The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง การกันผู้ต้องหาหรือผู้กระทำความผิดเป็นพยานในคดีพิเศษ เพื่อการพัฒนากฎหมาย (กรมสอบสวนคดีพิเศษ กองกฎหมาย)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by dr.parinya.dsi, 2023-01-10 22:16:12

รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์

รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง การกันผู้ต้องหาหรือผู้กระทำความผิดเป็นพยานในคดีพิเศษ เพื่อการพัฒนากฎหมาย (กรมสอบสวนคดีพิเศษ กองกฎหมาย)

Keywords: คดีพิเศษ, กันไว้เป็นพยาน, การสืบสวนสอบสวน

21

ในทางกฎหมายได้แบ่งพยานหลักฐานออกเป็น 3 ประเภท คือ พยานบุคคล พยาน
เอกสาร และพยานวัตถุ ดังปรากฏในประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 ดังได้กล่าวไว้ก่อน
หนา้ นีแ้ ลว้ สรุปไดด้ งั นี้

1) พยานบุคคล
พยานบุคคล คือ บุคคลที่มาเบิกความ ให้ข้อเท็จจริงในคดีต่อศาล ศาลจะได้รับรู้

ข้อเท็จจริง จากพยานชนิดนี้ โดยการที่พยานเล่าเร่ืองหรือตอบคาถามของศาลหรือคู่ความเกี่ยวกับ
ข้อเท็จจริงหรือเหตุการณ์ที่พยานได้เห็น ได้ฟัง หรือได้ทราบมาก่อน ความจริงแล้วส่ิงที่เป็น
พยานหลักฐานก็คือ คาเบิกความหรือถ้อยคาของพยาน ไม่ใช่ตัวพยานคนนั้น ดังน้ัน เม่ือกล่าวถึงพยาน
บุคคล จึงหมายถึง คาเบิกความของพยาน (Testimony) หากพยานอยู่เฉย ๆ ไม่เบิกความ ศาลจะ
ไมไ่ ดข้ ้อเท็จจรงิ อะไร ซึ่งแตกต่างจากพยานเอกสารหรือพยานวัตถุ ซึ่งตัวอกั ษรหรอื วตั ถุนั้น ๆ สามารถ
แสดงข้อเท็จจริงต่อศาล หรือศาลตรวจดู ได้เอง ดังนั้น พยานบุคคลจึงหมายถึงบันทึกคาพยาน
ที่ปรากฏในสานวน ซึ่งใช้ในการตัดสินคดีน้ันเอง พยานบุคคลจึงนับวา่ เป็นพยานสาคัญท่ีสุดโดยเฉพาะ
อย่างย่ิงในคดีอาญา จะเป็นพยานหลักต้ังแต่ในช้ันสืบสวน สอบสวน และในชั้นศาลแม้ในคดีแพ่ง
ก็จะขาดพยานบุคคลไม่ได้25

2) พยานเอกสาร
พยานเอกสาร คือ สิ่งซ่ึงมีการบันทึกตัวอักษร ตัวเลข รูปรอย หรือเครื่องหมาย

ซึ่งสามารถแสดงข้อความหรือความหมายอย่างใดอย่างหน่ึงให้ศาลตรวจดูได้ ส่ิงนั้นจะเป็นอะไรก็ได้
และจะบันทึกโดยวิธีเขยี นดว้ ยมือ พิมพ์ พิมพ์ดีด แกะสลัก ถักร้อย หรือวิธีอ่ืนใดก็ได้ ถ้าสามารถใช้เป็น
พยานหลักฐานได้ โดยสามารถสือ่ ความหมายหรือแสดงข้อเท็จจริงบางอย่างได้ อาจบันทกึ ไว้ในวสั ดอุ ่ืน
นอกจากกระดาษ เช่น บันทึกไว้ในผ้า กระดาน แผ่นโลหะ กาแพง ถ้าเป็นการนาสืบถ้อยคาหรือ
ความหมายท่ีบันทึกไว้ กาแพงนั้นก็อาจเป็นพยานเอกสารได้ แม้การบันทึกตัวเลขที่เครื่องยนต์ของ
รถยนต์ก็เป็นพยานเอกสารได้เช่นกัน ส่ิงท่ีจะพิสูจน์ข้อเท็จจริงก็คือ ข้อความหรือความหมายของ
ตวั อกั ษร ตัวเลข หรือเครือ่ งหมายทบี่ ันทกึ ไว้ ไม่ใชว่ ัสดุทีใ่ ช้บันทึก

พยานเอกสารนับว่าเป็นพยานสาคัญในคดีแพ่งยิ่งกว่าคดีอาญา เพราะคดีแพ่งมักจะ
มีการทาข้อตกลงกันไว้เป็นลายลักษณ์อักษรก่อน และในบางกรณีกฎหมายก็บังคับว่า นิติกรรมจะต้อง
ทาหลกั ฐานเป็นหนงั สือไวด้ ว้ ย

3) พยานวตั ถุ
พยานวัตถุ คือ วัตถุหรือส่ืงอื่นใดท่ีอาจพิสูจน์ความจริงในทางคดีต่อศาล โดยการ

ตรวจดู มิใช่โดยการอ่านหรือพิจารณาข้อความที่บันทึกไว้ เดิมที่พยานวัตถุ หมายถึง สิ่งของที่เกี่ยวข้อง
กับคดีหรือของกลาง แต่ต่อมาได้หมายความรวมไปถึง “สาธิตพยาน (Demonstrative Evidence)”
คือ พยาน หลักฐานที่มิได้เกี่ยวข้องกับคดีโดยตรง แต่นามาแสดงเป็นแบบอย่างหรืออธิบายเร่ืองราว
ให้ศาลเข้าใจง่ายขึ้น อาทิ แผนท่ี แผนผัง หุ่น แบบจาลอง เป็นต้น วัตถุท่ีเกี่ยวข้องกับคดีโดยตรงนั้น
โดยปกติก็จะต้องมีการนาสืบให้เห็นว่าเป็นวัตถุชิ้นเดิมท่ีเก่ียวข้องกับคดีด้วย แต่สาหรับสาธิตพยาน
ไม่จาเป็นจะตอ้ งมกี ารนาสบื เชน่ นน้ั

25 โสภณ รตั นากร, คาอธิบายกฎหมายลักษณะพยาน, (กรงุ เทพฯ: นิติบรรณาการ, 2545), 22.

22

พยานวัตถุมีความแตกต่างจากพยานบุคคลและพยานเอกสารกล่าวคือ พยานวัตถุ
เม่ือศาลตรวจดูแล้วจะได้ข้อสรุปออกมาโดยตรงไม่ต้องมีการแปลความอย่างคาเบิกความหรือข้อความ
ในเอกสาร และพยานวตั ถุทใ่ี ช้พสิ จู นถ์ ึงความมีอยหู่ รือเกีย่ วกบั ลักษณะของตัววัตถุนนั้ เองย่อมมนี า้ หนัก
รบั ฟงั ไดเ้ ด็ดขาดยิ่งกว่าพยานหลักฐานใด ๆ

อย่างไรก็ตาม บทบัญญัติอันเก่ียวด้วยพยานหลักฐานในประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง
ประมวลวิธีพิจารณาความอาญา ได้แยกบัญญัติพยานท้ัง 3 ประเภทน้ีออกจากกัน เพราะพยานหลักฐาน
ท้ัง 3 ประเภทนี้มีวิธีการนาสืบและข้อห้ามบางประการแตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม พยานบุคคลจาเป็นแก่
คดีทุกประเภท แม้มีพยานเอกสารและพยานวัตถุเพียงพอแก่การพิสูจน์ข้อเท็จจริงแล้วก็อาจต้องมีพยาน
บุคคลเบิกความประกอบ หรืออย่างน้อยมีพยานบุคคลเบิกความนาพยานเอกสารหรือพยานวัตถุเข้ามาใน
สานวน สาหรับพยานเอกสารอาจต้องมีพยานบุคคลมาเบิกความรับรองความแท้จริงด้วย ดังนั้น พยาน
บุคคลดูเหมือนมีความสาคัญกว่าพยานเอกสารและพยานวัตถุ แต่ข้อเท็จจริงบางอย่างกฎหมายบังคับว่า
จะต้องนาสืบโดยพยานเอกสารเท่านนั้ จะสืบพยานบุคคลแทนไม่ได้ ขณะเดียวกันพยานบุคคลอาจเสียชีวิต
หรือหลบหนี หรือไม่ยอมมาศาล แต่พยานเอกสารและพยานวัตถุอาจมีอายุยืนกว่าพยานบุคคล และอาจ
สนับสนุนให้พยานบุคคลมีน้าหนักน่าเช่ือถือย่ิงข้ึนได้ อีกท้ัง พยานเอกสารและพยานวัตถุศาลอาจตรวจ
เห็นได้เองย่อมดีกว่าและน่าเชื่อถือกว่าพยานบุคคล ซ่ึงไปเห็นเหตุการณ์หรือทราบข้อเท็จจริงแล้วมา
ถ่ายทอดให้ศาลฟังอีกต่อหนึ่ง อาจมีการผิดพลาด บิดเบือน หลงลืม หรือเบิกความไม่ตรงกับความจริงได้
ซึ่งจะเห็นได้ว่าพยานทุกประเภทมีความสาคัญท้ังส้ิน มีบทบาทในการพิสูจน์ความจริงท่ีเกี่ยวข้องในคดี
ศาลจึงต้องรับฟังพยานหลักฐานต่าง ๆ และต้องเป็นพยานหลักฐานอันชอบด้วยกฎหมาย และศาลยัง
จะตอ้ งมีมาตรฐานการพสิ ูจน์และการชง่ั น้าหนักพยานหลักฐาน ซึง่ จะได้กล่าวต่อไปอีกด้วย

เหตุท่ีกฎหมายได้กาหนดประเภทของพยานหลกั ฐานไว้ 3 ประเภทนั้น เพ่อื ให้สอดคลอ้ ง
กับหลักการรับฟังพยานหลักฐานในแต่ละประเภท หากแต่ปัจจุบันได้มีพยานหลักฐานรูปแบบใหม่
คือ พยานหลักฐานดิจทิ ลั หรือพยานหลักฐานอิเลก็ ทรอนิกส์

4) พยานหลักฐานดิจทิ ัลหรือพยานหลักฐานอิเล็กทรอนกิ ส์
พยานหลักฐานดิจิทัลหรือพยานหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์ในคดีอาญา (Digital

Evidence in Criminal Cases) ซ่ึงปรากฏอยู่ในรปู ของข้อมลู คอมพิวเตอร์ เปน็ พยานหลักฐานรปู แบบ
ใหม่ที่มีความสาคัญในการพิสูจน์การกระทาความผิดอาญา หากเป็นข้อมูลที่บันทึกในระบบ
คอมพิวเตอร์อาจจัดเป็นพยานเอกสารหรือพยานวัตถุ หากมีความต้องการที่จะยืนยันความถูกต้อง
แท้จริงของเน้ือหาด้วยการนาข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ท่ีบันทึกไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ประมวลผลผ่าน
ชุดคาส่งั และอุปกรณ์ต่าง ๆ โดยทาออกมาในรูปของสิ่งพิมพอ์ อก (print out) ในรูปของเอกสาร และมี
เน้ือหาตรงกันกับที่แสดงอย่สู ิ่งพิมพ์ออกน้ันก็จะจัดเป็นพยานเอกสาร แต่หากการใช้อ้างข้อมูลที่บันทึก
อยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อมุ่งยืนยันความมีอยู่ของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ด้วยการนาระบ บ
คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ท่ีบันทึกข้อมูลไว้มานาสืบด้วยการแสดงออกในรูปแบบที่
เข้าใจได้ และทาให้เห็นว่าเป็นข้อมูลท่ีระบบคอมพวิ เตอร์แสดงออกมาเป็นขอ้ มูลถูกต้องแท้จริงไม่มีการ
แก้ไขหรือทาลาย ให้เกิดความเสียหายก็จะจัดเป็นพยานวัตถุ จึงจะเห็นได้ว่าพยานหลักฐานดิจิทัลหรือ
พยานหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์นี้สามารถนาไปเป็นพยานหลักฐานในคดีได้ แต่ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์
ในการใช้อ้างในคดี

23

International Organization on Computer Evidence : IOCE เป็นหน่วยงาน
สากลท่ีดูแลเก่ียวกับการปฏิบัติต่อพยานหลักฐานคอมพิวเตอร์ ได้กาหนดหลักการสาคัญในการเข้าค้น
และยึดอปุ กรณอ์ เิ ล็กทรอนิกส์ไว้ 6 ประการ ดงั น้ี

หลกั การสาคญั ในการเข้าค้นและยึดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (IOCE Principles)26
1. เมื่อใดก็ตามท่ีต้องดาเนินการกับพยานหลักฐานดิจิทัลจะต้องมีการดาเนินการ
ตามหลักปฏบิ ตั ทิ ่วั ไปทางนติ คิ อมพวิ เตอร์ และต้องดาเนนิ การตามข้นั ตอนของนติ คิ อมพวิ เตอร์
2. ในขณะปฏิบัติการเก็บยึดพยานหลักฐานดิจิทัล การดาเนินการทุกอย่างจะต้อง
ไม่ก่อใหเ้ กิดการเปลย่ี นแปลงต่อพยานหลกั ฐานน้ัน
3. หากมีความจาเป็นที่จะต้องเข้าถึงข้อมูลในพยานหลักฐานต้นฉบับ บุคคลผู้ที่
ปฏิบัตจิ ะต้องได้ผา่ นการอบรมมาเพ่อื ดาเนินการนัน้ เปน็ การเฉพาะ
4. จะต้องมีการจดบันทึกทุกข้ันตอน ทุกการกระทาท่ีเกี่ยวข้องกับการเก็บยึด
การเข้าถึงข้อมูล การเคลื่อนย้ายอย่างละเอียด และต้องมีการเก็บบันทึกน้ันไว้เป็นอย่างดีและสามารถ
นามาแสดงใหด้ ูไดท้ กุ เมอื่ เมอ่ื ถูกร้องขอ
5. จะต้องมีบุคคลผู้รับผิดชอบท่ีชัดเจนต่อทุกการกระทาท่ีเกิดขึ้นในขณะท่ีพยาน
หลกั ฐานดิจิทัลนั้นอยใู่ นความดูแลของบคุ คลน้ัน
6. หน่วยงานและเจ้าหน้าที่ที่ดาเนินการเก็บยึด เข้าถึงข้อมูล บันทึกข้อมูล โอนถ่าย
เคลือ่ นยา้ ยพยานหลกั ฐานดิจทิ ัลจะต้องรบั ผิดชอบในการปฏิบตั ิการให้สอดคลอ้ งกับหลกั การทงั้ 6 ข้อน้ี
พยานหลักฐานดิจิทัลหรือพยานอิเล็กทรอนิกส์ยังอาจมีประเด็นปัญหาเร่ืองการรับ
ฟังเป็นพยานหลักฐาน โดยในยุคปัจจุบันพยานหลักฐานดิจิทัลหรือพยานอิเล็กทรอนิกส์เป็น
พยานหลักฐานที่มีความสาคัญในการพิสูจน์ความผิดในคดีอาญาไม่น้อยไปกว่าพยานหลักฐานประเภท
อื่น อย่างไรก็ดีด้วยลักษณะของพยานหลักฐานดิจิทัลทั้งในรูปของพยานเอกสารและพยานวัตถุมีความ
เส่ียงต่อการทาให้สูญหายหรอื เสียหายได้โดยง่าย หลักเกณฑ์และวิธีการในการจัดเก็บและตรวจพิสูจน์
พยานหลักฐานดิจิทัลจึงต้องรัดกุมรอบคอบ เพื่อลดข้อโต้แย้งในการรับฟังเป็นพยานหลักฐานใน
คดอี าญา หลักการสาคัญที่เจ้าพนักงานซ่ึงมีอานาจสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานดิจทิ ัล และ
ผู้ปฏิบัติงานด้านการตรวจพิสูจน์พยาน หลักฐานดิจิทัลพึงต้องระมัดระวังคือ การได้มาซ่ึงพยาน
หลักฐานดิจิทัลต้องปฏิบัติให้ถูกต้องชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและกฎหมาย
เฉพาะอย่างอื่น ซ่ึงระบุขั้นตอนปฏิบัติในการได้มาซึ่งพยานหลักฐานดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างย่ิงบรรดา
ข้อมูลคอมพิวเตอร์ ซึ่งมาตรฐานในการจัดเก็บพยาน หลักฐานดิจิทัลควรต้องเป็นไปตาม
มาต รฐาน ส ากล ใน การเข้าค้ น แล ะยึ ด อุป ก รณ์ อิเล็ ก ท รอนิ กส์ ซ่ึ งเป็ น ม าต รก ารพ้ื น ฐาน ท่ี จ ะท าให้
พยานหลกั ฐานที่รวบรวมไดม้ านน้ั มีความน่าเชอื่ ถือและชอบด้วยกฎหมายเพียงพอท่ีศาลจะรับฟังและ
ให้นา้ หนักกับพยานหลักฐานดิจิทัลในการลงโทษผู้กระทาความผิด
2.4.3 มำตรฐำนกำรพสิ ูจน์
มาตรฐานการพิสูจน์ (standard of proof-quantum of proof) หมายถึง ระดับของ
ความนา่ เปน็ ไปได้ ซงึ่ ใช้ในการพิสจู น์ว่าข้อเทจ็ จริงอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นความจริงหรือไม่ วิธีการทใ่ี ช้ใน
ก า ร วิ นิ จ ฉั ย ช้ี ข า ด ว่ า อ ะ ไร จ ริ ง ห รื อ ไม่ นั้ น เป็ น ที่ ย อ ม รั บ กั น ว่ า เป็ น เรื่ อ ง ข อ ง ค ว า ม น่ า เป็ น ไป ไ ด้

26 IOCE Principles, 2018, สืบคน้ เม่ือ 20 กมุ ภาพนั ธ์ 2565. https://dforensic.blogspot.com/.

24

(probability) เท่านั้น ซึ่งความน่าเป็นไปได้ก็มีหลายระดับ ปัญหาจึงอยู่ท่ีว่าคู่ความผู้มีภาระพิสูจน์
จะต้องพิสูจน์ให้เห็นถึงความน่าเป็นไปได้ในระดับไหนเท่านั้น มาตรฐานการพิสูจน์ข้ึนอยู่กับประเภท
ของคดวี ่าเป็นคดีแพง่ หรือคดีอาญา และการต่อสู้คดีของค่คู วามด้วย ทั้งมาตรฐานการพิสจู น์ของโจทก์
และจาเลยในคดอี าญาก็แตกต่างกนั

มาตรฐานการพิสูจนม์ กี ารแบ่งในหลายลักษณะ ดงั นี้
1) มาตรฐานการพสิ จู นใ์ นคดแี พง่ และมาตรฐานการพสิ ูจนใ์ นคดีอาญา

คดีแพ่ง มาตรฐานการพิสูจน์ในคดีแพ่งสาหรับโจทก์หรือจาเลยเป็นเช่นเดียวกัน
ซ่ึงอาจกล่าวได้ว่า คู่ความฝ่ายท่ีมีภาระการพิสูจน์ในประเด็นข้อใด จะต้องนาพยานหลักฐานนาสืบให้มี
น้าหนักน่าเชื่อ มากกว่าพยานหลักฐานของคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง ซ่ึงตามกฎหมายอังกฤษถือว่าคู่ความ
ฝา่ ยท่ีมภี าระการพสิ ูจน์ต้องนาพยานหลักฐานมาแสดงใหเ้ ห็นวา่ คดีของตนมีความน่าเป็นไปได้มากกว่า
(preponderance of probability) ศาลไทยได้ถือมาตรฐานการพิสูจน์เป็นทานองเดียวกัน ดังท่ีศาล
ฎีกาได้วินิจฉัยว่าในคดีแพ่งศาลต้องตรวจดูพยานหลักฐานของทุกฝ่าย แล้ววินิจฉัยว่าพยานหลักฐาน
ท้ังหมดน้ันเจือสมน้าหนักไปข้างฝ่ายใด แม้ไม่ถึงกับปราศจากข้อสงสัย ศาลก็ชี้ขาดให้ฝ่ายน้ันเป็นผู้ชนะ
คดไี ด้ ตามคาพิพากษาฎกี าที่ 899/2487

คดีอาญาเป็นเร่ืองเกี่ยวกับชีวิต เสรีภาพของประชาชน กฎหมายให้ความคุ้มครอง
และสิทธิในการดาเนินคดีแก่จาเลยเป็นพิเศษ มาตรฐานการพิสูจน์สาหรับโจทก์และจาเลยจึงแตกต่าง
กนั ไปดว้ ย ท้ังมาตรฐานการพสิ ูจน์ของโจทก์ในคดีอาญาถือว่าสงู กว่ามาตรฐานการพิสจู น์ของคู่ความใน
คดีแพ่ง มาตรฐานการพิสูจน์ของจาเลยในคดีอาญาก็ถือว่าต่ากว่ามาตรฐานการพิสูจน์ของคู่ความอื่น ๆ
ทั้งนี้ เพราะมีข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่า ในคดีอาญาให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจาเลยเป็น
ผ้บู รสิ ุทธ์ิไม่มคี วามผิด รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ไดบ้ ัญญัติรับรองไว้ในมาตรา 29
วรรคสอง ว่า “ในคดีอาญาให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจาเลยไม่มีความผิด และก่อนมี
คาพิพากษาอันถึงที่สุด แสดงว่าบุคคลใดได้กระทาความผิดจะปฏิบัติต่อบุคคลน้ันเสมือนเป็นผู้กระทา
ความผิดมิได”้

2) มาตรฐานการพิสูจน์ (Standard of Proof) ที่เป็นภาระให้ต้องพยายามพิสูจน์ให้
ศาลเช่ือในขอ้ เทจ็ จรงิ ทีเ่ ราอา้ งหรอื โตแ้ ย้งน้ัน ตามหลกั กฎหมายท่วั ไปแบง่ ได้ 5 ระดบั 27 คือ

2.1) การพสิ ูจน์ใหเ้ หน็ ถงึ เหตุอันมีพยานหลักฐานเพียงพอ (probable cause)
2.2) การพิสูจนใ์ หเ้ ห็นถึงมลู คดี (prima facie case)
2.3) การพิสูจน์ให้เห็นถึงพยานหลักฐานท่ีน่าเชื่อถือกว่า (preponderance of
evidence)
2.4) การพิสูจน์ให้เห็นว่าพยานหลักฐานนั้นมีความน่าเชื่อถืออย่างชัดเจน (clear
and convincing evidence)
2.5) การพิสูจน์ให้ได้ความชัดแจ้งโดยปราศจากข้อสงสัยตามสมควรหรือปราศจาก
เหตอุ ันควรสงสัย (beyond reasonable doubt)
ทง้ั น้ี การพิสูจนใ์ นแต่ละระดบั ดงั กล่าวขา้ งต้นมีความแตกตา่ งในการนาไปใช้ มีรายละเอียดดังน้ี

27 อดุ ม รัฐอมฤต, คาอธิบายกฎหมายลักษณะพยาน, พมิ พ์ครัง้ ที่ 3, (กรุงเทพฯ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์, 2557), 182.

25

2.1) การพิสูจน์ให้เห็นถึงเหตุอันมีพยานหลักฐานเพียงพอ (probable cause) หลักน้ี
ใช้ในการพิจารณาในการออกหมายค้น หมายจับ การท่ีตารวจจะยื่นขอหมายค้นหรือหมายจับจากศาลได้
จะต้องมี “เหตุอันควรเช่ือ (probable cause)” ปัจจุบันเรียกว่า “พยานหลักฐานตามสมควร”28 ให้เช่ือ
ว่าจะพบพยานหลักฐานในบ้านที่ขอค้น หรือเชื่อว่าบุคคลที่จะถูกจับเป็นผู้กระทาความผิดกล่าวคือ ศาล
จะต้องพิจารณาว่ามีเหตุท่ีน่าเชื่อนั้นได้ว่าหรือไม่ ยกตัวอย่าง ถ้ามีเหตุอันควรเช่ือว่ามีหลักฐานในการ
กระทาผิดน้ันซ่อนอยู่ในบ้านผู้ใด หรือมีเหตุอันควรเชื่อว่าผู้ใดเป็นคนรา้ ยท่ีกระทาผิด ตารวจต้องไปจับกุม
ผู้ต้องสงสัย ตารวจต้องไปค้นบ้าน และยึดพยานหลักฐานท่ีเกี่ยวข้อง แต่การจะเข้าไปตรวจบ้านพักอาศัย
เพ่ือยึดพยานหลักฐาน หรือการจับบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทาผิดนั้น โดยหลักแล้วตารวจต้องไปย่ืน
คาร้องขอหมายค้นหรือหมายจับท่ีศาลก่อน แม้ขั้นตอนนี้จะไม่ใช่หน้าที่ในการสืบพยานเพ่ือค้นหา
ความจริงของศาล เพราะศาลยังไม่ได้รับฟ้องคดี แต่กฎหมายก็ให้ฝ่ายตุลาการ (ศาล) มีหน้าท่ีโดยตรง
ในการตรวจสอบฝ่ายบริหาร เจ้าหน้าท่ีรัฐ (ตารวจ) ก่อน การใช้อานาจที่อาจกระทบต่อประชาชน
ผูบ้ ริสุทธิ์ได้ ซ่ึงในประเทศสหรัฐอเมรกิ า นิยมเรียกหลักการนี้ว่า “due process of law” ประเทศสหราช
อาณาจักร นิยมเรียกหลักการน้ีว่า “rule of law” ประเทศไทยนิยมเรียกหลักการน้ีว่า “หลักนิติธรรม”
หากศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า มีพยานหลักฐานพอจะเช่ือได้ว่า ในบ้านหลังน้ันมีหลักฐานท่ีเกี่ยวกับการ
กระทาผิดหรือมีพยานหลักฐานพอจะเช่ือได้ว่าบุคคลที่ตารวจต้องการจับกุมนั้นน่าจะได้ทาผิด ศาลก็จะ
อนุญาตโดยออกหมายคน้ หรอื หมายจับให้ตารวจนาไปตรวจค้นหรือจับกุมบุคคลทีต่ ้องการ

2.2) การพิสูจน์ให้เห็นถึงมูลคดี (prima facie case) อยู่ในระดับการรับฟังพยาน
หลักฐานในชั้นพนักงานสอบสวนท่ีจะมีความเห็นทางคดีว่าเห็นควรสั่งฟ้องหรือเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง และ
ในช้ันของพนักงานอัยการ ในการพิจารณาส่ังคดีว่าจะส่ังฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้อง ทั้งพนักงานสอบสวนและ
พนักงานอัยการต้องทาการรับฟังและชั่งน้าหนักพยานหลักฐานให้อยู่ในระดับอันควรเช่ือหรือคดีมีมูล
เชน่ กัน ซ่งึ ถือว่าเป็นระดับเดียวกับที่ศาลทาการไต่สวนมลู ฟ้องและฟังว่าคดีมมี ูล จึงส่ังให้ประทับฟ้องไว้
พจิ ารณาคดตี ่อไป

2.3) การพิสูจน์ให้เห็นถึงพยานหลักฐานท่ีน่าเช่ือถือกว่า (preponderance of
evidence) เป็นการพิจารณาว่าคู่ความฝ่ายใดมีพยานหลักฐานที่แน่นหนากว่าคู่ความฝ่ายนั้นย่อมเป็น
ฝ่ายชนะคดี ดังน้ัน การพิสูจน์ระดับน้ีส่วนใหญ่มักต้องมีการสืบพยานสองฝ่าย เพื่อจะได้มีการ
เปรียบเทียบหรือการช่ังนา้ หนกั พยานหลกั ฐานว่าฝา่ ยใดน่าเชอื่ ถือกว่ากัน

2.4) การพิสูจน์ให้เห็นว่าพยานหลักฐานน้ันมีความน่าเชื่อถืออย่างชัดเจน (clear and
convincing evidence) คู่ความในคดีมีภาระต้องพิสูจน์ให้น่าเชื่อถือว่าข้อเท็จจริงน่าจะเป็นไปตามที่ตน
กล่าวอ้างหรือโต้แย้ง แต่ไม่ถึงขนาดต้องทาให้เช่ือโดยปราศจากข้อสงสัย มาตรฐานการพิสูจน์ในระดับนี้
ไม่ปรากฏชัดในกฎหมายของประเทศไทย ในคดีคาร้องฝ่ายเดียว อาทิ การร้องขอต้ังผู้จัดการมรดก คาร้อง
ขอให้ศาลส่ังเป็นคนไร้ความสามารถ น่าจะใช้ระดับมาตรฐานการพิสูจน์ในระดับน้ี เพราะเป็นคดีฝ่ายเดียว
ไมม่ กี ารชงั่ น้าหนักเปรียบเทียบ29

2.5) การพิสูจน์ให้ได้ความชัดแจ้งโดยปราศจากข้อสงสัยตามสมควรหรือปราศจาก
เหตุอันควรสงสัย (beyond reasonable doubt) มาตรฐานการพิสูจน์ระดับน้ีเป็นมาตรฐานการ

28 ธรี ร์ ัฐ ไชยอัครวัชร.์ การให้น้าหนกั พยานหลกั ฐานเพอ่ื ออกหมายคน้ หมายจบั กบั การตัดสนิ วา่ “เขามคี วามผิด”. 2564. สบื ค้นเมือ่ 15
มิถุนายน 2565. สานกั งานกจิ การยุตธิ รรม. https://justicechannel.org/popular/evidence
29 พรเพชร วชิ ติ ชลชยั , คาอธิบายกฎหมายลักษณะพยาน, พิมพค์ รง้ั ที่ 4, (กรงุ เทพฯ เกนโกรว, 2542), 105.

