171
โดยสรุป ขอให้หาเหตุผลความชอบธรรมว่าเพราะเหตุใดจึงจาเป็นต้องมีเครื่องมือ
เพ่มิ เตมิ มีเงือ่ นไขการใชอ้ ยา่ งไร จะปรับสมดุลในการใชเ้ ครื่องมือนี้อยา่ งไร DSI ต้องหาทิศทางให้ได้
(5) มำตรกำรที่จะกำกับ/ตรวจสอบกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนในคดีพิเศษ
มีอะไรบ้ำง
คงให้หลักการกว้าง ๆ ตามที่ได้กล่าวไปแล้วในเร่ือง safeguard การปรับสมดุล
ในการวางเงือ่ นไขตา่ ง ๆ
(6) กำรกำหนดแนวทำง/ระเบียบในกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนในคดีพิเศษจะมีผลดี/
ผลเสยี อยำ่ งไร
คาตอบเช่นเดยี วกับเร่อื ง safeguard การปรับสมดลุ การวางเงอ่ื นไขต่าง ๆ
(7) ข้อควรระวัง/ข้อสังเกตในกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนเพื่อกำรอำนวยควำม
ยตุ ธิ รรมในภำพรวม
การกันไว้เป็นพยานสร้างความชอบธรรมได้หรือไม่ รายละเอียดขอให้ไปคิดต่อ
(8) ข้อเสนออ่ืน ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภำพในกำรสืบสวนสอบสวนและกำรแสวงหำ
พยำนหลกั ฐำนในคดพี ิเศษ
มคี วามเห็นวา่ ในระบบบริหารจัดการของกรมสอบสวนคดีพิเศษคงต้องไปทาดัชนี
ประสิทธิภาพของตัวเอง นอกเหนือจากที่มีการจัดทาตัวช้ีวัดของสานักงบประมาณของสานักงาน ก.พ.ร.
จะต้องมีการทบทวน efficiency ว่าควรเพ่ิมดัชนีชี้วัดอะไร เพ่ือจะบอกว่าประสิทธิภาพของเราดีข้ึน
เพ่ือนาไปสู่ประสิทธิภาพในการทางานท่ีแท้จริง ๆ บุคลากรต้องพัฒนา และความคาดหวังท่ีมีต่อ DSI
คอื ความเปน็ มืออาชพี งานด้านการสอบสวน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (พลเอก ไพบูลย์ คุ้มฉายา) เคยกล่าวไว้ว่า
พวกเราต้องทากฎหมายให้หน่วยงานอื่นมาใช้กฎหมายของเรา ดังน้ัน จึงมีความเห็นว่า จะต้องเอา
กรมสอบสวนคดพี ิเศษออกจากกฎหมาย ทาให้กฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษเป็นกฎหมายกลาง
ให้ได้ เพ่ือพัฒนาระบบสอบสวนของประเทศ ถ้าเอากรมสอบสวนคดีพิเศษใส่ไปในพระราชบัญญัติ
กจ็ ะกลายเป็นกฎหมายของกรมสอบสวนคดีพิเศษ การทางานกจ็ ะมีขอ้ จากัด ไม่สามารถนาไปใช้ทางาน
กับคดีที่ซับซ้อนให้สาเรจ็ ได้ การทางานโดยมคี ณะกรรมการ (Board) แตค่ ณะกรรมการคดีพเิ ศษไม่ควร
ทาหน้าท่ีอนุมัติคดีอย่างเดียว ควรคิดเชิงระบบ ควรคิดว่าคณะกรรมการคดีพิเศษจะต้องมีหน้าท่ี
