รายงานการวจิ ัย
เรื่อง
แนวทางการกนั ผ้ตู ้องหาหรือผกู้ ระทาความผิดเปน็ พยานในคดีพเิ ศษ
เพ่ือการพัฒนากฎหมาย
Granting immunity for prosecution to the accomplices or
suspects in special cases for the purpose of legal development
ดร.ปรญิ ญา นิราศนภาภยั
กรมสอบสวนคดพี ิเศษ กระทรวงยตุ ธิ รรม
พ.ศ. 2565
รายงานการวจิ ัย
เร่ือง
แนวทางการกนั ผู้ตอ้ งหาหรือผกู้ ระทาความผดิ เปน็ พยานในคดพี เิ ศษ
เพือ่ การพัฒนากฎหมาย
Granting immunity for prosecution to the accomplices or
suspects in special cases for the purpose of legal development
ดร.ปริญญา นิราศนภาภัย
(กองกฎหมาย)
กรมสอบสวนคดพี เิ ศษ กระทรวงยุติธรรม
พ.ศ. 2565
งานวิจยั นไ้ี ด้รับการสนบั สนุนจากกรมสอบสวนคดพี เิ ศษ
โดยทนุ อดุ หนุนจากงบประมาณกองทนุ ส่งเสรมิ วิทยาศาสตร์ วจิ ัยและนวตั กรรม (ววน.)
ปงี บประมาณ 2564
ก
กิตติกรรมประกาศ
การศึกษาวิจัย เรื่อง แนวทางการกันผู้ต้องหาหรือผู้กระทาความผิดเป็นพยานในคดีพิเศษ
เพ่ือการพัฒนากฎหมาย สามารถดาเนินการจนประสบความสาเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี เน่ืองด้วยได้รับ
การสนับสนุนด้านงบประมาณจากสานักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม
(สกสว.) และได้รับกาลังใจสนับสนุนตลอดระยะเวลาการดาเนินงานจากอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ
รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษทุกท่าน ผู้อานวยการกองกฎหมาย และขอขอบคุณผู้บริหารและ
อดีตผู้บริหารกรมสอบสวนคดีพิเศษ อดีตผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม พนักงานอัยการ สานักงานอัยการ
สูงสุด พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เจ้าหน้าที่คดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ท่ีกรณุ าให้ข้อมูลสาหรับ
การสัมภาษณ์เชิงลึกรายบุคคล การประชุมกลุ่มย่อย จานวน 4 ครั้ง การแสดงความเห็นผ่านทางหนังสือ
ซึ่งได้ให้ข้อมูล ข้อสังเกต และข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่องานวิจัยอย่างย่ิง โดยสามารถนาข้อมูล
ไปจัดทา 1) ร่างข้อเสนอในการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547
และ 2) ร่างข้อเสนออนุบัญญัติที่เกี่ยวข้อง คือ ร่างข้อบังคับ กคพ. ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และ
เงอื่ นไขในการกันบุคคลเป็นพยานในคดีพิเศษโดยไม่ดาเนินคดี พ.ศ. ....
ท้ายท่ีสุดน้ี ขอขอบพระคุณ ดร.ชัชชม อรรฆภิญญ์ ท่ีปรึกษาอัยการสูงสุด อดีตรองอัยการสูงสุด
ท่ีกรุณารับเป็นท่ีปรึกษางานวิจัย ทาให้งานวิจัยมีความถูกต้อง ครบถ้วน และสมบูรณ์มากยิ่งข้ึน
ขอขอบพระคุณ สานักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ท่ีให้โอกาสผู้วิจัยร่วมนาเสนอบทความวิจัยในงาน
มหกรรมวิจัยแห่งชาติ 2565 Thailand Research Expo & Symposium 2022 ภาคบรรยาย (Oral
Presentation) เม่ือวนั ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565 โดยบทความวิจัยดังกล่าวจะได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่
ในหนังสือประมวลผลการประชุมทางวิชาการ (Proceedings) ของกิจกรรม Thailand Research
Expo & Symposium 2022 โดยหนังสือประมวลผลการประชุมทางวิชาการจะเผยแพร่ต่อสาธารณชน
ได้ในช่วงเดือนมกราคม พ.ศ. 2566 เป็นต้นไป เพ่ือส่งเสริมเผยแพร่องค์ความรู้จากผลงานวิจัย
ที่เป็นไปตามมาตรฐานการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการอันจะนาไปสู่การใช้ประโยชน์ต่อการพัฒนา
ประเทศในภาพรวมต่อไป
ดร.ปรญิ ญา นริ าศนภาภยั
กันยายน 2565
E-book
ข
บทคดั ย่อ
งานวิจัยเรื่อง การกันผู้ต้องหาหรือผู้กระทาความผิดเป็นพยานในคดีพิเศษเพื่อการพัฒนา
กฎหมายมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเก่ียวกับการดาเนินคดีอาญาในประเทศไทย ศึกษาสภาพปัญหาใน
การสืบสวน สอบสวน และการแสวงหาพยานหลักฐานในคดีอาญาที่มีลักษณะเป็นคดีพิเศษ ตาม
พระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม กรณีท่ีไม่มีพยานอ่ืนในคดีท่ี
สามารถยืนยันการกระทาความผิดของตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุนที่สาคัญ นอกจากผู้ต้องหาหรือผู้ร่วม
กระทาความผิดด้วยกันเอง เพื่อรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพนาไปสู่การพัฒนากฎหมาย
ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ดาเนินการวิจัยเชิงเอกสาร
โดยการศึกษาค้นคว้าจากเอกสารในเรื่องแนวคิดทฤษฎี กฎหมาย รวมถึงงานวิจัยทั้งในประเทศ
และต่างประเทศท่ีเกี่ยวข้อง ร่วมกับการสัมภาษณ์เชิงลึกซึ่งเป็นการสัมภาษณ์เชิงลึกรายบุคคล
ประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิในกระบวนการยุติธรรม ผู้บริหารระดับสูง พนักงานอัยการ สานักงาน
อัยการสูงสุด และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษ รวมจานวน 17 ราย อีกทั้ง งานวิจัยน้ีได้ดาเนินการ
จัดประชุมกลุ่มย่อย เพื่อให้มีการสนทนากลุ่มผู้ท่ีดารงตาแหน่งระดับผู้อานวยการส่วนหน่วยงานด้าน
คดีพิเศษ รวมจานวน 14 หน่วยงาน โดยนาข้อมูลที่ได้ไปกาหนดแนวทางและ/หรอื ข้อเสนอแนะ ในการ
พัฒนา ปรับปรุง แก้ไขกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ ซ่ึงผลการวิจัยมีข้อเสนอแนะให้มีการ
เพ่ิมเติมบทบัญญัติของกฎหมายเร่ืองการกันผู้ต้องหาหรือผู้กระทาความผิดไว้เป็นพยานในคดีพิเศษ
ในกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ และเสนอให้จัดทาอนุบัญญัติที่เก่ียวข้อง เพื่อกาหนดแนวทาง
วิธีการปฏิบัติ เง่ือนไข หรือกลไกอื่น ๆ เพ่ือสร้างความโปร่งใสในการดาเนินการ โดยให้สามารถ
ตรวจสอบถ่วงดลุ ในกระบวนการดงั กล่าว นาไปสู่การเพ่มิ ประสิทธิภาพในการแสวงหาพยานหลักฐาน
อันจะนาตัวผู้กระทาความผิดที่แท้จริงมาลงโทษ และการอานวยความยุติธรรมให้กับประชาชน
อยา่ งเป็นรูปธรรม
งานวิจัยน้ีมีวัตถุประสงค์ในการเพิ่มประสิทธิภาพในการสืบสวนสอบสวนและการแสวงหาพยาน
หลักฐานในคดีอาญาท่ีมีลักษณะเป็นคดีพิเศษตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547
และที่แกไ้ ขเพม่ิ เติม โดยมุ่งเน้นไปที่การแสวงหาพยานหลักฐานในกรณที ี่ไม่มีพยานหลกั ฐานอนื่ ใดในคดี
ทจ่ี ะสามารถยนื ยนั การกระทาความผดิ ของตวั การ ผใู้ ช้ ผสู้ นับสนนุ ทส่ี าคัญ
ผลการวิจัยมีข้อคน้ พบและข้อเสนอแนะ ดังนี้
1. การสืบสวนสอบสวนและการแสวงหาพยานหลักฐานในคดีพิเศษมีความยุ่งยาก ซับซ้อน
และยากต่อการแสวงหาพยานหลักฐาน โดยคดีพิเศษส่วนใหญเ่ ป็นคดีท่มี ีการกระทาความผิดทางอาญา
ท่ีสาเร็จแล้ว หรือสาเร็จนานแล้ว ไม่ใช่คดีความผิดซึ่งหน้า หรือคดีความผิดท่ีเพ่ิงจะกระทาความผิด
สาเร็จ
2. ผู้กระทาความผิดมักจะรู้กันเองในกระบวนการ มีลักษณะการกระทาที่ตัดตอน ไม่สามารถ
สาวถึงตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุนท่ีอยู่เบ้ืองหลังที่แท้จริงได้ ดังนั้น การจับกุมผู้กระทาความผิดท่ีไม่ใช่
ตัวการ ผใู้ ช้ ผู้สนับสนนุ ทีส่ าคญั จงึ ไม่สามารยับยัง้ อาชญากรรมคดพี เิ ศษได้อย่างสิ้นซาก
ค
3. ควรมีการแสวงหาพยานหลักฐานโดยวิธีการใหม่ ๆ อาทิ การกันไว้เป็นพยาน ซ่ึงกฎหมาย
ใหม่ ๆ มีการบัญญัติไว้ด้วยแล้ว อาทิ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและ
ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2561 ประกอบกับประกาศคณะกรรมการปอ้ งกันและปราบปราม
การทุจริตแห่งชาติ เร่ือง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการกันบุคคลไว้เป็นพยานโดยไม่ดาเนินคดี
พ.ศ. 2561 เป็นตน้
4. ควรแก้ไขเพ่ิมเติมบทบัญญัติในพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 โดยนา
เรื่องการกัน ผู้ร่วมกระทาผิดห รือผู้ต้องห าเป็น พยาน ใน คดีพิเศษมาเป็ น เครื่องมือในการแ สวงห า
พยานหลักฐานเป็นบทบัญญตั ิเพม่ิ เตมิ
5. กาหนดกลไกในการพิจารณากล่ันกรองว่าคดีพิเศษใดสามารถใช้วิธีการกันเป็นพยาน
โดยอาจมีการแต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรอง หรืออาจมอบหมายรองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ
ท่คี วบคมุ กากับในคดเี ป็นผู้พิจารณากล่นั กรอง กอ่ นเสนออธบิ ดีกรมสอบสวนคดีพเิ ศษให้ความเห็นชอบ
6. การกันไว้เป็นพยานนั้นจะต้องสามารถนาไปสู่หรือสามารถเชื่อมโยงพยานหลักฐานอ่ืนท่ีมี
ความสาคัญ มีความน่าเชื่อถือ และมีจานวนพยานหลักฐานในปริมาณที่มากเพียงพอที่จะนาไปสู่
การชงั่ น้าหนักพยานหลกั ฐานในชัน้ การพจิ ารณาของพนักงานอยั การและศาล
7. ให้กาหนดเงื่อนไขให้มีพนักงานอัยการมาสอบสวนร่วมกับพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ
ในคดพี เิ ศษท่มี ีความประสงคจ์ ะใช้วธิ กี ารกันไวเ้ ป็นพยาน
8. ให้กาหนดเงือ่ นไขใหม้ ีท่ปี รึกษาคดพี เิ ศษเข้าร่วมในคณะพนกั งานสอบสวนคดีพเิ ศษ
9. การลงมตใิ นการกนั ผู้ร่วมกระทาผิดหรือผู้ตอ้ งหารายใด เป็นมติของคณะพนักงานสอบสวน
คดพี ิเศษโดยเอกฉนั ท์
10. การกันผู้ร่วมกระทาผิดหรือผู้ต้องหาเป็นพยานในคดีพิเศษให้สามารถดาเนินการได้ทั้ง
ในช้ันสืบสวนและชั้นสอบสวน โดยกระทาได้ท้ังในกรณีท่ีพนักงานสอบสวนคดีพิเศษยังไม่มีการแจ้ง
ขอ้ หาหรือมีการแจ้งข้อหาแล้ว
11. คดีพิเศษใดได้รับความเห็นชอบจากอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษให้ดาเนินการกันผู้ร่วม
กระทาผิดหรือผู้ต้องหาไว้เป็นพยานให้ดาเนินการเก่ียวกับการคุ้มครองพยานตามท่ีกฎหมายกาหนด
ควบคกู่ ันโดยทันที
12. กาหนดให้มีมาตรการการรักษาความลับเร่ืองการกันผู้ต้องหาหรือผู้กระทาผิดไว้เป็น
พยานในคดีพิเศษ แยกต่างหากจากเร่อื งการรักษาความลับในสานวน
13. ให้นาผลการวิจัยนี้เสนอในการประชุมคณะรัฐมนตรี การประชุมร่วมรัฐสภาเพ่ือพิจารณา
ร่างกฎหมาย และการประชุมคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบในการปรับปรุง
กฎหมายว่าดว้ ยการสอบสวนคดีพเิ ศษ
14. ใหม้ กี ารออกข้อบังคับ กคพ. (คณะกรรมการคดีพเิ ศษ) โดยกาหนดแนวทาง วิธีปฏิบัตแิ ละ
เง่ือนไขต่าง ๆ ในรายละเอียดเพ่ือเกดิ ความชัดเจนในการปฏบิ ัติ และประกาศในราชกจิ จานเุ บกษา
คาสาคัญ : การสบื สวนสอบสวน, คดพี ิเศษ, การแสวงหาพยานหลักฐาน
ง
Abstract
The purposes of the research on Granting immunity for prosecution to the
accomplices or suspects in special cases for the purpose of legal development are to
study Thailand’s criminal prosecution to study problems in investigating and seeking
evidence in criminal special cases in case there are no other witness except the
accomplices or some suspects, and to collect as well as analyze qualitative data
leading to legal development in accordance with the current situation.
This research is a qualitative one, conducted in the form of documentary
research, that is, collecting data from relevant documents as to concepts, theories,
laws and research both in Thailand and foreign countries; In-depth individual
interviews with 17 experts in the judicial process. These include senior executives,
prosecutor and Special Case Inquiry Official at the Expert Level. Also, Focus group
meetings of relevant 14 directors of segment’s special investigation have also been
organized. All the collected information will be used to set guidelines and/or
proposals for the Department of Special Investigation to amend and improve the Act
on Investigations.
The research findings suggest that the provisions on granting immunity for
prosecution to the accomplices or suspects in Special Cases be added in the Special
Investigation Act B.E. 2547 (2004), and internal regulations/orders be introduced to
determine procedures, conditions or other mechanisms to create transparency by
enabling checks and balances in the process, leading to optimization in seeking
evidence in the event that no other witness in the case can confirm the offence other
than those involved in the offence or the accused and providing concrete justice for
the people.
The purpose of this research is to increase efficiency in investigating and
seeking evidence in criminal special cases under the Special Investigation Act B.E.
2547 and its amendments. It focuses on seeking evidence in the event that no other
witness in the case can confirm the crimes committed by the principals other than
those involved in the offence or the suspects themselves.
The research findings and suggestions are as follows:
1. Investigating and seeking evidence in special cases is complicated and
difficult to find evidence. Most of the special cases are the cases where criminal
offenses have been successfully committed, either recently, or a long time ago. It is
not a flagrant-offense or an offense that has just been committed successfully.
จ
2. The perpetrators usually know each other in the criminal rings, and the
crime commissions of which have the characteristics that there is no link to the
principals, instigators, and supporters behind the scenes cannot be identified.
Therefore, special crimes cannot be completely deterred if the perpetrators who are
caught are not the principals, instigators and supporters.
3. New methods should be utilized in evidence-seeking, such as Granting
Immunity for Prosecution to the accomplice or suspect as a witness as already
introduced in the new laws such as the National Anti-Corruption Organic Act B.E.
2561, as well as the National Anti-Corruption Commission's announcement on rules,
procedures and conditions for detaining persons as witnesses without prosecution,
B.E. 2561, etc.
4. The Special Investigation Act BE 2547 should be amended by introducing
the provisions on Granting Immunity for Prosecution to the accomplice or suspect as
a witness in a special case as a tool for seeking additional evidence.
5. Determine a mechanism for scrutinizing in terms of which special cases are
entitled to the measure of Granting Immunity for Prosecution to the accomplice or
suspect as a witness such as appointing a screening committee or assigning the Deputy
Director-General of the Department of Special Investigation overseeing the case to
consider and scrutinize before submitting to the Director-General of the Department
of Special Investigation for approval.
6. Granting Immunity for Prosecution to the accomplice or suspect as a witness
must be able to lead to other important, convincing evidence, as well as having
sufficient amount that leads to the weighing of evidence for prosecutors and courts
7. A condition for having a prosecutor to jointly investigate with special
investigative officers in the special cases requiring the use of Granting Immunity for
Prosecution to the accomplice or suspect as a witness should be determined.
8. A condition for having a special case counselor to join the special case
investigation team should be determined.
9. Granting Immunity for Prosecution to any accomplice or suspect as a witness
shall be unanimously resolved by the Special Case Investigation Team.
10. Granting Immunity for Prosecution to any accomplice or suspect as a witness
can be carried out in both inquiry and investigation stages. This can be done both in
the event that the charge has not been notified (accomplice) or the charge has been
notified (suspect).
ฉ
11. When Granting Immunity for Prosecution to any accomplice or suspect as
a witness in any special case has been approved by the Director-General of the
Department of Special Investigation, the witness protection law must be applied
immediately.
12. Measures on confidentiality regarding Granting Immunity for Prosecution
to any accomplice or suspect as a witness special cases, separate from the matter
of confidentiality in the case file, shall be determined.
13. The results of this research shall be presented to the Cabinet meeting, joint
meeting of the National Assembly for considering draft law, and the Council of State
meetings to consider and approve the amendment of the Special Investigation Act.
14. BSC. (Board of Special Case)’s regulations prescribing guidelines, methods
and conditions in details of Granting Immunity for Prosecution to any accomplice or
suspect as a witness shall be issued for the clarity in practice. Such regulations shall
be also published in the Government Gazette.
