The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม โดย ป.อ. ปยุตโต

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ืทีมงานกรุธรรม, 2022-07-06 21:26:34

พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม โดย ป.อ. ปยุตโต

พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม โดย ป.อ. ปยุตโต

Keywords: พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม โดย ป.อ. ปยุตโต

หมวด 10 233 [319]

[318] กิเลส 10 (สภาพท่ที ําใหจ ิตเศราหมอง — Kilesa: defilements)

1. โลภะ (ความอยากได — Lobha: greed)
2. โทสะ (ความคดิ ประทุษราย — Dosa: hatred)
3. โมหะ (ความหลง, ความไมร ู, ความเขลา — Moha: delusion)
4. มานะ (ความถือตวั — Màna: conceit)
5. ทิฏฐิ (ความเหน็ ผิด — Diññhi: wrong view)
6. วิจิกิจฉา (ความลงั เลสงสยั , ความเคลอื บแคลง — Vicikicchà: doubt; uncertainty)
7. ถนี ะ (ความหดห,ู ความทอแทถ ดถอย — Thãna: sloth)
8. อทุ ธัจจะ (ความฟุงซา น — Uddhacca: restlessness)
9. อหิริกะ (ความไมละอายตอความชว่ั — Ahirika: shamelessness)
10. อโนตตปั ปะ (ความไมเกรงกลวั ตอความช่ัว — Anottappa: lack of moral dread)

สบิ อยา งนี้ ในบาลีเดิมเรยี กวา กเิ ลสวตั ถุ (สิง่ กอความเศราหมอง) 10

Vbh.391. อภิ.ว.ิ 35/1026/528.

[319] กุศลกรรมบถ 101 (ทางแหงกศุ ลกรรม, ทางทาํ ความดี, กรรมดีอันเปน ทางนาํ ไป
สูสคุ ติ — Kusala-kammapatha: wholesome course of action) วาโดยหัวขอ ยอ ดงั นี้

ก. กายกรรม 3 (การกระทาํ ทางกาย — Kàyakamma: bodily action)

1. ปาณาติปาตา เวรมณ*ี (เวน จากปลงชีวิต — Pàõàtipàtà veramaõã: abstention from

killing)
2. อทินฺนาทานา เวรมณี (เวนจากถือเอาของทีเ่ ขามไิ ดใหโดยอาการขโมย — Adinnàdànà ~:

abstention from taking what is not given)
3. กาเมสุมจิ ฺฉาจารา เวรมณี (เวนจากประพฤติผดิ ในกาม — Kàmesumicchàcàrà ~:

abstention from sexual misconduct)

ข. วจีกรรม 4 (การกระทําทางวาจา — Vacãkamma: verbal action)
4. มุสาวาทา เวรมณี (เวนจากพดู เท็จ — Musàvàdà ~: abstention from false speech)
5. ปสุณาย วาจาย เวรมณี (เวนจากพูดสอเสียด — Pisuõàya vàcàya ~: abstention

from tale-bearing)
6. ผรุสาย วาจาย เวรมณี (เวนจากพดู คาํ หยาบ — Pharusàya vàcàya ~: abstention

from harsh speech)
7. สมผฺ ปปฺ ลาปา เวรมณี (เวน จากพดู เพอ เจอ — Samphappalàpà ~: abstention from

* เวรมณี แปลวา “เจตนาท่ที ําใหเวน” หรอื “เจตนาทีต่ รงขาม” เมือ่ จะแปลใหเตม็ ความ จึงควรแปลวา “การ

กระทาํ ทวี่ างจากการคิดเบยี ดเบยี น” หรอื “การทําดีทตี่ รงขา มกบั การเบยี ดเบยี นชีวติ ” ดงั นเ้ี ปน ตน

[320] 234 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร

vain talk or gossip)

ค. มโนกรรม 3 (การกระทาํ ทางใจ — Manokamma: mental action)
8. อนภชิ ฺฌา (ความไมค ดิ เพง เล็งอยากไดข องเขา — Anabhijjhà: non-covetousness)
9. อพยฺ าปาท (ความไมค ดิ รายตอ ผอู นื่ — Abyàpàda: non-illwill)
10. สมฺมาทิฏ ิ (ความเหน็ ชอบ ถูกตองตามคลองธรรม — Sammàdiññhi: right view)

D.III.269,290. ที.ปา.11/360/284; 471/337.

[320] กุศลกรรมบถ 102 (ทางแหง กศุ ลกรรม, ทางทําความด,ี กรรมดอี ันเปนทางนําไป
สคู วามสขุ ความเจริญหรือสุคติ — Kusala-kammapatha: wholesome course of action) วา

โดยขอธรรมสมบูรณ (แปลตัดเอาแตใจความ) ดงั น้ี

ก. กายกรรม 3 (การกระทําทางกาย — bodily action)
1. ปาณาติปาตํ ปหาย ฯเปฯ สพฺพปาณภตู หติ านกุ มฺป โหติ (ละการฆา การเบยี ดเบียน มี

เมตตากรุณาชวยเหลือเก้ือกูลกัน — to avoid the destruction of life and be anxious for

the welfare of all lives)
2. อทนิ นฺ าทานํ ปหาย ฯเปฯ อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อนาทาตา โหติ (ละอทนิ นาทาน

เคารพกรรมสิทธใ์ิ นทรัพยสนิ ของผอู ืน่ — to avoid stealing, not violating the right to

private property of others)
3. กาเมสุมิจฺฉาจารํ ปหาย ฯเปฯ น จารติ ฺตํ อาปชฺชติ า โหติ (ละการประพฤติผดิ ในกาม

ไมลว งละเมดิ ประเพณีทางเพศ — to avoid sexual misconduct, not transgressing sex

morals)

ข. วจีกรรม 4 (การกระทาํ ทางวาจา — verbal action)
4. มสุ าวาทํ ปหาย ฯเปฯ น สมฺปชานมุสา ภาสิตา โหติ (ละการพดู เทจ็ ไมย อมกลา วเท็จ

เพราะเหตุตนเอง ผอู น่ื หรือเพราะเห็นแกผ ลประโยชนใดๆ — to avoid lying, not

knowingly speaking a lie for the sake of any advantage)
5. ปสณุ ํ วาจํ ปหาย ฯเปฯ สมคคฺ กรณึ วาจํ ภาสติ า โหติ (ละการพดู คําสอเสียด ชวย

สมานคนที่แตกราวกัน สงเสริมคนที่สมัครสมานกนั ชอบกลา วถอ ยคาํ ที่สรา งสามัคคี — to

avoid malicious speech, unite the discordant, encourage the united and utter

speech that makes for harmony)
6. ผรสุ ํ วาจํ ปหาย ฯเปฯ พหชุ นมนาปา ตถารปู  วาจํ ภาสิตา โหติ (ละคาํ หยาบ พูดแต

คาํ สุภาพออ นหวาน — to avoid harsh language and speak gentle, loving, courteous,

dear and agreeable words)
7. สมผฺ ปปฺ ลาป ปหาย ฯเปฯ กาลวาที ภตู วาที อตถฺ วาที ธมมฺ วาที วนิ ยวาที นธิ านวตึ
วาจํ ภาสติ า โหติ ฯเปฯ (ละการพูดเพอ เจอ พูดแตคาํ จริง มเี หตุผล มีสารประโยชน ถูก

หมวด 10 235 [321]

กาลเทศะ — to avoid frivolous talk; to speak at the right time, in accordance with

facts, what is useful, moderate and full of sense)
ค. มโนกรรม 3 (การกระทาํ ทางใจ — mental action)
8. อนภชิ ฺฌาลุ โหติ ฯเปฯ (ไมเพงเลง็ อยากไดข องผูอื่น — to be without covetousness)
9. อพยฺ าปนฺนจติ ฺโต โหติ ฯเปฯ สขุ ี อตฺตานํ ปริหรนฺตตู ิ (ไมม ีจิตคดิ ราย คิดปรารถนา
แตว า ขอใหส ัตวท ้งั หลายไมมเี วร ไมเ บียดเบยี น ไมมีทกุ ข ครองตนอยเู ปน สขุ เถดิ — to be free

from ill-will, thinking, ‘Oh, that these beings were free from hatred and ill- will,

and would lead a happy life free from trouble.’)
10. สมมฺ าทฏิ  โิ ก โหติ ฯเปฯ สยํ อภิ ฺ า สจฉฺ กิ ตวฺ า ปเวเทนตฺ ตี ิ (มคี วามเหน็ ชอบ เชน

วา ทานมผี ล การบชู ามผี ล ผลวบิ ากของกรรมดกี รรมชวั่ มี เปน ตน — to possess right view

such as that gifts, donations and offerings are not fruitless and that there are
results of wholesome and unwholesome actions)

กศุ ลกรรมบถหมวดนี้ ในบาลีเรียกชือ่ หลายอยาง เชนวา ธรรมจริยา (ความประพฤติธรรม
— righteous conduct) บา ง โสไจย (ความสะอาดหรอื เครอ่ื งชาํ ระตวั — cleansing) บา ง อรยิ -
ธรรม (อารยธรรม, ธรรมของผเู จรญิ — virtues of a noble or civilized man) บา ง อรยิ มรรค
(มรรคาอนั ประเสรฐิ — the noble path) บา ง สทั ธรรม (ธรรมด,ี ธรรมแท — good law; true
law) บา ง สปั ปรุ สิ ธรรม (ธรรมของสตั บรุ ษุ — qualities of a good man) บา ง ฯลฯ

M.I.287; A.V.266,275–278. ม.ม.ู 12/485/523; อง.ฺ ทสก.24/165/287; 168–181/296–300.

[321] อกุศลกรรมบถ 10 (ทางแหง อกศุ ลกรรม, ทางทาํ ความชว่ั , กรรมช่ัวอันเปน ทาง
นาํ ไปสคู วามเสอ่ื ม ความทุกข หรือทุคติ — Akusala-kammapatha: unwholesome course

of action)

ก. กายกรรม 3 (การกระทําทางกาย — Kàyakamma: bodily action)
1. ปาณาตบิ าต (การทาํ ชวี ติ ใหต กลว ง, ปลงชวี ติ — Pàõàtipàta: destruction of life; killing)
2. อทนิ นาทาน (การถือเอาของที่เขามิไดใ ห โดยอาการขโมย, ลกั ทรพั ย — Adinnàdàna:

taking what is not given; stealing)
3. กาเมสุมิจฉาจาร (ความประพฤติผิดในกาม — Kàmesumicchàcàra: sexual

misconduct)

ข. วจีกรรม 4 (การกระทําทางวาจา — Vacãkamma: verbal action)
4. มุสาวาท (การพดู เทจ็ — Musàvàda: false speech)
5. ปสุณาวาจา (วาจาสอเสยี ด — Pisuõàvàcà: tale-bearing; malicious speech)
6. ผรสุ วาจา (วาจาหยาบ — Pharusavàcà: harsh speech)

7. สัมผัปปลาปะ (คาํ พดู เพอ เจอ — Samphappalàpa: frivolous talk; vain talk; gossip)

[322] 236 พจนานุกรมพุทธศาสตร

ค. มโนกรรม 3 (การกระทําทางใจ — Manokamma: mental action)
8. อภิชฌา (เพง เลง็ อยากไดข องเขา — Abhijjhà: covetousness; avarice)

9. พยาบาท (คดิ รา ยผูอ่ืน — Byàpàda: illwill)

10. มจิ ฉาทิฏฐิ (เห็นผดิ จากคลองธรรม — Micchàdiññhi: false view; wrong view)

D.III.269,290; A.V.264. ท.ี ปา.11/359/284; 470/337; องฺ.ทสก.24/165/285.

[322] เถรธรรม 10 (คณุ ธรรมทีท่ ําใหพ ระเถระอยสู ําราญในที่ทุกสถาน — Thera-
dhamma: qualities which make for happy living of an elder monk)

1. เถโร รตฺตฺู (เปนผูใหญ บวชนาน รเู ห็นกิจการ ทรงจาํ เรื่องราวไวไดมาก — Thero
ratta¤¤å: to be an elder monk of long experience)

2. สลี วา (มศี ลี เครง ครดั ในสิกขาบททงั้ หลาย — Sãlavà: to be virtuous; to have good

conduct)

3. พหุสฺสุโต (เปนพหสู ตู ทรงความรู — Bahussuto: to be much learned)
4. สฺวาคตปาฏิโมกโฺ ข (ทรงปาฏิโมกข รูห ลักแหงวินยั แคลวคลอ ง ชาํ นชิ ํานาญ สามารถ
วินจิ ฉัยไดด วยดี — Svàgatapàñimokkho: to be well versed in the codes of discipline)
5. อธิกรณสมปุ ฺปาทวปู สมกุสโล (ฉลาดในการระงับอธกิ รณท ่ีเกิดขึน้ — Adhikaraõa-

samuppàdavåpasamakusalo: to be skilled in settling a legal question that has

arisen)
6. ธมฺมกาโม (เปน ผูใครธรรม รกั ความรู รักความจริง รจู ักรับฟงและรูจักพดู ทาํ ใหเ ปน ทีช่ ื่น

ชมสนิทสนมสบายใจ นาเขาไปปรึกษาสนทนา และชอบศกึ ษา ยนิ ดปี รดี าในหลักธรรมหลักวินยั ที่
ยิง่ ๆ ขนึ้ ไป — Dhammakàmo: to love the Dhamma, be pleasant to consult and

converse with, and find joy in the advanced teaching of both the Doctrine and

the Discipline)
7. สนฺตฏุ โ  (เปนผสู ันโดษดว ยปจจยั สต่ี ามมีตามได — Santuññho: to be content with

whatsoever supply of the four requisites he may get)
8. ปาสาทโิ ก (จะไปจะมา มีอาการกริ ิยานาเล่ือมใส แมเ ขาไปในละแวกบาน กส็ าํ รวมเปนอันดี
— Pàsàdiko: to be charming and perfectly composed in his goings out and

comings in and in sitting in the house)
9. ฌานลาภี (ไดแ คลวคลอ งในฌาน 4 ท่เี ปนเคร่ืองอยสู ขุ สบายในปจ จบุ ัน — Jhànalàbhã: to

be able to gain pleasure of the Four Absorptions)
10. วิมุตฺโต (บรรลุเจโตวมิ ุตตปิ ญ ญาวิมุตติ สนิ้ อาสวะ — Vimutto: to have gained the

Deliverance)

A.V.201. องฺ.ทสก.24/98/215.

หมวด 10 237 [323]

[323] ทศพลญาณ (บาลีเรยี ก ตถาคตพลญาณ 10 คอื พระญาณอันเปน กําลงั ของพระ

ตถาคต 10 ประการ ทท่ี าํ ใหพระองคสามารถบันลือสีหนาท ประกาศพระศาสนาไดมัน่ คง —
Dasa-bala¤àõa: the Ten Powers of the Perfect One)
1. ฐานาฐานญาณ (ปรีชาหยง่ั รูฐ านะและอฐานะ คือ รูก ฎธรรมชาติเกย่ี วกับขอบเขตและขดี ขั้น

ของส่ิงท้ังหลายวา อะไรเปนไปได อะไรเปน ไปไมไ ด และแคไ หนเพยี งไร โดยเฉพาะในแงความ

สัมพนั ธระหวางเหตกุ บั ผล และกฎเกณฑทางจริยธรรม เกยี่ วกบั สมรรถวิสยั ของบุคคล ซ่งึ จะได
รบั ผลกรรมท่ีดแี ละช่วั ตางๆ กัน — òhànàñhàna-¤àõa: knowledge of instance and no

instance; knowledge of possibilities and impossibilities)
2. กรรมวปิ ากญาณ (ปรชี าหยง่ั รูผลของกรรม คอื สามารถกาํ หนดแยกการใหผ ลอยา งสลบั

ซบั ซอน ระหวา งกรรมดกี บั กรรมช่ัว ทสี่ มั พันธก บั ปจ จยั แวดลอ มตา งๆ มองเห็นรายละเอียดและ
ความสัมพันธภายในกระบวนการกอผลของกรรมอยางชัดเจน — Kammavipàka-¤àõa:

knowledge of the ripening of action; knowledge of the results of kamma)
3. สัพพตั ถคามนิ ปี ฏิปทาญาณ (ปรชี าหยั่งรขู อปฏบิ ัตทิ ่ีจะนาํ ไปสูคติท้งั ปวง คอื สุคติ ทุคติ

หรอื พน จากคติ หรอื ปรชี าหยง่ั รขู อ ปฏบิ ตั ทิ จ่ี ะนาํ ไปสอู รรถประโยชนท ง้ั ปวง กลา วคอื ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถะ

สมั ปรายิกตั ถะ หรอื ปรมัตถะ คอื รวู า เมอ่ื ปรารถนาจะเขาถงึ คติหรอื ประโยชนใด จะตองทําอะไร
บา ง มรี ายละเอียดวิธีปฏิบตั อิ ยา งไร — Sabbatthagàminãpañipadà-¤àõa: knowledge of

the way that leads anywhere; knowledge of the practices leading to all destinies

and all goals)
4. นานาธาตญุ าณ (ปรีชาหย่ังรูสภาวะของโลกอันประกอบดว ยธาตตุ างๆ เปน อเนก คอื รู

สภาวะของธรรมชาติ ทัง้ ฝายอปุ าทนิ นกสังขารและฝา ยอนปุ าทินนกสังขาร เชน รูจ กั สวนประกอบ

ตา งๆ ของชีวติ สภาวะของสว นประกอบเหลานน้ั พรอ มท้งั ลกั ษณะและหนา ทข่ี องมนั แตล ะอยาง

อาทิการปฏบิ ตั หิ นา ทข่ี องขันธ อายตนะ และธาตุตางๆ ในกระบวนการรับรู เปนตน และรเู หตุ
แหงความแตกตา งกนั ของสิง่ ทัง้ หลายเหลา นั้น — Nànàdhàtu-¤àõa: knowledge of the

world with its many different elements)
5. นานาธิมุตตกิ ญาณ (ปรีชาหย่งั รูอ ธมิ ตุ ิ คอื รอู ธั ยาศยั ความโนมเอียง ความเช่ือถือ แนว
ความสนใจ เปนตน ของสัตวท้ังหลายที่เปนไปตางๆ กัน — Nànàdhimuttika-¤àõa:

knowledge of the different dispositions of beings)
6. อนิ ทรยิ ปโรปริยตั ตญาณ (ปรีชาหย่ังรคู วามย่ิงและหยอ นแหง อนิ ทรยี ข องสัตวท ้ังหลาย คอื

รวู า สตั วนนั้ ๆ มศี รัทธา วริ ยิ ะ สติ สมาธิ ปญญา แคไ หน เพียงใด มกี เิ ลสมาก กเิ ลสนอ ย มี

อินทรียออน หรือแกกลา สอนงาย หรือสอนยาก มีความพรอมท่ีจะตรัสรูหรือไม —
Indriyaparopariyatta-¤àõa: knowledge of the state of faculties of beings;

knowledge of the inferiority and superiority of the controlling faculties of various

beings; knowledge as regards maturity of persons)

[324] 238 พจนานกุ รมพุทธศาสตร

7. ฌานาทสิ งั กิเลสาทิญาณ (ปรชี าหยง่ั รูความเศราหมอง ความผองแผว การออกแหง ฌาน
วโิ มกข สมาธิ และสมาบตั ทิ ง้ั หลาย — Jhànàdisaïkilesàdi-¤àõa: knowledge of defilement,

cleansing and emergence in the cases of the meditations, liberations, concen-

trations and attainments)
8. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (ปรีชาหย่ังรูอันทําใหระลึกภพท่ีเคยอยูในหนหลังได —
Pubbenivàsànussati-¤àõa: knowledge of the remembrance of former existences)
9. จตุ ูปปาตญาณ (ปรชี าหย่งั รูจุติและอุบัตขิ องสัตวท้ังหลายอนั เปน ไปตามกรรม — Cutå-
papàta-¤àõa: knowledge of the decease and rebirth of beings)
10. อาสวักขยญาณ (ปรีชาหยง่ั รคู วามสนิ้ ไปแหงอาสวะทั้งหลาย — âsavakkhaya-¤àõa:

knowledge of the exhaustion of mental intoxicants)

M.I.69; A.V.33; Vbh.336. ม.ม.ู 12/166/140; อง.ฺ ทสก.24/21/35; อภิ.ว.ิ 35/839/454.

[,,,] ทศพิธราชธรรม ดู [326] ราชธรรม 10.

[,,,] ธรรมจริยา 10 เปนอกี ช่อื หน่งึ ของ [320] กุศลกรรมบถ 10 2.

[,,,] ธรรมมีอุปการะมาก 10 ดู [324] นาถกรณธรรม 10.

[324] นาถกรณธรรม 10 (ธรรมอนั กระทําท่พี ่งึ , ธรรมสรา งทพี่ ่งึ , คณุ ธรรมที่ทาํ ใหต น
เปนที่พึง่ ของตนได — Nàthakaraõa-dhamma: virtues which make for protection)

1. สลี (ความประพฤตดิ งี ามสจุ รติ รกั ษาระเบยี บวนิ ยั มอี าชวี ะบรสิ ทุ ธิ์ — Sãla: good conduct;

keeping moral habits)
2. พาหสุ จจฺ (ความเปนผไู ดศึกษาเลา เรียนมาก มคี วามรคู วามเขาใจลึกซ้ึง — Bàhusacca:

great learning)

3. กลยฺ าณมติ ตฺ ตา (ความมกี ลั ยาณมติ ร, การคบคนดี ไดที่ปรกึ ษา และผแู นะนาํ ส่งั สอนทดี่ ี
— Kalyàõamittatà: good company; association with good people)
4. โสวจสฺสตา (ความเปน ผูว างา ยสอนงาย รับฟงเหตผุ ล — Sovacassatà: amenability to

correction; meekness; easy admonishability)
5. กงิ กฺ รณเี ยสุ ทกฺขตา (ความเอาใจใสชวยขวนขวายในกิจใหญน อ ยทุกอยางของเพอ่ื นรวม
หมคู ณะ รจู ักพจิ ารณาไตรตรอง สามารถจดั ทําใหส าํ เร็จเรียบรอ ย — Kiïkaraõãyesu dakkhatà:

willingness to give a helping hand; diligence and skill in managing all affairs of

one’s fellows in the community)
6. ธมฺมกามตา (ความเปนผูใครธ รรม คอื รกั ธรรม ใฝความรใู ฝความจริง รูจกั พูดรูจ ักรับฟง

ทําใหเกิดความพอใจ นารวมปรึกษาสนทนา ชอบศึกษา ยินดีปรีดาในหลักธรรมหลกั วินยั ท่ี
ละเอยี ดลึกซึ้งยิ่งๆ ขึ้นไป — Dhammakàmatà: love of truth; to love the Dhamma, be

หมวด 10 239 [325]

pleasant to consult and converse with and rejoice in the advanced teaching of

both the Doctrine and the Discipline)
7. วริ ยิ ารมภฺ (ความขยนั หมนั่ เพยี ร คอื เพยี รละความชวั่ ประกอบความดี มใี จแกลว กลา บากบน่ั
กา วหนา ไมย อ ทอ ไมท อดทง้ิ ธรุ ะ — Viriyàrambha: energy; effort; energetic exertion)
8. สนฺตฏุ  ี (ความสนั โดษ คอื ยนิ ดี มคี วามสขุ ความพอใจดว ยปจ จยั สที่ หี่ ามาไดด ว ยความเพยี ร
อันชอบธรรมของตน — Santuññhã: contentment)
9. สติ (ความมสี ติ รจู ักกาํ หนดจดจํา ระลกึ การทที่ าํ คาํ ท่พี ูดไวได เปนอยูอ ยา งไมประมาท —
Sati: mindfulness; ability to remember what one has done and spoken)
10. ปฺา (ความมีปญญาหย่งั รูเ หตุผล รูจกั คิดพิจารณา เขา ใจภาวะของสิ่งทงั้ หลายตามความ
เปน จริง — Pa¤¤à: wisdom; insight)

นาถกรณธรรมน้ี ทานเรียกวา เปน พหุการธรรม หรือ ธรรมมีอปุ การะมาก เพราะเปน

กําลังหนนุ ในการบาํ เพญ็ คุณความดที ง้ั หลาย ยงั ประโยชนต นและประโยชนผ ูอน่ื ใหส ําเรจ็ ไดอ ยา ง

กวางขวางไพบูลย

D.III.266,290; A.V.23. ที.ปา.11/357/281; 466/334; องฺ.ทสก.24/17/25.

