The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง การกันผู้ต้องหาหรือผู้กระทำความผิดเป็นพยานในคดีพิเศษ เพื่อการพัฒนากฎหมาย (กรมสอบสวนคดีพิเศษ กองกฎหมาย)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by dr.parinya.dsi, 2023-01-10 22:16:12

รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์

รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง การกันผู้ต้องหาหรือผู้กระทำความผิดเป็นพยานในคดีพิเศษ เพื่อการพัฒนากฎหมาย (กรมสอบสวนคดีพิเศษ กองกฎหมาย)

Keywords: คดีพิเศษ, กันไว้เป็นพยาน, การสืบสวนสอบสวน

121

- เหตุแห่งความกลัวความยากลาบากหรืออันตรายท่ีเกิดจากคาให้การโดยพยานในกระบวน
ยุ ติ ธ ร ร ม ท า งอ าญ า มี สิ ท ธิ ที่ จ ะ ได้ รั บ ค ว า ม ช่ ว ย เห ลื อ ห า ก ศ า ล พิ จ าร ณ า แ ล้ ว เห็ น ว่ าคุ ณ ภ า พ ข อ ง
พยานหลักฐานจะลดน้อยลงด้วยเหตุจากความกลัวหรือความทุกข์ยากลาบากจากการที่พยาน ได้มา
เบกิ ความในคดอี าญา

ปจั จัยทศ่ี าลต้องนามาพิจารณาถึงความกลวั และความทกุ ข์ยากของพยาน ไดแ้ ก่
- สภาพและพฤตกิ ารณ์ของการกระทาความผิด
- อายุของพยาน
- สถานภาพทางสังคมพื้นฐานทางวัฒนธรรมสภาพแวดล้อมทางครอบครัวและการทางาน
ความเช่ือทางศาสนาและความเห็นทางการเมืองของพยาน
- พฤติกรรมใด ๆ ท่ีกระทาต่อพยานโดยผู้ถูกกล่าวหา สมาชิกครอบครัวหรือบุคคลใกล้ชิด
กับผู้ถูกกล่าวหาหรือบุคคลอื่นใดซ่ึงมีท่าทางว่าอาจจะเป็นผู้ถูกกล่าวหาหรือเป็นพยานในกระบวน
พจิ ารณา
อนึ่ง พยานซ่ึงเป็นผู้เสียหายในคดีเก่ียวกับเพศและพยานซึ่งเก่ียวข้องกับการดาเนินกระบวน
พิจารณาในคดีความผิดซึ่งกาหนดไว้ใน Coroner and Justice Act 2009 ส่วนใหญ่จะเป็นความผิดที่
ผู้กระทาใช้ปืนหรือมีดเป็นอาวุธพยานเหล่าน้ีถือเป็นบุคคลท่ีสมควรได้รับความคุ้มครองเว้นแต่พยาน
จะแจ้งต่อศาลว่าตนไมต่ อ้ งการไดร้ บั ความค้มุ ครอง
กระบวนการและขน้ั ตอนในการพจิ ารณาใช้มาตรการพิเศษ

(1) ค่คู วามฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงยน่ื คารอ้ งตอ่ ศาลใหม้ กี ารใช้มาตรการพิเศษ
(2) ศาลเห็นสมควรโดยยกประเดน็ ขน้ึ พจิ ารณา
คาสั่งศาลเกี่ยวกับการใช้มาตรการพิเศษจะมีผลผูกพันจนกว่ากระบวนพิจารณาจ ะส้ินสุดลง
ไมว่ า่ คดนี ้นั จะสิน้ สุดลงเพราะศาลไดม้ ีคาพิพากษาหรอื คาส่ังหรือส้ินสดุ ลงเพราะศาลยกฟอ้ ง
มาตรการพิเศษเพอื่ คมุ้ ครองชว่ ยเหลือพยานผู้สมควรไดร้ ับความคมุ้ ครองมีดังนี้
(1) การใชฉ้ ากกัน้
(2) การสบื พยานโดยการใชก้ ารถ่ายทอดทางโทรทัศนว์ งจรปิด
(3) การพจิ ารณาสบื พยานโดยลบั
(4) การใสว่ กิ และเส้อื คลุม
(5) การใชว้ ดิ ีโอเทปบันทกึ คาให้การของพยานก่อนพิจารณาคดี
(6) การซักถามพยานผา่ นทางคนกลาง
(7) การใหค้ วามชว่ ยเหลือทางการสอื่ สาร
3) มาตรการคุ้มครองพยานตาม Coroners and Justice Act 200999
The Coroners and Justice Act 2009 Part 3 Chapter 2 ได้บัญญัติมาตรการสาคัญ
ในการคุ้มครองพยานคือมาตรการปกปิดพยาน (Witness Anonymity) โดยเป็นการให้อานาจศาล
ในการดาเนินมาตรการเพ่ือปกปิดรูปพรรณสัณฐานของพยานในกระบวนพิจารณาความอาญาโดยมี
สาระสาคัญดงั น้ี

99 The Coroners and Justice Act 2009. UK Public General Acts. 2009 c.25.

122

คาสั่งปกปิดพยาน (Witness Anonymity Order) คือคาส่ังท่ีออกโดยศาลให้ใช้มาตรการ
ต่าง ๆ แก่พยานในกระบวนการทางอาญาเมื่อศาลเห็นว่ามีเหมาะสมที่ศาลจะใช้มาตรการไม่เปิดเผย
รูปพรรณสณั ฐานของพยานโดยมวี ธิ กี ารในการประกันความปลอดภยั แก่พยานดงั ต่อไปน้ี

- ช่ือหรือข้อมูลที่ระบุถึงพยานคนอื่น ๆ จะถูกห้ามมิให้เปิดเผยต่อคู่ความใด ๆ ในกระบวน
พิจารณา

- การใหพ้ ยานใช้นามแฝง
- การทีพ่ ยานจะไม่ถกู ถามคาถามท่ีจะนาไปสู่การระบุตวั พยาน
- การกนั้ หรือปิดบังพยานไว้ในขอบเขตใด ๆ
- การดัดแปลงเสียงของพยาน
ในปัจจุบันมีหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมช่ือว่า “The Protected Person Service” รับผิดชอบ
เกย่ี วกบั การใช้มาตรการคุ้มครองพยาน
3.2.2 ประเทศสหรัฐอเมริกำ
การกันผู้ร่วมกระทาผิดเป็นพยานในประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นเร่ืองความจาเป็นในทาง
นโยบายทางอาญา (criminal policy)100 เก่ียวกับการหาพยานหลักฐานและการใช้สิทธิท่ีจะไม่ให้การ
เป็นปรปักษ์ต่อตนเองในทางอาญา จึงมีทางออกในเรื่องน้ีโดยการมีกฎหมายว่าด้วยการให้ความคุ้มกัน
(Immunity Statutes) กฎหมายดังกล่าวมิได้มีผลเป็นการยกเลิกความผิดท่ีบุคคลน้ันกระทา แต่เป็น
กฎหมายท่ีให้ความม่ันใจแก่บุคคลท่ีจะไม่ถูกดาเนินคดีเน่ืองจากคาให้การของเขา ในขณะเดียวกันเป็น
การลบล้างสิทธิพยานในการอ้างสทิ ธทิ ีจ่ ะไม่ให้การเป็นปรปักษ์ต่อตนเองในทางอาญาอีกต่อไป
ก า ร ด า เนิ น ค ดี อ า ญ า ใน เร่ื อ ง ก า ร กั น ตั ว ผู้ ร่ ว ม ก ร ะ ท า ค ว า ม ผิ ด ไว้ เป็ น พ ย า น ใน ป ร ะ เท ศ
สหรัฐอเมริกาเป็นไปตามหลักทฤษฎีอรรถประโยชน์ (Utilitalian Theory) ซ่ึงมีหลักว่ากฎหมาย
ที่ดีท่ีสุดคือกฎหมายที่ทาให้สังคมมีความสุขมากท่ีสุดและเห็นว่าความชอบธรรมในการลงโทษอยู่ทผี่ ลดี
ทก่ี ารลงโทษน้ันก่อให้เกิดขึ้น การกันตวั ผู้กระทาผิดไว้เป็นพยานแม้จะมีผลทาให้ผู้กระทาความผิดหลุด
พ้นจากความรับผิดทางอาญา แต่หากคาให้การของเขาสามารถทาให้ผู้กระทาความผิดอ่ืนที่เป็นตัวการ
สาคัญ ได้รับ โทษซึ่งเม่ือพิจารณาโดยสัดส่วนแล้วส่วนของการกระทาความผิดโดยตัวการสา คัญ มี
ผลกระทบมากกว่าผทู้ ี่ถูกกันไวเ้ ป็นพยาน
การท่ีผู้ร่วมกระทาความผิดในคดีกลับตัวมาอยู่ในฐานะพยานของแผ่นดิน (witness for the
state) เขาจะได้รับความคุ้มกันโดยแลกกับคาให้การของเขาโดยปกติในกระบวนพิจารณาคดีอาญา
ผู้ต้องหาหรือจาเลยมีสิทธิท่ีจะปฏิเสธไม่ให้การใด ๆ ท่ีเป็นปรปักษ์กับตนเอง แต่ในบางมลรัฐ เช่น
รัฐนิวเจอร์ซีมีกฎหมายท่ีสามารถบังคับให้พยานให้การได้ และพยานไม่อาจปฏิเสธโดยอ้างสิทธิท่ีจะ
ไม่ให้การเป็นปรปักษ์กับตนเองได้ (privilege against self-incrimination) แต่อย่างไรก็ตาม
คาให้การหรือข้อมูลใดไม่ว่าจะได้มาโดยตรงหรือโดยอ้อมจากคาให้การท่ีถูกบังคับโดยคาสั่งศาล
ไมส่ ามารถนามาเอาผิดกบั พยานคนน้นั ได้ และหากเขาให้การเทจ็ ก็ไม่สามารถเอาผิดฐานใหก้ ารเทจ็ ได้

100 สชุ ิน ตา่ งงาม, “การกนั ผู้รว่ มกระทาผิดเปน็ พยาน”, (วทิ ยานพิ นธห์ ลักสตู รนิตศิ าสตรมหาบัณฑติ , คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิยาลัย
ธรรมศาสตร์, 2529), 58.

123

แต่คาให้การที่มาจากผูร้ ่วมกระทาความผิดที่เปลี่ยนสถานะมาเป็นพยาน การช่ังน้าหนักพยาน
ต้องใชค้ วามระมัดระวังว่าการท่ีได้รบั ความคมุ้ กันนั้นผู้เป็นพยานจะใหก้ ารในสิง่ ท่ีเป็นความจริงหรือเท็จ
การที่พยานได้รบั ความคุ้มกนั คือได้รับความคุ้มกนั ว่าเมอ่ื เขาใหก้ ารหรอื ให้ขอ้ มูลท่ีเป็นประโยชนต์ ่อศาล
แม้ข้อมูลโดยตรงหรือโดยอ้อมท่ีเขาให้การไปนั้นจะโยงมาถึงตนด้วยก็ได้รับความคุ้มครองไม่ต้องถูก
ดาเนินคดีอาญาโดยรัฐ แต่รัฐมิได้ยกเว้นการดาเนินคดีอาญาต่อพยานผู้น้ันหากปรากฏหลักฐานอื่น ๆ
นอกจากคาให้การและขอ้ มูลของพยานวา่ เขาได้กระทาความผดิ

หลักการอันเป็นที่มาของการคุ้มกันพยานของประเทศสหรัฐอเมริกา คือ หลักการไม่ให้การ
เป็นปฏิปักษ์แก่ตนเองตามรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกาแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 5 (The Fifth
Amendment) ผลจากการแก้ไขเพ่ิมเติมรัฐธรรมนญู ฉบับน้ีคือในการดาเนินคดีอาญานั้นรัฐไม่สามารถ
ที่จะบังคับให้จาเลยรับสารภาพหรือให้การใด ๆ ที่จะทาให้จาเลยต้องถูกลงโทษเพราะถือเป็นสิทธิ
มนุษยชนอย่างหน่ึงหลักการไม่ให้การเป็นปฏิปักษ์แก่ตนเองน้ันปรากฏชัดใน Miranda Right ซึ่งให้
สิทธิเต็มท่ีแก่ผู้ต้องหาท่ีจะไม่ให้การใด ๆ (Right to remain silence) หลักการดังกล่าวมิได้มีเพียงแต่ใน
ประเทศสหรัฐอเมริกาเท่าน้ันแต่ในมาตรา 13 ของกฎบัตรแห่งสิทธิและเสรีภาพในประเทศแคนาดา
และในหลายประเทศในเครอื จกั รภพ เช่น ออสเตรเลยี และนิวซแี ลนด์101

กำรได้มำซ่ึงควำมคุ้มกัน
ถา้ รัฐให้ความคุ้มกนั หลายบุคคลแก่บุคคลใดบุคคลน้ันอาจถูกบังคบั ให้เบกิ ความตอ่ ศาลได้ เช่น
ในคดี Kastigar V. United States, 406 u.s. 441 (1992) เป็นกรณีศึกษาเกี่ยวกับการให้ความคุ้มกัน
พยานจากการถกู ฟอ้ งคดีทศ่ี าลสูงสุดแห่งสหรัฐอเมริกามคี าพิพากษาวา่ “รัฐสามารถบังคบั ใหพ้ ยานเบิก
ความต่อศาลได้แม้จะขัดต่อรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 5 เรื่องเอกสิทธ์ิในการไม่ให้การเป็น
ปฏิปักษ์แก่ตนเองโดยแลกกับการได้รับความคุ้มกันจากการดาเนินคดีอาญา ดังที่ได้บัญญัติไว้ใน 18
U.S.C. มาตรา 6002 โดยการคุ้มกนั ว่าจะไม่ใช้คาเบิกความและพยานหลักฐานที่ได้มาจากคาเบิกความ
มาดาเนนิ คดีตอ่ บุคคลนน้ั ”
การกันตัวผู้กระทาความผิดไว้เป็นพยานเพื่อแลกกับการไม่ถูกดาเนินคดีต ามกฎหมายเป็น
การได้รับความคุ้มกันจากการถูกฟ้องคดีอย่างหน่ึง (Immunity from Prosecution) จากความคุ้มกัน
จากการถูกดาเนินคดีหลายประเภท เช่นความคุ้มกันของสมาชิกรัฐสภา กล่าวคือ ความคุ้มกันท่ี
รัฐธรรมนูญได้ให้แก่สมาชิกรฐั สภาท่ีไปประชมุ ตามหน้าที่โดยไม่อาจถูกจับกุมคุมขังหรือดาเนินคดีใด ๆ
ในลักษณะที่จะขัดขวางต่อการมาประชุมในช่วงเวลาใดเวลาหน่ึงหรือในระหว่างสมัยประชุม เว้นแต่
จะได้รับอนุญาตจากประธานรัฐสภาเสียก่อน แต่อย่างไรก็ตามความคุ้มกันนี้ไม่ให้ใช้บังคับแก่
การพิจารณาคดขี องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดารงตาแหนง่ ทางการเมืองทั้งนเี้ ม่อื พ้นเวลาดังกล่าว
ความคุ้มกันจะหมดไปและอาจดาเนินคดตี ่อไปได้ดงั ท่ีได้บัญญตั ไิ วใ้ นรฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พ.ศ. 2550 มาตรา 131

101อุเทน สวุ ดีกุล, “การแสวงหาพยานหลักฐานในคดพี ิเศษ : ศึกษากรณีการกันผู้รว่ มกระทาผดิ หรือผู้ตอ้ งหาไวเ้ ป็นพยาน,” (วิทยานิพนธ์
ปรญิ ญามหาบณั ฑิต, สาขาวิชานิติศาสตร์ คณะนติ ศิ าสตร์ ปรดี ี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบณั ฑิต, 2538), 64.

.

124

การกันตัวผู้กระทาความผิดไว้เป็นพยานในประเทศสหรัฐอเมริกาน้ันกระทาโดยการให้
ความคุ้มกัน (Immunity) แก่ผู้ร่วมกระทาความผิดในการดาเนินคดีอาญาในสหรัฐอเมริกามีกฎหมาย
ให้ความคุ้มกันอยู่ 2 ประเภท คือ กฎหมายท่ีให้ความคุ้มกันโดยอัตโนมัติ (Automatic Immunity)
กบั กฎหมายทใ่ี หค้ วามคุ้มครอง โดยต้องมกี ารเรยี กรอ้ ง (Claim immunity Statutes)

1. ควำมคมุ้ กนั โดยอตั โนมตั ิ
ผู้ร่วมกระทาความผิดจะได้รับความคุ้มกันตามท่ีกฎหมายบัญญัติไว้โดยกฎหมายดังกล่าว

มีบทบัญญัติบังคับให้พยานให้การภายใต้เง่ือนไขที่กาหนดไว้ในขณะเดียวกันพยานจะได้รับความ
คมุ้ ครองจากการถูกฟอ้ งร้องอนั เน่ืองมาจากคาให้การของเขา

2. ควำมคมุ้ กันทีต่ ้องมกี ำรเรียกรอ้ ง
ความคุ้มกัน ที่กฎ ห มาย บั ญ ญั ติ ไว้ว่าจ ะให้ ความคุ้มกัน ต่ อเม่ือ มีการร้องขอความคุ้มกัน

เสียก่อน เม่ือได้รับความคุ้มกันแล้วคาให้การของผู้ที่ได้รับความคุ้มกันจึงจะไม่สามารถนามาดาเนิน
คดีอาญาตอ่ เขาได้หากไม่ได้รับความคุม้ กนั ผู้ทีใ่ ห้การน้ันจะอ้างสิทธิท่จี ะไม่ให้การเป็นปฏปิ ักษต์ อ่ ตนเอง
ในทางอาญาปฏิเสธท่ีจะใหก้ ารยอ่ มทาได้

หากไม่มีกฎหมายให้ความคุ้มกันในลักษณะใดลักษณะหนึ่งดังกล่าวมาข้างต้นแล้วบุคคล
ใด ๆ ยอ่ มมสี ทิ ธิทจี่ ะไม่ให้การเปน็ ปฏปิ ักษต์ ่อตนเองในคดีอาญา

ในสหรัฐอเมริการัฐต่าง ๆ มีอานาจในการกาหนดบทบัญญัติของกฎหมายวิธีพิจารณาความ
อาญาของตนเองจึงอาจเลือกที่จะกาหนดบทบัญญัติของกฎหมายลักษณะหนึ่งลักษณะใดในสองรูปแบบ
ข้างต้น ก่อนปี 1970 รัฐต่าง ๆ ได้ออกกฎหมายประเภทที่ความคุ้มครองต้องมีการเรียกร้องไม่ต่ากว่า 50
ฉบับ อาจกล่าวได้ว่าเกือบทุกรัฐในอเมริกา การให้กฎหมายประเภทที่ความคุ้มครองต้องมีการเรียกร้อง
ในปี 1970 ได้เริ่มมีการออกกฎหมายของสหรัฐกาหนดหลักเกณฑ์การให้ความคุ้มกันของสหรัฐ (Federal
Immunity Statute) ไว้ใน Witness Immunity Act ในปี ค.ศ.1970 ในช่วงเวลาดังกล่าวมีการเรียกร้อง
ให้รัฐตา่ ง ๆ กาหนดหลกั เกณฑ์การให้ความคุ้มกันในลักษณะเดียวกับหลักเกณฑ์ของสหรัฐ

ขอบเขตของควำมคมุ้ กนั 102
ความคุ้มกันตาม 18 United States Code มาตรา 6002 และ 6003 เป็นหลักเกณฑ์การกัน
พยานจากการถูกดาเนินคดีอาญาโดยคาเบิกความหรือข้อมูลข่าวสารท่ีพยานให้ตามคาสั่งตามกฎหมาย
ฉบับนี้ไม่อาจใชด้ าเนินคดีอาญากบั ตัวพยานเองเพราะคาให้การหรือข้อมูลข่าวสารนั้นมีเนื้อหาที่อาจแสดง
ถึงการกระทาความผิดอาญาของพยานในคาเบิกความหรือข้อมูลข่าวสารนั้น แต่พยานอาจถูกดาเนิน
คดอี าญาได้ หากการกระทาของพยานเป็นการให้ข้อมูลขา่ วสารทผ่ี ิดกฎหมาย (False Statement) ไดแ้ ก่
การเบิกความเท็จ กล่าวคือ เม่ือพยานได้รับความคุ้มกันแล้ว หากพยานเบิกความเท็จในการเป็นพยาน
ตามมาตรา 6002 พยานจะไม่ได้รับความคุ้มกันในความผิดฐานเบิกความเท็จที่กระทาข้ึนในการ
เบิกความนั้นการไม่ปฏิบัติตามคาสั่งเมื่อพยานได้รับความคุ้มครองแล้วพยานไม่ยอมให้การตามคาสั่ง
ตามมาตรา 6002 พยานจะไม่ได้รับความคุ้มกันในความผิดฐานไม่ปฏิบัติตามคาส่ังท่ีพยานกระทา
โดยไมป่ ฏิบตั ติ ามคาส่งั น้ัน

102 อุดมชัย โลหณุต, “มาตรการทางกฎหมายในการคุ้มครองสิทธิ ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ต่อผู้กระทาความผิดท่ีให้ข้อมูลท่ี
สาคญั และเปน็ ประโยชน์ ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522,” (วิทยานิพนธ์ปรญิ ญามหาบัณฑิต, สาขาวิชานติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั
ธุรกจิ บัณฑติ ย,์ 2552), 139.

125

ขอ้ พิจำรณำของพนักงำนอัยกำรและพยำนในกำรกนั ตัวผูก้ ระทำควำมผิดไว้เป็นพยำน
ในการตัดสินใจของพนักงานอัยการในการให้ความคุ้มกันและการตัดสินใจของพยานในการ
เบกิ ความนนั้ ประกอบด้วยข้อพิจารณาทแี่ ตกตา่ งกนั ดังนี้
1) ข้อพิจารณาของพยาน การท่ีพยานเบิกความเป็นพยานนั้นอาจจะต้องกังวลในผลกระทบ
ทจ่ี ะติดตามมาหลายประการ แม้จะได้รับความคมุ้ กันจากการถกู ดาเนนิ คดีอาญาแลว้ เชน่

ก. กังวลจากการถูกดาเนินคดีอื่นเช่นคดีแพ่งหรือคดีภาษีอากรหรือคดีอ่ืนที่อยู่นอก
ขอบเขตของการคุม้ กันดงั ท่ีไดย้ กตัวอย่างมาแลว้ หากพยานได้รับการกนั ไว้เป็นพยานจากข้อหาเล็กน้อย
ที่พยานถูกกลา่ วหาพยานน่าจะไมเ่ ต็มใจทจ่ี ะเบกิ ความเป็นพยานให้รฐั

ข. การถูกข่มขู่ในหลายกรณีของคดีท่ีเกิดจากการกระทาขององค์กรอาชญากรรมหรือ
ผู้ที่มีอิทธิพลมักจะมีการข่มขู่พยานอยู่เสมอแม้พยานอยากจะให้ความร่วมมือแก่เจ้าหน้าที่รัฐ แต่หาก
ถูกข่มขู่ โดยองคก์ รอาชญากรรมกอ็ าจทาให้พยานไม่เตม็ ใจเบกิ ความเปน็ พยานแกร่ ฐั

ค. กรณีที่พยานอยากให้ความร่วมมือกับรัฐ แต่ก็กังวลท่ีจะต้องเบิกความในทางร้ายแก่
ผู้รว่ มงานญาติ กรณีเชน่ น้ี จะทาให้พยานไมเ่ ตม็ ใจในการเป็นพยานใหแ้ กร่ ัฐ

ง. บุคคลธรรมดาต้องการรักษาภาพลักษณ์ว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์หากมีการกันบุคคลนั้นไว้
เปน็ พยาน ภาพลักษณข์ องเขาก็จะเสียหายและอาจไม่เต็มใจในการเปน็ พยานให้รฐั

ความกังวลในผลกระทบดังกล่าวอาจทาให้พยานไม่อยากท่ีจะไปให้การเป็นพย านแก่รัฐ
แม้มีการบังคับให้ให้การโดยให้ความคุ้มกันจากการถูกดาเนินคดีอาญา ความไม่เต็มใจดังกล่าวอาจ
ส่งผลต่อคาเบิกความของพยานได้ ดังนั้น ในการกันตัวบุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหาไว้เป็นพยานโดยเฉพาะ
ในคดีคอร์รัปชันท่ีกระทาโดยผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองหรือผู้บริหารระดับสู งที่มีอิทธิพลเข้ามา
เก่ียวข้อง รัฐควรมีมาตรการอื่น ๆ เข้ามาเสริม เช่น การคุ้มครองพยาน หรือการให้รางวัลตอบแทน
อย่างไรก็ตาม พยานส่วนมากต้องการความคุ้มกันจากการดาเนินคดีอาญา เพราะพยานเป็นผู้ร่วม
กระทาความผิด และต้องการหลุดพน้ จากคดอี าญาของตน

2) ข้อพิจารณาของพนักงานอัยการในการกันตัวผู้ร่วมกระทาความผิดไว้เป็นพยานโดยที่
พนักงานอัยการมีหน้าที่รักษาผลประโยชน์สาธารณะ การจะให้ความคุ้มกันแก่บุคคลใดน้ันพนักงาน
อัยการจาต้องพิจารณาว่าคุ้มกับประโยชน์สาธารณะหรือไม่ ข้อพิจารณาของพนักงานอัยการแต่ละคน
อาจแตกต่างกันออกไปในที่น้ีจะยกตัวอย่างข้อพิจารณาของพนักงานอัยการตามแนวทางของแผนก
คดีอาญารฐั นวิ เจอรซ์ ่ี ทีม่ คี วามโดยสรปุ ดังน้ี

ก. สามารถหาข้อมูลข่าวสารจากแหล่งอ่ืนได้ดีกว่าพยานท่ีพยายามเจรจาขอรับความคุ้มครอง
หรอื ไม่

ข. ข้อมลู ขา่ วสารที่พยานพยายามเจรจามีประโยชนอ์ ย่างไรเพยี งใด
ค. นา่ เช่ือวา่ พยานนั้นจะทาใหด้ าเนนิ คดไี ด้สาเรจ็ หรือไม่
ง. มีอะไรทแี่ สดงว่าพยานมีความสมั พนั ธก์ ับการกระทาความผิดบา้ ง
จ. พยานที่ขอรับความคุ้มกันมีสัดส่วนการกระทาความผิดเมื่อเทียบกับผู้กระทาความผิด
อ่นื อยา่ งไร
ฉ. คุณคา่ คาเบกิ ความของพยานในคดี
ช. ผลกระทบของการให้ความคุ้มกันต่อความเชื่อถือในตัวพยานของการพิจารณาคดีของ
ศาลเป็นอย่างไรการใหป้ ระโยชนแ์ ก่พยานมากเกนิ ไปลกู ขุนจะยอมรับพยานหรือไม่

126

ซ. ผลกระทบของการให้ความคุ้มกันต่อความน่าเช่ือถือของพนักงานอัยการและสานักงาน
อยั การเชน่ หากให้ประโยชนแ์ กผ่ ู้ทีส่ ังคมเกลียดชงั มาก ๆ ภาพพจน์ของสานักงานอยั การจะเสยี หาย

เม่ือพ นั กงาน อั ย การพิ จ ารณ าถึงผ ล ดี แล ะผ ล เสี ย จ ากก าร กัน ตั วผู้ กระท าคว ามผิ ด ผู้ น้ั น ไว้
เป็นพยานแล้วจึงทาคาร้องขอต่อศาลให้กันบุคคลน้ันไว้เป็นพยานในการพิจารณาของศาลแม้
มาตรา 6002 จะใหอ้ านาจศาลในการพิจารณา แตใ่ นทางปฏิบตั ิสว่ นใหญศ่ าลจะไมป่ ฏเิ สธข้อเสนอของ
พนักงาน อัยการน อกจากน้ี ในทางปฏิบัติห ากพนั กงาน อัยการ จะเสน อขอให้ ความคุ้มกัน แก่ พ ยาน
มักจะมีความคุ้มกันอย่างไม่เป็นทางการ ก่อนเข้าสู่การพิจารณาของศาลโดยมีการรับรองความตกลง
ให้ความคมุ้ กัน ดังน้ี

- ทาหนังสือรับรองความคุม้ กัน (letter of immunity)
- ข้อตกลงไม่ดาเนินคดหี รอื ไม่ฟ้องคดี (a promise not to prosecute or indict)
- ความตกลงต่อรองคารับสารภาพ (plea bargaining agreement)
ผลของกำรให้ควำมคมุ้ กนั
เม่ือพยานได้รับความคุ้มกันแล้วหน่วยงานของรัฐอาจเรียกให้พยานให้การโดยพยานไม่สามารถ
อา้ งสทิ ธิในการไม่ให้การเป็นปฏิปักษ์ตอ่ ตนเองในทางอาญาตามบทบัญญัติแห่ง The Fifth Amendment
ได้อีกต่อไป แม้จะได้รับความคุ้มกันแล้วพยานอาจไม่ยอมเบิกความหรือให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่รัฐ
เนื่องจากเกรงกลัวผลกระทบท่ีจะเกิดข้ึนต่อตนเองนอกจากการไม่ต้องถูกดาเนินคดีอาญาในข้อหาท่ีตน
ได้รบั ความคุม้ กันศาลสหรัฐเคยวางหลักยอมรับการไมย่ อมเบิกความหรือให้ข้อมูลของพยาน ดงั น้ี
1. ในกรณีรกั ษาความลบั ในการพิจารณาคดขี องลูกขุนใหญ่ไม่เพยี งพอการเบิกความของพยาน
ที่ได้รับความคุ้มกันต้องทาเป็นการลับเน่ืองจากต้องให้ความคุ้มครองแก่พยานที่ไม่ถูกข่มขู่ถูก คุกคาม
จากจาเลยซ่ึงเป็นผู้ท่ีจะได้รับผลร้ายจากคาเบิกความของพยานกรณี เช่นนี้หากรักษาความลับใน การ
พจิ ารณาของคณะลกู ขุนใหญไ่ ม่เพยี งพอพยานจะปฏเิ สธทีจ่ ะเบิกความกไ็ ด้
2. พยานถูกติดตามด้วยส่ืออิเล็กทรอนิกส์ (electronic surveillance) ซึ่งมีคดีระหว่าง Gelbard
v.United States ในปี ค.ศ.1972 พยานท่ีได้รับความคุ้มกันถูกติดตามด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยมิชอบ
ด้วยกฎหมายจึงไม่ยอมเบิกความเป็นพยานการติดตามดังกล่าวอาจสร้างความกังวลหวาดกลัวให้แก่พยาน
ศาลจึงพิพากษาโดยมีส่วนหน่ึงของคาพิพากษาสรุปได้ว่าพยานที่ได้รับความคุ้มกันอาจอ้างเหตุที่ตนถูก
ติดตามดว้ ยสอ่ื อิเลก็ ทรอนิกส์ต่อศาลในการพจิ ารณาความผดิ ฐานละเมดิ อานาจศาลท่ีไม่ยอมเบิกความได้
3. ความกลัวมากกว่าความหวาดหวั่นในอันตรายที่มากกว่าธรรมดา (more than a general
apprehension of danger) ศาลได้ใช้วลีนี้เป็นมาตรฐานของความกลัวท่ีอาจอ้างได้ในการปฏิเสธ
ท่ีจะเบิกความ หรือให้ข้อมูลขา่ วสารท้ังทไี่ ด้รับความคุ้มกันแลว้ ดงั ปรากฏในคาพิพากษาของคดีระหวา่ ง
United States V. Housand
เหตุอ่ืนนอกจากเหตุสามประการน้ีไม่อาจอ้างข้ึนเพ่ือปฏิเสธท่ีจะเบิกความเป็นพยาน
ท้ังที่ได้รับความคุ้มกันแล้วได้เคยปรากฏการอ้างเหตุปฏิเสธท่ีจะให้การหลายอย่าง เช่น กลัวการถูก
ดาเนินคดี กลวั การถูกพิจารณาในศาล เปน็ ต้น ความกลวั เหลา่ นฟ้ี ังไม่ขน้ึ
หากพยานปฏิเสธที่จะให้การพยานอาจถูกดาเนินคดไี ดท้ ั้งทางอาญาและทางแพ่ง แต่สว่ นใหญ่
แล้วไม่ค่อยมีการดาเนินคดีในทางแพ่งคดีอาญาที่พยานจะถูกดาเนินคดี ได้แก่ คดีความผิดฐานละเมิด
อานาจศาล ที่ไม่ยอมตอบคาถามและพยานจะถูกดาเนินคดีในคดีที่ตนได้รับความคุ้มกันด้วยโดยถือว่า
พยานสละสทิ ธิท์ จี่ ะใชค้ วามคุ้มกันในคดเี ดมิ ซ่ึงตนได้รับการกนั ตวั ไว้เป็นพยาน