26

พิสูจน์ที่สูงที่สุดในระบบกฎหมายในปัจจุบัน และใช้เฉพาะกับคดีอาญาท่ีโจทก์เป็นฝ่ายพิสูจน์ความผิด
ของจาเลยเท่าน้ัน ปรากฏชัดแจ้งในกฎหมายไทยตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227
ทบ่ี ัญญัตวิ ่า “ใหศ้ าลใชด้ ุลพินิจวนิ ิจฉัยช่งั น้าหนักพยานหลักฐานท้ังปวง อย่าพิพากษาลงโทษจนกว่าจะ
แนใ่ จว่ามีการกระทาผิดจริง และจาเลยเป็นผู้กระทาความผดิ น้ัน เมื่อมคี วามสงสัยตามสมควรว่าจาเลย
ได้กระทาผิดหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยน้ันให้แก่จาเลย” ด้วยเหตุนี้ ถ้าศาลมีเหตุอันควร
สงสัยอย่างใดอย่างหนึ่งว่าจาเลยอาจไม่ใช่ผู้กระทาความผิดให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยน้ันให้แก่
จาเลย คอื พิพากษายกฟ้อง ซ่ึงเทา่ กับฟังขอ้ เทจ็ จริงว่าจาเลยไม่ไดก้ ระทาความผิด30

2.4.4 กำรแสวงหำพยำนหลักฐำน
จากการท่ีแต่ละประเทศมรี ะบบการดาเนินคดีอาญาแตกต่างกนั ไมว่ ่าจะเป็นการดาเนิน

คดีอาญาในระบบไตส่ วนหรือในระบบกลา่ วหา สง่ ผลใหว้ ธิ กี ารแสวงหาพยานหลักฐานก็มคี วามแตกต่าง
กันด้วย อันเป็นผลมาจากแนวคิด วิวัฒนาการ และกลไกทางวิธีพิจารณาท่ีต่างกัน การแสวงหา
ขอ้ เท็จจริงหรอื พยานหลกั ฐานสามารถแบง่ ออกเปน็ 2 ระบบ ไดแ้ ก่

1) ระบบการแสวงหาขอ้ เท็จจริงโดยศาล
ระบบการแสวงหาข้อเท็จจริงโดยศาล หรือในทางวิชาการเรียกว่า ระบบการค้นหา

ความจริงแบบไม่เป็นปรปักษ์ (Non-Adversary System) ระบบน้ีศาลจะมีบทบาทในการกาหนด
ประเด็น และค้นหาความจริงในคดี ด้วยมุ่งหมายทาความจริงให้ปรากฏ คู่ความจึงมีบทบาทในเชิง
สนับสนุนการดาเนินการของศาล ซ่ึงระบบการค้นหาความจริงหรือการแสวงหาพยานหลักฐานใน
ลักษณะน้ีจะดาเนินการในภาคพ้ืนยุโรปที่ใช้ระบบ Civil Law อาทิ ฝร่ังเศส เยอรมัน เป็นต้น ลักษณะ
สาคัญของระบบการแสวงหาพยานหลกั ฐานน้คี ือ

1.1) ศาลมีบทบาทเชิงรุกในการแสวงหาพยานหลักฐาน ดาเนินกระบวนการ
พิจารณา ศาลจะทาการสืบพยานและซักถามพยานโดยไม่จาเป็นต้องให้คู่ความร้องขอข้อเท็จจริง
ในการวินิจฉัยช้ีขาดจึงมีทั้งท่ีคู่ความเสนอและที่ศาลแสวงหามาเอง

1.2) คู่ความไม่มีลักษณะเป็นคู่ต่อสู้กันอย่างชัดเจน เพราะศาลมีบทบาทเชิงรุกใน
การแสวงหาพยานหลักฐาน ดาเนินกระบวนการพจิ ารณา จงึ ไมเ่ น้นเรื่องภาระพิสูจน์ของคู่ความ คู่ความ
จะปฏิบัติในลักษณะสนับสนุนการดาเนินงานของศาล ไม่ได้แข่งกันเสนอพยานหลักฐาน เพื่อผลในการ
แพ้ชนะและไมใ่ หค้ วามสาคัญของการถามคา้ นเพือ่ ตรวจสอบพยานหลกั ฐานของอีกฝา่ ยหนึ่ง

2) ระบบการแสวงหาพยานหลกั ฐานโดยคคู่ วาม
ระบบการแสวงหาพยานหลักฐานโดยคู่ความ หรือระบบการเสนอข้อเท็จจริงโดย

คคู่ วาม หรือในทางวิชาการเรยี กว่า ระบบการค้นหาความจรงิ แบบเป็นปรปักษ์ (Adversary System)
ระบบน้ีคู่ความมีบทบาทในการเสนอข้อเท็จจริงในคดี ศาลวางตัวเป็นกลางควบคุมการดาเนินการของ
คู่ความให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ท่ีกาหนด ระบบการค้นหาความจริงลักษณะนี้มักจะใช้ในประเทศท่ีใช้
ระบบกฎหมายคอมมอนลอว์31 (Common Law) ลักษณะสาคัญของระบบการแสวงหาพยานหลักฐานนี้คือ

30 จรญั ภกั ดธี นากุล, คาอธบิ ายกฎหมายลกั ษณะพยานหลกั ฐาน, พมิ พ์ครั้งท่ี 2 (กรุงเทพฯ: จริ รชั การพมิ พ,์ 2549), 243.
31 ณรงค์ ใจหาญและคณะ, “ พฒั นาระบบสอบสวนในคดที ุจริตและประพฤตมิ ชิ อบและคดีค้ามนษุ ย์ใหเ้ ป็นไปในทิศทางเดยี วกบั ระบบไต่สวน
ตามพระราชบัญญตั วิ ิธพี จิ ารณาคดที จุ รติ และประพฤตมิ ิชอบ พ.ศ. 2559 และพระราชบัญญตั ิวธิ ีพิจารณาคดีค้ามนุษย์ พ.ศ. 2559,”
(บทความวจิ ยั ), (กรงุ เทพฯ: สถาบันวจิ ยั และให้คาปรกึ ษาแห่งมหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์, 2560), สืบค้นเม่ือ 15 เมษายน 2564
https://repository.turac.tu. ac.th/handle/ 6626133120/553/

27

2.1) ศาลไม่มบี ทบาทในเชิงรุก แตจ่ ะเนน้ การวางเฉย (passive role)
2.2) การปล่อยให้คู่ความต่อสู้คดีกันอยา่ งเป็นธรรมสามารถทาให้ข้อเท็จจริงปรากฏ
โดยเฉพาะการใช้วิธีการถามค้าน (cross-examination) เพื่อตรวจสอบพยานหลักฐานของอีกฝ่ายหนึ่ง
ซ่งึ เหน็ ว่าเปน็ เครื่องมือที่ทรงคณุ คา่ ในการตรวจสอบยนื ยันข้อเท็จจริง
2.3) เน้นเร่ืองภาระพิสูจน์ของคู่ความ โจทก์มีภาระการพิสูจน์ ส่วนจาเลยมีสิทธิ
ตรวจสอบหรอื นาเสนอพยานหลกั ฐานเพือ่ แสดงความบริสทุ ธ์ิ
2.4) โจทก์กบั จาเลยมลี กั ษณะเปน็ ค่ตู อ่ สทู้ างคดี
อย่างไรก็ตาม การแสวงหาพยานหลักฐานหรือการค้นหาความจริงในคดีในแต่ละระบบ
น้ันต่างก็มีจุดเด่นและจุดด้อยท่ีแตกต่างกัน สาหรับประเทศไทยหากพิจารณาตามประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 229 บัญญัติให้ศาลเป็นผูสืบพยาน และมาตรา 228 ให้ศาลมีอานาจ
สืบพยานเพ่ิมเติมได้ จะพบว่าหลกั กฎหมายทป่ี รากฏอยู่และวิธีปฏิบตั ิในการสบื พยานในช้นั พิจารณาของ
ศาลน้ันไม่สอดคลองกัน32 โดยเหตุผลท่ีศาลหยิบยกขึ้นมากล่าวอ้างคือ หากศาลดาเนินการถามพยาน
เองแล้ว อาจจะทาใหเกิดการได้เปรียบหรือเสียเปรียบในการต่อสู้คดีกัน และเกิดความไม่เป็นธรรมข้ึน
ซงึ่ แท้ท่จี ริงการถามพยานเองนน้ั อาจจะทาใหข้ ้อเท็จจรงิ บางประการกระจ่างแจ้งชดั ขึ้น
2.4.5 กำรรับฟังพยำนหลักฐำนและกำรชั่งนำหนกั พยำนหลักฐำนในคดอี ำญำ
การรับฟังพยานหลักฐานในคดีอาญา แม้ว่าจะเป็นคนละขั้นตอนกับการชั่งน้าหนัก
พยาน หลักฐานในคดีอาญา แต่ก็มีสภาพเชื่อมโยงต่อเน่ืองกันไป เพราะการรับฟังพยานหลักฐานเป็น
เรื่องที่เกิดขึ้นในเบ้ืองต้น จากนั้นจึงนาพยานหลักฐานท่ีรับฟังได้ไปชั่งน้าหนักพยานหลักฐาน33 เพื่อวินิจฉัย
ในที่สุด ทง้ั สองเร่อื งจึงมคี วามสัมพันธก์ ันอย่างแท้จริง อยา่ งไรก็ตาม แมว้ า่ ทง้ั สองเร่ืองจะมีความสัมพันธ์
กนั แตใ่ นเนื้อหาหรอื รายละเอียดของแต่ละเร่ืองย่อมมีความแตกต่าง และต้องเข้าใจในรายละเอียดของ
แตเ่ รือ่ งให้ชดั เจน ในท่นี จี้ ะขอกล่าวถึงทลี ะเรอื่ ง ดังน้ี
1) การรบั ฟงั พยานหลักฐานในคดอี าญา
หลกั เกณฑใ์ นการรบั ฟงั พยานหลกั ฐาน
การรับฟังพยานหลักฐานในคดีอาญาน้ัน จะมีหลักเกณฑ์ในการรับฟังพยานหลักฐาน
ตามท่ีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณความอาญา มาตรา 226 มาตรา 226/1 ถึง มาตรา 226/5
ดงั น้ี
มาตรา 226 บัญญัติว่า “พยานวัตถุ พยานเอกสาร พยานบุคคล ซึ่งน่าจะพิสูจน์
ได้ว่าจาเลยมีความผิดหรือบริสุทธ์ิ ให้อ้างเป็นพยานหลักฐานได้ แต่ต้องเป็นพยานหลักฐานท่ีไม่ได้เกิด
จากแรงจูงใจ มีคาม่ันสัญญา ขู่เข็ญ หลอกลวง หรือโดยมิชอบด้วยประการอื่น และให้สบื ตามประมวล
กฎหมายน้ีหรอื กฎหมายอ่นื อนั วา่ ด้วยการสืบพยาน”
มาตรา 226/1 บัญญัติว่า “ในกรณีที่ความปรากฏแก่ศาลว่า พยานหลักฐานใด
เป็นพยานหลักฐานท่ีเกิดข้ึนโดยชอบแต่ได้มาเนื่องจากการกระทาโดยมิชอบ หรือเป็นพยานหลักฐาน
ท่ีได้มาโดยอาศัยข้อมูลท่ีเกิดข้ึนหรือได้มาโดยมิชอบ ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานนั้น เว้นแต่

32 สัญลกั ข์ ปญั วัฒนลขิ ติ , “บทบาทของศาลในการประกนั คุณภาพกระบวนการยตุ ธิ รรมทางอาญา,” วารสารมหาวทิ ยาลยั พายัพ ปท่ี 24
ฉบับที่ 2. (กรกฎาคม - ธนั วาคม 2557), 17.
33 รชฏ เจรญิ ฉา่ , พยานในคดอี าญา, (กรงุ เทพฯ: พิมพอ์ กั ษร, 2564), 111.

28

การรับฟังพยานหลักฐานนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อการอานวยความยุติธรรมมากกว่าผลเสียอันเกิดจาก
ผลกระทบตอ่ มาตรฐานของระบบงานยตุ ิธรรมทางอาญาหรือสิทธเิ สรีภาพพื้นฐานของประชาชน

ในการใช้ดุลพินิจรับฟังพยานหลักฐานตามวรรคหน่ึง ให้ศาลพิจารณาถึง
พฤตกิ ารณ์ท้ังปวงแห่งคดี โดยต้องคานงึ ถงึ ปัจจัยต่าง ๆ ดังตอ่ ไปน้ดี ้วย

(1) คณุ ค่าในเชิงพิสูจน์ ความสาคัญ และความนา่ เชอ่ื ถอื ของพยานหลกั ฐาน
(2) พฤตกิ ารณแ์ ละความร้ายแรงของความผิดในคดี
(3) ลักษณะและความเสยี หายที่เกิดจากการกระทาโดยมิชอบ
(4) ผู้ท่ีกระทาการโดยมิชอบอันเป็นเหตุให้ได้พยานหลักฐานมาน้ันได้รับการ
ลงโทษหรอื ไมเ่ พียงใด”
มาตรา 226/2 บัญญัติว่า “ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานท่ีเก่ียวกับการ
กระทาความผิดครั้งอ่ืน ๆ หรือความประพฤติในทางเส่ือมเสียของจาเลย เพ่ือพิสูจน์ว่าจาเลยเป็น
ผกู้ ระทาความผดิ ในคดีท่ถี กู ฟ้อง เวน้ แตพ่ ยานหลกั ฐานอย่างหนึ่งอย่างใด ดังตอ่ ไปนี้
(1) พยานหลกั ฐานท่เี กยี่ วเนื่องโดยตรงกับองค์ประกอบความผดิ ของคดที ่ีฟอ้ ง
(2) พยานหลักฐานที่แสดงถึงลักษณะ วิธี หรือรูปแบบเฉพาะในการกระทา
ความผิดของจาเลย
(3) พยานหลักฐานท่ีหักล้างข้อกล่าวอ้างของจาเลยถึงการกระทา หรือความ
ประพฤติ ในสว่ นดีของจาเลย
ความในวรรคหนึ่งไม่ห้ามการนาสืบพยานหลักฐานดังกล่าว เพ่ือให้ศาลใช้
ประกอบดลุ พนิ ิจในการกาหนดโทษหรอื เพม่ิ โทษ”
มาตรา 226/3 บัญญัติว่า “ข้อความซ่ึงเป็นการบอกเล่าที่พยานบุคคลใดนามา
เบิกความต่อศาลหรือท่ีบันทึกไว้ในเอกสารหรือวัตถุอื่นใดซ่ึงอ้างเป็นพยานหลักฐานต่อศาล หาก
นาเสนอเพอ่ื พสิ จู นค์ วามจรงิ แห่งข้อความน้ัน ใหถ้ อื เปน็ พยานบอกเล่า
ห้ามมิใหศ้ าลรับฟังพยานบอกเลา่ เวน้ แต่
(1) ตามสภาพ ลักษณะ แหล่งที่มา และข้อเท็จจริงแวดล้อมของพยานบอกเล่า
นน้ั น่าเชอ่ื ว่าจะพสิ ูจน์ความจริงได้ หรอื
(2) มีเหตุจาเป็น เน่ืองจากไม่สามารถนาบุคคลซ่ึงเป็นผู้ที่ได้เห็น ได้ยิน หรือ
ทราบข้อความเก่ียวในเร่ืองที่จะให้การเป็นพยานน้ันด้วยตนเองโดยตรงมาเป็นพยานได้ และมีเหตุผล
สมควร เพ่ือประโยชนแ์ หง่ ความยตุ ิธรรมที่จะรบั ฟังพยานบอกเล่านัน้
ในกรณีที่ศาลเหน็ วา่ ไม่ควรรับไวซ้ ึ่งพยานบอกเล่าใด และคคู่ วามฝ่ายท่ีเกี่ยวข้อง
ร้องคัดค้านก่อนท่ีศาลจะดาเนินคดีต่อไป ให้ศาลจดรายงานระบุนาม หรือชนิดและลักษณะของ
พยานบอกเล่า เหตุผลที่ไม่ยอมรับ และข้อคัดค้านของคู่ความฝ่ายท่ีเกี่ยวข้องไว้ ส่วนเหตุผลท่ีคู่ความ
ฝา่ ยคัดคา้ นยกขึน้ อา้ งน้นั ให้ศาลใช้ดุลพนิ ิจจดลงไว้ในรายงานหรอื กาหนดให้คู่ความฝา่ ยนั้นยนื่ คาแถลง
ต่อศาลเพอื่ รวมไวใ้ นสานวน”
มาตรา 226/4 บัญญัติว่า “ในคดีความผิดเกี่ยวกับเพศ ห้ามมิให้จาเลยนาสืบ
ด้วยพยานหลักฐานหรือถามค้านด้วยคาถามอันเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศของผู้เสียหายกับบุคคลอ่ืน
นอกจากจาเลย เว้นแต่จะไดร้ บั อนญุ าตจากศาลตามคาขอ

29

ศาลจะอนุญาตตามคาขอในวรรคหน่ึง เฉพาะในกรณีท่ีศาลเห็นวา่ จะก่อให้เกิด
ความยุตธิ รรมในการพิจารณาพิพากษาคดี”

มาตรา 226/5 บัญญัติว่า “ในช้ันพิจารณาหากมีเหตุจาเป็นหรือเหตุอนั สมควร
ศาลอาจรับฟังบันทึกคาเบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้องหรือบันทึกคาเบิกความของพยานที่เบิกความไว้
ในคดีอืน่ ประกอบพยานหลกั ฐานอื่นในคดีได้”

จะเห็นได้วา่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 ถึง 226/5
ได้วางหลักเกณฑ์ในการรับฟังพยานหลักฐานในคดีอาญาไว้แล้ว ซึ่งมีท้งั พยานหลักฐานที่ได้มาโดยชอบ
และพยานหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบ ศาลก็รับฟังพยานหลักฐานได้ เว้นแต่จะมีกฎหมายใดห้ามมิให้
ศาลรับฟังพยานหลักฐานน้ันเท่านั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า การรับฟังพยานหลักฐานในคดีอาญาจึงเป็นไปได้
โดยกว้างขวาง ท้ังน้ี ก็เพ่ือเปิดโอกาสให้คู่ความได้นาพยานหลักฐานท่ีเก่ียวข้องกับคดีและพยานหลักฐาน
ทไ่ี ม่เกี่ยวขอ้ งกับความผิด แตเ่ ป็นพยานหลักฐานที่สามารถความผิดหรือความบรสิ ุทธ์ิของจาเลยเข้าสืบ
ในศาลได้ และศาลรับฟังพยานหลกั ฐานนนั้ เพือ่ พิสูจน์ความผิดหรือความบรสิ ทุ ธิ์ของจาเลย

ในกรณีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญา ซึ่งในการสืบพยานโจทก์
พนักงานอัยการจะต้องอาศัยพยานหลักฐานของพนักงานสอบสวนที่รวบรวมเป็นสานวนการสอบสวน
มาใช้ซ่ึงกฎหมายได้เปิดโอกาสให้พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานได้ทุกชนิด เพ่ือพิสูจน์
ความผิดหรือความบริสุทธ์ิของจาเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 131 ท่ีบัญญัติ
ว่า “ให้พนักงานสอบสวนรวบรวมหลักฐานทุกชนิดเท่าที่สามารถจะทาได้ เพ่ือประสงค์จะทราบข้อเท็จจริง
และพฤติการณ์ต่าง ๆ อันเก่ียวกับความผิดที่ถูกกล่าวหา เพื่อจะรู้ตัวผู้กระทาผิด และพิสูจน์ให้เห็น
ความผิดหรือความบริสุทธ์ิของผู้ต้องหา” ย่อมแสดงให้เห็นว่า พยานหลักฐานใด ๆ ไม่ว่าจะเกี่ยวหรือ
ไม่เก่ียวกับการกระทาความผิดน้ันหรือไม่ หรือจะเป็นประจักษ์พยานหรือพยานบอกเล่าก็ตาม หากเป็น
พยานหลักฐานท่ีจะสามารถพิสูจน์ให้เห็นถึงความผิดหรือความบรสิ ุทธิ์ของผู้ต้องหาแล้ว พนักงานสอบสวน
มีอานาจรวบรวมพยานหลักฐานเหล่านั้นรวมในสานวนการสอบสวนได้ท้ังสิ้น ศาลจะต้องรับฟังพยาน
หลักฐานน้ัน ก็เท่ากับว่าพยานหลักฐานนั้นรับฟังได้ เว้นแต่จะมีกฎหมายใดบัญญัติว่าห้ามรับฟัง
ศาลจะตอ้ งไม่รับฟังพยานหลักฐานน้ัน

จึงสรุปได้ว่า หลักเกณฑ์การรับฟังพยานหลักฐานในคดีอาญานั้น คู่ความใน
คดีอาญาสามารถนาสบื พยานหลักฐานในศาลไดอ้ ย่างกวา้ งขวาง โดยตอ้ งเป็นพยานหลักฐานทเี่ กดิ ขึ้นและ
ไดม้ าโดยชอบดว้ ยกฎหมาย แต่สาหรบั พยานหลักฐานใดที่เป็นพยานหลักฐานท่ีเกิดข้นึ โดยชอบแตไ่ ด้มา
เน่ืองจากการกระทาโดยมิชอบ หรือเป็นพยานหลักฐานท่ีได้มาโดยอาศัยข้อมูลที่เกิดข้ึนหรือได้มาโดย
มิชอบ ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานนั้น เว้นแต่การรับฟังพยานหลักฐานนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อ
การอานวยความยุติธรรมมากกว่าผลเสียอันเกิดจากผลกระทบต่อมาตรฐานของระบบงานยุติธรรม
ทางอาญาหรอื สิทธเิ สรภี าพพนื้ ฐานของประชาชน

2) พยานหลกั ฐานที่ศาลรับฟังและไมร่ บั ฟงั
พยานหลักฐานท่ีศาลรับฟังและไม่รับฟัง ในทางปฏิบัติได้อาศยั แนวความคิดเห็นของ

ศาลฎีกาหรือของนักกฎหมายท่ีได้ยอมรับเป็นแนวทางในการปฏิบัติ สามารถแยกหลักเกณฑ์ในการรับฟัง

30

พยานหลักฐานในคดีอาญาได้ 3 ประการ34 คือ 2.1) พยานหลักฐานที่ศาลรับฟังได้ 2.2) ประจักษ์พยาน
และพยานบอกเล่าทศ่ี าลรบั ฟัง และ 2.3) พยานหลกั ฐานทศ่ี าลไมร่ บั ฟัง ดังมรี ายละเอียด ดังน้ี

2.1) พยานหลกั ฐานท่ีศาลรับฟงั ได้
2.1.1) พยานหลกั ฐานทดี่ ีท่สี ดุ และพยานหลักฐานช้นั รอง
2.1.2) พยานหลักฐานโดยตรง และพยานหลักฐานแวดลอ้ ม
2.1.3) พยานหลักฐานท่เี ตรียมไว้กอ่ น และพยานหลกั ฐานท่ีได้มาโดยบังเอิญ
2.1.4) คาให้การของบคุ คลทก่ี ันไวเ้ ปน็ พยาน
2.1.5) ขอ้ เทจ็ จรงิ ที่จาเลยรบั บางประการ
2.1.6) คาซดั ทอดของผู้กระทาผิดดว้ ยกัน
2.1.7) พยานทไี่ ดม้ าจากการลอ่ ให้กระทาผดิ
2.1.8) คาพยานในชนั้ ไต่สวนมลู ฟ้อง
2.1.9) คาเบิกความของจาเลยเอง
2.1.10) การรับฟังพยานข้อมลู อเิ ลก็ ทรอนิกส์

2.2) ประจักษ์พยานและพยานบอกเลา่ ที่ศาลรบั ฟงั
2.2.1) ประจักษพ์ ยาน
2.2.2) พยานบอกเล่า
(1) คากล่าวของผ้ถู ูกทารา้ ยกอ่ นตาย
(2) คากล่าวของหญิงผู้เสียหายในคดีข่มขืนกระทาชาเราหรือกระทา

อนาจาร
(3) ถอ้ ยคาของผตู้ ้องหาและพยานในชัน้ สอบสวน
(4) พยานหลักฐานที่เก่ียวข้อง และเกิดขึ้นกระช้ันชิดกับข้อเท็จจริงท่ี

เปน็ ประเด็นแห่งคดี
(5) พยานหลกั ฐานเกี่ยวกบั ความเห็น
(6) คากล่าวของจาเลยท่ีทาใหต้ นเองเสียประโยชน์
(7) ถ้อยคาของพยานเด็กอายุไม่เกิน 18 ปี ในช้ันสอบสวนหรือไต่สวน

มลู ฟอ้ ง
2.3) พยานหลกั ฐานทศ่ี าลไมร่ ับฟัง
2.3.1) พยานหลักฐานที่ได้สืบฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธี

พจิ ารณาความอาญาหรือกฎหมายอนื่ อันวา่ ดว้ ยการสืบพยาน
2.3.2) พยานหลกั ฐานทไี่ ด้มาโดยมชิ อบด้วยกฎหมาย
2.3.3) คาพยานในคดีเรอื่ งก่อน
2.3.4) พยานทไ่ี ดม้ าจากการท้าในสบื ในคดอี าญา
2.3.5) ถ้อยคาของผู้ต้องหาท่ีให้ไว้ต่อพนักงานสอบสวน ก่อนได้ดาเนินการ

ตามท่ีกฎหมายกาหนด
2.3.6) ถ้อยคาท่ีผู้ตอ้ งหาใหก้ ารในชนั้ จบั กุม

34 รชฏ เจรญิ ฉา่ , พยานในคดอี าญา, (กรงุ เทพฯ: พิมพ์อักษร, 2564), 122.

31

2.3.7) พยานท่ีเกี่ยวกับการกระทาผดิ ครั้งอืน่ ๆ หรอื ความประพฤตใิ นทางเสอื่ ม
ท้ังน้ี งานวิจัยน้ีจะขอกล่าวถึงรายละเอียดเฉพาะในบางหัวข้อข้างต้นท่ีเกี่ยวข้องกับ
แนวทางการกันผู้ตอ้ งหาหรือผกู้ ระทาผดิ ปน็ พยาน ดังน้ี
2.1) พยานหลักฐานท่ีศาลรับฟงั ได้

2.1.4) คาใหก้ ารของบคุ ลท่ีกนั ไวเ้ ปน็ พยาน
พยานที่ดีที่สุด คือ พยานที่เห็นเหตุการณ์การกระทาความผิดโดยตรง

อาชญากรรม บางประเภทจะหาพยานประเภทนี้ได้ยาก เพราะผู้กระทาความผิดมักจะกระทาความผิด
ได้อย่างแนบเนียน เป็นผู้ท่ีมีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องดังกล่าว จึงสามารถที่จะปิดบังอาพราง
พยานหลกั ฐานท่ีเชื่อมโยงกับการกระทาความผิดได้ อีกท้ัง อาชญากรรมท่ีเป็นขบวนการมีการตัดตอน
มีการแบ่งงานกันทา โดยต่างฝ่ายต่างไม่รู้จักกัน จะรู้เฉพาะข้อมูลของตนเองเท่านั้น หรืออาชญากรรม
บางประเภทท่ีผู้กระทาความผิดที่เป็นตัวการสาคัญ ไม่ได้ลงมอื กระทาความผดิ ด้วยตัวเอง มีลกู นอ้ งหรือ
ผู้อน่ื ดาเนินการแทน ตัวการสาคัญดังกลา่ วจะเป็นผู้สนับสนนุ ทางการเงนิ หรือเป็นผู้วางแผน เจ้าหนา้ ที่
จึงไม่อาจทราบได้ว่าตัวการสาคัญที่แท้จริงคือใคร หรือในบางคดีท่ีผู้กระทาความผิดเป็นผู้มีอิทธิพล
ในพ้ืนท่ี เป็นข้าราชการช้ันผู้ใหญ่ จึงไม่มีผู้ใดกล้าท่ีจะมาเป็นพยาน เพราะเกรงกลัวในอิทธิพล
และกลัวว่าตนเองและครอบครัวจะไม่ได้รับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน นอกจากนี้ การกระทา
ความผิดท่ีเป็นอาชญากรรมข้ามชาติก็ยากแก่การหาพยานหลักฐาน เพราะเป็นการกระทาความผิด
เกิดขึ้นในหลายประเทศ พยานหลักฐานในการกระทาความผิดน้ันกระจัดกระจายอยู่ในหลายประเทศ
แม้จะมีความร่วมมือระหว่างประเทศในทางอาญา แต่ยังคงมีปัญหาในเรื่องการติดต่อส่ือสารและ
การประสานงาน จะต้องมีการติดต่อส่ือสารท่ีเป็นทางการในนามรัฐต่อรัฐ ซึ่งอาจใช้ระยะเวลายาวนาน
พยานหลักฐาน จึงอาจสูญหาย เสียหาย เสียไป ไม่ครบถ้วน ไม่ทันเวลา ปัญหาดังกล่าวนี้จึงทาให้
อาชญากรรมยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง ไม่สามารถปราบปรามให้สิ้นซากได้ จึงเกิดผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจ
สังคม และการพฒั นาประเทศ

ในข้อเท็จจริงเม่ือเกิดการกระทาความผิด เกิดอาชญากรรม หรือเกิดคดี
อาญาตามทีไ่ ดก้ ล่าวข้างต้นขึ้นแลว้ เจา้ พนักงานจะติดตามจับกมุ ผู้กระทาความผิด ในการติดตามจบั กุม
ผู้กระทาความผิดเจ้าพนักงานจะจับกุมผู้ท่ีเกี่ยวข้องกับการกระทาความผิด ซึ่งถือว่าเป็นผู้ร่วมกระทา
ความผิดน่ันเอง โดยในการจับกุมอาจจับกุมผู้ร่วมกระทาความผิดได้หลายคน ซึ่งแต่ละคนจะกระทา
ความผิดต่างกัน โดยอาจมีผู้กระทาความผิดบางรายมีส่วนร่วมในการกระทาความผิดก็จริง แต่มี
ส่วนร่วมเพียงเล็กน้อยเท่าน้ัน มิได้เป็นผู้ร่วมคิดหรือต้นคิดในการกระทาความผิดนั้น และผู้กระทา
ความผิดประเภทนี้ไม่มีจิตใจเป็นคนร้ายอย่างแท้จริง เพียงแต่เข้าไปมีส่วนร่วมกับการกระทาความผิด
เพียงเพ่ือหาเล้ียงตนเองและครอบครัวหรือตกกระไดพลอยโจนไปกับการกระทาความผิด หรือมีส่วน
เกี่ยวข้องในการกระทาความผิดอยู่ด้วยแต่ห่างไกลจากการกระทาความผิดท่ีแท้จริง และคดีนั้นไม่มี
พยานหลักฐานอ่ืนใดอีกท่ีจะช้ีให้เห็นถึงผู้กระทาความผิดที่แท้จริงได้ หากจะนาบุคคลดังกล่าวเป็น
ผู้ต้องหาหรือฟ้องต่อศาลเป็นจาเลยก็จะไม่เกิดผลดีทางคดี เพราะไม่ใช่ตัวการสาคัญ ไม่ใช่ตัวการ
ท่ีแท้จริง เมื่อได้มีการจับกุมตัวและคนเหล่านี้ยอมรับว่ามีส่วนในการกระทาความผิดจริง และสามารถ
ให้ข้อมูลท่ีเป็นประโยชน์ต่อคดีได้ โดยสามารถใหข้ ้อมูลท่ีเป็นประโยชน์ อาทิ ตัวการสาคัญท่ีแท้จรงิ คือ
ใคร มีการกระทาความผิดอย่างไร มีการโอนเงินหรือมีทรพั ย์สินอย่างไร เหตุการณ์ท่ีแท้จริงเป็นอย่างไร
เป็นต้น โดยข้อมูลหรือถ้อยคาดังกล่าวน้ันสามารถนาไปสู่การหาพยานหลักฐานเพ่ิมเติม ซึ่งมีน้าหนัก

32

เพียงพอที่จะนาไปสู่การจับกุมผู้กระทาความผิดที่แท้จริง พนักงานสอบสวนจึงมีความจาเป็นท่ีจะต้อง
อาศัยบุคคลดังกล่าวน้ี เพื่อติดตามและจับกุมผู้กระทาความผิดที่แท้จริง หรือตัวการสาคัญมาลงโทษ
โดยการกันบคุ คลทเ่ี ปน็ ผู้ร่วมกระทาผดิ ดงั กลา่ วไวเ้ ป็นพยาน

ด้วยเหตุน้ีเอง แนวความคิดในการกันบุคคลไว้เป็นพยานจึงได้เกิดขนึ้ โดยมี
เหตุเพราะคดีไม่มีพยานหลักฐานอื่น อีกทั้งเจ้าหน้าท่ีอาศัยประโยชน์จากถ้อยคาของเขาในการติดตาม
และแสวงหาพยานหลักฐานเพ่ือยืนยันถ้อยคาและนาไปสู่การจับกุมผู้กระทาความผิดท่ีแท้จริง โดย
บคุ คลดังกล่าวทไี่ ด้รับการกันไว้เป็นพยานนี้ เม่ือมาเบิกความในศาลแล้ว ไม่มกี ฎหมายใดห้ามศาลไม่ให้
รับฟังพยานชนิดนี้ ดังนั้น ในทางปฏิบัติศาลจะรับฟังพยานชนิดน้ี แต่การท่ีจะมีน้าหนักลงโทษจาเลย
ได้เพียงใดนั้น ศาลต้องช่ังน้าหนักพยานหลักฐานอีกครัง้ หนึ่ง หากมีน้าหนักเพียงพอ ศาลก็จะพิพากษา
ลงโทษ35 และทางศาลก็ยังเคยกาชับว่า พนักงานอัยการควรจะเลือกฟ้องแต่จาเลยผู้ท่ีมีหลักฐานว่า
ได้กระทาความผิด ถ้าไปฟ้องผู้ท่ีมีมลทินแต่เพียงเล็กน้อยซ่ึงควรจะปลีกไว้เป็นพยานให้เป็นจาเลย
ดว้ ยแลว้ จะเหน็ ไดว้ ่าคดีมแี ต่ใบฟอ้ งหาพยานหลกั ฐานมิได้36

จากข้อมูลดังกล่าวสามารถสรุปหลักการกันบุคคลซึ่งเป็นผู้ร่วมกระทา
ความผดิ ไวเ้ ปน็ พยานได้ ดังน้ี

(1) ในการพิจารณาหากในคดีมีพยานหลักฐานอ่ืนแล้ว ไม่มีเหตผุ ลที่จะต้อง
กันผู้ที่เก่ียวข้องในการกระทาความผิดไว้เป็นพยาน และจะต้องดาเนินคดีกับผู้ท่ีมีส่วนในการกระทา
ความผิดทุกคน

(2) พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการจะต้องเห็นว่าผู้มีส่วนเก่ียวข้อง
ในการกระทาความผิดนั้นอยู่ห่างไกลจากการกระทาความผดิ ทแ่ี ท้จริง

(3) บุคคลที่ถูกกันไว้เป็นพยานน้ี พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการ
จะต้องระมัดระวังอย่างย่ิงว่าจะต้องเป็นลักษณะของพยานท่ีมีน้าหนักและเหตุผลให้ศาลเช่ือถือได้
เพราะพยานประเภทน้ีศาลจะรับฟังด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากอาจเป็นพยานท่ีต้องการให้ตนเอง
พน้ ผดิ เทา่ นนั้ หากมีขอ้ ระแวงศาลจะเกิดความสงสยั ทาให้รปู คดสี ยี หายได้อยา่ งมาก

(4) พนักงานสอบสวนจะต้องไม่แนะนาจูงใจ หรือมีคาม่ันสัญญา ขู่เข็ญ
หลอกลวง หรือโดยมิชอบด้วยประการอ่ืนตามท่ีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 226 หากพนักงานสอบสวนให้คาม่ันสัญญาต่อผู้ที่จะถูกกันไว้เป็นพยานว่าจะไม่ถูกดาเนินคดี
หากให้การปรักปราผู้ต้องหาอ่ืน หากผู้น้ันได้ให้การเป็นพยานในชั้นศาล ย่อมเป็นพยานที่ได้มาโดย
มิชอบ ศาลจะไม่รบั ฟงั ถ้อยคาพยานปากน้ี

2.1.6) คาซัดทอดของผกู้ ระทาผิดด้วยกัน
ในเร่ืองคาซัดทอดของผู้กระทาผิดด้วยกันน้ี แต่เดิมมีความเห็นกันว่า

คาซัดทอดของจาเลยในคดีอาญาด้วยกัน ศาลไม่รับฟังเป็นพยานหลักฐานเพ่ือลงโทษจาเลยอ่ืนในคดี
เดียวกัน โดยถือว่ามีน้าหนักน้อย จะฟังเป็นพยานได้ก็เฉพาะใช้ยันตัวจาเลยผู้ให้การโดยเฉพาะเท่าน้ัน
ทั้งน้ี เพราะจาเลยแต่ละคนต่างคนต่างให้การด้วยความต้องการให้ตนเองพ้นความผิด จึงอาจให้การ
ในชั้นศาลซัดทอดความผิดให้แกจ่ าเลยรายอ่ืนก็ได้ เพ่อื แสดงให้เห็นวา่ ตนเองมไิ ด้กระทาความผดิ

35 รชฏ เจรญิ ฉา่ , พยานในคดอี าญา, (กรุงเทพฯ: พิมพ์อกั ษร, 2564), 146.
36 รชฏ เจริญฉา่ , พยานในคดอี าญา, (กรุงเทพฯ: พมิ พ์อักษร, 2564), 147.