ทาอะไรบ้าง กรมสอบสวนคดีพิเศษควรเป็นเจ้าภาพที่จะทาให้พระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ
เป็นกฎหมายกลางของคดีท่ีมีความซับซ้อน โดยให้ทุกฝ่ายท่ีเก่ียวข้องมาใช้ เหมือนการคุ้มครองสิทธิ
สร้างความเช่ือม่นั จากหน่วยงานอื่น ๆ ในเร่ืองของคดที ่ีมีความซับซ้อน เชน่ กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครอง
พยาน ให้หน่วยงานอื่นมาใช้ กฎหมายว่าด้วยไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ทาระบบไกล่เกลี่ยประเทศให้หน่วยงาน
อ่นื ๆ เข้ามาใช้ ขอใหก้ รมสอบสวนคดีพิเศษทาในลกั ษณะน้นั
4.4.6 ผู้ใหส้ มั ภำษณ์คนที่ 6115
(1) สภำพปญั หำในกำรแสวงหำพยำนหลักฐำนในคดพี ิเศษมอี ะไรบ้ำง
1. การแสวงหาพยานหลักฐานของพนักงานสอบสวนเมื่อนามาสู่พนักงานอัยการ
และไปสู่ศาลยังมีความคิดเห็นไม่ลงรอยกัน เพราะว่าพนักงานสอบสวนจะแสวงหาพยานหลักฐาน
115 สมั ภาษณเ์ มื่อวันที่ 7 มิถนุ ายน 2564
172
ให้คดีพอที่จะฟ้องคดีได้เท่านั้น ให้คดีพ้นไปจากตัว หรือเสร็จไปจากตัว อาจจะเป็นปัญหาเร่ืองตัวชี้วัด
หรืออายุความ คร้ันพอก่อนไปถึงชั้นพนักงานอัยการเห็นว่ายังไม่สมบูรณ์เพียงพอก็นามาสู่คาสั่ง
สอบสวนเพ่ิมเติม ซึ่งบางครั้งพนักงานสอบสวนก็ดาเนินการได้เพราะเป็นคนเดิม แต่บางคร้ังอาจจะ
เป็นการเปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวนไป ซ่ึงก็มีปัญหาในเรื่องของความต่อเนื่องของสานวนคดี
พนักงานสอบสวนเองท่ีมาใหม่ดาเนินการต่อไม่ได้ในบางคร้ัง โดยปัญหาเรื่องความต่อเน่ืองพบถึง 30–40
เปอร์เซ็นต์ ซ่ึงพนักงานอัยการเห็นว่าควรเป็นสานวนท่ีติดตัวไป หากเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ
โดยเฉพาะคดีที่มีความยุ่งยากซับซ้อนควรจะติดตัวพนักงานสอบสวนผู้นั้น แต่ท้ายท่ีสุดผมมองว่าเป็น
เร่ืองการบริหารจัดการภายในของกรมสอบสวนคดีพิเศษท่ีจะต้องดาเนินการให้ต่อเน่ืองและมี
กระบวนการติดตามผลท่ีดี อย่างไรก็ตามผมคิดว่าควรให้สานวนติดตัวพนักงานสอบสวน เพราะในช้ัน
การเบิกความพนักงานสอบสวนคนดังกล่าวมีภาระต้องข้ึนมาเบิกความเพราะเค้าเป็นคนติด กระดุม
เม็ดแรก จะมาบอกว่าผมพ้นแล้วผมย้ายแล้วไม่น่าจะถูกต้อง เพราะจะมาโยนให้คนข้างหลังท่ีมา
สอบเพ่ิม ซ่ึงเขาอาจจะมาเก่ียวข้องในส่วนท้ายในการแจ้งข้อหา เวลามาพิสูจน์ความผิดต่อศาล
