The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง การกันผู้ต้องหาหรือผู้กระทำความผิดเป็นพยานในคดีพิเศษ เพื่อการพัฒนากฎหมาย (กรมสอบสวนคดีพิเศษ กองกฎหมาย)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by dr.parinya.dsi, 2023-01-10 22:16:12

รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์

รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง การกันผู้ต้องหาหรือผู้กระทำความผิดเป็นพยานในคดีพิเศษ เพื่อการพัฒนากฎหมาย (กรมสอบสวนคดีพิเศษ กองกฎหมาย)

Keywords: คดีพิเศษ, กันไว้เป็นพยาน, การสืบสวนสอบสวน

71

1) ขอ้ ดี
1. สามารถคล่คี ลายคดีซับซอ้ นทข่ี าดพยานหลกั ฐานจากแหลง่ อื่น
2. ช่วยให้สามารถหาพยานหลักฐานได้สะดวกและรวดเร็วอันเป็นการแก้ปัญหา

คดคี งั่ ค้างในช้นั สอบสวนได้
3. เป็นการช่วยเหลือและให้โอกาสผู้ร่วมกระทาความผิดที่มิใช่ตัวการสาคัญและ

มีเหตุผลที่ควรอภัยได้กลับใจแก้ไขให้การอันเป็นประโยชน์ ต่อรัฐและเป็ นประโยชน์ต่อตัวผู้กระทา
ความผิดเอง รวมถึงสังคมโดยรวม เป็นส่วนหนึ่งในแนวทางท่ีจะคืนคนดีสู่ชุมชนอันจะนาไปสู่การสร้าง
ความสมานฉนั ท์ในสังคมต่อไป

4. ความผิดบางประเภทมีลักษณะพิเศษไม่สามารถกระทาได้โดยลาพังต้องอาศัย
ความร่วมมือจากบุคคลอ่ืน อาทิ อาชญากรรมท่ีมีการจัดต้ังเป็นองค์กรอาชญากรรม อาชญากรรมทาง
เศรษฐกิจอาชญากรรมการค้ายาเสพติด อาชญากรรมข้ามชาติ การจะปราบปรามอาชญากรรมกลุ่มน้ี
จาเป็นจะต้องไดร้ บั ขอ้ มูลจากผูร้ ่วมกระทาความผิด เปน็ เรื่องทบี่ คุ คลทั่วไปเข้าไมถ่ ึงข้อมูลเชงิ ลกึ

5. การกันตัวผู้ต้องหาไว้เป็นพยานสามารถนาผู้กระทาความผิดที่เป็นหัวหน้า ตัวการ
สาคัญ ซึ่งเป็นผู้กระทาผิดหลักมาดาเนินคดีตามกฎหมายได้ อันเป็นการตัดวงจรการก่ออาชญากรรม
อย่างสนิ้ ซาก

2) ข้อเสีย
1. การกันผู้ต้องหาไว้เป็นพยานทาให้รัฐไม่สามารถเอาผู้กระทาความผิดมาลงโทษ

ได้ทุกคน
2. ในคดีร้ายแรงอาจมีการฆ่าปิดปากผู้ร่วมกระทาความผิดบางรายที่มีทีท่าจะ

หักหลงั เอาตวั รอดให้การเปน็ ประโยชนแ์ ก่รฐั
3. บางกรณีอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งในการใช้ดุลพินิจในการเลือกผู้ต้องหาท่ีจะ

ถูกกันไว้เป็นพยานระหว่างพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการในการดาเนินกระบวนการยุติธรรม
ต่อไป

4. พยานอาจปรักปราผ้ตู อ้ งหาคนอนื่ มากจนเกินไป
2.7.6 หลกั สำคญั ต่อกำรเลอื กใช้

จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่ามาตรการการกันผู้ต้องหาหรือผู้ร่วมกระทาผิดเป็นพยาน
มีทั้งข้อดีและข้อเสีย มีท้ังประโยชน์และโทษต่อกระบวนการยุติธรรมทางอาญา แต่ส่ิงบุคลากรหรือ
หน่วยงานรัฐในกระบวนการยุติธรรมต้องตระหนักและให้ความสาคัญต่อในการนามาตรการนี้มาใช้บังคับ
สามารถสรปุ ได้ ดังนี้

1) การดาเนินการในชั้นพนักงานสอบสวน จะต้องพิจารณาดาเนินคดีอย่างรอบคอบ
โดยจะต้องแสวงหาพยานหลกั ฐานให้ไดจ้ ากทกุ ชอ่ งทางอย่างเต็มท่ี

2) ควรเป็นกรณีที่พนกั งานสอบสวนไมส่ ามารถทีจ่ ะแสวงหาพยานหลักฐานในการนาตัว
ผู้กระทาความผิดท่ีเป็นตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุนท่ีสาคัญมาลงโทษอย่างเป็นที่ประจักษ์เท่านั้น จึงจะ
สามารถพิจารณาเลอื กใช้มาตรการการกนั ผตู้ ้องหาหรือผ้กู ระทาความผดิ เปน็ พยาน

3) การพิจารณาดาเนินการในชั้นพนักงานอัยการต้องมีการพิจารณาด้วยความรอบคอบ
เพือ่ ใหเ้ กดิ การตรวจสอบและถว่ งดุล (Check & Balance)

72

4) การพิจารณาดาเนินการในช้ันศาล ต้องมีการพิจารณาด้วยความรอบคอบ ประกอบ
พยานหลักฐานอ่ืน ๆ ท่ีได้จากการพิจารณาสืบพยาน เพื่อให้เกิดการตรวจสอบและถ่วงดุล (Check &
Balance) อย่างแท้จริง เพื่อคงไว้ซึ่งความยุติธรรมตอ่ ทกุ ฝ่าย

2.7.7 ข้อควรระวงั
1) การกันผู้ต้องหาหรือผู้ร่วมกระทาผิดไว้เป็นพยาน ถ้าพนักงานสอบสวน ได้กัน

ผู้ต้องหาไว้เป็นพยานเสียแล้ว ไม่ฟ้องผู้ต้องหาเป็นจาเลยในคดี ก็สามารถเอาผู้ต้องหาผู้ร่วมกระทาผิด
คนน้ีมาเบิกความเป็นพยานโจทก์ได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา มาตรา
232 ซ่ึงบัญญัติว่า “ห้ามมิให้โจทก์อ้างจาเลยเป็นพยาน” แต่การกันผู้ต้องหาไว้เป็นพยานแม้จะไม่
ต้องหา้ มตามมาตรา 232 แต่ว่าพยานปากนีจ้ ะอย่ใู นฐานะ “พยานซัดทอด” ซ่ึงไม่มกี ฎหมายห้ามไม่ให้
รับฟัง จึงรับฟังได้ แต่ศาลต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง โดยลาพังยังไม่มีน้าหนักมั่นคงเพียงพอที่จะ
ลงโทษจาเลยในคดอี าญาได้ เวน้ แต่ จะมีพยานหลกั ฐานอยา่ งอ่ืนหรือเหตผุ ลพิเศษอย่างอ่ืนมาประกอบ

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227/1 บัญญัติว่า “ในการวินิจฉัย
ชั่งน้าหนักพยานบอกเล่า พยานซัดทอด พยานท่ีจาเลยไม่มีโอกาสถามค้าน หรือพยานหลักฐานท่ีมี
ข้อบกพร่องประการอื่น อนั อาจกระทบถึงความน่าเช่ือถือของพยานหลกั ฐานนั้น ศาลจะต้องกระทาด้วย
ความระมัดระวัง และไม่ควรเช่ือพยานหลักฐานน้ันโดยลาพังเพ่ือลงโทษจาเลย เว้นแต่จะมีเหตุผล
อันหนักแนน่ มีพฤตกิ ารณ์พิเศษแหง่ คดี หรอื มีพยานหลกั ฐานประกอบอน่ื มาสนับสนุน

พยานหลักฐานประกอบตามวรรคหนง่ึ หมายถงึ พยานหลักฐานอน่ื ที่รบั ฟังได้ และมี
แหล่งที่มาเป็นอิสระต่างหากจากพยานหลักฐานที่ต้องการพยานหลักฐานประกอบนั้น ท้ังจะต้องมี
คุณค่าเชิงพิสูจน์ท่ีสามารถสนับสนุนให้พยานหลักฐานอื่นท่ีไปประกอบมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นด้วย
จึงจะเห็นได้ว่ากฎหมายไม่ได้ห้ามรับฟังผู้ที่ถูกกันไว้เป็นพยาน แต่ต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง
อย่างไรก็ตามพนักงานสอบสวนจะต้องหรือควรจะมีพยานหลักฐานอ่ืนมาประกอบการพิจารณาและ
จะต้องเป็นพยานหลักฐานท่ีมีคุณค่าเชิงพิสูจน์ มีแหล่งท่ีมาเป็นอิสระ หรือสามารถเชื่อมโยงให้เกิด
ความนา่ เชือ่ ถอื ได้ จงึ จะทาใหถ้ ้อยคาของผทู้ ี่ถกู กนั ไวเ้ ป็นพยานมนี า้ หนักมากยง่ิ ขน้ึ

2) ในการกันผู้ต้องหาหรือผู้ร่วมกระทาผิดไว้เป็นพยาน เพื่อให้ผู้ต้องหาหรือผู้ร่วม
กระทาความผิดมาให้ข้อมูลท่ีเป็นประโยชน์กับทางราชการนั้นต้องไม่ใช้วิธีการท่ีต้องห้ามตามประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 กล่าวคือ ต้องไม่ใช้วิธีการจูงใจ มีคาม่ันสัญญาโดยไม่ชอบ
หรือการหลอกลวง ขู่เข็ญ หรือโดยไม่ชอบประการอ่ืน หากพยานหลักฐานท่ีเกิดขึ้นจากการจูงใจ
มคี ามนั่ สัญญาโดยไม่ชอบ ต้องห้ามรับฟังทัง้ หมด

2.8 หลักกำรสำคญั อนื่ ๆ ทีเ่ กยี่ วขอ้ ง
2.8.1 หลกั สทิ ธิมนุษยชนขนั พนื ฐำน (Human Rights Principles)
สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติช่ึงประกอบด้วยสมาชิกประเทศต่าง ๆ ได้ลงมติรับรอง

และประกาศใช้ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน เพื่อเป็นหลักการสาคัญในการคุ้มครองสิทธิ
มนุษยชนของประชาคมโลกเม่ือวันท่ี 10 ธันวาคม พ.ศ.2491 ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และ
ถงึ แม้ว่าปฏิญญาฉบบั น้ีจะไม่ใช่สนธิสัญญาระหว่างประเทศแต่ก็จัดเป็นกฎหมายจารตี ระหว่างประเทศ
ดา้ นสทิ ธิมนษุ ยชนท่สี าคัญท่ีสดุ ซึ่งประเทศต่าง ๆ จาต้องเคารพต่อหลักการสิทธิมนษุ ยชนท่ีได้ตราไวใ้ น
ปฏิญญาฉบับนี้ โดยที่ปฏิญญาฉบับน้ียังเป็นพ้ืนฐานสาคัญของสนธิสัญญาหรือกฎหมายระหว่าง

73

ประเทศด้านสิทธิมนุษยชนอื่น ๆ อีกหลายฉบับ รวมท้ังกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมือง
และสิทธิทางการเมอื งและกติการะหว่างประเทศว่าดว้ ยสิทธทิ างเศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรม

ตราสารระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนท่ีพัฒนามาจากปฏิญญาสากลว่าด้วย
สิทธมิ นษุ ยชนหลัก ๆ มที ้งั ส้นิ 9 ฉบับไดแ้ ก่

1) กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International
Covenant on Civil and Political Rights-ICCPR)

2) กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวั ฒ นธรรม
(International Covenant on Economic, Social and Cultural Rights-ICESCR)

3) อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติในทุกรูปแบบต่อสตรี (Convention on
the Elimination of All Forms of Discrimination Against Women-CEDAW)

4) อนสุ ัญญาวา่ ดว้ ยสิทธเิ ด็ก (Convention on the Rights of the Child-CRC)
5) อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเช้ือชาติในทุกรูปแบบ (Convention
on the Elimination of All Forms of Racial Discrimination-CERD)
6) อนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอ่ืนท่ีโหดร้าย
ไร้มนุษยธรรม หรือย่ายีศักด์ิศรี (Convention against Torture and Other Cruel, Inhuman or
Degrading Treatment or Punishment- CAT)
7) อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ (Convention on the Rights of Persons with
Disabilities - CRPD)
8) อนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันบุคคลจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ (Convention
on the Protection of All Persons from Enforced Disappearance - CED)
9) อนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิของแรงงานโยกย้ายถิ่นฐานและสมาชิกใน
ครอบครัว (Convention on the Protection of the Rights of Migrants Workers and Member of
their Families - MWC)
ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีตราสารระหว่างประเทศหลักเหล่าน้ีแล้วท้ังส้ิน 7 ฉบับ (จาก 9
ฉบบั ) รวมทั้งเป็นภาคีพธิ ีสารเลอื กรบั ของอนสุ ญั ญา CEDAW ว่าด้วยการรับขอ้ รอ้ งเรียน และอนุสัญญา
สิทธิเด็ก อีก 2 ฉบับ คือ พิธีสารเลือกรับเร่ืองการขายเด็ก การค้าประเวณีและสื่อลามกที่เก่ียวกับเด็ก
(Optional Protocol to the Convention on Rights of the Child on the Sale of Children,
Child Prostitution and Child Pornography) และพิธีสารเลือกเร่ืองความเก่ียวพันของเด็กใน
ความขัดแย้งกันด้วยอาวุธ (Optional Protocol to the Convention on Rights of the Child on
the Involvement of Children in Armed Conflict) ส่วนอนุสัญญาอีก 2 ฉบับ (จาก 9 ฉบับ)
ที่ไทยยังไม่ได้เป็นภาคี คือ อนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันบุคคลจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ
และอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิของแรงงานโยกย้ายถ่ินฐานและสมาชิกในครอบครัว หลักสิทธิ
มนุษยชนข้ันพ้ืนฐานท่ีสาคัญมากในลาดับแรก ๆ ที่จะขอกล่าวถึงในงานวิจัยฉบับน้ี คือ สิทธิพลเมือง
(Civil Rights)

74

สิทธิพลเมือง (Civil Rights)75 ได้แก่ สิทธิในชีวิตและร่างกาย เสรีภาพและความ
ม่ันคงในชีวิต ไม่ถูกทรมาน ไม่ถูกทาร้ายหรือฆ่า สิทธิในกระบวนการยุติธรรม ได้แก่ สิทธิในความ
เสมอภาคต่อหน้ากฎหมาย สิทธิท่ีจะได้รับการปกป้องจากการจับกุมหรือคุมขังโดยมิชอบ สิทธิที่จะ
ได้รับการพิจารณาคดีในศาลอย่างยุติธรรมโดยผู้พิพากษาท่ีมีอิสระ สิทธิในการได้รับสัญชาติ เสรีภาพ
ของศาสนิกชนในการเชือ่ ถือและปฏบิ ตั ิตามความเชื่อ

คณุ ค่ำสำกลแห่งสทิ ธิมนษุ ยชน (Core Value)76 ประกอบดว้ ย
1. การไม่เลือกปฏิบัติ (Non Discrimination) คือ การที่ทุกคนมีสิทธิและเสรีภาพ
เทา่ เทยี มกัน ไมว่ า่ จะมคี วามแตกต่างดา้ นใด ๆ
2. หลักความยุติธรรม (Justice) คือ การบังคับใช้กฎหมายเพ่ือให้ทุกคนได้รับความ
เป็นธรรม โดยต้องมีกลไกใหท้ ุกคนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อยา่ งแทจ้ รงิ
3. หลักความเสมอภาคเท่าเทียม (Equity) คือ ต้องปฏิบัติต่อทุกคนเท่าเทียมกันให้
ทุกคนเขา้ ถึงโอกาสที่เทา่ เทยี มกัน
4. หลักเสรีภาพ (Freedom) คือ ความอิสระที่จะกระทาหรอื ละเว้นการกระทา โดยไม่
อยูใ่ นการครอบงาของบคุ คลอน่ื หรอื มีขอ้ ผูกมัดหรือเหนี่ยวร้ัง
5. หลักศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์ (Human Dignity) คือ การให้คุณค่ากับมนุษย์ทุกคน
ที่ความเป็นมนุษย์เท่าน้ัน ไม่ได้ข้ึนอยู่กับสถานภาพทางสังคมหรือฐานะทางเศรษฐกิจ การกระทาใด
ที่เหยียดหยาม ลดทอน หรือทาให้คุณค่าของความเป็นมนุษย์ลดลงย่อมขัดกับหลักการน้ี เข้าข่ายเป็น
การละเมดิ สทิ ธมิ นษุ ยชน
6. หลักการไม่ใช้ความรุนแรง (Non Violence) คือ หลักการปฏิบัติต่อกันฉันท์พ่ีน้อง
หรือสันติวิธี หมายถึง การไม่ใช้ความรุนแรงในการจัดการปัญหา ดังนั้น กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
นโยบาย หรือการกระทาใด ๆ ท่ีใช้ความรุนแรงแก้ปัญหาย่อมขัดกับหลักการน้ี และเข้าข่ายเป็นการ
ละเมิดสิทธิมนุษยชน
2.8.2 หลักควำมชอบด้วยกฎหมำย (Legality)
หลักความชอบด้วยกฎหมาย (Legality) แนวคิดของกฎหมายมหาชน (Public Law)
เปน็ กฎหมายท่ีกาหนดสถานะของอานาจและหนา้ ที่ของหน่วยงานรัฐในฐานะที่ผู้ปกครอง โดยมีอานาจ
ในระดับท่ีเหนือกว่าประชาชนซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ภายใต้ปกครอง ท้ังนี้ เพื่อประโยชน์สาธารณะซ่ึงเป็น
ประโยชน์ร่วมกันของประชาชนในรัฐ อีกท้ังยังท่ีเป็นกลไกในการควบคุมการใช้อานาจของรัฐหรือ
เจ้าหน้าทร่ี ัฐ เพ่ือไมใ่ หร้ ัฐหรอื เจา้ หน้าท่รี ฐั ใช้อานาจไดต้ ามอาเภอใจ
อำนำจของรฐั หรือเจ้ำหน้ำท่ีรัฐ สามารถแบ่งออกได้ 2 ลกั ษณะ77 ดังน้ี
1. อานาจผูกพัน (Mandatory Power) มีลักษณะเป็นอานาจท่ีกาหนดให้รัฐหรือ
เจ้าหน้าท่ีรัฐจะต้องดาเนินการตามท่ีกฎหมายได้บัญญัติไว้ โดยไม่อาจใช้ดุลพินิจในการเลือกที่จะ
กระทาหรอื ไมก่ ระทา อาทิ การออกใบอนุญาต การรับจดทะเบียน เป็นต้น

75 ปฏิญญาสากลวา่ ดว้ ยสทิ ธมิ นษุ ยชน, สืบคน้ เม่ือ 15 กรกฎาคม 2564, www.amnesty.or.th/
76 ปฏญิ ญาสากลวา่ ดว้ ยสทิ ธิมนษุ ยชน, สืบคน้ เมื่อ 15 กรกฎาคม 2564, www.amnesty.or.th/
77 ภูรชิ ญา วฒั นรงุ่ , หลกั กฎหมายมหาชน, (กรุงเทพมหานคร: มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง, 2542), 451-452.

75

2. อานาจดลุ พินจิ (Discretionary Power) อานาจที่มลี ักษณะเป็นดลุ พินิจ เป็นอานาจ
ในการตัดสินใจท่ีกฎหมายให้ไว้แก่เจ้าหน้าที่รัฐที่จะเลือกกระทาการหรือไม่กระทาการ หรือเลือกจะ
กระทาอย่างหนึ่งอย่างใด การท่ีเจ้าหน้าท่ีรัฐจะใช้อานาจดุลพินิจโดยชอบด้วยกฎหมายน้ันจะต้อง
พจิ ารณาข้อเทจ็ จรงิ และขอ้ กฎหมายทเ่ี กย่ี วขอ้ งใหค้ รบถ้วนกอ่ นจงึ จะตดั สนิ ใจใด ๆ

2.8.3 หลักกำรคน้ หำควำมจริง (Fact Finding)
หลักการค้นหาความจริงในการดาเนินคดีอาญาเป็นการค้นหาความจริงเพื่อให้แน่ใจว่า

เป็นข้อเท็จจริงแห่งพฤติการณ์ในการกระทาความผิด การค้นหาความจริงในระบบไต่สวนกับระบบ
กล่าวหาจะมีวิธีการแตกต่างกัน อันเป็นผลมาจากแนวคิด วิวัฒนาการ และกลไกทางวิธีพิ จารณา
ที่ต่างกัน ส่งผลต่อเน่ืองถึงบทบาทของศาลและคู่ความในแต่ละระบบ78 อาจจาแนกได้ 2 ลักษณะ คือ
1) ระบบแสวงหาขอ้ เทจ็ จริงโดยศาล และ 2) ระบบการเสนอข้อเทจ็ จรงิ โดยคคู่ วาม สรุปไดด้ ังน้ี

1) ระบบแสวงหาข้อเท็จจริงโดยศาลหรือที่ในทางวิชาการเรียกว่า “ระบบค้นหาความ
จริงแบบไม่เป็นปรปกั ษ์ (non-adversary system)” ระบบน้ีศาลมีบทบาทในการกาหนดประเด็นและ
ค้นหาความจรงิ ในคดี ด้วยมุ่งหมายทาความจรงิ ให้ปรากฏ ระบบการค้นหาความจริงลักษณะน้จี ะอย่ใู น
ภาคพืน้ ยุโรปที่ใช้ ระบบ Civil Law เชน่ ฝรัง่ เศส เยอรมนี

2) ระบบการเสนอข้อเท็จจริงโดยคู่ความหรือที่ในทางวิชาการเรียกว่า “ระบบค้นหา
ความจริงแบบเป็นปรปักษ์ (adversary system)” เพราะระบบน้ีคู่ความมีบทบาทในการเสนอข้อเท็จจริง
ในคดีส่วนศาลวางเฉย เพียงแต่ควบคุมการดาเนินการของคู่ความให้เป็นตามกฎเกณฑ์ที่กาหนด
ซึ่งระบบการค้นหาความจริงลักษณะน้ีจะใช้อยู่ในประเทศที่ใช้ระบบ Common Law ซ่ึงมอบหน้าท่ี
ในการวินิจฉยั ชีข้ าดข้อเท็จจริงแก่คณะลูกขนุ (jury) เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ทั้งสองระบบดังกล่าวต่างก็มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน ทั้งสองระบบ
จงึ มีการปรับตัวเข้าหากัน หลายประเทศปรับปรุงระบบวิธีพิจารณาของตนโดยนาข้อดีของแต่ละระบบ
มาปรับใช้

กระบวนการยตุ ิธรรมทางอาญาในชั้นพนักงานสอบสวน ชั้นพนักงานอยั การ และชน้ั ศาล
ล้วนเป็นขั้นตอนท่ีมุ่งค้นหาความจริง ซ่ึงในกระบวนการค้นหาความจริงในทางอาญาเป็นการกระทา
ของเจ้าหน้าที่รัฐที่ได้กระทาตามกฎหมาย ทั้งในชั้นสอบสวน ช้ันฟ้องร้อง ชั้นพิจารณาคดี เป็นการ
กระทาท่ีถูกต้องตามหลักนิติบัญญัติของรัฐ79 และได้ทาโดยชอบด้วยกระบวนการท่ีกฎหมายกาหนด
เพ่ือให้ได้มาซึ่งความจริงไม่ว่าจะเป็นผลดีหรือผู้เสียของผู้ถูกกล่าวหา หลักการค้นหาความจริงมี
จดุ มุง่ หมายเพือ่ ให้ความเป็นธรรมแกท่ กุ ฝ่าย

การสืบสวนและการสอบสวนในชั้นพนักงานสอบสวนเป็นข้ันตอนหนึ่งในกระบวนการ
ยุติธรรมท่ีมุ่งแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน กลั่นกรองพยานหลักฐานต่าง ๆ และค้นหา
ผู้กระทาความผิดหรือค้นหาว่าผู้ต้องหาที่ถูกกล่าวหากระทาผิดจริงหรือไม่ เป็นขั้นก่อนที่จะไปสู่การ
พิจารณาของพนักงานอัยการ และศาล การสืบสวนและการสอบสวนเป็นการรวบรวมพยาน หลักฐาน
และการดาเนินการทั้งหลายอื่นตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายอาญาซึ่งได้กระทาไปเก่ี ยวกับ

78 ชยาธร เฉยี บแหลม, “หลัก in dubio pro reo ในคดีอาญาระบบไตส่ วน,” วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ปที ่ี 49
ฉบับท่ี 3. (กนั ยายน 2563): 499.
79 สุเมธ จติ ตพ์ านิชย,์ “หลกั การค้นหาความจรงิ ในการสอบสวน,” (วทิ ยานิพนธ์ปรญิ ญามหาบณั ฑติ , คณะนิตศิ าสตร์ จุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลยั , 2538), 5.