[325] บารมี 10 หรอื ทศบารมี (ปฏปิ ทาอนั ยวดยิ่ง, คุณธรรมท่ีประพฤตปิ ฏบิ ตั ิอยา ง

ยงิ่ ยวด คอื ความดที บ่ี าํ เพญ็ อยา งพเิ ศษ เพอื่ บรรลซุ ง่ึ จดุ หมายอนั สงู เชน ความเปน พระพทุ ธเจา
และความเปนมหาสาวก เปน ตน — Pàramã: perfections)
1. ทาน (การให การเสียสละ — Dàna: giving; charity; generosity; liberality)
2. ศีล (การรกั ษากายวาจาใหอ ยูใ นหลกั ความประพฤติทเี่ ปนแบบแผนแหงภาวะของตน, ความ
ประพฤตดิ งี ามถกู ตอ งตามระเบยี บวินยั —Sãla: morality; good conduct)
3. เนกขัมมะ (การออกบวช, ความปลีกตัวปลกี ใจจากกาม — Nekkhamma: renunciation)
4. ปญ ญา (ความรอบร,ู ความหยัง่ รเู หตุผล เขา ใจสภาวะของส่งิ ท้ังหลายตามความเปน จรงิ และ
รจู ักแกไ ขปฏบิ ตั ิจัดการตางๆ — Pa¤¤à: wisdom; insight; understanding)
5. วิรยิ ะ (ความเพียร, ความแกลวกลา ไมเ กรงกลวั อปุ สรรค พยายามบากบ่นั อตุ สาหะ กา วหนา
เร่อื ยไป ไมท อดทิ้งธุระหนาที่ — Viriya: energy; effort; endeavour)
6. ขันติ (ความอดทน, ความทนทานของจิตใจ สามารถใชส ติปญ ญาควบคุมตนใหอ ยใู นอํานาจ

เหตุผล และแนวทางความประพฤติหรือการปฏิบตั ิ ที่ตง้ั ไวเพือ่ จุดหมายอนั ชอบ ไมลุอํานาจกเิ ลส
— Khanti: forbearance; tolerance; endurance)
7. สัจจะ (ความจริง คอื พูดจริง ทาํ จริง และจริงใจ — Sacca: truthfulness)
8. อธษิ ฐาน (ความตงั้ ใจม่นั , การตัดสินใจเด็ดเดีย่ ว วางจุดหมายแหงการกระทาํ ของตนไวแ น
นอน และดาํ เนนิ ตามนัน้ แนว แน — Adhiññhàna: resolution; self-determination)
9. เมตตา (ความรักใคร, ความปรารถนาดี มีไมตรี คิดเกื้อกลู ใหผูอ่นื และเพ่ือนรวมโลกทั้งปวง

[326] 240 พจนานกุ รมพุทธศาสตร

มีความสุขความเจริญ — Mettà: loving-kindness; friendliness)
10.อเุ บกขา (ความวางใจเปน กลาง, ความวางใจสงบราบเรยี บสมาํ่ เสมอ เทยี่ งธรรม และดาํ รงอยู

ในธรรม ไมเอนเอยี งหรือหว่นั ไหวไปดวยความยินดียนิ รา ยชอบชังหรอื แรงเยา ยวนย่ัวยุใดๆ —
Upekkhà: equanimity; indifference to praise and blame in the performance of duty)

ทศบารมีนี้ เรยี งตามท่ถี ือวาไดบ ําเพญ็ ในทศชาติ (จดั แบบไทย) ดงั น้ี

1. พระเตมีย — เนกขัมมะ (ขอท่ี 3) 2. พระมหาชนก — วิริยะ (5)

3. พระสุวรรณสาม — เมตตา (9) 4. พระเนมิราช — อธษิ ฐาน (8)

5. พระมโหสถ — ปญ ญา (4) 6. พระภูริทัตต — ศีล (2)

7. พระจนั ทกมุ าร — ขนั ติ (6) 8. พระนารทะ — อุเบกขา (10)

9. พระวธิ ุระ — สจั จะ (7) 10. พระเวสสันดร — ทาน (1)

บารมีน้นั ทานกลาววา จะบาํ เพ็ญใหบ รบิ ูรณ ตอ งครบ 3 ขั้น คือ
1. บารมี (ระดับสามญั เชน ทานบารมี ไดแ ก ใหทรัพยส นิ เงินทอง สมบัตนิ อกกาย — Pàramã:

ordinary perfections)
2. อุปบารมี (ระดับรองหรือจวนจะสูงสุด เชน ทานอปุ บารมี ไดแก การเสียสละอวัยวะเปนทาน
— Upapàramã: superior perfections)
3. ปรมตั ถบารมี (ระดับสูงสดุ เชน ทานปรมตั ถบารมี ไดแก การสละชีวิตเพอ่ื ประโยชนแกผู
อ่ืน — Paramatthapàramã: supreme perfections)

บําเพ็ญทั้ง 10 บารมี ครบ 3 ขน้ั น้ี เรียกวา สมตสึ ปารมี หรอื สมดึงสบารมี แปลวา “บารมี

30 ถว น”.

Bv.6. ขุ.พทุ ธ.33/1/414; ขุ.จรยิ า.33/36/596.

[,,,] บุญกิริยาวัตถุ 10 ดู [89] บุญกริ ิยาวตั ถุ 10.
[,,,] ปพพชิตอภิณหปจจเวกขณ 10 ดู [248] ปพ พชติ อภณิ หปจ จเวกขณ 10.
[,,,] มิจฉัตตะ ดู [334] มจิ ฉตั ตะ 10.
[,,,] มูลเหตุการบัญญัติพระวินัย 10 ดู [327] วัตถุประสงคใ นการบัญญตั ิ

พระวนิ ยั 10.

[326] ราชธรรม 10 หรอื ทศพิธราชธรรม (ธรรมของพระราชา, กจิ วตั รทพ่ี ระเจา

แผน ดนิ ควรประพฤต,ิ คณุ ธรรมของผปู กครองบา นเมอื ง, ธรรมของนกั ปกครอง — Ràjadhamma:

virtues or duties of the king; royal virtues; virtues of a ruler)

1. ทาน (การให คอื สละทรพั ยส่งิ ของ บํารงุ เลยี้ ง ชวยเหลือประชาราษฎร และบําเพญ็
สาธารณประโยชน — Dàna: charity; liberality; generosity)
2. ศลี (ความประพฤติดงี าม คอื สํารวมกายและวจที วาร ประกอบแตก ารสุจริต รักษากิตติคุณ

หมวด 10 241 [327]

ใหควรเปนตัวอยาง และเปนทเี่ คารพนบั ถอื ของประชาราษฎร มิใหมขี อทใ่ี ครจะดูแคลน — Sãla:

high moral character)
3. ปรจิ จาคะ (การบรจิ าค คอื เสยี สละความสขุ สาํ ราญ เปน ตน ตลอดจนชวี ติ ของตน เพอ่ื
ประโยชนส ขุ ของประชาชน และความสงบเรยี บรอ ยของบา นเมอื ง — Pariccàga: self-sacrifice)
4. อาชชวะ (ความซ่อื ตรง คือ ซอื่ ตรงทรงสัตยไ รม ารยา ปฏิบัตภิ ารกิจโดยสุจริต มีความจริงใจ
ไมห ลอกลวงประชาชน — âjjava: honesty; integrity)
5. มัททวะ (ความออนโยน คือ มอี ธั ยาศยั ไมเยอหย่ิงหยาบคายกระดา งถือองค มคี วามงามสงา

เกิดแตทวงทีกิริยาสุภาพนุมนวล ละมุนละไม ใหไดความรักภักดี แตมิขาดยําเกรง —

Maddava: kindness and gentleness)

6. ตปะ (ความทรงเดช คือ แผดเผากเิ ลสตัณหา มใิ หเขามาครอบงาํ ยํา่ ยจี ติ ระงับยบั ยั้งขมใจได

ไมย อมใหหลงใหลหมกมุน ในความสุขสําราญและความปรนเปรอ มีความเปนอยสู มาํ่ เสมอ หรือ
อยา งสามญั มุงมนั่ แตจ ะบาํ เพ็ญเพียร ทาํ กิจใหบ รบิ ูรณ — Tapa: austerity; self-control;

non-indulgence)
7. อักโกธะ (ความไมโกรธ คอื ไมก ริ้วกราดลอุ าํ นาจความโกรธ จนเปน เหตุใหว ินจิ ฉัยความและ

กระทําการตา งๆ ผดิ พลาดเสยี ธรรม มเี มตตาประจําใจไวระงับความเคอื งขุน วินจิ ฉยั ความและ

กระทาํ การดว ยจติ อันราบเรยี บเปน ตัวของตนเอง — Akkodha: non-anger; non-fury)

8. อวหิ งิ สา (ความไมเ บยี ดเบยี น คอื ไมบ บี คนั้ กดขี่ เชน เกบ็ ภาษขี ดู รดี หรอื เกณฑแ รงงานเกนิ

ขนาด ไมห ลงระเรงิ อาํ นาจ ขาดความกรณุ า หาเหตเุ บยี ดเบยี นลงโทษอาชญาแกป ระชาราษฎรผ ใู ด
เพราะอาศยั ความอาฆาตเกลยี ดชงั — Avihi§sà: non-violence; non-oppression)
9. ขันติ (ความอดทน คือ อดทนตองานท่ีตรากตรํา ถงึ จะลาํ บากกายนาเหนอ่ื ยหนา ยเพยี งไร ก็

ไมท อถอย ถึงจะถกู ย่ัวถกู หยันดวยคาํ เสยี ดสีถากถางอยา งใด ก็ไมห มดกาํ ลังใจ ไมย อมละทิง้
กรณยี ท ีบ่ าํ เพญ็ โดยชอบธรรม — Khanti: patience; forbearance; tolerance)
10. อวโิ รธนะ (ความไมค ลาดธรรม คอื วางองคเ ปน หลกั หนกั แนน ในธรรม คงทไี่ มม คี วามเอน

เอยี งหวนั่ ไหวเพราะถอ ยคาํ ทด่ี รี า ย ลาภสกั การะ หรอื อฏิ ฐารมณ อนฏิ ฐารมณใ ดๆ สถติ มนั่ ในธรรม

ทงั้ สว นยตุ ธิ รรม คอื ความเทย่ี งธรรม กด็ ี นติ ธิ รรม คอื ระเบยี บแบบแผนหลกั การปกครอง ตลอด
จนขนบธรรมเนยี มประเพณอี นั ดงี าม กด็ ี ไมป ระพฤตใิ หเ คลอ่ื นคลาดวบิ ตั ไิ ป — Avirodhana: non-

deviation from righteousness; conformity to the law)

ราชธรรม 10 นี้ พงึ จดจาํ งา ยๆ โดยคาถาในบาลี ดงั นี้

ทานํ สีลํ ปรจิ ฺจาคํ อาชชฺ วํ มทฺทวํ ตป

อกโฺ กธํ อวิหึสฺจ ขนฺติฺจ อวิโรธน.ํ

J.V.378. ขุ.ชา.28/240/86.

[327] วัตถุประสงคในการบัญญัติพระวินัย 10 (เหตุผลที่พระพุทธเจา

[327] 242 พจนานุกรมพุทธศาสตร

ทรงปรารภหรือประโยชนท่ีทรงประสงค ในการทรงบัญญัติสิกขาบทแกพระสงฆสาวก —
Sikkhàpada-pa¤¤atti atthavasa: reasons for laying down the course of training for

monks; purposes of monastic legislation)

ก. วา ดวยประโยชนแ กส งฆหรือสว นรวม
1. สงฺฆสุฏตุ าย (เพอื่ ความรบั วาดีแหง สงฆ คอื เพ่อื ความเรียบรอยดีงามแหงสงฆ ซ่ึงไดทรง

ช้ีแจงใหมองเหน็ คณุ โทษแหง ความประพฤตนิ ัน้ ๆ ชัดเจนแลว จงึ ทรงบัญญตั สิ ิกขาบทข้นึ ไวโ ดย

ความเหน็ ชอบรว มกนั — for the excellence of the unanimous Order)
2. สงฆฺ ผาสตุ าย (เพือ่ ความผาสุกแหง สงฆ — for the comfort of the Order)

ข. วา ดวยประโยชนแกบุคคล
3. ทมุ มฺ งกฺ นู ํ ปคุ คฺ ลานํ นคิ คฺ หาย (เพอ่ื ขม บคุ คลผเู กอ ยาก คอื เพอ่ื กาํ ราบคนผดู า น ประพฤติ

ทราม — for the control of shameless persons)
4. เปสลานํ ภกิ ขฺ นู ํ ผาสวุ หิ าราย (เพื่อความอยูผาสกุ แหง เหลาภิกษุผูม ศี ีลดีงาม — for the

living in comfort of well-behaved monks)
ค. วาดว ยประโยชนแ กความบริสทุ ธ์ิ หรอื แกช ีวิต ทัง้ ทางกายและทางใจ

5. ทฏิ  ธมมฺ กิ านํ อาสวานํ สวํ ราย (เพอ่ื ปด กนั้ อาสวะทง้ั หลายอนั จะบงั เกดิ ในปจ จบุ นั คอื เพอ่ื

ระวงั ปด ทางความเสอ่ื มเสยี ความทกุ ข ความเดอื ดรอ น ทจ่ี ะมใี นปจ จบุ นั — for the restraint of

the cankers in the present; for the prevention of temporal decay and troubles)
6. สมปฺ รายกิ านํ อาสวานํ ปฏฆิ าตาย (เพอื่ บาํ บดั อาสวะทง้ั หลายอนั จะบงั เกดิ ในอนาคต คอื

เพอื่ ปอ งกนั มใิ หเ กดิ ความเสอื่ มเสยี ความทกุ ขค วามเดอื ดรอ น ทจ่ี ะมมี าในภายหนา หรอื ภพหนา —

for warding off the cankers in the hereafter; for protection against spiritual decay

and troubles)
ง. วา ดวยประโยชนแ กประชาชน

7. อปปฺ สนนฺ านํ ปสาทาย (เพอ่ื ความเลอ่ื มใสของชมุ ชนทยี่ งั ไมเ ลอ่ื มใส — for the confidence

of those who have not yet gained confidence)
8. ปสนนฺ านํ ภยิ โฺ ยภาวาย (เพื่อความเล่ือมใสย่ิงข้นึ ไปของชมุ ชนทเี่ ล่ือมใสแลว — for the

increase of the confidence of the confident)

จ. วา ดว ยประโยชนแ กพ ระศาสนา

9. สทธฺ มมฺ ฏ ิตยิ า (เพอื่ ความตงั้ มนั่ แหง สทั ธรรม — for the lastingness of the true doctrine)
10. วนิ ยานคุ คฺ หาย (เพอ่ื อนเุ คราะหว นิ ยั คอื ทาํ ใหม บี ทบญั ญตั สิ าํ หรบั ใชเ ปน หลกั เกณฑจ ดั ระเบยี บ

ของหมู สนบั สนนุ ความมวี นิ ยั ใหห นกั แนน มนั่ คงยง่ิ ขนึ้ — for the support of the discipline)

Vin.III.20; A.V.70. วินย.1/20/37; องฺ.ทสก.24/31/74.

[,,,] วิปสสนาญาณ 10 ดู [311] วปิ ส สนาญาณ 9.

หมวด 10 243 [329]

[328] วิปสสนูปกิเลส 10 (อุปกิเลสแหง วปิ ส สนา, ธรรมารมณทเ่ี กิดแกผ ไู ดต รุณ-

วิปสสนา หรอื วปิ ส สนาออ นๆ ทาํ ใหเขา ใจผิดวา ตนบรรลุมรรคผลแลว เปน เหตุขัดขวางใหไ มก า ว
หนา ตอไปในวปิ ส สนาญาณ — Vipassanåpakilesa: imperfections or defilements of

insight)
1. โอภาส (แสงสวาง — Obhàsa: illumination; luminous aura)
2. ญาณ (ความหยง่ั รู — ¥àõa: knowledge)
3. ปติ (ความอมิ่ ใจ — Pãti: rapture; unprecedented joy)
4. ปส สัทธิ (ความสงบเย็น — Passaddhi: tranquillity)
5. สขุ (ความสุขสบายใจ — Sukha: bliss; pleasure)
6. อธโิ มกข (ความนอมใจเช่อื , ศรทั ธาแกก ลา, ความปลงใจ — Adhimokkha: fervour;

assurance; resolution)
7. ปคคาหะ (ความเพยี รท่พี อดี — Paggàha: exertion; well-exerted energy)
8. อุปฏ ฐาน (สตแิ กก ลา, สติชัด — Upaññhàna: established mindfulness)
9. อเุ บกขา (ความมีจิตเปน กลาง — Upekkhà: equanimity)
10. นกิ นั ติ (ความพอใจ, ติดใจ — Nikanti: delight)

ดู [285] วิสทุ ธฺ ิ 7 โดยเฉพาะขอ 5 คือ มัคคามคั คญาณทัสสนวิสุทธิ

Vism.633. วสิ ุทธฺ .ิ 3/267.

[,,,] ศีล 10 ดู [242] ศีล 10.
[329] สังโยชน 101 (กเิ ลสอันผกู ใจสัตว, ธรรมท่ีมดั สัตวไ วก ับวฏั ฏทกุ ข หรอื ผกู กรรมไว
กบั ผล — Sa§yojana: fetters; bondage)

ก. โอรัมภาคยิ สงั โยชน 5 (สงั โยชนเ บอ้ื งต่าํ เปนอยา งหยาบ เปน ไปในภพอนั ตํ่า — Oram-
bhàgiya~: lower fetters)

1. สกั กายทฏิ ฐิ (ความเหน็ วา เปนตัวของตน เชน เห็นรปู เห็นเวทนา เหน็ วิญญาณ เปนตน
เปนตน — Sakkàyadiññhi: personality-view; false view of individuality)

2. วิจิกจิ ฉา (ความสงสัย, ความลังเล ไมแนใ จ — Vicikicchà: doubt; uncertainty)

3. สลี พั พตปรามาส (ความถอื มนั่ ศลี พรต โดยสกั วา ทาํ ตามๆ กนั ไปอยา งงมงายเหน็ วา จะบรสิ ทุ ธ์ิ
หลดุ พน ไดเ พยี งดว ยศลี และวตั ร — Sãlabbataparàmàsa: adherence to rules and rituals)

4. กามราคะ (ความกาํ หนดั ในกาม, ความตดิ ใจในกามคณุ — Kàmaràga: sensual lust)

5. ปฏฆิ ะ (ความกระทบกระทงั่ ในใจ, ความหงดุ หงดิ ขดั เคอื ง — Pañigha: repulsion; irritation)

ข. อุทธัมภาคยิ สงั โยชน 5 (สังโยชนเ บือ้ งสูง เปน อยางละเอยี ด เปน ไปแมใ นภพอันสงู —
Uddhambhàgiya~: higher fetters)

[330] 244 พจนานุกรมพุทธศาสตร

6. รปู ราคะ (ความตดิ ใจในอารมณแหง รูปฌาน หรอื ในรูปธรรมอนั ประณีต, ความปรารถนาใน
รปู ภพ — Råparàga: greed for fine-material existence; attachment to realms of form)

7. อรปู ราคะ (ความตดิ ใจในอารมณแ หง อรปู ฌาน หรอื ในอรปู ธรรม, ความปรารถนาในอรปู ภพ
— Aråparàga: greed for immaterial existence; attachment to formless realms)
8. มานะ (ความสาํ คัญตน คือ ถือตนวาเปน นั่นเปนน่ี — Màna: conceit; pride)
9. อุทธัจจะ (ความฟุงซา น — Uddhacca: restlessness; distraction)
10. อวิชชา (ความไมร ูจริง, ความหลง — Avijjà: ignorance)

สังโยชน 10 ในหมวดนี้ เปน แนวพระสตู ร หรือ สตุ ตนั ตนัย แตในบาลีแหงพระสตู รนัน้ ๆ มี
แปลกจากทีน่ เ้ี ล็กนอ ย คือ ขอ 4 เปน กามฉนั ท (ความพอใจในกาม — sensual desire) ขอ 5
เปน พยาบาท (ความขดั เคือง, ความคิดรา ย — ill-will) ใจความเหมือนกัน

ลาํ ดบั การละสงั โยชน 10 น้ี ใหดู [164] มรรค 4.

S.V.61; A.V.13; Vbh.377. ส.ํ ม.19/349/90; อง.ฺ ทสก.24/13/18; อภ.ิ ว.ิ 35/976–7/509.

[330] สังโยชน 102 (ธรรมที่มัดสตั วไวกับทุกข — Sa§yojana: fetters; bondage)

1. กามราคะ 2. ปฏฆิ ะ 3. มานะ 4. ทฏิ ฐิ (ความเหน็ ผดิ — Diññhi: false views) 5. วจิ กิ จิ ฉา
6. สลี พั พตปรามาส 7. ภวราคะ (ความตดิ ใจปรารถนาในภพ — Bhavaràga: greed for
existence) 8. อสิ สา (ความรษิ ยา — Issà: envy; jealousy) 9. มจั ฉรยิ ะ (ความตระหนี่ —
Macchariya: meanness; stinginess) 10. อวชิ ชา

สงั โยชน 10 ในหมวดนี้ เปนแนวพระอภิธรรม หรอื อภิธรรมนยั ไดแ สดงความหมายไว

เฉพาะขอทตี่ า งจากหมวดกอ น

Vbh.391. อภ.ิ ว.ิ 35/1029/528.