Keyword: Investigation, Special Case, Seeking Evidence
ช
บทสรปุ ผ้บู ริหาร
ความเป็นมาและความสาคัญของปญั หา
การเจริญก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี การเมือง วัฒนธรรม เอื้ออานวย
ให้มีการพัฒนารูปแบบการก่ออาชญากรรมท่ีมีความสลับซับซ้อนข้ึนอย่างหลากหลาย ได้แก่
1) อาชญากรรมทางด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี 2) อาชญากรรมข้ามชาติ 3) อาชญากรรม
เชิ้ตปกขาว (White Collar Crime) ท่ีมีบุคคลท่ีมีความรู้ มีการศึกษา มีความเชี่ยวชาญในเร่ืองต่าง ๆ
เป็นผู้ก่ออาชญากรรม 4) องค์กรอาชญากรรมซึ่งมีการจัดโครงสร้างองค์กรท่ีเชื่อมโยงเป็นเครือข่าย
มีบุคคลที่มีอานาจอิทธิพลเป็นหัวหน้าในการประกอบธุรกิจผิดกฎหมายและนาผลประโยชน์ท่ีได้เข้าสู่
กระบวนการฟอกเงิน 5) อาชญากรรมทางเศรษฐกิจ เป็นอาชญากรรมท่ีเข้าแทรกแซงระบบเศรษฐกิจ
ของประเทศหรือของโลก ส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามกลไกตลาด เกิดความเสียหายอย่าง
รุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจ และ 6) การทุจริตประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ อาชญากรรมรูปแบบ
ต่าง ๆ เหล่านี้ยากที่รัฐจะเข้าถึงตัวผู้ท่ีกระทาความผิด ยากที่จะนาตัวผู้กระทาความผิดมาลงโทษ
หรือไม่สามารถลงโทษผู้กระทาความผิดได้ในทันที ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ
สงั คม วัฒนธรรม ประเทศชาติ และตอ่ ประชาคมโลก
กรมสอบสวนคดีพิเศษ (Department of Special Investigation : DSI) เป็นหน่วยงาน
สังกัดกระทรวงยุติธรรม ได้รับการจัดต้ังข้ึนเม่ือวันที่ 3 ตุลาคม 2545 โดยมุ่งให้เป็นศูนย์กลางของ
ระบบการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม มีภารกิจเกี่ยวกับการป้องกัน ปราบปราม สืบสวน
สอบสวน ดาเนินคดีเกี่ยวกับความผิดทางอาญาท่ีมีลักษณะเป็น “คดีพิเศษ” ตามพระราชบัญญัติ
การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และโดยท่ีคดีพิเศษดังกล่าวจาเป็นจะต้องมีการสืบสวนสอบสวน
ท่ีมีประสิทธิภาพ จึงกาหนดให้มีพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ วิธีการสืบสวนและสอบสวนที่เป็น
การเฉพาะ เพ่ือเอื้ออานวยต่อการแสวงหาพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงท่ีเก่ียวข้องกับการกระทา
ความผิดในคดีพิเศษ ซึ่งเป็นคดีความผิดทางอาญาท่ีมีความสลับซับซ้อน เพื่อสามารถอานวยความ
ยุติธรรมให้กับประชาชนตามอานาจหน้าท่ีของกรมสอบสวนคดีพิเศษตามท่ีกาหนดไว้ในพระราชบัญญัติ
การสอบสวนคดพี เิ ศษ พ.ศ. 2547
แม้ว่ากฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษจะมีมาตรการหรอื เคร่ืองมือทางกฎหมาย (Legal
Instrument) ท่ีเอ้ืออานวยให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษและเจ้าหน้าท่ีคดีพิเศษสามารถใช้ในการ
แสวงหาพยานหลักฐานและแสวงหาข้อเทจ็ จรงิ ในทางคดีได้อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ แตจ่ ากการปฏิบัตงิ าน
ด้านการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษของกรมสอบสวนคดีพิเศษจนถึงปัจจุบัน พบว่ายังคงมีสภาพปัญหา
ในการสืบสวนสอบสวนและการแสวงหาพยานหลักฐาน โดยในบางคดีที่เป็นคดีท่ีมีความสลับซับซ้อน
หรือเป็นคดีที่มีผู้ทรงอิทธิพลเป็นตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุน หรือในบางคดีเป็นคดีท่ีมีลักษณะเป็น
การกระทาความผิดข้ามชาติ มีลักษณะการกระทาความผิดที่เป็นองค์กรอาชญากรรม มีการกระทา
ความผิดต่อระบบเศรษฐกิจหรือการคลังของประเทศ คดีความผิดดังกล่าวมีความยากในการแสวงหา
พยานหลักฐานที่เป็นท่ีประจักษ์ชัด หรือในบางคดีอาจพบผู้กระทาความผิดแต่ยังไม่สามารถสาว
ไปถึงผู้กระทาความผิดท่ีเป็นตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุนที่สาคัญที่อยู่เบื้องหลังการกระทาความผิดที่
แท้จริงได้ โดยที่มาตรการและกลไกของรัฐ หรือมาตรการทางการบริหารต่างๆ ยังไม่สามารถนาตัว
ซ
ผู้กระทาความผิดท่ีเป็นตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุนที่สาคัญมาลงโทษได้ การกระทาความผิดจึงยังเกิดขึ้น
อย่างต่อเนื่อง และจากการศึกษากฎหมายเพิ่มเติมพบว่าปัจจุบันในหลายประเทศ ในหลายหน่วยงาน
ไดม้ กี ารกาหนดมาตรการใหม่ ๆ เพอื่ เพิ่มประสทิ ธิภาพการสบื สวน สอบสวนและการแสวงหาข้อเทจ็ จริง
การแสวงหาพยานหลักฐานอันจะเป็นประโยชน์ต่อการนาตัวผู้กระทาความผิดมาลงโทษ จึงจาเป็น
ต้องศึกษาแนวทางหรือเคร่ืองมือใหม่ ๆ โดยศึกษาแนวทางการกันผู้ต้องหาหรือผู้กระทาผิดเป็นพยาน
ในคดีพิเศษเพื่อการพัฒนากฎหมาย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสืบสวนสอบสวนและการแสวงหา
พยานหลักฐานในคดีพิเศษ รวมท้ังศึกษาสภาพปัญหาท่ีเกิดข้ึนในการแสวงหาพยานหลักฐาน
ของหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกและการจัดประชุมกลุ่มย่อย และศึกษาแนวคิด
ทฤษฎี กฎหมาย หลักเกณฑ์ วิธีการ งานวิจัยท่ีเก่ียวกับการแสวงหาพยานหลักฐานโดยการกันผู้ต้องหา
หรือผู้กระทาความผิดเป็นพยาน เพ่ือนาข้อเสนอแนะและข้อสังเกตท่ีได้จากการเก็บรวบรวมข้อมูล
มาวิเคราะห์ สังเคราะห์แล้วนาไปจัดทาเป็นแนวทางการกันผู้ต้องหาหรือผู้กระทาผิดเป็นพยานใน
คดีพิเศษเพอ่ื การพัฒนากฎหมายต่อไป
วตั ถุประสงคก์ ารวิจยั
1. ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี กฎหมาย และงานวิจัยที่เก่ียวข้องกับการสืบสวนสอบสวนและ
การแสวงหาพยานหลักฐานโดยการกนั ผตู้ ้องหาหรือผกู้ ระทาความผดิ เปน็ พยาน
2. ศึกษาแนวทาง วิธีการ หลักเกณฑ์การกันผู้ต้องหาหรือผู้กระทาความผิดเป็นพยาน
การดาเนนิ คดีอาญาของหน่วยงานในประเทศและตา่ งประเทศ
3. ศึกษาสภาพปัญหาในการแสวงหาพยานหลักฐานในคดีอาญาที่มีลักษณะเป็นคดีพิเศษ
4. นาเสนอแนวทางการกันผู้ต้องหาหรือผู้กระทาความผิดเป็นพยานในคดีพิเศษ
กรอบแนวความคิดในการวจิ ยั ฌ
แนวคดิ ทฤษฎี กฎหมายท่ีเก่ียวกบั แนวทางการกนั ผตู้ อ้ งหาหรือ
การสืบสวนสอบสวนและการแสวงหา ผู้กระทาความผดิ เป็นพยานในคดีพิเศษ
พยานหลกั ฐานโดยการกนั ผูต้ ้องหาหรอื
การเพิ่มประสิทธภิ าพ
ผกู้ ระทาความผิดเป็นพยาน การสืบสวนสอบสวนคดพี เิ ศษ
แนวทาง/วิธีการ/หลกั เกณฑ์ คดีพิเศษ
การกนั ผู้ต้องหาเป็นพยาน
ของหน่วยงานในประเทศ
และตา่ งประเทศ
สภาพปัญหาในการแสวงหา
พยานหลกั ฐานในคดอี าญาที่มีลักษณะ
เปน็ คดีพเิ ศษ
วิธกี ารดาเนินการวิจัย
การวิจัยน้ีเป็นการวิจัยเชิ งคุณ ภ าพ (Qualitative Research) มีการวิจัยเชิงเอกสาร
(Documentary Research) กล่าวคือ ศึกษาค้นคว้าจากเอกสารในเร่ืองแนวคิด ทฤษฎี กฎหมาย
งานวิจัยท้ังในประเทศและต่างประเทศที่เก่ียวข้อง ร่วมกับการสัมภาษณ์เชิงลึก (Indepth Interview)
โดยมีการสัมภาษณ์กลุ่มผู้บริหารระดับสูงเป็นรายบุคคล และการประชุมกลุ่มย่อย (Focus Group)
ซึ่งเป็นการสนทนาในกลุ่ม ระดับผู้อานวยการส่วนงาน ในหน่วยงานคดีพิเศษ เพ่ือเก็บรวบรวมข้อมูล
นาข้อมูลมาวิเคราะห์สังเคราะห์ เพ่ือนาไปกาหนดแนวทางและ/หรือข้อเสนอให้กับกรมสอบสวน
คดีพิเศษ กระทรวงยุติธรรม เพ่ือปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ รวมถึง
การจดั ทาอนบุ ัญญตั ิภายใน เพื่อให้เกดิ ความชัดเจนและมีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานด้านสืบสวน
สอบสวนคดีพิเศษต่อไป
ญ
ผลการวจิ ัย
ผลการวิจัยทีไ่ ด้จากวิจยั เชิงเอกสาร การสัมภาษณเ์ ชิงลกึ และการสนทนากลุม่ สรุปได้ดงั นี้
1. การสืบสวนสอบสวนและการแสวงหาพยานหลักฐานในคดีพิเศษมีความยุ่งยาก ซับซ้อน
และยากต่อการแสวงหาพยานหลกั ฐาน โดยคดพี ิเศษส่วนใหญเ่ ป็นคดที ่ีมีการกระทาความผิดทางอาญา
ที่สาเร็จแล้ว หรือสาเร็จนานแล้ว ไม่ใช่คดีความผิดซึ่งหน้า หรือคดีความผิดท่ีเพ่ิงจะกระทาความผิด
สาเร็จ พยานหลักฐานบางอยา่ งไดถ้ กู ทาลายหรือถกู เปลี่ยนไปสิน้
2. ผู้กระทาความผิดมักจะรู้กันเองในกระบวนการ มีลักษณะการกระทาท่ีตัดตอน ไม่สามารถ
สาวถงึ ตัวการ ผู้ใช้ ผสู้ นับสนุนที่สาคัญท่ีอยู่เบ้ืองหลังทแี่ ท้จรงิ ได้ ดังนั้น การจับผกู้ ระทาความผิดทีไ่ มใ่ ช่
ตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุนที่สาคัญท่ีอยู่เบื้องหลังที่แท้จริง จึงไม่สามารยังย้ังอาชญากรรมคดีพิเศษได้
อยา่ งสนิ้ ซาก โดยเฉพาะในคดีความผิดเกยี่ วกบั องค์กรอาชญากรรม คดีคา้ มนษุ ย์ คดียาเสพตดิ เป็นตน้
3. ควรมีการแสวงหาพยานหลักฐานโดยวิธีการใหม่ ๆ อาทิ การกันไว้เป็นพยาน ซ่ึงกฎหมาย
ใหม่หลายฉบับได้มีการบญั ญตั ิไว้ด้วยแลว้ อาทิ พระราชบัญญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนูญว่าดว้ ยการปอ้ งกัน
และปราบปรามการทุจริต แห่งชาติ พ.ศ. 2561 ประกอบกับประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม
การทุจริตแห่งชาติ เร่ือง หลักเกณฑ์ วิธีการและเง่ือนไขในการกันบุคคลไว้เป็นพยานโดยไม่ดาเนินคดี
พ.ศ. 2561 เป็นตน้
4. ควรแก้ไขเพ่ิมเติมบทบัญญัติในพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 โดยนา
เรื่อง การกันผู้ร่วมกระทาความผิดหรือผู้ต้องหาเป็นพยานในคดีพิเศษมาเป็นเคร่ืองมือในการแสวงหา
พยานหลกั ฐานเพม่ิ เตมิ
5. กาหนดกลไกในการพิจารณากลั่นกรองว่าคดีพิเศษใดสามารถใช้วิธีการกันเป็นพยาน
โดยอาจมีการแต่งต้ังคณะกรรมการกลั่นกรอง หรืออาจมอบหมายรองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ
ท่ีควบคุมกากับในคดีให้เป็นผู้พิจารณากลั่นกรองก่อนเสนออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณาให้
ความเห็นชอบ
6. การกันไว้เป็นพยานนั้นจะต้องสามารถนาพาหรือเชื่อมโยงไปสู่พยานหลักฐานอื่นที่มี
ความสาคญั มีความน่าเชื่อถือ มีจานวนพยานหลักฐานในปรมิ าณท่ีมากเพียงพอทจ่ี ะนาไปสู่การช่ังน้าหนัก
พยานหลกั ฐาน ในการพิจารณาของพนักงานอัยการและศาล
7. ให้กาหนดเง่ือนไขให้มีพนักงานอัยการมาสอบสวนร่วมกับพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ
ในคดีพิเศษทมี่ ีความประสงค์จะใชว้ ิธกี ารกันไว้เป็นพยาน เพอ่ื ใหเ้ กิดความถูกตอ้ งและรอบคอบ
8. ควรกาหนดเงื่อนไขให้มีท่ีปรกึ ษาคดีพเิ ศษเข้าร่วมในคณะพนักงานสอบสวนคดีพเิ ศษ
9. การลงมติให้กันผู้ร่วมกระทาผดิ หรือผู้ต้องหารายใดเป็นพยาน ให้เป็นมติของคณะพนักงาน
สอบสวนคดพี เิ ศษโดยเอกฉนั ท์
10. การกันผู้ร่วมกระทาผิดหรอื ผู้ตอ้ งหาเป็นพยานในคดีพิเศษควรให้สามารถดาเนินการได้ท้ัง
ในชั้นสืบสวนและชั้นสอบสวน โดยกระทาได้ทั้งในกรณีท่ีพนักงานสอบสวนคดีพิเศษยังไม่มีการแจ้ง
ข้อหาหรอื มีการแจ้งข้อหาแลว้
ฎ
11. ในคดพี ิเศษใดไดร้ ับความเห็นชอบจากอธิบดีกรมสอบสวนคดพี ิเศษให้ดาเนินการกนั ผู้ร่วม
กระทาผิดหรือผู้ต้องหาไว้เป็นพยาน ให้ดาเนินการเก่ียวกับการคุ้มครองพยานตามท่ีกฎหมายกาหนด
ควบคู่กนั โดยทันที
12. กาหนดให้มีมาตรการการรักษาความลับเรื่องการกันผู้ร่วมกระทาความผิดหรือผู้ต้องหา
เปน็ พยานในคดีพิเศษ แยกต่างหากจากเร่อื งการรกั ษาความลับในสานวน
13. ให้นาผลการวิจัยน้ีเสนอในการประชุมคณะรัฐมนตรี การประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณา
ร่างกฎหมายและการประชุมคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบการปรับปรุง
พระราชบัญญตั ิ การสอบสวนคดีพเิ ศษ พ.ศ. 2547
14. ให้มกี ารออกข้อบังคับ กคพ. (คณะกรรมการคดีพิเศษ) โดยกาหนดแนวทาง วิธีปฏิบัตแิ ละ
เงื่อนไขต่าง ๆ ในรายละเอียดเพอ่ื เกดิ ความชดั เจนในการปฏิบัติ และประกาศในราชกจิ จานเุ บกษา
ขอ้ เสนอแนะ
ผลที่ได้จากการวจิ ัยนี้มีข้อเสนอแนะ ดงั น้ี
1. ควรปรับปรุงเพ่ิมเติมกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ โดยเพ่ิมบทบัญญัติเก่ียวกับ
การกันผู้ต้องหาหรือผู้กระทาความผิดไว้เป็นพยานในคดีพิเศษ จานวน 5 มาตรา โดยผู้วิจัยได้จัดทา
ร่างเสนอ ดงั นี้
1.1 “มาตรา .. บุคคลซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทาความผิดในคดีพิเศษ หากได้ให้
ถ้อยคาหรือแจ้งเบาะแสหรือข้อมูลท่ีสา คัญในระหว่างการสอบสวนและเป็นประโยชน์ท่ีจะสาม ารถ
ใช้เป็นพยานหลักฐานในการดาเนินคดีกับตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุนท่ีสาคัญ พนักงานสอบสวน
คดีพเิ ศษอาจเสนอกันบุคคลนั้น ไว้เป็นพยานโดยไมด่ าเนินคดีกไ็ ด้
บุคคลซึ่งมีส่วนเก่ียวข้องกับการกระทาความผิดในคดีพิเศษประสงค์จะเสนอตนเอง
เพ่ือจะแจ้งเบาะแสหรือให้ข้อมูลท่ีสาคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ
บันทึกข้อมูลดังกล่าวไว้ในสานวนการสอบสวน และอาจเสนอกันบุคคลนั้นไว้เป็นพยานโดยไม่
ดาเนินคดีกไ็ ด้
หลักเกณฑ์ วิธีการ เง่ือนไขการกันไว้เป็นพยานตามมาตรานี้ให้เป็นไปตามข้อบังคับ
ที่ กคพ. กาหนด”
1.2 “มาตรา .. ในกรณีท่ีมีการฟ้องคดีแล้ว หากการให้ข้อมูลตามมาตรา .. ได้กระทาใน
ระหว่างการพิจารณาคดีของศาล ให้อัยการสูงสุดมีอานาจออกคาส่ังถอนฟ้อง ถอนอุทธรณ์ ถอนฎีกา
หรือไม่อุทธรณ์ ไม่ฎีกาในความผิดของบุคคลท่ีท้ังหมดหรือบางส่วน แล้วแต่กรณี ทั้งน้ี ภายใต้บังคับ
ของประมวลกฎหมาย วธิ พี จิ ารณาความอาญา”
1.3 “มาตรา .. เมื่ออธบิ ดีหรืออัยการสูงสุดพิจารณาให้ความเหน็ ชอบให้กันบุคคลใดไว้เป็น
พยานแล้ว มิให้ดาเนินคดีอาญาหรือดาเนินการทางวินัยกับบุคคลนั้น และบุคคลนั้นอาจได้รับความ
ช่วยเหลือและคุ้มครองตามท่ีกฎหมายกาหนดจนคดีถึงที่สุด เว้นแต่บุคคลน้ันฝ่าฝืนหลักเกณฑ์ วิธีการ
เงื่อนไขการกันไวเ้ ป็นพยานตามขอ้ บังคับที่ กคพ. กาหนด”
ฏ
1.4 “มาตรา .. หากบุคคลตามมาตรา .. ให้ถ้อยคาอันเป็นเท็จ หรือไม่ไปเบิกความหรือ
ไปเบิกความแต่ไม่เป็นไปตามท่ีให้การหรือให้ถ้อยคาไว้ หรือไปเบิกความแต่ไม่เป็นประโยชน์ ต่อ
การพิจารณาคดี หรือเป็นปฏิปักษ์ ให้การกันไว้เป็นพยานของบุคคลนั้นสิ้นสุดลง และให้ดาเนินคดีกับ
บุคคลน้ันตามความผิดท่ีได้ร่วมกระทาต่อไป และให้ดาเนินคดีกับบุคคลน้ันในฐานแจ้งข้อความอันเป็น
เทจ็ เก่ียวกับความผิดอาญาตามมาตรา 172 และ/หรือ มาตรา 174 วรรคสองร่วมดว้ ย”
1.5 “มาตรา .. ถ้าศาลเห็นว่าผู้ร่วมกระทาผิดรายใดได้ให้ถ้อยคาหรือข้อมูลท่ีสาคัญและ
เป็นประโยชน์อย่างย่ิงในการนาไปสู่การดาเนินคดีกับตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุนท่ีสาคัญในคดีพิเศษ
ศาลจะลงโทษผนู้ น้ั น้อยกว่าอตั ราโทษขน้ั ต่าทีก่ าหนดไว้สาหรับความผดิ น้นั ก็ได้”
2. เมื่อปรับปรุงเพ่ิมเติมกฎหมายแล้ว ควรเสนอให้คณะกรรมการคดีพิเศษ ออกข้อบังคับ
กคพ. เพื่อกาหนดแนวทาง วิธีการ เงอ่ื นไขในการใช้มาตรการการกันผู้ต้องหาหรือผู้กระทาความผิดไว้
เป็นพยานในคดีพิเศษ โดยผู้วิจัยได้จัดทาร่างข้อบังคับ กคพ. เสนอประกอบการพิจารณาด้วยแล้ว
ดงั ปรากฏในบทที่ 6
3. ควรแต่งตัง้ คณะกรรมการกล่ันกรองการกันผ้ตู ้องหาหรือผู้รว่ มกระทาความผิดไว้เป็นพยาน
ในคดพี ิเศษหรือมอบหมายรองอธิบดกี รมสอบสวนคดีพิเศษที่กากบั ดูแลเปน็ ผู้พจิ ารณาและให้ความเห็น
เบื้องต้น เพื่อประกอบการอนุมตั ิของอธิบดีกรมสอบสวนคดีพเิ ศษ
4. ควรให้มีการช้ีแจงแนวทาง วิธีการ เงื่อนไขการกันผู้ต้องหาหรือผู้ร่วมกระทาความผิดไว้
เป็นพยานในคดีพิเศษให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษและเจ้าหน้าที่คดีพิเศษทราบท่ัวกัน โดยให้
กองกฎหมายเป็นผชู้ ีแ้ จง
5. ควรจัดทาคู่มือการกันผู้ต้องหาหรือผู้ร่วมกระทาความผิดไว้เป็นพยานในคดีพิเศ ษ
เพ่ือประกอบการดาเนินการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษให้มีความชัดเจนและถูกต้องตามที่กฎหมาย
กาหนด
ฐ
Executive Summary
Background and importance of the problem
The advancement in economy, society, technology, politics, and culture has
resulted in the development of various types of crimes that are more complex,
namely 1) Computer and Technology crimes 2) Transnational crimes 3) White collar
crimes that individuals who are knowledgeable, educated, and have expertise in
a variety of subjects are criminals. 4) Organized crimes, the organizational structure of
which are established to coordinate as networks, having powerful individuals in charge
of the organized crimes and operating illegal business, and the earned money shall
be brought into a money laundering process. 5) Economic crimes, that interfere with
the economy system of a country or the world, and causing severe damage to the
economy 6) Corruption and Misconduct by government officials. These unconventional
crimes are difficult for the state to reach the offenders and bring them to justice
or unable to punish them, resulting in damage to the economic system, society,
culture, nation and the world community.
Department of Special Investigation, abbreviated as DSI, is a government
agency under Ministry of Justice, established on the 3rd of October 2002, by aiming to
be the center of the crime prevention and suppression system, with missions related
to prevent, suppress, and investigate criminal prosecutions that are characterized as
"special cases" under the Special Investigation Act B.E. 2547 and its amendments.
As such special cases require effective investigations, therefore, special investigation
officers are required, as well as, special investigative and investigative methods
to facilitate the seeking of evidence and facts related to the commission of an
offense in a special case which is a complex criminal case in order to be able to
provide justice to the people according to the powers and duties of the Department
of Special Investigation as stipulated in the Special Investigation Act B.E. 2547.
Although the Special Case Investigation Act B.E. 2547 introduced various special
measures as additional efficient legal instruments for the special case which inquiry
officials can use for collecting evidence and finding facts in cases effectively. However,
from the past until now, it has been found that the investigation performance of
Department of Special Investigation, have some problems in investigating and seeking
evidence in complex criminal cases, influential person being a principal, instigator or
supporter; transnational crimes, organized crimes and economic crimes against the
country's economic or fiscal system. In such offences, it is difficult to find evidence.
