หมวด 2 83 [65]
[64] อัตถะ 2 (อรรถ, ความหมาย — Attha: meaning)
พระสูตรที่พระพุทธเจาตรัส วา โดยการแปลความหมาย มี 2 ประเภท คอื
1. เนยยัตถะ ([พระสูตร]ซง่ึ มีความหมายทีจ่ ะตองไขความ, พทุ ธพจนท ีต่ รสั ตามสมมติ อันจะ
ตองเขาใจความจริงแททซ่ี อนอยูอีกชัน้ หน่ึง เชน ท่ีตรสั เรื่องบุคคล ตัวตน เรา–เขา วา บุคคล 4
ประเภท, ตนเปน ทพ่ี ึ่งของตน เปนตน — Neyyattha: with indirect meaning; with
meaning to be defined, elucidated or interpreted)
2. นีตัตถะ ([พระสูตร]ซ่งึ มีความหมายทีแ่ สดงชัดโดยตรงแลว , พุทธพจนทต่ี รัสโดยปรมัตถ ซงึ่
มคี วามหมายตรงไปตรงมาตามสภาวะ เชนท่ีตรสั วา รปู เสียง กลน่ิ รส เปนตน — Nãtattha:
with direct or manifest meaning; with defined or elucidated meaning)
ผใู ดแสดงพระสตู รทีเ่ ปนเนยยัตถะ วา เปน นีตตั ถะ หรือแสดงพระสูตรทเ่ี ปนนตี ัตถะ วาเปน
เนยยัตถะ ผูน ้นั ชือ่ วา กลาวตูพระตถาคต.
A.I. 60 องฺ.ทุก.20/270/76
[65] อุปญญาตธรรม 2 (ธรรมทพี่ ระพทุ ธเจา ไดท รงปฏิบตั ิเหน็ คุณประจกั ษก ับพระองค
เอง คือ พระองคไ ดทรงอาศัยธรรม 2 อยา งนีด้ ําเนนิ อริยมรรคาจนบรรลุจุดหมายสงู สุด คือ
สมั มาสมั โพธิญาณ — Upa¤¤àta-dhamma: two virtues realized or ascertained by the
Buddha himself)
1.อสนตฺ ฏุ ติ า กุสเลสุ ธมฺเมสุ (ความไมสนั โดษในกศุ ลธรรม, ความไมรูอิ่มไมร พู อใน
การสรา งความดีและสิ่งท่ดี ี — Asantuññhità kusalesu dhammesu: discontent in moral
states; discontent with good achievements)
2.อปปฺ ฏิวาณติ า ปธานสมฺ ึ (ความไมระยอ ในการพากเพียร, การเพยี รพยายามกาวหนา
เรื่อยไปไมย อมถอยหลงั — Appañivàõità padhànasmi§: perseverance in exertion;
unfaltering effort)
D.III.214; A.I.50,95; Dhs.8,234. ที.ปา.11/227/227; อง.ฺ ทกุ .20/251/64; 422/119; อภ.ิ ส.ํ 34/15/8; 875/339.
ติกะ — หมวด 3
Groups of Three
(including related groups)
[66] กรรม 3 (การกระทาํ , การกระทาํ ท่ปี ระกอบดวยเจตนา ดกี ต็ าม ชว่ั กต็ าม — Kamma:
action; deed)
1. กายกรรม (กรรมทําดวยกาย, การกระทําทางกาย — Kàya-kamma: bodily action)
2. วจกี รรม (กรรมทาํ ดวยวาจา, การกระทําทางวาจา — Vacã-kamma: verbal action)
3. มโนกรรม (กรรมทําดวยใจ, การกระทาํ ทางใจ — Mano-kamma: mental action)
M.I.373. ม.ม.13/64/56.
[67] กุศลมูล 3 (รากเหงา ของกุศล, ตน ตอของความดี — Kusala-måla: wholesome
roots; roots of good actions)
1. อโลภะ (ความไมโ ลภ, ธรรมท่เี ปน ปฏิปก ษก ับโลภะ, ความคดิ เผื่อแผ, จาคะ — Alobha:
non-greed; generosity)
2. อโทสะ (ความไมคิดประทษุ ราย, ธรรมท่ีเปน ปฏปิ ก ษก บั โทสะ, เมตตา — Adosa: non-
hatred; love)
3. อโมหะ (ความไมห ลง, ธรรมทเี่ ปนปฏิปก ษก บั ความหลง, ปญ ญา — Amoha: non-
delusion; wisdom)
D.III.275. ท.ี ปา.11/394/292.
[68] อกุศลมูล 3 (รากเหงาของอกุศล, ตนตอของความช่ัว — Akusala-måla:
unwholesome roots; roots of bad actions)
1. โลภะ (ความอยากได — Lobha: greed)
2. โทสะ (ความคิดประทุษรา ย — Dosa: hatred)
3. โมหะ (ความหลง — Moha: delusion)
D.III.275; It.45. ท.ี ปา.11/393/291; ขุ.อติ .ิ 25/228/264.
[69] กุศลวิตก 3 (ความตรกึ ทเ่ี ปน กศุ ล, ความนกึ คดิ ทดี่ งี าม — Kusala-vitakka:
wholesome thoughts)
1. เนกขัมมวติ ก (ความตรึกปลอดจากกาม, ความนึกคิดในทางเสยี สละ ไมต ดิ ในการปรนปรอื
สนองความอยากของตน — Nekkhamma-vitakka: thought of renunciation; thought free
from selfish desire)
หมวด 3 85 [72]
2. อพยาบาทวิตก (ความตรกึ ปลอดจากพยาบาท, ความนกึ คดิ ทปี่ ระกอบดว ยเมตตา ไมข ัด
เคอื งหรอื เพง มองในแงร าย — Abyàpàda-vitakka: thought free from hatred)
3. อวหิ งิ สาวติ ก (ความตรกึ ปลอดจากการเบยี ดเบยี น, ความนกึ คดิ ทปี่ ระกอบดว ยกรณุ าไมค ดิ รา ย
หรอื มงุ ทาํ ลาย — Avihi§sà-vitakka: thought of non-violence; thought free from cruelty)
A.III.446. องฺ.ฉกฺก.22/380/496.
[70] อกุศลวิตก 3 (ความตรกึ ที่เปน อกศุ ล, ความนกึ คดิ ทไ่ี มดี — Akusala-vitakka:
unwholesome thoughts)
1. กามวิตก (ความตรึกในทางกาม, ความนึกคิดในทางแสหาหรือพัวพันติดของในสิ่งสนอง
ความอยาก — Kàma-vitakka: thought of sensual pleasures)
2. พยาบาทวติ ก (ความตรกึ ในทางพยาบาท, ความนกึ คดิ ทป่ี ระกอบดว ยความขดั เคอื งเพง มองใน
แงร า ย — Byàpàda-vitakka: thought full of hatred or ill-will; malevolent thought)
3. วหิ งิ สาวิตก (ความตรกึ ในทางเบียดเบียน, ความนกึ คดิ ในทางทําลาย ทํารา ยหรอื กอ ความ
เดือดรอ นแกผ อู นื่ — Vihi§sà-vitakka: thought of violence or cruelty; cruel thought)
A.III.446. อง.ฺ ฉกกฺ .22/380/496.
[71] โกศล 3 (ความฉลาด, ความเชยี่ วชาญ — Kosalla: skill; proficiency)
1. อายโกศล (ความฉลาดในความเจริญ, รอบรูท างเจรญิ และเหตขุ องความเจริญ — âya-
kosalla: proficiency as to gain or progress)
2. อปายโกศล (ความฉลาดในความเสอื่ ม, รอบรทู างเสอ่ื มและเหตขุ องความเสอ่ื ม — Apàya-
kosalla: proficiency as to loss or regress)
3. อปุ ายโกศล (ความฉลาดในอบุ าย, รอบรวู ธิ แี กไ ขเหตกุ ารณแ ละวธิ ที จี่ ะทาํ ใหส าํ เรจ็ — Upàya-
kosalla: proficiency as to means and methods)
D.III.220; Vbh.325. ท.ี ปา.11/228/231; อภิ.ว.ิ 35/807/439.
[72] ญาณ 31 (ความหย่งั ร,ู ปรีชาหย่ังรู — ¥àõa: insight; knowledge)
1. อตีตังสญาณ (ญาณหย่ังรูสวนอดีต, รูอดีตและสาวหาเหตุปจจัยอันตอเน่ืองมาได —
Atãta§sa-¤àõa: insight into the past; knowledge of the past)
2. อนาคตังสญาณ (ญาณหย่ังรูสวนอนาคต, รูอนาคต หยัง่ ผลทจี่ ะเกิดสบื ตอ ไปได —
Anàgata§sa-¤àõa: insight into the future; knowledge of the future)
3. ปจจุปปน นังสญาณ (ญาณหยั่งรูสว นปจ จุบัน, รปู จจบุ นั กําหนดไดถ งึ องคประกอบและ
เหตปุ จ จัยของเรอ่ื งทีเ่ ปนไปอยู — Paccuppanna§sa-¤àõa: insight into the present;
knowledge of the present)
D.III.275. ที.ปา.11/396/292.
[73] 86 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร
[73] ญาณ 32 (ความหยัง่ รู, ปรชี าหย่งั รู — ¥àõa: insight; knowledge)
1. สจั จญาณ (หยัง่ รูสจั จะ คอื ความหยง่ั รอู ริยสัจจ 4 แตล ะอยา งตามทเ่ี ปน ๆ วา นที้ ุกข นี้
ทกุ ขสมทุ ยั นท้ี ุกขนิโรธ นีท้ ุกขนโิ รธคามินปี ฏปิ ทา — Sacca-¤àõa: knowledge of the
Truths as they are)
2. กิจจญาณ (หย่ังรกู จิ คอื ความหยัง่ รกู ิจอันจะตอ งทําในอริยสจั จ 4 แตล ะอยางวา ทกุ ขควร
กําหนดรู ทกุ ขสมุทัยควรละเสีย เปน ตน — Kicca-¤àõa: knowledge of the functions
with regard to the respective Four Noble Truths)
3. กตญาณ (หยัง่ รกู ารอันทําแลว คอื ความหย่ังรูว า กจิ อันจะตอ งทําในอริยสัจจ 4 แตละอยา ง
นน้ั ไดทําเสรจ็ แลว — Kata-¤àõa: knowledge of what has been done with regard to
the respective Four Noble Truths)
ญาณ 3 ในหมวดนี้ เน่ืองดว ยอริยสจั จ 4 โดยเฉพาะ เรียกชือ่ เตม็ ตามทมี่ าวา ญาณ-ทัสสนะ
อนั มปี รวิ ฏั ฏ 3 (ญาณทัสสนะมรี อบ 3 หรือ ความหยงั่ รหู ย่งั เหน็ ครบ 3 รอบ — thrice-
revolved knowledge and insight) หรือ ปรวิ ฏั ฏ 3 แหงญาณทสั สนะ (the three aspects
of intuitive knowledge regarding the Four Noble Truths)
ปรวิ ฏั ฏ หรอื วนรอบ 3 นี้ เปน ไปในอรยิ สจั จท งั้ 4 รวมเปน 12 ญาณทสั สนะนนั้ จงึ ไดช อื่ วา มี
อาการ 12 (twelvefold intuitive insight หรอื knowing and seeing under twelve modes)
พระผมู พี ระภาคทรงมีญาณทสั สนะตามเปน จรงิ ในอรยิ สัจจ 4 ครบวนรอบ 3 มอี าการ 12
(ตปิ ริวฏฏํ ทวฺ าทสาการํ ยถาภตู ํ าณทสสฺ นํ ) อยา งนแี้ ลว จึงปฏิญาณพระองคไ ดวาทรงบรรลุ
อนุตตรสมั มาสัมโพธญิ าณแลว.
ดู [205] กจิ ในอรยิ สัจจ 4.
Vin.I.11; S.V.422. วนิ ย.4/16/21; ส.ํ ม.19/1670/530; ส.ํ อ.3/409.
[74] ตัณหา 3 (ความทะยานอยาก — Taõhà: craving)
1. กามตณั หา (ความทะยานอยากในกาม, ความอยากไดกามคุณ คือส่ิงสนองความตองการ
ทางประสาทท้ังหา — Kàma-taõhà: craving for sensual pleasures; sensual craving)
2. ภวตณั หา (ความทะยานอยากในภพ, ความอยากในภาวะของตัวตนทจี่ ะได จะเปนอยางใด
อยา งหนงึ่ อยากเปน อยากคงอยตู ลอดไป, ความใครอ ยากทป่ี ระกอบดว ยภวทฏิ ฐหิ รอื สสั สตทฏิ ฐิ
— Bhava-taõhà: craving for existence)
3. วิภวตัณหา (ความทะยานอยากในวิภพ, ความอยากในความพรากพนไปแหงตัวตนจาก
ความเปนอยางใดอยา งหนึง่ อันไมป รารถนา อยากทําลาย อยากใหด บั สูญ, ความใครอยากที่
ประกอบดว ยวิภวทิฏฐิหรืออุจเฉททฏิ ฐิ — Vibhava-taõhà: craving for non-existence;
craving for self-annihilation)
A.III.445; Vbh.365. อง.ฺ ฉกกฺ .22/377/494; อภิ.วิ.35/933/494.
หมวด 3 87 [75]
[75] ไตรปฎก (ปฎก 3, กระจาด ตะกรา กระบุง หรือ ตาํ รา 3, ประมวลแหงคัมภีรท ่ี
รวบรวมพระธรรมวนิ ยั 3 หมวด หรอื 3 ชุด — Tipiñaka: the Three Baskets; the Pali
Canon) จดั พิมพดว ยอักษรไทย มี 45 เลม
1. วนิ ยั ปฎก (หมวดพระวนิ ัย, ประมวลสิกขาบท สาํ หรับภกิ ษสุ งฆแ ละภกิ ษณุ สี งฆ — Vinaya-
piñaka: the Basket of Discipline) แบง เปน 3 หมวด หรอื 5 คมั ภรี จัดพิมพอกั ษรไทยเปน
8 เลม คือ
ก. วภิ ังค หรือ สตุ ตวภิ ังค (Vibhaïga) วา ดว ยสิกขาบทในปาฏโิ มกข (ปาติโมกข กใ็ ช) แบงเปน
2 คัมภรี คือ
1. อาทิกมั มกิ ะ หรอื ปาราชกิ (อา) วา ดว ยสกิ ขาบทท่เี กี่ยวกับอาบตั ิหนัก ตง้ั แตปาราชกิ ถึง
อนิยต (Major Offences) จัดพมิ พเ ปน 1 เลม
2. ปาจติ ตยิ ะ (ปา) วา ดว ยสกิ ขาบททเ่ี กย่ี วกบั อาบตั เิ บา ตง้ั แตน สิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ถงึ เสขยิ ะ
และรวมเอาภิกขุนวี ิภงั คเ ขา ไวดวย (Minor Offences) จดั เปน 2 เลม
วภิ ังค น้ี แบงอีกอยา งหนึง่ เปน 2 เหมือนกัน คอื
1. มหาวภิ งั ค หรอื ภิกขวุ ภิ ังค วา ดว ยสกิ ขาบทในปาฏโิ มกขฝ ายภกิ ษสุ งฆ (Rules for
Monks) จัดเปน 2 เลม
2. ภกิ ขนุ วี ภิ งั ค วา ดว ยสกิ ขาบทในปาฏโิ มกขฝ า ยภกิ ษณุ สี งฆ (Rules for Nuns) จดั เปน 1 เลม
ข. ขนั ธกะ (Khandhaka) วาดวยสิกขาบทนอกปาฏิโมกข รวมเปน บทๆ เรียกวา ขันธกะ หนง่ึ ๆ
ท้ังหมดมี 22 ขันธกะ ปน เปน 2 วรรค คือ
3. มหาวรรค (ม; วรรคใหญ — Greater Section) วา ดว ยสกิ ขาบทนอกปาฏโิ มกขตอนตน
มี 10 ขันธกะ จดั เปน 2 เลม
4. จลุ วรรค (จุ; วรรคเล็ก — Smaller Section) วาดว ยสกิ ขาบทนอกปาฏิโมกขตอนปลาย
มี 12 ขนั ธกะ จัดเปน 2 เลม
ค. 5. ปรวิ าร (ป; หนงั สือประกอบ; คมู อื — Parivàra: Epitome of the Vinaya) คมั ภรี
บรรจคุ ําถามคาํ ตอบ ซอมความรูพ ระวินัย จัดเปน 1 เลม
2. สตุ ตนั ตปฎ ก (หมวดพระสตู ร, ประมวลพระธรรมเทศนา คําบรรยายธรรม และเรอื่ งเลา
ตา งๆ อันยักเยอ้ื งตามบุคคลและโอกาส — Sutta-piñaka: the Basket of Discourses) แบง
เปน 5 นกิ าย (แปลวาประมวลหรือชุมนุม) จัดพมิ พเปน 25 เลม คอื
1. ทฆี นกิ าย (ที) ชุมนุมพระสตู รทม่ี ขี นาดยาว — Dãgha-nikàya: Collection of Long
Discourses จัดเปน 3 วรรค 3 เลม มี 34 สตู ร
2. มชั ฌมิ นกิ าย (ม) ชุมนมุ พระสตู รทมี่ คี วามยาวปานกลาง — Majjhima-nikàya: Col-
lection of Middle-length Discourses จัดเปน 3 ปณณาสก 3 เลม มี 152 สูตร
3. สงั ยตุ ตนกิ าย (สํ) ชมุ นมุ พระสูตรทร่ี วมเขาไวเ ปนหมวดๆ เรียกวา สงั ยตุ ต หนงึ่ ๆ ตาม
[75] 88 พจนานุกรมพุทธศาสตร
เรอื่ งทเ่ี นือ่ งกนั — Sa§yutta-nikàya: Collection of Connected Discourses จัดเปน
56 สงั ยตุ ต แลวประมวลเขาอีกเปน 5 วรรค 5 เลม มี 7,762 สูตร
4. องั คตุ ตรนกิ าย (อ)ํ ชมุ นุมพระสตู รที่รวมเขาไวเปนหมวดๆ เรียกวา นิบาต หน่งึ ๆ ตาม
ลําดับจํานวนหัวขอธรรม — Aïguttara-nikàya: Adding-One Collection;
Collection of Numerical Sayings จัดเปน 11 นบิ าต (หมวด 1 ถงึ หมวด 11) รวม
เขา เปนคมั ภีร 5 เลม มี 9,557 สตู ร
5. ขุททกนิกาย (ขุ) ชุมนุมพระสูตร ขอธรรม คําอธิบายและเรื่องราวเบ็ดเตล็ด —
Khuddaka-nikàya: Smaller Collection; Collection of Minor Works รวมคัมภีรท ี่
จดั เขา ไมไ ดใ นนกิ ายสข่ี า งตน มที งั้ หมด 15 คมั ภรี จดั เปน 9 เลม คอื ขทุ ทกปาฐะ ธรรมบท
อุทาน อติ ิวุตตกะ สตุ ตนิบาต (1 เลม) วมิ านวตั ถุ เปตวตั ถุ เถรคาถา เถรคี าถา (1 เลม )
ชาดก (2 เลม ) นทิ เทส (มหานทิ เทส 1 เลม, จูฬนิทเทส 1 เลม ) ปฏิสัมภทิ ามัคค (1 เลม )
อปทาน (1 2/3 เลม) พุทธวงส จริยาปฎก (1/3 เลม)
3. อภธิ รรมปฎก (หมวดอภิธรรม, ประมวลหลกั ธรรมและคาํ อธิบายในรูปหลกั วชิ าลวนๆ ไม
เกีย่ วดวยเหตุการณและบคุ คล — Abhidhamma-piñaka: the Basket of Sublime, Higher
or Extra Doctrine) แบงเปน 7 คัมภีร จดั พิมพเปน 12 เลม คอื
1. ธมั มสงั คณี หรือ สงั คณี (ส)ํ รวมขอ ธรรมเขาไวเปนหมวดหมแู ลวอธิบายเปนประเภทๆ
— Saïgaõã: Enumeration of the Dhammas (1 เลม)
2. วภิ งั ค (วิ) อธบิ ายขอ ธรรมทีร่ วมเปน หมวดหมู (เรียก วภิ ังค หนงึ่ ๆ ) แยกแยะออกชแี้ จง
วนิ ิจฉยั โดยละเอยี ด — Vibhaïga: Analysis of the Dhammas (1 เลม )
3. ธาตกุ ถา (ธา) สงเคราะหขอ ธรรมตา งๆ เขาในขนั ธ อายตนะ ธาตุ — Dhàtukathà:
Discussion of Elements (ครงึ่ เลม)
4. ปุคคลบญั ญัติ (ปุ) บัญญัตคิ วามหมายบคุ คลประเภทตา งๆ ตามคณุ ธรรมทีม่ อี ยใู นบคุ คล
นน้ั ๆ — Puggalapa¤¤atti: Description of Individuals (ครึง่ เลม )
5. กถาวตั ถุ (ก) แถลงวนิ ิจฉยั ทัศนะตา งๆ ทข่ี ดั แยงกันระหวางนิกายทัง้ หลายสมัยตตยิ -
สังคายนา — Kathàvatthu: Subjects of Discussion (1 เลม)
6. ยมก (ย) ยกหวั ขอ ธรรมขึน้ วินิจฉัยดวยวิธถี ามตอบโดยตั้งคําถามยอ นกันเปนคๆู —
Yamaka: Book of Pairs (2 เลม)
7. ปฏฐาน (ป) หรือ มหาปกรณ อธิบายปจจัย 24 โดยพสิ ดาร — Paññhàna: Book of
Relations (6 เลม)
อนง่ึ 3 ปฎ กน้ี สงเคราะหเขาใน [35] ปาพจน 2 คือ พระสุตตนั ตปฎ กและพระอภธิ รรม-
ปฎก จดั เปน ธรรม พระวนิ ัยปฎ กจดั เปน วินยั
Vin.V.86. วนิ ย.8/826/224.
หมวด 3 89 [78]
[,,] ไตรรัตน ดู [100] รัตนตรยั .
[76] ไตรลักษณ (ลกั ษณะ 3, อาการทเ่ี ปนเครือ่ งกําหนดหมาย 3 อยาง อันใหรถู ึงความ
จริงของสภาวธรรมทั้งหลาย ท่เี ปนอยางน้ันๆ ตามธรรมดาของมัน — Tilakkhaõa: the Three
Characteristics)
1. อนจิ จตา (ความเปนของไมเทยี่ ง — Aniccatà: impermanence; transiency)
2. ทุกขตา (ความเปน ทกุ ข — Dukkhatà: state of suffering or being oppressed)
3. อนตั ตตา (ความเปน ของไมใ ชต น — Anattatà: soullessness; state of being not self)
• ลกั ษณะเหลานี้ มี 3 อยา ง จึงเรยี กวา ไตรลกั ษณ
• ลักษณะทั้ง ๓ น้ี มแี กส งิ่ ทง้ั หลายเปน สามญั เสมอเหมือนกนั คอื ทุกอยางทเ่ี ปนสังขตะ เปน
สังขาร ลว นไมเท่ียง (อนิจจา) คงทนอยูมไิ ด (ทุกขา) เสมอเหมอื นกันทงั้ หมด ทุกอยางที่เปน
ธรรม ทัง้ สังขตะคอื สังขาร และอสังขตะคอื วิสังขาร ลว นมใิ ชต น ไมเปน อตั ตา (อนัตตา) เสมอกัน
ทัง้ สน้ิ จึงเรยี กวา สามญั ลกั ษณะ หรอื สามญั ลกั ษณ (Sàma¤¤a-lakkhaõa: the Common
Characteristics)
• ลกั ษณะทง้ั 3 เหลา น้ี ปรากฏอยตู ามธรรมดาทแี่ นน อน เปน ไปตามกฎธรรมชาติ คอื ธรรมนยิ าม
• ไตรลักษณ กด็ ี สามัญลักษณ ก็ดี เปน คาํ ในชั้นอรรถกถา สว นในพระไตรปฎก ลกั ษณะ 3
อยางน้ี อยูใ นหลกั ธรรมนิยาม
ดู [86] ธรรมนิยาม 3.