77

ศาลสิทธิมนุษยชนยุโรปได้กาหนดองค์ประกอบของสิทธิที่จะได้รับการสันนิษฐานว่า
บรสิ ุทธ์ิไว้ 3 ขอ้ 82 ดงั น้ี

1) ผู้พิพากษาไม่ควรมีความคิดเอนเอียงไปว่าจาเลยได้กระทาความผิด หมายถึง ศาล
ทพี่ ิจารณาคดีอาญาจะตอ้ งฟังความทงั้ ฝ่ายโจทก์และฝ่ายจาเลยอย่างเท่าเทยี ม โดยไม่คิดไปลว่ งหน้าว่า
จาเลยเป็นผกู้ ระทาความผดิ

2) ภาระการพิสูจน์ตกอยู่กับฝ่ายโจทก์ ในคดีอาญาโจทก์กล่าวหาว่าจาเลยกระทา
ความผิด จาเลยต่อสู่ว่าไม่ได้กระทาความผิด โจทก์มีภาระต้องพิสูจน์ให้ศาลเชื่อว่าจาเลยกระทา
ความผิด หากพิสจู นไ์ ม่ได้ ศาลจะยกฟอ้ งปลอ่ ยตวั จาเลย

3) หากมีข้อสงสัย จาเลยจะได้รับประโยชน์นั้น ในการตัดสินคดีแพ่งหรือคดีอ่ืน
หากฝ่ายใดมีหลักฐานโน้มน้าวให้ศาลเช่ือมากกว่าอีกฝ่าย ศาลจะให้ฝ่ายนั้นเป็นผู้ชนะคดี แต่ใน
คดอี าญา แมจ้ าเลยไมม่ ีพยานหลักฐานใด ๆ ท่ีจะพิสจู น์ความบริสุทธ์ขิ องตน แต่โจทก์นาเสนอหลักฐาน
ได้ไม่ชัดเจนเพียงพอที่จะทาให้ศาลเชื่อว่าจาเลยกระทาความผิด ศาลจะยกฟ้องปล่อยตัวจาเลย
เพราะจาเลยได้รบั ประโยชนจ์ ากความสงสยั

รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 29 บญั ญัติไว้วา่
“บุคคลไม่ต้องรับโทษอาญา เว้นแต่ได้กระทาการอันกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาท่ีกระทาน้ัน
บัญญัติเป็นความผิดและกาหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่บุคคลน้ันจะหนักกว่าโทษที่บัญญัติไว้ใน
กฎหมายท่ใี ช้อยูใ่ นเวลาทก่ี ระทาความผิดมไิ ด้
ในคดีอาญาให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจาเลยไม่มคี วามผิด และก่อนมีคาพิพากษา
อนั ถงึ ท่สี ุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทาความผิดจะปฏิบตั ิต่อบุคคลน้ันเสมือนเป็นผกู้ ระทาความผิดมิได.้ ..”
จากบทบัญญัติดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560
ให้การรับรองหลักสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธ์ิ ว่าเป็นหน่ึงในสิทธิของปวงชนชาวไทย หลักสันนิษฐาน
ไว้ก่อนว่าบริสุทธ์ิ น้ีได้รับการรับรองในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรทุกฉบับ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2492
เปน็ ต้นมา เพียงแตอ่ าจจะเขียนข้อความแตกต่างกนั
ปัจจุบันหลักสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธ์ิ (presumption of innocence) ถือเป็นหลัก
สากล ได้รับการรับรองไว้ในกฎหมายระหว่างประเทศเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนทั้งในระดับสากลและระดับ
ภูมิภาค ซึ่งมี 172 ประเทศทั่วโลกเป็นภาคี รวมท้ังประเทศไทยด้วย ท้ังนี้ ปรากฏการรับรองโดยกฎหมาย
ระหว่างประเทศครั้งแรกในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ข้อ 11 (1) ว่า “ทุกคนที่ถูกกล่าวหาว่า
กระทาผิดทางอาญามีสิทธิที่จะได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธ์ิจนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่ามีความผิดตาม
กฎหมาย จากน้ันได้รับการบรรจุไว้ในอนุสัญญายุโรปว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ข้อ 6-2 ว่า “บุคคลทุกคนซึ่ง
ต้องหาว่ากระทาผิดอาญามีสิทธิได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่ามีความผิดตาม
กฎหมาย และต่อมากติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองก็รับรองไว้ในข้อ 14-2
ว่า “บุคคลทุกคนซ่ึงต้องหาว่ากระทาผิดอาญา ย่อมมีสิทธิได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะ
พสิ ูจนไ์ ด้วา่ มีความผิดตามกฎหมาย”

82 ปกปอ้ ง ศรสี นทิ , “สิทธิของปวงชนชาวไทยตามรัฐธรรมนญู : หลกั สนั นิษฐานไว้กอ่ นว่าบริสทุ ธ,ิ์ ” สืบค้นเมอื่ 3 มนี าคม2563,
https://www.the101.world/presumption-of-innocence/

78

2.8.5 หลกั กำรพสิ จู นจ์ นสนิ สงสยั ตำมสมควร (Beyond a Reasonable Doubt)
หลักการใหญ่ที่ระบบยุติธรรมท่ัวโลกใช้กัน คือ “หลักการพิสูจน์จนสิ้นความสงสัย

ตามสมควร” (Beyond a Reasonable Doubt) เป็นการคนหาความจริงในคดีอาญาสาหรับ
กลุ่มประเทศที่ใชระบบกฎหมาย Civil Law โดยมีการยึดถืออย่างเคร่งครัด ประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความอาญา มาตรา 227 บัญญัติไว้ว่า “ให้ศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้าหนักพยานหลักฐาน
ทัง้ ปวง อย่าพิพากษาลงโทษจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทาผิดจริงและจาเลยเป็นผู้กระทาความผิดน้ัน
เมือ่ มคี วามสงสัยตามสมควรว่าจาเลยไดก้ ระทาผิดหรอื ไม่ ใหย้ กประโยชน์แหง่ ความสงสัยนัน้ ใหจ้ าเลย”

ระบบการพิจารณาคดีของศาลน้ันเป็นท่ีทราบกันว่ามี 2 ระบบ คือ ระบบไต่สวนกับระบบ
กล่าวหา สาหรับประเทศไทย ศาลปกครองและศาลรัฐธรรมนูญ ใช้ระบบไต่สวน ศาลอาญาใช้ระบบ
กล่าวหา ตามที่ได้เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า ระบบไต่สวน ศาลมีบทบาทสาคัญในการแสวงหา
ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน โดยศาลอาจแสวงหาข้อเท็จจริงเพม่ิ เติมด้วยการนัดไต่สวนค่กู รณี หรือเรียก
พยานบุคคล พยานเอกสาร พยานผู้เชี่ยวชาญ รวมท้ังการออกไปเดินเผชิญสืบ ณ สถานท่ีเกิดเหตุ
เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่จาเป็นต่อการพิจารณาพิพากษาคดีอย่างครบถ้วน ระบบ
กล่าวหา ศาลจะพิจารณาคดี โดยฝ่าย ที่เป็นผู้ย่ืนฟ้องคดี (โจทก์) ต้องนาพยาน หลักฐานมาแสดง
ต่อศาลเพื่อพิสูจน์ว่าฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีกระทาผิด และฝ่ายท่ีถูกฟ้องคดีต้องนาพยานหลักฐานมาหักล้าง
หรือพิสูจน์ความบริสุทธ์ิของตนต่อศาล โดยศาลจะวางตัวเป็นกลาง ไม่เข้าไปมีบทบาทในการแสวงหา
พยานหลักฐานอ่ืนใดมาเพิ่มเติม ตามหลักการที่ว่าท้ังสองฝ่ายมีสถานะเท่าเทียมกันการแสวงหา
พยานหลักฐาน และเป็นหน้าที่ของแต่ละฝ่าย ศาลจะรับฟังพยาน หลักฐานจากทั้งสองฝ่ายเพื่อ
ชงั่ น้าหนักว่าฝา่ ยใดมีพยานหลกั ฐานน่าเช่ือถือจนปราศจากข้อสงสยั จงึ จะมคี าพพิ ากษา

กฎหมายไทยในคดีอาญาจะวางหลักการพ้ืนฐานซ่ึงสาคัญมาก คือ หลักให้สันนิษฐานว่า
เป็นผู้บริสุทธ์ิ จาเลยเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าโจทก์จะหา “พยานหลักฐาน” มาพิสูจน์ได้ว่าจาเลยกระทา
ความผิดจริง โดยหลักการแล้ว “ภาระในการพิสูจน์ (Burden of Proof)” เป็นของโจทก์ไม่ใช่ของจาเลย
ในกรณีที่โจทก์ไม่สามารถหาพยานหลักฐานมาพิสูจน์ความผิดของจาเลยได้ หรือหาพยานหลักฐานได้แต่
ไม่เพียงพอท่ีศาลจะเชื่อได้ว่าจาเลยกระทาความผิด ศาลจะพิจารณาพิพากษายกฟ้อง จาเลยจะพ้นข้อ
กล่าวหาไปทันที ซึ่งในหลายคดีท่ีศาลยกฟ้อง มีสาเหตุมาจากพยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์มีไม่เพียงพอ
หรืออาจกล่าวได้ว่าพยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์ไม่สามารถพิสูจน์ “จนศาลสิ้นสงสัย” ได้ว่าจาเลยนั้น
กระทาผดิ จริง

“ระดับ” ของการพิสูจน์จนส้ินสงสัยนั้นอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล ด้วยเหตุน้ี
คาว่า พิสูจน์จนสิ้นสงสัย (Reasonable Doubt) จึงมักมีวลี “ตามสมควร” ต่อท้ายอยู่ด้วยเสมอซึ่ง
หมายความว่า โจทก์ต้องหาพยานหลักฐานมายืนยันกันให้ส้ินสงสัยว่าจาเลยกระทาความผิดตามสมควรก็
พอแล้ว คือ ในบางกรณีอาจจะไม่ต้องถึงข้ันส้ินสงสัยอย่างสมบูรณ์แบบในทุกกรณี เพราะอาจเป็นเร่ือง
ยากมากทีจ่ ะทาอย่างนั้น83

83 โตมร ศขุ ปรีชา, “พสิ จู นจ์ นสน้ิ สงสัย,” สืบค้นเม่ือ 12 สงิ หาคม 2564, https://thematter.co/thinkers/beyond-a-reasonable-
doubt/16254.

79

2.8.6 หลักกำรยกประโยชน์แหง่ ควำมสงสยั ให้แก่จำเลย (in dubio pro reo)
หลักการยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จาเลย (in dubio pro reo) เป็นหลักการ

สาคัญของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ซ่ึงประเทศไทยรับรองไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา มาตรา 227 ได้บัญญตั ไิ วว้ ่า

“ให้ศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยช่ังน้าหนักพยานหลักฐานท้ังปวง อย่าพิพากษาลงโทษจนกว่า
จะแน่ใจว่ามีการกระทาผดิ จริงและจาเลยเปน็ ผู้กระทาความผิดนน้ั

เม่ือมีความสงสัยตามสมควรว่าจาเลยได้กระทาผิดหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความ
สงสยั น้นั ใหจ้ าเลย”
และได้ใช้บงั คับตลอดมาจนถงึ ปัจจบุ ัน ซึ่งในทางปฏิบตั ศิ าลหยิบยกขน้ึ ปรับใช้ในคดอี ยูเ่ สมอ84

รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 จัดตง้ั แผนกคดีอาญาของผู้ดารง
ตาแหน่งทางการเมืองขึ้นในศาลฎีกาสาหรับพิจารณาคดีอาญาของผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองโดย
กาหนด ให้ใช้วิธีพิจารณาระบบไต่สวน และมีมาตรการพิเศษต่างจากคดีอาญาทั่วไป อันถือเป็นการ
เริ่มต้นในการนาระบบไต่สวนมาใช้ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทย หลังจากน้ันไม่นานได้
ขยายวธิ ีพิจารณาลักษณะเดียวกนั ไปใชใ้ นการดาเนินคดอี าญาเจา้ หน้าท่ีระดับสูงของรฐั ซึ่งเป็นคดที ่ีอยู่
ในเขตอานาจของศาลยุติธรรมและศาลทหาร และให้ศาลยุติธรรมกับศาลทหารซึ่งมีอานาจพิจารณา
พพิ ากษาคดีดังกลา่ วออกข้อบงั คับหรือระเบียบเก่ียวกับการดาเนินคดีได้ หลังจากนาระบบไต่สวนมาใช้
นกั กฎหมายไทยจึงมีความเห็นไม่ลงรอยกันเรอื่ งการนาหลกั in dubio pro reo มาปรับใช้ในคดีอาญา
ระบบไตส่ วน โดยฝ่ายแรกเห็นวา่ in dubio pro reo เป็นหลกั การในระบบกล่าวหา ไมอ่ าจใชใ้ นระบบ
ไต่สวน เพราะระบบไต่สวนศาลมีหน้าที่ค้นหาความจรงิ จนส้ินสงสัย จึงไม่มีการยกประโยชน์แห่งความ
สงสัยให้จาเลย และด้วยเหตุนี้จึงไม่อาจนาประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรสอง
มาปรับใช้ได้ แต่อีกฝ่ายหนึ่งมีความเห็นว่า in dubio pro reo เป็นหลักการท่ัวไป มิได้ใช้เฉพาะในระบบ
กลา่ วหา ย่อมสามารถนามาตรา 227 วรรคสอง มาปรับใช้ในคดีอาญาระบบไต่สวนได้ ซงึ่ ยงั ไมม่ ขี ้อยตุ ิ

หลักการยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จาเลย (in dubio pro reo) แม้ไม่ปรากฏว่า
มีการรับรองไว้ในกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ในทางวิชาการยอมรับกันว่าเป็นหลักการที่เกี่ยวเนื่องกับ
หลัก presumption of innocence อย่างแน่นแฟ้น85 และด้วยเหตุนี้ จึงปรากฏว่าศาลสิทธิมนุษยชน
แห่งยุโรป (European Court of Human Rights - ECtHR) จึงมีคาวินิจฉัยรับรองหลัก in dubio pro
reo ไว้หลายคดี โดยวางหลักว่าในคดีอาญา ภาระการพิสูจน์ตกอยู่แก่ผู้ฟ้องร้อง และความสงสัยต้องให้
เป็นประโยชน์แก่จาเลย

สรุปได้ว่า หลักสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธ์ิ (presumption of innocence) เป็นหลัก
การสากลที่ได้รับการรับรองไว้ในระดับกฎหมายระหว่างประเทศและรัฐธรรมนูญของประเทศต่าง ๆ
แม้จะไม่ปรากฏการรับรองหลักการยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จาเลย (in dubio pro reo) ไว้ใน
ระดับเดียวกัน แต่หลักการยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จาเลยเป็นหลักการท่ีเก่ียวพันอยู่กับหลัก
สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธ์ิ เพราะเป็นกลไกวิธีการที่ทาให้หลักสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์ เกิดผล

84 ชยาธร เฉยี บแหลม, “หลกั in dubio pro reo ในคดีอาญาระบบไต่สวน,” วารสารนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ปที ี่ 49
ฉบบั ที่ 3. (กนั ยายน 2563) : 492.
85 ชยาธร เฉยี บแหลม, “หลกั in dubio pro reo ในคดอี าญาระบบไตส่ วน,” วารสารนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร,์ ปที ี่ 49
ฉบับที่ 3. (กันยายน 2563) : 492.

80

บงั คับในทางปฏิบัติเม่อื เข้าสู่ข้ันตอนสุดท้ายของการพิจารณาคดี ซ่ึงประเทศไทยได้รับรองหลักสันนิษฐาน
ไวก้ ่อนว่าบรสิ ุทธิ์ไว้ในรัฐธรรมนญู อันเปน็ กฎหมายสูงสุดของประเทศ ดังน้ัน การไม่นาหลักการยกประโยชน์
แห่งความสงสัยให้จาเลยมาใช้ ย่อมมีผลเป็นการบ่ันทอนผลบังคับของหลักสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์
อันอาจเป็นการขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ

2.8.7 สิทธิท่จี ะไมใ่ หถ้ อ้ ยคำอนั เป็นปฏิปกั ษ์ตอ่ ตนเอง (Privilege against self - incrimination)
การดาเนินคดีอาญาน้ันนอกจากรัฐจะดาเนินการนาตัวผู้กระทาผิดกฎหมายมาลงโทษ

แล้ว รัฐต้องใหค้ วามค้มุ ครองสิทธิของผู้กระทาผิดด้วยควบค่กู ันไป เพอื่ ไม่ใหม้ ีการละเมิดสิทธิของผู้กระทา
ผิดมากเกินไป (การดาเนินคดีอาญากับผู้ใดย่อมส่งผลกระทบกระเทือนต่อเสรีภาพของประชาชน) จึงต้อง
มีการคุ้มครองสิทธิดังกล่าวโดยการบัญญัติเป็นกฎหมายไว้ เพื่อเป็นหลักประกันเสรีภาพของประชาชน
เช่น การจับ การค้น ต้องมีหมายจับ หมายค้น เปน็ ตน้ อย่างไรกต็ าม เพือ่ ให้มาตรการคุ้มครองสิทธขิ อง
ผู้ต้องหาหรือจาเลยได้รับการเคารพและถูกนาไปปฏิบัติ จึงมีความจาเป็นจะต้องกาหนดผลในทาง
กฎหมายของการไม่ปฏิบัติตามหลักการดังกล่าว เช่น มีผลทาให้ศาลไม่รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้
กระบวนการยุติธรรมที่ดีจึงต้องเป็นกระบวนการยุติธรรมที่สามารถนาตัวผู้กระทาผิดมาลงโทษได้
อย่างมปี ระสิทธิภาพ และในขณะเดียวกนั ก็ตอ้ งคุ้มครองสทิ ธขิ องผกู้ ระทาผิดไปพร้อม ๆ กัน

สิทธิท่ีจะไม่ให้ถ้อยคาอันเป็นปฏิปักษ์ต่อตนเอง (Privilege against self-incrimination)
เป็นสิทธิสาคัญอยา่ งหน่ึงท่ีผู้กระทาความผิดได้รบั การคุ้มครอง86 ก่อนท่ีตารวจจะจับกมุ ผู้ตอ้ งหาจะตอ้ ง
แจ้งให้ผู้ต้องหาทราบเสียก่อนวา่ ผู้ต้องหามีสิทธิจะใหก้ ารหรือไม่ให้การก็ได้นั้น เป็นหลกั ท่ีศาลฎกี าของ
สหรัฐอเมริกาได้วินิจไว้ในคดี Miranda v. Arizona (1966) ซ่ึงศาลวินิจฉัยวางหลักไว้ว่า “เจ้าหน้าท่ี
ต้องทาการแจ้งให้ผู้ถูกจับ ผู้ถูกควบคุม หรือก่อนทาการสอบสวนทราบว่า "เขามีสิทธิจะไม่ให้การใด ๆ
เลยก็ได้ ถ้อยคาท่ีเขากล่าวออกมาอาจใช้เป็นพยานยันแก่เขาได้ในช้ันศาลได้ เขามีสิ ทธิที่จะมี
ทนายความอยู่ร่วมด้วยในระหว่างการสอบสวน หากเขาไม่สามารถจัดหาทนายความได้เอง จะมีการ
แตง่ ตง้ั ทนายความให้แก่เขากอ่ นเรมิ่ การสอบสวน ถา้ เขามีความประสงค์เชน่ นั้น”

สิทธิที่จะไม่ให้ถ้อยคาอันเป็นปฏิปักษ์ต่อตนเอง (Privilege against self-incrimination)
เป็นสิทธิอันสาคัญของผู้ต้องหาที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง เป็นสิทธิข้ันพ้ืนฐานของมนุษย์
โดยหมายถึง "บุคคลไม่อาจถูกบังคับให้ปรักปราตนเอง" ซ่ึงหลักการน้ีถูกบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญของ
สหรัฐ (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 5) ที่บัญญัติว่า "บุคคลไม่อาจท่ีจะถูกบังคับให้เป็นพยานอันเป็นปฏิปักษ์
ต่อตนเองในคดีอาญา สิทธิดังกล่าวนี้จะใช้กับพยานหลักฐานที่เป็นถ้อยคา (Testimony) เท่านั้น
ซ่ึงหมายความว่าจะบังคับให้บุคคลใดกล่าวถ้อยคาที่เป็นปฏิปักษ์ต่อตนเอง อันอาจทาให้ถูกฟ้อง
คดีอาญาไม่ได้

สิทธิท่ีจะไม่ให้ถ้อยคาอันเป็นปฏิปักษ์ต่อตนเองในกฎหมายไทย มีการนาหลักการดังกล่าว
มาบัญญตั ไิ ว้ในกฎหมายท้ังในรัฐธรรมนญู และประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา ดงั น้ี

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 29 วรรคส่ี บัญญัติไว้ว่า “ในคดี
อาญาจะบงั คับใหบ้ ุคคลให้การเป็นปฏิปักษ์ตอ่ ตนเองมิได้”

86 เฉลวิ ุฒิ สาระกจิ , “สทิ ธิจะไมใ่ หถ้ ้อยคาอนั เปน็ ปฏิปกั ษ์ตอ่ ตนเองในคดอี าญา,” สืบคน้ เมอ่ื 12 สิงหาคม 2564.
https://www.blockdit.com/ posts/5e44cf0f44f8680c980e789f.

81

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 83 วรรคสอง บัญญัติไว้ว่า "ในกรณี
ที่เจ้าพนักงานเป็นผู้จับต้องแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกจับทราบ หากมีหมายจับให้แสดงต่อผู้ถูกจับ พร้อม
ท้ังแจ้ งด้ วย ว่ าผู้ ถูก จั บ มี สิ ท ธิท่ี จ ะ ไม่ ให้ ก ารห รือ ให้ การ ก็ได้ แล ะถ้อ ย คาขอ งผู้ ถูกจั บ นั้ น อา จ ใช้ เป็ น
พยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้และผถู้ ูกจบั มสี ิทธิที่จะพบและปรึกษาทนายความ หรอื ผ้ซู ึ่งจะเป็น
ทนายความ ถ้าผู้ถูกจับประสงค์จะแจ้งให้ญาติหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจทราบถึงการจับกุมที่สามารถ
ดาเนินการได้โดยสะดวกและไม่เป็นการขัดขวางการจับหรือการควบคุมผู้ถูก จับหรือทาให้เกิดความ
ไม่ปลอดภยั แกบ่ ุคคลหนึ่งบุคคลใดกใ็ ห้เจ้าพนักงานอนุญาตให้ผถู้ ูกจบั ดาเนินการได้ตามสมควรแกก่ รณี
ในการน้ีให้เจา้ พนักงานผู้จบั นน้ั บันทึกการจบั ดังกล่าวไว้ดว้ ย”

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134/4 บัญญัติว่า “ในการถามคาให้การ
ผตู้ ้องหา ให้พนักงานสอบสวนแจ้งให้ผตู้ ้องหาทราบกอ่ นวา่

(1) ผู้ต้องหามีสิทธิท่ีจะให้การหรือไม่ก็ได้ ถ้าผู้ต้องหาให้การ ถ้อยคาท่ีผู้ต้องหาให้การ
น้ันอาจใช้เปน็ พยานหลกั ฐานในการพจิ ารณาคดไี ด้

(2) ผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซ่ึงตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคาตนได้
เม่ือผู้ต้องหาเตม็ ใจให้การอยา่ งใดกใ็ ห้จดคาใหก้ ารไว้ ถา้ ผู้ต้องหาไมเ่ ตม็ ใจใหก้ ารเลยก็ให้บนั ทึกไว้

ถอ้ ยคาใดๆ ที่ผู้ต้องหาให้ไวต้ ่อพนักงานสอบสวนก่อนมกี ารแจ้งสิทธิตามวรรคหน่ึง หรือ
ก่อนที่จะดาเนินการตามมาตรา 134/1 มาตรา 134/2 และมาตรา 134/3 จะรับฟงั เปน็ พยานหลักฐาน
ในการพิสูจน์ความผิดของผ้นู ั้นไมไ่ ด้

จะเห็นได้ว่าในคดีอาญาผู้ต้องหาได้รับการคุ้มครองสิทธิตามหลักกฎหมายสากล
การปฏิบัติหน้าท่ีของพนักงานสอบสวนจึงต้องปฏิบัติตามท่ีกฎหมายกาหนดอย่างเคร่งครัด มิเช่นน้ัน
อาจเกิดกรณีท่ีไม่สามารถรับฟงั เป็นพยานหลกั ฐานในการพิสูจน์ความผดิ ในชนั้ ศาลได้

2.8.8 หลกั พยำนแผ่นดินหรอื พยำนหลวง (King’s evidence)
พยานแผ่นดิน หมายถึง ผู้กระทาความผิดท่ีมิได้ถูกฟ้องร้องโดยได้รับอนุญาตจากรัฐ

มาให้การเป็นปฏิปักษ์ต่อบุคคลอ่ืนท่ีร่วมกระทาความผิดอาญากับตน ประเทศไทยได้รับเอาระบบของ
พยานหลวง (King's evidence) ซ่ึงเป็นหลักสากลที่ให้ดุลพินิจแก่พนักงานอัยการในการพิจารณา
ส่ังไม่ฟ้องผู้ร่วมกระทาความผิดท่ีให้ความร่วมมือที่รับสารภาพและให้การเป็นประโยชน์ ในการ
ดาเนินการกับผู้กระทาความผิดอ่ืน เพ่ือกันไว้เป็นพยานนาเข้าเบิกความในการดาเนินคดีกับผู้ร่วม
กระทาความผิดอื่นซ่ึงอาจกล่าวได้ว่ามีความชั่วมากกว่า เช่น เป็นผู้กระทาความผิดในระดับหัวหน้า
ซงึ่ ในกรณีนี้พยานที่ไดใ้ ห้ความร่วมมือจะได้รบั เกียรติ ไม่ตอ้ งถูกดาเนินคดี มีตัวอยา่ งการนามาใช้ตั้งแต่
สมัย นายเล็ก จุณณานนท์ อธิบดีกรมอัยการที่พนักงานอัยการได้สั่งไม่ฟ้องนายสมฤกษ์ กิตติสุวรรณ
ผตู้ อ้ งหาในคดีให้สินบนเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายวิธพี จิ ารณาความอาญา มาตรา 143 เพื่อกัน
ไว้เป็นพยานในการดาเนินคดีกับพลเอกสุรจิต จารุเศรณี จาเลย ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานเรียกและรับ
สินบนที่ต่อมาศาลฎีกาได้มีคาพิพากษาให้ลงโทษจาเลยตามฟ้อง และหลังจากน้ันพนกั งานสอบสวนจะ
ดาเนินคดีกับนายสมฤกษ์ กิตติสุวรรณ ในขอ้ หาใหส้ ินบนแก่เจ้าพนักงาน อันเป็นเรอ่ื งเดียวกันในกรณีนี้
อธิบดีกรมอัยการได้ช้ีขาดความเห็นแย้งโดยส่ังไม่ฟ้องนายสมฤกษ์ กิตติสุวรรณ ด้วยเห็นว่า “การ
ย้อนกลับมาฟ้องนายสมฤกษ์ กิตติสุวรรณ ซึ่งเคยเป็นพยานของรัฐเบิกความจนกระท่ังศาลตัดสิน
ลงโทษจาเลยไปแล้วน้นั จะเป็นการเสยี ความยตุ ิธรรม และเสียศีลธรรม ซึ่งโดยหลักของพนักงานอยั การ
ไม่อาจจะอานวยบริการเช่นนั้นได้ นอกจากนี้แล้วหากฟ้องผู้ร่วมกระทาความผิดในลักษณะเดียวกัน

82

ต่อไปผู้ให้สินบนก็จะไม่กล้าแสดงข้อเท็จจริง หรือเบิกความเป็นพยานเพราะตนจะถูกฟ้องคดีใน
ภายหลงั เมื่อไมม่ ีผูเ้ สยี หายร้องทุกข์ก็จะไมม่ ีคดี และไมส่ ามารถลงโทษเจ้าพนกั งานผู้กระทาความผดิ ได้
ในกาลต่อไป”

อาจกล่าวได้ว่าแนวปฏิบัติในรูประเบียบการดาเนินคดีท้ังชั้นสอบสวนและฟ้องร้อง
ต่างเห็นความสาคัญของการให้ความร่วมมือของพยานผู้ร่วมกระทาความผิด โดยเฉพาะในการ
ดาเนินการในคดีอาญาร้ายแรงที่โดยสภาพมีความยากลาบากในการเก็บพยานหลักฐาน เช่น คดีท่ี
เกี่ยวกับการทุจริตการกระทาความผิดขององค์กรอาชญากรรมการกระทาความผิดของผู้ท่ีมีความรู้
ความสามารถ (White collar crime) อย่างไรก็ตาม เน่ืองจากท้ังหน่วยงานสอบสวนและฟ้องร้องต่าง
มีแนวทางปฏิบัติในการดาเนินคดีของตนเองและช้ันพิจารณาคดีได้มีการวางกรอบการสั่งคดีค่อนข้าง
ละเอียดโดยกาหนดให้พนักงานอัยการพิจารณาว่า 1) ถ้าไม่กันผู้ต้องหาคนใดคนหนึ่งเป็นพยานแล้ว
พยานหลักฐานที่มีอยู่เพียงพอแก่การดาเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งหมดหรือไม่ 2) มีทางที่จะแสวงหา
พยานหลักฐานอ่ืนแทนเพ่ือให้สามารถดาเนินคดีกับผู้ต้องหาท้ังหมดหรือไม่ และ 3) ความเป็นไปได้
ที่พยานจะเบิกความเป็นประโยชน์ในการพิจารณา ซ่ึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นกฎเกณฑ์ที่มีการตรวจสอบ
ความจาเป็นในการกันผู้ร่วมกระทาความผิดไว้เป็นพยานหลวงและความน่าเช่ือของพยานก่อนท่ีจะมีคาสั่ง
ไม่ฟ้อง เพื่อการกันผู้ต้องหาท่ีรับสารภาพและให้การเป็นประโยชน์ในการดาเนินคดีกับผู้ร่วมกระทา
ความผิดไว้เป็นพยานหลวง นอกจากน้ีแม้พนักงานสอบสวนจะเห็นว่าควรกันพยานไว้ แต่หากพิจารณา
แลว้ ไม่เป็นไปตามเงอ่ื นไขท่ีระเบยี บได้วางไว้หรอื มปี ัจจัยอื่น ๆ เช่น มีความเป็นไปได้ในการปรกั ปรากันเอง
เพอ่ื เอาตัวรอด พนกั งานอยั การอาจมีความเห็นควรสงั่ ฟ้องบุคคลดังกลา่ วก็ได้

2.8.9 หลักประโยชน์สำธำรณะ
หากจะกล่าวถึงหลักประโยชน์สาธารณะ หลายคนสงสัยว่าอะไรท่ีจะถือว่าเป็นนโยบาย

เพื่อประโยชน์สาธารณะของประชาชนและเร่ืองอะไรไม่เป็น การตอบคาถามนั้นอาจเป็นเร่ืองยากเพราะ
ปัญหาเรื่องประโยชน์สาธารณะเป็นเรื่องเก่ียวกับความรู้สึกของบุคคลและปัจจั ยหลายประการเพราะ
เป็นส่ิงนามธรรมแปรผันไปตามสถานการณแ์ ละกาลเวลาจนไม่อาจกาหนดคานยิ ามไดโ้ ดยชัดแจง้

นโยบายเพ่ือประโยชน์สาธารณะ (Public policy) หากกล่าวในทางกฎหมาย ได้แก่
หลักของกฎหมายซ่ึงมีว่า จะถือว่าบุคคลหนึ่งบุคคลใดกระทาโดยชอบด้วยกฎหมายหาได้ไม่ ถ้าการ
กระทานั้นมีลักษณะในอันท่ีจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน (Against the public good) เพราะ
“สวัสดิภาพ” หรือความปลอดภัย ของประชาชนเป็นกฎหมายสูงสุด (Salus populiest suprema
lex-The welfare or safety of public is the supreme law)