Although offenders may be found, investigators are yet to be able to reach the
ฑ
instigator, the commander, or the supporter of the crime. Moreover, measures and
mechanisms of the government, such as implementation of legal or administrative
measures has failed to convict crime offenders, resulting in difficulty with bringing
the offenders who are instigators, commanders, or supporters to justice. Offenses
therefore continue to occur. By further legal studies in many countries, it was found
that, new measures have been put in place to increase the efficiency of investigations
and fact-finding, seeking evidence that would be beneficial to bringing the offender to
punishment. Therefore, it is necessary to set guidelines or proposals for granting
immunity for prosecution to the accomplice as a witness in a special case for the law
development in order to increase efficiency in investigations and seeking evidence in
special cases. This research also examines the problems in the evidence-seeking of
relevant agencies by in-depth interviews and focus group meetings, and studying
concepts, theories, laws, guidelines, criteria, methods, and researches related to
seeking evidence by granting immunity for prosecution to the accomplice as a witness,
including concepts and theories about confession negotiation.
Objectives of the study
1 . Study the concepts, theories, laws and researches related to investigation
and evidence-seeking by granting Immunity for prosecution to the accomplices or
suspects.
2. Study the guidelines/methods/criterion for preventing the accused or offender
from being a witness/criminal prosecution of domestic and foreign agencies.
3. Study problems in seeking evidence in criminal special cases.
4. To set guidelines or proposals for granting immunity for prosecution to the
accomplices or suspects.
Conceptual Framework ฒ
concepts, theories, laws and guidelines or proposals for
researches related to investigation granting immunity for
and evidence-seeking by granting
Immunity for prosecution to the prosecution to the accused or
offender as a witness in
accomplices or suspects special cases
the guidelines/methods/criterion for Optimize special cases
preventing the accused or offender investigation
from being a witness/criminal
prosecution of domestic and foreign
agencies
problems in seeking evidence in
criminal special cases
Methodology
This research is a qualitative one by means of documentary research, that is,
collecting relevant data from documents, theories, laws and researches in both
domestic and foreign countries; In-depth Interview of senior executives individually;
and focus group meetings of relevant department directors of Department of Special
Investigation. In order to collect information, analyze the data, and to set guidelines
and/or proposals for the Department of Special Investigation to amend and improve
the Special Case Investigation Act B.E. 2547 or issuing internal regulations for clarity
to continue investigative operations.
ณ
Research Results
The data collected from the in-depth interviews and focus group meetings
could be concluded as follows:
1. Investigation and seeking evidence in special cases is complicated and
difficult to find evidence. Most of the special cases are the cases where criminal
offenses have been successfully committed, either recently, or a long time ago. It is
not a flagrant-offense or an offense that has just been committed successfully.
2. The perpetrators usually know each other in the criminal rings, and the
crime commissions of which have the characteristics that there is no link to the
principles, instigators, and supporters behind the scenes. Therefore, special crimes
cannot be completely deterred if the perpetrators who are caught are not the
principals, instigators and supporters.
3. New methods should be utilized in evidence-seeking, such as Granting
Immunity for Prosecution to the accomplice or suspect as a witness as already
prescribed in the new laws such as the National Anti-Corruption Organic Act B.E. 2561,
as well as the National Anti-Corruption Commission's announcement on rules,
procedures and conditions for detaining persons as witnesses without prosecution,
B.E. 2561, etc.
4. The Special Investigation Act BE 2547 should be amended by introducing
the provisions on Granting Immunity for Prosecution to the accomplice or suspect as
a witness in a special case as a tool for seeking additional evidence.
5. Determine a mechanism for scrutinizing as to which special cases are
entitled to the measure of Granting Immunity for Prosecution to the accomplice or
suspect as a witness such as appointing a screening committee or assigning the
Deputy Director-General of the Department of Special Investigation overseeing the
case to consider and scrutinize before submitting to the Director-General of the
Department of Special Investigation for approval.
6. Granting Immunity for Prosecution to the accomplice or suspect as a witness
must be able to lead to other important, convincing evidence, as well as having
sufficient amount that leads to the weighing of evidence for prosecutors and courts
7. A condition for having a prosecutor to investigate with special investigative
officers in the special cases requiring the use of Granting Immunity for Prosecution to
the accomplice or suspect as a witness should be determined.
ด
8. A condition for having a special case counselor to join the special case
investigation team should be determined.
9. Granting Immunity for Prosecution to any accomplice or suspect as a witness
shall be unanimously resolved by the Special Case Investigation Team.
10. Granting Immunity for Prosecution to any accomplice or suspect as
a witness should be carried out in both inquiry and investigation stages. This can be
done both in the event that the charge has not been notified (accomplice) or the
charge has been notified (suspect).
11. When Granting Immunity for Prosecution to any accomplice or suspect as
a witness in any special case has been approved by the Director-General of the
Department of Special Investigation, the witness protection law must be applied
immediately.
12. Measures on confidentiality regarding Granting Immunity for Prosecution to
any accomplice or suspect as a witness special cases shall be determined, separate
from the matter of confidentiality in the case file.
1 3 . The results of this research shall be presented to the Cabinet meeting,
joint meeting of the National Assembly for considering draft law, and the Council of
State meetings to consider and approve the amendment of the Special Investigation
Act B.E. 2547
14. BSC. (Board of Special Case)’s regulations prescribing guidelines, methods
and conditions in details of Granting Immunity for Prosecution to any accomplice or
suspect as a witness shall be issued for the clarity in practice. Such regulations shall
be also published in the Government Gazette.
Recommendations
As conclusions, which were drawn from this research, the researcher raises
comments as follows:
1. The Special Investigation Act BE 2547 should be amended by adding
provisions relating to setting aside the suspects or co-offenders as witnesses in special
cases, amounting to 5 sections. The researcher has prepared a draft proposal as
follows:
1.1 “Section … Any person involved in the commission of an offense in
a special case, if giving statements or giving clues or information that is important to
be used as evidence in the prosecution of the important principal, instigator, or
supporter, the special case inquiry official shall record such information in the
investigation file, and may propose that person be a witness without prosecution.
ต
If any person involved in an offense in a special case wishes to present
himself to give clues or provide important and extremely useful information, the
special case inquiry official shall record such information in the investigation file, and
may propose that person be a witness without prosecution.
The rules, procedures, and conditions for setting aside the witness under
this section shall be in accordance with the regulations prescribed by the Board of
Special Case: BSC”
1.2 “Section .. in the case of a prosecution, if the provision of information
under section .. was made during the trial, the Attorney General shall have the power
to issue an order withdrawing the prosecution, withdrawing an appeal, with drawing
a petition, or not appealing against the verdicts rendered by the Court of First
Instance, or the Appeal Court, for the offense of the person in whole or in part,
subject to the Criminal Procedure Code.”
1.3 “Section .. when the director-general or the attorney general consider
giving approval to any person to be a witness to prevent criminal prosecutions or
disciplinary actions shall be taken against that person. In this case, that person may
receive assistance and protection as required by law until the final case, unless such
person violates the rules, procedures, and conditions of keeping as a witness under
the regulations prescribed by the BSC.”
1.4 “Section .. if a person under section .. makes a false statement, or not
to testify, or to testify but contradict to the testimony or statement given earlier, or to
testify but it is not beneficial or hostile to the case, the immunity given to that
person' as a witness is over. In this case, the prosecution against such person
according to the offense committed and the offense for giving a false statement
relating to a criminal offense under Section 172 and/or Section 174 paragraph two
shall be proceeded.”
1.5 “Section .. when the court deems that any co-offender has made statements
or information that are very important and useful, leading to the prosecution of the
principal, the user, or the principal, instigator, or supporter in a particular case, the court
may inflict a punishment on that person less than the minimum penalty rate prescribed
for such offence.”
2. After amending the law, the Special Case Committee shall issue OCSC
regulations to prescribe guidelines, procedures, and conditions for implementing
measures to deprive the accused or co-offenders of being witnesses in special cases.
In so doing, the researcher has already prepared a draft proposal.
ถ
3. A screening committee to exclude suspects or co-offenders as witnesses in
special cases should be appointed. Alternatively, the Deputy Director-General of the
Department of Special Investigation in charge should be assigned to consider and give
preliminary opinions for the approval of the Director-General of the Department of
Special Investigation.
4. Guidelines, procedures, and conditions for setting aside to the accused or
co-offenders as witnesses in special cases should be clarified by the Legal
department to the Special case Inquiry officials and the special case Officers for
acknowledgment.
5. A manual for setting aside the accused or the offender as a witness in
a special case to engage should be proceeded for clarity and rightfulness in special
investigations and investigations.
ท
สารบญั
กติ ติกรรมประกาศ หนา้
บทคัดย่อภาษาไทย
บทคดั ย่อภาษาองั กฤษ ก
บทสรุปผ้บู ริหารภาษาไทย ข
บทสรปุ ผู้บริหารภาษาองั กฤษ ง
สารบญั ช
สารบญั ตาราง ฐ
ท
บทที่ 1 บทนา พ
1.1 ความเป็นมาและความสาคัญของปญั หา
1.2 วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั 1
1.3 ขอบเขตการวิจัย 4
1.4 กรอบแนวคิด 5
1.5 วธิ ดี าเนนิ การวิจัย 5
1.6 ประโยชนท์ ีค่ าดว่าจะได้รบั 6
1.7 นิยามศัพท์ 6
6
บทที่ 2 แนวคดิ ทฤษฎี เอกสารและงานวิจัยทีเ่ ก่ียวขอ้ ง 8
2.1 ระบบกฎหมายของประเทศไทย 9
2.2 กระบวนการยุติธรรมทางอาญา 9
2.2.1 ความหมายของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา 11
2.2.2 องค์กรและบุคลากรในกระบวนการยตุ ิธรรมทางอาญา 12
2.2.3 การดาเนินกระบวนการยุตธิ รรมทางอาญา 14
2.3 การดาเนินคดีอาญา 15
2.3.1 ระบบกลา่ วหา 16
2.3.2 ระบบไต่สวน 18
2.3.3 ระบบผสม 20
2.4 พยานหลักฐานและการแสวงหาพยานหลกั ฐาน 20
2.4.1 ความหมายของพยานหลักฐาน 20
2.4.2 ประเภทของพยานหลกั ฐาน 23
2.4.3 มาตรฐานการพิสูจน์ 26
2.4.4 การแสวงหาพยานหลักฐาน 27
2.4.5 การรับฟงั พยานหลกั ฐานและการชั่งน้าหนกั พยานหลักฐานในคดอี าญา
ธ
สารบัญ (ตอ่ )
หน้า
2.5 การสบื สวนและการสอบสวนคดีอาญา 34
2.5.1 การสืบสวน 35
2.5.2 การสอบสวน 38
2.5.3 ความสัมพนั ธ์ระหว่างการสบื สวนและการสอบสวน 44
45
2.6 การสอบสวนคดีพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพเิ ศษ 47
2.6.1 คดีพิเศษ 49
2.6.2 วธิ กี ารสืบสวนสอบสวนคดีพเิ ศษ 51
2.6.3 ข้อมูลสถติ ิคดีพเิ ศษ 51
2.6.4 ข้อมลู คดพี เิ ศษตามการแบ่งกลุ่มของลักษณะอาชญากรรม 51
2.6.5 เร่ืองสบื สวนตามการแบ่งกลุ่มของลักษณะอาชญากรรม 52
2.6.6 รายละเอยี ดของลักษณะของการกระทาความผิดทเ่ี ปน็ คดีพเิ ศษ
ตามมาตรา 21 วรรคหน่งึ (1) แหง่ พระราชบญั ญัตกิ ารสอบสวน 58
คดีพเิ ศษ พ.ศ. 2547 60
2.6.7 ปัญหาในการแสวงหาพยานหลักฐานเพอ่ื พิสูจนค์ วามผิดในคดีพิเศษ 62
2.6.8 ความแตกตา่ งในการสืบสวนสอบสวนระหว่างคดีพิเศษกบั คดอี าญาท่วั ไป 63
2.6.9 ความแตกต่างของลกั ษณะคดีพเิ ศษกบั คดอี าญาทั่วไป 64
65
2.7 มาตรการการกนั ผตู้ ้องหาหรอื ผู้กระทาความผิดเป็นพยาน 67
2.7.1 ความหมายและทมี่ า 68
2.7.2 การกันผู้ต้องหาเปน็ พยานในประเทศไทย 70
2.7.3 รปู แบบหรอื วิธกี ารกันผู้ต้องหาเป็นพยาน 71
2.7.4 หลกั การกันผู้ต้องหาเป็นพยาน 72
2.7.5 ขอ้ ดแี ละข้อเสยี ของการกันผู้ต้องหาหรอื ผู้กระทาความผดิ เป็นพยาน 72
2.7.6 หลักสาคญั ต่อการเลือกใช้ 72
2.7.7 ขอ้ ควรระวัง 74
75
2.8 หลกั การสาคัญอ่นื ๆ ท่ีเก่ียวข้อง 76
2.8.1 หลกั สิทธิมนุษยชนขัน้ พน้ื ฐาน 78
2.8.2 หลกั ความชอบด้วยกฎหมาย 79
2.8.3 หลักการค้นหาความจรงิ 80
2.8.4 หลักสันนษิ ฐานไวก้ ่อนวา่ บริสทุ ธ์ิ 81
2.8.5 หลักการพิสูจน์จนสิน้ สงสัยตามสมควร
2.8.6 หลกั การยกประโยชนแ์ หง่ ความสงสยั ใหแ้ กจ่ าเลย
2.8.7 สทิ ธิท่ีจะไมใ่ หถ้ ้อยคาอันเป็นปฏิปกั ษ์ต่อตนเอง
2.8.8 หลกั พยานแผ่นดินหรือพยานหลวง
น
สารบญั (ต่อ)
หน้า
2.8.9 หลักประโยชนส์ าธารณะ 82
2.8.10 หลกั การรับฟังพยานในคดอี าญา 84
2.8.11 หลักนิติธรรมและหลักนติ ิรัฐ 85
บทท่ี 3 กฎหมาย ระเบียบ งานวจิ ัยทเ่ี กีย่ วขอ้ งทัง้ ในประเทศและต่างประเทศ 88
3.1 กฎหมาย ระเบยี บในประเทศไทย 88
3.1.1 ระเบยี บสานักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดาเนินคดีอาญา 89
ของพนักงานอัยการ พ.ศ. 2547 90
3.1.2 ประมวลระเบยี บการตารวจเกยี่ วกับคดี 92
3.1.3 หลกั เกณฑแ์ ละวิธกี ารปฏิบัติในเรื่องการกนั ผู้ตอ้ งหา 93
เปน็ พยาน กรมตารวจ 93
3.1.4 แนวทางปฏิบตั ิการกนั ผู้ต้องหาเปน็ พยาน สานกั งานตารวจแห่งชาติ
3.1.5 พระราชบญั ญตั ิประกอบรัฐธรรมนญู ว่าดว้ ยการป้องกันและปราบปราม 96
การทุจรติ พ.ศ. 2561
3.1.6 ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจรติ แหง่ ชาติ 96
เร่ือง หลกั เกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการกันบุคคลไวเ้ ป็นพยาน
โดยไม่ดาเนนิ คดี พ.ศ. 2561 98
3.1.7 พระราชบญั ญัติมาตรการของฝา่ ยบรหิ ารในการปอ้ งกันและปราบปราม 99
การทจุ ริต พ.ศ. 2551 และพระราชบญั ญัติมาตรการของฝ่ายบริหาร 99
ในการปอ้ งกันและปราบปรามการทจุ ริต (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2561 100
3.1.8 ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทจุ ริตในภาครฐั
เร่อื ง หลกั เกณฑ์ วิธกี ารและเงือ่ นไขในการกนั บุคคลหรือผู้ถกู กล่าวหา
ไว้เปน็ พยานโดยไม่ดาเนนิ คดี พ.ศ. 2560
3.1.9 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมสี ว่ นร่วมในองค์กร
อาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556
3.1.10 พระราชบญั ญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการ
การเลือกตัง้ พ.ศ. 2560
3.1.11 พระราชบญั ญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนูญว่าดว้ ยการเลือกตัง้
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561
3.1.12 พระราชบัญญัตปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู ว่าดว้ ยการได้มาซึ่ง
สมาชกิ วุฒสิ ภา พ.ศ. 2561
บ
สารบญั (ต่อ)
หน้า
3.1.13 พระราชบัญญัตกิ ารเลือกต้ังสมาชิกสภาท้องถิ่น 100
หรอื ผู้บริหารท้องถนิ่ พ.ศ. 2562
3.1.14 ระเบียบคณะกรรมการการเลือกต้งั ว่าดว้ ยหลักเกณฑ์ วธิ ีการ 100
และเงื่อนไขในการกันบุคคลไวเ้ ป็นพยานโดยไม่ดาเนินคดี พ.ศ. 2563
3.1.15 พระราชบญั ญัตริ ะเบียบขา้ ราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 102
3.1.16 กฎ ก.พ. วา่ ด้วยหลักเกณแ์ ละวิธีการการใหบ้ าเหน็จความชอบ 103
การกันเป็นพยาน การลดโทษ และการให้ความคุ้มครองพยาน พ.ศ. 2553
3.1.17 พระราชบัญญัติระเบียบขา้ ราชการรัฐสภา พ.ศ. 2554 106
3.1.18 กฎ ก.ร. วา่ ดว้ ยหลกั เกณฑ์และวธิ ีการการใหบ้ าเหน็จความชอบ 106
การกนั เปน็ พยานการลดโทษ และการให้ความคุ้มครองพยาน พ.ศ. 2555
3.1.19 ประกาศกรมศุลกากร ที่ 60/2564 เรื่อง การคุ้มครองพยาน 109
ผ้ใู ห้ขอ้ มูล ผูแ้ จ้งเบาะแส หรือผูใ้ ห้ถอ้ ยคาการทจุ ริตและ
ประพฤติมิชอบของเจ้าหนา้ ที่กรมศุลกากร
3.1.20 รา่ งพระราชบัญญัติแกไ้ ขเพ่มิ เติมประมวลกฎหมาย 111
วิธีพจิ ารณาความอาญา (ฉบับที่..) พ.ศ. ....