S.IV.1; Dh.277–9. สํ.สฬ.18/1/1; ขุ.ธ.25/30/51.
[,,] ไตรสิกขา ดู [124] สกิ ขา 3.
[77] ทวาร 3 (ทางทํากรรม — Dvàra: door; channel of action)
1. กายทวาร (ทวารคอื กาย — Kàya-dvàra: the body-door; channel of bodily action)
2. วจที วาร (ทวารคอื วาจา—Vacã-dvàra: the speech-door;speech as a door of action)
3. มโนทวาร (ทวารคือใจ — Mano-dvàra: the mind-door; mind as a door of action)
Dh.234. นยั ข.ุ ธ.25/27/46; มงคฺ ล.1/252/243.
[78] ทวาร 6 (ทางรบั รูอ ารมณ ไดแ กอายตนะภายใน 6 — Dvàra: sense-doors)
1. จักขทุ วาร (ทวารคือตา — Cakkhu-dvàra: eye-door)
2. โสตทวาร (ทวารคอื หู — Sota-dvàra: ear-door)
3. ฆานทวาร (ทวารคอื จมกู — Ghàna-dvàra: nose-door)
4. ชวิ หาทวาร (ทวารคือลนิ้ — Jivhà-dvàra: tongue-door)
[79] 90 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร
5. กายทวาร (ทวารคอื กาย — Kàya-dvàra: body-door)
6. มโนทวาร (ทวารคือใจ — Mano-dvàra: mind-door)
ดู [276] อายตนะภายใน 6.
S.IV.194. สํ.สฬ.18/342/242.
[,,] ทิฏฐิ 3 ดู [14] ทฏิ ฐิ 3.
[79] ทุกขตา 3 (ความเปน ทกุ ข, ภาวะแหง ทกุ ข, สภาพทุกข, ความเปนสภาพที่ทนไดย าก
หรอื คงอยใู นภาวะเดิมไมได — Dukkhatà: state of suffering or being subject to
suffering; conflict; unsatisfactoriness)
1. ทกุ ขทกุ ขตา (สภาพทกุ ขคอื ทุกข หรอื ความเปน ทกุ ขเพราะทกุ ข ไดแ ก ทุกขเวทนาทางกายก็
ตาม ใจก็ตาม ซงึ่ เปน ทุกขอยา งที่เขา ใจสามญั ตรงตามชอ่ื ตามสภาพ — Dukkha-dukkhatà:
painfulness as suffering)
2. วปิ ริณามทกุ ขตา (ความเปน ทกุ ขเพราะความแปรปรวน ไดแ กค วามสุข ซงึ่ เปนเหตใุ หเกดิ
ความทกุ ขเ มอื่ ตอ งเปล่ยี นแปลงแปรไปเปนอยางอืน่ — Vipariõàma-dukkhatà: suffering in
change)
3. สงั ขารทกุ ขตา (ความเปนทกุ ขเพราะเปน สังขาร ไดแกตัวสภาวะของสงั ขาร คือสิง่ ท้งั ปวงซง่ึ
เกดิ จากปจจัยปรุงแตง ที่ถูกบีบค้นั ดวยการเกดิ ข้ึนและสลายไป ทําใหคงสภาพอยไู มไ ด พรองอยู
เสมอ และใหเ กดิ ทุกขแกผูย ดึ ถอื ดว ยอปุ าทาน — Saïkhàra-dukkhatà: suffering due to
formations; inherent liability to suffering)
D.III.216; S.IV.259; V.56. ที.ปา.11/228/229; ส.ํ สฬ.18/510/318; ส.ํ ม.19/319/85.
[80] ทุจริต 3 (ความประพฤตชิ ่ัว, ประพฤตไิ มด ี — Duccarita: evil conduct;
misconduct)
1. กายทุจริต (ความประพฤติช่วั ดวยกาย — Kàya-duccarita: evil conduct in act;
misconduct by body) มี 3 คอื ปาณาตบิ าต อทินนาทาน และกาเมสุมิจฉาจาร
2. วจที ุจรติ (ความประพฤติช่วั ดว ยวาจา — Vacã-duccarita: evil conduct in word;
misconduct by speech) มี 4 คือ มสุ าวาท ปส ุณาวาจา ผรสุ วาจา และสมั ผปั ปลาปะ
3. มโนทจุ ริต (ความประพฤตชิ ่ัวดวยใจ — Mano-duccarita: evil conduct in thought;
misconduct by mind) มี 3 คอื อภชิ ฌา พยาบาท และมจิ ฉาทฏิ ฐิ
ดู รายละเอียดที่ [321] อกศุ ลกรรมบถ 10.
D.III.214; Dhs.1305. ท.ี ปา.11/228/227; อภิ.ส.ํ 34/840/327.
[81] สุจริต 3 (ความประพฤติด,ี ประพฤติชอบ — Sucarita: good conduct)
1. กายสจุ รติ (ความประพฤตชิ อบดวยกาย — Kàya-sucarita: good conduct in act) มี 3
หมวด 3 91 [84]
คอื งดเวนและประพฤตติ รงขามกบั ปาณาติบาต อทนิ นาทาน และกาเมสุมจิ ฉาจาร
2. วจสี ุจรติ (ความประพฤติชอบดว ยวาจา — Vacã-sucarita: good conduct in word) มี 4
คือ งดเวน และประพฤติตรงขามกับ มสุ าวาท ปสณุ าวาจา ผรุสวาจา และสัมผัปปลาปะ
3. มโนสจุ รติ (ความประพฤตชิ อบดวยใจ — Mano-sucarita: good conduct in thought)
มี 3 คือ อนภิชฌา อพยาบาท และสมั มาทิฏฐ.ิ
ดู รายละเอยี ดท่ี [320] กุศลกรรมบถ 10 2.
D.III.215; Dhs.1306. ท.ี ปา.11/228/227; อภิ.สํ.34/840/327.
[82] เทพ 3 (เทพเจา , เทวดา — Deva: gods; divine beings)
1. สมมติเทพ (เทวดาโดยสมมติ ไดแ ก พระราชา พระเทวี และพระราชกุมาร — Sammati-
deva: gods by convention)
2. อปุ ปตติเทพ (เทวดาโดยกาํ เนิด ไดแก เทวดาในกามาวจรสวรรค และพรหมทั้งหลาย
เปนตน — Upapatti-deva: gods by rebirth)
3. วิสุทธิเทพ (เทวดาโดยความบรสิ ทุ ธิ์ ไดแ ก พระพทุ ธเจา พระปจเจกพทุ ธเจา และพระ
อรหันตทงั้ หลาย — Visuddhi-deva: gods by purification)
Nd2173; KhA.123. ขุ.จ.ู 30/214/112; ขุทฺทก.อ.135.
[83] เทวทูต 3 (ทูตของยมเทพ, สอ่ื แจง ขา วของมฤตยู, สิ่งทเี่ ปน สญั ญาณเตอื นใจใหระลกึ
ถึงคติธรรมดาของชีวิตอันมีความตายเปนท่ีสุด เพ่ือจะไดเกิดความสังเวชและเรงขวนขวายทํา
ความดี ดว ยความไมประมาท — Devadåta: divine messengers; messengers of death)
1. ชณิ ณะ (คนแก — Jiõõa: old men)
2. พยาธิตะ หรือ อาพาธกิ ะ (คนเจ็บ, ผูป วย — Byàdhita, âbàdhika: sick men)
3. มตะ (คนตาย — Mata: dead men)
A.I.138. อง.ฺ ตกิ .20/475/175.
[,,] เทวทูต 4 ดู [150] นิมติ 4.
[84] เทวทูต 5 (ทตู ของยมเทพ — Devadåta: divine messengers)
1. ทหระ หรอื มนั ทกุมาร (เด็กออน — Dahara: a young baby)
2. ชิณณะ (คนแก — Jiõõa: an old man)
3. พยาธติ ะ หรือ อาพาธิกะ (คนเจ็บ — Byàdhita, âbàdhika: a sick man)
4. กรรมการณปั ปตตะ (คนถูกลงโทษ, คนถกู จองจาํ ลงอาญา — Kammakàraõappatta: a
criminal subjected to punishment)
5. มตะ (คนตาย — Mata: a dead man)
M.III.179. ม.อุ.14/507/335.
[85] 92 พจนานุกรมพุทธศาสตร
[85] ธรรม 3 (สภาวะ, สงิ่ , ปรากฏการณ — Dhamma: states; things; phenomena;
ideas)
1. กุศลธรรม (ธรรมท่ีเปน กุศล, สภาวะทฉี่ ลาด ดงี าม เอือ้ แกส ุขภาพจติ เกือ้ กูลแกช ีวติ จิตใจ
ไดแกกศุ ลมูล 3 ก็ดี นามขันธ 4 ทสี่ ัมปยุตดวยกศุ ลมูลน้นั กด็ ี กายกรรม วจกี รรม มโนกรรม ที่
มกี ศุ ลมลู เปน สมฏุ ฐาน ก็ดี กลา วสน้ั วา กศุ ลในภมู ิ 4 — Kusala-dhamma: skilful,
wholesome, or profitable states; good things)
2. อกุศลธรรม (ธรรมทเี่ ปนอกุศล, สภาวะทีต่ รงขามกบั กุศล ไดแ ก อกุศลมูล 3 และกเิ ลสอนั
มฐี านเดยี วกับอกศุ ลมูลนนั้ กด็ ี นามขนั ธ 4 ท่สี มั ปยตุ ดวยอกุศลมลู นัน้ กด็ ี กายกรรม วจีกรรม
มโนกรรมท่ีมีอกศุ ลมลู เปน สมฏุ ฐาน กด็ ี กลาวสัน้ วา อกศุ ลจติ ตุปบาท 12 — Akusala-
dhamma: unskilful, unwholesome or unprofitable states; bad things)
3. อัพยากตธรรม (ธรรมท่เี ปนอพั ยากฤต, สภาวะท่เี ปน กลางๆ ชขี้ าดลงมิไดวา เปนกศุ ลหรอื
อกศุ ล ไดแก นามขันธ 4 ท่เี ปน วบิ ากแหง กศุ ลและอกุศล เปนกามาวจรก็ตาม รปู าวจรก็ตาม
อรปู าวจรกต็ าม โลกุตตระกต็ าม อยา งหนง่ึ ธรรมทัง้ หลายทเี่ ปน กิรยิ า มใิ ชกศุ ล มิใชอกุศล มิใช
วบิ ากแหงกรรม อยางหนง่ึ รปู ทง้ั ปวง อยา งหนึ่ง อสงั ขตธาตุ คอื นพิ พาน อยา งหนง่ึ กลา วสัน้
คือ วบิ ากในภูมิ 4, กริ ิยาอัพยากฤตในภูมิ 3, รูป และนิพพาน — Abyàkata-dhamma: the
indeterminate; neither-good-nor-bad thing)
Dhs.91,180,234. อภิ.สํ.34/1/1; 663/259; 878/340.
[86] ธรรมนิยาม 3 (กําหนดแหง ธรรมดา, ความเปนไปอนั แนนอนโดยธรรมดา, กฎธรรม
ชาติ — Dhamma-niyàma: orderliness of nature; natural law)
1. สพเฺ พ สงฺขารา อนจิ จฺ า (สงั ขารคือสงั ขตธรรมทั้งปวงไมเ ท่ยี ง — Sabbe saïkhàrà
aniccà: all conditioned states are impermanent)
2. สพเฺ พ สงฺขารา ทกุ ขฺ า (สงั ขารคอื สงั ขตธรรมทั้งปวงเปน ทุกข — Sabbe saïkhàrà
dukkhà: all conditioned states are subject to oppression, conflict or suffering)
3. สพเฺ พ ธมมฺ า อนตตฺ า (ธรรมคอื สังขตธรรมและอสงั ขตธรรม หรอื สังขารและวิสังขารทั้ง
ปวงไมใ ชต น — Sabbe dhammà anattà: all states are not-self or soulless)
หลกั ความจรงิ นี้ แสดงใหเ หน็ ลกั ษณะ 3 อยา ง ทเี่ รยี กวา ไตรลกั ษณ ของสภาวธรรมทงั้ หลาย (ดู
[76] ไตรลักษณ) พระพุทธเจา จะอบุ ตั หิ รอื ไมก็ตาม หลักท้งั สามนี้ ก็คงมีอยูเปน ธรรมดา พระ
พทุ ธเจา เปน แตท รงคนพบ และนาํ มาเปดเผยแสดงแกเ วไนย.
ดู [223] นิยาม 5.
A.I.285. อง.ฺ ตกิ .20/576/368.
[87] นิมิต หรอื นิมิตต 3 (เครอื่ งหมายสาํ หรบั ใหจ ติ กาํ หนดในการเจรญิ กรรมฐาน, ภาพท่ี
เหน็ ในใจอันเปนตัวแทนของส่ิงทใ่ี ชเปน อารมณก รรมฐาน — Nimitta: sign; mental image)
หมวด 3 93 [89]
1. บรกิ รรมนมิ ติ (นิมติ แหงบริกรรม, นิมติ ตระเตรยี มหรอื นิมิตแรกเรม่ิ ไดแ ก ส่งิ ใดกต็ ามท่ี
กําหนดเปน อารมณในการเจริญกรรมฐาน เชน ดวงกสิณที่เพง ดู หรือ พทุ ธคณุ ท่นี ึกเปน อารมณ
วาอยใู นใจเปน ตน — Parikamma-nimitta: preliminary sign) ไดใ นกรรมฐานทง้ั 40
2. อคุ คหนมิ ติ (นมิ ติ ทีใ่ จเรยี น, นิมติ ติดตา ไดแก บริกรรมนมิ ติ นน้ั ที่เพงหรือนกึ กาํ หนดจน
เห็นแมน ในใจ เชน ดวงกสิณทเ่ี พงจนตดิ ตา หลบั ตามองเหน็ เปน ตน — Uggaha-nimitta:
learning sign; abstract sign; visualized image) ไดในกรรมฐานท้ัง 40
3. ปฏิภาคนมิ ิต (นมิ ติ เสมอื น, นิมิตเทยี บเคยี ง ไดแ ก นมิ ติ ทเ่ี ปน ภาพเหมือนของอุคคหนมิ ติ
นนั้ แตเปนสงิ่ ที่เกิดจากสัญญา เปนเพยี งอาการปรากฏแกผ ไู ดสมาธิ จงึ บรสิ ุทธจ์ิ นปราศจากสี
เปนตน และไมมีมลทินใดๆ ทั้งสามารถนึกขยายหรอื ยอ สวนไดต ามปรารถนา — Pañibhàga-
nimitta: counterpart sign; conceptualized image) นมิ ติ น้ีไดเ ฉพาะในกรรมฐาน 22 คือ
กสิณ 10 อสภุ ะ 10 กายคตาสติ 1 และอานาปานสติ 1
เมอื่ เกิดปฏิภาคนิมิตขึ้น จิตยอ มตงั้ มน่ั เปนอุปจารสมาธิ จงึ ช่ือวา ปฏภิ าคนิมติ เกดิ พรอมกับ
อุปจารสมาธิ เมอ่ื เสพปฏิภาคนิมติ นนั้ สมา่ํ เสมอดว ยอปุ จารสมาธิก็จะสําเร็จเปนอัปปนาสมาธติ อ
ไป ปฏภิ าคนมิ ติ จึงชือ่ วา เปนอารมณแกอ ุปจารภาวนา และอัปปนาภาวนา.
ดู [99] ภาวนา 3.
Comp.203; Vism.125. สงคฺ ห.51; วสิ ทุ ฺธิ.1/159.
[88] บุญกิริยาวัตถุ 3 (ที่ตัง้ แหง การทาํ บุญ, เรื่องท่ีจัดเปน การทาํ ความดี, หลักการทาํ
ความด,ี ทางทําความดี — Pu¤¤akiriyà-vatthu: bases of meritorious action; grounds
for accomplishing merit)
1. ทานมยั บญุ กริ ยิ าวตั ถุ (ทาํ บญุ ดว ยการใหป น สง่ิ ของ — Dànamaya pu¤¤akiriyà-vatthu:
meritorious action consisting in giving or generosity)
2. สลี มยั บญุ กริ ยิ าวตั ถุ (ทาํ บญุ ดว ยการรกั ษาศลี หรอื ประพฤตดิ มี รี ะเบยี บวนิ ยั —Sãlamaya ~:
meritorious action consisting in observing the precepts or moral behaviour)
3. ภาวนามยั บุญกิรยิ าวัตถุ (ทําบุญดวยการเจรญิ ภาวนา คือฝกอบรมจติ ใจเจรญิ ปญ ญา —
Bhàvanàmaya ~: meritorious action consisting in mental development)
D.III.218; A.IV.239; It.51. ท.ี ปา.11/228/230; องฺ.อฏก.23/126/245; ข.ุ อิต.ิ 25/238/270.
[89] บุญกิริยาวัตถุ 10 (ทต่ี ัง้ แหง การทําบุญ, ทางทาํ ความดี — Pu¤¤akiriyà-vatthu:
bases of meritorious action)
1. ทานมัย (ทาํ บุญดวยการใหปนส่ิงของ — Dànamaya: meritorious action consisting
in generosity; merit acquired by giving)
2. สลี มยั (ทาํ บญุ ดว ยการรกั ษาศลี หรอื ประพฤตดิ ี — Sãlamaya: by observing the precepts
or moral behaviour)
[90] 94 พจนานกุ รมพุทธศาสตร
3. ภาวนามัย (ทาํ บุญดวยการเจริญภาวนา คอื ฝกอบรมจติ ใจเจริญปญญา — Bhàvanà-
maya ~: by mental development)
4. อปจายนมัย (ทําบญุ ดวยการประพฤตอิ อ นนอม — Apacàyanamaya: by humility or
reverence)
5. เวยยาวจั จมยั (ทาํ บุญดว ยการชวยขวนขวายรบั ใช — Veyyàvaccamaya: by rendering
services)
6. ปตตทิ านมยั (ทาํ บญุ ดว ยการเฉลี่ยสว นแหงความดใี หแกผ อู น่ื — Pattidànamaya: by
sharing or giving out merit)
7. ปตตานโุ มทนามยั (ทาํ บญุ ดวยการยินดีในความดีของผูอ่ืน — Pattànumodanàmaya:
by rejoicing in others’ merit)
8. ธมั มัสสวนมยั (ทาํ บุญดวยการฟงธรรมศึกษาหาความรู — Dhammassavanamaya: by
listening to the Doctrine or right teaching)
9. ธมั มเทสนามัย (ทําบุญดว ยการสง่ั สอนธรรมใหความรู — Dhammadesanàmaya: by
teaching the Doctrine or showing truth)
10. ทฏิ ชุ ุกัมม (ทาํ บญุ ดวยการทาํ ความเห็นใหต รง — Diññhujukamma: by straighten-
ing one’s views or forming correct views)
ขอ 4 และขอ 5 จัดเขาในสลี มัย; 6 และ 7 ในทานมยั ; 8 และ 9 ในภาวนามยั ; ขอ 10 ได
ทัง้ ทาน ศลี และภาวนา
D.A.III.999; Comp.146. ที.อ.3/246; สังคหะ 29.
[90] บุตร 3 (Putta: son; child; descendant)
1. อติชาตบุตร (บุตรที่ยิ่งกวาบิดามารดา, ลูกท่ีดีกวาเลิศกวาพอแม — Atijàta-putta:
superior-born son)
2. อนุชาตบุตร (บุตรทีต่ ามเย่ียงบิดามารดา, ลกู ทีเ่ สมอดว ยพอ แม — Anujàta-putta: like-
born son)
3. อวชาตบตุ ร (บตุ รทต่ี า่ํ ลงกวา บดิ ามารดา, ลกู ทที่ ราม — Avajàta-putta: inferior-born son)
บตุ รประเภทท่ี 1 นัน้ เรียกอกี อยางวา อภิชาตบุตร
It.62. ขุ.อิติ.25/252/278.
[91] ปปญจะ หรอื ปปญจธรรม 3 (กเิ ลสเครอ่ื งเนน่ิ ชา , กิเลสที่เปน ตวั การทาํ ใหคดิ
ปรงุ แตง ยดื เยอื้ พสิ ดาร ทาํ ใหเขวหา งออกไปจากความเปนจริงทง่ี า ยๆ เปดเผย กอ ใหเกิดปญหา
ตา งๆ และขัดขวางไมใ หเขาถึงความจริงหรอื ทาํ ใหไมอ าจแกป ญ หาอยางถูกทางตรงไปตรงมา —
Papa¤ca: proliferation; diversification; diffuseness; mental diffusion)
1. ตณั หา (ความทะยานอยาก, ความปรารถนาทีจ่ ะบํารุงบาํ เรอปรนเปรอตน, ความอยากได
หมวด 3 95 [92]
อยากเอา — Taõhà: craving; selfish desire)
2. ทฏิ ฐิ (ความคดิ เหน็ ความเชอื่ ถอื ลทั ธิ ทฤษฎี อดุ มการณต า งๆ ทยี่ ดึ ถอื ไวโ ดยงมงายหรอื โดย
อาการเชดิ ชวู า อยา งนเ้ี ทา นน้ั จรงิ อยา งอนื่ เทจ็ ทงั้ นนั้ เปน ตน ทาํ ใหป ด ตวั แคบ ไมย อมรบั ฟง ใคร
ตดั โอกาสทจ่ี ะเจรญิ ปญ ญา หรอื คดิ เตลดิ ไปขา งเดยี ว ตลอดจนเปน เหตแุ หง การเบยี ดเบยี นบบี คนั้
ผอู นื่ ทไี่ มถ อื อยา งตน, ความยดึ ตดิ ในทฤษฎี ฯลฯ ถอื ความคดิ เหน็ เปน ความจรงิ — Diññhi: view;
dogma; speculation)
3. มานะ (ความถอื ตัว, ความสําคญั ตนวา เปน นน่ั เปน นี่ ถอื สูงถือต่าํ ย่งิ ใหญเ ทา เทียม หรอื ดอ ย
กวา ผูอ น่ื , ความอยากเดน อยากยกชูตนใหย่ิงใหญ — Màna: conceit)
ในคมั ภรี วิภงั ค เรียกปปญ จะ 3 นเี้ ปน ฉนั ทะ (คอื ตัณหา) มานะ ทิฏฐิ
Nd1 280; Vbh.393; Nett. 37–38. ขุ.ม.29/505/337; อภิ.ว.ิ 35/1034/530; เนตตฺ .ิ 56–57.