ควำมหมำยของประโยชน์สำธำรณะ
“ประโยชน์” เป็นคานิยาม แปลว่า ส่ิงที่มีผลใช้ได้ดีสมกับท่ีคิดมุ่งหมายไว้หรือเป็นส่ิงท่ี
เป็นผลดหี รือเป็นคุณ
“สาธารณ หรือ สาธารณะ” เป็นคาวิเศษณ์ แปลว่า เพ่ือประชาชนทั่วไป ดังน้ัน คาว่า
ประโยชน์สาธารณะจึงมีความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานว่า สิ่งท่ีเป็นผลดีหรือเป็น
คณุ กับประชาชนทว่ั ไป

83

แนวคิดเกยี่ วกบั ประโยชนส์ ำธำรณะ
การท่ีจะพิจารณาถึงแนวคิดเรอ่ื งประโยชน์สาธารณะในทางกฎหมาย ควรท่ีจะทาความ
เข้าใจถึงความหมายของคาว่า “ประโยชน์สาธารณะ” ก่อนเพื่อให้เกิดความชัดเจนถึงแนวทางในการ
ส่งั ไม่ฟอ้ งคดผี ้ตู ้องหาหรือผู้รว่ มกระทาความผดิ ทก่ี ันไว้เป็นพยาน
“ประโยชน์สาธารณะ (Public interest) หรือ “ประโยชน์มหาชน” หรือ “ประโยชน์
ส่วนรวม” หมายความรวมถึง ประโยชน์ร่วมกันของพลเมืองโดยทั่วไปในกิจการของชุมชน รัฐ หรือ
รัฐบาลแห่งชาติ มิใช่เพียงประโยชน์แห่งชุมชนที่ได้รับผลกระทบในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่าน้ัน ในทาง
กฎหมายมหาชน ประโยชน์มหาชน หรือประโยชน์สาธารณะ เป็นนิติสมบัติ (Rechtsgut) ของ
กฎหมายมหาชน คือ เป็นวัตถุหรือสิ่งท่ีกฎหมายมุ่งจะคุ้มครองป้องกันเช่นเดียวกับชีวิตร่างกาย
ทรัพย์สิน ซึ่งเป็นส่ิงท่ีกฎหมายอาญาต้องการคุ้มครองประโยชน์มหาชนหรือประโยชน์สาธารณะ คือ
ประโยชน์ส่วนรวมของทุกคน ไม่ใช่ประโยชน์ของเอกชนคนใดคนหน่ึงโดยเฉพาะเจาะจง ซ่ึงเป็น
ประโยชนส์ ่วนตวั ของบคุ คล87
นอกจากนี้ ตามบทบัญญัติกฎหมายต่าง ๆ มีถ้อยคาใกล้เคียงท่ีอาจนามาใช้ประกอบ
ความเข้าใจในคาว่า “ประโยชน์สาธารณะ” ได้ เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 450
คาว่า “ภยันตราย ซ่ึงมีมาเป็นสาธารณะ...” ได้แก่ ภัยท่ีเกิดขึ้นนี้จะต้องทาให้เกิดผลพิบัติคือเสียหาย
แก่ส่วนรวม ไม่เฉพาะเสียหายแก่คนหนึ่งคนใด อาจจะเกิดแก่บุคคลท่ัวไปในหมู่นั้น หรือเกิดแก่
ทรัพย์สินส่วนรวม แม้จะเป็นเพียงทรัพย์สิ่งใดสิ่งหน่ึง โดยหลักหรือเหตุผลที่ว่าต้องสงวนประโยชน์
สว่ นใหญ่ไวโ้ ดยสละประโยชน์สว่ นน้อย88
เรื่องใดบ้างท่ีถอื วา่ เป็นประโยชน์สาธารณะหรือเป็นผลประโยชนส์ าธารณะ และเรื่องใด
เป็นเรื่องส่วนตัวของบุคคล คาตอบที่ได้มักจะไม่แตกต่างกัน เรื่องน้ีจึงเป็นปัญหา “คลาสสิก” ใน
การศึกษารัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ และสาขาอ่ืน ๆ ในทางรัฐศาสตร์ ผลประโยชน์สาธารณะ
เร่ืองแรก ๆ ท่ีมีการกล่าวถึง ในทฤษฎีการเมือง คือ การรักษาความยุติธรรมในสังคม เพราะถือกันว่า
การรักษาความยุติธรรมเป็นการให้ความคุ้มครองสิทธิประโยชน์พ้ืนฐานของบุคคล ซึ่งจะให้ประโยชน์
แก่ทุกคนในสังคม นอกจากนั้น ยังส่งผลให้สังคมส่วนรวมมีความสงบเรียบร้อยและสามารถพัฒนา
ให้ก้าวหน้าต่อไปได้ อย่างไรก็ตาม เรื่องผลประโยชน์สาธารณะมิได้จากัดอยู่โดยเฉพาะเร่ืองการรักษา
ความยุติธรรมเพียงอย่างเดียว หากยังมีเร่ืองอื่น ๆ ที่ถือว่าเป็นผลประโยชน์สาธารณะ และเป็นหน้าที่
ของรัฐบาลท่ีจะต้องดูแลรับผิดชอบในฐานะผู้ใช้อานาจอธิปไตยในนามสังคมส่วนรวม เช่น การป้องกัน
ประเทศ การจดั บรกิ ารสาธารณะทีจ่ าเปน็ พ้ืนฐาน เป็นตน้
เม่ือได้พิจารณาถึงคาว่าประโยชน์สาธารณะหรือประโยชน์มหาชนหรือผลประโยชน์ทั้งใน
แง่ของกฎหมาย และในแง่ของรัฐศาสตร์แล้ว จะเห็นได้ว่าเป็นคาที่มีลักษณะไม่แน่นอน โดยสภาพแล้วอาจ
ขยายความให้กว้างได้ แต่ก็มิใช่ว่าจะสามารถอธิบายได้เสียทีเดียวส่ิงที่เป็นลักษณะเดียวกันทั้งหมด คือ
เป็นกรณีท่ีเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมกระทบต่อคนอ่ืน ๆ ในสังคม ดังน้ัน ในการสั่งไม่ฟ้องคดีโดย
พิจารณาถึงประโยชน์สาธารณะอาจสรุปได้ว่า คือ การไม่ฟ้องเพราะเห็นว่าการฟ้องคดีจะไม่อานวย
ประโยชน์ต่อสังคมเพราะในคดีบางประเภท กระบวนการยุติธรรมท่ีเป็นอยู่ไม่สามารถท่ีจะเข้าไปช่วย

87 ประธาน จุฬาโรจนม์ นตรี, “ทนั โลกกฎหมายอาญา การส่ังไม่ฟอ้ งคดอี าญาซ่ึงไมเ่ ปน็ ประโยชนแ์ กส่ าธารณชนตามหลักนิติธรรม,”
วารสารอยั การ. ปที ี่ 24 ฉบบั ที่ 259 (2554) : 106.
88 ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 450.

84

แก้ไขได้ เช่น คดีความผิดโดยประมาท ความผิดระหว่างสมาชิกในครอบครัว ความผิดท่ีกระทาโดย
เยาวชน ความผิดท่ีมีโทษเพียงเล็กน้อย ซึ่งความผิดเหล่านี้หากได้มีการชดใช้ความเสียหายที่เกิดข้ึน
อย่างเหมาะสม และผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความที่จะลงโทษผู้กระทาความผิด กลไกทางอาญาท่ีมีอยู่
อาจไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งแก่ผู้กระทาความผิดเองผู้เสียหาย หรือสังคมส่วนรวมการส่ังฟ้องจึงไม่
เปน็ ประโยชนต์ อ่ สาธารณชนแตอ่ ยา่ งใด

ในแง่ของผู้กระทาความผิดผู้กระทาความผิดมีลักษณะท่ีหลากหลายท้ังลักษณะท่ีเป็น
อาชญากรช่ัวร้าย พวกกระทาความผิดติดนิสัย หรืออาจเป็นพวกที่มีอาการทางจิตประสาท ขอทาน
คนจรจัด ซง่ึ เปน็ พวกท่ีไม่อาจควบคุมตนเองได้หรือกระทาผดิ เพ่ือการยังชีพ ตลอดจนผู้กระทาความผิด
ที่เป็นเด็กหรือผู้เยาว์ ซึ่งอาจพิจารณาว่าเป็นเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความอ่อนวัยจึงด้อย
ประสบการณ์ และถูกยุยงส่งเสริมได้ง่าย เป็นต้น การจัดการกับผู้กระทาความผิดและกับผู้กระทา
ความผิดประเภทหลัง โดยใช้วิธีเดียวกับอาชญากรรมช่ัวร้ายและพวกกระทาความผิดที่ติดนิสัย นับว่า
เป็นการลงโทษทางอาญาท่ีไม่เหมาะสมและรุนแรงเกินไป ทาให้ไม่มีผลเป็นการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทา
ความผิด จึงไม่ก่อผลในทางสร้างสรรค์ต่อตัวผู้กระทาความผิด นอกจากนั้นยังอาจเกิดผลกระทบอ่ืน
ตามมา เช่น ผลกระทบทางจิตใจ ชื่อเสียง เกียรติยศ การยอมรับนับถือ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
ของผ้กู ระทาความผดิ

ในแง่ของผู้เสียหาย ซึ่งเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการกระทาความผิด การยอมรับ
ผลในคดีตลอดจนความพึงพอใจที่ได้รับการเยียวยาหรือชดเชยความเสียหายที่เกิดข้ึน ทาให้บรรดา
ความสูญเสียของผเู้ สยี หายลดลงไปแล้ว ก็เปน็ อีกเหตุผลหนึ่งที่จะนามาพิจารณาประกอบ เพื่อดูว่าการ
ดาเนินคดีต่อไปจะมีประโยชน์สาธารณะหรือไม่ เพราะถือว่าเป็นกรณีท่ีผู้เสียหายไม่มีความโกรธแค้น
แล้ว และความเสียหายได้รับการบรรเทาเบาบางลงแล้ว ทั้งยงั เป็นการให้โอกาสผู้กระทาความผิดกลับ
ตนเป็นคนดี เพ่อื อยูร่ ว่ มกับสังคมต่อไป อย่างไรกต็ าม การพิจารณาในสว่ นน้ีเพียงส่วนเดียววา่ ผู้เสียหาย
ไม่ตดิ ใจเอาความ และไดร้ ับการเยยี วยาแล้วเพียงอย่างเดียวคงยังไม่พอ

ดังน้ัน การกันผู้ต้องหาหรือผู้กระทาความผิดไว้เป็นพยานนอกจากจะต้องพิจารณา
ข้อเท็จจริงทุกด้านท่ีเก่ียวข้องในคดีอย่างรอบคอบ พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการจะต้องคานึง
ถึงความจาเป็นตอ่ ประโยชน์สาธารณะด้วยวธิ ีการกันเปน็ พยาน จงึ กอ่ ใหเ้ กิดประโยชน์สาธารณะอยา่ งย่ิง

2.8.10 หลักกำรรับฟังพยำนในคดีอำญำ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 บัญญัติว่า “พยานวัตถุ

พยานเอกสาร หรือพยานบุคคลซึ่งน่าจะพิสูจน์ได้ว่าจาเลยมีผิดหรือบริสุทธิ์ ให้อ้างเป็นพยาน
หลักฐานได้ แตต่ ้องเป็นพยานชนิดทมี่ ิไดเ้ กดิ ข้ึนจากการจูงใจ มคี าม่ันสัญญา ข่เู ข็ญ หลอกลวง หรือโดย
มิชอบประการอื่น...” ซึ่งมาตรานี้จะเชื่อมโยงกันกับมาตรา 135 บัญญัติว่า “ในการถามคาให้การ
ผู้ต้องหา ห้ามมิให้พนักงานสอบสวนทาหรือจัดให้ทาการใด ๆ ซ่ึงเป็นการให้คาม่ันสัญญา ขู่เข็ญ
หลอกลวง ทรมาน ใชก้ าลังบังคบั หรือกระทาโดยมิชอบประการใด ๆ เพื่อจูงใจให้เขาให้การอย่างใด ๆ
ในเร่ืองทต่ี อ้ งหานัน้ ” แยกพจิ ารณาดังนี้

1) พยานหลักฐานที่เกิดข้นึ จากการจูงใจ มีคาม่ันสัญญาโดยมิชอบ การจูงใจ หมายถึง
การชักนาใจให้คล้อยตามโดยกฎหมายมิได้จากัดวิธีการ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการจูงใจโดยการกล่าวกับ
ตัวผู้จูงใจโดยตรง หรือกล่าวต่อบุคคลอ่ืนแต่ภายหลังได้รู้ถึงผู้จูงใจ คาม่ันสัญญา หมายถึง การผูกมัด

85

ตนเองว่าจะกระทาการท่ีเป็นคุณแกพ่ ยาน เพื่อเป็นการตอบแทนการทพี่ ยานจะใหก้ ารตามที่ผู้ให้สัญญา
ตอ้ งการ อาจเปน็ ทรพั ย์สนิ หรือประโยชนใ์ นลักษณะอน่ื ตอบแทน

2) พยานหลักฐานทีเ่ กิดจากการหลอกลวง การหลอกลวง หมายถึง การทาให้หลงผิด
การกระทาใด ๆ ก็ตาม ซึ่งทาให้พยานเกิดความหลงผิดและให้การตามข้อที่หลงผดิ น้ัน ก็ถือวา่ เป็นการ
หลอกลวง อาจกระทาโดยกิริยา หรือวาจา หรือปกปิดข้อความจริงท่ีควรบอกแก่พยาน อันเป็นเหตุให้
พยานหลงผิดก็ได้ ทั้งนี้ ไม่จาเป็นต้องแสดงออกหรือกล่าวโดยตรงต่อผู้ต้องหาหรือพยานเพียงแต่กล่าว
กบั ผ้หู นึ่งผู้ใดโดยเจตนา ให้ผนู้ ัน้ บอกแกพ่ ยานอกี ตอ่ หนึง่ ก็ได้ แตต่ อ้ งกลา่ วถงึ คดโี ดยตรง

3) พยานหลักฐานที่เกิดจากการขู่เข็ญ ทรมาน ใช้กาลังบังคับ การขู่เข็ญ เป็นการทา
ให้ผู้ต้องหาอยู่ในภาวะหวาดหว่ันวิตกว่าจะเกิดอันตรายแก่ตนหรือผู้ท่ีมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพยาน
ซ่ึงอาจกระทาโดยวาจาหรือพฤติการณ์ก็ได้ การขู่เข็ญด้วยวาจา ไม่จาเป็นต้องใช้คารุนแรง หยาบคาย
คาพูดท่ีบอกว่าท่านจะลาบาก และผลร้ายจะเกิดแก่ท่านถือเป็น คาขู่ พยานหลักฐานที่เกิดข้ึนจาก
การล่อซ้ือ ล่อจับ และล่อให้กระทาความผิด ในบางครั้งความผิดท่ีเกี่ยวกับการซ้ือขายส่ิงของที่ผิด
กฎหมาย เช่น จาหน่ายแอมเฟตามีน ปืนเถ่ือน สลากกินรวบ รับของโจร หรือการซ้ือขายบริการที่ผิด
กฎหมาย ซึ่งผู้กระทาความผิดมักจะแอบทาการติดต่อซื้อขายอย่างลับ ๆ ทาให้เจ้าพนักงานตารวจ
ไม่มีโอกาสจับผู้กระทาความผิดได้ และถ้าจับได้ในภายหลังจากการกระทาความผิดแล้วมักจะไม่ได้
ของกลาง ทาให้คดีไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอท่ีจะฟ้องให้ผู้กระทาความผิดถูกลงโทษได้ จึงมีวิธีการ
ใหเ้ จ้าหน้าทป่ี ลอมตัวไปซ้ือขายสนิ ค้าหรอื บริการทีผ่ ิดกฎหมาย

2.8.11 หลกั นติ ธิ รรมและหลกั นิติรฐั
หากจะกล่าวถึงหลักนิติธรรมกับหลักนิติรัฐ หลายคนคงจะทราบความหมายของแต่ละคา

กันดีแล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า หลักนิติธรรมกับหลักนิติรัฐน้ันจะมีผลต่อการปกครองบ้านเมืองอย่างไร
ในทีน่ จ้ี ะขอกลา่ วถึงทีม่ าของหลกั นิติธรรมกับหลกั นติ ริ ัฐ ดงั นี้

1) ทีม่ ำของหลกั นิตธิ รรมและหลักนิตริ ัฐ (Legal State : Rechtsstaatsprinzip)
(1) หลกั นติ ิธรรม (Rule of Law)
หลักนิติธรรม หมายถึง ความเป็นธรรมที่มีอยู่ในกฎหมายหรือกฎหมายให้

ความเป็นธรรมได้ โดยท่ีความเป็นธรรมเปน็ ส่งิ ท่ีทกุ สังคมถวิลหา เพราะที่ใดมีความเป็นธรรมที่น่ันย่อม
นามาซ่ึงความสันติสุข หลักนิติธรรมได้เร่ิมก่อตัวและปรากฏเป็นรูปธรรมชัดเจนในประเทศอังกฤษ
ในศตวรรษที่ 13 โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีของประเทศอังกฤษ เร่ิมมีความ
ชัดเจนในปี ค.ศ. 1955 ภายหลังจากการประชุมนักนิติศาสตร์เสรีจาก 48 ประเทศ จัดโดยคณะกรรมการ
นักนิติศาสตร์สากล (International Commission of Jurists : ICJ) ท่ีเมืองเอเธนส์ ประเทศกรีก
และได้ประกาศบัญญัติแห่งเมืองเอเธนส์ 1955 (Act of Athen 1955) จากบัญญัติดังกล่าวทาให้
นักกฎหมาย เร่ิมเขา้ ใจปรชั ญาและหลักการของหลักนิติธรรมท่ีสอดคล้องตรงกัน และมองเห็นความ
สาคัญของหลักการดังกล่าวมากขึ้น

หลักนิติธรรมมีหลักการพ้ืนฐานท่ีมุ่งจากัดอานาจของผู้ปกครอง ซึ่งหมายความ
ถึงบุคคลทุกคนต้องเสมอภาคกันภายใต้กฎหมาย กฎหมายต้องมีเน้ือหาท่ีชัดเจน ให้เหตุผลได้ไม่ขัดแย้ง
กันเอง ปฏิบัติได้ใช้เป็นการท่ัวไป เป็นธรรม กฎหมายต้องมุ่งใช้ไปในอนาคต ไม่มีโทษย้อนหลัง มีการบังคับ
ใช้กฎหมายโดยเสมอภาค กระบวนการตรากฎหมายต้องถูกต้องชัดเจน หลักความเป็นกฎหมายซึ่งใช้
เป็นการทวั่ ไปไม่ว่ากบั เจา้ หน้าที่ของรัฐหรือเอกชน มหี ลกั ประกันในความเปน็ อสิ ระของผู้พิพากษา ฯลฯ

86

(2) หลักนติ ิรฐั (Legal State : Rechtsstaatsprinzip)
หลักนิติรัฐ (Legal State) มีต้นกาเนิดมาจากประเทศเยอรมัน หมายความ

ส้ัน ๆ ง่าย ๆ ว่าการปกครองโดยกฎหมาย มิใช่การปกครองโดยอาเภอใจของผูป้ กครอง ประเทศทีเ่ ป็น
นิติรัฐจึงต้องมีกฎหมายเป็นหลักในการปกครองประเทศ ผู้ปกครองประเทศจะกระทาการใด ๆ หรือ
ดาเนินการใด ๆ ได้ต้องมีกฎหมายรองรับ จะกระทาอะไรตามอาเภอใจไม่ได้ หลักนิติรัฐ (Legal State)
หมายถึง รฐั ท่ีปกครองด้วย “กฎหมาย” ไม่ใช่ปกครองด้วย “อานาจบารมี” ถือกฎหมายเป็นใหญ่ คนบังคับ
ใช้กฎหมายเป็นรอง แตกต่างกับรัฐที่มีกฎหมายในการปกครอง เพราะรัฐท่ีมีกฎหมายในการปกครอง
กอ็ าจจะไม่แน่ว่ากฎหมายจะเป็นใหญ่หรือไม่ เพราะรฐั ทุกรฐั ลว้ นมีกฎหมายในการปกครองด้วยกันทั้งสนิ้

ด้วยเหตุนี้ หลักนิติรัฐ (Legal State) จึงมีลักษณะเป็น “หลักคิด” มากกว่า
“หลักปฏิบัติ” นิติรัฐ จึงเป็นเครื่องมือสาคัญในการบัญญัติหรือบังคับใช้กฎหมายควบคู่กับการจัด
ให้มีกลไกการตรวจสอบการใช้อานาจรัฐ ผลของนิติรัฐ (Legal State) ทาให้บุคคลไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใด
ต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายอย่างเดียวกัน และยังทาให้หลักความเสมอภาค มีความเป็นไปได้จริง
ในทางปฏิบตั ิ

2) ควำมสมั พันธร์ ะหวำ่ งนติ ธิ รรม (Rule of Law) และนิติรัฐ (Legal State)
(1) ควำมเหมอื น
หลักนิติธรรมและหลักนิติรัฐ เป็นหลักการที่เป็นแนวความคิดท่ีกาเนิดและ

พัฒนาขึ้นเพ่ือมุ่งจากัดอานาจของผู้ปกครอง คุ้มครองประชาชน ทั้งหลักนิติรัฐและหลักนิติธรรม
จึงเก่ียวกับกฎหมาย และมุ่งกากับหรือเป็นหลักให้กับกฎหมาย เพื่อให้กฎหมายเป็นกฎหมายท่ีดี
มีความชดั เจน มีเหตมุ ีผล ต้องนาไปปฏบิ ตั ิได้ และต้องนาไปสู่ความยตุ ิธรรมทั้งในเชงิ รูปแบบและเนอื้ หา

(2) ควำมแตกต่ำง
หลักนิติรัฐมีจุดกาเนิดและพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ท่ีแตกต่างจากหลัก

นิติธรรม โดยหลักนิติรัฐเป็นหลักการสาคัญที่มีจุดเร่ิมต้นท่ีประเทศเยอรมันซ่ึงเป็นประเทศในระบบ
Civil Law และหลักนิติรัฐมีอิทธิพลเผยแพร่ไปท่ัวยุโรป ในขณะท่ีหลักนิติธรรมเป็นหลักการสาคัญที่มี
จุดเร่ิมต้นที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นประเทศในระบบกฎหมายจารีตประเพณี (Common Law) และ
หลักนิติธรรมมีอิทธิพลเผยแพร่ไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศทั้งหลายที่ใช้ระบบกฎหมาย
จารีตประเพณี (Common Law)

หลักนิติรัฐให้ความสาคัญกับสิทธิข้ันพื้นฐานของประชาชน ผู้ปกครองหรือรัฐ
มีอานาจจากัดตามที่กฎหมายกาหนด มีหลักการแบ่งแยกอานาจ ในขณะท่ีหลักนิติธรรมมุ่งเน้นที่การ
มีอานาจสูงสุดของรัฐสภาจะออกกฎหมายมาบังคับใช้กับประชาชน กฎหมายท่ีจะออกมามีผลใช้บังคับได้
ต้องตงั้ อยบู่ นหลักนิติธรรม

(3) ควำมสัมพนั ธ์
แม้ว่าหลักนิติธรรมกับหลักนิติรัฐอาจจะมีความเหมือนและมีความแตกต่างกัน

แต่สาระสาคัญต่างมุ่งเน้นจากัดอานาจของผู้ปกครองเหมือนกัน หลักนิติรัฐและหลักนิติธรรมเปรียบ
เหมือนต้นไม้ที่มีสายพันธ์ุเดียวกัน ท่ีต่างมุ่งให้ร่มเงาแก่ประชาชน ให้ได้รับความยุติธรรม มุ่งจากัดอานาจ
ของผู้ปกครอง แต่ต้นไม้ทั้งสองไปเจริญงอกงามในสองดินแดนท่ีมีประวัติศาสตร์ ระบบกฎหมาย
สภาพแวดล้อม สภาพสังคม ฯลฯ ที่แตกต่างกัน เม่ือได้ดินได้น้าได้ปุ๋ยได้อากาศที่แตกต่างกัน ต้นไม้
ท้ังสองก็ย่อมพัฒนาเติบโตแตกก่ิงก้านสาขา แตกต่างกันไปบ้าง มีบางส่วนเหมือน มีบางส่วนต่างมี

87

จุดเน้นหนักเบาเหมือนบ้างต่างบ้าง แต่เป็นความต่างบนความเหมือนกัน ด้วยปรัชญาพ้ืนฐานเดียวกัน
น้ีเองจึงทาให้หลักนิติรัฐและหลักนิติธรรมเป็น “หลัก” ของกฎหมายท่ีนักกฎหมายไม่ว่าในระบบ
กฎหมายลายลักษณ์อักษร (Civil Law) และระบบกฎหมายจารีตประเพณี (Common Law) ต่างต้อง
ยึดถือ เพือ่ ใหม้ ่นั ใจได้ว่าระบบกฎหมายจะนาไปสู่ความผาสกุ และความยุติธรรมโดยแทจ้ รงิ

(4) รฐั ธรรมนญู แห่งรำชอำณำจักรไทย พ.ศ. 2560
รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 3 บัญญตั ิไว้ว่า
“อานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข

ทรงใช้อานาจนน้ั ทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบญั ญัติแหง่ รัฐธรรมนญู
รัฐสภา คณะรฐั มนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ ต้องปฏบิ ัติหน้าที่

ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และหลักนิติธรรม เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและ
ความผาสุกของประชาชนโดยรวม”

การบัญญัติดังกล่าวมุ่งเน้นให้เห็นถงึ ความสาคัญของหลักนิตธิ รรม หรือ Rule of
Law อันเป็นหลักพื้นฐาน แห่งกฎหมายท่ีกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมหรือการกระทาใด ๆ จะต้อง
ไม่ฝ่าฝืน หรือขัดแย้งต่อหลักนิติธรรม โดยอาจจาแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ 1) หลักนิติธรรมโดย
เคร่งครัดหรือหลักนิติธรรมโดยความหมายอย่างแคบ และ 2) หลักนิติธรรมโดยทั่วไปหรือหลักนิติธรรม
ในความหมายอย่างกว้าง89

สาระสาคัญของหลักนติ ิธรรมโดยเครง่ ครดั ไดแ้ ก่
(1) หลักความเป็นอสิ ระและความเป็นกลางของผู้พิพากษาและตลุ าการ
(2) กฎหมายตอ้ งใช้บงั คับเป็นการทวั่ ไป
(3) กฎหมายตอ้ งมีการประกาศใชใ้ หป้ ระชาชนทราบ
(4) กฎหมายจะตอ้ งไม่มีผลย้อนหลังในทางท่เี ป็นโทษ
(5) ผ้ตู อ้ งหาหรอื จาเลยในคดีอาญาตอ้ งมสี ทิ ธใิ นการตอ่ สู้คดี
(6) เจ้าหน้าที่ของรฐั จะใชอ้ านาจไดเ้ ท่าทกี่ ฎหมายให้อานาจ
(7) กฎหมายจะยกเว้นความรบั ผดิ ให้แก่การกระทาท่ยี งั ไมเ่ กดิ ขน้ึ ไม่ได้
สาระสาคญั ของหลักนิตธิ รรมในความหมายอย่างกว้าง
(1) กฎหมายทดี่ ตี ้องมีความชัดเจน
(2) กฎหมายทด่ี ตี ้องนาไปสู่ความเปน็ ธรรม
(3) กฎหมายที่ดีต้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์ หรือสิทธิ
ขนั้ พ้ืนฐาน
(4) กฎหมายทด่ี ีต้องมบี ทลงโทษทีเ่ หมาะสมและไดส้ ัดส่วนกบั ความผดิ
(5) กระบวนการนติ บิ ัญญัตติ ้องเปน็ กระบวนการท่เี ปดิ เผย โปรง่ ใส ตรวจสอบได้
(6) กระบวนการยุตธิ รรมท่ีดีต้องส่งเสริมใหม้ กี ระบวนการยุติธรรมทางเลอื ก
(7) นักกฎหมาย ผู้ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรมและเจ้าหน้าท่ีของรัฐท่ีดี
ต้องมคี วามเป็นอสิ ระและเปน็ กลางในการปฏิบตั หิ น้าทซี่ ่ือสตั ย์สจุ ริต ยดึ หลักคณุ ธรรมและเมตตาธรรม

89 เลิศรัตน์ รตั นวานิช, “หลกั นิตธิ รรมในรา่ งรฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทยฉบบั ปฏิรปู ,” วารสารศาลรัฐธรรมนูญ ปที ี่ 19 เล่มท่ี 55
(มกราคม-เมษายน, 2560) : 143-144.