3.1.21 ร่างพระราชบัญญตั ิการสอบสวนคดอี าญา พ.ศ. .... 116
3.2 กฎหมาย ระเบียบ แนวทางที่เก่ียวขอ้ งในตา่ งประเทศ 117
3.2.1 ประเทศองั กฤษ 117
3.2.2 ประเทศสหรฐั อเมรกิ า 122
3.2.3 ประเทศสหพันธส์ าธารณรฐั เยอรมนี 127
3.2.4 ประเทศอนิ โดนิเซีย 127
3.2.5 ประเทศสาธารณรฐั ฝร่งั เศส 132
3.2.6 ประเทศญีป่ นุ่ 135
3.3 งานวจิ ยั ทเี่ ก่ียวข้องทงั้ ในประเทศและตา่ งประเทศ 137
3.3.1 งานวจิ ัยในประเทศไทย 137
3.3.2 งานวจิ ัยตา่ งประเทศ 145
3.4 ผังโครงสร้างกฎหมาย/ระเบยี บ 148
3.4.2 ผังความเชอื่ มโยงการกันเปน็ พยาน 149
3.4.1 ผังโครงสรา้ งกฎหมาย/ระเบียบ 150
ป
สารบัญ (ต่อ) หน้า
บทที่ 4 การสัมภาษณ์เชิงลึก 151
4.1 การแบ่งกลมุ่ ผูใ้ หส้ ัมภาษณ์ 151
4.2 รายช่ือผู้ให้สมั ภาษณ์ 153
4.3 ประเด็นการสมั ภาษณ์เชิงลกึ 153
4.4 ผลการสมั ภาษณ์เชิงลกึ รายบุคคล (ไม่เรียงลาดบั ตามรายชือ่ ผู้ให้สัมภาษณ์) 153
4.4.1 การสมั ภาษณเ์ ชิงลึก คนท่ี 1 156
4.4.2 การสัมภาษณ์เชิงลึก คนที่ 2 161
4.4.3 การสมั ภาษณ์เชิงลึก คนท่ี 3 164
4.4.4 การสัมภาษณ์เชงิ ลกึ คนที่ 4 168
4.4.5 การสมั ภาษณ์เชงิ ลกึ คนที่ 5 171
4.4.6 การสัมภาษณ์เชงิ ลกึ คนที่ 6 176
4.4.7 การสมั ภาษณ์เชงิ ลกึ คนท่ี 7 180
4.4.8 การสมั ภาษณเ์ ชงิ ลึก คนท่ี 8 187
4.4.9 การสัมภาษณเ์ ชิงลกึ คนที่ 9 195
4.4.10 การสัมภาษณ์เชิงลึก คนท่ี 10 199
4.4.11 การสมั ภาษณเ์ ชิงลึก คนท่ี 11 204
4.4.12 การสัมภาษณเ์ ชิงลึก คนที่ 12 211
4.4.13 การสมั ภาษณเ์ ชงิ ลึก คนที่ 13 219
4.4.14 การสัมภาษณ์เชงิ ลึก คนท่ี 14 223
4.4.15 การสมั ภาษณเ์ ชิงลึก คนท่ี 15 226
4.4.16 การสัมภาษณ์เชิงลึก คนท่ี 16 232
4.4.17 การสัมภาษณ์เชงิ ลึก คนที่ 17 235
4.5 สรุปผลที่ได้จากการสมั ภาษณ์เชงิ ลึก
247
บทท่ี 5 การประชุมกลุ่มย่อยและการแสดงความเหน็ ของบุคลากร/หน่วยงาน 248
ในสังกดั กรมสอบสวนคดีพิเศษ 249
5.1 การประชมุ กลมุ่ ยอ่ ย 250
5.1.1 รายชื่อผ้เู ขา้ รว่ มการประชุมกล่มุ ย่อย 250
5.1.2 ประเดน็ การประชมุ กลุ่มย่อย 251
5.1.3 ผลการแสดงความคิดเหน็ ของผูเ้ ข้าร่วมการประชุมกลมุ่ ย่อย 252
5.1.3.1 ผู้เข้าร่วมประชุมคนท่ี 1
5.1.3.2 ผู้เขา้ รว่ มประชุมคนท่ี 2
5.1.3.3 ผเู้ ข้าร่วมประชมุ คนที่ 3
ผ
สารบัญ (ต่อ)
หน้า
5.1.3.4 ผเู้ ข้าร่วมประชุมคนที่ 4 254
5.1.3.5 ผเู้ ข้าร่วมประชมุ คนท่ี 5 255
5.1.3.6 ผเู้ ข้ารว่ มประชุมคนที่ 6 256
5.1.3.7 ผู้เขา้ ร่วมประชมุ คนที่ 7 257
5.1.3.8 ผเู้ ข้ารว่ มประชุมคนที่ 8 257
5.1.3.9 ผู้เข้าร่วมประชุมคนท่ี 9 258
5.1.3.10 ผเู้ ขา้ ร่วมประชุมคนท่ี 10 259
5.1.3.11 ผู้เข้ารว่ มประชมุ คนที่ 11 261
5.1.3.12 ผู้เข้ารว่ มประชุมคนท่ี 12 262
5.1.3.13 ผ้เู ขา้ ร่วมประชุมคนที่ 13 263
5.1.3.14 ผู้เขา้ ร่วมประชุมคนท่ี 14 264
5.1.3.15 ผู้เข้าร่วมประชมุ คนที่ 15 266
5.1.3.16 ผเู้ ขา้ ร่วมประชมุ คนท่ี 16 267
5.1.3.17 ผู้เขา้ รว่ มประชมุ คนท่ี 17 268
5.1.3.18 ผู้เขา้ รว่ มประชมุ คนท่ี 18 269
5.1.3.19 ผู้เขา้ รว่ มประชมุ คนท่ี 19 270
5.1.3.20 ผู้เขา้ รว่ มประชุมคนท่ี 20 271
5.1.3.21 ผู้เขา้ ร่วมประชมุ คนที่ 21 272
5.1.3.22 ผเู้ ขา้ ร่วมประชุมคนที่ 22 274
5.1.3.23 ผเู้ ขา้ รว่ มประชุมคนท่ี 23 275
5.1.3.24 ผู้เข้ารว่ มประชุมคนที่ 24 276
5.1.3.25 ผ้เู ขา้ ร่วมประชมุ คนท่ี 25 278
5.2 การแสดงความคิดเห็นของบุคลากร/หนว่ ยงานในสังกดั กรมสอบสวนคดีพเิ ศษ 279
5.2.1 รายชื่อบุคลากร/หนว่ ยงานท่ีแสดงความคิดเห็น 279
5.2.2 ผลการแสดงความคิดเห็นของบุคลากร/หน่วยงาน 280
5.2.2.1 ผู้ใหข้ ้อมลู คนที่ 1 280
5.2.2.2 ผใู้ ห้ข้อมูลคนที่ 2 280
5.2.2.3 ผใู้ หข้ ้อมูลคนท่ี 3 281
5.2.2.4 ผู้ให้ข้อมลู คนที่ 4 282
5.2.2.5 ผูใ้ หข้ อ้ มูลคนท่ี 5 282
5.2.2.6 ผู้ให้ขอ้ มูลคนที่ 6 284
5.2.2.7 ผใู้ ห้ขอ้ มูลคนท่ี 7 284
5.2.2.8 ผ้ใู หข้ อ้ มูลคนที่ 8 285
ฝ
สารบญั (ต่อ)
หนา้
5.2.2.9 ผูใ้ หข้ ้อมลู คนที่ 9 286
5.2.2.10 ผ้ใู หข้ อ้ มลู คนท่ี 10 287
5.2.2.11 ผ้ใู ห้ข้อมูลคนที่ 11 288
5.2.2.12 ผใู้ ห้ขอ้ มลู คนที่ 12 289
5.2.2.13 ผู้ให้ขอ้ มูลคนท่ี 13 289
5.2.2.14 ผู้ให้ขอ้ มลู คนที่ 14 289
5.2.2.15 ผใู้ หข้ อ้ มูลคนท่ี 15 290
5.2.2.16 ผใู้ ห้ข้อมลู คนที่ 16 291
5.2.2.17 ผู้ใหข้ ้อมูลคนที่ 17 291
5.2.2.18 ผใู้ หข้ ้อมูลคนที่ 18 292
5.2.2.19 ผใู้ ห้ขอ้ มลู คนที่ 19 293
5.2.2.20 ผู้ใหข้ ้อมูลคนท่ี 20 294
5.3 สรปุ ผลการประชุมระดมความคิดเหน็ โดยการประชุมกลุ่มยอ่ ยแบบเจาะจง 296
และการแสดงความคิดเหน็ ของบุคลากร/หน่วยงานในสงั กดั กรมสอบสวนคดีพิเศษ
บทท่ี 6 สรปุ ผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ 297
6.1 สรปุ ผลการวจิ ยั 306
6.2 ข้อเสนอแนะ 307
6.3 ขอ้ เสนอการปรบั ปรงุ เพิม่ เตมิ กฎหมายว่าดว้ ยการสอบสวนคดีพเิ ศษ 308
6.4 ขอ้ เสนอ รา่ งข้อบังคบั กคพ. วา่ ดว้ ยหลกั เกณฑ์ วิธีการ แลเง่ือนไข
ในการกนั บุคคลเปน็ พยานในคดพี เิ ศษโดยไมด่ าเนินคดี พ.ศ. ....
บรรณานกุ รม 311
บรรณานกุ รม
320
ภาคผนวก 324
ภาคผนวก ก ภาพการสมั ภาษณเ์ ชงิ ลึก 325
ภาคผนวก ข ภาพการประชมุ กลุ่มย่อย 329
ภาคผนวก ค ภาพการเสนอบทความวจิ ัยในงานมหกรรมวิจัยแหง่ ชาติ 2565
ประวัติผู้วิจัย
พ
สารบญั ตาราง
ตารางที่ หน้า
1. ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งการสืบสวนและการสอบสวน 44
2. ข้อมูลสถิติคดีพิเศษ 51
3. ข้อมลู คดพี ิเศษตามการแบ่งกลุ่มของลักษณะอาชญากรรม 51
4. เร่อื งสืบสวนตามการแบ่งกลุ่มของลักษณะอาชญากรรม 51
5. รายช่ือกลมุ่ อดีตผบู้ รหิ ารกระทรวงยุตธิ รรมและอดีตผู้บริหาร 151
กรมสอบสวนคดีพเิ ศษ
6. รายชอื่ กลมุ่ พนกั งานอยั การ สานกั งานอัยการสูงสุด 152
7. รายช่ือกลุ่มผู้บรหิ ารระดับหัวหน้าหนว่ ยงานในสังกัดกรมสอบสวนคดีพเิ ศษ 152
8. รายช่อื กล่มุ ผเู้ ชย่ี วชาญเฉพาะดา้ นคดีพเิ ศษ กรมสอบสวนคดพี เิ ศษ 152
9. ประเดน็ ท่ี 1 สภาพปญั หาในการแสวงหาพยานหลักฐานในคดพี เิ ศษ 235
10. ประเดน็ ท่ี 2 วิธีการเพ่ิมประสทิ ธิภาพในการแสวงหาพยานหลักฐานในคดีพิเศษ 237
11. ประเด็นท่ี 3 แนวทางการกันผู้ตอ้ งหาหรือผู้กระทาผิดเป็นพยานในคดีพเิ ศษ 239
ทจี่ ะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการสืบสวนสอบสวนและการแสวงหา
พยานหลกั ฐานในคดีพเิ ศษ
12. ประเด็นที่ 4 การสนับสนุนให้มกี ารบญั ญัติกฎหมายเพ่ือรองรับการกัน 241
ผตู้ อ้ งหาหรือผู้กระทาความผิดเป็นพยานในคดพี ิเศษ
13. ประเดน็ ที่ 5 มาตรการท่จี ะกากับ/ตรวจสอบการกนั ผู้ตอ้ งหาหรือผ้กู ระทา 242
ความผิดเปน็ พยานในคดีพิเศษ
14. ประเดน็ ที่ 6 ผลดี/ผลเสียในการกาหนดแนวทาง/ระเบยี บในการกนั ผู้ต้องหา 243
เปน็ พยานในคดพี ิเศษ
15. ประเด็นที่ 7 ข้อควรระวงั /ข้อสังเกตในการกันผ้ตู ้องหาเปน็ พยานในคดพี ิเศษ 244
เพื่อการอานวยความยตุ ิธรรมในภาพรวม
16. ประเดน็ ที่ 8 ข้อเสนออน่ื ๆ เพ่ือเพม่ิ ประสิทธภิ าพในการสืบสวนสอบสวน 244
และการแสวงหาพยานหลักฐานในคดีพเิ ศษ
17. รายชอื่ ผูเ้ ขา้ รว่ มการประชุมกลมุ่ ยอ่ ย 248
1
บทที่ 1
บทนำ
1.1 ควำมเป็นมำและควำมสำคญั ของปญั หำ
การเจริญก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี การเมือง วัฒนธรรม นามาซ่ึงความม่ังคั่ง
ความทันสมัย เกิดการเปล่ียนแปลงในหลาย ๆ ด้านอย่างเป็นรูปธรรม ทาให้โลกน่าอยู่มากยิ่งขึ้น
เกิดการกระจายความรู้ไปในวงกว้าง สามารถยกระดับความเป็นอยู่ของประชากรท่ัวโลกให้ดีย่ิงข้ึน
แตอ่ ย่างไรกต็ าม เหรียญมีสองดา้ นเสมอ ความเจริญอาจจะสรา้ งประโยชนใ์ ห้กับโลกใบนอี้ ย่างมหาศาล
แต่ในขณะเดียวกันความเจริญก็ได้แฝงปัญหาตามมาด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความเหลื่อมล้า
ทางสังคม ปัญหาทางด้านครอบครัว ปัญหาการว่างงาน ปัญหาทางเศรษฐกิจท่ีมีการกระจายรายได้
ที่ไม่ทั่วถึง หรือที่มักจะได้ยินในสานวนที่ว่ารวยกระจุกจนกระจาย ปัญหาทางด้านสุขภาพ ปัญหาต่าง ๆ
เหล่านี้หากไม่สามารถแก้ไขได้ทันท่วงที มักจะนาไปสู่การเกิดอาชญากรรม ซ่ึงการเกิดอาชญากรรมนั้น
เป็นผลสืบเน่ืองจากปัญหาหลาย ๆ ด้าน ย่ิงสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม เทคโนโลยีมีการเปล่ียนแปลง
พัฒนาไปมากเท่าใด อาชญากรรมก็จะมีการเปล่ียนแปลง และพัฒนาตามไปมากเท่านั้น ซ่ึงในปัจจุบัน
การเกดิ อาชญากรรมมกี ารพัฒนารูปแบบไปอย่างมาก มีอาชญากรรมรูปแบบใหม่ ๆ เปน็ อาชญากรรมที่มี
ความสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น บุคคลที่ก่ออาชญากรรมไม่ใช่บุคคลที่ไม่มีความรู้แต่กลับกลายเป็นบุคคล
ท่ีมีการศึกษา มีความรู้ มีความเช่ียวชาญในเรื่องต่าง ๆ มาเป็นผู้ก่ออาชญากรรมเสียเอง เมื่อปัญหา
อาชญากรรมมีจานวนมากข้ึน และได้พัฒนารูปแบบการก่ออาชญากรรมไปอย่างหลากหลาย มีความ
สลับซับซ้อน อาทิ 1) อาชญากรรมทางด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีเป็นอาชญากรรมที่มีการนา
ระบบคอมพิวเตอร์และ/หรือเทคโนโลยีข้ันสูงมาใช้เป็นเคร่ืองมือในการกระทาความผิดซ่ึงปัจจุบัน
มอี าชญากรรมประเภทนีจ้ านวนมาก 2) อาชญากรรมข้ามชาติ ซง่ึ เป็นการก่ออาชญากรรมหรอื การกระทา
ความผิดในสองประเทศขึ้นไป มีการเช่ือมโยงเครือข่ายทั้งภายในและภายนอกประเทศ เป็นการก่อ
อาชญากรรมท่ีสร้างความเสียหายอย่างกว้างขวาง ร้ายแรงยากแก่การจับกุม 3) อาชญากรรมเชิ้ตปกขาว
(White Collar Crime) เป็นอาชญากรรมที่มีบุคคลซ่ึงมีความรู้ มีการศึกษา เป็นผู้มีอิทธิพล มีความ
เช่ียวชาญในเรื่องต่าง ๆ เป็นผู้ก่ออาชญากรรมเสียเอง อาชญากรรมประเภทนี้เป็นอาชญากรรมท่ีมี
ความยากในการจับผู้กระทาความผิดมาลงโทษ เนื่องจากผู้กระทาความผิดเป็นผู้ที่มีความรู้ความ
เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ เป็นอย่างดี หรืออาจเป็นผู้มีอิทธิพลในวงการนั้น ๆ อีกด้วย 4) องค์กร
อาชญากรรมเป็นการก่ออาชญากรรมในลักษณะเป็นองค์กร มีตัวการ มีผู้ใช้ ผู้สนับสนุน ผู้บงการ มีการ
วางแผน ประสานงาน มีการมอบหมายงานอย่างเป็นระบบ โดยการกระทาความผิดนั้นผู้กระทา
ความผิดอาจจะไม่รู้จักกันมาก่อนก็ได้ สามารถอาพราง ปิดบังความผิดโดยอาศัยช่องว่างของกฎหมาย
5) อาชญากรรมทางเศรษฐกิจเป็นอาชญากรรมท่ีไม่ได้ใช้ความรุนแรง โหดเห้ียม ทารุณ ไม่ใช้อาวุธ
แต่มุ่งผลต่อระบบเศรษฐกิจ โดยอาจเข้าแทรกแซงระบบเศรษฐกิจของประเทศหรือของโลก ส่งผลให้
ระบบเศรษฐกิจไม่เปน็ ไปตามกลไกตลาด เกิดความเสียหายอย่างรนุ แรงในหลายประเทศ 6) การทจุ ริต
ประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าท่ีรัฐ เป็นการกระทาความผิดของผู้ที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซ่ึงยากที่จะ
ตรวจสอบจับกุมผู้กระทาความผิดเช่นกัน อย่างไรก็ตาม การกอ่ อาชญากรรม อาจมีลักษณะของการรวม
หลายประเภทอาชญากรรมเข้าไว้ด้วยกันในคราวเดียวกัน อาทิ อาชญากรรมเช้ิตปกขาว (White
2
Collar Crime) อาจมีอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ องค์กรอาชญากรรม อาชญากรรมข้ามชาติเกิด
รว่ มดว้ ยในคราวเดียว อาชญากรรมรูปแบบใหม่ ๆ เหล่านี้ จึงมีความยากและซับซ้อน การท่ีหน่วยงาน
บังคับใช้กฎหมายของรัฐจะเข้าถึงตัวผู้ท่ีกระทาความผิดก็กระทาได้ยากและอาจยากย่ิงข้ึนในการที่จะ
นาตัวผู้กระทาความผดิ มาลงโทษ หรือไม่สามารถลงโทษผูก้ ระทาความผดิ ได้ในทันท่วงที ความเสียหาย
ได้เกิดขึ้นไปแล้ว ซ่ึงลักษณะนี้มีผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม
ประเทศชาติ และตอ่ ประชาคมโลก
ระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมจึงจาเป็นอย่างย่ิงที่จะต้องปรับเปล่ียนและพัฒนา
ใหท้ ันตอ่ การเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดขึ้น และให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบอาชญากรรม โดยวิธีการ
ต่าง ๆ อาทิ การปรับปรุงกฎหมาย การจัดทากฎหมายใหม่ ๆ การกาหนดมาตรการทางกฎหมาย
เพิ่มเติม การมีกลไกการอานวยความยุติธรรม การบูรณาการการทางานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ
ท้ังในประเทศและต่างประเทศ เป็นต้น ประเทศไทยได้ปรับปรุงและพัฒนากฎหมายใหม่ ๆ อย่าง
ต่อเนื่อง รวมถึงการปรับปรุงกระบวนการยุติธรรมทางอาญา โดยได้มีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม
อย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงระบบโครงสร้างการบริหารงานขององค์กร/หน่วยงาน
ต่าง ๆ เพื่อให้หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมสามารถอานวยความยุติธรรมให้เต็มประสิทธิภาพ
มากย่ิงขึ้น การปรับปรุงแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา การบัญญัติกฎหมายว่าด้วย
ความรว่ มมือระหวา่ งประเทศในทางอาญา เป็นต้น
ระบบกฎหมายของประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่มประเทศซีวิลลอว์ (Civil Law) คือ ระบบประมวล
กฎหมาย หรือระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร ระบบนี้ให้ความสาคัญกับกฎหมายท่ีมีการบัญญัติไว้
เป็นลายลักษณ์อักษร การศึกษากฎหมายต้องเร่ิมจากตัวบทกฎหมายเป็นสาคัญ คาพิพากษาของศาล
ไม่ใช่กฎหมาย แต่เป็นบรรทัดฐานแบบอย่างในการตีความกฎหมาย สาหรับกระบวนการดาเนิน
คดีอาญาของประเทศไทย ส่วนใหญ่เป็นระบบกล่าวหา (Accusatorial System) โดยระบบกล่าวหา
เป็นระบบท่ีการเร่ิมต้นคดีจะต้องมีการกล่าวหาเสียก่อน1 ศาลไม่สามารถจะเร่ิมต้นคดีด้วยตนเองได้
ระบบจึงเป็นการดาเนินคดีแบบมีคู่ความ คู่ความมีหน้าท่ีในการค้นหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน
และนาพยานหลักฐานเข้าสู่การพิจารณาคดีของศาล การดาเนินการพิจารณาระบบนี้เป็นหน้าท่ีของ
คู่ความที่จะต้องเสนอพยานหลักฐานต่อศาล ระบบกล่าวหาจะแยกอานาจ “การสอบสวนฟ้องร้อง”
ออกจาก “การพิจารณาพิพากษา” โดยมีองค์กรที่ทาหน้าที่ฟ้องร้องคือ “องค์กรอัยการ” และองค์กร
ท่ีทาหน้าที่พิจารณาพิพากษา คือ “ศาล” ดังน้ัน ในชั้นเจ้าพนักงานจึงต้องมีการรวบรวมข้อเท็จจริง
และพยานหลักฐานเพ่ือที่จะแสดงให้เห็นว่า “มีการกระทาความผิดเกิดข้ึนจริงหรือไม่” และ “ผู้ต้องหา
หรือผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้กระทาความผิดดังกล่าวหรือไม่” ศาลมีลักษณะเป็นกลางอย่างแท้จริง
การกาหนดให้การสืบพยานต้องกระทาโดยเปิดเผย และต่อหน้าจาเลย โดยปราศจากข้อสงสัย ดังน้ัน
ในช้ันพนักงานสอบสวนจึงมีความสาคัญอย่างย่ิงในการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานท้ังปวง
เพ่ือที่จะเข้าสู่การพิจารณาของศาล และพยานหลักฐานต้องมีความถูกต้องชัดเจนครบถ้วน ศาลจึงจะ
สามารถพจิ ารณาพพิ ากษาคดไี ดโ้ ดยปราศจากข้อสงสัยใด ๆ
1 สถาพร ภักดวี งศ์, “ปญั หาและแนวทางแก้ไขกระบวนการชั้นเจา้ พนักงานในการดาเนนิ คดตี ่อเจา้ พนกั งานของรัฐที่ถกู กล่าวหาว่ากระทา
ความผดิ อาญาเนอ่ื งจากการปฏิบตั หิ นา้ ทเ่ี พอ่ื ความเปน็ ธรรม,” วารสารผตู้ รวจการแผน่ ดนิ , 28 ฉบบั ท่ี 2 (กรกฎาคม- ธนั วาคม 2563) :
121-144.