[92] ปริญญา 3 (การกําหนดรู, การทําความรจู กั , การทาํ ความเขา ใจโดยครบถว น —
Pari¤¤à: full understanding; diagnosis)
1. ญาตปรญิ ญา (กาํ หนดรดู ว ยใหเ ปน สง่ิ อนั รแู ลว , กาํ หนดรขู น้ั รจู กั , กาํ หนดรตู ามสภาวลกั ษณะ
คือ ทําความรูจกั จาํ เพาะตวั ของสิง่ นนั้ โดยตรง พอใหช่อื วา ไดเ ปนอนั รูจกั สงิ่ นั้นแลว เชนรูว า นี้คอื
เวทนา เวทนาคือสง่ิ ท่มี ลี กั ษณะเสวยอารมณ ดงั นเ้ี ปน ตน — ¥àta-pari¤¤à: full knowledge
as the known; diagnosis as knowledge)
2. ตรี ณปรญิ ญา (กาํ หนดรดู ว ยการพจิ ารณา, กาํ หนดรขู นั้ พจิ ารณา, กาํ หนดรโู ดยสามญั ลกั ษณะ
คอื ทําความรจู กั สง่ิ นั้นพิจารณาเหน็ โดยความเปนของไมเทยี่ ง เปนทกุ ข เปนอนตั ตา เชนวา
เวทนาไมเทย่ี ง มีความแปรปรวนไปเปน ธรรมดา ไมใชต วั ไมใ ชตน ดังนเ้ี ปน ตน — Tãraõa-
pari¤¤à: full knowledge as investigating; diagnosis as judgment)
3. ปหานปรญิ ญา (กาํ หนดรดู ว ยการละ, กาํ หนดรถู งึ ขนั้ ละได, กาํ หนดรโู ดยตดั ทางมใิ หฉ นั ทราคะ
เกดิ มีในส่งิ น้ัน คอื รวู า สิ่งน้นั เปนอนจิ จงั ทกุ ขัง อนัตตาแลว ละนิจจสญั ญาเปนตน ในส่งิ นน้ั เสยี
ได — Pahàna-pari¤¤à: full knowledge as abandoning; diagnosis as abandoning)
ปรญิ ญา 3 นี้ เปน โลกยิ ะ มขี นั ธ 5 เปนอารมณ เปน กจิ ในอริยสจั จขอท่ี 1 คือทกุ ข ในทาง
ปฏิบตั ิ จัดเขา ใน วิสุทธิ ขอ 3 ถึง 6 คือ
ก. ต้งั แตน ามรปู ปรจิ เฉทญาณ ถึง ปจ จยปรคิ คหญาณ เปนภูมิแหง ญาตปรญิ ญา (= 3. ทิฏฐ-ิ
วิสทุ ธิ และ 4. กังขาวิตรณวสิ ทุ ธ)ิ
ข. ตง้ั แตก ลาปสมั มสนญาณ ถงึ อทุ ยพั พยานปุ ส สนาญาณ เปน ภมู แิ หง ตรี ณปรญิ ญา (= 5. มคั คา-
มัคคญาณทสั สนวสิ ทุ ธ)ิ
ค. ตงั้ แตภ งั คานปุ ส สนาญาณ ขน้ึ ไป เปน ภมู แิ หง ปหานปรญิ ญา (= 6. ปฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ทุ ธ)ิ
ดู [205] กจิ ในอริยสจั จ 4; [285] วิสทุ ธิ 7; [311] วิปส สนาญาณ 9.
Nd1 53; Vism.606. ข.ุ ม.29/62/60; วิสทุ ฺธิ.3/230.
[93] 96 พจนานุกรมพุทธศาสตร
[,,] ปหาน 3 (การละกเิ ลส — Pahàna: abandonment) คอื วกิ ขมั ภนปหาน ตทงั คปหาน
และสมจุ เฉทปหาน มรี วมอยูใน ปหาน 5.
ดู [224] นิโรธ 5.
Vism.693. วิสุทธฺ ิ.3/349.
[93] ปญญา 3 (ความรอบรู, รทู ว่ั , เขาใจ, รซู งึ้ — Pa¤¤à: wisdom; knowledge;
understanding)
1. จินตามยปญ ญา (ปญญาเกดิ จากการคิดพจิ ารณา, ปญญาสืบแตโยนิโสมนสิการท่ีตงั้ ข้ึนใน
ตนเอง — Cintàmaya-pa¤¤à: wisdom resulting from reflection; knowledge that is
thought out)
2. สุตมยปญ ญา (ปญญาเกิดจากการสดบั เลา เรยี น, ปญ ญาสบื แตป รโตโฆสะ — Sutamaya-
pa¤¤à: wisdom resulting from study; knowledge that is learned from others)
3. ภาวนามยปญ ญา (ปญ ญาเกดิ จากการปฏบิ ตั บิ าํ เพญ็ , ปญ ญาสบื แตป ญ ญาสองอยา งแรกน้นั
แลว หมั่นมนสกิ ารในประดาสภาวธรรม — Bhàvanàmaya-pa¤¤à: wisdom resulting from
mental development; knowledge that is gained by development or practice)
D.III.219; Vbh.324. ท.ี ปา.11/228/231; อภิ.ว.ิ 35/804/438.
[94] ปาฏิหาริย 3 (การกระทําทกี่ ําจดั หรือทาํ ใหปฏิปก ษย อมได, การกระทําทใ่ี หเ ห็นเปน
อศั จรรย, การกระทาํ ท่ใี หบังเกิดผลเปนอศั จรรย — Pàñihàriya: marvel; wonder; miracle)
1. อทิ ธิปาฏิหาริย (ปาฏหิ ารยิ ค ือฤทธิ,์ แสดงฤทธไิ์ ดเปนอศั จรรย — Iddhi-pàñihàriya:
marvel of psychic power)
2. อาเทศนาปาฏหิ าริย (ปาฏิหาริยคือการทายใจ, รอบรกู ระบวนของจิตจนสามารถกาํ หนด
อาการทห่ี มายเลก็ นอ ยแลว บอกสภาพจติ ความคดิ อปุ นสิ ยั ไดถ กู ตอ งเปน อศั จรรย — âdesanà-
pàñihàriya: marvel of mind-reading)
3. อนสุ าสนปี าฏิหารยิ (ปาฏิหาริยคืออนุศาสน,ี คําสอนเปน จรงิ สอนใหเห็นจรงิ นําไปปฏบิ ัติ
ไดผ ลสมจริง เปนอัศจรรย — Anusàsanã-pàñihàriya: marvel of teaching)
ใน 3 อยางนี้ พระพทุ ธเจา ทรงรังเกยี จอิทธิปาฏิหาริยและอาเทศนาปาฏหิ าริย แตท รง
สรรเสรญิ อนสุ าสนีปาฏิหาริยว าเปน เยย่ี ม
D.I.211; A.I.170; Ps.II.227. ท.ี สี.9/339/273; อง.ฺ ตกิ .20/500/217; ขุ.ปฏิ.31/718/616.
[95] ปาปณิกธรรม 3 (ปาปณกิ งั คะ: หลักพอคา , องคคณุ ของพอคา — Pàpaõika-
dhamma: qualities of a successful shopkeeper or businessman)
1. จักขมุ า ตาดี (รูจกั สนิ คา ดขู องเปน สามารถคํานวณราคา กะทุนเกง็ กําไรแมนยาํ —
Cakkhumà: shrewd)
2. วิธโู ร จัดเจนธุรกจิ (รแู หลง ซอื้ แหลง ขาย รคู วามเคล่อื นไหวความตอ งการของตลาด สามารถ
หมวด 3 97 [98]
ในการจดั ซ้อื จดั จําหนาย รูใ จและรูจักเอาใจลูกคา — Vidhåro: capable of administering
business)
3. นสิ สยสมั ปน โน พรอ มดว ยแหลง ทนุ เปน ทอี่ าศยั (เปน ทเ่ี ชอ่ื ถอื ไวว างใจในหมแู หลง ทนุ ใหญๆ
หาเงนิ มาลงทนุ หรอื ดาํ เนนิ กจิ การโดยงา ย — Nissayasampanno: having a good credit rating)
A.I.116. อง.ฺ ตกิ .20/459/146.
[,,] ปฎก 3 ดู [75] ไตรปฎก.
[,,] พุทธคุณ 3 ดู [305] พุทธคุณ 3.
[96] พุทธจริยา 3 (พระจริยา หรอื การทรงบําเพญ็ ประโยชน ของพระพทุ ธเจา —
Buddha-cariyà: the Buddha’s conduct, functions or services)
1. โลกัตถจรยิ า (พระพทุ ธจริยาเพื่อประโยชนแกโ ลก — Lokattha-cariyà: conduct for the
well-being of the world)
2. ญาตตั ถจรยิ า (พระพทุ ธจริยาเพอ่ื ประโยชนแกพ ระญาตติ ามฐานะ — ¥àtattha-cariyà:
conduct for the benefit of his relatives)
3. พุทธัตถจริยา (พระพุทธจริยาท่ีทรงบําเพ็ญประโยชนตามหนาที่ของพระพุทธเจา —
Buddhattha-cariyà: beneficial conduct as functions of the Buddha)
ใน 3 อยางน้ี โลกัตถจริยามาในพระไตรปฎก (ขุ.จ.ู 30/667/322; ข.ุ ปฏิ.31/449/329; 715/615) สอง
อยางหลังมาในอรรถกถา.
AA.I.98; DhA.III.441. อง.ฺ อ.1/104; ธ.อ.7/93.
[97] พุทธโอวาท 3 (ประมวลคําสอนของพระพทุ ธเจา ท่เี ปน หลกั ใหญ 3 ขอ —
Buddha-ovàda: the Three Admonitions or Exhortations of the Buddha)
1. สพฺพปาปสสฺ อกรณํ (ไมทาํ ความชัว่ ทัง้ ปวง — Sabbapàpassa akaraõa§: not to do
any evil)
2. กุสลสสฺ ูปสมฺปทา (ทาํ แตความดี — Kusalassåpasampadà: to do good; to cultivate
good)
3. สจติ ตฺ ปริโยทปนํ (ทําใจของตนใหส ะอาดบริสุทธิ์ — Sacittapariyodapana§: to purify
the mind)
หลัก 3 ขอน้ี รวมอยใู น โอวาทปาฏิโมกข ที่ทรงแสดงในวนั เพญ็ เดือน 3 ที่บดั นีเ้ รยี กวา
วนั มาฆบูชา
D.II.49; Dh.183. ท.ี ม.10/54/57; ข.ุ ธ.25/24/39.
[98] ภพ 3 (ภาวะชวี ติ ของสัตว, โลกเปน ทอ่ี ยขู องสตั ว — Bhava: existence; sphere)
1. กามภพ (ภพทเี่ ปน กามาวจร, ภพของสัตวผูยังเสวยกามคณุ คอื อารมณทางอนิ ทรียท ง้ั 5 ได
แก อบาย 4 มนษุ ยโลก และกามาวจรสวรรคทงั้ 6 — Kàma-bhava: the Sense-Sphere)
[99] 98 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร
2. รูปภพ (ภพท่ีเปนรปู าวจร, ภพของสัตวผ เู ขา ถงึ รูปฌาน ไดแกร ูปพรหมทั้ง 16 — Råpa-
bhava: the Form-Sphere; Fine-Material Sphere)
3. อรปู ภพ (ภพทเี่ ปน อรปู าวจร, ภพของสตั วผ เู ขา ถงึ อรปู ฌาน ไดแ กอ รปู พรหม 4 — Aråpa-
bhava: the Formless Sphere; Immaterial Sphere)
D.III.215; M.I.294. ที.ปา.11/228/228; ม.ม.ู 12/498/539.
[99] ภาวนา 3 (การเจริญ หมายถงึ การเจริญกรรมฐานหรอื ฝกสมาธิข้ันตา งๆ — Bhàvanà:
stages of meditation)
1. บริกรรมภาวนา (ภาวนาขั้นบริกรรม, ฝกสมาธขิ ้นั ตระเตรยี ม ไดแ กการถอื เอานิมิตในสง่ิ ที่
กาํ หนดเปนอารมณกรรมฐาน เชน เพงดวงกสิณ หรือนึกถึงพทุ ธคณุ เปนอารมณว าอยูในใจ
เปนตน กลาวส้ันๆ คือ การกําหนดบริกรรมนิมิตนั่นเอง — Parikamma-bhàvanà:
preliminary stage of meditation) ไดในกรรมฐานทงั้ 40
2. อปุ จารภาวนา (ภาวนาขั้นจวนเจยี น, ฝกสมาธขิ น้ั เปนอปุ จาร ไดแก เจรญิ กรรมฐานตอไป
ถึงขณะที่ปฏิภาคนิมิตเกิดข้ึนในกรรมฐานที่เพงวัตถุก็ดี นิวรณสงบไปในกรรมฐานประเภทนึก
เปนอารมณก็ดี นบั แตขณะนั้นไปจัดเปน อุปจารภาวนา — Upacàra-bhàvanà: proximate
stage of meditation) ขน้ั นเ้ี ปน กามาวจรสมาธิ ไดในกรรมฐานทงั้ 40; อุปจารภาวนา สิ้นสดุ
แคโคตรภูขณะ ในฌานชวนะ
3. อัปปนาภาวนา (ภาวนาขน้ั แนวแน, ฝก สมาธขิ ั้นเปนอัปปนา ไดแ ก เสพปฏภิ าคนิมติ ทเ่ี กดิ
ข้นึ แลวนนั้ สมา่ํ เสมอดว ยอปุ จารสมาธิ จนบรรลปุ ฐมฌาน คือ ถดั จากโคตรภขู ณะในฌานชวนะ
เปน ตน ไป ตอ แตน ้นั เปนอัปปนาภาวนา — Appanà-bhàvanà: concentrative or attain-
ment stage of meditation) ขั้นน้ีเปน รปู าวจรสมาธิ ไดเฉพาะในกรรมฐาน 30 คือ หัก
อนุสสติ 8 ขา งตน ปฏิกูลสญั ญา 1 และ จตุธาตวุ วตั ถาน 1 ออกเสยี คงเหลือ อสุภะ 10 และ
กายคตาสติ 1 (ไดถึงปฐมฌาน) อปั ปมัญญา 3 ขอตน (ไดถงึ จตตุ ถฌาน) อัปปมัญญาขอ ทายคือ
อเุ บกขา 1 กสิณ 10 และอานาปานสติ 1 (ไดถงึ ปญ จมฌาน) อรปู 4 (ไดอรปู ฌาน)
ดู [87] นิมิต 3.
Comp.203. สงคฺ ห.51.
[100] รัตนตรัย (รัตนะ 3, แกวอันประเสรฐิ หรือสิ่งล้ําคา 3 ประการ, หลักทีเ่ คารพบชู าสูง
สดุ ของพทุ ธศาสนกิ ชน 3 อยา ง — Ratanattaya: the Triple Gem; Three Jewels)
1. พระพทุ ธเจา (พระผูตรัสรูเ องและสอนผอู ่ืนใหรูตาม — Buddha: the Buddha; the
Enlightened One)
2. พระธรรม (คําสั่งสอนของพระพุทธเจา ทั้งหลักความจริงและหลักความประพฤติ —
Dhamma: the Dhamma; Dharma; the Doctrine)
3. พระสงฆ (หมูสาวกผปู ฏิบตั ติ ามคาํ สง่ั สอนของพระพทุ ธเจา — Saïgha: the Sangha; the
หมวด 3 99 [103]
Order)
ในบาลที ี่มา เรยี กวา สรณะ 3
Kh.1. ขุ.ขุ.25/1/1.
[101] ลัทธินอกพระพุทธศาสนา 3 (บาลีเรียกวา ติตถายตนะ แปลวา แดนเกดิ
ลัทธิ, ชมุ นมุ หรือประมวลแหง ลัทธิ — Titthàyatana: beliefs of other sects; grounds of
sectarian tenets; spheres of wrong views; non-Buddhist beliefs)
1. ปพุ เพกตเหตุวาท (ลัทธิกรรมเกา คอื พวกท่ถี ือวา สง่ิ ใดกต็ ามท่ไี ดประสบ จะเปน สุขก็ตาม
ทกุ ขก ต็ าม มใิ ชส ขุ มใิ ชท กุ ขก ต็ าม ลว นเปน เพราะกรรมทไ่ี ดท าํ ไวใ นปางกอ น — Pubbekatavàda:
a determinist theory that whatever is experienced is due to past actions; past-
action determinism) เรียกสนั้ ๆ วา ปพุ เพกตวาท
2. อิสสรนมิ มานเหตวุ าท (ลัทธพิ ระเปนเจา คือ พวกที่ถือวา สงิ่ ใดกต็ ามทีไ่ ดประสบ จะเปน
สุขก็ตาม ทกุ ขกต็ าม มิใชสุขมิใชทกุ ขก ต็ าม ลวนเปน เพราะการบนั ดาลของเทพผูย่งิ ใหญ —
Issarakaraõavàda: a determinist theory that whatever is experienced is due to
the creation of a Supreme Being; theistic determinism) เรยี กส้นั ๆ วา อศิ วรกรณวาท
หรอื อศิ วรนิรมิตวาท
3. อเหตอุ ปจจัยวาท (ลัทธเิ ส่ียงโชค คือ พวกที่ถอื วา สง่ิ ใดกต็ ามท่ีไดประสบ จะเปนสุขก็ตาม
ทุกขก็ตาม มิใชสุขมิใชทุกขก็ตาม ลวนหาเหตุหาปจจยั มิได คอื ถงึ คราวก็เปน ไปเอง —
Ahetuvàda: an indeterminist theory that whatever is experienced is uncaused
and unconditioned; accidentalism) เรยี กส้นั ๆ วา อเหตุวาท
ทั้งสามลัทธิน้ี ไมชอบดวยเหตผุ ล ถกู ยันเขา ยอมอา งการถือสืบๆ กันมา เปนลัทธปิ ระเภท
อกิรยิ า (traditional doctrines of inaction) หากยึดม่ันถือตามเขา แลวยอมใหเกิดโทษ คือ
ไมเกดิ ฉันทะ และความพยายาม ท่จี ะทําการท่ีควรทําและเวน การทีไ่ มค วรทาํ
A.I.173; Vbh.367. อง.ฺ ตกิ .20/501/222; อภิ.วิ.35/940/496.
[102] โลก 31 (ประดาสภาวธรรมหรอื หมสู ัตว กาํ หนดโดยขอบเขตบา ง ไมก าํ หนดบาง —
Loka: the world; the earth; sphere; universe)
1. สงั ขารโลก (โลกคอื สงั ขาร ไดแ กส ภาวธรรมทง้ั ปวงทมี่ กี ารปรงุ แตง ตามเหตปุ จ จยั — Saïkhàra-
loka: the world of formations)
2. สัตวโลก (โลกคือหมสู ตั ว — Satta-loka: the world of beings)
3. โอกาสโลก (โลกอันกําหนดดวยโอกาส, โลกอันมใี นอวกาศ, จกั รวาล — Okàsa-loka: the
world of location; the world in space; the universe)
Vism.204; DA.I.173; MA.I.397. วสิ ทุ ธฺ ิ.1/262; ท.ี อ.1/215; ม.อ.2/269.
[103] โลก 32 (โลกคอื หมสู ตั ว, สตั วโลก — Loka: the world of beings)
[104] 100 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร
1. มนุษยโลก (โลกคือหมมู นุษย — Manussa-loka: the world of man)
2. เทวโลก (โลกคอื หมูเ ทพ, สวรรคชน้ั กามาวจรทัง้ 6 — Deva-loka: the heavenly world)
3. พรหมโลก (โลกคือหมพู รหม, สวรรคชน้ั พรหม — Brahma-loka: the Brahma world)
โลก 3 ในหมวดนี้ ทา นจําแนกออกมาจาก ขอ 2 คือสตั วโลก ในหมวดกอน [102]
DA.I.173; MA.I.397. ท.ี อ.1/215; ม.อ.2/269.
[104] โลก 33 (โลกอนั เปนทอ่ี ยขู องสตั ว — Loka: the world; sphere) คอื กามโลก —
Kàmaloka: the world of sense-desire; รูปโลก — Råpaloka: the world of form; อรูป
โลก — Aråpaloka: the formless world; เปน ช่ือท่บี างแหงใชเรยี ก ภพ 3 แตไมนยิ ม
ดู [98] ภพ 3.
สงคฺ ห.ฏกี า18.
[105] วัฏฏะ 3 หรอื ไตรวัฏฏ (วน, วงเวยี น, องคประกอบทีห่ มนุ เวียนตอเน่อื งกันของ
ภวจกั ร หรือสังสารจักร — Vañña: the triple round; cycle)
1. กเิ ลสวัฏฏ (วงจรกเิ ลส ประกอบดว ยอวิชชา ตัณหา และอุปาทาน — Kilesa-vañña: round
of defilements)
2. กรรมวฏั ฏ (วงจรกรรม ประกอบดว ยสังขารและกรรมภพ — Kamma-vañña: round of
kamma)
3. วปิ ากวฏั ฏ (วงจรวบิ าก ประกอบดว ย วญิ ญาณ นามรปู สฬายตนะ ผสั สะ เวทนา ซง่ึ แสดง
ออกในรปู ปรากฏทเ่ี รยี กวา อปุ ปต ตภิ พ ชาติ ชรา มรณะ เปน ตน — Vipàka-vañña: round of
results)
สามอยา งนี้ ประกอบเขาเปนวงจรใหญแ หงปจ จยาการ เรยี กวา ภวจกั ร หรอื สังสารจักร
ตามหลกั ปฏิจจสมปุ บาท
Vism.581. วิสุทฺธิ.3/198.
[106] วิชชา 3 (ความรแู จง, ความรูวเิ ศษ — Vijjà: the Threefold Knowledge)
1. ปพุ เพนวิ าสานุสสตญิ าณ (ญาณเปน เหตรุ ะลึกขันธท่อี าศัยอยใู นกอ นได, ระลกึ ชาติได —
Pubbenivàsànussati-¤àõa: reminiscence of past lives)
2. จตุ ปู ปาตญาณ (ญาณกําหนดรจู ุตแิ ละอบุ ตั ิแหงสตั วท้ังหลาย อันเปนไปตามกรรม, เหน็ การ
เวยี นวา ยตายเกดิ ของสตั วทงั้ หลาย เรยี กอีกอยางวา ทิพพจักขญุ าณ — Cutåpapàta-¤àõa:
knowledge of the decease and rebirth of beings; clairvoyance)
3. อาสวกั ขยญาณ (ญาณหยงั่ รใู นธรรมเปน ทส่ี น้ิ ไปแหง อาสวะทงั้ หลาย, ความรทู ที่ าํ ใหส น้ิ อาสวะ,
ความตรสั รู — âsavakkhaya-¤àõa: knowledge of the destruction of mental
intoxication)
หมวด 3 101 [108]
วิชชา 3 นี้ เรยี กส้นั ๆ วา ญาณ 3; ดู [297] วิชชา 8 ดวย.
D.III.220, 275; A.V.211. ที.ปา.11/228/232; 398/292; อง.ฺ ทสก.24/102/225.
[,,,] วิปลลาส 3 ระดับ ดู [178] วิปล ลาส 4.
[107] วิโมกข 3 (ความหลดุ พน , ประเภทของความหลดุ พน จดั ตามลกั ษณะการเหน็ ไตรลกั ษณ
ขอ ที่ใหถึงความหลดุ พน — Vimokkha: liberation; aspects of liberation)
1. สญุ ญตวิโมกข (หลดุ พนดว ยเหน็ ความวางหมดความยดึ มั่น ไดแก ความหลดุ พน ท่เี กิดจาก
ปญ ญาพิจารณาเห็นนามรปู โดยความเปน อนัตตา คอื หลดุ พนดวยเหน็ อนตั ตตา แลว ถอนความ
ยดึ ม่นั เสยี ได — Su¤¤ata-vimokkha: liberation through voidness; void liberation) =
อาศยั อนตั ตานปุ สสนา ถอนอตั ตาภินิเวส.
2. อนมิ ติ ตวโิ มกข (หลดุ พนดวยไมถ ือนมิ ติ ไดแก ความหลุดพน ที่เกดิ จากปญ ญาพจิ ารณา
เห็นนามรปู โดยความเปนอนิจจงั คอื หลดุ พนดว ยเหน็ อนจิ จตา แลวถอนนิมติ เสียได —
Animitta-vimokkha: liberation through signlessness; signless liberation) = อาศยั
อนจิ จานุปส สนา ถอนวิปลลาสนมิ ิต.
