhi: tranquillity;
relaxedness)
4. สุข (ความรืน่ ใจไรความของขดั — Sukha: happiness)
5. สมาธิ (ความสงบอยูตัวมั่นสนิทของจิตใจ ไมมีส่ิงรบกวนเราระคาย — Samàdhi:
concentration)
ธรรม หรือคุณสมบตั ิ 5 ประการน้ี ตรสั ไวทัว่ ไปมากมาย เมอ่ื ทรงแสดงการปฏิบตั ธิ รรมท่ี
กาวมาถึงขั้นเกิดความสาํ เร็จชัดเจน ตอจากนี้ ผูปฏิบตั ิจะเดนิ หนาไปสกู ารบรรลผุ ลของสมถะ
(คือไดฌ าน) หรือของวิปสสนา แลวแตก รณี ดังนั้น จงึ ใชเปนเครือ่ งวัดผลการปฏิบตั ิขน้ั ตอนใน
ระหวางไดดี และเปนธรรมหรอื คุณสมบัตสิ าํ คญั ของจติ ใจที่ทกุ คนควรทาํ ใหเกิดมีอยเู สมอ
S.IV.350. สํ.สฬ.18/665–673/429–439.
[221] ธรรมสวนานิสงส 5 (อานสิ งสใ นการฟง ธรรม — Dhammassavanànisa§sa:
benefits of listening to the Dhamma)
1. อสสฺ ุตํ สุณาติ (ยอ มไดฟ ง สง่ิ ทีย่ งั ไมเ คยฟง, ไดเรียนรสู ง่ิ ทยี่ งั ไมเ คยเรียนรู — He hears
things not heard.)
2. สุตํ ปริโยทเปติ (สง่ิ ทเี่ คยไดฟ ง ก็ทําใหแ จม แจง เขาใจชดั เจนย่ิงขนึ้ — He clears things
heard.)
3. กงฺขํ วหิ นติ (แกขอ สงสยั ได, บรรเทาความสงสยั เสยี ได — He dispels his doubts.)
4. ทิฏึ อุชุ กโรติ (ทําความเหน็ ใหถ กู ตองได — He makes straight his views.)
5. จติ ตฺ มสสฺ ปสที ติ (จติ ของเขายอมผองใส — His heart becomes calm and happy.)
A.III.248. องฺ.ปจฺ ก.22/202/276.
[222] นวกภิกขุธรรม 5 (ธรรมทีค่ วรฝกสอนภกิ ษบุ วชใหมใหประพฤติปฏบิ ัตอิ ยาง
ม่ันคง, องคแหงภกิ ษใุ หม — Navakabhikkhu-dhamma: qualities of a newly ordained
monk; qualities which should be established in newly ordained monks)
1. ปาตโิ มกขสังวร (สาํ รวมในพระปาฏโิ มกข รกั ษาศีลเครง ครดั ทงั้ ในสวนเวน ขอ หาม และทาํ
ตามขอ อนุญาต — Pàñimokkhasa§vara: restraint in accordance with the monastic
code of discipline; self-control strictly in accordance with the fundamental
training-rules)
2. อนิ ทรียสังวร (สาํ รวมอนิ ทรยี มสี ตริ ะวงั รกั ษาใจ มใิ หก เิ ลสคอื ความยนิ ดยี นิ รา ยเขา ครอบงาํ
[223] 166 พจนานุกรมพุทธศาสตร
เม่อื รับรูอ ารมณด ว ยอนิ ทรยี ท ง้ั 6 มเี หน็ รปู ดว ยตาเปน ตน — Indriyasa§vara: restraint of
the senses; sense-control)
3. ภัสสปรยิ ันตะ (พูดคยุ มีขอบเขต คอื จํากดั การพูดคุยใหนอ ย รขู อบเขต ไมเอิกเกรกิ เฮฮา
— Bhassapariyanta: restraint as regards talking)
4. กายวูปกาสะ (ปลกี กายอยสู งบ คือ เขา อยใู นเสนาสนะอันสงดั — Kàyavåpakàsa:
seclusion as to the body; love of solitude)
5. สัมมาทสั สนะ (ปลูกฝงความเห็นชอบ คือ สรา งเสรมิ สมั มาทิฏฐิ — Sammàdassana:
cultivation of right views.)
A.III.138. องฺ.ปฺจก.22/114/156.
[223] นิยาม 5 (กาํ หนดอนั แนนอน, ความเปน ไปอันมรี ะเบยี บแนน อนของธรรมชาติ, กฎ
ธรรมชาติ — Niyàma: orderliness of nature; the five aspects of natural law)
1. อตุ นุ ยิ าม (กฎธรรมชาตเิ กยี่ วกบั อณุ หภมู ิ หรอื ปรากฏการณธ รรมชาตติ า งๆ โดยเฉพาะดนิ นา้ํ
อากาศ และฤดกู าล อนั เปน สงิ่ แวดลอ มสาํ หรบั มนษุ ย — Utu-niyàma: physical inorganic
order; physical laws)
2. พชี นยิ าม (กฎธรรมชาตเิ กย่ี วกบั การสบื พนั ธุ มพี นั ธกุ รรมเปน ตน — Bãja-niyàma: physical
organic order; biological laws)
3. จิตตนิยาม (กฎธรรมชาตเิ กีย่ วกบั การทํางานของจิต — Citta-niyàma: psychic law)
4. กรรมนยิ าม (กฎธรรมชาตเิ ก่ยี วกบั การกระทําของมนุษย คือ กระบวนการใหผ ลของการ
กระทาํ — Kamma-niyàma: order of act and result; the law of Kamma; moral laws)
5. ธรรมนิยาม (กฎธรรมชาติเกี่ยวกับความสัมพนั ธแ ละอาการที่เปน เหตุเปน ผลแกกันแหง ส่ิง
ทั้งหลาย — Dhamma-niyàma: order of the norm; the general law of cause and
effect; causality and conditionality)
ดู [86] ธรรมนิยาม 3; [176] วิบัติ 4 2; [177] สมบัติ 4.
DA.II.432; DhsA.272. ที.อ.2/34; สงคฺ ณี.อ.408.
[224] นิโรธ 5 (ความดับกิเลส, ภาวะไรกิเลสและไมมีทุกขเกิดข้ึน — Nirodha:
extinction; cessation of defilements; non-arising of suffering)
1. วกิ ขมั ภนนโิ รธ (ดบั ดว ยขม ไว คอื การดบั กเิ ลสของทา นผบู าํ เพญ็ ฌาน ถงึ ปฐมฌาน ยอ มขม นวิ รณ
ไวไ ด ตลอดเวลาทอี่ ยใู นฌานนน้ั — Vikkhambhana-nirodha: extinction by suppression)
2. ตทงั คนโิ รธ (ดบั ดว ยองคน น้ั ๆ คอื ดบั กเิ ลสดว ยธรรมทเ่ี ปน คปู รบั หรอื ธรรมทตี่ รงขา ม เชน
ดับสักกายทิฏฐดิ ว ยความรูท ่กี าํ หนดแยกนามรปู ออกได เปนการดบั ช่วั คราวในกรณนี ้นั ๆ —
Tadaïga-nirodha: extinction by substitution of opposites)
3. สมจุ เฉทนโิ รธ (ดบั ดว ยตัดขาด คือ ดับกิเลสเสรจ็ สน้ิ เดด็ ขาด ดวยโลกตุ ตรมรรค ในขณะ
หมวด 5 167 [226]
แหงมรรคนั้น ชอ่ื สมุจเฉทนิโรธ — Samuccheda-nirodha: extinction by cutting off or
extirpation)
4. ปฏิปสสัทธินิโรธ (ดับดวยสงบระงับ คือ อาศัยโลกุตตรมรรคดับกิเลสเดด็ ขาดไปแลว
บรรลโุ ลกุตตรผล กเิ ลสเปน อันสงบระงบั ไปหมดแลว ไมต องขวนขวายเพอ่ื ดับอกี ในขณะแหง
ผลนัน้ ชื่อ ปฏิปสสทั ธินโิ รธ — Pañipassaddhi-nirodha: extinction by tranquillization)
5. นิสสรณนิโรธ (ดับดว ยสลัดออกได หรือดบั ดวยปลอดโปรง ไป คือ ดบั กเิ ลสเสร็จส้นิ แลว
ดาํ รงอยูในภาวะท่กี ิเลสดับแลว นน้ั ยัง่ ยืนตลอดไป ภาวะนนั้ ชื่อ นสิ สรณนิโรธ ไดแ กอมตธาตุ คอื
นพิ พาน — Nissaraõa-nirodha: extinction by escape; extinction by getting freed)
ปหาน 5 (การละกิเลส — abandonment), วมิ ตุ ติ 5 (ความหลุดพน — deliverance),
วิเวก 5 (ความสงดั , ความปลีกออก — seclusion), วริ าคะ 5 (ความคลายกําหนดั , ความ
สํารอกออกได — detachment; dispassionateness), โวสสคั คะ 5 (ความสละ, ความปลอย
— relinquishing) ก็อยา งเดยี วกนั นี้ท้งั หมด
Ps.I.27,220–221; Vism.410. ข.ุ ปฏิ.31/65/39; 704/609; วิสทุ ธฺ .ิ 2/249.
[225] นิวรณ 5 (ส่ิงทกี่ น้ั จติ ไมใ หก าวหนาในคุณธรรม, ธรรมที่ก้นั จติ ไมใ หบรรลคุ ุณความ
ดี, อกศุ ลธรรมทีท่ าํ จติ ใหเ ศราหมองและทาํ ปญ ญาใหออนกําลงั — Nãvaraõa: hindrances.)