[331] สัญญา 10 (ความกําหนดหมาย, แนวความคดิ ความเขาใจ สาํ หรับใชกาํ หนด
พจิ ารณาในการเจริญกรรมฐาน — Sa¤¤à: perception; contemplation; ideas as objects

of meditation)
1. อนิจฺจสฺา (กาํ หนดหมายความไมเ ทย่ี งแหงสังขาร — Anicca-sa¤¤à: contemplation

on impermanency)
2. อนตตฺ สฺ า (กาํ หนดหมายความเปน อนตั ตาแหง ธรรมทง้ั ปวง — Anatta~: contemplation

on impersonality)
3. อสภุ สฺ า (กาํ หนดหมายความไมง ามแหง กาย — Asubha~: contemplation on foulness

or loathsomeness)
4. อาทนี วสฺา (กําหนดหมายโทษทกุ ขข องกายอนั มคี วามเจ็บไขตางๆ — âdãnava~:

contemplation on the disadvantages of the body)
5. ปหานสฺา (กําหนดหมายเพื่อละอกุศลวิตกและบาปธรรมท้ังหลาย — Pahàna~:

หมวด 10 245 [333]

contemplation on abandonment or overcoming)
6. วริ าคสฺ า (กาํ หนดหมายวริ าคะวา เปน ธรรมละเอยี ดประณตี — Viràga~: contemplation

on detachment)
7. นโิ รธสฺา (กําหนดหมายนิโรธวาเปน ธรรมละเอยี ดประณตี — Nirodha~: contem-

plation on cessation)
8. สพพฺ โลเก อนภริ ตสฺ า (กาํ หนดหมายความไมน า เพลดิ เพลนิ ในโลกทง้ั ปวง — Sabbaloke
anabhirata~: contemplation on the non-delightfulness of the whole world)
9. สพพฺ สงขฺ าเรสุ อนฏิ  สฺ า (กาํ หนดหมายความไมน า ปรารถนาในสงั ขารทง้ั ปวง —Sabba-
saïkhàresu aniññha~: contemplation on the non-pleasantness of the whole world)
10. อานาปานสติ (สตกิ ําหนดลมหายใจเขาออก — ânàpànasati: mindfulness of in-

and out-breathing)

ในขอ 9. อนฏิ  สฺ า พระบาลีเดิมเปน อนจิ จฺ สฺ า บาง อนจิ ฉฺ าสฺ า บาง.

D.III.291; A.V.109. ท.ี ปา.11/473/340; องฺ.ทสก.24/60/116.

[332] สัทธรรม 10 (ธรรมอนั ด,ี ธรรมทแ่ี ท, ธรรมของสตั บุรษุ , หลักหรอื แกน ศาสนา —
Saddhamma: true doctrine; essential Dharma)

1.–9. โลกุตตรธรรม 9 (มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1 — Lokuttara-dhamma: the nine

supermundane states, viz., the Four Paths, the Four Fruitions and Nibbàna)

10. ปริยตั ธิ รรม (ธรรมคอื คาํ สัง่ สอนอันจะตองเลาเรยี น กลา วคอื พทุ ธพจน — Pariyatti-

dhamma: the text to be studied, i.e. the words of the Buddha)

(ฉบบั อกั ษรโรมนั ยังไมไ ดพมิ พ) สงฺคห.ฏกี า 65.

[333] สัมมัตตะ 10 (ภาวะทถ่ี กู , ความเปน สงิ่ ทถี่ กู — Sammatta: rightness; right states)

8 ขอ ตน ตรงกบั องคม รรค 8 ขอ คอื สมั มาทฏิ ฐิ สมั มาสงั กปั ปะ สมั มาวาจา
สมั มากมั มนั ตะ สมั มาอาชวี ะ สมั มาวายามะ สมั มาสติ สมั มาสมาธิ และเพม่ิ 2 ขอ คอื

9. สมั มาญาณ (รชู อบ ไดแ ก ผลญาณ และปจ จเวกขณญาณทงั้ 19 ประเภท — Sammà¤àõa:

right knowledge; right insight)

10. สมั มาวมิ ตุ ติ (หลดุ พน ชอบ ไดแ ก อรหตั ตผลวมิ ตุ ติ — Sammàvimutti: right deliverance)

ธรรมหมวดนี้ เรียกช่อื อีกอยางวา อเสขธรรม (ธรรมของพระอเสขะ — Asekhadhamma:

qualities of the adept)

ดู [293] มรรคมอี งค 8.

D.III.271,292; M.I.42; A.V.212. ที.ปา.11/362/286; 475/342; ม.ม.ู 12/104/75; อง.ฺ ทสก.24/104/226;

ม.อ.1/260; อง.ฺ อ.2/319,474,481.

[334] 246 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร

[334] มิจฉัตตะ 10 (ภาวะทผ่ี ดิ , ความเปน สง่ิ ทผ่ี ดิ —Micchatta: wrongness; wrong states)

1. มจิ ฉาทิฏฐิ (เห็นผดิ ไดแก ความเห็นผิดจากคลองธรรมตามหลักกศุ ลกรรมบถ และความ
เห็นที่ไมนาํ ไปสูค วามพน ทุกข — Micchàdiññhi: wrong view)
2. มจิ ฉาสงั กปั ปะ (ดาํ รผิ ดิ ไดแ ก ความดาํ รทิ ี่เปน อกศุ ลท้งั หลาย ตรงขามจากสัมมาสงั กัปปะ
— Micchàsaïkappa: wrong thought)
3. มิจฉาวาจา (วาจาผิด ไดแก วจีทจุ รติ 4 — Micchàvàcà: wrong speech)
4. มจิ ฉากัมมันตะ (กระทําผดิ ไดแก กายทุจริต 3 — Micchàkammanta: wrong action)

5. มิจฉาอาชีวะ (เล้ียงชีพผิด ไดแก เลี้ยงชีวติ ในทางทุจรติ — Micchà-àjãva: wrong

livelihood)
6. มจิ ฉาวายามะ (พยายามผดิ ไดแ ก ความเพยี รตรงขามกบั สัมมาวายามะ — Micchà-
vàyàma: wrong effort)
7. มิจฉาสติ (ระลกึ ผดิ ไดแก ความระลกึ ถึงเร่ืองราวท่ีลวงแลว เชน ระลกึ ถึงการไดท รัพย การ

ไดยศ เปน ตน ในทางอกศุ ล อันจดั เปน สตเิ ทยี ม เปน เหตุชักนําใจใหเกิดกเิ ลสมีโลภะ มานะ
อสิ สา มจั ฉริยะ เปน ตน — Micchàsati: wrong mindfulness)
8. มิจฉาสมาธิ (ต้ังจติ ผิด ไดแ ก ต้งั จติ เพง เล็ง จดจอ ปก ใจแนวแนในกามราคะ พยาบาท

เปนตน หรือเจรญิ สมาธแิ ลว หลงเพลิน ตดิ หมกมนุ ตลอดจนนาํ ไปใชผ ดิ ทาง ไมเปน ไปเพ่ือ
ญาณทสั สนะ และความหลดุ พน — Micchàsamàdhi: wrong concentration)
9. มจิ ฉาญาณ (รผู ิด ไดแก ความหลงผิดท่ีแสดงออกในการคดิ อบุ ายทาํ ความช่ัว และในการ
พิจารณาทบทวนวา ความช่วั น้นั ๆ ตนกระทําไดอ ยางดแี ลว เปน ตน — Micchà¤àõa: wrong

knowledge)

10. มิจฉาวิมุตติ (หลดุ พน ผดิ ไดแก ยงั ไมถ ึงวิมตุ ติ สาํ คญั วาถึงวิมตุ ติ หรือสําคญั ผดิ ในสิ่งท่ี
มิใชวิมุตตวิ าเปน วมิ ตุ ติ — Micchàvimutti: wrong deliverance)

D.III.290; M.I.42; A.V.212. ท.ี ปา.11/469/337; ม.มู.12/104/76; องฺ.ทสก.24/103/226; ม.อ.1/259; วิภงคฺ .อ.676.

[,,,] อกุศลกรรมบถ 10 ดู [321] อกุศลกรรมบถ 10.

[335] อนุสติ 10 (ความระลกึ ถงึ , อารมณอ นั ควรระลกึ ถงึ เนอื งๆ — Anussati: recollection;

constant mindfulness)
1. พุทธานสุ ติ (ระลกึ ถงึ พระพุทธเจา คอื นอ มจติ ระลึกถึงและพิจารณาคุณของพระองค —
Buddhànussati: recollection of the Buddha; contemplation on the virtues of the

Buddha)

2. ธมั มานสุ ติ (ระลกึ ถงึ พระธรรม คอื นอ มจติ ระลกึ ถงึ และพจิ ารณาคณุ ของพระธรรม — Dhammà-
nussati: recollection of the Dhamma; contemplation on the virtues of the Doctrine)
3. สังฆานุสติ (ระลึกถึงพระสงฆ คือ นอมจิตระลึกถึงและพิจารณาคุณของพระสงฆ —

หมวด 10 247 [336]

Saïghànussati: recollection of the Sangha; contemplation on the virtues of the Order)
4. สลี านสุ ติ (ระลกึ ถงึ ศลี คอื นอ มจติ ราํ ลกึ พจิ ารณาศลี ของตนทไี่ ดป ระพฤตปิ ฏบิ ตั ิ บรสิ ทุ ธ์ิ ไม
ดา งพรอ ย — Sãlànussati: recollection of morality; contemplation on one’s own morals)
5. จาคานุสติ (ระลึกถึงการบริจาค คอื นอ มจิตระลึกถึงทานทตี่ นไดบรจิ าคแลว และพจิ ารณา
เห็นคณุ ธรรมคอื ความเผื่อแผเ สียสละนที้ ม่ี ีในตน — Càgànussati: recollection of liberality;

contemplation on one’s own liberality)
6. เทวตานสุ ติ (ระลึกถึงเทวดา คอื นอมจิตระลกึ ถึงเทวดาทง้ั หลายท่ีตนเคยรู และพจิ ารณา
เหน็ คณุ ธรรมอนั ทาํ บุคคลใหเ ปนเทวดาน้นั ๆ ตามทีม่ ีอยใู นตน — Devatànussati: recollection

of deities; contemplation on the virtues which make people become gods as can

be found in oneself)
7. มรณสติ (ระลึกถงึ ความตายอนั จะตองมีมาถึงตนเปนธรรมดา พิจารณาทจ่ี ะใหเกิดความไม
ประมาท — Maraõassati: mindfulness of death; contemplation on death)
8. กายคตาสติ (สติอันไปในกาย คือ กาํ หนดพิจารณากายนี้ ใหเหน็ วาประกอบดวยสวนตางๆ

อันไมสะอาด ไมงาม นารังเกียจ เปนทางรูเ ทา ทนั สภาวะของกายนี้ มใิ หหลงใหลมัวเมา —
Kàyagatà-sati: mindfulness occupied with the body; contemplation on the 32

impure parts of the body)
9. อานาปานสติ (สตกิ าํ หนดลมหายใจเขา ออก — ânàpànasati: mindfulness on breathing)
10. อปุ สมานสุ ติ (ระลกึ ถงึ ธรรมเปน ทส่ี งบ คอื ระลกึ ถงึ และพจิ ารณาคณุ ของพระนพิ พาน อนั

เปน ทรี่ ะงบั กเิ ลสและความทกุ ข — Upasamànussati: recollection of peace; contemplation

on the virtue of Nibbàna)

ดู [354] กรรมฐาน 40.

A.I.30,41; Vism.197. อง.ฺ เอก.20/179–180/39–40; 224/54; วิสุทธฺ ิ.1/251.

[,,,] อภิณหปจจเวกขณ 10 ดู [248] ปพพชติ อภณิ หปจ จเวกขณ 10.

[,,,] อเสขธรรม 10 ดู [333] สัมมตั ตะ 10.

[336] อสุภะ 10 (สภาพอนั ไมง าม, ซากศพในสภาพตา งๆ ซง่ึ ใชเ ปน อารมณแ หง สมถกรรมฐาน
— Asubha: ten kinds of foulness; corpses at different stages of decay)

1. อทุ ธมุ าตกะ (ซากศพทเ่ี นา พองขนึ้ อดื — Uddhumàtaka: bloated corpse; swollen-up corpse)

2. วนิ ลี กะ (ซากศพทมี่ สี เี ขยี วคลาํ้ คละดว ยสตี า งๆ — Vinãlaka: bluish discoloured corpse;

livid corpse)
3. วิปพุ พกะ (ซากศพทมี่ ีนาํ้ เหลืองไหลเยิ้มอยูตามทที่ ี่แตกปริออก — Vipubbaka: festering

corpse)
4. วจิ ฉทิ ทกะ (ซากศพทีข่ าดจากกันเปน 2 ทอน — Vicchiddaka: split or cut up corpse;

[337] 248 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร

disjoint corpse)
5. วิกขายิตกะ (ซากศพทถี่ ูกสตั ว เชน แรง กา สุนขั จกิ ท้ึงกัดกินแลว — Vikkhàyitaka:

gnawed corpse)
6. วกิ ขิตตกะ (ซากศพท่กี ระจุยกระจาย มือเทา ศีรษะหลดุ ออกไปขา งๆ — Vikkhittaka:

scattered corpse; mangled corpse)
7. หตวิกขิตตกะ (ซากศพที่ถกู สับฟน บั่นเปนทอ นๆ กระจายออกไป — Hatavikkhittaka:

hacked and scattered corpse; mutilated and mangled corpse)
8. โลหิตกะ (ซากศพท่ีมโี ลหติ ไหลอาบเรย่ี ราดอยู — Lohitaka: blood-stained corpse;

bleeding corpse)
9. ปฬุ วุ กะ (ซากศพท่ีมหี นอนคลาคล่ําเต็มไปหมด — Puëuvaka: worm-infested corpse)
10. อัฏฐกิ ะ (ซากศพทีย่ ังเหลืออยแู ตรางกระดกู หรือกระดกู ทอน — Aññhika: skeleton)

ดู [354] กรรมฐาน 40.

Vism.178. วิสทุ ธฺ .ิ 1/226.

[337] อันตคาหิกทิฏฐิ 10 (ความเหน็ อันถอื เอาทสี่ ดุ , ความเหน็ ผิดทแ่ี ลน ไปสดุ โตง
ขางใดขา งหนง่ึ — Antagàhika-diññhi: the ten erroneous extremist views) คอื เห็นวา

1. โลกเทย่ี ง (The world is eternal.)

2. โลกไมเ ที่ยง (The world is not eternal.)

3. โลกมีท่ีสดุ (The world is finite.)

4. โลกไมมีทีส่ ุด (The world is infinite.)

5. ชีวะก็อันนน้ั สรีระกอ็ ันนั้น (The soul and the body are identical.)

6. ชีวะกอ็ ยางหนึง่ สรีระกอ็ ยา งหนึง่ (The soul is one thing and the body is another.)

7. ตถาคตเบอ้ื งหนา แตตาย ยอมเปนอกี (The Tathàgata is, after death.)

8. ตถาคตเบื้องหนาแตต าย ยอมไมเ ปน อกี (The Tathàgata is not, after death.)

9. ตถาคตเบอ้ื งหนา แตตาย ยอมเปนอกี ก็ใช ไมเ ปนอกี ก็ใช (The Tathàgata both is

and is not, after death.)
10. ตถาคตเบอื้ งหนาแตตาย ยอ มเปน อีก ก็มิใช ยอ มไมเปน อกี ก็มิใช (The Tathàgata

neither is nor is not, after death.)

คาํ วา ตถาคต ในทน่ี ี้ อรรถกถาบางแหงวา หมายถงึ “สัตว” (เชน ม.อ.3/135; สงฺคณ.ี อ.528) บาง

แหงวา “อัตตา” หรอื “อาตมนั ” (อุ.อ.430) บางแหง วา “พระพุทธเจา” (สํ.อ.3/192)

M.I.426; S.IV.392; A.V.193; ม.ม.13/147/143; สํ.สฬ.18/788/476; อง.ฺ ทสก.24/193/206;
Ps.I.151; Vbh.392.
ข.ุ ปฏ.ิ 31/337/226; อภ.ิ ว.ิ 35/1032/529.

อติเรกทสกะ — หมวดเกนิ 10

Groups of More Than Ten

[338] กรรม 12 (การกระทําท่ีประกอบดวยเจตนา ดีกต็ าม ชว่ั กต็ าม, ในทีน่ ี้หมายถงึ กรรม

ประเภทตา งๆ พรอ มทง้ั หลกั เกณฑเ กยี่ วกบั การใหผ ลของกรรมเหลา นน้ั — Kamma: karma;

kamma; action; volitional action)
หมวดท่ี 1 วาโดยปากกาล คือ จาํ แนกตามเวลาท่ีใหผ ล (classification according to

the time of ripening or taking effect)
1. ทฏิ ฐธรรมเวทนยี กรรม (กรรมใหผ ลในปจ จบุ นั คอื ในภพน้ี — Diññhadhamma-vedanãya-
kamma: kamma to be experienced here and now; immediately effective kamma)
2. อปุ ปช ชเวทนยี กรรม (กรรมใหผ ลในภพทจี่ ะไปเกดิ คอื ในภพหนา — Upapajja-vedanãya-
kamma: kamma to be experienced on rebirth; kamma ripening in the next life)
3. อปราปรยิ เวทนยี กรรม (กรรมใหผ ลในภพตอ ๆ ไป — Aparàpariya-vedanãya-kamma:

kamma to be experienced in some subsequent lives; indefinitely effective kamma)
4. อโหสกิ รรม (กรรมเลกิ ใหผ ล ไมม ผี ลอกี — Ahosi-kamma: lapsed or defunct kamma)

หมวดที่ 2 วา โดยกิจ คอื จําแนกการใหผ ลตามหนาที่ (classification according to

function)
5. ชนกกรรม (กรรมแตง ใหเ กดิ , กรรมท่เี ปน ตวั นาํ ไปเกดิ — Janaka-kamma: productive

kamma; reproductive kamma)
6. อุปตถมั ภกกรรม (กรรมสนบั สนนุ , กรรมท่เี ขาชว ยสนับสนุนหรือซํา้ เติมตอจากชนกกรรม
— Upatthambhaka-kamma: supportive kamma; consolidating kamma)
7. อุปปฬกกรรม (กรรมบบี คัน้ , กรรมท่มี าใหผล บีบคน้ั ผลแหง ชนกกรรมและอปุ ตถัมภกรรม
นนั้ ใหแ ปรเปลยี่ นทเุ ลาลงไป บน่ั ทอนวบิ ากมใิ หเ ปน ไปไดน าน — Upapãëaka-kamma: obstructive

kamma; frustrating kamma)
8. อปุ ฆาตกกรรม (กรรมตดั รอน, กรรมทแ่ี รง ฝา ยตรงขา มกบั ชนกกรรมและอปุ ต ถมั ภกกรรม

เขาตดั รอนการใหผลของกรรมสองอยางนัน้ ใหขาดไปเสยี ทีเดียว เชน เกิดในตระกูลสงู มง่ั คั่ง
แตอ ายสุ ้ัน เปนตน — Upaghàtaka-kamma: destructive kamma; supplanting kamma)

หมวดท่ี 3 วา โดยปากทานปริยาย คือ จําแนกตามความยักเย้อื งหรอื ลําดับความแรงใน

การใหผล (classification according to the order of ripening)

9. ครกุ กรรม (กรรมหนกั ใหผ ลกอ น ไดแ ก สมาบตั ิ 8 หรอื อนนั ตรยิ กรรม — Garuka-kamma:

weighty kamma)
10. พหุลกรรม หรอื อาจณิ ณกรรม (กรรมทํามากหรือกรรมชิน ใหผ ลรองจากครุกกรรม

[339] 250 พจนานุกรมพุทธศาสตร

— Bahula-kamma or âciõõa-kamma: habitual kamma)
11. อาสนั นกรรม (กรรมจวนเจยี น หรอื กรรมใกลตาย คือกรรมทาํ เมือ่ จวนจะตายจบั ใจอยู
ใหมๆ ถา ไมมี 2 ขอ กอน ก็จะใหผลกอนอื่น — âsanna-kamma: death-threshold kamma;

proximate kamma)
12. กตตั ตากรรม หรอื กตตั ตาวาปนกรรม (กรรมสกั วา ทาํ , กรรมทท่ี าํ ไวด ว ยเจตนาอนั ออ น
หรอื มใิ ชเ จตนาอยา งนน้ั โดยตรง ตอ เมอื่ ไมม กี รรมอน่ื ใหผ ลแลว กรรมนจ้ี งึ จะใหผ ล — Katattà-

kamma or Katattàvàpana-kamma: reserve kamma; casual act) กฏตั ตากรรม กเ็ ขยี น

กรรม 12 หรอื กรรมส่ี 3 หมวดนี้ มไิ ดมมี าในบาลใี นรปู เชนนโี้ ดยตรง พระอาจารยส มัยตอ
มา เชน พระพทุ ธโฆษาจารย เปนตน ไดรวบรวมมาจดั เรยี งเปน แบบไวใ นภายหลงั .

Vism.601; Comp.144. วิสทุ ธฺ .ิ 3/223; สงคฺ ห.28.