3. อัปปณิหิตวิโมกข (หลุดพนดวยไมทําความปรารถนา ไดแก ความหลุดพนท่ีเกิดจาก
ปญ ญาพิจารณาเหน็ นามรปู โดยความเปนทกุ ข คอื หลุดพนดวยเหน็ ทกุ ขตา แลวถอนความ
ปรารถนาเสียได — Appaõihita-vimokkha: liberation through dispositionlessness;
desireless liberation) = อาศยั ทกุ ขานปุ ส สนา ถอนตณั หาปณิธ.ิ
ดู [47] สมาธิ 32.
Ps.II.35; Vism.657; Comp.211. ขุ.ปฏิ.31/469/353; วิสทุ ฺธ.ิ 3/299; สงั คห.55.
[108] วิรัติ 3 (การเวนจากทุจริต, การเวน จากกรรมชัว่ — Virati: abstinence)
1. สัมปต ตวิรตั ิ (เวนสิ่งประจวบเฉพาะหนา , เวนเมอ่ื ประสบซึง่ หนา หรือเวนไดท้ังทป่ี ระจวบ
โอกาส คอื ไมไ ดต ั้งเจตนาไวก อ น ไมไดสมาทานสิกขาบทไวเลย แตเมอ่ื ประสบเหตทุ จ่ี ะทําชัว่
นึกคดิ พจิ ารณาขึ้นไดใ นขณะนั้นวา ตนมชี าตติ ระกลู วัย หรอื คณุ วฒุ ิอยางนี้ ไมส มควรกระทํา
กรรมเชนนนั้ แลวงดเวน เสยี ไดไ มทาํ ผดิ ศลี — Sampatta-virati: abstinence as occasion
arises; abstinence in spite of opportunity)
2. สมาทานวิรตั ิ (เวน ดวยการสมาทาน คอื ตนไดตั้งเจตนาไวกอ น โดยไดรับศลี คอื สมาทาน
สิกขาบทไวแลว ก็งดเวนตามท่ีไดสมาทานน้ัน — Samàdàna-virati: abstinence by
undertaking; abstinence in accordance with one’s observances)
3. สมจุ เฉทวริ ตั ิ หรอื เสตฆุ าตวริ ตั ิ (เวน ดว ยตดั ขาด หรอื ดว ยชกั สะพานตดั ตอนเสยี ทเี ดยี ว,
เวน ไดเ ดด็ ขาด คอื การงดเวน ความชว่ั ของพระอรยิ ะทง้ั หลาย อนั ประกอบดว ยอรยิ มรรคซง่ึ ขจดั
กเิ ลสทเ่ี ปน เหตแุ หง ความชว่ั นนั้ ๆ เสรจ็ สน้ิ แลว ไมเ กดิ มแี มแ ตค วามคดิ ทจ่ี ะประกอบกรรมชวั่ นนั้
เลย — Samuccheda-virati, Setughàta~: abstinence by rooting out)
[109] 102 พจนานุกรมพุทธศาสตร
วิรัติ 2 อยางแรก ยังไมอาจวางใจไดแนน อน วริ ัติขอ ท่ี 3 จงึ จะแนนอนส้ินเชิง
DA.I.305; KhA.142; DhsA.103. ที.อ.1/377; ขทุ ทฺ ก.อ.156; สงคฺ ณ.ี อ.188.
[109] วิเวก 3 (ความสงัด, ความปลกี ออก — Viveka: seclusion)
1. กายวิเวก (ความสงัดกาย ไดแ กอยใู นทีส่ งัดกด็ ี ดํารงอริ ิยาบถและเท่ยี วไปผเู ดยี วกด็ ี —
Kàya-viveka: bodily seclusion i.e. solitude)
2. จติ ตวเิ วก (ความสงัดใจ ไดแกท ําจิตใหสงบผอ งใส สงดั จากนิวรณ สงั โยชน และอนุสัย
เปน ตน หมายเอาจิตแหงทา นผูบรรลุฌาน และอรยิ มรรค อริยผล — Citta-viveka: mental
seclusion, i.e. the state of Jhàna and the Noble Paths and Fruitions)
3. อปุ ธิวิเวก (ความสงัดอุปธิ ไดแกธ รรมเปน ท่สี งบระงับสงั ขารทัง้ ปวง ปราศจากกเิ ลสกด็ ี ขนั ธ
ก็ดี อภิสงั ขารก็ดี ทเ่ี รยี กวา อปุ ธิ หมายเอาพระนพิ พาน — Upadhi-viveka: seclusion from
the essentials of existence, i.e. Nibbàna)
Nd1 26,140,157,341. ข.ุ ม.29/33/29; 229/170.
[110] เวทนา 2 (การเสวยอารมณ — Vedanà: feeling; sensation)
1. กายิกเวทนา (เวทนาทางกาย — Kàyika-vedanà: physical feeling)
2. เจตสิกเวทนา (เวทนาทางใจ — Cetasika-vedanà: mental feeling)
S.IV.231. ส.ํ สฬ.18/431/287.
[111] เวทนา 3 (การเสวยอารมณ, ความรสู กึ รสของอารมณ — Vedanà: feeling;
sensation)
1. สุขเวทนา (ความรสู ึกสขุ สบาย ทางกายกต็ าม ทางใจก็ตาม — Sukha-vedanà: pleasant
feeling; pleasure)
2. ทกุ ขเวทนา (ความรสู ึกทกุ ข ไมสบาย ทางกายก็ตาม ทางใจกต็ าม — Dukkha-vedanà:
painful feeling; pain)
3. อทุกขมสุขเวทนา (ความรสู กึ เฉยๆ จะสขุ กไ็ มใ ช ทุกขก ็ไมใ ช เรยี กอกี อยางวา อเุ บกขา-
เวทนา — Adukkhamasukha-vedanà, Upekkhà-vedanà: neither-pleasant-nor-painful
feeling; indifferent feeling)
D.III.216; 275; S.IV.331. ท.ี ปา.11/228/229; 391/291; ส.ํ สฬ.18/432/287.
[112] เวทนา 5 (การเสวยอารมณ — Vedanà: feeling)
1. สขุ (ความสุข ความสบายทางกาย — Sukha: bodily pleasure or happiness)
2. ทุกข (ความทุกข ความไมส บาย เจ็บปวดทางกาย — Dukkha: bodily pain; discomfort)
3. โสมนัส (ความแชมชื่นสบายใจ, สุขใจ — Somanassa: mental happiness; joy)
4. โทมนัส (ความเสียใจ, ทุกขใ จ — Domanassa: mental pain; displeasure; grief)
หมวด 3 103 [115]
5. อุเบกขา (ความรสู ึกเฉยๆ — Upekkhà: indifference) เรียกอกี อยางหนงึ่ วา อทุกขมสขุ -
เวทนา
เวทนา 5 นี้ เรยี กเต็มมี อนิ ทรีย ตอทา ยทุกคํา เปน สขุ ินทรยี เปนตน.
ดู [349] อินทรีย 22.
S.IV.232. ส.ํ สฬ.18/433/287.
[113] เวทนา 6 (การเสวยอารมณ — Vedanà: feeling)
1. จกั ขสุ มั ผสั สชาเวทนา (เวทนาเกดิ จากสมั ผสั ทางตา — Cakkhusamphassajà-vedanà:
feeling arisen from visual contact)
2. โสต~เวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางหู — Sota~: from auditory contact)
3. ฆาน~เวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางจมูก — Ghàna~: from olfactory contact)
4. ชิวหา~เวทนา (เวทนาเกดิ จากสมั ผสั ทางลิน้ — Jivhà~: from gustatory contact)
5. กาย~เวทนา (เวทนาเกดิ จากสัมผสั ทางกาย — Kàya~: from bodily contact)
6. มโน~เวทนา (เวทนาเกดิ จากสัมผัสทางใจ — Mano~: from mental contact)
S.IV.232. ส.ํ สฬ.18/434/287.
[114] สมบัติ 31 (ความพร่ังพรอมสมบรู ณแ หง สงิ่ อนั ใหสาํ เรจ็ ความปรารถนา, ผลสําเรจ็ ท่ี
ใหสมความปรารถนา — Sampatti: prosperity; success; excellence)
1. มนษุ ยสมบัติ (สมบตั ใิ นมนษุ ย, สมบตั ชิ นั้ มนษุ ย — Manussa-sampatti: human
prosperity)
2. เทวสมบัติ (สมบตั ิในสวรรค, สวรรคสมบัต,ิ ทพิ ยสมบัติ — Deva-sampatti: heavenly
prosperity)
3. นิพพานสมบตั ิ (สมบัตคิ ือพระนิพพาน — Nibbàna-sampatti: successful attainment
of Nibbàna)
Kh.7; DhA.III.183. ขุ.ข.ุ 25/9/12; ธ.อ.6/48.
[115] สมบัติ 32 หรือ ทานสมบัติ 3 (ความถงึ พรอม, ความพร่ังพรอมสมบูรณ ซงึ่
ทําใหทานที่ไดบริจาคแลวเปนทานอันยอดเยี่ยม มีผลมาก — Sampatti: successful
attainment; accomplishment; excellence)
1. เขตตสมบัติ (บุญเขตถงึ พรอม คอื ปฏคิ าหก หรือผรู ับทาน เปนผูประพฤติดี ปฏิบตั ชิ อบ
ประกอบดวยคุณธรรม — Khetta-sampatti: excellence of the field of merit)
2. ไทยธรรมสมบัติ (ไทยธรรมถึงพรอ ม คอื สิ่งทใ่ี หเ ปนของบริสุทธิ์ ไดม าโดยชอบธรรม และ
เหมาะสมเปน ประโยชนแ กผูรับ — Deyyadhamma-sampatti: excellence of the gift)
3. จิตตสมบตั ิ (เจตนาถงึ พรอ ม คือ ใหด วยความตง้ั ใจ คิดจะใหเ ปน ประโยชนแกผูรับแทจ ริง
[116] 104 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร
มเี จตนาบรสิ ทุ ธท์ิ งั้ 3 กาล คอื กอ นใหใจยินดี ขณะใหจ ติ ผอ งใส ใหแ ลว เบกิ บานใจ — Citta-
sampatti: excellence of motive or intention)
UdA.199. อ.ุ อ.251.
[,,,] สมาธิ 3 ดู [46] สมาธิ 31, [47] สมาธิ 32.
[116] สรณะ 3 หรือ ไตรสรณะ (ทีพ่ ึ่ง, ท่รี ะลึก — Saraõa; Tisaraõa: the
Threefold Refuge; Three Refuges; Threefold Guide) หมายถงึ พระรัตนตรัย คือ พระ
พทุ ธเจา พระธรรม และพระสงฆ ดู [100] รัตนตรัย
การนอ มใจระลึกถงึ คณุ ของพระรัตนตรยั นัน้ เขา ใจความหมายอยา งถกู ตอง และยึดถอื เปน
หลักแหงความประพฤติปฏิบัตหิ รือเปนเครื่องนําทางในการดําเนนิ ชวี ิต โดยยง้ั ใจจากอกุศลและ
นาํ จติ เขาสกู ุศล เรียกวา สรณคมน, ไตรสรณคมน หรอื ไตรสรณาคมน.
Kh.1. ขุ.ข.ุ 25/1/1.
[117] สังขตลักษณะ 3 (ลกั ษณะแหง สงั ขตธรรม คอื สงิ่ ทป่ี จ จยั ปรงุ แตง ขนึ้ — Saïkhata-
lakkhaõa: characteristics of the conditioned; condition-marks of the conditioned)
1. อุปฺปาโท ปฺายติ (ความเกิดขึ้น ปรากฏ — Uppàda: Its arising appears.)
2. วโย ปฺายติ (ความดับสลาย ปรากฏ — Vaya: Its passing away or subsidence
appears.)
3. ิตสสฺ อฺถตตฺ ํ ปฺายติ (เม่ือต้ังอยู ความแปรปรากฏ — A¤¤athatta: It
persisting, alteration or changeability appears.)
A.I.152. อง.ฺ ติก.20/486/192.
[118] อสังขตลักษณะ 3 (ลกั ษณะแหงอสังขตธรรม — Asaïkhata-lakkhaõa:
characteristics of the Unconditioned)
1. น อุปฺปาโท ปฺายติ (ไมปรากฏความเกิด — No arising appears.)
2. น วโย ปฺายติ (ไมป รากฏความสลาย — No passing away appears.)
3. น ติ สสฺ อฺถตตฺ ํ ปฺายติ (เมอื่ ต้ังอยู ไมป รากฏความแปร — It persisting, no
alteration appears.)
A.I.152. องฺ.ตกิ .20/487/192.
[119] สังขาร 31 (สภาพทปี่ รงุ แตง — Saïkhàra: formation; determination; function)
1. กายสงั ขาร (สภาพท่ปี รุงแตง กาย ไดแก อสั สาสะ ปส สาสะ คือ ลมหายใจเขาออก —Kàya-
saïkhàra: bodily formation; bodily function)
2. วจสี ังขาร (สภาพท่ีปรงุ แตงวาจา ไดแก วติ กและวิจาร — Vacã-saïkhàra: verbal
formation; verbal function)
หมวด 3 105 [122]
3. จิตตสงั ขาร (สภาพท่ปี รงุ แตงใจ ไดแก สัญญาและเวทนา — Citta-saïkhàra: mental
formation; mental function)
สังขาร 3 ในหมวดนี้ มักมาในเรื่องทเ่ี กีย่ วกับสญั ญาเวทยิตนโิ รธ วา ผูเขา นิโรธสมาบัตนิ ้ี วจี-
สังขาร กายสงั ขาร และจิตตสังขาร ดบั ไปตามลําดบั .
M.I.301; S.IV.293. ม.ม.ู 12/509/550; ส.ํ สฬ.18/561/361.
[120] สังขาร 32 (สภาพที่ปรุงแตง, ธรรมมเี จตนาเปนประธานอนั ปรุงแตง การกระทาํ ,
สญั เจตนา หรือเจตนาท่ีแตงกรรม — Saïkhàra: formation; determination; volition)
1. กายสังขาร (สภาพทีป่ รงุ แตงการกระทําทางกาย ไดแ ก กายสัญเจตนา คือ ความจงใจทาง
กาย — Kàya-saïkhàra: bodily formation; bodily volition)
2. วจีสังขาร (สภาพท่ปี รงุ แตง การกระทาํ ทางวาจา ไดแก วจสี ญั เจตนา คอื ความจงใจทางวาจา
— Vaci-saïkhàra: verbal formation; verbal volition)
3. จติ ตสงั ขาร หรอื มโนสังขาร (สภาพที่ปรุงแตงการกระทาํ ทางใจ ไดแ ก มโนสญั เจตนา คอื
ความจงใจทางใจ — Citta-saïkhàra: mental formation; mental volition)
สงั ขาร 3 ในหมวดนี้ ไดในความหมายของคําวา สงั ขาร ในปฏจิ จสมุปบาท.
ดู [129] อภิสงั ขาร 3; ดู [185] สังขาร 4 ดวย.
M.I.54; 390; S.II.4; Vbh.135. ม.มู.12/127/99; ม.ม.13/88/83; ส.ํ น.ิ 16/16/4; อภ.ิ วิ.35/257/181.
[121] สัทธรรม 3 (ธรรมอันด,ี ธรรมที่แท, ธรรมของสัตบุรษุ , หลักหรอื แกนศาสนา —
Saddhamma: good law; true doctrine; doctrine of the good; essential doctrine)
1. ปริยตั ตสิ ทั ธรรม (สัทธรรมคือคําสั่งสอนอนั จะตองเลา เรยี น ไดแ ก พทุ ธพจน — Pariyatti-
saddhamma: the true doctrine of study; textual aspect of the true doctrine;
study of the Text or Scriptures)
2. ปฏปิ ต ตสิ ทั ธรรม (สทั ธรรมคอื ปฏปิ ทาอนั จะตอ งปฏิบตั ิ ไดแ ก อฏั ฐังคิกมรรค หรอื ไตร-
สิกขา คอื ศีล สมาธิ ปญ ญา — Pañipatti-saddhamma: the true doctrine of practice;
practical aspect of the true doctrine)
3. ปฏเิ วธสัทธรรม (สัทธรรมคอื ผลอันจะพึงเขาถงึ หรือบรรลุดว ยการปฏิบตั ิ ไดแ ก มรรค ผล
และนพิ พาน — Pañivedha-saddhamma: the true doctrine of penetration; realizable
or attainable aspect of the true doctrine)
ขอ 3 คือ ปฏเิ วธสทั ธรรม บางแหง เรยี ก อธคิ มสทั ธรรม มีความหมายอยางเดยี วกนั .
VinA.225; AA.V.33. วินย.อ.1/264; ม.อ.3/147,523; อง.ฺ อ.3/391.
[122] สันโดษ 3 และ 12 (ความยนิ ดี, ความพอใจ, ความยินดีดว ยของของตนซึ่งไดม า
ดวยเร่ียวแรงความเพียรโดยชอบธรรม, ความยินดดี ว ยปจจัยสตี่ ามมตี ามได, ความรูจกั อม่ิ รจู กั
[123] 106 พจนานุกรมพุทธศาสตร
พอ — Santosa, Santuññhi: contentment; satisfaction with whatever is one’s own)
1. ยถาลาภสันโดษ (ยินดีตามทีไ่ ด, ยนิ ดตี ามทพ่ี ึงได คอื ตนไดส ง่ิ ใดมา หรือเพียรหาสง่ิ ใดมา
ได เมอ่ื เปนส่งิ ทต่ี นพงึ ได ไมวาจะหยาบหรอื ประณตี แคไ หน ก็ยนิ ดพี อใจดวยสิ่งนน้ั ไมตดิ ใจ
อยากไดสง่ิ อ่ืน ไมเดอื ดรอ นกระวนกระวายเพราะสงิ่ ท่ตี นไมได ไมปรารถนาสงิ่ ทต่ี นไมพึงไดห รือ
เกินไปกวา ท่ตี นพงึ ไดโ ดยถกู ตอ งชอบธรรม ไมเ พงเล็งปรารถนาของทีค่ นอื่นได ไมร ษิ ยาเขา —
Yathàlàbha-santosa: contentment with what one gets and deserves to get)
2. ยถาพลสนั โดษ (ยนิ ดตี ามกาํ ลัง คอื ยินดีแตพอแกก ําลังรา งกายสุขภาพและวิสยั แหงการใช
สอยของตน ไมย ินดีอยากไดเ กนิ กาํ ลัง ตนมีหรือไดส งิ่ ใดมาอนั ไมถ กู กบั กําลงั รา งกายหรือสุขภาพ
เชน ภกิ ษไุ ดอ าหารบณิ ฑบาตทแี่ สลงตอ โรคของตน หรอื เกนิ กาํ ลงั การบรโิ ภคใชส อย กไ็ มห วงแหน
เสยี ดายเก็บไวใ หเสยี เปลา หรอื ฝนใชใหเปน โทษแกตน ยอมสละใหแ กผ อู ื่นที่จะใชได และรบั
หรือแลกเอาสิ่งที่ถูกโรคกับตนแตเ พยี งทพ่ี อแกก าํ ลงั การบรโิ ภคใชสอยของตน — Yathàbala-
santosa: contentment with what is within one’s strength or capacity)
3. ยถาสารุปปสนั โดษ (ยินดีตามสมควร คือ ยินดตี ามท่เี หมาะสมกับตน อนั สมควรแกภ าวะ
ฐานะ แนวทางชีวติ และจดุ หมายแหงการบาํ เพญ็ กจิ ของตน เชน ภกิ ษไุ มป รารถนาสงิ่ ของอนั ไม
สมควรแกส มณภาวะ หรอื ภกิ ษบุ างรปู ไดปจจัยสี่ทมี่ ีคา มาก เห็นวาเปน สิ่งสมควรแกทานผูทรง
คณุ สมบตั ินา นบั ถือ กน็ าํ ไปมอบใหแ กทานผูน ้นั ตนเองใชแ ตส งิ่ อนั พอประมาณ หรอื ภกิ ษบุ างรปู
กาํ ลังประพฤตวิ ตั รขัดเกลาตน ไดข องประณตี มา ก็สละใหแ กเ พอ่ื นภกิ ษรุ ูปอน่ื ๆ ตนเองเลือกหา
ของปอนๆ มาใช หรือตนเองมีโอกาสจะไดลาภอยางหนึ่ง แตรูวาสิ่งนั้นเหมาะสมหรือเปน
ประโยชนแ กท า นผูอ นื่ ทเี่ ชยี่ วชาญถนัดสามารถดานนัน้ ก็สละใหล าภถงึ แกท า นผูน ัน้ ตนรับเอาแต
สงิ่ ทเ่ี หมาะสมกบั ตน — Yathàsàruppa-santosa: contentment with what is befitting)
สนั โดษ 3 นี้ เปน ไปในปจ จัย 4 แตล ะอยาง จงึ รวมเรยี กวา สนั โดษ 12
อน่งึ สันโดษ 3 น้ี เปน คาํ อธบิ ายของพระอรรถกถาจารย ซ่งึ มุงแสดงขอปฏิบตั ขิ องพระภกิ ษุ
โดยเฉพาะ ปรากฏในอรรถกถาและฎกี ามากมายไมนอยกวา 10 แหง คฤหสั ถพึงพจิ ารณา
ประพฤตปิ ฏบิ ตั ิตามสมควร.
AA.I.45; KhA.145; UdA.229; etc. ท.ี อ.1/253; ม.อ.2/188; องฺ.อ.1/81; ขุททฺ ก.อ.159; อ.ุ อ.288; ฯลฯ.
[123] สัปปุริสบัญญัติ 3 (บญั ญัติของสตั บุรษุ , ขอปฏิบตั ทิ ่ีสัตบุรษุ วางเปน แบบไว
หรอื กลาวสรรเสริญไว, ความดที ค่ี นดีถอื ลงกนั — Sappurisa-pa¤¤atti: things established
by righteous people; recommendation of the good)
1. ทาน (การใหป น, สละของตนเพ่ือประโยชนแ กผอู ื่น — Dàna: giving; generosity;
charity; benefaction)
2. ปพพัชชา (การถอื บวช, เวนการเบยี ดเบยี น ดํารงในธรรม คอื อหงิ สา สญั ญมะ และทมะ
อันเปน อบุ ายใหไ มเ บยี ดเบียนกนั และอยูรว มกนั ดว ยความสขุ — Pabbajjà: renunciation
consisting in non-violence, restraint and self-control)
หมวด 3 107 [125]
3. มาตาปต ุอปุ ฏ ฐาน (การบาํ รุงมารดาบดิ า, ปฏิบตั มิ ารดาบดิ าของตนใหเ ปน สุข — Màtà-
pitu-upaññhàna: support of mother and father)
A.I.151. อง.ฺ ตกิ .20/484/191.
[,,,] สามัญลักษณะ 3 ดู [76] ไตรลักษณ.
[124] สิกขา 3 หรือ ไตรสิกขา (ขอ ทจี่ ะตองศกึ ษา, ขอ ปฏิบัตทิ เี่ ปนหลกั สาํ หรับศกึ ษา
คอื ฝก หดั อบรม กาย วาจา จิตใจ และปญ ญา ใหยิง่ ขน้ึ ไปจนบรรลจุ ดุ หมายสูงสุดคือพระ
นิพพาน — Sikkhà: the Threefold Learning; the Threefold Training)
1. อธิสลี สิกขา (สิกขาคอื ศลี อนั ยงิ่ , ขอ ปฏิบัติสาํ หรบั ฝก อบรมในทางความประพฤติอยางสงู
— Adhisãla-sikkhà: training in higher morality)
2. อธิจิตตสกิ ขา (สกิ ขาคอื จติ อนั ย่ิง, ขอปฏิบัติสําหรับฝกอบรมจติ เพื่อใหเ กดิ คณุ ธรรมเชน
สมาธิอยางสูง — Adhicitta-sikkhà: training in higher mentality)
3. อธปิ ญญาสิกขา (สกิ ขาคือปญญาอันยิง่ , ขอ ปฏบิ ัตสิ ําหรับฝก อบรมปญญาเพื่อใหเ กดิ ความ
รแู จง อยางสูง — Adhipa¤¤à-sikkhà: training in higher wisdom)
เรยี กงา ยๆ วา ศีล สมาธิ ปญ ญา (morality, concentration and wisdom)
D.III.220; A.I.229. ท.ี ปา.11/228/231; องฺ.ติก.20/521/294.