33

แต่ในปัจจุบันกลับมีความเห็นกันว่า ไม่มีกฎหมายใดห้ามมิให้ศาลรับฟัง
คาซัดทอดของผกู้ ระทาความผิดด้วยกนั หากศาลเห็นว่าพยานเช่นวา่ น้ันใหก้ ารซัดทอดชอบด้วยเหตผุ ล
พอให้รับฟังว่าเป็นความจริงที่เกิดข้ึน ศาลก็มีอานาจรับฟังคาซัดทอดนั้นประกอบการพิจารณาได้ ดังที่
เคยมีคาพิพากษาฎีกาที่ 1794/2532, ท่ี 3154/2533, ท่ี 3284/2543 ดังน้ัน คาซัดทอดของจาเลย
ด้วยกนั ในชั้นศาล ย่อมเท่ากับเป็นพยานท่ีเห็นเหตุการณ์ท่ีเบิกความต่อศาล ย่อมเป็นพยานที่ศาลรับฟัง
ได้เหมือนกัน37 พนักงานสอบสวนจึงสามารถจดบันทึกคาซัดทอดของผู้ต้องหาด้วยกันไว้ให้ชัดเจนและ
มีเหตุผลได้ เพราะหากใหก้ ารดว้ ยความสมัครใจและเป็นไปตามความจรงิ ย่อมนาสืบประกอบพยานอื่น
ให้มีน้าหนักลงโทษจาเลยอื่นได้เหมือนกัน ซึ่งก็นับว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องกับสภาพปัจจุบันของบ้านเมือง
มาก เพราะบ้านเมอื งมแี ตอ่ ทิ ธิพลของคนร้ายจนไมม่ ีพยานจะมาให้การในศาลแล้ว38

3) การช่งั นา้ หนักพยานหลกั ฐานในคดอี าญา
การช่ังน้าหนกั พยานหลกั ฐานในคดีอาญานั้นเป็นขั้นตอนทตี่ ่อเนื่องมาจากการรับฟัง

พยานหลักฐานในคดีอาญา โดยเปน็ เร่ืองของการพสิ ูจน์ความผิดหรอื ความบรสิ ุทธข์ิ องจาเลย แม้ว่าจะมี
การรวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ ที่สามารถรับฟังในช้ันศาลได้แล้ว พยานหลักฐานดังกล่าวยังไม่สามารถ
บอกได้ว่า จาเลยหรือผู้ต้องหากระทาความผิดจริงหรือไม่ เป็นผู้บริสุทธิ์หรือไม่ จาเป็นที่จะต้องมี
ขั้นตอนการช่ังน้าหนักพยานหลักฐานซึ่งศาลจะเป็นผู้มีอานาจหน้าที่ดังกล่าว เพื่อท่ีจะช้ีให้เห็นว่า
พยานหลักฐานต่าง ๆ ท่ีสามารถรับฟังได้แล้วนั้น เมื่อรวมกันแล้วจะมีน้าหนักเพียงพอที่จะเชื่อได้ว่า
จาเลยหรือผู้ต้องหาผู้น้ันกระทาความผิดจริงหรือไม่ ดังน้ัน พยานหลักฐานในคดีอาญา จึงไม่ใช่เรื่อง
ของการมีปริมาณพยานหลักฐานจานวนมากแต่เพียงอย่างเดียว แต่จะต้องเป็นพยานหลักฐานท่ีมี
น้าหนัก มีความน่าเชื่อถือจนถึงขั้นที่เช่ือได้ว่าจาเลยหรือผู้ต้องหาน้ันเป็นผู้กระทาความผิดโด ย
ปราศจากข้อสงสยั ตามสมควร ศาลจงึ จะลงโทษ

หลักเกณฑ์การชั่งน้าหนักพยานหลักฐานของประเทศไทยได้บัญญัติไว้ในประมวล
กฎหมายวธิ ีพจิ ารณความอาญา มาตรา 227 และ มาตรา 227/1 ดังนี้

มาตรา 227 บัญญัติว่า “ให้ศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้าหนักพยานหลักฐานท้ังปวง
อยา่ พพิ ากษาลงโทษจนกว่าจะแน่ใจวา่ มีการกระทาผิดจริงและจาเลยเปน็ ผู้กระทาความผิดน้ัน

เมื่อมีความสงสัยตามสมควรว่าจาเลยได้กระทาผิดหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่ง
ความสงสัยน้ันให้จาเลย”

มาตรา 227/1 บัญญัติว่า “ในการวินิจฉัยชั่งน้าหนักพยานบอกเล่า พยานซัดทอด
พยานท่ีจาเลยไม่มีโอกาสถามค้าน หรือพยานหลักฐานท่ีมีข้อบกพร่องประการอ่ืนอันอาจกระทบถึงความ
น่าเช่ือถือของพยานหลักฐานนั้น ศาลจะต้องกระทาด้วยความระมัดระวัง และไม่ควรเช่ือพยานหลักฐานน้ัน
โดยลาพังเพ่ือลงโทษจาเลย เว้นแต่จะมีเหตุผลอันหนักแน่น มีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดี หรือมีพยาน
หลักฐานประกอบอนื่ มาสนับสนุน

พยานหลักฐานประกอบตามวรรคหน่ึง หมายถึง พยานหลักฐานอ่ืนท่ีรับฟังได้ และมี
แหล่งท่ีมาเป็นอิสระต่างหากจากพยานหลักฐานที่ต้องการพยานหลักฐานประกอบน้ัน ทั้งจะต้องมี
คุณค่าเชงิ พสิ ูจน์ท่ีสามารถสนบั สนนุ ใหพ้ ยานหลกั ฐานอ่ืนทไ่ี ปประกอบมีความน่าเชื่อถือมากข้ึนดว้ ย”

37 รชฏ เจรญิ ฉา่ , พยานในคดอี าญา, (กรงุ เทพฯ: พมิ พอ์ กั ษร, 2564), 153.
38 รชฏ เจรญิ ฉา่ , พยานในคดอี าญา, (กรงุ เทพฯ: พิมพอ์ ักษร, 2564), 154.

34

ผู้ที่สามารถใช้ดุลพินิจในการชั่งน้าหนักพยานหลักฐานในคดีอาญา ประกอบด้วย
พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ และศาล สาหรับพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการนั้น กฎหมาย
กาหนดให้มีความเห็นควรสง่ั ฟ้องหรือสง่ั ไมฟ่ ้องได้ แต่ไม่มกี ฎหมายระบุการใช้ดุลพินิจในการชัง่ น้าหนัก
พยานหลักฐานท่ีจะสั่งฟ้องหรือส่ังไม่ฟ้องได้ จึงเป็นเพียงดุลพินิจตามที่เห็นสมควรตามเหตุผลเท่านั้น39
สาหรับศาลนั้น กฎหมายได้กาหนดการช่ังน้าหนักพยานหลักฐานไว้ชัดเจนดังปรากฏตามประมวล
วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 และมาตรา 227/1 ซ่ึงได้กล่าวไปแล้วในข้างต้น จะเห็นได้ว่า
การชั่งน้าหนักพยานหลักฐานของศาลจึงต้องมีความหนักแน่นถึงขั้นท่ีจะเช่ือได้ว่าพยานหลักฐาน
ของโจทก์มีน้าหนักเพียงพอที่จะทาให้เชื่อได้ โดยปราศจากความสงสัย หากพยานหลักฐานของโจทก์
มีน้าหนักไม่เพียงพอหรือยังมีความสงสัย ศาลจะไม่ลงโทษจาเลย และยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้น
ให้จาเลย และในการชั่งน้าหนักพยานหลักฐานในคดีอาญา ศาลจะชั่งน้าหนักพยานหลักฐานของ
โจทกม์ ากกวา่ ท่ีจะชง่ั น้าหนกั พยานหลักฐานของจาเลย40

ในส่วนของพยานหลักฐานดิจิทัลหรือพยานหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งได้กล่าวไป
ในหัวข้อการรับฟังพยานหลักฐาน ยังมีประเด็นปัญหาในเร่ืองการชั่งน้าหนักพยานหลักฐานเช่นกัน
ซึ่งในการช่ังน้าหนักพยานหลักฐานว่าพยานหลักฐานดิจิทัลหรือพยานหลักฐานอิเลก็ ทรอนิกส์จะเช่ือถือ
ไดม้ ากน้อยเพียงใดน้ัน ให้พจิ ารณาถึงความน่าเช่อื ถือของลักษณะหรือวธิ กี ารทีใ่ ช้สร้าง วิธกี ารเก็บรักษา
การส่ือสารข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ความครบถ้วน และการไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อความใด ๆ ลักษณะ
หรือวิธีการท่ีใช้ในการระบุหรือแสดงตัวผู้ส่งข้อมูล และพฤติการณ์ท่ีเก่ียวข้องทั้งปวง ซึ่งปรากฏ ใน
พระราชบญั ญัติธุรกรรมทางอเิ ล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 และท่ีแกไ้ ขเพ่ิมเตมิ มาตรา 1141 บัญญัติวา่

“ห้ามมิให้ปฏิเสธการรับฟังข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เป็นพยานหลักฐานในกระบวนการ
พจิ ารณาตามกฎหมายทงั้ ในคดีแพ่ง คดีอาญา หรอื คดอี น่ื ใด เพยี งเพราะเหตุวา่ เปน็ ข้อมูลอิเล็กทรอนกิ ส์

ในการชั่งน้าหนักพยานหลักฐานว่าข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์จะเช่ือถือได้หรือไม่เพียงใด
นั้น ให้พิเคราะห์ถึงความน่าเชื่อถือของลักษณะหรือวิธีการท่ีใช้สร้าง เก็บรักษา หรือสื่อสารข้อมูล
อิเล็กทรอนิกส์ ลักษณะหรือวิธีการเก็บรักษา ความครบถ้วน และไม่มีการเปลี่ยนแปลงของข้อความ
ลักษณะ หรอื วิธกี ารทใ่ี ชใ้ นการระบุหรอื แสดงตวั ผู้ส่งข้อมูล รวมท้ังพฤติการณ์ที่เกยี่ วข้องทง้ั ปวง

ให้นาความในวรรคหนง่ึ มาใชบ้ ังคับกบั ส่ิงพิมพ์ออกของขอ้ มูลอิเล็กทรอนิกสด์ ้วย”

2.5 กำรสืบสวนและกำรสอบสวนคดีอำญำ
หัวใจสาคัญของการอานวยความยุติธรรมทางอาญาคือ “การทาความจริงให้ปรากฏ” ดังน้ัน

ปรัชญาพ้ืนฐานในคดีอาญาท้ังระบบไต่สวนและระบบกล่าวหา คือ หลักการ “ค้นหาความจริง” โดย
ระบบไต่สวน รัฐมีภาระหน้าที่ในการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อค้นหาความจริงแบบไม่มีการต่อสู้คดี
ระหว่างโจทกแ์ ละจาเลย ส่วนระบบกล่าวหาเป็นการค้นหาความจริงโดยผ่านการต่อสู้คดีระหว่างโจทก์
และจาเลยทีต่ า่ งฝ่ายต่างมีภาระการนาพยานหลกั ฐานเขา้ สบื ตามข้ออา้ งข้อเถียงของตน

39 รชฏ เจรญิ ฉา่ , พยานในคดีอาญา, (กรงุ เทพฯ: พิมพอ์ กั ษร, 2564), 117.
40 รชฏ เจริญฉา่ , พยานในคดีอาญา, (กรุงเทพฯ: พิมพอ์ ักษร, 2564), 117.
41 พระราชบญั ญตั วิ า่ ดว้ ยธรุ กรรมทางอิเลก็ ทรอนิกส์ (ฉบบั ท่ี 2) แก้ไขเพิ่มเตมิ , 2551, มาตรา 11.

35

การสบื สวนสอบสวนเป็นกระบวนการค้นหาความจรงิ ของรัฐเพ่ือปอ้ งกันมิให้เกิดอาชญากรรม
และปราบปรามเมื่อเกิดอาชญากรรมหรือการกระทาความผิดข้ึนแล้ว การสอบสวนเป็นการแสวงหา
ข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานเมื่อเกิดการกระทาความผิดเพ่ือพิสูจน์ความจริงแห่งคดี โดยพนักงาน
สอบสวนทาหน้าทเี่ ป็นผู้ช่วยและอานวยความสะดวกแกพ่ นักงานอัยการในการแสวงหาพยานหลักฐาน
เพื่อให้พนักงานอัยการในฐานะผู้ดาเนินคดีแทนรฐั ได้รับพยานหลักฐานท่ีถกู ต้องครบถว้ นในการอานวย
ความยุติธรรมตั้งแต่ชั้นการพิจารณาส่ังคดีและนาพยานหลักฐานนั้นไปสู่การพิจารณาคดีพิสูจน์การ
กระทาความผิดของจาเลยให้ปราศจากข้อสงสัยในช้ันศาล เพื่อได้มาซึ่งคาพิพากษาลงโทษ ดังนั้น
กระบวนการที่สาคัญของการอานวยความยุติธรรมในชั้นสอบสวน คือ ทาอย่างไรที่จะได้รับพยานหลักฐาน
ที่สมบูรณ์ ถูกต้อง แท้จริง เพ่อื นา “ความจรงิ ” ไปส่กู ารพจิ ารณาคดใี นช้ันศาล

กระบวนการยุติธรรมชั้นก่อนการพิจารณาในชั้นศาลมีความสาคัญอย่างย่ิง เพราะเป็น
กระบวนการที่เจ้าพนักงานต้องค้นหาพยานหลักฐานเพื่อทราบความจริง ซ่ึงการสืบสวนสอบสวนที่มี
ประสิทธิภาพจะเป็นกลไกสาคัญในการรวบรวมพยานหลักฐานให้ครบถ้วนรอบด้านเพ่ือให้ความจริง
ปรากฏต่อพนักงานอัยการและถูกนาไปใช้ในช้ันการพิจารณาของศาลอย่างครบถ้วน การสืบสวนและการ
สอบสวนเป็นจดุ เร่ิมต้นในการแสวงหาพยานหลกั ฐานในการดาเนนิ คดีอาญา การสืบสวนและการสอบสวน
มีผลกระทบโดยตรงต่อการสร้างหรือการทาลายกระบวนการยุติธรรม หากการสืบสวนและการสอบสวน
กระทาโดยไมม่ ีประสิทธิภาพหรอื ไม่ถูกตอ้ งตามหลักกฎหมายแล้ว การดาเนินการของพนกั งานอัยการและ
การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลจะดาเนินให้เกิดความยุติธรรมได้ยาก เพราะการพิจารณาของพนักงาน
อัยการและศาลต้องอาศัยพยาน หลักฐานจากการสืบสวนและการสอบสวน หากการรวบรวมพยาน
หลักฐานไม่ดี ไม่รัดกุม ศาลอาจจะยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จาเลย และพิจารณาพิพากษา
ยกฟ้องของโจทก์ ปลอ่ ยตัวจาเลยพน้ ข้อหาไป ทัง้ ที่ข้อเทจ็ จรงิ ผู้ถูกกล่าวหาดังกล่าวเป็นผกู้ ระทาความผดิ

2.5.1 กำรสบื สวน
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (10) บัญญัติว่า “การสืบสวน

หมายความถึง การแสวงหาข้อเท็จจริงและหลักฐานซึ่งพนักงานฝ่ายปกครองหรือตารวจไปปฏิบัติไปตาม
อานาจหน้าที่ เพอ่ื รักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชนและเพื่อท่จี ะทราบรายละเอยี ดแห่งความผิด”

การสืบสวนเป็นเรื่องของการรักษาความสงบเรียบร้อย สามารถกระทาได้ทั้งก่อนและ
หลังการกระทาความผิดเกิด อย่างไรก็ตาม การสืบสวนมักจะกระทาก่อนความผิดเกิด เพ่ือป้องกัน
อาชญากรรม โดยการสืบหาข้อเท็จจริงและติดตามความเคลื่อนไหวของบรรดาบุคคลที่มีแนวโนม้ ว่าจะ
กระทาความผิดหรือเก่ียวข้องกับการกระทาความผิด การสืบสวนมักจะดาเนินไปพร้อมกับการจับกุม
เพราะผู้มีอานาจสบื สวนและจบั กมุ เปน็ บุคคลคนเดียวกนั คือ พนกั งานฝ่ายปกครองหรือตารวจ

1) ผมู้ อี านาจในการสบื สวน
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 17 บัญญัติว่า “พนักงานฝ่าย

ปกครองหรือตารวจมีอานาจทาการสืบสวนคดีอาญาได้” ดังนั้น ผู้ที่มีอานาจสืบสวนคดีอาญา คือ
พนักงานฝา่ ยปกครองหรือตารวจ

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (16) บัญญัติว่า “พนักงานฝ่าย
ปกครองหรือตารวจ หมายความถึง เจ้าพนักงานซึ่งกฎหมายให้มีอานาจและหน้าที่รักษาความสงบ
เรียบร้อยของประชาชน ให้รวมทั้งพัศดี เจ้าพนักงานกรมสรรพสามิต กรมศุลกากร กรมเจ้าท่า

36

พนักงานตรวจคนเข้าเมือง และเจ้าพนักงานอื่น ๆ ในเมื่อทาการอันเก่ียวกับการจับกุมปราบปราม
ผู้กระทาผดิ กฎหมายซึง่ ตนมหี น้าทีต่ อ้ งจบั กุมหรือปราบปราม”

นอกจากพนักงานฝ่ายปกครองหรือตารวจ ยังมีเจ้าพนักงานอื่นท่ีมีอานาจสืบสวน
ซ่ึงอยู่ในส่วนของ “เจ้าพนักงานอื่น ๆ” ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (16)
ทีบ่ ัญญัตวิ ่า “...เจา้ พนักงานอ่ืน ๆ ในเมื่อทาการอันเก่ยี วกับการจับกุมปราบปรามผ้กู ระทาผิดกฎหมาย
ซึ่งตนมีหน้าท่ีตอ้ งจบั กุมหรือปราบปราม” ซึ่งมกี ฎหมายกาหนดอานาจหนา้ ทไ่ี วใ้ นกฎหมายเฉพาะเรือ่ ง
อาทิ พนกั งานสอบสวนคดพี ิเศษ กรมสอบสวนคดพี ิเศษ เจ้าพนกั งาน ป.ป.ส. สานกั งาน ป.ป.ส. เป็นตน้

2) เขตอานาจในการสบื สวน
เขตอานาจการสืบสวนคดีอาญาน้ัน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามิได้

มีบทบัญญัติเร่ืองเขตอานาจการสืบสวนไว้โดยเฉพาะ แต่ปรากฏคาพิพากษาฎีกาท่ี 140/2490 ว่า
ตารวจมีอานาจสืบสวนคดีอาญาได้ทั่วราชอาณาจักร ส่วนพนักงานปกครอง มีอานาจสืบสวนได้อย่าง
จากัดเฉพาะในเขตทอ้ งทที่ ตี่ นประจาอยเู่ ท่านนั้

นอกจากพนักงานฝ่ายปกครองหรือตารวจ ยังมีเจ้าพนักงานอ่ืนท่ีมีอานาจสืบสวน
ซึ่งอยู่ในส่วนของ “เจ้าพนักงานอื่น ๆ” ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (16) ซ่ึง
เจ้าพนักงานเหล่าน้ีจะมีขอบเขตอานาจปรากฏอยู่ในกฎหมายในเร่ืองนั้น ๆ เป็นการเฉพาะ อาทิ พนักงาน
สอบสวนคดีพิเศษ ตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 มาตรา 23 บัญญัติว่า
“ในการปฏบิ ัติงานหน้าที่เกยี่ วกับคดพี เิ ศษ ใหพ้ นักงานสอบสวนคดีพิเศษมอี านาจสืบสวนและสอบสวน
คดีพิเศษ และเป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตารวจชั้นผู้ใหญ่ หรือพนักงานสอบสวนตามประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แล้วแต่กรณี...” จึงถือได้ว่า พนักงานสอบสวนคดีพิเศษมีเขตอานาจ
ในการสืบสวนสอบสวนคดีพเิ ศษทั่วราชอาณาจกั ร เปน็ ตน้

3) หลกั การสืบสวน
การสืบสวนเป็นงานของพนักงานฝ่ายปกครองหรือตารวจ โดยหลักจะแบ่งการสืบสวน

ออกเป็น 2 ประเภท คอื การสบื สวนก่อนเกิดเหตุและการสบื สวนหลังเกิดเหตุ42 ดงั นี้
3.1) การสบื สวนก่อนเกิดเหตุ คอื การท่ีพนักงานฝ่ายปกครองหรือตารวจทม่ี ีอานาจ

หน้าท่ีได้แสวงหาข้อมูลเกี่ยวกับบุคคล สถานที่ วิธีการ ช่องทาง ฯลฯ ท่ีอาจนาไปสู่การกระทาผิดทาง
อาญา เพ่ือนาข้อมูลเหล่านั้นมาวางแผนป้องกันมิให้เกิดการกระทาความผิดเกิดข้ึน การสืบสวนก่อน
เกดิ เหตนุ ้ี มีความสาคัญอย่างมากตอ่ การป้องกันการเกิดอาชญากรรม

พระบาทสมเด็จพระจุลเจ้าเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 5 ทรงมีพระราชดารัส
เกี่ยวกับการบริหารงานของตารวจไว้ว่า “การจบั ผู้ร้ายนั้นไม่ถือเป็นความชอบ เป็นแต่นับว่าผู้น้ันได้กระทา
การครบถ้วนแก่หน้าท่ีเท่านั้น แต่จะถือเป็นความชอบต่อเม่ือได้ปกครองป้องกันเหตุร้ายให้ชีวิตและ
ทรัพย์สินของขา้ แผ่นดินในท้องท่ีน้ันอยู่เย็นเป็นสุขพอควร ดังน้ัน ข้าราชการตารวจตอ้ งพึงระลึกไว้ว่าการ
ป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ในเขตพ้ืนที่รับผิดชอบไม่ให้เกิดเหตุร้ายแก่ประชาชนในเขตพื้นท่ีของ
ตนเองน่ันแหล่ะคือความสาเร็จในการทาหน้าท่ีข้าราชการตารวจอย่างแท้จริง”43 จากพระราชดารัส
ดังกล่าวจะสรุปได้ว่า ท่านได้ให้ความสาคัญแก่การสืบสวนก่อนเกิดเหตุเป็นอย่างมากจะเป็นการดูแล

42 วุฒิ วทิ ิตานนท,์ การสืบสวนคดอี าญา, ( กรุงเทพฯ: เดอื นตุลา, 2553), สืบคน้ เมือ่ 10 ธันวาคม 2564, www.wutthi.com
43 พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเดจ็ พระจลุ เจ้าเกล้าเจา้ อยหู่ ัว รชั กาลท่ี 5 พระราชทานแกข่ า้ ราชการตารวจ, สบื ค้นเมอื่ 10
ธันวาคม 2564. https://th.wikiquote.org/wiki/

37

โดยไม่ให้เกิดเหตุร้ายแก่ประชาชน อย่างไรก็ตาม หากมีการสืบสวนก่อนเกิดเหตุไว้ได้ดี เม่ือเกิดการ
กระทาความผิดขึ้นการดาเนินการจับกุมผู้กระทาความผิดย่อมจะง่ายข้ึนกว่าการที่ไม่มีข้อมูลอะไรท่ีได้
จาการสืบสวนอยู่ก่อนเลย ดังน้ัน การสืบสวนก่อนเกิดเหตุ จึงเป็นภารกิจที่สาคัญประการหนึ่งของ
พนกั งานฝ่ายปกครองหรือตารวจหรอื เจา้ พนักงานอ่ืน

3.2) การสืบสวนหลังเกิดเหตุ คือ การสืบสวนหลังจากเกิดเหตุการณ์การกระทา
ความผิดขึ้น โดยการสืบสวนจะต้องให้ได้ข้อเท็จจริงว่า มีการกระทาความผิดกฎหมายจริงหรือไม่ เป็นคดี
ความผิดประเภทใด มีใครเกี่ยวข้องบ้าง ใครเป็นผู้กระทาความผิดหรือร่วมกระทาความผิดในการสืบสวน
หลงั เกดิ เหตตุ อ้ งคน้ หาสาเหตุทีแ่ ท้จริงของการเกดิ อาชญากรรมเพื่อหาแนวทางแก้ไขควบคู่กนั ไปดว้ ย

4) วิธีการในการสบื สวน
ประมวลวิธีพิจารณาความอาญาไม่ได้บัญญัติถึงวิธีการสืบสวน แต่มีการกล่าวถึง

คาว่า การแสวงหาข้อเท็จจริงและหลักฐาน ดังน้ัน การแสวงหา คือ การกระทาเพื่อจะได้พบในส่ิงที่
ต้องการหรือพบเพ่ือให้ได้ทราบในสง่ิ ท่ีต้องการทราบ44 ซง่ึ การแสวงหาสามารถกระทาได้ท้ังทางลับและ
โดยทางเปิดเผย สามารถแบ่งการแสวงหาออกเป็น 2 ประเภท คือ การแสวงหาโดยไม่ละเมิดต่อสิทธิ
เสรภี าพของผอู้ น่ื และการแสวงหาท่ีเปน็ การกระทาอนั ละเมดิ ตอ่ สิทธิและเสรีภาพของผู้อน่ื ดังนี้

4.1) การแสวงหาโดยไม่ละเมดิ ต่อสทิ ธเิ สรภี าพของผ้อู น่ื
การแสวงหาในส่วนท่ีมิได้ละเมิดต่อสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น เป็นการกระทา

ที่สามารถดาเนินการได้โดยไม่ละเมิดหรือกระทบสิทธขิ องผู้อน่ื เพ่อื ให้ไดม้ าซึ่งขอ้ มลู หรือพยานหลักฐาน
ที่ต้องการ อาทิ การสังเกตพฤติการณ์ การสอบถามบุคคลข้างเคียง การรับรู้ข้อมูลผ่านสื่อมวลชน
เวน้ แตเ่ ปน็ การกระทาท่กี ฎหมายบัญญัตหิ า้ มมิใหก้ ระทา

4.2) การแสวงหาทเ่ี ป็นการกระทาอันละเมดิ ต่อสิทธิเสรภี าพของผู้อน่ื
การแสวงหาที่เป็นการกระทาอันละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพของผู้อนื่ เป็นการกระทา

ที่มีลักษณะการใช้อานาจของเจ้าหน้าพนักงานแทนรัฐ เพ่ือให้ได้มาซึ่งข้อมูลหรือพยานหลักฐานท่ี
ต้องการแต่การกระทาดังกล่าวเป็นการละเมิดหรือกระทบสิทธิของประชาชน อาทิ การค้นบุคคล การค้น
ยานพาหนะ การเข้าตรวจค้นเคหสถาน การดักรับข้อมูลข่าวสาร โดยหลักการกระทาเหล่านี้ถอื เปน็ การ
กระทาท่ีผิดกฎหมาย ผู้สืบสวนไม่สามารถจะกระทาได้ แต่หากกฎหมายบัญญัติให้กระทา หรือให้
กระทาตามเงือ่ นไขเฉพาะที่กฎหมายกาหนดไวก้ ็สามารถกระทาได้

สรุป กฎหมายให้ความคุ้มครองผู้ถูกละเมิดสิทธิและเสรีภาพจากเจ้าพนักงาน
หากการกระทาของเจ้าพนักงานเป็นไปตามเงื่อนไขที่กฎหมายกาหนด ข้อมูลหรือพยานหลักฐานการ
กระทานั้นสามารถรับฟังเป็นพยานในชั้นการพิจารณาของศาลได้ หากแต่เจ้าพนักงานไม่ได้ดาเนินการ
ตามเงื่อนไขที่กฎหมายกาหนด จะเป็นเหตุในการที่ศาลจะไม่รับฟังพยานหลักฐานน้ันตามหลักผลไม้
ของต้นไม้มีพิษ (Fruit of the poisonous tree) ท่ีว่า พยานหลักฐานใดที่ได้มาโดยวิธีการที่ไม่ชอบ
ย่อมถือว่าพยานหลักฐานน้ันไม่ชอบ และหากพยานหลักฐานนั้นก่อให้เกิดพยานหลักฐานอื่นตามมา
พยานหลักฐานชิ้นหลังนั้นก็ย่อมไม่ชอบไปด้วย อุปมาดังต้นไม้พิษท่ีออกดอกออกลูกมาก็เป็นดอกไม้

44 ประโมทย์ จารนุ ลิ , การสบื สวนและสอบสวน, พมิ พ์คร้ังที่ 7, (กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง, 2553), สบื ค้นเมื่อ 10 ธันวาคม
2564, http://old-book.ru.ac.th/e-book/l/LW443(49)/LW443(49)-1.pdf/

38

ลูกไม้พิษ จนเป็นเมล็ดก็เป็นเมล็ดพิษไปงอกเป็นต้นไม้พิษต่อไป ซึ่งเป็นหลักการสาคัญของประมวล
กฎหมายวิธพี ิจารณาความอาญา มาตรา 226 และ มาตรา 226/1

2.5.2 กำรสอบสวน
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (11) บัญญัติว่า “การสอบสวน

หมายความถึง การรวบรวมพยานหลักฐานและการดาเนินการท้ังหลายตามบทบัญญัติแห่งประมวล
กฎหมายน้ี ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ทาไปเก่ียวกับความผิดท่ีกล่าวหา เพ่ือที่จะทราบข้อเท็จจริง
หรอื พสิ ูจนค์ วามผิด และเพอื่ จะเอาตวั ผู้กระทาผดิ มาฟ้องลงโทษ”

เม่ือพิจารณาจากบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (11)
ความหมายของการสอบสวนคดีอาญา45 มีดังน้ี 1) เป็นการรวบรวมพยานหลักฐาน 2) การดาเนินการ
อื่นตามบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 3) โดยพนักงานสอบสวนเกี่ยวกับ
ความผิดท่ีกล่าวหา 4) เพื่อทราบข้อเท็จจริงหรือพิสูจน์ความผิดและเพื่อจะเอาตัวผู้กระทาความผิด
มาลงโทษ

อานาจการสอบสวนมีความสาคัญต่อกระบวนการยุตธิ รรมทางอาญา เพราะเป็นตน้ ธาร
ของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาในระบบ “การดาเนินคดีโดยรัฐ” ซึ่งจะต้องเร่ิมต้นจากการ
สอบสวน อีกทั้งยังมีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชนมากมาย เช่น การขอให้ศาลออก
หมายเรียก หมายค้น หมายจับ เพ่ือให้การรวบรวมพยานหลักฐานบรรลุผล ให้ทราบรายละเอียดแห่ง
การกระทาความผดิ เพ่ือพิสูจน์ความผดิ หรือความบรสิ ุทธ์ิของผู้ต้องหา กฎหมายจึงให้พนกั งานสอบสวน
มอี านาจอย่างกวา้ งขวางเพื่อประโยชน์ของคดนี ้นั ๆ เท่านั้น