1. กามฉนั ทะ (ความพอใจในกาม, ความตองการกามคณุ —Kàmachanda: sensual desire)
2. พยาบาท (ความคดิ รา ย, ความขัดเคืองแคนใจ — Byàpàda: illwill)
3. ถีนมทิ ธะ (ความหดหแู ละเซ่ืองซมึ — Thãna-middha: sloth and torpor)
4. อทุ ธจั จกกุ กจุ จะ (ความฟงุ ซา นและรอ นใจ, ความกระวนกระวายกลมุ กงั วล — Uddhacca-
kukkucca: distraction and remorse; flurry and worry; restlessness and anxiety)
5. วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสยั — Vicikicchà: doubt; uncertainty)
A.III.62; Vbh.378. อง.ฺ ปฺจก.22/51/72; อภ.ิ วิ.35/983/510.
[,,,] เบญจธรรม ดู [239] เบญจธรรม.
[,,,] เบญจศีล ดู [238] ศีล 5.
[,,,] ประโยชนที่ควรถือเอาจากโภคทรัพย 5 ดู [232] โภคอาทยิ ะ 5
[,,,] ปหาน 5 (การละกิเลส — Pahàna: abandonment) ดู [224] นโิ รธ 5
[,,,] ปญจกัชฌาน ดู [7] ฌาน 2.
[226] ปติ 5 (ความอม่ิ ใจ, ความดื่มด่าํ — Pãti: joy; interest; zest; rapture)
1. ขทุ ทกาปต ิ (ปติเลก็ นอ ย พอขนชูชนั น้ําตาไหล — Khuddakà-pãti: minor rapture;
lesser thrill)
[227] 168 พจนานกุ รมพุทธศาสตร
2. ขณิกาปติ (ปต ิชั่วขณะ ทําใหร สู ึกแปลบๆ เปนขณะๆ ดจุ ฟา แลบ — Khaõikà-pãti:
momentary or instantaneous joy)
3. โอกกนั ตกิ าปติ (ปติเปนระลอกหรือปติเปนพักๆ ใหร ูส ึกซลู งมาๆ ในกาย ดจุ คลนื่ ซดั ตอ ง
ฝง — Okkantikà-pãti: showering joy; flood of joy)
4. อุพเพคาปต ิ หรือ อุพเพงคาปติ (ปต ิโลดลอย เปนอยางแรงใหรสู กึ ใจฟแู สดงอาการหรอื
ทําการบางอยางโดยมไิ ดต ง้ั ใจ เชน เปลงอทุ าน เปน ตน หรอื ใหร ูสึกตวั เบาลอยขึ้นไปในอากาศ —
Ubbegà-pãti: uplifting joy)
5. ผรณาปติ (ปตซิ าบซา น ใหรูสกึ เย็นซา นแผเอิบอาบไปทว่ั สรรพางค ปต ทิ ี่ประกอบกบั สมาธิ
ทา นมุง เอาขอน้ี — Pharaõà-pãti: suffusing joy; pervading rapture)
Vism.143. วสิ ุทฺธ.ิ 1/182.
[227] พร 5 (สงิ่ นา ปรารถนาทบ่ี คุ คลหนง่ึ อาํ นวยใหห รอื แสดงความประสงคด ว ยความปรารถนา
ดใี หเ กดิ มขี นึ้ แกบ คุ คลอน่ื ; สงิ่ ประเสรฐิ , สง่ิ ดเี ยย่ี ม — Vara: blessing; boon; excellent thing)
พรท่รี จู กั กนั มากไดแก ชดุ ที่มจี ํานวน 4 ขอ ซ่งึ เรียกกันวา จตุรพิธพร หรือพร 4 ประการ
คอื อายุ วรรณะ สุขะ พละ
Dh.109; A.II.63. ข.ุ ธ.25/18/29; อง.ฺ จตกุ ฺก.21/58/83.
พรทเ่ี ปน ชดุ มจี าํ นวน 5 ขอ บาง 6 ขอบาง ก็มี เชน อายุ วรรณะ สขุ ะ พละ ปฏภิ าณ (อง.ฺ
ปฺจก.22/37/44 = A.III.42); อายุ วรรณะ ยศ เกียรติ สขุ ะ พละ (อง.ฺ จตกุ กฺ .21/34/45; อง.ฺ ปจฺ ก.
22/32/38; ขุ.อติ ิ. 25/270/299 = A.II.35; A.III.36; It.89); อายุ วรรณะ สุขะ ยศ เกียรติ สคั คะ คอื สวรรค
พรอ มทั้ง อุจจากุลีนตา คอื ความมีตระกลู สงู (อง.ฺ ปจฺ ก. 22/43/51 = A.III.48); อายุ วรรณะ ยศ สุข
อาธปิ จ จะ คอื ความเปน ใหญ (ข.ุ เปต. 26/106/195 = Pv. 308) และชุดทีจ่ ะกลาวถงึ ตอ ไปคือ อายุ
วรรณะ สุขะ โภคะ พละ
อยา งไรก็ดี พงึ ทราบวา คําวา พร ในท่นี ้ี เปน การใชโดยอนุโลมตามความหมายในภาษาไทย
ซึง่ เพีย้ นไปแลว จากความหมายเดิมในภาษาบาลี ในภาษาบาลีแตเดิม พร หมายถงึ ผลประโยชน
หรือสิทธิพิเศษทีอ่ นุญาตหรืออาํ นวยใหต ามที่ขอ พรทกี่ ลา วถึง ณ ท่ีน้ีทงั้ หมด ในบาลไี มไดเรียก
วา พร แตเรยี กวา ฐานะ หรือ ธรรม ท่นี าปรารถนา นา ใคร นาพอใจ (ซง่ึ จะบรรลไุ ดด ว ยกรรม
คอื การกระทาํ ทดี่ ีอนั เปน บญุ )
สําหรบั พระภกิ ษุ พรหรือธรรมอนั นา ปรารถนาเหลานี้ หมายถึงคุณธรรมตางๆ ที่ควรปลูกฝง
ฝก อบรมใหเกดิ มี ดงั พทุ ธพจนวา : ภิกษทุ อ งเทีย่ วอยู ภายในถ่ินทองเทย่ี วที่เปนแดนของตนอนั
สบื ทอดมาแตบ ิดา (คือ สตปิ ฏ ฐาน 4) จักเจริญดว ย
1. อายุ คือ พลงั ที่หลอ เลี้ยงทรงชวี ติ ใหส ืบตอ อยูไดย าวนาน ไดแก อิทธบิ าท 4 (for monks,
âyu: longevity = the Four Bases of Accomplishment)
2. วรรณะ คอื ความงามเอบิ อม่ิ ผอ งใสนา เจรญิ ตาเจรญิ ใจ ไดแ ก ศลี (Vaõõa: beauty =
หมวด 5 169 [229]
moral conduct)
3. สขุ ะ คอื ความสขุ ไดแ ก ฌาน 4 (Sukha: happiness = the Four Meditative Absorptions)
4. โภคะ คอื ความพร่ังพรอ มดว ยทรัพยส มบัติและอุปกรณต า งๆ อนั อาํ นวยความสขุ ความ
สะดวกสบาย ไดแ ก อปั ปมญั ญา หรอื พรหมวหิ าร 4 (Bhoga: wealth = the Four Boundless
Sublime States of Mind)
5. พละ คอื กาํ ลงั แรงความเขม แขง็ ทที่ าํ ใหข ม ขจดั ไดแ มแ ตก าํ ลงั แหง มาร ทาํ ใหส ามารถดาํ เนนิ ชวี ติ
ที่ดีงามปลอดโปรงเปน สขุ บําเพญ็ กิจดวยบรสิ ุทธิแ์ ละเต็มที่ ไมมกี เิ ลสหรือความทกุ ขใดๆ จะ
สามารถบบี คนั้ ครอบงาํ ไดแก วมิ ตุ ติ ความหลดุ พน หมดส้ินอาสวะ หรืออรหตั ตผล (Bala:
strength or power = the Final Freedom)
D.III.77. ที.ปา.11/50/85.
[228] พละ 5 (ธรรมอันเปนกําลงั — Bala: power)
องคธรรม 5 อยา งในหมวดนี้ มชี ือ่ ตรงกับ อินทรีย 5 จึงขอใหด ทู ี่ [258] อินทรยี 5
พละหมวดนี้เปน หลักปฏบิ ตั ิทางจิตใจ ใหถ งึ ความหลุดพนโดยตรง
D.III.239; A.III.10; Vbh.342. ที.ปา.11/300/252; องฺ.ปจฺ ก.22/13/11; อภ.ิ ว.ิ 35/844/462.