[Grab

yo8u8r

reader’

s

attenti บทท่ี 3

on with กฎหมำย ระเบยี บ งำนวจิ ัยทีเ่ กี่ยวข้องทังในประเทศและต่ำงประเทศ
a great

quote

from การกันผู้ต้องหาหรือผู้กระทาความผิดเป็นพยานได้มีกฎหมาย/ระเบียบของหน่วยงานที่นาไป
thดeาเนินการโดยหน่วยงานท่ีมีอานาจหน้าที่และความรับผิดชอบในการอานวยความยุติธรรม ซึ่งได้
doกcาuหmนดแนวทาง หลักเกณฑ์ วิธีการ เพ่ือให้เกิดความชัดเจนในการนาไปปฏิบัติและเพ่ือป้องกันไม่ให้
eunsนetาotไhrปisเป็นเคร่อื งมือในการปฏิบัติหนา้ ทโี่ ดยมิชอบของเจา้ หน้าท่ี
space สาหรับการดาเนินคดีกับผู้กระทาความผิดในประเทศไทย หน่วยงานท่ีมีหน้าที่ในการนาตัว
toผู้กระทาความผิดมาลงโทษตามกฎหมายน้ันมีหลายหน่วยงาน ซ่ึงหน่วยงานต่าง ๆ เหล่านั้น ได้นาเร่ือง

emกาpรhกaันsผู้ต้องหาหรือผู้กระทาความผิดเป็นพยาน เป็นส่วนหน่ึงในการสืบสวนสอบสวนและการแสวงหา
izeพaยานหลักฐานอันจะนาไปสู่การหาตัวผู้กระทาความผิดที่เป็นตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุนท่ีสาคัญ
pkTeooมมyinีปาtลร.งะโสทิทษธิผแลละถเูกพตื่อ้อใงหต้กาามรทป่ีกฏฎิบหัตมิงาายนกขาอหงนเดจ้าหหนน่ว้ายทง่ีเาปน็นตไ่าปงดๆ้วยจคึงวไดา้มมีบรอทบบคัญอญบัตมิขีปอรงะกสฎิทหธมิภาายพทแี่เปล็นะ
plลacาeยลักษณ์อักษร พร้อมกาหนดแนวทาง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ชัดเจน โดยได้ประกาศ
thบisังคับใช้เป็นกฎหมาย ระเบียบ กฎ หรือแนวทางปฏิบัติ เพ่ือให้เจ้าหน้าท่ีในสังกัดได้รับทราบและ

teปxtฏิบัตอิ ย่างมีมาตรฐานเดียวกันท่ัวท้ังองคก์ ร โดยในที่น้ีจะขอกล่าวถึงกฎหมาย/ระเบียบท่ีเกีย่ วข้องกับ
boกxารกันผู้ต้องหาหรือผู้กระทาความผิดเป็นพยานท่ีมีการใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน รวมถึงงานวิจัย
raenทyoง้ัwnในheประเทศและต่างประเทศท่ีเก่ียวข้อง ดังน้ี

the

pa3g.e1, กฎหมำย ระเบียบในประเทศไทย
just 3.1.1 ระเบียบสำนักงำนอัยกำรสูงสุดว่ำด้วยกำรดำเนินคดีอำญำของพนักงำนอัยกำร

drพag.ศit..2] 547

ส า นั ก ง า น อั ย ก า ร สู ง สุ ด ได้ อ อ ก ร ะ เบี ย บ เกี่ ย ว กั บ ก า ร กั น ผู้ ต้ อ ง ห า เป็ น พ ย า น
รายละเอียดปรากฏตาม ระเบยี บสานกั งานอยั การสูงสุดวา่ ดว้ ยการดาเนินคดีอาญาของพนกั งานอยั การ
พ.ศ. 2547 โดยกาหนดแนวทางและวิธปี ฏบิ ัติเกยี่ วกบั การกันผู้ต้องหาเป็นพยานไว้ ดงั นี้

สว่ นท่ี 5
การใช้ดุลพินิจในการสงั่ ไม่ฟ้อง

ข้อ 79 (การกนั ผูต้ อ้ งหาเป็นพยาน)
ในกรณีท่ีพนักงานสอบสวนกันผู้ต้องหาซ่ึงได้ร่วมกระทาผิดด้วยกันคนใดคนหนึ่งเป็นพยาน
ให้พนักงานอัยการพิจารณาโดยรอบคอบ โดยคานึงถึงว่าถ้าไม่กันผู้ต้องหาคนใดคนหน่ึงเป็นพยานแล้ว
พยานหลักฐานท่ีมีอยู่เพียงพอแก่การที่จะดาเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งหมดหรือไม่ และอาจแสวงหา
พยานหลักฐานอ่ืนแทน เพ่ือให้เพียงพอแก่การท่ีจะดาเนินคดีกับผู้ต้องหาท้ังหมดนั้นได้หรือไม่ ถ้อยคา
ของบุคคลนั้นรับฟังเป็นความสัตย์ได้เพียงใด รวมทั้งความคาดหมายในการที่ผู้น้ันจะเบิกความเป็น
ประโยชน์ในการพจิ ารณาหรือไม่ดว้ ย และพึงพจิ ารณากนั ผกู้ ระทาความผดิ น้อยทีส่ ุดเป็นพยาน

89

เม่ือพนักงานอัยการได้วินิจฉัยตามนัยแห่งวรรคหนึ่งแล้ว และพนักงานอัยการเห็นควรกัน
ผู้ต้องหาคนใดคนหนึ่งเป็นพยาน ให้พนักงานอัยการออกคาสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหานั้น และเม่ือมีคาสั่ง
เด็ดขาดไม่ฟ้องผู้ต้องหาดังกล่าวแล้ว ให้พนักงานอัยการส่ังให้พนักงานสอบสวนทาการสอบสวนถ้อยคา
ผทู้ ีก่ ันไว้เปน็ พยานนน้ั เปน็ พยานประกอบสานวนตอ่ ไป

การดาเนินคดีกับบุคคลท่ไี ด้กันไวเ้ ป็นพยานในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
144 149 167 และ 201 ถ้าปรากฏว่าบุคคลใดเต็มใจให้การเป็นพยานในช้ันสอบสวนหรือเคยถูกอ้าง
เป็นพยานพนักงานอัยการโจทกแ์ ละไดเ้ บกิ ความยืนยันการกระทาความผดิ ของเจ้าพนักงานผ้รู ับสนิ บน
จนศาลพิพากษาลงโทษเจ้าพนักงานผู้นั้นและคดีถึงท่ีสุดแล้ว ให้พนักงานอัยการทาความเห็นเสนอ
สานวนตามลาดบั ชน้ั ไปยงั อยั การสูงสุดเพ่อื สั่ง

ข้อ 80 (การสอบสวนผ้ตู อ้ งหาท่สี ่ังไมฟ่ อ้ งเป็นพยาน)
ถ้าพนักงาน อัยการเห็น สมควรให้ส อบสวนผู้ต้องหาที่ ส่ังไม่ฟ้ องบางคนเป็ นพยาน
ใหพ้ นักงานอยั การสั่งพนักงานสอบสวน สอบสวนผู้นั้นภายหลงั จากมคี าส่งั เด็ดขาดไม่ฟอ้ งแลว้
3.1.2 ประมวลระเบยี บกำรตำรวจเกีย่ วกับคดี
ประมวลระเบียบการตารวจเก่ียวกับคดี ลักษณะ 8 การสอบสวน บทที่ 7 การกัน
ผู้ต้องหาเป็นพยานในบางคดี บญั ญัตไิ ว้ดงั นี้

ลักษณะ 8
การสอบสวน

บทท่ี 7
การกนั ผู้ต้องหาเป็นพยานในบางคดี
ข้อ 257 มีสานวนคดีบางเรื่องซ่ึงท่ีเกิดเป็นที่ลับลี้ หรือเหตุร้ายแรงท่ีคนจานวนมากพา
กัน เกรงกลัว ซึ่งพนักงานสอบสวนสอบสวนได้พยายามทุกทางแล้วก็ไม่ทาให้ได้หลักฐานในคดีนั้น
ผู้สอบสวนอาจจะพจิ ารณากันพวกผูต้ ้องหาคนใดคนหน่ึงที่เหน็ ว่าไม่ใช่ตัวการสาคัญ หากแตเ่ ป็นผู้รู้เห็น
ในคดีน้ันพอที่จะให้การเป็นพยานเบิกความช้ันศาลได้ไว้เป็นพยาน โดยปล่อยพ้นจากการเป็นผู้ต้องหา
แล้วกันไว้เป็นพยาน แต่อานาจท่ีจะให้กันผู้ตอ้ งหาคนใดคนหนึ่งไวเ้ ป็นพยานนี้ ผู้สอบสวนจะต้องชี้แจง
เหตุผลแห่งความจาเป็นจริง ๆ เสนอขออนุญาต ถ้าในกรุงเทพมหานครเสนอถึงกรมตารวจเป็นผู้สั่ง
อนุญาต ต่างจังหวดั ผ้วู า่ ราชการจังหวดั หรอื ผ้รู ักษาการแทนเปน็ ผู้สัง่ อนญุ าต
อย่างไรก็ดี พนักงานสอบสวนจะต้องระวังพยานจาพวกท่ีกันจากผู้ต้องหา เพราะตาม
ธรรมดาผู้ต้องหาอาจจะต้องการปลกี ตัวให้พน้ จากคดี แล้วก็ซัดทอดพวกกนั ตามอาเภอใจซ่ึงอาจจะเป็น
ความเท็จก็ได้ พยานชนิดน้ีย่อมเป็นที่ระแวงแก่ผู้ฟัง ดังนั้นผู้สอบสวนไม่บังควรที่จักมีถ้อยคาหรือ
แสดงอาการเป็นเชิงชักจูงใจในการให้คุณหรือให้ประโยชน์ใด ๆ แก่เขา ซ่ึงอาจจะทาให้ถ้อยคาน้ัน
เสียหายจนหมดไป ซา้ ยังทาใหเ้ สยี เกียรติชอ่ื เสยี งของผสู้ อบสวนตลอดจนถงึ กรมด้วย
ข้อ 258 ตามธรรมดา กฎหมายเปิดโอกาสให้ผู้ต้องหาให้การตามความพอใจของเขา
พนักงานสอบสวน เม่ือได้รับอนุญาตให้ปล่อยผู้ต้องหาคนใด เพ่ือกันไว้เป็นพยานในคดี เป็นหน้าที่ของ
พนักงานสอบสวนจะต้องจัดการปล่อยตัวให้พ้นข้อหาก่อนแล้วแจ้งให้ผู้ต้องหาทราบว่า เขามีอิสระภาพ
แก่ตัวเขา ย่อมมีสิทธิให้การได้ตามความสัตย์จริงทุกประการและคาให้การนี้ ผู้สอบสวนจะสอบในฐานะ
เป็นพยานในคดตี ่อไป และต้องให้ปฏญิ าณ หรอื สาบานก่อนเชน่ พยานอื่น ๆ

90

ข้อ 259 มีข้อที่ยังจะต้องระมัดระวังให้จงหนักว่า การท่ีกันผู้ต้องหาไว้เป็นพยานน้ัน
จาเป็นต้องมีพยานอื่น ๆ หรืออาจอาศัยถ้อยคาจากพยานชนิดนี้สืบสาวให้ได้หลักฐานอ่ืน ๆ มาเป็นหลัก
แก่คดีอีกได้ เพราะการท่ีพนักงานสอบสวนกันผู้ต้องหาคนใดเป็นพยานนั้น พนักงานอัยการมีอานาจ
ท่ีจะให้ส่งตัวไปฟ้องก็ได้ จึงเป็นการจาเป็นท่ีพนักงานสอบสวนจะต้องไตร่ตรองผลได้ผลเสีย ก่อนท่ีจะ
วินิจฉัยเด็ดขาดขอกันผู้ต้องหาคนใดไว้เป็นพยานตามเหตุผลแห่งความจาเป็นจริง ๆ

3.1.3 หลักเกณฑแ์ ละวิธกี ำรปฏิบตั ิในเรื่องกำรกนั ผ้ตู อ้ งหำเป็นพยำน กรมตำรวจ
กรมตารวจได้กาหนดหลักเกณฑ์และวิธกี ารปฏิบัติในเรื่องการกนั ผู้ต้องหาเป็นพยาน ดังนี้
ตามประมวลระเบียบการตารวจเก่ียวกับคดี ลักษณะที่ 8 บทที่ 7 ว่าด้วยการกัน

ผู้ต้องหาเป็นพยานในบางคดี ได้กาหนดให้พนักงานสอบสวนต้องจัดการปล่อยตัวผู้ต้องหาคนท่ี
ได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาให้กันเป็นพยานพ้นข้อหาไป แล้วรีบทาการสอบสวนปากคาไว้เป็น
พยานก่อนท่ีพนักงานอัยการจะมีคาสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องนั้น เน่ืองจากการปฏิบัติในการปล่อยหรือ
ขอปล่อยตัวผ้ตู อ้ งหาของพนกั งานสอบสวนดังกลา่ ว เหน็ วา่ เป็นการปฏิบตั ทิ ีไ่ มส่ อดคล้องกับเจตนารมณ์
ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 142 วรรคสอง และมาตรา 146 กล่าวคือ
ในคดีอาญาที่ไม่ได้มีการขอกันผู้ต้องหาคนใดเป็นพยาน เมื่อพนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน
เสร็จสิ้นและทาความเห็นทางคดีควรส่ังไม่ฟ้องผู้ต้องหานั้น เป็นการทาความเห็นทางคดี โดยที่พนักงาน
สอบสวนเห็นว่าพยานหลักฐานไม่เพียงพอยืนยันการกระทาผิดของผู้ต้องหา แต่ในกรณีที่มีการขอกัน
ผตู้ ้องหาคนใดเป็นพยาน เมื่อพนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเสร็จส้ินและมีความเห็นทางคดี
ควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาท่ีได้รับอนุญาตให้กันเป็นพยานนั้น เป็นการกระทาความเห็นทางคดี โดยที่ทาง
คดีมีพยานหลักฐานยืนยันการกระทาความผิดของผู้ต้องหา แต่พิจารณาเห็นว่าผู้ต้องหาดังกล่าวไม่ใช่
ตัวการสาคัญ หากแต่เป็นผู้ร่วมรู้เห็นในคดีนั้นพอที่จะให้การเป็นพยานเบิกความในชั้นศาลเพื่อยืนยันการ
กระทา ผิดของผู้ต้องหาอื่นท่ีเป็นตัวการสาคัญได้และได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาให้กันเป็นพยาน
จึงทาความเห็นทางคดีควรสั่งไม่ฟ้อง ทั้งในกรณีที่มีการขอกันผู้ต้องหาเป็นพยานน้ี ผู้ต้องหาทราบดีว่า
ตนเองเป็นผู้ร่วมกระทาผิดกับผู้ต้องหาอ่ืน หากพนักงานสอบสวนได้ปล่อยตัวพ้นข้อหาไปก่อนท่ี
พนักงานอัยการจะส่ังไม่ฟ้องและผู้ต้องหาหลบหนีไม่อาจเอาตัวมามอบให้พนักงานอัยการเพื่อฟ้องได้
ในกรณีท่ีพนักงานอัยการไม่เห็นด้วยกับการขอกันเป็นพยานและมีคาสั่งฟ้องผู้ต้องหานั้น ประกอบกับ
ระเบียบกรมตารวจท่ีเกี่ยวกับการขอกันผู้ต้องหาเป็นพยานไม่ได้กาหนดหลกั เกณฑ์การพิจารณาขอกัน
ผู้ตอ้ งหาเป็นพยาน และแนวทางการสอบสวนผตู้ ้องหาคนทจ่ี ะขอกนั เปน็ พยานไว้โดยชัดเจน ทาให้ยาก
ตอ่ การปฏบิ ตั ิ

ฉะนั้น จึงกาหนดหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติในเรื่องการกันผู้ต้องหาเป็นพยาน
เพือ่ พนักงานสอบสวน ได้ถอื ปฏบิ ตั ใิ นแนวทางเดยี วกนั ดงั นี้

1. คดีบางเร่ืองเกิดในท่ีลี้ลับ มีเหตุพิเศษ ยุ่งยากซับซ้อน หรือร้ายแรง และคนจานวนมาก
พากันเกรงกลัว หรือคดีซึ่งพนักงานสอบสวนได้พยายามสืบสวนสอบสวนหาพยานหลักฐานอย่าง
เต็มความสามารถแล้ว แต่ไม่อาจหาพยานหลักฐานในคดีนั้นได้ พนักงานสอบสวนอาจพิจารณา
กันผู้ต้องหาคนใดคนหน่ึงท่ีเห็นว่าไม่ใช่ตัวการสาคัญ หากแต่เป็นผู้ร่วมรู้เห็นในคดีนั้นพอที่จะให้การ
เป็นพยานเบิกความในช้ันศาลไว้เปน็ พยานก็ได้

91

อย่างไรก็ดี พนักงานสอบสวนจะต้องระมัดระวังพยานจาพวกที่กันจากผู้ต้องหาเพราะ
ผตู้ ้องหาอาจให้การบิดเบือนหรือซัดทอดและซ้าเติมพวกเดียวกัน ซ่ึงอาจเป็นความเท็จก็ได้ พยานชนิด
นี้ย่อมเป็นท่ีสงสัย ดังนั้น ผู้สอบสวนไม่สมควรใช้ถ้อยคาหรือแสดงอาการเป็นเชิงชักจูงใจในการ
ให้คุณหรือให้ประโยชน์ใด ๆ แก่เขา ซึ่งอาจจะทาให้เสียหายต่อรูปคดีได้ อีกท้ังเสียเกียรติยศหรือ
ชื่อเสียงของผู้สอบสวนตลอดจนถึงกรมตารวจด้วย

2. เม่ือจาเป็นท่ีจะกันผู้ต้องหาซ่ึงได้ร่วมหรือเก่ียวข้องในการกระทาผิดด้วยกันคนใด
คนหนึ่งเป็นพยาน ให้พนักงานสอบสวนพิจารณาด้วยความรอบคอบประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดงั ต่อไปนี้

2.1 ผู้ต้องหาทจ่ี ะกนั เปน็ พยานน้ันไม่ใช่ตัวการทส่ี าคัญ
2.2 ถ้าไม่กันผู้ต้องหาคนนั้นไว้เป็นพยานแล้ว พยานหลักฐานที่มีอยู่ไม่เพียงพอ
ในการดาเนินคดี และไมอ่ าจจะแสวงหาพยานหลกั ฐานอน่ื ใดได้อีก
2.3 ผู้ท่ีถูกกันเป็นพยานนั้น ให้การเป็นประโยชน์แก่การสอบสวนและจะไปเบิก
ความชนั้ ศาลได้
มีข้อท่ียังต้องระมัดระวังให้จงหนักว่า การท่ีกันผู้ต้องหาไว้เป็นพยานน้ัน จาเป็นต้องมี
พยานอื่น ๆ หรอื อาจอาศัยถ้อยคาจากพยานชนดิ น้ีสบื สาวให้ได้หลักฐานอื่น ๆ มาเปน็ หลักแก่คดีอีกได้
เพราะการท่ีพนักงานสอบสวนกันผู้ต้องหาคนใดเป็พยานนั้น พนักงานอัยการมีอานาจที่จะให้ส่งตัวไป
ฟ้องก็ได้ จึงเป็นการจาเป็นท่ีพนักงานสอบสวนจะต้องไตร่ตรองผลได้ผลเสียก่อนท่ีจะวินิจฉัยเด็ดขาด
ขอกันผตู้ ้องหาคนใดไว้เปน็ พยานตามเหตผุ ลแห่งความจาเปน็ จรงิ ๆ
3. ในกรณีท่ีพนักงานสอบสวนได้พิจารณาเห็นควรกันผู้ต้องหาคนใดเป็นพยานแล้ว
ให้ชีแ้ จงเหตุผลแห่งความจาเป็นเสนอต่อหัวหนา้ พนักงานสอบสวนท้องที่หรือหัวหน้าพนักงานสอบสวน
ผ้รู ับผิดชอบเป็นผู้สั่ง หากเป็นคดีอุกฉกรรจ์ให้เสนอผู้บังคับการหรือหัวหน้าตารวจภูธรจังหวัดเป็นผู้สั่ง
แล้วแต่กรณี ถ้าเปน็ ความผิดเกี่ยวกับความม่ันคงแห่งราชอาณาจักร ความผิดเก่ียวกับการกระทาอันเป็น
คอมมิวนสิ ตใ์ ห้เสนอกรมตารวจเป็นผพู้ ิจารณาสัง่
หากได้รับอนุญาตให้กันผู้ต้องหาเป็นพยานแล้ว ให้รีบสอบสวนมีความเห็นควร
ส่ังไม่ฟ้องผู้ต้องหานั้น เสนอตามระเบียบจนถงึ พนักงานอัยการ
พนักงานอัยการอาจมีคาสั่งให้ฟ้องและให้ส่งตัวไปฟ้องโดยไม่กันเป็นพยานก็ได้
ในระหวา่ งที่พนักงานอัยการยังไม่มีคาส่ังไม่ฟ้อง จึงไมค่ วรปล่อยหรือขอปล่อยผู้ต้องหา เพราะผู้ต้องหา
อาจหลบหนีและ/หรืออาจมองได้ว่าเป็นการให้สัญญาหรือจูงใจเพื่อให้ถ้อยคา ทาให้น้าหนักการรับฟัง
พยานหลักฐานลดลงและไม่น่าเชื่อถือ เม่ือพนักงานอัยการมีคาสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องแล้ว ให้รับสอบสวน
ไว้ในฐานะพยานตามคาสัง่ พนักงานอัยการ
4. เม่ือได้รับอนุญาตให้กันผู้ต้องหาคนใดเป็นพยานและเมื่อพนักงานอัยการได้มี
คาส่ังเด็ดขาดไม่ฟ้องแล้ว ให้แจ้งให้เขาทราบว่าเขาเป็นอิสรภาพแก่ตัว เขาย่อมมีสิทธิให้ถ้อยคาได้
ตามความสัตย์จริงทุกประการ และถ้อยคาใหม่นี้จะสอบสวนในฐานะพยานในคดี และต้องให้ปฏิญาณ
หรือสาบานจนก่อนใหถ้ อ้ ยคาเชน่ เดียวกับพยานอื่น
5. ในการสอบสวนปากคาผู้ต้องหาท่ีพนักงานสอบสวนจะขอกันเป็นพยาน ให้พนักงาน
สอบสวนทาการสอบสวนปากคาในฐานะผตู้ อ้ งหาให้ปรากฏข้อเท็จจริงตามรูปคดีโดยละเอยี ดทีส่ ดุ เท่าท่ี
จะทาได้ เม่ือพนักงานอัยการสง่ั เด็ดขาดไม่ฟ้องแล้วให้รบี สอบสวนปากคาไวใ้ นฐานะพยานโดยเพียงแค่
ให้พยานยืนยันบันทึกปากคาของตนเองท่ีให้ไว้ในฐานะผู้ต้องหาเป็นถ้อยคาของตนในฐานะพยานและ

92

ไมค่ วรสอบปากคาผู้ต้องหาในรายละเอียดอย่างอื่นเพิ่มเตมิ อกี เพราะอาจพจิ ารณาไดว้ า่ ถอ้ ยคาดังกลา่ ว
เกิดจากการให้สัญญา หรือจูงใจเพ่ือให้ถ้อยคาและจะทาให้น้าหนักในการรับฟังพยานลดลง ไม่น่า
เชื่อถอื และเป็นการเสียหายต่อคดี

6. ระเบียบหรือคาส่ังของกรมตารวจใดท่ีขัดหรือแย้งกับหนังสือสั่งการนี้ ให้ใช้หนังสือ
สั่งการน้ีแทนแจ้งมาเพื่อทราบและแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบและถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด ตั้งแต่บัดน้ี
เปน็ ต้นไป

3.1.4. แนวทำงปฏิบัตกิ ำรกนั ผู้ตอ้ งหำเป็นพยำน สำนกั งำนตำรวจแหง่ ชำติ
สานักงานตารวจแหง่ ชาติได้กาหนดแนวทางปฏบิ ตั กิ ารกันผูต้ ้องหาเปน็ พยาน ดังน้ี

“ตามประมวลระเบียบการตารวจเก่ียวกับคดี ลักษณะ 8 บทท่ี 7 ว่าด้วยการกันผู้ต้องหาเป็นพยาน
ในบางคดี ได้กาหนดวิธีปฏิบัติเก่ียวกับการกันผู้ต้องหาเป็นพยานไว้แล้ว แต่ยังมีการปฏิบัติบางเร่ือง
ท่ีไม่เป็นไปในแนวทางเดียวกัน อาศัยอานาจตามความในข้อ 3 แห่งข้อบังคับกระทรวงมหาดไทย
ที่ 4/2499 ลงวันท่ี 13 ตุลาคม 2499 ประกอบกับมาตรา 8 แห่งพระราชกฤษฎีกา โอนกรมตารวจ
กระทรวงมหาดไทย ไปจัดตั้งเป็นสานักงานตารวจแห่งชาติ พ.ศ. 2541 ผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติ
จงึ กาหนดแนวทางปฏิบตั ิเก่ยี วกับการกันผูต้ อ้ งหาเป็นพยาน ไวด้ งั น้ี

1. คดีที่มีเหตุพิเศษหรือยุ่งยากสลับซับซ้อนหรือร้ายแรงที่คนจานวนมากพากัน
เกรงกลัวหรือคดีบางเร่ือง เกิดในที่ล้ีลับ โดยบุคคลอ่ืนไม่สามารถรู้เห็นได้นอกจากเป็นผู้กระทาผิด
ด้วยกัน หรือคดีท่ีมีการกระทาในรูปขบวนการ (Organized Crime) ซ่ึงพนักงานสอบสวนได้พยายาม
แสวงหาและรวบรวมพยานหลักฐานทุกวิถีทางแล้ว ก็ไม่ทาให้ได้พยานหลักฐานในคดีนั้นอีก พนักงาน
สอบสวนอาจพิจารณากันผู้ต้องหาซ่ึงได้ร่วมกระทาผิด ด้วยกันคนใดคนหน่ึงเป็นพยาน โดยให้ช้ีแจง
เหตุผลแห่งความจาเป็นตามรูปคดีเสนอต่อหัวหน้าพนักงานสอบสวนแห่งท้องที่หรือหัวหน้าพนักงาน
สอบสวนผู้รับผิดชอบเป็นผู้สั่ง เว้นแต่คดีท่ีมีลักษณะเป็นเหตุฉกรรณ์หรือเหตุท่ีต้องรายงานด่วน
ตามข้อบังคับกระทรวงมหาดไทย ท่ี 1/2498 ซ่ึงแก้ไขเพิ่มเติมตามข้อบังคับกระทรวงมหาดไทย
ที่ 6/2502 ให้เสนอผู้บังคับการขึ้นไปเป็นผู้ส่ัง ถ้าเป็นความผิดเกี่ยวกับความม่ันคงแห่งราชอาณาจักร
และความผิดเกี่ยวกับการกระทาอันเป็นคอมมิวนิสต์ให้เสนอสานักงานตารวจแห่งชาติเป็นผู้
พิจารณาส่งั

2. การสอบสวนปากคาผูต้ ้องหาท่ีขอกันเป็นพยาน ให้ทาการสอบสวนปากคาในฐานะ
ผู้ตอ้ งหาใหป้ รากฏขอ้ เทจ็ จริงตามรูปคดีโดยละเอียดท่สี ดุ เทา่ ที่สามารถจะทาได้

พนักงานสอบสวนพึงระมัดระวังในการสอบสวนเพราะผู้ต้องหาอาจให้การบิดเบือน
หรือซัดทอดซ้าเติมพวกเดียวกัน ซึ่งอาจจะเป็นความเท็จได้ นอกจากนั้นสิ่งท่ีพนักงานสอบสวนพึงต้อง
ยึดถือและปฏิบัติ คือ ห้ามมิให้ดาเนินการใด ๆ โดยใช้ถ้อยคาอันเป็นการจูงใจ มีคาม่ันสัญญา ขู่เข็ญ
หลอกลวง หรือกระทาโดยมชิ อบดว้ ยประการใด ๆ ซงึ่ อาจทาใหเ้ สยี หายต่อรูปคดีได้