ระบบการสอบสวนฟ้องร้องดาเนินคดีเป็นกฎหมายว่าด้วยวิธีสบัญญัติ46 เป็นเรื่องวิธี
ปฏิบัติในการบังคับใช้กฎหมายท่ีส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพ ความเป็นอยู่ในวิถีชีวิตประจาวันของ
ประชาชน กฎหมายวิธีสบัญญัติจึงต้องการการปฏิบัติที่มีมาตรฐานในระดับท่ีสอดคล้องกับหลักการ
สากลที่ได้รับการยอมรับจากนานาอารยประเทศ ซึ่งในอดีตความด้อยมาตรฐานทางกฎหมายของ
ประเทศไทยเคยนามาซึ่งปัญหาการเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต โดยที่รัฐไทยต้องให้สิทธิพิเศษทาง
กฎหมาย (extraterritorial right) ให้แก่ รัฐต่างประเทศท่ีสามารถบังคับใช้กฎหมายของรัฐต่างประเทศ
ต่อบุคคลของตนในดินแดนของประเทศไทยได้ จึงกลา่ วได้ว่าระบบการสอบสวนฟ้องรอ้ งดาเนินคดีอาญา
เป็นระบบที่จาเป็นต้องมีการควบคุมมาตรฐานให้เทียบเท่าสากล ไม่อาจกล่าวอ้างว่าระบบกฎหมาย
แบบไทย ๆ เหมาะกับสังคมแบบไทย ๆ หากปล่อยให้มีระบบการสอบสวนดาเนินคดีที่ไร้มาตรฐาน
จะทาให้เกิดกรณีเจ้าหน้าท่ีของรัฐใช้อานาจและกาลังละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชนตามอาเภอใจ
การเรียกรับผลประโยชน์ในทางคดี ปล่อยปละละเลยให้คดีขาดอายุความ การสร้างพยานหลักฐานเท็จ
เพ่ือบิดเบือนข้อเท็จจริงหรือเพ่ือการเอาเปรียบในทางคดี ก่อให้เกิดความไม่เชื่อถือกระบวนการยุติธรรม
และสรา้ งความเสียหายตอ่ กระบวนการยตุ ิธรรมไทยในทสี่ ุด

ระบบกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของไทยแบ่งแยกการสอบสวนออกจากการฟ้อง
คดีตามหลักการท่ัวไปในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พนักงานอัยการจึงไม่มีอานาจทา

45 เรวัต ฉา่ เฉลมิ , “การสอบสวนโดยมชิ อบ,” วารสารสานกั การสอบสวนและนิตกิ าร กรมการปกครอง ฉบับพเิ ศษ (มกราคม 2563),
สบื คน้ เมอ่ื 12 มกราคม 2565, http://ilab.dopa.go.th/
46 นาแท้ มบี ุญสลา้ ง, “รายงานการศึกษาการปฏริ ูประบบสอบสวนคดอี าญาตามมาตรฐานสากล,” สืบคน้ เม่อื 25 สิงหาคม 2564,
https://www.parliament.go.th/

39

การสอบสวนหรือควบคุมการสอบสวนต้ังแต่เร่ิมต้นการสอบสวน ในขณะท่ีระบบการดาเนินคดีอาญาใน
ต่างประเทศ ส่วนใหญ่จะถือว่าการสอบสวนกับการฟ้องร้องคดีเป็นกระบวนการเดียวกัน ดังนั้น
พนักงานอัยการในประเทศเหล่าน้ันจึงเป็นผู้รับผิดชอบ กากับดูแลการสอบสวนต้ังแต่ได้รับแจ้งจาก
พนกั งานสอบสวนว่ามีการกระทาความผิดเกิดข้นึ รวมทัง้ มีอานาจที่จะทาการสอบสวนด้วยตนเอง และ
เปน็ ผใู้ ช้ดลุ พินิจวา่ จะส่ังฟอ้ งคดหี รือไม่47

1) วิธีการสอบสวน
1.1) การรวบรวมพยานหลักฐาน พยานหลักฐาน คือ พยานบุคคล พยานวัตถุ พยาน

เอกสาร พยานทางนิติวิทยาศาสตร์ หรือหลักฐานอ่ืน ๆ ท่ีจะสามารถเชื่อมโยงกับการกระทาความผิด
ซ่ึงการรวบรวมพยานหลักฐานดังกล่าวมาจากการแสวงหาข้อเท็จจริงจากการสืบสวนแล้ว จึงมาเลือก
ว่าหลักฐานใดมีผลต่อการดาเนินคดีและสามารถเชื่อมโยงการกระทาความผิดได้อย่างเป็นที่ประจักษ์
โดยรวบรวมหลกั ฐานให้ปรากฏในสานวนการสอบสวน

1.2) การดาเนินการทั้งหลายอื่นตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา ได้แก่ การจบั ขงั คน้ ปล่อยตวั ชว่ั คราว เปน็ ต้น

2) วัตถปุ ระสงคข์ องการสอบสวน
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ลักษณะ 2 การสอบสวน หมวด 1

การสอบสวนสามัญ มาตรา 131 บัญญัติไว้ว่า “ให้พนักงานสอบสวนรวบรวมหลักฐานทุกชนิดเท่าท่ี
สามารถจะทาได้ เพ่ือประสงค์จะทราบข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ต่าง ๆ อันเกี่ยวกับความผิดท่ีถูก
กล่าวหา และเพื่อจะรู้ตัวผู้กระทาผิดและพิสูจน์ให้เห็นความผิด” จึงสรุปได้ว่าวัตถุประสงค์ของ
การสอบสวน คอื

2.1) เพือ่ ทราบขอ้ เท็จจรงิ และพฤติการณ์ต่าง ๆ อันเกย่ี วกับความผิดท่ถี ูกกล่าวหา
2.2) เพอ่ื จะรูต้ วั ผู้กระทาผดิ
2.3) พสิ ูจน์ให้เหน็ ถงึ ความผิดที่ถูกกลา่ วหา
3) ผมู้ อี านาจในการสอบสวน
การสอบสวนคดีอาญาทช่ี อบด้วยกฎหมายจะต้องประกอบดว้ ย
3.1) ได้ทาโดยเจ้าพนักงานทก่ี ฎหมายกาหนดให้เปน็ พนักงานสอบสวน

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กาหนดให้ผู้เป็นพนักงาน
สอบสวน มี 2 ประเภท คือ

ก. ในกรณีความผิดเกิดในราชอาณาจักร คือ เจ้าหน้าท่ีตารวจ หรือพนักงาน
ฝา่ ยปกครอง ตามมาตรา 18

ข. ในกรณีความผิดเกิดนอกราชอาณาจักรตามมาตรา 20 คือ อัยการสูงสุด
หรือผู้รักษาการแทน หรือพนักงานอัยการ กรณีอัยการสูงสุดเปน็ ผู้มอบหมายหน้าท่ีให้เป็นผู้รับผิดชอบ
ทาการสอบสวนแทน

3.2) ได้กระทาโดยความผดิ อาญาน้นั อยูใ่ นเขตอานาจ
ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติใน มาตรา 19, 20, 21 ความผิดอาญาเกิดขึ้น

ในเขตอานาจของพนักงานสอบสวนคนใด โดยปกติให้เป็นหน้าที่พนักงานสอบสวนผู้น้ันเป็นผู้รับผิดชอบ

47 อุทัย อาทเิ วช, การสอบสวน, พมิ พค์ ร้ังที่ 1, (กรุงเทพมหานคร: วี.เจ.พร้ินต้ิง, 2562), 39.

40

ในการสอบสวนความผิดน้ัน ๆ เพื่อดาเนินคดี เว้นแต่เมื่อมีเหตุจาเป็นหรือเพ่ือความสะดวก จึงให้
พนักงานสอบสวนแห่งท้องท่ี ดังต่อไปนี้เป็นผู้รับผิดชอบดาเนินการสอบสวน แม้ว่าท้องที่ดังกล่าว
ความผดิ จะไมไ่ ดเ้ กดิ ข้นึ กต็ าม คือ ทอ้ งที่ที่ผูต้ ้องหามที อ่ี ยหู่ รอื ท้องทผี่ ู้ต้องหาถูกจับ

3.3) วธิ ีการทท่ี าไปถกู ตอ้ งตามประมวลกฎหมายวิธีพจิ ารณาความอาญา
การสอบสวนจะเริ่มมีขึ้นต้ังแต่มีคาร้องทุกข์หรือมีคากล่าวโทษ ซ่ึงวิธีการ

สอบสวนของพนักงานสอบสวนต้องดาเนินการให้ถูกต้องตามที่ประมวลกฎหมายวิธพี ิจารณาความอาญา ให้
อานาจไว้ กล่าวคือ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญากาหนดให้พนักงานสอบสวนมีอานาจ
สอบสวนคดีอาญาทั้งปวง คดีแพ่งพนักงานสอบสวนจึงไม่มีอานาจสอบสวนในคดีอาญานั้น ถ้าเป็นคดี
ความผิดต่อส่วนตัว ห้ามมิให้พนักงานสอบสวนทาการสอบสวน เว้นแต่จะมีคาร้องทุกข์ตามระเบียบ
หรอื มีการรอ้ งทุกขโ์ ดยผู้เสยี หายกอ่ น การไมม่ กี ารสอบสวนในความผิดนนั้ ห้ามมิใหพ้ นักงานอัยการยื่น
ฟอ้ งคดีนนั้

ดังน้ัน ในความผิดอาญาท้ังปวงไม่ว่าจะเป็นความผิดต่อส่วนตัวหรือต่ออาญา
แผ่นดนิ ตอ้ งมกี ารสอบสวนในความผิดน้ันก่อนเสมอ และในความผิดต่อส่วนตัวพนักงานสอบสวนจะทา
การสอบสวนไดต้ ้องมกี ารร้องทุกข์ก่อน

4) ประเภทการสอบสวน
ตามประมวลกฎหมายวิธพี ิจารณาความอาญาแบ่งการสอบสวนออกเป็น 2 ประเภท48

คอื
4.1) การสอบสวนสามัญ ได้แก่ การสอบสวนความผิดอาญาท่ัวไปทั้งหมด ทุกตัว

บทกฎหมายท่ีกาหนดว่าเป็นความผิดทางอาญา
4.2) การสอบสวนโดยการชันสูตรพลิกศพ ในกรณีท่ีความตายเป็นผลแห่งการ

กระทาผดิ อาญาตามประมวลกฎหมายวธิ ีพจิ ารณาความอาญา มาตรา 129
5) การสอบสวนสามัญ
บทบัญญัติของประมวลวิธีพิจารณาความอาญาท่ีกาหนดหลักเกณฑ์การสอบสวน

สามัญ ในลักษณะ 2 หมวด 1 ต้ังแต่มาตรา 130 ซ่ึงกาหนดหลักเกณฑ์การปฏิบัติหน้าท่ีของพนักงาน
สอบสวนไว้ รวมท้ังสิทธิของผู้ต้องหาในการต่อสู้คดีไว้ด้วย จนถึงการเสนอสานวนการสอบสวนพร้อม
ท้ังความเห็นในทางคดีให้พนักงานอัยการใช้ดุลพินิจในการส่ังคดีต้ังแต่มาตรา 140 ถึงมาตรา 147
หลักเกณฑ์เหล่านี้พนักงานสอบสวน ต้องระมัดระวังมิให้เกิดความผิดพลาดข้ึนในการสอบสวนคดี
เพราะจะมีผลต่อการพิจารณา และการรับฟังพยานหลักฐานในชั้นการส่ังคดีของพนักงานอัยการและ
การพจิ ารณาคดใี นชั้นศาล สาหรับหลกั เกณฑ์การสอบสวนสามญั พอจะสรปุ ได้ดงั นี้

5.1) การสอบสวนต้องรวดเร็ว ต่อเนื่อง และเป็นธรรม ประมวลวิธีพิจารณาความ
อาญา มาตรา 130 บัญญัติว่า “ให้เร่ิมการสอบสวนโดยมิชักช้า จะทาการในท่ีใด เวลาใด แล้วแต่
เหน็ สมควรโดยผตู้ อ้ งหาไม่จาตอ้ งอยดู่ ว้ ย” ซงึ่ แสดงให้เหน็ วา่ การดาเนนิ คดีในชน้ั สอบสวนของประเทศ
ไทยนั้นสามารถทาการสอบสวนได้โดยไม่จาต้องกระทาต่อหน้าผู้ต้องหา ต่างกับในชั้นพิจารณาคดีโดย
ศาล ซึ่งจะต้องกระทาโดยเปิดเผยต่อหน้าจาเลย ศาลจะดาเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานลับหลัง
จาเลยไม่ได้ สิทธิท่ีจะได้รับการสอบสวนหรือการพิจารณาคดีโดยรวดเร็ว ต่อเนื่องและเป็นธรรมตาม

48 ประโมทย์ จารุนิล, การสบื สวนและสอบสวน, (กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลยั รามคาแหง, 2555), 16.

41

บทบญั ญัติ มาตรา 241 วรรคแรก ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาจากหลักการ
ดาเนินคดีโดยเร็ว (Speedy Trial) ซึ่งเป็นหลักคุ้มครองความยุติธรรม เพื่อให้สอดคล้องกับหลักนิติธรรม
(Rule of Law) และลดความไมย่ ุติธรรมที่ผู้ตอ้ งหาหรอื จาเลยตอ้ งสญู เสียไปในระหว่างเวลานัน้

5.2) สถานทแี่ ละเวลาทาการสอบสวนตามประมวลวธิ ีพจิ ารณาความอาญา มาตรา
130 กาหนดว่า พนักงานสอบสวนจะทาการสอบสวน ณ ท่ีใดก็ได้ แล้วแต่จะเห็นสมควรเป็นดุลพินิจของ
พนักงานสอบสวน แมส้ ถานท่ที ่ที าการสอบสวนจะอย่นู อกเขตอานาจของตนก็ไม่ทาใหก้ ารสอบสวนเสียไป

5.3) ดุลพินิจในการสอบสวนพยาน ประมวลวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 131
กาหนด หน้าที่ให้พนักงานสอบสวนรวบรวมหลักฐานทุกชนิดเท่าท่ีจะสามารถทาได้ เพื่อประสงค์จะ
ทราบข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ต่าง ๆ อันเก่ียวกับความผิดท่ีถูกกล่าวหา เพ่ือที่จะรู้ตัวผู้กระทา
ความผดิ และพสิ จู น์ใหเ้ ห็นความผิดหรือความบริสุทธ์ขิ องผูต้ อ้ งหา

ถ้อยคา “หรือความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหา” เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมโดย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับท่ี 22) พ.ศ. 2547 จากเดิมที่บัญญัติไว้
เพียง “เพื่อการพิสูจน์ ให้เห็นถึงความผิดของผู้ต้องหา” เพียงเท่านั้น กฎหมายใหม่มีเจตนารมณ์เพ่ือ
ปรับปรุงทั้งหลักการและทัศนคติในการทางานของพนักงานสอบสวนให้มีความเป็นภาวะวิสัยมากขน้ึ 49

5.4) สาหรับความเป็นภาวะวิสัยและซ่ือสัตย์สุจริตน้ัน เน่ืองจากพนักงานสอบสวน
เป็นเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรม จึงต้องมีภาวะวิสัยและซื่อสัตย์สุจริตไม่ต่างจากผู้พิพากษา
และพนักงานอัยการ ต้องเคารพหลักสันนิษฐานความเป็นผู้บริสุทธ์ิ (Presumption of Innocence)
ของผู้ถูกกล่าวหา อันเป็นหลักการพ้ืนฐานของการดาเนินคดีอาญา มิฉะน้ัน หากดาเนินการใด ๆ อัน
เป็นการฝา่ ฝนื หลักการดงั กลา่ ว อาจมีความผิดและถกู ลงโทษ

5.5) การรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ประมวลวิธี
พจิ ารณาความอาญา มาตรา 131 ได้ให้อานาจพนกั งานสอบสวนในการรวบรวมพยานหลักฐานทกุ ชนิด
เท่าท่ีสามารถจะกระทาได้ ไม่ว่าจะเป็นพยานบุคคล พยานวัตถุ และพยานเอกสารท่ีเก่ียวข้องกับคดี
โดยในปัจจุบันโลกได้พัฒนาและมีความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก
จึงทาให้การสอบสวนในปัจจุบันต้องอาศัยพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยดังท่ีบัญญัติไว้ใน
ประมวลวธิ ีพิจารณาความอาญา มาตรา 131/1 บัญญัตวิ ่า “ในกรณีที่จาเป็นต้องใช้พยานหลักฐานทาง
วิทยาศาสตร์ เพ่ือพิสูจน์ข้อเท็จจริงตามมาตรา 131 ให้พนักงานสอบสวนมีอานาจให้ทาการตรวจ
พสิ จู นบ์ คุ คล วตั ถหุ รือเอกสารใด ๆ โดยวธิ ีการทางวิทยาศาสตรไ์ ด้

ในกรณีความผิดอาญาท่ีมีอัตราโทษจาคุกอย่างสูงเกินสามปี หากการตรวจ
พสิ ูจน์ตามวรรคหน่ึง จาเป็นต้องตรวจเก็บตวั อย่างเลือด เน้ือเย่ือ ผิวหนงั เส้นผมหรือขน น้าลาย ปัสสาวะ
อุจจาระ สารคัดหลั่ง สารพันธุกรรมหรือส่วนประกอบของร่างกายจากผู้ต้องหา ผู้เสียหายหรือบุคคล
ท่ีเก่ียวขอ้ งให้พนักงานสอบสวนผ้รู บั ผดิ ชอบมีอานาจให้แพทย์หรือผู้เช่ียวชาญดาเนินการตรวจดังกลา่ ว
ได้ แต่ตอ้ งกระทาเพียงเท่าทจ่ี าเปน็ และสมควรโดยใชว้ ิธกี ารทีก่ อ่ ให้เกิดความเจ็บปวดนอ้ ยทส่ี ดุ เท่าทจ่ี ะ
กระทาได้ทั้งจะต้องไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายหรืออนามัยของบุคคลน้ัน และผู้ต้องหา ผู้เสียหาย หรือ
บุคคลท่ีเกี่ยวข้อง ต้องให้ความยินยอม หากผู้ต้องหาหรือผู้เสียหายไม่ยินยอมโดยไม่มีเหตุอันสมควร
หรือผู้ต้องหาหรือผู้เสียหายกระทาการป้องปัดขัดขวางมิให้บุคคลท่ีเก่ียวข้องให้ความยินยอมโดยไม่มี

49 อทุ ัย อาทิเวช, การสอบสวน, พิมพ์ครง้ั ท่ี 1, (กรงุ เทพมหานคร: วี.เจ.พรน้ิ ต้งิ , 2562), 166.

42

เหตุอันสมควร ให้สันนิษฐานไว้เบ้ืองต้นว่าข้อเท็จจริงเป็นไปตามผลการตรวจพิสูจน์ท่ีหากได้ตรวจ
พสิ จู นแ์ ลว้ จะเปน็ ผลเสียต่อผู้ต้องหาหรอื ผู้เสยี หายนนั้ แลว้ แต่กรณี

ค่าใช้จ่ายในการตรวจพิสูจน์ตามมาตราน้ี ให้สั่งจ่ายจากงบประมาณตาม
ระเบียบท่ีสานักงานตารวจแห่งชาติ กระทวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม หรือสานักงานอัยการสูงสุด
แล้วแต่กรณี กาหนด โดยได้รบั ความเหน็ ชอบจากกระทรวงการคลงั ”

6) การสอบสวนวิสามญั
การสอบสวนวิสามัญ หมายถึง การสอบสวนคดีประเภทพิเศษ ซ่ึงมีรูปแบบการ

สอบสวนแตกต่างจากการสอบสวนตามหลักเกณฑ์ทั่วไปในประมวลกฎหมายวิธีพิจาร ณาความอาญา
การสอบสวนวิสามัญมีทั้งท่ีบัญญัติอยู่ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและที่มีกฎหมายอ่ืน
บัญญตั ใิ ห้อานาจไว้โดยเฉพาะ50 ดงั นี้

6.1) การสอบสวนความผดิ ทีเ่ กดิ นอกราชอาณาจกั ร
6.2) การสอบสวนคดีเดก็ และเยาวชน
6.3) การสอบสวนคดีวสิ ามัญฆาตกรรม
6.4) การสอบสวนคดพี เิ ศษ
6.5) การไตส่ วนของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
6.6) การสอบสวนคดียาเสพตดิ
6.7) การสอบสวนคดีความผิดประเภทอื่น ๆ
ในทนี่ โี้ ดยจะขออธบิ ายการสอบสวนวิสามญั โดยสังเขปเฉพาะ 6.1-6.4 ดังนี้
6.1) การสอบสวนความผิดทเี่ กดิ นอกราชอาณาจักร

การสอบสวนความผิดท่ีเกดิ นอกราชอาณาจกั ร ความผิดซึ่งมีโทษตามกฎหมาย
ไทย ซ่งึ ได้กระทาลงนอกราชอาณาจกั รไทยน้นั เป็นการสอบสวนความผดิ ประเภทที่กฎหมายกาหนดให้
อยั การสูงสุดหรอื ผู้รกั ษาการแทนเป็นพนักงานสอบสวนผรู้ ับผิดชอบ ซึ่งแตกต่างจากพนักงานสอบสวน
ผรู้ บั ผดิ ชอบในคดีความผิดท่ัวไป ดงั ทบี่ ัญญตั ิไว้ในประมวลกฎหมายวธิ พี ิจารณาความอาญา มาตรา 20

6.2) การสอบสวนคดเี ดก็ และเยาวชน
การสอบสวนคดีเด็กและเยาวชน มีวัตถุประสงค์ท่ีแตกต่างจากการสอบสวน

คดีอาญาทั่วไป เน่ืองจากมีเป้าหมายเพื่อการอบรมส่ังสอน แกไ้ ข ฟน้ื ฟูเด็กและเยาวชน เพ่ือให้สามารถ
กลบั มาดารงชีวิตตามปกติในสังคม ดงั น้นั หลกั เกณฑแ์ ละวิธีการคน้ หาความจริงอันเกี่ยวกับการกระทา
ความผิด และการนาตัวผกู้ ระทาความผดิ ที่เป็นเด็กและเยาวชนมาพิจารณาพิพากษาลงโทษจึงแตกต่าง
จากการดาเนินคดีอาญาท่ัวไป ต้ังแต่การจับกุม การควบคุม การสอบสวน การฟ้องคดี อาทิ การ
สอบสวนผู้เสียหายหรือพยานที่เป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปี ให้พนักงานสอบสวนแยกกระทาเป็น
ส่วนสัด ในสถานท่ีที่เหมาะสมสาหรับเดก็ ให้มีนกั จิตวทิ ยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ บุคคลท่ีเด็กร้องขอ
และพนักงานอัยการร่วมอยู่ด้วยในการถามปากคาเด็กนั้น หากมีคาถามใดที่อาจกระทบกระเทือน
ต่อจิตใจเด็กอย่างรุนแรง ให้พนักงานสอบสวนถามผ่านนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์เป็น
การเฉพาะ โดยมิให้เด็กได้ยินคาถามของพนักงานสอบสวน และห้ามมิให้ถามเด็กซ้าซ้อนหลายครั้ง
โดยไมม่ ีเหตุอนั ควร

50 อุทัย อาทเิ วช, การสอบสวน, พิมพ์ครง้ั ที่ 1, (กรุงเทพมหานคร: ว.ี เจ.พรน้ิ ตง้ิ , 2562), 302.

43

6.3) การสอบสวนคดีวิสามญั ฆาตกรรม
ในการสอบสวนคดีวิสามัญฆาตกรรมน้ัน จะต้องทาการชันสูตรพลิกศพก่อน

เพราะการชันสูตรพลิกศพเป็นส่วนหนึ่งของสานวนการสอบสวนและต้องกระทาในกรณีท่ีการตายของ
บุคคล เกิดขึ้นโดยการกระทาของเจ้าพนักงานซ่ึงอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าท่ีหรือตายในระหว่างอยู่
ในความควบคุมของเจ้าพนักงานซ่ึงอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าท่ี ตามประมวลวิธีพิจารณาความ
อาญา มาตรา 143 วรรคสาม ซึ่งในระเบียบสานักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดาเนินคดีอาญาของ
พนักงานอัยการ พ.ศ. 2547 ข้อ 4 ใช้คาเรียกคดีประเภทนี้ว่า “คดีวิสามัญฆาตกรรม” นอกจากน้ี ใน
การชันสูตรพลิกศพในคดีวิสามัญฆาตกรรมจะแตกต่างจากกรณีการชนั สตู รพลิกศพในคดีการตายทั่วไป
กฎหมายกาหนดให้ต้องมีพนักงานอยั การและพนักงานฝ่ายปกครองเขา้ ร่วมในการชันสูตรพลิกศพด้วย
ตามประมวลวธิ ีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 วรรคสาม

6.4) การสอบสวนคดีพเิ ศษ
ที่มาของการสอบสวนคดีพิเศษคือ แนวคิดท่ีต้องการให้มีวิธีการสืบสวน

สอบสวนพิเศษสาหรับคดีอาชญากรรมท่ีสาคัญ ๆ บางประเภท เช่น คดีอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ
อาชญากรรมที่กระทบต่อความมั่นคง รวมทั้งคดีอาชญากรรมที่ยุ่งยาก ซับซ้อนหรือมีลักษณะท่ีเป็น
องค์กรอาชญากรรมและข้ามชาติ เร่ิมมีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2520 ต่อมาในปี พ.ศ. 2538 ปัญหาการ
สอบสวนคดอี าชญากรรมทางเศรษฐกิจที่สาคญั เช่น คดปี ่ันหุ้น คดีฉ้อโกงและยักยอกในสถาบนั การเงิน
คดีฉ้อโกงประชาชน เป็นต้น ซึ่งได้ทวคี วามรุนแรงยิ่งขึ้น คณะกรรมาธกิ ารการบริหารและการยุติธรรม
วุฒิสภา จงึ ได้จดั สมั มนาทางวิชาการ เรือ่ ง กระบวนการยตุ ิธรรมและเร่อื งการพัฒนาการขององคก์ รหรือ
หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมทางอาญา และทางแพ่ง ระหว่างวันท่ี 27-31
มนี าคม 2538 และทปี่ ระชุมไดม้ ีขอ้ เสนอแนะให้จดั ต้งั กรมสอบสวนคดีพเิ ศษขน้ึ ในกระทรวงยตุ ธิ รรม

ต่อมาได้มีการจัดตั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นหน่วยงานใหม่ในกระทรวง
ยุติธรรม และได้มีการตราพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 กฎหมายฉบับนี้ได้กาหนด
ภารกิจ อานาจ หน้าท่ี วิธีการสืบสวนสอบสวนท่ีเก่ียวข้องกับคดีพิเศษ และกาหนดลักษณะของความผิด
ที่จะอยู่ในประเภทของคดีพิเศษ รวมทั้งกาหนดมาตรการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษไว้สาหรับการดาเนิน
คดีพิเศษโดยเฉพาะ เช่น อานาจค้นโดยไม่มีหมายค้น การดักฟัง การแฝงตัวในองค์กร เป็นต้น รูปแบบ
การสอบสวนคดีพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษแตกต่างจากการสอบสวนตามประมวลวิธี
พิจารณาความอาญา อาทิ การกาหนดให้พนักงานอัยการมาสอบสวนร่วมในคดีพิเศษที่มีลักษณะตาม
มาตรา 21 วรรคหน่ึง (1) (ค) หรือ (ง) ต้องมีพนักงานอัยการหรืออัยการทหารมาสอบสวนร่วมกับพนักงาน
สอบสวนคดีพิเศษทุกคดี แล้วแต่กรณี ท้ังนี้ การสอบสวนร่วมกันหรือการปฏิบัติหน้าที่ร่วมกันดังกล่าวให้
เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการท่ี กคพ. กาหนด ซ่ึงข้อบังคับ กคพ. ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการ
เกี่ยวกับการ สอบส วน ร่วมกันหรือการปฏิบั ติห น้าที่ร่วมกันในคดีพิเศษระหว่างพนักงาน สอบสวน
คดีพิเศษกับพนักงานอัยการหรืออัยการทหาร พ.ศ. 2547 ได้กาหนดให้พนักงานอัยการหรืออัยการทหาร
เข้าร่วมดาเนินการในทุกขั้นตอนและทาหน้าท่ีเป็นหนึ่งในคณะพนักงานสอบสวน โดยมีบทบาทตั้งแต่
เริ่มคดี ช่วยกาหนดแนวทางในการสอบสวน สอบปากคาพยานหรือผู้ต้องหา การตรวจสอบพยานหลักฐาน
ให้ความเห็นชอบร่วมกันในการออกหมายค้นหรือหมายจับ เนื่องจากการค้น การจับเป็นมาตรการทาง
กฎหมายท่ีกระทบสิทธิและเสรีภาพของประชาชน อย่างไรก็ตาม เม่ือการสอบสวนเสร็จแล้ว การสรุป
สานวนการสอบสวนและการทาความเห็นส่ังคดีเป็นอานาจของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ โดยพนักงาน

44

อัยการท่ีมาสอบสวนร่วมน้ันไม่มีอานาจในการสรุปสานวนการสอบสวนหรือมีความเห็นทางคดีแต่อย่างใด
ซ่ึงเป็นไปตามข้อบังคับ กคพ.ฯ ข้อ 8 ท่ีบัญญัติว่า “ให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษเป็นผู้ทาความเห็น
ในรายงานความเหน็ ทางคดีและลงลายมอื ช่ือ...”

2.5.3 ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกำรสบื สวนและกำรสอบสวน
การสืบสวนและการสอบสวนมีลักษณะท่ีแตกต่างกัน แต่เป็นความแตกต่างเพื่อ

เป้าหมายเดียวกันคือ การรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง โดยลักษณะการดาเนินคดีอาญา
มักจะต้องเร่ิมท่ีกระบวนการสืบสวนก่อน เนื่องจากเป็นการแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน
จากน้ันจะเข้าสู่กระบวนการสาหรับการสอบสวนคือ กระบวนการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์
ข้อเท็จจริงในการกระทาความผิดนน้ั ทั้งน้ี สามารถสรุปความสัมพันธ์ของการสืบสวนและการสอบสวน
ได้ตามตารางตอ่ ไปน้ี51

ตารางท่ี 1 ความสัมพันธร์ ะหว่างการสบื สวนและการสอบสวน

ประเด็น กำรสืบสวน กำรสอบสวน

วธิ กี าร การแสวงหา 1. การรวบรวม

2. การดาเนินการประมวลกฎหมาย

วิธีพิจารณาความอาญา

สงิ่ ทต่ี อ้ งการ 1. ข้อเทจ็ จรงิ พยานหลักฐาน

2. หลกั ฐาน (พยานวตั ถุ พยานเอกสาร พยาน

บุคคล)

วัตถปุ ระสงค์ 1. เพอ่ื รกั ษาความสงบเรยี บร้อย 1. เพือ่ ทราบข้อเทจ็ จริง

2. เพอ่ื ทราบรายละเอียดแห่งความผดิ 2. พิสูจนค์ วามผิด

3. เพ่อื นาตัวผู้กระทาความผดิ

มาลงโทษ

ผู้มอี านาจ 1. พนกั งานฝ่ายปกครอง พนักงานสอบสวน

2. ตารวจ

3. เจา้ พนกั งานอ่นื ๆ ตามกฎหมาย

เฉพาะ

ขอบเขต 1. พนกั งานฝา่ ยปกครอง ตามเขตพน้ื ที่ ตามประมวลกฎหมายวิธพี จิ ารณา

อานาจ 2. ตารวจท่วั ราชอาณาจกั ร ความอาญา มาตรา 18 19 20 21

3. เจา้ พนกั งานอนื่ ๆ ตามท่ีกฎหมาย

เฉพาะ

เงอ่ื นไข 1. สืบสวนไดท้ ั้งกอ่ นเกดิ เหตุและหลัง 1. ต้องมคี วามผดิ เกดิ ข้นึ แลว้

เกิดเหตุ 2. มีการกล่าวหาในความผิดนน้ั

2. ไม่ตอ้ งมีความผิดที่กล่าวหา

51 ไพฑูรย์ เพม่ิ ศิริวิศาล, การสบื สวนคดอี าญา, (นครปฐม: ส่วนวิชาการสบื สวนสอบสวน โรงเรยี นนายรอ้ ยตารวจ), 21.