127

3.2.3 ประเทศสหพนั ธ์สำธำรณรฐั เยอรมนี
ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีใช้หลักการดาเนินคดีตามกฎหมาย เจ้าหน้าที่รัฐ

มีหน้าที่อานวยความยุติธรรมแก่บุคคลโดยเสมอกัน พนักงานอัยการต้องฟ้องทุกคดีที่มีพยานหลักฐาน
เพียงพออย่างไรก็ตามมาตรา 4 ของ Principal Witness Act ได้ให้อานาจอัยการสูงสุดโดยความ
เห็นชอบของศาลยกเวน้ การดาเนนิ คดีไดด้ ังน1ี้ 03

หากผู้กระทาความผิดหรือผู้มีส่วนร่วมในความผิดอาญาฐานก่อการร้าย (มาตรา 129
ของประมวลกฎหมายของเยอรมนี) หรือในความผิดที่เกี่ยวข้องกับความผิดเช่นว่า โดยตัวของเขาเอง
หรือโดยมีบุคคลที่สามเป็นตัวกลางเปิดเผยข้อเท็จจริงท่ีอยู่ในความรับร้ขู องเราต่อหน่วยงานที่มีอานาจ
ในการดาเนนิ คดอี าญาในลกั ษณะดังตอ่ ไปน้ี

1. เพอื่ ป้องกนั การกระทาความผดิ นั้น
2. ให้การสนับสนุนต่อการสืบสวนความผิดอาญาท่ีเขาเข้าไปเกี่ยวข้องหลังจากท่ีเขา
เข้าไปมีส่วนร่วมในการกระทาความผดิ
3. นาจบั ผูก้ ระทาความผิดหรอื ผู้ท่เี กย่ี วขอ้ งกบั การกระทาความผิดนั้น
อัยการสูงสุดแห่งสหพันธ์โดยความเห็นชอบของศาลยุติธรรมทางอาญาของสห พันธ์
อาจยกเว้นการดาเนินคดี หากนัยยะที่ผู้กระทาความผิดหรือเก่ียวข้องกับการกระทาความผิดเปิดเผย
เป็นรายละเอียด ท่ีสามารถเชื่อมโยงกับการป้องกันอาชญากรรมในอนาคตและอาชญากรรมดังกล่าว
มคี วามสมั พันธ์กบั การกระทาความผิดของผู้กระทาความผดิ ที่เปดิ เผยข้อเท็จจรงิ น้ัน
นอกจากการก่อการร้ายแล้ว มาตรา 5 ของกฎหมายดังกล่าวยังได้ขยายการบังคับใช้
มาตรา 4 ใหร้ วมถึงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 129 ซง่ึ เป็นความผดิ เกีย่ วกับการจัดต้ัง
องค์กร ความผิดที่สามารถลงโทษจาคุกข้ันต่าหนึ่งปีได้ และครอบคลุมถึงการเปิดเผยข้อเท็จจริงของ
องคก์ รที่มีวัตถปุ ระสงคเ์ พอ่ื กระทาความผิดที่อาจถกู ริบทรัพย์สิน ความว่า
มาตรา 4 ของกฎหมายฉบับน้ีให้บังคับใช้โดยอนุโลมกับการเปิดเผยข้อเท็จจริงของ
ผู้กระทาความผิดหรือผู้มีส่วนเก่ียวข้องกับการกระทาความผิดตามมาตรา 129 ของประมวลกฎหมาย
อาญาหรือความผิดที่สามารถลงโทษจาคุกข้ันต่าหน่ึงปีได้หรือขององค์กรท่ีมีวัตถุประสงค์เพื่อกระทา
ความผดิ ทอ่ี าจถกู ริบทรพั ย์สนิ (ตามมาตรา 73 ของประมวลกฎหมายอาญาได้)
3.2.4 ประเทศอนิ โดนเี ซีย
ประเทศอินโดนีเซียมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐ มีประธานาธิบดี
เป็นประมุขและทาหน้าท่ีปกครองประเทศ ซึ่งหากจะมองจากอดีตของวิวัฒนาการของกฎหมายอาญา
ของอินโดนีเซีย ในปัจจุบันน้ันมีอิทธิพลมาจากกฎหมายของชาวดัตช์นับตั้งแต่เนเธอร์แลนด์
ปกครองอินโดนเี ซีย
ระบบศำลของอินโดนเี ซยี
ในประเทศอินโดนีเซียมีศาลแบ่งออกเป็นส่ีสาขาตามบทบัญญัติธรรมนูญศาลยุติธรรม
ปี 1970 (the Basic Law on Judicial Power 1970) ดังนี้

103 อุเทน สุวดกี ลุ , “การแสวงหาพยานหลักฐานในคดีพเิ ศษ : ศึกษากรณีการกันผูร้ ่วมกระทาผิดหรอื ผู้ตอ้ งหาไวเ้ ปน็ พยาน,” (วิทยานิพนธ์
ปรญิ ญามหาบัณฑิต, สาขาวิชานติ ิศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ ปรดี ี พนมยงค์ มหาวทิ ยาลัยธรุ กิจบัณฑติ ย์, 2556), 76.

128

1. ศาลยตุ ิธรรมท่วั ไป (general court)
2. ศาลศาสนา (religious court (Pengadilan Agama)
3. ศาลทหาร (military court) และ
4. ศาลปกครอง (administrative court)
ประเทศอินโดนีเซีย เคยเป็นประเทศในอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์ จึงทาให้
กระบวนการต่าง ๆในทางอาญาและกฎหมายอื่นใช้รูปแบบและหลักการมาจากกฎหมายชาวดัตช์
แม้ว่าในอดีตเคยแบ่งแยกให้กฎหมายประเภทหน่ึงใช้กับคนท้องถิ่นและกฎหมายอีกประเภทหน่ึง
ใช้กับชาวต่างชาติ แต่ต่อมามีการทาให้กฎหมายมีรูปแบบเป็นแบบเดียวกัน หลักการในการคุ้มครอง
สิทธิเสรีภาพของประชาชนชาวอนิ โดนีเซยี น้ีก็มีหลกั เกณฑก์ ารสันนษิ ฐานไวก้ ่อนวา่ ผ้ถู ูกกลา่ วหาบรสิ ุทธ์ิ
จนกว่าจะได้รับการพิสูจน์ดังนั้นจึงมีผลให้อัยการเป็นผู้พิสูจน์ข้อกล่าวหาว่าจาเลยหรือผู้ต้ องหาน้ัน
กระทาความผดิ ตามฟอ้ งจริง โดยอัยการมีสิทธิที่จะนาพยานหลักฐานทั้งหลายมาเบิกความต่อหน้าศาล
เพ่ือพิสูจน์ความผิดของจาเลย และในทางเดียวกันจาเลยก็มีสิทธิท่ีจะนาพยานหลักฐานของตน
มาเบิกความเพ่ือสนับสนุนความบริสุทธ์ิของตนเช่นกัน และนอกจากคู่ความท้ังสองแล้วศาลชอบ
ท่ีจะเรียกพยานหลักฐานอ่ืนใดนอกจากท่ีคู่ความทั้งสองได้นาเสนอแล้วมาให้การเพิ่มเติมได้อันเป็น
ลักษณะเฉพาะของระบบไตส่ วนในประเทศท่ีใชร้ ะบบกฎหมาย Civil Law104
ส่วนหลัก “ผลของต้นไม้มีพิษ” กฎหมายกาหนดให้มีการขอหมายค้นต่อศาลหรือ
การออกหมายจับและการแจ้งสิทธิต่าง ๆ หากเจ้าหน้าท่ีงดเว้นไม่ปฏิบัติตามที่กฎหมายกาหนดแล้ว
ผลคือพยานหลักฐานหรือการสอบสวนนั้น ๆ ไม่อาจรับฟังได้ในช้ันศาล จากการศึกษากระบวนการ
สืบสวนสอบสวนของประเทศอินโดนีเซียเห็นได้ว่าสิทธิของผู้ต้องหาที่จะมีองค์กรอ่ืนเข้ามาตรวจสอบ
ถ่วงดุลอานาจของเจ้าพนักงานสอบสวนก็แต่เฉพาะในเร่ืองที่เก่ียวกับเสรีภาพของผู้ต้องหาเท่านั้น
ซ่ึงดูจากบทบาทของเจ้าพนักงานในกระบวนการสอบสวนแล้ว ดูเหมือนจะมุ่งเน้นไปยังการรวบรวม
พยานหลักฐานเพื่อให้เพียงพอที่จะพิสูจน์ความผิดของจาเลยนั้น อย่างไรก็ดี การที่อินโดนีเซียใช้
ระบบไต่สวนแบบประเทศที่ใช้ระบบกฎหมาย Civil Law น้ัน เป็นการประกันถึงสิทธิของคู่ความ
ทจ่ี ะได้รบั การพิจารณาอยา่ งเป็นธรรมและได้รบั โอกาสในการต่อส้คู ดีอย่างเต็มที่
หลักเกณฑ์กำรกันตัวบุคคลไวเ้ ป็นพยำนในประเทศอินโดนเี ซีย
ป ร ะ เท ศ อิ น โด นี เซี ย มี อ งค์ ก ร ป ร า บ ป ร า ม ก า ร ทุ จ ริ ต แ ห่ งช า ติ คื อ ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร
ปราบปรามการทุจริตแห่งอินโดนีเซีย (Komisi Pemberantasan Korupsi) หรือท่ีรู้จักกันในชื่อ
“KPK” ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.2003 เพ่ือวัตถุประสงค์ในการกวาดล้างปัญหาการทุจริตท่ีรุนแรงและ
หยั่งรากลึกในประเทศอินโดนีเซียโดยมีแรงกระตุ้น มาจากปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจในปี ค.ศ.1997
สมยั ประธานาธบิ ดี Soeharto
“KPK” จัดตั้งขึ้นภายใต้บังคับของกฎหมายเลขท่ี 30 ปี 2002 แต่ก่อนนี้ประเทศ
อินโดนีเซียมีเพยี งองคก์ รตารวจและอัยการเท่านั้นที่ดูแลคดเี ก่ยี วกับการทุจริตซ่ึงไม่ประสบความสาเร็จ
เท่าท่ีควรเพราะได้ให้ความสาคัญกับการบังคับใช้กฎหมายเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีมาตรการในการ
ปอ้ งกนั การทจุ ริต (Prevention)

104 ฐานิสรา พาหะมาก, “พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม
(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 ศึกษากรณีการนามาตรการกันตัวบุคคลเป็นพยานมาบังคับใช้,” ( วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, สาขาวิชา
นติ ศิ าสตร์ คณะนติ ิศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2555), 102.

129

นอกจากที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ประเทศอินโดนีเซียมีการประกาศใช้กฎหมายในการ
ปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจริต ได้แก่

1) Law of Corruption Criminal Act (TIPIKOR)
2) Law of Court of Corruption Criminal Act
กฎหมายฉบบั น้จี าแนกความผิดเก่ียวกับการทุจริตออกเป็น 7 ประเภท ได้แก่
- การรบั สนิ บน
- การบั ของขวญั
- การยกั ยอกโดยอาศัยตาแหน่งทางราชการ
- การกรรโชก ขู่เข็ญเอาทรพั ย์
- การกระทาทไี่ ม่เปน็ ธรรม
- การขดั กนั ของผลประโยชน์ส่วนรวมและสว่ นตวั
- การทาให้รัฐเกิดความสญู เสียทางการเงนิ
รัฐบาลแห่งประเทศอินโดนีเซียได้ลงนามให้สัตยาบันเพื่อรับรองการปฏิบัติตามอนุสัญญา
สหประชาชาติ ว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 (United Nations Convention against
Corruption 2003 : UNCAC) เม่ือ ค.ศ.2011 และยังได้ตระหนักถึงความสาคัญของการต่อต้านการ
ทุจริตทั้งในภาครัฐและเอกชนโดยมี KPK เป็นหน่วยงานหลักในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานอื่น ๆ ท่ีส่งเสริม และสนับสนุนการป้องกันและปราบปรามการทุจริตใน
ประเทศอินโดนเี ซยี ได้แก่
1) The Financial Transaction Analysis and Report Center (PPATK)
2) The Witness and Victim Protection Agency (LPSK)
อีกทั้งยังมีคาส่ังของประธานาธิบดีว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (Inpre
5/2004) และแผนปฏิบัติการแห่งชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (National Action
Plan for Corruption Prevention and Eradication)
ใน ส่ ว น ข อ งก ารกั น บุ ค ค ล เป็ น พ ย าน ป ระ เท ศ อิ น โด นี เซี ย ไม่ มี ห ลั ก ก า รกั น บุ ค ค ล
เป็นพยานโดยไม่ดาเนินคดี (Immunity from prosecution) มีแต่มาตรการลดโทษแก่ผู้ร่วมกระทา
ความผิดที่ให้การเป็นประโยชน์ต่อคดี ซ่ึงเปรียบได้กับวิธีท่ีใช้ในสานักงานข้าราชการพลเรือนของ
ประเทศไทยท่ีผู้ร่วมกระทาความผิดยังคงถูกฟ้องคดีอยู่ เพียงแต่ได้รับการลดโทษเท่านั้น เนื่องจาก
สังคมของประเทศอินโดนีเซียมีแนวความคิดท่ีสาคัญว่า ผู้ท่ีกระทาความผิดต้องได้รับโทษ ดังน้ัน
จงึ ไมย่ อมรับการกันตัวบคุ คลไว้เป็นพยานโดยผู้ท่ีกระทาผิดไมถ่ กู ฟ้องคดเี ลย
โดยประเทศอินโดนีเซียได้นาแนวทางการผ่อนผันโทษ (Leniency Program) ท่ีนานา
ประเทศ เช่นสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ใช้ในการปราบปรามการกระทาความผิด
เก่ียวกับการผูกขาดทางการค้า (Cartel) โดยนาผู้ท่ีร่วมกระทาความผิดซึ่งไม่ใช่ตัวการสาคัญมาเป็น
พยานให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพื่อนาผู้กระทาผิดรายใหญ่มาลงโทษซึ่งมุ่งคุ้มครองผู้ให้ข้อมูล และ
เบาะแสพฤติกรรมการฮ้ัวท่ีเกิดขึ้นโดยผู้ให้เบาะแสรายแรกจะไม่ต้องรับโทษหรือได้รับการลดหย่อน
โทษเพ่ือจูงใจให้ผู้ท่ีรู้ตัวว่าตนเองกาลังกระทาความผิดหรือกาลังอยู่ในขบวนการการั้วกันยอมเปิดเผย
ข้อมูลเก่ียวกับการกระทาความผิดในฐานะพยานแลกกับการได้รับ การยกเว้นโทษหรือบรรเทา
การรบั โทษ

130

ประเทศอินโดนีเซียมีมาตรการคุ้มครองพยานโดยหน่วยงานที่รับผิดชอบมีชื่อว่า
“Protection of Witness and Victim Agency” (LPSK) เป็นหน่วยงานที่มีมาตรการผู้ให้ความร่วมมือ
ในกระบวนการยุติธรรมและพยานผู้ให้ความช่วยเหลือในการปราบปรามการทุจริต Justice
Collaboration and Cooperate Witness) ซ่ึงเป็นมาตการสาคัญในการเปิดเผยการกระทาทุจริต
ของตวั การสาคญั

หลักกำรรับฟังพยำนหลกั ฐำนในประเทศอินโดนเี ซยี
หลักการรับฟังพยานหลักฐานในประเทศอินโดนีเซียมีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญาหรือท่ีเรียกเป็นภาษาบาฮาซาร์ว่า “Kitab Undang-Undang Hukam Acara
Pidana (KUHAP)” อีกท้ังยังได้บัญญัติถึงวิธีการดาเนินคดีและสิทธิของปัจเจกบุคคลในแต่ละชั้นศาล
เช่น สิทธิทางกฎหมายของผู้ต้องหาในคดีอาญาที่มีสิทธิได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมายจาก
ทนายความในทุกข้ันศาลก่อนท่ีกระบวนการสอบสวนจะเร่ิมขึ้น เจ้าหน้าท่ีตารวจต้องแจ้งสิทธิในการ
มีทนายให้แก่ผูต้ ้องหา นอกจากนี้ หากผู้ต้องหาได้รับโทษประหารชีวิตหรือจาคุก 15 ปีข้ึนไป บังคับให้
รฐั ต้องจัดหาทนายความใหถ้ า้ ผู้ต้องหาไมม่ ที นายความ
ศาลในประเทศอนิ โดนเี ซียนั้นจะรับฟงั เฉพาะพยานหลกั ฐาน 5 ประเภทนีเ้ ทา่ น้นั ไดแ้ ก่
1. คาใหก้ ารของพยาน
2. คาใหก้ ารของผู้เชี่ยวชาญ
3. พยานเอกสาร
4. การแสดงออกซึง่ อาการ
5. คาใหก้ ารของผู้ต้องหา
ในส่วนของคาให้การของพยาน ผู้พิพากษาท่ีน่ังพิจารณาจะเปรียบเทียบคาให้การพยานคน
หนึ่งกับคาให้การของพยานอีกคนหนึ่ง เพื่อค้นหาความจริง และพิจารณาถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่จะกระทบต่อ
ความน่าเช่ือถือของคาให้การ พยานที่เบิกความต่อศาลต้องสาบานตนก่อนเบิกความ อย่างไรก็ตาม
คาให้การของพยานท่ไี มไ่ ดผ้ ่านการสาบานตนกส็ ามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานประกอบได้
หลักการสาคญั ประการหน่ึงของการพิจารณาตดั สินคดีของศาลในประเทศอินโดนเี ซยี คือ การ
ท่ีศาลจะตัดสินว่าจาเลยกระทาผิดจริงตามฟ้องได้น้ัน ศาลต้องรับฟังพยานอย่างน้อย 2 ประเภท ท้ังนี้
เพอ่ื ป้องกนั ไม่ให้ผูต้ ้องหาถูกลงโทษเพียงเพราะผตู้ ้องหาสารภาพผิดตามฟ้อง
ปัญหำเกี่ยวกบั กำรรับฟังพยำนหลักฐำนของประเทศอินโดนีเซยี
1. ศาลแห่งประเทศอินโดนีเซียยอมรับฟังพยานหลักฐานเพียงแค่ 5 ประเภท คือ คาให้การ
ของพยานคาให้การของผู้ต้องหา คาให้การของผู้เชี่ยวชาญ พยานเอกสาร แล ะการแสดงออก
ซึ่งพนักงานอัยการและทนายจาเลยสามารถเสนอต่อศาลได้ ดังน้ัน ทนายจาเลยจึงไม่สามารถเสนอ
หลกั ฐานอเิ ลก็ ทรอนกิ สไ์ ด้ แม้จะสามารถพิสูจนค์ วามบรสิ ุทธิของจาเลยได้ก็ตาม
2. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของประเทศอินโดนีเซียไม่มีบทบัญญัติพิเศษ
ในการแสวงหาพยานหลักฐานในต่างประเทศจึงเป็นอุปสรรคสาคัญในการแสวงหาพยานหลั กฐาน
ในคดคี วามผดิ เกย่ี วกบั อาชญากรรมข้ามชาตแิ ละคดีการทจุ ริต
3. ประมวลกฎหมายพิจารณาความอาญาไม่มีบทบัญญัติท่ีชัดเจนเก่ียวกับการห้ามไม่ให้รับฟัง
พยานหลั กฐานที่ เกิ ดข้ึ นหรือได้ มาโดยมิ ชอบดั งน้ั นทนายความสามารถเสนอพยานหลั กฐานท่ี ได้ มา

131

จากการทรมานพยานที่ได้มาจากการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือพยานหลักฐานที่ได้มาจากการฝ่าฝืน
บทบญั ญตั ิแหง่ กฎหมาย

มำตรกำรคุ้มครองพยำนในประเทศอนิ โดนีเซยี
ประเทศอินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีลักษณะทางภูมิศาสตร์เป็นเกาะแก่ง ซึ่งส่งผลให้การ
ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมท่ีร้ายแรง โดยเฉพาะอย่างย่ิงการทุจริต เหย่ือและพยานในคดี
ถูกทารา้ ยเป็นจานวนมาก ส่งผลกระทบต่อการแสวงหาพยานหลักฐานเพ่ือนาตัวผกู้ ระทาผิดมาลงโทษ
เป็นไปด้วยความยากลาบาก จึงมีความจาเป็นอย่างยิ่งท่ีจะนามาตรการคุ้มครองพยานมาบังคับใช้
มีสาระสาคัญดงั นี้
หน่วยงานที่มีหน้าท่ีคุ้มครองพยานและเหย่ือของประเทศอินโดนีเซีย ได้แก่ Indonesia
Witness and Victim's Protection Agency ห รือที่ รู้จักกัน ใน ภ าษ าบ าฮาซาร์ว่า Lembaga
Perlindungan Saksi Dan Korban: LPSK เป็นหน่วยงานอิสระข้ึนตรงต่อประธานาธิบดีจัดตั้งขึ้น
เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2551 ตั้งอยู่ในกรุงจาการ์ต้า LPSK ดาเนินการในรูปแบบของคณะกรรมการ
ประกอบด้วย สมาชิกทั้งหมด 7 คน สมาชิกอยู่ในวาระคราวละ 5 ปี และสามารถได้รับการคัดเลือก
เข้ามาดารงตาแหน่งเดิมได้อีก 1 คร้ัง คณะกรรมการมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงต่อประธานาธิบดี
และรายงานผลการดาเนินงานต่อรัฐสภา อย่างน้อยปีละ 1 ครง้ั คณะกรรมการแต่ละคนมีหนา้ ท่ีรับผิดชอบ
ในแต่ละด้าน และมีคณะกรรมการ 2 คนรับผิดชอบด้านการคุ้มครองและการจ่ายค่าตอบแทน โดยมี
หน่วยงานของรัฐ 5 หน่วยงาน ได้แก่ สานักงานอัยการสูงสุด คณะกรรมการปราบปรามการทุจริต
ตารวจ ทหาร และศาล ทาหน้าท่ีรับผิดชอบการดาเนินงานที่เก่ียวข้องกับการคุ้มครองพยาน
และเหย่อื รวมถงึ การจ่ายเงินคา่ ตอบแทน

LPSK มีสานักงานเลขาธิการเป็นหน่วยปฏิบัติทาหน้าที่ประสานงานเพ่ือเชื่อมโยงการ
ทางานของหน่วยงานต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้การกากับดูแลของคณะกรรมการแต่ละคนให้มีความเป็ น
เอกภาพสอดประสานไปในทิศทางเดียวกันโดยมีเลขาธิการซึ่งเป็นข้าราชการพลเรือนแต่งตั้งและ
ถอดถอนโดยกระทรวงเลขาธิการแห่งรัฐ (Ministry of State Secretary) กรณีมีความจาเป็น
คณะกรรมการสามารถแตง่ ตั้งผู้แทนในแต่ละภูมิภาคของประเทศได้

LPSK เป็นสถาบันท่ีมีหน้าที่รับผิดชอบการดาเนินการให้ความคุ้มครองและช่วยเหลือ
เหยื่อและพยานในคดีอาญาทัว่ ประเทศและรฐั ในอารักขาแบ่งการดาเนนิ การออกเป็น 3 ด้าน คอื

1. การใหค้ วามคุ้มครองด้านกายภาพ อาทิ อารักขา ความปลอดภัย และตามกฎหมาย
2. การให้ความช่วยเหลือประกอบด้วยการให้คาแนะนาทางการแพทย์ จิตวิทยา สังคม
สงเคราะห์ ซึ่งจะไม่รวมถึงการให้ความช่วยเหลือด้านการเงิน ด้านการแพทย์ การดาเนินการเพ่ือให้
ไดร้ บั การปฏิบัติตามสทิ ธิ
3. การอานวยความสะดวกด้านการจ่ายเงินค่าตอบแทนตามกฎหมายและการฟ้ืนฟู
บุคคลท่ีจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ได้แก่ ผู้ให้เบาะแสในคดีคอร์รัปชัน เหย่ือผู้เสียหายซึ่งเป็น
พยาน เหยื่อซึ่งเป็นจาเลยในบางคดี พยานอื่น ๆ เช่น นักข่าว นักเคลื่อนไหวเพื่อสังคม ผู้ที่เกี่ยวข้อง
ในคดียาเสพติด ตามท่รี ะบุไว้ใน MOU (ระหวา่ ง LPSK กับหน่วยงานต่าง ๆ )
นับต้ังแต่ก่อต้ังมาจนถึงปี พ.ศ. 2553 มีผู้ย่ืนคาร้องขอเข้าโครงการคุ้มครองทั้งส้ิน 137
เร่ืองได้รับการคุ้มครองจานวน 29 เรื่องอยู่ระหว่างดาเนินการ 81 เร่ืองยกคาร้อง 27 เรื่องและ
เน่ืองจากการคุ้มครองเหย่ือและพยานเป็นเร่ืองของความสมัครใจการดาเนินการต้องได้รับการร้องขอ

132

รวมถึงการให้ข้อมูลเบิกความในช้ันศาลจาเป็นต้องได้รับคายินยอมจากเหย่ือและพยาน การพิจารณา
คาร้องจะทาการสืบเสาะแสวงหาข้อเท็จจริงเพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงของข้อมูล และจัดลาดับ
ความสาคัญของคาร้องว่า คาร้องใดมีความสาคัญ มีข้อมูลเอกสารครบถ้วน และได้ดาเนินการครบถ้วน
ตามข้นั ตอน

3.2.5 ประเทศสำธำรณรัฐฝรั่งเศส
ในประเทศสาธารณรัฐฝร่ังเศสน้ันได้แยกกระบวนวิธีพิจารณาความอาญาออกเป็น

ข้ันตอนใหญ่ ๆ สองขั้นตอน เช่นเดียวกับประเทศต่าง ๆ ในระบบประมวลกฎหมาย อาทิ ประเทศ
สหพันธรัฐเยอรมนี ประเทศตุรกี ประเทศเบลเยี่ยม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซ่ึงเป็นการดาเนินคดี
ในระบบกล่าวหา (Accusatorial System) โดยจะแบ่งขั้นตอนในการดาเนินคดีเป็น 2 ขั้นตอน คือ
ขั้นตอนก่อนฟ้องคดีอาญา และข้ันตอนหลังฟ้องคดีอาญา การแบ่งการดาเนินคดีอาญาออกเป็นสอง
ข้ันตอนนี้ก็เพ่ือมิให้ศาลเป็นผู้ใช้อานาจฝ่ายเดียวในการดาเนินคดีอาญา เช่นเดียวกับระบบไต่สวน
(Inquisitorial System)105 ดังนั้น การดาเนินคดีในระบบกล่าวหา จึงมีการแบ่งการดาเนินคดีออก
เป็น 2 ข้ันตอน โดยมีองค์กรทาหน้าท่ีแตกต่างกันไป กล่าวคือ ในขั้นตอนก่อนฟ้องคดีอาญาเป็น
ขั้นตอนการหาข้อเท็จจริงก่อนฟ้องร้อง โดยจะมีองค์กรตารวจสอบสวน และพนักงานอัยการเป็นผู้ทา
หนา้ ท่ี ส่วนข้นั ตอนหลังฟ้องคดอี าญาจะเป็นหน้าทข่ี องศาล อยา่ งไรก็ตาม ในระบบการดาเนนิ คดอี าญา
ของฝรั่งเศส ยังมีระบบผู้พิพากษาสอบสวน (judge d’ instruction) ซึ่งทาหน้าที่ในการสอบสวนคดี
ที่มีความยุ่งยากซับซ้อน แต่มีหลักสาคัญท่ีว่าผู้พิพากษาที่ทาหน้าท่ีสอบสวนในคดีใดแล้ว ก็จะทาการ
นั่งพจิ ารณาในคดเี ดยี วกนั น้ันอกี ไม่ได้ ซ่งึ เปน็ ระบบท่ใี ห้ศาลทาการตรวจสอบอานาจกันเอง

ถึงกระนั้นก็ตาม การสอบสวนของผู้พิพากษาสอบสวนในฝร่ังเศสก็ยังต้องอาศัย
ความร่วมมือ และถูกตรวจสอบอานาจโดยองค์กรอัยการด้วย เพราะเมื่อผู้พิพากษาสรุปสานวนการ
สอบสวนแล้วก็ต้องส่งสานวนการสอบสวนให้พนักงานอัยการทาการฟ้อง และดาเนินคดีต่อไปตาม
ระบบกลา่ วหา

การคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องหา ในขั้นก่อนการฟ้องคดีอาญาในประเทศสาธารณรัฐ
ฝร่ังเศสจะมีระดับความคุ้มครองท่ีแตกต่างกันออกไป เน่ืองจากการสอบสวนคดีอาญา ตามกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญาฝร่ังเศส มีองค์กรท่ีเกี่ยวข้อง 3 องค์กร คือ ตารวจสอบสวน (Police Judiciaire)
พนักงานอัยการ (Ministère Public) และผู้พิพากษาสอบสวน (Juge d'struction) ท้ังนี้ เนื่องจากการ
สอบสวนคดีอาญาในประเทศฝรั่งเศสนนั้ แบง่ ออก เป็น 3 ประเภท106 คือ

กำรสอบสวนเบืองตน้
การสอบสวนตารวจเบื้องต้นเป็นหน้าที่ของตารวจสอบสวน ซ่ึงจะทาหน้าท่ีรวบรวม
ข้อเท็จจริงต่าง ๆ เพ่ือท่ีจะทราบว่าได้มีความผิดเกิดขึ้นหรือไม่ และถ้ามีก็จะได้หาตัวผู้กระทาความผิด
ตอ่ ไป โดยการสอบสวนน้ีจะไมม่ ีลกั ษณะเป็นการบังคับผู้ถูกสอบสวน แต่จะขนึ้ อย่กู บั ความสมัครใจของ
ผู้ถูกสอบสวนเองว่าจะให้ความร่วมมือในการสอบสวนเบื้องต้นหรือไม่ ดังนั้น ความสาเร็จของการ
สอบสวนประเภทนจ้ี ึงข้นึ อยู่กับความสามารถของตารวจสอบสวนเปน็ สาคัญ

105 พจมานพจี ทวสี วา่ งผล, “การค้มุ ครองสทิ ธิและเสรีภาพของผ้ถู กู จบั กุมหรอื ผูต้ ้องหาในคดีอาญา,” วารสารวชิ าการอาชญาวิทยาและ
นิตวิ ิทยาศาสตร์ โรงเรยี นนายรอ้ ยตารวจ ปที ่ี 6 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม - ธนั วาคม 2563) : 219.
106 Bron McKillop, “Anatomy of a French Murder Case 45,” American Journal of Comparative Law 527, 1997.