อย่างไรก็ตามมีข้อที่พนักงานสอบสวนพึงต้องระมัดระวังไว้อย่างย่ิง คือการกัน
ผู้ต้องหาไว้เป็นพยานนั้นจะต้องมีพยานอ่ืน ๆ หรืออาศัยถ้อยคาพยานชนิดน้ีสืบสวนให้ ได้พยาน
หลักฐานอ่ืน ๆ มาเป็นหลักฐานแห่งคดีอีกได้ เพราะการท่ีพนักงานสอบสวนกันผู้ต้องหาคนใดเป็น
พยานน้ัน พนักงานอัยการมีอานาจที่จะให้พนักงานสอบสวนส่งตัวไปฟ้องก็ได้ จึงจาเป็นท่ีพนักงาน
สอบสวนจะต้องไตร่ตรองผลได้ผลเสียก่อนท่ีจะวินิจฉัยเด็ดขาด ขอกันผู้ต้องหาคนใดไว้เป็นพยาน
ตามเหตุผลแหง่ คดี

93

3. เม่ือการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว ให้พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบในการสอบสวน
ทาความเห็นทางคดี ตามทางการสอบสวนท่ีได้ความน้ัน โดยไม่ต้องแยกสานวนการสอบสวนก็ได้
สาหรับผู้ต้องหาท่ีได้รับอนุญาตให้กันเป็นพยานให้มีความเห็นทางคดีด้วย ในกรณีที่มีความเห็นควร
ส่ังไม่ฟ้อง ถ้าผู้ต้องหาถูกควบคุมหรือขังอยู่ในระหว่างสอบสวนให้พนักงานสอบสวนมีอานาจปล่อย
หรือปล่อยช่ัวคราว หรือขอให้ศาลปล่อยแล้วแต่กรณี และให้พนักงานสอบสวนปฏิบัติในเร่ืองการคุม
พยานและป้องกันพยานสาคัญในคดีอาญา ตามประมวลระเบียบการตารวจเกี่ยวกับคดี ลักษณะ 6
บทท่ี 6 โดยเครง่ ครดั ด้วย

หลังจากพนักงานอัยการออกคาสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องผู้ต้องหาท่ีกันไว้เป็นพยานแล้ว
ให้ทาการสอบสวนถ้อยคาผู้น้ันในฐานะเป็นพยานตามคาส่ังของพนักงานอัยก ารโดยให้สาบานหรือ
ปฏิญาณตนกอ่ นให้ถอ้ ยคาเชน่ เดยี วกบั พยานอนื่

4. ระเบียบหรือคาส่ังใด ๆ ของตารวจที่ขัดหรือแย้งกับหนังสือสั่งการน้ีให้ถือปฏิบัติ
ตามหนังสอื น้แี ทน

3.1.5 พระรำชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ำด้วยกำรป้องกันและปรำบปรำมกำรทุจริต
พ.ศ. 2561

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
พ.ศ. 2561 บญั ญตั วิ า่

มาตรา 135 บุคคลใดซึ่งมีส่วนเก่ียวข้องในการกระทาความผิดกับเจ้าพนักงานของรัฐ
หากได้ให้ถ้อยคา หรือแจ้งเบาะแสหรือข้อมูลอันเป็นสาระสาคัญในการท่ีจะใช้เป็นพยานหลักฐาน
ในการวินิจฉัยช้ีมูลการกระทาผิดของเจ้าพนักงานของรัฐรายอ่ืนหรือผู้ถูกกล่า วหารายอ่ืนนั้นและ
คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นสมควรจะกันผู้น้ันไว้เป็นพยานโดยไม่ดาเนินคดีก็ได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์
วิธกี าร และเงื่อนไขที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กาหนด

เม่ือคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้กันบุคคลตามวรรคหน่ึงไว้เป็นพยานแล้ว ห้ามมิให้
ดาเนินคดีอาญาหรือดาเนินการทางวินัยกับบุคคลซ่ึงถูกกันไว้เป็นพยานน้ัน และบุคคลนั้นอาจได้รับ
ความช่วยเหลือได้ตามสมควรจนถึงคดีถึงที่สุด เว้นแต่บุคคลนั้นฝ่าฝืนหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือเงื่อนไข
การกันไวเ้ ป็นพยานตามวรรคหนึ่ง

การคุ้มครองตามวรรคสอง ย่อมได้รับความคุ้มครองทั้งตาแหน่งของพยานท่ีดารงอยู่
และการเล่ือนขั้นเงินเดือนรวมถึงสิทธิประโยชน์อื่นด้วย เว้นแต่บุคคลน้ันไม่สมควรได้รับการคุ้มครอง
เม่อื คานึงถึงพฤติการณ์ และสภาพของการกระทาผดิ แลว้ หรือฝ่าฝืนเง่อื นไขการกันไวเ้ ปน็ พยาน

3.1.6 ประกำศคณะกรรมกำรป้องกันและปรำบปรำมกำรทุจริตแห่งชำติ เร่ือง หลักเกณฑ์
วิธกี ำรและเงอื่ นไขในกำรกนั บุคคลไวเ้ ปน็ พยำนโดยไม่ดำเนนิ คดี พ.ศ. 2561

ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เร่ือง หลักเกณฑ์
วิธีการและเง่ือนไขในการกนั บุคคลไว้เป็นพยานโดยไมด่ าเนินคดี พ.ศ. 2561 บัญญตั ิว่า

โดยท่ีเป็นการสมควรกาหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเง่ือนไขในการกันบุคคลไว้เป็น
พยานโดยไม่ดาเนินคดี

อาศัยอานาจตามความในมาตรา 135 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรฐั ธรรมนูญว่าด้วย
การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
แหง่ ชาติ จึงออกประกาศไว้ ดังตอ่ ไปนี้

94

ข้อ 1 ประกาศนี้เรียกว่า “ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
แห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการกันบุคคลไว้เป็นพยานโดยไม่ดาเนินคดี
พ.ศ. 2561”

ขอ้ 2 ประกาศน้ีใหใ้ ช้บงั คบั ตั้งแตว่ ันถัดจากวนั ประกาศในราชกจิ จานุเบกษาเป็นตน้ ไป
ข้อ 3 ให้ยกเลิกประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
เร่ือง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการกันบุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหาไว้เป็นพยานโดยไม่ดาเนินคดี
พ.ศ. 2554
ขอ้ 4 ในประกาศนี้
“บุคคล” หมายความว่า พยานบุคคลซึ่งยังมิได้ถูกแจ้งข้อกล่าวหา และให้หมายความ
รวมถึงผู้ถกู กลา่ วหาด้วย
ข้อ 5 บุคคลใดซึ่งมีส่วนเก่ียวข้องในการกระทาความผิดกับเจ้าพนักงานของรัฐ หากได้
ให้ถ้อยคาหรือแจ้งเบาะแสหรือข้อมูลอันเป็นสาระสาคัญในการท่ีจะใช้เป็ นพยานหลักฐานในการ
วินิจฉัยช้ีมูลการกระทาผิดของเจ้าพนักงานของรัฐรายอ่ืน หรือผู้ถูกกล่าวหารายอื่น คณะกรรมการ
ป.ป.ช. จะกันผูน้ ัน้ ไวเ้ ปน็ พยานโดยไม่ดาเนินคดีกไ็ ด้
ข้อ 6 บุคคลทีอ่ าจถูกกนั ไวเ้ ปน็ พยานตอ้ งมลี กั ษณะ ดังต่อไปนี้

(1) เป็นผู้ท่ีรู้เห็นเหตุการณ์และมีส่วนเก่ียวข้องหรือมีส่วนร่วมในการกระทาผิด
กับเจ้าพนักงานของรฐั ทอี่ ยูร่ ะหว่างการดาเนินการไตส่ วนเบื้องต้น หรอื การไตส่ วน

(2) เป็นผู้ท่ีได้ให้ถ้อยคาอันเป็นประโยชน์ต่อการไต่สวนเบื้องต้น หรือการไต่สวน
หรือให้ถ้อยคาหรือแจ้งเบาะแส หรือข้อมูลอันเป็นสาระสาคัญจนสามารถใช้เป็นพยานหลักฐานในการ
วินจิ ฉัยช้ีมลู การกระทาผดิ ของเจา้ พนกั งานของรัฐรายอื่นทเี่ ปน็ ตวั การสาคัญนน้ั

(3) เป็นผู้ทเ่ี ต็มใจท่ีจะให้ถ้อยคา หรือแจ้งเบาะแสหรือข้อมูลตาม (2) และรับรอง
ว่าจะไปเบกิ ความเปน็ พยานในชนั้ ศาลตามที่ให้การหรอื ใหถ้ ้อยคาไว้

ข้อ 7 การกันบุคคลไว้เป็นพยานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้กระทาได้ในขั้นตอน
การไต่สวนเบ้ืองต้นหรอื การไต่สวน

ข้อ 8 การพิจารณากันบุคคลเป็นพยานและการสอบปากคาผู้ท่ีจะถูกกันไว้เป็นพยาน
ต้องมิได้เกิดจากการขู่เข็ญ หลอกลวง หรือการกระทาโดยมิชอบด้วยประการอ่ืนใด เพื่อชักจูงหรือ
จงู ใจให้บคุ คลดังกลา่ ว ใหถ้ อ้ ยคาหรอื ข้อมลู ในเร่อื งท่ีกล่าวหาน้ัน

ข้อ 9 ในกรณีท่ีบุคคลตามข้อ 6 รายใดประสงค์ท่ีจะให้ถ้อยคา หรือแจ้งเบาะแสหรือ
ข้อมูลอันเป็นสาระสาคัญในการที่จะใช้เป็นพยานหลักฐานประกอบในการวินิจฉัยช้ีมูลการกระทาผิด
ของผู้ถูกกล่าวหารายอ่ืน ก็ให้บุคคลนั้นมีคาขอด้วยวาจาหรือเป็นหนังสือต่อคณะไต่สวนเบ้ืองต้น
หรือคณะกรรมการไต่สวน เพ่ือขอให้ กันตนไว้เป็นพยานในคดีน้ันได้ และให้คณะไต่สวนเบื้องต้น
หรือคณะกรรมการไตส่ วนทาความเห็นเสนอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พจิ ารณาตอ่ ไป

ข้อ 10 ในระหว่างการไต่สวนเบ้ืองต้นหรือการไต่สวน หากคณะไต่สวนเบ้ืองต้นหรือ
คณะกรรมการไต่สวน แล้วแต่กรณี พบว่าคาให้การของบุคคลใดจะเป็นประโยชน์ในการพิสูจน์ความผิด
ของผู้ถูกกล่าวหารายใด และสามารถที่จะใช้เป็นพยานหลักฐานในการวินิจฉัยชี้มูลการกระทาผิดของ
ผู้ถูกกล่าวหานั้น ให้คณะไต่สวนเบ้ืองต้น หรือคณะกรรมการไต่สวน แล้วแต่กรณี สอบปากคาบุคคล

95

ดังกลา่ วไว้และทาความเห็นว่าสมควรกันบุคคลผู้นั้นเป็นพยานหรือไม่ เพ่ือเสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช.
พิจารณาวินจิ ฉยั ตอ่ ไป

ความในวรรคหนึ่ง ให้นามาใช้บังคับกับการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ด้วยโดยอนโุ ลม

ข้อ 11 เม่ือคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้รับความเห็นตามข้อ 9 หรือข้อ 10 แล้ว ให้
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาคาขอหรอื ความเห็นดังกล่าว โดยคานงึ ถึงเหตุ ดงั ต่อไปนี้

(1) หากไม่กันบุคคลน้ันเป็นพยานแล้ว พยานหลักฐานท่ีมีอยู่อาจไม่เพียงพอ
และไมอ่ าจรวบรวมพยานหลักฐานอื่นแทนเพ่อื ให้เพียงพอแก่การที่จะดาเนินคดีกับผู้ถูกกล่าวหารายอ่ืน
ท่ีเปน็ ตัวการสาคญั และ

(2) บคุ คลน้ันจะต้องไปเบิกความตามทีไ่ ด้ให้การไว้
ขอ้ 12 ในการเสนอความเห็นว่าสมควรกันบุคคลรายใดเป็นพยานหรือไม่ ให้คณะไต่สวน
เบื้องต้นหรือคณะกรรมการไต่สวน แล้วแต่กรณี เสนอความเห็นดังกล่าวต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.
เพื่อพิจารณาวินิจฉัย ก่อนจัดทารายงานการไต่สวนเบื้องต้นหรือสานวนการไต่สวน และเม่ือ
คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเป็นประการใดแล้ว ให้นามติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. รวมไว้ในรายงาน
การไต่สวนเบื้องต้นหรอื สานวนการไต่สวนต่อไป
ข้อ 13 ในกรณีท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่ามีเหตุสมควรที่จะกันบุคคลใดไว้เป็น
พยานให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้กันบุคคลน้ันไว้เป็นพยานในคดีต่อไป โดยมติดังกล่าวจะต้อง
ระบุเหตุผลแห่งการพิจารณาไว้ด้วยว่าสมควรที่จะกันบุคคลรายดังกล่าวไว้เป็นพยานด้วยเหตุใด
ในกรณีท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่าไม่มีเหตุสมควรท่ีจะกันบุคคลนั้นไว้เป็นพยานให้คณะกรรมการ
ป.ป.ช. มีมตไิ มก่ นั บคุ คลนน้ั ไวเ้ ป็นพยาน และให้ดาเนนิ การไตส่ วนตอ่ ไป

ให้ประธานกรรมการไต่สวน หรือหัวหน้าพนักงานไต่สวนแจ้งมติของคณะกรรมการ
ป.ป.ช. ตามวรรคหนงึ่ หรอื วรรคสอง ให้บคุ คลดงั กล่าวทราบโดยไม่ชกั ชา้

ข้อ 14 เม่ือคณะกรรมการ ป.ป.ช. มมี ติใหก้ นั บุคคลรายใดไวเ้ ปน็ พยานในคดีใดแลว้ ย่อม
ถือว่าบุคคลน้ันอยู่ในฐานะพยานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในคดีน้ัน และห้ามมิให้ดาเนินคดีอาญา
หรือดาเนินการทางวินัยกับบุคคลซึ่งถูกกันไว้เป็นพยานในเร่ืองน้ันอีก โดยบุคคลดังกล่าวอาจได้รับ
การคุ้มครองหรือจดั ใหม้ มี าตรการค้มุ ครองช่วยเหลอื ด้วยตามสมควร

หากพยานตามวรรคหนึ่ง ไม่ไปเบิกความหรือไปเบิกความแต่ไม่เป็นไปตาม
ท่ีให้การหรือให้ถ้อยคาไว้หรือไปเบิกความเป็นพยานแต่ไม่เป็นประโยชน์ในการพิจารณาหรือเป็น
ปฏิปักษ์ ย่อมไม่ได้รับการกันไว้เป็นพยานและให้การกันบุคคลเป็นพยานสิ้นสุดลง และให้ดาเนินคดี
กับบุคคลนนั้ ตอ่ ไป

บุคคลที่ถูกกันไว้เป็นพยานตามประกาศนี้ ย่อมได้รับความคุ้มครองท้ังตาแหน่ง
ของพยานท่ดี ารงอยู่และการเล่ือนขัน้ เงินเดือน รวมถึงสิทธิประโยชน์อน่ื ด้วย

ข้อ 15 ให้ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเป็นผู้รักษาการ
ตามระเบียบน้ี

ใน ก ร ณี ที่ มี ปั ญ ห า เก่ี ย ว กั บ ก า ร บั งคั บ ใช้ ห รื อ ก า ร ป ฏิ บั ติ ต า ม ร ะ เบี ย บ นี้ ให้
คณะกรรมการ ป.ป.ช. มอี านาจตคี วามและวินิจฉัยช้ขี าด คาวินจิ ฉยั ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ใหเ้ ปน็ ที่สุด

96

บทเฉพาะกาล
-------------------------
ข้อ 16 บรรดาการดาเนินการใด ๆ เกี่ยวกับการกันบุคคลหรือผถู้ ูกกล่าวหาไวเ้ ป็นพยาน
โดยไม่ดาเนินคดีตามประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เร่ือง หลักเกณฑ์
วิธีการ และเง่ือนไขในการกันบุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหาไว้เป็นพยานโดยไม่ดาเนินคดี พ.ศ. 2554 ที่ได้
ดาเนนิ การไปแลว้ ให้ถอื ว่าเป็นการดาเนินการโดยชอบ และใหด้ าเนนิ การต่อไปตามประกาศน้ี
3.1.7 พระรำชบัญญัติมำตรกำรของฝ่ำยบริหำรในกำรป้องกันและปรำบปรำมกำรทุจริต
พ.ศ. 2551 และพระรำชบัญญัติมำตรกำรของฝ่ำยบริหำรในกำรป้องกันและปรำบปรำมกำรทุจริต
(ฉบับท่ี 3) พ.ศ. 2561
พระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการ ทุจริต
พ.ศ. 2551 และพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
(ฉบบั ที่ 3) พ.ศ. 2561 บญั ญัติว่า
มาตรา 58 บุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหารายใดซ่ึงมีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทาผิดกับ
เจ้าหน้าท่ีของรัฐ ซ่ึงเป็นผู้ถูกกล่าวหารายอ่ืน หากได้ให้ถ้อยคาหรือแจ้งเบาะแสหรือข้อมูลอันเป็น
สาระสาคัญในการที่จะใช้เป็นพยานในการวินิจฉัยช้ีมูลการกระทาผิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐรายอื่นน้ัน
หากคณะกรรมการ ป.ป.ท. เห็นสมควรจะกันผู้น้ันไว้เป็นพยานโดยไม่ดาเนินคดีก็ได้ ท้ังนี้ ตาม
หลกั เกณฑว์ ธิ ีการและเงอื่ นไขท่คี ณะกรรมการ ป.ป.ท. กาหนด
เม่ือคณะกรรมการ ป.ป.ท. มีมติให้กันบุคคลไว้เป็นพยานตามวรรคหน่ึงแล้ว ห้ามมิให้
ดาเนินคดีอาญาหรือดาเนินการทางวินัยกับบุคคลซ่ึงถูกกันไว้เป็นพยานนั้น และบุคคลน้ันอาจได้รับ
ความชว่ ยเหลือไดต้ ามสมควรจนคดีถึงทีส่ ุด เว้นแต่บุคคลนั้นฝ่าฝืนหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือเง่ือนไขการ
กันไวเ้ ปน็ พยานตามวรรคหนึง่
การคุ้มครองตามวรรคสอง ย่อมได้รับความคุ้มครองทั้งตาแหน่งของพยานท่ีดารง
ตาแหน่งอยู่และการเล่ือนขั้นเงินเดือนรวมถึงสิทธิประโยชน์อ่ืนด้วย เว้นแต่บุคคลนั้นไม่สมควร
ได้รับการคุ้มครองเมื่อคานึงถึงพฤติการณ์และสภาพของการกระทาผิดแล้ว หรือฝ่าฝืนเงื่อนไขการกัน
ไว้เป็นพยาน
3.1.8 ประกำศคณะกรรมกำรป้องกันและปรำบปรำมกำรทุจริตในภำครัฐ เรื่อง หลักเกณฑ์
วธิ กี ำรและเง่ือนไขในกำรกันบคุ คลหรือผถู้ ูกกล่ำวหำไว้เปน็ พยำนโดยไม่ดำเนนิ คดี พ.ศ. 2560
ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ เร่ือง หลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไข ในการกันบุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหาไว้เป็นพยานโดยไม่ดาเนินคดี พ.ศ. 2560
บัญญตั วิ ่า
โดยที่เป็นการสมควรกาหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่ือนไขในการกันบุคคลหรือผู้ถูก
กล่าวหาท่ีมีส่วนเก่ียวข้องในการกระทาผิดกับเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหารายอื่นไว้เป็นพยาน
เพ่อื ให้เป็นไปตามกฎหมายวา่ ดว้ ยมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจรติ
อาศัยอานาจตามความในมาตรา 4 วรรคสอง และมาตรา 58 แห่งพระราชบัญญัติ
มาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2551 ประธานกรรมการป้องกัน
และปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
ในภาครฐั จงึ ออกประกาศไว้ ดงั ตอ่ ไปนี้

97

ข้อ 1 ประกาศน้ีเรียกว่า “ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
ในภาครัฐ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่ือนไขในการกันบุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหาไว้เป็นพยานโดย
ไม่ดาเนินคดี พ.ศ. 2560”

ขอ้ 2 ประกาศนใ้ี หใ้ ชบ้ ังคับต้ังแตว่ ันถดั จากวันประกาศในราชกจิ จานุเบกษาเปน็ ต้นไป
ข้อ 3 ให้ยกเลิกประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ
เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเง่ือนไขในการกันบุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหาไว้เป็นพยาน ฉบับลงวันที่ 13
ธันวาคม พ.ศ. 2554
ขอ้ 4 ในประกาศน้ี
“พยาน” หมายความวา่ บุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหารายใดซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทา
ผดิ กับเจ้าหน้าท่ีของรัฐซึ่งเป็นผูถ้ ูกกลา่ วหารายอ่ืน และได้ให้ถ้อยคาหรอื แจ้งเบาะแสหรอื ข้อมูลอันเป็น
สาระสาคญั ในการทจ่ี ะใช้เป็นพยานหลักฐานในการวนิ ิจฉัยชี้มูลการกระทาผดิ ของเจา้ หน้าที่ของรัฐราย
อ่ืนซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ท. ไดก้ ันไวเ้ ป็นพยานโดยไมด่ าเนินคดีตามกฎหมายว่าด้วยมาตรการของฝ่าย
บริหารในการป้องกนั และปราบปรามการทุจริต
ข้อ 5 การกันบุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหาไว้เป็นพยานของคณะกรรมการ ป.ป.ท. อาจ
กระทาได้ท้ังในขั้นตอน การแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานก่อนการไต่สวนข้อเท็จจริง
และการไต่สวนข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัตมิ าตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกนั และปราบปราม
การทุจรติ พ.ศ. 2551 และท่แี ก้ไขเพม่ิ เตมิ
ข้อ 6 บุคคลหรือผูถ้ กู กล่าวหาท่ีอาจถูกกันไวเ้ ป็นพยานต้องมีลักษณะ ดงั ตอ่ ไปนี้

(1) เป็นผู้ท่ีรู้เห็นเหตุการณ์และมีส่วนเก่ียวข้องหรือมีส่วนร่วมในการกระทาผิด
กบั เจา้ หนา้ ท่ขี องรฐั ท่ถี กู กล่าวหา

(2) เป็นผู้ที่ได้ให้ถ้อยคาอนั เป็นประโยชน์ต่อการแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวม
พยานหลกั ฐานหรือการไต่สวนข้อเท็จจรงิ หรือใหถ้ ้อยคาหรอื แจ้งเบาะแสหรือข้อมูลอันเป็นสาระสาคัญ
จนสามารถใช้เป็นพยานหลักฐานในการวินิจฉัยชี้มูลการกระทาผิดของเจ้าหน้าท่ีของรัฐรายอ่ืนที่เป็น
ตัวการสาคญั

(3) เป็นผู้สมัครใจท่ีจะให้ถ้อยคาหรือแจ้งเบาะแสหรือข้อมูลตาม (2) และเต็มใจ
จะเปน็ พยานในชัน้ ศาล

ขอ้ 7 หากคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจรงิ พนักงาน ป.ป.ท. หรอื เจา้ หน้าที่ ป.ป.ท.
เห็นว่าคาให้การของบุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหาที่จะกันไว้เป็นพยานมีสาระสาคัญในการท่ีจะใช้เป็นพยาน
หลักฐานในการวินิจฉัย ชี้มูลการกระทาผิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐรายอ่ืนได้ และหากไม่กันบุคคลหรือ
ผู้ถูกกล่าวหาน้ันเป็นพยานแล้ว จะไม่มีพยานหลักฐานหรือพยานหลักฐานท่ีมีอยู่ไม่เพียงพอพิสูจน์
ความผิดของผู้ถูกกลา่ วหารายอนื่ ทสี่ าคัญให้เสนอความเห็นให้คณะกรรมการ ป.ป.ท. พิจารณาวินิจฉัยต่อไป

ความในวรรคหนึ่งให้นามาใช้บังคับกับการไต่สวนข้อเท็จจริงโดยคณะกรรมการ
ป.ป.ท. โดยอนโุ ลม

ข้อ 8 เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ท. ได้รับความเห็นตามข้อ 7 แล้ว และเห็นว่ามีเหตุ
สมควรท่ีจะกันบุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหารายใดไว้เป็นพยาน ให้คณะกรรมการ ป.ป.ท. มีมติให้กันบุคคล
หรือผู้ถูกกล่าวหานั้นไว้เป็นพยานในคดีต่อไป โดยมติดังกล่าวจะต้องระบุเหตุผลแห่งการพิจารณาไว้
ด้วยว่าสมควรท่ีจะกันบุคคลหรอื ผู้ถกู กล่าวหารายดงั กลา่ วน้นั ไว้เปน็ พยานดว้ ยเหตุใด

98

ในกรณีท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ท. เห็นว่าไม่มีเหตุสมควรท่ีจะกันบุคคลหรือ
ผถู้ ูกกลา่ วหาน้ันไว้เป็นพยาน ให้มมี ตใิ ห้ดาเนินการไต่สวนข้อเทจ็ จริงตามพระราชบัญญัตมิ าตรการของ
ฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพ่ิมเติมต่อไป และให้นา
มตขิ องคณะกรรมการ ป.ป.ท. รวมไวใ้ นสานวนการไตส่ วนข้อเทจ็ จรงิ ดว้ ย

ข้อ 9 เม่ือคณะกรรมการ ป.ป.ท. มมี ติให้กนั บุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหารายใดไว้เป็นพยาน
แลว้ ในกรณมี ีเหตุอนั ควรหรือผู้ท่ไี ด้กนั เป็นพยานร้องขอ คณะอนกุ รรมการไต่สวนข้อเท็จจริง พนกั งาน
ป.ป.ท. หรือเจ้าหน้าท่ี ป.ป.ท. แล้วแต่กรณี อาจจัดให้มีการคุ้มครองตามกฎหมายหรือระเบียบว่าด้วย
การคุ้มครองพยาน

ข้อ 10 เม่ือคณะกรรมการ ป.ป.ท. เห็นชอบตามข้อ 7 แล้ว หากผู้ท่ีได้กันไว้เป็นพยาน
เป็นผู้ท่ียังไม่ได้ถูกแจ้งข้อกล่าวหา ให้คณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง พนักงาน ป.ป.ท. หรือ
เจ้าหน้าท่ี ป.ป.ท. แล้วแต่กรณี สอบปากคาบุคคลดังกล่าวน้ันไว้ในฐานะพยาน แล้วทาการแสวงหา
ข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานต่อไป

ข้อ 11 เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ท. เห็นชอบตามข้อ 7 แล้ว หากผู้ท่ีได้กันไว้เป็นพยาน
เป็นผู้ที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหา และได้ช้ีแจงแก้ข้อกล่าวหาแล้ว ให้คณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง
พนกั งาน ป.ป.ท. หรอื เจ้าหนา้ ที่ ป.ป.ท. แล้วแตก่ รณี สอบปากคาบุคคลนั้นไว้ในฐานะพยาน

ข้อ 12 หากปรากฏในภายหลังว่า พยานไม่ไปเบิกความ หรือไปเบิกความแต่ไม่เป็นไป
ตามท่ีให้การหรือให้ถ้อยคาไว้ หรือเป็นปฏิปักษ์ ให้การกันบุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหาเป็นพยานนั้นสิ้นสุด
ลง และให้คณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง พนักงาน ป.ป.ท. หรือเจ้าหน้าท่ี ป.ป.ท. แล้วแต่กรณี
เสนอคณะกรรมการ ป.ป.ท. เพิกถอนการกันเป็นพยาน แล้วดาเนินการตามกฎหมายกับบุคคลหรือ
ผู้ถกู กลา่ วหานน้ั ตอ่ ไปกไ็ ด้