โดยธรรมชาติใครเป็นคนทาเอกสารผู้น้ันก็ต้องเป็นผู้รับรอง ผู้ที่ไม่ได้ทาจะมารับรองไม่ได้ หาก
เปรยี บเทียบกบั ของตารวจแม้เกษียณอายรุ าชการไปแล้วกต็ ้องยงั มาเบิกความ
2. มุมมองในการรวบรวมพยานหลักฐานของพนักงานสอบสวนและพนักงาน
อัยการแตกต่างกัน ในการรวบรวมพยานหลักฐานพนักงานสอบสวนมองแค่ว่าพอฟ้องหรือไม่
แต่พอไปถึงศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 ต้องฟังจนส้ินสงสัยถึงจะ
ลงโทษได้ ดังนั้น หากศาลยังมีข้อสงสัยก็จะยกประโยชน์แห่งความสงสังให้จาเลย ทาให้การสืบสวน
สอบสวนท่ีผ่านมาเสียไป คดีของกรมสอบสวนคดีพิเศษท่ีศาลพิพากษาลงโทษจริง ๆ มีไม่ค่อยเยอะ
อยากให้กรมสอบสวนคดีพิเศษจัดทาสถิติคดีว่า คดีท่ีส่งฟ้องแล้วศาลพิพากษาลงโทษกับคดีที่ศาล
ยกฟ้องมีสถิติเป็นอย่างไร หากได้พิจารณาตัวเลขเหล่าน้ีจะพบกับสภาพปัญหาการดาเนินการ ใน
กระบวนวธิ ีพิจารณาคดีซ่งึ ก็จะมตี ั้งแต่พนักงานสอบสวนคดพี เิ ศษรวบรวมพยานหลักฐานดีหรือไม่ พนักงาน
อัยการแสดงพยานหลักฐานครบถ้วนหรือไม่ และศาลช่ังน้าหนักพยานหลักฐานอย่างไร ดังนั้น
พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการจะต้องคิดอย่างศาล จะคิดแบบพนักงานสอบสวนไม่ได้ ถ้า
ต้องการให้การดาเนินคดีสัมฤทธ์ิผล และต้องเอาคาพิพากษาของศาลแต่ละคดีมาวิเคราะห์ วิจัย เพ่ือ
นาไปสู่การพัฒนา ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษมีสถาบันพัฒนาการสอบสวนคดีพิเศษ เพ่ือพัฒนาและ
เสริมสรา้ งบุคลากร ในการทาคดีอยแู่ ล้ว โดยนาไปเสริมให้การแสวงหาพยานหลักฐานมีประสิทธิภาพ
ยิ่งขน้ึ
3. อาจมีปัญหาอื่น ๆ รว่ มด้วย อาทิ ปัญหาการมคี ดีอยู่ในความรับผิดชอบจานวนมาก
มีการกาหนดตัวช้ีวัด พนักงานสอบสวนจึงทาสานวนแค่ให้พอฟ้องแล้วเสนอพนักงานอัยการมาก่อน
เพื่อให้พนักงานอัยการสั่งให้สอบสวนเพ่ิมเติมภายหลัง หรืออาจมีปัญหาเร่ืองกลัวว่าตัวชี้วัดจะไม่ผ่าน
จึงเสนอไปก่อน สุดท้ายศาลยกฟ้องก็เกิดความเสียหายในทางคดี เกิดความสียหายในกระบวนการ
และไม่สามารถสาวไปถึงตวั การสาคญั ทีแ่ ท้จริงได้ อาชญากรรมก็ยงั คงมอี ยตู่ อ่ ไป
(2) ควรจะมีวิธีกำรเพิ่มประสิทธิภำพในกำรแสวงหำพยำนหลักฐำนในคดีพิเศษ
อย่ำงไร
1. วิธีการที่จะเพิ่มเพ่ิมประสิทธิภาพในการแสวงหาพยานหลักฐานก็ต้องใช้เครื่องมือ
ท่ี DSI มีอยู่ อาทิ การแฝงตัว การหาข้อมูลในเชิงลึก การได้มาซึ่งข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งล้วนเป็นเคร่ืองมือท่ี DSI