[339] จักรวรรดิวัตร 5, 12 (วตั รของพระเจา จกั รพรรด,ิ พระจรยิ าทพ่ี ระจกั รพรรดพิ งึ

ทรงบําเพ็ญสม่ําเสมอ, ธรรมเนียมการทรงบําเพ็ญพระราชกรณียของพระเจาจักรพรรดิ, หนาที่
ของนกั ปกครองผยู งิ่ ใหญ — Cakkavatti-vatta: duties of a universal king or a great ruler)
1. ธรรมาธปิ ไตย (ถือธรรมเปน ใหญ เคารพนบั ถอื บูชายาํ เกรงธรรม ยดึ ธรรมเปน หลัก เปน
ธงชยั เปนธรรมาธปิ ไตย — Dhammàdhipateyya: supremacy of the law of truth and

righteousness; rule of the Dhamma; rule of the true law) (1) และ

2. ธรรมิการักขา (จัดการรักษาปองกันและคุมครองอันชอบธรรมและเปนธรรม —
Dhammikàrakkhà: provision of the right watch, ward and protection)

ก. อนั โตชน (แกช นภายใน ต้ังแตพ ระมเหสี โอรส ธิดา จนถงึ ผูปฏบิ ตั ริ าชการในพระองค

ทงั้ หมด คอื คนในปกครองสว นตวั ตง้ั แตบ ตุ รธดิ าเปน ตน ไป ดว ยใหก ารบาํ รงุ เลย้ี งอบรม

สงั่ สอนเปนตน ใหอยโู ดยเรยี บรอ ยสงบสุข และมีความเคารพนบั ถอื กัน — for one’s

own folk) (2)
ข. พลกาย (แกก องทพั คือ ปวงเสนาขาทหาร, ขา ราชการฝายทหาร — for the army; the

armed forces; military personnel) (3)
ค. ขัตติยะ (แกกษัตริยท้ังหลายผูอยูในพระบรมเดชานุภาพ, เจาเมืองข้ึน, ปจจุบัน

สงเคราะหช นชัน้ ปกครองและนักบรหิ ารช้นั ผใู หญท ้ังหลาย, ขา ราชการฝา ยปกครอง —

for colonial kings; administrative officers) (4)
ง. อนุยนต (แกผ ูตามเสดจ็ คือ ราชบริพารทั้งหลาย, ปจจุบันควรสงเคราะหขา ราชการฝาย

พลเรอื นเขา ทง้ั หมด — for the royal dependants; civil servants) (5)
จ. พราหมณคฤหบดี (แกช นเจา พธิ ี เจา ตาํ รา พอ คา เจา ไรเ จา นา คอื ครอู าจารย นกั วชิ าการ

หมอ พอคา ผูประกอบวิชาชีพตางๆ และเกษตรกร ดวยชวยจัดหาทุนและอุปกรณ

เปน ตน — for brahmins and householders; the professional, traders and the

agricultural) (6)

หมวดเกิน 10 251 [339]

ฉ. เนคมชานบท (แกช าวนิคมชนบท คอื ราษฎรทั้งปวงทุกทอ งถิ่นตลอดถงึ ชายแดนทว่ั ไป
ไมท อดทงิ้ — for town and country dwellers; townsmen and villagers; upcountry

people) (7)
ช. สมณพราหมณ (แกพ ระสงฆแ ละบรรพชติ ผทู รงศลี ทรงคณุ ธรรม — for the religious)

(8)
ญ.มิคปกษี (แกมฤคและปกษี คือ สตั วอ นั ควรสงวนทั้งหลาย — for beasts and birds)

(9)
3. อธรรมการนเิ สธนา (หา มกนั้ มใิ หม กี ารอนั อธรรมเกดิ ขน้ึ ในพระราชอาณาเขต คอื จดั การปอ งกนั
แกไ ข มใิ หม กี ารกระทาํ ความผดิ ความชวั่ รา ยเดอื ดรอ นเกดิ ขนึ้ ในบา นเมอื ง — Adhammakàra-
nisedhanà: to let no wrongdoing prevail in the kingdom) (10)
4. ธนานุประทาน (ปนทรพั ยเฉล่ียใหแ กช นผไู รทรพั ย มใิ หม ีคนขัดสนยากไรในแวนแควน —
Dhanànuppadàna: to let wealth be given or distributed to the poor) (11)
5. ปรปิ จุ ฉา (ปรึกษาสอบถามปญ หากบั สมณพราหมณ ผูประพฤตดิ ี ปฏิบัตชิ อบ ผไู มป ระมาท

มัวเมา อยูเสมอตามกาลอันควร เพื่อใหรูชัดการอันดีช่ัว ควรประกอบหรือไม เปนไปเพื่อ

ประโยชนส ุขหรือไม แลว ประพฤติปฏิบตั ิใหเปน ไปโดยถกู ตอ ง ขอ นปี้ จ จบุ ันสงเคราะหนกั ปราชญ
นกั วิชาการผทู รงคณุ ธรรมเขา ดว ย — Paripucchà: to go from time to time to see and

seek advice from the men of religious life who maintain high moral standards; to

have virtuous counsellors and seek after greater virtue) (12)

จักรวรรดิวัตรน้ี มาใน จักกวตั ตสิ ตู ร ตามทมี่ าทอ่ี าง ในพระบาลี คือพระไตรปฎ ก ทานไม

ระบจุ ํานวนขอไว แตน บั ตามท่ีตรัสไว เปน หลักการทยี่ ึดถือหนึ่งขอ และหลกั ปฏบิ ัติ 4 ขอ จึงรวม

เปน 5 ขอ อยางไรกด็ ี ขอ ยอยทแ่ี ยกออกไปจากขอ 2 (ธรรมิการักขา) แตละอยาง ในช้ัน

อรรถกถาคงเหน็ วามคี วามสําคัญมาก และมีรายละเอยี ดวธิ ีปฏิบัตจิ าํ เพาะตา งกนั ออกไป จงึ จัด

เปน วตั รแตล ะขอ เทา กนั หมด นับได 12 ขอ ตามตัวเลขในวงเล็บขา งหลัง

แตใ นอรรถกถาแหง พระสูตรนเ้ี อง (ท.ี อ.3/46) ทา นจดั ตางออกไปดงั น้ี
1. อนฺโตชนสฺมึ พลกายสฺมึ (สงเคราะหช นภายใน และพลกายกองทหาร)
2. ขตฺติเยสุ (สงเคราะหกษัตริยเ มืองขึ้นท้งั หลาย)
3. อนุยนเฺ ตสุ (สงเคราะหเหลาเชอ้ื พระวงศ ผตู ามเสดจ็ เปน ราชบรพิ าร)
4. พรฺ าหฺมณคหปตเิ กสุ (คุม ครองพราหมณแ ละคฤหบดที งั้ หลาย)
5. เนคมชานปเทสุ (คมุ ครองชาวราษฎรพนื้ เมอื งทง้ั หลาย)
6. สมณพฺราหฺมเณสุ (คุมครองเหลาสมณพราหมณ)
7. มคิ ปกขฺ ีสุ (คุมครองเน้ือนกท่เี อาไวส ืบพนั ธุ)
8. อธมฺมการปฏกิ เฺ ขโป (หามปรามมิใหม ีการประพฤติการอนั ผิดธรรม)

[340] 252 พจนานกุ รมพุทธศาสตร

9. อธนานํ ธนานุปปฺ ทาน (ทาํ นุบํารงุ ผขู ดั สนไรทรัพย)
10. สมณพรฺ าหมฺ เณ อปุ สงกฺ มติ วฺ า ปหฺ าปจุ ฉฺ น (เขา ไปหาและสอบถามปญ หากะสมณพราหมณ)

11. อธมมฺ ราคสสฺ ปหาน (เวนความกําหนดั ในกามโดยอาการไมเ ปน ธรรม)

12. วสิ มโลภสฺส ปหาน (เวน โลภกลา ไมเ ลอื กควรไมค วร)

ที่จํากันมาสวนมาก ก็ถือตามนัยอรรถกถาน้ี อยางไรก็ดี ตามนัยน้ี ทานไมนับขอ
ธรรมาธิปไตย เขา ในจํานวน 12 ขอ และเพม่ิ ขอ 11, 12 เขามาใหม ซ่ึงไมมีมาในบาลเี ดิม (ขอ
11, 12 นี้ โดยเหตผุ ลนาจะมอี ยูแลวในหลักทศพธิ ราชธรรม)

ดู [326] ราชธรรม 10 ดวย.

D.III.61. ท.ี ปา.11/35/65.

[340] ปฏิจจสมุปบาท มอี งคหรอื หัวขอ 12 (การเกิดขน้ึ พรอ มแหงธรรมท้ังหลาย
เพราะอาศยั กัน, ธรรมทีอ่ าศยั กันเกิดข้ึนพรอม, การที่สง่ิ ทง้ั หลายอาศัยกันๆ จงึ เกิดมีขนึ้ — Pañ
icca-samuppàda: the Dependent Origination; conditioned arising)

1.–2. อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เพราะ อวิชชา เปน ปจจยั สังขาร จึงมี (Dependent on

Ignorance arise Kamma-Formations.)

3. สงฺขารปจจฺ ยา วิฺาณํ เพราะสงั ขารเปนปจ จยั วิญญาณ จึงมี (Dependent on

Kamma-Farmations arises Consciousness.)

4. วิฺาณปจฺจยา นามรปู  เพราะวิญญาณเปนปจ จัย นามรปู จงึ มี (Dependent on

Consciousness arise Mind and Matter.)

5. นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ เพราะนามรปู เปนปจ จัย สฬายตนะ จงึ มี (Dependent on

Mind and Matter arise the Six Sense-Bases.)

6. สฬายตนปจจฺ ยา ผสฺโส เพราะสฬายตนะเปนปจจยั ผสั สะ จึงมี (Dependent on the

Six Sense-Bases arises Contact.)

7. ผสฺสปจจฺ ยา เวทนา เพราะผัสสะเปนปจ จัย เวทนา จงึ มี (Dependent on Contact

arises Feeling.)

8. เวทนาปจจฺ ยา ตณฺหา เพราะเวทนาเปน ปจ จัย ตณั หา จงึ มี (Dependent on Feeling

arises Craving.)

9. ตณฺหาปจจฺ ยา อุปาทานํ เพราะตณั หาเปนปจจัย อุปาทาน จงึ มี (Dependent on

Craving arises Clinging.)

10. อุปาทานปจจฺ ยา ภโว เพราะอุปาทานเปนปจจัย ภพ จงึ มี (Dependent on Clinging

arises Becoming.)

11. ภวปจจฺ ยา ชาติ เพราะภพเปน ปจ จัย ชาติ จึงมี (Dependent on Becoming arises

Birth.)

หมวดเกนิ 10 253 [340]

12. ชาตปิ จจฺ ยา ชรามรณํ เพราะชาตเิ ปนปจ จัย ชรามรณะ จึงมี (Dependent on Birth

arise Decay and Death.)

โสกปรเิ ทวทุกขฺ โทมนสสฺ ุปายาสา สมฺภวนตฺ ิ

ความโศก ความครํา่ ครวญ ทุกข โทมนสั และความคบั แคนใจ ก็มีพรอ ม

(There also arise sorrow, lamentation, pain, grief and despair.)

เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสสฺ สมุทโย โหติ.

ความเกิดขน้ึ แหง กองทกุ ขท ั้งปวงน้ี จงึ มดี ว ยประการฉะนี้

(Thus arises this whole mass of suffering.)

แสดงตามลาํ ดับ จากตนไปหาปลายอยางนี้ เรียกวา อนโุ ลมเทศนา (teaching in forward

order) ถาแสดงยอนกลับจากปลายมาหาตน วา ชรามรณะเปน ตน มเี พราะชาตเิ ปน ปจ จัย ชาตมิ ี

เพราะภพเปน ปจ จยั ฯลฯ สังขารมีเพราะอวิชชาเปนปจจยั เรยี กวา ปฏโิ ลมเทศนา (teaching in

backward order)

องค (factors) หรอื หัวขอ 12 นัน้ มคี วามหมายโดยสงั เขป ดังนี้

1. อวชิ ชา (Avijjà: ignorance) ความไมรู คอื ไมรูใ นอรยิ สัจจ 4 หรอื ตามนัยอภิธรรมวา

อวิชชา 8 ดู [208] อวิชชา 4; [209] อวิชชา 8
2. สังขาร (Saïkhàra: kamma-formations) สภาพที่ปรุงแตง ไดแ ก [120] สังขาร 3 2 หรือ

[129] อภิสงั ขาร 3
3. วิญญาณ (Vi¤¤àõa: consciousness) ความรูแจงอารมณ ไดแ ก [268] วญิ ญาณ 6

4. นามรปู (Nàma-råpa: mind and matter) นามและรูป ไดแก เวทนา สญั ญา เจตนา

ผัสสะ มนสกิ าร หรอื ตามนัยอภธิ รรมวา นามขนั ธ 3 + รปู ดู [216] ขนั ธ 5 (ขอ 2, 3, 4);
[38] รปู 21, 28; [39] มหาภตู หรอื ภตู รปู 4; [40] อปุ าทารปู หรอื อปุ าทายรปู 24; [41] รปู 22
5. สฬายตนะ (Saëàyatana: six sense-bases) อายตนะ 6 ไดแก [276] อายตนะภายใน 6
6. ผสั สะ (Phassa: contact) ความกระทบ, ความประจวบ ไดแ ก [272] สัมผสั 6
7. เวทนา (Vedanà: feeling) ความเสวยอารมณ ไดแ ก [113] เวทนา 6
8. ตณั หา (Taõhà: craving) ความทะยานอยาก ไดแ ก ตัณหา 6 มีรปู ตัณหา เปนตน (ตณั หา
ในรปู ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัสทางกาย และในธรรมารมณ) ดู [74] ตัณหา 3 ดวย
9. อปุ าทาน (Upàdàna: clinging; attachment) ความยดึ มน่ั ไดแก [214] อปุ าทาน 4
10. ภพ (Bhava: becoming) ภาวะชวี ติ ไดแ ก [98] ภพ 3 อกี นยั หนง่ึ วา ไดแ ก กรรมภพ (ภพ
คอื กรรม — active process of becoming ตรงกบั [129] อภสิ งั ขาร 3) กบั อปุ ปต ตภิ พ

(ภพคอื ทอ่ี บุ ตั ิ — rebirth-process of becoming ตรงกบั [98] ภพ 3)

11. ชาติ (Jàti: birth) ความเกิด ไดแก ความปรากฏแหง ขนั ธท ง้ั หลาย การไดอายตนะ
12. ชรามรณะ (Jarà-maraõa: decay and death) ความแกแ ละความตาย ไดแ ก ชรา (ความ

[340] 254 พจนานุกรมพุทธศาสตร

เสอื่ มอาย,ุ ความหงอ มอนิ ทรยี ) กบั มรณะ (ความสลายแหง ขนั ธ, ความขาดชวี ติ นิ ทรยี )

ทง้ั 12 ขอ เปน ปจ จยั ตอ เนอ่ื งกนั ไป หมนุ เวยี นเปน วงจร ไมม ตี น ไมม ปี ลาย เรยี กวา ภวจกั ร

(วงลอ หรอื วงจรแหง ภพ — Bhava-cakka: wheel of existence) และมขี อ ควรทราบเกยี่ วกบั
ภวจกั รอกี ดงั น้ี
ก.อัทธา 3 (Addhà: periods; times) คอื กาล 3 ไดแ ก

1) อดีต = อวชิ ชา สงั ขาร

2) ปจจบุ นั = วญิ ญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ

3) อนาคต = ชาติ ชรา มรณะ (+ โสกะ ฯลฯ)

ข. สงั เขป หรอื สงั คหะ 4 (Saïkhepa or Saïgaha: sections; divisions) คอื ชวง หมวด
หรือ กลุม 4 ไดแก

1) อดีตเหตุ = อวชิ ชา สังขาร

2) ปจจุบนั ผล = วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา

3) ปจจบุ ันเหตุ = ตัณหา อปุ าทาน ภพ

4) อนาคตผล = ชาติ ชรามรณะ (+ โสกะ ฯลฯ)
ค. สนธิ 3 (Sandhi: links; connection) คอื ขวั้ ตอ ระหวางสงั เขปหรอื ชวงท้งั 4 ไดแก

1) ระหวาง อดตี เหตุ กบั ปจจบุ นั ผล

2) ระหวาง ปจ จบุ นั ผล กบั ปจ จบุ นั เหตุ

3) ระหวาง ปจจบุ นั เหตุ กับ อนาคตผล
ง. วฏั ฏะ 3 ดู [105] วัฏฏะ 3

จ. อาการ 20 (âkàra: modes; spokes; qualities) คอื องคป ระกอบแตละอยา ง อันเปนดุจ
กาํ ของลอ จําแนกตามสวนเหตุ (causes) และสว นผล (effects) ไดแก

1) อดีตเหตุ 5 = อวชิ ชา สงั ขาร ตณั หา อุปาทาน ภพ

2) ปจ จุบนั ผล 5 = วญิ ญาณ นามรปู สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา

3) ปจ จุบันเหตุ 5 = อวิชชา สงั ขาร ตณั หา อุปาทาน ภพ

4) อนาคตผล 5 = วญิ ญาณ นามรปู สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา

อาการ 20 นี้ ก็คือ หวั ขอท่ีกระจายใหเ ต็ม ในทกุ ชว งของสงั เขป 4 น่นั เอง
ฉ. มลู 2 (Måla: roots) คอื กิเลสทีเ่ ปน ตวั มลู เหตุ ซึ่งกาํ หนดเปน จุดเร่มิ ตน ในวงจรแตละชว ง ได

แก

1) อวิชชา เปนจุดเริ่มตน ในชว งอดตี สง ผลถึงเวทนาในชวงปจ จุบนั

2) ตณั หา เปน จดุ เร่ิมตนในชว งปจจุบัน สงผลถึงชรามรณะในชวงอนาคต

พงึ สังเกตดว ยวา การกลาวถึงสว นประกอบของภวจักรตามขอ ก. ถึง ฉ. นี้ เปนคาํ อธิบายใน

หมวดเกิน 10 255 [340]

คัมภีรรนุ หลงั เชน อภธิ มั มัตถสังคหะ เปน ตน

การแสดงหลกั ปฏจิ จสมปุ บาท ใหเ หน็ ความเกดิ ขน้ึ แหง ธรรมตา งๆ โดยอาศยั ปจ จยั สบื ทอดกนั

ไปอยา งน้ี เปน สมทุ ยวาร คอื ฝา ยสมทุ ยั ใชเ ปน คาํ อธบิ ายอรยิ สจั จข อ ท่ี 2 (สมทุ ยั สจั จ) คอื แสดง
ใหเ หน็ ความเกดิ ขนึ้ แหง ทกุ ข ปฏจิ จสมปุ บาททแี่ สดงแบบนี้ เรยี กวา อนโุ ลมปฏจิ จสมปุ บาท (direct

Dependent Origination)

การแสดงในทางตรงขา มกับขา งตน น้ี เปน นโิ รธวาร คอื ฝา ยนโิ รธ ใชอธิบายอริยสจั จข อที่ 3
(นิโรธสัจจ) เรียกวา ปฏิโลมปฏจิ จสมุปบาท (reverse Dependent Origination ซึ่งความจรงิ ก็

คือ Dependent Extinction น่ันเอง) แสดงใหเห็นความดบั ไปแหง ทกุ ข ดวยอาศัยความดับไป
แหงปจจัยทั้งหลายสืบทอดกันไป ตัวบทของปฏิจจสมุปบาทแบบปฏิโลมน้ี พึงเทียบจากแบบ
อนโุ ลมนั่นเอง เชน
1.–2. อวิชฺชาย เตวฺ ว อเสสวิราคนโิ รธา สงขฺ ารนโิ รโธ เพราะอวชิ ชาสํารอกดับไปไมเ หลือ

สังขารจงึ ดบั

(Through the total fading away and cessation of ignorance, cease kamma-
formations.)
3. สงฺขารนโิ รธา วิฺาณนโิ รโธ เพราะสังขารดับ วญิ ญาณจึงดับ
(Through the cessation of kamma-formations, ceases consciousness.)

ฯลฯ
12. ชาตนิ โิ รธา ชรามรณํ เพราะชาตดิ ับ ชรามรณะ (จงึ ดบั )

(Through the cessation of birth, cease decay and death.)

โสกปริเทวทกุ ขฺ โทมนสฺสุปายาสา นิรุชฌฺ นฺติ

ความโศก ความครา่ํ ครวญ ทกุ ข โทมนสั ความคับแคนใจ ก็ดบั

(Also cease sorrow, lamentation, pain, grief and despair.)

เอวเมตสสฺ เกวลสฺส ทกุ ขฺ กขฺ นธฺ สฺส นิโรโธ โหต.ิ

ความดับแหงกองทุกขทัง้ ปวงนี้ ยอ มมีดวยประการฉะน้ี

(Thus comes about the cessation of this whole mass of suffering.)

นี้เปน อนุโลมเทศนา ของปฏโิ ลมปฏิจจสมปุ บาท สวน ปฏิโลมเทศนา ก็พงึ แสดงยอ นวา ชรา

มรณะ เปน ตน ดบั เพราะชาตดิ ับ ชาตดิ ับเพราะภพดับ ฯลฯ สงั ขารดบั เพราะอวิชชาดับ อยาง
เดยี วกับในอนุโลมปฏิจจสมุปบาท

ปฏจิ จสมปุ บาทนี้ มชี อื่ เรยี กอยา งอนื่ อกี ทสี่ าํ คญั คอื อทิ ปั ปจ จยตา (ภาวะทมี่ อี นั นๆ้ี เปน ปจ จยั

— Idappaccayatà: specific conditionality) ธรรมนยิ าม (ความเปน ไปอนั แนน อนแหง ธรรมดา,

กฎธรรมชาติ — Dhammaniyàma: orderliness of nature; natural law) และ ปจ จยาการ
(อาการทสี่ ง่ิ ทง้ั หลายเปน ปจ จยั แกก นั — Paccayàkàra: mode of conditionality; structure of

[341] 256 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร

conditions) เฉพาะชอื่ หลงั นเ้ี ปน คาํ ทน่ี ยิ มใชใ นคมั ภรี อ ภธิ รรม และคมั ภรี ร นุ อรรถกถา.

Vin.I.1; S.II.1; Vbh.135; Vism.517; Comp.188 วินย.4/1/1; สํ.น.ิ 16/1/1; อภิ.วิ.35/274/185; วสิ ุทฺธ.ิ 3/107; สงฺคห.45.

[,,,] ปจจยาการ 12 ดู [340] ปฏิจจสมปุ บาท.

[,,,] สันโดษ 12 ดู [122] สันโดษ 3, 12

[341] อายตนะ 12 (สง่ิ ที่เชอื่ มตอ กันใหเกดิ ความรู, แดนตอ หรือแดนเกดิ แหง ความรู —
âyatana: sense-fields; sense-spheres)

1. อายตนะภายใน 6 ดู [276] อายตนะภายใน 6.

2. อายตนะภายนอก 6 ดู [277] อายตนะภายนอก 6.

Vbh.70. อภิ.ว.ิ 35/99/85.