[,,,] สุจริต 3 ดู [81] สุจริต 3.
[,,,] โสดาบัน 3 ดู [58] โสดาบนั 3.
[,,,] อกุศลมูล 3 ดู [68] อกุศลมลู 3.
[,,,] อกุศลวิตก 3 ดู [70] อกุศลวิตก 3.
[125] อธิปไตย 3 (ความเปน ใหญ, ภาวะทถี่ ือเอาเปน ใหญ — Adhipateyya: dominant
influence; supremacy)
1. อัตตาธิปไตย (ความมีตนเปนใหญ, ถือตนเปนใหญ, กระทําการดวยปรารภตนเปน
ประมาณ — Attàdhipateyya: supremacy of self; self-dependence)
2. โลกาธิปไตย (ความมโี ลกเปน ใหญ, ถือโลกเปนใหญ, กระทําการดว ยปรารภนิยมของโลก
เปนประมาณ — Lokàdhipateyya: supremacy of the world or public opinion)
3. ธัมมาธปิ ไตย (ความมีธรรมเปน ใหญ, ถอื ธรรมเปนใหญ, กระทําการดว ยปรารภความถกู
ตอง เปน จริง สมควรตามธรรม เปนประมาณ — Dhammàdhipateyya: supremacy of the
Dhamma or righteousness; rule of the Dhamma; rule of the true law)
ผเู ปน อัตตาธิปก พงึ ใชสติใหมาก; ผูเ ปนโลกาธปิ ก พึงมีปญ ญาครองตน และรพู ินจิ ; ผูเปน
ธรรมาธปิ ก พงึ ประพฤตใิ หถ กู หลกั ธรรม; ผเู ปน หวั หนา หมเู ปน นกั ปกครอง พงึ ถอื ธรรมาธปิ ไตย.
D.III.220; A.I.147. ที.ปา.11/228/231; องฺ.ตกิ .20/479/186.
[126] 108 พจนานกุ รมพุทธศาสตร
[126] อนุตตริยะ 3 (ภาวะอนั ยอดเยย่ี ม, สง่ิ ที่ยอดเยย่ี ม — Anuttariya: excellent
states; highest ideal; greatest good; unsurpassable experiences)
1. ทสั สนานุตตรยิ ะ (การเหน็ อนั เยยี่ ม ไดแ ก ปญญาอนั เห็นธรรม หรืออยา งสูงสุดคือเห็น
นพิ พาน — Dassanànuttariya: ideal sight, supreme or unsurpassable vision)
2. ปฏปิ ทานุตตรยิ ะ (การปฏบิ ัตอิ นั เยี่ยม ไดแ ก การปฏิบตั ธิ รรมทีเ่ ห็นแลว กลาวใหง า ยหมาย
เอามรรคมอี งค 8 — Pañipadànuttariya: ideal course; supreme way)
3. วิมตุ ตานตุ ตรยิ ะ (การพน อันเยีย่ ม ไดแ ก ความหลดุ พนอนั เปนผลแหง การปฏิบัติน้นั คือ
ความหลดุ พนจากกเิ ลสและทุกขท ้งั ปวง หรอื นิพพาน — Vimuttànuttariya: ideal freedom;
supreme deliverance)
D.III.219; M.I.235. ที.ปา.11/228/231; ม.ม.ู 12/402/435.
[127] อนุตตริยะ 6 (ภาวะอนั ยอดเยีย่ ม, สง่ิ ท่ยี อดเยีย่ ม — Anuttariya: excellent,
supreme or unsurpassable experiences)
1. ทัสสนานุตตรยิ ะ (การเหน็ อนั เยีย่ ม ไดแก การเห็นพระตถาคต และตถาคตสาวก รวมถึง
สิ่งท้งั หลายที่จะใหเกดิ ความเจริญงอกงามแหง จติ ใจ — Dassanànuttariya: supreme sight)
2. สวนานตุ ตรยิ ะ (การฟงอันเยีย่ ม ไดแ ก การสดบั ธรรมของพระตถาคต และตถาคตสาวก
— Savanànuttariya: supreme hearing)
3. ลาภานตุ ตรยิ ะ (การไดอนั เยีย่ ม ไดแก การไดศ รทั ธาในพระตถาคตและตถาคตสาวก หรือ
การไดอ รยิ ทรพั ย — Làbhànuttariya: supreme gain)
4. สิกขานุตตริยะ (การศึกษาอันเยย่ี ม ไดแก การฝก อบรมในอธิศลี อธจิ ติ ต และอธปิ ญญา
— Sikkhànuttariya: supreme training)
5. ปารจิ รยิ านตุ ตรยิ ะ (การบาํ เรออนั เยยี่ ม ไดแ ก การบาํ รงุ รบั ใชพ ระตถาคต และตถาคตสาวก
— Pàricariyànuttariya: supreme service or ministry)
6. อนสุ สตานุตตรยิ ะ (การระลึกอันเยยี่ ม ไดแ ก การระลึกถึงพระตถาคต และตถาคตสาวก
— Anussatànuttariya: supreme memory)
โดยสรปุ คือ การเหน็ การฟง การได การศึกษา การชว ยรบั ใช และการรําลกึ ที่จะเปน ไปเพ่ือ
ความบริสทุ ธ์ิ ลวงพน โสกะปรเิ ทวะ ดบั สูญทุกขโ ทมนัส เพอ่ื การบรรลุญายธรรม ทาํ ใหแจงซง่ึ
นพิ พาน
D.III.250,281; A.III.284,325,452. ท.ี ปา.11/321/262; 430/307; องฺ.ฉกกฺ .22/279/316; 301/363.
[128] อปณณกปฏิปทา 3 (ขอ ปฏบิ ตั ิท่ไี มผ ดิ , ปฏิปทาทีเ่ ปนสวนแกนสารเนื้อแท ซงึ่
จะนําผูปฏิบัติใหถึงความเจริญงอกงามในธรรม เปนผูดาํ เนินอยใู นแนวทางแหงความปลอดพน
จากทกุ ขอยา งแนน อนไมผ ิดพลาด — Apaõõaka-pañipadà: sure course; sure practice;
unimpeachable path)
หมวด 3 109 [130]
1. อินทรียสงั วร (การสาํ รวมอินทรยี คือระวงั ไมใ หบาปอกศุ ลธรรมครอบงาํ ใจ เมอื่ รับรูอารมณ
ดว ยอินทรยี ท้ัง 6 — Indriya-sa§vara: control of the senses)
2. โภชเนมตั ตญั ุตา (ความรจู ักประมาณในการบรโิ ภค คือรูจักพจิ ารณารับประทานอาหาร
เพอื่ หลอ เลยี้ งรา งกายใชท าํ กจิ ใหช วี ติ ผาสกุ มใิ ชเ พอื่ สนกุ สนานมวั เมา — Bhojane-matta¤¤utà:
moderation in eating)
3. ชาคริยานุโยค (การหมั่นประกอบความต่ืน ไมเ ห็นแกนอน คอื ขยนั หมนั่ เพยี ร ตน่ื ตวั อยู
เปนนิตย ชําระจิตมิใหมีนิวรณ พรอมเสมอทุกเวลาท่ีจะปฏิบัติกิจใหกาวหนาตอไป —
Jàgariyànuyoga: practice of wakefulness)
A.I.113. อง.ฺ ตกิ .20/455/142.
[129] อภิสังขาร 3 (สภาพท่ปี รุงแตง , ธรรมมีเจตนาเปน ประธานอันปรงุ แตงผลแหงการ
กระทาํ , เจตนาทเี่ ปน ตวั การในการทาํ กรรม — Abhisaïkhàra: volitional formation; formation;
activity)
1. ปุญญาภิสังขาร (อภิสงั ขารทีเ่ ปน บุญ, สภาพทปี่ รุงแตงกรรมฝายดี ไดแ กกุศลเจตนาทเี่ ปน
กามาวจรและรปู าวจร — Pu¤¤àbhisaïkhàra: formation of merit; meritorious formation)
2. อปญุ ญาภสิ งั ขาร (อภสิ งั ขารทเ่ี ปน ปฏปิ ก ษต อ บญุ คอื เปน บาป, สภาพทป่ี รงุ แตง กรรมฝา ยชวั่
ไดแกอ กุศลเจตนาทั้งหลาย — Apu¤¤àbhisaïkhàra: formation of demerit; demeri-
torious formation)
3. อาเนญชาภสิ งั ขาร (อภสิ ังขารท่เี ปนอาเนญชา, สภาพที่ปรุงแตงภพอันมั่นคงไมห ว่นั ไหว ได
แกก ุศลเจตนาท่เี ปนอรูปาวจร 4 หมายเอาภาวะจติ ทีม่ ่ันคงแนวแนดว ยสมาธิแหง จตุตถฌาน —
âne¤jàbhisaïkhàra: formation of the imperturbable; imperturbability-producing
volition)
อภสิ ังขาร 3 นี้ เปน ความหมายของสังขารในหลักปฏจิ จสมุปบาท ทา นแสดงไวอ ีกนยั หนง่ึ
เพมิ่ จากนยั วาสังขาร 3 ดู [120] สงั ขาร 3 2
Ps.II.206; Vbh.135. ขุ.ปฏ.ิ 31/280/181; อภิ.วิ.35/257/181.
[130] อัคคิ 31 (ไฟ, กิเลสท่เี ปรยี บเหมอื นไฟ เพราะเผาลนจิตใจใหเ รารอนและแสพ รานไป
— Aggi: fires to be avoided or abandoned)
1. ราคคั คิ (ไฟคอื ราคะ ไดแกค วามติดใจ กระสัน อยากได — Ràgaggi: fire of lust)
2. โทสคั คิ (ไฟคอื โทสะ ไดแ กค วามขดั เคอื ง ไมพ อใจ คดิ ประทษุ รา ย — Dosaggi: fire of hatred)
3. โมหคั คิ (ไฟคือโมหะ ไดแ กค วามหลง ไมรไู มเ ขาใจสภาวะของสงิ่ ท้งั หลายตามเปน จรงิ —
Mohaggi: fire of delusion)
ไฟ 3 อยา งนี้ ทา นสอนใหละเสยี
D.III.217; It.92. ท.ี ปา.11/228/229; ขุ.อิต.ิ 25/273/301.
[131] 110 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร
[131] อัคคิ 32 หรือ อัคคิปาริจริยา (ไฟท่คี วรบํารงุ , บุคคลทค่ี วรบูชาดวยใสใ จ
บํารงุ เลย้ี งและใหค วามเคารพนบั ถือตามควรแกฐ านะ ดุจไฟบูชาของผบู ูชาไฟ — Aggi: fires to
be revered or worshipped)
1. อาหไุ นยคั คิ (ไฟอันควรแกของคํานบั บูชา ไดแกบ ิดามารดา — âhuneyyaggi: fire
worthy of reverential gifts, i.e. mother and father)
2. คหปตัคคิ (ไฟของเจาบา น ไดแ ก บุตรภรรยา และคนในปกครอง — Gahapataggi: fire
of the householder, i.e. children, wife and dependents)
3. ทกั ขิไณยัคคิ (ไฟอนั ควรแกท ักษณิ า ไดแ กส มณพราหมณ ทา นผูท ําหนา ท่ีสั่งสอนผดงุ ธรรม
ผปู ระพฤตดิ ี ปฏิบัติชอบ — Dakkhiõeyyaggi: fire worthy of offerings, i.e. monks and
other religious men)
ไฟ 3 อยางน้ี เลยี นศพั ทมาจากไฟบชู าในศาสนาพราหมณ แตใ ชใ นความหมายใหม เพ่ือให
เปนประโยชนแกชีวติ และสงั คมอยางแทจรงิ .
D.III.217; A.IV.44. ที.ปา.11/228/229; องฺ.สตตฺ ก.23/44/46.
[132] อัตถะ หรือ อรรถ 31 (ประโยชน, ผลทมี่ ุงหมาย, จุดหมาย, ความหมาย —
Attha: benefit; advantage; welfare; aim; goal; meaning)
1. ทิฏฐธัมมกิ ตั ถะ (ประโยชนป จจุบัน, ประโยชนในโลกน้,ี ประโยชนข ้นั ตน — Diññha-
dhammikattha: benefits obtainable here and now; the good to be won in this life;
temporal welfare)
2. สมั ปรายิกตั ถะ (ประโยชนเบ้อื งหนา , ประโยชนใ นภพหนา, ประโยชนข น้ั สงู ขึ้นไป —
Samparàyikattha: the good to be won in the life to come; spiritual welfare)
3. ปรมตั ถะ (ประโยชนสูงสุด, จุดหมายสงู สุด คอื พระนพิ พาน — Paramattha: the
highest good; final goal, i.e. Nibbàna)
อตั ถะ 3 หมวดน้ี ในพระสตู รท่ัวไปมกั แสดงเฉพาะขอ 1 และขอ 2 โดยใหข อ 2 มคี วาม
หมายครอบคลุมถึงขอ 3 ดวย (เชน ขุ.อิต.ิ 25/201/242; อธิบายใน อิติ.อ.92) บางแหง กก็ ลา ว
ถึงปรมัตถะไวต า งหากโดยเฉพาะ (เชน ขุ.สุ.25/296/338; 313/366; ข.ุ อป.33/165/343)
ดู [144] ทิฏฐธัมมกิ ตั ถสงั วตั ตนกิ ธรรม 4, [191] สัมปรายิกตั ถสงั วตั ตนิกธรรม 4 ดว ย.
Nd1169, 178, 357; Nd226. ขุ.ม.29/292/205; 320/217; 727/432; ข.ุ จ.ู 30/673/333.
[133] อัตถะ หรอื อรรถ 32 (ประโยชน, ผลท่ีมุงหมาย — Attha: benefit;
advantage; gain; welfare)
1. อัตตัตถะ (ประโยชนตน — Attattha: gain for oneself; one’s own welfare)
2. ปรตั ถะ (ประโยชนผอู น่ื — Parattha: gain for others; others’ welfare)
3. อภุ ยตั ถะ (ประโยชนท งั้ สองฝา ย — Ubhayattha: gain both for oneself and for others;
หมวด 3 111 [136]
welfare both of oneself and of all others)
S.II.29; S.V.121–5; A.I.9; A.III.64; Nd1168; Nd226. ส.ํ นิ.16/67/35; สํ.ม.19/603/167; อง.ฺ ทกุ .20/46/10; องฺ.ปฺจก.22/51/72
[134] อาการที่พระพุทธเจาทรงส่ังสอน 3 (ลกั ษณะการสอนของพระพทุ ธเจา
ที่ทาํ ใหคําสอนของพระองคควรแกการประพฤตปิ ฏบิ ัตติ าม และทาํ ใหเ หลาสาวกเกิดความมั่นใจ
เคารพเลอ่ื มใสในพระองคอ ยา งแทจ ริง — Buddha-dhammadesanà: the three aspects of
the Buddha’s teaching; the Buddha’s manners of teaching)
1. อภญิ ญายธมั มเทสนา (ทรงแสดงธรรมดว ยความรยู ง่ิ , ทรงรยู งิ่ เหน็ จรงิ เองแลว จงึ ทรงสอนผู
อน่ื เพอ่ื ใหร ยู งิ่ เหน็ จรงิ ตาม ในธรรมทคี่ วรรยู ง่ิ เหน็ จรงิ — Abhi¤¤àya-dhammadesanà: Having
himself fully comprehended, he teaches others for the full comprehending of what
should be fully comprehended; teaching with full comprehension)
2. สนิทานธัมมเทสนา (ทรงแสดงธรรมมเี หตุผล, ทรงสั่งสอนช้ีแจงใหเ หน็ เหตุผลไมเลื่อน
ลอย — Sanidàna-dhammadesanà: He teaches the doctrine that has a causal
basis; teaching in terms of or with reference to causality)
3. สปั ปาฏหิ ารยิ ธมั มเทสนา (ทรงแสดงธรรมใหเ หน็ จรงิ ไดผ ลเปน อศั จรรย, ทรงสงั่ สอนใหม อง
เหน็ ชดั เจนสมจรงิ จนตอ งยอมรบั และนาํ ไปปฏบิ ตั ไิ ดผ ลจรงิ เปน อศั จรรย — Sappàñihàriya-
dhammadesanà: He teaches the doctrine that is wondrous as to its convincing
power and practicality; teaching in such a way as to be convincing and practical)
ขอ 1 บางทานแปลวา “ทรงแสดงธรรมเพ่ือความรูยิ่ง”
M.II.9; A.I.276. ม.ม.13/330/322; องฺ.ติก.20/565/356.
[135] อาสวะ 3 (สภาวะอันหมักดองสนั ดาน, ส่งิ ท่ีมอมพ้นื จิต, กิเลสทไี่ หลซึมซา นไปยอ ม
ใจเมื่อประสบอารมณต างๆ — âsava: mental intoxication; canker; bias; influx; taint)
1. กามาสวะ (อาสวะคือกาม — Kàmàsava: canker of sense-desire)
2. ภวาสวะ (อาสวะคอื ภพ — Bhavàsava: canker of becoming)
3. อวิชชาสวะ (อาสวะคอื อวิชชา — Avijjàsava: canker of ignorance)
ดู [136] อาสวะ 4 ดวย.
D.II.81; S.IV.256. ท.ี ม.10/76/96; ส.ํ สฬ.18/504/315.
[136] อาสวะ 4 (âsava: mental intoxication; canker)
1. กามาสวะ (อาสวะคอื กาม — Kàmàsava: canker of sense-desire)
2. ภวาสวะ (อาสวะคอื ภพ — Bhavàsava: canker of becoming)
3. ทฏิ ฐาสวะ (อาสวะคือทิฏฐิ — Diññhàsava: canker of views or speculation)
4. อวิชชาสวะ (อาสวะคืออวชิ ชา — Avijjàsava: canker of ignorance)
[136] 112 พจนานกุ รมพุทธศาสตร
ในท่มี าสวนมาก โดยเฉพาะในพระสตู ร แสดงอาสวะไว 3 อยาง โดยสงเคราะหทิฏฐาสวะเขา
ในภวาสวะ (ม.อ.1/93)
Vbh.373. อภิ.ว.ิ 35/961/504.
[,,,] โอวาทของพระพุทธเจา 3 ดู [97] พุทธโอวาท 3.
จตุกกะ — หมวด 4
Groups of Four
(including related groups)
[137] กรรมกิเลส 4 (กรรมเคร่อื งเศราหมอง, ขอ เสื่อมเสียของความประพฤติ —
Kamma-kilesa: defiling actions; contaminating acts; vices of conduct)
1. ปาณาติบาต (การตดั รอนชีวิต — Pàõàtipàta: destruction of life)
2. อทนิ นาทาน (ถอื เอาของทเี่ จา ของมไิ ดใ ห, ลกั ขโมย — Adinnàdàna: taking what is not
given)
3. กาเมสุมิจฉาจาร (ประพฤตผิ ดิ ในกาม — Kàmesumicchàcàra: sexual misconduct)
4. มสุ าวาท (พูดเทจ็ — Musàvàda: false speech)
D.III.181. ที.ปา.11/174/195.
[,,,] กัลยาณมิตร 4 ในท่ีน้ีใชเ ปนคําเรยี กมติ รแท ตามบาลีเรยี กวา สุหทมิตร ดู [169]
สุหทมิตร 4.
[,,,] กิจในอริยสัจจ 4 ดู [205] กิจในอรยิ สจั จ 4.
[138] กุลจิรัฏฐิติธรรม 4 (ธรรมสําหรับดํารงความมัง่ คง่ั ของตระกลู ใหย งั่ ยืน, เหตุที่
ทําใหต ระกลู มง่ั ค่ังตง้ั อยไู ดน าน — Kula-ciraññhiti-dhamma: reasons for lastingness of a
wealthy family)
1. นัฏฐคเวสนา (ของหายของหมด รูจ กั หามาไว — Naññhagavesanà: seeking for what
is lost)
2. ชิณณปฏิสงั ขรณา (ของเกา ของชาํ รุด รจู กั บูรณะซอ มแซม — Jiõõapañisaïkharaõà:
repairing what is worn out)
3. ปรมิ ติ ปานโภชนา (รจู กั ประมาณในการกนิ การใช — Parimitapànabhojanà: moderation
in spending)
4. อธปิ จจสีลวนั ตสถาปนา (ตั้งผูมศี ีลธรรมเปน พอบานแมเ รอื น — Adhipaccasãlavanta-
ñhàpanà: putting in authority a virtuous woman or man)
เหตุที่ตระกูลม่ังคง่ั จะต้งั อยูนานไมไ ด พงึ ทราบโดยนยั ตรงขามจากนี.้
A.II.249. องฺ.จตกุ ฺก.21/258/333.
[139] ฆราวาสธรรม 4 (ธรรมสําหรบั ฆราวาส, ธรรมสาํ หรับการครองเรอื น, หลกั การ
ครองชวี ติ ของคฤหสั ถ — Gharàvàsa-dhamma: virtues for a good household life;
[140] 114 พจนานุกรมพุทธศาสตร
virtues for lay people)
1. สัจจะ (ความจริง, ซอ่ื ตรง ซอื่ สัตย จริงใจ พดู จริง ทําจรงิ — Sacca: truth and honesty)
2. ทมะ (การฝก ฝน, การขมใจ ฝกนิสัย ปรับตวั , รจู ักควบคุมจติ ใจ ฝกหดั ดดั นสิ ัย แกไ ขขอบก
พรอง ปรับปรงุ ตนใหเจรญิ กาวหนา ดว ยสตปิ ญญา — Dama: taming and training oneself;
adjustment; self-development)
3. ขันติ (ความอดทน, ตัง้ หนาทาํ หนา ทีก่ ารงานดว ยความขยันหมั่นเพยี ร เขมแข็ง ทนทาน ไม
หวน่ั ไหว มัน่ ในจุดหมาย ไมท อถอย — Khanti: tolerance; forbearance; perseverance)
4. จาคะ (ความเสียสละ, สละกเิ ลส สละความสุขสบายและผลประโยชนส ว นตนได ใจกวาง
พรอ มท่ีจะรับฟง ความทุกข ความคดิ เห็น และความตอ งการของผูอ น่ื พรอมท่ีจะรว มมอื ชวย
เหลอื เออื้ เฟอ เผอื่ แผ ไมค บั แคบเหน็ แกต นหรอื เอาแตใ จตวั — Càga: liberality; generosity)
ในธรรมหมวดน้ี ทมะ ทานมุงเอาดานปญ ญา ขนั ติ ทานเนนแงว ิริยะ.
S.I.215; Sn.189. ส.ํ ส.15/845/316; ขุ.สุ.25/311/361.