3
ในการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมและระบบราชการตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มีการปฏิรูประบบราชการตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง
กรม พ.ศ. 2545 มีการจัดตั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษ2 ขึ้น เป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม
ก่อตั้งขึ้นเม่ือวันที่ 3 ตุลาคม พ .ศ. 2545 มีช่ือภ าษาอังกฤษว่า Department of Special
Investigation : DSI ด้วยเหตุท่ีมีการปรับปรุงอานาจหน้าท่ีของกระทรวงยุติธรรม โดยมุ่งให้เป็น
ศูนย์กลางของระบบการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม โดยจัดให้มีกรมสอบสวนคดีพิเศษ
รับผิดชอบในการดาเนินคดีความผิดทางอาญาท่ีมีลักษณะเป็น “คดีพิเศษ” ตามพระราชบัญญัติ
การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพ่ิมเติม และโดยท่ีคดีพิเศษดังกล่าวจาเป็นจะต้องมี
การสืบสวนสอบสวนท่ีมีประสิทธิภาพ จึงกาหนดให้มีพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เจ้าหน้าท่ีคดีพิเศษ
วิธีการสืบสวนและสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อให้ปฏิบัติงานเอื้ออานวยต่อการแสวงหาพยานหลักฐาน
และข้อเท็จจริงที่เก่ียวข้องกับการกระทาความผิดในคดีพิเศษ ซึ่งเป็นคดีความผิดทางอาญาท่ีมี
ความสลับซับซ้อน สามารถอานวยความยุติธรรมให้กับประชาชนตามอานาจหน้าท่ีของกรมสอบสวน
คดพี ิเศษต่อไปได้
พระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพ่ิมเติม มีเจตนารมณ์เพ่ือเพิ่ม
ศักยภาพในการสืบสวนสอบสวนคดีอาญาที่มีลักษณะเป็น “คดีพิเศษ” ให้สามารถดาเนินการได้
อย่างถูกต้อง รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม โดยกฎหมายดังกล่าวได้กาหนดวิธีการสืบสวนและ
สอบสวนคดีพิเศษไว้หลายประการ ซ่ึงจะมีความแตกต่างจากกฎหมายฉบับอ่ืน อีกท้ังยังได้กาหนดให้มี
การทางานในเชิงบูรณาการ ในการสืบสวนสอบสวนร่วมกับหน่วยงานอื่น มีการกาหนดเครื่องมือ
หรือมาตรการพิเศษที่ให้อานาจพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ในการแสวงหาพยานหลักฐานในคดีพิเศษ
และแสวงหาข้อเท็จจริงในทางคดี เพื่อให้สามารถนาตัวผู้กระทาความผิดมาลงโทษ สาหรับการ
ปฏิบัติงานด้านการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษและเจ้าหน้าที่คดีพิเศษ
จะต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และท่ีแก้ไขเพิ่มเติม ประมวล
กฎหมายอาญา และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาร่วมด้วย โดยกฎหมายที่กล่าวน้ัน ได้ทา
หน้าท่ีวางกรอบการใช้อานาจของเจ้าหน้าท่ีรัฐท้ัง ตารวจ พนักงานอัยการ และผู้พิพากษาให้ถูกจากัด
เพื่อสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีด้วยความเป็นธรรมของจาเลย และทาให้การดาเนินกระบวนการ
ยตุ ิธรรมเปน็ ไปอยา่ งเรยี บร้อยและเป็นธรรมกบั ทุกฝา่ ย
มาตรการพิเศษหรอื เครื่องมอื พิเศษทีป่ รากฏในพระราชบัญญัตกิ ารสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547
ที่เอื้ออานวยให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษและเจ้าหน้าที่คดีพิเศษสามารถใช้ในการ แสวงหาพยาน
หลกั ฐานในคดพี ิเศษและแสวงหาขอ้ เทจ็ จรงิ ในทางคดไี ด้อย่างมปี ระสิทธิภาพ อาทิ
1) การเข้าไปในเคหสถานหรือสถานที่ใด ๆ เพื่อตรวจค้นเมื่อมีเหตุสงสัยตามสมควร โดยไม่มี
หมายค้น
2) การคน้ บุคคล หรือยานพาหนะท่ีมเี หตุสงสยั ตามสมควร
3) การมีหนังสือสอบถามหรือเรียกให้สถาบันการเงิน ส่วนราชการ องค์กร หรือหน่วยงาน
ของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจส่งเจ้าหน้าที่มาให้ถ้อยคาหรือส่งคาช้ีแจงเป็นหนังสือ หรือส่งบัญชีเอกสาร
หรอื หลักฐานใด ๆ เพื่อตรวจสอบหรอื เพอ่ื ประกอบการพจิ ารณา
2 กรมสอบสวนคดีพเิ ศษ, “กฎหมายและอนบุ ัญญตั ิเก่ียวกบั การสอบสวนคดีพเิ ศษ,” 2556.
4
4) การมีหนังสือสอบถามหรือเรียกบุคคลใด ๆ มาเพื่อให้ถ้อยคา ส่งคาช้ีแจงเป็นหนังสือ
หรอื ส่งบญั ชีเอกสาร หรอื หลกั ฐานใด ๆ เพือ่ ตรวจสอบหรือเพ่ือประกอบการพิจารณา
5) การยึดหรืออายดั ทรพั ย์สนิ ทค่ี น้ พบ
6) การได้มาซ่ึงขอ้ มูลข่าวสารอ่นื ใดซ่ึงสง่ ทางช่องทางต่าง ๆ ที่ถูกใช้หรืออาจถูกใช้ในการกระทา
ความผดิ ท่เี ป็นคดพี ิเศษ
7) การจัดทาเอกสารหรือหลกั ฐานใด หรอื การแฝงตวั ในองคก์ รหรือกลมุ่ คนใด
ดังปรากฏในมาตรา 24 มาตรา 25 แหง่ พระราชบญั ญัติการสอบสวนคดีพเิ ศษ พ.ศ. 2547
จากการปฏิบัติงานด้านการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษของกรมสอบสวนคดีพิเศษจนถึงปัจจุบัน
พบว่ามีสภาพปัญหาในการสืบสวนสอบสวนและการแสวงหาพยานหลักฐาน โดยบางคดีท่ีเป็นคดีท่ีมี
ความซับซอ้ น หรอื เปน็ คดีท่มี ีผู้ทรงอิทธิพลเป็นตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนบั สนุนท่สี าคัญ หรือในบางคดีเป็น
คดีในลักษณะที่มีการกระทาความผิดข้ามชาติ มีลักษณะการกระทาความผิดท่ีเป็นองค์กรอาชญากรรม
มีการกระทาความผิดต่อระบบเศรษฐกิจหรือการคลังของประเทศ คดีความผิดดังกล่าวนั้นมีความยาก
ในการแสวงหาพยานหลักฐาน หรือในบางคดีอาจพบผู้กระทาความผิดแต่ยังไม่สามารถสาวไปถึง
ผู้กระทาความผิดที่เป็น ผู้บงการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุนที่สาคัญซ่ึงได้อยู่เบื้องหลังการกระทาความผิด
ท่ีแท้จริง และไม่สามารถนาตัวผู้กระทาความผิดเป็นผู้บงการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุนสาคัญมาลงโทษได้
การกระทาความผิดจึงยังเกิดขึ้นและเกิดอย่างต่อเนื่อง และจากการศึกษากฎหมายเพ่ิมเติมพบว่า
ปัจจุบันในหลายประเทศ ในหลายหน่วยงานได้มีการกาหนดมาตรการใหม่ ๆ เพื่อเพ่ิมประสิทธิภาพ
ในการสืบสวนสอบสวน การแสวงหาข้อเท็จจริง และการแสวงหาพยานหลักฐานอันจะเป็นประโยชน์
ต่อการนาตัวผู้กระทาความผิดมาลงโทษ อาทิ การกันผู้ต้องหาหรือผู้ร่วมกระทาความผิดเป็นพยาน
การให้อานาจผู้พิพากษาในการพิจารณาโทษต่ากว่าโทษขั้นต่าหากจาเลยให้การท่ีเป็นประโยชน์ต่อ
การดาเนินคดี เป็นต้น ด้วยเหตุน้ี กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงมีแนวคิดในการกาหนดมาตรการใหม่ ๆ
เพื่อเพ่ิมประสิทธิภาพในการสืบสวนสอบสวนและการแสวงหาพยาน หลักฐานในคดีพิเศษ โดยการ
กาหนดแนวทางการกันผู้ต้องหาหรอื ผูก้ ระทาความผิดเปน็ พยานในคดพี ิเศษ
1.2 วตั ถุประสงค์ของกำรวิจยั
1.2.1 ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี กฎหมาย และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวนสอบสวน
และการแสวงหาพยานหลักฐานโดยการกนั ผตู้ อ้ งหาหรอื ผู้กระทาความผดิ เป็นพยาน
1.2.2 ศึกษาแนวทาง วิธีการ หลักเกณฑ์การกันผู้ต้องหาหรือผู้กระทาความผิดเป็นพยาน/
การดาเนิน คดีอาญาของหน่วยงานในประเทศและตา่ งประเทศ
1.2.3 ศกึ ษาสภาพปญั หาในการแสวงหาพยานหลกั ฐานในคดีอาญาที่มีลกั ษณะเปน็ คดีพเิ ศษ
1.2.4 เพื่อให้ได้ข้อเสนอแนะหรือแนวทางในการกันผู้ต้องหาหรือผู้กระทาความผิดเป็นพยาน
ในคดีพเิ ศษ
5
1.3 ขอบเขตกำรวิจยั
1.3.1 ขอบเขตด้านเนื้อหา ประกอบด้วย แนวคิด ทฤษฎี กฎหมาย งานวิจัยท่ีเก่ียวกับการ
สืบสวนสอบสวน การแสวงหาพยานหลักฐาน การกันผู้ต้องหาหรือผู้กระทาความผิดเป็นพยาน
ของหนว่ ยงานในประเทศและตา่ งประเทศ
1.3.2 ขอบเขตดา้ นเวลา ระยะเวลาดาเนนิ การ 2 ปี (ตลุ าคม 2563 ถงึ กนั ยายน 2565)
1.4 กรอบแนวคดิ
แนวคดิ ทฤษฎี กฎหมายท่เี ก่ียวกบั แนวทางการกันผ้ตู อ้ งหาหรือ
การสบื สวนสอบสวนและการแสวงหา ผ้กู ระทาความผิดเป็นพยานในคดีพิเศษ
พยานหลกั ฐานโดยการกันผตู้ ้องหาหรอื
การเพ่ิมประสิทธิภาพ
ผู้กระทาความผดิ เป็นพยาน การสืบสวนสอบสวนคดีพเิ ศษ
แนวทาง/วธิ ีการ/หลักเกณฑ์ คดพี ิเศษ
การกันผ้ตู ้องหาเป็นพยาน
ของหน่วยงานในประเทศ
และตา่ งประเทศ
สภาพปญั หาในการแสวงหา
พยานหลักฐานในคดอี าญาที่มีลกั ษณะ
เปน็ คดีพิเศษ
6
1.5 วธิ ีดำเนนิ กำรวจิ ยั
การวิจัยน้ีเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ดาเนินการวิจัยเชิงเอกสาร
(Documentary Research) กล่าวคือ ศึกษาค้นคว้าจากเอกสารในเร่ืองแนวคิด ทฤษฎี กฎหมาย และ
งานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องทั้งในประเทศและต่างประเทศ ร่วมกับการสัมภาษณ์เชิงลึก (Indepth Interview)
โดยการสัมภาษณ์กลุ่มผู้บริหารระดับสูงเป็นรายบุคคล และจัดให้มีการประชุมกลุ่มย่อย (Focus
Group) ซึ่งเป็นการจัดประชุมในกลุ่มข้าราชการระดับผู้อานวยการส่วนงานในหน่วยงานคดีพิเศษ
เพ่ือเก็บรวบรวมข้อมูล นาข้อมูลมาวิเคราะห์ และนาไปกาหนดแนวทางและ/หรือข้อเสนอให้กับ
กรมสอบสวนคดีพิเศษ เพ่ือแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ รวมถึงการออก
อนุบัญญัติภายในกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพ่ือให้เกิดความชัดเจนในการดาเนินงานด้านการสืบสวน
สอบสวนคดีพเิ ศษตอ่ ไป
1.6 ประโยชนท์ ี่คำดว่ำจะไดร้ ับ
1.6.1 ทาให้ทราบถึงแนวคิด ทฤษฎี กฎหมาย และงานวิจัยที่เก่ียวกับการกันผู้ต้องหาหรือ
ผ้กู ระทาความผดิ เปน็ พยาน
1.6.2 ทาให้ทราบถึงแนวทาง วิธีการ หลักเกณฑ์การกันผู้ต้องหาหรือผู้กระทาความผิดเป็น
พยานของหนว่ ยงานในประเทศและต่างประเทศ
1.6.3 ทราบถงึ สภาพปัญหาในการแสวงหาพยานหลักฐานในคดพี เิ ศษ
1.6.4 ได้แนวทางหรือข้อเสนอแนะในการกันผู้ต้องหาหรือผู้กระทาความผิดเป็นพยานใน
คดพี เิ ศษ เพือ่ การแก้ไข ปรับปรุง พฒั นากฎหมาย
1.7 นิยำมศัพท์
1.7.1 กระบวนการยุติธรรมทางอาญา หมายถึง กระบวนการดาเนินคดีอาญาเฉพาะใน
ความผิดต่อแผ่นดินด้วยความยุติธรรม เม่ือเกิดการกระทาความผดิ ทางอาญา ต้องมกี ระบวนการพิสจู น์
ถึงการกระทาความผิดและผู้กระทาความผิด โดยมีการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ หรือความผิดของผู้ถูก
กล่าวหา เพ่ือให้ได้มาซ่ึงความจริงในคดี นาตัวผู้กระทาความผิดท่ีแท้จริงมาลงโทษ และให้ความ
ยตุ ิธรรมแก่ผ้เู สยี หายตามที่กฎหมายบัญญตั ิไว้
1.7.2 คดีพิเศษ หมายถึง คดีความผิดทางอาญาตามมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวน
คดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ที่จะต้องดาเนินการสืบสวนและสอบสวนตามพระราชบัญญัติการสอบสวน
คดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และทีแ่ กไ้ ขเพมิ่ เตมิ ไดแ้ ก่ คดคี วามผิดอาญาดังต่อไปน้ี
(1) คดีความผิดทางอาญาตามกฎหมายที่กาหนดไว้ในบัญชีท้ายพระราชบัญญัติ
การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และที่กาหนดในกฎกระทรวงโดยการเสนอแนะของคณะกรรมการ
คดีพิเศษ (กคพ.) โดยคดีความผิดทางอาญาจะต้องมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งตามมาตรา 21
วรรคหนึ่ง (1) (ก)-(จ) ท้ังน้ี ตามรายละเอียดของลักษณะของการกระทาความผิดตามประกาศ กคพ.
(ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2565 เรื่อง กาหนดรายละเอียดของลักษณะของการกระทาความผิดท่ีเป็นคดีพิเศษ
ตามมาตรา 21 วรรคหนง่ึ (1) แห่งพระราชบญั ญัตกิ ารสอบสวนคดพี ิเศษ พ.ศ. 2547
7
(2) คดีความผิดทางอาญาอ่ืนนอกจาก (1) ตามท่ี กคพ. มีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อย
กวา่ สองในสามของกรรมการทงั้ หมดเทา่ ทีม่ ีอยู่
ในคดีท่ีมีการกระทาอันเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท และบทใดบทหนึ่ง
จะต้องดาเนินการโดยพนักงานสอบสวนคดีพิเศษตามพระราชบัญญัตินี้ หรือคดีท่ีมีการกระทาความผิด
หลายเรื่องต่อเนื่องหรือเก่ียวพันกัน และความผิดเร่ืองใดเรื่องหนึ่งจะต้องดาเนินการโดยพนักงาน
สอบสวนคดีพิเศษตามพระราชบัญญัตินี้ ให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษมีอานาจสืบสวนสอบสวน
สาหรับความผิดบทอื่น หรอื เรอื่ งอน่ื ด้วย และใหถ้ ือวา่ คดีดงั กล่าวเปน็ คดีพิเศษ
1.7.3 การกันเป็นพยาน หมายถึง การกันผู้ที่มีส่วนร่วมในการกระทาความผิดเพียงเล็กน้อย
ไว้เป็นพยาน โดยท่ีผู้น้ันสมัครใจให้ข้อมูลท่ีเป็นประโยชน์ต่อการสืบสวนสอบสวน เพื่อนาตัวผู้กระทา
ความผิดที่เป็นตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุนท่ีสาคัญ หรือผู้กระทาความผิดรายอื่นมาลงโทษตามกระบวนการ
ยตุ ธิ รรมทางอาญา
[Grab 8
your
reader’s
attention บทที่ 2
with a
great แนวคิด ทฤษฎี เอกสำรและงำนวจิ ยั ทเี่ ก่ียวขอ้ ง
quote
from the
docume2n.1 ระบบกฎหมำยของประเทศไทย
t or use ระบบกฎหมายของประเทศไทยอยู่ในกลุ่มระบบกฎหมายซีวิลลอว์ (Civil Law) หรือระบบ
this กฎหมายลายลักษณ์อักษร หรอื เรียกว่าระบบประมวลกฎหมาย เป็นระบบกฎหมายที่ได้รับอิทธิพลมา
space toจากกฎหมายโรมัน ลักษณะพ้ืนฐานของระบบกฎหมายซีวิลลอว์ คือ ระบบที่มีการบัญญัติกฎหมาย
peemoainpkthe.ayTsoใไizนว้เอปด็นตี ลราะยบลบักกษฎณห์อมักาษยซรีวเลิปล็นอรวะ์จบึงบยดึปถรือะฝม่าวยลนแิตลิบะัญไญม่ไตั ดิเ้ตปัดน็ สบินอ่ พเกิพิดาหกลษกั าขตอางมกแฎนหวมคายาพแิพลาะกรษะบาขบอศงาศลาจละ
place ใช้วิธีพิจารณาโดยระบบไต่สวน ศาลจะไม่ผูกพันตามคาพิพากษาในคดีก่อน ๆ หลักสาคัญของระบบ
this textซีวิลลอว์ คือ การให้ประชาชนทุกคนสามารถรู้กฎหมายท่ีบังคับใช้ ผู้พิพากษาต้องเคารพและปฏิบัติ
box ตามที่กฎหมายบัญญัติ โดยมักจะถือว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด การออกกฎหมายใด ๆ จะขัด
anywheหr รือแย้งกับรัฐธรรมนูญมิได้ ระบบกฎหมายซีวิลลอว์เป็นระบบกฎหมายที่ใช้กันอย่างกว้างขวางที่สุด
jpeuaosgtned,trhaegมในาโจลนกถึงไปด้ัจถจูกุบนันามกาลใชุ่ม้ใปนรปะเรทะศมทาณ่ีใช้ร1ะ5บ0บปกฎระหเมทาศยทซ่ัวีวโิลลลกอวแห์ลระือเปก็นฎรหะมบาบยลกาฎยหลมักาษยณทอ์่ีเกัก่าษแรกไ่ทดี่ส้แุดกท่ อี่ยติ ังาใชล้ี
it.] เยอรมัน สวิตเซอร์แลนด์ สเปน ฝร่ังเศส ญ่ีปุ่น แอฟริกาใต้ ลาว กัมพูชา โปรตุเกส รัสเซีย และไทย
เป็นต้น กฎหมายท่ีใช้ท้ังคดีแพ่งและคดีอาญาในประเทศเหล่านี้จะออกโดยรัฐสภาซึ่งเป็นตัวแทนของ
ประชาชน3 ระบบนี้จึงถือว่าประชาชนเป็นผู้ออกกฎหมายมาปกครองตนเอง แนวคิดในการตีความ
กฎหมายจะเน้นการตคี วามตามตัวอกั ษรอย่างเคร่งครดั
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลท่ี 5 ได้มีชาวต่างชาติเข้ามาติดต่อ
ค้าขายในประเทศไทยจานวนมาก เมื่อได้เกิดข้อพิพาทระหว่างประชาชนชาวไทยกับชาวต่างชาติ
แต่ชาวต่างชาติ ไม่ยอมรับกฎหมายและระบบศาลของประเทศไทยโดยอ้างว่าล้าหลังไม่ทันสมัย
ไม่ยุติธรรม มีการพิสูจน์ความผิด โดยการทรมานร่างกาย อาทิ การตอกเล็บ บีบขมับ ดาน้า ลุยไฟ หรือ
มีการลงโทษที่รุนแรง โทษตัด ตีนมือ จาโซ่ตรวน ขือคาโทษประจาน แห่รอบตลาด สักหน้า เอามะพร้าว
ห้าวยัดปาก หรือไม่กาหนดระยะเวลาลงโทษ ไม่กาหนดโทษจาคุกให้แน่นอน มีการขังลืม เช่นน้ี
ชาวต่างชาติจึงไม่ยอมรับ จึงต้องนาคดีข้อพิพาทข้ึนสู่ศาลกงสุลและใช้กฎหมายของต่างประเทศ
โดยไม่ใช้กฎหมายไทย ส่งผลให้ประเทศไทยต้องเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต พระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 5 จึงได้ทรงจัดตั้งกระทรวงยุติธรรมข้ึนเพ่ือดูแลรับผิดชอบเรื่อง
ดังกล่าว และได้ทรงส่งพระราชโอรสและข้าราชบริพารไปศึกษาด้านกฎหมายจนสาเร็จจากประเทศ
อังกฤษจานวนมาก ซึ่งมีพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักด์ิ พระราชโอรส ในรัชกาลท่ี 5 ทรงร่วมเสด็จไปศึกษา
วิชากฎหมายด้วย ซ่ึงต่อมาทรงเป็นพระบิดาแห่งกฎหมายไทย และต่อมาท้ังในรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6