[342] ธุดงค 13 (องคคณุ เคร่ืองสลัดหรอื กําจัดกิเลส, ขอ ปฏบิ ตั เิ ขมงวด ที่สมคั รใจ

สมาทานประพฤติประจําตวั ช่วั ระยะกาลส้นั หรอื ยาว หรือแมต ลอดชีวติ กไ็ ด เปนอบุ ายขัดเกลา
กิเลส สง เสรมิ ความมักนอ ยสันโดษ เปน ตน — Dhutaïga: means of shaking off or

removing defilements; austere practices; ascetic practices)

หมวดที่ 1 จวี รปฏสิ งั ยตุ ต (เกยี่ วกบั จีวร — connected with robes)
1. ปงสุกูลิกังคะ (องคแหงผูถือทรงผาบังสุกุล คําสมาทานโดยอธิษฐานใจหรือเปลงวาจาวา
“คหปติจวี รํ ปฏกิ ฺขปิ ามิ, ปส กุ ูลิกงคฺ ํ สมาทยิ าม”ิ แปลวา “เรางดคฤหบดีจวี ร สมาทานองคแหง
ผ—ู ” — Pa§sukålikaïga: refuse-rag-wearer’s practice)
2. เตจวี รกิ งั คะ (องคแ หง ผถู อื ทรงเพยี งไตรจวี ร คาํ สมาทานวา “จตตุ ถฺ จวี รํ ปฏิกฺขิปาม,ิ เตจวี รกิ งคฺ ํ
สมาทยิ าม”ิ แปลวา “ขา พเจา งดจวี รผนื ท่ี 4 สมาทานองคแ หง ผ—ู ” —Tecãvarikaïga: triple-robe-

wearer’s practice)

หมวดท่ี 2 ปณ ฑปาตปฏสิ ังยตุ ต (เกีย่ วกับบณิ ฑบาต — connected with almsfood)
3. ปณฑปาติกงั คะ (องคแ หง ผูถ ือเที่ยวบิณฑบาต คําสมาทานวา “อตเิ รกลาภํ ปฏกิ ขฺ ิปามิ,
ปณ ฑฺ ปาติกงคฺ ํ สมาทิยามิ” แปลวา “ขาพเจา งดอตเิ รกลาภ สมาทานองคแหง ผู—”
— Piõóapàtikaïga: alms-food-eater’s practice)
4. สปทานจาริกังคะ (องคแหงผถู อื เท่ียวบณิ ฑบาตไปตามลาํ ดับ คําสมาทานวา“โลลปุ ปฺ จารํ
ปฏกิ ฺขิปามิ, สปทานจาริกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลวา “ขาพเจางดการเที่ยวตามใจอยาก สมาทาน
องคแหง ผ—ู ” — Sapadànacàrikaïga: house-to-house-seeker’s practice)
5. เอกาสนกิ งั คะ (องคแหงผูถือนัง่ ฉนั ณ อาสนะเดียว คอื ฉนั วนั ละคร้งั เดียว ลกุ จากท่ี
แลวไมฉ นั อีก คําสมาทานวา “นานาสนโภชนํ ปฏิกฺขปิ ามิ, เอกาสนิกงฺคํ สมาทยิ าม”ิ แปลวา
“ขา พเจา งดการฉนั ณ ตา งอาสนะ สมาทานองคแ หง ผ—ู ” — Ekàsanikaïga: one-sessioner’s

practice)

หมวดเกนิ 10 257 [342]

6. ปตตปณ ฑกิ ังคะ (องคแหง ผูถ ือฉันเฉพาะในบาตร คือ ไมใชภาชนะใสอ าหารเกนิ 1
อยา งคอื บาตร คําสมาทานวา “ทุตยิ ภาชนํ ปฏกิ ขฺ ิปามิ, ปตฺตปณ ฑฺ ิกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลวา
“ขาพเจางดภาชนะที่สอง สมาทานองคแหงผ—ู ” — Pattapiõóikaïga: bowl-food-eater’s

practice)
7. ขลปุ จ ฉาภตั ตกิ งั คะ (องคแ หง ผถู อื หา มภตั ทถี่ วายภายหลงั คอื เมอื่ ไดป ลงใจกาํ หนดอาหารที่

เปน สว นของตน ซง่ึ เรยี กวา หา มภตั ดว ยการลงมอื ฉนั เปน ตน แลว ไมร บั อาหารทเ่ี ขานาํ มาถวายอกี
แมจ ะเปน ของประณตี คาํ สมาทานวา “อตริ ติ ตฺ โภชนํ ปฏกิ ขฺ ปิ าม,ิ ขลปุ จฉฺ าภตตฺ กิ งคฺ ํ สมาทยิ าม”ิ
แปลวา “ขา พเจา งดโภชนะอนั เหลอื เฟอ สมาทานองคแ หง ผ—ู ” — Khalupacchà-bhattikaïga:

later-food-refuser’s practice)
หมวดที่ 3 เสนาสนปฏสิ งั ยตุ ต (เกยี่ วกบั เสนาสนะ — connected with the resting place)

8. อารญั ญิกังคะ (องคแ หงผถู อื อยปู า อยหู างบา นคนอยา งนอย 500 ชัว่ ธนู คือ 25 เสน คํา
สมาทานวา “คามนตฺ เสนาสนํ ปฏิกขฺ ิปามิ, อารฺ กิ งฺคํ สมาทิยามิ” แปลวา “ขา พเจา งด
เสนาสนะชายบาน สมาทานองคแ หง ผู—” — âra¤¤ikaïga: forest-dweller’s practice)
9. รกุ ขมลู กิ งั คะ (องคแ หง ผถู อื อยโู คนไม คาํ สมาทานวา “ฉนนฺ ํ ปฏกิ ขฺ ปิ าม,ิ รกุ ขฺ มลู กิ งคฺ ํ
สมาทยิ าม”ิ แปลวา “ขา พเจา งดทมี่ งุ บงั สมาทานองคแ หง ผ—ู ” — Rukkhamålikaïga: tree-root-

dweller’s practice)
10. อพั โภกาสกิ งั คะ (องคแหงผถู อื อยทู แี่ จง คาํ สมาทานวา “ฉนฺนฺจ รกุ ฺขมลู จฺ ปฏกิ ฺขิปามิ,
อพโฺ ภกาสิกงคฺ ํ สมาทิยามิ” แปลวา “ขาพเจา งดท่ีมุงบังและโคนไม สมาทานองคแหงผู—”
— Abbhokàsikaïga: open-air-dweller’s practice)
11. โสสานิกังคะ (องคแหง ผถู ืออยปู าชา คาํ สมาทานวา “อสุสานํ ปฏิกฺขปิ าม,ิ โสสานกิ งคฺ ํ
สมาทยิ าม”ิ แปลวา “ขา พเจา งดทม่ี ใิ ชป า ชา สมาทานองคแ หง ผ—ู ” — Sosànikaïga: charnel-

ground-dweller’s practice)
12. ยถาสนั ถตกิ งั คะ (องคแ หง ผถู อื อยใู นเสนาสนะแลว แตเ ขาจดั ให คาํ สมาทานวา “เสนาสน-
โลลปุ ปฺ  ปฏกิ ขฺ ปิ าม,ิ ยถาสนถฺ ตกิ งคฺ ํ สมาทยิ าม”ิ แปลวา “ขา พเจา งดความอยากเอาแตใ จในเสนาสนะ
สมาทานองคแหง ผู—” — Yathàsanthatikaïga: any-bed-user’s practice)

หมวดที่ 4 วิรยิ ปฏิสงั ยุตต (เก่ียวกับความเพียร — connected with energy)
13. เนสัชชกิ ังคะ (องคแหง ผถู อื การนัง่ คือเวนนอน อยดู วยเพียง 3 อิริยาบถ คําสมาทานวา
“เสยยฺ ํ ปฏกิ ฺขปิ าม,ิ เนสชฺชิกงฺคํ สมาทยิ ามิ” แปลวา “ขา พเจา งดการนอน สมาทานองคแหง ผู— ”
— Nesajjikaïga: sitter’s practice)

ขอควรทราบเพิม่ เติมเกย่ี วกบั ธุดงค 13

ก. โดยยอ ธุดงคม ี 8 ขอ เทา น้ัน คอื

1) องคห ลัก 3 (สีสงั คะ — principal practices) คอื สปทานจาริกังคะ (เทากบั ไดร ักษา

ปณ ฑปาตกิ งั คะดว ย) เอกาสนกิ งั คะ (เทา กบั ไดร กั ษาปต ตปณ ฑกิ งั คะ และขลปุ จ ฉาภตั ตกิ งั คะ

[343] 258 พจนานกุ รมพุทธศาสตร

ดวย) และอัพโภกาสิกงั คะ (ทาํ ใหรุกขมูลกิ ังคะ กับยถาสนั ถติกังคะ หมดความจาํ เปน)

2) องคเ ดยี่ วไมค าบเกย่ี วขอ อนื่ 5 (อสมั ภนิ นงั คะ — individual practices) คอื อารญั ญกิ งั คะ

ปง สกุ ลู กิ งั คะ เตจวี รกิ งั คะ เนสชั ชกิ งั คะ และโสสานกิ งั คะ

ข. โดยนสิ สยั คอื ทอ่ี าศยั (dependence) มี 2 คอื ปจ จยั นสิ ติ 12 (อาศยั ปจ จยั — dependent
on requisites) กบั วิริยนสิ ติ 1 (อาศัยความเพยี ร — dependent on energy)

ค. โดยบุคคลผถู ือ

1) ภกิ ษุ ถอื ไดท ้งั 13 ขอ

2) ภิกษณุ ี ถอื ได 8 ขอ (คอื ขอ 1, 2, 3, 4, 5, 6, 12, 13)

3) สามเณร ถอื ได 12 ขอ (คือเวนขอ 2 เตจวี รกิ ังคะ)

4) สิกขมานาและสามเณรี ถือได 7 ขอ (คอื ลดขอ 2 ออกจากท่ภี ิกษุณถี อื ได)

5) อุบาสกอบุ าสกิ า ถือได 2 ขอ (คอื ขอ 5 และ 6)

ง. โดยระดับการถือ แตล ะขอ ถอื ได 3 ระดับ คือ

1) อยา งอุกฤษฎ หรืออยางเครง เชน ผถู อื อยูปา ตองใหไดอ รุณในปาตลอดไป

2) อยา งมธั ยม หรอื อยา งกลาง เชน ผถู อื อยปู า อยใู นเสนาสนะชายบา นตลอดฤดฝู น 4 เดอื น ที่

เหลืออยปู า

3) อยา งออ น หรอื อยา งเพลา เชน ผถู อื อยปู า อยใู นเสนาสนะชายบา นตลอดฤดฝู นและหนาว

รวม 8 เดือน

จ. ขอ 9 และ 10 คือ รกุ ขมูลกิ งั คะ และอพั โภกาสกิ งั คะ ถอื ไดเฉพาะนอกพรรษา เพราะวินยั

กําหนดใหต องถอื เสนาสนะในพรรษา

ฉ. ธุดงคไ มใ ชบ ทบญั ญัติทางวินยั ขึน้ กบั ความสมคั รใจ มีหลักทั่วไปในการถือวา ถา ถอื แลวชว ย

ใหก รรมฐานเจรญิ หรือชวยใหกุศลธรรมเจรญิ อกุศลธรรมเสอื่ ม ควรถือ ถา ถือแลวทาํ ให
กรรมฐานเส่อื ม หรอื ทาํ ใหกุศลธรรมเสอ่ื ม อกศุ ลธรรมเจรญิ ไมค วรถือ สวนผทู ่ีถอื หรอื ไมถ ือ
กไ็ มท ําใหกรรมฐานเจริญหรือเส่ือม เชน เปน พระอรหันตแลว อยา งพระมหากัสสปะ เปนตน
หรอื คนอน่ื ๆ กต็ าม ควรถอื ได ฝายแรกควรถือในเมอ่ื คดิ จะอนุเคราะหช ุมชนในภายหลงั ฝาย
หลงั เพอื่ เปนวาสนาตอไป

ช. ธุดงคทม่ี าในบาลเี ดิม ไมพบครบจํานวนในทเ่ี ดียว (ทีพ่ บจาํ นวนมาก คอื ม.อ.ุ 14/186/138;

M.III.40 มขี อ 1, 3, 5, 8, 9, 10, 11, 12, 13; องฺ.ทสก.24/181/245; A.V.219 มีขอ 1, 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13;

ข.ุ ม.29/918/584; Nd1188 มขี อ 1, 2, 3, 4, 7, 8, 12, 13) นอกจากคมั ภีรปรวิ าร (วนิ ย.8/982/330; 1192/475;
Vin.V.131,198) ซึ่งมหี ัวขอครบถวน สวนคําอธิบายทั้งหมดพึงดูในคัมภีรวสิ ทุ ธิมัคค.

Vism.59–83. วสิ ุทธฺ .ิ 1/73–104.

[343] กิจ หรอื วิญญาณกิจ 14 (กจิ ของวญิ ญาณ, หนา ทข่ี องจติ — Vi¤¤àõa-kicca:

functions of consciousness; psychic functions)

หมวดเกิน 10 259 [344]

1. ปฏิสนธิ (หนา ทส่ี ืบตอภพใหม ไดแกจ ิต 19 คอื อเุ บกขาสนั ตรี ณะ 2 มหาวบิ าก 8 รปู วบิ าก
5 อรปู วิบาก 4 — Pañisandhi: re-linking; rebirth-linking)
2. ภวังคะ (หนาที่เปนองคของภพ ไดแ กจติ 19 อยางเดยี วกับปฏสิ นธิ — Bhavaïga: life-

continuum; factor of being)

3. อาวัชชนะ (หนา ที่คํานึงอารมณใหม ไดแก จติ 2 คอื ปญจทวาราวัชชนะ และมโนทวารา-
วชั ชนะ — âvajjana: apprehending; adverting)
4. ทัสสนะ (หนาท่ีเหน็ รูป ไดแ ก จักขวุ ิญญาณ 2 — Dassana: seeing)
5. สวนะ (หนาทไ่ี ดยนิ เสยี ง ไดแ ก โสตวิญญาณ 2 — Savana: hearing)
6. ฆายนะ (หนา ทีร่ กู ลิ่น ไดแก ฆานวิญญาณ 2 — Ghàyana: smelling)
7. สายนะ (หนา ทีล่ ิ้มรส ไดแก ชิวหาวิญญาณ 2 — Sàyana: tasting)
8. ผสุ นะ (หนา ทถี่ กู ตอ งโผฏฐพั พะ ไดแ ก กายวญิ ญาณ 2 — Phusana: contacting; touching)
9. สมั ปฏิจฉนะ (หนา ที่รบั อารมณ ไดแก สมั ปฏจิ ฉนะ 2 — Sampañicchana: receiving)
10. สันตรี ณะ (หนา ท่พี จิ ารณาอารมณ ไดแ ก สนั ตรี ณะ 3 — Santãraõa: investigating)
11. โวฏฐพั พนะ หรอื โวฏฐปนะ (หนา ทต่ี ดั สนิ อารมณ ไดแ ก มโนทวาราวชั ชนะ 1 — Voññhapana:

determining)

12. ชวนะ (หนา ทแ่ี ลน เสพอารมณ อนั เปน ชว งทท่ี าํ กรรม ไดแ ก จติ 55 คอื กศุ ลจติ 21, อกศุ ล
จติ 12, กริ ยิ าจติ 18 คอื เวน อาวชั ชนะทง้ั สอง โลกตุ ตรผลจติ 4 — Javana: apperception;

impulsion)

13. ตทาลมั พนะ (หนา ที่รับอารมณต อจากชวนะกอ นตกภวงั ค ไดแก จติ 11 คอื มหาวิบาก 8
สันตรี ณะ 3 — Tadàlambana: retention; registration)
14. จตุ ิ (หนา ทเี่ คลอ่ื นจากภพปจ จบุ นั ไดแ ก จติ 19 อยา งเดยี วกบั ในปฏสิ นธิ — Cuti: decease;

death; shifting)

จดั โดยฐานทจ่ี ติ ทาํ กจิ 14 นี้ มี 10 คอื รวมขอ 4, 5, 6, 7, 8 เปน ขอ เดยี ว คอื ปญ จวญิ ญาณ-

ฐาน (fivefold sense-impressions) นอกนนั้ คงชอื่ เดมิ
กจิ 14 นี้ ในวิสุทธิมคั คเรียกวา วญิ ญาณปวตั ติ หรอื วิญญาณปวัตติอาการ (อาการที่

วญิ ญาณเปนไป — modes of occurrence of consciousness)

ดู [356] จิต 89.

Vism.457; Comp.114. วิสุทธฺ .ิ 3/29; สงฺคห.15

[344] จรณะ 15 (ความประพฤติ, ปฏิปทา, ขอ ปฏิบตั อิ นั เปนทางบรรลวุ ิชชา หรือนพิ พาน
— Caraõa: conduct; course of practice)

1. สีลสมั ปทา (ความถงึ พรอ มดว ยศลี คอื ประพฤติถูกตอ งดงี าม สํารวมในพระปาฏิโมกข มี
มารยาทเรยี บรอ ย ประพฤตเิ ครง ครดั ในสกิ ขาบททง้ั หลาย — Sãla-sampadà: accomplishment of

[345] 260 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร

morals)

2. อปณณกปฏิปทา 3 ดู [128] อปณณกปฏปิ ทา 3
3. สัทธรรม 7 ดู [301] สปั ปรุ ิสธรรม 8 ขอ 1.
4. ฌาน 4 ดู [9] ฌาน 4

ในบาลที ่มี า ทานเรยี กวา เปน เสขปฏปิ ทา คอื ขอ ปฏบิ ตั อิ นั เปนทางดาํ เนนิ ของพระเสขะ (a

learner’s course of practice)

M.I.354. ม.ม.13/26/26.

[345] ญาณ 16 หรอื โสฬสญาณ (ความหย่ังรู ในทน่ี ้หี มายถงึ ญาณท่เี กดิ ข้นึ แกผ ู
เจรญิ วปิ ส สนาตามลําดับ ตั้งแตต น จนถงึ ทส่ี ดุ — Soëasa-¤àõa: insight; knowledge)

1. นามรปู ปรจิ เฉทญาณ (ญาณกาํ หนดจาํ แนกรนู ามและรปู คอื รวู า สงิ่ ทง้ั หลายมแี ตร ปู ธรรม
และนามธรรม และกาํ หนดแยกไดว า อะไรเปน รปู ธรรม อะไรเปน นามธรรม —Nàmaråpa-
pariccheda-¤àõa: knowledge of the delimitation of mentality–materiality)

2. ปจ จยปรคิ คหญาณ (ญาณกาํ หนดรปู จ จัยของนามและรูป คือรูวา รูปธรรมและนามธรรม

ทง้ั หลายเกิดจากเหตปุ จจยั และเปน ปจจัยแกกัน อาศัยกัน โดยรูตามแนวปฏจิ จสมุปบาท ก็ดี
ตามแนวกฎแหงกรรมก็ดี ตามแนววัฏฏะ 3 ก็ดี เปน ตน — Paccaya-pariggaha-¤àõa:

knowledge of discerning the conditions of mentality–materiality)
3. สมั มสนญาณ (ญาณกาํ หนดรูดว ยพิจารณาเห็นนามและรปู โดยไตรลักษณ คือ ยกรูปธรรม

และนามธรรมทง้ั หลายขนึ้ พจิ ารณาโดยเหน็ ตามลกั ษณะท่เี ปน ของไมเท่ียง เปน ทกุ ข มิใชตวั ตน
— Sammasana-¤àõa: knowledge of comprehending mentality–materiality as

impermanent, unsatisfactory and not-self)

4.–12. ไดแ ก วิปสสนาญาณ 9 ดู [311]

13. โคตรภูญาณ (ญาณครอบโคตร คือ ความหยัง่ รูที่เปนหวั ตอแหง การขามพน จากภาวะ
ปุถชุ นเขา สูภาวะอริยบุคคล — Gotrabhå-¤àõa: knowledge at the moment of the

“Change-of-lineage”)

14. มคั คญาณ (ญาณในอรยิ มรรค คือ ความหย่งั รูที่ใหสําเรจ็ ภาวะอรยิ บุคคลแตละขนั้ —
Magga-¤àõa: knowledge of the Path)
15. ผลญาณ (ญาณในอรยิ ผล คอื ความหย่งั รทู ่ีเปน ผลสําเร็จของพระอรยิ บุคคลช้ันนน้ั ๆ —
Phala-¤àõa: knowledge of Fruition)
16. ปจจเวกขณญาณ (ญาณหย่งั รดู วยการพิจารณาทบทวน คอื สาํ รวจรมู รรคผล กเิ ลสท่ลี ะ

แลว กิเลสท่เี หลืออยู และนิพพาน เวนแตวาพระอรหนั ตไมมีการพิจารณากเิ ลสท่ียังเหลืออยู —
Paccavekkhaõa-¤àõa: knowledge of reviewing)

ในญาณ 16 น้ี 14 อยาง (ขอ 1–13 และ 16) เปน โลกยี ญาณ, 2 อยาง (ขอ 14 และ 15)

หมวดเกนิ 10 261 [346]

เปน โลกุตตรญาณ

ญาณ 16 (บางทีเรยี กวา โสฬสญาณ ซ่ึงกแ็ ปลวาญาณ 16 นั่นเอง) ทจี่ ดั ลําดบั เปน ชุดและ

เรียกชอื่ เฉพาะอยางน้ี มใิ ชม าในพระบาลีเดิมโดยตรง พระอาจารยใ นสายวงการวิปสสนาธุระได

สอนสืบกนั มา โดยประมวลจากคัมภรี ป ฏิสมั ภิทามัคค และวิสุทธิมัคค ในกาลตอมา

(พึงดู ขุ.ปฏิ.31/มาตกิ า/1–2 = Ps.1 และ วิสทุ ธฺ ิ.3/206–328 = Vism.587–678)

[,,,] รูปพรหม หรอื พรหมโลก 16 ดู [351] ภมู ิ 4 หรือ 31.
[,,,] โสฬสวัตถุกอานาปานสติ ดู [346] อานาปานสติ 16 ฐาน
[,,,] อานาปานสติ 16 ขั้น ดู [346] อานาปานสติ 16 ฐาน
[346] อานาปานสติ 16 ฐาน (สติกาํ หนดลมหายใจ, การเจริญอานาปานสติ คอื ใช

สตกิ ําหนดลมหายใจเขา –ออก แบบท่เี ปน การเจรญิ สติปฏ ฐานไปดว ยครบทั้ง 4 — Soëasa–
vatthuka-ànàpànassati: mindfulness of breathing with sixteen bases)

จตุกกะที่ 1: กายานปุ สสนา

1) ทฆี ํ วา อสสฺ สนฺโต ‘ทฆี ํ อสฺสสาม’ี ติ ปชานาต,ิ
ทีฆํ วา ปสฺสสนฺโต ‘ทฆี ํ ปสฺสสามี’ติ ปชานาติ;

2) รสสฺ ํ วา อสฺสสนโฺ ต ‘รสฺสํ อสฺสสามี’ติ ปชานาต,ิ
รสสฺ ํ วา ปสฺสสนโฺ ต ‘รสฺสํ ปสฺสสาม’ี ติ ปชานาต;ิ

3) ‘สพฺพกายปฏสิ ํเวที อสสฺ สสิ สฺ าม’ี ติ สกิ ขฺ ต,ิ
‘สพพฺ กายปฏสิ เํ วที ปสฺสสิสฺสามี’ติ สกิ ขฺ ติ;

4) ‘ปสสฺ มภฺ ยํ กายสงขฺ ารํ อสฺสสิสฺสาม’ี ติ สิกขฺ ติ,
‘ปสฺสมภฺ ยํ กายสงขฺ ารํ ปสฺสสิสฺสามี’ติ สกิ ฺขต.ิ

1) เม่อื หายใจเขายาว เธอกร็ ูชัดวา เราหายใจเขา ยาว

หรอื เมอื่ หายใจออกยาว เธอก็รชู ดั วา เราหายใจออกยาว

2) เมื่อหายใจเขาสนั้ เธอก็รชู ัดวา เราหายใจเขาส้ัน

หรือเมือ่ หายใจออกส้ัน เธอกร็ ูชดั วา เราหายใจออกสน้ั

3) เธอสําเหนยี กวา เราจกั รูท ่วั กาย(กองลม)ทง้ั หมด หายใจเขา

เธอสําเหนียกวา เราจกั รูท ่ัวกาย(กองลม)ทัง้ หมด หายใจออก

4) เธอสาํ เหนยี กวา เราจกั ผอนระงับกายสังขาร หายใจเขา

เธอสําเหนียกวา เราจกั ผอนระงับกายสงั ขาร หายใจออก

1. Breathing in long, he knows: “I am breathing in long”;

or breathing out long, he knows: “I am breathing out long”.

[346] 262 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร

2. Breathing in short, he knows: “I am breathing in short”;

or breathing out short, he knows: “I am breathing out short”.

3. He trains thus: “Experiencing the entire (breath-) body, I shall breathe in”;

he trains thus: “Experiencing the entire (breath-) body, I shall breathe out”.