[229] พละ 4 (ธรรมอนั เปน กาํ ลงั , ธรรมอนั เปนพลังทาํ ใหด ําเนนิ ชีวติ ดวยความม่ันใจ ไม
หวน่ั ตอ ภัยทุกอยา ง — Bala: strength; force; power)
1. ปญญาพละ (กําลังปญญา — Pa¤¤à-bala: power of wisdom)
2. วิรยิ พละ (กําลังความเพยี ร — Viriya-bala: power of energy or diligence)
3. อนวัชชพละ (กาํ ลังสุจริต หรือ กาํ ลังความบรสิ ทุ ธิ์, ตามศพั ทแ ปลวา กําลงั การกระทําท่ไี มม ี
โทษ คอื มีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมบรสิ ุทธิ์ เชนมีความประพฤตแิ ละหนา ท่กี ารงานสุจริต
ไมมีขอ บกพรอ งเสยี หาย พดู จรงิ มีเหตุผล มุงดี ไมร กุ รานใหรา ยใคร ทําการดวยเจตนาบริสุทธ์ิ
— Anavajja-bala: power of faultlessness, blamelessness or cleanliness)
4. สังคหพละ (กําลังการสงเคราะห คอื การยึดเหนย่ี วนาํ้ ใจคนและประสานหมชู นไวในสามคั คี
— Saïgaha-bala: power of sympathy or solidarity) สงเคราะหด ว ยสงั คหวตั ถุ 4 คอื
4.1 ทาน (การใหป น โดยปกตหิ มายถึง ชวยเหลอื ในดา นทุนหรือปจจยั เครือ่ งยังชพี ตลอดจน
เผอื่ แผก ันดว ยไมตรี อยา งเลิศหมายถึงธรรมทาน คือ แนะนาํ ส่ังสอนใหความรคู วามเขา ใจ จน
เขารูจักพง่ึ ตนเองได — Dàna: gift; charity; benefaction)
4.2 เปยยวชั ชะ (พดู จบั ใจ, = ปย วาจา คือ พดู ดว ยนา้ํ ใจหวังดี มุงใหเ ปนประโยชน และรูจ กั
พดู ใหเ ปน ผลดี ทําใหเ กดิ ความเชือ่ ถือ สนิทสนม และเคารพนับถือกัน อยางเลศิ หมายถึง หมน่ั
แสดงธรรม คอยชวยชี้แจงแนะนําหลักความจริง ความถูกตองดีงาม แกผูท่ีตองการ —
Peyyavajja: kindly speech)
4.3 อตั ถจริยา (บาํ เพญ็ ประโยชน คอื ชว ยเหลอื รับใช ทํางานสรางสรรค ประพฤติการท่ีเปน
[230] 170 พจนานกุ รมพุทธศาสตร
ประโยชน อยางเลิศหมายถงึ ชว ยเหลือสงเสริมคนใหมคี วามเช่อื ถือถกู ตอ ง (สทั ธาสัมปทา) ให
ประพฤตดิ ีงาม (สลี สัมปทา) ใหม คี วามเสยี สละ (จาคสมั ปทา) และใหม ีปญญา (ปญ ญาสัมปทา)
— Atthacariyà: friendly aid; doing good; life of service)
4.4 สมานัตตตา (มีตนเสมอ คอื เสมอภาค ไมเ อาเปรยี บ ไมถ ือสงู ตา่ํ รวมสุขรว มทุกขด วย
อยางเลิศหมายถึง มีความเสมอกันโดยธรรม เชน พระโสดาบันมีตนเสมอกับพระโสดาบัน
เปนตน — Samànattatà: equality; impartiality; participation)
พละหมวดนี้ เปนหลักประกนั ของชวี ติ ผูประพฤติธรรม 4 นีย้ อ มดาํ เนนิ ชีวติ ดวยความมน่ั
ใจ เพราะเปน ผูม พี ลงั ในตน ยอ มขามพน ภยั ทงั้ 5 คือ
1. อาชวี ติ ภัย (ภัยเน่อื งดว ยการครองชีพ — fear of troubles about livelihood)
2. อสิโลกภยั (ภัยคอื ความเสื่อมเสยี ชอ่ื เสียง — fear of ill-fame)
3. ปรสิ สารชั ชภัย (ภยั คอื ความครั่นครามเกอเขนิ ในทีช่ ุมนุม — fear of embarrassment in
assemblies)
4. มรณภัย (ภัยคือความตาย — fear of death)
5. ทุคคติภัย (ภยั คอื ทุคติ — fear of a miserable life after death)
ดู [186] สงั คหวัตถุ 4.
A.IV.363. อง.ฺ นวก.23/209/376.
[230] พละ 5 ของพระมหากษัตริย (พลังของบุคคลผยู ิง่ ใหญทสี่ ามารถเปน
กษตั รยิ ปกครองแผนดนิ ได — Bala: strengths of a king)
1. พาหาพละ หรอื กายพละ (กําลงั แขน หรือกาํ ลงั กาย คอื ความแขง็ แรงมสี ขุ ภาพดี สามารถ
และชาํ นาญในการใชแ ขนใชม อื ใชอ าวธุ ตลอดจนมยี ทุ โธปกรณพ รงั่ พรอ ม — Bàhà-bala, Kàya-
bala: strength of arms)
2. โภคพละ (กําลังโภคสมบตั ิ คอื มที ุนทรพั ยบริบรู ณ พรอมท่จี ะใชบ าํ รงุ เลย้ี งคน และดําเนิน
กจิ การไดไมติดขดั — Bhoga-bala: strength of wealth)
3. อมัจจพละ (กาํ ลังอํามาตย หรอื กําลังขา ราชการ คอื มีทป่ี รึกษาและขา ราชการระดบั บริหารที่
ทรงคณุ วุฒิเกง กลา สามารถ และจงรักภักดี ซอื่ สตั ยตอแผนดิน — Amacca-bala: strength
of counsellors or ministers)
4. อภชิ จั จพละ (กาํ ลงั ความมีชาตสิ งู คอื กาํ เนดิ ในตระกูลสงู เปนขตั ตยิ ชาตติ องดว ยความ
นิยมเชดิ ชขู องมหาชน และไดร บั การฝก อบรมมาแลว เปนอยางดตี ามประเพณแี หง ชาตติ ระกูลนัน้
— Abhijacca-bala: strength of high birth)
5. ปญ ญาพละ (กาํ ลังปญญา คอื ทรงปรีชาญาณ หย่ังรเู หตผุ ล ผิดชอบ ประโยชน มใิ ช
ประโยชน สามารถวนิ จิ ฉยั เหตกุ ารณท ้งั ภายในภายนอก และดาํ รกิ ารตางๆ ใหไ ดผลเปน อยา งดี
— Pa¤¤à-bala: strength of wisdom)
หมวด 5 171 [232]
กาํ ลังแขน หรือกาํ ลงั กาย แมจะสําคัญ แตทา นจัดวาตํ่าสดุ หากไมมพี ลงั อน่ื ควบคมุ ค้ําจนุ
อาจกลายเปน กาํ ลังอนั ธพาล สวนกาํ ลังปญ ญา ทา นจดั วา เปนกําลงั อันประเสริฐ เปนยอดแหง
กําลงั ทง้ั ปวง เพราะเปนเครอ่ื งกาํ กับ ควบคุม และนาํ ทางกําลังอ่ืนทกุ อยา ง
J.V.120. ขุ.ชา.27/2444/532; ชา.อ.7/348.
[231] พหูสูตมีองค 5 (คุณสมบตั ิที่ทาํ ใหควรไดรบั ชอ่ื วา เปน พหสู ูต คือ ผูไ ดเรียนรมู าก
หรอื คงแกเรียน — Bahussutaïga: qualities of a learned person)
1. พหุสสฺ ตุ า (ฟง มาก คือ ไดเ ลา เรยี นสดับฟง ไวมาก — Bahussutà: having heard or
learned many ideas)
2. ธตา (จําได คอื จบั หลักหรอื สาระได ทรงจําความไวแมนยํา — Dhatà: having retained
or remembered them)
3. วจสา ปริจิตา (คลอ งปาก คอื ทอ งบน หรือใชพ ดู อยูเ สมอจนแคลว คลอ งจัดเจน — Vacasà
paricità: having frequently practised them verbally; having consolidated them by
word of mouth)
4. มนสานุเปกขฺ ิตา (เพงขน้ึ ใจ คือ ใสใจนึกคดิ พจิ ารณาจนเจนใจ นกึ ถึงครั้งใด กป็ รากฏเนื้อ
ความสวา งชัด — Manasànupekkhità: having looked over them with the mind)
5. ทิฏ ยิ า สปุ ฏิวทิ ธฺ า (ขบไดดว ยทฤษฎี หรือแทงตลอดดดี ว ยทิฏฐิ คือ มีความเขา ใจลกึ ซง้ึ
มองเห็นประจักษแ จง ดวยปญ ญา ทง้ั ในแงความหมายและเหตผุ ล — Diññhiyà supañividdhà:
having thoroughly penetrated them by view)
A.III.112. อง.ฺ ปฺจก.22/87/129.