ข้อ 13 ในการพิจารณากันบุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหาเป็นพยานและการสอบปากคา
ผู้ทไี่ ดก้ ันไว้เป็นพยาน ตามประกาศน้ี หา้ มกระทาการใด ๆ อันเป็นการล่อลวงหรือขู่เข็ญ หรือให้สัญญา
แก่ผทู้ ีไ่ ด้กันไวเ้ ป็นพยาน เพื่อจูงใจให้บคุ คลดังกลา่ วให้ถ้อยคาหรอื ข้อมูลในเร่ืองที่กลา่ วหานนั้

ข้อ 14 ให้ประธานกรรมการเป็นผู้รักษาการตามประกาศนี้ ให้คณะกรรมการ ป.ป.ท.
มอี านาจตคี วามและวินจิ ฉัยช้ขี าดปญั หาท่ีเกิดข้ึนจากการบังคบั ใช้ประกาศนี้”

3.1.9 พระรำชบัญญัติป้องกันและปรำบปรำมกำรมีส่วนร่วมในองค์กรอำชญำกรรม
ข้ำมชำติ พ.ศ. 2556

พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ
พ.ศ. 2556 บัญญัตวิ า่

หมวด 3
ความรว่ มมอื ที่เป็นประโยชนต์ ่อการดาเนินคดี

----------------------
มาตรา 23 ในระหว่างการสอบสวนคดีความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรม
ข้ามชาติ หากผู้ต้องหาให้ข้อมูลเองโดยสมัครใจต่อพนักงานสอบสวน หรือพนักงานอัยการ ซึ่งเป็นข้อมูล
ท่ีสาคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการสืบสวนสอบสวนเก่ียวกับกิจกรรมและการกระทาความผิด
ขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งสามารถใช้เป็นพยานหลักฐานในการดาเนินคดีต่อหัวหน้าหรือ

99

ผู้มีบทบาทสาคัญในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ให้พนักงานสอบสวนบันทึกข้อมูลดังกล่าวไว้ในสานวน
การสอบสวนแลว้ เสนอสานวนการสอบสวนต่ออยั การสงู สุด

ถ้าอัยการสูงสุดเห็นว่าข้อมูลท่ีได้รับจากผู้ต้องหาเป็นข้อมูลที่สาคัญและเป็นประโยชน์
อย่างยิ่งตามความในวรรคหน่ึง ให้อัยการสูงสุดมีอานาจใช้ดุลพินิจออกคาสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาน้ัน
ทกุ ข้อหาหรอื บางขอ้ หาก็ได้

ในกรณีที่มีการฟ้องคดีแล้ว หากการให้ข้อมูลดังกล่าวในวรรคหน่ึงได้กระทาในระหว่าง
การพิจารณาคดีของศาล ให้อัยการสูงสุดมีอานาจออกคาสั่งถอนฟ้อง ถอนอุทธรณ์ ถอนฎีกา
หรือไม่อุทธรณ์ ไม่ฎีกาในความผิดนั้น ทั้งหมดหรือบางส่วน แล้วแต่กรณี ท้ังน้ี ภายใต้บังคับของ
ประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา

มาตรา 24 ถ้าศาลเห็นว่าผู้กระทาความผิดผู้ใดได้ให้ข้อมูลที่สาคัญและเป็นประโยชน์
อย่างย่ิงในการปราบปรามการกระทาความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ
ต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตารวจ พนักงานสอบสวน หรือพนักงานอัยการ ศาลจะลงโทษผู้นั้น
นอ้ ยกวา่ อัตราโทษข้ันตา่ ท่ีกาหนดไว้สาหรับความผิด ตามพระราชบัญญัตนิ ก้ี ไ็ ด้

3.1.10 พระรำชบญั ญัติประกอบรัฐธรรมนูญวำ่ ด้วยคณะกรรมกำรกำรเลือกตัง พ.ศ. 2560
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกต้ัง พ.ศ. 2560

บญั ญัตวิ ่า
มาตรา 46 บุคคลซึ่งมีส่วนเก่ียวข้องในการกระทาความผิดตามกฎหมายเก่ียวกับ

การเลือกต้ังและพรรคการเมือง หากได้ให้ถ้อยคา หรือแจ้งเบาะแสหรือข้อมูลอันเป็นสาระสาคัญ
ในการท่ีจะใช้เป็นพยานหลักฐานในการวินิจฉัยการกระทาความผิด คณะกรรมการอาจจะไม่ดาเนิน
คดีก็ได้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กาหนดไว้ในกฎหมายเก่ียวกับการเลือกต้ังและ
พรรคการเมือง และเมื่อคณะกรรมการมีมติไม่ดาเนินคดีกับบุคคลดังกล่าวแล้ว ให้สิทธิในการดาเนิน
คดีอาญาเป็นอันระงับไป

3.1.11 พระรำชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ำด้วยกำรเลือกตังสมำชิกสภำผู้แทนรำษฎร
พ.ศ. 2561

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
พ.ศ. 2561 บัญญัตวิ า่

มาตรา 167 ในการสืบสวนหรอื ไตส่ วน หากปรากฏว่าการให้ถอ้ ยคา หรือแจง้ เบาะแส
หรือข้อมูลของบุคคลซึ่งมีส่วนเก่ียวข้องห รือมีส่วนร่วมในการกระทาความผิด ตามพระราชบัญญั ติ
ประกอบรัฐธรรมนูญน้ีรายใดจะเป็นประโยชน์ในการพิสูจน์การกระทาความผิดของผู้กระทาความผิด
คนอ่ืนท่ีเป็นตัวการสาคัญ และสามารถท่ีจะใช้เป็นพยานหลักฐานในการวินิจฉัยการกระทาความผิด
ของผูก้ ระทาความผดิ น้ัน คณะกรรมการจะกันบคุ คลน้ันไว้เปน็ พยานโดยไม่ดาเนินคดีกไ็ ด้

เม่ือคณะกรรมการมีมติไม่ดาเนินคดีกับบุคคลใดแล้วให้สิทธิในการดาเนินคดีอาญา
เป็นอันระงับไป เว้นแต่ปรากฏในภายหลังว่าผู้ถูกกันไว้เป็นพยานได้ให้ถ้อยคาอันเป็นเท็จ หรือไม่ไป
เบิกความ หรือไปเบิกความแต่ไม่เป็นไปตามท่ีได้ให้ถ้อยคา หรือแจ้งเบาะแสหรือข้อมูลไว้ ให้การกัน
บคุ คลไว้เปน็ พยานน้นั ส้นิ สดุ ลง และคณะกรรมการอาจดาเนินการตามกฎหมายกับบุคคลนั้นตอ่ ไปได้

มาตรการในการกันบุคคลไว้เป็นพยานตามวรรคหน่ึง และการเพิกถอนการกันไว้
เปน็ พยานตามวรรคสอง ใหเ้ ป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธกี าร และเงื่อนไขทคี่ ณะกรรมการกาหนด

100

3.1.12 พระรำชบัญญตั ิประกอบรัฐธรรมนูญว่ำด้วยกำรได้มำซึ่งสมำชิกวุฒิสภำ พ.ศ. 2561
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561

บญั ญัติว่า
มาตรา 65 ในการสืบสวนหรอื ไต่สวน หากปรากฏว่าการให้ข้อมูล การช้ีเบาะแส หรือ

คาให้การของบุคคลซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีส่วนร่วมในการกระทาความผิดตามพระราชบัญญัติ
ประกอบรัฐธรรมนูญน้ีรายใดจะเป็นประโยชน์ในการพิสูจน์การกระทาความผิดของผู้กระทาความผิด
คนอน่ื ทเี่ ป็นตัวการสาคัญและสามารถทจี่ ะใช้เป็นพยานหลกั ฐานในการวนิ ิจฉัยการกระทาความผิดของ
ผกู้ ระทาความผิดน้ัน คณะกรรมการจะกันบุคคลน้ันไวเ้ ป็นพยานโดยไม่ดาเนนิ คดีกไ็ ด้

เมื่อคณะกรรมการมีมติไม่ดาเนินคดีกับบุคคลใดแล้ว ให้สิทธิในการดาเนินคดีอาญา
เป็นอันระงับไปเว้นแต่ปรากฏในภายหลังว่าผู้ถูกกันไว้เป็นพยานได้ให้ถ้อยคาอันเป็นเท็จ หรือไม่ไป
เบิกความ หรือไปเบิกความแต่ไม่เป็นไปตามท่ีให้การหรือให้ถ้อยคาไว้ ให้การกันบุคคลไวเ้ ป็นพยานน้ัน
ส้นิ สดุ ลง และคณะกรรมการอาจดาเนนิ การตามกฎหมายกับบุคคลนนั้ ตอ่ ไปได้

มาตรการในการกนั บคุ คลไว้เป็นพยานตามวรรคหน่ึง และการเพิกถอนการกันบุคคลไว้
เปน็ พยานตามวรรคสอง ใหเ้ ปน็ ไปตามหลกั เกณฑ์ วิธีการ และเง่ือนไขท่คี ณะกรรมการกาหนด

3.1.13 พระรำชบญั ญัตกิ ำรเลือกตงั สมำชิกสภำทอ้ งถน่ิ หรือผบู้ รหิ ำรท้องถิน่ พ.ศ. 2562
พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถ่ิน พ.ศ. 2562

บญั ญัติวา่
มาตรา 135 ในการสืบสวนหรือไต่สวน หากปรากฏว่าการให้ข้อมูล การชี้เบาะแส

หรือคาให้การของบุคคลซึ่งมีส่วนเก่ียวข้องหรือมีส่วนร่วมในการกระทาความผิดตามพระราชบัญญัติน้ี
รายใดจะเป็นประโยชน์ในการพิสูจน์การกระทาความผิดของผู้กระทาความผิดคนอ่ืนที่ เป็นตัวการ
สาคัญ และสามารถใช้เป็นพยานหลักฐานในการวินิจฉัยการกระทาความผิดของผู้กระทาความผิดน้ัน
คณะกรรมการการเลอื กต้งั จะกันบุคคลน้นั ไว้เปน็ พยานโดยไม่ดาเนินคดกี ็ได้

เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติไม่ดาเนินคดีกับบุคคลใดแล้ว ให้สิทธิในการ
ดาเนินคดีอาญาเป็นอันระงับไป เว้นแต่ปรากฏในภายหลังว่าผู้ถูกกันไว้เป็นพยานได้ให้ถ้อยคา
อันเป็นเท็จ หรือไม่ไปเบิกความหรือไปเบิกความแต่ไม่เป็นไปตามท่ีให้การหรือให้ถ้อยคาไว้ ให้การกัน
บุคคลไว้เป็นพยานนั้นส้ินสุดลงและคณะกรรมการการเลือกต้ังอาจดาเนินการตามกฎหมายกับ
บุคคลนน้ั ต่อไปได้

มาตรการในการกันบุคคลไว้เป็นพยานตามวรรคหน่ึง และการเพิกถอนการกัน
ไว้เป็นพยานตามวรรคสอง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการการเลือกต้ัง
กาหนด

3.1.14 ระเบียบคณะกรรมกำรกำรเลือกตังว่ำด้วยหลักเกณฑ์ วิธีกำร และเง่ือนไขในกำร
กนั บุคคลไว้เป็นพยำนโดยไม่ดำเนนิ คดี พ.ศ. 2563

ระเบียบคณะกรรมการการเลือกต้ังว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการกัน
บุคคลไว้เป็นพยานโดยไม่ดาเนนิ คดี พ.ศ. 2563 บัญญัตวิ ่า

โดยท่ีเป็นการสมควรกาหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการกันบุคคลไว้เป็น
พยานโดยไม่ดาเนนิ คดี

101

อาศัยอานาจตามความในมาตรา 5 มาตรา 22 และมาตรา 46 แห่งพระราชบัญญัติ
ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560 มาตรา 167 แห่งพระราชบัญญัติ
ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 65 แห่ง
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซ่ึงสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 6 และ
มาตรา 138 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกต้ังสมาชิกสภาท้องถ่ินหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562
คณะกรรมการการเลือกต้ังจึงออกระเบยี บไว้ ดงั น้ี

ข้อ 1 ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบคณะกรรมการการเลือกต้ังว่าด้วยหลักเกณฑ์
วธิ กี าร และเงอ่ื นไขในการกนั บคุ คลไว้เป็นพยานโดยไม่ดาเนินคดี พ.ศ. 2563”

ขอ้ 2 ระเบยี บนใ้ี ห้ใช้บงั คับต้ังแต่วนั ถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นตน้ ไป
ข้อ 3 ให้ยกเลิกระเบียบคณะกรรมการการเลือกต้ังว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงอ่ื นไขในการกันบคุ คลไวเ้ ป็นพยานโดยไมด่ าเนินคดีอาญา พ.ศ. 2562
ข้อ 4 ในระเบยี บนี้
“คณะกรรมการ” หมายความวา่ คณะกรรมการการเลอื กต้ัง
“กฎหมายเก่ียวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมือง” หมายความว่า กฎหมายว่าด้วย
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กฎหมายว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา กฎหมายว่าด้วย
คณะกรรมการการเลือกต้ัง กฎหมายว่าด้วยพรรคการเมือง กฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิก
สภาท้องถ่นิ หรอื ผบู้ ริหารท้องถ่ิน และใหห้ มายความรวมถึงกฎหมายวา่ ด้วยการออกเสียงประชามติด้วย
“พยาน” หมายความวา่ บุคคลซง่ึ คณะกรรมการได้มมี ติกันไว้เปน็ พยาน
“เจ้าพนักงาน” หมายความว่า บุคคลที่คณะกรรมการแต่งตั้งให้มีอานาจในการ
สบื สวนสอบสวนไต่สวน หรือดาเนินคดี ตามกฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการการเลอื กตัง้
ข้อ 5 บุคคลทอี่ าจถูกกนั ไว้เป็นพยานต้องมีลักษณะ ดังน้ี

(1) มีส่วนเก่ียวข้องหรือมีส่วนร่วมในการกระทาผิดตามกฎหมายเก่ียวกับ
การเลอื กตงั้ และพรรคการเมอื ง

(2) สมัครใจให้ถ้อยคา แจ้งเบาะแสหรือข้อมูลอันเป็นประโยชน์ในการพิสูจน์
การกระทาความผิดของ ผู้กระทาความผิดคนอื่นท่ีเป็นตัวการสาคัญ และถ้อยคา เบาะแส หรือข้อมูล
ดงั กล่าวสามารถทจี่ ะใช้เป็นพยานหลกั ฐานในการวินจิ ฉัยการกระทาความผดิ ของผ้กู ระทาความผดิ น้ัน

(3) ยืนยันว่าจะไปเบิกความเป็นพยานในช้ันศาลตามท่ีได้ให้ถ้อยคา แจ้งเบาะแส
หรอื ข้อมูลไว้

ข้อ 6 ในระหว่างกระบวนการการสืบสวน การสอบสวน การไต่สวน การพิจารณาของ
เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือคณะอนุกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้งและ
การวินิจฉัยของคณะกรรมการ หากคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน บุคคลหรือคณะบุคคลท่ี
คณะกรรมการแต่งต้ังหรือมอบหมาย ผู้อานวยการการเลือกต้ังประจาจังหวัดหรือกรุงเทพมหานคร
เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง คณะอนุกรรมการวินิจฉัยช้ีขาดปัญหาห รือข้อโต้แย้ง หรือ
กรรมการการเลือกต้ัง เห็นว่าควรกันบุคคลตามข้อ 5 ไว้เป็นพยาน ให้เสนอความเห็นพร้อมเหตุผล
ใหค้ ณะกรรมการพจิ ารณาตอ่ ไป











107

ของทางราชการอันเป็นประโยชน์และเป็นผลดีย่ิงต่อทางราชการ ให้ถือว่าผู้นั้นปฏิบัติหน้าท่ีราชการ
ซง่ึ ไดร้ ับความคมุ้ ครองพยาน และอาจไดร้ บั บาเหนจ็ ความชอบเป็นกรณีพิเศษ ตามกฎ ก.ร. นี้

ข้อมูลหรือถ้อยคาตามวรรคหนึ่งจะถือว่าเป็นประโยชน์และเป็นผลดียิ่งต่อทาง
ราชการต่อเมื่อเป็นปัจจัยสาคัญที่ทาให้ดาเนินการทางวินัยได้ หรือเป็นปัจจัยสาคัญที่ทาให้ลงโทษ
ทางวินัยแก่ผูก้ ระทาความผิดได้ และมีผลทาให้สามารถประหยดั งบประมาณแผ่นดนิ เปน็ อย่างมากหรือ
มผี ลทาให้สามารถรกั ษาไว้ซึ่งระบบบริหารราชการทีด่ โี ดยรวมได้

ในกรณีท่ีข้าราชการผู้นั้นเป็นผู้กระทาผิดวินัยเสียเองหรืออาจจะถูกกล่าวหาว่ามี
ส่วนร่วมในการกระทาผิดวินัยด้วย ไม่ให้ได้รับบาเหน็จความชอบเปน็ กรณีพิเศษตามข้อนี้

ข้อ 4 ข้าราชการรัฐสภาสามัญผู้ที่อาจจะถูกกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในการกระทาผิด
วินัยกับข้าราชการอ่ืน ถ้าได้ให้ข้อมูลต่อผู้บังคับบัญชา หรือให้ถ้อยคาเก่ียวกับการกระทาผิดวินัยท่ีได้
กระทามาต่อบุคคลหรือคณะบุคคลท่ีมีหน้าที่สืบสวนสอบสวนตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการ
รัฐสภาหรือระเบียบของทางราชการ และข้อมูลหรือถ้อยคาน้ันเป็นปัจจัยสาคัญจนเป็นเหตุให้มีการ
สอบสวนทางวินัยแก่ผู้เป็นต้นเหตุแห่งการกระทาผิด อาจได้รับการกันเป็นพยาน การลดโทษ หรือ
การใหค้ วามคุ้มครองพยานตามกฎ ก.ร. น้ี

ข้อ 5 การให้ข้อมูลหรือให้ถ้อยคาตามข้อ 3 หรือข้อ 4 ที่จะได้รับประโยชน์ตาม
กฎ ก.ร. นี้ จะต้องเป็นความเชื่อโดยสุจริตว่ามีการกระทาผิดวินัยหรือเป็นไปตามท่ีตนเองเชื่อว่า
เปน็ ความจริงและไม่มกี ารกลบั ถ้อยคาน้ันในภายหลงั

การให้ข้อมูลหรือถ้อยคาตามวรรคหนึ่ง ไม่ถือเป็นการเปิดเผยความลับของทาง
ราชการและไมเ่ ป็นการกระทาการขา้ มผ้บู ังคบั บญั ชาเหนือตน

ข้อ 6 ผู้บังคับบัญชาตามลาดับชั้นที่ได้รับข้อมูลมีหน้าที่รายงานให้ผู้บังคับบัญชา
ซึ่งเปน็ ผู้มอี านาจสั่งบรรจุและแต่งตั้งเพอื่ ทราบและพิจารณาดาเนินการต่อไป

หมวด 2
การคมุ้ ครองพยาน
-----------------------------
ขอ้ 7 ผู้บังคับบัญชาตามลาดับช้ันและผู้มีอานาจส่ังบรรจุและแต่งต้ังมีหน้าท่ีให้ความ
คุ้มครองพยานดงั ต่อไปน้ี
(1) ไมเ่ ปิดเผยช่ือ หรอื ข้อมูลใด ๆ ท่จี ะทาให้ทราบว่าผู้ใดเป็นผู้ใหข้ ้อมูลหรือให้
ถอ้ ยคา
(2) ไม่ใช้อานาจไม่ว่าในทางใดหรือกระทาการอ่ืนใดอันเป็นการกล่ันแกล้ง
หรอื ไมเ่ ปน็ ธรรม ซึ่งอาจมีผลทาให้กระทบสิทธิหรือหน้าท่ีของผูน้ ้ันในทางเสยี หาย
(3) ให้ความคุ้มครองมิให้ผู้น้ันถูกกลั่นแกล้งหรือถูกข่มขู่เพราะเหตุที่มีการให้
ขอ้ มลู หรอื ถอ้ ยคา
(4) ประสานงานกับพนักงานอัยการเพ่ือเป็นทนายแก้ต่างคดีให้ถ้าผู้น้ันถูกฟ้อง
เป็นคดีตอ่ ศาล
ในกรณีที่พยานผู้ใดร้องขอเป็นหนังสือ ผู้มีอานาจส่ังบรรจุและแต่งต้ัง
จะพิจารณาย้ายผู้นั้นหรือพิจารณาดาเนินการอ่ืนใดที่เห็นว่าจาเป็นเพื่อให้ผู้น้ันได้รั บความคุ้มครอง

108

โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมหรือเห็นชอบจากผู้บังคับบัญชาของผู้น้ัน และไม่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอน
หรอื กระบวนการตามที่กฎหมายบัญญตั ไิ ว้ก็ได้

ข้อ 8 พยานผู้ใดเห็นว่าผู้บังคับบัญชาตามลาดับช้ันยังไม่ได้ให้การคุ้มครองตามข้อ 7 หรือ
การให้การคุ้มครองดังกล่าวยังไม่เพียงพอ อาจย่ืนคาร้องเป็นหนังสือต่อผู้มีอานาจสั่งบรรจุและแต่งต้ัง
เพอื่ พจิ ารณาดาเนนิ การ

ข้อ 9 เม่ือผู้มีอานาจสั่งบรรจุและแต่งตั้งได้รับคาร้องตามข้อ 8 แล้ว หากมีมูลน่าเชื่อว่า
เป็นไปตามท่ีพยานกล่าวอ้าง ให้ผู้มีอานาจสั่งบรรจุและแต่งต้ังดาเนินการให้ความคุ้มครองพยาน
ในโอกาสแรกท่ีสามารถกระทาได้

ข้อ 10 การให้ความคุ้มครองพยานตามหมวดน้ีให้พิจารณาดาเนินการในโอกาสแรก
ที่สามารถกระทาได้ และให้เร่ิมต้ังแต่มีการให้ข้อมูลหรือให้ถ้อยคาตามข้อ 3 หรือข้อ 4 แล้วแต่กรณี
จนกว่าจะมกี ารสง่ั ยุติเรื่องหรือการดาเนนิ การทางวนิ ยั ตามกฎหมายแกผ่ ูเ้ ป็นต้นเหตุเสร็จส้นิ

หมวด 3
การกันเป็นพยาน และการลดโทษ

------------------------
ข้อ 11 ก่อนมีการแจ้งเร่ืองกล่าวหาว่าข้าราชการรัฐสภาสามัญผู้ใดกระทาผิดวินัย ถ้าผู้ให้
ข้อมูลหรือให้ถ้อยคาตามข้อ 4 ไม่ใช่ผู้เป็นต้นเหตุแห่งการกระทาผิดวินัยในเร่ืองนั้น และเป็นกรณีท่ี
ไม่อาจแสวงหาข้อมูลหรอื พยานหลักฐานอื่นใดเพ่ือดาเนินการทางวินัยแก่ผู้เป็นต้นเหตุแห่งการกระทา
ความผิดวินัยในเร่ืองนั้นได้นอกจากจะได้ข้อมูลหรือพยานหลักฐานจากผู้นั้น ผู้มีอานาจส่ังบรรจุและ
แตง่ ตง้ั อาจกนั ผ้นู ัน้ เปน็ พยานได้
ข้อ 12 ในกรณีท่ีผู้ที่ถูกกันเป็นพยานตามข้อ 11 ไม่มาให้ถ้อยคาต่อบุคคลหรือคณะบุคคล
ผู้มีหน้าท่ีสืบสวนสอบสวนตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการรัฐสภาหรือระเบียบของทางราชการ
หรือมาแต่ไม่ใหถ้ ้อยคา หรอื ให้ถ้อยคาแต่ไม่เป็นประโยชน์ต่อการดาเนินการ หรือให้ถ้อยคาอันเป็นเท็จ
หรอื กลบั คาใหก้ ารให้การกันผูน้ น้ั ไว้เปน็ พยานเป็นอันส้นิ สุดลง
ข้อ 13 ให้ผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจส่ังบรรจุและแต่งต้ังแจ้งเรื่องการกันข้าราชการรัฐสภา
สามัญตามข้อ 11 ไว้เป็นพยาน หรือการส้ินสุดการกันเป็นพยานตามข้อ 12 ให้บุคคลหรือคณะบุคคล
ท่มี ีหน้าท่ีสืบสวนสอบสวนตามกฎหมายวา่ ด้วยระเบียบข้าราชการรัฐสภาหรือระเบียบของทางราชการ
และข้าราชการผนู้ น้ั ทราบ
ข้อ 14 ข้าราชการรัฐสภาสามัญผู้ให้ข้อมูลหรือให้ถ้อยคาตามข้อ 4 ผู้ใดได้ให้ข้อมูลหรือให้
ถ้อยคาที่สาคัญจนเป็นเหตุให้ลงโทษทางวินัยแก่ผู้เป็นต้นเหตุแห่งการกระทาผิดได้ และผู้น้ันต้อง
ถกู ลงโทษทางวินยั เพราะเหตุท่ีได้ร่วมกระทาผดิ วนิ ัยน้ันด้วย ถ้าผู้มอี านาจส่ังบรรจุและแต่งต้ังพิจารณา
เห็นว่าผู้น้ันมิได้เป็นต้นเหตุแห่งการกระทาความผิดวินัยน้ัน หรือได้ร่วมกระทาความผิดวินัยไปเพราะ
ตกอยู่ในอานาจบังคับหรือกระทาไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ผู้มีอานาจสั่งบรรจุและแต่งตั้งอาจพิจารณา
ลดโทษให้ผู้นั้นต่ากว่าโทษที่ควรได้รับจริงได้ แต่ท้ังน้ี ต้องไม่ต่ากว่าการลดโทษที่อาจกระทาได้ตามที่
กฎหมายกาหนด

109

หมวด 4
การใหบ้ าเหน็จความชอบเปน็ กรณพี ิเศษ

-----------------------------------
ข้อ 15 ผู้มีอานาจส่ังบรรจุและแต่งตั้งอาจพิจารณาให้บาเหน็จความชอบเป็นกรณี
พเิ ศษแก่ผ้ใู หข้ ้อมลู หรอื ถอ้ ยคาตามข้อ 3 ได้ดงั นี้
(1) ให้ถือว่าการให้ข้อมูลหรือให้ถ้อยคานั้นเป็นข้อควรพิจารณาอื่นตามกฎ ก.ร.
ว่าด้วยการเลื่อนเงินเดือนท่ีผู้บังคับบัญชาต้องนาไปใช้เป็นข้อมูลประกอบในการพิจารณาเลื่อน
เงินเดอื น
(2) เคร่ืองหมายทเ่ี หน็ สมควรเพอ่ื เปน็ เครื่องเชดิ ชูเกียรติ
(3) รางวลั
(4) คาชมเชยเป็นหนงั สอื
ข้อ 16 ให้ผู้มีอานาจส่ังบรรจุและแต่งตั้งพิจารณาให้บาเหน็จความชอบเป็นกรณี
พิเศษ ตามข้อ 15 แก่ผู้ให้ข้อมูลหรือให้ถ้อยคาตามข้อ 3 ตามระดับความมากน้อยของประโยชน์
และผลดียิ่งตอ่ ทางราชการทไี่ ด้รับจากการใหข้ ้อมลู หรอื ถ้อยคาน้นั
3.1.19 ประกำศกรมศุลกำกร ท่ี 60/2564 เรื่อง กำรคุ้มครองพยำนผู้ให้ข้อมูล ผู้แจ้ง
เบำะแส หรือผู้ใหถ้ อ้ ยคำ กำรทจุ ริตและประพฤตมิ ชิ อบของเจ้ำหน้ำท่ีกรมศลุ กำกร
ประกาศกรมศุลกากร ที่ 60/2564 เรื่อง การคุ้มครองพยานผู้ให้ข้อมูล ผู้แจ้งเบาะแส
หรอื ผู้ใหถ้ อ้ ยคาการทุจริตและประพฤติมชิ อบของเจา้ หนา้ ทก่ี รมศลุ กากร บัญญัติว่า
เพ่ือให้การดาเนินการเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแ ละประพฤติ
มิชอบในภาครัฐของกรมศุลกากร เป็นไปด้วยความเรียบร้อย สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล
ด้านส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและ
ประพฤติมิชอบในภาครัฐ และเพื่อให้เกิดเครือข่ายในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและ
ประพฤติมิชอบอาศัยอานาจตามมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับท่ี 5) พ.ศ. 2545
อธบิ ดีกรมศลุ กากรออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ขอ้ 1 ในประกาศนี้
“พยาน” หมายความวา่ ผู้กล่าวหา ผู้เสียหาย ผู้ให้ข้อมลู หรือผู้แจ้งเบาะแส ซึ่งจะมา
ให้หรือได้ให้ข้อเท็จจริง เบาะแส หรือข้อมูลใดเก่ียวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่
กรมศลุ กากรต่อกรมศลุ กากร...”
ข้อ 13 ข้าราชการสังกัดกรมศุลกากรผู้ทีอ่ าจจะถกู กล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในการกระทา
ผิดวินยั กับข้าราชการอนื่ ถา้ ได้ใหข้ ้อมลู ต่อผบู้ ังคับบญั ชา หรือให้ถ้อยคาเกยี่ วกับการกระทาผดิ วินัยที่ได้
กระทามาต่อบุคคลหรือคณะบุคคลที่มีหนา้ ท่สี ืบสวนสอบสวนหรือตรวจสอบตามกฎหมายหรอื ระเบยี บ
ของทางราชการ และข้อมูลหรือถ้อยคานั้นเป็นปัจจัยสาคัญจนเป็นเหตุให้มีการสอบสวนทางวินัยแก่
ผู้เป็นต้นเหตุแห่งการกระทาผิด อาจได้รับการกันเป็นพยาน การลดโทษ หรือการให้ความคุ้มครอง
พยานตามกฎ ก.พ. ว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวธิ ีการการให้บาเหน็จความชอบ การกันเป็นพยาน การลดโทษ
และการให้ความคมุ้ ครองพยาน พ.ศ. 2553