ทั้งสองพระองค์ได้ทรงปรับปรุงกฎหมายไทยโดยให้ใช้กฎหมายลายลักษณ์อักษร (Civil Law) เพื่อให้
ได้รับเอกราชทางศาล โดยจ้างชาวต่างชาติที่มีความรู้ด้านกฎหมายมาช่วยกันร่างกฎหมายให้ประเทศ
ไทยขนึ้ เพ่ือปอ้ งกนั มิให้มีการกลา่ วอา้ งวา่ กฎหมายของไทยไม่ทนั สมัย
3 ธรี ์รัฐ ไชยอัคราวชั ร,์ “แนวคดิ ทฤษฎี วัตถปุ ระสงค์ และเจตนารมณ์แหง่ กฎหมาย,” สบื คน้ เม่ือ 5 กรกฎาคม 2564,
https://www.facebook.com/people/แนวคิด-ทฤษฎ-ี วตั ถุประสงค์-และเจตนารมณ์แหง่ กฎหมาย/
9
พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ได้ทรงต้ังโรงเรียนสอนกฎหมายขึ้นในกระทรวงยุติธรรม โดยนาหลัก
กฎหมายของประเทศอังกฤษมาใช้ในการวางพื้นฐานการศึกษาด้วย และต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎ
เกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้ทรงจัดต้ังเนติบัณฑิตยสภาข้ึนโดยใช้รูปแบบเดียวกับเนติบัณฑิตยสภา
ของประเทศอังกฤษ จึงทาให้อิทธิพลในการศึกษากฎหมายแบบอังกฤษได้ถ่ายทอดมาจนถึงปัจจุบัน
เน่ืองจากอาจารย์ผู้สอนกฎหมายหลาย ๆ ท่านสาเร็จการศึกษาจากประเทศอังกฤษและประเทศอเมริกา
และในท่ีสุดประเทศไทยได้รับการยอมรับ ในกระบวนการพิจารณาและพิพากษาคดีจากชาวต่างชาติ
อย่างไรก็ตาม การเรียนการสอนวิชากฎหมายในขณะน้ัน พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ พระบิดาแห่ง
กฎหมายไทยทรงได้นาระบบกฎหมายจารีตประเพณีมาใช้ผสมผสานกับกฎหมายลายลักษณ์อักษรของ
ไทย จึงทาให้กฎหมายท่ีสร้างขึ้นมาได้อุดชอ่ งว่างของกฎหมายลายลักษณ์อักษรท่ีมอี ยู่ได้ จงึ กลา่ วได้ว่า
ปัจจุบันประเทศไทยเป็นประเทศที่ใช้กฎหมายลายลักษณ์อักษร โดยมีระบบกฎหมายจารีตประเพณี
ผสมผสานอยดู่ ว้ ย ดังจะเหน็ ไดจ้ ากประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 4 บญั ญัติว่า
“กฎหมายนั้น ต้องใช้ในบรรดากรณีซึ่งต้องด้วยบทบัญญัติใด ๆ แห่งกฎหมายตามตัวอักษร
หรือตามความมุ่งหมายของบทบัญญัตนิ ั้น ๆ
เม่ือไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถ่ิน
ถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่าน้ัน ให้วินิจฉัยคดีอาศัยเทียบบทกฎหมายท่ีใกล้เคียงอย่างยิ่ง และถ้าบท
กฎหมายเช่นนน้ั กไ็ ม่มดี ว้ ย ให้วนิ ิจฉยั ตามหลักกฎหมายทว่ั ไป”
ดังน้ัน ระบบกฎหมายของประเทศไทยในปัจจุบันจึงมีลักษณะแบบผสมผสาน ความสาคัญ
ของระบบกฎหมายอยู่ที่ความสามารถในการสร้างความยุติธรรมให้เกิดอย่างเป็นรูปธรรมได้หรือไม่
กระบวนการมีความถกู ต้องชอบธรรมหรอื ไม่ โดยจะตอ้ งศกึ ษาพิจารณาถงึ กระบวนการยตุ ธิ รรมต่อไป
2.2 กระบวนกำรยตุ ธิ รรมทำงอำญำ
กระบวนการยุติธรรมไทยมีพัฒนาการมาโดยตลอด มีการปรับปรุงและเปล่ียนแปลงระบบ
การบริหาร การปรบั ปรงุ กฎหมาย โครงสรา้ ง อานาจหน้าท่ี โดยไดเ้ ปล่ียนแปลงเร่อื ยมาจนถึงปัจจบุ ัน
2.2.1 ควำมหมำยของกระบวนกำรยุตธิ รรมทำงอำญำ
กระบวนการยุติธรรมตามความหมายในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554
ได้ให้ความหมายไว้ว่า ข้ันตอนและวิธีดาเนินการในการบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมายเพ่ืออานวย
ความยตุ ธิ รรม คมุ้ ครองสิทธิ และเสรีภาพของบุคคล4
สถาบนั พระปกเกล้าให้ความหมายของกระบวนการยุติธรรมไว้ว่า กระบวนการยตุ ิธรรม
หมายถึง การบังคับใช้กฎหมายตามหลักนิติธรรมท่ีให้ความเป็นธรรมอย่างเท่าเทียม เพื่อให้การบังคับ
ใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพในการนาผู้กระทาผิดมาลงโทษ คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
รวมท้ังการสมานฉันท์ในสังคม แต่ไม่รวมถึงอานาจอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีของศาล
และการดาเนินการของหน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ5
4 พจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554, สบื ค้นเมือ่ 5 กรกฎาคม 2564, https://dictionary.orst.go.th/
5 สถาบนั พระปกเกล้า, “ฐานขอ้ มูลสารานุกรมสรปุ หัวข้อการเมอื งการปกครองของไทย,” 23 มิถุนายน 2558, สืบคน้ เมื่อ 18 สงิ หาคม
2564, http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=%/
10
กระบวนการยุติธรรมโดยทั่วไป หมายถึง กระบวนการพิสูจน์ความจริงตามกฎหมาย
ประกอบดว้ ย ตารวจ อยั การ ศาล ราชทณั ฑ์ ทนายความ และคมุ ประพฤติ6
กระบวนการยุติธรรม หมายความถึงวิธีที่รัฐให้ความยุติธรรมแก่พลเมืองผู้มีอรรถคดี
โดยผ่านองค์กร หน่วยงาน สถาบันต่าง ๆ และบุคลากรที่กฎหมายให้อานาจไว้ เน่ืองจากการอานวย
ความยุติธรรมเป็นภารกิจสาคัญข้ันพื้นฐานของรัฐ โดยรัฐมีหน้าท่ีรักษาความสงบเรียบร้อยและ
ดาเนินการให้เกิดความเปน็ ธรรมในสังคม เพอื่ ให้เกิดความปลอดภยั ในชีวติ และทรัพย์สนิ ของประชาชน
และสังคมโดยรวม รวมท้ังการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคลซึ่งได้กาหนดในรัฐธรรมนูญทุกฉบับ
กระบวนการยุติธรรมที่ดีจึงต้องเป็นกระบวนยุติธรรมที่สามารถนาตัวผู้กระทาผิดมาลงโทษได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ (Crime control) และขณะเดียวกันต้องมีกระบวนการคุ้มครองสิทธิของผู้กระทาผิด
(Due process) ไปพร้อม ๆ กัน7
ในที่นี้จะขอกล่าวถึงกระบวนการยุติธรรมทางอาญา (Criminal Procedure due
Process of Law)8 กระบวนการยุติธรรมทางอาญาเป็นกระบวนการในการดาเนินคดีความผิดทาง
อาญาซึ่งเป็นความผิดต่อแผ่นดินด้วยความยุติธรรม เมื่อเกิดการกระทาความผิดทางอาญาต้องมี
กระบวนการพิสูจน์ถึงการกระทาความผิดและผู้กระทาความผิด โดยมีการพิสูจน์ความบริสุทธิ์หรือ
ความผิดของผู้ถูกกล่าวหา เพ่ือให้ได้มาซึ่งความจริงในคดี และนาตัวผู้กระทาความผิดที่แท้จริงมา
ลงโทษ และให้ความยุติธรรมแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ บทบัญญัติที่กาหนด
วธิ ีดาเนนิ คดอี าญาบัญญัตอิ ยใู่ นประมวลกฎหมายอาญา และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันแม้มีกฎหมายอีกจานวนหน่ึงท่ีได้กาหนดวิธีพิจารณาคดีไว้เป็นการเฉพาะ
แต่บุคคลที่เก่ียวข้องในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาก็ยังคงประกอบด้วย พนักงานสอบสวน
พนักงานอัยการ ศาล และพนักงานราชทัณฑ์ เป็นต้น โดยเมื่อมีการกระทาความผิดทางอาญาเกิดขึ้น
จะต้องมีการสืบสวนและสอบสวนเก่ียวกับการกระทาความผิดดังกล่าว เพ่ือพิสูจน์ความบริสุทธ์ิหรือ
พิสูจน์ความผิดน้ัน โดยพนักงานสอบสวนหรือตารวจเป็นผู้มีหน้าท่ีในข้ันตอนแรกของกระบวนการ
ยุติธรรมทางอาญา ผลการสืบสวนสอบสวนเป็นเช่นไรแล้ว สรุปสานวนคดีเพ่ือเสนอพนักงานอัยการ
พิจารณาเพ่ือส่ังฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้องต่อศาล โดยพนักงานอัยการผู้ซึ่งเป็นเจ้าหน้าท่ีรัฐทาหน้าที่ทนาย
แผ่นดินซึ่งมีอานาจหน้าท่ีในการพิจารณาคดีเพื่ออานวยความยุติธรรม โดยจะพิจารณาสั่งฟ้องหรือ
สั่งไม่ฟ้องจากพยานหลักฐานในสานวนคดีเป็นสาคัญ หรือในบางกรณีผู้เสียหายอาจจะฟ้องร้องต่อศาล
ได้โดยตรง หากผู้น้ันเป็น “ผู้เสียหาย” ท่ีได้รับความเสยี หายจากการกระทาความผิดอาญา หรือเป็นผู้ท่ี
กฎหมายกาหนดให้เป็นผู้มีอานาจจัดการแทนผู้เสียหาย โดยท่ีผู้ได้รับความเสียหายน้ันจะต้องไม่มีส่วน
ร่วมในการกระทาความผิด หรือยินยอมให้มีการกระทาความผิดหรือการกระทาความผิดน้ันจะต้องไม่ได้
เกิดขึ้นจากการที่ผู้ได้รับความเสียหายมีเจตนาฝ่าฝืนกฎหมาย ความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดี
ของสังคม และความผิดน้ันไม่ได้เป็นความผิดที่รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย ซ่ึงเม่ือผู้นั้นมีฐานะเป็น
ผู้เสียหายแล้วย่อมมีสิทธิที่จะร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนมีสิทธิเป็นโจทก์ฟ้องคดีเอง หรืออาจขอ
6 วริ ชั วริ ัชนิภาวรรณ, กฎหมายเกย่ี วกบั การบรหิ ารราชการไทย : ปญั หา แนวทางแกไ้ ข และแนวโน้มของกฎหมายในอนาคตฬ
กรุงเทพมหานคร, (กรงุ เทพฯ : นติ ิธรรม, 2547), 10.
7 เฉลมิ วุฒิ สาระกิจ, “ขัน้ ตอนการดาเนนิ คดตี ามพระราชบญั ญัติคมุ้ ครองผู้ถกู กระทาด้วยความรุนแรงในครอบครวั ,” สบื ค้นเม่ือ 18
สิงหาคม 2564, https://www.blockdit.com/posts/5e44cf0f44f8680c980e789f/
8 ยินดี วัชรพงศ์ ตอ่ สุวรรณ, “กระบวนการยุติธรรม,” สืบค้นเม่ือ 18 สงิ หาคม 2564, https://sites.google.com/site/itsaranon333/
11
เข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 28
บัญญัติกาหนดบุคคลผู้ท่ีมีอานาจฟ้องคดีอาญาต่อศาลไว้ คือ พนักงานอัยการ และผู้เสียหาย โดยให้
สิทธิแก่ผู้เสียหายในการฟ้องคดีอาญาได้เช่นเดียวกับพนักงานอัยการ ซึ่งอานาจในการฟ้องคดีอาญา
ของพนักงานอัยการและผู้เสียหายนั้นมีความเป็นอิสระแยกต่างหากออกจากกัน ในส่วนของการสื บ
พยานหลักฐานของศาลจะต้องกระทาโดยเปิดเผยและต่อหน้าจาเลย เมื่อมีคาพิพากษาแล้วจะต้อง
บังคับให้เป็นไปตามคาพิพากษาโดยไม่ชักช้า
2.2.2 องคก์ รและบคุ ลำกรในกระบวนกำรยุตธิ รรมทำงอำญำ
1) พนกั งานสอบสวนหรอื ตารวจ
พนักงานสอบสวนหรือตารวจ เป็นองค์กรที่สาคัญท่ีสุดองค์กรหน่ึงในกระบวนการ
ยุติธรรมทางอาญา เพราะเป็นหน่วยงานแรกที่รับผิดชอบต่อกระบวนการยุติธรรมก่อนที่คดีหรือ
ข้อพิพาทที่เกิดข้ึนจะผ่านไปยังพนักงานอัยการ และเข้าสู่การพิจารณาของศาล การดาเนินการของ
พนักงานสอบสวน (ตารวจ) เป็นผู้จับกุมผ้กู ระทาความผิด และทาการรวบรวมพยานหลักฐานท่ีได้จาก
การสืบสวนสอบสวนแลว้ รวบรวมจัดทาเป็นสานวนการสอบสวนสง่ ใหพ้ นกั งานอยั การพจิ ารณาต่อไป
2) ทนายความ
ทนายความเข้ามาเก่ียวข้องกับกระบวนการยุติธรรม คือ เข้ามาว่าความแก้ต่าง
ให้แก่คู่ความไม่ว่าจะเป็นโจทก์หรือจาเลย ทนายความเป็นผู้ประกอบอาชีพกฎหมายโดยอิสระ
ทนายความจะใหค้ าปรึกษาหรอื ดาเนินคดแี ทน โดยคดิ ค่าบริการจากลกู ความ ทนายความจึงเป็นบคุ คล
สาคัญคนหนึ่งในกระบวนการยุติธรรม เพราะเป็นผู้รู้กฎหมาย และทาหน้าที่เป็นตัวแทนของคู่ความ
ในการดาเนนิ คดีในศาล การกระทาของทนายในศาลมผี ลเทา่ กับคู่ความทาเอง
3) พนักงานอัยการ
พนักงานอัยการเป็นเจ้าหน้าท่ีของรัฐ ซึ่งดาเนินคดีต่อจากพนักงานสอบสวนหรือ
ตารวจ เม่ือพนักงานสอบสวนได้สอบสวนคดีเสร็จแล้วจัดทาเป็นสานวนการสอบสวนส่งให้พนักงาน
อัยการพิจารณา เพ่ือส่ังฟ้องหรือส่ังไม่ฟ้องผู้ต้องหาต่อศาลต่อไป โดยพนักงานอัยการจะพิจารณาจาก
สานวนการสอบสวนและพยานหลักฐานในคดีเป็นสาคัญ พนักงานอัยการเปรียบเสมือนทนายของ
แผ่นดิน มีอานาจหน้าที่ในการดาเนินคดีในนามของรัฐ
4) ศาลยตุ ธิ รรม
ศาลเป็นผู้ทาหน้าท่ีพิจารณาช้ีขาดคดีหรือตัดสินคดีตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
ศาลแบง่ ออกเป็น 3 ชน้ั คือ ศาลชั้นตน้ ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา
ก. ศาลชั้นต้น คือ ศาลทจี่ ะเรมิ่ พิจารณาอรรถคดเี ป็นเบือ้ งแรก ศาลช้ันต้นท่ีมีอานาจ
พิจารณาพิพากษาคดีอาญา สาหรับในกรุงเทพมหานคร ได้แก่ ศาลแขวงพระนครเหนือ ศาลแขวง
พระนครใต้ ศาลแขวงธนบุรี ศาลจังหวัดมีนบุรี ศาลคดีเด็กและเยาวชนกลาง ศาลอาญาธนบุรี และ
ศาลอาญา สว่ นในจงั หวดั อื่น ได้แก่ ศาลแขวง ศาลจงั หวดั และศาลคดเี ดก็ และเยาวชน
ข. ศาลอุทธรณ์ คือ ศาลในลาดับที่ถัดมาจากศาลช้ันต้น พิจารณาพิพากษาคดี
ท่ีจาเลยหรือโจทก์ไม่พึงพอใจในคาพิพากษาของศาลช้ันต้น โดยประสงค์จะอุทธรณ์คาพิพากษาที่
ได้รับการพิจารณาจากศาลชั้นต้น และมีอานาจวินิจฉัยช้ีขาดคดีที่ศาลอุทธรณ์มีอานาจวินิจฉัยได้
ตามกฎหมายอื่น ๆ ในเขตท้องท่ีทไ่ี ม่อย่ใู นเขตศาลอุทธรณภ์ าค เวน้ เสียแต่คดที ี่อยู่นอกเขตศาลอุทธรณ์
จะอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ก็ได้ ทั้งน้ี อยู่ในดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ที่จะไม่ยอมรับพิจารณาพิพากษา
12
คดีใดคดีหน่ึงที่อุทธรณ์เช่นน้ันก็ได้ เว้นแต่คดีดังกล่าวน้ันจะได้โอนมาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
เพื่อให้เกิดความยุติธรรมในกระบวนวิธีพิจารณาคดี ศาลอุทธรณ์ในอดีตมีอยู่เพียงศาลเดียวคืออยู่ใน
กรงุ เทพมหานคร แต่ในปัจจุบันไดม้ กี ารขยายออกไปอีก จานวน 9 ศาล คือ ศาลอุทธรณ์ ภาค 1–9
ค. ศาลฎีกา คือ ศาลสูงสุด มีอานาจพิจารณาพิพากษาบรรดาคดีที่อุทธรณ์คาพิพากษา
หรือคาส่ังของศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาค ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการฎีกา
นอกจากนี้ ยงั มอี านาจวนิ จิ ฉยั ชี้ขาดคดที ี่ศาลฎกี ามีอานาจวนิ ิจฉัยได้ตามกฎหมายอ่ืน จดั เป็นศาลสูงสุด
ของศาลในระบบศาลยุติธรรม มีศาลเดียวต้ังอยู่ในกรุงเทพมหานคร
5) เจ้าหน้าทร่ี าชทณั ฑ์
เจ้าหน้าท่ีราชทัณฑ์ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เข้ามาเก่ียวข้องในกระบวนการยุติธรรม
ทางอาญา โดยทาหน้าท่ีควบคุมผู้ต้องหาหรือจาเลยไว้ในระหว่างการดาเนินคดีอาญาไม่ว่าจะเป็น
ช้ันกอ่ นศาลพจิ ารณา ระหว่างการพิจารณา ตลอดจนภายหลังการพิจารณาพพิ ากษา ทั้งนี้ ไมว่ า่ จะเป็น
กระบวนการในศาลช้ันต้น ศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกา เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์มีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตาม
คาสงั่ ของศาล เช่น ควบคุมตวั ปลอ่ ยตัว หรอื แม้แตค่ าพิพากษาประหารชวี ิตก็เป็นหน้าทข่ี องเจ้าหน้าท่ี
ฝ่ายราชทัณฑ์ท่ีจะต้องดาเนินการให้เป็นไปตามคาพิพากษาของศาล เป็นต้น
เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ยังมีความรับผิดชอบสาคัญอื่นอีก คือ การฝึกอบรม และแก้ไข
ฟ้ืนฟูผู้ถูกคุมขังให้กลับตนเป็นคนดี ด้วยการให้การอบรมท้ังในด้านศีลธรรม และฝึกอาชีพ เพ่ือให้
ผู้ตอ้ งขงั สามารถปรบั ตวั เข้ากับสังคมภายนอกไดภ้ ายหลงั ได้รบั การปล่อยตัวไป
จากข้อมูลองค์กรและบุคลากรในกระบวนการยุตธิ รรมทางอาญาดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่า
กระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทยยังมีการดาเนินงานเป็นไปในระบบสายพาน ส่งต่อกันเป็น
ทอด ๆ เหมือนสายพานท่ีลาเลียงส่ิงของ ภายใต้แนวทางและนโยบายต่างกันในกระบวนการยุติธรรม
เดียวกัน9
2.2.3 กำรดำเนินกระบวนกำรยตุ ธิ รรมทำงอำญำ
การดาเนินกระบวนการยตุ ิธรรมทางอาญามีหลักการดงั นี้
1) บุคคลท่ีเกี่ยวข้อง ได้แก่ ผู้กระทาความผิด ผู้เสียหาย พนักงานสอบสวน พนักงาน
อยั การ ศาล และพนกั งานราชทัณฑ์
2) เม่ือมีความผิดอาญาเกิดขึ้น ก็จะต้องมีการสืบสวน และสอบสวนเกี่ยวกับความผิด
โดยพนักงานสอบสวนก่อน จากนั้นพนักงานอัยการจึงจะฟ้องคดีอาญาต่อศาล หรือในบางกรณี
ผู้เสียหายจะฟ้องต่อศาลโดยตรงก็ได้
3) ในคดีอาญา การพิจารณาสืบพยานของศาลจะต้องกระทาโดยเปิดเผยต่อหน้า
สาธารณชนและต่อหน้าจาเลย
4) คดีอาญาเมื่อมีคาพิพากษาแล้ว จะตอ้ งบังคบั ใหเ้ ป็นไปตามคาพิพากษาโดยไมช่ กั ช้า
การดาเนินการในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาจะมีการตรวจสอบเพื่อคานและ
ถ่วงดุลอานาจกันเองในระบบของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา คือ พนักงานอัยการตรวจสอบถึง
ความชอบด้วยกฎหมายของการสอบสวนของพนักงานสอบสวนหรือตารวจก่อนที่จะมีคาสั่งฟ้องหรือ
9 ธานี วรภทั ร์, “หลักนติ ธิ รรมกบั การใชม้ าตรการบังคบั ทางอาญา,” (รายงานการฝึกอบรม), หลักสตู ร หลกั นิตธิ รรมเพอ่ื ประชาธปิ ไตย
รุนท่ี 1 วทิ ยาลัยรฐั ธรรมนูญ สานักงานศาลรัฐธรรมนูญ, 2556), 17.