[232] โภคอาทิยะ หรือ โภคาทิยะ 5 (ประโยชนท ่ีควรถอื เอาจากโภคทรพั ย หรอื
เหตุผลทอี่ รยิ สาวกควรยดึ ถือ ในการทีจ่ ะมหี รอื ครอบครองโภคทรพั ย — Bhoga-àdiya: uses
of possessions; benefits which one should get from wealth; reasons for earning
and having wealth)
อริยสาวกแสวงหาโภคทรพั ยมาได ดวยนํ้าพกั นา้ํ แรงความขยนั หมน่ั เพยี รของตน และโดย
ทางสจุ ริตชอบธรรมแลว
1. เลยี้ งตวั มารดาบดิ า บตุ รภรรยา และคนในปกครองทง้ั หลายใหเ ปน สขุ (to make oneself,
one’s parents, children, wife, servants and workmen happy and live in comfort)
2. บํารุงมติ รสหายและผูรว มกิจการงานใหเปนสุข (to share this happiness and
comfort with one’s friends)
3. ใชปองกนั ภยันตราย (to make oneself secure against all misfortunes)
4. ทําพลี 5 อยาง (to make the fivefold offering)
ก. ญาตพิ ลี สงเคราะหญาติ (to relatives, by giving help to them)
[233] 172 พจนานกุ รมพุทธศาสตร
ข. อติถพิ ลี ตอนรับแขก (to guests, by receiving them)
ค. ปพุ พเปตพลี ทาํ บุญอทุ ศิ ใหผ ูล วงลับ (to the departed, by dedicating merit to them)
ง. ราชพลี บาํ รงุ ราชการดว ยการเสยี ภาษอี ากรเปน ตน (to the king, i.e. to the government, by
paying taxes and duties and so on)
จ. เทวตาพลี ถวายเทวดา* คือ สกั การะบาํ รุงหรือทําบุญอุทิศสิง่ ท่เี คารพบูชาตามความเช่ือถือ
(to the deities, i.e. those beings who are worshipped according to one’s faith)
5. อปุ ถัมภบ ํารงุ สมณพราหมณผปู ระพฤติดปี ฏิบัตชิ อบ (to support those monks and
spiritual teachers who lead a pure and diligent life)
เม่อื ใชโภคทรพั ยท าํ ประโยชนอยา งน้ีแลว ถึงโภคะจะหมดส้ินไป ก็สบายใจไดว า ไดใชโภคะ
นั้นใหเปนประโยชนถูกตองตามเหตผุ ลแลว ถา โภคะเพิม่ ขน้ึ กส็ บายใจเชน เดยี วกนั เปน อนั ไม
ตองเดือดรอ นใจในทั้งสองกรณ.ี
A.III.45. องฺ.ปจฺ ก.22/41/48.
[233] มัจฉริยะ 5 (ความตระหน่ี, ความหวง, ความคดิ กดี กันไมใ หผ ูอนื่ ไดด ี หรอื มีสวน
รว ม — Macchariya: meanness; avarice; selfishness; stinginess; possessiveness)
1. อาวาสมจั ฉริยะ (ตระหนท่ี ่อี ย,ู หวงทีอ่ าศัย เชน ภกิ ษหุ วงเสนาสนะ กีดกนั ผอู น่ื หรือผมู ใิ ช
* ในจฬู นิทเทส ทา นอธิบายความหมายของ เทวดา ไวว า ไดแ กส ่งิ ที่นบั ถอื เปน ทกั ขิไณยของตนๆ (เย เยสํ
ทกฺขเิ ณยฺยา, เต เตสํ เทวตา — พวกไหนนับถอื สิง่ ใดเปน ทักขไิ ณย สิ่งน้ันก็เปน เทวดาของพวกนัน้ ) และ
แสดงตัวอยา งไวตามความเช่อื ถอื ของคนสมยั พุทธกาล ประมวลไดเปน 5 ประเภท คือ
1. นักบวช นักพรต (ascetics) เชน อาชวี กเปนเทวดาของสาวกอาชวี ก นิครนถ ชฎลิ ปริพาชก ดาบส ก็
เปน เทวดาของสาวกนคิ รนถเปน ตน เหลา น้นั ตามลาํ ดับ
2. สตั วเล้ยี ง (domestic animals) เชน ชางเปน เทวดาของพวกประพฤตพิ รตบชู าชาง มา โค ไก กา เปน ตน
ก็เปน เทวดาของพวกถอื พรตบชู าสตั วน ั้นๆ ตามลาํ ดับ
3. ธรรมชาติ (physical forces and elements) เชน ไฟเปน เทวดาของพวกประพฤติพรตบชู าไฟ แกว มณี
ทศิ พระจันทร พระอาทิตย เปน เทวดาของผูถือพรตบูชาส่งิ น้ันๆ ตามลาํ ดับ
4. เทพชนั้ ต่ํา (lower gods) เชน นาคเปน เทวดาของพวกประพฤตพิ รตบูชานาค ครุฑ ยกั ษ คนธรรพ เปน
เทวดาของผูถอื พรตบชู านาคเปน ตนเหลา นน้ั ตามลําดับ (พระภมู ิจัดเขา ในขอ นี)้
5. เทพชน้ั สูง (higher gods) เชน พระพรหม เปน เทวดาของพวกประพฤติพรตบูชาพระพรหม พระอนิ ทร
เปน เทวดาของผูถือพรตบชู าพระอนิ ทร เปนตน
สําหรับชนท่ียังมีความเช่ือถือในสิ่งเหลาน้ี พระพทุ ธศาสนาสอนเปลี่ยนแปลงเพยี งใหเลกิ เซน สรวงสงั เวยเอา
ชีวติ บูชายัญหันมาบชู ายญั ชนดิ ใหม คือบรจิ าคทานและบําเพญ็ กศุ ลกรรมตา งๆ อทุ ศิ ไปใหแ ทน คอื มงุ ทวี่ ธิ ี
การอันจะใหส าํ เรจ็ ประโยชนก อ น สว นการเปลี่ยนแปลงความเชื่อถือเปนเรื่องของการแกไขทางสติปญ ญา ซง่ึ
ประณตี ขึน้ ไปอีกชัน้ หน่งึ โดยเฉพาะนกั บวชในประเภทที่ 1 แมสาวกใดจะเปลย่ี นมานบั ถอื พระพุทธศาสนา
โดยสมบูรณ พระพทุ ธเจา กท็ รงแนะนาํ ใหอุปถัมภบาํ รงุ นักบวชนน้ั ตอ ไป
ดู Devatà ใน Pali Text Society’s Pali-English Dictionary, p. 330 ดวย
Nd2308. ข.ุ จ.ู 30/120/45.
หมวด 5 173 [234]
พวกของตน ไมใ หเ ขาอยู เปน ตน — âvàsa-macchariya: stinginess as to dwelling)
2. กุลมัจฉรยิ ะ (ตระหน่ีตระกลู , หวงสกุล เชน ภกิ ษุหวงสกลุ อุปฏ ฐาก คอยกดี กนั ภิกษุอ่นื ไม
ใหเ ก่ยี วขอ งไดรบั การบํารุงดว ย เปนตน — Kula-macchariya: stinginess as to family)
3. ลาภมจั ฉริยะ (ตระหน่ีลาภ, หวงผลประโยชน เชน ภิกษุหาทางกดี กนั ไมใหล าภเกดิ ขน้ึ แก
ภิกษุอนื่ — Làbha-macchariya: stinginess as to gain)
4. วัณณมจั ฉรยิ ะ (ตระหนี่วรรณะ, หวงสรีรวณั ณะ คือผวิ พรรณของรา งกาย ไมพ อใจใหผูอ ื่น
สวยงาม ก็ดี หวงคณุ วัณณะ คอื คําสรรเสรญิ คณุ ไมอยากใหใครมคี ณุ ความดีมาแขงตน หรือ
ไมพ อใจไดย นิ คําสรรเสริญคุณความดีของผอู ่ืน กด็ ี ตลอดจนแบง ชนั้ วรรณะกัน — Vaõõa-
macchariya: stinginess as to recognition; caste or class discrimination)
5. ธมั มมัจฉริยะ (ตระหนีธ่ รรม, หวงวิชาความรู และคุณพเิ ศษท่ีไดบรรลุ ไมย อมสอนไมย อม
บอกผูอนื่ กลวั เขาจะรูเทยี มเทาหรอื เกินตน — Dhamma-macchariya: stinginess as to
knowledge or mental achievements)
D.III.234; A.III.271; Vbh.357. ท.ี ปา.11/282/246; อง.ฺ ปฺจก.22/254/301; อภ.ิ วิ.35/978/509.
[234] มาร 5 (สิง่ ท่ีฆาบคุ คลใหตายจากคณุ ความดีหรือจากผลทหี่ มายอนั ประเสรฐิ , สงิ่ ทล่ี า ง
ผลาญคุณความดี, ตัวการที่กําจัดหรือขัดขวางบุคคลมิใหบรรลุผลสาํ เรจ็ อนั ดีงาม — Màra: the
Evil One; the Tempter; the Destroyer)
1. กิเลสมาร (มารคอื กเิ ลส, กเิ ลสเปนมารเพราะเปน ตวั กาํ จดั และขดั ขวางความดี ทาํ ใหส ตั ว
ประสบความพินาศท้งั ในปจ จุบนั และอนาคต — Kilesa-màra: the Màra of defilements)
2. ขันธมาร (มารคอื เบญจขันธ, ขันธ 5 เปน มาร เพราะเปนสภาพอนั ปจจัยปรงุ แตง มคี วามขัด
แยงกันเองอยภู ายใน ไมม นั่ คงทนนาน เปนภาระในการบรหิ าร ทัง้ แปรปรวนเส่อื มโทรมไปเพราะ
ชราพยาธเิ ปน ตน ลว นรอนโอกาสมิใหบคุ คลทํากิจหนา ท่ี หรือบาํ เพ็ญคณุ ความดไี ดเตม็ ปรารถนา
อยา งแรง อาจถงึ กบั พรากโอกาสน้นั โดยส้นิ เชิง — Khandha-màra: the Màra of the
aggregates)
3. อภิสังขารมาร (มารคืออภสิ ังขาร, อภิสังขารเปนมาร เพราะเปน ตัวปรุงแตง กรรม นําใหเ กิด
ชาติ ชรา เปนตน ขัดขวางมิใหห ลดุ พน ไปจากสังสารทุกข — Abhisaïkhàra-màra: the Màra
of Karma-formations)
4. เทวปุตตมาร (มารคือเทพบุตร, เทพยิง่ ใหญระดับสงู สุดแหงชั้นกามาวจรตนหนงึ่ ช่อื วา มาร
เพราะเปนนิมิตแหงความขัดของ คอยขดั ขวางเหนย่ี วรัง้ บุคคลไว มใิ หลว งพนจากแดนอํานาจ
ครอบงําของตน โดยชักใหหวงพะวงในกามสุขไมหาญเสียสละออกไปบําเพ็ญคุณความดีที่ย่ิง
ใหญได — Devaputta-màra: the Màra as deity)
5. มัจจมุ าร (มารคอื ความตาย, ความตายเปน มาร เพราะเปนตวั การตัดโอกาสที่จะกาวหนาตอ
ไปในคณุ ความดีทงั้ หลาย — Maccu-màra: the Màra as death)
[235] 174 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร
Vism.211; ThagA.II.16,46. วิสทุ ฺธ.ิ 1/270; เถร.อ. 2/24,383,441; วินย.ฏกี า1/481.