110

ข้อ 14 การให้ข้อมูลหรือให้ถ้อยคาตามข้อ 12 หรือข้อ 13 ท่ีจะได้รับประโยชน์ตาม
กฎ ก.พ. ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการการให้บาเหน็จความชอบ การกันเป็นพยาน การลดโทษ และ
การให้ความคุ้มครองพยาน พ.ศ. 2553 จะต้องเป็นความเชื่อโดยสุจริตว่ามีการกระทาผิดวินัยหรือ
เป็นไปตามที่ตนเองเช่ือว่าเป็นความจริง และไม่มีการกลับถ้อยคานั้นในภายหลังการให้ข้อมูลหรือ
ถ้อยคาตามวรรคหนึ่ง ไม่ถือเป็นการเปิดเผยความลับของทางราชการและไม่เป็นการกระทาการข้าม
ผูบ้ งั คับบัญชาเหนือตน

ข้อ 15 หลักเกณฑ์และวิธีการการให้บาเหน็จความชอบ การกันเป็นพยาน การลดโทษ
และการให้ความคุ้มครองพยานท่ีเป็นข้าราชการสังกัดกรมศุลกากร ให้เป็นไปตามกฎ ก.พ. ว่าด้วย
หลักเกณฑ์และวิธีการการให้บาเหน็จความชอบ การกันเป็นพยาน การลดโทษ และการให้ความคุ้มครอง
พยาน พ.ศ. 2553

ข้อ 16 ให้นาหลักเกณฑ์และวิธีการให้บาเหน็จความชอบ การกันเป็นพยาน การลดโทษ
และการให้ความคุ้มครองพยาน ที่เป็นข้าราชการสังกัดกรมศุลกากร มาใช้บังคับการให้ความคุ้มครอง
พยานทเ่ี ป็นพนกั งานราชการ ลกู จา้ งประจา และลกู จา้ งช่ัวคราว สงั กัดกรมศุลกากร โดยอนโุ ลม

หมวด 4
การส้นิ สุดการให้ความคมุ้ ครองพยาน

--------------------------------
ขอ้ 17 การใหค้ วามคุม้ ครองพยานจะสิ้นสุดลง เมือ่ มีเหตุอยา่ งหนึง่ อย่างใดดังตอ่ ไปนี้

(1) พยานขอให้ยตุ กิ ารค้มุ ครองเป็นลายลกั ษณ์อักษร
(2) พยานไมป่ ฏิบัตติ ามกฎหมายหรอื ระเบียบ หรือเงื่อนไขตามทีก่ รมศุลกากร
กาหนดโดยไมม่ ีเหตอุ ันควร
(3) พฤติการณ์แห่งความไม่ปลอดภัยของพยานเปลี่ยนแปลงไป และกรณี
ไม่มคี วามจาเปน็ จะตอ้ งใหค้ วามคุ้มครองพยานอีกต่อไป
(4) พยานไม่มาให้ข้อมูลต่อกรมศุลกากรโดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือมาแต่ไม่ให้
ถอ้ ยคา หรือใหถ้ ้อยคาแต่ไม่เป็นประโยชน์ต่อการดาเนินการ หรือให้ถ้อยคาอันเป็นเท็จ หรอื กลบั คาให้การ
(5) เมือ่ กรมศุลกากรเหน็ สมควรให้การคมุ้ ครองพยานส้ินสุดลง
ข้อ 18 เม่ือการให้ความคุ้มครองพยานส้ินสุด ให้ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต
กรมศลุ กากรแจ้งเป็นหนงั สือให้พยานทราบตามช่องทางที่พยานได้ร้องขอใหค้ มุ้ ครองพยาน…
จากข้อมูลกฎหมาย ระเบียบ กฎ แนวทางปฏิบัติของหน่วยงานต่าง ๆ ข้างต้น จะเห็นได้ว่า
“การกันผู้ต้องหาหรือผู้ร่วมกระทาความผิดหรือบุคคลเป็นพยาน” เป็นวิธีการหน่ึงท่ีสาคัญในการแสวงหา
พยานหลักฐาน อันจะนาไปสู่การนาตัวผู้กระทาความผิดที่เป็นตัวการสาคัญมาลงโทษ โดยเฉพาะใน
ฐานความผิดที่มีความซับซ้อน องค์กรอาชญากรรม หรือเป็นความผิดที่มีเพียงผู้ร่วมกระทาความผิดด้วยกัน
เท่านั้นท่ีเป็นผู้รู้เห็น ดังน้ัน การที่กฎหมายของหน่วยงานต่าง ๆ ได้ให้ความสาคัญกบั “การกันผตู้ ้องหาหรือ
ผูร้ ่วมกระทาความผิดหรือบุคคลเป็นพยาน” โดยการออกกฎหมาย ระเบียบ กฎ แนวทางปฏิบัติ เพื่อให้เกิด
ความชัดเจนในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของหน่วยงาน และสร้างมาตรฐาน และเป็นเรื่องท่ีถูกต้องตาม
กฎหมาย รวมถึงการดารงไว้ซึ่งความยุติธรรมเพ่ือนาตัวผู้กระทาความผิดมาลงโทษ เพื่อรักษาความสงบ
เรียบรอ้ ยและศลี ธรรมอันดีของประชาชน สรา้ งสงั คมและประเทศชาติให้มีความมัน่ คง

111

3.1.20 ร่ำงพระรำชบัญญัติแก้ไขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมำยวิธีพิจำรณำควำมอำญำ
(ฉบบั ท่.ี .) พ.ศ. ....

สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยการดาเนินการ
ของคณะกรรมการ ปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็น
ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่..) พ.ศ. .... โดยได้
แนบร่างประกอบการพิจารณา90 มีประเด็นท่ีเกี่ยวข้องกับการกันผู้ร่วมกระทาความผิดเป็นพยาน
และไดเ้ สนอคณะรัฐมนตรีพจิ ารณา

คณะรัฐมนตรีในคราวประชุม เมื่อวันท่ี 25 ธันวาคม 2561 เวลา 09.00 น. ณ ห้อง
ประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทาเนียบรัฐบาล โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
เป็นประธานการประชมุ คณะรัฐมนตรี โดยคณะรฐั มนตรมี มี ติอนุมัต9ิ 1 ดังนี้

1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา (ฉบับท่ี..) พ.ศ. …. ตามท่ีสานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เสนอ และให้ส่งสานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นตาม
ความเห็นของสานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และให้รับความเห็นของสานักงานอัยการสูงสุด
ไปประกอบการพิจารณาดว้ ย กอ่ นเสนอสภานติ ิบญั ญตั ิแหง่ ชาติต่อไป

รา่ งพระราชบัญญตั แิ ก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวธิ พี ิจารณาความอาญา (ฉบับท่ี ..) พ.ศ. ....
ของคณะกรรมการปฏริ ูปประเทศ ด้านกระบวนการยุติธรรม

…มาตรา 10 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 136/1 แห่งประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความอาญา

“มาตรา 136/1 ในคดีท่ีมีขอ้ หาในความผิดท่ีกฎหมายกาหนดอัตราโทษอย่างตา่ ไว้ให้
จาคุกตั้งแต่สิบปีขึ้นไป และพนักงานสอบสวนเห็นว่า ข้อเท็จจริงในคดีมีความสลับซับซ้อนและ
ยากลาบากต่อการแสวงหาพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ถึงการกระทาความผิด หากปรากฏว่ามีผู้ต้องหา
คนหน่ึงคนใดให้การรับสารภาพและให้ข้อมูลสาคัญอันเป็นประโยชน์ต่อการดาเนินคดีกับผู้บงการหรือ
ตัวการสาคัญหรือพิสูจน์ความผิดของผู้ร่วมกระทาความผิดคนอื่นในข้อหาความผิดซ่ึงมีอัตราโทษ
สูงกว่า พนักงานสอบสวนอาจเสนอความเห็นต่อพนักงานอัยการว่าควรกันผู้ต้องหานั้นไว้เป็นพยาน
ในคดีท่ีจะฟ้องผู้บงการ ตัวการสาคัญ หรือผู้กระทาความผิดคนอ่ืน เมื่อพนักงานอัยการเห็นชอบ
ใหจ้ ดั การดงั ตอ่ ไปนี้

(1) ให้พนักงานสอบสวนสง่ สานวนการสอบสวนผู้ตอ้ งหาน้ันไปยังพนักงานอัยการ
เพื่อฟ้องตอ่ ศาล

(2) ให้พนักงานอัยการบรรยายฟ้องให้ศาลทราบดว้ ยว่า จาเลยจะเป็นพยานสาคัญ
ในคดที ่จี ะฟอ้ งผู้บงการ ตัวการสาคญั หรือผู้รว่ มกระทาความผิดคนอนื่

90 ประกาศสานกั งานคณะกรรมการพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติ เรอื่ ง การรบั ฟงั ความคดิ เหน็ รา่ งพระราชบญั ญัตแิ ก้ไขเพม่ิ เตมิ
ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา (ฉบบั ท่ี..) พ.ศ. .... ประกาศ ณ วันท่ี 24 สงิ หาคม 2561.
91 มติคณะรฐั มนตรี วันที่ 25 ธันวาคม 2561, สืบค้นเมือ่ วันท่ี 10 มกราคม 2564, https://www.thaigov.go.th/

112

(3) ให้ศาลรอการกาหนดโทษจาเลยผู้นั้นไว้กอ่ น จนกวา่ จาเลยน้ันจะไปเป็นพยาน
ในคดีที่ผู้บงการ ตัวการสาคัญ หรือผู้ร่วมกระทาความผิดคนอื่นถูกฟ้องเป็นจาเลยแล้ว และหากศาล
เห็นว่าคาเบิกความของจาเลยน้ันเป็นข้อมูลสาคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งจนส่งผลให้ศาลในคดี
ดังกล่าวสามารถพิจารณาพิพากษาลงโทษบุคคลเหล่าน้ันได้ ศาลจะลงโทษจาเลยผู้น้ันน้อยกว่าอัตรา
โทษข้ันต่าท่ีกาหนดไว้สาหรับความผิดนั้นก็ได้

2. ให้สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งรัด
ดาเนินการจัดทาแผนในการจัดทากฎหมายลาดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสาคัญของ
กฎหมายลาดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติ แล้วแจ้งผลการดาเนินการดังกล่าวไปยังสานักงาน
คณะกรรมการกฤษฎกี า เพอ่ื ประกอบการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัตดิ งั กลา่ วต่อไป

โดยในการรับฟังความคิดเห็นของสานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ
และสังคมแห่งชาติน้ัน ได้จัดทาข้อมูลสภาพปัญหาประกอบการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไข
เพมิ่ เตมิ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับท่.ี .) พ.ศ. …. ดงั น้ี

การปรับปรุงการสอบสวนในการกันผู้รว่ มกระทาความผิดเป็นพยาน
เพอ่ื การตรวจสอบถ่วงดุลการสอบสวนของพนักงานสอบสวนและพนักงานอยั การ

(เพิม่ มาตรา 136/1)

จากวิวัฒนาการของการกระทาความผิดท่ีมีรูปแบบและลักษณะของการกระทา
ความผิดมีความซับซ้อน มีการวางแผนอย่างเป็นข้ันตอน หรือรวมตัวกันเป็นองค์กร หรือร่วมกระทา
ความผิดโดยไม่ต้องมีการเผชิญหน้าหรือมารวมตัวกัน มีการนาเทคโนโลยีมาใช้เป็นเคร่ืองมือในการ
กระทาความผิด การอาพรางซ่อนเร้นพยานหลักฐาน และด้วยความประสงค์ต่อทรัพย์ที่มีมูลค่าสูง
ผู้กระทาความผิดที่เป็นผู้บงการเป็นผู้มีอิทธิพล ทาให้เกิดความเกรงกลัวของประชาชนในวงกว้าง
ทาให้เกิดความยากลาบากในการแสวงหาพยานหลักฐาน เพื่อการนาไปสู่การดาเนินคดีหรือการพิสูจน์
ความผิดของผู้บงการหรือตัวการสาคัญของคดีดังกล่าว ทาให้ไม่สามารถบังใช้กฎหมายเพ่ือการลงโทษ
ผู้กระทาความผิดที่เป็นตัวการสาคัญได้ ทั้งการดาเนินคดีและลงโทษได้เฉพาะผู้กระทาความผิด
รายย่อย จะไม่มีผลในการปราบปรามอาชญากรรมได้อย่างแท้จริง เพราะยังมีการกระทาความผิด
น้ัน ๆ ได้อย่างต่อเน่ืองต่อไป จึงมีความจาเป็นต้องกันผู้รว่ มในการกระทาความผิดไวเ้ ป็นพยาน เพื่อให้
มพี ยานหลกั ฐานนาไปสู่การดาเนินคดีกับผู้ร่วมกระทาความผิดคนอ่นื ท่ีได้กระทาความผิดที่มีอตั ราโทษ
สูงกว่า ผู้บงการหรือตัวการสาคัญ ปัจจุบันการกันผู้ต้องหาท่ีร่วมกระทาความผิดในคดีอาญาทั่วไป มิได้
มีการบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา แตเ่ ป็นเร่ืองดุลพินิจของพนักงานสอบสวน
ในการแสวงหาและรวบรวมพยานหลักฐาน โดยกาหนดวิธีปฏิบัติไว้ในประมวลระเบียบเกี่ยวกับคดี
ซึ่งใช้กับคดีที่มีเหตุพิเศษหรือยุ่งยากซับซ้อนหรือร้ายแรง หรือคดีบางเรื่องที่เกิดในที่ล้ีลับโดยบุคคลอื่น
ไม่สามารถรู้เห็นได้ นอกจากเป็นผู้กระทาผิดด้วยกัน โดยพนักงานสอบสวนจะสอบสวนผู้นั้นเป็น
ผู้ต้องหาและเสนอผู้บังคับบัญชาเพื่อขอกันเป็นพยานแล้วส่งสานวนโดยความเห็นส่ั งไม่ฟ้องไปยัง
พนักงานอัยการ และสาหรับพนักงานอัยการได้กาหนดวิธีการกันผู้ต้องหาไว้เป็นพยานไว้ตามระเบียบ
สานกั งานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดาเนินคดขี องพนกั งานอยั การ

113

ปัจจุบันมีกฎหมายบัญญัติถึงการกันผู้ร่วมกระทาความผิดไว้เป็นพยานไว้หลายฉบับ
เช่น พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542
และที่แก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
ภาครัฐ พ.ศ. 2551 มาตรา 58 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกต้ัง
พ.ศ. 2560 มาตรา 46 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรม
ข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 24 เป็นต้น โดยกฎหมายดังกล่าวได้ใช้หลักการไม่ดาเนินคดีกับบุคคล
ทก่ี นั ไว้เป็นพยานเช่นกัน

ด้วยเหตุจาเป็นที่ต้องกันผู้ร่วมกระทาความผิดหรือผู้ต้องหาเป็นพยานดังกล่าว
ยังมีข้อจากัดทางกฎหมายหลายประการ ทาให้ไม่ต้องดาเนินคดีกับผู้ร่วมกระทาความผิดหรือผู้ต้องหา
เพ่ือไม่ให้ขัดกับหลักการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา จึงมีความจาเป็นต้องส่ังไม่ฟ้อง
ผู้ต้องหาน้ันเสียก่อน เพื่อให้พ้นจากการเป็นจาเลยในคดีท่ีผู้ต้องหาน้ันเป็นพยาน มิเช่นนั้นจะ
ไม่สามารถนาสืบเป็นพยานได้ เพราะจะขัดกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 232
ท่ีห้ามโจทก์อ้างจาเลยเป็นพยาน และการสอบสวนผู้ต้องหาดังกล่าวในฐานะเป็นพยานน้ัน คาให้การ
พยานต้องมิใช่เกิดจากการจูงใจ ให้คาม่ันสัญญา หรือให้คุณประโยชน์ใด ๆ อันจะขัดต่อมาตรา 135
ซ่ึงจะส่งผลให้ไม่สามารถรับฟังเป็นพยานได้ ตามมาตรา 226 นอกจากน้ี พยานดังกล่าวเป็นผู้ร่วม
กระทาความผิด ศาลย่อมรับฟังด้วยความระมัดระวังและต้องมีพยานหลักฐานอ่ืนประกอบ จึงจะ
สามารถพิสูจน์ความผิดและลงโทษผู้กระทาความผิดที่เป็นผู้บงการหรือตัวการสาคัญได้ แต่ในทาง
ปฏบิ ัติยงั คงเกดิ ปญั หาการนาสืบพยานบคุ คลดังกลา่ ว เช่น ปัญหาที่ผตู้ อ้ งหาทกี่ นั ไว้เป็นพยานเบกิ ความ
กลับคาให้การในช้ันสอบสวน ปัญหาการไม่มาเป็นพยานในช้ันศาล ปัญหาความน่าเช่ือถือหรือน้าหนัก
ในการรับฟังพยานนั้น ทั้งจากการให้การโดยเกิดจากคาม่ันสัญญาที่จะไม่ถูกดาเนินคดี หรือการเป็น
ผรู้ ่วมกระทาความผิด ท้ังนี้ ไม่วา่ พยานนน้ั จะเบิกความเพ่ือให้ตนพ้นผิดหรือไม่พน้ ผดิ กต็ าม และปัญหา
การยอมรบั จากสงั คมจากการไมด่ าเนคิ ดกี ับผกู้ ระทาความผิด เป็นตน้

จึงมีความจาเป็นต้องกาหนดการกันผู้ร่วมกระทาความผิดไว้เป็นพยาน ในประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และเพ่ือป้องกันและแก้ไขปัญหาท่ีเกิดข้ึนจากการกันผู้ต้องหา
เป็นพยานดังกล่าวข้างต้น จึงนาแนวทางการกันผู้ร่วมกระทาความผิดไว้เป็นพยานในต่างประเทศตาม
แนวทางการต่อรองคารับสารภาพในสหรัฐอเมริกาที่ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในก ารดาเนินคดีที่ขาด
พยานหลักฐานบางส่วน หรือพยานหลักฐานไม่ครบถ้วน เพ่ือมุ่งให้ได้ความจริงที่เกิดข้ึนในการกระทา
ความผิดนั้น ๆ แต่อย่างไรก็ตาม เน่ืองจากในระบบของประเทศไทยยังไม่มีการนาการต่อรองคารับ
สารภาพมาใช้ในระบบการดาเนินคดีอาญาทั่วไป จึงนาแนวทางดังกล่าวมาใช้เพ่ือให้มีพยานบุคคลเป็น
พยาน เพื่อการเช่ือมโยงพยานหลักฐาน หรือข้อเท็จจริงท่ีเกิดข้ึนในการดาเนินคดีกับตัวการสาคัญ
โดยใช้กับกรณีที่ผู้ต้องหาท่ีจะกันไว้เป็นพยานนั้นให้การรับสารภาพตั้งแต่ในชั้นสอบสวน เพ่ือมิให้ขัด
กับหลักข้อสันนิษฐานตามรัฐธรรมนูญท่ีว่า บุคคลย่อมบริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่ากระทาความผิด
และเพ่อื การตรวจสอบถ่วงดุลในชั้นสอบสวนและประสิทธภิ าพในการดาเนนิ คดีกับตวั การสาคญั

จึงกาหนดให้มีระบบการกันผู้ต้องหาเป็นพยานตามร่างพระราชบัญญัติน้ี เพื่อให้
ใช้ในคดีท่ีมีข้อหาในความผิดที่กฎหมายกาหนดอัตราโทษอย่างต่าไว้ให้จาคุกต้ังแต่สิบปีขึ้นไป และ
พนักงานสอบสวนเห็นว่า ข้อเท็จจริงในคดีมีความสลับซับซ้อนและยากลาบากต่อการแสวงหา
พยานหลักฐานเพ่ือพิสูจน์ถึงการกระทาความผิด หากปรากฏว่ามีผู้ต้องหาคนหนึ่งคนใดให้การรับ

114

สารภาพและให้ข้อมลู สาคัญอันเป็นประโยชน์ตอ่ การดาเนินคดกี ับผ้บู งการหรอื ตวั การสาคญั หรือพิสูจน์
ความผดิ ของผ้รู ่วมกระทาความผิดคนอื่นในข้อหาความผิดซง่ึ มอี ัตราโทษสูงกวา่ พนักงานสอบสวนอาจ
เสนอความเห็นต่อพนักงานอัยการว่าควรกันผู้ต้องหาน้ันไว้เป็นพยานในคดีท่ีจะฟ้องผู้บงการ ตัวการ
สาคัญ หรอื ผู้รว่ มกระทาความผิดคนอ่นื เมอ่ื พนักงานอยั การเหน็ ชอบให้จดั การ ดังนี้

(1) ให้พนักงานสอบสวนส่งสานวนการสอบสวนผตู้ ้องหานน้ั ไปยงั พนักงานอัยการเพื่อ
ฟอ้ งต่อศาล

(2) ให้พนกั งานอัยการบรรยายฟ้องให้ศาลทราบด้วยว่า จาเลยจะเป็นพยานสาคัญใน
คดีทีจ่ ะฟ้องผูบ้ งการ ตัวการสาคัญ หรือผรู้ ว่ มกระทาความผดิ คนอ่ืน

(3) ให้ศาลรอการกาหนดโทษจาเลยผู้นั้นไว้ก่อน จนกว่าจาเลยนั้นจะไปเป็นพยาน
ในคดีที่ผู้บงการ ตัวการสาคัญ หรือผู้ร่วมกระทาความผิดคนอื่นถูกฟ้องเป็นจาเลยแล้ว และหากศาล
เห็นว่าคาเบิกความของจาเลยนั้นเป็นข้อมูลสาคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง จนส่งผลให้ศาลในคดี
ดังกล่าวสามารถพิจารณาพิพากษาลงโทษบุคคลเหล่านั้นได้ ศาลจะลงโทษจาเลยผู้น้ันน้อยกว่า
อตั ราโทษขัน้ ตา่ ทกี่ าหนดไวส้ าหรับความผดิ นัน้ ก็ได้

ในเวลาต่อมาคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภา
ผแู้ ทนราษฎร ได้จดั ทา รายงานการพิจารณาศกึ ษา เรือ่ ง “การปฏิรูปกระบวนการยตุ ธิ รรมทางอาญาใน
ชั้นสอบสวน”92 เสนอประธาน สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2563 โดยรายงาน
การศึกษาเร่ืองใด ๆ ท่ีเก่ียวกับการดาเนินการตามแนวนโยบายด้านกฎหมาย การยุติธรรม สิทธิ
มนุษยชน สิทธิชุมชน สิทธิในกระบวนการยุติธรรม และความเป็นธรรมในระยะเปลี่ยนผ่านตาม
แนวนโยบายด้านกฎหมาย และการยุติธรรม ซ่ึงเป็นหนึ่งในภารกิจสาคัญของคณะกรรมาธิการ
การป ฏิ รูป ก ระบ ว น ก ารยุติ ธรรม ท างอ าญ าใน ชั้ น ส อ บ ส วน ถื อเป็ น เร่ือ งส าคั ญ แ ล ะ มี ความจ าเป็ น
เร่งด่วน เนื่องจากการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ด้านระบบการสอบสวนทางอาญา เป็นประเด็นที่
เก่ียวข้องกับความเดือดร้อนในชีวิตทรัพย์สินของประชาชนโดยตรง การสืบสวนสอบสวนรวบรวม
พยานหลักฐานต่าง ๆ จึงมีความสาคัญเป็นอย่างย่ิงในการทาความจริงให้ปรากฏเข้าสู่กระบวนการ
ยุติธรรม และให้พนักงานอัยการได้รับพยานหลักฐานที่ถูกต้องครบถ้วนและนาคดีไปดาเนินการใน
ชั้นศาลต่อไป อีกทั้งคณะกรรมาธิการการกฎหมายฯ ได้รับร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพ่ิมเติมประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการ
ยุติธรรม และร่างระราชบัญญัติการสอบสวนคดีอาญา พ.ศ. .... ในช้ันกฤษฎีกา มาประกอบการพิจารณา
อย่างไรก็ตาม เพ่ือให้ระบบการสอบสวนเพ่ือแสวงหา ความจริงในคดีอาญาในประเทศไทยมีเอกภาพ
และมีมาตรฐานเดียวกันทั้งระบบ คณะกรรมาธิการฯ เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีอาญา
พ.ศ. .... จะสร้างความสับสนในระหว่างผู้ปฏิบัติงานและประชาชนอย่างมาก จึงเห็นควรนาร่าง
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของ
คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ด้านกระบวนการยุติธรรม มาเป็นแนวทางในการพิจารณา โดยได้นา
หลักการและแนวทางแห่งบทบัญญัติดังกล่าวที่สมควรจะพิจารณา และสอดคล้องกับการปฏิรูป
กระบวนการยุติธรรมทางอาญาในช้ันสอบสวนมาปรับปรุง เพื่อให้กระบวนการยุติธรรม สามารถสร้าง

92 คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร. “รายงานการพิจารณาศึกษา เร่ือง การปฏิรูป
กระบวนการยุติธรรมทางอาญาในชนั้ สอบสวน,” สบื คน้ 25 สิงหาคม 2564, https://www.parliament.go.th/

115

ความเป็นธรรมในสังคมและอานวยความยุติธรรมท่ีแท้จริงแก่ประชาชนตามมาตรฐานสากล และนานา
อารยประเทศ โดยรายงานการพิจารณาศึกษา เร่ือง การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทางอาญาใน
ชั้นสอบสวน เพ่ือการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมชั้นสอบสวนอย่างเร่งด่วน ซึ่งจะมุ่งเน้นในด้าน
กระบวนการสอบสวนทางอาญาระหว่างพนักงานอัยการและพนักงานสอบสวนควรเป็นกระบวนการ
เดียวกันท่ีพนักงานอัยการสามารถตรวจสอบถ่วงดุลการรวบรวมพยานหลักฐานช้ันต้นของพนักงาน
สอบสวนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังน้ัน พนักงานอัยการควรเข้ามามีบทบาทท่ีสาคัญต้ังแต่ขั้นตอนแรก
ในกระบวนการสอบสวน ภายใต้หลักการที่ว่า “ต้องให้ความจริงท้ังหมดเข้าสู่การพิจารณาในช้ันศาล
และพยานหลักฐานทั้งหมดต้องเข้าสู่การพิจารณาของพนักงานอัยการ และเจ้าหน้าที่อ่ืน ๆ โดยไม่ถูก
บิดเบือนแก้ไขหรือถูกทาลายไป อีกทั้งผู้บังคับใช้กฎหมายต้องปฏิบัติต่อประชาชนอย่างเสมอภาคตาม
หลักนิติรัฐ (The Rule of Law) และเอ้ืออานวยให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยสะดวก
พร้อมแนบร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับท่ี ..) พ.ศ. ....
ของคณะกรรมาธกิ ารการกฎหมายฯ เพ่อื เสนอสภาผู้แทน ราษฎรพจิ ารณาตอ่ ไป ดังน้ี