133

ผลของการสอบสวนเบื้องต้น มีผลอย่างยิ่งในการดาเนินคดีอาญา เพราะจะทาให้พนักงาน
อัยการพิจารณาว่าสมควรจะดาเนินคดีอาญาต่อไปหรือไม่ โดยพนักงานอัยการจะทาการยุติเร่ืองไว้หาก
เห็นว่าการกระทาไม่เป็นความผิดอาญา หรือไม่เป็นความจริง หรืออาจส่งฟ้องต่อศาลโดยตรงได้ หากมี
พยานหลักฐานหรือผู้กระทาความผิดรับสารภาพ และหากเป็นเร่ืองท่ีมีความยุ่งยากซับซ้อน ก็อาจทา
คาร้องให้ผู้พิพากษาสอบสวนทาการสอบสวนได้ จะเห็นได้ว่าการสอบสวนของตารวจสอบสวนเป็น
การกลั่นกรองคดีในเบ้ืองต้น ทาให้คดีขึ้นสู่ศาลหรือผู้พิพากษาน้อยลงไปด้วย ในการสอบสวนเบื้องต้นนี้
ตารวจสอบสวนจะมีอานาจในการสอบสวนจากัดอย่างมาก โดยเฉพาะอานาจท่ีกระทบต่อสิทธิเสรีภาพ
ของประชาชน

เรื่องการจับ ไม่มีบทบัญญัติให้อานาจตารวจสอบสวนไว้ คงมีแต่จะกล่าวถึงเร่ืองการ
ควบคุมตัว (Gare a vue) ดังนั้น หากมีความจาเป็น ตารวจสอบสวนมีสิทธิควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย โดยมี
เหตุผลอันควรไว้ หากเห็นว่าการควบคุมตัวไว้จะมีประโยชน์ในการถามคาให้การเพ่ิมเติม หรือว่าหาก
ปล่อยตัวไปจะทาให้การสอบสวนของตารวจเสียหาย อย่างไรก็ตาม ตารวจสอบสวนจะควบคุมตัวผู้ต้อง
สงสัยไว้ได้ไม่เกิน 24 ชั่งโมงและหากมีความจาเป็นอาจขยายเวลาการควบคุมตัวไว้ได้อีกไม่เกิน 24 ชัว่ โมง
โดยต้องได้รับการอนุมัติจากพนักงานอัยการเป็นลายลักษณ์อักษร และตารวจสอบสวนจะต้องทาบันทึก
การควบคุมตัวอย่างละเอียดและเมื่อส้ินสุด 24 ชั่วโมงแล้ว ผู้ถูกจับมีสิทธิขอให้แพทย์ตรวจร่างกายได้
ทั้งนี้ ผู้ควบคุมตัวจะต้องแจ้งให้เขาทราบถึงสิทธิดังกล่าวด้วย เมื่อทาการสอบสวนเบ้ืองต้นเสร็จ ตารวจ
สอบสวนจะต้องส่งสรุปสานวนการสอบสวนพร้อมตัวผู้ต้องสงสัยนั้นแก่พนักงานอัยการ เพ่ือวินิจฉัยว่า
ควรจะมีการฟ้องร้องต่อไปหรือไม่ และการสอบสวนเบ้ืองต้นจะสิ้นสุดลงทันที หากผู้พิพากษาสอบสวน
เข้ามามีส่วนร่วมในการสอบสวน โดยตารวจสอบสวนจะมีหน้าที่สอบสวนในข้อหาที่ได้รับมอบหมายจาก
ผู้พิพากษาสอบสวนเท่านั้น

กำรสอบสวนควำมผดิ ซ่ึงหน้ำ
การสอบสวนความผิดซ่ึงหน้า ตารวจสอบสวนจะมีอานาจมากขึ้นกว่ากรณีการสอบสวน
เบื้องต้น โดยมีวิธีการที่รวบรัดเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอานาจท่ีเป็นมาตรการเชิงบังคับ (Moyen coercitifs)
ท้ังนี้ เน่ืองจากจะทาให้สามารถรวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ ซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นสด ๆ และทาให้สามารถ
พสิ จู น์ความจรงิ ไดโ้ ดยมีความผิดพลาดน้อย ตารวจสอบสวนและพนักงานอัยการจึงมีอานาจมากข้ึน
สาหรับความผิดซ่ึงหน้าน้ีจะมีได้เฉพาะแต่กรณีท่ีเป็นความผิดอุกฤษฏ์โทษ (crime) หรือ
ความผิดมัธยโทษ (delit) เท่าน้ัน เมื่อมีความผิดซ่ึงหน้าเกิดข้ึน เพื่อให้สามารถรวบรวมพยานหลักฐาน
ต่าง ๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เพื่อนาตัวผู้กระทาผิดมาลงโทษ โดยมีโอกาสผิดพลาดน้อยท่ีสุด
ประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญาฝร่ังเศส จึงได้กาหนดอานาจหน้าที่ขององคก์ รต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง
ไว้เป็นพิเศษ กล่าวคือ เมื่อตารวจสอบสวนได้ทราบถึงการกระทาความผิดซ่ึงหน้าแล้ว มีหน้าที่ต้องแจ้ง
เร่ืองไปยังพนักงานอัยการในทันที เม่ือพนักงานอัยการทราบเรื่องแล้วก็สามารถใช้ดุลพินิจได้ว่าจะไป
ควบคุมการสอบสวนด้วยตนเองหรือไม่ และตารวจสอบสวนต้องไปยังที่เกิดเหตุโดยเร็ว การท่ีตารวจ
สอบสวนมีอานาจที่เป็นมาตรการเชิงบังคับมากข้ึน เพ่ือให้ได้มาซ่ึงพยานหลักฐานต่าง ๆ ที่จะพิสูจน์
ความผดิ และหาตวั ผ้กู ระทาผดิ ใหไ้ ด้โดยเร็ว และตารวจมีอานาจหนา้ ที่ในการจบั กุม ดงั น้ี107

107 นิชฌาน หัสรังค์, ”กฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญาของไทยกับฝร่งั เศส – เปรียบเทียบในภาพรวม,” สืบค้นเมื่อ 20 มีนาคม 2563,
https://oia.coj.go.th/th/content/category/detail/id/8/cid/112/iid/120210.

134

ในกรณีที่มีการกระทาผิดซ่ึงหน้าเกิดข้ึน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ฝรั่งเศส มาตรา 73 บัญญัติให้ราษฎรมีอานาจจับตัวผู้กระทาความผิดดังกล่าวส่งให้พนักงาน
ตารวจได้ และหากตารวจสอบสวนพบการกระทาความผิดซึ่งหน้าด้วยตนเอง ก็มีอานาจจับกุมตัว
ผ้กู ระทาผิดด้วย เป็นท่ีนา่ สังเกตว่าอานาจของตารวจสอบสวนในการจับบุคคลน้ี หากเป็นการสอบสวน
เบื้องต้นแลว้ ตารวจสอบสวนไมม่ ีอานาจดงั กลา่ ว

ในส่วนอานาจควบคุมตัวบุคคลที่จะทาการสอบปากคาไว้ได้ไม่เกิน 24 ชั่วโมง แต่หาก
มีความจาเป็น ตารวจสอบสวนอาจขออนุญาตจากพนักงานอัยการขยายระยะเวลาควบคุมตัวออกไป
อีก 24 ชั่วโมง โดยต้องขออนุญาตเป็นลายลกั ษณ์อกั ษร อาทิ การควบคุมตัวบุคคลในความผิดเกี่ยวกับ
การคา้ และเสพสงิ่ เสพติด

กำรสอบสวนโดยผู้พิพำกษำสอบสวน
ในคดีต่าง ๆ หากเป็นคดีท่ียุ่งยากซับซ้อน หรือเป็นความผิดท่ีร้ายแรงแล้ว พนักงาน
อยั การอาจร้องขอใหผ้ ูพ้ ิพากษาสอบสวนเปดิ การสอบสวนซึ่งเรยี กวา่ “Isstruction” ได้
กฎหมายวิธพี ิจารณาความอาญาฝรัง่ เศส บัญญัตใิ ห้มีการสอบสวนความผิดอุกฤษฏ์โทษ
โดยผู้พิพากษาสอบสวนเสมอ (มาตรา 79) ส่วนความผิดมัธยโทษและความผิดลหุโทษ ไม่เป็นการ
บังคับว่าจะต้องสอบสวนโดยผู้พิพากษาสอบสวน คาร้องของพนักงานอัยการ (requisitoire) เป็น
เง่ือนไขให้อานาจแกผ่ ู้พิพากษาสอบสวน นอกจากนั้น หากเป็นความผิดอุกฤษฏ์โทษ และความผิดมัธย
โทษแล้ว กฎหมายยังบัญญัติให้ผู้เสียหายมีโอกาสร้องขอโดยตรงต่อผู้พิพากษาสอบสวน ให้เปิดการ
สอบสวนได้ เม่ือผู้พพิ ากษาเปิดการสอบสวนแล้ว ผู้พพิ ากษาสอบสวน (Juge d’instruction) มีอานาจ
ในการสอบสวนบางประการที่อาจมีผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องหาอย่างมาก อานาจของ
ผู้พิพากษาสอบสวนดังกล่าวดาเนินไปตามหลัก “การดาเนินคดีแบบไตส่ วน” (procedure inquistoire)
กล่าวคือ การสอบสวนต้องมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นการทาโดยไม่เปิดเผย และไม่มี
การเผชิญพยาน108
ประเทศสาธารณรัฐฝร่ังเศส ได้สร้างระบบผู้พิพากษาสอบสวนขึ้นมาก็เพื่อจุดประสงค์
จะให้การสอบสวนใดท่ียุ่งยากซับซ้อน ได้กระทาโดยบุคคลท่ีมีความชานาญ ทั้งในด้านตัวบทกฎหมาย
และเป็นบุคคลที่มีความสามารถที่จะหาสาเหตุของการกระทาความผิดก่อนท่ีจะนาคดีไปสู่ศาล
เพื่อตัดสินคดี แต่เดิมผู้พิพากษาสอบสวนมีสถานะเป็นผู้บังคับบัญชาของตารวจสอบสวน ซึ่งมีหน้าท่ี
เฉพาะค้นหาและรวบรวมพยานหลักฐานเท่านั้น และตกอยู่ภายใต้การควบคุมของอธิบดีอัยการ
ศาลอุทธรณ์ โดยอัยการจะเป็นผู้กาหนดว่า ผู้พิพากษาคนใดจะรับผิดชอบในการสอบสวนเรื่องใด
และพนักงานอัยการอาจถอนอานาจให้ผู้พิพากษาสอบสวนคนอ่ืนได้เสมอ ทาให้ผู้พิพากษาสอบสวน
อย่ภู ายใตอ้ านาจของพนักงานอยั การ
ระบบดังกล่าวได้ยกเลิกไป เม่ือประกาศใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ฉบับปัจจุบัน เม่ือปี ค.ศ.1958 โดยในปัจจุบันน้ีผู้พิพากษาสอบสวนเป็นผู้ได้รับการแต่งตั้งจาก
ประธานาธิบดี ตามข้อเสนอของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และด้วยความเห็นชอบของ
คณะกรรมการตุลาการ ทั้งนี้ ผู้พิพากษาสอบสวน จะเป็นผู้พิพากษาระดับศาลชั้นต้น (มาตรา 50 c.p.p.)

108 อุทยั อาทิเวช, “รวมบทความกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาฝร่งั เศส,” พมิ พ์คร้ังที่ 1 (กรุงเทพฯ : ว.ี เจ.พร้ินตง้ิ , 2556), 123.

135

แต่มีข้อจากัดว่า ผู้พิพากษาที่ทาหน้าที่สอบสวนในคดีใดแล้วจะทาหน้าท่ีเป็นผู้พิพากษาตัดสินในคดีนั้น
อีกไม่ได้ (principle of incompatibility) แม้ว่าผู้พิพากษาสอบสวนจะมีความเป็นอิสระในการสอบสวน
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาฝรั่งเศสได้กาหนดวิธกี ารคานอานาจโดยพนักงานอยั การ
ไว้ด้วยว่า ผู้พิพากษาสอบสวนจะมีอานาจสอบสวนก็ต่อเมื่อพนักงานอัยการขอให้สอบสวนเท่าน้ัน
แม้จะเป็นกรณีความผิดซ่ึงหน้าก็ตาม นอกจากนี้ ผู้เสียหายในคดีอาญาอาจมีส่วนให้ผู้พิพากษา
สอบสวนทาการสอบสวนได้โดยการย่ืนคาร้องขอเป็นคู่ความทางแพ่งต่อผู้พิพากษาสอบสวน และ
ผู้พิพากษาสอบสวนจะส่งคาร้องนี้ไปยังพนักงานอัยการ เพ่ือให้พนักงานอัยการขอให้ผู้พิพากษา
สอบสวนเปดิ การสอบสวนได้

เมื่อผ้พู พิ ากษาสอบสวนเปิดการสอบสวนแล้ว จะมีอานาจสอบสวนอย่างกว้างขวางมาก
เนื่องจากผู้พิพากษาสอบสวนมีสถานะเป็นตุลาการ ซึ่งถือว่าเป็นผู้ให้หลักประกันสิทธิเสรีภาพ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอานาจสอบสวนของผู้พิพากษาสอบสวนเป็นอานาจสอบสวนในการกระทาของ
ผู้ต้องสงสัยได้ และมีอานาจจับผู้นั้นได้ด้วย ตามมาตรา 163 – b วรรค 1 นอกจากน้ี พนักงานอัยการ
หรือตารวจยังมีอานาจจับกุมบุคคลบางคนไว้ได้ หากเขาสามารถให้ความกระจ่างแก่ความผิดที่เกิด
ข้นึ ได้ (มาตรา 163 – b วรรค 2)

ระยะเวลาในการจับช่ัวคราวนั้น ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 127 StPO นั้น บุคคลท่ีถูกจับ
ไว้ช่ัวคราวน้ันหากยังไม่ได้รับการปล่อยตัวจะต้องถูกนาไปยังผู้พิพากษาโดยเร็ว และอย่างช้าท่ีสุด
ในวันรุ่งขึ้นตามมาตรา 128 วรรค 1 ในกรณีการจับโดยพนักงานอัยการหรือตารวจตามมาตรา
163 – b6 กาหนดระยะเวลาในการจับนั้นจะจับได้แต่เฉพาะเพื่อให้ทราบช่ือท่ีอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม
จะต้องไม่เกิน 12 ช่ัวโมง (มาตรา 163 – b วรรค 3) หลังจากนั้นจะต้องนาตัวส่งผู้พิพากษา เว้นแต่
ได้รบั อนญุ าตจากผ้พู ิพากษาให้สามารถจบั ไว้ได้นานกวา่ น้นั

การออกหมายจับและการขังช่ัวคราว การออกหมายจับตามกฎหมายวิธีพิจารณาความ
อาญาฝร่ังเศสน้ันมีวัตถุประสงค์เพ่ือให้ได้ตัวมาขังไว้ช่ัวคราว ซ่ึงเป็นการกระทาที่กระทบต่อเสรีภาพ
ของผู้ต้องหาเป็นอย่างย่ิง เพราะผู้ต้องหาถูกจากัดเสรีภาพก่อนมีคาพิพากษา อันเป็นการขัดต่อหลัก
สันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธ์ิจนกว่าจะมีคาพิพากษา หมายจับน้ันให้ออกโดย ผู้พิพากษาสอบสวน
(มาตรา 114 วรรค 1) และผู้มีอานาจในการสั่งขังช่ัวคราว ได้แก่ ผู้พิพากษาทั้งในกรณีการจับช่ัวคราว
ตามมาตรา 127 และ 12 หรือในกรณมี กี ารออกหมายจับ (มาตรา 115, 115 – a)

3.2.6 ประเทศญีป่ นุ่
ในอดีตหลักประกันสิทธิพลเมืองญ่ีปุ่นได้รับการรับรองโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับ

ปี ค.ศ.1890 กฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีหลักการท่ีสาคัญคือการปกครองประเทศโดยอาศัย
หลักนิติธรรม (Rule of Law) รัฐบาลจะต้องมาจากผู้แทนของประชาชน รัฐธรรมนูญได้แบ่งแยก
อานาจออกเป็นสามฝ่าย ได้แก่ อานาจนิติบัญญัติ อานาจบริหาร และอานาจตุลาการ มีบทบัญญัติ
ว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิขั้นพ้ืนฐานของพลเมือง การบริหารงานยุติธรรมให้เป็นไปตามกฎหมาย
ซ่ึงบัญญัติโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติพระจักรพรรดิดารงฐานะองค์รัฏฐาธิปัตย์ และพระองค์ทรงมี
อานาจสงู สดุ ในชาติ109

109 พจมานพจี ทวีสวา่ งผล, “การคมุ้ ครองสิทธิและเสรีภาพของผู้ถกู จบั กุมหรือผู้ตอ้ งหาในคดีอาญา,” วารสารวชิ าการอาชญาวิทยาและ
นิตวิ ิทยาศาสตร์ โรงเรยี นนายรอ้ ยตารวจ ปที ี่ 6 ฉบบั ที่ 2 (กรกฎาคม - ธันวาคม 2563) : 220.

136

หลังสงครามโลกครั้งท่ี 2 ญ่ีปุ่นแพ้สงคราม และตกอยู่ภายใต้การยึดครองของประเทศ
สหรัฐอเมริกา กฎหมายรัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นปี ค.ศ.1947 (ปัจจุบัน) บัญญัติให้จักรพรรดิทรงดารง
ฐานะเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นเอกภาพของชาติ และบัญญัติให้ญ่ีปุ่นจัดตั้งรฐั บาลในสิทธิมนุษยชน
ขั้นพ้ืนฐานให้มากย่ิงขึ้น ระบอบประชาธิปไตยข้ึนบริหารประเทศโดยยึดหลักนิติธรรม รวมท้ัง
การขยายขอบเขตการคมุ้ ครองสทิ ธิมนุษยชนข้นั พืน้ ฐานให้มากยิง่ ข้นึ

การดาเนินคดีอาญาให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ค.ศ.1948
ซึ่งมีบทบัญญัติว่าด้วยการจับกุม การสอบสวน การควบคุมตัว การฟ้องพิจารณา และพิพากษาคดี
ตามกระบวนการของกฎหมายระบบซีวิลลอว์ อย่างไรก็ตาม กฎหมายรัฐธรรมนูญปี 1947 ได้วาง
หลักประกันสิทธิของผู้ต้องหาและจาเลยในคดีอาญาไว้หลายประการ ในหมวดที่ 3 ซึ่งเรียกกัน
โดยทั่วไปว่ากฎบัตรแห่งสิทธิของญี่ปุ่น (Japanese Bill of Rights) ดังนั้น การดาเนินคดีอาญาตาม
ประมวลกฎหมายวธิ ีพจิ ารณาความอาญาจงึ ตอ้ งสอดคล้องกบั บทบญั ญตั ิของกฎหมายรัฐธรรมนูญดว้ ย

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 197 บัญญัติว่า เจ้าหน้าที่ตารวจหรือ
พนักงานอัยการจะต้องทาการสอบสวนคดีอาญาอย่างกว้างขวางด้วยตนเองก่อนจะใช้วิธีบังคับ
โดยการจับกุมผู้กระทาความผิด และการจับกุมผู้กระทาความผิดจะใช้เม่ืออยู่ภายใต้พฤติการณ์พิเศษ
เท่าน้ัน แม้ว่าโดยพฤติการณ์เจ้าหน้าที่อาจจับกุมผู้กระทาความผิดแล้วนามาควบคุมตัวได้ก็ตาม
แต่เจ้าหน้าท่ีในองค์กรยุติธรรมต่าง ๆ มักจะไม่ใช้วิธีการบังคับ ตราบใดท่ีการสอบสวนคดีอาญา
สามารถกระทาไดโ้ ดยไมต่ อ้ งจับและควบคุมตัวผู้กระทาความผดิ

มาตรา 199 บัญญัติว่า ผู้กระทาความผิดจะถูกจับเม่ือมีหมายจับซ่ึงออกโดยผู้พิพากษา
ที่มีอานาจเท่าน้ัน และผู้พิพากษาจะออกหมายจับเมื่อมีเหตุอันสมควร เชื่อได้ว่าบุคคลผู้ต้องสงสัย
กระทาความผิดเจ้าหน้าที่ซ่ึงจะขอให้ศาลออกหมายจับได้จะต้องเป็นพนักงานอัยการ ผู้ช่วยพนักงาน
อัยการ หรือตารวจ ซึ่งมียศสูงกว่าสารวัตร ตารวจ (Police Inspector) กล่าวอีกนัยหน่ึงจะต้องเป็น
หวั หน้าตารวจระดับ 6 ถงึ ระดับ สงู สดุ นับจาก 1–11 ลาดับ

ในกรณีความผิดซ่ึงหน้า ท่ีบุคคลใดก็สามารถจับกุมผู้กระทาความผิดได้ ตามมาตรา
213 ถ้าผู้จับไม่ใช่พนักงานอัยการ ผู้ช่วยพนักงานอัยการ หรือระดับหัวหน้าตารวจ เขาจะต้องส่งมอบ
ตัวผถู้ ูกจับใหแ้ กพ่ นกั งานอยั การหรอื ตารวจทนั ที

นอกจากกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของประเทศญ่ีปุ่นจะควบคุมตารวจผู้อาจย่ืน
ขอหมายจับจากผู้พิพากษาผู้มีอานาจโดยกาหนดชั้นยศและตาแหน่งไว้สูงแล้ว กฎหมายยังกาหนด
ข้อจากัดการจับไว้อีกด้วย กล่าวคือ ความผิดที่มีโทษปรับ หรือจาคุกไม่สูงเกินกว่าที่กฎหมายกาหนด
ไวก้ ็จับไม่ได้

ในกำรขอหมำยจบั จะต้องเปน็ ไปตำมเงือ่ นไขดงั นี
1. ผู้ต้องหาที่ไม่มีท่ีอยู่เป็นหลักแหล่ง หรือไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกของพนักงาน
สอบสวนโดยไมม่ ีเหตุผลอนั สมควร
2. การจบั ผู้กระทาผดิ ซึ่งหน้า จะจบั ได้ต่อเมื่อไม่ทราบท่ีอยู่หรอื ชอื่ ของผกู้ ระทาความผิด
หรือมีเหตุผลอันสมควรเช่อื ได้ว่าผ้กู ระทาผิดจะหลบหนี

ในความผิดท่มี ีอัตราโทษประหารชีวติ หรือจาคุกตลอดชีวติ โดยบังคับใช้แรงงานหรือ
ความผิดท่มี ีอัตราโทษจาคุกสามปีหรือสงู กว่า ถ้ามพี ยานหลักฐานสมควรเชื่อได้ว่าผตู้ ้องหาเป็นผ้กู ระทา
ความผิด และเป็นกรณีฉุกเฉินที่ไม่อาจขอหมายจับจากศาลได้ พนักงานอัยการ ผู้ช่วยพนักงานอัยการ

137

หรือตารวจสอบสวน อาจจับผู้ต้องหาได้ โดยแสดงเหตุผลไว้เป็นหนังสือ (มาตรา 64) ถ้าศาลไม่
ออกหมายจับใหเ้ จา้ พนักงาน ผจู้ บั จะต้องปล่อยผู้ต้องหาในทนั ที

เป็นท่ีน่าสังเกตวา่ การขอหมายจับในระบบกฎหมายของประเทศญ่ีปุ่นมใิ ชเ่ ป็นคาส่ัง
แต่เป็นการขออนุญาตทาการจับกุมผู้ต้องหา ดังนั้นแม้จะมีหมายจับพนักงานสอบสวนก็อาจจะใช้จับ
หรือไม่จับผู้ต้องหาก็ได้ก่อนจะทาการจับกุมผู้ต้องหาพนักงานสอบสวนจึงต้องพิจารณาองค์ประกอบ
ของกฎหมายและพฤติการณ์ แวดล้อมในคดีโดยคานึงถึง สิ่งแวดล้อมลักษณะความผิด และปัจจัย
อื่น ๆ ประกอบดว้ ย

3. การปล่อยตัวช่ัวคราว ในชั้นพนักงานสอบสวน และชั้นพนักงานอัยการ ผู้ต้องหาใน
คดีอาญาในระบบกฎหมายของญ่ีปุ่นจะไมม่ ีสิทธิขอประกนั ตัว ดังนั้น กระบวนการยุตธิ รรมของญ่ีปุ่นจึง
มีกลไกกลั่นกรองผูต้ ้องหาในคดีอาญาซ่งึ ถูกจบั และสอบสวนแลว้ ไม่ใหถ้ ูกคุมขงั โดยไมผ่ ่านกระบวนการ
พิจารณาและวินิจฉัยของศาล โดยเฉพาะการควบคุมผู้ต้องหาเกินกว่าอานาจควบคุมตัวของพนักงาน
สอบสวนและอัยการ อย่างไรก็ตาม ผู้ต้องหามีสิทธิท่ีจะขอให้ปล่อยตัวชั่วคราวได้เมื่ออัยการได้ฟ้องคดี
ต่อศาลแลว้

4. การควบคุมตัวในชั้นสอบสวนและชั้นอัยการ เมื่อผู้ต้องหาถูกจับโดยมีหมายแล้ว
ถ้าเจ้าหน้าท่ีผู้ทาการจับกุมตัวผู้ต้องหาเป็นเจ้าหน้าท่ีตารวจจะมีอานาจควบคุมตัวผู้ต้องหาได้ 48
ชวั่ โมง เมอ่ื ครบกาหนดแลว้ จะต้องสง่ ตัวผู้ตอ้ งหาให้แก่อัยการ เมอ่ื อยั การได้รับตัวผู้ตอ้ งหาแล้วอัยการ
มีอานาจควบคุมตัวผู้ต้องหาได้อีก 24 ชั่วโมง เม่ือครบกาหนดระยะเวลาควบคุมตัวในชั้นนี้ (รวม 72
ช่วั โมงแล้ว) ถ้ามีความจาเป็นจะควบคุมตัวผ้ตู ้องหาต่อไปอีกอัยการจะต้องยื่นคาร้องต่อศาลขออนุญาต
ควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้ได้อีกอย่างมาก 2 คร้ัง ๆ ละ 10 วัน รวมระยะเวลาสูงสุดนับตั้งแต่วันจับกุมตัว
ไมเ่ กิน 23 วนั เมอ่ื อยั การไดร้ บั ตัวผตู้ ้องหาจากตารวจแลว้

3.3 งำนวจิ ัยที่เก่ียวขอ้ งทงั ในประเทศและต่ำงประเทศ
3.3.1 งำนวิจัยในประเทศไทย
สุชนิ ตา่ งงาม (2529). ทาการวิจัยเร่ือง การกนั ผู้ร่วมกระทาผดิ เป็นพยานจากการศึกษา

วิเคราะห์ในเชิงเปรียบเทียบในเร่ืองการกันผู้ร่วมกระทาผิ ดเป็นพยานในประเทศไทยและในระบบ
คอมม อน ล อว์ซ่ึ งมีป ระเท ศ สห รัฐอเม ริกาและป ระเท ศ อังก ฤษ พบ ว่ ามี ค วาม คล้ ายค ลึ งแล ะความ
แตกต่าง ดังน้ี

1) เหตุผลความจาเป็นท่ีต้องมีการกันผู้ร่วมกระทาความผิดเป็นพยานในระบบ
คอมมอนลอว์คือ ในประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศอังกฤษ มีข้อสรุปท่ีตรงกับเหตุผลและ
ความจาเป็นในประเทศไทย กล่าวคือ การกันผู้ร่วมกระทาความผิดเป็นพยานน้ันเป็นเร่ืองของ
ความจาเป็นในเร่ืองพยานหลักฐานท่ีเกี่ยวกับความผิดบางประเภทท่ีพยานหลักฐานส่วนใหญ่หรือ
ทั้งหมดจะอยู่ท่ีตัวผู้กระทาความผิดเอง หรือเป็นความผิดท่ีมีลักษณะเป็นการจัดองค์กร (organized
crime) ซึ่งมีความสลับซับซ้อน ยากแก่การค้นหาพยานหลักฐาน เช่น ความผิดเก่ียวกับความมั่นคง
(การจารกรรมหรือสายลับ) เกี่ยวกับยาเสพติด เก่ียวกับการให้สินบน เก่ียวกับการพนัน หรือความผิด
เก่ียวกับกฎหมายตอ่ ตา้ นการผู้ขาดตดั ตอน เป็นต้น

138

2) เหตุผลที่ต้องให้ความคุ้มครองกับผู้ที่ถูกกันไว้เป็นพยานซึ่งเป็นผู้ร่วมกระทาความผิด
เน่ืองจากพยานก็มีสิทธิขั้นพื้นฐานที่เป็นหลักกฎหมายท้ังในระบบคอมมอนลอว์และระบบซีวิลลอว์ คือ
สิทธิที่จะไม่ให้การเป็นปรปักษ์ต่อตนเองในทางอาญา (the Privilege Against Self – incrimination)
ซ่ึงสิทธิดังกล่าวเป็นหลักประกันของระบบกล่าวหา (Accusatorial System) ท่ียอมรับกันในนานา
อารายะประเทศ ดังน้ัน หากรัฐไม่ให้ความคุ้มกันแก่พยานแล้ว พยานย่อมมีสิทธิท่ีจะไม่ให้การใด ๆ
ท่ีเป็นปรปักษ์ต่อตนเองในทางอาญาได้ การกันผู้ร่วมกระทาความผิดเป็นพยานย่อมไม่บังเกิดผลตาม
วัตถุประสงค์ ด้วยเหตุน้ีเอง รัฐจึงได้หาทางออกโดยการให้ความคุ้มกันแก่พยานที่จะไม่ถูกฟ้องร้อง
หรือไม่นาคาให้การนั้นมาเป็นหลักฐานยันพยานในภายหลัง แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ เพ่ือเป็นการทดแทน
สิทธิท่ีจะไมใ่ หก้ ารเป็นปรปกั ษต์ ่อตนเองของพยานทีส่ ญู เสียไป

3) วิธีปฏิบัติในการให้ความคุ้มกันทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศอังกฤษ
และประเทศไทย มีวธิ ีปฏิบตั ิทแ่ี ตกต่างกัน คือ

สาหรับประเทศสหรัฐอเมริกาในรัฐท่ีไม่มีบทบัญญัติว่าด้วยการให้ความคุ้มกันพยาน
(Immunity Statutes) ก็เป็นอานาจของพนักงานอัยการในการเจรจาต่อรองกับผู้ต้องหาตามหลัก
plea bargaining และหลักดาเนินคดีอาญาตามดุลพินิจเช่นเดียวกับในประเทศอังกฤษ แต่ในรัฐที่มี
บทบัญญัติว่าด้วยการให้ความคุ้มกันพยานการดาเนินการก็จะเป็นไปตามบทบัญญัตินั้น ๆ โดยส่วน
ใหญ่กาหนดว่าจะต้องผ่านความเห็นชอบจากศาล และมีบทบังคับที่เป็นทางการว่า หากพยานที่ได้รับ
ความคมุ้ กนั ปฏิเสธทจ่ี ะให้การก็อาจจะถกู ลงโทษฐานละเมดิ อานาจศาลได้

ส่วนประเทศไทยนั้น การกันผู้ร่วมกระทาผิดเป็นพยาน อาศัยเพียงความเห็นท่ีว่า
หลักการดาเนินคดีอาญาของไทย เป็นหลักการดาเนิคดีอาญาตามดุลพินิจซ่ึงพนักงานอัยการชอบที่จะ
ใช้ดุลยพินิจดังกล่าวในการสั่งไม่ฟ้องผู้ร่วมกระทาความผิดบางคน เพ่ือการกันไว้เป็นพยานได้ ถึงแม้
ความเห็นดังกลา่ วจะยงั ไมเ่ ปน็ ท่ียตุ ิก็ตาม แต่กไ็ ดร้ ับการยอมรับในทางปฏิบตั ิมาเป็นเวลาชา้ นาน