13
สั่งไม่ฟ้อง และศาลตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของคดีท่ีอัยการยื่นฟ้องต่อศาล การตรวจสอบ
ดังกลา่ วเป็นการถว่ งดุล และคานอานาจซ่ึงกนั และกนั (check and balance)
พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พ.ศ. 2477 มาตรา 3
วรรคสอง บัญญัติว่า “ให้ศาลและเจ้าพนักงานทั้งหลายผู้ดาเนินคดีอาญาตลอดราชอาณาจักร ปฏิบัติ
ตามบทบัญญัติแหง่ กฎหมายน้ี เว้นแต่ศาลซึ่งมีวิธีพิจารณาพิเศษไว้ต่างหาก” กฎหมายมาตรานไ้ี ด้กาหนด
มโนทัศน์10 (concept) ของการใช้กฎหมายไว้โดยชัดแจ้ง โดยบัญญัติบังคับให้ศาลและเจ้าพนักงาน
ผู้ดาเนินคดีอาญา ซึ่งรวมถึงพนักงานอัยการ พนักงานสอบสวนหรือตารวจให้ปฏิบัติตามประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา การบัญญัติบังคับผู้ใช้อานาจรัฐต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความอาญาไว้ในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาน้ัน เป็นที่
คาดหวังให้ผู้ใช้กฎหมายจะต้องมีมโนทัศน์ทางกฎหมาย (concept of law) โดยต้องใช้ความรู้ความ
เชี่ยวชาญในศาสตร์แห่งกฎหมายซ่ึงเรียกว่า ความรู้รวบยอด (praxiological knowledge) ท่ีจะ
พิจารณาวินิจฉัยได้ว่ากระบวนการทางอาญานั้นได้ทามาโดยถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญามาตั้งแต่ต้นแล้วหรือไม่ เพ่ือให้กระบวนการยุตธิ รรมทางอาญาตั้งแต่ต้นจนถึงปลายนั้นต้อง
กระทามาโดยถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและการดาเนินคดีอาญาที่ถูกต้อง
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาหรือไม่นั้น ก็จะต้องมีการตรวจสอบความชอบด้วย
กฎหมายของการดาเนินคดีอาญาว่ามกี ารปฏิบัตติ ามประมวลกฎหมายวธิ พี ิจารณาความอาญาหรือไม่
ระบบการดาเนนิ คดอี าญาของประเทศไทยจะแบ่งออกเป็น 2 ข้ันตอน11 คือ 1) ข้ันตอน
การดาเนินคดีในช้ันพนักงานสอบสวนหรือตารวจ และ 2) ขั้นตอนการดาเนินคดีในชั้นศาล เมื่อเกิด
การกระทาความผิดทางอาญาขนึ้ เจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรมและศาลจะมีหน้าทีใ่ นการค้นหา
ความจริงและนาตัวผู้กระทาความผิดมาลงโทษตามที่กฎหมายกาหนด ซ่ึงกฎหมายวิธีพิจารณาความ
อาญากาหนดขั้นตอนการรวบรวมพยานหลักฐาน ท้ังที่เป็นพยานบุคคล พยานวัตถุ พยานเอกสาร
พยานทางนิติวิทยาศาสตร์หรือพยานท่ีรวบรวมได้ทางเทคโนโลยีต่าง ๆ เพ่ือมาประกอบในการค้นหา
ความจริงว่าผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้กระทาความผิดจริงหรือไม่อย่างไร ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนหรือตารวจ
เป็นผู้ที่มีบทบาทสาคัญมากและถือเป็นต้นทางแห่งกระบวนการยุติธรรม คือ พนักงานสอบสวนหรือ
ตารวจจะทาหน้าท่ีทั้งการสืบสวนและสอบสวนคดีอาญา เป้าหมายของการสอบสวนไม่ใช่แค่การ
รวบรวมพยานหลักฐานเพ่ือให้ได้ความว่าผู้ต้องหากระทาความผิด แต่ยังรวมถึงการพิสูจน์ความบรสิ ุทธิ์
ของผู้ต้องหาด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 131 บัญญัติว่า “ให้พนักงาน
สอบสวนรวบรวมหลักฐานทุกชนิด เท่าท่ีสามารถจะทาได้ เพื่อประสงค์จะทราบข้อเท็จจริงและ
พฤติการณ์ต่างๆ อันเกี่ยวกับความผิดที่ถูกกล่าวหา เพื่อจะรู้ตัวผู้กระทาผิดและพิสูจน์ให้เห็นความผิด
หรือความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหา” และได้กาหนดให้พนักงานสอบสวนหรือตารวจมีหน้าท่ีรวบรวม
พยานหลักฐานและการสอบสวนเพ่ิมเติมหลังจากท่ีพนักงานอัยการพิจารณาสานวนการสอบสวนแล้ว
เห็นว่า ยังมีประเด็นท่ีต้องสอบสวนเพ่ิมเติมก็จะส่งมาให้พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบดาเนินการ
สอบสวนเพ่ิมเติม แล้วส่งกลับไปท่ีพนักงานอัยการ เพื่อพิจารณาส่ังฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้องคดี และนาเข้าสู่
10 ยนิ ดี วัชรพงศ์ ต่อสุวรรณ, “กระบวนการยุติธรรม,” สบื คน้ เมื่อ 1 สงิ หาคม 2564, https://sites.google.com/site/itsaranon333/
11 ยุทธพงศ์ เพชรโชติ, “ปัญหาเก่ียวกบั การสอบปากคาพยานและการสืบพยานในคดอี าญา,” (บทความวชิ าการ, สานกั งานบัณฑติ ศกึ ษา
คณะนติ ิศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง, 2562), สืบคน้ เม่อื 1 สงิ หาคม 2564, http://www.lawgrad.ru.ac.th/Abstracts/430/
14
การพิจารณาในชั้นศาล ซึ่งเป็นผู้มีอานาจในการพิจารณาช้ีขาดคดี โดยต้องเป็นไปตามหลักการในการ
พิจารณาและการสบื พยานคดีอาญาในศาล คือ ต้องกระทาโดยเปิดเผยต่อหน้าจาเลย
2.3 กำรดำเนินคดีอำญำ
รัฐมีหน้าท่ีในการรักษาความสงบเรยี บรอ้ ยและรักษาความเป็นธรรมในสังคม เพื่อให้ประชาชน
มคี วามปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน รวมไปถึงการได้รับคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนด้วย
ในกฎหมายอาญามีเจตนารมณ์ท่ีจะสร้างความสงบสุขให้เกิดในสังคม โดยการควบคุมพฤติกรรมของ
มนุษย์ และให้สอดคล้องตามแนวคิดเกย่ี วกับสิทธิมนุษยชน การเข้าถึงความยตุ ิธรรม (access to justice)
เปน็ สทิ ธิขน้ั พน้ื ฐานท่ีสาคัญยิง่ อย่างหนึง่ ของมนษุ ย์ การเข้าถึงความยุตธิ รรม เช่น การไดร้ ับหลักประกัน
ความเสมอภาคตามกฎหมาย และการไม่ถูกกีดกันหรือเลือกปฏิบัติในลักษณะต่าง ๆ รวมทั้งการขจัด
อุปสรรคอน่ื ๆ ในการเข้าถึงความยุติธรรม12
การดาเนินคดีอาญามีอยู่ 2 แนวทาง คือ หลักการดาเนินคดีอาญาตามกฎหมายและหลักการ
ดาเนินคดีอาญาตามดุลพินิจ13 คือ 1) การดาเนินคดีอาญาตามกฎหมาย (Legality Principles) เป็น
การดาเนินคดีอาญาที่ให้เจ้าพนักงานจะต้องมีการสอบสวนทุกการกระทาความผิด และเม่ือเกิด
การกระทาความผิดไมจ่ าต้องมีการร้องทุกข์หรือการกล่าวโทษแต่อย่างใด หากปรากฏผลการสอบสวน
พบว่าผู้ต้องหาได้กระทาความผิดจริงจะต้องสั่งฟ้องผู้ต้องหารายดังกล่าวนั้นต่อไป 2) การดาเนิน
คดีอาญาตามดุลพินิจ (Opportunity Principle) เป็นการดาเนินคดีอาญาที่ใช้ดุลพินิจ คือ เมื่อเกิด
การกระทาความผิดในคดีอาญาข้ึน เจ้าพนกั งานอาจไม่ต้องมีการสอบสวนหรอื หากมีการสอบสวนแล้ว
พบว่าผู้ต้องหากระทาผิดจริง อาจส่ังไม่ฟ้องผู้ต้องหาน้ัน ท้ังนี้ ขึ้นอยู่กับเหตุผลในแต่ละคดี การดาเนิน
คดีอาญาตามดุลพินิจมีที่มาจากทฤษฎีการลงโทษท่ีเปล่ียนแปลงไปจากทฤษฎีการแก้แค้นมาเป็นการ
ปอ้ งกันตัว โดยมีความคดิ วา่ การลงโทษนั้นจะต้องทาใหผ้ ู้กระทาผิดเห็นวา่ สังคมส่วนรวมจะไม่น่งิ ดูดาย
และไม่ยอมรับกับการกระทาดังกล่าว และส่งสัญญาณเตือนให้ทราบว่า หากยังคงกระทาความผิด
นั้นอีก ผู้น้ันจะต้องได้รับการลงโทษ และนาไปสู่การป้องกันเป็นพิเศษ คือ การลงโทษต้องลงโทษให้
เหมาะสมกับฐานความผิดและการประพฤติช่ัว เพ่ือให้บุคคลนั้นมีโอกาสแก้ไขปรับปรุงตนเองและไม่
กลบั ไปกระทาความผิดดังกลา่ วซ้าอกี อีกทั้งสามารถให้โอกาสบคุ คลน้นั กลบั คนื สู่สงั คมไดด้ ้วย หลกั การ
ดาเนินตามดุลพินิจเป็นหลักที่ตรงกันข้ามกับหลักการดาเนินคดีอาญาตามกฎหมาย14 ซ่ึงให้อานาจ
เจ้าหน้าท่ีที่เก่ียวข้องในกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะพนักงานอัยการสามารถใช้ดุลยพินิจในการไม่
ดาเนินคดีอาญา ท่มี มี ูลซึ่งปรากฏตามการสอบสวนและพยานหลักฐานว่าจาเลยได้กระทาความผดิ หรือ
มีมูลว่าน่าจะกระทาความผิด พนักงานอัยการสามารถใช้ดุลพินิจเป็นคดี ๆ ไป โดยพิจารณาจาก
ข้อเท็จจริงในแต่ละเร่ือง หากมีเหตุท่ีไม่สมควรจะฟ้องผู้ต้องหารายนั้นต่อศาล เช่น อายุ บุคลิกภาพ
ลักษณะ สภาพแวดล้อมของผู้กระทาผิดและองค์ประกอบอ่ืน ๆ ซ่ึงทาให้พนักงานอัยการสามารถท่ีจะ
12 ประพิน นชุ เปย่ี ม, การพัฒนามนุษยใ์ นบรบิ ทโลก, หนว่ ยท่1ี 4 การเข้าถึงความยุตธิ รรมและธรรมาภิบาล, นนทบุรี : มหาวทิ ยาลัย
สโุ ขทยั ธรรมาธิราช, 2561), สบื ค้นเมอ่ื 15 สงิ หาคม 2564, https://www.stou.ac.th/Schoolnew/polsci/UploadedFile/ 82427-
14.pdf/
13 คณติ ณ นคร, กฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา, (กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พเ์ จรญิ วทิ ยก์ ารพิมพ์, 2528), 116-117.
14 เฉลิมวฒุ ิ สาระกิจ, “หลกั การดาเนินคดอี าญา,” สบื ค้นเมอ่ื 8 มถิ นุ ายน 2564. http://chalermwutsa. blogspot.com/
2013/02/blog-post_22.html./
15
ใช้ดุลพินิจในการสั่งไม่ฟ้องคดีกับผู้ต้องหารายน้ันได้ และจากหลักการดาเนินคดีอาญาตามดุลพินิจนี้
แม้พนักงานอัยการจะได้ฟ้องคดีอาญาต่อศาลแล้ว หากเห็นว่าไม่ควรจะดาเนินคดีอาญากับจาเลยนั้น
อีกต่อไป พนักงานอัยการก็สามารถถอนฟ้องคดีนนั้ จากศาลได้
ระบบการพิจารณาพิพากษาคดีในศาลโดยหลักแล้วแบ่งออกได้เป็น 2 ระบบ คือ วิธีพิจารณา
คดีในระบบกล่าวหา และวิธีพิจารณาคดีในระบบได้ส่วน โดยประเทศไทยวิธีพิจารณาคดีของศาล
ยุติธรรมจะเป็นระบบกล่าวหา อย่างไรก็ตาม พบว่าการดาเนินคดีอาญา มี 3 ลักษณะ คือ 1) ระบบ
กล่าวหา (Accusatorial System) 2) ระบบไต่สวน (Inquisitorial System) และ 3) ระบบผสม
(Hybrid System)15 แต่ละระบบจะมีแนวทางและวิธีการที่แตกต่างกัน สามารถสรุปได้ดังนี้
2.3.1 ระบบกล่ำวหำ (Accusatorial System)
ระบบกล่าวหา (Accusatorial System) เป็นระบบท่ีมีการเร่ิมต้นคดีโดยจะต้องมีการ
กล่าวหาเสียก่อน ศาลไม่สามารถเริ่มต้นคดีได้ด้วยตนเอง ระบบนจ้ี ึงเป็นระบบการพจิ ารณาคดีที่คู่กรณี
หรือคู่ความมีความเท่าเทียมกันไม่ว่าจะเป็นคดีที่เป็นการพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชน หรือเอกชน
กับรัฐ คู่กรณีมีหน้าท่ีในการค้นหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน อีกทั้งยังต้องนาพยานหลักฐานเข้าสู่
การพิจารณาคดีของศาล การดาเนินกระบวนการพิจารณาคดีในระบบกล่าวหาน้ีเป็นหน้าที่ของคู่ความ
ท่ีเป็นฝ่ายกล่าวหาจะต้องเสนอพยานหลักฐานต่อศาล ศาลมีหน้าท่ีควบคุมคู่ความและดาเนินการตาม
กระบวนการพิจารณาท่ีกฎหมายกาหนด โดยศาลวางตัวเป็นกลางอย่างเคร่งครัด ระบบการดาเนิน
คดีอาญาในระบบกล่าวหาจะแยกอานาจ “การสอบสวนฟ้องร้อง” ออกจาก “การพิจารณาพิพากษา”
โดยมีองค์กรท่ีทาหน้าที่ในการฟ้องร้องคือ “องค์กรอัยการ” ระบบนี้ศาลจะไม่มีอานาจในการรวบรวม
พยานหลักฐานด้วยตนเอง ดังน้ัน การรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานในชั้นพนักงานสอบสวน
หรือตารวจจึงมีความสาคัญมากต่อรูปคดี โดยข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานท่ีได้มานั้นจะต้องพิสูจน์
ให้ได้ความว่า “การกระทาความผิดเกิดข้ึนจริง” และ “ผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้ต้องหาเป็นผู้กระทา
ความผิด” และหากการกระทาความผิดน้ันต้องรับโทษทางอาญาพนักงานสอบสวนหรือตารวจอาจ
ไม่จาเป็นต้องระบุในสานวนคดีว่าผู้ต้องหากระทาผิดอย่างไร โดยมีหน้าท่ีเพียงรวบรวมข้อเท็จจริง
และพยานหลักฐานที่เก่ียวข้องในคดีเท่านั้น แต่พนักงานอัยการจะเป็นผู้บรรยายในคาฟ้อง เพราะการ
นาสืบในระบบกล่าวหา พนักงานอัยการและศาลมีหน้าที่คุ้มครองสิทธิของจาเลยและศาลจะต้องควบคุม
ให้การพิจารณาคดีไม่ฝ่าฝืนกฎหมายลักษณะพยาน ดังน้ัน ในระบบกล่าวหาศาลจึงมีลักษณะเป็นกลาง
อย่างแท้จริงและกาหนด ให้การสืบพยานต้องกระทาโดยเปิดเผย ต่อหน้าสาธารณชน และต่อหน้า
จาเลย เพอ่ื ปราศจากขอ้ สงสัยวา่ มกี ารได้เปรียบเสียเปรียบเกิดข้ึน หรือมีการละเมิดสิทธิของจาเลย
ระบบกล่าวหามีความเช่ือว่า คู่ความเท่านั้นจะทาหน้าที่รักษาผลประโยชน์ในทางคดี
ของตนได้ดีที่สุด ดังนั้น การพิจารณาคดีในชั้นศาลจะเป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายโจทก์และฝ่ายจาเลย
ที่มีหน้าที่ในการนาพยานหลักฐานมานาสืบประกอบขอ้ อ้างข้อต่อสู้ของตน โดยศาลจะวางตนเป็นกลาง
เสมือนกรรมการในคดี มีการถามค้านพยานที่ให้การเป็นปฏปิ ักษก์ บั ตน และถามตงิ ไม่จากัดจานวนครั้ง
จนกว่าจะสิ้นสงสัย เพื่อสิทธิในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ (กฎหมายประเทศไทยโดยหลักให้ถามได้
15 สถาพร ภกั ดวี งศ์, “ปัญหาและแนวทางแก้ไขกระบวนการชนั้ เจา้ พนักงานในการดาเนินคดีตอ่ เจา้ พนักงานของรัฐมราถกู กลา่ วหาวา่
กระทาความผิดอาญาเนอ่ื งมาจากการปฏบิ ตั หิ นา้ ท่เี พอ่ื ความเป็นธรรม,”วารสารผตู้ รวจการแผ่นดนิ , 13 ฉบบั ท่ี 2 (กรกฎาคม-ธันวาคม
2563) : 121-144.
16
ครั้งเดียว)16 ความผิดพลาดบกพร่องทางเทคนิคเรื่องระยะเวลาหรือการไม่นาเสนอข้อเท็จจริงใด ๆ ใน
คดที นี่ าไปสกู่ ารแพช้ นะกันลว้ นเป็นความรบั ผดิ ชอบและความเสียหายของค่คู วามฝ่ายนน้ั ๆ เอง
ผลดีผลเสยี ของกำรดำเนนิ คดอี ำญำในระบบกลำ่ วหำ ดังนี้
ผลดี
1. ผู้กล่าวหาและผู้ถูกกล่าวหาต่างมีสิทธิในการแสดงพยานหลักฐานและคัดค้านพยาน
หลกั ฐานของคคู่ วามอีกฝา่ ยหนงึ่ โดยไม่ได้เปรียบเสียเปรียบกนั
2. ในกระบวนการต่อสู้ทางคดีจะมีการกาหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และขั้นตอน โดย
จะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพ่ือเป็นการประกันความคุ้มครองในสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
และสรา้ ง ความเป็นธรรมให้แกค่ ู่ความท้งั สองฝ่าย
3. ศาลซึ่งเป็นผู้พิพากษาอรรถคดีเป็นองค์กรอิสระ รับฟังพยานหลักฐานจากคู่ความ
ท้ังสองฝ่ายที่นามาแสดง มีหน้าท่ีในการควบคุมการพิจารณาให้เป็นไปตามที่กฎหมายกาหนด ตัดสนิ คดี
ด้วยความเป็นกลาง เป็นหลักประกันในการอานวยความยตุ ธิ รรมแก่ทงั้ สองฝา่ ย
ผลเสยี
1. การดาเนินคดีอาญาในระบบกล่าวหามีการกาหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และขั้นตอน
ทีเ่ คร่งครัด จงึ อาจทาใหเ้ กิดความล่าช้าในการดาเนนิ คดี
2. กรณีเจ้าหน้าท่ีของรัฐมิได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และข้ันตอนท่ีกฎหมาย
กาหนดไว้ อาจเปน็ เหตุให้ผ้ถู กู กล่าวหาหลดุ พน้ จากข้อกล่าวหา ทั้งท่ผี ถู้ ูกกล่าวหากระทาความผิดจริง
3. การนาเสนอพยานหลักฐานต้องชัดเจนเป็นท่ีประจักษ์ต่อศาลโดยปราศจากข้อสงสัย
มิเชน่ นั้น ศาลอาจมีเหตยุ กประโยชนแ์ ห่งความสงสัยให้แกผ่ ้ถู กู กล่าวหา
2.3.2 ระบบไต่สวน (Inquisitorial System)
ระบบไต่สวน (Inquisitorial System) การดาเนินคดีอาญาในระบบไต่สวนนี้จะไม่มี
การแยกอานาจการสอบสวนออกจากอานาจพิจารณาพิพากษา โดยกาหนดให้ศาลเป็นผู้ไต่สวน
ข้อเท็จจริง และศาลมีอานาจในการแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานด้วยตนเองตั้งแต่เริ่มต้นคดี
ระบบไต่สวน จึงเป็นการรวบอานาจการสอบสวนและอานาจการพิจารณาพิพากษาคดีไว้ด้วยกัน
การดาเนินคดีอาญา ในระบบนี้จึงมีเพียงผู้ถูกไต่สวนกับผู้ไต่สวน คู่ความจึงไม่มีสถานะเท่าเทียมกัน
การแสวงหาข้อเท็จจริงในระบบน้ีไม่เคร่งครัดหลักเกณฑ์ เหมือนในระบบกล่าวหา ศาลมีอานาจ
สืบพยานหลักฐานเพิ่มเติมหรืองดสืบพยานเองได้ ศาลมีบทบาทและอานาจหน้าที่ในการไต่สว น
หาข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐาน ตรวจสอบพยานหลักฐาน สอบปากคาพยานบุคคล ศาลจะเป็น
ผูด้ าเนินการเอง หากผู้อื่นจะสอบถามพยานจะต้องไดร้ ับอนุญาตจากศาลก่อน การกระทาใดแม้ไม่เป็น
ไปตามท่ีกฎหมายกาหนด อาทิ ระยะเวลาในการยื่นบัญชีพยาน หากศาลอนุญาตก็ถือว่าการย่ืน
ดงั กล่าวถกู ตอ้ งตามกฎหมายลักษณะพยาน
ระบบไต่สวนเช่ือว่ารัฐเท่านั้นที่จะมีความเป็นกลางท่ีจะให้ความเป็นธรรมแก่คู่กรณี
อย่างแท้จริง และเพื่อป้องกันการใช้คดีอาญาในการกล่าวหากลั่นแกล้งกัน ระบบไต่สวนไม่ใช่ระบบท่ี
คู่พิพาทต่อสู้กันในศาลแต่เป็นระบบการแสวงหาความจริงโดยรัฐ เจ้าหน้าท่ีของรัฐทั้งศาลและ
16 น้าแท้ มบี ญุ สล้าง, “รายงานการศกึ ษาการปฏิรูประบบสอบสวนคดอี าญาตามมาตรฐานสากล,” สบื ค้น 25 สงิ หาคม 2564,
https://www.parliament.go.th.