รา่ งพระราชบญั ญัตแิ กไ้ ขเพมิ่ เตมิ ประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา (ฉบับท่ี ..) พ.ศ. ....
ของคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุตธิ รรมและสิทธมิ นุษยชน สภาผู้แทนราษฎร

…มาตรา 11 ให้เพิ่มความต่อไปน้ีเป็นมาตรา 136/1 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา

มาตรา 136/1 ในคดีความผิดท่ีกฎหมายกาหนดอัตราโทษอย่างต่าไว้ให้จาคุกต้ังแต่
สิบปีขึ้นไปหรือคดีท่ีมีความสาคัญโดยประการอ่ืน และพนักงานสอบสวนเห็นว่า ข้อเท็จจริงในคดี
มีความสลับซับซ้อนและยากลาบากต่อการแสวงหาพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ถึงการกระทาความผิด
หากปรากฏว่ามีผู้ต้องหาคนหนึ่งคนใดให้การรับสารภาพและให้ข้อมูลสาคัญอันเป็นประโยชน์ต่อการ
ดาเนินคดีหรือพิสูจน์ความผิดของผู้บงการหรือผู้กระทาความผิดอ่ืนซึ่งเป็นตัวการสาคัญ พนักงานสอบสวน
อาจเสนอความเห็นต่อพนักงานอัยการว่า ควรกันผู้ต้องหาน้ันไวเ้ ปน็ พยานในการดาเนนิ คดกี ับผูบ้ งการ หรือ
ผู้กระทาความผดิ อ่ืนน้นั ซ่งึ เป็นตวั การสาคัญเม่อื พนักงานอยั การเห็นชอบให้จดั การดังตอ่ ไปนี้

(1) ให้พนักงานสอบสวนส่งสานวนการสอบสวนผู้ต้องหานั้นไปยังพนักงานอัยการ
เพือ่ ฟ้องตอ่ ศาล

(2) ให้พนักงานอัยการบรรยายฟ้องให้ศาลทราบด้วยว่า จาเลยจะเป็นพยานสาคัญ
ในคดที จี่ ะฟ้องผู้บงการ ตัวการสาคัญ หรือผ้รู ่วมกระทาความผดิ คนอนื่

(3) ให้ศาลรอการกาหนดโทษจาเลยผู้น้ันไว้ก่อน จนกว่าจาเลยนั้นจะไปเป็นพยาน
ในคดีที่ผู้บงการ ตัวการสาคัญ หรือผู้ร่วมกระทาความผิดคนอื่นถูกฟ้องเป็นจาเลยแล้ว และหากศาล
เห็นว่าคาเบิกความ ของจาเลยน้ันเป็นข้อมูลสาคัญและเป็นประโยชน์อย่างย่ิงจนส่งผลให้ศาลในคดี
ดังกล่าวสามารถพิจารณาพิพากษาลงโทษบุคคลเหล่าน้ันได้ ศาลจะลงโทษจาเลยผู้น้ันน้อยกว่า
อัตราโทษขนั้ ตา่ ที่กาหนดไว้สาหรบั ความผดิ น้ันกไ็ ด้

ในกรณีท่ีพนักงานอัยการเห็นสมควรให้กันผู้ต้องหาเป็นพยานให้นาความในวรรคหนึ่งมาใช้
บังคับโดยอนโุ ลม”

116

3.1.21 รำ่ งพระรำชบัญญตั ิกำรสอบสวนคดีอำญำ พ.ศ. ....
ร่างพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีอาญา พ.ศ. .... ในชั้นคณะกรรมการกฤษฎีกา

ได้จดั ทาร่างพระราชบัญญัตฯิ โดยมีการบญั ญัติเก่ียวกับเร่ืองการกันผู้ต้องหาหรือผู้ร่วมกระทาความผิด
ไวเ้ ปน็ พยาน ดงั นี้

... “มาตรา 19 บุคคลใดซ่ึงมีส่วนเกี่ยวข้องหรือร่วมในการกระทาความผิดกับผู้ต้องหา
หากมีกรณดี ังตอ่ ไปน้ี พนกั งานสอบสวนจะเสนอตอ่ พนกั งานอัยการเพื่อกันบุคคลน้ันเป็นพยานก็ได้

(1) ถ้าไม่มีคาให้การของบุคคลดังกล่าว จะไม่มีพยานหลักฐานอื่นเพียงพอ
ท่จี ะลงโทษผู้กระทาความผิดทเี่ ปน็ ตัวการสาคญั

(2) บุคคลทจ่ี ะกนั เป็นพยานไมใ่ ช่เปน็ ตวั การสาคญั ในการกระทาความผิด
(3) คาให้การของบุคคลนั้นจะเป็นประโยชน์ในการลงโทษผู้ต้องหาอ่ืนซ่ึงเป็น
ตัวการสาคญั ได้
(4) บุคคลน้นั แจ้งขอ้ มลู หรือขอ้ เทจ็ จรงิ ตอ่ พนักงานสอบสวนด้วยความสมัครใจ
เมอ่ื พนักงานอยั การเห็นดว้ ยกับความเห็นของพนักงานสอบสวน ใหพ้ นกั งานอัยการมี
คาสั่งไม่ฟ้องบุคคลนั้น และสั่งให้พนักงานสอบสวนดาเนินการสอบสวนบุคคลนั้นในฐานะเป็นพยาน
ต่อไป หรือนาพยานน้ันไปศาลเพ่ือดาเนินการให้ศาลสืบพยานน้ัน และให้ศาลสืบพยานน้ันทันทีโดยไม่
ต้องรอผลการสอบสวน โดยให้นาความในมาตรา ๒๓๗ ทวิ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ
อาญามาใช้บังคับกบั การดาเนินการ สบื และการรบั ฟังพยานดงั กล่าวด้วยโดยอนโุ ลม
การกันบุคคลไว้เป็นพยานตามวรรคหนึง่ ใหเ้ ป็นไปตามหลักเกณฑ์วธิ ีการและเงื่อนไข
อ่ืนท่ีอัยการสูงสุดและผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติร่วมกันกาหนด” ...
ต่อมาสานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี มีหนังสือ93 แจ้งเร่ือง รายงานความคืบหน้า
ร่างพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีอาญา พ.ศ. .... โดยแจ้งว่า รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ
เครืองาม) ได้เป็นประธานพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีอาญา พ.ศ. .... โดยมีประธาน
คณะกรรมการ ปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม ผู้แทนสานักงานอัยการสูงสุด สานักงาน
ตารวจแห่งชาติ สานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กรมสอบสวนคดีพิเศษ และสานักเลขาธิการ
คณะรัฐมนตรี เข้าร่วมประชุม เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน 2564 ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี
ชั้น 2 อาคารสานกั เลขาธกิ ารคณะรัฐมนตรหี ลงั ใหม่ ซ่งึ ท่ปี ระชมุ เห็นพ้องวา่
1. รูปแบบการตรากฎหมายฉบับนี้เห็นควรตราเป็นกฎหมายระดับพระราขบัญญัติ โดย
เป็นร่างพระราชบัญญัติท่ีจะตราขึ้นเพื่อดาเนินการตามหมวด 16 การปฏิรูปประเทศ มาตรา 258 ง. ด้าน
กระบวนการยุติธรรม (2) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบพร้อมกับ
การเสนอรา่ งพระราชบัญญตั ิฉบบั น้ี ตามมาตรา 270 วรรคสามของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทยต่อไป
2. เห็นควรชะลอการเสนอร่างพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีอาญา พ.ศ. .... ต่อรัฐสภา
ไว้ก่อน เพ่ือพิจารณาความสอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติตารวจแห่งชาติ พ.ศ. .... ซ่ึงขณะนี้อยู่ระหว่าง
การพิจารณาของคณะกรรมาธิการวสิ ามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติตารวจแห่งชาติ พ.ศ. .... ของรัฐสภา
อีกคร้ังหนึ่ง

93 หนังสอื สานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นร 0503/ว(ล) 37331 ลงวนั ที่ 3 ธนั วาคม 2564, “รายงานความคืบหน้ารา่ งพระราชบัญญัติ
การสอบสวนคดีอาญา พ.ศ. ....”.

117

3. เห็นควรมอบหมายให้สานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาเพ่ิมเติมบท
เฉพาะกาล ในร่างพระราชบัญญัติการสอบสวนคดอี าญา พ.ศ. .... โดยกาหนดให้ภายใน 2 ปี นับต้งั แต่
วันที่ร่างพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีอาญาฯ นี้มีผลใช้บังคับให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ท่ีเกิดข้ึน
จากการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว หากเห็นสมควรให้นากลไกตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวน
คดีอาญาไปใช้กับการสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ก็ให้มีการแก้ไขเพิ่มเติม
ประมวลกฎหมายวธิ ีพจิ ารณาความอาญาในสว่ นของการสอบสวนตอ่ ไป

ท้ังน้ี สานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้นาผลการประชุมดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรี
ทราบแล้ว เมอื่ วนั ที่ 30 พฤศจกิ ายน 2564

3.2 กฎหมำย ระเบยี บ แนวทำงทีเ่ กีย่ วขอ้ งในต่ำงประเทศ
3.2.1 ประเทศอังกฤษ
ประเทศอังกฤษได้มีระบบการให้รางวัลนาจับผู้กระทาความผิดรวมถึงการไม่เอาโทษผู้ร่วม

กระทาความผิด โดยมีเง่ือนไขว่า ผู้ร่วมกระทาความผิดจะต้องสารภาพความจริงท้ังหมด และคารับ
สารภาพนั้นจะต้องนาไปสู่การลงโทษผู้รว่ มกระทาความผิดอ่ืนได้ ผู้น้ันถงึ จะไดร้ ับการอภยั โทษ เงอ่ื นไข
ในการให้อภัยโทษดังกล่าวน้ี เปรียบเสมือนเป็นการร้องขอความเมตตาตอ่ พระเจ้าแผ่นดิน (Equitable
claim to the mercy of the Crown)

ต่อมาในช่วงศตวรรษท่ี 19 ระบบการให้รางวัลนาจับและการให้อภัยโทษได้ลดบทบาทลง
เนื่องจากมีการพัฒนาระบบตารวจข้ึนในประเทศอังกฤษ โดยตารวจได้มาทาหน้าท่ีแทนรัฐ เพราะ
ก่อนที่จะมีระบบตารวจน้ี รัฐจะเป็นผู้มีหน้าที่ให้รางวัลนาจับเมื่อการให้อภัยโทษได้หมดความหมาย
ไปแล้วก็ได้เกิดวิธีการใหม่ ๆ ในการท่ีจะนาตัวผู้กระทาความผิดมาลงโทษวิธีการท่ีเกิดขึ้นมาแทนนั้น
มีลักษณะเป็นการให้ความคุ้มกัน (promise of immunity) จากการถูกฟ้องร้องในภายหลัง แต่ก่อนที่
ผู้ร่วมกระทาความผิดจะได้รับความคุ้มกันนั้นผู้ร่วมกระทาผิดจะต้องได้รับ “Nolle Prosequi” หรือ
ศาลยกฟ้องคดีของตนเพราะพยานหลักฐานไม่พอหรือเป็นกรณีที่มีการพิจารณาเม่ือให้การรับสารภาพ
หรอื มีการดาเนินคดีแยกออกจากกันแล้วจงึ จะนามาเป็นพยานได้

ป ร ะ เท ศ อั งก ฤ ษ ได้ มี ก า ร ป ร ะ ก า ศ ใช้ พ ร ะ ร า ช บั ญ ญั ติ อ า ช ญ า ก ร ร ม ร้ า ย แ ร งแ ล ะ ต า ร ว จ
ค.ศ. 2005 (The Serious Organized Crime and Police Act 2005) เรียกย่อ ๆ ว่า “SOCPA”94
ซ่ึง มาตรา 71-75 ของ SOCPA ได้บัญญัติถึงมาตรการทาข้อตกลงกับผู้กระทาความผิดผู้ซ่ึงเต็มใจ
ที่จะช่วยเหลอื ในการสอบสวนและการฟ้องคดผี กู้ ระทาความผิดอืน่

มาตรา 71 ของ SOCPA บัญญัติให้อัยการผู้ฟ้องคดีสามารถใช้มาตรการคุ้มกันพยานจากการ
ถูกดาเนินคดีสาหรับผู้กระทาความผิดโดยวิธีการทาข้อตกลง (Immunity Notice) ซึ่งวิธีการดังกล่าว
เหมาะสมที่จะใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการสอบสวน ข้อจากัดของพระราชบัญญัติน้ีคือห้ามมิให้บังคับ
ในมาตรา 188 พระราชบัญญัติ บริษัท 2002 (Cartel Offense) เนอื่ งจากมีบทบญั ญัตเิ ฉพาะอยู่แลว้

94 ฐานิสรา พาหะมาก, “พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพ่ิมเติม
(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 ศึกษากรณีการนามาตรการกันตัวบุคคลเป็นพยานมาบังคับใช้,” (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, สาขาวิชา
นิตศิ าสตร์ คณะนิตศิ าสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั , 2555), 90.

118

เมื่อบุคคลใดได้รับการคุ้มกันแล้วจะไม่มีการดาเนินคดีกับบุคคลที่ได้รับความคุ้มกันน้ันอีก
ในประเทศอังกฤษ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ เว้นแต่มีพฤติการณ์พิเศษที่ระบุไว้ในข้อตกลงการกัน
พยาน (Immunity Notice) ให้ดาเนินคดีต่อไป ข้อตกลงการกันพยานจะมีผลส้ินสุดลงเม่ือบุคคล
ผไู้ ด้รบั การคมุ้ กันไมท่ าตามเง่ือนไขท่ีกาหนดไวใ้ นข้อตกลง

มาตรา 72 SOCPA บัญญัติว่าถ้าอัยการผู้ฟ้องคดีเห็นว่าเพ่ือประโยชน์ในการสอบสวนและ
ฟ้องร้องคดีเป็นการเหมาะสมท่ีจะดาเนินการทาให้ข้อมูลท่ีผู้ร่วมกระทาผิดให้การจะไม่นามาใช้
ดาเนินคดีต่อบุคคลดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นคดีอาญา กระบวนการยึดทรัพย์ หรือในคดีแพ่ง และการทา
ขอ้ ตกลงน้คี วรทาเปน็ ลายลักษณ์อักษร

มาตรา 73 SOCPA บัญญัติว่าเมื่อผู้ต้องหาดาเนินการตามข้อตกลงของพนักงานอัยการ
เม่ือให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่การสอบสวนและการฟ้องร้องคดี จะมีสิทธิได้รับการลดโทษ
ในความผิดที่ได้กระทาในการวินิจฉัยลงโทษศาลมีหน้าที่ท่ีจะต้องพิจารณาถึงลักษณะและธรรมชาติ
ของความร่วมมือท่ีได้รับจากผู้ต้องหาที่ได้รับการกันตัวไว้เป็นพยาน ดังน้ัน การลดโทษในกรณีน้ี
จึงเป็นดุลพินิจของผู้พิพากษาที่มิได้มีบัญญัติไว้ชัดเจนในกฎหมาย ถ้าหากศาลพิพากษาลงโทษ
เบาลงกว่าที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย ต้องกล่าวในคาพิพากษาอย่างเปิดเผยถึงข้อเท็จจริงและเหตุผล
ในการลดโทษ

มาตรา 74 SOCPA อนุญาตให้ผู้ฟ้องร้องคดี (Specified Prosecutor) สามารถส่งคาพิพากษา
ลดโทษกลับมาให้ศาลทบทวนใหม่ได้ภายใต้มาตรา 74(2) การส่งเร่ืองให้ศาลทบทวนคาพิพากษา
สามารถทาได้ในกรณดี ังต่อไปนี้

ก) บุคคลท่ีได้รับการลดโทษเน่ืองจากทาข้อตกลงที่จะให้การช่วยเหลือในการสอบสวน
และดาเนนิ คดี แตจ่ งใจไม่มาใหค้ วามชว่ ยเหลือตามข้อตกลง

ข) บุคคลท่ีได้รับการลดโทษเหมือนกรณีข้างต้นได้ทาข้อตกลงการให้ความช่วยเหลือในการ
สอบสวนและดาเนินคดไี วใ้ นขอ้ ตกลงฉบับอืน่ อีก

ค) บคุ คลทไ่ี มไ่ ดร้ ับการลดโทษ แต่ได้ให้ข้อมลู ช่วยเหลอื การสอบสวนและดาเนนิ คดี
เม่ือเกิดเหตุการณ์ตาม (ก) ศาลที่รับเรื่องมาทบทวนมีอานาจที่จะเพ่ิมโทษได้ แต่การเพิ่มโทษต้อง
ไมเ่ กินโทษท่ีบัญญัติไว้ในกฎหมาย แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ตามข้อ (ข) หรอื (ค) ศาลมอี านาจในการลดโทษ
มาตรา 75 SOCPA ให้ดุลยพินิจแก่ Crown Court ในการไม่เปิดเผยกระบวนการที่เกี่ยวกับ
การพจิ ารณาทบทวนการลดโทษแก่สาธารณะ
อานาจตามมาตรา 71-74 เป็นอานาจของ
ก) อธบิ ดกี รมอัยการ (The Director of Public Prosecutions)
ข) อธิบดีกรมอาชญากรรมการฉ้อโกงที่ร้ายแรง (The Director of the Serious Fraud
Office)
ค) อธิบดีกรมอัยการแห่งไอร์แลนด์เหนือ (The Director of Public Prosecutions for
Northern Ireland)
ง) อยั การอื่นท่ีไดร้ ับมอบอานาจ
ประเทศอังกฤษยังได้มีข้อเสนอแนะทางกฎหมาย (Legal guidance) ในเรื่องข้อตกลงการให้
ความคุ้มกันพยานของรัฐภายใต้พระราชบัญญัติองค์กรอาชญากรรมร้ายแรงและพระราชบัญญัติตารวจ
ค.ศ. 2005 (Queen's Evidence-immunities Undertakings and Agreement under SOCPA 2005)

119

เง่ือนไขท่ีสาคัญอีกประการหน่ึงที่จะทาให้ได้รับการกันตัวไว้เป็นพยานคือผู้ร่วมกระทาผิด
ท่ีมาเป็นพยานของรัฐนั้นจะต้องสารภาพความผิดที่เคยกระทามาท้ังหมดซึ่งเรียกกระบวนการน้ีว่า
“Cleansing” โดยผ้รู ว่ มกระทาผิดตอ้ งปฏบิ ตั ิดังตอ่ ไปนี้

1. ยอมรบั วา่ มีส่วนร่วมในการกระทาผิด
2. ใหข้ อ้ มลู ท่ีเกี่ยวขอ้ งกับการกระทาผิดแก่พนักงานสอบสวน
3. ยนิ ยอมท่จี ะให้ความร่วมมอื ในการสืบสวนสอบสวนคดีตอ่ ไปจนกระทงั่ คดีถึงทสี่ ุด
หลักเกณฑ์กำรรบั ฟงั พยำนหลกั ฐำนในประเทศองั กฤษ
ก) หลกั สทิ ธใิ นการไม่ให้การเป็นปรปักษต์ ่อตนเอง

หลักการดังกล่าวเป็นหลักที่มีรากฐานในระบบกฎหมาย Common Law มาเป็น
เวลานานจนปัจจุบนั น้ีได้กลายเปน็ หลักสิทธมิ นุษยชนสากลซงึ่ ไดบ้ ัญญัติไว้ใน European Convention
of Human Rights. และ United Nations Covernant.

หลักสิทธิที่จะไม่ให้การเป็นปรปักษ์ต่อตนเอง (Nemo Debet Prodere Se Ipun: No one
can be required to be his own betrayer) ในประเทศอังกฤษน้ันมีบัญญัติไว้ใน The Criminal
Justice and Public Order Act 199495 ซ่ึงมีหลักการว่าไม่สามารถบังคับให้ผู้กระทาความผิดให้การ
หรือตอบคาถามอันเป็นปรปักษ์ต่อตนเองซึ่งอาจทาให้ตนเองต้องได้รับโทษ คดีสาคัญท่ีวางหลักเกณฑ์
ในเร่ืองน้ีคือคดี Blunt v. Park Lane (1942) โดย ผู้พิพากษา Goddard LJ วางหลักไว้ว่า “ไม่มีใคร
สามารถถูกบังคับให้แสดงพยานหลักฐานท่ีเป็นปรปักษ์ต่อตนเองหรือบังคับให้ตอบคาถามท่ีมีแนวโน้ม
ให้ตนเองถูกต้ังข้อหาหรือถูกลงโทษหรือบังคับให้สามีให้การเป็นปรปักษ์ต่อภรรยาของตนเองหรือ
บังคับให้ภรรยาให้การเป็นปรปักษต์ อ่ สามีของตน”

สรุปได้ว่า จาเลยในคดีอาญาไม่สามารถเป็นพยานในการดาเนินคดีอาญาของตนและ
ไม่สามารถเป็นพยานซัดทอดความผดิ ต่อผู้ร่วมกระทาความผิดคนอื่นไดด้ ังที่บญั ญัติไว้ในมาตรา 53 (4)
แห่ง The Youth Justice and Evidence Act 199996 น่ันหมายความว่าผู้ที่เป็นจาเลยไม่สามารถ
ถกู เรียกมาเป็นพยาน เพ่ือปรักปราตนเองหรือจาเลยร่วมคนอ่ืนเว้นแต่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 53 (5)
ผู้ถูกตั้งข้อหาในคดีอาญา ไม่รวมถึงผู้ท่ีไม่ใช่ผู้ต้องหาอีกต่อไป โดยบุคคลอาจหลุดพ้นจากการเป็น
ผู้ต้องหาโดยการสารภาพผิด (Plead Guilty) และกรณีที่อัยการสูงสุดออกคาส่ังไม่ฟ้องคดี (Nolle
Prosequi) ซึง่ หากหลุดพน้ จากการเป็นผู้ต้องหาแลว้ ศาลอาจเรียกตัวมาเบกิ ความในฐานะพยานได้

ข) หลักการห้ามรับฟงั พยานบอกเลา่ (Rule against Hearsay)
ประเทศอังกฤษเป็นประเทศที่ใช้ระบบการดาเนินคดีแบบกล่าวหา (Accusatory System)

โดยมีคณะลูกขุนซ่ึงคัดเลือกมาจากประชาชนธรรมดาเป็นผู้พิจารณาข้อเท็จจริงซ่ึงแต่แรกเริ่มเดิมท่ีศาล
อังกฤษรับฟังพยานบอกเล่าท้ังในคดีแพ่งและคดีอาญา แต่ในปัจจุบันศาลอังกฤษเพ่ิมความเข้มงวดในการ
รับฟังพยานบอกเล่า ในปลายศตวรรษท่ี 17 ผู้พิพากษาโฮลท์ ได้วางหลักการห้ามรับฟังพยานบอกเล่า
ในคดี R. V. Pain, (1696) แมห้ ลักการห้ามรับฟังพยานบอกเล่าจะไดร้ ับการยอมรับมากขึ้น แต่หลกั ที่ยอม
ให้รับฟังพยานบอกเล่าได้ ก็ยังคงใช้ในบางโอกาส ดังนั้น ในปัจจุบันหลักการห้ามรับฟังพยานบอกเล่า

95 The Criminal Justice and Public Order Act 1994. UK Public General Acts. 1994 c.33.
96 The Youth Justice and Evidence Act 1999. UK Public General Acts. 1994 c.23.

120

จึงเป็นหลักท่ัวไป ส่วนหลักให้รับฟังพยานบอกเล่าเป็นข้อยกเว้น รับฟังได้ในบางกรณี เช่น ให้รับฟังได้
ในฐานะเป็นพยานประกอบ (Admissible as Corroboration) ตัวอย่างเชน่ คดี R. V. Parker (1783)

ก ล่ าว โด ย ส รุ ป คื อ ก ฎ ห ม าย ข อ งป ร ะเท ศ อั งก ฤ ษ ได้ ว างร าย ล ะ เอี ย ด เก่ี ย ว กั บ ก าร รั บ ฟั ง
พยานหลักฐานไว้อย่างชัดเจนเพราะเหตุท่ีใช้ระบบลูกขุน (Jury) ซึ่งกฎหมายไม่ต้องการให้ลูกขุนได้รับ
ฟังพยานหลักฐานท่ีไม่ชอบ อันอาจทาให้ลูกขุนเกิดอคติหรือความเอนเอียง จึงมีหลักการห้ามรับฟัง
พยานบอกเล่า เวน้ แตเ่ ข้าขอ้ ยกเวน้ โดยปจั จุบันมีแนวโนม้ ท่จี ะยอมรบั ฟงั พยานบอกเลา่ ได้มากขน้ึ

มำตรกำรคุ้มครองพยำนในประเทศองั กฤษ
ในประเทศอังกฤษมีบทบัญญัติกาหนดความผิดเกี่ยวกับการข่มขู่พยานในคดีอาญาไว้ใน
Criminal Justice and Public Order Act 199497 โดยกาหนดเป็นความผดิ 2 ฐานคือ
1) ความผดิ ฐานข่มขูค่ ุกคามพยาน (Intimidating a witness)
2) ความผิดฐานทาร้ายหรือข่มขู่ว่าจะทาร้ายพยาน (Harming or threatening to harm
a witness)
แต่ก่อนนั้นประเทศอังกฤษไม่มีหน่วยงานที่รับผิดชอบเก่ียวกับการพยานโดยเฉพาะ แต่เป็น
อานาจหน้าที่ของตารวจท้องถ่ิน (Local police force) ซ่ึงมีจุดด้อยคือการที่ให้ตารวจซ่ึงเป็นผู้ที่
ละเมิดสิทธิของผ้ตู ้องหาหรอื พยานมากท่ีสดุ เป็นผู้ให้ความคุ้มครองพยานนั้นเหมาะสมหรือไม่ ภายหลัง
จงึ มีบทบญั ญัตแิ หง่ กฎหมายทบ่ี ัญญัตเิ กี่ยวกบั การคุ้มครองพยานในประเทศอังกฤษ ดังนี้
1) มาตรการค้มุ ครองพยานตาม Serious Organized Crime and Police Act 2005
ตามพระราชบัญญัติฉบับน้ีใหค้ วามคุ้มครองเฉพาะในคดีเก่ียวกับองค์กรอาชญากรรมทร่ี ้ายแรง
ซง่ึ การพจิ ารณาในการใหค้ วามคุม้ ครองตอ้ งคานงึ ถึงปัจจัยดังต่อไปน้ี
- ลักษณะและเนอ้ื หาของความเสย่ี งต่อความปลอดภยั ของบคุ คลน้นั
- คา่ ใช้จ่ายในการให้ความคุ้มครอง
- ความเป็นไปได้ในเรื่องความสามารถของพยานและบุคคลใกล้ชิดที่จะปรับตัวให้เข้ากับ
สภาพแวดล้อม ที่เปลีย่ นแปลงไปเน่ืองจากการเขา้ สคู่ วามคุม้ ครอง
สาหรบั ขั้นตอนก่อนนาบุคคลเข้าสู่โครงการคุ้มครองพยานเจา้ พนักงานจะต้องแจ้งข้อมูลให้แก่
ผู้เขา้ รบั การค้มุ ครองให้ทราบถึงเง่อื นไขสิทธแิ ละหน้าทต่ี า่ ง ๆ ให้แกบ่ ุคคลนนั้ ทราบ
2) มาตรการคมุ้ ครองพยานตาม Youth Justice and Criminal Act 1999
The Youth and Criminal Evidence Act 1 9 9 9 Part 2 Chapter 1 ว่ าด้ ว ย ก ารใช้
มาตรการพิเศษในกรณีพยานเป็นผู้เปราะบางอ่อนแอและถูกคุกคาม98 (Special measures directions
in case of vulnerable and intimidated witness) การคุ้มครองพยานตามพระราชบัญญัตดิ ังกล่าว
ไดร้ ะบุถงึ คุณลักษณะของพยานทส่ี มควรได้รับความคุ้มครองไว้ 3 ประการ คือ
- เหตุแห่งอายุซ่ึงกาหนดไว้ว่าพยานเด็กซ่ึงมีอายุต่ากว่า 18 ปีจะได้รับความคุ้มครองโดย
อัตโนมัติ
- เหตุแห่งการไร้ความสามารถกล่าวคือพยานท่ีเป็นบุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกาย
หรอื จิตใจ

97 The Criminal Justice and Public Order Act 1994. UK Public General Acts. 1994 c.33.
98 The Criminal Justice and Public Order Act 1994. UK Public General Acts. 1994 c.33.


Click to View FlipBook Version