4) ผลของการให้ความคุ้มกัน ในประเทศอังกฤษและประเทศไทยน้ันผลของการให้
ความคุ้มกันมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน กล่าวคือ ในทางปฏิบัติพยานจะได้รับความคุ้มกันจากการ
ถกู ฟ้องร้องในเรื่องที่ให้การนั้นในภายหลัง แต่สาหรับประเทศไทยพยานอาจจะถูกฟ้องร้องในภายหลัง
ได้เฉพาะในกรณีท่ีมีพยานหลักฐานใหม่อันสาคัญแก่คดีตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา
147 เท่าน้ัน และความคุ้มกันในลักษณะเช่นน้ีเป็นความคุ้มกันเนื่องจากคาส่ังเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี
มิใช่สญั ญาแหง่ ความคุ้มกนั แต่อย่างใด

5) การรับฟังคาเบิกความของพยานผู้ร่วมกระทาความผิด ทั้งในประเทศสหรัฐ
อเมริกาและประเทศอังกฤษ เดิมศาลได้วางหลักในทางปฏิบัติว่า คาให้การของพยานผู้ร่วมกระทาผิด
น้ัน ควรท่ีคณะลูกขุนจะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในการรับฟัง ศาลจะไม่พิพากษาลงโทษ
จาเลย หากไม่มีพยานหลักฐานอ่ืนประกอบ แต่หลักในทางปฏิบัติน้ีต่อมาก็มิได้รับการยอมรับเสมอไป
โดยศาลเหน็ ว่า ขอ้ กาหนดดังกล่าวเปน็ เพยี งทางเลอื กและเป็นดุลพนิ จิ ของศาลทีจ่ ะหยิบยกขนึ้ พิจารณา
หรือไม่ก็ได้ สาหรับประเทศไทยยึดถือเช่นเดียวกับประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศอังกฤษที่ต้องมี
พยานหลักฐานอื่นประกอบ และค่อนข้างจะยึดถือมากกว่าระบบคอมมอนลอว์ด้วยซ้าไป ทั้ง ๆ ที่
โครงสร้างตามระบบกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของไทยโดยแท้จริง มิได้ยึดถือระบบคอมมอนลอว์
แต่อย่างใด

139

งานวิจัยดังกล่าวมีข้อเสนอแนะว่า เม่ือประเทศไทยมีการนาเร่ืองน้ีมาใช้เป็นทศวรรษ
เช่นนี้ กค็ วรทจ่ี ะแกไ้ ขปรบั ปรงุ ในส่วนท่ีเป็นปญั หา ดงั นี้

1) เร่ืองการใช้อานาจในการส่ังคดีของพนักงานอัยการ ตามมาตรา 143 ควร
บัญญัติเปิดโอกาสให้พนักงานอัยการมีอานาจใช้ดุลพินิจในการส่ังไม่ฟ้องคดีอาญาใด ๆ ที่มีมูลได้
หากมเี หตุผลสมควร

2) การคุ้มกันจากการถูกฟ้องร้องโดยอาศัยคาสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีของพนักงาน
อัยการตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 143 ไม่ได้ให้ความคุ้มกันพยานจากการท่ีอาจจะ
ถูกผู้เสียหายฟ้องคดีด้วยตนเองตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 34 จึงเสนอแก้ไขบท
บทบัญญัติดังกล่าว ให้มีผลเป็นการตัดสิทธิในการฟ้องคดีของผู้เสียหาย ในกรณีที่พนักงานอัยการ
มีคาสั่งเด็ดขาดไมฟ่ อ้ งผตู้ อ้ งหาคนใดเพ่ือการกันไว้เปน็ พยาน

3) ศาลไม่ควรยึดหลักในทางปฏิบัติท่ีเกี่ยวกับการรับฟังพยานหลักฐานว่าด้วยพยาน
บุคคลผู้ร่วมกระทาความผิดเคร่งครัดนัก เพราะโครงสร้างตามระบบกฎหมายของประเทศไทยน้ัน
ศาลมีอานาจอิสระท่ีจะวินิจฉัยพยานหลักฐานโดยไม่ผูกมัดกับข้อกาหนดใด ๆ โดยเฉพาะในคดีท่ีต้องมี
การกันผู้ตอ้ งหาเป็นพยานนี้ โดยลักษณะของคดกี ็ปรากฏอย่างแจ้งชัดแลว้ วา่ พยานหลักฐานน้ันต้องหา
จากผู้ร่วมกระทาผิดนั้นเอง การท่ีจะต้องมีพยานหลักฐานอ่ืนประกอบหรือไม่ น่าจะปล่อยเป็นดุลพินิจ
ของศาลท่จี ะวนิ ิจฉยั เป็นกรณี ๆ ไป

กรองทอง แย้มสะอาด (2547). ทาการวิจัยเร่ือง การกันผู้ต้องหาเป็นพยาน : ข้อพิจารณา
ตามกฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน โดยศึกษาข้อพิจารณาตามกฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน
เน่ืองจากการกันผู้ต้องหาเป็นพยานน้ัน เป็นวิธีการหน่ึงในการท่ีจะนาตัวผู้กระทาความผิดมาลงโทษ
แต่ผู้ต้องหาที่ถูกกันไว้เป็นพยานน้ันก็เป็นผู้ร่วมกระทาความผิดเหมือนกัน จึงเกิดปัญหาอุปสรรคใน
ทางกฎหมายลักษณะพยานว่า การรับฟังถ้อยคาของบุคคลท่ีถูกกันไว้เป็นพยานจะรับฟังได้มากน้อย
เพียงใด เพราะบุคคลเหล่าน้ันได้ชื่อว่าเป็นพยานซัดทอด ซึ่งโดยหลักการแล้วพยานซัดทอดน้ีจะมี
น้าหนักน้อย จะต้องรับฟังประกอบพยานหลักฐานอ่ืน จึงจะลงโทษจาเลยได้ ในกรณีท่ีพยานมา
เบิกความในชั้นศาลแต่พยานกลับคา หรือเบิกความไปในทางที่ไม่เป็นประโยชน์กับฝ่ายโจทก์
ศาลจะต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง โดยศาลอาจจะนาคาให้การของพยานท่ีได้ให้ไว้ในชั้นสอบสวน
มาใช้ในช้ันศาล รวมทั้งรับฟังประกอบกับพยานแวดล้อมอื่น ๆ ด้วย เพื่อท่ีจะได้ลงโทษจาเลย อีกทงั้ ยัง
ได้ศึกษาเร่ืองการนาผู้ต้องท่ีถูกกันไว้เป็นพยานแล้วไปเบิกความในชั้นศาล แต่ในระหว่างรอท่ีจะ
สืบพยานน้ัน อาจจะต้องใช้ระยะเวลานาน เนื่องจากศาลมีคดีที่จะต้องพิจารณาพิพากษาเป็น
จานวนมาก ทาให้พยานที่ถูกกันไว้เกิดความไม่ม่ันใจหรืออาจจะคิดว่าตัวเองจะไม่ได้รับความปลอดภัย
ในระหว่างท่ีรอการสืบพยาน ดังน้ัน จึงเห็นสมควรที่จะต้องมีมาตรการในการให้ความคุ้มครองพยาน
ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. 2546 และยังรวมไปถึงการนาประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญาท่ีได้แก้ไขใหม่ในเร่ืองการสืบพยานล่วงหน้า ท้ังก่อนฟ้องคดีและภายหลัง
ฟ้องคดี โดยได้มีข้อเสนอแนะ ดงั นี้

1) คดีที่จะตอ้ งมีการกนั ผู้ตอ้ งหาไว้เปน็ พยานนั้นควรจะเป็นคดที ่ีมีความสาคญั หรือ
เป็นคดีสะเทือนขวัญ ที่มีผลกระทบต่อประชาชนโดยส่วนรวม ก่อให้เกิดความสะเทือนใจหรือเป็น
คดีอุกฉกรรจ์ มีอัตราโทษสูง เป็นต้น ซึ่งโดยปกติแล้วประชาชนมักจะให้ความสนใจและติดตาม
ความเคลื่อนไหวของคดนี ้นั ๆ

140

2) บุคคลที่ถูกกันไว้เป็นพยานนั้น จะต้องเป็นผู้ร่วมกระทาความผิดในระดับหน่ึง
อาจจะเป็นเพียงผู้สนับสนนุ หรือผู้ใหค้ วามช่วยเหลือเท่าน้ัน แต่จะต้องไม่ใช่ตัวการสาคัญในการกระทา
ความผิด เพราะถ้าเป็นตวั การแล้วกส็ มควรท่ีจะได้รับการลงโทษให้มากที่สุด ไม่สมควรท่ีจะให้ถูกกันไว้
เป็นพยานท่ีจะไมต่ อ้ งรบั โทษแตอ่ ยา่ งใด

3) บุคคลท่ีถูกกันไว้เป็นพยานจะต้องเป็นสิ่งที่ได้มาโดยไม่ขัดกับประมวลวิธี
พิจารณาความอาญา มาตรา 226 ซ่ึงเป็นเรื่องสาคัญมาก เป็นหลักท่ีศาลต้องนามาใช้และเป็นข้อระวัง
ของศาลในการรับฟังพยานหลักฐานประเภทน้ี เพื่อที่จะนาไปสู่การลงโทษจาเลย ก่อนท่ีจะรับฟัง
ศาลจะต้องดูว่าพยานบุคคลที่ถูกกันไว้เป็นพยานนี้ไม่เข้าข้อห้ามในการรับฟังตามมาตรา 226 อีกท้ัง
ศาลควรต้องให้เหตผุ ลด้วยวา่ เหตุใดศาลจึงรับฟงั พยานประเภทนี้

4) เมื่อพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการได้กันผู้ต้องหาคนใดไว้เป็นพยาน
แล้ว ไม่ควรที่จะกลับมาฟอ้ งบคุ คลนั้นเป็นจาเลยอีกครง้ั เพราะเขาไดใ้ ห้การเป็นประโยชนต์ อ่ รัฐแลว้

5) ควรมีการออกกฎหมายให้เป็นลายลักษณ์อักษรเลยว่า ในกรณีที่ผู้ต้องหา
ท่ีกันไว้เป็นพยานเบิกความกลับคาในช้ันศาล ให้พนักงานอัยการหรือพนักงานสอบสวนสามารถฟ้อง
บคุ คลนนั้ เปน็ จาเลยได้อีกครั้ง เพื่อป้องกันวา่ พยานจะไมก่ ลับคาและจะเบิกความตามความเปน็ จริง

ฐานิสรา พาหะมาก (2555). ทาการวิจัยเรื่อง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2554 ศึกษา
กรณีการนามาตรการกันตัวบุคคลเป็นพยานมาบังคับใช้ ได้สรุปผลการวิจัยตอนหน่ึงว่า หลักการกัน
ผู้ร่วมกระทาผิดไว้เป็นพยานมิได้เป็นหลักการที่เพ่ิงมีขึ้น แต่เป็นมาตรการท่ีตารวจและอัยการใช้กันมา
ในทางปฏิบัติโดยอาศัยกฎเกณฑ์ภายในองค์กรเพราะหลักเกณฑ์ดังกล่าวมิได้มีบัญญัติไว้ในประมวล
กฎหมายอาญาหรือประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาแต่กลับไม่มีหลักเกณฑ์นี้บัญญัติไว้
ถึงกระน้ันก็มีหน่วยงานในประเทศในหลายหน่วยงานที่นามาตรการการกันตัวผู้ร่วมกระทาผิดไว้เป็น
พยานบังคับใช้ เช่น ตารวจ อัยการ สานักงาน ก.พ. และ ป.ป.ท และเห็นว่าหากคณะกรรมการมี
ดุลพินิจกันบุคคลไว้เป็นพยานแล้วบุคคลนั้นจะไม่ต้องถูกดาเนินคดี ดังนั้น ข้ันตอนการใช้ดุลพินิจ
ควรตรวจสอบไดอ้ ยา่ งเปดิ เผย

พร้อมพันธ์ ครบตระกูลชัย. (2552). ทาการวิจัยเรื่อง การกันบุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหา
ไว้เป็นพยาน : ศึกษากรณี พ.ร.บ.มาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
พ.ศ. 2551 เห็นว่าเมื่อเปรียบเทียบผลดีผลเสียที่อาจเกิดขึ้นจากการนามาตรการการกันบุคคลหรือ
ผู้ถูกกล่าวหาเป็นพยานและแนวทางแก้ปัญหาท่ีอาจเกิดขึ้น ผู้วิจัยเห็นสมควรให้มีการส่งเสริมให้มี
การนาการกันบุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหาเป็นพยานมาใช้เพิ่มข้ึนและต้องทาการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป
และในการนามาตรการนี้มาใช้ควรเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้เสียหายหรือบุคคลอ่ืนที่เก่ียวข้อง เพื่อให้
บุคคลท่ีถูกกันเป็นพยานสามารถกลับคืนสู่สังคมได้โดยง่ายและสังคมมีความสงบสุข แต่ควรมีการให้
ความรู้เบอื้ งต้นถึงความจาเป็นในการกันบุคคลท่ีเป็นผู้กระทาผดิ เช่นกันเป็นพยาน แก่ค่กู รณีและบุคคล
ทีเ่ กี่ยวข้องเพือ่ ไม่ใหเ้ ข้าใจผิดวา่ ผกู้ ระทาผิดท่ถี ูกกันเปน็ พยานมีเสน้ สายหรือให้สินบนพนักงาน

อุเทน สุวดีกุล. (2556). ทาการวิจัยเรื่อง การแสวงหาพยานหลกั ฐานในคดีพิเศษ : ศกึ ษา
กรณีการกันผู้ร่วมกระทาผิดหรือผู้ต้องหาไว้เป็นพยาน ได้สรุปผลการวิจัยว่า การดาเนินการแสวงหา
พยานหลักฐานในคดีพิเศษ นอกจากพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะมีอานาจตามประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความอาญาท่ัวไปแล้ว ยังมีกฎหมายให้อานาจพิเศษเพ่ิมเติมโดยบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติ

141

การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 แต่จากการศึกษาพบว่ายังมีปัญหาในการปฏิบัติ เช่น ปัญหา
ข้อจากัดของการแสวงหาพยานหลักฐานในความผิดฐานเป็นตวั การ ผู้ใช้ และผ้สู นับสนุน ปัญหาพยาน
บุคคล ปัญหาการคุ้มครองพยาน และในปัจจุบันพบว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษยังขาดแนวทางและ
หลักเกณฑ์การใช้ดลุ พินิจในการกันผู้ร่วมกระทาผิดหรือผู้ต้องหาไว้เป็นพยาน และระบบการตรวจสอบ
ที่ชัดเจน เพื่อจะให้การสืบสวนสอบสวนมีประสิทธิภาพและสร้างความเช่ือถือแก่ประชาชน จึงมี
ข้อเสนอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ โดยเพ่ิมเรื่องการกันผู้ต้องหา
เป็นพยานในคดีพิเศษ และให้มีการออกระเบียบภายในกรมสอบสวนคดีพิเศษว่าควรมีหลักเกณฑ์
อย่างใดบ้างท่ีจะกันบุคคลนั้นไว้เป็นพยาน มีกระบวนการควบคุมตรวจสอบอย่างไร รวมทั้งให้มีการ
คุ้มครองพยานในคดีอาญาเพอ่ื ให้เปน็ การดาเนินการควบคกู่ ันไปกับการกันผตู้ ้องหาไว้เปน็ พยาน จะทา
ให้การปฏิบตั ิมคี วามชดั เจน สามารถตรวจสอบไดม้ ากข้ึนกว่าในปจั จบุ นั ทาให้สามารถเอาผดิ กับตัวการ
ท่ีอยู่เบ้ืองหลังที่แท้จริง หรือผู้กระทาผิดท้ังขบวนการได้ เกิดประโยชน์ต่อสาธารณะและความสงบ
เรยี บร้อยของบา้ นเมือง ทาให้ผู้เกย่ี วขอ้ งทกุ ฝา่ ยได้รบั ความยุติธรรมอยา่ งเต็มที่

กฤษดา พงษ์พานิช (2562). ศึกษาเก่ียวกับมาตรการทางกฎหมายเก่ียวกับการกัน
บุคคลหรือผู้ถูกกล่าวห าไว้เป็น พยาน ตามพระราชบัญ ญัติ ประกอบรัฐธรรมนู ญ ว่าด้วยการป้องกัน
และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 พบว่า รัฐได้นามาตรการการกันบุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหาไว้เป็น
พยานมาใช้ เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงท่ีเพียงพอ ซ่ึงจะเป็นประโยชน์ต่อการดาเนินคดีและทาให้เกิด
ประสิทธิภาพในการปราบปรามทุจริตยิ่งขึ้น และเป็นการเพิ่มสมรรถนะในการไต่สวนชี้มูลความผิด
ทาให้ศาลสามารถนาตัวผู้กระทาความผิดมาลงโทษได้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะต้องนามาตรการการ
กันบุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหาไว้เป็นพยานมาบังคับใช้กับการดาเนินคดีเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติ
มิชอบของเจ้าหน้าท่ี พร้อมนขี ้อเสนอแนะ ดังน้ี

1) เห็นควรแก้ไขเพ่ิมเติมพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน
และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ดงั นี้

1.1) มาตรา 135 โดยกาหนดให้มีกระบวนการตรวจสอบถ่วงดุลการใช้ดุลพินิจ
ในการกันบุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหาไว้เป็นพยานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. จากองค์กรภายนอก
อกี ชั้นหน่ึง โดยเสนอให้ส่งความเห็นพร้อมมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไปยังอัยการสูงสุดเพ่ือทาการ
ตรวจสอบการใช้ดุลพินิจอีกช้ันหนึ่ง โดยให้ถือวา่ ความเห็นของอยั การสงู สดุ เป็นทส่ี ดุ

1.2) มาตรา 135 วรรคสอง กาหนดห้ามมิให้ดาเนินคดีอาญาหรือดาเนินการ
ทางวินยั และเรียกร้องทางแพ่งกับบุคคลซ่ึงถูกกันไว้เป็นพยานในเร่ืองน้ันอกี และให้บคุ คลน้ันได้รับการ
ช่วยเหลือตามสมควรจนคดีถึงท่ีสุด เว้นแต่บุคคลนั้นฝ่าฝีนหลักเกณฑ์ วิธีการ เง่ือนไขในการกันบุคคล
ไว้เปน็ พยาน

2) ควรเพ่ิมเติมประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
เร่ือง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่ือนไขในการกันบุคคลไว้เป็นพยานโดยไม่ดาเนินคดี พ.ศ. 2561
ในประเด็นดงั ตอ่ ไปน้ี

2.1) หากพิจารณาแล้วเห็นว่ามีพยานหลักฐานจากการไต่สวนข้อเท็จจริง
ไม่เพียงพอที่จะดาเนินคดีกับผู้กระทาความผิดท่ีเป็นตัวการสาคัญได้ และถ้อยคาของบุคคลที่จะถูก
กันไว้เป็นพยานน้ันเป็นพยานหลักฐานที่สาคัญ สามารถเอาผิดกับผู้กระทาความผิดที่เป็นตัวการ
สาคญั ได้ และบุคคลนน้ั จะให้ความร่วมมอื ในการไปเบกิ ความท่ีไดใ้ ห้การไว้

142

2.2) บุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหาที่จะถูกกันไว้เป็นพยานนั้น ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.
พิจารณาคัดเลือกจากผู้ท่ีกระทาความผิดหรือมีส่วนร่วมในการกระทาความผิดน้อยท่ีสุด โดยให้
พิจารณาจากพฤติการณใ์ นการกระทาความผดิ เปน็ สาคัญ

2.3) เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้กันบุคคลรายใดไว้เป็นพยานในคดีใดแล้ว
ย่อมถือว่าบุคคลนั้นอยู่ในฐานะพยานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในคดีน้ัน และห้ามมิให้ดาเนินคดี
อาญาหรือดาเนินการทางวินัย และเรียกร้องทางแพ่งกับบุคคลซึ่งถูกกันไว้เป็นพยานในเรื่องน้ั นอีก
โดยบุคคลดงั กลา่ วอาจไดร้ ับการคุ้มครองหรือจดั ให้มมี าตรการคุ้มครองช่วยเหลอื ด้วยตามสมควร

วเิ ชียร เอี่ยมสะอาด (2559). ทาการศึกษาเร่ือง ปัญหากฎหมายเก่ียวกับการกันผู้ต้องหา
เปน็ พยานจากผลการศึกษาพบวา่

1) การกันผู้ต้องหาไว้เป็นพยานเป็นการกระทาท่ีขัดต่อหลักกฎหมาย การกัน
ผู้ต้องหาบางรายเป็นพยานถือเป็นอานาจการใชดุลพินิจของพนักงานสอบสวน โดยมีผู้บังคับบัญชา
ระดับสูงเป็นผู้อนุมัติ เม่ือพิจารณาแล้วเห็นวา่ เป็นประโยช์ต่อรูปคดี ก็จะมีคาสั่งอนุญาตให้กันผู้ต้องหา
บางรายไว้เพ่ือเบิกความเป็นพยานในชั้นศาล โดยพนักงานสอบสวนต้องทาความเห็นควรส่ังไม่ฟ้อง
ผู้ต้องหารายที่จะกันไว้เป็นพยานในคดีน้ัน แล้วส่งความเห็นน้ันไปยังพนักงานอัยการเพื่อให้มีคาสั่ง
ไม่ฟ้องผตู้ ้องหารายนั้น เมื่อพนักงานอัยการเห็นด้วยกับพนักงานสอบสวนก็จะมีคาสั่งไม่ฟ้อง พนักงาน
สอบสวนก็จะสามารถกันผู้ต้องหารายน้ันเป็นพยานได้ แต่เน่ืองจากประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2
ท่ีบัญญัติว่า “บุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญาเม่ือได้กระทาการอันกฎหมายท่ีใช้ในขณะน้ันบัญญัติ
เป็นความผิดและกาหนดโทษไว้และโทษที่จะลงแก่ผู้กระทาความผิดนั้นต้องเป็นโทษท่ีบัญญัติไว้ใน
กฎหมาย” และ มาตรา 30 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ท่ีได้บัญญัติเร่ืองความเสมอ
ภาคของบุคคลในวรรคหน่ึงว่า “บุคคลย่อมเสมอภาคกันในกฎหมายและได้รับความคุ้มครองตาม
กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน” ประกอบกับ มาตรา 39 วรรคหน่ึงท่ีบัญญัติว่า “บุคคลจะต้องไม่รับโทษ
ทางอาญา เว้นแตไ่ ดก้ ระทาการอันกฎหมายท่ีใชอ้ ยู่ในเวลาท่ีกระทาน้ันบญั ญตั เิ ป็นความผดิ และกาหนด
โทษไว้ และโทษที่จะลงแก่บุคคลนั้นจะหนักกว่าโทษท่ีกาหนดไว้ในกฎหมายท่ีใช้อยู่ในเวลาที่กระทา
ผิดมิได้” ซึ่งการกระทาดังกล่าวนี้จึงเป็นการกระทาที่ขัดกับกฎหมายทั้งหลักกฎหมายสากลและ
หลักกฎหมายอาญาท่บี ญั ญัติไว้

2) พนักงานสอบสวนมีปัญหาการใช้ดุลพินิจในการกันผู้ต้องหาบางรายเป็น
พยานก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิทธขิ องผกู้ ระทาความผิดรายอื่นในคดอี าญาเดยี วกัน จากเหตุท่ีพนักงาน
สอบสวนใช้ดุลพินิจในการกันผู้ต้องหาบางรายเป็นพยานน้ี จึงเป็นปัญหาที่เกิดความไม่เป็นธรรม
กับผู้ต้องหาด้วยกัน หรือผู้ที่เก่ียวข้องในคดีทั้งหมด ซึ่งการใช้ดุลพินิจน้ีกฎหมายไม่ได้วางระเบียบ
หรือกฎเกณฑ์ตายตัวไว้ แต่มอบอานาจในการใช้ดุลพินิจให้แก่พนักงานสอบสวนท่ีเป็นผู้ใช้กฎหมาย
ในอันที่จะเลือกปฏิบัติอย่างหน่ึงอย่างใด ได้ภายในขอบเขตที่กฎหมายกาหนดอานาจไว้ให้ ดังนั้น
การใช้ดลุ พินจิ ในการกันผ้ตู อ้ งหาเป็นพยานกอ็ าจเกิดความไม่เปน็ ธรรมหรอื เกดิ ความไมโ่ ปร่งใสข้ึน

ดังนั้น ปัญหาในเร่ืองการกันตัวผู้ต้องหาเป็นพยานน้ันคือ พนักงานสอบสวนจะกัน
ผู้ต้องหารายใดไว้เป็นพยานและมีหลักเกณฑ์ในการดาเนินการเร่ืองน้ีอย่างไร จึงจาเป็นท่ีจะต้องมี
แนวทางท่ีชดั เจนให้กับพนักงานสอบสวนในการปฏิบัตใิ นเรื่องการกนั ตัวผู้ต้องหาเป็นพยาน

143

พิทักษ์ ภัทราวุฒิชัย (2558). ศึกษาวิจัยเร่ือง ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการกันบุคคล
หรือผู้ถูกกล่าวหาไว้เป็นพยานตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและ
ปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ซึ่งผลการศึกษาพบปัญหาเก่ียวกับการกันบุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหา
ไวเ้ ป็นพยานที่สาคญั 3 ประการ กล่าวคือ ประการแรก การไมม่ ีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาว่าบุคคลใด
สมควรได้รับการกันไว้พยาน ประการท่ีสอง การไม่สามารถตรวจสอบมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ท่ีให้กันบุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหาไว้เป็นพยาน และประการสุดท้าย การขาดมาตรการทางกฎหมายที่จะ
ดาเนินการกับผู้ที่ถูกกันไว้เป็นพยาน ซ่ึงไม่ไปเบิกความต่อศาล หรือไปเบิกความแต่ไม่เป็นไปตามที่ให้
การต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้วิจัยจึงเสนอแนะให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกอบ
รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 โดยกาหนดให้มีกระบวนการ
ตรวจสอบถ่วงดุลการใช้ดุลพินิจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยอัยการสูงสุด และแก้ไขเพิ่มเติม
ประกาศคณะกรรมการ ป.ป.ช. เร่ืองหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการกันบุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหา
ไว้เป็นพยานโดยไม่ดาเนนิ คดี โดยกาหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกบั การพิจารณากนั บุคคลหรือผ้ถู ูกกล่าวหาท่ี
กระทาความผิดน้อยที่สุดไว้เป็นพยาน อีกท้ังกาหนดมาตรการทางกฎหมายให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.
สามารถไต่สวนดาเนินคดีชี้มูลความผิดกับผู้ท่ีถูกกันไว้เป็นพยานตอ่ ไปได้ หากบุคคลดังกล่าวจงใจไม่ไป
เบิกความ หรือไปเบิกความแต่ไม่เป็นไปตามที่ให้การต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. และสามารถท่ีจะ
ดาเนินคดีกับบุคคลดงั กล่าวในฐานะที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นผู้เสียหายในความผิดฐานเบิกความเท็จ
หรือให้การเท็จได้

มงคล คาเวียง. (2561). ทาการศึกษาเรื่อง การบริหารจัดการคดี : ศึกษากระบวนการ
คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพในคดีอาญาในศูนย์คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพในคดีอาญาของศ าลยุติธรรม
โดยศึกษาเปรียบเทียบแนวคิดและหลักเกณฑ์ของกฎหมายไทยและต่างประเทศ ในประเด็นของ
กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์และการต่อรองคารับสารภาพ และวิเคราะห์ว่ากระบวนการท่ีศาล
ดาเนินการอยู่ มีประสิทธภิ าพและประสิทธิผลเพียงใดผลการศกึ ษาพบวา่ 1) กระบวนการคุ้มครองสิทธิ
และเสรีภาพในคดีอาญาเป็นกระบวนการท่ีเกิดขึ้นในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาตั้งแต่ ปี พ.ศ.
2551 ศาลยุติธรรมนากระบวนการสมานฉันทแ์ ละสันติวิธีมาใช้แกไ้ ขปญั หาคดีล้นศาล ตอ่ มาในปี พ.ศ.
2559 ศาลยุติธรรมได้ปรับปรุงกระบวนการดังกล่าวมาเป็นกระบวนการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพใน
คดีอาญา โดยการให้ผู้พิพากษาเข้ามาบริหารจัดการคดีในเบื้องต้น ด้วยการอ่านและอธิบายฟ้องให้
จาเลยฟัง อธิบายกระบวนการที่จะเกิดข้ึนในการพิจารณาคดี และแจ้งสิทธิให้ผู้ที่เก่ียวข้องทราบ
อันเป็นก้าวแรกในการคุ้มครองสิทธิของผู้เก่ียวข้อง อีกท้ังยังเป็นการทาให้จาเลยและผู้เสียหายเข้าถึง
กระบวนการยตุ ิธรรมโดยสะดวก นอกจากน้ียังมีการเจรจาพูดคุยกับจาเลยและผู้เสียหายซง่ึ ผู้พพิ ากษา
จะใช้ประสบการณ์และความรู้ทางด้านกฎหมายพดู คุยทาความเข้าใจกับท้ังจาเลยและผู้เสียหาย ทาให้
คดีที่จาเลยกระทาผิดจริง จาเลยไม่ต่อสู้คดี และให้การรับสารภาพส่วนผู้เสียหายสามารถปรับความ
เข้าใจกับจาเลยได้ และจาเลยตกลงชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ผู้เสียหายได้ คงเหลือเฉพาะคดีที่จาเลย
ต้องการต่อสคู้ ดีจรงิ ๆ เท่านัน้ ท่ีเขา้ สู่ระบบการสบื พยาน ทาให้คดีเสร็จส้ินโดยเร็ว และเสียค่าใช้จ่ายนอ้ ย
แต่ยังพบปัญหาในการคัดเลือกผู้พิพากษามาทาหน้าที่คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพในคดีอาญา เนื่องจาก
ส่วนใหญ่คัดจากผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูง ไม่ได้คัดเลือกจากความสามารถในการเจรจาพุดคุยซ่ึงเป็น
คุณสมบัติท่ีจาเป็นในกระบวนการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพในคดีอาญา นอกจากนี้ยังมีปัญหาไม่มี
การเก็บรักษาความลับ ทาให้คู่กรณีไม่กล้าเปิดเผยความจริง เนื่องจากหากคดีไม่สามารถตกลง