[140] จักร 4 (ธรรมนาํ ชวี ิตไปสคู วามเจรญิ รงุ เรือง ดจุ ลอ นาํ รถไปสทู ่ีหมาย — Cakka:
virtues wheeling one to prosperity)
1. ปฏริ ปู เทสวาสะ (อยใู นถิ่นท่ดี ี มสี ิง่ แวดลอมเหมาะสม — Pañiråpadesavàsa: living in
a suitable region; good or favourable environment)
2. สัปปรุ ิสปู สสยะ (สมาคมกบั สตั บรุ ษุ — Sappurisåpassaya: association with good
people)
3. อตั ตสมั มาปณิธิ (ตง้ั ตนไวชอบ, ตั้งจิตคดิ มุงหมายนําตนไปถกู ทาง — Attasammà-
paõidhi: setting oneself in the right course; aspiring and directing oneself in the
right way)
4. ปพุ เพกตปุญญตา (ความเปนผูไดท ําความดีไวก อนแลว, มพี น้ื เดิมด,ี ไดสรา งสมคณุ ความ
ดีเตรียมพรอ มไวแ ตต น — Pubbekatapu¤¤atà: having formerly done meritorious
deeds; to have prepared oneself with good background)
ธรรม 4 ขอ น้ี เรียกอีกอยางหน่ึงวา พหุการธรรม คอื ธรรมมีอุปการะมาก (virtues of
great assistance) เปน เครอ่ื งชวยใหสามารถสรางสมความดีอื่นๆ ทกุ อยาง และชว ยใหป ระสบ
ความเจริญกา วหนาในชีวิต บรรลุความงอกงามไพบลู ย.
A.II.32; D.III.276. องฺ.จตุกกฺ .21/31/41; ที.ปา.11/400/293.
[141] เจดีย 4 (สงิ่ ทก่ี อขึน้ , ที่เคารพบูชา, ส่งิ ทีเ่ ตอื นใจใหร ะลึกถงึ , ในทน่ี หี้ มายถึง สถานท่ี
หรอื ส่ิงที่เคารพบชู าเนื่องดวยพระพทุ ธเจา หรือพระพทุ ธศาสนา เรียกเต็มวา สมั มาสัมพุทธเจดีย
หรอื พทุ ธเจดีย — Cetiya: shrine; Buddhist monument; objects of homage)
1. ธาตเุ จดีย (เจดยี บรรจุพระบรมสารรี กิ ธาตุ — Dhàtu-cetiya: a relic shrine; sepulchral
หมวด 4 115 [143]
or reliquary monument; stupa enshrining the Buddha’s relics)
2. บริโภคเจดยี (เจดียค ือส่ิงหรือสถานทท่ี ่ีพระพุทธเจาเคยทรงใชส อย อยา งแคบหมายถงึ ตน
โพธ์ิ อยางกวางหมายถงึ สงั เวชนียสถาน 4 ตลอดจนสิ่งทัง้ ปวงทีพ่ ระพุทธเจาเคยทรงบรโิ ภค เชน
บาตร จีวร และบริขารอนื่ ๆ เปนตน — Paribhoga-cetiya: a shrine by use or by
association; things and places used by the Buddha, esp. the Bodhi tree)
3. ธรรมเจดยี (เจดยี บ รรจพุ ระธรรม เชน บรรจใุ บลานจารกึ พทุ ธพจนแ สดงหลกั ปฏจิ จสมปุ บาท
เปนตน — Dhamma-cetiya: a doctrinal shrine; monument of the Teaching where
inscribed palm-leaves or tablets or scriptures are housed)
4. อทุ เทสกิ เจดีย (เจดียส รา งอทุ ิศพระพุทธเจา ไดแ ก พระพุทธรูป — Uddesika-cetiya: a
shrine by dedication, i.e. a Buddha-image)
เจดยี เ หลา น้ี ในทม่ี าแตล ะแหง ทา นแสดงไว 3 ประเภท นบั รวมทไ่ี มซ าํ้ เขา ดว ยกนั จงึ เปน 4.
KhA.222; J.IV.228. ขุททฺ ก.อ.247; ชา.อ.6/185; วินย.ฏกี า1/263.
[,,,] ฌาน 4 ดู [9] ฌาน 4.
[142] ถูปารหบุคคล 4 (บคุ คลผูควรแกสถปู , ผูม คี ุณความดพี เิ ศษควรสรางสถูปไว
เคารพบูชา — Thåpàraha-puggala: persons worthy of a stupa or monument)
1. พระตถาคตอรหนั ตสัมมาสัมพุทธเจา (พระพุทธเจา — Buddha: the Buddha; Fully
Enlightened One)
2. พระปจเจกพุทธเจา (Paccekabuddha: Individually Enlightened One; private
Buddha)
3. พระตถาคตสาวก (สาวกของพระพุทธเจา ปกตหิ มายเอาพระอรหันต — Tathàgata-
sàvaka: a disciple of the Buddha; an Arahant)
4. พระเจา จกั รพรรดิ (จอมราชผูทรงธรรม, พระเจา ธรรมกิ ราช — Cakkavatti: a righteous
universal monarch; great righteous king or ruler)
D.II.142. ท.ี ม.10/134/165.
[143] ทักขิณาวิสุทธิ 4 (ความบริสุทธแิ์ หงทักษิณา คือของทาํ บุญ — Dakkhiõà-
visuddhi: purifications of offerings; purities in gifts)
1. ทักขณิ าท่บี ริสุทธ์ฝิ า ยทายก ไมบรสิ ุทธ์ฝิ ายปฏิคาหก (คอื ทายกมีศีลมกี ัลยาณธรรม แต
ปฏิคาหกทศุ ลี มีบาปธรรม — the offering purified on the part of the giver, not of the
recipient)
2. ทักขิณาทีบ่ ริสุทธ์ฝิ ายปฏิคาหก ไมบรสิ ุทธฝ์ิ ายทายก (คือ ทายกทุศีล มบี าปธรรม แต
ปฏิคาหกมีศลี มีกัลยาณธรรม — the offering purified on the part of the recipient,
not of the giver)
[144] 116 พจนานกุ รมพุทธศาสตร
3. ทกั ขิณาที่ไมบ รสิ ทุ ธิ์ทั้งฝา ยทายก ทง้ั ฝายปฏคิ าหก (คือ ท้งั สองฝายทุศีล มบี าปธรรม —
the offering purified on neither side)
4. ทักขณิ าท่ีบรสิ ุทธิท์ ั้งฝา ยทายก ทงั้ ฝา ยปฏคิ าหก (คอื ทั้งสองฝา ยมศี ีล มกี ลั ยาณธรรม —
the offering purified on both sides)
D.III.231; M.III.256; A.II.80; Kvu.557. ที.ปา.11/266/243; ม.อ.ุ 14/714/461; องฺ.จตกุ กฺ .21/78/104; อภิ.ก.37/1732/590.
[,,,] ทรัพยจัดสรรเปน 4 สวน ดู [163] โภควิภาค 4.
[144] ทิฏฐธัมมิกัตถสังวัตตนิกธรรม 4 (ธรรมทเ่ี ปน ไปเพอ่ื ประโยชนใ นปจ จบุ นั ,
หลกั ธรรมอนั อาํ นวยประโยชนส ขุ ขนั้ ตน — Diññhadhammikattha-sa§vattanika-dhamma:
virtues conducive to benefits in the present; virtues leading to temporal welfare)
1. อฏุ ฐานสัมปทา (ถึงพรอ มดว ยความหม่นั คือ ขยันหมั่นเพยี รในการปฏบิ ัติหนาท่กี ารงาน
ประกอบอาชีพอนั สจุ รติ มคี วามชํานาญ รจู ักใชป ญ ญาสอดสอง ตรวจตรา หาอุบายวิธี สามารถ
จดั ดาํ เนนิ การใหไดผ ลดี — Uññhànasampadà: to be endowed with energy and
industry; achievement of diligence)
2. อารกั ขสัมปทา (ถงึ พรอ มดว ยการรกั ษา คอื รูจ ักคุมครองเก็บรกั ษาโภคทรัพย และผลงาน
อนั ตนไดทาํ ไวดว ยความขยันหมนั่ เพียร โดยชอบธรรม ดว ยกําลังงานของตน ไมใหเปน อันตราย
หรือเสื่อมเสีย — ârakkhasampadà: to be endowed with watchfulness;
achievement of protection)
3. กลั ยาณมติ ตตา (คบคนดีเปนมติ ร คือ รจู ักกําหนดบุคคลในถน่ิ ท่ีอาศัย เลอื กเสวนา
สําเหนยี กศึกษาเย่ยี งอยา งทานผทู รงคณุ มศี รทั ธา ศีล จาคะ ปญญา — Kalyàõamittatà: good
company; association with good people)
4. สมชวี ิตา (มีความเปน อยูเ หมาะสม คอื รูจ ักกําหนดรายไดและรายจา ยเล้ียงชวี ิตแตพ อดี มิ
ใหฝ ด เคอื งหรือฟมู ฟาย ใหร ายไดเหนือรายจา ย มีประหยดั เกบ็ ไว — Samajãvità: balanced
livelihood; living economically)
ธรรมหมวดนเี้ รยี กกนั สน้ั ๆ วา ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถะ หรอื เรยี กตดิ ปากอยา งไทยๆ วา ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถ-
ประโยชน (อตั ถะ แปลวา ประโยชน จึงมีประโยชนซาํ้ ซอ นกนั สองคาํ )
A.IV.281. องฺ.อฏก.23/144/289.
[,,,] เทวทูต 4 ดู [150] นิมติ 4.
[,,,] ธรรมมีอุปการะมาก 4 ดู [140] จกั ร 4.
[,,,] ธรรมเปนเหตุใหสมหมาย 4 ดู [191] สมั ปรายิกัตถสงั วัตตนิกธรรม 4.
[145] ธรรมสมาทาน 4 (ขอทย่ี ึดถือเอาเปน หลกั ความประพฤติปฏบิ ัต,ิ หลกั การที่
ประพฤต,ิ การทกี่ ระทาํ , การประกอบกรรม — Dhamma-samàdàna: religious undertakings;
หมวด 4 117 [147]
undertaken courses of practices)
1. ธรรมสมาทานทใ่ี หทกุ ขในปจจุบนั และมที ุกขเปน วิบากตอไป (เชน การประพฤตวิ ตั ร
ทรมานตนของพวกอเจลก หรือการประพฤติอกุศลกรรมบถดวยความยากลําบาก ทง้ั มีความ
เดอื ดรอนใจ เปนตน — the undertaking that gives suffering in the present and
results in suffering in the future)
2. ธรรมสมาทานที่ใหทุกขในปจจุบนั แตม ีสขุ เปน วบิ ากตอ ไป (เชน ผูท กี่ เิ ลสมีกาํ ลังแรงกลา
ฝน ใจพยายามประพฤตพิ รหมจรรยใ หบ รสิ ทุ ธ์ิบรบิ รู ณ หรือผทู ป่ี ระพฤตกิ ศุ ลกรรมบถดว ยความ
ยากลาํ บาก เปนตน — the undertaking that gives suffering in the present but
results in happiness in the future)
3. ธรรมสมาทานทใี่ หส ขุ ในปจ จบุ นั แตม ที กุ ขเ ปน วบิ ากตอ ไป (เชน การหลงมวั เมาหมกมนุ อยใู น
กาม หรอื การประพฤตอิ กศุ ลกรรมบถดว ยความสนกุ สนานพอใจ เปน ตน — the undertaking
that gives happiness in the present but results in suffering in the future)
4. ธรรมสมาทานที่ใหส ุขในปจจบุ นั และมสี ขุ เปน วิบากตอ ไป (เชน ผทู ีก่ เิ ลสมกี าํ ลงั นอ ย
ประพฤติพรหมจรรยด วยความพอใจ ไดเ สวยเนกขัมมสขุ หรือผทู ปี่ ระพฤตกิ ศุ ลกรรมบถดว ย
ความพอใจ ไดเ สวยสขุ โสมนัส เปน ตน — the undertaking that gives happiness in the
present and results in happiness in the future)
D.III.229; M.I.305–316. ท.ี ปา.11/251/241; ม.มู.12/515–534/556–575.
[146] ธาตุ 4 (ส่งิ ทที่ รงสภาวะของตนอยูเอง คอื มีอยโู ดยธรรมดา เปนไปตามเหตปุ จจยั ไมม ี
ผสู ราง ไมมีอัตตา มใิ ชส ตั ว มิใชช วี ะ — Dhàtu: elements) ไดแก ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ
และ วาโยธาตุ คือ มหาภูต หรือ ภูตรปู 4 น่ันเอง. ดู [39] มหาภตู 4 และ [147] ธาตุ-กมั มัฏฐาน
4
[147] ธาตุกัมมัฏฐาน 4 (กรรมฐานคอื ธาต,ุ กรรมฐานท่ีพิจารณาธาตเุ ปน อารมณ คือ
กาํ หนดพจิ ารณากายนแ้ี ยกเปน สวนๆ ใหเ ห็นวาเปน เพยี งธาตุสแ่ี ตละอยา ง ไมใ ชข องเรา ไมใ ชเ รา
ไมใ ชต วั ตนของเรา — Dhàtu-kammaññhàna: meditation on the elements; meditation
subject consisting of elements)
1. ปฐวีธาตุ (Pañhavã-dhàtu: the earth-element) คอื ธาตทุ ่ีมลี ักษณะแขนแข็ง ภายในตวั ก็
มี ภายนอกตวั กม็ ี กลาวเฉพาะทีเ่ ปน ภายใน สําหรบั กําหนด พอใหส าํ เรจ็ ประโยชนเ ปน อารมณ
ของกรรมฐาน ไดแก ผม ขน เล็บ ฟน หนงั เนื้อ เอน็ กระดกู เย่ือในกระดูก มา ม หัวใจ ตบั
พังผดื ไต ปอด ไสใหญ ไสน อย อาหารใหม อาหารเกา หรอื ส่งิ อืน่ ใดกต็ ามในตัว ทม่ี ีลักษณะ
แขนแขง็ เปน ตน อยางเดียวกนั นี้
2. อาโปธาตุ (âpo-dhàtu: the water-element) คือ ธาตทุ ีม่ ลี ักษณะเอิบอาบ ภายในตัวกม็ ี
ภายนอกตัวกม็ ี กลาวเฉพาะท่ีเปนภายใน สําหรบั กําหนด พอใหสาํ เรจ็ ประโยชนเ ปนอารมณของ
[148] 118 พจนานุกรมพุทธศาสตร
กรรมฐาน ไดแ ก ดี เสลด หนอง เลอื ด เหง่อื มันขน นํ้าตา เปลวมนั น้ําลาย นํ้ามูก ไขขอ มูตร
หรอื สงิ่ อ่ืนใดกต็ ามในตวั ท่มี ลี ักษณะเอิบอาบเปน ตน อยางเดียวกนั นี้
3. เตโชธาตุ (Tejo-dhàtu: the fire-element) คือ ธาตุทมี่ ีลกั ษณะรอน ภายในตัวก็มี ภาย
นอกตัวก็มี กลาวเฉพาะท่เี ปน ภายใน สาํ หรบั กําหนด พอใหส ําเร็จประโยชนเปนอารมณข อง
กรรมฐาน ไดแก ไฟทย่ี งั กายใหอ บอนุ ไฟทย่ี งั กายใหท รดุ โทรม ไฟท่ียังกายใหก ระวนกระวาย
ไฟทีย่ ังอาหารใหย อ ย หรอื สิ่งอ่นื ใดก็ตามในตวั ท่มี ีลกั ษณะรอนเปน ตน อยา งเดยี วกันน้ี
4. วาโยธาตุ (Vàyo-dhàtu: the air-element) คอื ธาตทุ ่ีมีลักษณะพดั ผันเครงตึง ภายในตวั
ก็มี ภายนอกตัวก็มี กลาวเฉพาะที่เปนภายใน สําหรบั กําหนด พอใหส ําเรจ็ ประโยชนเ ปนอารมณ
ของกรรมฐาน ไดแก ลมพัดข้นึ เบื้องบน ลมพัดลงเบอื้ งตาํ่ ลมในทอง ลมในไส ลมซานไปตามตวั
ลมหายใจ หรือสิง่ อืน่ ใดก็ตามในตัว ท่มี ีลกั ษณะพดั ผันไปเปนตน อยางเดยี วกนั นี้
ตวั อยา งธาตทุ ่ีแสดงขา งตน น้ี ในปฐวธี าตมุ ี 19 อยา ง ในอาโปธาตุมี 12 อยาง เติมมตั ถลุงค
คอื มนั สมอง เขาเปน ขอสดุ ทายในปฐวธี าตุ รวมเปน 32 เรียกวา อาการ 32 หรอื ทวัตตงิ สาการ
(มัตถลุงคไ มมใี นปฐวีธาตุ 19 อยาง เพราะรวมเขา ในอฏั ฐมิ ิญชะ คอื เย่ือในกระดูก)
ธาตกุ มั มฏั ฐานน้ี เรยี กอยา งอน่ื วา ธาตมุ นสกิ าร (การพจิ ารณาธาตุ — Dhàtu-manasikàra:
contemplation on the elements) บา ง จตธุ าตวุ วฏั ฐาน (การกาํ หนดธาตสุ ่ี — Catudhàtu-
vavaññhàna: determining of the four elements) บา ง เมื่อพจิ ารณากําหนดธาตุ 4 ดว ย
สตสิ ัมปชัญญะ มองเห็นความเกิดข้ึนและความเสือ่ มสลายไปในกาย ตระหนกั วากายนีก้ ส็ ักวา
กาย มิใชส ัตว บุคคล ตวั ตน เราเขา ดงั น้ี จัดเปนกายานุปสสนาสติปฏฐานสวนหน่ึง (หมวดที่ 5
คอื ธาตุมนสิการบรรพ).
D.II.294; M.I.185; M.III.240; Vism.347. ท.ี ม.10/278/329; ม.มู.12/342/350; ม.อุ.14/684–7/437; วิสุทธฺ .ิ 2/161.
[148] ธาตุ 6 (Dhàtu: the six elements) ไดแกธาตุ 4 หรอื มหาภตู 4 คือ ปฐวีธาตุ
อาโปธาตุ เตโชธาตุ และ วาโยธาตุ น้นั กบั เพิ่มอกี 2 อยา ง คอื
5. อากาสธาตุ (สภาวะทว่ี า ง โปรง ไป เปน ชอ ง — âkàsa-dhàtu: the space-element)
6. วิญญาณธาตุ (สภาวะท่รี แู จงอารมณ ธาตุรู ไดแ กวิญญาณธาตุ 6 คือ จักขวุ ิญญาณธาตุ
โสต~ ฆาน~ ชิวหา~ กาย~ มโนวิญญาณธาตุ — Vi¤¤àõa-dhàtu: element of
consciousness; consciousness-element)
ดู [39] มหาภตู 4 และ [146] ธาตุ 4.
M.III.31; Vbh.82. ม.อ.ุ 14/169/125; อภิ.ว.ิ 35/114/101.
[149] ธาตุกัมมัฏฐาน 6 ไดแ ก ธาตกุ มั มฏั ฐาน 4 น้นั และเพ่มิ อกี 2 อยาง คือ
5. อากาสธาตุ (the space-element) คอื ธาตุที่มลี กั ษณะเปน ชองวาง ภายในตวั ก็มี ภาย
นอกตัวก็มี กลาวเฉพาะภายใน สําหรับกาํ หนด พอใหส ําเรจ็ ประโยชน เปน อารมณข องกรรมฐาน
ไดแ ก ชอ งหู ชองจมกู ชอ งปาก ชอ งทวารหนัก ทวารเบา ชองแหงอวยั วะทงั้ หลาย หรือที่อ่ืนใดท่ี
หมวด 4 119 [152]
มลี ักษณะเปนชอ งวา งอยางเดียวกันน้ี
6. วญิ ญาณธาตุ (the consciousness-element) คอื ธาตุท่ีมีลกั ษณะเปนเครอ่ื งรูแ จง
อารมณ กลา วคอื วิญญาณธาตุ 6.
ดู [147] ธาตุกมั มฏั ฐาน 4; [148] ธาตุ 6.
M.III.240. ม.อุ.14/684–9/437–440.
[150] นิมิต 4 (เครือ่ งหมาย, เครือ่ งกําหนด, สิ่งทีพ่ ระโพธสิ ตั วท อดพระเนตรเหน็ อนั เปน
เหตปุ รารภทีจ่ ะเสด็จออกบรรพชา — Nimitta: the Four Signs; the Four Sights on
seeing which the Bodhisatta went forth in the Great Renunciation)
1. ชิณณะ (คนแก — Jiõõa: an old man)
2. พยาธติ ะ หรอื อาพาธกิ ะ (คนเจ็บ — Byàdhita, âbàdhika: a sick man)
3. กาลกตะ (= มตะ, คนตาย — Mata: a dead man)
4. ปพพชติ ะ (บรรพชิต, นกั บวช — Pabbajita: a religious; holy man; monk)
สามอยางแรกมชี ือ่ เรยี กรวมวา เทวทูต 3 เปน เครอื่ งหมายหรอื สัญญาณเตือนใหระลึกถึง
ความทกุ ขตามคตธิ รรมดาของชีวิตและบงั เกิดความสังเวช อยางทสี่ ีค่ ือบรรพชติ เปน เคร่อื งหมาย
ใหม องเห็นทางออกท่ีจะพนไปจากทุกข บางแหงทา นเรียกรวมๆ ไปวา เทวทูต 4 โดยอธิบายชนั้
หลังวา เปน ทูตของวสิ ุทธิเทพ แตต ามบาลีเรยี กวา นมิ ิต 4.
D.II.22; Bv.XVII.14. ที.ม.10/32–38/24–35; ข.ุ พุทธ.33/26/544.
[151] บริษัท 41 (ชุมนุม, ท่ีประชมุ , หมูแหงพทุ ธศาสนกิ , ชมุ ชนชาวพุทธ — Parisà: the
Four Assemblies; companies)
1. ภกิ ษุบรษิ ัท (Bhikkhu-parisà: assembly of monks; Bhikkhus)
2. ภกิ ษุณีบรษิ ัท (Bhikkhunã-parisà: assembly of nuns; Bhikkhunis)
3. อบุ าสกบริษัท (Upàsaka-parisà: assembly of lay-followers)
4. อบุ าสกิ าบริษัท (Upàsikà-parisà: assembly of female lay-followers)
A.II.132. อง.ฺ จตุกกฺ .21/129/178.
[152] บริษัท 42 (ชมุ นมุ , ทป่ี ระชมุ , ชมุ ชนตามระบบสงั คม — Parisà: assembly; company)
1. ขตั ติยบริษทั (ชมุ นุมเจานาย — Khattiya-parisà: company of noblemen)
2. พราหมณบริษทั (ชมุ นุมพราหมณ — Bràhmaõa-parisà: company of brahmins)
3. คหบดีบรษิ ัท (ชมุ นุมคฤหบดี — Gahapati-parisà: company of householders)
4. สมณบรษิ ทั (ชุมนมุ สมณะ — Samaõa-parisà: company of recluses)
A.II.132. อง.ฺ จตกุ กฺ .21/130/179.
[153] 120 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร
[153] บุคคล 4 (ประเภทของบคุ คล — Puggala: four kinds of persons)
1. อคุ ฆฏิตัญู (ผทู ่ีพอยกหวั ขอ กร็ ,ู ผูร เู ขาใจไดฉับพลนั แตพอทานยกหัวขอขน้ึ แสดง —
Ugghañita¤¤å: a person of quick intuition; the genius; the intuitive)
2. วิปจิตญั ู (ผรู ตู อ เมื่อขยายความ, ผูรูเขา ใจได ตอเม่ือทานอธบิ ายความพสิ ดารออกไป —
Vipacita¤¤å: a person who understands after a detailed treatment; the intellectual)
3. เนยยะ (ผทู พี่ อจะแนะนาํ ได, ผทู พี่ อจะคอ ยชแี้ จงแนะนาํ ใหเ ขา ใจได ดว ยวธิ กี ารฝก สอนอบรม
ตอ ไป — Neyya: a person who is guidable; the trainable)
4. ปทปรมะ (ผมู ีบทเปนอยา งย่งิ , ผอู บั ปญ ญา สอนใหรไู ดแตเ พยี งตัวบทคอื พยัญชนะ หรือ
ถอยคาํ ไมอาจเขา ใจอรรถคอื ความหมาย — Padaparama: a person who has just word
of the text at most; an idiot)
A.II.135; Pug 41; Nett.7,125. องฺ.จตุกกฺ .21/133/183; อภ.ิ ปุ.36/108/185.