173
มอี ยู่แล้ว และให้พยายามใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเสริม เนื่องจากจะไปหวังพึ่งพยานบุคคลอย่างเดียวไม่ได้
เพราะระบบการคุ้มครองพยานในบ้านเรายังไม่ดีเท่าที่ควร และเท่าที่ได้ร่วมงานกับ DSI พบว่า ยังไม่มี
การใช้เครื่องมือพิเศษเท่าท่ีควร อาทิ การแฝงตัวเท่าที่ทราบต้ังแต่ปี 2558 มีแค่เพียงคดีเดียวท่ีนามาใช้
ส่วนเครื่องมืออื่น ๆ ก็ยังมีน้อย เท่าที่สังเกตดูกรมสอบสวนคดีพิเศษจะใช้การสังเกตการณ์อยู่รอบนอก
แล้วอนุมานสันนิษฐานกันเองว่าเหตุการณ์หรือพฤติการณ์ในการกระทาผิดในนั้นเกิดอย่างไร ไม่ได้เข้าไป
อยู่ข้างในพื้นที่ของผู้กระทาความผิด ผลท่ีได้จึงจะไม่ค่อยตรงกับข้อเท็จจริงท่ีเป็นอยู่ จึงเป็นเรื่อง
ของความคิดความเข้าใจเอาเองโดยลาพัง ไม่มีอะไรสนับสนุน แต่ก็เห็นใจสาหรับคนที่แฝงตัวเพราะ
มีความเสี่ยง คุ้มค่าหรือไม่ หากเปรียบเทียบก็จะเสมือนการติดทองหลังพระ และจะคุ้มครองปกป้อง
เขาอย่างไร ในคดีสาคัญ ๆ บางครั้งคดีจบไปแล้วแต่ชีวิตเขาจะอยู่อย่างไรต่อไป ดังนั้น ผู้ท่ีจะเข้าไป
แฝงตัว จึงต้องได้รับการฝึกอย่างดี และหน่วยงานควรจะต้องมีการถอดบทเรียนจากคดีอ่ืน ๆ ควรจะมี
Model จากหน่วยงานอ่ืนหรือหน่วยงานต่างประเทศนามาศึกษาเปรียบเทียบ ขาดบุคลากรที่มีความรู้
ความเชีย่ วชาญจรงิ ๆ และส่วนหนึง่ บคุ ลากรอาจมคี วามรูส้ ึกวา่ การแฝงตวั มีความยุ่งยากมากเลยไม่ใช้
2. การมีพนักงานอัยการร่วมสอบสวนหรือการมีท่ีปรึกษาคดีพิเศษเป็นวิธีการ
ท่ีดีมาก เช่น คดีฟอกเงินมีผู้เชี่ยวชาญจากสานักงาน ปปง. เข้ามาช่วยดูเส้นทางด้านการเงิน ได้มีการ
เสนอให้ใช้นักบัญชีที่มีความเช่ียวชาญเข้ามาบ้าง ในเรื่องกฎหมายระหว่างประเทศก็จะมีอาจารย์
มหาวิทยาลัยมาช่วย หรือตัวแทนองค์กรระงับข้อพิพาทระหวา่ งประเทศมาช่วย จะช่วยทาให้ศาลมคี วาม
เข้าใจ ให้ศาลหรอื พนักงานอัยการได้เข้าใจยิ่งข้ึน คดีเด่น ๆ ท่ีมีการใช้ที่ปรึกษาคดีพิเศษ หรอื มีพนักงาน
อัยการร่วมสอบสวน อาทิ ในคดีฟิลลิป มอร์ริส ในความผิดฐานร่วมกันนาเข้าบุหรี่ที่มีแหล่งผลิต
ในตา่ งประเทศเขา้ ราชอาณาจกั รเพอ่ื จาหนา่ ยโดยมีเจตนาหลีกเล่ยี งภาษี เพื่อฉ้อค่าภาษีสรรพสามิต
3. ต้องมีกระบวนการที่ได้มาซึ่งพยานหลักฐานที่ลึกและครอบคลุม รวมถึงต้อง