45

2.6 กำรสอบสวนคดีพิเศษตำมกฎหมำยวำ่ ด้วยกำรสอบสวนคดพี ิเศษ
การเปลี่ยนแปลงทางสภาพเศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรม เทคโนโลยีทาให้โลกเจริญ

ก้าวหน้าอย่างมาก เกิดการพัฒนาและต่อยอดทั้งในวงการอุตสาหกรรม เกษตรกรรม การดารงชีวิต
วิทยาศาสตร์การแพทย์ การส่ือสาร และด้านอื่น ๆ ซึ่งมีพัฒนาการไปอย่างไม่หยุดยั้ง ล้วนแต่สร้าง
ความยินดีให้กับมวลมนุษยชาติ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าความเจริญดังกล่าวทาให้มนุษย์ยกระดับการ
ดารงชีวิตที่มีคุณภาพดีมากย่ิงขึ้น อายุยืนมากข้ึน และสามารถรับมือกับปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างมีระบบ
แบบแผน ความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีสามารถเช่ือมโยงท่ัวทุกมุมโลกเข้าไว้ด้วยกัน ส่งผล
ให้การติดต่อสื่อสารถึงกันโดยง่ายภายในเส้ียววินาที นอกจากนี้เทคโนโลยีได้ก้าวเข้ามามีบทบาท
ต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ศาสนา การศึกษา กลายเป็นเคร่ืองมือท่ีสาคัญในการเผยแพร่
องค์ความรู้ใหม่ ๆ กระตุ้นระบบเศรษฐกิจให้เกิดการจับจ่ายโดยที่ไม่ต้องเดินทางไปธนาคารหรือร้านค้า
เกิดการแลกเปลี่ยนทางด้านศิลปวัฒนธรรม เกิดการลอกเลียนแบบ และรับเอาแนวคิดใหม่ ๆ มาใช้
ในชีวติ ประจาวนั ทง้ั หลายทก่ี ล่าวมาทง้ั หมดนคี้ ือ มุมดี ๆ ของการเปลีย่ นแปลง

อย่างไรก็ตาม เรามักจะปฏิเสธไม่ได้ว่าในทุก ๆ เร่ืองที่มีด้านดีก็มักจะมีด้านที่ไม่ดีแฝงมา
ด้วยเสมอ ซึ่งในด้านท่ีไม่ดีน้ันก็มักจะสร้างปัญหาให้กับสังคมโลก ประชาชน ระบบเศรษฐกิจ
วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และด้านอ่ืน ๆ อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เมื่อสังคมมีการรวมตัวกันของ
ประชาชนจานวนมาก ในทางสังคมมักจะเล่ียงการเกิดอาชญากรรมไม่ได้ เนื่องจากในแต่ละสังคม
มีความเหลื่อมล้า ความไม่เท่าเทียมกัน เกิดความไม่ยุติธรรม เกิดปัญหาการว่างงาน ปัญหาสุขภาพ
ปัญหาหนี้สิน ในบางสังคมถูกเรียกว่ารวยกระจุกจนกระจาย ความต้องการด้านต่าง ๆ ของประชาชน
มีมากขึ้นและให้ได้มาซ่ึงส่ิงท่ีต้องการน้ันในระยะเวลาอันรวดเร็ว เม่ือเป็นเช่นน้ีปัญหาอาชญากรรม
จึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่ารัฐจะได้พยายามให้ความช่วยเหลือมากเพียงใดก็ยังไม่ทันต่อ
ความต้องการของประชาชนบางกลุ่ม

อาชญากรรมในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เม่ือก่อนอาชญากรรมส่วนใหญ่จะเป็น
เรื่องของการปล้นทรัพย์ ขโมยของ ย่องเบา ทะเลาะวิวาท ชกต่อย ข่มขืน ฆ่าคนตาย การกระทา
ความผิดกลุ่มนี้เป็นการกระทาความผิดทางอาญา เป็นการก่ออาชญากรรมท่ีมีลักษณะใช้ความรุนแรง
ประสงค์ต่อบุคคลและ/หรือทรัพย์สิน และมีโอกาสเกดิ ข้ึนได้กับบุคคลทั่วไปในสังคม เป็นอาชญากรรม
ท่ีพบได้บนท้องถนน จึงมีการเรียกการกระทาความผิดในกลุ่มนี้ว่า อาชญากรรมที่พบเห็นกันท่ัวไป
(street crime)52 หากแต่ในปัจจุบันผลของการพัฒนาทางเทคโนโลยีดังกล่าวกลับเป็นเหตุให้
อาชญากรได้มีการนาเอาเทคโนโลยีเหล่าน้ี ไปใช้ในการกระทาความผิด ทาให้โลกต้องเผชิญกับปัญหา
อาชญากรรมท่ีรุนแรงยิ่งขึ้นท้ังในด้านรูปแบบและปริมาณ รูปแบบอาชญากรรมได้เปล่ียนแปลงไป
กลายเป็นอาชญากรรมท่ีมีความซับซ้อน อาชญากรรมท่ีไม่ได้ใช้ความรนุ แรงด้านร่างกาย อาชญากรรม
ท่กี ระทากันเป็นองค์กร (Organized Crime) อาชญากรรมข้ามชาติข้ามประเทศ (Transnational Crime)
อาชญากรรมที่มุ่งต่อระบบเศรษฐกิจ อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ อาชญากรรมที่กระทาโดยผู้ท่ีมี
การศึกษา มีความรู้ความเช่ียวชาญ อาศัยตาแหน่งหน้าที่และวิธีการอันแยบยล ล่อลวง อาศัยความไว้
วางใจหรือความเชื่อถือของประชาชน ในทางวิชาอาชญาวิทยาจึงเรียกเหล่าการกระทาผิดน้ีว่า

52 สุนัย หาเรอื นพืชน,์ “กฎหมายปอ้ งกนั และปราบปรามการฟอกเงนิ มาตรการเสริม หากการใชก้ ฎหมายอนื่ ไม่เป็นผล,” วารสารจลุ นติ ิ
(มกราคม-กมุ ภาพนั ธ์ 2552) : 143.

46

“อาชญากรรมคอปกขาว (White Collar Crimes)53 อาชญากรรมคอปกขาวมีมากมาย หลายหลาก
แทรกซึมอยู่แทบทุกวงการ เช่น ระบบการศึกษา ระบบเศรษฐกิจ ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม
ระบบทางการแพทย์ ตลาดทุนตลาดหุ้น ระบบการเมือง เป็นต้น เมื่อเป็นเช่นนี้ กระบวนการสืบสวน
สอบสวนคดีอาญาทั่วไปจึงยากที่จะป้องกันและปราบปรามการก่ออ าชญากรรมลักษณะดังกล่าวได้
ประกอบกบั ปญั หาอปุ สรรคหลายประการ54 กล่าวคอื

1. การกาหนดตาแหน่งพนักงานสอบสวนให้เป็นผู้ท่ีจบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตารวจ
และผู้มีวุฒิการศึกษาสาขานิติศาสตร์หรือรัฐศาสตร์เท่าน้ัน ทาให้ขาดผู้ที่มีความรู้ ทักษะความชานาญ
เฉพาะด้านท่ีเก่ียวข้องกับการดาเนินการเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ เช่น เศรษฐศาสตร์
การเงิน การธนาคาร การบญั ชี ภาษี คอมพวิ เตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ

2. การขาดพนักงานสอบสวนทม่ี ีความรคู้ วามชานาญในการสอบสวนอย่างแทจ้ ริง เน่อื งจาก
2.1 เจ้าหน้าท่ีตารวจที่ทาหน้าที่ด้านการสอบสวน ได้แก่ พนักงานสอบสวน (สบ.1) และ

พนักงานสอบสวน (สบ.2) ซึ่งมียศระหว่างร้อยตารวจตรีถึงพันตารวจโทเท่าน้ัน เมื่อพนักงานสอบสวน
เหล่านี้ได้รับการเลื่อนตาแหน่งสูงข้ึนเป็นระดับรองผู้กากับการข้ึนไปแล้วก็จะต้องทาหน้าที่ด้านการ
บรหิ าร มไิ ด้ทาหน้าท่ดี ้านการสอบสวนแตอ่ ยา่ งใด

2.2 การท่ีพนักงานสอบสวนสามารถโยกย้ายสลับไปมาระหว่างหน่วยงานในสานักงาน
ตารวจแห่งชาติได้ ทาให้ขาดการเช่ือมต่อในการทางานด้านการสอบสวนคดีเศรษฐกิจ และขาด
พนักงานสอบสวนท่ีมีความรู้ความชานาญและทักษะเก่ียวกับการสอบสวนคดีอาชญากรรมทาง
เศรษฐกจิ

3. ภารกิจในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมของเจ้าน้าที่ตารวจเป็นภารกิจท่ี
กว้างขวางและหลากหลาย ลาพังเพียงการควบคุมปัญหาอาชญากรรมพ้ืนฐาน ซ่ึงได้แก่อาชญากรรม
ที่เก่ียวกับการประทุษร้ายต่อทรัพย์ ชีวิตและร่างกาย และคดีเล็กน้อยอ่ืนๆ ก็มิอาจปฏิบัติได้อย่าง
สัมฤทธ์ิผลเท่าที่ควรทาให้ต้องทุ่มเททรัพยากรไปกับการดาเนินการดังกล่าวส่วนการดาเนินการกับ
อาชญากรรมพเิ ศษมอิ าจกระทาไดเ้ ต็มที่

4. การท่ีอาชญากรรมพิเศษเป็นอาชญากรรมที่มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างมากมาย
มหาศาล ประกอบกับผู้กระทาผิดเป็นผูม้ ีอิทธิพลหรือมีผู้มอี ิทธิพลสนับสนุนอยูเ่ บื้องหลงั จึงทาให้มีการ
ใช้อิทธิพลภายนอก ไม่ว่าจะเป็นอิทธิพลทางการเงินหรืออิทธิพลทางการเมืองเข้าแทรกแซงการ
ปฏิบตั ิงานของเจา้ หน้าทตี่ ารวจ ส่งผลใหก้ ารอานวยความยุติธรรมแก่ประชาชนถกู บดิ เบอื นไป

ด้วยเหตุผลดังกลา่ วข้างต้นจึงไดม้ ีการจดั ตัง้ กรมสอบสวนคดีพเิ ศษ เปน็ ส่วนราชการระดับกรม
สังกัดกระทรวงยุติธรรม ก่อต้ังขึ้นเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2545 ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง
ทบวง กรม พ.ศ.2545 ใชช้ ่อื ภาษาอังกฤษวา่ “DEPARTMENT OF SPECIAL INVESTIGATION : DSI”
ซ่ึงเป็นไปตามเจตนารมณ์ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540
มาตรา 75 วรรคแรก บัญญัติไว้ว่า “รฐั ตอ้ งดูแลให้มกี ารปฏิบัตติ ามกฎหมาย คมุ้ ครองสิทธิและเสรภี าพ
ของบุคคล จัดระบบงานของกระบวนการยุติธรรมให้มีประสิทธิภาพและอานวยความยุติธรรมแก่

53 ศกั ด์ิชยั เลิศพานชิ พันธ,ุ์ “บทวิจารณห์ นงั สือ อาชญากรรมคอปกขาว : สาระสาคญั ,” วารสารสงั คมสงเคราะห์ศาสตร์ ปที ่ี 25 ฉบับที่
1 (มกราคม–มิถุนายน 2560) : 204.
54 สานกั งานคณะกรรมการข้อมลู ข่าวสารของราชการ, “แนวคดิ ของการจัดตั้งกรมสอบสวนคดพี ิเศษ,” สบื ค้นเมื่อ 20 ธนั วาคม 2564,
http://www.oic.go.th›ginfo›doclist/

47

ประชาชนอย่างรวดเร็วและเท่าเทียมกัน รวมท้ังจัดระบบงานราชการและงานของรัฐอย่างอ่ืนให้มี
ประสทิ ธภิ าพ เพ่อื ตอบสนองความตอ้ งการของประชาชน”

กรมสอบสวนคดีพิเศษมีภารกิจเก่ียวกับการป้องกัน ปราบปราม สืบสวนและสอบสวนคดี
ความผิดทางอาญาท่ีต้องดาเนินการสืบสวนและสอบสวนโดยใช้วิธีการพิเศษตามพระราชบัญญัติการ
สอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพ่ิมเติม และโดยที่พระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษฯ
มีลั กษ ณ ะเป็ น กฏ ห ม าย วิธี ส บั ญ ญั ติ ท่ี ว่าด้ วย ข้ัน ต อน แล ะกร ะบ ว น กา รใน การด าเนิ น คดี อาญ ากั บ
คดีพิเศษท่ีเพิ่มเติมเคร่ืองมือในการสืบสวนและสอบสวนคดีอาญาจากท่ีมีอยู่ในประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญาหลายประการ โดยมีมิติเป็นกฏหมายในลักษณะเป็นกฏหมายเชิงบริหารงานคดี
ซ่ึงก็คือเป็นกฎหมายกลางท่ีจะเป็นเคร่ืองมือในการสนธิกาลังและบูรณาการความร่วมมือทั้งภายในกรม
สอบสวนคดีพิเศษ และหนว่ ยงานบังคับใช้กฏหมายอ่ืน ๆ กรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นองคก์ รสหวิชาชีพ
ท่ีประกอบด้วยบุคลากรผู้มีความรู้ความสามารถจากสาขาวิชาชีพต่าง ๆ เข้ามาทางานร่วมกันอย่างบูรณา
การเพ่ือปฏิบัติการเชิงรุกต่ออาชญากรรมที่เป็นคดีพิเศษ ที่มีการกระทาความผิดท่ีหลากหลาย
จึงจาเป็นต้องมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในหลาย ๆ ด้าน มาร่วมปฏิบัติงาน อาทิ ผู้ท่ีมีความรู้ด้าน
ภาษีอากร การเงินการธนาคาร การต่างประเทศ การบัญชี การคลัง เทคโนโลยี ทรัพยากรธรรมชาติ
และส่ิงแวดล้อม ท่ีดิน เป็นต้น เพื่อร่วมกันวิเคราะห์ วางแผน ตรวจสอบ และเข้าถึงกลไกการกระทา
ความผิดเร่ืองต่าง ๆ เพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมลักษณะดังกล่าวได้ตามเจตนารมย์ในการ
จัดตง้ั กรมสอบสวนคดพี เิ ศษ

2.6.1 คดพี เิ ศษ
พระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 มาตรา 3 บัญญัติว่า คดีพิเศษ

หมายความว่า คดีความผิดทางอาญาตามที่กาหนดในมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวน
คดีพิเศษ ซ่ึงคดีพิเศษจะต้องดาเนินการสืบสวนสอบสวนตามพระราชบัญญัตินี้ ได้แก่คดีความผิด
ทางอาญาดังต่อไปนี้

(1) คดีความผิดทางอาญาตามกฎหมายท่ีกาหนดไว้ในบัญชีท้ายพระราชบัญญัตินี้ และ
ที่กาหนดในกฎกระทรวงโดยการเสนอแนะของคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) โดยคดีความผิดทาง
อาญาตามกฎหมายดงั กล่าว จะตอ้ งมีลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดดังตอ่ ไปนี้

(ก) คดีความผิดทางอาญาที่มีความซับซ้อน จาเป็นต้องใช้วิธีการสืบสวนสอบสวน
และรวบรวมพยานหลักฐานเปน็ พิเศษ

(ข) คดีความผิดทางอาญาที่มีหรอื อาจมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความสงบเรยี บร้อย
และศีลธรรมอันดีของประชาชน ความมั่นคงของประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือระบบ
เศรษฐกจิ หรือการคลงั ของประเทศ

(ค) คดีความผิดทางอาญาท่ีมีลักษณะเป็นการกระทาความผิดข้ามชาติท่ีสาคัญหรือ
เปน็ การกระทาขององคก์ รอาชญากรรม หรอื

(ง) คดีความผดิ ทางอาญาที่มผี ทู้ รงอิทธิพลทีส่ าคัญเป็นตวั การ ผใู้ ชห้ รือผสู้ นับสนุน
(จ) คดีความผิดทางอาญาที่มีพนักงานฝ่ายปกครองหรือตารวจชั้นผู้ใหญ่ซึ่งมิใช่
พนักงานสอบสวนคดีพิเศษหรือเจา้ หน้าที่คดพี ิเศษเป็นผู้ต้องสงสัยเมือ่ มีหลักฐานตามสมควรวา่ น่าจะได้
กระทาความผิดอาญาหรอื เป็นผู้ถกู กล่าวหาหรือผตู้ อ้ ง
ทง้ั นี้ ตามรายละเอียดของลักษณะของการกระทาความผดิ ท่ี กคพ. กาหนด

48

(2) คดีความผดิ ทางอาญาอน่ื นอกจาก (1) ตามที่ กคพ. มีมติดว้ ยคะแนนเสยี งไมน่ อ้ ยกวา่
สองในสามของกรรมการทัง้ หมดเท่าที่มอี ยู่

ในคดีที่มีการกระทาอันเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท และบทใดบทหนึ่ง
จะตอ้ งดาเนินการโดยพนักงานสอบสวนคดีพิเศษตามพระราชบญั ญัตนิ ้ี หรอื คดีทม่ี ีการกระทาความผิด
หลายเร่ืองต่อเนื่องหรือเก่ียวพันกัน และความผิดเร่ืองใดเรื่องหนึ่งจะต้องดาเนินการโดยพนักงาน
สอบสวนคดีพิเศษตามพระราชบัญญัติน้ี ให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษมีอานาจสืบสวนสอบสวน
สาหรับความผดิ บทอ่ืนหรอื เรอื่ งอนื่ ด้วย และใหถ้ ือว่าคดดี ังกล่าวเปน็ คดพี ิเศษ

บรรดาคดีใดท่ีได้ทาการสอบสวนเสร็จแล้วโดยพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ให้ถือว่า
การสอบสวนนน้ั เป็นการสอบสวนในคดพี เิ ศษตามพระราชบญั ญตั นิ ้ีแล้ว

เพอื่ การทาความเข้าใจในลักษณะของคดพี ิเศษ ในทีน่ ้ีจงึ จะขออธิบายลักษณะเด่น ๆ ของ
คดีพิเศษ โดยสรปุ ได้ดงั น้ี

1) อาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (white collar crime) เป็นการกระทาความผิดทางอาญา
ที่ผู้กระทาโดยปกติจะไม่ใช้กาลังแต่ใช้กระบวนการทางเศรษฐกิจธุรกิจการเงินการธนาคาร และ
กฎหมายในทุกระดับกระทาการเพ่ือให้ได้ประโยชน์ซึ่งเป็นเงินหรือทรัพย์สินโดยทุจริต เป็นผลให้เกิด
ความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจธุรกิจในระดับประเทศและระหว่างประเทศโดยประเทศชาติและ
ประชาชนเป็นผู้ได้รับความเสียหายโดยการกระทาความผิดมีลักษณะพิเศษ คือ พฤติกรรมการกระทา
ความผิดจะสังเกตยากเพราะเป็นคดีที่มีข้อเท็จจริงและหลกั ฐานทเ่ี ก่ียวข้องจานวนมาก การกระทาเป็น
คณะบุคคลมีการเช่ือมโยงเป็นเครือข่ายสลับซับซ้อนเป็นองค์กรอาชญากรรมชนิดหนึ่ง เป็นการกระทา
ความผิดที่ทาให้ประชาชนและประชาชาติเสียหายเกิดการสูญเสีย ความเสียหายจะมีมูลค่าสูงมาก
มผี ลกระทบต่อระบบเศรษฐกจิ และการเงินของประเทศ อาจมีการกระทาความผิดขา้ มชาตริ ่วมด้วย

2) องค์กรอาชญากรรม (organized crime) เป็นอาชญากรรมที่มีขอบข่ายการทางาน
ที่เป็นระบบ มีผู้กระทาความผิดร่วมกันหลายคนและยึดถือการกระทาผิดเป็นอาชีพโดยมีการ
ดาเนินงานในลักษณะปกปิด เป็นความลับ สลับซับซ้อน แสวงหาประโยชน์จากการกระทาความผิด
กฎหมายท่ีมีผลประโยชน์ตอบแทนสูง ใช้อานาจของเงินในการสร้างบริวารเป็นหูเป็นตา หรือใช้เงินซื้อ
อิทธิพลให้หลุดพ้นจากการถกู จับกมุ สาหรบั บุคคลช้นั นาหรอื ระดับสูงขององค์การอาชญากรรมอาจเป็น
บุคคลที่รู้จักกันดีในวงสังคม มีความเป็นอยู่แบบชนชั้นสูงท่ัวไป มีอาชีพที่ถูกกฎหมายบังหน้า องค์กร
อาชญากรรมมีการปกครองที่เข้มงวดโดยเฉพาะในเร่ืองความซื่อสัตย์ ความจงรักภักดีต่อองค์กร
ผู้ฝ่าฝืนจะได้รับการลงโทษท่ีรุนแรงอันเป็นผลให้เจ้าหน้าท่ีของรัฐต้องประสบความยากลาบากในการ
สืบสวนสอบสวน ดาเนินการตามกฎหมาย รวมท้ังในองค์กรอาชญากรรมจะมีการกระทาความผิดที่มี
โทษทางอาญา อาจมหี ลายฐานความผดิ และมแี นวโน้มที่จะใช้ความรนุ แรงในการกระทาความผิด

3) อาชญากรรมข้ามชาติ (transnational crime) คือ การก่ออาชญากรรมซ่ึงผู้กระทา
ผิดมิได้จากัดอยู่ในประเทศใดประเทศหน่ึงอันสืบเน่ืองจากกระแสโลกาภิวัตน์ยังส่งผลให้ประเทศไทย
ต้องลงนามในอนุสัญญาสหประชาชาติเพื่อต่อต้านองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ค.ศ. 2000 ลักษณะ
เช่นเดียวกับองค์กรอาชญากรรมอาศัยช่องว่างระหว่างกฎหมายของรัฐในการกระทาความผิด ซ่ึง
เกี่ยวข้องกันตั้งแต่ 2 รัฐขึ้นไปอาชญากรรมข้ามชาติจะมีรายได้สูงมาก แต่จะมีการโยกย้ายปกปิดทาง
การเงินอย่างมิดชิดเพราะมีเครือข่ายกว้างขวางโดยอาศัยความแตกต่างของระบบกฎหมายแต่ละรัฐ
เอื้อประโยชน์แล้วนาเงินกลับไปฟอกเงิน โดยทาธุรกิจที่ถูกกฎหมายส่วนใหญ่กลับไปสู่ หัวหน้า

49

องค์กร เพ่ือสร้างอิทธิพลในการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อขยายอิทธิพลและสร้างความแข็งแกร่งให้กับ
องค์กร รวมทั้งอาชญากรรมข้ามชาติหนึ่งองค์กรจะมีการกระทาผิดกฎหมายที่มีโทษทางอาญา
หลายฐานความผิด และมีแนวโน้มจะใช้ความรุนแรงในการกระทาความผิด อาทิ การลักลอบค้า
ยาเสพตดิ การค้ามนุษย์ การลักลอบค้าอาวธุ เปน็ ตน้

4) คดีพิเศษที่พนักงานฝ่ายปกครองหรือตารวจชั้นผู้ใหญ่มีส่วนเกี่ยวข้อง ลักษณะของ
คดีพิเศษท่ีเป็นการกระทาของพนักงานฝ่ายปกครองหรือตารวจช้ันผู้ใหญ่เป็นผู้ต้องสงสัยว่าได้กระทา
ความผิดอาญาเนื่องจากการแสวงหาพยานหลักฐานต่าง ๆ ที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองหรือตารวจ
ช้ันผู้ใหญ่เข้าไปมีส่วนเก่ียวข้องน้ันเป็นเรื่องลาบากยากย่ิงหากจะอาศัยเฉพาะมาตรการตามประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเพียงอย่างเดียว กฎหมายจึงได้กาหนดลักษณะการกระทาความผิด
ดังกล่าวให้มีลักษณะเป็นคดีพิเศษเพ่ือให้นามาตรการสืบสวนสอบสวนพิเศษไปใช้ในการแสวงหา
พยานหลักฐาน เนื่องจากการกระทาความผิดทางอาญาท่ีพนักงานฝ่ายปกครองหรือตารวจช้ันผู้ใหญ่
เข้าไปมีส่วนเก่ียวข้องจะมีต้ังแต่กิจกรรมเล็ก ๆ เรื่อยไปจนถึงกิจกรรมขนาดใหญ่โดยเฉพาะอย่างย่ิง
กิจกรรมท่ีเก่ียวกับโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ เช่น โครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคข้ันพ้ืนฐาน เช่น
เขื่อน ท่าอากาศยาน ถนนหลวง ทางรถไฟ ระบบการคมนาคม และการขนส่งต่าง ๆ โครงการ
อุตสาหกรรม ขนาดใหญ่ โครงการพัฒนาท่ีอยู่อาศัยการให้สัมปทานต่าง ๆ มีโอกาสท่ีจะเกิดการให้
และรับสินบนของพนักงานฝ่ายปกครองหรือตารวจชั้นผู้ใหญ่ได้มากที่สุด การกระทาความผิดใน
ลักษณะนีจ้ ะมีความสลับซับซ้อนอย่างมาก และไม่คอ่ ยปรากฏพยานหลักฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวขอ้ งกบั การ
กระทาความผดิ ทาใหก้ ารดาเนินคดกี บั ความผดิ เป็นไปอยา่ งยากลาบาก

ดังน้ัน จะเห็นได้ว่าคดีพิเศษจะมีลักษณะความผิดที่สลับซับซ้อนมากกว่าคดีอาญาท่ัวไป
รูปแบบอาชญากรรมมีความหลากหลายซับซ้อนก่อให้เกิดความเสียหายและผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
อย่างรุนแรงในหลายประเทศ รวมถงึ ความเสียหายต่อระบบอ่ืน ๆ ท่ีมีผลกระทบตอ่ ประชาชนและประเทศ
อย่างมาก

2.6.2 วธิ ีกำรสืบสวนสอบสวนคดพี ิเศษ
พระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2551

ไดก้ าหนดวธิ ีการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญาและได้กาหนด
วธิ ีการสบื สวนสอบสวนคดพี เิ ศษเพ่ิมเตมิ โดยสรปุ ได้ดังนี้

1) คณะกรรมการคดีพิเศษมีอานาจออกข้อบังคับการปฏิบัติหน้าท่ใี นคดีพิเศษระหว่าง
หน่วยงานของรฐั ท่เี กีย่ วขอ้ ง ตามมาตรา 22

2) สามารถขอให้หน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน หรือ
เข้าร่วมปฏิบัติหน้าท่ีได้ตามความเหมาะสม โดยหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐได้รับค่าใช้จ่าย
หรือค่าตอบแทน สาหรับการช่วยเหลือ สนับสนุน หรือเข้าร่วมปฏิบัติหน้าท่ี เพื่อให้การดาเนินงาน
มปี ระสิทธิภาพตามมาตรา 22/1

3) พนักงานสอบสวนคดีพิเศษมีอานาจสืบสวนและสอบสวนคดีพิเศษ และเป็น
พนักงานฝ่ายปกครองหรือตารวจช้ันผู้ใหญ่หรือพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญาตามมาตรา 23

4) พนักงานสอบสวนคดีพิเศษมีอานาจสืบสวนคดีอาญาท่ีมีเหตุอันควรสงสัยว่าจะเป็น
คดพี ิเศษ ตามมาตรา 23/1

50

5) พนกั งานสอบสวนคดพี ิเศษมีอานาจ ตามมาตรา 24 ดังน้ี
5.1) เข้าไปในเคหสถาน หรือสถานทใี่ ด ๆ เพื่อตรวจค้น เม่ือมเี หตุสงสยั ตามสมควร

ประกอบกับเชื่อว่าหากเอาหมายค้นมาได้บุคคลอาจเกดิ การหลบหนี ทรัพย์สินอาจถูกโยกย้าย ซุกซ่อน
ทาลาย ทาให้เปล่ียนสภาพไปจากเดิม โดยต้องดาเนินการค้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา และต้องแสดงความบริสุทธิ์ รายงานเหตุและผลการตรวจค้นต่อผู้บังคับบัญชาเหนือข้ึนไป
และให้มอบหนังสือบันทึกเหตุสงสัยในการเข้าค้นให้กับผู้ครอบครองเคหสถานหรือสถานท่ีค้น ในกรณี
เข้าค้นภายหลังพระอาทิตย์ตกพนักงานสอบสวนคดีพิเศษผู้เป็นหัวหน้าในการเข้าค้นต้องเป็น
ข้าราชการพลเรือนระดับ 7 ข้ึนไป

5.2) ค้นบุคคลหรือยานพาหนะท่ีมีเหตุสงสัยตามสมควร ซ่ึงอาจใช้เป็นพยาน
หลักฐานได้

5.3) มีหนังสือสอบถามหรือเรียกให้สถาบันการเงิน ส่วนราชการ องค์การ หรือ
หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจส่งเจ้าหน้าท่ีมาให้ถ้อยคา หรือส่งคาชี้แจงเป็นหนังสือ หรือส่งบัญชี
เอกสาร หรอื หลกั ฐานใด ๆ มาตรวจสอบหรอื เพ่อื ประกอบการพจิ ารณา

5.4) มีหนังสือสอบถามหรือเรียกบุคคลใด ๆ มาเพ่ือให้ถ้อยคา ส่งคาช้ีแจงเป็น
หนังสือ หรอื ส่งบญั ชเี อกสาร หรอื หลักฐานใด ๆ มาตรวจสอบหรือเพ่อื ประกอบการพิจารณา

5.5) ยึดหรืออายดั ทรพั ยส์ ินทีค่ ้นพบ หรือท่ีสง่ มาตามขอ้ (1) – (4)
6) การได้มาซึ่งข้อมูลข่าวสารในกรณีท่ีมีเหตุอันควรเช่ือได้ว่า เอกสารหรือข้อมูล
ข่าวสารอ่ืนใดซ่ึงส่งทางไปรษณีย์ โทรเลข โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เคร่ืองมือ หรือ อุปกรณ์
ส่ือสาร ส่ืออิเล็กทรอนิกส์ หรือส่ือทางเทคโนโลยีสารสนเทศใดถูกใช้หรืออาจถูกใช้ในการกระทา
ความผดิ ที่เป็นคดพี เิ ศษ ตามมาตรา 25
7) การจัดทาเอกสารหรือหลักฐานใดเพ่ือเข้าไปแฝงตัวในองค์กรหรือกลุ่มคนใด เพื่อ
ประโยชน์ในการสบื สวนสอบสวน เป็นการกระทาโดยชอบ ตามมาตรา 27
8) แต่งตั้งที่ปรึกษาคดีพิเศษได้ในคดีพิเศษท่ีมีเหตุจาเป็นต้องใช้ผู้ที่ มีความรู้
ความสามารถเชี่ยวชาญเฉพาะดา้ นเปน็ พเิ ศษ ตามมาตรา 30
9) การมีพนักงานอัยการหรืออัยการทหารมาสอบสวนร่วมหรือปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับ
พนักงาน สอบสวนคดีพิเศษ เพ่ือให้คาแนะนาและตรวจสอบพยานหลักฐานต้ังแต่ชั้นเร่ิมการสอบสวน
ตามมาตรา 32
10) การให้เจ้าหน้าที่รัฐในหน่วยงานอ่ืนมาปฏิบัติหน้าท่ีในกรมสอบสวนคดีพิเศษเพ่ือ
ช่วยเหลอื การสบื สวนสอบสวนคดพี ิเศษ โดยการเสนอของรัฐมนตรีต่อนายกรฐั มนตรี ตามาตรา 33
11) การทาความเห็นแย้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145
ในกรณที ีพ่ นักงานอัยการหรอื อยั การทหารมีคาสั่งไมฟ่ ้องคดี ตามมาตรา 34



52

2.6.6 รำยละเอียดของลักษณะของกำรกระทำควำมผิดท่ีเป็นคดีพิเศษ ตำมมำตรำ 21
วรรคหน่ึง (1) แหง่ พระรำชบญั ญตั ิกำรสอบสวนคดีพเิ ศษ พ.ศ. 2547

ประกาศ กคพ. (ฉบับท่ี 8) พ.ศ. 256558 เรื่อง กาหนดรายละเอียดของลักษณะของ
การกระทาความผิดท่ีเป็นคดีพิเศษ ตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวน
คดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ให้คดีความผิดทางอาญาตามกฎหมายที่กาหนดไว้ในบัญชีท้ายพระราชบัญญัติ
การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และคดีความผิดทางอาญาตามกฎหมายท่ีกาหนดเพิ่มเติมโดย
กฎกระทรวงวา่ ด้วยการกาหนดคดีพิเศษเพ่มิ เติมตามกฎหมายวา่ ดว้ ยการสอบสวนคดีพเิ ศษ พ.ศ. 2547
กฎกระทรวงว่าด้วยการกาหนดคดีพิเศษเพิ่มเติมตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดพี ิเศษ (ฉบับท่ี 2)
พ.ศ. 2555 และกฎกระทรวงว่าด้วยการกาหนดคดีพิเศษเพิ่มเติมตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวน
คดีพิเศษ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559 ซ่ึงมีลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใด ตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1)
(ก) (ข) (ค) (ง) หรือ (จ) แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ซึ่งแก้ไขเพ่ิมเติมโดย
พระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 เฉพาะความผิดซึ่งมีรายละเอียดตามท่ี
กาหนดไว้ในบัญชีท้ายประกาศน้ี ให้อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษมีคาสั่งให้ทาการสอบสวนเป็น
คดีพิเศษที่จะต้องดาเนินการสืบสวนและสอบสวนตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ
พ.ศ. 2547 รวม 25 คดีความผดิ ดังน้ี

1. คดีควำมผดิ ตำมกฎหมำยวำ่ ดว้ ยกำรกูย้ ืมเงินท่ีเป็นกำรฉอ้ โกงประชำชน
คดีความผิดท่ีมีบทกาหนดโทษตามมาตรา 12 มาตรา 15 แห่งพระราชกาหนด

การกู้ยืมเงินท่ีเป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม ท่ีมีหรือมีมูลค่าน่าเชื่อว่า
มีจานวนผ้เู สียหายตง้ั แต่สามรอ้ ยคนขน้ึ ไป หรือมจี านวนเงินท่ีก้ยู มื รวมกนั ต้ังแตห่ นึ่งร้อยลา้ นบาทขน้ึ ไป

2. คดคี วำมผิดตำมกฎหมำยวำ่ ดว้ ยกำรควบคุมกำรแลกเปล่ียนเงนิ
คดีความผิดท่ีมีบทกาหนดโทษตามมาตรา 8 และมาตรา 8 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติ

ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน พ.ศ. 2485 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ที่มีหรือมีมูลน่าเช่ือว่ามีราคาหรือมูลค่า
เป็นเงินตราตา่ งประเทศตง้ั แตห่ า้ สบิ ลา้ นบาทข้ึนไป

3. คดีควำมผิดตำมกฎหมำยว่ำด้วยควำมผิดเกี่ยวกับกำรเสนอรำคำต่อหน่วยงำน
ของรัฐ

คดีความผิดที่มีบทกาหนดโทษตามมาตรา 4 มาตรา 5 มาตรา 6 มาตรา 7 มาตรา 8
มาตรา 10 มาตรา 11 มาตรา 12 และมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับ
การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 ที่มีหรือมีมูลน่าเช่ือว่ามีการกระทาความผิดเกี่ยวกับ
การเสนอราคา เพื่อเป็นผู้มีสิทธิทาสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ซ่ึงมีวงเงินหรือมูลค่าตั้งแต่สามสิบล้าน
บาทขนึ้ ไป

58 กรมสอบสวนคดีพิเศษ, “ประกาศ กคพ. (ฉบับท่ี 8) พ.ศ. 2565 เร่อื ง กาหนดรายละเอียดของลักษณะของการกระทาความผิดทีเ่ ป็น
คดีพิเศษ ตามมาตรา ๒๑ วรรคหน่ึง แหง่ พระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547”, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 139 ตอนพิเศษ
130 ง (9 มิถุนายน 2565). บญั ชีทา้ ยประกาศ : 1-5.