[154] ปฏิปทา 4 (แนวปฏบิ ตั ,ิ ทางดําเนนิ , การปฏบิ ตั ิแบบทเี่ ปน ทางดาํ เนนิ ใหถึงจดุ หมาย
คือความหลดุ พน หรือความสิ้นอาสวะ — Pañipadà: modes of practice; modes of
progress to deliverance)
1. ทกุ ฺขา ปฏิปทา ทนฺธาภิ ฺา (ปฏิบตั ิลาํ บาก ท้ังรไู ดช า เชนผูปฏิบัตทิ ีม่ ีราคะ โทสะ โมหะ
แรงกลา ตองเสวยทกุ ขโทมนสั เน่อื งจากราคะ โทสะ โมหะนน้ั อยูเ นอื งๆ หรอื เจรญิ กรรมฐานทม่ี ี
อารมณไ มนาชนื่ ใจ เชน อสุภะ เปนตน อกี ทง้ั อนิ ทรียก ็ออน จึงบรรลุโลกตุ ตรมรรคลา ชา พระ
จกั ขุบาลอาจเปนตัวอยางในขอนีไ้ ด — Dukkhà pañipadà dandhàbhi¤¤à: painful progress
with slow insight)
2. ทกุ ขฺ า ปฏปิ ทา ขปิ ปฺ าภิ ฺ า (ปฏบิ ตั ลิ าํ บาก แตร ไู ดเ รว็ เชน ผปู ฏบิ ตั ทิ ม่ี รี าคะ โทสะ โมหะแรง
กลา ตอ งเสวยทกุ ขโ ทมนสั เนอื่ งจากราคะ โทสะ โมหะนน้ั อยเู นอื งๆ หรอื เจรญิ กรรมฐานทมี่ อี ารมณไ ม
นา ชน่ื ใจ เชน อสภุ ะ เปน ตน แตม อี นิ ทรยี แ กก ลา จงึ บรรลโุ ลกตุ ตรมรรคเรว็ ไว บาลยี กพระมหา
โมคคลั ลานะเปน ตวั อยา ง — Dukkhà pañipadà khippàbhi¤¤à: painful progress with quick
insight)
3. สขุ า ปฏิปทา ทนฺธาภิฺา (ปฏบิ ัตสิ บาย แตรูไดช า เชน ผปู ฏบิ ัตทิ ม่ี ีราคะ โทสะ โมหะไม
แรงกลา ไมตอ งเสวยทกุ ขโ ทมนสั เนอ่ื งจากราคะ โทสะ โมหะนัน้ เนืองนติ ย หรอื เจรญิ สมาธิได
ฌาน 4 อนั เปนสุขประณตี แตม อี ินทรยี ออน จึงบรรลุโลกตุ ตรมรรคลา ชา — Sukhà pañipadà
dandhàbhi¤¤à: pleasant progress with slow insight)
4. สขุ า ปฏปิ ทา ขปิ ปฺ าภิ ฺ า (ปฏบิ ตั สิ บาย ทง้ั รไู ดไ ว เชน ผปู ฏบิ ตั ทิ ม่ี รี าคะ โทสะ โมหะไมแ รง
กลา ไมต อ งเสวยทกุ ขโ ทมนสั เนอ่ื งจากราคะ โทสะ โมหะนน้ั เนอื งนติ ย หรอื เจรญิ สมาธไิ ดฌ าน 4 อนั
เปน สขุ ประณตี อกี ทงั้ มอี นิ ทรยี แ กก ลา จงึ บรรลโุ ลกตุ ตรมรรคเรว็ ไว บาลยี กพระสารบี ตุ รเปน ตวั อยา ง
— Sukhà pañipadà khippàbhi¤¤à: pleasant progress with quick insight)
A.II.149–152,154–5. อง.ฺ จตุกฺก.21/161–3/200–4; 167–8/207–9.
หมวด 4 121 [157]
[155] ปฏิสัมภิทา 4 (ปญญาแตกฉาน — Pañisambhidà: analytic insight;
penetrating insight; discrimination)
1. อัตถปฏิสมั ภทิ า (ปญญาแตกฉานในอรรถ, ปรีชาแจง ในความหมาย, เหน็ ขอธรรมหรอื
ความยอ ก็สามารถแยกแยะอธิบายขยายออกไปไดโ ดยพิสดาร เห็นเหตอุ ยางหนึ่ง กส็ ามารถคดิ
แยกแยะกระจายเช่อื มโยงตอ ออกไปไดจ นลว งรูถึงผล — Attha-pañisambhidà: discrimi-
nation of meanings; analytic insight of consequence)
2. ธมั มปฏสิ มั ภทิ า (ปญ ญาแตกฉานในธรรม, ปรชี าแจง ในหลกั , เหน็ อรรถาธบิ ายพสิ ดาร ก็
สามารถจบั ใจความมาตง้ั เปน กระทหู รอื หวั ขอ ได เหน็ ผลอยา งหนง่ึ กส็ ามารถสบื สาวกลบั ไปหาเหตุ
ได — Dhamma-pañisambhidà: discrimination of ideas; analytic insight of origin)
3. นริ ตุ ติปฏสิ ัมภทิ า (ปญ ญาแตกฉานในนริ ุกต,ิ ปรีชาแจงในภาษา, รศู พั ท ถอ ยคําบญั ญัติ
และภาษาตางๆ เขา ใจใชค าํ พูดชแี้ จงใหผอู น่ื เขา ใจและเห็นตามได — Nirutti-pañisambhidà:
discrimination of language; analytic insight of philology)
4. ปฏภิ าณปฏสิ มั ภทิ า (ปญ ญาแตกฉานในปฏภิ าณ, ปรชี าแจง ในความคดิ ทนั การ, มไี หวพรบิ
ซมึ ซาบในความรูท ี่มีอยู เอามาเชอื่ มโยงเขาสรางความคดิ และเหตุผลขึ้นใหม ใชป ระโยชนไ ดสบ
เหมาะ เขา กบั กรณเี ขา กบั เหตกุ ารณ — Pañibhàõa-pañisambhidà: discrimination of
sagacity; analytic insight of ready wit; initiative, creative and applicative insight)
A.II.160; Ps.I.119; Vbh.294. องฺ.จตกุ ฺก.21/172/216; ข.ุ ปฏ.ิ 31/268/175; อภิ.วิ.35/784/400.
[156] ปธาน 4 (ความเพียร — Padhàna: effort; exertion)
1. สงั วรปธาน (เพยี รระวงั หรือเพยี รปด กั้น คือ เพียรระวังยบั ยง้ั บาปอกุศลธรรมทย่ี ังไมเกดิ มิ
ใหเกดิ ขึน้ — Sa§vara-padhàna: the effort to prevent; effort to avoid)
2. ปหานปธาน (เพียรละหรือเพียรกําจัด คือ เพียรละบาปอกศุ ลธรรมทเี่ กิดขนึ้ แลว —
Pahàna-padhàna: the effort to abandon; effort to overcome)
3. ภาวนาปธาน (เพยี รเจริญ หรอื เพียรกอใหเกดิ คอื เพยี รทํากศุ ลธรรมที่ยังไมเ กดิ ใหเ กิดมี
ขนึ้ — Bhàvanà-padhàna: the effort to develop)
4. อนรุ ักขนาปธาน (เพียรรักษา คอื เพียรรักษากุศลธรรมทเี่ กดิ ขนึ้ แลวใหต งั้ ม่ัน และให
เจริญย่ิงขน้ึ ไปจนไพบูลย — Anurakkhanà-padhàna: the effort to maintain)
ปธาน 4 นี้ เรียกอกี อยางวา สัมมปั ปธาน 4 (ความเพยี รชอบ, ความเพยี รใหญ —
Sammappadhàna: right exertions; great or perfect efforts)
A.II.74,16,15. องฺ.จตกุ ฺก.21/69/96; 14/20; 13/19.
[157] ปรมัตถธรรม 4 (สภาวะท่ีมีอยูโดยปรมัตถ, สิ่งท่ีเปนจริงโดยความหมายสูง
สุด — Paramattha-dhamma: ultimate realities; abstract realities; realities in the
[158] 122 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร
ultimate sense)
1. จิต (สภาพที่คิด, ภาวะท่รี ูแจงอารมณ — Citta: consciousness; state of conscious-
ness)
2. เจตสิก (สภาวะท่ีประกอบกบั จิต, คณุ สมบัตแิ ละอาการของจิต — Cetasika: mental
factors)
3. รูป (สภาวะที่เปนราง พรอมทัง้ คุณและอาการ — Råpa: matter; corporeality)
4. นิพพาน (สภาวะทสี่ ิ้นกเิ ลสและทกุ ขท้ังปวง, สภาวะท่ีปราศจากตัณหา — Nibbàna)
ดู รายละเอียดแตล ะอยา งใน [356] จิต 89; [355] เจตสิก 52; [38] รปู 28; [27] นิพพาน 2.
Comp.81. สงคฺ ห.1.
[158] ประมาณ หรอื ปมาณิก 4 (บุคคลท่ถี อื ประมาณตางๆ กัน, คนในโลกผถู ือเอา
คุณสมบัติตางๆ กัน เปนเครื่องวัดในการที่จะเกิดความเช่ือความเล่ือมใส — Pamàõa,
Pamàõika: those who measure, judge or take standard)
1. รูปประมาณ (ผูถือประมาณในรปู , บคุ คลท่ีมองเหน็ รปู รา งสวยงาม ทรวดทรงดี อวยั วะ
สมสวน ทา ทางสงา สมบรู ณพ รอม จงึ ชอบใจเล่ือมใสนอมใจท่ีจะเชอ่ื ถอื — Råpa-pamàõa:
one who measures by form or outward appearance; one whose faith depends on
good appearance)
2. โฆษประมาณ (ผถู ือประมาณในเสียง, บุคคลทไ่ี ดย ินไดฟ ง เสยี งสรรเสรญิ เกยี รตคิ ุณหรือ
เสียงพดู จาทไี่ พเราะ จึงชอบใจเลื่อมใสนอ มใจท่จี ะเช่อื ถอื — Ghosa-pamàõa: one who
measures by voice or reputation; one whose faith depends on sweet voice or
good reputation)
3. ลูขประมาณ (ผถู ือประมาณในความคร่าํ หรอื เศราหมอง, บคุ คลทีม่ องเหน็ ส่ิงของเครอ่ื งใช
ความเปนอยูท่ีเศราหมอง เชน จีวรคราํ่ ๆ เปนตน หรือมองเห็นการกระทาํ ครํ่าเครียดเปน
ทุกรกิริยา ประพฤติเครงครัดเขมงวดขูดเกลาตน จึงชอบใจเล่ือมใสนอมใจที่จะเช่ือถือ —
Låkha-pamàõa: one who measures or judges by shabbiness, mediocrity or hard
life; one whose faith depends on shabbiness or ascetic or self-denying practices)
4. ธรรมประมาณ (ผูถอื ประมาณในธรรม, บคุ คลทีพ่ ิจารณาดว ยปญ ญาเหน็ สารธรรมหรือการ
ปฏิบตั ิดปี ฏิบัติชอบ คือ ศีล สมาธิ ปญ ญา จึงชอบใจเลือ่ มใสนอ มใจท่จี ะเชือ่ ถอื — Dhamma-
pamàõa: one who measures or judges by the teaching or righteous behaviour;
one whose faith depends on right teachings and practices)
บุคคล 3 จําพวกตน ยงั มีทางพลาดไดม าก โดยอาจเกิดความติดใคร ถูกครอบงาํ ชกั พาไป
ดว ยความหลง ถูกพดั วนเวยี นหรอื ตดิ อยูแ คภายนอก ไมร ูจกั คนที่ตนมองไดอ ยา งแทจ รงิ และ
ไมเ ขาถงึ สาระ สวนผูถือธรรมเปน ประมาณ จึงจะรชู ดั คนท่ีตนมองอยางแทจ รงิ ไมถูกพัดพาไป
หมวด 4 123 [160]
เขาถงึ ธรรมทป่ี ราศจากสงิ่ ครอบคลุม
พระพทุ ธเจา ทรงมีพระคุณสมบัตสิ มกบั ทั้งสขี่ อ (เฉพาะขอ 3 ทรงถอื แตพอดี) จงึ ทรง
ครองใจคนทกุ จําพวกไดทัง้ หมด คนท่ีเหน็ พระพทุ ธเจาแลว ท่จี ะไมเลอ่ื มใสนั้น หาไดยากยงิ่ นัก
ในช้ันอรรถกถา นิยมเรียกบคุ คล 4 ประเภทน้วี า รปู ป ปมาณิกา โฆสัปปมาณกิ า
ลูขัปปมาณกิ า และ ธมั มัปปมาณกิ า ตามลาํ ดบั
A.II.71; Pug.7,53; DhA.114; SnA.242. อง.ฺ จตุกกฺ .21/65/93; อภิ.ป.ุ 36/10/135; 133/204; ธ.อ.5/100; สุตฺต.อ.1/329.
[159] ปจจัย 4 (สงิ่ คา้ํ จนุ ชีวิต, ส่ิงจําเปน เบ้ืองตนของชีวิต, สงิ่ ทีต่ อ งอาศยั เลี้ยงอัตภาพ —
Paccaya: the four necessities of life; requisites)
1. จวี ร (ผา นงุ หม — Cãvara: robes; clothing)
2. บิณฑบาต (อาหาร — Piõóapàta: almsfood; food)
3. เสนาสนะ (ท่ีอยูอาศยั , ทน่ี ัง่ ท่นี อน — Senàsana: lodging)
4. คลิ านปจ จยั เภสชั บรขิ าร หรอื เภสชั (ยาและอปุ กรณร กั ษาโรค — Bhesajja: medicine;
medical equipment)
ส่อี ยา งนี้ สาํ หรับภกิ ษุ จาํ กดั เขา อกี เรยี กวา นสิ สัย 4 แปลวา เครอ่ื งอาศยั ของบรรพชิต
(Nissaya: resources; means of support on which the monastic life depends)
1. ปณ ฑิยาโลปโภชนะ (โภชนะคอื คาํ ขา วทไี่ ดมาดวยกาํ ลังปลแี ขง — Piõóiyàlopa-bhojana:
almsfood of scraps; food obtained by going on the alms-gathering)
2. บงั สุกุลจีวร (ผา ทเ่ี ขาทง้ิ ตามกองขยะหรอื ตามปา ชา — Pa§sukålacãvara: discarded
cloth taken from the rubbish heap or the charnel ground; rag-robes)
3. รกุ ขมลู เสนาสนะ (อยอู าศยั โคนไม — Rukkhamålasenàsana: dwelling at the foot
of a tree)
4. ปูติมุตตเภสชั (ยานํา้ มตู รเนา — Påtimuttabhesajja: medicines pickled in stale
urine: ammonia as a medicine)
สว นทอ่ี นญุ าตนอกเหนอื จากนเ้ี ปน อดเิ รกลาภ (extra acquisitions; extra allowance)
Vin.I.58. วินย.4/87/106.
[,,,] ปญญาวุฒิธรรม 4 ดู [179] วฒุ ธิ รรม 4
[160] ปาริสุทธิศีล 4 (ศีลคือความบรสิ ทุ ธ์,ิ ศีลเครื่องใหบ รสิ ทุ ธ,ิ์ ความประพฤติ
บริสทุ ธ์ทิ ่จี ดั เปนศีล — Pàrisuddhi-sãla: morality consisting in purity; morality for
purification; morality of pure conduct)
1. ปาฏิโมกขสังวรศีล (ศีลคือความสํารวมในพระปาฏิโมกข เวนจากขอหาม ทําตามขอ
อนญุ าต ประพฤติเครง ครัดในสิกขาบทท้ังหลาย — Pàñimokkhasa§vara-sãla: restraint in
[161] 124 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร
accordance with the monastic disciplinary code)
2. อินทรยี สังวรศลี (ศีลคือความสาํ รวมอนิ ทรยี ระวังไมใหบ าปอกศุ ลธรรมครอบงาํ เมอ่ื รบั รู
อารมณด ว ยอนิ ทรยี ท งั้ 6 — Indriyasa§vara-sãla: restraint of the senses; sense-control)
3. อาชวี ปารสิ ทุ ธศิ ีล (ศลี คอื ความบริสทุ ธิ์แหงอาชีวะ เลยี้ งชีวติ โดยทางท่ีชอบ ไมป ระกอบ
อเนสนา มีหลอกลวงเขาเลยี้ งชพี เปนตน — âjãvapàrisuddhi-sãla: purity of conduct as
regards livelihood)
4. ปจ จยั สนั นสิ ติ ศีล (ศีลท่ีเกี่ยวกบั ปจ จัย 4 ไดแ กปจจยั ปจจเวกขณ คือพิจารณาใชส อย
ปจจัยส่ี ใหเปนไปตามความหมายและประโยชนของส่ิงนั้น ไมบริโภคดวยตัณหา —
Paccayasannissita-sãla: pure conduct as regards the necessities of life)
Vism.16; Comp.212. วสิ ทุ ฺธิ.1/19; สงคฺ ห.55.
[,,,] ผล 4 ดู [165] ผล 4.
[,,,] พร 4 ดู [227] พร 5.
[161] พรหมวิหาร 4 (ธรรมเครื่องอยอู ยา งประเสรฐิ , ธรรมประจําใจอันประเสรฐิ , หลกั
ความประพฤตทิ ีป่ ระเสรฐิ บรสิ ทุ ธ์,ิ ธรรมท่ตี องมีไวเ ปนหลักใจและกาํ กบั ความประพฤติ จึงจะช่อื
วาดําเนินชวี ิตหมดจด และปฏิบตั ิตนตอมนุษยสตั วทง้ั หลายโดยชอบ — Brahmavihàra: holy
abidings; sublime states of mind)
1. เมตตา (ความรกั ปรารถนาดอี ยากใหเขามคี วามสุข มีจติ อนั แผไมตรแี ละคิดทําประโยชนแก
มนุษยส ัตวท่ัวหนา — Mettà: loving-kindness; friendliness; goodwill)
2. กรุณา (ความสงสาร คดิ ชวยใหพ นทกุ ข ใฝใจในอนั จะปลดเปล้ืองบําบัดความทุกขยากเดอื ด
รอ นของปวงสัตว — Karuõà: compassion)
3. มุทติ า (ความยนิ ดี ในเมอ่ื ผอู น่ื อยูด ีมสี ขุ มจี ิตผอ งใสบันเทิง กอปรดว ยอาการแชม ชื่นเบิก
บานอยเู สมอ ตอ สัตวท้ังหลายผูดํารงในปกตสิ ุข พลอยยินดดี วยเมือ่ เขาไดดีมสี ุข เจริญงอกงาม
ยิง่ ข้ึนไป — Mudità: sympathetic joy; altruistic joy)
4. อุเบกขา (ความวางใจเปนกลาง อันจะใหด ํารงอยใู นธรรมตามทีพ่ ิจารณาเห็นดว ยปญญา คอื
มีจติ เรียบตรงเทยี่ งธรรมดจุ ตราชู ไมเ อนเอียงดว ยรักและชัง พิจารณาเห็นกรรมทสี่ ัตวท ้งั หลาย
กระทําแลว อันควรไดรับผลดีหรือช่วั สมควรแกเหตอุ ันตนประกอบ พรอมทจี่ ะวนิ จิ ฉัยและ
ปฏิบัตไิ ปตามธรรม รวมทงั้ รจู ักวางเฉยสงบใจมองดู ในเมอื่ ไมมีกิจทีค่ วรทาํ เพราะเขารับผิดชอบ
ตนไดดแี ลว เขาสมควรรบั ผดิ ชอบตนเอง หรือเขาควรไดรับผลอนั สมกบั ความรับผิดชอบของตน
— Upekkhà: equanimity; neutrality; poise)
ผดู าํ รงในพรหมวหิ าร ยอ มชวยเหลอื มนษุ ยส ตั วท้ังหลายดวยเมตตากรุณา และยอ มรกั ษา
ธรรมไวไ ดดว ยอุเบกขา ดังนัน้ แมจะมกี รุณาทจี่ ะชว ยเหลอื ปวงสัตวแ ตก ต็ อ งมีอุเบกขาดวยท่จี ะมิ
ใหเสียธรรม
หมวด 4 125 [161]
พรหมวิหารนี้ บางทีแปลวา ธรรมเครอื่ งอยขู องพรหม, ธรรมเครื่องอยอู ยางพรหม, ธรรม
ประจําใจที่ทาํ ใหเปนพรหมหรือใหเสมอดวยพรหม, หรอื ธรรมเครอ่ื งอยขู องทานผูมคี ณุ ยิง่ ใหญ
— (abidings of the Great Ones)
พรหมวหิ าร 4 เรียกอกี อยา งวา อปั ปมัญญา 4 (Appama¤¤à: unbounded states of
mind; illimitables) เพราะแผส ม่าํ เสมอโดยท่วั ไปในมนษุ ยสตั วท ง้ั หลาย ไมมีประมาณ ไม
จาํ กดั ขอบเขต
พรหมวหิ ารมใี นผใู ด ยอ มทาํ ใหผ นู นั้ ประพฤตปิ ฏบิ ตั เิ กอ้ื กลู แกผ อู น่ื ดว ยสงั คหวตั ถเุ ปน ตน .