[,,,] มิจฉาวณิชชา 5 (การคา ขายทผี่ ดิ หรอื ไมช อบธรรม) เปน คาํ ชน้ั อรรถกถา บาลี
เรยี ก อกรณียวณิชชา คอื “วณิชชาทไ่ี มค วรทํา”
ดู [235] วณชิ ชา 5.
[235] วณิชชา 5 (การคา ขาย 5 อยา ง ในทนี่ ห้ี มายถงึ การคา ขายทเ่ี ปน อกรณยี ะสาํ หรบั อบุ าสก
คอื อบุ าสกไมค วรประกอบ — Vaõijjà: trades which should not be plied by a lay disciple)
1. สตั ถวณิชชา (คา ขายอาวุธ — Sattha-vaõijjà: trade in weapons)
2. สตั ตวณิชชา (คาขายมนุษย — Satta-vaõijjà: trade in human beings)
3. มังสวณิชชา (คา ขายเนอ้ื สัตว — Ma§sa-vaõijjà: trade in flesh; อรรถกถาแกว าเลีย้ ง
สัตวไ วข าย — trade in animals for meat)
4. มัชชวณชิ ชา (คา ขายของเมา — Majja-vaõijjà: trade in spirits or narcotics)
5. วสิ วณชิ ชา (คา ขายยาพิษ — Visa-vaõijjà: trade in poison)
A.III.207. องฺ.ปจฺ ก.22/177/233.
[,,,] วัฑฒิ หรอื วัฒิ หรอื วุฒิ 5 ดู [249] อริยวฑั ฒิ 5.
[236] วิมุตติ 5 (ความหลุดพน — deliverance) ดู [224] นโิ รธ 5 เทียบ ปหาน 5.
[,,,] วิราคะ 5 ดู [224] นิโรธ 5.
[,,,] วิเวก 5 ดู [224] นโิ รธ 5.
[,,,] เวทนา 5 ดู [112] เวทนา 5.
[237] เวสารัชชกรณธรรม 5 (ธรรมทาํ ความกลาหาญ, คณุ ธรรมที่ทําใหเ กดิ ความ
แกลวกลา — Vesàrajjakaraõa-dhamma: qualities making for intrepidity)
1. ศรทั ธา (ความเชอื่ ทมี่ เี หตผุ ล มน่ั ใจในหลกั ทถ่ี อื และในการดที ที่ าํ — Saddhà: faith; confidence)
2. ศลี (ความประพฤตถิ กู ตอ งดงี าม ไมผ ดิ ระเบยี บวนิ ยั ไมผ ดิ ศลี ธรรม — Sãla: good conduct;
morality)
3. พาหุสจั จะ (ความเปนผไู ดศ ึกษาเลาเรียนมาก — Bàhusacca: great learning)
4. วริ ยิ ารมั ภะ (ปรารภความเพียร คือ การทไี่ ดเร่ิมลงมอื ทาํ ความเพยี รพยายามในกิจการน้นั ๆ
อยูแลวอยางมั่นคงจรงิ จัง — Viriyàrambha: exertion; energy)
5. ปญญา (ความรอบรู เขา ใจชดั ในเหตุผล ดี ชว่ั ประโยชน มใิ ชประโยชน เปน ตน รคู ดิ รู
วนิ จิ ฉยั และรทู จี่ ะจัดการ — Pa¤¤à: wisdom; understanding)
A.III.127. อง.ฺ ปจฺ ก.22/101/144.
หมวด 5 175 [239]
[,,,] โวสสัคคะ 5 ดู [224] นิโรธ 5.
[238] ศีล 5 หรือ เบญจศีล (ความประพฤตชิ อบทางกายและวาจา, การรักษากายวาจา
ใหเ รยี บรอ ย, การรักษาปกตติ ามระเบียบวนิ ยั , ขอ ปฏบิ ัตใิ นการเวน จากความชวั่ , การควบคุมตน
ใหต้ังอยใู นความไมเ บยี ดเบยี น — Pa¤ca-sãla: the Five Precepts; rules of morality)
1. ปาณาติปาตา เวรมณี (เวนจากการปลงชีวิต, เวนจากการฆาการประทษุ รายกนั —
Pàõàtipàtà veramaõã: to abstain from killing)
2. อทินนฺ าทานา เวรมณี (เวนจากการถือเอาของท่ีเขามไิ ดให, เวนจากการลัก โกง ละเมิด
กรรมสทิ ธิ์ ทําลายทรัพยส ิน — Adinnàdànà ~: to abstain from stealing)
3. กาเมสุมิจฉฺ าจารา เวรมณี (เวนจากการประพฤติผิดในกาม, เวน จากการลว งละเมิดสงิ่ ที่
ผอู ่นื รกั ใครหวงแหน — Kàmesumicchàcàrà ~: to abstain from sexual misconduct)
4. มุสาวาทา เวรมณี (เวนจากการพูดเท็จ โกหก หลอกลวง — Musàvàdà ~: to abstain
from false speech)
5. สรุ าเมรยมชชฺ ปมาทฏานา เวรมณี (เวน จากนํ้าเมาคือสรุ าและเมรัยอันเปนทีต่ ้งั แหง
ความประมาท, เวน จากสง่ิ เสพตดิ ใหโ ทษ — Suràmerayamajjapamàdaññhànà ~: to abstain
from intoxicants causing heedlessness)
ศลี 5 ขอ น้ี ในบาลีชั้นเดิมสว นมากเรยี กวา สิกขาบท 5 (ขอ ปฏบิ ัตใิ นการฝกตน — Sikkhà-
pada: training rules) บา ง ธรรม 5 บา ง เมื่อปฏบิ ตั ิไดตามนี้ กช็ ื่อวา เปน ผูม ศี ลี คือเปนเบ้อื ง
ตนทีจ่ ัดวาเปน ผมู ีศีล (virtuous) คําวา เบญจศีล ทีม่ าในพระไตรปฎ ก ปรากฏในคมั ภีรช้ัน
อปทาน และพุทธวงส ตอ มาในสมัยหลงั มชี อ่ื เรียกเพิม่ ขึน้ วา เปน นจิ ศีล (ศลี ทค่ี ฤหสั ถควรรกั ษา
เปนประจํา — virtues to be observed uninterruptedly) บาง วา เปน มนุษยธรรม (ธรรม
ของมนุษยห รือธรรมทท่ี ําใหเ ปนมนุษย — virtues of man) บาง
ดู คาํ สมาทาน ใน Appendix
D.III.235; A.III.203,275; Vbh.285. ท.ี ปา.11/286/247; อง.ฺ ปจฺ ก.22/172/227; 264/307; อภ.ิ วิ.35/767/388.
[239] เบญจธรรม หรอื เบญจกัลยาณธรรม (ธรรม 5, ธรรมอนั ดีงามหา อยาง,
คณุ ธรรมหา ประการ คกู บั เบญจศีล เปน ธรรมเก้ือกลู แกก ารรกั ษาเบญจศลี ผูรักษาเบญจศีลควร
มีไวประจาํ ใจ — Pa¤ca-dhamma: the five ennobling virtues; virtues enjoined by
the five precepts)
1. เมตตาและกรุณา (ความรกั ใครป รารถนาใหม ีความสุขความเจริญ และความสงสารคิดชวย
ใหพน ทกุ ข — Mettà-karuõà: loving-kindness and compassion) คกู ับศลี ขอท่ี 1
2. สมั มาอาชวี ะ (การหาเลย้ี งชพี ในทางสจุ รติ — Sammà-àjãva: right means of livelihood) คู
กบั ศลี ขอ ท่ี 2
3. กามสังวร (ความสังวรในกาม, ความสํารวมระวังรจู กั ยับย้งั ควบคุมตนในทางกามารมณ ไม
[240] 176 พจนานกุ รมพุทธศาสตร
ใหห ลงใหลในรปู เสียง กล่ิน รส และสมั ผัส — Kàmasa§vara: sexual restraint) คูก บั ศลี
ขอ ท่ี 3
4. สัจจะ (ความสตั ย ความซื่อตรง — Sacca: truthfulness; sincerity) คูกับศีลขอ ที่ 4
5. สตสิ มั ปชญั ญะ (ระลกึ ไดแ ละรตู วั อยเู สมอ คอื ฝก ตนใหเ ปน คนรจู กั ยง้ั คดิ รสู กึ ตวั เสมอวา สง่ิ
ใดควรทาํ และไมค วรทาํ ระวงั มใิ หเ ปน คนมวั เมาประมาท — Sati-sampaja¤¤a: mindfulness
and awareness; temperance) คกู บั ศลี ขอ ที่ 5
ขอ 2 บางแหง เปน ทาน (การแบง ปน เออื้ เฟอ เผอื่ แผ — Dàna: giving; generosity) ขอ 3 บาง
แหง เปน สทารสนั โดษ (ความพอใจดว ยภรรยาของตน — Sadàrasantosa: contentment with
one’s own wife) ขอ 5 บางแหง เปน อปั ปมาทะ (ความไมป ระมาท — Appamàda: heedfulness)
เบญจธรรมน้ี ทา นผกู เปนหมวดธรรมขึน้ ภายหลงั จงึ มแี ปลกกนั ไปบา ง เมือ่ วา โดยทีม่ า
หวั ขอเหลา น้ีสว นใหญประมวลไดจ ากความทอ นทายของกศุ ลกรรมบถขอตน ๆ.