144

กันได้ ความจริงท่ีเปิดเผยอาจจะย้อนกลับมาเป็นผลร้ายในการต่อสู้คดีต่อผู้เปิดเผยความจริงได้
2) กระบวนการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพในคดีอาญามีการสร้างจิตสานึก เพื่อให้จาเลยสานึกผิด
จาเลยชดใชค้ วามเสียหายแกผ่ ู้เสียหาย ผ้เู สียหายไดร้ บั การเยียวยา และให้อภยั จาเลย ให้โอกาสกลบั ตัว
เป็นคนดี และคืนจาเลยกลับสู่สังคม มีลักษณะคล้ายกับรูปแบบการประนอมข้อพิพาทระหว่าง
ผู้เสียหายและผู้กระทาผิด (Victim Offender Mediation หรือ VOM) ซึ่งเป็นรูปแบบหน่ึงของ
กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ ซงึ่ ในคดีอาญาแผ่นดินท่ีมีผู้เสียหาย หากมีการพูดคุยกันจนจาเลย
สานึกผิด และจาเลยเยียวยาและชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เสียหายเป็นการบรรเทาผลร้ายแห่งความผิด
ผู้พิพากษาอาจพิพากษาให้รอการลงโทษจาเลยได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ให้โอกาส
จาเลยกลับสู่สังคม แต่พบปัญหาว่าหากไม่เข้าเง่ือนไขตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 เช่น
จาเลยต้องโทษจาคุกมาก่อน ก็จะรอการลงโทษจาเลยไม่ได้ และการท่ีผู้พิพากษาเป็นผู้ประสานการ
ประชุมอาจมองได้ว่าเป็นผู้มีอานาจเหนือทั้งจาเลยและผู้เสียหาย เน่ืองจากเป็นผู้ตัดสินคดี คู่กรณีอาจ
ยอมรับข้อเสนอต่าง ๆ โดยไม่เต็มใจ จาเลยมิได้รู้สึกสานึกผิด และผู้เสียหายมิได้ให้อภัยกันจริง ๆ ก็ได้
นอกจากนี้ยังพบว่า ขาดการมีส่วนร่วมจากบุคคลภายนอกหรือชุมชน เนื่องจากหากบุคคลบางคน
เข้าร่วมเจรจาจะทาให้การเจรจาสาเร็จได้ง่าย 3) กระบวนการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพในคดีอาญา
ในส่วนการอธิบายผลดีผลเสียในการดาเนินคดีต่างๆ เช่น หากจาเลยให้การรับสารภาพศาลลดโทษให้
ก่ึงหน่ึง แล้วจาเลยตัดสินใจให้การรับสารภาพ มีลักษณะเป็นการต่อรองคารับสารภาพ ในลักษณะการ
ต่อรองโทษ ซึ่งการต่อรองคารับสารภาพโดยทั่วไป มีข้อกังวลว่าอาจไม่เป็นที่พอใจของผู้เสียหายก็ได้
แต่ในกระบวนการดังกล่าวมีการนาผู้เสียหายเข้าร่วมเจรจาด้วย ทาให้แก้ไขปัญหาข้อกังวลเก่ียวกับ
ผู้เสียหายได้ แต่มีข้อควรระวัง หากมีการจูงใจด้วยการให้สัญญาว่าจะให้ประโยชน์ท่ีไม่มีการบัญญัติไว้
โดยกฎหมาย ล่อลวง หรือข่มขู่ให้จาเลยรับสารภาพ เป็นการขัดต่อสิทธิท่ีจะไม่ถูกบังคับให้เบิกความ
เป็นปรปักษต์ ่อตนเอง

เกียรติยศ ศักดิ์แสง. (2558). ได้ทาการศึกษาเรื่อง กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์
กับการระงับข้อพิพาทคดีอาญาตามเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญ : กรณีศึกษาในช้ันศาล ผู้วิจัยเห็นว่า
ควรให้ประเทศไทยบัญญัติกฎหมายกาหนดประเภทคดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเชิงสมา นฉันท์ใน
ชั้นศาลไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาให้ชัดเจน โดยมีขอบเขตดังต่อไปนี้ 1) ต้องเป็น
คดีอาญา 2) ต้องเป็นคดีอาญาที่มีเอกชนเป็นผู้เสียหายโดยตรง 3) คดีอาญานั้นจาเลยต้องให้การรับ
สารภาพก่อนเข้าสกู่ ระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ 4) ต้องเป็นคดอี าญาท่ีมีอัตราโทษจาคุกข้ันต่า
ไม่ถึง 5 ปี หรือปรับสถานเดียว 5) ผู้เสียหายและจาเลยต้องสมัครใจยินยอมเขา้ สู่กระบวนการยุติธรรม
เชิงสมานฉันท์ และ 6) ตอ้ งเป็นจาเลยทีก่ ระทาความผิดอาญาครง้ั แรก

ชิตพล กาญจนกิจ. (2559). ได้ทาการศึกษาเรื่อง ความร่วมมือระหว่างประเทศว่าด้วย
กระบวนการ ยตุ ิธรรมทางอาญาอาเซียน: ขอ้ เสนอเชิงยุทธศาสตร์เพื่อเตรียมความพร้อมเขา้ สปู่ ระชาคม
อาเซียน พบว่าจากการศึกษาภาพรวมกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของแต่ละประเทศในภูมิภาค
อาเซียน โครงสร้างของกระบวนการยุติธรรมทางอาญามีลักษณะคล้ายคลึงกัน กล่าวคือ หน่วยงานบังคับ
ใช้กฎหมายหลัก ประกอบด้วย ตารวจ อัยการ ศาล และราชทัณฑ์ โดยมีกลุ่มประเทศท่ีใช้ระบบ
ประมวลกฎหมาย (civil law) มี 5 ประเทศ คือ ไทย ลาว เวียดนาม กัมพูชา และอินโดนีเซีย และ
กลุ่มประเทศที่ใช้ ระบบ Common law มี 5 ประเทศ คือ เมียนมาร์ มาเลเซีย บรูไนดารุสซาลาม
สิงคโปร์ และ ฟิลิปปินส์ โดยรูปแบบการดาเนินคดีอาญาโดยทั่วไปของประเทศอาเซียนจะมีลักษณะ

145

คล้ายคลึงกัน โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ขั้นตอนหลัก คือ ขั้นตอนการสืบสวนสอบสวนและจับกุม
ขน้ั ตอนการฟ้องร้องดาเนินคดี ข้ันตอนการตดั สนิ พิจารณาคดี และขนั้ ตอนการลงโทษและรับโทษ

3.3.2 งำนวิจยั ตำ่ งประเทศ
Casebriefs. (2011). Kastigar V. United state, 406 u.s. 441 (1992) เป็ น

ก ร ณี ศึ ก ษ า เกี่ ยวกั บ การให้ ความคุ้ มกั น พยาน จากการถู กฟ้ องคดี ที่ ศาลสู งสุ ด แห่ งสห รั ฐอเมริ กา
มีคาพิพากษาว่า “รัฐสามารถบังคับให้พยานเบิกความต่อศาลได้ ถึงแม้ว่าจะขัดรัฐธรรมนูญ เก่ียวกับ
เอกสิทธิ์ในการไม่ให้การเป็นปฏิปักษ์แก่ตนเอง โดยแลกกับการได้รับความคุ้มกันจากการดาเนิน
คดีอาญาตามที่มีการบัญญัติไว้ใน 18 U.S.C. มาตรา 6002 โดยมีการคุ้มกันว่าจะไม่ใช้คาเบิกความ
และพยานหลกั ฐานทไี่ ด้มาจากคาเบกิ ความมาดาเนินคดีของบุคคลดังกลา่ ว

Queen’s Evidence-Immunities. (2013). ประเทศอังกฤษมีข้อเสนอแนะทาง
กฎหมาย (Legal Guidance) ในเรื่องข้อตกลงในการให้ความคุ้มครองพยานของรัฐภายใต้
พระราชบัญญัติองค์กรอาชญากรรมร้ายแรง และพระราชบัญญัติตารวจ ค.ศ. 2005 โดยผู้มีอานาจใน
การทาขอ้ ตกลง คือ

1) The Director of Public Prosecutions
2) The Director of the Serious Fraud Office
3) The Director of Public Prosecutions of Wales
4) Other Authorized Public Prosecutions
Singh (1997). ได้เสนอแนะในบทความวิจัยเร่ือง Strategic impact of transnational
crime ความร่วมมือระหว่างประเทศจะเป็นกลไกสาคัญที่จะทาให้ความร่วมมือด้านความมั่นคง
ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น การพัฒนากฎหมาย
ของประเทศในภูมิภาคให้มีมาตรฐานใกล้เคียงกัน การฝึกอบรมและแลกเปล่ียนบุคลากร การแลก
เปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร การจัดต้ังทีมปฏิบัติการร่วม การคุ้มครองพยาน และบทความพยายามตอบ
คาถามว่ารัฐอาเซียนควรจะมีแนวทางการจัดการกับปัญหาอาชญากรรมท่ีมีลักษณะข้ามพรมแดน
และไม่สามารถใช้กระบวนการทางกฎหมายภายในตามปกติ ได้เพียงอย่างเดียว รัฐอาเซียนควรจัดทา
ยุทธศาสตร์ว่าด้วยกระบวนการยุติธรรมทางอาญาร่วมกันเพ่ือเป็นเครื่องมือสาคัญท่ีจะเสริมสร้าง
ความรว่ มมือระหว่างหน่วยงานบังคับใชก้ ฎหมายของอาเซียนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยลดขอ้ จากัด
ดา้ นกฎหมายภายในรฐั และขยายความรว่ มมือของหน่วยงานบงั คับใช้กฎหมายในระดับภูมิภาคให้มากข้ึน
McDonald. (2011). ได้เสนอแนวคิดว่า การขยายขอบเขตอานาจของหน่วยงานบังคับ
ใช้กฎหมายของรัฐ และการสร้างสถาบันบังคับใช้กฎหมายระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ
มีความจาเป็นในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ เพราะองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ
มีแนวโน้มจะทางานร่วมกันลักษณะเครือข่ายและแลกเปล่ียนผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มมากกว่า
ในอดีต และปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติในภูมิภาคอาเซียนมีแนวโน้มเพ่ิมข้ึนทั้งในเชิงปริมาณ
ความรุนแรง และรูปแบบการกระทาความผิด เช่น การก่อการร้ายข้ามชาติ การค้ามนุษย์ การลักลอบ
ขนคนข้ามชาติ แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย การค้ายาเสพติดข้ามชาติ และอาชญากรรมคอมพิวเตอร์
ได้ใชป้ ระเทศอาเซียนเปน็ ท้งั ประเทศต้นทาง ทางผา่ น และปลายทางในการกระทาผิด

146

Foreign Affairs Division, Royal Thai Police. (2012). ในการประชุมหัวหน้าตารวจ
อาเซียน (ASEANAPOL) เป็นกลไกความร่วมมือระหว่างองค์การตารวจอาเซียนในระดับปฏิบัติ
โดยเป็นผลมาจากความตระหนักถึงผลร้ายของอาชญากรรมข้ามชาติต่อก ารเติบโตและการพัฒน า
ในภูมิภาค และต่อสังคมอาเซียนโดยรวม มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนระเบียบและกฎหมายท่ีใช้ใน
กลุ่มประเทศอาเซียน ส่งเสริมการพัฒนาและการดาเนินงานที่เป็นระบบในการบังคับใช้กฎหมายและ
การรักษาความสงบเรียบร้อย เสริมสร้างความร่วมมือร่วมใจ และความสามัคคีของตารวจอาเซียนใน
การต่อต้านการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ รวมถึงการพัฒนาขีดความสามารถท้ังในระดับ
องค์กรและบุคลากร และเพ่ือเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรตารวจในภูมิภาคอาเซียนให้
แน่นแฟน้ มากยิ่งข้ึน ผลลัพธ์ที่ได้จากการประชุมจะอยใู่ นรปู แถลงการณ์ร่วมท่ีเป็นข้อเสนอแนะหัวหน้า
ตารวจของประเทศสมาชิกนาไปเป็นแนวทางในการทางานร่วมกัน แม้ว่าข้อเสนอแนะท่ีเกิดข้ึนจะเป็น
เพียงกรอบนโยบายกว้าง ๆ และไม่มีพันธะผูกพันทางกฎหมาย แต่ในทางปฏิบัติ แถลงการณ์ดังกล่าว
ถือเป็นเจตจานงร่วมกันของผู้นาองค์กรบังคับใช้กฎหมายหลักของแต่ละประเทศที่จะต้ องใช้
ความพยายามอยา่ งทีส่ ุด

Raimundas Jurka. (2010). ได้เสนอแนะในบทความวิจัยเร่ือง Immunities of the
witness and witnessing in the criminal procedure: the problem of identity and relation
ดังน้ี การคุ้มกันของพยาน เป็นการรวมสององค์ประกอบคือ การคุ้มครองพยานและการคุ้มครองการ
เป็นพยาน ประการแรกเป็นการห้ามสอบปากคาบุคคลในฐานะพยานซึ่งอยู่บนพื้นฐานของบทบัญญัติ
ท่ีไม่อนุญ าตให้บังคับบุคคลให้สืบพ ยานอันอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ตนเองหรื อต่อผลประโยชน์
ทางวิชาชีพของตนได้ ประการท่ีสอง ความคุ้มกันในการเป็นพยานคือการอนุญาตให้ซักถามบุคคล
ในฐานะพยานเฉพาะในกรณีท่ีมีการปฏิบัติตามเงื่อนไขที่สอดคล้องท่ีกาหนดไว้ในกฎหมาย โดยมี
เง่ือนไขว่าอนุญาตให้ซักถามบุคคลนั้นเพื่อเป็นพยานถึงพฤติการณ์ที่ทาให้ความลับส่วนตัวหรือ
ทางอาชพี ของตนถูกเปดิ เผยโดยความยนิ ยอมและไม่ถูกบงั คับ

Eli Paul Mazur. (2000). สรุปในงานวิจัยเร่ือง Rational Expectationa of Eniency:
Implicit Plea Agreementd and the Prosecutor’s Role as a Minister of Justice ว่า ศาลและ
นักวิชาการได้ตระหนักถึงอันตรายที่เกิดจากเจรจาต่อรองเพื่อสืบพยาน อย่างไรก็ตาม ศาลฎีกายังคง
เห็นว่ากระบวนการป้องกันท่ีมีอยู่เพียงพอแล้ว การเข้มงวดในการปกป้องจาเลยจากอคติอันไม่เป็น
ธรรมซ่ึงเกิดข้ึนโดยต่อรอง-สืบพยานการป้องกันเหล่านี้ล้มเหลวในการปกป้องสิทธิของผู้ต้องหาโดยท่ี
คาให้การของพยานไมไ่ ด้จูงใจโดยขอ้ ตกลงข้ออ้างอย่างเป็นทางการ แต่ด้วยความคาดหวังของการผ่อน
ปรน คาให้การของพยานที่เกิดจากความคาดหวังของการผ่อนปรนอาจเกี่ยวขอ้ งกบั นโยบายท่ีเกย่ี วข้อง
อาจไม่น่าเชื่อถือภายใต้หลักนิติศาสตร์ข้อขัดแย้งของศาลฎีกา และอาจก่อให้เกิดปัญหาทางจริยธรรม
สาหรับอัยการ อย่างไรก็ตาม ปัญหาเหล่านี้สามารถบรรเทาลงหากระบบตุลาการทาให้เกิดการ
เปล่ียนแปลงท่ีสาคัญท่ีไม่ขัดต่อสามประเด็นในกฎปัจจุบันท่ีควบคุมคาให้การของผู้สมรู้ร่วมคิด ดังน้ี
โดยการสร้างข้อตกลงท่ีไม่ผูกมัดระหว่างผู้ร่วมกระทาผิดและพนักงานอัยการ ให้คาสั่งคณะลูกขุน
ที่เข้มงวด และอนุญาตสอบปากคาให้กว้างข้ึนโดยไม่มีอคติต่อจาเลยและผู้สมรู้ร่วมคิด ประจักษ์พยาน
ซึง่ ได้รับแรงบันดาลใจจากความคาดหวงั ที่มเี หตุผลของการผ่อนปรนท่ีสามารถบรรเทาลง

147

Silverman, Thompson, Slutkin & White. (2019). นาเสนอบทความเร่ือง Accomplice
Liability Rule Abrogation จากการทาคดีที่เกี่ยวข้องกับการพิพากษาคดีที่จาเลยถูกซัดทอดโดย
ผู้สมรู้ร่วมคิดของจาเลย เม่ือวนั ที่ 28 สิงหาคม 2019 มีการตัดสินคร้ังสาคัญ ศาลอุทธรณ์ได้ยกเลิกกฎ
ที่มีมายาวนาน ว่าจาเลยไม่สามารถถูกตัดสินว่ามีความผิดตามคาให้การของผู้สมรู้ร่วมคิดของจาเลย
เพียงอยา่ งเดียว โจนส์ ถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมนายแสนดีพ ภูลารี การสอบสวนนาไปส่ผู ู้ตอ้ งสงสัยหกคน
ลายน้ิวมือที่พบในที่เกิดเหตุเก่ียวข้องกับผู้ต้องสงสัยสคี่ น โจนส์มีส่วนเก่ียวข้องกับบัญชขี องผู้ต้องสงสัย
สามคนเท่าน้ัน การพิจารณาคดี ผู้ต้องสงสัยทั้งสามให้การเป็นพยานตามข้อตกลง นอกเหนือจาก
คาให้การแล้ว รัฐยังนาเสนอคาให้การจากนักสืบและผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวช พร้อมเสนอหลักฐาน
ทางกายภาพ ไม่มีหลักฐานทางกายภาพท่ีเกี่ยวข้องโดยตรงกับโจนส์ โจนส์ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐาน
สมรรู้ ว่ มคิดในคดีลักรถด้วยอาวธุ โจนสอ์ ุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิเศษตัดสินว่าคาให้การของผู้สมรู้ร่วมคิดไม่ได้รับการยืนยันโดยอิสระ จาก
หลักฐานอื่น และพบว่ามีการละเมิดกฎการยืนยันผู้สมรู้ร่วมคิด อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการของศาล
อทุ ธรณพ์ ิเศษเสนอให้ศาลอทุ ธรณ์พจิ ารณากฎการยืนยันผ้สู มรรู้ ว่ มคดิ อีกครั้ง

รัฐได้ย่ืนคาร้องขอหมายศาลซ่ึงได้รับจากศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ต้ังข้อสังเกตว่ากฎนี้
ใช้เฉพาะในรัฐส่วนน้อยเท่านั้น และพิจารณาแล้วว่ากฎน้ีมีพื้นฐานมาจากการให้เหตุผลทางกฎหมาย
ท่ลี า้ สมัย ศาลจงึ ยกเลกิ กฎความรบั ผดิ ของผู้สมรูร้ ่วมคิดตามทีไ่ ดก้ าหนดไว้ก่อนหน้าน้ี การตดั สินใจคร้ัง
น้ีปล่อยให้คณะลูกขุนประเมินความน่าเช่ือถือของคาให้การของผู้สมรู้ร่วมคิดเท่าน้ัน แทนที่จะใช้กฎ
ศาลอทุ ธรณ์ได้ส่ังให้ผูพ้ ิพากษาในการพิจารณาคดีออกคาส่ังเตือนเม่ือรัฐเลือกทจ่ี ะแนะนาคาให้การของ
ผู้สมรู้ร่วมคิด เน่ืองจากคาสั่งของคณะลูกขุนรูปแบบแมริแลนด์ในปัจจุบันที่เก่ียวข้องกับผู้สมรู้ร่วมคิด
ครอบคลุมกฎที่ยกเลกิ ไปแลว้ ในตอนนค้ี าสงั่ ของคณะลกู ขุนจะตอ้ งไดร้ บั การแก้ไข

[Grab your

148 reader’s

attention
with a great
quote from
the
document or
use this space
to emphasize
a key point.
To place this
text box
anywhere on
the page, just
drag it.]

ผังโครงสรำ้ งกฎหมำย/ระเบยี บ
และควำมเช่ือโยงท่ีเกีย่ วขอ้ ง

กำรกนั เป็นพยำน

โดย
พันตำรวจโท พเยำว์ ทองเสน
รองอธิบดกี รมสอบสวนคดพี ิเศษ





y[Go1ru5arb1

reader’

บทที่ 4 s
attenti

รำยงำนผลกำรสัมภำษณ์เชิงลึก on with
a great

quote

ผู้วจิ ัยได้ดาเนินการสัมภาษณ์เชิงลึกรายบุคล (In-depth Interview) เพ่ือให้ทราบถึงข้อคfิดroเหm็น

เก่ียวกับแนวทางการกันผู้ต้องหาหรือผู้กระทาความผิดเป็นพยานในคดีพิเศษเพ่ือการพัฒนากฎtหhมeาย

ในระหว่างเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน 2564 โดยมีผู้ให้ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ รวมจานวน 1d7oรcาuยm
ใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) ลักษณะของกลุ่มท่ีเลือกเป็นไปตามวัตถุปรeะnสtงoคr์
ขคอวางโมคเขรง้ากใจารมวีปิจัยระผสู้ไบดก้ราับรเณลือ์ในกเงปา็นนผดู้ท้านี่มกีกราะรบดาวเนนกินางรายนุตเิกธร่ียรวมข้อกงรกะับบกวรนมกสาอรบยสุตวิธนรรคมดทีพาิเงศอษาญมีคาtusวopsแาeaลมctะeรhู้ is
การสบื สวนสอบสวนคดพี เิ ศษตามกฎหมายวา่ ด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ และกฎหมายอืน่ ๆ ทเ่ี กย่ี eวmขอ้pงha

4.1 กำรแบง่ กล่มุ ผู้ใหส้ มั ภำษณ์ size a
key
ผู้ใหข้ ้อมลู จากการสัมภาษณ์เชิงลกึ ได้แบ่งกลุ่มของผใู้ ห้ข้อมลู ออกเป็น 4 กล่มุ ดังนี้ point.

4.1.1 กล่มุ อดีตผ้บู ริหารกระทรวงยุติธรรมและอดีตผบู้ ริหารกรมสอบสวนคดีพเิ ศษ To

4.1.2 กลุม่ พนกั งานอยั การ สานกั งานอยั การสูงสุด place
4.1.3 กลมุ่ ผูบ้ ริหารระดบั หวั หน้าหนว่ ยงานในสงั กัดกรมสอบสวนคดีพเิ ศษ this
4.1.4 กลุ่มผู้เชย่ี วชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ text
box

4.2 รำยชอ่ื ผใู้ หส้ มั ภำษณ์ anywh
ere on

the

ตารางท่ี 5 รายช่ือกลุ่มอดตี ผ้บู ริหารกระทรวงยุติธรรมและอดีตผู้บริหารกรมสอบสวนคดีพpเิ aศgษe,
just
ที่ รายชื่อ ตาแหน่ง drag it.]

1 ศาสตราจารย์ (พเิ ศษ) จรญั อดีต ปลดั กระทรวงยตุ ิธรรม

ภักดธี นากุล อดีต ตลุ ากรศาลรฐั ธรรมนูญ

อดีต ตุลาการศาลยตุ ิธรรม

2 นายชาญเชาวน์ ไชยานุกจิ อดตี ปลัดกระทรวงยตุ ิธรรม

3 นายธารติ เพง็ ดิษฐ์ อดีต อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ

อดตี เลขาธิการ ป.ป.ท.

4 พ.ต.ท.ประวธุ วงสีนลิ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยตุ ธิ รรม

อดตี รองปลัดกระทรวงยุตธิ รรม

อดีต รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพเิ ศษ

5 พ.ต.ต.สุรยิ า สิงหกมล ทีป่ รกึ ษาเฉพาะด้านนโยบายและการบรหิ ารงาน

ยตุ ธิ รรม

อดตี รองเลขาธกิ าร ป.ป.ส.

อดตี รองอธิบดกี รมสอบสวนคดีพิเศษ

152

ตารางที่ 6 รายช่ือกลมุ่ พนักงานอยั การ สานักงานอยั การสงู สดุ

ท่ี รายชื่อ ตาแหนง่

1 นายวริ ุฬห์ ฉันทธ์ นนันท์ อธบิ ดีอัยการ สานกั งานคดพี ิเศษ

อดตี รองอธบิ ดอี ัยการคดีพเิ ศษ สานกั งานคดีพเิ ศษ

(ขณะสัมภาษณ์)

2 นายกุลธนิต มงคลสวัสด์ิ อธบิ ดีอยั การ สานักงานการสอบสวน

อดตี รองอธบิ ดีอัยการคดีพิเศษ สานกั งานคดีพเิ ศษ

(ขณะสัมภาษณ์)

3 นายวชั รินทร์ ภาณุรตั น์ รองอธิบดีอยั การ สานักงานการสอบสวน

อดีต อยั การพเิ ศษฝา่ ยการสอบสวน 2

สานักงานการสอบสวน (ขณะสมั ภาษณ)์

4 นายเทพประทานพร ทองคลัง อยั การจงั หวดั ประจาสานกั งานอยั การสงู สดุ

สานกั งานคดีพเิ ศษ

ตารางท่ี 7 รายช่ือกลมุ่ ผู้บริหารระดบั หวั หน้าหนว่ ยงานในสงั กัดกรมสอบสวนคดีพิเศษ

ท่ี รายช่ือ ตาแหนง่

1 พ.ต.ท.พเยาว์ ทองเสน รองอธบิ ดีกรมสอบสวนคดีพเิ ศษ

อดตี ผอู้ านวยการกองคดีทรพั ยส์ ินทางปญั ญา

(ขณะสมั ภาษณ์)

2 พ.ต.ท.ยุทธนา แพรดา รองอธบิ ดีกรมสอบสวนคดีพเิ ศษ

อดตี ผู้อานวยการกองคดีการเงินการธนาคารและ

การฟอกเงิน (ขณะสมั ภาษณ์)

3 ร.ต.อ.ปยิ ะ รักสกลุ รองอธบิ ดีกรมสอบสวนคดีพเิ ศษ

อดีต ผู้อานวยการกองบริหารคดพี ิเศษ

(ขณะสัมภาษณ์)

4 ร.ต.อ.สรุ วฒุ ิ รงั ไสย์ ผอู้ านวยการกองคดคี วามผิดเกี่ยวกบั

การเสนอราคาตอ่ หน่วยงานของรฐั

ตารางท่ี 8 รายช่ือกลมุ่ ผ้เู ช่ียวชาญเฉพาะดา้ นคดพี ิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ

ที่ รายชอื่ ตาแหน่ง

1 พ.ต.ต.วรณัน ศรีลา้ ผอู้ านวยการกองบริหารคดพี เิ ศษ

อดีต ผเู้ ช่ยี วชาญเฉพาะดา้ นคดพี ิเศษ

(ขณะสมั ภาษณ์)

2 พ.ต.ท.ชลภทั ร ปานสกณุ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะดา้ นคดพี เิ ศษ

3 พ.ต.ท.อานนท์ อุนทริจันทร์ ผู้เช่ยี วชาญเฉพาะดา้ นคดพี ิเศษ

4 พ.ต.ต.ณฐพล ดษิ ยธรรม ผเู้ ชย่ี วชาญเฉพาะดา้ นคดพี ิเศษ

153

4.3 ประเด็นกำรสัมภำษณเ์ ชิงลึก
การสัมภาษณ์เชงิ ลึกในโครงการวิจัยน้ีคานึงถึงการได้มาซึ่งข้อมูลที่ครอบคลมุ ในประเด็นสาคัญ

อันจะนาไปสู่การวิเคราะห์และจัดทาข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการกันผู้ต้องหาหรือผู้กระทาความผิดเป็น
พยานในคดีพิเศษเพื่อการพัฒนากฎหมาย ประกอบด้วยข้อคาถามเก่ียวกับความคิดเห็นในประเด็น
ดังตอ่ ไปนี้

4.3.1 สภาพปญั หาในการแสวงหาพยานหลักฐานในคดพี เิ ศษมอี ะไรบา้ ง
4.3.2 ควรจะมีวิธีการเพ่ิมประสทิ ธิภาพในการแสวงหาพยานหลักฐานในคดีพเิ ศษอยา่ งไร
4.3.3 การกาหนดแนวทางการกันผู้ต้องหาเป็นพยานจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการ
สบื สวนสอบสวนและการแสวงหาพยานหลกั ฐานในคดพี เิ ศษไดห้ รือไม่
4.3.4 ควรสนับสนุนให้มีการบัญญัติกฎหมายเพ่ือรองรับและตรวจสอบพนักงานสอบสวน
คดพี ิเศษในการใชด้ ลุ พินจิ การกนั ผู้ตอ้ งหาเป็นพยานในคดีพเิ ศษหรือไม่
4.3.5 มาตรการท่จี ะกากบั /ตรวจสอบการกนั ผู้ต้องหาเป็นพยานในคดีพิเศษมีอะไรบา้ ง
4.3.6 การกาหนดแนวทาง/ระเบียบในการกันผู้ต้องหาเป็นพยานในคดีพิเศษมีผลดี/ผลเสีย
อย่างไร
4.3.7 ข้อควรระวัง/ข้อสังเกตในการกันผู้ต้องหาเป็นพยานเพ่ือการอานวยความยุติธรรม
ในภาพรวม
4.3.8 ข้อเสนออื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสืบสวนสอบสวนและการแสวงหา
พยานหลักฐานในคดพี เิ ศษ
ดงั มรี ายละเอียดและสรุปผลการสมั ภาษณเ์ ชิงลกึ ไดด้ งั น้ี

4.4 ผลกำรสัมภำษณเ์ ชงิ ลึกรำยบคุ คล (ไม่เรยี งลำดับตำมรำยช่ือผใู้ หส้ ัมภำษณ์)
4.4.1. ผู้ให้สัมภำษณค์ นที่ 1110
(1) สภำพปญั หำในกำรแสวงหำพยำนหลักฐำนในคดีพิเศษมอี ะไรบ้ำง
“การตั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นหน่วยงานหลักในการทา

หน้าที่ป้องกัน ปราบปราม หรือควบคุมอาชญากรรมท่ีมีลักษณะพิเศษตามที่กฎหมายว่าด้วย
การสอบสวนคดีพิเศษ กาหนดให้มีประสิทธิภาพ จุดน้ีคือหัวใจของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หากเรา
ทางานแล้วไม่สามารถสร้างความแตกต่างในการบังคับใช้กฎหมายได้ การเป็นหน่วยงานบังคับใช้
กฎหมาย (Law Enforcement) ไม่มีความหมายที่สาคัญ สังคมมีความคาดหวังกับกรมสอบสวน
คดีพิเศษในการป้องกัน ปราบปราม อาชญากรรมในโลกยุคใหม่ท่ีมีความซับซ้อน มีการใช้เทคโนโลยี
เข้าร่วมกระทาความผิด ส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
อาชญากรรมข้ามชาติ ผู้ทรงอิทธิพล หัวใจสาคัญในการทาคดีพิเศษเหล่าน้ี คือ พยานหลักฐานท่ีจะ
นามาพิสูจน์ว่าบุคคลนั้นกระทาความผิดหรือเป็นผู้บริสุทธ์ิ ถ้าไม่สามารถแสวงหาและรวบรวม
พยานหลักฐาน ไม่ว่าจากบุคคลท่ีมีส่วนเก่ียวข้องหรือพยานหลักฐานอ่ืน ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แล้วก็จะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทาหน้าท่ีของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษไม่เป็นไปตามท่ีสังคม
คาดหวัง

110สัมภาษณเ์ มื่อวันที่ 15 มถิ ุนายน 2564

154

พยานหลักฐานท่ีใช้ในปัจจุบัน ได้แก่ พยานบุคคล พยานวัตถุ พยานเอกสาร และ
พยานทางนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งสภาพปัญหาที่เก่ียวข้องกับการแสวงหาและรวบรวมพยานหลักฐาน
ของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดพี ิเศษ ไดแ้ ก่

- เครื่องมือที่มีอยู่อาจมีประสิทธิภาพไม่เพียงพอต่อการรวบรวมพยาน หลักฐาน
เช่น ข้อมูลดิจิทัล ถ้ารวบรวมไม่ทันเวลา หรือทาผิดวิธี/ข้ันตอน พยานหลักฐานก็เสียหายหรือสูญหาย
หรอื ไม่สามารถรับฟงั ได้ในช้ันศาล ซง่ึ กจ็ ะต้องเสียไป

- ปัญหาการสง่ ขอ้ มลู ระหว่างประเทศ ถงึ แม้การติดต่อสอ่ื สารในปัจจุบันจะกระทา
ได้โดยง่ายและเร็วข้ึนกว่าในอดีต แต่ก็อาจติดขัดปัญหาในการดาเนินการระหว่างรัฐต่อรัฐ ทาให้ได้
หลักฐานมาไม่ทันกบั ระยะเวลาในการฟ้องคดี

- สิ่งที่สาคัญกว่าพยานหลักฐาน คือ กระบวนท่ีได้มาซ่ึงหลักฐานนั้นชอบด้วย
กฎหมายหรือไม่ ถ้าพยานหลักฐานชอบ แต่กระบวนการท่ีได้มาไม่ชอบ ศาลต้องใช้ดุลยพินิจซึ่งอาจ
ทาใหพ้ ยานหลกั ฐานไมถ่ กู รับฟงั ในชนั้ ศาลได้