53

4. คดคี วำมผิดตำมกฎหมำยว่ำดว้ ยกำรคมุ้ ครองผู้บรโิ ภค
คดีความผิดท่ีมีบทกาหนดโทษตามมาตรา 47 และมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติ

คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม ที่มีหรือมีมูลน่าเช่ือว่ามีมูลค่าสินค้าหรือบริการ ต้ังแต่
สิบล้านบาทขึ้นไป หรือมีจานวนผู้เสียหายตั้งแต่หน่ึงร้อยคนข้ึนไป ท้ังน้ี ไม่รวมถึงการฝ่าฝืนมาตรา 23
มาตรา 24 มาตรา 25 และมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 และคดี
ความผิดท่มี บี ทกาหนดโทษตามมาตรา 58 และมาตรา 59

5. คดีควำมผิดตำมกฎหมำยว่ำดว้ ยเครื่องหมำยกำรค้ำ
คดีความผิดท่ีมีบทกาหนดโทษตามมาตรา 108 มาตรา 109 มาตรา 109/1 มาตรา 110

และมาตรา 114 แห่งพระราชบัญญัติเคร่ืองหมายการค้า พ.ศ. 2534 และท่ีแก้ไขเพิ่มเติม ที่มีหรือมี
มลู ค่าน่าเชื่อว่ามีการกระทาความผิดในลักษณะเป็นแหลง่ ผลิตแหล่งจาหน่ายสถานท่ีรบั ซื้อสถานที่เก็บ
สินค้า หรือได้นาเข้ามาในราชอาณาจักร โดยมีสิ่งของหรือสินค้าไว้ในความครอบครองเพื่อจะใช้ในการ
กระทาความผิด หรือซึ่งได้มาโดยการกระทาความผิด หรือซ่ึงมีไว้เป็นความผิดอันมีมูลค่าตามราคา
ท้องตลาดต้ังแต่ห้าล้านบาทข้ึนไป หรือคดีท่ีน่าเชื่อว่ามีมูลค่าความเสียหายอันเกิดจากการกระทา
ความผดิ ตั้งแตห่ า้ ลา้ นบาทข้นึ ไป

6. คดีควำมผดิ ตำมกฎหมำยว่ำด้วยบริษัทมหำชนจำกดั
คดีความผิดท่ีมีบทกาหนดโทษตามมาตรา 193 มาตรา 197 มาตรา 216 มาตรา 217

มาตรา 221 และมาตรา 222 แห่งพระราชบัญญัติบรษิ ัทมหาชนจากัด พ.ศ. 2535 และท่ีแก้ไขเพิ่มเติม
ท่มี มี ลู คา่ ความเสยี หายตั้งแต่หา้ สิบล้านบาทขนึ้ ไป

7. คดีควำมผิดตำมกฎหมำยวำ่ ด้วยกำรป้องกันและปรำบปรำมกำรฟอกเงนิ
คดีความผิดท่ีมีบทกาหนดโทษตามมาตรา 60 และมาตรา 61 แห่งพระราชบัญญัติ

ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงนิ พ.ศ. 2542 และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม ที่มีความผิดมูลฐานเป็นคดีพิเศษ
ซึ่งอยู่ในอานาจของพนกั งานสอบสวนคดีพิเศษ หรือคดคี วามผิดมูลฐานท่ีเป็นคดีอาญาอ่ืนท่ีมมี ูลนา่ เชื่อ
วา่ มที รัพยส์ นิ ที่เก่ยี วกับการกระทาความผดิ ท่มี ีมลู ค่าตั้งแต่สามร้อยลา้ นบาทขนึ้ ไป

8. คดีควำมผดิ ตำมกฎหมำยวำ่ ด้วยมำตรฐำนผลติ ภณั ฑอ์ ตุ สำหกรรม
คดีความผิดท่ีมีบทกาหนดโทษตามมาตรา 48 มาตรา 48 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติ

มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 และที่แก้ไขเพ่ิมเติม ท่ีมีหรือมีมูลน่าเชื่อว่ามีมูลค่าผลิตภัณฑ์
ตั้งแต่สิบล้านบาทขึ้นไป หรือมีจานวนผู้เสียหายตั้งแต่หน่ึงร้อยคนข้ึนไปหรือมีจานวนผลิตภัณฑ์ท่ีเก่ียวกับ
ความปลอดภยั หรืออาจเปน็ อันตรายต่อประชาชน จานวนห้าหม่ืนหน่วยขึ้นไปตามชนิดของผลิตภัณฑ์

9. คดคี วำมผดิ ตำมกฎหมำยลิขสิทธ์ิ
คดีความผิดท่ีมีบทกาหนดโทษตามมาตรา 69 มาตรา 69/1 มาตรา 70 และมาตรา

70/1 แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ที่มีหรือมีมูลน่าเช่ือว่ามีการกระทาความผิดในลักษณะ
เป็นแหล่งผลิตแหล่งจาหน่าย สถานที่รับซ้ือ สถานท่ีเก็บสินค้า หรือได้นาเข้ามาในราชอาณาจักร โดยมี
สิ่งของหรือสินค้าไว้ในความครอบครองเพ่ือจะใช้ในการกระทาความผิด หรือซ่ึงได้มาโดยการกระทา
ความผิด หรือซึ่งมีไว้เป็นความผิด อันมีมูลค่าตามราคาท้องตลาดตั้งแต่ห้าล้านบาทข้ึนไป หรือคดีท่ี
นา่ เชื่อว่ามีมลู ค่าความเสียหายอนั เกิดจากการกระทาความผดิ ต้งั แต่ห้าลา้ นบาทขึ้นไป

54

10. คดีควำมผิดตำมกฎหมำยวำ่ ดว้ ยสิทธิบัตร
คดีความผิดท่ีมีบทกาหนดโทษตามมาตรา 85 มาตรา 86 และมาตรา 88 แห่ง

พระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม ที่มีหรือมีหรือมีมูลน่าเชื่อว่ามีการกระทา
ความผิดในลักษณะเป็นแหล่งผลิตแหล่งจาหน่าย สถานที่รับซื้อ สถานที่เก็บสินค้า หรือได้นาเข้ามาใน
ราชอาณาจักร โดยมีสิ่งของหรือสินค้าไว้ในความครอบครองเพื่อจะใช้ในการกระทาความผิด หรือซ่ึง
ได้มาโดยการกระทาความผิด หรือซ่งึ มีไว้เป็นความผิดอนั มีมูลค่าตามราคาท้องตลาดตั้งแต่หา้ ล้านบาท
ขึ้นไป หรือคดที นี่ ่าเชื่อว่ามมี ลู ค่าความเสียหายอันเกิดจากการกระทาความผดิ ตั้งแตห่ า้ ลา้ นบาทขน้ึ ไป

11. คดคี วำมผดิ ตำมกฎหมำยวำ่ ด้วยหลกั ทรัพย์และตลำดหลกั ทรัพย์
คดีความผิดท่ีมีบทกาหนดโทษตามมาตรา 278 มาตรา 281/2 วรรคสอง มาตรา 288

มาตรา 289 มาตรา 296 มาตรา 296/1 มาตรา 300 เฉพาะความผิดตามมาตรา 278 มาตรา 288 มาตรา
289 และ มาตรา 306 ถึงมาตรา 315 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535
และท่แี กไ้ ขเพม่ิ เตมิ ที่มมี ูลค่าความเสยี หายต้ังแตห่ นึ่งร้อยลา้ นบาทขน้ึ ไป

12. คดคี วำมผิดตำมประมวลรษั ฎำกร
คดีความผิดที่มีบทกาหนดโทษตามมาตรา 37 มาตรา 90/4 มาตรา 90/5 และ

มาตรา 91/21 (7) แห่งประมวลรัษฎากรและที่แก้ไขเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นความผิดกรรมเดียวหรือ
หลายกรรมต่างกัน ท่ีมีหรือมีมูลน่าเชื่อว่าเป็นเหตุให้รัฐขาดรายได้เป็นเงินภาษีอากรรวมเบี้ยปรับและ
เงนิ เพม่ิ หรือทจุ รติ ขอคนื ภาษีอากรต้ังแตห่ น่ึงรอ้ ยลา้ นบาทขึน้ ไป

13. คดีควำมผดิ ตำมกฎหมำยวำ่ ดว้ ยศุลกำกร
คดีความผิดท่ีมีบทกาหนดโทษตามมาตรา 205 มาตรา 206 มาตรา 242 มาตรา 243

มาตรา 244 มาตรา 245 มาตรา 246 มาตรา 247 และมาตรา 253 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร
พ.ศ. 2560 ไมว่ ่าจะเปน็ ความผิดกรรมเดยี วหรือหลายกรรมต่างกนั ท่ีมมี ลู คา่ ราคาของรวมค่าภาษีอากร
ทุกประเภทเข้าด้วยกันแล้วรวมเป็นเงินต้ังแต่สามสิบล้านบาทข้ึนไป หรือมีการฉ้อค่าอากรหรือขอคืน
คา่ อากรโดยทุจรติ รวมเป็นเงินค่าภาษีอากรทุกประเภทตงั้ แต่สามสิบลา้ นบาทขน้ึ ไป

14. คดีควำมผดิ ตำมกฎหมำยว่ำด้วยภำษีสรรพสำมิต
คดีความผิดที่มีบทกาหนดโทษตามมาตรา 186 มาตรา 202 มาตรา 203 มาตรา 204

และมาตรา 208 แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 ไม่ว่าจะเป็นความผิดกรรมเดียว
หรือหลายกรรมต่างกัน ท่ีมีหรือมีมูลน่าเช่ือว่ามีมูลค่าสินค้าหรือรายรับของสถานบริการรวมเป็นเงิน
ตัง้ แตส่ ิบลา้ นบาทขน้ึ ไป หรือมปี รมิ าณยาสบู หรือยาเส้นนา้ หนักตัง้ แต่หนึง่ ล้านกรัมขนึ้ ไป หรือมีปรมิ าณ
สุราตั้งแตห่ า้ พันลิตรข้ึนไป

15. คดคี วำมผิดตำมกฎหมำยว่ำดว้ ยกำรกระทำควำมผิดเก่ียวกบั คอมพิวเตอร์
คดีความผิดท่ีมีบทกาหนดโทษตามมาตรา 5 มาตรา 6 มาตรา 7 มาตรา 8 มาตรา 9

มาตรา 10 มาตรา 11 มาตรา 12 มาตรา 14 และมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทา
ความผิดเกยี่ วกบั คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และทแ่ี ก้ไขเพมิ่ เติม ทมี่ ลี ักษณะหนึ่งลกั ษณะใด ดังน้ี

(1) มีผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานสาคัญทางสารสนเทศของประเทศ ด้านความ
มั่นคงและบริการภาครัฐท่ีสาคัญ ด้านการเงิน ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและโทรคมนาคม ด้านการขนส่ง
และโลจสิ ติกส์ ดา้ นพลังงานและสาธารณูปโภค ดา้ นสาธารณสขุ หรอื ดา้ นกระบวนการยตุ ธิ รรม

55

(2) มผี ลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ
(3) มีผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคมหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
อยา่ งร้ายแรง
(4) มีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกจิ การเงินการคลังของประเทศ
16. คดคี วำมผดิ ตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรประกอบธรุ กิจของคนต่ำงด้ำว
คดีความผิดที่มีบทกาหนดโทษตามมาตรา 34 มาตรา 35 มาตรา 36 มาตรา 37
มาตรา 38 และมาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ที่เป็น
การกล่าวหานิติบุคคล หรือคนต่างด้าวซ่ึงมีสินทรัพย์ตามงบแสดงฐานะการเงินรวมกันตั้งแต่หน่ึงร้อย
ล้านบาทข้นึ ไป
17. คดีควำมผิดตำมกฎหมำยว่ำดว้ ยกำรปอ้ งกันและปรำบปรำมกำรคำ้ มนษุ ย์
คดีความผิดท่ีมีบทกาหนดโทษตามมาตรา 52 มาตรา 52/1 มาตรา 53 มาตรา 53/1
มาตรา 53/2 มาตรา 54 มาตรา 55 มาตรา 56 และมาตรา 56/1 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและ
ปราบปรามการคา้ มนุษย์ พ.ศ. 2551 และทแี่ กไ้ ขเพม่ิ เตมิ ทมี่ ีลักษณะอยา่ งหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้
(1) มเี จ้าหนา้ ท่ขี องรฐั มาเก่ยี วข้อง หรือมคี วามเช่ือมโยงกับต่างประเทศ
(2) ได้รับคาร้องขอจากหน่วยงานภาครัฐ หรือหน่วยงานภาครัฐของต่างประเทศ
หรอื องค์การเอกชน
(3) ได้รบั การรอ้ งขอจากผู้เสยี หายตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา
(4) มีรายได้หรือเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจที่เก่ียวข้องกับการค้ามนุษย์มากกว่า
หนง่ึ แสนบาทตอ่ วัน
(5) ผู้กระทาความผิดที่มีลักษณะต่อเนื่อง เป็นเครือข่ายท้ังในประเทศและ
ต่างประเทศ
(6) มีการกระทาในลักษณะเปิดเป็นสถานบริการที่มีขนาดใหญ่ เปิดทาการอย่าง
เห็นได้ชัดโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย
18. คดคี วำมผิดตำมกฎหมำยว่ำดว้ ยแร่
(1) คดีความผิดท่ีมีบทกาหนดโทษตามมาตรา 159 แห่งพระราชบัญญัติแร่
พ.ศ. 2560 ที่เป็นการกระทาต่อแร่ปริมาณตั้งแต่ห้าพันตันข้ึนไป หรือเป็นเนื้อท่ีรวมกันตั้งแต่ห้าสิบไร่
ข้นึ ไป หรอื มลู คา่ ของแรร่ วมกันต้งั แต่สิบลา้ นบาทข้นึ ไป
(2) คดีความผิดท่ีมีบทกาหนดโทษตามมาตรา 163 แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560
ทมี่ ีการซือ้ ขาย ครอบครอง เกบ็ หรอื ขนแรป่ ริมาณตง้ั แต่ห้าสบิ ตันข้ึนไป หรือมูลค่าของแรร่ วมกันต้ังแต่หา้ สิบ
ลา้ นบาทขึน้ ไป
(3) คดีความผิดท่ีมีบทกาหนดโทษตามมาตรา 166 แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560
ที่ปรากฏว่าแร่ที่มีการฝ่าฝืนประกาศตามกฎหมายมีปริมาณตั้งแต่ห้าสิบตันข้ึนไป หรือมูลค่าของแร่
รวมกนั ต้งั แตห่ ้าสิบล้านบาทขน้ึ ไป
(4) คดีความผิดที่มีบทกาหนดโทษตามมาตรา 169 และมาตรา 170 แห่ง
พระราชบัญญตั ิแร่ พ.ศ. 2562 ท่มี ีผลกระทบตอ่ สิ่งแวดล้อมเป็นวงกว้างมเี นื้อที่รวมกันต้ังแต่หนง่ึ ร้อยไร่
ขน้ึ ไป หรือจานวนคนในพื้นที่ดงั กล่าวมีจานวนตงั้ แต่หน่งึ ร้อยคนขึ้นไป

56

19. คดีควำมผดิ ตำมกฎหมำยว่ำด้วยธรุ กจิ สถำบนั กำรเงิน
คดีความผิดที่มีบทกาหนดโทษตามมาตรา 121 มาตรา 132 มาตรา 139 มาตรา 140

มาตรา 141 มาตรา 142 มาตรา 143 มาตรา 144 มาตรา 145 มาตรา 146 มาตรา 147 มาตรา 148
มาตรา 149 และมาตรา 150 แห่งพระราชบัญญตั ิธรุ กิจสถาบันการเงนิ พ.ศ. 2551 และท่ีแก้ไขเพมิ่ เติม

20. คดคี วำมผิดตำมกฎหมำยวำ่ ด้วยวัตถุอนั ตรำย
(1) คดีความผดิ ที่มีบทกาหนดโทษตามมาตรา 73 แห่งพระราชบญั ญัติวตั ถุอันตราย

พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ท่ีมีหรือมีมูลน่าเชื่อว่ามีวัตถุอันตรายในความครอบครองตั้งแต่ห้าสิบ
ลูกบาศก์เมตรหรือห้าสิบตันข้ึนไป หรือมีจานวนผู้ทไี่ ดร้ ับผลกระทบต้งั แต่หนึ่งร้อยคนขึน้ ไป

(2) คดีความผิดที่มีบทกาหนดโทษตามมาตรา 74 มาตรา 75 มาตรา 76 และ
มาตรา 78 แห่งพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพ่ิมเติมท่ีมีหรือมีมูลน่าเชื่อว่ามี
มูลคา่ วัตถุอนั ตรายตง้ั แต่สิบล้านบาทขนึ้ ไป หรอื มจี านวนผ้เู สียหายต้งั แตห่ น่งึ ร้อยคนขนึ้ ไป

21. คดีควำมผดิ ตำมกฎหมำยว่ำดว้ ยกำรสงวนและคุ้มครองสตั วป์ ่ำ
(1) คดีความผิดที่มีบทกาหนดโทษตามมาตรา 89 วรรคสอง เฉพาะความผิดตาม

มาตรา 22 วรรคหนึ่ง มาตรา 93 เฉพาะความผิดตามมาตรา 23 วรรคหน่ึง และมาตรา 94 เฉพาะ
ความผิดตามมาตรา 25 วรรคหน่ึงแห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ที่มีหรือ
มีมูลน่าเช่ือว่ามีมูลค่าความเสียหาย ต้ังแต่ห้าสิบล้านบาทข้ึนไป ท้ังน้ี ตามราคาประเมินท่ีหน่วยงาน
ทีเ่ ก่ียวขอ้ งเป็นผ้ปู ระเมิน

(2) คดีความผิดท่ีมีบทกาหนดโทษตามมาตรา 99 แห่งพระราชบัญญัติสงวน
และคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ที่มีการบุกรุกยึดถือครอบครองพื้นท่ีเขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่าซ่ึงมีเน้ือที่
ต้ังแต่ย่ีสิบห้าไร่ขึ้นไปหรือการบุกรุกยึดถือครอบครองพื้นที่เขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่าท่ีได้มีการออกหนังสือ
แสดงสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินโดยมิชอบด้วยกฎหมายมีเน้ือที่รวมกันตั้งแต่ย่ีสิบห้าไร่ขึ้นไป
หรอื คดที ่มี ีมูลค่าความเสียหายต้ังแต่ห้าสิบล้านบาทขึ้นไป ทงั้ นี้ ตามราคาประเมนิ ท่ีหน่วยงานทเี่ ก่ียวข้อง
เป็นผ้ปู ระเมนิ

22. คดีควำมผิดตำมกฎหมำยวำ่ ด้วยป่ำไม้
(1) คดีความผิดท่ีมีบทกาหนดโทษตามมาตรา 69 แห่งพระราชบั ญญัติป่าไม้

พ.ศ. 2484 และที่แก้ไขเพ่ิมเติม ที่มีหรือมีมูลน่าเชื่อว่ามีมูลค่าความเสียหายเป็นไม้สักหรือไม้พะยูงที่มี
ปริมาตรตั้งแต่สบิ ลกู บาศก์เมตรข้ึนไป

(2) คดีความผิดที่มีบทกาหนดโทษตามมาตรา 72 ตรี แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้
พ.ศ. 2484 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ท่ีมีการบุกรุกยึดถือครอบครองพื้นที่ป่ามีเนื้อท่ีตั้งแต่ห้าสิบไร่ข้ึนไป
หรือการบุกรุกยึดถอื ครอบครองพ้ืนที่ป่าท่ีได้มีการออกหนงั สือแสดงสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมาย
ท่ีดินโดยมิชอบด้วยกฎหมายมีเนื้อที่รวมกันตั้งแต่ห้าสิบไร่ขึ้นไป หรือคดีท่ีมีมูลค่าความเสียหายตั้งแต่
หนง่ึ รอ้ ยล้านบาทขึน้ ไป ท้งั นี้ ตามราคาประเมนิ ท่ีหนว่ ยงานทเี่ กยี่ วข้องเปน็ ผปู้ ระเมิน

(3) คดีความผิดท่ีมีบทกาหนดโทษตามมาตรา 73 เฉพาะความผิดตามมาตรา 48
แห่งพระราชบญั ญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม ท่ีมีหรือมีมูลนา่ เชอ่ื ว่ามีมูลค่าความเสียหาย
เป็นไมส้ กั หรอื ไม้พะยูงทีม่ ีปรมิ าตรต้ังแตส่ บิ ลูกบาศก์เมตรขน้ึ ไป

57

23. คดคี วำมผดิ ตำมกฎหมำยว่ำด้วยป่ำสงวนแหง่ ชำติ
คดีความผดิ ทมี่ ีบทกาหนดโทษตามมาตรา 31 แหง่ พระราชบัญญัตปิ ่าสงวนแหง่ ชาติ

พ.ศ. 2507 และที่แก้ไขเพ่ิมเติม ท่ีมีการบุกรุกยึดถือครอบครองพ้ืนท่ีป่าสงวนแห่งชาติมีเน้ือที่ตั้งแต่
ห้าสิบไร่ขึ้นไป หรือการบุกรุกยึดถือครอบครองพ้ืนที่ป่าสงวนแห่งชาติท่ีได้มีการออกหนังสือแสดงสิทธิ
ในที่ดินตามประมวลกฎหมายท่ีดินโดยมิชอบด้วยกฎหมายมีเน้ือที่รวมกันต้ังแต่ห้าสิบไร่ข้ึนไป หรือคดีท่ีมี
มูลค่าความเสียหายต้ังแต่หน่ึงร้อยล้านบาทขึ้นไป ท้ังนี้ ตามราคาประเมินท่ีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็น
ผู้ประเมนิ

24. คดคี วำมผิดตำมกฎหมำยว่ำดว้ ยอุทยำนแห่งชำติ
คดีความผิดท่ีมีบทกาหนดโทษตามมาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ

พ.ศ. 2562 ที่มีการบุกรุกยึดถือครอบครองพ้ืนท่ีอุทยานแห่งชาตมิ ีเน้ือที่ตั้งแต่ยี่สิบห้าไร่ข้ึนไป หรือการ
บุกรุกยึดถือครอบครองพ้ืนที่อุทยานแห่งชาติที่ได้มีการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินตามประมวล
กฎหมายท่ีดินโดยมิชอบด้วยกฎหมายมีเนื้อท่ีรวมกันต้ังแต่ย่ีสิบห้าไร่ข้ึนไป หรือคดีที่มีมูลค่าความ
เสียหายต้งั แตห่ ้าสบิ ล้านบาทขน้ึ ไป ทงั้ น้ี ตามราคาประเมนิ ทหี่ นว่ ยงานที่เกี่ยวข้องเป็นผปู้ ระเมนิ

25. คดคี วำมผิดตำมประมวลกฎหมำยท่ดี ิน
คดีความผิดท่ีมีบทกาหนดโทษตามมาตรา 108 และมาตรา 108 ทวิ แห่งประมวล

กฎหมายท่ีดิน พ.ศ. 2497 และท่ีแก้ไขเพิ่มเติม ท่ีมีการบุกรุกยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐที่ยังมิได้มี
บุคคลได้มาตามประมวลกฎหมายท่ีดินมีเนื้อทั่ตีงแต่ห้าสิบไร่ขึ้นไป หรือการบุกรุกยึดถือครอบครอง
ทด่ี ินของรัฐที่ได้มีการออกหนงั สือแสดงสิทธิในท่ีดินตามประมวลกฎหมายที่ดินโดยมิชอบดว้ ยกฎหมาย
มีเนื้อท่ีรวมกันต้ังแต่ห้าสิบไร่ขึ้นไปหรือคดีที่มีมูลค่าความเสียหายตั้งแต่หน่ึงร้อยล้านบาทข้ึนไป ท้ังน้ี
ตามราคาประเมนิ ทหี่ นว่ ยงานที่เกย่ี วขอ้ งเป็นผู้ประเมนิ

จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้นเห็นได้ว่าการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษเป็นการสืบสวนสอบสวน
อาชญากรรมที่ไม่ใช่อาชญากรรมโดยทั่วไป (street crime) แต่เป็นอาชญากรรมที่มีความสลับซับซ้อน
เป็นขบวนการ หรือมีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรม ผู้กระทาความผิดเป็นผู้ท่ีมีความรู้ มีการศึกษา
เชี่ยวชาญในเร่ืองนั้น ๆ เป็นการกระทาความผิดข้ามชาติ ซึ่งไม่ใช้ความรุนแรง โหดร้าย ในการกระทา
ความผิด แต่สามารถสร้างความเสียหายหรือสร้างผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ สังคมได้ในวงกว้าง
คดีพิเศษจึงมีความยากในการสืบสวนสอบสวน หรือไม่สามารถเข้าถึงตัวผู้กระทาความผิดที่เป็นตัวการ
สาคัญ หรือผู้ที่อยู่เบ้ืองหลัง หากพยานหลักฐานท่ีมีอยู่อาจไม่ชัดเจน การพิจารณาพิพากษาคดีจึงยัง
ไม่สามารถลงโทษผู้กระทาความผิดได้ หรือไม่สามารถหยุดการก่ออาชญากรรมได้อย่างสิ้นซาก จึงเกิด
อาชญากรรมซ้าแล้วซ้าเล่า แม้ว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษจะมีมาตรการพิเศษต่าง ๆ เป็นเคร่ืองมือใน
การสืบสวนสอบสวน แต่อาชญากรรมก็ได้มีการพัฒนารูปแบบอย่างไม่หยุดยั้ง อีกทั้งตัวการสาคัญ หรือผู้ที่
อยู่เบื้องหลังการกระทาความผิดท่ีป็นคดีพิเศษจะไม่เปิดเผยตัว และไม่มีพยานหลักฐานใดท่ีจะสามารถ
เช่ือมโยงไปถึงได้ ส่งผลให้กฏหมายหรือหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายจาต้องพัฒนาวิธีการใหม่ ๆ ในการ
สืบสวนสอบสวนและแสวงหาพยานหลักฐานเพ่ิมเติม เพื่อเพ่ิมประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย
และการอานวยความยุติธรรมให้กบั ประชาชน

กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงมีแนวคิดในการเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วย
การสอบสวนคดีพิเศษและอานวยความยุติธรรมให้กับประชาชนอย่างเป็นรูปธรรมโดยการกาหนด
แนวทางการกันผตู้ ้องหาหรือผู้กระทาความผดิ เป็นพยานในคดีพเิ ศษ ซึง่ จะได้กลา่ วต่อไป

58

2.6.7 ปญั หำในกำรแสวงหำพยำนหลกั ฐำนเพอ่ื พิสจู น์ควำมผดิ ในคดีพิเศษ
ปัญ หาความร้ายแรงและผลกระทบของการประกอบอาชญ ากรรมที่เป็นคดี พิเศษ

ทาให้เห็นได้ว่าการนามาตรการวิธีพิจารณาความอาญาท่ัวไปมาใช้บังคับกับการดาเนินคดี พิเศษนั้น
ยังไม่เพียงพอ การกระทาความผิดที่มีลักษณะเป็นคดีพิเศษควรมีการบัญญัติกฎหมายเพิ่มเติม เพ่ือไม่
เกิดช่องว่างในการท่ีผู้กระทาความผิดอาจกล่าวหาว่าเจ้าพนักงานกระทาโดยไม่มีกฎหมายให้อานาจไว้
และควรมีมาตรการทางกฎหมายท่ีรับรองการปฏิบัติหน้าท่ีของเจ้าพนั กงานในการแสวงหาพยาน
หลักฐานที่มีประสิทธิภาพ และเป็นพยานหลักฐานสามารถใช้รับฟังในชั้นศาลได้ การแสวงหาพยาน
หลกั ฐานในคดพี เิ ศษเพื่อพสิ จู นค์ วามผดิ ของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษนั้นอาจมีปัญหาดังน้ี

1) ปัญหาข้อจากัดของการแสวงหาพยานหลักฐานในความผิดฐานเป็นตัวการ ผู้ใช้
และผ้สู นับสนนุ ในการกระทาความผิดที่เป็นคดพี ิเศษ

เม่ือพิจารณาถึงหลักตัวการ ผู้ใช้ และผู้สนับสนุน ตามประมวลกฎหมายอาญา
พบว่ามีข้อจากัดในการปรับใช้เพื่อการปราบปรามการกระทาความผิดท่ีเป็นคดีพิเศษที่มีลักษณะเป็น
องค์กรอาชญากรรม หรือขบวนการ หรือผู้มีอิทธิพล เนื่องจากการกระทาความผิดดังกล่าวมีรูปแบบ
และวธิ กี ารท่ยี าก ตอ่ การแสวงหาพยานหลักฐานทีจ่ ะเชอื่ มโยงถึงผู้อยู่เบื้องหลงั ได้

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 บัญญัติว่า ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการ
กระทาของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทาความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการต้องระวางโทษ
ตามทกี่ ฎหมายกาหนดไว้สาหรับความผดิ นน้ั

ซ่ึงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เจ้าหน้าที่จะต้องพิสูจน์ให้
ได้ว่าได้ร่วมกระทาความผิดด้วยกัน หมายความว่า บุคคลท่ีกระทาความผิดนั้นต้องร่วมกระทาความผิด
ด้วยในลักษณะที่ลงมือกระทาการและได้ปฏิบัติงานอย่างแท้จริง ถึงแม้จะมีการแบ่งหน้าท่ีกันกระทา
ความผิด ถือว่าได้ร่วมกระทาความผิดด้วยกัน แต่ในทางปฏิบัติบุคคลท่ีมีสถานะเป็นหัวหน้าองค์กร
อาชญากรรมจะเป็นผู้ออกคาส่ังและควบคุมสมาชิกในขบวนการให้ลงมือกระทาการและปฏิบัติงาน
เท่าน้ัน โดยที่ตนเองเป็นเพียงบุคคลที่อยู่เบ้ืองหลังการกระทาความผิด ไม่ได้มีลักษณะของการร่วม
กระทาความผิดในลักษณะท่ีได้กระทาและปฏิบัติงานอย่างแท้จริง ดังน้ัน ในการดาเนินการกับบุคคล
ที่เป็นหัวหน้าองค์กรอาชญากรรม หรือหัวหน้าขบวนการ จึงประสบความยากลาบากในการแสวงหา
พยานหลกั ฐานเพื่อพิสจู นค์ วามเช่ือมโยงการรว่ มกระทาความผดิ ในฐานะ “ตัวการ”