4. He trains thus: “Calming the bodily formation, I shall breathe in”;

he trains thus: “Calming the bodily formation, I shall breathe out”.
จตกุ กะที่ 2: เวทนานปุ ส สนา
5) ‘ปต ิปฏสิ เํ วที อสฺสสิสสฺ าม’ี ติ สิกขฺ ต,ิ
‘ปติปฏสิ ํเวที ปสฺสสสิ สฺ าม’ี ติ สิกฺขต;ิ
6) ‘สขุ ปฏิสเํ วที อสฺสสิสฺสาม’ี ติ สิกขฺ ต,ิ
‘สขุ ปฏิสเํ วที ปสสฺ สสิ ฺสามี’ติ สิกขฺ ต;ิ
7) ‘จติ ฺตสงฺขารปฏสิ ํเวที อสสฺ สสิ ฺสามี’ติ สิกฺขติ,
‘จติ ตฺ สงขฺ ารปฏสิ เํ วที ปสสฺ สสิ สฺ าม’ี ติ สกิ ขฺ ติ;
8) ‘ปสสฺ มฺภยํ จติ ตฺ สงฺขารํ อสสฺ สิสฺสาม’ี ติ สกิ ขฺ ต,ิ
‘ปสฺสมฺภยํ จติ ตฺ สงขฺ ารํ ปสสฺ สิสสฺ ามี’ติ สิกขฺ ต.ิ
5) เธอสาํ เหนยี กวา เราจกั เสวยรูปติ หายใจเขา

เธอสาํ เหนียกวา เราจกั เสวยรูปติ หายใจออก

6) เธอสาํ เหนียกวา เราจกั เสวยรคู วามสุข หายใจเขา

เธอสําเหนียกวา เราจกั เสวยรูความสุข หายใจออก

7) เธอสําเหนยี กวา เราจกั เสวยรูจิตสังขารหายใจเขา

เธอสาํ เหนยี กวา เราจักเสวยรจู ิตสงั ขาร หายใจออก

8) เธอสาํ เหนียกวา เราจักผอนระงับจติ สังขาร หายใจเขา

เธอสาํ เหนียกวา เราจักผอ นระงับจิตสังขาร หายใจออก

5. He trains thus: “Experiencing rapture, I shall breathe in”;

he trains thus: “Experiencing rapture, I shall breathe out”.

6. He trains thus: “Experiencing joy, I shall breathe in”;

he trains thus: “Experiencing joy, I shall breathe out”.

7. He trains thus: “Experiencing the mental formation, I shall breathe in”;

he trains thus: “Experiencing the mental formation, I shall breathe out”.

8. He trains thus: “Calming the mental formation, I shall breathe in”;

he trains thus: “Calming the mental formation, I shall breathe out”.

หมวดเกนิ 10 263 [346]

จตกุ กะท่ี 3: จติ ตานุปส สนา
9) ‘จติ ตฺ ปฏิสเํ วที อสสฺ สิสฺสามี’ติ สกิ ฺขต,ิ

‘จติ ฺตปฏิสํเวที ปสสฺ สิสฺสามี’ติ สกิ ขฺ ติ;
10) ‘อภิปปฺ โมทยํ จติ ฺตํ อสสฺ สิสฺสามี’ติ สกิ ขฺ ติ,

‘อภิปฺปโมทยํ จิตฺตํ ปสฺสสิสสฺ ามี’ติ สิกขฺ ติ
11) ‘สมาทหํ จิตฺตํ อสสฺ สสิ สฺ าม’ี ติ สกิ ขฺ ต,ิ

‘สมาทหํ จิตตฺ ํ ปสฺสสสิ สฺ าม’ี ติ สิกฺขต;ิ
12) ‘วโิ มจยํ จติ ฺตํ อสสฺ สิสฺสามี’ติ สิกขฺ ติ,

‘วโิ มจยํ จติ ตฺ ํ ปสสฺ สสิ ฺสามี’ติ สิกฺขติ.

9) เธอสําเหนียกวา เราจักรทู ว่ั ถงึ จิต หายใจเขา

เธอสําเหนียกวา เราจกั รทู ั่วถงึ จติ หายใจออก

10) เธอสาํ เหนยี กวา เราจกั ทาํ จิตใหรา เรงิ หายใจเขา

เธอสําเหนยี กวา เราจักทาํ จิตใหราเรงิ หายใจออก

11) เธอสําเหนียกวา เราจกั ทําจติ ใหต งั้ มัน่ หายใจเขา

เธอสําเหนยี กวา เราจกั ทําจิตใหต ั้งม่ัน หายใจออก

12) เธอสาํ เหนียกวา เราจกั ปลอ ยเปลื้องจติ หายใจเขา

เธอสําเหนียกวา เราจกั ปลอ ยเปล้อื งจิต หายใจออก

9. He trains thus: “Experiencing the mind, I shall breathe in”;

he trains thus: “Experiencing the mind, I shall breathe out”.

10. He trains thus: “Gladdening the mind, I shall breathe in”;

he trains thus: “Gladdening the mind, I shall breathe out”.

11. He trains thus: “Concentrating the mind, I shall breathe in”;

he trains thus: “Concentrating the mind, I shall breathe out”.

12. He trains thus: “Liberating the mind, I shall breathe in”;

he trains thus: “Liberating the mind, I shall breathe out”.
จตุกกะที่ 4: ธัมมานุปส สนา
13) ‘อนิจจฺ านุปสฺสี อสสฺ สสิ สฺ ามี’ติ สกิ ฺขต,ิ
‘อนจิ จฺ านุปสฺสี ปสสฺ สสิ สฺ ามี’ติ สิกขฺ ต;ิ
14) ‘วิราคานปุ สสฺ ี อสสฺ สสิ ฺสาม’ี ติ สกิ ฺขติ,
‘วริ าคานุปสฺสี ปสฺสสสิ ฺสามี’ติ สกิ ฺขต;ิ
15) ‘นิโรธานุปสฺสี อสสฺ สสิ ฺสามี’ติ สกิ ฺขติ,

[346] 264 พจนานกุ รมพุทธศาสตร

‘นิโรธานปุ สฺสี ปสฺสสิสสฺ าม’ี ติ สิกขฺ ติ;
16) ‘ปฏินิสสฺ คคฺ านุปสฺสี อสสฺ สสิ สฺ าม’ี ติ สกิ ขฺ ติ,

‘ปฏินิสฺสคคฺ านปุ สฺสี ปสฺสสิสฺสาม’ี ติ สกิ ขฺ ต.ิ
13) เธอสําเหนยี กวา เราจกั พิจารณาเหน็ ความไมเทย่ี ง หายใจเขา

เธอสาํ เหนยี กวา เราจกั พจิ ารณาเห็นความไมเท่ียง หายใจออก

14) เธอสําเหนียกวา เราจกั พิจารณาเห็นความคลายออกได หายใจเขา

เธอสาํ เหนยี กวา เราจักพิจารณาเห็นความคลายออกได หายใจออก

15) เธอสาํ เหนยี กวา เราจกั พิจารณาเหน็ ความดบั กิเลส หายใจเขา

เธอสําเหนยี กวา เราจกั พิจารณาเห็นความดับกิเลส หายใจออก

16) เธอสาํ เหนยี กวา เราจกั พจิ ารณาเหน็ ความสลดั คนื ได หายใจเขา

เธอสําเหนียกวา เราจักพจิ ารณาเห็นความสลดั คืนได หายใจออก

13. He trains thus: “Contemplating impermanence, I shall breathe in”;

he trains thus: “Contemplating impermanence, I shall breathe out”.

14. He trains thus: “Contemplating fading away, I shall breathe in”;

he trains thus: “Contemplating fading away, I shall breathe out”.

15. He trains thus: “Contemplating cessation, I shall breathe in”;

he trains thus: “Contemplating cessation, I shall breathe out”.

16. He trains thus: “Contemplating relinquishment, I shall breathe in”;

he trains thus: “Contemplating relinquishment, I shall breathe out”.

ขอ ควรทราบ:
ก) คาํ วา หายใจเขา และ หายใจออก นนั้ พงึ ทราบวา เปน คาํ ทม่ี กี ารแปลตา งกนั คอื อรรถกถาแหง
พระวนิ ยั แปล อสสฺ าส วา “หายใจออก” และ ปสสฺ าส วา “หายใจเขา ” สว นอรรถกถาแหง พระสตู รแปล
กลบั ตรงขา ม คอื แปล อสสฺ าส วา “หายใจเขา ” และ ปสสฺ าส วา “หายใจออก” ในทนี่ ถ้ี อื ตามคาํ แปล

ของอรรถกถาแหงพระสูตร ผศู ึกษาทราบอยา งน้แี ลว จะใชแบบใดกไ็ ด พึงเลอื กตามปรารถนา

ข) “สําเหนยี กวา” เปนคําแปลตามสํานวนเกา หมายถึงคําบาลวี า สกิ ฺขติ จะแปลแบบทบั ศัพทเ ปน

“ศึกษาวา ” กไ็ ด

ค) ธรรมหมวดนี้ เรยี กตามบาลแี หง คมั ภรี ป ฏสิ มั ภทิ ามคั คว า โสฬสวตั ถกุ อานาปานสติ (เชน ข.ุ ปฏ.ิ
31/361/244; 386/260=Ps.I.162; 173 คาํ บาลเี ดิมเปน โสฬสวตฺถุกา อานาปานสฺสติ บาง โสฬสวตถฺ ุโก
อานาปานสสฺ ตสิ มาธิ บา ง บางทอี รรถกถาก็เรยี กยกั เยือ้ งไปวา โสฬสวตฺถุกา อานาปานสสฺ ติ-
สมาธภิ าวนา บา ง โสฬสวตถฺ ุกํ อานาปานสฺสตกิ มฺมฏานํ บาง) แปลแบบรักษาศัพทวา “อานา-
ปานสตมิ วี ตั ถุ 16” แตในทนี่ ้เี ลือกแปลตามคาํ อธบิ ายในคัมภีร ปรมัตถมญั ชสุ า มหาฎีกาแหง
วสิ ทุ ธิมคั ค (วิสุทธฺ .ิ ฏีกา2/34) วา “อานาปานสติ 16 ฐาน” เพราะในภาษาไทย คาํ วา ฐาน เปน คาํ ทค่ี นุ

หมวดเกนิ 10 265 [347]

และชว ยสอ่ื ความหมายของคาํ วา วตั ถุ ในทนี่ ไี้ ดด ี แตจ ะแปลวา “อานาปานสติ 16 หลกั ” หรือ

“อานาปานสติ 16 หวั ขอ (หรอื 16 ขอ )” กไ็ ด บางทกี เ็ รยี กใหฟ ง เปน ลาํ ดบั วา “อานาปานสติ 16 ขนั้ ”

ง) 16 ฐาน หรือ 16 หลกั หรือ 16 หวั ขอ หรือ 16 ขอ หรอื 16 ขั้นนน้ั ทานจัดเปน 4 จตกุ กะ

คือเปน หมวดส่ี 4 หมวด ดงั นี้

1. กายานุปสสนาจตุกกะ (หมวดสี่แหงกายานปุ สสนา)
2. เวทนานปุ ส สนาจตุกกะ (หมวดสแ่ี หง เวทนานปุ สสนา)
3. จิตตานุปสสนาจตกุ กะ (หมวดสแ่ี หง จติ ตานปุ สสนา)
4. ธมั มานุปส สนาจตกุ กะ (หมวดสี่แหง ธมั มานุปส สนา)

เปนการระบุชดั วา สว นไหนเปนสติปฏ ฐานขอใด

จ) วาโดยไตรสกิ ขา ระหวา งปฏิบัตินัน้

• ความมีกายวาจาตั้งอยูในความสงบสํารวม โดยมีเจตนาอันปลอดจากการละเมิดหรือ

เบียดเบียน (กายิกวาจสกิ อวตี กิ กมะ) เปน ศีล

• การมีสตกิ าํ หนด ดวยจิตท่ตี ั้งม่ันมีอารมณหนงึ่ เดียวตามทีก่ าํ หนด (จติ ตสั เสกัคตา) เปน

สมาธิ

• ความมีสมั ปชญั ญะรูทั่วพรอม มองเห็นตามสภาวะ เปน ปญ ญา

ฉ) ในการปฏบิ ตั ินี้ ศีลเปนเพียงฐานที่รองรบั อยู สวนธรรมท่ปี ฏบิ ัติซงึ่ จะเจรญิ ข้นึ ไป คือ สมาธิ
และปญ ญา อนั ไดแ ก สมถะ และวิปส สนา ในขอตอ ไป

ช) ในการปฏบิ ัติท้งั หมดน้ี สามจตุกกะแรก มที ้ัง สมถะ และ วิปสสนา แตจ ตกุ กะที่ ๔ เปน
วิปส สนา ลวน

ฌ) โสฬสวัตถกุ อานาปานสติ น้ี พระพทุ ธเจาตรัสแสดงบอย พบไดหลายแหงในพระไตรปฎก

แตท ่ปี ระมวลเร่ืองเกี่ยวขอ งและขอความแวดลอมไวครบถวน ซ่ึงรูจกั กนั ดแี ละเปนทอี่ างอิงกนั ทว่ั

ไป คอื อานาปานสติสตู ร (ม.อุ.14/282–291/190–202=MIII.78–88) นอกจากนั้นยังมคี าํ อธิบายโดย
พสิ ดารในพระไตรปฎ ก ปรากฏใน ปฏสิ ัมภทิ ามคั ค (ข.ุ ปฏ.ิ 31/361–422/244-299; = Ps.I.162–196) สว นใน
ชน้ั อรรถกถา กม็ อี ธบิ ายหลายแหง โดยเฉพาะทค่ี น ควา ไดส ะดวก คอื วสิ ทุ ธมิ คั ค (วสิ ุทธ .ิ 2/52-88=

Vism.266–293)

Vin.III.70; M.I.425; M.III.82; S.V.311; วนิ ย.1/178/132; ม.ม.13/146/140; ม.อุ.14/287/193;

A.V.111; Ps.I.162. ส.ํ ม.19/1305/394; อง.ทสก.24/60/119; ข.ุ ปฏ.ิ 31/361/244.

[347] อุปกิเลส หรอื จิตตอุปกิเลส 16 (ธรรมเครอ่ื งเศรา หมอง, สิง่ ทท่ี ําใหจ ติ ขุน
มัว รบั คณุ ธรรมไดยาก ดุจผาเปรอะเปอนสกปรก ยอ มไมไดด ี — Upakkilesa: mental

defilements)
1. อภชิ ฌาวสิ มโลภะ (คดิ เพง เลง็ อยากได โลภไมส มควร, โลภกลา จอ งจะเอา ไมเ ลอื กควรไม
ควร — Abhijjhà-visamalobha: greed and covetousness; covetousness and

[348] 266 พจนานุกรมพุทธศาสตร

unrighteous greed)
2. พยาบาท (คิดรา ยเขา — Byàpàda: malevolence; illwill)
3. โกธะ (ความโกรธ — Kodha: anger)
4. อุปนาหะ (ความผูกโกรธ — Upanàha: grudge; spite)
5. มักขะ (ความลบหลูคุณทา น, ความหลคู วามดีของผอู ื่น, การลบลางปด ซอนคุณคา ความดี
ของผอู น่ื — Makkha: detraction; depreciation; denigration)
6. ปลาสะ (ความตเี สมอ, ยกตวั เทยี มทาน, เอาตัวขึน้ ต้งั ขวางไว ไมยอมยกใหใครดกี วา ตน —
Palàsa: domineering; rivalry; envious rivalry)
7. อิสสา (ความริษยา — Issà: envy; jealousy)
8. มัจฉรยิ ะ (ความตระหนี่ — Macchariya: stinginess; meanness)
9. มายา (มารยา — Màyà: deceit)
10. สาเถยยะ (ความโออวดหลอกเขา, หลอกดว ยคาํ โออ วด — Sàñheyya: hypocrisy)
11. ถมั ภะ (ความหวั ดือ้ , กระดา ง — Thambha: obstinacy; rigidity)
12. สารมั ภะ (ความแขง ด,ี ไมย อมลดละ มงุ แตจ ะเอาชนะกนั — Sàrambha: presumption;

competing contention; contentiousness; contentious rivalry; vying; strife)
13. มานะ (ความถือตัว, ทะนงตน — Màna: conceit)
14. อตมิ านะ (ความถอื ตัววา ย่ิงกวา เขา, ดูหม่ินเขา — Atimàna: excessive conceit;

contempt)
15. มทะ (ความมัวเมา — Mada: vanity)
16. ปมาทะ (ความประมาท, ละเลย, เลินเลอ — Pamàda: heedlessness; negligence;

indolence)
ขอ 2 มีตางออกไป คือ ในธมั มทายาทสตู ร เปน โทสะ (ความคิดประทษุ รายเขา —

hatred) (ม.ม.ู 12/26/26)

M.I.36. ม.มู.12/93/65.

[348] ธาตุ 18 (ส่ิงท่ที รงสภาวะของตนอยเู อง ตามที่เหตุปจจัยปรุงแตง ขึ้น เปน ไปตามธรรม

นยิ ามคือกาํ หนดแหงธรรมดา ไมม ผี สู รา งผบู นั ดาล และมีรูปลักษณะกจิ อาการเปน แบบจาํ เพาะ
ตวั อันพึงกําหนดเอาเปนหลกั ไดแ ตละอยา งๆ — Dhàtu: elements)
1. จกั ขุธาตุ (ธาตคุ อื จกั ขปุ สาท — Cakkhu-dhàtu: eye element)
2. รูปธาตุ (ธาตุคือรูปารมณ — Råpa~: visible-data element)
3. จกั ขวุ ิญญาณธาตุ (ธาตุคือจักขวุ ญิ ญาณ — Cakkhuvi¤¤àõa~: eye-consciousness

element)
4. โสตธาตุ (ธาตคุ อื โสตปสาท — Sota~: ear element)

หมวดเกิน 10 267 [349]

5. สัททธาตุ (ธาตุคอื สัททารมณ — Sadda~: sound element)
6. โสตวิญญาณธาตุ (ธาตุคือโสตวิญญาณ — Sotavi¤¤àõa~: ear-consciousness

element)
7. ฆานธาตุ (ธาตุคือฆานปสาท — Ghàna~: nose element)
8. คันธธาตุ (ธาตุคือคนั ธารมณ — Gandha~: odour element)
9. ฆานวญิ ญาณธาตุ (ธาตุคือฆานวญิ ญาณ — Ghànavi¤¤àõa~: nose-consciousness

element)
10. ชวิ หาธาตุ (ธาตคุ อื ชวิ หาปสาท — Jivhà~: tongue element)
11. รสธาตุ (ธาตุคอื รสารมณ — Rasa~: flavour element)
12. ชวิ หาวญิ ญาณธาตุ (ธาตคุ อื ชวิ หาวญิ ญาณ — Jivhàvi¤¤àõa~: tongue-consciousness

element)
13. กายธาตุ (ธาตุคือกายปสาท — Kàya~: body element)
14. โผฏฐัพพธาตุ (ธาตุคอื โผฏฐัพพารมณ — Phoññhabba~: tangible-data element)
15. กายวญิ ญาณธาตุ (ธาตุคือกายวิญญาณ — Kàyavi¤¤àõa~: body-consciousness

element)
16. มโนธาตุ (ธาตุคอื มโน — Mano~: mind element)
17. ธรรมธาตุ (ธาตุคอื ธรรมารมณ — Dhamma~: mental-data element)
18. มโนวิญญาณธาตุ (ธาตคุ ือมโนวิญญาณ — Manovi¤¤àõa~: mind-consciousness

element)
ขอ ควรสังเกต

ก. ขอ 3, 6, 9, 12, 15 ไดแ ก ทวิปญจวญิ ญาณจิต รวมเปน จิต = 10

ข. ขอ 16 มโนธาตุ ไดแ ก สมั ปฏิจฉนะ 2 กบั ปญ จทวาราวชั ชนะ 1 รวมเปน จิต = 3

ค. ขอ 18 มโนวญิ ญาณธาตุ ไดแ ก จติ นอกเหนอื จากนนั้ อกี = 76

รวมเปนจติ ทัง้ ส้นิ = 89

ดู [356] จติ 89 หรอื 121.

Vbh.87; Vism.484; Comp.183. อภิ.วิ.35/124/108; วสิ ทุ ฺธิ.3/65; สงคฺ ห.44.

[349] อินทรีย 22 (ส่งิ ท่ีเปนใหญใ นการทํากจิ ของตน คือ ทําใหธ รรมอื่นๆ ที่เก่ียวขอ ง
เปนไปตามตน ในกิจนนั้ ๆ ในขณะท่ีเปนไปอยูนนั้ — Indriya: faculties)

หมวดที่ 1

1. จักขุนทรยี  (อินทรีย คอื จักขุปสาท — Cakkhundriya: eye-faculty)

2. โสตนิ ทรีย (อนิ ทรีย คือ โสตปสาท — Sotindriya: ear-faculty)

[349] 268 พจนานุกรมพุทธศาสตร

3. ฆานนิ ทรยี  (อินทรยี  คือ ฆานปสาท — Ghànindriya: nose-faculty)
4. ชวิ หินทรีย (อินทรีย คอื ชิวหาปสาท — Jivhindriya: tongue-faculty)
5. กายนิ ทรีย (อินทรีย คือ กายปสาท — Kàyindriya: body-faculty)
6. มนนิ ทรยี  (อินทรยี  คือ ใจ ไดแก จิต ทจี่ ําแนกเปน 89 หรือ 121 ก็ตาม — Manindriya:

mind-faculty)

หมวดที่ 2
7. อติ ถินทรีย (อนิ ทรยี  คอื อติ ถภี าวะ — Itthindriya: femininity faculty)
8. ปุริสินทรีย (อินทรยี  คอื ปุรสิ ภาวะ — Purisindriya: masculinity faculty; virility)
9. ชีวิตินทรยี  (อินทรยี  คอื ชีวิต — Jãvitindriya: life faculty; vitality)

หมวดที่ 3
10. สขุ นิ ทรยี  (อนิ ทรีย คอื สขุ เวทนา — Sukhindriya: bodily-pleasure faculty)
11. ทกุ ขนิ ทรีย (อินทรีย คอื ทกุ ขเวทนา — Dukkhindriya: bodily-pain faculty)
12. โสมนสั สินทรยี  (อนิ ทรยี  คอื โสมนสั สเวทนา — Somanassindriya: joy faculty)
13. โทมนัสสนิ ทรีย (อินทรีย คือ โทมนสั สเวทนา — Domanassindriya: grief faculty)
14. อุเปกขินทรยี  (อินทรีย คอื อเุ บกขาเวทนา — Upekkhindriya: indifference faculty)

หมวดที่ 4
15. สัทธนิ ทรีย (อนิ ทรยี  คือ ศรทั ธา — Saddhindriya: faith faculty)
16. วริ ิยินทรีย (อินทรยี  คือ วริ ยิ ะ — Viriyindriya: energy faculty)
17. สตินทรีย (อินทรยี  คอื สติ — Satindriya: mindfulness faculty)
18. สมาธินทรีย (อินทรีย คอื สมาธิ ไดแ ก เอกคั คตา — Samàdhindriya: concentration

faculty)

19. ปญญนิ ทรีย (อินทรยี  คือ ปญ ญา — Pa¤¤indriya: wisdom faculty)
หมวดที่ 5

20. อนัญญาตัญญสั สามตี นิ ทรยี  (อนิ ทรยี แหงผูป ฏบิ ัตดิ วยมุงวาเราจักรสู จั จธรรมทย่ี งั มิไดรู
ไดแ ก โสตาปตติมัคคญาณ — Ana¤¤àta¤¤assàmãtindriya: ‘I shall come to know

the unknown’ faculty, i.e. knowledge of the Stream-Entry Path.)