ดู [320] กศุ ลกรรมบถ 10 2; [238] ศีล 5.
[240] ศีล 8 หรือ อัฏฐศีล (การรักษาระเบียบทางกายวาจา, ขอ ปฏบิ ตั ิในการฝก หดั กาย
วาจาใหยง่ิ ขน้ึ ไป — Aññha-sãla: the Eight Precepts; training rules)
1. ปาณาตปิ าตา เวรมณี (เวน จากการทาํ ชีวิตสัตวใ หต กลวงไป — Pàõàtipàtà veramaõã:
to abstain from taking life)
2. อทินฺนาทานา เวรมณี (เวนจากการถือเอาของท่ีเขามิไดใหดวยอาการแหงขโมย —
Adinnàdànà ~: to abstain from taking what is not given)
3. อพฺรหฺมจริยา เวรมณี (เวนจากกรรมอันมิใชพรหมจรรย, เวนจากการประพฤติผิด
พรหมจรรย คอื รวมประเวณี — Abrahmacariyà ~: to abstain from unchastity)
4. มสุ าวาทา เวรมณี (เวนจากการพูดเท็จ — Musàvàdà ~: to abstain from false
speech)
5. สุราเมรยมชฺชปมาทฏ านา เวรมณี (เวนจากนํา้ เมา คอื สรุ าและเมรัยอนั เปน ทตี่ ง้ั แหง
ความประมาท — Suràmerayamajjapamàdaññhànà ~: to abstain from intoxicants causing
heedlessness)
6. วกิ าลโภชนา เวรมณี (เวน จากการบรโิ ภคอาหารในเวลาวกิ าล คอื ตั้งแตเ ท่ียงแลวไป จนถงึ
รงุ อรณุ ของวนั ใหม — Vikàlabhojanà ~: to abstain from untimely eating)
7. นจจฺ คตี วาทติ วสิ กู ทสสฺ นมาลาคนธฺ วเิ ลปนธารณมณฑฺ นวภิ สู นฏ านา เวรมณี (เวน
จากการฟอ นราํ ขับรอง บรรเลงดนตรี ดกู ารละเลนอนั เปน ขา ศึกตอ พรหมจรรย การทัดทรง
ดอกไม ของหอม และเครือ่ งลูบไล ซ่งึ ใชเ ปน เคร่อื งประดบั ตกแตง — Naccagãtavàdita-
visåkadassana-màlàgandhavilepanadhàraõamaõóanavibhåsanaññhànà ~: to abstain
from dancing, singing, music and unseemly shows, from wearing garlands,
หมวด 5 177 [242]
smartening with scents, and embellishment with unguents)
8. อจุ จฺ าสยนมหาสยนา เวรมณี (เวน จากทนี่ อนอนั สงู ใหญห รหู ราฟมุ เฟอ ย — Uccàsayana-
mahàsayanà ~: to abstain from the use of high and large luxurious couches)
คําสมาทาน ใหเตมิ สิกฺขาปทํ สมาทยิ ามิ ตอทายทกุ ขอ แปลเพ่มิ วา “ขา พเจา ขอสมาทาน
สกิ ขาบท คือเจตนางดเวน จาก ... หรือ ขา พเจา ขอถอื ขอ ปฏบิ ตั ใิ นการฝกตนเพือ่ งดเวนจาก ...”
ศลี 8 น้ี สมาทานรกั ษาพเิ ศษในวนั อโุ บสถ เรยี กวา อโุ บสถ (Uposatha: the Observances)
หรอื อโุ บสถศลี (precepts to be observed on the Observance Day)
A.IV.248. อง.ฺ อฏก.23/131/253.
[241] ศีล 8 ทั้งอาชีวะ หรอื อาชีวัฏฐมกศีล (ศลี มีอาชวี ะเปนคาํ รบ 8, หลัก
ความประพฤติรวมทง้ั อาชีวะทบี่ รสิ ุทธด์ิ วยเปน ขอ ที่ 8 — âjãvaññhamaka-sãla: virtue having
livelihood as eight; the set of eight precepts of which pure livelihood is the
eighth)
1.–7. ตรงกบั กศุ ลกรรมบถ 7 ขอ ตน (กายกรรม 3 วจีกรรม 4)
8. สมั มาอาชวี ะ
อาชีวัฏฐมกศลี น้ี เปน ศลี สวนอาทพิ รหมจรรย คือ เปนหลักความประพฤติเบอ้ื งตน ของ
พรหมจรรย กลาวคอื มรรค เปนสงิ่ ท่ีตองประพฤตใิ หบรสิ ทุ ธิ์ในข้ันตนของการดาํ เนนิ ตามอริย-
อัฏฐงั คิกมรรค
วาโดยสาระ อาชีวฏั ฐมกศลี กค็ อื องคม รรค 3 ขอ ในหมวดศีล คอื ขอที่ 3, 4, 5 ไดแ ก
สมั มาวาจา สัมมากมั มนั ตะ และ สัมมาอาชวี ะ น่ันเอง
ดู [293] มรรคมีองค 8; [319] กศุ ลกรรมบถ 101; [320] กศุ ลกรรมบถ 102.
Vism.11. วิสุทธฺ .ิ 1/13.
[242] ศีล 10 หรือ ทศศีล (การรกั ษาระเบยี บทางกายวาจา, ขอปฏบิ ัตใิ นการฝก หัดกาย
วาจาใหย่งิ ข้ึนไป — Dasa-sãla: the Ten Precepts; training rules)
6 ขอแรกเหมือนในศีล 8; ขอ ที่ 7 แยกเปน 2 ขอ ดังน้ี
7. นจจฺ คีตวาทติ วสิ กู ทสฺสนา เวรมณี (เวน จากการฟอ นราํ ขับรอ ง บรรเลงดนตรี ดู
การละเลน อนั เปน ขา ศกึ ตอพรหมจรรย — Nacca~dassanà ~: to abstain from dancing,
singing, music and unseemly shows)
8. มาลาคนธฺ วิเลปนธารณมณฑฺ นวภิ ูสนฏ านา เวรมณี (เวน จากการทดั ทรงดอกไม
ของหอม และเครอ่ื งลบู ไล ซงึ่ ใชเ ปน เครอื่ งประดบั ตกแตง — Màlà~ñhànà ~: to abstain
from wearing garlands, smartening with scents, and embellishment with unguents)
เล่ือนขอ 8 ในศีล 8 เปน ขอ 9 และเติมขอ 10 ดังน้ี
[243] 178 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร
10. ชาตรูปรชตปฏคิ ฺคหณา เวรมณี (เวน จากการรับทองและเงิน — Jàtaråparajata-
pañiggahaõà ~: to abstain from accepting gold and silver)
สกิ ขาบท 10 นี้ เปน ศีลที่สามเณรและสามเณรีรกั ษาเปน ประจํา หรอื อบุ าสกอบุ าสกิ าผูมี
อตุ สาหะจะรักษากไ็ ด
Kh.I.1. ขุ.ขุ.25/1/1.
[,,,] สกทาคามี 5 ดู [59] สกคามี 3, 5.
[,,,] สมบัติของอุบาสก 5 ดู [259] อบุ าสกธรรม 5.
[243] สังวร 5 (ความสํารวม, ความระวังปดกนั้ บาปอกุศล — Sa§vara: restraint)
สงั วรศลี (ศลี คอื สงั วร, ความสาํ รวมเปน ศลี — virtue as restraint) ไดแ ก สงั วร 5 อยา ง คอื
1. ปาฏโิ มกขสังวร (สํารวมในปาฏโิ มกข คือ รักษาสิกขาบทเครง ครัดตามทท่ี รงบัญญตั ิไวใ น
พระปาฏโิ มกข — Pàñimokkha-sa§vara: restraint by the monastic code of discipline)
2. สตสิ งั วร (สํารวมดวยสติ คือ สํารวมอินทรียม ีจกั ษเุ ปนตน ระวังรกั ษามิใหบ าปอกุศลธรรม
เขา ครอบงาํ เมอ่ื เหน็ รปู เปน ตน — Sati-sa§vara: restraint by mindfulness) = อนิ ทรยี สงั วร
3. ญาณสังวร (สํารวมดวยญาณ คอื ตดั กระแสกเิ ลสมตี ณั หาเปน ตน เสยี ได ดวยใชป ญญา
พิจารณา มิใหเขามาครอบงําจิต ตลอดถึงรูจักพิจารณาเสพปจจัยส่ี — ¥àõa-sa§vara:
restraint by knowledge) = ปจ จัยปจจเวกขณ
4. ขนั ตสิ ังวร (สาํ รวมดว ยขนั ติ คอื อดทนตอหนาว รอน หิว กระหาย ถอยคาํ แรงรา ย และ
ทุกขเวทนาตางๆ ได ไมแ สดงความวกิ าร — Khanti-sa§vara: restraint by patience)
5. วริ ยิ สังวร (สาํ รวมดว ยความเพียร คอื พยายามขบั ไล บรรเทา กําจดั อกศุ ลวติ กทเ่ี กดิ ขน้ึ แลว
ใหหมดไปเปนตน ตลอดจนละมิจฉาชพี เพียรแสวงหาปจ จยั สเ่ี ลีย้ งชวี ิตดวยสัมมาชีพ ทีเ่ รียกวา
อาชวี ปาริสทุ ธิ — Viriya-sa§vara: restraint by energy) = อาชีวปาริสทุ ธ.ิ
ในคมั ภรี บางแหง ทอ่ี ธบิ ายคาํวา วนิ ยั แบง วนิ ัยเปน 2 คือ สงั วรวนิ ัย กับ ปหานวินัย และ
จาํ แนกสงั วรวนิ ยั เปน 5 มแี ปลกจากนเ้ี ฉพาะขอ ท่ี 1 เปน สลี สงั วร. (ดู สตุ ตฺ .อ.1/9; สงคฺ ณ.ี อ.505; SnA.8;
DhsA.351).