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84 บญั ญตั ิว่า
“ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทาความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้าง วาน หรือยุยง
สง่ เสริม หรือด้วยวธิ ีอ่นื ใด ผู้นน้ั เปน็ ผู้ใชใ้ ห้กระทาความผดิ
ถ้าความผิดมิได้กระทาลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทา ยังไม่ได้กระทา
หรือเหตุอนื่ ใด ผใู้ ช้ต้องระวางโทษเพียงหน่ึงในสามของโทษท่ีกาหนดไว้สาหรับความผดิ นัน้
ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทาความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ และถ้าผู้ถูกใช้
เป็นบุคคลอายุไม่เกินสิบแปดปี ผู้พิการ ผู้ทุพพลภาพ ลูกจ้างหรือผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้ใช้ ผู้ที่มี
ฐานะยากจน หรือผู้ต้องพ่ึงพาผู้ใช้เพราะเหตุป่วยเจ็บหรือไม่ว่าทางใด ให้เพ่ิมโทษท่ีจะลงแก่ผู้ใช้
ก่งึ หน่งึ ของโทษที่ศาลกาหนดสาหรับผูน้ น้ั ”

59

จากองค์ประกอบความผิดในฐานะ “ผู้ใช้” ตามมาตรา 84 แห่งประมวลกฎหมาย
อาญา การกระทาท่ีจะเป็นความผิดฐานผู้ใช้ได้จะต้องมีการก่อให้ผู้อื่นกระทาความผิดไม่ว่าจะด้วย
วิธีการใด ซ่ึงบุคคลที่เป็นสมาชิกขององค์กรอาชญากรรมย่อมมีเจตนาและทราบว่าตนน้ันมีหน้าที่
ที่จะต้องลงมือกระทาการและปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับการกระทาความผิดอยู่ ล่วงหน้าก่อนลงมือ
กระทาการและปฏิบัติงานทุกคร้ัง ฉะน้ันการที่บุคคลซ่ึงเป็นหัวหน้าหรือผู้อยู่เบื้องหลังมีการใช้ให้
สมาชิกปฏิบัติงานตามท่ีสั่งนั้น จึงถือได้ว่ามีการก่อเจตนาให้ผู้อื่นกระทาความผิดอาญา และสมาชิก
ที่ได้รับคาส่ังนั้นย่อมมีเจตนาตัดสินใจกระทาความผิดและลงมือกระทาความผิดอยู่ก่อนล่วงหน้า
จงึ จาเป็นท่ีเจ้าหนา้ ที่จะต้องแสวงหาพยานหลักฐานในการพิสูจน์ให้ได้ว่าเกิดฐานความผดิ ฐานะ “ผู้ใช้”
ใหผ้ อู้ น่ื กระทาความผิด

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 บัญญตั วิ ่า
“ผู้ใดกระทาด้วยประการใด ๆ อันเปน็ การช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่
ผู้อ่ืนกระทาความผิดก่อนหรือขณะกระทาความผิด แม้ผู้กระทาความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือ
ให้ความสะดวกนั้นก็ตาม ผู้น้ันเป็นผู้สนับสนุนการกระทาความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วน
ของโทษท่กี าหนดไวส้ าหรับความผดิ ท่ีสนบั สนนุ นัน้ ”
การเป็นผู้สนับสนุน มีองค์ประกอบ คือ 1. ต้องมีการกระทาความผิดเกิดข้ึน
2. กระทาด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือหรอื ให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทาความผิดท่ีได้
เกิดข้ึนน้ัน 3. โดยเจตนาช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการท่ีผู้อ่ืนกระทาความผิดท่ีได้เกิดข้ึนน้ัน
4. ก่อนหรือขณะกระทาความผิด 5. ไม่ว่าผู้กระทาความผิดนั้นจะได้รู้หรือมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือ หรอื ให้
ความสะดวกนั้นกต็ าม และทสี่ าคัญการช่วยเหลือหรือใหค้ วามสะดวกอาจจะกระทาโดยการใชค้ าพดู ได้
จากองค์ประกอบความผิดก่อให้เกิดปัญหาในการบังคับใช้และพิสูจน์ความผิ ด
บุคคลที่เป็นหัวหน้าขบวนการที่ว่าน้ัน กล่าวคือ การกระทาความผิดหรือการประกอบอาชญากรรมใน
รูปแบบขององค์กรอาชญากรรมหรือขบวนการ เช่น คดีก่อการร้าย บุคคลที่ลงมือกระทาความผิด
ซง่ึ เป็นสมาชิกขององค์กรหรอื ขบวนการย่อมทราบถงึ หนา้ ท่ีและแนวทางในการลงมอื ปฏิบัตงิ านของตน
เป็นอย่างดีโดยที่มิต้องให้ความช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการกระทาความ ผิดแต่อย่างใด
ประกอบกับบุคคลที่มีสถานะเป็นหัวหน้าองค์กรอาชญากรรมเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการกระทาความผิด
เท่านั้น ซึ่งยากลาบากในการแสวงหาพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความผิดของหัวหน้าองค์กรอาชญากรรม
หรือหวั หน้าขบวนการในฐานะ “ผู้สนบั สนนุ ”
จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น จุดประสงค์ของการสอบสวนคดีพิเศษอยู่ท่ีการแสวงหา
พยานหลักฐาน โดยเฉพาะในกรณีที่คดีความผิดทางอาญาน้ันไม่มีประจักษ์พยาน จากสถิติที่ผ่านมา
การสอบสวนในรูปแบบปัจจุบันอาจไม่สามารถล้วงลึก หรือแสวงหาพยานหลักฐานได้อย่างเพียงพอ
เนอื่ งจากผกู้ ระทาความผดิ เป็นผทู้ ่ีมีความรู้ ความสามารถ มคี วามเชี่ยวชาญในเรือ่ งท่ีกระทาความผิดใน
ระดับมืออาชีพ จึงทาให้คดีสาคัญ ๆ ต้องหลุดพ้นจากเง้ือมือกฎหมายไปได้ ทั้ง ๆ ท่ีสังคมทั่วไปเห็นว่า
ผู้น้ันกระทาความผิดจริง แต่ไม่สามารถแสวงหาพยานหลักฐานมาลงโทษเพ่ือพิสูจน์ถึงการกระทา
ความผิดได้ ดังน้ัน จึงจะเห็นได้ว่า การกระทาความผิดท่ีเป็นคดีพิเศษจึงเป็นคดีความผิดทางอาญาที่มี
รปู แบบและวิธีการท่ียากต่อการแสวงหาพยานหลักฐาน และยากต่อการเชื่อมโยงหาตัวผู้ส่ังการ บุคคล
ที่อยู่เบื้องหลังการกระทาความผิด หรือผู้กระทาความผิดท่ีแท้จริง จึงเป็นปัญหาในการแสวงหา
พยานหลักฐานในคดีพิเศษท่ีสาคัญ หากมีการบัญญัติกฎหมายท่ีสามารถดาเนินการกันผู้ต้องหาหรือ

60

ผู้กระทาความผิดไว้เป็นพยานได้แล้ว จะสามารถเพ่ิมประสิทธิภาพในการแสวงหาพยานหลักฐานของ
พนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้ และจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการได้มาซึ่งพยานหลักฐานในคดีพิเศษ
จะทาให้เพิ่มประสิทธิภาพในการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ สามารถนาผู้กระทาความผิดมาลงโทษได้
อันจะทาให้ประชาชนมีความเช่ือมัน่ ในกระบวนการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษและกระบวนการยุติธรรม
ทางอาญาในชั้นพนกั งานสอบสวนมากยง่ิ ขนึ้

2) ปัญหาพยานบุคคลในคดพี เิ ศษ
ประเด็นสาคัญที่เป็นปัญหาในการปฏิบัติหน้าท่ีคือ การแสวงหาพยานหลักฐาน

ในคดีพิเศษซึ่งเป็นพยานบุคคล จะมีความเส่ียงต่อพยาน อันจะส่งผลต่อรูปคดีในการสอบสวน ทาให้
ไม่สามารถแสวงหาพยานหลักฐานโดยเฉพาะพยานบุคคล ซึ่งพยานบุคคลจะนาผู้กระทาผิดท่ีแท้จริง
และอยู่เบ้ืองหลังการกระทาผิดมาพิสูจน์ความผิดได้ จากการศึกษาพบว่าปัญหาของพยานบุคคลใน
คดพี เิ ศษ มีดงั ต่อไปน้ี

2.1) คดีความผิดทางอาญาที่มีอัตราโทษสูง ผู้กระทาความผิดจะมีเหตุจูงใจอย่าง
มากในการพยายามทาร้ายพยาน เพ่ือปกปิดการกระทาความผิดของตน และกระทาทุกวิธีทางที่จะ
ไมใ่ หพ้ ยานดงั กล่าวมาเบกิ ความตอ่ ศาล ทาใหต้ นถกู พิพากษาลงโทษ

2.2) พยานบุคคลในคดีท่ีผู้กระทาผิดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้กระทาความผิด
ประเภทนี้จะเป็นผู้มีอานาจและอาจเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย ซึ่งอาจใช้อานาจของตนในทางมิชอบแก่
พยานบคุ คลได้

2.3) พยานบุคคลในคดีความผิดเกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพล และคดีความผิดเกี่ยวกับ
ความม่ันคง ถ้าหากพยานกลุ่มน้ีเกี่ยวข้องกับการกระทาความผิด พยานมักจะไม่กล้าให้ความร่วมมือ
กับเจ้าหน้าที่ของรัฐ พยานประเภทน้ีส่วนใหญ่จะเป็นผู้ร่วมกระทาผิดหรืออยู่ในขบวนการแต่ถูก
จับกมุ ตัวได้

โดยสรุป การกระทาความผิดเก่ียวกับคดีพิเศษน้ียากต่อการแสวงหาพยาน
หลักฐานทั้งท่ีเป็นพยานวัตถุ พยานเอกสาร พยานบุคคล หรือพยานอื่น ๆ ด้วยปัจจัยหลาย ๆ ด้าน
ในส่วนของพยานบุคคลน้ัน ส่วนใหญ่บุคคลที่พบเห็นเหตุการณ์จะไม่ให้ความร่วมมือในการให้ถ้อยคา
อันเป็นประโยชน์ต่อการสืบสวนสอบสวน เน่ืองจากเกรงความไม่ปลอดภัยจากการกลับมาทาร้ายของ
กลุ่มผู้กระทาความผิด ดังนั้น หากมีกฎหมายให้ใช้มาตรการเก่ียวกับการกันผู้ต้องหาเป็นพยานมาปรับ
ใช้ในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมที่เป็นคดีพิเศษ โดยมีมาตรการคุ้มครองพยานร่วมด้วย
ควบคู่กันไป ซ่ึงสอดคล้องกับมาตรการ ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรม
ข้ามชาติท่ีจัดต้ังในลักษณะองค์กร จะทาให้การแสวงหาพยานหลักฐานเพื่อเช่ือมโยงถึงตัวผู้กระทา
ความผิดซงึ่ เปน็ หัวหน้าองคก์ รหรือหัวหน้าขบวนการเป็นไปอย่างมปี ระสทิ ธิภาพมากย่งิ ข้ึน

2.6.8 ควำมแตกตำ่ งในกำรสบื สวนสอบสวนระหวำ่ งคดพี ิเศษกับคดอี ำญำทวั่ ไป
1) เร่ืองอานาจหน้าที่ มาตรา 14 บัญญัติว่า “ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษมีพนักงาน

สอบสวนคดีพิเศษและเจ้าหน้าท่ีคดีพิเศษเพื่อทาหน้าที่ดาเนินการเกี่ยวกับคดีพิเศษตามที่กาหนดใน
พระราชบัญญัตินี้” ซึ่งหมายความว่า พระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 จะให้อานาจ
แก่พนักงานสอบสวนคดีพิเศษและเจ้าหน้าท่ีคดีพิเศษเฉพาะการสืบสวนสอบสวนในคดีพิเศษเท่านั้น
ประกอบกับ มาตรา 23 กาหนดให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษมีอานาจสืบสวนและสอบสวนคดีพิเศษ
และเป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตารวจช้ันผู้ใหญ่ หรือพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธี

61

พิจารณาความอาญา แล้วแต่กรณี สาหรับคดีอาญาท่ัวไป เจ้าหน้าท่ีตารวจเป็นพนักงานสอบสวน
มีอานาจสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซ่ึงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญาแบ่งพนักงานสอบสวนออกเป็นสองฝ่าย59 คือ พนักงานสอบสวนฝ่ายตารวจ และพนักงาน
สอบสวนฝ่ายปกครอง โดยพนักงานสอบสวนฝ่ายตารวจจะมีเขตอานาจสอบสวนได้ทั่วราชอาณาจักร
ในทุกประเภทคดี แต่พนักงานสอบสวนฝ่ายปกครองจะมีอานาจสอบสวนเฉพาะความผิดอาญาบาง
ประเภทในจังหวัดอ่ืนนอกจากกรุงเทพมหานครตามกฎกระทรวงกาหนดการสอบสวนความผิดอาญา
บางประเภทในจังหวดั อน่ื นอกจากกรุงเทพมหานครโดยพนักงานสอบสวนฝ่ายปกครอง พ.ศ. 2554

2) เร่อื งเขตอานาจ พระราชบัญญตั กิ ารสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ไมไ่ ด้ระบชุ ัดเรื่อง
เขตอานาจการสอบสวน แต่หากคดีความผิดทางอาญาที่เป็นคดีพิเศษ ซ่ึงมีลักษณะตามท่ีกาหนดใน
มาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 จะมีอานาจการสืบสวนสอบสวนได้
ไมว่ ่าอยู่ในพื้นท่ีใดในประเทศไทย ซง่ึ แตกต่างกบั คดอี าญาทว่ั ไปท่ีพนักงานสอบสวนจะมีเขตอานาจการ
สอบสวนตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาอาญา มาตรา 18 มาตรา 19

3) เร่ืองการประสานการปฏิบัติงาน การให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนหรือเข้าร่วมปฏิบัติ
หน้าที่ในคดีพิเศษระหว่างหน่วยงานของรัฐ หรืออาจเรียกว่าการประสานงานและการสนธิกาลัง
ระหว่างหน่วยงานของรัฐในคดพี ิเศษ โดยกฎหมายได้กาหนดให้อานาจไว้ตามมาตรา 22 และมาตรา 22/1
แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพเิ ศษ พ.ศ.2547 และขอ้ บังคับ กคพ. ที่เก่ียวข้อง ซึง่ เป็นมาตรการ
พิเศษท่ีให้หน่วยงานของรัฐต่าง ๆ ให้การสนับสนุนด้านต่าง ๆ ในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงาน
สอบสวนคดีพิเศษ ทาให้การปฏิบัติงานของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษมีความคล่องตัวในทุกพ้ืนท่ี
เนื่องจากกรมสอบสวนคดีพิเศษไม่มีการแบ่งโครงสร้างหน่วยงานที่มีที่ต้ังในทุกจังหวัด หรือทุกอาเภอ
เหมือนสานักงานตารวจแห่งชาติ ที่มีสถานีตารวจในทุกพื้นท่ี ทุกจังหวัด ทุกอาเภอ ซ่ึงมีกาลังพล
จานวนมากในการปฏบิ ตั หิ นา้ ที่

4) มาตรการพิเศษอ่ืน ๆ ที่กาหนดไว้ในพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547
สามารถเพม่ิ ประสิทธิภาพในการปฏิบัติหนา้ ที่สบื สวนสอบสวนคดีพิเศษ อาทิ

มาตรา 24 อานาจเข้าไปในเคหสถานหรือสถานท่ีใด ๆ เพื่อตรวจค้นเมื่อมีเหตุ
สงสัยตามสมควร ให้อานาจในการค้นบุคหรือยานพาหนะ ที่มีเหตุสงสัยตามสมควร ให้อานาจในการ
มีหนังสือสอบถามหรือเรียกให้สถาบันการเงิน ส่วนราชการ องค์การ หรอื หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ
ส่งเจ้าหน้าที่มาให้ถ้อยคา ส่งคาช้ีแจงเป็นหนังสือ หรือส่งบัญชีเอกสาร หรือหลักฐานใด ๆ มาเพื่อ
ตรวจสอบ ให้อานาจในการมีหนังสือสอบถามหรือเรียกบุคคลใด ๆ มาให้ถ้อยคา ส่งคาช้ีแจงเป็หนังสือ
สง่ บญั ชีเอกสาร หรือหลักฐานใดเพ่ือตรวจสอบ ใหอ้ านาจในการยึดหรืออายดั ทรพั ย์สินที่ค้นพบ เป็นตน้

มาตรา 25 การได้มาซึ่งข้อมูลข่าวสารอ่ืนใดซึ่งส่งทางไปรษณีย์ โทรเลข โทรศัพท์
โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องมือหรืออุปกรณ์สื่อสาร ส่ืออิเล็กทรอนิกส์ หรือสื่อทางเทคโนโลยีสารสนเทศ
อื่นใดทอี่ าจถูกใช้ในการกระทาความผิดท่เี ป็นคดีพเิ ศษ

59 อนุชาติ คงมาลยั , “พนักงานสอบสวนฝา่ ยปกครอง,” 2556, สบื คน้ เมอ่ื 22 สิงหาคม 2564. http://www.ago.go.th/
articles_56/article_040356.pdf /

62

มาตรา 27 มีอานาจใหบ้ คุ คลใดจัดทาเอกสารหรือหลักฐานใดข้ึนหรือเข้าไปแฝงตัว
ในองค์กรหรือกลุ่มคนใด เพื่อประโยชน์ในการสืบสวนสอบสวน โดยการจัดทาเอกสารหรือหลักฐานใด
หรือการเข้าไปแฝงตัวในองค์กร หรือกลุ่มคนใดเพื่อประโยชน์ในการสืบสวนสอบสวน ให้ถือว่าเป็นการ
กระทาโดยชอบ

มาตรา 30 กรณีมีเหตุจาเป็นต้องใช้ความรู้ความเช่ียวชาญเฉพาะด้านเป็นพิเศษ
อาจแตง่ ตัง้ บุคคลซึ่งมคี วามรคู้ วามเช่ียวชาญเฉพาะในด้านนัน้ เปน็ ทป่ี รึกษาคดพี เิ ศษได้

มาตรา 31 ค่าใช้จ่ายในการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษและวิธีการเบิกเงินทดรอง
จา่ ยเป็นไปตามระเบยี บกระทรวงยุตธิ รรม โดยไดร้ ับความเหน็ ชอบจากกระทรวงการคลงั

มาตรา 32 พนักงานอัยการหรืออัยการทหารมาสอบสวนร่วมกับพนักงานสอบสวน
คดีพิเศษ หรือมาปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับพนักงานสอบสวนคดีพิเศษเพ่ือให้คาแนะนาและตรวจสอบพยาน
หลกั ฐานตง้ั แต่ช้นั เรมิ่ การสอบสวน แลว้ แตก่ รณกี ไ็ ด้

มาตรา 33 กรณีมีความจาเป็นเพ่ือประโยชน์ในการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ
รฐั มนตรีอาจเสนอให้นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลมีคาส่ังตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหาร
ราชการแผ่นดินให้เจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานอื่นมาปฏิบัติหน้าท่ีในกรมสอบสวนคดีพิเศษเพ่ือ
ช่วยเหลอื ในการสืบสวนสอบสวนคดีพเิ ศษได้

2.6.9 ควำมแตกต่ำงของลกั ษณะคดีพเิ ศษกบั คดีอำญำทว่ั ไป
1) ลักษณะของคดีอาญาท่ัวไปจะเป็นความผิดที่มีรูปแบบอาชญากรรมท่ีไม่ซับซ้อน

มีรูปแบบอาชญากรรมท่ัวไป (street crime)60 การกระทาความผิดต่าง ๆ กระทาต่อร่างกาย
การกระทาผิดต่อทรัพย์ อาทิ การทาร้ายร่างกาย การฆาตกรรม การข่มขืน การลักทรัพย์ ปล้นทรัพย์
ว่ิงราวทรัพย์ ชิงทรัพย์ ซ่ึงการกระทาผิดเหล่าน้ีแต่เดิมในอดีตมีลักษณะในการกระทาความผิดท่ี
ไม่ซับซ้อน ไม่มีการใช้เทคโนโลยีข้ันสูงในการประกอบอาชญากรรม ผู้ประกอบอาชญากรรมมักมี
คนเดียว หรือแม้จะมีการรวมกลุ่มก็จะมีจานวนไม่มาก อาชญากรส่วนใหญ่มักเป็นผู้ที่มีการศึกษาไม่สูง
หรือเป็นผู้ด้อยโอกาสทางสังคมเป็นหลัก61 ซึ่งคดีดังกล่าวจะอยู่ในความรับผิดชอบของพนักงาน
สอบสวน สานักงานตารวจแห่งชาติ ซ่ึงลักษณะความผิดน้ีจะสามารถเกิดข้ึนได้ในทุกพื้นท่ีท้ังในเมือง
หลวง ในส่วนภูมิภาค หรือแม้แต่ในชนบท โดยคดีความผิดอาญาทั่วไปมีความแตกต่างจากคดีพิเศษ
ซ่ึงเป็นคดีที่มีความสลับซับซ้อน มีมูลค่าความเสียหายจานวนมากหรืออาจเรียกว่า “อาชญากรรม
ทางเศรษฐกิจ” Edwin H. Sutherland เป็นผู้ที่ได้ทาการศึกษาเก่ียวกับอาชญากรรมคอเช้ิตขาว
(White-Collar Crime)62 ได้ให้คานิยามของอาชญากรรมคอเชิ้ตขาวไว้ว่า “การกระทาความผิด
โดยบุคคลที่มีผู้ที่มีความรู้ มีประสบการณ์ในเรื่องดังกล่าว มีสถานภาพทางสังคมในระดับสูง มีสถานะ
ทางเศรษฐกิจและสังคมท่ีดี ซ่ึงการกระทาความผิดในลักษณะนี้อาจอาศัยตาแหน่ง อานาจหน้าที่เป็น
ช่องทางในการกระทาความผิด โดยการกระทาความผิดที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบและสร้างความ

60 จอมเดช ตรเี มฆ, “การเปล่ยี นแปลงทางสงั คมและอาชญากรรมกับการเปลีย่ นแปลงในรปู แบบการรักษาความปลอดภยั : การเข้ามามี
บทบาทของกล้องโทรทศั นว์ งจรปิดในการรักษาความปลอดภยั และการควบคมุ อาชญากรร,” วารสารกระบวนการยุตธิ รรม ปีที่ 6 เลม่ ท่ี
2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2556) : 87.
61 เร่อื งเดยี วกัน
62 ณชิ นันทน์ อิศรางกรู ณ อยธยา และปยิ ะนุช โปตะวณิช, “อาชญากรรมทางเศรษฐกจิ และการลงโทษทางอาญาทีเ่ หมาะสม : ศกึ ษา
กรณกี ารฉ้อโกงประชาชน,” ( วทิ ยานิพนธป์ รญิ ญามหาบณั ฑิต, คณะนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธุรกจิ บณั ฑิตย,์ 2562), 11.

63

เสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ” ซ่ึงคดีพิเศษเป็นคดีท่ีมีรูปแบบอาชญากรรมในลักษณะ
ดังกล่าว เป็นอาชญากรรมที่อาจไม่สะเทือนขวัญของประชาชน มีการใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงใน
การกระทาความผิด มีวิธีการปิดบังอาพราง การกระทาความผิดที่แยบยล โดยอาศัยตาแหน่ง อานาจ
หน้าที่ของตน หรือโดยอาศัยช่องว่างของกฎหมายในหลาย ๆ คดีมีลักษณะการกระทาความผิดท่ีเป็น
เครอื ข่าย เป็นองค์กรอาชญากรรม มีการแบ่งงานกันทาโดยไม่เชื่อมโยงในแง่ของการรบั รู้ซึ่งกันและกัน
มกี ารกระทาความผิดในพนื้ ทอ่ี ย่างกว้างขวางซึ่งอาจเกิดภายในประเทศ อาจเกิดภายนอกประเทศ หรือ
อาจเกิดท้ังภายในประเทศและภายนอกประเทศร่วมกันก็ได้ อาทิ คดีความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์
คดีความผดิ เกย่ี วกับการถือหุน้ แทนคนต่างดา้ ว เปน็ ต้น

2) ผลกระทบท่ีเกิดขึ้นจากการกระทาความผิด โดยการกระทาความผิดที่เป็นคดีอาญา
ท่ัวไป มักส่งผลกระทบต่อส่วนตัวบุคคลหรือผู้ได้รับความเสียหายคนใดคนหนึ่งเป็นการเฉพาะเจาะจง
และมีมูลค่าความเสียหายจานวนไม่มากนัก แตกต่างจากการกระทาความผิดท่ีเป็นคดีพิเศษ ซ่ึงส่วนใหญ่
เป็นอาชญากรรม ทางเศรษฐกิจที่มีผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจอย่างรุนแรง กระทบต่อความม่ันคง
และความเช่ือม่ันต่อประเทศในเรื่องการค้าการลงทุนของชาวต่างประเทศ และมีผลต่อเสถียรภาพทาง
การเมืองกอ่ ให้เกิดความสูญเสียอย่างมหาศาลในบางคดีสรา้ งความเสยี หายทไี่ ม่สามารถประเมินค่าได้

2.7 มำตรกำรกำรกนั ผูต้ ้องหำหรอื ผกู้ ระทำควำมผิดไว้เป็นพยำน
การแสวงหาพยานหลักฐานเพื่อนาตัวผู้กระทาความผิดมาลงโทษของตารวจห รือพนักงาน

สอบสวนนั้น มีหลากหลายวิธีที่แตกต่างกันออกไปข้ึนอยู่กับว่าเป็นการกระทาความผิดประเภทใดและ
หน่ึงในหลาย ๆ วิธีที่ได้ถือปฏิบัติกันมาเป็นเวลานาน คือ การกันผู้ต้องหาเป็นพยาน ซึ่งแนวคิดในการ
กัน ผู้ ต้องห าเป็ น พ ยาน นี้เกิดข้ึน เพ ราะความจ าเป็ นในการรว บรว มแล ะแส ว งห าพ ยาน ห ลั กฐ าน
เน่ืองจากว่าในการรวบรวมพยาน หลักฐานของพนักงานสอบสวนอาจจะไม่ได้พยานหลักฐานหรือ
เบาะแสที่เก่ียวกับการกระทาความผิดเลย หรือได้พยานหลักฐานมาแต่พยานหลักฐานที่ได้ไม่สามารถ
เช่ือมโยงไปถึงผู้กระทาความผิดที่เป็นตัวการใหญ่ได้ ดังน้ัน การกันผู้ต้องหาเป็นพยานจึงเป็นวิธีการ
หน่ึงที่สามารถนาตัวผู้กระทาความผิดที่แท้จริง หรือผู้กระทาความผิดท่ีเป็นตัวการใหญ่มาลงโทษได้
ซึ่งผู้ต้องหาหรือผู้กระทาความผิดท่ีถูกกันไว้เป็นพยานนี้เป็นหน่ึงในผู้กระทาผิดที่มีจานวนหลาย ๆ คน
แตไ่ ด้ถูกกันออกมาไว้เป็นพยาน เพื่อท่ีจะตอ้ งการให้ไดข้ ้อมูลที่จะเช่ือมโยงไปถึงผู้กระทาความผิดท่ีเป็น
ตัวการใหญ่หรือตัวการสาคัญได้ โดยเหตผุ ลท่ีกันผูต้ ้องหาไวเ้ ปน็ พยานน้ัน อาจจะเกิดจากในขณะท่ีเกิด
เหตุการณ์นั้นไม่มีประจักษ์พยานคนใดเลยท่ีเห็นการกระทาความผิด หรือความผิดที่ได้กระทาลงน้ัน
เป็นเรื่องที่รู้เห็นเฉพาะผู้ร่วมกระทาความผิดด้วยกันเอง ซ่ึงเป็นการยากลาบากท่ีจะหาพยานหลักฐาน
มาเอาผิดกับบุคคลเหล่านั้นได้ หรือการกระทาความผิดท่ีเป็นองค์กรอาชญากรรม ผู้กระทาความผิด
มีหลายคน ซึ่งแต่ละคนจะรับหน้าที่กระทาความผิดต่างกัน จึงยากท่ีจะจับตัวผู้กระทาความผิดท่ีเป็น
ตัวการใหญ่นามาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เมื่อไม่สามารถจับตัวการใหญ่ได้แล้ว อาชญากรรมก็จะยัง
เกิดขึ้นต่อไป เพราะตัวการที่แท้จริงยังคงกระทาความผิดอยู่น่ันเอง ด้วยเหตุนี้ จึงถือได้ว่าวิธีการกัน
ผู้ต้องหาเป็นพยานนี้ เป็นวิธีการท่ีสามารถนาตัวผู้กระทาผิดในอาชญากรรมที่มลี ักษณะพิเศษมาลงโทษ
อาทิ อาชญากรรมข้ามชาติ องค์กรอาชญากรรม อาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หรืออาชญากรรมอ่ืนที่มี
ความซบั ซ้อนท่ไี ม่ใช่คดีอาญาท่ัวไป

64

2.7.1 ควำมหมำยและท่ีมำ
การกันผู้ต้องหาเป็นพยาน หมายถึง กระบวนการที่พนักงานสอบสวนเสนอขอกัน

ผูต้ ้องหา ซ่ึงร่วมกระทาความผิดคนใดคนหน่ึงหรือหลายคน ซึง่ มิใช่ตวั การสาคญั ในการกระทาความผิด
และยินยอม ให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีไว้เป็นพยาน โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือนาคาใหก้ ารของพยาน
ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงท่ีเกิดขึ้นไปเป็นพยานหลักฐานในการดาเนินคดีต่อผู้กระทาความผิดรายอื่น ๆ ใน
คดีเดียวกัน การกันผู้ต้องหาไว้เป็นพยานเป็นวิธีการแสวงหาข้อเท็จจริงในคดีอาญาที่มีความจาเป็น
ท้ังในระบบคอมมอนลอว์ (Common Laws) และซีวิลลอว์ (Civil Laws) เนื่องจากเป็นเร่ืองของ
นโยบายอาญา63 ที่มีความจาเป็นที่จะต้องแสวงหาพยานหลักฐานในการกระทาความผิดบางประเภท
ซ่ึงพยานหลักฐานส่วนใหญ่หรือท้ังหมดอยู่ที่ตัวของผู้กระทาผิดเอง หรือเป็นความผิดที่มีความ
สลับซับซ้อนท่ียากแก่การสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงและนาผู้กระทาความผิดมาดาเนินคดีและได้รับ
โทษตามกระบวนการยุติธรรมได้ เช่น อาชญากรรมที่มีลักษณะเป็นการจัดต้ังองค์กร อาชญากรรม
ข้ามชาติ อาชญากรรมที่ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ ความม่ันคง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
หรือรวมถึงคดีท่ียากที่จะเชื่อมโยงไปถึงบุคคลที่อยู่เบื้องหลังการกระทาความผิด64 อย่างไรก็ตาม
การแสวงห าพยานห ลักฐาน ของเจ้าห น้าที่ ต้องคานึ งถึงสิท ธิของผู้ถูก กันไว้เป็น พยาน ด้วยเช่นกั น
กล่าวคือ การกันผู้ต้องหาไว้เป็นพยานต้องสอดคล้องกับหลักการไม่ให้การเป็นปฏิปักษ์ต่อตนเองตาม
หลักกฎหมายอาญาและหลักสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานเพื่อเพิ่มความโปร่งใสและประสิทธิภาพในการ
ทางานของบคุ ลากรภาครัฐ

การกันผู้ต้องหรือผู้กระทาความผิดเป็นพยานเป็นการปฏิเสธหลักตามทฤษฎีแก้แค้น
ทดแทน (Retributive Theory) ซ่ึงเชื่อว่า เม่ือมีผู้กระทาความผิดเขาควรถูกลงโทษเพ่ือชดเชยความ
ยุติธรรมท่ีเสียไปให้คืนมา ทฤษฎีอรรถประโยชน์ (Utilitarian Theory) เห็นว่า ความชอบธรรมในการ
ลงโทษอยู่ที่ผลดีที่การลงโทษก่อให้เกิดข้ึน การกันตัวผู้กระทาความผิดไว้เป็นพยานแม้จะมีผลทาให้
ผู้กระทาความผิดที่เป็นพยานหลุดพ้นจากความรับผิดทางอาญา แต่หากคาให้การนั้นสามารถทาให้
ลงโทษผู้กระทาความผิดอ่ืนได้ ซ่ึงหากพิจารณาโดยสัดส่วนแล้วปรากฏว่าส่วนของการกระทาผิดของ
ผ้กู ระทาผิดอ่ืนมีผลกระทบต่อสังคมมากกว่าส่วนของผู้กระทาผิดที่จะถูกกันไวเ้ ป็นพยาน การกันผู้ร่วม
กระท าที่ มี สั ดส่ ว น ท่ี จ ะก่อให้ เกิดผ ล กระทาต่ อสั งค มน้ อย กว่าไว้เป็ น พ ย าน จึงก่อให้ เ กิดป ระโยช น์
สาธารณะอยา่ งย่ิง ในบางประเทศทีใ่ ช้หลกั การดาเนินคดีอาญาตามดุลพนิ ิจ (Opportunity Principle)
ซ่ึงเป็นระบบท่ีให้เจ้าพนักงานฝ่ายบริหารมีบทบาทเป็นองค์ประกอบท่ีสาคัญในกระบวนการยุติธรรม
เจ้าพนักงาน ฝ่ายบริหาร โดยเฉพาะอย่างย่ิงพนักงานอัยการสามารถใช้ดุลพินิจสั่งคดีอาญาได้ โดย
พิจารณาถึงการค้นหาความจริง (Facts Finding) ภูมิหลังของผู้ต้องหา พยานหลักฐาน พยานบุคคล
ส่ิงแวดล้อม ตลอดจนนโยบายของรัฐ การปรับข้อเท็จจริงเข้ากับหลักกฎหมาย รวมทั้ง การพิจารณาว่า
อะไรเป็นสิ่งท่ีพึงประสงค์ในสถานการณ์น้ัน หลังจากท่ีทราบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้วพนักงาน

63 สชุ นิ ต่างงาน, “การกนั ผรู้ ว่ มกระทาความผิดเป็นพยาน,” (วิทยานพิ นธ์ปรญิ ญามหาบณั ฑิต, คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์
, 2529), 147.
64 กรองทอง แย้มสอาด, “การกนั ผู้ต้องหาไว้เปน็ พยาน:ข้อพิจารณาตามกฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน,” (วทิ ยานิพนธป์ รญิ ญา
มหาบณั ฑิต, คณะนติ ศิ าสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2547), 16.