21. อัญญินทรยี  (อินทรยี  คอื อัญญา หรอื ปญ ญาอนั รูท ว่ั ถึง ไดแก ญาณ 6 ในทามกลาง คือ
โสตาปต ตผิ ลญาณ ถงึ อรหัตตมคั คญาณ — A¤¤indriya: perfect-knowledge faculty,

i.e. knowledge of the six intermediate Paths and Fruitions)

22. อญั ญาตาวนิ ทรีย (อินทรียแหง ทานผรู ูทั่วถงึ แลว กลา วคอื ปญญาของพระอรหันต ไดแก
อรหัตตผลญาณ — A¤¤àtàvindriya: perfect-knower faculty, i.e. knowledge of

the Fruition of Arahantship)

หมวดเกนิ 10 269 [350]

อินทรยี  22 น้ี ท่ีมาในพระสูตร มกี ระจายอยูเ ปน หมวดๆ ในทหี่ ลายแหง ไมครบทง้ั 22 ในที่
เดยี วกัน เฉพาะทีม่ าสาํ คญั ไดแก อินทรยี สังยตุ ต (ส.ํ ม.19/843–1089/256–318; S.V.193–243) สวนทม่ี า

ในพระอภิธรรม และปกรณพ ิเศษภายหลงั มี วิสทุ ธิมคั ค และ อภิธมั มัตถสังคหะ เปนตน มคี ํา

อธิบายโดยพสิ ดาร

Vbh.122; Vism.491; Comp.175. อภิ.ว.ิ 35/236/161; วิสทุ ธฺ ิ.3/72; สงฺคห.41.

[350] ปจจัย 24 (ลักษณะหรอื อาการแหงความสัมพนั ธระหวา งสิง่ ทัง้ หลาย ที่ส่ิงหนง่ึ หรอื

สภาวธรรมอยางหนึ่ง เปน องคประกอบท่ีชว ยเอ้ือ เกือ้ หนนุ คํา้ จุน เปน เหตุ หรือเปนเง่ือนไข ให
สงิ่ อ่นื หรอื สภาวธรรมอยางอน่ื เกดิ ขนึ้ คงอยู หรอื เปน ไปอยางใดอยางหน่งึ — Paccaya:

condition; mode of conditionality or relation)

1. เหตุปจ จยั (ปจจยั โดยเปนเหตุ — Hetu-paccaya: root condition)
2. อารัมมณปจ จยั (ปจ จัยโดยเปน อารมณ — ârammaõa-paccaya: object condition)
3. อธปิ ตปิ จ จยั (ปจ จยั โดยเปน เจา ใหญ — Adhipati-paccaya: predominance condition)
4. อนันตรปจจัย (ปจจัยโดยเปนภาวะตอเนือ่ งไมมีชองระหวา ง — Anantara-paccaya:

immediacy condition)
5. สมนันตรปจจัย (ปจจัยโดยเปนภาวะตอเนื่องทันที — Samanantara-paccaya:

contiguity condition)

6. สหชาตปจจัย (ปจจัยโดยเกิดรว มกัน — Sahajàta-paccaya: connascence condition)
7. อญั ญมญั ญปจ จัย (ปจจัยโดยอาศยั ซ่งึ กันและกนั — A¤¤ama¤¤a-paccaya: mutuality

condition)

8. นสิ สยปจ จยั (ปจ จัยโดยเปนทอี่ าศัย — Nissaya-paccaya: dependence condition)
9. อปุ นสิ สยปจจยั (ปจจัยโดยเปน เครอื่ งหนนุ หรือกระตุนเรา — Upanissaya-paccaya:

decisive-support condition; inducement condition)

10. ปุเรชาตปจจยั (ปจจยั โดยเกดิ กอน — Purejàta-paccaya: prenascence condition)
11. ปจ ฉาชาตปจจัย (ปจ จยั โดยเกดิ ทีหลงั — Pacchàjàta-paccaya: postnascence

condition)
12. อาเสวนปจจัย (ปจจัยโดยการซํ้าบอยหรือทําใหชิน — âsevana-paccaya:

repetition condition)

13. กรรมปจ จยั (ปจ จยั โดยเปน กรรมคอื เจตจาํ นง — Kamma-paccaya: kamma condition)
14. วปิ ากปจจัย (ปจ จยั โดยเปน วิบาก — Vipàka-paccaya: kamma-result condition)
15. อาหารปจ จัย (ปจ จยั โดยเปน อาหาร คือเปน เครื่องหลอ เล้ยี ง — âhàra-paccaya:

nutriment condition)
16. อินทรียปจจัย (ปจ จัยโดยเปนเจาการ — Indriya-paccaya: faculty condition)

[351] 270 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร

17. ฌานปจ จยั (ปจ จยั โดยภาวะจติ ทเ่ี ปน ฌาน — Jhàna-paccaya: absorption condition)
18. มรรคปจ จัย (ปจ จยั โดยเปนมรรค — Magga-paccaya: path condition)
19. สมั ปยุตตปจจยั (ปจจยั โดยประกอบกัน — Sampayutta-paccaya: association

condition)
20. วปิ ปยตุ ตปจ จยั (ปจ จยั โดยแยกตา งหากกนั — Vippayutta-paccaya: dissociation condition)
21. อัตถิปจ จยั (ปจ จยั โดย[ตอง]มอี ยู — Atthi-paccaya: presence condition)
22. นตั ถปิ จจยั (ปจ จยั โดย[ตอ ง]ไมมีอยู — Natthi-paccaya: absence condition)
23. วิคตปจจัย (ปจจัยโดย[ตอง]ปราศไป — Vigata-paccaya: disappearance

condition)
24. อวคิ ตปจจยั (ปจจยั โดย[ตอ ง]ไมปราศไป — Avigata-paccaya: non-disappearance

condition)

ปจ จยั 24 น้ี เปน สาระของคําอธิบายทัง้ หมดในคัมภีรปฏฐานแหง พระอภิธรรมปฎ ก คอื

พระไตรปฎกบาลี 6 เลม ตง้ั แตเลม 40 ถึงเลม 45

Pañ.1 อภิ.ป.40/1/1

[,,,] รูป 28 ดู [38] รปู 28; [39] มหาภูต 4; [40] อุปาทารปู 24

[351] ภูมิ 4 หรอื 31 (ชนั้ แหง จติ , ระดบั จติ ใจ, ระดบั ชวี ติ — Bhåmi: planes of existence;

planes of life)
1. อบายภมู ิ 4 (ภูมทิ ่ปี ราศจากความเจรญิ — Apàya-bhåmi: planes of loss and woe;

unhappy planes)
1) นริ ยะ (นรก — Niraya: woeful state; hell)
2) ตริ ัจฉานโยนิ (กําเนดิ ดิรัจฉาน — Tiracchànayoni: animal kingdom)
3) ปตติวิสัย (แดนเปรต — Pittivisaya: ghost-sphere)
4) อสรุ กาย (พวกอสรู — Asurakàya: host of demons)
2. กามสคุ ตภิ มู ิ 7 (กามาวจรภมู ทิ เี่ ปน สคุ ต,ิ ภมู ทิ เี่ ปน สคุ ตซิ งึ่ ยงั เกยี่ วขอ งกบั กาม — Kàmasugati-
bhåmi: sensuous blissful planes)
1) มนุษย (ชาวมนษุ ย — Manussà: human realm)
2) จาตุมหาราชิกา (สวรรคชน้ั ท่ที าวมหาราช 4 ปกครอง — Càtummahàràjikà: realm

of the Four Great Kings)
3) ดาวดึงส (แดนแหง เทพ 33 มที า วสักกะเปนใหญ — Tàvati§sà: realm of the

Thirty-three Gods)
4) ยามา (แดนแหงเทพผูปราศจากความทุกข — Yàmà: realm of the Yàma gods)

หมวดเกนิ 10 271 [351]

5) ดุสิต (แดนแหง เทพผูเ อิบอิม่ ดวยสริ ิสมบตั ิของตน — Tusità: realm of satisfied

gods)
6) นมิ มานรดี (แดนแหงเทพผูยินดใี นการเนรมิต — Nimmànaratã: realm of the gods

who rejoice in their own creations)
7) ปรนิมมิตวสวัตดี (แดนแหงเทพผูยังอํานาจใหเปนไปในสมบัติที่ผูอื่นนิรมิตให —

Paranimmitavasavattã: realm of gods who lord over the creation of others)

ภมู ทิ ง้ั 11 ใน 2 หมวดน้ี รวมเปน กามาวจรภมู ิ 11 (ชนั้ ทท่ี อ งเทยี่ วอยใู นกาม — Kàmàvacara-

bhåmi: Sensuous Planes)
3. รูปาวจรภมู ิ 16 (ชนั้ ทท่ี องเที่ยวอยใู นรปู , ชั้นรปู พรหม — Råpàvacara-bhåmi: Form

Planes)

ก. ปฐมฌานภูมิ 3 (ระดบั ปฐมฌาน — first-Jhàna planes)

1) พรหมปารสิ ชั ชา (พวกบริษัทบรวิ ารมหาพรหม — Brahmapàrisajjà: realm of

great Brahmas’ attendants)
2) พรหมปโุ รหิตา (พวกปุโรหติ มหาพรหม — Brahmapurohità: realm of great

Brahmas’ ministers)
3) มหาพรหมา (พวกทา วมหาพรหม — Mahàbrahmà: realm of great Brahmas)

ข. ทุติยฌานภูมิ 3 (ระดบั ทุติยฌาน — second-Jhàna planes)

4) ปริตตาภา (พวกมีรัศมนี อ ย — Parittàbhà: realm of Brahmas with limited

lustre)
5) อปั ปมาณาภา (พวกมรี ศั มปี ระมาณไมไ ด — Appamàõàbhà: realm of Brahmas

with infinite lustre)
6) อาภสั สรา (พวกมีรัศมสี ุกปลงั่ ซา นไป — âbhassarà: realm of Brahmas with

radiant lustre)

ค. ตติยฌานภมู ิ 3 (ระดับตตยิ ฌาน — third-Jhàna planes)

7) ปริตตสุภา (พวกมลี าํ รศั มงี ามนอย — Parittasubhà: realm of Brahmas with

limited aura)
8) อัปปมาณสุภา (พวกมีลาํ รศั มีงามประมาณมไิ ด — Appamàõasubhà: realm of

Brahmas with infinite aura)
9) สุภกิณหา (พวกมีลาํ รัศมีงามกระจา งจา — Subhakiõhà: realm of Brahmas

with steady aura)

ง. จตตุ ถฌานภมู ิ 3–7 (ระดบั จตุตถฌาน — fourth-Jhàna planes)

10) เวหัปผลา (พวกมผี ลไพบูลย — Vehapphalà: realm of Brahmas with

[351] 272 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร

abundant reward)
11) อสญั ญสี ตั ว (พวกสัตวไ มมสี ัญญา — Asa¤¤ãsattà: realm of non-percipient

beings)

(*) สุทธาวาส 5 (พวกมที ่อี ยูอนั บรสิ ุทธิ์ หรอื ทอี่ ยขู องทา นผูบ รสิ ทุ ธ์ิ คือ ท่เี กิดของ

พระอนาคามี — Suddhàvàsa: pure abodes) คอื
12) อวิหา (เหลาทา นผูไ มเสื่อมจากสมบัตขิ องตน หรือผูไมล ะไปเรว็ , ผคู งอยูนาน —

Avihà: realm of Brahmas who do not fall from prosperity)
13) อตัปปา (เหลาทานผูไมท ําความเดอื ดรอนแกใคร หรอื ผูไมเดือดรอ นกับใคร —

Atappà: realm of Brahmas who are serene)
14) สุทัสสา (เหลา ทานผูงดงามนาทศั นา — Sudassà: realm of Brahmas who are

beautiful)
15) สทุ สั สี (เหลา ทานผมู องเหน็ ชดั เจนดี หรอื ผมู ที ศั นาแจมชัด — Sudassã: realm of

Brahmas who are clear-sighted)
16) อกนฏิ ฐา (เหลาทา นผูไมมีความดอยหรือเล็กนอยกวา ใคร, ผูสงู สุด — Akaniññhà:

realm of the highest or supreme Brahmas)

4. อรูปาวจรภมู ิ 4 (ช้นั ท่ที องเทีย่ วอยูในอรูป, ช้ันอรปู พรหม — Aråpàvacara-bhåmi:

formless planes)
1) อากาสานญั จายตนภมู ิ (ชน้ั ทเี่ ขา ถงึ ภาวะมอี ากาศไมม ที สี่ ดุ — âkàsàna¤càyatana-
bhåmi: realm of infinite space)
2) วญิ ญาณญั จายตนภมู ิ (ชน้ั ทเี่ ขา ถงึ ภาวะมวี ญิ ญาณไมม ที สี่ ดุ — Vi¤¤àõa¤càyatana-
bhåmi: realm of infinite consciousness)
3) อากญิ จัญญายตนภมู ิ (ชน้ั ทีเ่ ขา ถงึ ภาวะไมมอี ะไร — âki¤ca¤¤àyatana-bhåmi:

realm of nothingness)
4) เนวสัญญานาสญั ญายตนภูมิ (ชั้นท่เี ขา ถงึ ภาวะมีสัญญากไ็ มใช ไมมสี ัญญากไ็ มใช

— Nevasa¤¤ànàsa¤¤àyatana-bhåmi: realm of neither perception nor non-

perception)

ปุถุชน พระโสดาบัน และพระสกทาคามี ยอมไมเกิดในสทุ ธาวาสภมู ;ิ พระอรยิ ะไมเ กดิ ใน

อสญั ญีภพ และในอบายภมู ;ิ ในภูมนิ อกจากน้ี ยอมมีทัง้ พระอริยะและมใิ ชอริยะไปเกิด.

ในพระไตรปฎ ก ไมพบทใี่ ดแสดงรายชื่อภมู ิทงั้ หลายไวท ั้งหมดในทเ่ี ดียว บาลีแสดงรายชื่อ

ภมู มิ ากท่สี ดุ (มีเฉพาะชน้ั สุคติภมู )ิ พบท่ี ม.อ.ุ 14/317–332/216–225 (M.III.99–103) กลา วตงั้ แตมนุษย

ขึ้นไปจนถึงอรูปาวจรภูมิ.

หมวดเกิน 10 273 [352]

ในบาลแี หงทีฆนกิ าย เปน ตน* แสดงคติ (ทไี่ ปเกดิ ของสัตว, แบบการดาํ เนนิ ชีวติ — Gati:
destiny; course of existence) วามี 5 คือ นิรยะ ตริ ัจฉานโยนิ เปตตวิ สิ ัย มนษุ ย และเทพ

(พวกเทพ — heavenly world ไดแกภ มู ิ 26 ต้ังแตจาตมุ หาราชกิ าข้นึ ไปทั้งหมด) จะเห็นวาภูมิ
31 สงเคราะหลงไดในคติ 5 ท้งั หมด ขาดแตอ สรุ กาย อยางไรก็ดี ในอรรถกถาแหง อติ ิวุตตกะ

เปนตน** ทา นกลาววา อสรู สงเคราะหลงในเปตติวิสยั ดวย จงึ เปนอนั สงเคราะหล งไดบริบูรณ
และในคติ 5 น้ัน 3 คติแรกจดั เปน ทุคติ (woeful courses) 2 คตหิ ลงั เปนสุคติ (happy

courses).

เนือ่ งดว ยภมู ิ 31 นจ้ี ดั ไดเ ปน 4 ระดับอยางทีก่ ลา วมา บางทจี งึ เรียกวา ภูมิ 4

อนง่ึ พงึ เทียบภมู ิ 31 หรอื ภมู ิ 4 หมวดนี้ กับ [162] ภูมิ 4 ท่มี าในพระบาลดี ว ย กลา วคอื
ภมู ิ 31 หรอื 4 หมวดน้ี จดั เขา ในภูมิ 3 ขอตนใน [162] ภูมิ 4 ดงั น้ี อบายภูมิ 4 และ กามสุคติ-

ภมู ิ 7 รวมเขาเปนกามาวจรภมู ิ (11) สว นรูปาวจรภูมิ (16) และ อรูปาวจรภูมิ (4) ตรงกนั รวม
ภูมิทั้งหมด 31 น้ี เปน โลกยี ภูมิ พนจากน้ไี ปเปน โลกตุ ตรภูมิ

ดู [162] ภมู ิ 4; [198] อบาย 4; [207] อรปู 4; [270] สวรรค 6.

Comp.137. สงฺคห.25.

[352] โพธิปกขิยธรรม 37 (ธรรมอนั เปนฝก ฝายแหง ความตรสั รู คือ เกอื้ กลู แกก าร

ตรัสร,ู ธรรมท่ีเกื้อหนนุ แกอริยมรรค — Bodhipakkhiya-dhamma: virtues partaking of

enlightenment; qualities contributing to or constituting enlightenment; enlightenment

states)

1. สติปฏฐาน 4 ดู [182]
2. สมั มัปปธาน 4 ดู [156]
3. อิทธบิ าท 4 ดู [213]
4. อนิ ทรีย 5 ดู [258]
5. พละ 5 ดู [228]
6. โพชฌงค 7 ดู [281]
7. มรรคมีองค 8 ดู [293]

โพธปิ ก ขยิ ธรรมน้ี ตามทท่ี ว่ั ไปในพระไตรปฎ ก ตรสั ไวเ พยี งเปน คาํ รวมๆ โดยไมไ ดร ะบชุ อ่ื องค
ธรรม นอกจากในสงั ยตุ ตนกิ ายแหง พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทมี่ พี ทุ ธพจนต รสั ระบไุ วว า ไดแ ก อนิ ทรยี  5

(ส.ํ ม.19/1024/301; 1041–3/305; 1071–1081/313–5) และในคัมภีรว ิภังคแ หง พระอภธิ รรมปฎก ซง่ึ ไข
ความวา โพธิปกขิยธรรม ไดแก โพชฌงค 7 (อภิ.วิ.35/611/336)

* ที.ปา.11/281/246; ม.มู.12/170/148; องฺ.นวก.23/272/480 (D.III.234; M.I.73; A.IV.459)
** อุ.อ.174; อติ .ิ อ.168 (approx., UdA.140; ItA.101)

[353] 274 พจนานุกรมพุทธศาสตร

ธรรมชุดน้ี เมอื่ ตรสั ระบชุ ือ่ ทง้ั ชดุ ในพระสูตร ทรงเรยี กวาเปน อภญิ ญาเทสิตธรรม เชน ที.

ม.10/107/141; ที.ปา.11/108/140; ม.อุ. 14/54/51) คอื เปนอภิญญาเทสิตธรรม 37 และในพระอภธิ รรม

ทา นแสดงไวว า ธรรม 37 ประการนีเ้ ปน สัทธรรม
นอกจากน้ี ธรรม 37 ประการชดุ นี้ยังไดชอื่ วาเปน สันติบท คือ ธรรมท่เี ปน ไปเพ่ือการ

บรรลุสนั ติ (รวมทง้ั เปน อมตบท และ นิพพานบท เปน ตน —ขุ.ม.29/701/414; ขุ.จ.ู 30/391/188)
และเปน เสรีธรรม หรอื ธรรมเสรี (ข.ุ จู.30/681/340; 684/342)

ในพระวนิ ยั ปฎ ก ทา นแสดงธรรม 37 ประการนไ้ี วเ ปน คาํ จาํ กดั ความของคาํ วา มรรคภาวนา

(ดู วนิ ย.1/236/175; 2/308/212)

ตอ มา ในคมั ภรี ช นั้ อรรถกถา รวมถงึ วสิ ทุ ธมิ คั ค จงึ ระบแุ ละแจกแจงไวช ดั เจนวา โพธปิ ก ขยิ ธรรม
37 ประการ ไดแกธ รรมเหลา นี้ (ดู อง.ฺ อ.1/77; อิติ.อ.287; ปฏิส.ํ อ.2/95, 196, 261; วสิ ุทฺธ.ิ 3/328)

Vism.681. วิสทุ ธฺ .ิ 3/328.