- พยานบุคคลถือได้ว่าเป็นพยานพื้นฐานท่ีสาคัญที่สุดในทุกสานวนคดี เพราะ
วัตถุหรือเอกสารเล่าตัวเองไม่ได้ พยานบุคคลจะทาหน้าที่ในการนาข้อเท็จจริงเช่ือมโยงเข้าหากันใน
คดีสาคัญ เช่น คดอี าชญากรรมข้ามชาติหรือคดเี กี่ยวกับผู้มีอิทธพิ ลจะหาพยานบคุ คลไดย้ าก ถา้ บอกว่า
ตนเองรู้เห็นก็เกรงกลัวว่าตนเองจะถูกดาเนินคดีไปด้วย หรืออาจถูกข่มขู่จากผู้มีอิทธิพลในรูปแบบ
ตา่ ง ๆ

- ระยะเวลาในการเข้าไปรับทาคดี เป็นช่วงเวลาท่ีห่างจากเวลาเกิดเหตุเป็นระยะ
เวลานานเช่น “คดีบิลล่ี พอละจี ท่ีหายตัวไป” การแสวงหาพยานหลักฐานก็ยากยิ่งขึ้น และพยานหลักฐาน
ต่าง ๆ อาจถูกทาลาย

- ปัญหาการประสานข้อมูลกันกับฝ่ายปกครองและตารวจ ถึงแม้จะมีอานาจตาม
กฎหมายท่ีมีอยู่ตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษฯ (มาตรา 22, 24) แต่ผู้ทรงอิทธิพลในพ้ืนท่ี
กลุ่มเครือข่ายอาชญากรรม คนในพ้ืนท่ีใกล้คนร้ายอาจไม่กล้าให้ความร่วมมือเพราะกลัวว่าจะเจอ
ปญั หาในการทางาน

จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่าสภาพปัญหาของคดีพิเศษมีอยู่จานวนมาก
และเป็นสภาพปัญหาที่ยากจนบางคร้ังกลายเป็นอุปสรรคในการดาเนินคดีพิเศษได้อย่างมาก

(2) ควรจะมีวิธีกำรเพ่ิมประสิทธิภำพในกำรแสวงหำพยำนหลักฐำนในคดีพิเศษ
อยำ่ งไร

“พยานบุคคล เป็นพยานหลักฐานที่สาคัญท่ีสุดในการทาสานวนคดีพิเศษ แต่เป็น
พยานท่ีรวบรวมได้ยากที่สุด เพราะธรรมชาติของมนุษย์ท่ีมีกลไกป้องกันตัวเอง โดยเฉพาะอย่างย่ิง
ถ้าเขามีส่วนเก่ียวข้องกับการกระทาความผิด ในมุมมองของการแสวงหาพยานหลักฐานควรมีกลไก
หรือวธิ ีการบางอย่างท่ีถูกตอ้ งตามกฎหมายท่ีสามารถทาใหเ้ ขาซ่ึงอาจจะเก่ียวข้องอยู่บ้างในการกระทา
ความผิด มีทางที่จะเขา้ มาส่กู ระบวนการยุตธิ รรมโดยเขา้ มาสนับสนนุ ภาครัฐแทนที่จะเป็นเครอ่ื งมอื ของ
ฝา่ ยผู้ต้องหา ซ่ึงปัจจุบันในการดาเนินคดีอาญาของรัฐที่เป็นระบบไต่สวน ซ่ึงเป็นการดาเนินคดีในส่วน
ของสานักงาน ป.ป.ช และสานักงาน ป.ป.ท มีกฎหมายเกี่ยวกับการกันผู้กระทาความผิดเป็นพยานไว้
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 แต่การดาเนินคดีอาญาของรัฐท่ีเป็นระบบกล่าวหายังมีเพียงกฎหมายเดียวคือ
กฎหมายการคุ้มครองพยาน แต่ยังไม่มีกฎหมายเก่ียวกับการกันผู้กระทาความผิดเป็นพยาน ซึ่งในการ

155

สอบสวนคดีอาญาท่ีเป็นคดีพิเศษตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไข
เพ่ิมเตมิ จาเป็นอย่างย่ิงท่ีควรจะมีกลไกน้ี”

(3) กำรกำหนดแนวทำงกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนจะสำมำรถเพิ่มประสิทธิภำพ
ในกำรสืบสวนสอบสวนและกำรแสวงหำพยำนหลักฐำนในคดพี ิเศษได้หรือไม่

“ควรจะมีบทบัญญัติของกฎหมาย ซ่ึงการเขียนกฎหมายสามารถเขียนได้ 2 แบบ
คือ แบบท่ี 1 คือ เขียนไว้ในกฎหมายกลาง ซ่ึงเป็นเรื่องวิธีพิจารณาความซ่ึงจะอยู่ในประมวลวิธีพิจารณา
ความอาญา แบบท่ี 2 คือ เขียนไว้ในกฎหมายเฉพาะ เมื่อเข้าไปดูหมายเหตุในท้ายพระราชบัญญัติ
การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 มีการกาหนดไว้ว่า ให้มีวิธีการสืบสวนสอบสวนเป็นการเฉพาะ ฉะนั้น
จึงอาจจะเพ่ิมเติมบทบัญญัติบางประการในพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษฯ ท่ีใช้สาหรับ
คดพี เิ ศษเป็นการเฉพาะ โดยเปน็ มาตราเพม่ิ เตมิ สามารถกระทาได้”

(4) ควรสนับสนุนให้มีกำรบัญญัติกฎหมำยเพ่ือรองรับและตรวจสอบพนักงำน
สอบสวนคดีพเิ ศษในกำรใช้ดลุ พินจิ กำรกนั ผตู้ อ้ งหำเป็นพยำนในคดพี เิ ศษหรือไม่

ให้การสนับสนุน เพราะการปฏิบัติงานต้องยึดหลักนิติธรรม คือ ไม่มีกฎหมาย
กาหนดก็ทาไม่ได้ กรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นองค์กรมืออาชีพ ต้องให้ความสาคัญของกระบวนการ
ขัน้ ตอนทีม่ ีกฎหมายใหอ้ านาจและทาตามท่ีกฎหมายให้อานาจอย่างเคร่งครัด

(5) มำตรกำรท่ีจะกำกับ/ตรวจสอบกำรกนั ผูต้ ้องหำเป็นพยำนในคดีพิเศษมีอะไรบำ้ ง
เห็นควรใช้แนวทางเดียวกับกฎหมาย ป.ป.ช. และ ป.ป.ท. ในมาตรา 135

กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ปี 2561 ส่วน ป.ป.ท. ตามกฎหมายปี 2551 ในมาตรา 58 ที่เขยี นไว้ว่า
ตามหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการกาหนด โดยให้คณะกรรมการคดีพิเศษเป็นผู้กาหนด
เงื่อนไขภายใต้การบริหารงานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ และโครงการวิจัยนี้ควรกาหนดรายละเอียด
ลงไปให้ชัดเจนว่าสมควรมีเงื่อนไขอะไรบ้าง หรือมีมาตรการอะไรบ้างที่เป็นลักษณะ checklist เร่ือง
การกนั ผู้ต้องหาเป็นพยานที่สามารถนามาปรับใช้ได้ในทกุ ประเภทคดี

ข้ันตอนท่ีจะพิจารณากันผู้ต้องหาคนใดเป็นพยาน เห็นด้วยที่ควรจะมีการแต่งต้ัง
คณะกรรมการข้ึนมาคณะหนึ่งเพ่ือช่วยกลั่นกรอง โดยอาจจะเป็นคณะกรรมการท่ีคณะกรรมการ
คดพี เิ ศษเปน็ ผแู้ ต่งตงั้ หรือเปน็ คณะกรรมการที่กาหนดไว้ในระเบียบภายในกรมสอบสวนคดีพเิ ศษก็ได้

ผู้กระทาความผิดที่จะเข้าไปสู่การกันเป็นพยานจะต้องถูกแจ้งข้อหาตามประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 ก่อน ถ้าผู้นั้นกลับคาให้การภายหลั ง ก็จะสามารถนา
มาตรา 134 กลับมาดาเนินคดีใหม่ได้ เพียงแต่ยังไม่ส่งพนักงานอัยการ โดยพิจารณาคาให้การใหม่
ว่าเป็นประโยชน์ต่อรัฐมากกว่าการถูกดาเนินคดีหรือไม่ หากเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีจึงสมควร
ท่ีจะกันเป็นพยาน โดยเม่ือมีคาสั่งกันเป็นพยานแล้วก็ให้พ้นจากสถานะผู้ต้องหาท่ีต้องถูกดาเนินคดี
การสอบสวนตอ่ ไปก็มีสถานะเป็นพยานแทนผูต้ ้องหา

(6) กำรกำหนดแนวทำง/ระเบียบในกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนในคดีพิเศษมีผลดี/
ผลเสียอย่ำงไร

ผลเสียส่วนใหญ่จะเกิดจาก “คน” เพราะฉะน้ันก็จะให้ความสาคัญเร่ืองคน
กลไกในการเลือกว่าจะกันผู้ใดหรือผู้กระทาความผิดรายใดไว้เป็นพยานน้ัน ไม่ควรใช้ดุลยพินิจของ
บุคคลเพียงคนเดียว ต้องผ่านการพิจารณาให้ความเห็นชอบจากผู้บังคับบัญชาตามลาดับชั้น เน่ืองจาก
ผู้บังคับบัญชาในแต่ละระดับจะมีมุมมองหลากหลาย และสามารถอธิบายถึงความโปร่งใสได้

156

กระบวนการทางานภายในต้องมีระบบกลไกท่ีดีและเข้มแข็ง เพราะถ้าเรามีกลไกท่ีไม่เข้มแข็งจะทาลาย
ความน่าเชื่อถือความศรัทธาต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในการกันผู้ต้องหาเป็นพยานก็จะมีลักษณะ
ท่ีแจ้งว่าให้เอาผู้ต้องหาออกจากระบบช่ัวคราวเพ่ือไปทาหน้าท่ีพยาน จึงควรมีข้อกาหนดให้ชัดเจน
ในกฎหมายว่า ถ้าพยานไม่ไปศาลหรอื กลับคาใหก้ ารกต็ ้องกลบั มาเปน็ ผตู้ ้องหาตามเดิม

(7) ข้อควรระวัง/ข้อสังเกตในกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนเพ่ือกำรอำนวยควำม
ยุติธรรมในภำพรวม

ควรระวังเรือ่ งการใช้ดุลพินจิ ต้องมีความชัดเจนในวธิ ีการปฏิบัตแิ ละเป็นมาตรฐาน
เดยี วกนั ท่วั ทงั้ องคก์ ร

(8) ข้อเสนออ่ืน ๆ เพ่ือเพิ่มประสิทธิภำพในกำรสืบสวนสอบสวนและกำรแสวงหำ
พยำนหลกั ฐำนในคดีพเิ ศษ

ความเห็นส่วนตัว เห็นว่าควรเพ่ิมใน มาตรา 23/2 แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวน
คดีพิเศษ พ.ศ. .... เน่ืองจาก มาตรา 23 เป็นมาตราท่ัวไปท่ีว่าด้วยการสอบสวนตามประมวลกฎหมาย
วธิ พี จิ ารณาความอาญา ในมาตรา 24 เปน็ เร่อื งเคร่อื งมือพิเศษเฉพาะเรื่อง

4.4.2 ผู้ให้สัมภำษณ์คนท่ี 2111
(1) สภำพปญั หำในกำรแสวงหำพยำนหลักฐำนในคดพี เิ ศษมอี ะไรบ้ำง
ก่อนจะกล่าวถึงเร่ืองสภาพปัญหา เราต้องทราบก่อนว่าปัญหามีท่ีมามาจากอะไร

เรื่องนี้เป็นเร่ืองการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานในคดีอาญา เนื่องจากประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความอาญาที่เป็น Due Process กาหนดให้พนักงานสอบสวนต้องดาเนินการ ซึ่งต้อง
ดาเนินการตามท่ีกฎหมายกาหนดดังกล่าว และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176
กาหนดว่าในคดที ี่มีโทษจาคกุ 5 ปีข้ึนไป ศาลต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจาเลยกระทาผิดจริง
ถึงจะลงโทษ มาตรา 227 กาหนดว่า เม่ือมีความสงสัยตามสมควรว่าจาเลยได้กระทาความผิดจริง
หรือไม่ ให้ศาลยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จาเลย น่ีคือท่ีมา ซึ่งเป็นเกณฑ์ท่ีบัญญัติให้
ศาลต้องดาเนินการตามท่ีกาหนด จึงเป็นหน้าที่ที่พนักงานสอบสวนต้องรวบรวมพยานหลักฐาน
ให้เป็นที่พอใจของศาลหรือต้องทาให้ศาลปราศจากข้อสงสัย ไม่เช่นน้ันก็จะไม่สามารถนาไปสู่การ
พิพากษาลงโทษได้ มาตรา 131 ให้พนักงานสอบสวนรวบรวมหลักฐานทุกชนิดเท่าท่ีสามารถจะทาได้
เพื่อประสงค์จะทราบข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ต่าง ๆ อันเกี่ยวกับความผิดท่ีถูกกล่าวหา เพ่ือจะรู้ตัว
ผู้กระทาผิดและพิสูจน์ให้เห็นความผิดหรือความบริสุทธ์ิของผู้ต้องหา มาตรา 226 พยานวัตถุ พยาน
เอกสาร หรือพยานบุคคลซ่ึงน่าจะพิสูจน์ได้ว่าจาเลยมีผิดหรือบริสุทธิ์ ให้อ้างเป็นพยานหลักฐานได้
แต่ต้องเป็นพยานชนิดท่ีมิได้เกิดข้ึนจากการจูงใจ มีคามั่นสัญญา ขู่เข็ญ หลอกลวงหรือโดยมิชอบ
ประการอ่ืน และให้สืบตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายน้ีหรอื กฎหมายอื่นอันว่าด้วยการสืบพยาน
โดยที่กล่าวมาทั้งหมดคือที่มา จึงนามาสู่การปฏิบัติงานจริงของพนักงานสอบสวน ซึ่งในทางปฏิบัติ
พนักงานสอบสวนคดีพเิ ศษไมส่ ามารถทาไดต้ ามทก่ี ฎหมายกาหนด จึงเกดิ เป็นสภาพปัญหาข้ึนมา

ในการกระทาความผิดที่กระทากันโดยลับ ๆ มีความซับซ้อน เป็นขบวนการ
ข้ามชาติ หรือคดีจ้างวานฆ่า คดีเหล่านี้จะมีแค่ผู้กระทาผิดด้วยกันเองท่ีรู้เห็น พยานหลักฐานหาได้
ยากมาก และกรณีท่ีผู้กระทาผิดมีความรู้ เช่น เป็นเจ้าหน้าท่ีของรัฐที่กระทาความผิดเสร็จแล้วก็ทาลาย

111สมั ภาษณเ์ มื่อวนั ท่ี 31 พฤษภาคม 2564

157

พยานหลักฐาน ย่ิงทาให้การหาพยานหลักฐานยากข้ึนไปอีก ซ่ึงคดีเหล่าน้ีมีลักษณะเป็นคดีพิเศษ
สว่ นใหญ่ทาให้พนักงานสอบสวนไม่สามารถรวบรวมพยานหลักฐานได้ ทางคดีไม่มีพยานหลักฐานหรือ
มีแต่น้อยและไม่เพียงพอที่จะไปถึงศาลท่ีจะทาให้ศาลพอใจหรือปราศจากข้อสงสัย เป็นเหตุทาให้เกิด
การยกฟ้อง หรือเป็นเหตุให้พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้อง ซึ่งในทางความเป็นจริงมีเยอะมาก ท้ัง ๆ ที่
ในทางสืบสวนทราบว่าผู้กระทาความผิดน่าจะเป็นใคร แต่ด้วยหลักของการใช้กฎหมายพยานหลักฐาน
นามาใชใ้ นคดี ทาให้เอาผดิ กบั ผู้กระทาความผดิ น้นั ไม่ได้ น่คี ือสภาพปัญหา

(2) ควรจะมีวิธีกำรเพ่ิมประสิทธิภำพในกำรแสวงหำพยำนหลักฐำนในคดีพิเศษ
อย่ำงไร

วิธีการเพ่ิมประสิทธิภาพในการแสวงหาพยานหลักฐานในคดีอาญาตามประมวล
วิธีพิจารณาความอาญา คือ เรียก ค้น ยึด หากเป็นบุคคลก็เรียกมาเพ่ือสอบปากคาแล้วบันทึกเป็น
ถ้อยคาในสานวน หากเป็นพยานวัตถุ พยานเอกสาร ก็ไปค้นไปยึดแล้วนาเข้าสานวน แต่หากจะเพิ่ม
ประสทิ ธิภาพในการแสวงหาพยานหลักฐานให้มากยิง่ ขน้ึ มหี ลายวิธกี าร จากประสบการณ์ก็มตี ง้ั แต่

1) การลงพ้ืนท่ีเข้าจุด Casing เพื่อสะกดรอย ติดตาม และรวมท้ังการใช้
อปุ กรณ์พิเศษมาชว่ ย เช่น GPS ใช้กล้องวงจรปดิ ใช้การดักฟัง เปน็ ตน้

2) การเข้าถึงข้อมูล Data base กับหน่วยงานต่าง ๆ ท่ีมีอยู่ อาทิ โทรศัพท์
ขอ้ มลู ทาง Social Media ปจั จุบันน้ีจะเปน็ Facebook Instagram หรอื online เปน็ ตน้

3) การล่อซ้ือ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทาให้มีประสิทธิภาพในการได้พยาน
หลกั ฐานมากข้นึ เป็นการล่อซอื้ แต่ไม่ไดล้ อ่ ให้กระทาความผิด ล่อให้ไดพ้ ยานหลักฐาน

4) วิธีการสาคัญอีกวิธีการก็คือเร่ืองการกันผู้ต้องหาเป็นพยานเป็นวิธีการ
เพมิ่ ประสิทธิภาพในการแสวงหาพยานหลักฐานได้ดีมาก ๆ วิธีหน่งึ

(3) กำรกำหนดแนวทำงกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนจะสำมำรถเพิ่มประสิทธิภำพ
ในกำรสบื สวนสอบสวนและกำรแสวงหำพยำนหลักฐำนในคดีพิเศษไดห้ รอื ไม่

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา การกันผู้ต้องหาเป็นพยานเป็นวิธีการเพ่ิมประสิทธิภาพ
ในการสืบสวน สอบสวน และการแสวงหาพยานหลักฐานได้ดีมาก แต่ต้องมีการกาหนดแนวทางที่ชัดเจน
ผู้กระทาผิดด้วยกันเขาจะเป็นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ รู้เห็นเหตุการณ์ด้วย มีส่วนร่วมเกี่ยวข้องในการกระทา
ไม่ว่าจะเป็นตัวการร่วม แบ่งหน้าที่กันทา หรือจะเป็นผู้ใช้ เป็นผู้ช่วยเหลือ สนับสนุนในการกระทา
ความผิดท้ังก่อนและขณะเกิดเหตุ เขาก็จะรู้เห็นทั้งหมด หรือบางส่วน สามารถสอบถามเร่ืองสถานท่ี
เกิดเหตุ เร่ืองอุปกรณ์ เร่ืองการกระทาต่าง ๆ ได้อย่างมาก เป็นการที่ไม่ดาเนินคดีกับผู้กระทาความผิด
รายหน่ึงรายใด โดยการใช้ผู้ที่มีส่วนร่วมหรือเกี่ยวข้องในการกระทาความผิดน้อยท่ีสุด เพราะพนักงาน
สอบสวนต้องการที่จะดาเนินคดีกับตัวการหลัก ตัวการสาคัญ เช่น ถ้าเป็นคดีจ้างวานฆ่า ผู้ท่ีจัดหาอาวุธ
ปืนให้ หรือผู้ท่ีทาหน้าที่ชี้เป้าให้ ก็จะถูกกันไว้เป็นพยานได้ ซ่ึงในอาชญากรรมแต่ละรูปแบบจะมีการ
รว่ มกันกระทาความผิดของบุคคลหลายคน ซ่ึงจะกระทาความผิดแตกต่างกันตามหน้าท่ีท่ีได้รับมอบหมาย
ซงึ่ พนักงานสอบสวนคดพี ิเศษสามารถนาจุดนีม้ าใช้พจิ ารณาเร่ืองการกันเป็นพยานได้

(4) ควรสนับสนุนให้มีกำรบัญญัติกฎหมำยเพื่อรองรับและตรวจสอบพนักงำน
สอบสวนคดีพเิ ศษในกำรใชด้ ลุ พินิจกำรกนั ผ้ตู ้องหำเป็นพยำนในคดีพิเศษหรือไม่

สนับสนุน เพราะจะทาให้การดาเนินคดีพิเศษมีประสิทธิภาพมากย่ิงข้ึนเป็น
เครื่องมืออย่างหน่ึงในการรวบรวมพยานหลักฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

158

มาตรา 131 และมาตรา 226 ท่ีกล่าวไปแล้ว และจากการศึกษาประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ
อาญาไม่มีมาตราใดที่บัญญัติห้ามเร่ืองน้ีว่ากระทาไม่ได้ อีกทั้งยังพบว่ามีคาพิพากษาฎีกาหลายคร้ัง
ที่ยนื ยนั ให้ใช้เป็นบรรทัดฐานไดว้ ่า การกันผู้กระทาความผดิ เป็นพยาน พนกั งานสอบสวนสามารถทาได้
และโดยชอบ เพียงแต่ว่าผู้กระทาความผิดท่ีกันเป็นพยานนั้นจะต้องไม่ใช่เป็นตัวการหลัก และเป็นผู้ท่ี
ร่วมกระทาความผิดน้อยท่ีสุด และในการกันเป็นพยานจะต้องไม่เกิดจากการให้คามั่นสัญญาจูงใจของ
พนักงานสอบสวน นี่คือหลักหรือเงื่อนไขที่สาคัญ ไม่เช่นน้ันการกันไว้เป็นพยานดังกล่าวจะไม่ชอบ
จึงควรเสนอใหม้ ีการการบัญญัติกฎหมายเพือ่ รองรบั การกนั ผ้ตู ้องหาเปน็ พยานในคดพี เิ ศษ

(5) มำตรกำรท่ีจะกำกับ/ตรวจสอบกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนในคดีพิเศษ
มีอะไรบ้ำง

แนวคิดในการกันผู้ต้องหาเป็นพยานจะต้องไม่ใช่เป็นตัวการหลัก และต้อง
เอาผู้ที่มีส่วนร่วมในการกระทาความผิดน้อยที่สุด และสิ่งสาคัญจะต้องไม่เกิดจากการให้คามั่นสัญญา
การจูงใจ ซึง่ จะทาใหก้ ารกนั เป็นพยานนนั้ มิชอบ

หัวใจสาคัญอีกเร่ืองหนึ่งคือ คาให้การของพยานซึ่งเป็นผู้ร่วมกระทาผิดท่ี
จะให้การนั้น ต้องเป็นพยานด้วยความเต็มใจ ต้องยินยอมไปเบิกความเป็นพยานในช้ันศาล และผู้ที่
ถูกกันเป็นพยานมโี อกาสและมีความเสี่ยงท่จี ะเกดิ ความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรพั ย์สินสูง การที่ไมไ่ ด้
ไปเบิกความในภายหลังหรืออาจถูกปองร้ายเสียชีวิตเป็นเร่ืองท่ีเกิดข้ึนได้ จึงต้องมีการกาหนดมาตรการ
ในการคุ้มครองพยาน รวมทงั้ มีมาตรการป้องกันไม่ให้กลับคาใหก้ ารด้วย

วธิ ีการกนั ผ้ตู อ้ งหาเปน็ พยานจากประสบการณท์ ่ีผา่ นมา
วิธีท่ี 1 กันเป็นพยานไว้เลยแต่แรก หลังจากได้มีการพูดคุยหรือสืบสวนสอบสวน
พบว่าบุคคลรายน้ีมีส่วนร่วมในการกระทาความผิด รู้เห็นเหตุการณ์ สามารถบอกข้อมูลการกระทา
ความผิดได้ทั้งหมดว่ามีใครร่วมกระทาบ้าง ความผิดเกิดขึ้นท่ีไหน เม่ือไหร่ และท่ีสาคัญบุคคลดังกล่าว
จะต้องเต็มใจและพร้อมที่จะไปเบิกความในช้ันศาล วิธีการที่เราแจ้งหรือสอบบุคคลหรือผู้ร่วมกระทา
ความผิดรายนั้นไว้เป็นพยานเลยจะดีที่สุด เพราะว่าเขาจะเกิดความมั่นใจว่าจะไม่ถูกดาเนินคดี แต่ก็มี
เง่ือนไขว่าข้อมูลที่ได้รับจะเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีอย่างแท้จริง และหน่วยงานจะสามารถให้ความ
เชื่อม่ันกับเขาได้ว่า เขาจะไม่ถูกดาเนินคดี แต่ในข้อเท็จจริงพนักงานอัยการมักจะแนะนาให้ดาเนินคดี
กับบุคคลดังกล่าว เน่ืองจากยังไม่มีกฎหมายรองรบั การดาเนินการในลักษณะนี้ และเกรงว่าจะเกิดการ
กลับคาให้การในภายหลงั
วิธีท่ี 2 ให้แจ้งข้อหาดาเนินคดีเป็นผู้ต้องหาในสานวน แล้วพิจารณาว่าผู้ร่วม
กระทาความผิดรายใดมีส่วนร่วมกระทาความผิดน้อยมาก และถ้าไม่มีคาให้การของเขาไปยัน พยาน
หลักฐานอื่นไม่มี วิธีการก็คือ ทาสานวนคดีแยก เลือกเอา 1 คนท่ีจะกันเป็นพยานแยกออกเลยอีก
1 สานวนคดี ผู้ต้องหาในสานวนนี้มีผู้ต้องหาคนน้ีคนเดียวแล้วส่งฟ้องไปยังอัยการ ผู้ต้องหาที่เหลือ
อีกสานวนคดีหน่ึง และเม่ือพนักงานอัยการฟ้องต่อศาล และศาลเบิกความกันจบแล้ว เพราะเราเอา
คดีหลังไปฟ้องมันก็จะเป็นคนละคดี แล้วเราก็ไปสอบบุคคลดังกล่าวมาเป็นพยานในคดีน้ี วิธีการที่ 2 น้ี
เป็นไปตามหลักกฎหมายห้ามมิให้โจทก์นาจาเลยมาเป็นพยาน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา มาตรา 232 แต่วิธีน้ีโอกาสประสบความสาเร็จหรือได้รับความร่วมมือจากผู้กระทา
ความผิดท่ีจะกันไว้เป็นพยานน้อยมาก กระบวนการทาสานวนยุ่งยาก ซับซ้อน ใช้ระยะเวลาฟ้องคดี

159

ยาวนาน กลายเป็น 2 สานวน ซ่ึงต้อรอให้สานวนแรกแล้วเสร็จจึงจะดาเนินคดีในสานวนที่ 2 ต่อไปได้
วธิ ีนีจ้ ึงมักไม่ค่อยได้รบั ความนยิ มเท่าไหรน่ กั

วิธีท่ี 3 เป็นผู้ต้องหาและแจ้งข้อหาเหมือนกันหมดทุกคน ทาสานวนเดียว
จนเสร็จก็สรุปสานวนคดี พนักงานสอบสวนมีความเห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาคนท่ีประสงค์จะกันไว้
เป็นพยาน ส่วนผู้ต้องหาที่เหลือก็ส่ังฟ้องหมดแล้วส่งสานวนไปยังพนักงานอัยการ เมื่อพนักงานอัยการ
รับสานวน ก็จะต้องมาพิจารณาว่าผู้ร่วมกระทาความผิดคนท่ีส่ังไม่ฟ้องเพ่ือจะกันไว้เป็นพยานน้ัน
ทางพนกั งานอัยการก็มกี ฎหมาย/ระเบยี บของพนกั งานอัยการเหมอื นกนั ตามระเบียบสานกั งานอัยการ
สงู สุดว่าด้วยการดาเนนิ คดีอาญาของพนกั งานอัยการ พ.ศ. 2547 ข้อ 79-80 พนกั งานอัยการจะต้องมา
พิจารณาว่าผู้ต้องหาคนน้ีมีส่วนร่วมในการกระทาความผิดน้อยท่ีสุดจริงหรือไม่ และในคดีที่ไม่มี
พยานหลักฐานอ่ืนแล้วหรือไม่ ถ้าไม่กันผู้ต้องหาคนนี้แล้วไม่มีพยานหลักฐานอื่นหรือไม่ พนักงาน
สอบสวนจะต้องประสานพนักงานอัยการที่ส่ังไม่ฟ้องเพ่ือจะกันเป็นพยาน และหากพนักงานอัยการ
เห็นชอบด้วย พนักงานอัยการต้องออกคาส่ังไม่ฟ้อง ซ่ึงจะมีระเบียบปฏิบัติส่งมาท่ีพนักงานสอบสวน
เพื่อทาความเห็นแย้ง ซ่ึงทางหน่วยไม่ควรแย้ง พนักงานอัยการจะมีคาสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง พนักงาน
อัยการก็จะสั่งให้สอบปากคาผู้ต้องหารายนั้นในฐานะพยานเข้าสานวน วิธีนี้มีการปฏิบัติกันเป็นส่วน
ใหญ่ ปัญหาของวิธีอยู่ท่ีว่าพนักงานอัยการอาจไม่เห็นด้วยกับพนักงานสอบสวนก็ได้ การมอง
พยานหลักฐานของพนักงานสอบสวนกับพนักงานอัยการต่างมีมุมมองท่ีไม่เหมือนกัน ซึ่งหากมี
ความเห็นไม่ตรงกันแล้วการกันไวเ้ ป็นพยานก็จะถูกคัดค้านได้ ซ่ึงก็เป็นในแง่การถ่วงดุลในกระบวนการ
ยุตธิ รรม วิธกี ารนี้จึงไม่ง่ายที่ผูร้ ว่ มกระทาความผิดจะประสงคม์ าเป็นพยานให้ เพราะพนักงานสอบสวน
ไดแ้ จง้ ขอ้ หาไปแลว้ ตัง้ แต่ต้น ความเชื่อมนั่ จึงมีนอ้ ย

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการกันไว้เป็นพยานแล้ว เราไม่ควรที่จะฟังคาพยานปากนี้
อย่างเดียว เพราะเป็นพยานที่มีตาหนิ ต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง มีลักษณะเหมือนพยานซัดทอด
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227/1 พนักงานสอบสวนจึงควรจะต้องนาไปสู่
พยานหลักฐานอื่นมาประกอบมาเสริมด้วย จากมูลคาบอกเล่าของพยานผู้น้ัน ที่สาคัญต้องจะต้องมี
มาตรการในการคุ้มครองพยาน ให้นามาใช้กับกรณีการกันผู้ต้องหา ไว้เป็นพยานทันที และจะมี
มาตรการในป้องกันการกลับคาให้การ หรือให้การไม่ครบถ้วน หรือให้การไม่ตรงกับที่เคยให้การไว้
ให้สามารถนาผู้กระทาความผดิ รายนน้ั กลับมาดาเนินคดไี ด้ ดงั น้ัน มาตรการหลัก ๆ จงึ มตี ามทไี่ ด้กลา่ ว

(6) กำรกำหนดแนวทำง/ระเบียบในกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนในคดีพิเศษ
มีผลด/ี ผลเสียอย่ำงไร