65

อัยการอาจใช้ดุลพินิจสั่งไม่ฟ้องในคดีอาญาบางคดี จึงมีพื้นฐานที่จะพิจารณาไม่ดาเนินคดีต่อบุคคลใด
เพ่อื ประโยชน์สาธารณะอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพมากข้นึ 65

ปญั หาอาชญากรรมมีความซับซ้อนขน้ึ ตลอดเวลาควบคกู่ ับการพัฒนาไปของความเจริญ
ด้านอ่ืน ๆ ของมนุษย์โดยเฉพาะในช่วงเวลานับต้ังแต่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่มีการพัฒนารูปแบบ
สังคมมนุษย์ได้ก้าวไปสสู่ ังคมแบบองค์กร (Organic Society) อาชญากรรมก็เริ่มมีการจัดต้ังในลกั ษณะ
องค์กรเช่นกันอาชญาก รรมดังกล่าวกระทาโดยบุคคลหลายคนร่วมกันกระทาโดยแต่ละคนกระ ทา
ในแต่ละส่วน การจะพิสูจน์ความผิดของแต่ละบุคคลเพ่ือนามาลงโทษน้ันไม่อาจกระทาได้โดยง่าย
หากไม่มีขอ้ มลู ขา่ วสารจากภายในกล่มุ ของผู้กระทานนั้ ที่จะเชื่อมโยงการกระทาต่าง ๆ เข้าดว้ ยกนั 66

2.7.2 กำรกนั ผู้ต้องหำเป็นพยำนในประเทศไทย
ประมวลกฎหมายวิธพี ิจารณาความอาญาของไทยไม่ได้บัญญัตเิ รื่องการกันผู้ต้องหาเป็น

พยานเป็นลายลักษณ์อักษร แต่อย่างไรก็ตาม หน่วยงานท่ีมีหน้าท่ีในการรักษาความสงบเรียบร้อยของ
บ้านเมือง คือ สานักงานตารวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่ทาหน้าท่ีทนายของแผ่นดิน คือ สานักงาน
อัยการสูงสุดก็ได้กาหนดแนวทาง หลักเกณฑ์ และวิธีปฏิบัติในเรื่องดังกล่าวไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
นอกจากน้ี ในหน่วยงานอ่ืน ๆ อาทิ สานักงาน ป.ป.ช. สานักงาน ป.ป.ท. สานักงาน ก.ก.ต. ก็ได้ นา
มาตรการการกันบุคคลหรือผู้ต้องหาเป็นพยาน มาใช้โดยบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรในกฎหมาย/
ระเบียบของหน่วยงาน เพ่ือเพ่ิมวิธีการในการปฏิบัติงานและเพ่ือเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้
กฎหมายน้ัน ๆ ส่งผลใหป้ ระสิทธภิ าพในการอานวยความยุตธิ รรมใหก้ บั ประชาชนในท่สี ุด

ระบบการดาเนินคดีอาญาในประเทศไทยนั้นมีกระบวนการดาเนินคดีตงั้ แต่ชั้นพนักงาน
สอบสวน ช้ันพนักงานอัยการ และชั้นศาล โดยในแต่ละกระบวนการน้ันมีความอิสระต่อกัน ซึ่งในเรื่อง
การกันผู้ต้องหาเป็นพยานคดีอาญา สามารถเร่ิมดาเนินการได้ตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวน ซึ่งเมื่อ
พนกั งานสอบสวนพจิ ารณาแลว้ เห็นวา่ ไม่สามารถแสวงหาพยานหลกั ฐานอื่นใดมาใชเ้ ป็นพยานหลักฐาน
ในการกล่าวหาผู้กระทาความผิดได้แล้ว และเห็นว่าการกันผู้ต้องหาหรือผู้ร่วมกระทาความผิดดังกล่าว
มาเป็นพยานในการกล่าวหาผู้กระทาความผิดเป็นพยานท่ีมีความน่าเช่ือถือ มีน้าหนัก ประกอบกับ
พยานหลักฐานอื่น จะสามารถทาให้ศาลเชื่อได้ว่าผู้ถูกกล่าวหากระทาความผิดจริง จึงอาจใช้ดุลพินิจ
กันผู้ต้องหารายดังกล่าวเป็นพยาน ซึ่งการใช้ดุลพินิจในช้ันพนักงานสอบสวนนั้น ไม่ได้มีผลผูกพันกับ
การพิจารณาของพนักงานอัยการ พนักงานอัยการอาจเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับการเสนอของ
พนักงานสอบสวนก็ได้ ซึ่งการพิจารณาของพนักงานอัยการดังกล่าวอาจกล่าวได้ว่าเป็นการถ่วงดุล
อานาจ (Check and Balance) ระหว่างพนักงานสอบสวนกับพนักงานอัยการในการพิจารณาเรื่อง
ดังกล่าว เนื่องจากแต่ละหน่วยงานก็ได้มีหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติของตนที่กาหนดไว้ด้วยแล้ว ดังนั้น
เมื่อแต่ละหน่วยงานมีความชัดเจนในเร่ืองหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติ จึงเชื่อได้ว่ามาตรการการกันผู้ต้องหา
เป็นพยานจะไม่เป็นช่องทางให้ผู้กระทาผิดรายหน่ึงรายใดใช้เป็นช่องทางในการหลุดพ้นจากการกระทา
ความผิด

65 อรรถพล ใหญส่ ว่าง, “หลกั นิตธิ รรม บทบาทและอานาจหนา้ ทขี่ ององคก์ รอยั การ ภายใต้ร่าง รธน. 2559,” สบื ค้นเมอ่ื 10 มกราคม
2565, https://www.matichon.co.th/columnists/news_43113
66 ปารชิ าติ เกษมอมร, “มาตรการทางกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดพี ิเศษกบั การปราบปรามองค์กรอาชญากรรมและผมู้ อี ิทธิพล,”
(วทิ ยานพิ นธ์ปริญญามหาบัณฑติ , สาขานิติศาสตร์ บัณฑติ วิทยาลัย มหาวิทยาลยั ธรุ กจิ บณั ฑิต, 2553), 58.

66

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (2) บัญญัติวา่ “ผู้ต้องหา” หมายความ
ถึงบุคคลผู้ถูกหาว่าได้กระทาความผิด แต่ยังมิได้ถูกฟ้องต่อศาล จากบทบัญญัติดังกล่าว พนักงาน
สอบสวนจะพิจารณากันผู้ร่วมกระทาผิดรายหน่ึงรายใดเป็นพยาน โดยจะต้องจับกุมผู้น้ันในฐานะ
ผู้ต้องหาเสียก่อน และเม่อื ดาเนนิ การสืบสวนสอบสวนแล้วจนทราบถึงพฤติการณ์แหง่ คดีแล้ว หากปรากฏ
ว่าพยานหลักฐานไม่เพียงพอ หรือพยานหลักฐานท่ีมีอยู่ไม่มีน้าหนักมากพอที่นาตัวผู้กระทาความผิด
รายอื่นมาลงโทษได้ พนกั งานสอบสวนจึงอาจจะพิจารณานาผูต้ ้องหารายใดรายหนงึ่ มาเป็นพยาน

อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติชั้นพนักงานสอบสวนจะดาเนินการเกี่ยวกับการกันผู้ร่วม
กระทาความผิดรายใดรายหนึ่งไว้เป็นพยานได้ โดยอาจแยกเป็นสองลักษณะ67 คือ 1) การกันผู้ร่วม
กระทาความผิดท่ีมิใช่ผู้ต้องหาเป็นพยาน และ 2) การกันผู้ร่วมกระทาความผิดท่ีถูกจับกุมสอบสวนใน
ฐานะผู้ต้องหาเปน็ พยาน อธบิ ายไดด้ ังนี้

1) การกันผู้ร่วมกระทาความผิดที่มิใช่ผู้ต้องหาเป็นพยาน เป็นกรณีท่ีพนักงานสอบสวน
มิได้จับกุมและมิได้ตั้งข้อหาแก่บุคคลท่ีเห็นว่ามีส่วนร่วมกระทาความผิดเพื่อเอาไว้เป็นพยาน อาจจะมี
เหตุผลจากการที่ผู้นั้นเป็นสายลับส่งข่าวการกระทาความผิดให้กับทางพนักงานสอบสวน หรืออาจ
พิจารณาแล้วเห็นว่าจากการแสวงหาพยานหลักฐานในช้ันการสืบสวนไม่มีพยานหลักฐานอ่ืน หรือมี
พยานหลักฐานอ่ืน แต่ไม่เพียงพอที่จะนาผู้กระทาความผิดที่เป็นหัวหน้าหรือตัวการมารับโทษตาม
กฎหมายได้ การดาเนนิ การดังกล่าวในชน้ั นจ้ี งึ เป็นดลุ พินจิ ของพนักงานสอบสวน

2) การกันผู้ร่วมกระทาความผิดที่ถูกจับกุมสอบสวนในฐานะผู้ต้องหาเป็นพยาน การกัน
เป็นพยานในลักษณะน้ีเป็นการใช้ดุลพินิจของพนักงานสอบสวนเช่นเดียวกันในการเปล่ียนสถานะของ
บุคคลผู้ร่วมกระทาความผิดที่เป็นผู้ต้องหาให้เป็นพยาน ซึ่งมีข้อบังคับของกระทรวงมหาดไทย
ท่ี 1/2498 ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 249868 บัญญัติให้อานาจพนักงานสอบสวนมีอานาจกันผู้ต้องหาคน
ใดคนหนึ่งเปน็ พยาน โดยขออนุมัตผิ ู้บังคบั บญั ชาตามทก่ี าหนดไว้ และตามระเบียบการตารวจเกีย่ วกับคดี
ซงึ่ ได้มกี ารวางหลักไว้อยา่ งละเอยี ด ดงั จะไดก้ ล่าวในบทท่ี 3 ต่อไป

การกันผู้ต้องหาหรือผู้ร่วมกระทาความผิดไว้เป็นพยานเป็นมาตรการสอบสวนพิเศษ
ประเภทหน่ึง69 ซ่ึงพนักงานสอบสวนจาเป็นต้องอาศัยคาให้การของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทาความผิด
เพ่ือประโยชน์ ในการแสวงหาพยานหลักฐานเพื่อดาเนินคดีกับผู้กระทาความผิดซึ่งเป็นตัวการ หรือเป็น
คดีที่มีความยุ่งยาก ซับซ้อน เช่น การค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ อาชญากรรมข้ามชาติ การทุจริต
ประพฤติมิชอบในวงราชการของข้าราชการระดับสูงหรือขา้ ราชการการเมอื ง เป็นต้น

โดยทั่วไปพนักงานสอบสวนของสานักงานตารวจแห่งชาติได้มีประมวลระเบียบการ
ตารวจเก่ียวกับคดี ลักษณะที่ 8 บทที่ 7 ดาเนินการอยู่แล้ว โดยไดก้ าหนดให้ใช้สาหรับคดีท่ีมเี หตุพิเศษ
หรือยุ่งยากสลับซับซ้อนหรือร้ายแรงที่ประชาชนจานวนมากพากันเกรงกลัวหรือคดีที่เกิดในท่ีล้ีลับ
โดยบุคคลอื่นไม่สามารถรู้เห็นได้ พนักงานสอบสวนสามารถกันผู้ร่วมกระทาความผิดไว้เป็นพยานเพ่ือ

67 พร้อมพันธ์ ครบตระกลู ชัย, “การกนั บคุ คลหรือผถู้ ูกกลา่ วหาไวเ้ ปน็ พยาน:ศึกษากรณี พรบ.มาตรการของฝ่ายบรหิ ารในการปอ้ งกนั และ
ปราบปรามการทุจรติ พ.ศ. 2551,” ( วทิ ยานิพนธ์ปรญิ ญามหาบัณฑิต คณะนติ ศิ าสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาล,ั 2552), 19.
68 สานกั งานตารวจแห่งชาต,ิ “ประมวลระเบียบการตารวจเกย่ี วกับคดฉี บบั สมบรู ณ์,”, (กรุงเทพฯ:กองทนุ สวัสดกิ ารกองวชิ าการ
สานกั งานตารวจแหง่ ชาต,ิ 2545), หนา้ 268 (ในปจั จบุ ันคอื ขอ้ 3 แหง่ ข้อบังคบั กระทรวงมหาดไทยท่ี 4/2499 ลงวันท่ี 12 ตลุ าคม 2499
ประกอบมาตรา 8 แหง่ พระราชกฤษฎกี าโอนกรมตารวจ กระทรวงมหาดไทย ไปจัดต้งั สานกั งานตารวจแหง่ ชาติ พ.ศ. 2541).
69 อุทัย อาทิเวช น.208

67

ประโยชน์แห่งการดาเนินคดีได้ พนักงานสอบสวนมีสิทธิทาได้โดยชอบ เนื่องจากประมวลวิธีพิจารณา
ความอาญามิได้มีบทบัญญัติใดที่ห้ามมิให้พนักงานสอบสวนกันผู้กระทาผิดเป็นพยาน แม้จะเป็นคาซัด
ทอดของผู้ร่วมกระทาผิดด้วยกันเอง แต่ก็มิได้ซัดทอดเพ่ือให้ตนเองพ้นผิดหรือได้รับประโยชน์จากการ
ซัดทอดน้ัน ศาลฎีการับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์และโจทก์ร่วมได้ ตามคาพิพากษาฎีกา
ที่ 5244/253970 การกันผู้ต้องหา หรือผู้กระทาความผิดเป็นพยานเป็นวิธีการอย่างหนึ่งในการรวบรวม
พยานหลักฐานหรือพิสูจน์ความผิดของผู้ต้องหาหรือจาเลยอันพนักงานสอบสวนชอบที่จะกระทาได้
คาเบิกความของพยานอาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ แต่มีน้าหนักน้อย มิใช่จะรับฟังไม่ได้เลย
เสียทีเดียว และถ้าหากโจทก์มีพยานหลกั ฐานอน่ื ประกอบแล้วก็รบั ฟังลงโทษจาเลยได้ ตามคาพิพากษา
ฎีกาที่ 4512/253071 จึงสรุปได้ว่า คาเบิกความของผู้กระทาความผิดที่พนักงานสอบสวนกันไว้เป็น
พยานนั้นรับฟังได้ แม้จะมีน้าหนักน้อย ท้ังนี้ จาเป็นต้องมีพยานหลักฐานอ่ืน ๆ มาประกอบการรับฟัง
พยานหลกั ฐานประเภทนด้ี ้วย

2.7.3 รูปแบบหรือวธิ กี ำรกันผ้ตู ้องหำเป็นพยำน
1) การกนั ผตู้ อ้ งหาเป็นพยานแบบแจง้ ข้อหาก่อนแล้วส่ังไม่ฟ้อง
การกันผู้ต้องหาเป็นพยานแบบแจ้งข้อหาก่อนแล้วส่ังไม่ฟ้องนั้น พนักงานสอบสวน

จะแจ้งข้อหากับผู้ร่วมกระทาความผิด และพนักงานสอบสวนจะต้องทาสานวนโดยสรุปความเห็นควร
สงั่ ไมฟ่ ้องผตู้ ้องหาทจ่ี ะกันไว้เป็นพยาน สง่ สานวนพรอ้ มด้วยความเห็นในการส่ังไมฟ่ ้องผูต้ อ้ งหาดังกลา่ ว
ไปยังพนักงานอัยการเพ่ือพิจารณา ในกรณีน้ีพนักงานสอบสวนมีความจาเป็นจะต้องกันผู้ต้องหา
ดงั กล่าวไว้เป็นพยาน หากไม่กันผู้ต้องหาดังกล่าวไวเ้ ป็นพยานแล้ว พยานหลักฐานที่มอี ยู่ไม่เพียงพอแก่
การท่ีจะดาเนินคดีกับผู้ต้องหาท้ังหมด และ/หรือไม่อาจแสวงหาพยานหลักฐานอ่ืนแทน เพ่ือให้
เพียงพอแกก่ ารทจี่ ะดาเนนิ คดีกบั ผู้ต้องหาท้ังหมดน้ันได้ โดยผู้ตอ้ งหาท่ีจะขอกันไว้เป็นพยานนั้นจะต้อง
เป็นผู้ท่ีรู้เห็นในการกระทาความผิด แต่ไม่ใช่ตัวการสาคัญในการกระทาความผิดดังกล่าว เช่น อาจจะ
เป็นผู้กระทาความผิดในฐานะผู้สนับสนุน อาจเป็นแค่ผู้ท่ีดูต้นทาง หรือเป็นผู้ที่ขับรถยนต์หรือ
ยานพาหนะในการพาผูร้ ่วมกระทาความผดิ ที่เป็นตัวการสาคญั หลบหนี หรือเป็นเจ้าหน้าท่ีท่ีดูแลข้อมูล
บัญชีทางการเงิน เป็นต้น และเมื่อพนักงานอัยการพิจารณาเห็นควรกันผู้ร่วมกระทาผิดคนใดคนหนึ่ง
เป็นพยาน ก็จะมีคาสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหานั้น จากนั้นพนักงานอัยการจะสั่งให้พนักงานสอบสวนทาการ
สอบสวนถ้อยคาผู้ท่กี นั ไว้เป็นพยานน้ันเป็นพยานประกอบสานวนต่อไป

เม่ือพนักงานอัยการส่ังไม่ฟ้องแล้วเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนจะต้องจัดการ
ปล่อยตัวผู้ต้องหา หากผู้ต้องหาถูกขังอยู่ให้ขอต่อศาลให้ปล่อย แล้วแจ้งให้ผู้ต้องหาทราบว่า เขาถูก
ปล่อยตัวพ้นข้อกล่าวหาไม่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีแล้ว เขามีสิทธิให้การได้ตามความสัตย์จริงทุกประการ
และคาให้การน้ีพนักงานสอบสวนจะสอบไว้ในฐานะเป็นพยานในคดีต่อไป โดยในการสอบสวนในฐานะ
บุคคลดังกล่าวในฐานะ ผู้ต้องหาก่อนสั่งไม่ฟ้องบุคคลนั้น เพ่ือจะกันเป็นพยาน พนักงานสอบสวนควรจะ
สอบสวนให้ปรากฏพฤตกิ ารณ์ ไว้โดยละเอยี ด และเมื่อสั่งไม่ฟ้องแล้วให้สอบไวใ้ นฐานะพยาน โดยยืนยัน
คาให้การเดิมซ่ึงให้ไว้โดยละเอียด ในขณะที่เป็นผู้ต้องหา ซ่ึงต้องให้สาบานหรือปฏิญาณสาบานก่อนก็ได้
และต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเรื่องพยานบุคคล เช่น

70 คาพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 5244/2539, สืบค้นเมื่อ 20 มถิ ุนายน 2565, https://th.wikisource.org/wiki/
71 คาพิพากษาศาลฎีกาท4ี่ 512_2530, สืบคน้ เมอ่ื เมอ่ื 20 มิถนุ ายน 2565, https://www.smartdeka.com/each_deka/คา
พิพากษาศาลฎกี าที4่ 512_2530.



69

พนักงานสอบสวนต้องเสนอความเห็น “ควรสั่งไม่ฟ้อง” ผู้ต้องหาที่ประสงค์จะสอบปาก
คาของเขาเป็นพยานน้ันต่อพนักงานอัยการ โดยแสดงเหตุผลและความจาเป็นประกอบความเห็นเม่ือ
พนักงานอัยการพิจารณาแล้ว หากเห็นพ้องด้วย ก็จะออกคาสั่ง "ไม่ฟ้อง" ผู้ต้องหาน้ัน” ต่อจากน้ัน
พนัก งาน สอบ สวนก็ มีอาน าจส อบ สวน ผู้ต้องห าที่ พนั กงาน อัยการมี คาสั่งไม่ ฟ้ องดั งกล่าวแ ล้วน้ั น
เปน็ พยานได้ ซง่ึ กระบวนการสอบสวนบุคคลเป็นพยานจะต้องปฏิญาณหรือสาบานตนก่อนสอบปากคา
ในทางปฏิบัติ พนักงานสอบสวนมิได้ถามปากคาพยานใหม่เลย เพียงให้พยานสาบานตนว่าจะให้ถ้อยคา
ด้วยความสัตย์จริง และขอยืนยันให้การตามคาให้การเดิม ซ่ึงได้ให้การไว้ต่อหน้าพนักงานสอบสวน
ในฐานะผู้ต้องหามาก่อน และใหพ้ ยานลงนามรับรองคาใหก้ ารไว้แล้วนนั้ โดยมไิ ด้สอบสวนถอ้ ยคาใหม่

พยานท่ีเป็นผู้ร่วมกระทาความผิดดังกล่าว มีปัญหาความน่าเช่ือถือของพยานว่ามีความ
น่าเช่ือถือมากน้อยเพียงใด โดยปกติพนักงานสอบสวนจะกันผู้ท่ีกระทาความผิดน้อยท่ีสุดเป็นพยาน
แต่อย่างไรก็ดี บุคคลน้ันก็ยังมีส่วนในการกระทาความผิดอยู่นั่นเอง ดังนั้น จึงอาจเกิดคาถามว่า
คาให้การท่ีเรียกว่า “คาซัดทอด” ต่อผู้ต้องหารายอ่ืน อาจกระทาเพ่ือให้ตนเองพ้นผดิ หรือมีข้อต่อรอง
กับพนักงานสอบสวน มีคาม่ันสัญญา หลอกลวง หรือกระทาโดยมิชอบประการอ่ืนหรือไม่ อย่างไร
ก็ตาม คาให้การของพยานผู้นั้นอาจยังมีลักษณะเป็น “คาซัดทอด” ของผู้กระทาความผิดด้วยกันอยู่
น่ันเอง จึงมีน้าหนักความน่าเช่ือถือน้อยกว่าพยานท่ีมิได้เกี่ยวข้องกับความผิด หากไม่มีพยานหลักฐาน
อืน่ ประกอบดว้ ยแล้ว ศาลมกั จะพพิ ากษายกฟอ้ งเสยี ทงั้ สน้ิ

ปญั หาที่ตามมาคือ บทคุ้มครองพยานเหล่านั้นมามากน้อยเพียงใด ตวั อย่างคดีท่ีนักธุรกิจ
ใหญ่คนหน่ึงประสงค์จะได้สัมปทานทาป่าไม้ท่ีจังหวัดทางภาคใต้ จึงได้จ่ายเงินสินบนให้แก่รัฐมนตรี
ว่าการกระทรวงเกษตรฯ ในขณะนั้น โดยมีผู้กระทาความผิดหลายคน พนักงานสอบสวนไม่อาจหาพยาน
หลักฐานมายืนยันการกระทาความผิดของผู้ต้องหาได้ จึงได้สอบสวนนักธุรกิจผู้น้ันเป็นพยาน ต่อมา
พนักงานอัยการย่ืนฟ้องรัฐมนตรีฯ กับพวกต่อศาล ในที่สุดศาลพิพากษาลงโทษจาคุกรัฐมนตรีฯ กับพวก
โดยศาลรับฟงั ถ้อยคาของนักธุรกิจผนู้ ้ันเปน็ สาคัญ จงึ พิพากษาลงโทษจาเลยได้

หลังจากนั้นพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาและดาเนินคดีกับนักธุรกิจนั้นฐานให้สินบน
เจ้าพนักงาน ต่อมาอธิบดีกรมอัยการ (อัยการสูงสุด) ได้มีคาสั่งไม่ฟ้อง เพราะผู้ต้องหาน้ันได้ให้การเป็น
ประโยชน์ต่อคดี จนศาลพิพากษาลงโทษจาเลยโดยอาศัยถ้อยคาของผู้ต้องหา (พยาน) เป็นสาคัญ
ซึ่งเมื่อรัฐตัดสินใจเลือกผกู้ ระทาความผิดคนหน่ึงเป็นพยาน เพื่อยืนยันการกระทาความผิดของอกี คนหน่ึง
ซึ่งมีตาแหน่งราชการท่ีสาคัญ อาจก่อความเสียหายได้มากมายเช่นนั้นแล้ว ย่อมเกิดผลดีต่อสังคมได้
มากกว่า เม่ือเขาให้ความร่วมมือต่อรัฐเช่นนั้นแล้ว การจะกลับมาดาเนินคดีฟ้องร้องเอาผิดกับผู้นั้นอีก
จึงย่อมไม่เป็นธรรมต่อพยานผู้นั้นอย่างย่ิง ซึ่งถ้าดาเนินคดีกับเขาต้ังแต่แรก เขาก็ย่อมมีสิทธิท่ีจะ
ตัดสินใจใช้สิทธิให้การเพ่ือปกป้องสิทธิของเขาได้อยู่น่ันเอง อาจไม่ให้ถ้อยคาต่อพนักงานสอบสวนก็ได้
เพราะเปน็ สทิ ธิของผู้ตอ้ งหาท่ีจะกระทาเชน่ นั้นได้

ในด้านความคุ้มครองต่อพยานตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา ตามประมวลวิธี
พิจารณาความอาญาแม้ไม่ได้บัญญัติถึงบทคุ้มครองพยานไว้อย่างชัดแจ้ง แต่เม่ือพิจารณาบทบัญญัติ
ของกฎหมายโดยรวมแล้วก็สามารถปรับใช้กับเรื่องราวได้ทุกกรณีอยู่แล้ว คือ เม่ือพนักงานสอบสวนได้
สอบสวนผู้ท่ีอาจมีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทาความผิดไว้เป็นพยานแล้ว โดยพยานได้ให้ความร่วมมือ
กับเจ้าพนักงานในการปราบปรามตัวการท่ีสาคัญ เพราะพยานผู้นั้นเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดในเหตุการณ์
ที่สุดถึงขนาดที่เรียกได้ว่าเป็นส่วนหน่ึงในการกระทาอันเป็นความผิดด้วย ซึ่งหากเขาตกเป็น “ผู้ต้องหา”

70

เสียแล้ว เขาก็มี “เอกสิทธิ์” ที่จะให้การหรือไม่ให้การ หรือให้การอย่างใดก็ได้ โดยไม่เป็นความผิด
ทางอาญาแต่อย่างใด

แต่เม่ือเจ้าพนักงานประสงค์จะได้ข้อเท็จจริงและรายละเอียดจากผู้นั้นในฐานะ “พยาน”
เขาจึงยินยอมสละเอกสิทธ์ิน้ันเสีย โดยการปฏิญาณหรือสาบานตนและให้การต่อเจ้าพนักงาน หากให้
ถ้อยคาเปน็ เท็จพยานอาจถูกดาเนินคดีฟอ้ งร้องได้ในภายหลัง

เม่ือเจ้าพนักงานได้อาศัยประโยชน์จากถ้อยคาของพยานผู้น้ันจน “สมประโยชน์” แล้ว
ภายหลังกลับย้อนมาดาเนินคดีกับพยานผู้นั้นโดยอาศัยถ้อยคาของเขาเองท่ีได้ให้ไว้ต่อเจ้าพนักงาน
ดังกล่าวมาแล้ว หรือทีช่ าวบ้านเรียกกันว่า “หกั หลงั ” ไม่ว่าจะเป็นคดีอาญาหรอื คดีแพ่งก็ตามจะกระทา
ไมไ่ ดท้ กุ กรณี

หลักกฎหมายรัฐธรรมนูญ “การสอบสวนและการพิจารณาคดี ต้องกระทาโดยเร็ว
ต่อเนื่องและเป็นธรรม คาว่า “เป็นธรรม” นี้มีความหมายกว้างขวางและลึกซ้ึงมาก เพราะนอกจาก
พิจารณาจากตัวบทกฎหมายแล้ว ยังต้องคานึงถึงความสุจริตยุติธรรม จริยธรรมท่ีมนุษย์พึงปฏิบัติต่อกัน
อีกด้วย เม่ือเจ้าพนักงานได้ ตกลงใจหรือตัดสินใจเลือกท่ีจะสอบสวนเขาในฐานะพยาน จนเขาหลงเช่ือ
ไว้วางใจ และ “สละเอกสิทธ์ิ” ที่เขามีอยู่ตามกฎหมาย ให้ถ้อยคาตามความเป็นจริงต่อเจ้าพนักงาน
ของรัฐที่ต้องความร่วมมือจากเขา เพ่ือต้องการปราบปรามผู้กระทาความผิดท่ีสาคัญต่อไป จนเขา
ตกลงใจ “ให้ความร่วมมือ” ทั้งที่ข้อเท็จจริงบางอย่างอาจแสดงว่าเขาอาจมีส่วนกระทาการอันเป็น
ความผิดอยู่ด้วยก็ตาม การที่เจ้าพนักงานจะย้อนกลับไปดาเนินคดีกับเขาที่ยอมเสียสละ “ให้ความ
ร่วมมือ” กับรัฐ จงึ ถือเป็น “ความไม่เป็นธรรม” อย่างยิ่ง เป็นการดาเนินคดีโดย “ไมส่ ุจรติ ” ซ่ึงมีผลให้
ผู้ร้องทุกข์ ผู้กล่าวโทษ หรือโจทก์ผู้ฟ้องคดี ตกเป็นผู้ดาเนินคดี “โดยไม่สุจริต” ไม่มีอานาจฟ้องคดีน้ัน
ดังตวั อย่างคดที ่ไี ด้กลา่ วมาแลว้ น้ัน

แต่หากเจา้ พนกั งานฝา่ ฝนื กระทาการเช่นวา่ นน้ั จะเกดิ ผล ดงั น้ี
1. จะไม่มีผู้ใดให้ความร่วมมือกับรัฐอีกเลย ทาให้หาพยานหลักฐานท่ีสาคัญมายืนยัน
การกระทาความผิดของตวั การสาคญั ไม่ได้
2. หากเจ้าพนักงานกระทาการเช่นว่านั้น ย่อมถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติหน้าท่ีมิชอบของ
เจ้าพนักงาน ที่ไม่รักษาหลักการตามข้อตกลง หรือหักหลังพยาน อาจมีความผิดทางอาญาฐานปฏิบัติ
หนา้ ท่ีโดยมิชอบได้ หรือกระทาละเมิดต่อผ้อู ่นื ได้
3. เจ้าพนักงานกระทาการโดยไม่สุจริต จึงไม่เป็น “ผู้เสียหายโดยนิตินัย” ไม่มีอานาจ
ร้องทุกข์หรือฟอ้ งคดีต่อศาลได้ เพราะไมเ่ ป็นผ้เู สยี หายเสียแลว้
2.7.5 ขอ้ ดีและข้อเสยี ของกำรกันผู้ตอ้ งหำหรือผรู้ ว่ มกระทำควำมผิดเปน็ พยำน
การนามาตรการทางกฎหมายเรื่องใดเรอ่ื งหนึ่งมาใช้บงั คับอาจสง่ ผลดใี ห้เกิดขึ้นแกส่ ังคม
แต่ในขณะเดียวกนั อาจจะส่งผลในทางตรงกนั ข้ามได้ หากมีการเลือกนามาตรการใดมาตรการหนึง่ มาใช้
บังคับโดยไม่มีการศึกษาถึงผลดีผลเสียท่ีอาจจะเกิดข้ึนอย่างรอบด้านเสียก่อน ด้วยเหตุน้ี ก่อนท่ีจะมี
การนามาตรการการกันผู้ต้องหาหรือผูก้ ระทาความผิดเป็นพยานมาใช้บังคับอย่างจริงจัง จึงควรท่ีจะมี
การศึกษาถึงข้อดีข้อเสียที่อาจเกิดข้ึนเสียก่อน ซึ่งข้อดีและข้อเสียในการกันผู้ร่วมกระทาความผิดเป็น
พยาน มดี ังน้ี


Click to View FlipBook Version