[353] มงคล 38 (สิง่ ทท่ี าํ ใหมโี ชคดี, ธรรมอันนํามาซ่งึ ความสขุ ความเจริญ — Maïgala:
blessings; เรียกเต็มวา อดุ มมงคล คือมงคลอนั สงู สดุ — highest blessing)

คาถาท่ี 1
1. อเสวนา จ พาลานํ (ไมคบคนพาล — Bàla-asevanà: not to associate with fools; to

dissociate from the wicked)
2. ปณฺฑติ านฺจ เสวนา (คบบัณฑิต — Paõóitasevanà: to associate with the wise)
3. ปชู า จ ปูชนียานํ (บูชาคนทค่ี วรบชู า — Påjaneyyapåjà: to honour those who are

worthy of honour)

คาถาท่ี 2
4. ปฏริ ปู เทสวาโส จ (อยใู นปฏิรูปเทศ, อยใู นถิ่นมีส่งิ แวดลอ มดี — Pañiråpadesavàsa:

living in a suitable region; good environment)
5. ปพุ เฺ พ จ กตปุฺตา (ไดท ําความดใี หพ รอมไวกอ น, ทาํ ความดีเตรียมพรอ มไวแตตน —

Pubbekatapu¤¤atà: having formerly done meritorious deeds)
6. อตฺตสมฺมาปณธิ ิ จ (ตั้งตนไวชอบ — Attasammàpaõidhi: setting oneself in the

right course; right direction in self-guidance; perfect self-adjustment)

คาถาที่ 3
7. พาหสุ จจฺ ฺจ (เลาเรียนศกึ ษามาก, ทรงความรูก วางขวาง, ใสใจสดบั ตรับฟงคน ควา หาความ

รอู ยูเ สมอ — Bàhusacca: great learning; extensive learning)

8. สปิ ฺปฺจ (มีศลิ ปวทิ ยา, ชาํ นาญในวชิ าชีพของตน — Sippa: skill; knowledge of the

arts and sciences)

หมวดเกนิ 10 275 [353]

9. วนิ โย จ สสุ ิกฺขโิ ต (มีวนิ ยั ทไ่ี ดศ ึกษาดีแลว , มีระเบียบวินัยดี, ไดฝก อบรมตนไวด ี —

Vinaya: highly trained discipline)
10. สภุ าสติ า จ ยา วาจา (วาจาสภุ าษิต, รจู กั ใชว าจาพูดใหเ ปนผลดี — Subhàsitavàcà:

well-spoken speech)

คาถาที่ 4
11. มาตาปต อุ ปุ ฏ านํ (บาํ รงุ มารดาบดิ า — Màtàpitu-upaññhàna: support of mother

and father)
12.–13. ปตุ ตฺ ทารสสฺ สงคฺ โห = ปตุ ตฺ สงคฺ ห (สงเคราะหบ ตุ ร — Puttasaïgaha: cherishing of

children) และ ทารสงคฺ ห (สงเคราะหภ รรยา — Dàrasaïgaha: cherishing of wife)
14. อนากุลา จ กมฺมนฺตา (การงานไมอากลู — Anàkulakammanta: a livelihood which

is free from complications)*

คาถาที่ 5
15. ทานฺจ (รูจักให, เผ่ือแผแ บงปน, บรจิ าคสงเคราะหแ ละบําเพญ็ ประโยชน — Dàna:

charity; liberality; generosity)
16. ธมมฺ จรยิ า จ(ประพฤตธิ รรม, ดาํ รงอยใู นศลี ธรรม — Dhammacariyà: righteous conduct)
17. าตกานฺจ สงฺคโห (สงเคราะหญาติ — ¥àtakasaïgaha: rendering aid to

relations)
18. อนวชชฺ านิ กมฺมานิ (การงานทีไ่ มมีโทษ, กจิ กรรมที่ดงี าม เปนประโยชน ซ่งึ ไมเ ปน ทางเสีย

หาย — Anavajjakamma: blameless actions; unexceptionable or beneficial
activities)**

คาถาที่ 6
19. อารตี วริ ตี ปาปา (เวน จากความชัว่ — Pàpavirati: abstaining from evils and

avoiding them)
20. มชฺชปานา จ สฺโม (เวนจากการด่มื นํ้าเมา — Majjapànasa¤¤ama: abstinence

from intoxicants)
21. อปฺปมาโท จ ธมเฺ มสุ (ไมประมาทในธรรมท้งั หลาย — Appamàda: diligence in

virtue; perseverance in virtuous acts)

* ทานอธิบายวา ไดแ ก อาชีพการงาน ทีท่ ําดวยความขยนั หม่นั เพยี ร เอาธรุ ะ รจู กั กาล ไมคงั่ คา งยอ หยอน —
spheres of work which are free from such unprofitableness as dilatoriness and tardiness. (ขทุ ทฺ ก.
อ. 153; KhA.139).
**ทา นยกตัวอยางไว เชน การสมาทานอุโบสถ การบําเพญ็ สาธารณประโยชน สรางสวน ปลูกปา สรา งสะพาน
เปนตน (ขทุ ฺทก.อ.156; KhA.141)

[353] 276 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร

คาถาท่ี 7
22. คารโว จ (ความเคารพ, การแสดงออกทแ่ี สดงถึงความเปนผูร ูจักคุณคาของบุคคล ส่ิงของ

สถานที่ หรอื กจิ การนั้นๆ และรูจักใหความสาํ คญั และความใสใจเอื้อเฟอ โดยเหมาะสม — Gà
rava: reverence; respect; appreciative action)
23. นิวาโต จ (ความสภุ าพออนนอม, ถอ มตน — Nivàta: humility, courtesy; politeness)
24. สนตฺ ฏุ  ี จ(ความสนั โดษ, ความเอบิ อม่ิ พงึ พอใจในผลสาํ เรจ็ ทไี่ ดส รา งขน้ึ หรอื ในลาภทแ่ี สวงหา
มาได ดว ยเรยี่ วแรงความเพยี รพยายามของตนโดยทางชอบธรรม —Santuññhã: contentment)
25. กตฺุตา (มคี วามกตญั ู — Kata¤¤utà: gratitude)
26. กาเลน ธมฺมสฺสวนํ (ฟง ธรรมตามกาล, แสวงความรูเ ก่ียวกบั หลกั ความจรงิ ความดีงาม
และเร่ืองทเ่ี ปน ประโยชน — Dhammassavana: the opportune hearing of the

Dhamma; listening to good advice and the teaching of Truth on due occasions)

คาถาท่ี 8
27. ขนตฺ ี จ (มคี วามอดทน — Khanti: patience; forbearance; tolerance)
28. โสวจสฺสตา (เปนผูวางายสอนงาย, พูดกันงาย ฟงเหตุผล — Sovacassatà:

amenability to correction; being easy to admonish)
29. สมณานฺจ ทสฺสนํ (พบเห็นสมณะ, เยีย่ มเยือนเขา หาทา นผูส งบกเิ ลส — Samaõa-

dassana: seeing the monks or holy persons)
30. กาเลน ธมมฺ สากจฉฺ า (สนทนาธรรมตามกาล, หาโอกาสสนทนาแลกเปลย่ี นความรคู วามคดิ

เหน็ กนั เกยี่ วกบั หลกั ความจรงิ ความดงี ามและเรอ่ื งทเ่ี ปน ประโยชน — Dhammasàkacchà:

religious discussion at due seasons; regular or opportune discussion of Truth)

คาถาที่ 9
31. ตโป จ (มคี วามเพียรเผากิเลส, รูจักบังคับควบคุมตน ไมป รนเปรอตามใจอยาก — Tapa:

self-control; simple life)
32. พฺรหมฺ จริยฺจ (ประพฤตพิ รหมจรรย, ดําเนินตามอรยิ มรรค, การรจู ักควบคมุ ตนในทาง

เพศ หรือถอื เมถนุ วริ ัติตามควร* — Brahmacariya: a holy life)
33. อริยสจจฺ าน ทสสฺ นํ (เหน็ อริยสัจจ, เขาใจความจริงของชีวติ — Ariyasacca-dassana:

discernment of the Noble Truths)
34. นพิ พฺ านสจฉฺ กิ ริ ยิ า จ (ทาํ พระนพิ พานใหแ จง , บรรลนุ พิ พาน — Nibbàna-sacchikiriyà:

realization of Nibbàna)

* พรหมจรรยใ นท่นี ้ี มุงเอาอัฏฐงั คกิ มรรคเปน หลัก แตจะตคี วามแคบหมายถงึ เมถนุ วิรตั ิก็ได ความหมายอยา ง
หยอนสําหรบั คฤหสั ถ คอื ถือพรหมจรรยใ นบุคคลทีม่ ใิ ชค ูครอง หรอื ถอื เดด็ ขาดในวันอโุ บสถ เปน ตน

หมวดเกนิ 10 277 [354]

คาถาท่ี 10
35. ผุฏสฺส โลกธมเฺ มหิ จติ ฺตํ ยสฺส น กมฺปติ (ถกู โลกธรรม จติ ไมหวนั่ ไหว — Akampita-

citta: to have a mind which is not shaken when touched by worldly vicissitudes)
36. อโสกํ (จิตไรเศรา — Asokacitta: to have the mind which is free from sorrow)
37. วิรชํ (จิตปราศจากธุลี — Virajacitta: to have the mind which is undefiled)
38. เขมํ (จิตเกษม — Khemacitta: to have the mind which is secure)

แตละคาถามบี ทสรุปวา “เอตมฺมงคฺ ลมุตตฺ มํ” (น้เี ปน มงคลอันอดุ ม — this is the highest

blessing)

มคี าถาสรปุ ทา ยมงคลทัง้ 38 นีว้ า สพพฺ ตถฺ มปราชติ า
ตนเฺ ตสํ มงฺคลมตุ ฺตมนตฺ .ิ ”
“เอตาทิสานิ กตฺวาน
สพฺพตฺถ โสตถฺ ึ คจฺฉนตฺ ิ

แปลวา “เทวะมนุษยท งั้ หลายกระทาํ มงคลเชนนี้แลว ยอ มเปน ผไู มป ราชยั ในทีท่ กุ สถาน ยอ ม
ถึงความสวัสดีในที่ทั้งปวง นี้คอื อุดมมงคลของเทวะมนุษยเ หลา นนั้ .” (Those who have done
these things see no defeat and go in safety everywhere. To them these are the
highest blessings.)

Kh.V.3; Sn.259–268. ข.ุ ข.ุ 25/5/3; ข.ุ สุ.25/317/376.

[354] กรรมฐาน 40 (ท่ีตั้งแหงการทํางานของจิต, สิ่งท่ีใชเปนอารมณในการเจริญ
ภาวนา, อปุ กรณในการฝกอบรมจติ — Kammaññhàna: mental exercises; subjects of

meditation)

1. กสิณ 10 ดู [315]
2. อสภุ ะ 10 ดู [336]
3. อนุสติ 10 ดู [335]
4. อัปปมัญญา 4 ดู [161]

5. อาหาเรปฏกิ ลู สญั ญา (กาํ หนดพจิ ารณาความเปน ปฏกิ ลู ในอาหาร — âhàrepañikålasa¤¤à:

perception of the loathsomeness of food)
6. จตธุ าตวุ วฏั ฐาน (กาํ หนดพิจารณาธาตุ 4, พิจารณาเหน็ รางกายของตนโดยสักวา เปน ธาตุ 4

แตละอยา งๆ; ธาตุมนสกิ าร ก็เรียก — Catudhàtu-vavaññhàna: analysis of the four

elements)

7. อรูป 4 ดู [207]

กรรมฐานใดใหไดสมาธถิ ึงขนั้ ใด ดู [99] ภาวนา 3; กรรมฐานใดเหมาะกบั จรติ ใด ดู [262]
จริต 6.

Vism.110; Comp.204. วสิ ุทธฺ ิ.1/139; สงคฺ ห.51.

[355] 278 พจนานกุ รมพุทธศาสตร

[355] เจตสิก 52 (ธรรมท่ีประกอบกบั จติ , สภาวธรรมท่ีเกดิ ดับพรอมกับจติ มอี ารมณแ ละ

วัตถุที่อาศยั เดยี วกนั กับจติ , อาการและคณุ สมบัตติ า งๆ ของจิต — Cetasika: mental factors;

mental concomitants)
ก. อัญญสมานาเจตสิก 13 (เจตสกิ ที่มีเสมอกนั แกจ ิตพวกอ่นื คอื ประกอบเขาไดกับจิตทุก

ฝายทั้งกุศลและอกุศล มิใชเขาไดแตฝายใดฝายหนึ่งพวกเดียว — A¤¤asamàna-
cetasika: the Common-to-Each-Other; general mental factors)
1) สพั พจิตตสาธารณเจตสกิ 7 (เจตสิกทเ่ี กดิ ท่ัวไปกบั จิตทุกดวง — Sabbacitta-
sàdhàraõa~: universal mental factors; the Primary)
1. ผัสสะ (ความกระทบอารมณ — Phassa: contact; sense-impression)
2. เวทนา (ความเสวยอารมณ — Vedanà: feeling)
3. สัญญา (ความหมายรอู ารมณ — Sa¤¤à: perception)
4. เจตนา (ความจงใจตอ อารมณ — Cetanà: volition)
5. เอกคั คตา (ความมอี ารมณเ ปน อนั เดยี ว — Ekaggatà: one-pointedness; concentration)
6. ชวี ติ นิ ทรยี  (อนิ ทรยี ค อื ชวี ติ , สภาวะทเี่ ปน ใหญใ นการรกั ษานามธรรมทงั้ ปวง — Jãvitindriya:

vitality; life-faculty)
7. มนสกิ าร (ความกระทาํ อารมณไวในใจ, ใสใ จ — Manasikàra: attention)

2) ปกณิ ณกเจตสิก 6 (เจตสิกทเี่ รีย่ รายแพรกระจายทว่ั ไป คือ เกิดกับจิตไดท ง้ั ฝายกศุ ล
และอกุศล แตไมแ นน อนเสมอไปทุกดวง — Pakiõõaka~: particular mental factors;

the Secondary)
8. วติ ก (ความตรกึ อารมณ — Vitakka: initial application; thought conception;

applied thought)
9. วจิ าร (ความตรองหรอื พจิ ารณาอารมณ — Vicàra: sustained application; discursive

thinking; sustained thought)
10. อธิโมกข (ความปลงใจหรือปกใจในอารมณ — Adhimokkha: determination;

resolution)
11. วิรยิ ะ (ความเพยี ร — Viriya: effort; energy)
12. ปต ิ (ความปลาบปล้มื ในอารมณ, อมิ่ ใจ — Pãti: joy; interest)
13. ฉนั ทะ (ความพอใจในอารมณ — Chanda: conation; zeal)
ข. อกศุ ลเจตสกิ 14 (เจตสกิ ฝา ยอกศุ ล — Akusala~: immoral or unwholesome mental

factors; unprofitable mental factors)
1) สพั พากุสลสาธารณเจตสิก 4 (เจตสิกทเ่ี กดิ ท่ัวไปกบั อกุศลจิตทุกดวง — Sabbà-
kusalasàdhàraõa~: universal immorals; the Primary)

หมวดเกนิ 10 279 [355]

14. โมหะ (ความหลง — Moha: delusion)
15. อหิริกะ (ความไมละอายตอ บาป — Ahirika: shamelessness; lack of moral shame)
16. อโนตตปั ปะ (ความไมสะดงุ กลัวตอบาป — Anottappa: fearlessness of wrong-

doing; lack of moral dread)

17. อุทธจั จะ (ความฟุงซา น — Uddhacca: restlessness; unrest)
2) ปกณิ ณกอกุสลเจตสกิ 10 (อกุศลเจตสิกทเ่ี กดิ เรย่ี รายแกอ กศุ ลจิต — Pakiõõaka-
akusala~: particular immorals; the Secondary)

18. โลภะ (ความอยากไดอารมณ — Lobha: greed)
19. ทฏิ ฐิ (ความเหน็ ผดิ — Diññhi: wrong view)
20. มานะ (ความถือตัว — Màna: conceit)
21. โทสะ (ความคิดประทุษราย — Dosa: hatred)
22. อิสสา (ความริษยา — Issà: envy; jealousy)
23. มัจฉรยิ ะ (ความตระหน่ี — Macchariya: stinginess; meanness)
24. กุกกจุ จะ (ความเดือดรอนใจ — Kukkucca: worry; remorse)
25. ถีนะ (ความหดหู — Thãna: sloth)
26. มทิ ธะ (ความงวงเหงา — Middha: torpor)
27. วิจิกจิ ฉา (ความคลางแคลงสงสัย — Vicikicchà: doubt; uncertainty; scepsis)
ค. โสภณเจตสกิ 25 (เจตสกิ ฝายดงี าม — Sobhaõa~: beautiful mental factors; lofty

mental factors)

1) โสภณสาธารณเจตสกิ 19 (เจตสกิ ทเ่ี กิดทวั่ ไปกับจิตดงี ามทุกดวง — Sobhaõa-
sàdhàraõa~: universal beautiful mental factors; the Primary)
28. สทั ธา (ความเช่ือ — Saddhà: confidence; faith)
29. สติ (ความระลกึ ได, ความสํานกึ พรอมอยู — Sati: mindfulness)
30. หริ ิ (ความละอายตอ บาป — Hiri: moral shame; conscience)
31. โอตตัปปะ (ความสะดงุ กลวั ตอ บาป — Ottappa: moral dread)
32. อโลภะ (ความไมอ ยากไดอ ารมณ — Alobha: non-greed)
33. อโทสะ (ความไมคิดประทษุ ราย — Adosa: non-hatred)
34. ตัตรมัชฌตั ตตา (ความเปน กลางในอารมณน ้นั ๆ — Tatramajjhattatà: equanimity;

specific neutrality)

35. กายปส สทั ธิ (ความสงบแหง กองเจตสกิ — Kàya-passaddhi: tranquillity of mental body)
36. จิตตปสสัทธิ (ความสงบแหง จติ — Citta-passaddhi: tranquillity of mind)

[356] 280 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร

37. กายลหตุ า (ความเบาแหง กองเจตสิก — Kàya-lahutà: lightness of mental body;

agility of ~)
38. จติ ตลหตุ า (ความเบาแหงจิต — Citta-lahutà: lightness of mind; agility of ~)
39. กายมทุ ตุ า (ความออ นหรอื นมุ นวลแหง กองเจตสกิ — Kàya-mudutà: pliancy of mental

body; elasticity of ~)
40. จติ ตมทุ ตุ า (ความออ นหรอื นมุ นวลแหง จติ — Citta-mudutà: pliancy of mind;

elasticity of ~)
41. กายกมั มญั ญตา (ความควรแกก ารงานแหง กองเจตสกิ — Kàya-kamma¤¤atà: adaptability

of mental body; wieldiness of ~)
42. จิตตกมั มัญญตา (ความควรแกก ารงานแหง จติ — Citta-kamma¤¤atà: adaptability

of mind; wieldiness of ~)
43. กายปาคญุ ญตา (ความคลองแคลวแหงกองเจตสกิ — Kàya-pàgu¤¤atà: proficiency

of mental body)
44. จติ ตปาคญุ ญตา (ความคลอ งแคลว แหง จติ — Citta-pàgu¤¤atà: proficiency of mind)
45. กายุชกุ ตา (ความซอ่ื ตรงแหง กองเจตสกิ — Kàyujukatà: rectitude of mental body;

uprightness of ~)
46. จติ ตชุ กุ ตา (ความซอื่ ตรงแหง จติ — Cittujukatà: rectitude of mind; uprightness of ~)

2) วิรตีเจตสกิ 3 (เจตสิกท่เี ปน ตวั ความงดเวน — Viratã~: abstinences)
47. สมั มาวาจา (เจรจาชอบ — Sammàvàcà: right speech)
48. สัมมากมั มันตะ (กระทําชอบ — Sammàkammanta: right action)
49. สมั มาอาชีวะ (เลีย้ งชีพชอบ — Sammà-àjãva: right livelihood)

3) อปั ปมญั ญาเจตสกิ 2 (เจตสกิ คอื อปั ปมญั ญา — Appama¤¤à~: boundless states)
50. กรุณา (ความสงสารสตั วผถู งึ ทกุ ข — Karuõà: compassion)
51. มุทิตา (ความยนิ ดีตอ สัตวผูไดส ขุ — Mudità: sympathetic joy)

4) ปญ ญนิ ทรยี เจตสกิ 1 (เจตสกิ คอื ปญ ญนิ ทรยี  — Pa¤¤indriya~: fuculty of wisdom)
52. ปญ ญนิ ทรยี  หรอื อโมหะ (ความรเู ขา ใจ ไมห ลง — Pa¤¤indriya, Amoha: undeluded-

ness; wisdom)

Comp.94. สงคฺ ห.7.

[356] จิต 89 หรอื 121 (ธรรมชาตทิ ่ีรอู ารมณ, สภาพทีน่ กึ คดิ , ความคดิ , ใจ, วญิ ญาณ
— Citta: mind; thought; consciousness; a state of consciousness)

จติ มไี วพจน คอื คาํ ที่ตา งเพยี งรูป แตม ีความหมายเหมอื นกันหรอื คลา ยกนั ใชแ ทนกนั ได
หลายคาํ เชน มโน มานสั หทยั บณั ฑร มนายตนะ มนนิ ทรยี  และ วญิ ญาณ เปนตน (อภิ.สํ.

หมวดเกิน 10 281 [356]

34/21/10; ฯลฯ) คําเหลา น้มี ีความหมายเกยกนั มิใชตรงกันโดยสมบรู ณ ใชแ ทนกนั ไดในบางโอกาส
มิใชเ สมอไป

เมอื่ จดั แบง สภาวธรรมทงั้ หลายเปน ประเภทๆ ทเี่ รยี กวา ขนั ธ 5 จติ ไดแ ก วญิ ญาณขนั ธ แตใน
คัมภีรอภิธรรมยุคตอ มา นยิ มประมวลสภาวธรรมเขา เปน 4 อยา ง เรยี กวา ปรมตั ถธรรม 4 จิต
เปน ปรมัตถธรรมอยา งที่ 1; ดู [157] ปรมตั ถธรรม 4; [216] ขนั ธ 5.

คัมภรี อภิธรรมรุนอรรถกถา ประมวลเรื่องจติ ทแ่ี สดงไวใ นพระอภธิ รรมปฎ กแลว แจงนบั

สภาพจิตท้งั หลายไววา มีจาํ นวน 89 หรอื โดยพสิ ดารมี 121 เรียกวา จิต 89 หรือ 121

เบอ้ื งตน น้ี จะประมวลจติ ทง้ั หมดไวเ ปน หมวดหมใู หญๆ กอ น เพอ่ื สะดวกในการศกึ ษากาํ หนด
จดจาํ และทบทวนตอ ไป ในทนี่ ี้ พงึ ทราบวธิ จี าํ แนกประเภท 2 แบบ เปรยี บเทยี บกนั ดงั น้ี*

* ทา นเรยี บเรยี งเปน คาถาสรปุ ความไว ดงั นี้ กสุ ลาเนกวีสติ
ทวฺ าทสากสุ ลาเนว กฺรยิ าจติ ฺตานิ วีสติ ฯ
ฉตฺตึเสว วปิ ากานิ รูเป ปณณฺ รสรี เิ ย
จตปุ ฺาสธา กาเม อฎธานตุ ตฺ เร ตถา ฯ
จติ ตฺ านิ ทฺวาทสารูเป ปเภทํ ปน มานสํ
อิตฺถเมกูนนวุตปิ ฺ- วภิ ชนตฺ ิ วิจกขฺ ณา ฯ
เอกวสี สตํ วาถ

[356] 282 พจนานกุ รมพุทธศาสตร โสภณจิต 59 (91)
ฌานจติ 67
ก. โดยชาตปิ ระเภท ข. โดยภมู ิประเภท

1. อกุศลจติ 12 1. กามาวจรจติ 54

- โลภมูลจติ 8 1) อกศุ ลจิต 12
- โทสมลู จิต 2 - โลภมูลจติ 8
- โมหมลู จติ 2 - โทสมลู จิต 2
- โมหมลู จิต 2
2. กศุ ลจิต 21 (37)
2) อเหตกุ จติ 18
- มหากุศลจิต 8 - อกุศลวิบากจติ 7
- รปู าวจรกุศลจิต 5 - กุศลวิบากอเหตุกจิต 8
- อรปู าวจรกุศลจิต 4 - อเหตกุ กริ ยิ าจติ 3
- โลกุตตรกุศลจิต 4 (20)
3) กามาวจรโสภณจิต 24
3. วิปากจติ 36 (52) - มหากศุ ลจติ 8
- มหาวบิ ากจติ 8
- อกุศลวิบากจติ 7 - มหากริ ิยาจิต 8
- กศุ ลวบิ ากอเหตกุ จิต 8
- มหาวิบากจติ 8 2. รปู าวจรจิต 15
- รูปาวจรวบิ ากจติ 5
- อรปู าวจรวิบากจิต 4 1) รปู าวจรกุศลจิต 5
- โลกุตตรวบิ ากจิต 4 (20) 2) รปู าวจรวิบากจติ 5
3) รปู าวจรกริ ยิ าจิต 5
4. กิริยาจิต 20
3. อรูปาวจรจติ 12
- อเหตกุ กริ ิยาจิต 3
- มหากริ ิยาจิต 8 1) อรปู าวจรกุศลจติ 4
- รปู าวจรกริ ิยาจติ 5 2) อรูปาวจรวิบากจิต 4
- อรปู าวจรกริ ยิ าจติ 4 3) อรปู าวจรกิรยิ าจติ 4

4. โลกุตตรจติ 8 (× ฌาน 5 = 40)

1) โลกตุ ตรกศุ ลจติ 4 (20)
2) โลกุตตรวบิ ากจติ 4 (20)

หมายเหต:ุ ตวั เลขในวงเลบ็ ( ) หมายถงึ จาํ นวนอยา งพสิ ดาร เมอ่ื นบั จติ เปน 121 (พงึ สงั เกตวา จาํ นวนจะเพมิ่
เฉพาะ โลกตุ ตรจติ อยา งเดยี ว คอื โลกตุ ตรจติ อยา งยอ มี 8 อยา งพสิ ดารจาํ แนกออกไปตามฌานทงั้ 5 เปน 40)

ตอ ไปจะแสดง จติ 89 หรอื 121 ตามแบบภมู ิประเภท (แบบชาตปิ ระเภทพงึ กาํ หนดเอา
จากแบบภมู ิประเภทน้ี ตามหวั ขอท่ีแสดงไวแลว )


Click to View FlipBook Version