อนง่ึ ในการที่จะเขาใจและปฏิบัติพรหมวิหาร 4 ใหถูกตอง พึงทราบรายละเอียดบางอยา ง
โดยเฉพาะสมบตั ิ และวิบตั ิ ของธรรม 4 ประการนนั้ ดังน้ี
ก. ความหมายโดยวเิ คราะหศัพท
1. เมตตา = (มนี าํ้ ใจ)เยอื่ ใยใฝป ระโยชนส ขุ แกค นสตั วท ง้ั หลาย หรอื นา้ํ ใจปรารถนาประโยชนส ขุ ที่
เปนไปตอ มติ ร
2. กรุณา = ทาํ ความสะเทือนใจแกสาธุชน เม่อื คนอื่นประสบทุกข หรอื ถา ยถอนทําทุกขของผอู ่ืน
ใหห มดไป หรือแผใ จไปรับรูตอคนสตั วท้งั หลายทีป่ ระสบทกุ ข
3. มุทิตา = โมทนายนิ ดีตอ ผปู ระกอบดวยสมบตั ิหรือผลดนี ้ันๆ
4. อุเบกขา = คอยมองดอู ยู โดยละความขวนขวายวา สัตวท งั้ หลายจงอยา ผูกเวรกนั เปนตน
และโดยเขาถงึ ความเปนกลาง
ข. ลกั ษณะ หนาท่ีหรอื กิจ (รส) ผลปรากฏ (ปจจุปฏ ฐาน) และปทสั ถาน (เหตุใกล)
1. เมตตา = (ในสถานการณท่ีคนอ่นื อยูเปน ปกต)ิ
ลกั ษณะ = เปน ไปโดยอาการเกือ้ กูลแกคนสตั วท งั้ หลาย
หนาท่ี = นอมนาํ ประโยชนเ ขา ไปใหแกเขา
ผลปรากฏ = กําจดั ความอาฆาตแคนเคืองใหป ราศไป
ปทสั ถาน = เหน็ ภาวะท่นี าเจริญใจของคนสตั วท งั้ หลาย
2. กรุณา = (ในสถานการณทค่ี นอน่ื ตกทุกขเ ดอื ดรอน)
ลกั ษณะ = เปนไปโดยอาการปลดเปลอ้ื งทกุ ขแกคนสตั วท ้งั หลาย
หนาท่ี = ไมน งิ่ ดดู าย/ทนนง่ิ อยไู มไดต อ ทุกขข องคนสตั วทัง้ หลาย
ผลปรากฏ = ไมเ บยี ดเบยี น/อวิหิงสา
ปทสั ถาน = เห็นภาวะไรท ีพ่ ่ึง/สภาพนาอนาถของคนสตั วทั้งหลายท่ีถูกทกุ ขค รอบงํา
3. มทุ ติ า = (ในสถานการณท่ีคนอ่ืนมีสขุ สาํ เรจ็ หรือทาํ อะไรกาวไปดวยดี)
ลกั ษณะ = พลอยยินดี/ยนิ ดีดว ย
หนาที่ = ไมริษยา/เปน ปฏปิ กษตอความรษิ ยา
ผลปรากฏ = ขจดั ความรษิ ยา ความไมยนิ ดหี รือความทนไมไดตอ ความสขุ สาํ เร็จของผูอ่นื
[161] 126 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร
ปทัสถาน = เหน็ สมบตั /ิ ความสําเรจ็ ของคนสตั วทงั้ หลาย
4. อเุ บกขา = (ในสถานการณรกั ษาธรรมตามความรบั ผดิ ชอบตอ กรรมทเ่ี ขาทาํ )
ลกั ษณะ = เปนไปโดยอาการเปน กลางตอคนสตั วท ้งั หลาย
หนาที่ = มองเหน็ ความเสมอภาคกนั ในสตั วทงั้ หลาย
ผลปรากฏ = ระงับความขัดเคอื งเสยี ใจและความคลอ ยตามดีใจ
ปทัสถาน = มองเหน็ ภาวะท่ที ุกคนเปน เจา ของกรรมของตน วา สัตวท้ังหลายจักไดส ุข พน ทุกข
ไมเ สอื่ มจากสมบตั ิท่ไี ดท ี่ถึง ตามใจชอบไดอยา งไร
ค. สมบัติ (ความสมบรู ณหรือความสมั ฤทธิ์ผล) และวบิ ัติ (ความลมเหลว หรอื การปฏิบตั ผิ ิด
พลาด ไมสําเรจ็ ผล)
1. เมตตา: สมบตั ิ = สงบหายไรค วามแคนเคอื งไมพอใจ
วบิ ตั ิ = เกิดเสนหา
2. กรุณา: สมบัติ = สงบหายไรวิหงิ สา
วบิ ตั ิ = เกดิ ความโศกเศรา
3. มุทิตา: สมบตั ิ = สงบหายไรความริษยา
วบิ ตั ิ = เกดิ ความสนกุ สนาน
4. อุเบกขา: สมบัติ = สงบหายไมม ีความยินดียนิ รา ย
วิบตั ิ = เกิดความเฉยดว ยไมร ู (เฉยโง เฉยเมย เฉยเมนิ )
ง. ขาศึก คือ อกศุ ลซ่งึ เปน ศตั รูคปู รบั ท่จี ะทาํ ลายหรอื ทาํ ธรรมนนั้ ๆ ใหเสียไป
1. เมตตา: ขาศกึ ใกล = ราคะ
ขาศึกไกล = พยาบาท คอื ความขดั เคอื งไมพ อใจ
2. กรณุ า: ขาศกึ ใกล = โทมนสั คอื ความโศกเศราเสยี ใจ
ขาศึกไกล = วิหงิ สา
3. มุทิตา: ขา ศึกใกล = โสมนสั (เชน ดใี จวา ตนจะพลอยไดรบั ผลประโยชน)
ขาศกึ ไกล = อรติ คือความไมย นิ ดี ไมใ ยดี รษิ ยา
4. อุเบกขา: ขา ศึกใกล = อญั ญาณุเบกขา (เฉยไมร ูเร่อื ง เฉยโง เฉยเมย)
ขาศึกไกล = ราคะ (ความใคร) และปฏิฆะ (ความเคอื ง) หรือชอบใจและขดั ใจ
จ. ตวั อยางมาตรฐาน ทแ่ี สดงความหมายของพรหมวิหารไดช ัด ซ่ึงคัมภีรทงั้ หลายมักยกขึน้ อาง
1. เมอ่ื ลกู ยังเล็กเปน เดก็ เยาวว ัย
แม – เมตตา รกั ใครเอาใจใส ถนอมเลี้ยงใหเจริญเตบิ โต
2. เมือ่ ลกู เจ็บไขเ กิดมีทุกขภ ัย
แม – กรณุ า หว งใยปกปกรักษา หาทางบําบัดแกไข
หมวด 4 127 [163]
3. เมอ่ื ลูกเจรญิ วัยเปนหนมุ สาวสวยสงา
แม – มุทติ า พลอยปลาบปลม้ื ใจ หวงั ใหล กู งามสดใสอยูนานเทา นาน
4. เมื่อลกู รบั ผิดชอบกจิ หนาท่ขี องตนขวนขวายอยดู ว ยดี
แม – อเุ บกขา มีใจน่ิงสงบเปน กลาง วางเฉยคอยดู
พึงทราบดว ยวา ฉันทะ คอื กัตตกุ ัมยตาฉนั ทะ (ความอยากจะทาํ ใหด ี หรอื ความตอ งการท่ี
จะทําใหคนสัตวท้ังหลายดีงามสมบูรณปราศจากโทษขอบกพรอง เชน อยากใหเขาประสบ
ประโยชนสุข พนจากทกุ ขเ ปน ตน) เปน จดุ ตั้งตน (อาท)ิ ของพรหมวหิ ารท้งั 4 นี้ การขมระงบั
กเิ ลส (เชนนวิ รณ) ได เปนทามกลาง สมาธิถึงขัน้ อปั ปนา (คอื ภาวะจิตท่ีมน่ั คงเรยี บรื่นสงบสนิท
ดีท่สี ดุ ) เปน ท่ีจบ ของพรหมวหิ ารทัง้ 4 นนั้
AIII.226; Dhs.262; Vism.320. องฺ.ปจฺ ก 22/192/252; อภ.ิ ส.ํ 34/190/75; วิสทุ ธฺ ิ.2/124.
[,,,] พละ ดู [229] พละ 4.
[,,,] พุทธลีลาในการสอน 4 ดู [172] ลลี าการสอน 4.
[,,,] ภาวนา 4 ดู [37] ภาวนา 4.
[,,,] ภาวิต 4 ดู [37] ภาวนา 4.
[162] ภูมิ 4 (ชัน้ แหงจติ , ระดับจติ ใจ, ระดับชวี ิต — Bhåmi: planes of consciousness;
planes of existence; degrees of spiritual development)
1. กามาวจรภมู ิ (ชัน้ ทีท่ องเท่ียวอยใู นกาม, ระดบั จติ ใจทย่ี งั ปรารภกามเปนอารมณ คือยังเก่ียว
ของกับกามคุณ, ระดับจิตใจของสัตวในกามภพทั้ง 11 ชั้น — Kàmàvacara-bhåmi:
Sensuous Plane)
2. รปู าวจรภมู ิ (ช้ันที่ทองเทย่ี วอยูในรปู , ระดบั จติ ใจทีป่ รารภรปู ธรรมเปน อารมณ, ระดบั จติ ใจ
ของทา นผไู ดฌ านหรอื ผูอยูในรปู ภพทง้ั 16 ชนั้ — Råpàvacara-bhåmi: form-plane)
3. อรูปาวจรภูมิ (ชั้นทที่ อ งเท่ียวอยใู นอรปู , ระดบั จติ ใจทปี่ รารภอรูปธรรมเปนอารมณ, ระดับ
จิตใจของทา นผูไดอ รปู ฌาน หรอื ผูอยใู นอรปู ภพทงั้ 4 ชน้ั — Aråpàvacara-bhåmi: Formless
Plane)
4. โลกตุ ตรภูมิ (ชน้ั ทพ่ี น จากโลก, ระดบั แหง โลกตุ ตรธรรม, ระดบั จติ ใจของพระอรยิ เจา อนั พน
แลว จากโลกยี ภมู ิ 3 ขางตน — Lokuttara-bhåmi: supramundane plane) ขอน้ใี นบาลที ่มี า
เรยี กวา อปรยิ าปนนภูมิ (ขัน้ ท่ไี มน ับเนอื่ งในวัฏฏะ, ระดบั ทไี่ มถกู จํากดั — unbelonging or
unlimited plane).
ดู [98] ภพ 3 และ [351] ภูมิ 4, 31 ดวย.
Ps.I.83. ข.ุ ปฏิ.31/171/122.
[163] โภควิภาค 4 (การแบง โภคะเปน 4 สวน, หลักการแบงทรัพยโดยจัดสรรเปน 4
[164] 128 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร
สวน — Bhogavibhàga: fourfold division of money)
1. เอเกน โภเค ภฺุเชยยฺ (1 สว น ใชจ ายเล้ียงตน เล้ียงคนท่ีควรบํารงุ และทําประโยชน —
On one part he should live and do his duties towards others.)
2.–3. ทฺวีหิ กมมฺ ํ ปโยชเย (2 สว น ใชลงทนุ ประกอบการงาน — With two parts he
should expand his business)
4. จตตุ ฺถฺจ นิธาเปยฺย (อกี 1 สวน เกบ็ ไวใชในคราวจําเปน — And he should save the
fourth for a rainy day.)
D.III.188. ท.ี ปา.11/197/202.
[164] มรรค 4 (ทางเขาถงึ ความเปน อริยบคุ คล, ญาณท่ีทําใหล ะสงั โยชนไดขาด — Magga:
the path)
1. โสดาปต ตมิ รรค (มรรคอนั ใหถ งึ กระแสทนี่ าํ ไปสพู ระนพิ พานทแี รก, มรรคอนั ใหถ งึ ความเปน
พระโสดาบนั เปน เหตลุ ะสงั โยชนไ ด 3 คอื สกั กายทฏิ ฐิ วจิ กิ จิ ฉา สลี พั พตปรามาส — Sotàpatti-
magga: the Path of Stream-Entry)
2. สกทาคามิมรรค (มรรคอันใหถ งึ ความเปน พระสกทาคามี เปน เหตลุ ะสงั โยชนได 3 ขอตน
กบั ทาํ ราคะ โทสะ โมหะ ใหเ บาบางลง — Sakadàgàmi-magga: the Path of Once-Returning)
3. อนาคามมิ รรค (มรรคอันใหถึงความเปนพระอนาคามี เปนเหตลุ ะสังโยชนเ บ้ืองตาํ่ ไดท ง้ั 5
— Anàgàmi-magga: the Path of Non-Returning)
4. อรหตั ตมรรค (มรรคอันใหถึงความเปน พระอรหันต เปนเหตุละสังโยชนไดห มดทง้ั 10 —
Arahatta-magga: the Path of Arahantship)
ดู [329] สังโยชน 101.
Vbh.335. อภ.ิ ว.ิ 35/837/453.
[165] ผล 4 (ผลท่เี กดิ สืบเนอ่ื งจากการละกเิ ลสไดด วยมรรค, ธรรมารมณอันพระอรยิ ะพงึ
เสวย ท่เี ปนผลเกิดเองในเม่อื กเิ ลสส้นิ ไปดว ยอํานาจมรรคนน้ั ๆ — Phala: fruition)
1. โสดาปต ติผล (ผลแหง การเขาถึงกระแสท่ีนําไปสูพระนพิ พาน, ผลอนั พระโสดาบนั พงึ เสวย
— Sotàpatti-phala: the Fruition of Stream-Entry)
2. สกทาคามิผล (ผลอนั พระสกทาคามีพึงเสวย — Sakadàgàmi-phala: the Fruition of
Once-Returning)
3. อนาคามผิ ล (ผลอันพระอนาคามพี งึ เสวย — Anàgàmi-phala: the Fruition of Non-
Returning)
4. อรหตั ตผล (ผลคือความเปน พระอรหนั ต, ผลอันพระอรหันตพ งึ เสวย — Arahatta-phala:
the Fruition of Arahantship)
ผล 4 น้ี บางทีเ่ รียกวา สามัญญผล (ผลของความเปน สมณะ, ผลแหง การบาํ เพญ็ สมณ-
หมวด 4 129 [166]
ธรรม — Sàma¤¤a-phala: fruits of a monk’s life; fruits of the monkhood)
D.III.227; Vbh.335. ที.ปา.11/242/240; อภิ.ว.ิ 35/837/453.
[166] มหาปเทส 41 (ท่ีอางอิงขอใหญ, หลักใหญสําหรับอางเพื่อสอบสวนเทียบเคียง
หมวดที่ 1 วา ดว ยหลกั ทวั่ ไป — Mahàpadesa: great authorities; principal references
or citations)
1. หากมภี กิ ษกุ ลา ววา ขา พเจา ไดส ดับรับมาเฉพาะพระพกั ตรข องพระผมู ีพระภาควา น้ีเปน ธรรม
นเ้ี ปนวนิ ัย น้เี ปนสัตถุสาสน (A monk might say: “Face to face with the Blessed One
did I hear this; face to face with him did I receive this. This is the Doctrine, this
is the Discipline, this is the Master’s teaching.”)
2. หากมภี ิกษุกลา ววา ในอาวาสช่ือโนน มสี งฆอ ยู พรอมดวยพระเถระ พรอ มดว ยปาโมกข
ขาพเจา ไดส ดบั รับมาเฉพาะหนา สงฆน นั้ วา น้ีเปน ธรรม น้ีเปนวินยั นี้เปนสัตถุสาสน (A monk
might say: “In such and such a monastery resides an Order together with an elder
monk, together with a leader. Face to face with that Order did I hear this; ...)
3. หากมภี กิ ษกุ ลา ววา ในอาวาสชอ่ื โนน มภี กิ ษผุ เู ปน พระเถระอยจู าํ นวนมาก เปน พหสู ตู ถงึ อาคม
(คอื ชาํ นาญในพทุ ธพจนท งั้ 5 นกิ าย) ทรงธรรม ทรงวนิ ยั ทรงมาตกิ า ขา พเจา ไดส ดบั รบั มาเฉพาะ
หนา พระเถระเหลา นน้ั วา นเี้ ปน ธรรม นเ้ี ปน วนิ ยั นเ้ี ปน สตั ถสุ าสน (A monk might say: “In
such and such a monastery reside a great number of elder monks, widely learned,
versed in the Collections, expert on the Doctrine, expert on the Discipline, expert
on the Summaries. In the presence of those monks did I hear this; ...)
4. หากมีภกิ ษกุ ลา ววา ในอาวาสชือ่ โนน มีภิกษุผูเปน พระเถระอยรู ูปหนึ่ง เปนพหูสตู ถึงอาคม
ทรงธรรม ทรงวินยั ทรงมาตกิ า ขาพเจา ไดส ดบั รบั มาเฉพาะหนา พระเถระรปู น้นั วา นี้เปนธรรม นี้
เปนวนิ ัย นีเ้ ปน สัตถสุ าสน (A monk might say: “In such and such a monastery
resides an elder monk of wide learning ...)
เธอทงั้ หลาย ยงั ไมพงึ ช่นื ชม ยังไมพงึ คัดคานคาํ กลา วของผนู ัน้ พงึ เรยี นบทและพยัญชนะ
(ทั้งขอความและถอ ยคาํ ) เหลานั้นใหด ีแลว พึงสอบดูในสูตรเทียบดใู นวินยั (The words of
that monk are neither to be welcomed nor scorned, the words and syllables
thereof are to be studied thoroughly, laid beside the Discourses and compared
with the Discipline.)
ก. ถาบทและพยญั ชนะเหลา นัน้ สอบลงในสูตรกไ็ มไ ด เทียบเขาในวินัยกไ็ มได พงึ ลงสันนิษฐาน
วา นมี้ ใิ ชดํารสั ของพระผมู ีพระภาคแนน อน ภิกษุนี้ (สงฆนัน้ พระเถระเหลานน้ั พระเถระรูปนน้ั )
ถอื ไวผดิ พงึ ท้ิงเสีย (If, when laid beside the Discourses and compared with the
Discipline, these words and syllables lie not along with the Discourses and
agree not with the Discipline then you may come to the conclusion: Surely this
[167] 130 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร
is not the word of the Blessed One, and it has been wrongly grasped by that
monk. Then reject it.
ข. ถา บทและพยญั ชนะเหลานน้ั สอบลงในสูตรก็ได เทยี บเขาในวนิ ยั กไ็ ด พงึ ลงสันนษิ ฐานวา น้ี
เปนดาํ รสั ของพระผมู ีพระภาคแนแ ท ภิกษนุ ี้ (สงฆน ั้น พระเถระเหลานัน้ พระเถระรูปนัน้ ) รบั มา
ดว ยดี (If, ... they lie along with the Discourses and agree with the Discipline...
Surely this is the word of the Blessed One ...)
โดยสรปุ คอื การยกขอ อา งหรอื หลกั ฐาน 4 (the four principal appeals to authority) คอื
1. พุทธาปเทส (ยกเอาพระพุทธเจาข้ึนอาง — Buddhàpadesa: the appeal to the
Enlightened One as authority)
2. สงั ฆาปเทส (ยกเอาคณะสงฆข้ึนอา ง — Saïghàpadesa: the appeal to a community
of monks or an Order as authority)
3. สัมพหุลัตเถราปเทส (ยกเอาพระเถระจาํ นวนมากข้นึ อา ง — Sambahulattheràpadesa:
the appeal to a number of elders as authority) เรียกงายๆ วา สัมพหลุ เถราปเทส
4. เอกตั เถราปเทส (ยกเอาพระเถระรูปหน่ึงขนึ้ อา ง — Ekattheràpadesa: the appeal to a
single elder as authority) เรียกงา ยๆ วา เอกเถราปเทส
ในคมั ภีรรนุ ฎีกา (เชน อง.ฺ ฏ.ี 2/443) เรียกขอที่ 3 วา คณาปเทส (Gaõàpadesa) และขอ ที่
4 วา ปุคคลาปเทส (Puggalàpadesa)
D.II.123; A.II.167. ที.ม.10/113/144; อง.ฺ จตกุ ฺก.21/180/227.
[167] มหาปเทส 42 หมวดท่ี 2 เฉพาะในทางพระวินัย — Mahàpadesa: great
authorities; principal references)
1. สงิ่ ใดไมไ ดท รงหา มไวว า ไมค วร แตเ ขา กนั กบั สง่ิ ทไ่ี มค วร (อกปั ปย ะ) ขดั กบั สงิ่ ทคี่ วร (กปั ปย ะ)
สง่ิ นนั้ ไมค วร
(Whatever has not been objected to as not allowable, if it fits in with what is
not allowable and goes against what is allowable, is not allowable.)
2. สง่ิ ใดไมไ ดท รงหา มไวว า ไมค วร แตเ ขา กนั กบั สงิ่ ทค่ี วร (กปั ปย ะ) ขดั กบั สง่ิ ทไ่ี มค วร (อกปั ปย ะ)
สงิ่ นน้ั ควร
(Whatever has not been objected to as not allowable, if it fits in with what is
allowable and goes against what is not allowable, is allowable.)
3. สง่ิ ใดไมไ ดทรงอนญุ าตไวว า ควร แตเขา กนั กบั สง่ิ ทไี่ มค วร (อกปั ปย ะ) ขดั กบั สง่ิ ทคี่ วร
(กปั ปย ะ) สงิ่ นนั้ ไมค วร
(Whatever has not been permitted as allowable, if it fits in with what is not
allowable and goes against what is allowable, is not allowable.)
หมวด 4 131 [168]
4. สง่ิ ใดไมไ ดท รงอนญุ าตไวว า ควร แตเ ขา กนั กบั สง่ิ ทค่ี วร (กปั ปย ะ) ขดั กบั สงิ่ ทไี่ มค วร (อกปั ปย ะ)
สง่ิ นนั้ ควร
(Whatever has not been permitted as allowable, if it fits in with what is allowable
and goes against what is not allowable, is allowable.)
Vin.I.250. วินย.5/92/131.
[168] มิตรปฏิรูปก หรอื มิตรเทียม 4 (คนเทียมมติ ร, คนท่พี ึงทราบวา เปน ศตั รู
ผูมาในรางของมิตร — Mittapañiråpaka: false friends; foes in the guise of friends)
1. คนปอกลอก คนขนเอาของเพ่อื นไปถายเดียว (อัญญทตั ถุหร — A¤¤adatthuhara:
the out-and-out robber) มลี กั ษณะ 4 คอื
1) คดิ เอาแตไ ดฝ า ยเดียว
2) ยอมเสียนอย โดยหวงั จะเอาใหมาก
3) ตวั มีภยั จงึ มาชว ยทํากิจของเพ่ือน
4) คบเพ่ือน เพราะเห็นแกผลประโยชน
a) He appropriates his friend’s possessions.
b) Giving little, he expects a lot in return.
c) He gives a helping hand only when he himself is in danger.
d) He makes friends with others only for his own interests.
2. คนดแี ตพ ดู (วจบี รม — Vacãparama: the man who pays lip-service) มลี กั ษณะ 4 คอื
1) ดีแตย กของหมดแลว มาปราศรัย
2) ดแี ตอ างของยังไมมมี าปราศรัย
3) สงเคราะหด ว ยส่งิ หาประโยชนมิได
4) เมื่อเพือ่ นมกี จิ อา งแตเหตขุ ัดของ
a) He speaks you fair about the past.
b) He speaks you fair about the future.
c) He tries to gain your favour by empty sayings.
d) When help is needed he points to his own ill luck.
3. คนหัวประจบ (อนปุ ปย ภาณี — Anuppiyabhàõã: the flatterer) มลี กั ษณะ 4 คอื
1) จะทาํ ชั่วก็เออออ
2) จะทําดกี เ็ ออออ
3) ตอหนาสรรเสริญ
4) ลบั หลังนนิ ทา
[169] 132 พจนานกุ รมพุทธศาสตร
a) He consents to your doing wrong.
b) He consents to your doing right.
c) He sings your praises to your face.
d) He runs you down behind your back.
4. คนชวนฉบิ หาย (อปายสหาย — Apàyasahàya: the leader to destruction) มี
ลักษณะ 4 คอื
1) คอยเปน เพ่อื นดื่มน้ําเมา
2) คอยเปนเพอื่ นเท่ียวกลางคืน
3) คอยเปน เพอื่ นเท่ยี วดูการเลน
4) คอยเปนเพือ่ นไปเลน การพนนั
a) He is your companion when you indulge in drinking.
b) He is your companion when you roam the streets at unseemly hours.
c) He is your companion when you frequent shows and fairs.
d) He is your companion when you indulge in gambling.
D.III.185. ท.ี ปา.11/186/199.
[169] สุหทมิตร หรือ มิตรแท 4 (มติ รมใี จด,ี มติ รทีจ่ ริงใจ — Suhadamitta: true
friends; true-hearted friends)
1. มิตรอุปการะ (อุปการกะ — Upakàraka: the helper) มลี ักษณะ 4 คือ
1) เพือ่ นประมาท ชวยรกั ษาเพอื่ น
2) เพ่อื นประมาท ชวยรักษาทรพั ยส ินของเพ่อื น
3) เมื่อมีภัย เปนท่ีพง่ึ พาํ นกั ได
4) มกี จิ จําเปน ชว ยออกทรัพยใหเกนิ กวาท่อี อกปาก
a) He guards you when you are off your guard.
b) He guards your property when you are off your guard.
c) He is a refuge to you when you are in danger.
d) He provides a double supply of what you may ask in time of need.
2. มติ รรว มสุขรวมทกุ ข (สมานสขุ ทกุ ข — Samànasukhadukkha: the man who is the
same in weal and woe) มีลกั ษณะ 4 คอื
1) บอกความลับแกเ พ่อื น
2) ปดความลับของเพือ่ น
3) มีภยั อันตราย ไมละทิ้ง