Vism.7; PsA.14,447; VbhA.330. วิสุทธฺ .ิ 1/8; ปฏิส.ํ อ.16; วิภงคฺ .อ.429.
[244] สุทธาวาส 5 (พวกมที อ่ี ยูอันบริสุทธ์ิ หรือทีอ่ ยูข องทา นผบู ริสทุ ธ์ิ คอื ทีเ่ กิดของพระ
อนาคามี — Suddhàvàsa: pure abodes) ไดแ ก อวหิ า อตปั ปา สทุ สั สา สทุ สั สี และ อกนฏิ ฐา
สทุ ธาวาส 5 นี้ เปน รูปาวจรภมู ิ (ช้ันจตุตถฌานภมู ิ ลาํ ดบั ท่ี 3 ถงึ 7) ในพระไตรปฎ กแสดง
ไวในรายช่ือทีร่ วมกับภมู ิอน่ื ๆ บา งเทาท่ีมเี รอื่ งเก่ียวขอ ง จึงไมม ีรายชือ่ ภมู ทิ ั้งหมดทกุ ช้ันทุกระดับ
ครบถวนในที่เดยี ว แตใ นคมั ภรี ชั้นอรรถกถาบางแหง ทา นแสดงรายช่ือภมู ิไวทั้งหมดครบทุกชั้น
ทุกระดับ มจี ํานวนรวมทงั้ สิ้น 31 ภมู ิ จึงจะแสดงความหมายของชอ่ื สุทธาวาสภมู ิทงั้ 5 นี้ รวมไว
ในรายช่ือภมู ิ 31 นั้น
หมวด 5 179 [246]
ดู [351] ภูมิ 31.
D.III.237; M.III.99–103; Pug.17. ที.ปา.11/2/250; ม.อ.ุ 14/317–332/216–225; อภ.ิ ป.ุ 36/56/149.
[,,,] องคแหงธรรมกถึก 5 ดู [219] ธรรมเทสกธรรม 5.
[,,,] องคแหงภิกษุใหม 5 ดู [222] นวกภกิ ขุธรรม 5.
[245] อนันตริยกรรม 5 (กรรมหนกั ทสี่ ดุ ฝา ยบาปอกศุ ล ซง่ึ ใหผ ลรนุ แรงตอ เนอ่ื งไป โดย
ไมม กี รรมอนื่ จะมากนั้ หรอื คน่ั ได — Anantariya-kamma: immediacy-deeds; heinous
crimes which bring immediate, uninterrupted and uninterruptible results)
1. มาตุฆาต (ฆามารดา — Màtughàta: matricide)
2. ปตฆุ าต (ฆา บดิ า — Pitughàta: patricide)
3. อรหันตฆาต (ฆาพระอรหนั ต — Arahantaghàta: killing an Arahant)
4. โลหติ ปุ บาท (ทาํ รา ยพระพุทธเจาจนถงึ พระโลหติ หอ ขน้ึ ไป — Lohituppàda: causing a
Buddha to suffer a contusion or to bleed)
5. สงั ฆเภท (ยงั สงฆใ หแ ตกกนั , ทาํ ลายสงฆ — Saïghabheda: causing schism in the
Order)
กรรม 5 นี้ ในพระบาลีเรียกวา อนันตรกิ กรรม
A.III.146; Vbh.378. องฺ.ปจฺ ก.22/129/165; อภิ.ว.ิ 35/984/510.
[,,,] อนาคามี 5 ดู [60] อนาคามี 5.
[246] อนุปุพพิกถา 5 (เรอื่ งทก่ี ลาวถงึ ตามลําดับ, ธรรมเทศนาทแ่ี สดงเนอ้ื ความลมุ ลกึ
ลงไปโดยลาํ ดับ เพ่ือขดั เกลาอัธยาศัยของผฟู ง ใหประณตี ขน้ึ ไปเปนช้นั ๆ จนพรอ มท่ีจะทําความ
เขา ใจในธรรมสว นปรมตั ถ — Anupubbikathà: progressive sermon; graduated sermon;
subjects for gradual instruction)
1. ทานกถา (เรอ่ื งทาน, กลา วถึงการให การเสยี สละเผอ่ื แผแ บง ปน ชว ยเหลือกัน — Dàna-
kathà: talk on giving, liberality or charity)
2. สลี กถา (เรอื่ งศลี , กลา วถงึ ความประพฤตทิ ถ่ี กู ตอ งดงี าม — Sãla-kathà: talk on morality or
righteousness)
3. สัคคกถา (เรื่องสวรรค, กลาวถึงความสุขความเจริญ และผลทน่ี า ปรารถนาอันเปน สวนดขี อง
กาม ทจี่ ะพงึ เขาถึง เมอื่ ไดประพฤติดงี ามตามหลกั ธรรมสองขอตน — Sagga-kathà: talk on
heavenly pleasures)
4. กามาทนี วกถา (เรือ่ งโทษแหง กาม, กลา วถงึ สวนเสยี ขอบกพรอ งของกาม พรอมทั้งผลราย
ท่สี บื เนือ่ งมาแตกาม อนั ไมค วรหลงใหลหมกมนุ มัวเมา จนถงึ รูจกั ที่จะหนา ยถอนตนออกได —
Kàmàdãnava-kathà: talk on the disadvantages of sensual pleasures)
[247] 180 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร
5. เนกขมั มานิสงั สกถา (เรอ่ื งอานสิ งสแ หงความออกจากกาม, กลา วถงึ ผลดขี องการไมหมก
มนุ เพลดิ เพลนิ ตดิ อยูใ นกาม และใหม ฉี นั ทะทจ่ี ะแสวงความดงี ามและความสขุ อันสงบทีป่ ระณีต
ย่งิ ขึน้ ไปกวานน้ั — Nekkhammànisa§sa-kathà: talk on the benefits of renouncing
sensual pleasures)
ตามปกติ พระพทุ ธเจาเม่อื จะทรงแสดงพระธรรมเทศนาแกคฤหสั ถ ผูมอี ุปนิสัยสามารถทจ่ี ะ
บรรลธุ รรมพเิ ศษ ทรงแสดงอนปุ ุพพิกถาน้ีกอน แลว จงึ ตรสั แสดงอริยสัจจ 4 เปนการทําจิตให
พรอ มท่จี ะรับ ดจุ ผา ทซี่ ักฟอกสะอาดแลว ควรรับนาํ้ ยอ มตางๆ ไดดว ยดี
Vin.I.15; D.I.148. วนิ ย.4/27/32; ที.ส.ี 9/237/189.
[247] อภิณหปจจเวกขณ 5 (ขอที่สตรีก็ตาม บรุ ุษก็ตาม คฤหัสถก็ตาม บรรพชติ ก็
ตาม ควรพจิ ารณาเนืองๆ — Abhiõhapaccavekkhaõa: ideas to be constantly
reviewed; facts which should be again and again contemplated)
1. ชราธัมมตา (ควรพิจารณาเนืองๆ วา เรามคี วามแกเ ปนธรรมดา ไมลว งพนความแกไปได
— Jaràdhammatà: He should again and again contemplate: I am subject to decay
and I cannot escape it.)
2. พยาธธิ มั มตา (ควรพจิ ารณาเนอื งๆ วา เรามคี วามเจบ็ ปว ยเปน ธรรมดา ไมล ว งพน ความเจบ็
ปว ยไปได — Byàdhidhammatà: I am subject to disease and I cannot escape it.)
3. มรณธมั มตา (ควรพจิ ารณาเนอื งๆ วา เรามีความตายเปนธรรมดา ไมลว งพนความตายไป
ได — Maraõadhammatà: I am subject to death and I cannot escape it.)
4. ปยวนิ าภาวตา (ควรพจิ ารณาเนอื งๆ วา เราจกั ตองมคี วามพลัดพรากจากของรักของชอบใจ
ทงั้ สิ้น — Piyavinàbhàvatà: There will be division and separation from all that are
dear to me and beloved.)
5. กัมมสั สกตา (ควรพจิ ารณาเนอื งๆ วา เรามีกรรมเปน ของตน เราทาํ กรรมใด ดกี ต็ าม ชั่ว
กต็ าม จักตองเปนทายาท ของกรรมน้นั — Kammassakatà: I am owner of my deed,
whatever deed I do, whether good or bad, I shall become heir to it.)