ข้อดีของการกันผู้ต้องหาเป็นพยาน ทาให้การสอบสวนคดีพิเศษมีประสิทธิภาพ
มากย่ิงข้ึนสามารถนาไปสู่การแสวงหาพยานหลักฐานอื่นได้ และสามารถทาให้ผู้กระทาความผิดตัวจริง
ถูกดาเนินคดี ผู้ที่เป็นพยานเองก็มั่นใจได้ว่าไม่ถูกดาเนินคดี พนักงานสอบสวนผู้ปฏิบัติงานก็จะมี
หลักและข้ันตอนปฏิบัติท่ีชัดเจน ไม่สุ่มเส่ียงในการกระทาผิดกฎหมาย ควรจะมีแนวปฏิบัติในการที่จะ
ให้ทางหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนในการมาช่วยพิจารณา ช่วยกลั่นกรอง ช่วยเป็นผู้อนุมัติเห็นชอบ
พนักงานสอบสวนจะรู้ดีทารายงาน คดีน้ีไม่มีพยานหลักฐานอ่ืนเลย ไม่สามารถแสวงหาพยานอ่ืน
ได้อีกแล้ว ดาเนินการทุกวิถีทางแล้วก็ไม่มี คณะพนักงานสอบสวนจึงเสนอไปที่หัวหน้าคณะพนักงาน
สอบสวนของกรม รองอธิบดีที่กากับสามารถตรวจสอบพนักงานสอบสวนเองด้วย การอนุมัติจากผู้มี

160

หน้าท่ีกากบั ดูแล ถือเป็นข้ันตอนของการอานวยความยตุ ิธรรม ไม่ถูกมองว่ามีการแสวงหาผลประโยชน์
โดยมชิ อบ

ข้อเสียจากการกันเป็นพยาน คือ ทาให้ผู้กระทาความผิดไม่ถูกดาเนินคดี
อาจจะถูกมองโดยเฉพาะจากผู้เสียหายกันเอง โดยอาจจะถูกมองว่าเป็นการปฏิบัติหน้าท่ีโดยมิชอบ
แสวงหาประโยชน์ ปัญหาเรื่องการใช้ดุลพินิจ ทาให้มีการปฏิบัติไม่เหมือนกัน สองมาตรฐาน หากไม่มี
กฎหมาย/ระเบียบบัญญัติไว้ให้ชัดเจน กรณีท่ีไม่มกี ฎหมายบัญญัติ จะทาให้การปฏบิ ัติงานไม่เป็นมาตรฐาน
เดียวกัน วิธีการขั้นตอนก็จะไม่เป็นแบบแผน แม้กระทั่งคดีลักษณะเดียวกันแต่รับผิดชอบกันคนละกอง/
สานัก พนักงานสอบสวนอาจปฏิบัติไม่เหมือนกันเพราะไม่มีแนวปฏิบัติให้ชัดเจน ซึ่งก็อาจจะเกิด
การเลินเล่อ ผิดพลาดได้ หัวใจสาคัญ คือ ต้องมีหลักในการใช้ดุลพินิจในการพิจารณาว่า มีเกณฑ์ท่ีจะ
นามาใชใ้ นการพิจารณากันเป็นพยานหรือไม่ กันเป็นพยานอย่างไร ผู้ทจ่ี ะถูกกันเป็นพยานต้องมีลักษณะ
แบบไหน อนุมัติเองได้หรือไม่ เห็นเองได้หรือไม่ เราจึงจะต้องการเพ่ิมเติมเร่ืองการกันผู้ต้องหาเป็น
พยานในพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ เห็นควรกาหนดเป็นมาตราเพิ่มเติม และจัดทาอนุบัญญัติ
ต่อไป ซึ่งควรจะกาหนดให้สามารถดาเนินการกันเป็นพยานได้ตั้งแต่ชั้นสืบสวน และให้เข้าสู่โครงการ
คุม้ ครองพยานตง้ั แต่ขณะน้นั ซ่งึ ก็จะยิ่งเพ่มิ ประสทิ ธภิ าพในการดาเนินคดอี าญาพเิ ศษไดม้ ากยง่ิ ข้ึน

(7) ข้อควรระวัง/ข้อสังเกตในกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนเพ่ือกำรอำนวยควำม
ยุติธรรมในภำพรวม

ใน ภ า พ ร ว ม เห็ น ค ว ร ให้ มี บ ท บั ญ ญั ติ เรื่ อ ง ก า ร กั น ผู้ ต้ อ งห า ไว้ เป็ น พ ย า น
ท้ังคดีอาญาท่ัวไปและคดพี ิเศษ แต่ในส่วนรายละเอียดให้แต่ละหนว่ ยไปกาหนดแนวปฏิบัติต่อไป และมี
ข้อสังเกตเรื่องมาตรการคุ้มครองพยานควบคู่กันไปด้วย แต่ควรเขียนให้ชัดว่าให้นาผู้ท่ีถูกกันเป็นพยาน
เข้าสู่มาตรการคุ้มครอง พยานตามท่ีกฎหมายกาหนด จึงเห็นควรต้องแก้กฎหมายว่าด้วยการสอบสวน
คดีพิเศษฯ เพ่ิมเติมบทบัญญัติการกันผู้ต้องหาเป็นพยานไว้ท่ีตัวบทกฎหมาย เช่นเดียวกับ
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2561
มาตรา 135 หรือพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
พ.ศ. 2551 มาตรา 58 รวมถึงพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 98
ได้กาหนดเรอ่ื งการกนั ไว้พยานในเรือ่ งการดาเนินการทางวินยั ไว้เช่นเดียวกนั

(8) ข้อเสนออื่น ๆ เพ่ือเพิ่มประสิทธิภำพในกำรสืบสวนสอบสวนและกำรแสวงหำ
พยำนหลักฐำนในคดีพิเศษ

การท่ีมีเคร่ืองมือในการสืบสวนสอบสวนที่หลากหลาย จะเป็นประโยชน์
ในทางคดีอย่างมาก ส่วนการนาไปใช้ก็ข้ึนอยู่กับลักษณะของคดีนั้นว่าควรจะหยิบเคร่ืองมือใดมาใช้
พนักงานสอบสวนสามารถเลือกใช้เครื่องมือต่าง ๆ ได้ และควรมีเครื่องมือเสริมอนื่ ๆ อาทิ การต่อรอง
คารับสารภาพ (Plea Bargaining) เป็นวิธีการที่น่าสนใจ แต่จะต้องมีการศึกษาในหลักการและ
รายละเอียดเพ่ิมเติม ซึ่งวิธีน้ีในต่างประเทศมีการนามาใช้โดยพนักงานอัยการเป็นผู้ใช้ผู้ปฏิบัติ สาหรับ
ประเทศไทยยังไม่มีการนาเครื่องมือดังกล่าวมาใช้ อีกมาตรการหน่ึงที่ควรนามาใช้ คือ การยกย่อง/
การให้รางวัลแก่พยานเม่ือคดีแล้วเสร็จ จะเป็นส่วนเสริมในอนาคต รวมไปถึงมาตรการการคุ้มครอง
พยานต้องมีประสิทธภิ าพร่วมดว้ ย

161

4.4.3 ผใู้ ห้สัมภำษณ์คนท่ี 3112
(1) สภำพปัญหำในกำรแสวงหำพยำนหลักฐำนในคดพี ิเศษมอี ะไรบ้ำง
1. ประเทศไทยยังมีตัวเลขของการนาคนบริสุทธ์ิมาดาเนินคดีอาญาทั่วไป

จานวนมาก ยงั แก้ไม่ตกในประเดน็ น้ี
2. ระบบท่ีมีอยู่ในปัจจุบัน ยังมีการปล่อยคนทาผิดไม่ได้รับโทษ เลวร้ายต่อ

สังคมมาก การท่ีนาคนบริสุทธ์ิมาลงโทษเสียหายมากท่ีสุด เพราะสร้างความเจ็บช้าคับแค้นให้กับคน
ทั้งตระกูล หมู่บ้าน ชุมชน การปล่อยคนช่ัวตัวจริงลอยนวลเป็นการฟอกขาวให้กับคนร้ายตัวจริง
เป็นการทาร้ายสังคม แต่ยังน้อยกว่าการลงโทษผู้บริสุทธ์ิ เป็นการทาร้ายสังคม สุจริตชนต้องเผชิญกับ
คนร้ายท่ีจะมีบารมีมากขึ้นในแวดวงอาชญากร เพราะการหลุดคดีทุกครั้งก็จะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่
ในวงการ ใครจะลม้ คดี ใครมคี ดอี าญาก็จะมาหาเขาเพราะเห็นว่าเขาสาเรจ็ รอดพ้นจากคดี

สองปัญหาน้ี กรมสอบสวนคดีพิเศษต้องแก้ไขให้ได้ เหมือนในต่างประเทศที่เป็น
ภารกิจของ FBI ของประเทศสหรัฐอเมริกา มีการสืบสวน สอบสวน การแสวงหาพยานหลักฐาน มีการ
ส่ังการแบบ single command ทาได้เร็ว มีฐานข้อมูลประวัติอาชญากรในเชิงลึก เหมือนเจตนารมณ์
ในการต้ังกรมสอบสวนคดีพิเศษ ดังตัวอย่างในคดีเชอร์ร่ีแอนด์ ดันแคน ซึ่งกระบวนการยุติธรรม
หลงทางไปไกลมาก และนาคนบริสุทธิ์มาลงโทษ กรมสอบสวนคดีพิเศษต้องมีฐานข้อมูลอาชญากร
และฐานข้อมูลการก่ออาชญากรรมของหน่วยเอง ไม่ต้องไปพ่ึงพาอาศัยหน่วยงานอื่น หรือเช่ือมโยง
ข้อมูลกับหน่วยงานในกระทรวงยุติธรรมด้วยกันเอง อาทิ กรมราชทัณฑ์ ซ่ึงจะสามารถให้เบาะแส
ในการทางานได้ หรืออาจมีการทาข้อตกลงความร่วมมือกับสานักงานตารวจแห่งชาติในการเช่ือมโยง
ข้อมูลในเชิงลึก เพ่ือประโยชน์ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของประเทศไทยก็จะสามารถ
แก้ปญั หาไดโ้ ดยไม่ตอ้ งแก้กฎหมาย

3. ควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ และกฎหมายท่ีเกี่ยวกับ
การคุ้มครองพยาน ซึ่งเท่าท่ีจาได้เคยมีการปรับปรุงไปรอบหน่ึงแล้ว และควรมีการปรับปรุงระเบียบ
ภายในมารองรับให้ชัดเจน รวมถึงให้มีการปรับปรุงโครงสร้างพ้ืนฐาน เครื่องมือที่ใช้ให้เป็นระบบ
ของกรมสอบสวนคดีพิเศษโดยเฉพาะ การตัดสินใจของคณะกรรมการคดีพิเศษต้องเป็นประโยชน์
ของประเทศเท่านัน้ ไม่ใช่เป็นประโยชนข์ องทางการเมอื ง

4. การต้ังกรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นจุดเริ่มต้นของการยกระดับยกมาตรฐาน
การสอบสวนในคดีอาญา และเป็นความหวังของกระบวนการยุติธรรม แต่ในการบริหารต้องระวัง
เร่ืองทิศทางองค์กร เน้นเร่ืองประโยชน์ของประเทศเป็นสาคัญ ต้องดารงตน ดารงหน่วยงานให้อยู่ใน
ทศิ ทางที่เหมาะทค่ี วร

(2) ควรจะมีวิธีกำรเพิ่มประสิทธิภำพในกำรแสวงหำพยำนหลักฐำนในคดีพิเศษ
อยำ่ งไร

1. ควรมุ่งเป้าไปที่พยานหลักฐานที่เป็นดิจิทัล (Digital Evidence) เป็นหลัก
โดยใช้รูปแบบกระดาษเป็น Back up กรมสอบสวนคดีพิเศษสามารถทาได้ก่อนเพราะหน่วยเดียว
ขนาดไม่ใหญ่มาก โดยต้องเป็นระบบ 5G หน่วยงานต้องศึกษา ต้องต้ังงบประมาณ ต้องเช่ือมโยง
กับระบบเหล่านี้ให้ได้ ระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิดต้องบันทึกได้ทั้งภาพและเสียงที่มีคุณภาพดีเย่ียม

112 สัมภาษณ์เมอื่ วันท่ี 17 มถิ ุนายน 2564

162

สามารถเช่ือมโยงกับ internet of things เช่ือมโยงสถานที่และใบหน้าบุคคลได้ทันที จึงจาเป็นต้องมี
Big Data ท่ีทาให้ระบบสามารถสแกนใบหน้าบุคคลในภาพได้ทันที และสามารถนาไปใช้ในการพิสูจน์
ในศาลได้เลย จาเป็นต้องมีพยานหลักฐานในเชิงนิติวทิ ยาศาสตร์ จึงต้องมีความสัมพันธอ์ ันดีกันสถาบัน
นติ ิวิทยาศาสตร์ ซ่งึ สามารถสนับสนนุ การทางานใหก้ ับกรมสอบสวนคดีพเิ ศษได้

2. กรมสอบสวนคดีพิเศษควรต้องมีผู้เชี่ยวชาญในอาชญากรรมประเภทนั้น ๆ
รวมถึงผู้เชี่ยวชาญทางเทคโนโลยี เช่น อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ ออนไลน์ต่าง ๆ การฉ้อโกง
การค้ามนุษย์ หรืออ่ืน ๆ หากไม่มีกลุ่มคนเหล่านี้เราก็จะไม่สามารถตามไปถึงหลักฐานในการกระทา
ความผิด ทาให้ตามผู้ร้ายไม่ทัน รวมถึงควรจะต้องมีการประสานผู้เช่ียวชาญจากต่างประเทศ
เข้ามาร่วมดาเนินคดี อาทิ การเชิญผู้เช่ียวชาญด้านนิติวิทยาศาสตร์มาจากต่างประเทศของคุณหญิง
หมอพรทพิ ย์ ในคดีฆาตกรรมนายหา้ งทอง งานแบบน้ีต้องเปน็ งานของกรมสอบสวนคดีพิเศษเท่านั้น

3. กรมสอบสวนคดีพิเศษสามารถแก้กฎหมายว่าด้วยพยานหลักฐานที่เกิดขึ้น
โดยมิชอบในคดีพิเศษได้ ให้มีการเขียนข้อยกเว้นในคดีพิเศษ หากมีเหตุผลและความจาเป็นเพ่ือทา
ความจริงให้ปรากฏ เพื่อประโยชน์ในการอานวยความยุติธรรมมากกว่าผลกระทบต่อมาตรฐาน
ของระบบงานยุติธรรมทางอาญาก็ขอยกเว้นให้ศาลรับฟังได้ ศาลก็สามารถรับฟังได้ โดยอาจเขียนนา
ไปได้ว่าการรับฟังของศาลจะต้องคานึงถึงเหตุผลทางวิชาการ พฤติการณ์พิเศษแห่งคดีและพยาน
หลักฐานประกอบอ่ืน ควรจะเขียนให้คลุมทั้งพยานหลักฐานที่ต้องห้ามรับฟังตามประมวลวิธีพิจารณา
ความอาญา มาตรา 84 วรรคสี่ มาตรา 134/4 วรรคสาม มาตรา 226 ว่าในคดีพิเศษให้ศาลมีดุลพินิจ
รับฟังได้ ให้ยกเว้นได้ และนามาประกอบพยานหลักฐานอ่ืน เพื่อพิสูจน์ความจริง ไม่ว่าจะพิสูจน์ความผิด
หรอื ความบริสทุ ธ์ิ การแกป้ ระมวลวธิ พี จิ ารณาความอาญาอาจไม่สาเร็จเพราะอาจใหญ่เกินกาลงั

4. เสนอให้แก้กฎหมาย ในกรณีท่ีพนักงานสอบสวนสอบปากคา สอบคาให้การ
พยานหรือผู้เสียหาย ซึ่งมิใช่ผู้ต้องหาหรือผู้ถูกจับ หากพนักงานสอบสวนกระทาไปโดยผิดพลาด
บกพรอ่ งประการใดประการหน่ึง ไม่ถือเป็นเหตุให้ต้องห้ามรับฟังพยานหรือผู้เสียหายดังกล่าว เน่ืองจาก
พยาน หรือผู้เสียหายไม่ใช่ผู้กระทาความผิด แต่กาลังช่วยพนักงานสอบสวนในการค้นหาความจริง
หรือทาความจริงให้ปรากฏ แต่หากไปตัดพยานหรือไม่รับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวแล้ว ผู้ที่ได้รับ
ประโยชน์ คือ ผู้กระทาความผิด ซ่ึงเป็นเร่ืองที่ไม่ถูกต้อง อาทิ หากเราไปสอบผู้เสียหายเด็ก เกิดลืมหรือ
ไม่ได้แจ้งสิทธิ หรือแจ้งสิทธิไม่ครบสี่ประการ หรืออาจไม่มีสหวิชาชีพ หรือให้ถามผ่านนักจิตวิทยา
แต่พนักงานสอบสวนไม่ทาตามที่กาหนดน้ัน จึงเกิดการผิดพลาดในกระบวนการแบบน้ี หากถือว่าเป็น
พยานหลักฐานที่เกิดโดยไม่ชอบ ต้องห้ามรับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา
226 ถ้าเป็นแบบน้ันก็ไม่เป็นผลดีต่อรูปคดี ท้ัง ๆ ที่เด็กได้รับการละเมิดจริง กลายเป็นประโยชน์ต่อ
ผ้กู ระทาความผดิ ดังน้ัน ควรจะตอ้ งแก้กฎหมายวา่ ด้วยการสอบสวนคดีพเิ ศษในประเด็นดังกลา่ วไว้

(3) กำรกำหนดแนวทำงกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนจะสำมำรถเพ่ิมประสิทธิภำพ
ในกำรสืบสวนสอบสวนและกำรแสวงหำพยำนหลักฐำนในคดีพเิ ศษไดห้ รือไม่

แนน่ อน แตต่ ้องปรบั แกก้ ฎหมายและจดั ทาอนุบญั ญัติ
สาหรับแนวทางในการกันผูต้ ้องหาเป็นพยานในคดี พนักงานสอบสวนไม่ควรเร่งรีบ
ดาเนินการ ควรจะมีการแจ้งข้อหาและนาผู้กระทาความผิดรายดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของศาล
เพ่ือพิพากษาก่อน แล้วจึงนามาเป็นพยานในภายหลังเพื่อที่จะเอาผิดกับผู้กระทาผิดท่ีตัวการใหญ่ วิธีนี้
จะแสดงให้ศาลเห็นว่า พยานรายดังกล่าวน้ันไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากการให้ข้อมูลแก่พนักงาน

163

สอบสวน วิธีน้ีศาลจะให้ความเชื่อถือพยานรายน้ีมากข้ึนกว่าเดิม เพราะพยานรายนี้ในทางกฎหมาย
น้าหนกั ไม่ดี

(4) ควรสนับสนุนให้มีกำรบัญญัติกฎหมำยเพื่อรองรับและตรวจสอบพนักงำน
สอบสวน คดีพิเศษในกำรใชด้ ลุ พนิ ิจกำรกันผ้ตู ้องหำเปน็ พยำนในคดพี ิเศษหรือไม่

สนับสนุน แต่ต้องระมดั ระวงั ตามทไี่ ด้กล่าวไปในข้ออน่ื ๆ
(5) มำตรกำรทจ่ี ะกำกับ/ตรวจสอบกำรกันผตู้ ้องหำเปน็ พยำนในคดีพเิ ศษมอี ะไรบำ้ ง

ควรมรี ะบบสร้างจิตวิทยาพยาน พนักงานสอบสวน DSI จะต้องมศี ิลปะทางด้านนี้
ควรมีหลักสูตรอบรมพิเศษ FBI มีหลักสูตรพิเศษสร้างความเช่ียวชาญเฉพาะด้าน DSI ต้องสร้าง
องค์ความรู้ เทคนิค ระบบในเร่ืองจิตวิทยาพยานให้กับพนักงานสอบสวนด้วย นอกเหนือจาก
การปรับปรุงกฎหมาย หรือการจะทาพยานหลักฐานให้มีคุณภาพดีแล้ว ทาอย่างไรให้ผู้ต้องหา
ยอมรับสารภาพหรือให้ความช่วยเหลือ ให้ข้อมูลการกระทาความผิด ให้ข้อมูลผู้ร่วมกระทาความผิด
รายอื่น แจ้งเบาะแสอ่นื ๆ

(6) กำรกำหนดแนวทำง/ระเบียบในกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนในคดีพิเศษมีผลดี/
ผลเสียอยำ่ งไร

ผลเสียท่ีอาจเกิดข้ึน หากเราไปเจอผู้กระทาความผิดที่นามากันเป็นพยานแล้ว
คน ๆ น้ันพูดไมจ่ ริง พูดเกินจรงิ ถือโอกาสแกแ้ คน้ หรือพดู น้อยกว่าความจริงเพราะจะช่วยเพื่อนด้วยกัน
พนักงานสอบสวนต้องระวงั ต้องมีการตรวจสอบในหลาย ๆ มิติ อาจเป็นคนดีท่ีสานึกผิด หรืออาจเป็น
คนผิดที่ทรยศต่อพวกเดียวกัน จึงไม่สามารถไว้ใจได้ เราจะรับรองเมื่อเข้าให้ข้อมูลท่ีเป็นประโยชน์
แต่จะไม่ได้รบั ความไว้วางใจ ต้อง double check พยานเหล่านี้น้าหนักไม่ดีในศาล พนักงานสอบสวน
ต้องทาข้อมูลใหด้ ี และนาไปสพู่ ยานหลกั ฐานอ่นื ท่ีเกย่ี วขอ้ งให้ได้

(7) ข้อควรระวัง/ข้อสังเกตในกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนเพื่อกำรอำนวยควำมยุติธรรม
ในภำพรวม

การกันผู้ต้องหาเป็นพยาน หากพนักงานสอบสวนมีข้อมูลมาแจ้งเพื่อขอให้
ผู้ต้องหาให้ความร่วมมือกับพนักงานสอบสวนแล้วสามารถขยายผลได้ ปราบปรามอาชญากรรมรายน้ี
ให้หมดสิ้นไปได้ ถือเป็นเหตุที่ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกาหนดไว้เพียงใดก็ได้ ตามท่ีกฎหมาย
ในปัจจุบันท่ีมีอยู่ใน มาตรา 100/2 ของกฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติด ถือว่าเป็นการจูงใจโดยชอบ
ด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาบอกสามารถกระทาได้ คาว่าจูงใจต้องขยายด้วยคาว่าโดยชอบด้วยกฎหมาย
มีกฎหมายบัญญตั ิไว้ชัดเจน มคี าพิพากษาศาลฎกี าท่ชี ดั เจน

(8) ข้อเสนออื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภำพในกำรสืบสวนสอบสวนและกำรแสวงหำ
พยำนหลักฐำนในคดีพิเศษ

มีความมั่นใจกับ DSI เหมือนเดิม การสร้าง DSI ข้ึนมายกหัวรถจักรด้านการสืบสวน
สอบสวนขึ้นมา เพื่อยกระดับมาตรฐานระบบงานสืบสวนสอบสวนคดีอาญาของไทยที่ต้องเช่ือม
กับมาตรฐานโลก มาตรฐานสากลให้ได้ และให้มุ่งมั่น แต่ระวังอย่าตกเป็นเคร่ืองมือทางการเมือง
แต่ต้องเป็นกลไกเสริมกาลังให้ประเทศชาติ ผิดต้องผิด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล ต้องเอาจริง
ไม่ผิดก็ต้องปกป้องคุ้มครองไม่ไปทาให้เขาเดือดร้อนไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาลก็ตาม
ต้องรักษาไว้ให้ได้ ต้องตั้งสถานะของพวกเราว่าไม่ใช่ข้าราชการพลเรือน หรือข้าราชการทหาร หรือแม้
จะมีสายบังคับบัญชาแบบตารวจก็ตาม แต่เราเป็น “เจ้าหน้าที่ก่ึงตุลาการ (Quasi-Judicial Officer)”

164

ต้องมีเส้นทางวิชาชีพเฉพาะของเรา ต้องเคารพผู้บังคับบัญชา แต่ผู้บังคับบัญชาต้องเคารพใน
ความเป็นกลางในทางคดีทค่ี ณะพนักงานสอบสวนรับผดิ ชอบ ขอใหผ้ ูบ้ ริหาร DSI มีความมัน่ คงแบบน้ี

4.4.4 ผู้ใหส้ มั ภำษณ์คนที่ 4113
(1) สภำพปญั หำในกำรแสวงหำพยำนหลกั ฐำนในคดพี ิเศษมีอะไรบ้ำง
คดีพเิ ศษเปน็ คดคี วามผิดทางอาญาท่ีมีลกั ษณะพิเศษ ซบั ซอ้ น มีผลกระทบที่รนุ แรง

องค์กรอาชญากรรมเป็นเครือข่ายแบ่งหน้าท่ีกันทาอย่างเป็นระบบ กระทาความผิดโดยผู้ที่มีความรู้
เรอ่ื งนน้ั ๆ มีมูลคา่ ความเสียหายสูง หรอื กระทาโดยผู้มีอิทธพิ ล (White Collar Crime) ไม่ใช่คดีอาญา
ท่ัวไปที่มกี ารกระทาความผดิ ในลกั ษณะ ลักทรพั ย์ ชิงทรัพย์ ปล้น ฆา่ (Street Crime) ดังน้ัน คดพี ิเศษ
จึงประสบปัญหาในการแสวงหาพยานหลักฐานที่ยาก เพราะส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นองค์กร
อาชญากรรม และการกระทาผิดโดยคนท่ีมีความรู้ และไม่ได้ทาโดยคน ๆ เดียว กระทาผิดร่วมกัน
หลายคน มีวิธีการปกปิดป้องหลักฐาน ป้องกันตัวเองดีกว่าอาชญากรรมท่ัวไป ผู้กระทาผิดส่ วนใหญ่
มักมีที่ปรึกษาที่มีความรู้เป็นอย่างดีคอยช่วยเหลือ แนะนา ซ่ึงจะรู้วิธีปกปิดหรือปิดบังพยานหลักฐาน
คดีพิเศษที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่จึงมีความยากในการดาเนินคดี นอกจากนั้น จานวนพยานหลักฐานในคดี
พิเศษที่จะต้องแสวงหาก็มีจานวนค่อนข้างมากเช่นเดียวกัน อันเนื่องมาจากลักษณะของคดีท่ีมี
ความซับซ้อน ดังน้ัน สภาพของปัญหาในการแสวงหาพยาน หลักฐานจึงเกิดมาจากลักษณะของคดี
พิเศษที่มีความซับซ้อน มีผลกระทบที่รุนแรง มีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรมท่ีร่วมกันกระทา
ความผิดหลายคน มีความเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์จานวนมาก มีมูลค่าความเสียหายสูง หรือกระทา
โดยผู้มีอิทธิพลหรือมีวิธีปกปิดพยานหลักฐานท่ีดีกว่าคดีอาญาท่ัวไป นาไปสู่การแสวงหาพยานหลักฐาน
ในคดีพเิ ศษทท่ี าได้ยากยงิ่ ขึ้น

(2) ควรจะมีวิธีกำรเพิ่มประสิทธิภำพในกำรแสวงหำพยำนหลักฐำนในคดีพิเศษ
อยำ่ งไร

วิธีการเพิ่ มป ระสิทธิภ าพใน การแสวงห าพยาน ห ลัก ฐาน ใน คดีพิ เศษที่ ใช้ อยู่ ใน
ปัจจุบัน คือ การใช้สาย ซ่ึงมี 2 รูปแบบ คือ 1) ส่งคนของเราเข้าไปทางานกับองค์กรหรือผู้กระทาความผิด
หรือการแฝงตัว ในองค์กรหรือกลุ่มคนใด เพ่ือประโยชน์ในการสืบสวนสอบสวน ตามพระราชบัญญัติ
การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 มาตรา 27 หรือ 2) ใช้คนที่ทางานกับเขาอยู่แล้วเป็นสาย หากถาม
ว่าบุคคลท่ีเป็นสายจะเป็นพยานเลยหรือไม่ ก็ไม่ใช่เสมอไป บุคคลที่เป็นสายท้ัง 2 วิธีจะกลายมีผู้ร่วม
กระทาความผิดทั้งหมดแน่นอน แต่จะมีความแตกต่างกันเพียงว่าเป็นผู้ร่วมกระทาผิดก่อนหรือหลัง
การเป็นสาย เม่ือได้ข้อมูลการกระทาผิดจากสายแล้ว จึงรู้ว่ามีการกระทาผิดที่ไหน อย่างไร มีผู้ใด
เกี่ยวข้องบ้าง ในทางปฏิบัติท่ีผ่านมาได้มีการใช้วิธีการกันไว้เป็นพยานแบบไม่เป็นทางการอยู่แล้ว
โดยไม่ได้ดาเนนิ คดีกบั สาย แต่จริง ๆ ถามวา่ เป็นผกู้ ระทาความผิดไหม ก็ถอื ว่าเป็นผู้รว่ มกระทาความผิด
แต่ก็เป็นสายของเรา โดยในทุกวันนี้การกันเป็นพยานใช้เป็นปกติเลยในแทบทุกคดี เช่น คดีหนี้นอกระบบ
ก็ใช้สายไปติดตามการปล่อยกู้พอถึงเวลาแล้วก็สอบเป็นพยาน เพื่อแจ้งข้อหาดาเนินคดีกับผู้ปล่อยกู้
โดยนาขอ้ มลู พยานหลกั ฐานจากสายท่ตี ิดตามพฤติการณ์ดังกลา่ ว ซงึ่ ก็คอื การกนั เปน็ พยานน่ันเอง

ผลกระทบจากการปฏิบัติดังกล่าวก็มีหลายประการ ได้แก่ 1) ปัญหาความปลอดภัย
เร่ืองความปลอดภัยของสายลับ จะต้องได้รับการคุ้มครองพยานจากหน่วยงานของรัฐสักระยะหน่ึง

113 สมั ภาษณ์เม่อื วันท่ี 19 พฤษภาคม 2564

165

2) ปัญหาความน่าเช่ือถือของขอ้ มูล เพราะอาจจะถกู โต้แย้งว่าเปน็ คาซัดทอดของผู้ร่วมกระทาความผิด
คาให้การของสายลับไม่สามารถใช้ลงโทษผู้ต้องหาหรือจาเลยได้ 100 เพราะถูกมองว่ามนี ้าหนักน้อย
ไมม่ คี วามน่าเช่ือถือ จะต้องใช้ประกอบกบั ข้อมลู หรือพยานหลักฐานอ่ืน ๆ ที่ไปเก็บรวบรวมมาประกอบ
กัน 3) การมีสายลับจะเป็นช่องทางท่ีทาให้เข้าถึงพยานหลักฐานอ่ืน ๆ ได้มากข้ึนและเร็วขึ้น ถ้าไม่มี
สายลับการเข้าไปหาข้อมูลจะเป็นการเดาสุ่ม อาจไม่เจอ หรือกว่าจะเจอต้องใช้เวลานาน เช่น สายลับ
จะรู้หมายเลขโทรศัพท์ของตัวการ หรือผู้กระทาผิดระดับหัวหน้า พนักงานสอบสวนก็จะสามารถ
ตามรอยจากการใช้โทรศัพท์หมายเลขดังกล่าวได้ แทนการสะกดรอย การมีสายลับทาให้ลดระยะเวลา
ในการเขา้ ถึงขอ้ มูลเชิงลกึ ได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพมากและรวดเรว็ ข้ึน มีตวั อย่างการทาคดหี น้ีนอกระบบ
คดหี นึ่ง ตอนแรกทีไ่ ม่มีสายลบั ทาการสืบสวนอยู่ 2 ปี ได้ข้อมูลนอ้ ยมาก จงึ เพิ่มการสะกดรอยลงไปอยู่
ในพ้ืนท่ีเส้นทางอาชญากร การติดตามเส้นทางการเงินก็ไม่สามารถหาได้ เพราะผู้กระทาความผิดจะรู้
ช่องทางและพยายามไม่ให้เกิดเส้นทางการเงิน ข้อมูลจึงไม่เข้าสู่ระบบ มาจากนอกระบบแทน ซ่ึงไม่ใช้
เงินสด โดยผกู้ ระทาความผิดจะมีวธิ ีการหลบเล่ียงไดอ้ ย่างมืออาชีพ ดังน้ัน การแสวงหาพยานหลักฐาน
ที่จะออกหมายจับหรือกล่าวหาไม่ได้เลย แต่เมื่อเปลี่ยนวิธีให้คนในเป็นสายลับจึงได้มีการทาเป็นปกติ
เรอ่ื ยมา แต่ไม่ได้นามาถกู กาหนดให้เปน็ มาตรการทชี่ ัดเจน

(3) กำรกำหนดแนวทำงกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนจะสำมำรถเพิ่มประสิทธิภำพ
ในกำรสืบสวนสอบสวนและกำรแสวงหำพยำนหลักฐำนในคดีพิเศษไดห้ รือไม่

สามารถเพ่ิมประสิทธิภาพในการสืบสวนสอบสวนได้อย่างแน่นอน ตามที่ได้
ยกตัวอย่างไปก่อนหน้านี้ แต่ควรจะมีการเพิ่มเติมในกฎหมายให้มีความชัดเจน ท้ังในกฎหมายว่าด้วย
การสอบสวนคดีพิเศษ และในอนุบัญญัติที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องต้องเร่งดาเนินการ
เรื่องดังกล่าว เพราะหากเน่ินช้า ผู้กระทาความผิดก็จะกระทาความผิดได้มากย่ิงข้ึน การดาเนินคดี
พิเศษกจ็ ะยากขึ้นไปอีกเช่นกัน

(4) ควรสนับสนุนให้มีกำรบัญญัติกฎหมำยเพื่อรองรับและตรวจสอบพนักงำน
สอบสวนคดพี เิ ศษในกำรใช้ดุลพินิจกำรกันผูต้ ้องหำเป็นพยำนในคดีพเิ ศษหรอื ไม่

สนับสนุนให้มีการบัญญัติกฎหมายเพ่ือรองรับและตรวจสอบพนักงานสอบสวน
คดีพิเศษในการใช้ดุลพินิจการกันผู้ต้องหาเป็นพยานในคดีพิเศษ เพ่ือให้การปฏิบัติของพนักงาน
สอบสวนมคี วามชดั เจน มมี าตรฐาน มกี ฎหมายรองรับการปฏิบตั งิ านของพนกั งานสอบสวนชว่ ยป้องกัน
พนักงานสอบสวนไม่ให้ถูกดาเนินคดีจากการพยายามแสวงหาพยานหลักฐานในคดี หรือป้องกัน
พนักงานสอบสวนจากการถูกฟ้องจากการละเว้นการปฏิบัติหน้าท่ี

(5) มำตรกำรที่จะกำกับ/ตรวจสอบกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนในคดีพิเศษมี
อะไรบำ้ ง

1. ในแง่การกากับ/ตรวจสอบ ไม่เห็นด้วยกับการที่ตั้งคณะกรรมการบุคคล
ภายนอกหน่วยงานมาร่วมพิจารณาเรื่องการกันไว้เป็นพยาน เพราะสานวนการสอบสวนเป็นความลับ
ท่ีบุคคลภายนอกไม่ควรจะทราบข้อมูลไม่ว่าจะบางส่วนหรือท้ังหมดก็ตาม ควรท่ีจะเป็นดุลพินิจของ
หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน หรือคณะพนักงานสอบสวนว่าควรจะกันผู้กระทาความผิดรายใด
เป็นพยาน แต่เห็นควรให้มีการตรวจสอบถ่วงดุลด้วยการเสนอขออนุมัติผู้บังคับบัญชาตามลาดับช้ัน
หรือเสนออธิบดีหรือรองอธิบดีท่ีได้รับมอบหมาย ซึ่งทาให้สานวนคดีเป็นความลับต่อไปได้ การกัน
ผู้กระทาความผิดรายใดไว้เป็นพยาน ควรท่ีจะเป็นความลับของคณะพนักงานสอบสวน โดยที่หัวหน้า

166

คณะพนักงานสอบสวนเป็นผู้เสนอผู้บริหารให้ความเห็นชอบก่อน โดยมีรายละเอียดประกอบการ
พจิ ารณาว่ามีพฤติการณ์เป็นผู้ร่วมกระทาความผดิ อย่างไร แต่จะไม่กล่าวหาดาเนินคดีด้วยเหตุผลอะไร
ประโยชน์ท่จี ะได้รบั คืออะไร เปน็ ตน้

2. เห็นควรกาหนดระดับของการมีส่วนร่วมในการกระทาความผิดของผู้ท่ีจะ
ถูกกันไว้เป็นพยานว่า ต้องกระทาความผิดในระดับน้อยท่ีสุด และต้องไม่เป็นตัวการสาคัญ ไม่เป็นหัวหน้า
แม้ว่าในการปฏิบัติงานพนักงานสอบสวนจะมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ควรต้องเขียนออก
มาใหไ้ ดเ้ ป็นลายลกั ษณ์อักษร

3. ให้มีการกันเป็นพยานเฉพาะในคดีท่ีไม่มีพยานหลักฐานอ่ืนเพียงพอที่จะนา
ไปสู่การจับกุมผู้กระทาผิดที่เป็นตัวการใหญ่ ตัวการสาคัญ หรือผู้ให้การสนับสนุนท่ีอยู่เบ้ืองหลัง
หากมีพยานหลักฐานอื่นเพียงพอไม่ควรจะใช้การกันผู้ต้องหาเป็นพยานอีก ประเด็นนี้ต้องกาหนดให้
ชัดเจน

4. ให้ทุกคดีท่ีมีความจาเป็นถึงขั้นต้องมีการกันผู้ร่วมกระทาความผิดเป็นพยาน
ให้มีพนักงานอัยการเข้ามาร่วมสอบสวนตั้งแต่ต้น เพ่ือให้พนักงานอัยการเข้ามารับรู้ต้ังแต่เริ่มต้นคดี
เพ่ือไม่ให้เกิดปัญหาในช้ันสอบสวนที่มีการกันเป็นพยาน แต่พนักงานอัยการกลับส่ังฟ้องผู้ท่ีถูกกัน
เป็นพยาน จะเท่ากับเสียเวลาทางาน กรณีท่ีจะต้องกันผู้ต้องหาเป็นพยานหรือจะไม่แจ้งข้อหาผู้ร่วม
กระทาความผิดรายใด เห็นควรให้พนักงานอัยการท่ีร่วมสอบสวนน้ันเห็นชอบด้วย ใช้เกณฑ์ทานอง
เดียวกับหมายจับหมายค้น สาหรับในคดีท่ีไม่มีพนักงานอัยการร่วมสอบสวนจะต้องเสนอให้อธิบดี/รอง
อธิบดี ใหค้ วามเห็นชอบก่อนท่ีจะกนั ไวเ้ ป็นพยาน

(6) กำรกำหนดแนวทำง/ระเบียบในกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนในคดีพิเศษมีผลดี/
ผลเสยี อย่ำงไร

ผลดี การกันผู้กระทาความผิดเป็นพยาน สามารถท่ีจะให้พนักงานสอบสวนเข้าถึง
พยานหลักฐานได้ทุกประเภท และไดพ้ ยานหลักฐานในระยะเวลาท่ีรวดเรว็ และสามารถต่อยอดในการ
แสวงหาพยานหลักฐานอื่น ๆ ประกอบเพ่ือเช่ือมโยงต่อยอดได้มากย่ิงข้ึน แต่ควรได้รับความเห็นชอบ
จากผบู้ ริหารและพนักงานอยั การทีร่ ่วมสอบสวนให้ความเหน็ ชอบด้วย

ควรกาหนดเป็นระเบียบ/แนวทาง แต่ไม่ควรกาหนดเนื้อหารายละเอียดจนไม่มี
ความยืดหยุ่น ควรกาหนดในลักษณะกว้าง ๆ ไม่ใช่จากัดจนปฏิบัติงานไม่ได้ การกาหนดระเบียบ/
แนวทางดังกล่าวจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นว่าพนักงานสอบสวนได้ปฏิบัติตามท่ีระเบียบโดยชอบ
โดยควรนาระเบียบของสานักงานอัยการสูงสุดท่ีเกี่ยวข้องมาพิจารณาร่วมด้วย เพ่ือให้พนักงานอัยการ
สามารถปฏิบตั หิ นา้ ท่ีโดยชอบดว้ ยกฎหมายเชน่ เดียวกนั

ผลเสีย อาจจะเป็นช่องว่างหรือโอกาสให้ผู้ต้องหาบางรายเลือกออกจากการดาเนิน
คดีอาญา โดยการวิ่งเต้นของกลุ่มผู้ต้องหาท่ีมีเงินมาก หรือพนักงานสอบสวนบางคนอาจสร้างสาย
ขึ้นเอง หรืออาจเป็นช่องว่างให้เกิดการทุจริตของเจ้าหน้าท่ี หรือเจ้าหน้าที่อาจใช้ดุลพินิจท่ีไม่ถูกต้อง
ดังนั้น เราต้องมีกระบวนการตรวจสอบภายในของกรม เพ่ือป้องกันหรืออุดช่องว่างท่ีอาจเกิดข้ึน
ดงั กลา่ ว

167

(7) ข้อควรระวัง/ข้อสังเกตในกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนเพื่อกำรอำนวยควำมยุติธรรม
ในภำพรวม

ข้อควรระวังคือ การกันผู้ต้องหาเป็นพยานจริง ๆ แล้วศาลก็ไม่เห็นด้วยเพราะว่า
ไม่มีการส่งมาให้ศาลตัดสิน ถ้าจัดการจริง ๆ ก็ให้ศาลใช้ดุลพินิจ เขาไม่เห็นด้วยที่เราจะมีอานาจ
เอาผู้กระทาความผิดคนหนึ่งออกจากกระบวนการไปโดยมีสิทธิพิเศษไม่ต้องไปศาล แต่การให้อานาจ
พิเศษตรงนี้มาก็น่ากลัว อาจเกิดการว่ิงเต้นใช้เงินได้ พนักงานสอบสวนใช้อานาจตรงนี้ก็เป็นปัญหาการ
ใช้ดุลพินิจของพนักงานสอบสวน ทาอย่างไรให้เกิดความสมดุล เกิดการถ่วงดุล มีการตรวจสอบ
ทาอย่างไรจึงจะไมม่ ีปญั หาเรือ่ งการมีผลประโยชนใ์ นการกนั พยานบางรายไวเ้ ป็นพยาน

ควรจะต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษให้เหมาะสม
กบั สภาพแวดล้อมท่ีมีการเปลย่ี นแปลงทัง้ รปู แบบอาชญากรรมความเจรญิ ก้าวหนา้ ทางเศรษฐกจิ สังคม
เทคโนโลยี โดยควรจะมีมาตรการใหม่ ๆ นอกเหนือจากเร่ืองการกันผู้ต้องหาเป็นพยานให้ปรากฏแล้ว
การต่อรองคารับสารภาพก็ควรจะมปี รากฏในกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ พนกั งานสอบสวน
ควรจะต่อรองได้ ในกฎหมายที่เกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด มีมาตรา 100/2 ถ้าศาล
เห็นผู้กระทาผิดผู้ใดให้ข้อมูลท่ีสาคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทาความผิด
เกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อพนักงานฝ่ายปกครองตารวจหรือพนักงานสอบสวนศาลจะลงโทษผู้นั้น
น้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่าที่กาหนดไว้ในความผิดนั้นได้ ถือเป็นมาตรการพิเศษอีกประการหนึ่ง โดยใน
กฎหมายเปิดใหศ้ าลในดลุ พนิ ิจพจิ ารณาได้

(8) ข้อเสนออื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภำพในกำรสืบสวนสอบสวนและกำรแสวงหำ
พยำนหลักฐำนในคดีพเิ ศษ

1. ในการจดั ทาระเบียบภายในไม่ควรกาหนดละเอยี ดมากจนทาให้ไม่ยดื หยุน่ หรือ
ทาได้แต่ยุ่งยากหลายขั้นตอน จะเป็นการเพ่ิมภาระงานโดยไม่จาเป็น และสุดท้ายอาจจะไม่มีการ
นาไปใช้เนอื่ งจากมขี น้ั ตอนที่ย่งุ ยากมาก

2. เห็นควรให้มีการศึกษาเรื่อง การเจรจาต่อรองคารับสารภาพ (Plea Bargaining)
เพ่ิมเติม เพื่อนามาใช้ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา และอาจนามาใช้ในการดาเนินคดีพิเศษ
ในอนาคต

3. เสนอให้มีบทบัญญัติในกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ โดยให้ศาล
สามารถใช้ดุลพินิจในการพิพากษาลงโทษจาเลยน้อยกว่าอัตราโทษข้ันต่าท่ีกาหนดไว้สาหรั บความผิด
นั้นก็ได้ ในกรณีที่ศาลเห็นว่าผู้กระทาความผิดผู้ใดได้ให้ข้อมูลท่ีสาคัญและเป็นประโยชน์ อย่างย่ิง
ในการปราบปรามการกระทาความผิดทางอาญาที่เป็นคดีพิเศษแก่พนักงานสอบสวน ทั้งน้ี ต้องมี
ระเบียบภายในเพ่ือรองรับและกาหนดแนวทางและหลักเกณฑ์ให้ชัดเจนเช่นเดีย วกันเพ่ือป้องกัน
การทจุ รติ ท่ีอาจเกิดขนึ้

4. ควรมีการชาระกฎหมาย/ระเบียบท่ีมีอยู่ เพราะปัจจุบันมีจานวนมาก โดยใน
บางฉบับกาหนดรายละเอียดมากจนไม่สามารถปฏิบัติได้ บางเรื่องปฏิบัติแต่ยังไม่มีระเบียบกาหนด
รองรบั ไว้ จึงควรมีการชาระกฎหมาย/ระเบียบ

5. ควรมีการปรับปรุงแก้ไขบทบัญญัติในเร่ืองการแฝงตัว โดยไม่ต้องเขียนเรื่อง
การแฝงตัวไว้ในกฎหมาย เน่ืองจากการแฝงตัวเป็นการสืบสวนสามญั ไม่ได้ใช้อานาจพิเศษ แต่ควรเขียน
ให้ชัดเจนในเร่ืองของการให้มีอานาจพิเศษในการทาหรือให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทาเอกสารหรือ

168

หลักฐานใด ๆ ข้ึนเพื่อเป็นประโยชน์ในการสืบสวนและสอบสวนคดีพิเศษ ตามทก่ี รมสอบสวนคดีพิเศษ
ร้องขอ ทั้งน้ี โดยไม่ถือว่ามีเจตนากระทาความผิดกฎหมาย การเขียนนี้ควรเขียนเป็นกรอบให้กว้าง
เพื่อรองรับการเกิดอาชญากรรมในโลกอนาคต และเป็นการเขียนเพื่อแยกเร่ืองการจัดทาเอกสาร
หรือหลักฐานใด ๆ แยกออกจากเรื่องแฝงตัว ไม่ควรเอาไปผูกกัน เพราะปัจจุบันเป็นการเขียนผูกกัน
ในลักษณะว่าเป็นการจัดทาเอกสารหรือหลักฐานใด ๆ เพ่ือใช้ในการแฝงตัวเท่าน้ัน ส่วนตัวคิดว่า
ไม่น่าจะใช่

โดยสรุป การใช้เคร่ืองมือพิเศษต่าง ๆ ในการสืบสวนสอบสวน หากมีเคร่ืองมือ
ที่หลากหลาย จะเป็นประโยชน์ในการเลือกใช้งาน และสามารถเลือกใช้โดยดูให้เหมาะสมกับลักษณะ
ของคดีนั้น แต่ในการใช้เครื่องมือต่าง ๆ อาจมีข้อควรระวัง จึงควรต้องมีการจัดทากฎหมาย/ระเบียบ
กาหนดให้ชัดเจนว่าอะไรทาได้ อะไรทาไม่ได้ หากทาได้ทาได้อย่างไร มีใครเกี่ยวข้อง หรือตรวจสอบ
อะไรบ้าง ต้องพยายามทาให้ชัด ซึ่งจะเป็นผลดีต่อท้ังผู้เสียหาย ผู้กระทาความผิด และตัวพนักงาน
สอบสวนเอง รวมไปถึงการพิจารณาของพนักงานอยั การ และศาล

4.4.5 ผใู้ หส้ มั ภำษณค์ นที่ 5114
(1) สภำพปญั หำในกำรแสวงหำพยำนหลกั ฐำนในคดีพิเศษมอี ะไรบำ้ ง
ก่อนอื่นจะขอเร่ิมต้นที่ keyword 3 คา คือ “ประสิทธิภาพ” กับ “การคุ้มครอง

สิทธิ” สาหรับกระบวนการยุติธรรมในภาพรวมในปัจจุบันยังคงเป็นประเด็นหลัก ในส่วนของการ
คุ้มครองสิทธิจะขอเน้นในเรื่อง “การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม” ดังนั้น 3 keyword นี้ จึงยังเป็น
ประเด็นหลักท่ีต้องได้รับการพัฒนาต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้มีพัฒนาการมาโดยตลอด แต่ยังคงต้อง
พฒั นาอยา่ งตอ่ เน่ืองตอ่ ไป เน่ืองจากเปน็ ประเดน็ สาคัญของสังคมไทย

หลักการการสอบสวนคดีพิเศษ เราซ่ึงเป็นผู้ร่างกฎหมายในขณะนั้น ไม่ได้เพียงแค่
ร่างกฎหมายให้เกดิ กรมสอบสวนคดีพิเศษ แต่เราต้องการรา่ งกฎหมายเพ่ือใหเ้ กิดหลักการการสอบสวน
คดีพิเศษเกิดขึ้นในประเทศไทย และต้องการให้เป็นกฎหมายกลาง ในลักษณะค้นหาความจริงร่วมกัน
ในช้นั ก่อนฟ้อง คดีบางประเภทที่มคี วามซับซอ้ นจะต้องมกี ารทางานร่วมกันระหว่างทุกหน่วย เร่ิมต้งั แต่
สืบ จบั สอบ จนถึงฟ้อง ให้เป็นกระบวนการเดียวกัน เราต้ังในว่ากฎหมายกลางฉบับนี้ โดยมีกรมนี้เป็น
ตัวขับเคลื่อนจะทาให้สังคมไทยเห็นพัฒนาการในเร่ืองน้ี และนาไปสู่การปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการ
สอบสวนให้ชัดเจนขึ้น เนื่องจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเป็นโครงสรา้ งใหญ่ แต่การที่
เราให้เกิดกฎหมายฉบับนี้ เป็นการเน้นเร่ืองการสอบสวนโดยเฉพาะ จุดเกิดมาจากคดีเชอร์รี่แอนน์
ดันแคน ก่อนปี พ.ศ. 2538 จึงเป็นที่มาของการตั้งหลักการ “การสอบสวนคดีพิเศษ” ว่าการค้นหาความ
จริงจะต้องมีความโปร่งใส และทาให้สังคมไทยเห็นว่าท้ังการสืบการสอบเป็นวิชาชีพท่ีต้องมีความ
เชี่ยวชาญเฉพาะ เป็นเร่ืองท่ีต้องทางานร่วมกันหลายฝ่าย โดยเฉพาะอย่างย่ิงความเป็น “สหวิทยาการ”
เป็น Keyword ที่สาคัญ การเป็นสหวิทยาการไม่ใช่ถูกผูกขาดแค่ 2 อาชีพ เฉพาะตารวจและพนักงาน
อัยการเท่าน้ัน แล้วได้ขยายคาว่า “พนักงานสอบสวน” และ “การสอบสวน” มันถึงจะพลวัตรเท่าทัน
การเปล่ียนแปลงของสภาพเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง รวมถึงเทคโนโลยี แต่ 17-18 ปีท่ีผ่านมา
ดูเหมือนจะยังไม่เข้าใจวัตถุประสงค์นี้ชัดนัก เหมือนจะยังอยู่ในกรอบเดิมตามประมวลกฎหมาย
วธิ ีพิจารณาความอาญา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้ทาอะไรนอกเหนอื ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา

114 สัมภาษณ์เมื่อวนั ที่ 11 มิถนุ ายน 2564

169

ความอาญา ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเหมือนโครงสร้างใหญ่ แล้วส่วนใหญ่ให้เป็น
เร่ืองของศาลใช้ และบอกว่ามีตัวละครใดบ้าง ตัวละครเหล่าน้ันทางานสัมพันธ์กันอย่างไรเท่าน้ันเอง
แต่การท่ีเราให้มีกฎหมายการสอบสวนคดีพเิ ศษ เรามีจุดประสงคท์ ่ีจะตัดตอน “การสอบสวน” ออกมา
เพื่อให้เห็นภาพชัดข้ึน และได้ใส่คาว่า “พิเศษ” เข้าไปเพื่อให้เห็นถึงความแตกต่างและจุดเน้นที่เรา
ต้องการ ไม่ใช่เรื่องค่าตอบแทนท่ีพิเศษ ไม่ใช่เรื่องอานาจพิเศษ แต่ใส่คาว่าพิเศษ เพื่อให้เห็นถึงความ
แตกต่างเรื่องเคร่ืองมือ เราให้เคร่ืองมือพิเศษในการทางาน เราไม่ได้ให้อานาจพิเศษ แต่สังคมหรือใคร
หลาย ๆ คน กลับไปมองว่าเป็นอานาจพิเศษ หรือค่าตอบแทนพิเศษ ซึ่งไม่ใช่เจตนาแบบนั้น น่าเสียใจ
ในจุดนั้น การท่ีได้รับค่าตอบแทนเพ่ิมน้ันเพ่ือสะท้อนความเป็น Professionalism ซึ่งสังคมไทยกับ
กระบวนการยุตธิ รรมไทยยังไม่เคยมีเรือ่ งนีม้ าก่อนในขณะนน้ั เราใหค้ ุณค่ากบั ความเป็นมอื อาชีพในการ
ปฏิบัติงาน เราจึงมีความคาดหวังจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ คือ การทางานแบบ Professionalism
มีความโปร่งใส ความมีคุณธรรม ความมีประสิทธิภาพสูง เป็นการใช้งานเชิงความเช่ียวชาญเฉพาะ
เพ่ือให้เกิดข้ึนกับระบบยุติธรรมทางอาญา ที่กล่าวมาท้ังหมดเพ่ือให้เข้าใจถึงจุดเริ่มต้น แต่เมื่อผ่านมา
ถึงปัจจุบันก็ต้องให้ไปต่อตามบริบทท่ีเป็นอยู่ ในส่วนคดีพิเศษนั้น เราจะเน้นอาชญากรรมเศรษฐกิจ
โดยดูได้จากบัญชีท้ายพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ แต่ตอนหลังอาจจะมีความเข้าใจที่
คลาดเคล่ือนในการกาหนดความผิดที่จะให้เป็นคดีพิเศษ ถึงข้ันให้มีการโหวตว่าความผิดใดที่จะให้เป็น
คดีพิเศษ อาชญากรรมเศรษฐกิจท่เี รามองในตอนน้ันมันเป็น Pain Point เป็นจุดบกพรอ่ งในการค้นหา
ความจริง เน่อื งจากตอ้ งใชส้ หวิทยากรเขา้ ร่วมดาเนนิ การและคน้ หาความจรงิ ซ่ึงมคี วามยากในขณะนั้น

การดาเนินคดีพิเศษต้องมีการทาแผนประทุษกรรม มีการวิเคราะห์รูปคดีรู้ว่า
ควรจะเสริมตรงไหน มี Evidence Based อะไร แต่ปัจจุบันยังไม่มี มีแต่วิธีคิด ความรู้สึก เราพยายาม
สร้าง DSI Academy เพ่ือสร้างสิ่งเหล่านี้ โดยการเชิญ UNODC : United Nations Office on Drugs
and Crime สานักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติในขณะน้ันมาเปิดซึ่ง
ไม่ธรรมดาเลย แต่สุดท้ายก็ยังคงเป็นแค่ Training Course ธรรมดา จึงยังไม่ไปถึง Professionalism
ปจั จุบันจงึ เกดิ ปัญหาหลายอยา่ ง มองเคร่อื งมือเป็นอานาจ กลับกลายเปน็ วา่ มองผิดจดุ ไปหมด

ปัญหาระหว่างสานักงานตารวจแห่งชาติกับกรมสอบสวนคดีพิเศษว่ามีหน้าที่
ความรับผิดชอบแตกต่างกันอย่างไรก็ไม่ชัด มีการแก้กฎหมาย แก้บัญชีท้ายอยู่ตลอด ปัญหาพัวพัน
มาถึงค่าตอบแทน เคร่ืองมือมีมากแต่กลับไม่กล้าใช้ หรือใช้แต่ไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ ปัญหาจึงอยู่ที่
ระบบ พวกเรา DSI ยังไม่เข้าใจเป้าหมายร่วมของกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ เมื่อจุดแรก
ไมช่ ัดเจน ทิศทางจึงไม่ตรง

ปัญหาการมีเจ้าหน้าท่ี 2 ประเภท คือ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ และเจ้าหน้าท่ี
คดีพิเศษ ผู้บริหารก็ไม่เข้าใจว่าคืออะไร แต่กลับไปทาให้ตาแหน่งเจ้าหน้าท่ีคดีพิเศษเป็นเหมือนท่ีพัก
สาหรับผู้ท่ีโอนมาใหม่ และก็เกิดประเด็นปัญหาตามมามากมาย ทุกคนก็ต้องการจะไปเป็นพนักงาน
สอบสวนคดีพิเศษเพราะค่าตอบแทนท่ีสูงกว่า ไม่ได้เข้าใจว่าเจตนารมณ์การมีตาแหน่ง 2 ประเภท
ไว้เพื่ออะไร การมอบหมายงานหรือการเชื่อมต่องานอย่างไร การบริหารจัดการจึงยังมองไม่ออกว่า
2 กลุ่มน้ีคืออะไร ก็บริหารไม่ได้ ในท่ีสุดอาจไปถึงข้ันว่าไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่คดีพิเศษ เพราะไม่เห็น
ประโยชน์ รวมไปถึงหลักสูตรการฝึกอบรมของตาแหน่งพนักงานสอบสวนคดีพิเศษก็ยังไม่ใช่ใน
ระดับทเ่ี ราคาดหวัง

170

(2) ควรจะมีวิธีกำรเพิ่มประสิทธภิ ำพในกำรแสวงหำพยำนหลกั ฐำนในคดีพเิ ศษอย่ำงไร
ควรจะ empowerment พนักงานสอบสวน พัฒนาศักยภาพ พนักงานสอบสวน

กับเจ้าหน้าท่ีคดีพิเศษอย่างไร ผู้บริหารจะต้องทราบว่าควรจะเสริมจุดไหน อย่างไร ยังไม่มีกาหนด
evidence based ในการสร้าง DSI เป็น Academy เพ่ือให้พนักงานสอบสวนเป็น Professional
ไม่ใชม่ ีแคว่ ิธคี ดิ และความรสู้ ึกเหมือนอย่างทีเ่ ป็นอยูใ่ นปัจจบุ ัน

(3) กำรกำหนดแนวทำงกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนจะสำมำรถเพิ่มประสิทธิภำพ
ในกำรสบื สวนสอบสวนและกำรแสวงหำพยำนหลกั ฐำนในคดพี เิ ศษได้หรือไม่

ตอบร่วมกับข้อ 4
(4) ควรสนับสนุนให้มีกำรบัญญัติกฎหมำยเพ่ือรองรับและตรวจสอบพนักงำน
สอบสวนคดพี ิเศษในกำรใช้ดลุ พินิจกำรกนั ผู้ต้องหำเป็นพยำนในคดีพิเศษหรือไม่

หากกรมสอบสวนคดีพิเศษต้องการก็มีได้ แต่ถามว่าเคร่ืองมือที่มีอยู่เดิมได้ใช้
ครบแล้วหรอื ไม่ ขอตอบในลักษณะของการใหห้ ลักการว่า การกันไว้เป็นพยานต้องเน้นเร่ือง Fair Trial
ความเป็นธรรมในการต่อสู้คดีของผู้ต้องหาและจาเลยจะต้องปรับสมดุลกับหลักประสิทธิภาพ
การสอบสวน หลักการค้นหาความจริงอย่างไรปรับสมดุลกับจุดท่ี 3 คือ การรับฟังพยานหลักฐาน
ในคดีอาญาของศาลเพราะ 3 จุดน้ี คือจุดที่ได้รับผลกระทบจากเครื่องมือการกันไว้เป็นพยาน
แหล่งกาเนิดของเรื่องน้ีมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา เพราะว่าประเทศสหรัฐอเมริกาใช้หลัก
Utilitarianism เอาแนวประโยชน์นิยมเป็น Concept แต่พ้ืนฐานของสังคมน้ัน เป็นสังคมที่ให้คุณค่า
ของ Human Rights สูง ให้คุณค่าของ Due Process สูง ไม่ว่าเขาจะมีนวัตกรรมใหม่ต่าง ๆ อาทิ
การเบี่ยงเบนคดี diversion การชะลอการฟ้อง หรือการต่อรองคารับสารภาพที่เขาประดิษฐ์ขึ้น
และประเทศเราเลียนแบบมา พ้ืนฐานสังคมเขาชัดเจน พื้นฐานการเมืองการปกครองของเขาเน้น
เรื่องประชาธิปไตยสูง เขาเน้นคุณค่าของความเป็นมนุษย์สูง เขามีคุณธรรมในเร่ืองของการไม่ทุจริตสูง
ให้ value ในการไม่เลือกปฏิบัติสูง ถ้ากระบวนการยุติธรรมทางอาญาเขาจะคิดอะไรขึ้นมาใน
Ecosystem มันเอ้ือ ขณะเดียวกันเขาคิดจะมีมาตรการอะไรขึ้นมาแล้วมันจะทบ 3 จุดที่ว่าเขาจะคิด
มาตรการป้องกันท่ีเรียกว่า ปรับสมดลุ เรียกว่า safeguard ดงั น้ัน เรอื่ งของการกนั ไว้เป็นพยานให้ DSI
คิดเอาว่าควรมีลักษณะแบบไหน ถ้าคิดจะเลียนแบบ 3 จุด ของไทยท่ีมีอยู่แล้ว ป.ป.ท. ป.ป.ช. นี่คือ
รา่ งพระราชบัญญตั ิการสอบสวนคดีอาญาของรัฐบาลอกี กฎหมายหน่ึงก็พูดเร่ืองนี้ คงให้ DSI กลับไปคิด
safeguard ตัวน้ันประกอบกับส่ิงท่ีตัวเองมีอยู่ สิ่งท่ีตัวเองทาหรือประเภทคดีของตัวเองมีอยู่
safeguard น้นั ควรจะปดิ จดุ อะไรแล้วปรับสมดลุ อย่างไร อันนขี้ อให้หลกั การไว้

เรื่องของการกันไว้เป็นพยาน ต้องคิดก่อนว่าเคร่ืองมือตัวอ่ืน ๆ ตามมาตรา 24
และมาตรา 25 และอ่ืน ๆ ได้ใช้เครื่องมือเต็มที่แล้วหรือยัง เครื่องมือใหม่ที่เพ่ิมมาตามบริบท
ของอาชญากรรมในยุคใหม่น้ีควรจะใช้อย่างไร ต้องไปหาการปรับสมดุลเอาเอง ถ้าจะทาเรื่องน้ีจริง ๆ
ก็ควรท่ีจะมีกาหนดเงื่อนไขและมีการเรียนรู้ตัวเองให้มากกว่าน้ี โดยมี evidence-based เพ่ือสร้าง
ความชอบธรรมท่ีจะบอกสังคมให้เกิดความเชื่อมั่นกับ DSI การทางานของ DSI ต้องมี Legitimate
การทางานการบริหารงานยุติธรรมทางอาญานอกเหนือจากข้อกฎหมายท่ี legality แล้ว ต้องมี
คุณธรรม (Merit) และ Legitimate ซึ่งบุคคล ภายนอกให้คุณค่ากับ DSI จะเป็นคนละเร่ืองกับ
Rule of Law


Click to View FlipBook Version