17
พนักงานอัยการจะทาหน้าท่ีแสวงหาความจริงในการเรียกพยานหลักฐานต่าง ๆ เข้าสู่การพิจารณา
ระบบไต่สวนนี้จะไม่มีคาพิพากษาที่โยนความผิดให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งว่าบกพร่องนาสืบพยานหลักฐาน
พิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ไม่สมบูรณ์ เพราะเป็นหน้าที่ของศาลเองโดยตรงที่จะทาความจริงให้ปรากฏ จึงจะ
ไม่มีการพิพากษายกฟ้องง่าย ๆ ในคดี17 โดยให้เหตุผลการยกฟ้องในทางเทคนิคโดยไม่คานึงถึง
ความยุติธรรมและความจริงแห่งคดีการอานวยความยุติธรรม ในระบบไต่สวนจึงเป็นภารกิจและ
ความรับผิดชอบโดยตรงของรัฐท่ีจะต้องทาความจริงให้ปรากฏ ไม่ได้มองว่าเป็นหน้าท่ีหรือภาระของ
คู่ความในคดี อน่ึง ระบบไต่สวนจะมีข้อวิจารณ์ว่า ความยุติธรรมจะอยู่บนความไว้ใจฝ่ายรัฐมาก
หากเจ้าหน้าที่รัฐท้ังศาล พนักงานอัยการมีอคติเอนเอียงหรือทุจริตคอรัปชั่นแล้วจะเกิดความเสียหาย
ต่อความยุติธรรมอยา่ งร้ายแรงไม่อาจแกไ้ ขได้
ระบบกฎหมายไทยได้มีการพูดถึงระบบไต่สวนและนาแนวคิดน้ีมาใช้ในทางปฏิบัติ
มากขนึ้ โดยระบบไตส่ วนทปี่ รากฏใบบทบญั ญัติแหง่ กฎหมายไทยมี 8 ประเภท ได้แก่
1. คดปี กครอง
2. คดีในศาลรัฐธรรมนญู
3. คดใี นศาลฎกี าแผนกคดีอาญาของผ้ดู ารงตาแหน่งทางการเมือง
4. คดีฝ่าฝนื มาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงของผู้ดารงตาแหน่งทางการเมอื ง
5. คดีเก่ียวกบั การเลอื กตั้ง
6. คดีการค้ามนุษย์
7. คดีทจุ ริตและประพฤติมชิ อบ
8. คดีคุ้มครองผู้บริโภค
ผลดผี ลเสยี ของกำรดำเนนิ คดอี ำญำในระบบไตส่ วน ดังน้ี
ผลดี
1. มีการค้นหาความจริงโดยศาลซึ่งพิจารณาคดี หากศาลมีข้อสงสัย ศาลจะต้องค้นหา
ความจริงถึงที่สุดเพ่ือให้สิ้นสงสัย ถ้าค้นหาความจริงจนท่ีสุดแล้วไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอ จะต้อง
พพิ ากษายกฟ้องไป
2. หลกั เกณฑ์ วธิ ีการ และขัน้ ตอนในระบบการไต่สวนไม่เคร่งครัด มคี วามยดื หยนุ่ มาก
3. มีความรวดเร็วในการพจิ ารณาคดี คูค่ วามไม่อาจทีจ่ ะประวิงคดีได้
4. ผถู้ กู กล่าวหาท่ีหลดุ พ้นจะเน่อื งจากไมม่ ีหลกั ฐานว่ากระทาความผิด แตจ่ ะไมเ่ กดิ กรณี
หลดุ พ้นเพราะกระทาการผดิ หลกั เกณฑ์ วธิ กี าร และข้นั ตอนวิธพี ิจารณาความทีก่ ฎหมายกาหนด
ผลเสยี
1. อานาจการสอบสวน การแสวงหาพยานหลักฐาน และอานาจการพิจารณาพิพากษา
รวมอยู่ในองค์กรเดียวกัน อาจทาให้ไม่เกิดความเป็นกลาง ผู้ไต่สวนมีอานาจมากอาจเกิดอคติลาเอียงเช่ือใน
พยานหลกั ฐานของตน แต่ไมเ่ ชอ่ื ในพยานหลักฐานของผูถ้ ูกกลา่ วหา18
17 น้าแท้ มบี ญุ สล้าง, “รายงานการศึกษาการปฏริ ูประบบสอบสวนคดอี าญาตามมาตรฐานสากล” สบื คน้ 25 สงิ หาคม 2564,
https://www.parliament.go.th.
18 สานักงานกฎหมายและทนายความ, “หลักกฎหมายปกครองวันละเรื่อง,” สบื ค้นเม่อื 15 กรกฎาคม 2564.
https://www.facebook.com/DroitAdministrative/posts/577200528962528/
18
2. การมุ่งค้นหาผู้กระทาความผิดมากเกินไป อาจไม่ได้คานึงถึงความเป็นธรรมในการ
ต่อสู้คดีของผู้ถูกกล่าวหา
3. ผู้ถกู ไต่สวนเปน็ เพยี งวตั ถแุ ห่งคดี (Object) ทาให้ผู้น้นั ไมม่ ีโอกาสแกข้ อ้ กลา่ วหา ไม่มี
สทิ ธใิ นการตอ่ สหู้ รอื ไดร้ บั การช่วยเหลอื ในการค้นหาพยานหลกั ฐาน19
4. ศาลจะต้องลดบทบาทมาทาหนา้ ท่ีเปน็ ทนายความเสยี เอง
2.3.3 ระบบผสม (Hybrid System)
การดาเนินคดีอาญาแบบระบบผสม (Hybrid System) เป็นการดาเนินคดีอาญา โดย
นารูปแบบของระบบกลา่ วหาและระบบไตส่ วนมาประยุกตใ์ ช้รว่ มกนั ระบบน้เี ปน็ ระบบทน่ี าจดุ เด่นของ
ทั้งสองระบบมาไว้รวมกัน ระบบผสมจึงจัดได้ว่าเป็นระบบที่มีความยืดหยุ่นได้ดี ในการดาเนินคดีอาญา
ของหลาย ๆ ประเทศ ไม่ได้ใช้ระบบใดระบบหนึ่งระบบเดียวเป็นการเฉพาะ แต่จะเป็นการผสมผสาน
ของระบบกล่าวหาและระบบไต่สวนเขา้ ดว้ ยกนั อาทิ ฝร่ังเศส ซึ่งถือว่าเปน็ ประเทศทมี่ ีการดาเนนิ คดใี น
ระบบไตส่ วน แต่ก็ได้เคยนาระบบกล่าวหามาใช้ดาเนินการ
ระบบการดาเนินคดีอาญาท้ัง 3 ระบบดังกล่าวนั้น มีบทบาทการดาเนินคดีอาญาในช้ัน
เจ้าพนักงานท่ีแตกต่างกัน การดาเนินคดีอาญาของประเทศไทยน้ันใช้ระบบกล่าวหา เนื่องจากมีการ
จัดระบบศาลเป็นแบบเดียวกับประเทศอังกฤษ20 โดยประเทศอังกฤษซึ่งเปน็ ประเทศที่ใชร้ ะบบกล่าวหา
ในการดาเนินคดี โดยจะแยกการสอบสวนและการฟ้องคดีออกจากกัน โดยตารวจมีหน้าที่ในการ
สืบสวนและการสอบสวน ไม่ได้ถูกควบคุมหรือตรวจสอบโดยพนักงานอัยการ พนักงานอัยการมีหน้าที่
ในการฟ้องคดีและดาเนินคดีต่อศาล เจ้าหน้าที่ตารวจมีอานาจในการเริม่ ต้นคดีอาญาโดยการรับคาร้อง
ทุกข์หรือกล่าวโทษ มีกฎหมาย Police and Criminal Evidence Act 1984 (PACE) เป็นหลักในการ
ดาเนนิ คดีซ่ึงมลี ักษณะเชน่ เดียวกับประเทศไทย
กระบวนการพิจารณาคดอี าญาของศาลยตุ ธิ รรมไทยจะใช้ระบบกล่าวหาเปน็ หลักในการ
ค้นหาความจริง โดยจาเลยจะได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ โจทก์มีหน้าที่นาสืบเพ่ือพิสูจน์
ซ่งึ การกระทาความผดิ และพยานหลักฐานของโจทก์ต้องทาให้ศาลเชื่อโดยปราศจากข้อสงสัยว่าจาเลย
ไดก้ ระทาความผิด หากศาลยังมขี ้อสงสัยศาลจะต้องยกประโยชน์แหง่ ความสงสัยใหแ้ ก่จาเลย ประมวล
วิธีพิจารณาความอาญาบัญญัติไว้ให้อานาจศาลในการค้นหาความจริง ซึ่งการพิจารณาคดีอาญาน้ัน
ได้แยกการสอบสวนและฟ้องร้องออกจากการพิจารณาพิพากษาคดี อานาจหน้าที่ในการพิจารณา
พิพากษาของศาลจึงถือเป็นอานาจสูงสุด โดยศาลจะใช้ดุลพินิจประกอบหลักกฎหมาย และพยาน
หลักฐานในสานวนเป็นหลักในการทาคาพิพากษา การใช้ดุลพินิจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลจะต้อง
ใช้ตามหลักชอบโดยกฎหมาย คอื ใช้อานาจตัดสินใจอย่างอิสระที่จะเลือกกระทาการหรือไม่กระทาการ
อย่างใดอย่างหน่ึงโดยมีเหตุผลอันสมควรภายในขอบเขตแห่งกฎหมาย เป็นกลาง โปร่งใส ไม่ใช้อานาจ
เกินขอบเขตที่กฎหมายกาหนด คานึงถึงสิทธิและเสรีภาพของบุคคล และในขณะเดียวกันจะต้องสงวน
รกั ษาไว้ซึง่ ประโยชนข์ องสว่ นรวมด้วย
19 สมมาตร โตโพธิไ์ ทย, “บทบาทพนกั งานอัยการในการสอบสวนคดีอาญา,” (วทิ ยานิพนธม์ หาบณั ฑิต, คณะนติ ิศาสตร์
มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่, 2549).
20 ยุทธพงศ์ เพชรโชติ, “ปัญหาเกย่ี วกับการสอบปากคาพยานและการสบื พยานในคดีอาญา,” (บทความวิชาการ, สานักงานบัณฑติ ศึกษา
คณะนติ ิศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง, 2562), สบื ค้นเมอื่ 1 สิงหาคม 2564, http://www.lawgrad.ru.ac.th/Abstracts/430/
19
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของไทย มาตรา 28 บัญญัติว่า “บุคคลเหล่านี้
มีอานาจฟ้องคดีอาญาต่อศาล 1) พนักงานอัยการ 2) ผู้เสียหาย” โดยเป็นการที่กฎหมายให้สิทธิแก่
ผเู้ สียหายในการฟ้องคดีอาญาไดเ้ ช่นเดียวกับพนักงานอัยการ ทั้งน้ี เว้นแต่คดีท่ีรัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย เช่น
คดีจราจร คดียาเสพติด คดีป่าไม้ ซ่ึงผู้เสียหายไม่อาจเป็นโจทก์ได้ นอกจากนี้ ศาลจะดาเนินกระบวนการ
พิจารณาคดีได้ต่อเม่ือมีการฟ้องร้องคดีน้ันไปให้ศาลพิจารณา จึงอาจกล่าวได้ว่า ประเทศไทยใช้ระบบ
กล่าวหาตามความหมายดังกล่าวข้างต้นท่ีกาหนดให้อัยการทาหน้าที่ฟ้องคดีอาญาต่อศาล โดยท่ีศาล
ไม่อาจจะเป็นผู้เริ่มต้นคดีอาญาเองได้และพนักงานอัยการไม่สามารถดาเนินการสอบสวน เน่ืองจากประมวล
วิธีพิจารณาความอาญาของไทยแยกกระบวนการสอบสวนกับกระบวนการฟ้องร้องออกจากกัน ให้พนักงาน
สอบสวนมีอานาจหน้าท่ีสอบสวนโดยอิสระ พนักงานอยั การมีอานาจตรวจดูสานวนการสอบสวนที่พนักงาน
สอบสวนจัดทาแล้วพิจารณามีคาส่ังว่าให้ทาการสอบสวนเพ่ิมเติม หรือส่ังคดีว่าจะส่ังฟ้องหรือส่ังไม่ฟ้อง
ซึ่งการดาเนินคดีอาญาของประเทศไทย แบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน คือ 1) การดาเนินคดีในช้ันพนักงาน
สอบสวนหรือตารวจ และ 2) การดาเนินคดีในชั้นศาล ซ่ึงกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาได้กาหนด
ขั้นตอน วิธีการ การรวบรวมพยานหลักฐานท้ังปวง เพื่อประกอบในการค้นหาความจริงว่าผู้ถูกกล่าวหาเป็น
ผกู้ ระทาความผิดจริงหรือไม่
การพิสูจน์ความผิดของจาเลยต้องมีพยานหลักฐานต่าง ๆ แสดงให้เป็นท่ีเป็นประจักษ์ว่า
จาเลยมีการกระทาความผิดทางอาญาจริง เพื่อที่ศาลจะใช้เป็นพยานหลักฐานในการวินิจฉัยถึงความผิด
ของจาเลย การดาเนินคดีความผิดทางอาญาของประเทศไทยในปัจจุบันใช้ระบบกล่าวหาเป็นหลักในการ
ค้นหาความจริง คู่ความในระบบกล่าวหาจะมีบทบาทสาคัญในการต่อสู้คดี โดยสามารถเสนอข้อเท็จจริง
และตรวจสอบข้อเท็จจริงกันเอง (adversary system) จาเลยจะได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์
ตามหลักการที่ว่าบุคคลทุกคนเป็นผู้บริสุทธิ์ (presumption of innocence) หลักการดังกล่าวเป็น
บทบัญญัติแห่งกฎหมายสารบัญญัติท่ีมีสถานะเป็นสิทธิมนุษยชน ดังบัญญัติไว้ในข้อ 11 (1) แห่งปฏิญญา
สากล ว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights) ความว่า “บุคคลซึ่งถูก
กล่าวหาว่ามีความผดิ อาญา มีสทิ ธิที่จะได้รับการสันนษิ ฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์ จนกว่าจะมีการพิสูจน์ว่ามี
ความผิดตามกฎหมาย โดยให้มีกระบวนการพิจารณาท่ีเปิดเผย และผู้น้ันได้รับหลักประกันทั้งหลายท่ี
จาเป็นในการต่อส้คู ดี” การดาเนนิ คดีอาญาในระบบกล่าวหาโจทก์มหี น้าที่นาสืบพยานหลักฐานเพ่ือพิสจู น์
การกระทา ความผิดของจาเลยและพยานหลักฐานของโจทก์ต้องทาให้ศาลเช่ือโดยปราศจากข้อสงสัยตาม
หลักการพิสูจน์จนสน้ิ ความสงสัยตามสมควร มิฉะน้ัน ศาลจะตอ้ งยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จาเลย
ตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 บัญญัติว่า "ให้ศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยช่ังน้าหนัก
พยานหลักฐาน ทั้งปวง อย่าพิพากษาลงโทษจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทาผิดจริง และจาเลยเป็น
ผกู้ ระทาความผิดนั้น เมื่อมีความสงสัยตามสมควรว่าจาเลยได้กระทาผิดหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความ
สงสัยน้ันให้จาเลย" มาตรา 227 บัญญัติมาตรฐานการพิสูจน์ความผิดของจาเลยในคดีอาญาไว้ค่อนข้างสูง
เป็นมาตรฐานสูงสุดในระบบกฎหมายปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นของประเทศใด เป็นมาตรฐานสากล แทบทุก
ประเทศใช้มาตรฐานนี้ถือว่าเป็นมาตรฐานขั้นต่าในทางระบบกฎหมายสากล เรียกว่า proof beyond
reasonable doubt มาตรฐานการพสิ จู น์ในคดีอาญา21
21 จรญั ภกั ดีธนากุล, กฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน., พิมพ์ครงั้ ท่ี 15, (กรุงเทพฯ: สานักอบรมศกึ ษากฎหมายแห่งเนติบณั ฑิตยสภา,
2563), 306.
20
2.4 พยำนหลักฐำนและกำรแสวงหำพยำนหลักฐำน
2.4.1 ควำมหมำยของพยำนหลักฐำน
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 บัญญัติว่า “พยานวัตถุ
พยานเอกสาร หรือพยานบุคคลซึ่งน่าจะพิสูจน์ได้ว่าจาเลยมีความผิดหรือบริสุทธิ์ ให้อ้างเป็น
พยานหลักฐานได้ แต่ต้องเป็นพยานชนิดท่ีมิได้เกิดขึ้นจากการจูงใจ มีคามั่นสัญญา ขู่เข็ญ หลอกลวง
หรือโดยมิชอบประการอ่ืน และให้สืบตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอ่ืนอันว่า
ดว้ ยการสบื พยานหลักในการแสวงหาพยานหลักฐาน”
กฎหมายลักษณะพยานของไทยไม่ได้ให้นิยามศัพท์ไว้ เพียงแต่บอกว่าพยานหลักฐาน
มี 4 ประเภท คือ พยานบุคคล พยานเอกสาร พยานวัตถุ และพยานผู้เชี่ยวชาญ แต่จากการวิเคราะห์
แนวทางปฏิบัติทั้งหมดประกอบหลักสากลในเร่ืองนี้แล้วสามารถสรุปนิยามศัพท์คาว่า พยานหลักฐาน
หมายถึง สิ่งใด ๆ ก็ตามที่มีคุณสมบัตทิ ี่จะชบ้ี ่งหรอื ส่อแสดงให้เห็นถงึ ความเป็นจรงิ หรือความไมเ่ ปน็ จริง
ในปัญหาที่พิพาทกันในทางอรรถคดีได้ ไมว่ ่าจะอยู่ในสภาพพยานบุคคล หรือพยานเอกสาร หรือพยาน
วตั ถุ หรอื พยานผูเ้ ชี่ยวชาญก็ตาม22
พยานหลักฐาน หมายถึง ส่ิงใด ๆ ที่แสดงข้อเท็จจริงให้ปรากฏแก่ศาลได้ ซ่ึงบางทีอาจ
เรียกสั้น ๆ ว่า “พยาน” คาว่า “พยาน” คาเดียว บางทีหมายเฉพาะบุคคลที่มาเบิกความท่ีศาล
ซึ่งเรียกว่า “พยานบุคคล” สาหรับพยานชนิดอื่น เช่น พยานเอกสารหรือพยานวัตถุ มักจะใช้คาเต็ม ๆ ว่า
“พยานหลักฐาน” ไม่เรยี ก “พยาน” เฉยๆ ฉะน้ัน เมอ่ื กล่าวถึงพยานหลายประเภท หรือกล่าวถึงพยาน
รวม ๆ กัน มิได้มุ่งเฉพาะ “พยานบุคคล” แล้ว มักจะใช้คาว่า “พยานหลักฐาน” ซ่ึงมีความหมาย
รวมถึงพยานบุคคล พยานเอกสาร พยานวัตถุ ตลอดจนบันทึกคาเบิกความ คาให้การในชั้นสอบสวน
รายงานการตรวจวัตถุสถานที่ ความเห็นของผู้เช่ียวชาญ หรือสิ่งใด ๆ ท่ีนาเสนอต่อศาลเพ่ือพิสูจน์
ข้อเทจ็ จรงิ 23
พยานหลักฐาน หมายถึง สิ่งใด ๆ ก็ตาม ที่สามารถแสดงให้ปรากฏข้อเท็จจริงเพ่ือใช้
สาหรับวินิจฉัยปญั หาขอ้ เท็จจรงิ ในทางอรรถคดไี ด้24
สรุปได้ว่า พยานหลักฐาน หมายถึง สิ่งที่สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่กล่าวอ้างใน
การดาเนินคดี เพื่อสนับสนุนข้อกล่าวหาหรือแก้ข้อกล่าวหาของตน คู่ความแต่ละฝ่ายจึงมีความจาเป็น
ท่ีจะต้องหาทางพิสูจน์ข้อกล่าวอ้างของตนให้ศาลเชื่อ โดยนาพยานหลักฐานมาแสดงยืนยันข้อเท็จจริง
ซงึ่ ตามกฎหมายของไทย ประกอบด้วย พยานบคุ คล พยานเอกสาร พยานวตั ถุ และพยานผู้เชี่ยวชาญ
2.4.2 ประเภทของพยำนหลักฐำน
พยานหลักฐานอาจแบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ ตามรูปลักษณะหรือตามเน้ือหาสาระก็ได้
อาทิ แบ่งตามรูปลักษณะ ได้แก่ พยานบุคคล พยานเอกสาร พยานวัตถุ หรืออาจแบ่งเป็นสามัญพยาน
วิจักขณพยาน หรือพยานเดียว พยานคู่ หรือพยานโดยตรง พยานแวดล้อมกรณี ประจักษ์พยาน
พยานบอกเลา่ พยานชั้นที่ 1 พยานชน้ั ท่ี 2 เปน็ ตน้
22 จรญั ภกั ดีธนากุล, กฎหมายลักษณะพยานหลกั ฐาน., พิมพ์คร้ังท่ี 15, (กรุงเทพฯ: สานกั อบรมศึกษากฎหมายแหง่ เนตบิ ณั ฑิตยสภา,
2563), 62.
23 โสภณ รัตนากร, คาอธบิ ายกฎหมายลกั ษณะพยาน, (กรุงเทพฯ: นติ ิบรรณาการ, 2545), 19.
24 อภริ ฐั บุญทอง, ค่มู อื สอบพยานหลกั ฐาน, (กรุงเทพฯ: วญิ ญชู น, 2559), 19.