ขอท่ีควรพิจารณาเนืองๆ 5 อยางนี้ มวี ัตถปุ ระสงคเพอื่ ละสาเหตตุ า งๆ มคี วามมัวเมา
เปนตน ที่ทาํ ใหสตั วทง้ั หลายตกอยูใ นความประมาท และประพฤติทจุ ริตทางไตรทวาร กลาวคอื
ขอ 1 เปนเหตุละหรอื บรรเทาความเมาในความเปนหนมุ สาวหรือความเยาวว ยั
ขอ 2 เปนเหตลุ ะหรือบรรเทาความเมาในความไมม ีโรค คอื ความแขง็ แรงมสี ขุ ภาพดี
ขอ 3 เปน เหตลุ ะหรอื บรรเทาความเมาในชีวิต
ขอ 4 เปนเหตลุ ะหรอื บรรเทาความยดึ ติดผูกพันในของรกั ทั้งหลาย
ขอ 5 เปน เหตุละหรอื บรรเทาความทุจรติ ตา งๆ โดยตรง
เมือ่ พิจารณาขยายวงออกไป เห็นวามิใชตนผูเดยี วทีต่ อ งเปน อยา งน้ี แตเปนคตธิ รรมดาของ
หมวด 5 181 [248]
สตั วท ง้ั ปวงทจ่ี ะตอ งเปนไป เมือ่ พจิ ารณาเหน็ อยางนเ้ี สมอๆ มรรคก็จะเกิดขนึ้ เมอ่ื เจริญมรรคนัน้
มากเขา ก็จะละสังโยชนท้งั หลาย สิน้ อนุสยั ได.
A.III.71. อง.ฺ ปจฺ ก.22/57/81.
[248] ปพพชิตอภิณหปจจเวกขณ 10 (ธรรมทบี่ รรพชิตควรพจิ ารณาเนอื งๆ
— Pabbajita-abhiõhapaccavekkhaõa: ideas to be constantly reviewed by a monk;
facts which the monk should again and again contemplate)
บรรพชติ ควรพจิ ารณาเนืองๆ วา (เติมลงหนาขอความทุกขอ)
1. เราถึงความมเี พศตา งจากคฤหสั ถแลว * (I have come to a status different from
that of a layman.)
ขอ นบี้ าลีวา “เววณณฺ ยิ มหฺ ิ อชฺฌูปคโต” ในทนี่ ้แี ปล เววณฺณิย วา ความมีเพศตา ง (จาก
คฤหสั ถ) แตห ลายทา น แปลวา ความปราศจากวรรณะ (casteless state) คือเปน คนนอกระบบ
ชนชน้ั หรือ หมดวรรณะ คอื หมดฐานะในสังคม หรอื เปนคนนอกสงั คม (outcast) ความตาง
หรอื ปราศจาก หรอื หมดไปน้ี อรรถกถาอธบิ ายวา เปน ไปในสองทาง คือ ทางสรีระ เพราะปลงผม
และหนวดแลว และทางบรขิ าร คอื เครือ่ งใช เพราะแตกอ นครัง้ เปนคฤหัสถ เคยใชผาดๆี รบั
ประทานอาหารรสเลิศในภาชนะเงินทอง เปนตน ครัน้ บวชแลว ก็นุง หม ผายอมฝาดฉนั อาหาร
คลุกเคลา ในบาตรเหล็กบาตรดิน ปหู ญา นอนตา งเตยี ง เปนตน
สวนวัตถุประสงคแ หงการพิจารณาธรรมขอ น้ี อรรถกถาแกวา จะละความกําเรบิ ใจ (ความ
จจู ีเ้ งา งอน) และมานะ (ความถอื ตัว) เสยี ได.
2. การเล้ยี งชีพของเราเน่ืองดวยผูอืน่ ** (คือตองอาศยั ผอู ื่น — My livelihood is bound up
with others.)
วตั ถุประสงค ตามอรรถกถาแกว า เพอ่ื ใหม อี ิรยิ าบถเรยี บรอ ยเหมาะสม มอี าชวี ะบรสิ ุทธิ์
เคารพในบิณฑบาต และบรโิ ภคปจจยั ส่ีดวยใสใ จพิจารณา
3. เรามอี ากปั กิริยาอยา งอ่นื ที่จะพงึ ทํา*** (I have a different way to behave.)
อรรถกถาอธบิ ายวา เราควรทําอากปั ป (คอื กิริยามารยาท) ที่ตางจากของคฤหสั ถ เชน มี
อนิ ทรยี สงบ กา วเดินสมํ่าเสมอ เปน ตน และแสดงวัตถปุ ระสงคว า เพ่อื ใหมอี ิริยาบถเรียบรอย
เหมาะสม บําเพ็ญไตรสกิ ขาไดบ ริบรู ณ
* ใน นวโกวาท มตี อวา “อาการกริ ยิ าใดๆ ของสมณะ เราตองทําอาการกิริยานน้ั ๆ“
** ใน นวโกวาท มีตอวา “เราควรทาํ ตัวใหเ ขาเล้ียงงาย.”
*** ใน นวโกวาท ทรงเรยี งเปน ขอ ความใหมว า “อาการกายวาจาอยางอืน่ ทีเ่ ราจะตอ งทําใหดขี ึน้ ไปกวา นย้ี ังมอี ยู
อีก ไมใชเพยี งเทา น้.ี ” จะเหน็ วา ขอ 1 กับขอ 3 ทรงตคี วามตา งออกไป ถา แปลตามนยั อรรถกถา ขอ 1 จะได
วา “เราเปนผหู มดวรรณะ คอื ไมมฐี านะในสังคมแลว จะตองไมมีความกระดา งถือตวั ใดๆ” ขอ 3 จะไดวา
“เราจะตอ งมีอาการกริ ยิ าตา งจากคฤหัสถ สาํ รวมใหเหมาะกบั ความเปน สมณะ”. (องฺ.อ.3/395)
[249] 182 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร
4. ตวั เรายงั ติเตยี นตัวเราเองโดยศีลไมไ ดอยูหรอื ไม (Can I still not reproach myself on
my virtue’s account?)
ขอ น้ี มวี ัตถปุ ระสงคเ พือ่ ใหเกิดหิรพิ รงั่ พรอมอยใู นใจ ชว ยใหม ีสงั วรทางไตรทวาร
5. เพื่อนพรหมจรรยทั้งหลายผูเปนวิญูชนพิจารณาแลว ยังติเตียนเราโดยศีลไมไดอยู
หรอื ไม (Do my discerning fellows in the holy life, on considering me, not
reproach me on my virtue’s account?)
ขอ นี้ มีวตั ถปุ ระสงคเพอ่ื ใหด ํารงโอตตปั ปะในภายนอกไวได ชว ยใหมสี งั วรทางไตรทวาร
6. เราจกั ตอ งมีความพลัดพรากจากของรกั ของชอบใจท้ังสนิ้ (There will be division
and separation from all that are dear to me and beloved.)
ขอนี้ มีวัตถปุ ระสงคเ พ่อื ใหเ ปน ผูไมประมาท และเปน อันไดต ้งั มรณสติไปดวย
7. เรามกี รรมเปน ของตน เราทาํ กรรมใด ดกี ต็ าม ชวั่ กต็ าม จกั ตอ งเปน ทายาทของกรรมนน้ั (I am
owner of my deed, whatever deed I do, whether good or bad, I shall become heir to it.)
ขอ นี้ มวี ัตถปุ ระสงคเพอ่ื ปองกันมิใหกระทําความชั่ว
8. วนั คนื ลว งไปๆ เราทําอะไรอยู (How has my passing of the nights and days been?)
ขอนี้ มีวตั ถุประสงคเ พอ่ื ทําความไมป ระมาทใหบ รบิ รู ณ
9. เรายินดใี นท่สี งัดอยหู รือไม (Do I delight in a solitary place or not?)
ขอนี้ มีวตั ถปุ ระสงคเ พ่ือทาํ กายวเิ วกใหบริบูรณ
10. คณุ วเิ ศษยิ่งกวามนษุ ยส ามญั ท่เี ราบรรลแุ ลว มีอยูห รอื ไม ที่จะใหเ ราเปนผไู มเ กอเขนิ
เม่อื ถูกเพอ่ื นบรรพชิตถาม ในกาลภายหลัง (Have I developed any extraordinary
qualities whereon when later questioned by my fellows in the holy life I shall not
be confounded?)
ขอ นี้ มีวัตถปุ ระสงคเพ่ือมใิ หเปนผตู ายเปลา
A.V.87; Netti.185. องฺ.ทสก.24/48/91; องฺ.อ.3/395.
[,,,] อรหันต 5 ดู [62] อรหนั ต 5.
[249] อริยวัฑฒิ หรอื อารยวัฒิ 5 (ความเจรญิ อยา งประเสรฐิ , หลกั ความเจรญิ ของอารย
ชน — Ariyà vaóóhi: noble growth; development of a civilized or righteous man)
1. ศรัทธา (ความเช่อื ความมั่นใจในพระรัตนตรัย ในหลักแหง ความจริงความดงี ามอันมเี หตุผล
— Saddhà: confidence)
2. ศลี (ความประพฤติดี มีวินยั เลย้ี งชพี สุจรติ — Sãla: good conduct; morality)
3. สตุ ะ (การเลาเรียนสดบั ฟงศกึ ษาหาความรู — Suta: learning)
4. จาคะ (การเผ่อื แผเสยี สละ เออื้ เฟอ มีนํา้ ใจชวยเหลอื ใจกวา ง พรอ มที่จะรบั ฟงและรวมมือ