มีกระบวนการคดั แยกพยานหลกั ฐานทด่ี ี
4. การดักฟัง ยังไม่เคยเห็นว่ามีการใช้วิธีนี้นามาใช้ ซ่ึงหากทาได้ก็จะสามารถ
เข้าถึงข้อมูลและเช่ือมโยงข้อมูลได้มาก ซึ่งจะเหมาะกับคดีที่ต้องมีการตรวจสอบเส้นทางการเงิน หรือ
คดีท่เี ปน็ องคก์ รอาชญากรรม หรอื มีเครือขา่ ยการกระทาความผิด
(3) กำรกำหนดแนวทำงกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนจะสำมำรถเพิ่มประสิทธิภำพ
ในกำรสบื สวนสอบสวนและกำรแสวงหำพยำนหลกั ฐำนในคดีพิเศษได้หรอื ไม่
เห็นว่าควรกาหนดเป็นทางการ ซึ่งเป็นเร่ืองที่หลายหน่วยงานมีอยู่แล้ว ซ่ึงการนา
เรื่อง การกันผู้ต้องหาเป็นพยานมาใช้ควรจะมีแนวทางในรูปแบบเดียวกับท่ี สานักงาน ป.ป.ช. หรือ
สานักงานตารวจแห่งชาติมีอยู่ ซ่ึงในการกันไว้เป็นพยานในคดีพิเศษควรจะสามารถกันเป็นพยาน
ได้ท้ังในขณะก่อนและหลังการแจ้งข้อหา ในคดีที่ต้องใช้เง่ือนไขการกันเป็นพยานควรมีพนกั งานอัยการ
ร่วมสอบสวนตั้งแต่แรก เพราะเม่ือไปถึงศาลจะถูกตรวจสอบตามประมวลกฎหมายวิธพี ิจารณาความอาญา
มาตรา 226 ว่า เปน็ การจูงใจ โดยให้คาม่ันสญั ญาหรือไม่
จดุ สาคัญคือลายแทงที่เค้ามอบให้พนักงานสอบสวน ทาให้สามารถเช่ือมโยงไปถึง
พยานหลักฐานอ่ืนได้ชัดเจน หากไม่มลี ายแทงดงั กล่าวแลว้ พนักงานสอบสวนไม่สามารถนาไปหาข้อมูล
พยานหลักฐานอื่นเพิ่มเติมต่อไปได้ การเข้าไปถึงข้อมูลช้นั ความลับ อันน้ีสาคัญมาก จึงไม่ใช่เพยี งแค่คา
บอกเล่าของเค้า แต่ต้องเป็นสิ่งที่สามารถนาไปต่อยอดในทางคดีที่ชัดเจนต่อไปได้ นอกจากน้ี จะต้องเป็น
คดีที่ไม่มีพยานหลักฐานอื่นท่ีชัดเจนเพียงพอ อาทิ คดีการก่อการร้าย คดีด้านความมั่นคง คดีการเงิน
174
การธนาคารท่ีกระทากันโดยกลุ่มเครือข่ายเฉพาะ มีมูลค่าความเสียหายสูง หรือมีตัวการท่ีเป็นผู้มี
อิทธิพลหรือเปน็ ข้าราชการระดับสูง
ในการกันไว้เป็นพยาน หากผู้ต้องหาหลายคนจะกาหนดว่าจะกันใครไว้เป็นพยาน
อาจจะสุ่มเสี่ยงในเกิดการเลือกปฏิบัติได้ คณะพนักงานสอบสวนจึงจาเป็นจะต้องมีการลงมติกันว่าใคร
ควรจะถูกกันเป็นพยาน หรือควรให้พนักงานสอบสวนแต่ละคนมีสิทธิในการใช้ดุลพินิจ ประชุม
พิจารณาลงมติร่วมกันโดยปรากฏในรายงานการประชุม รายงานการสอบสวน โดยกรมสอบสวน
คดีพิเศษควรกาหนดแนวทางการพิจารณาให้ชดั เจน อาทิ ต้องเปน็ ผ้ทู ่ีมีส่วนรว่ มในการกระทาความผิด
นอ้ ยทส่ี ุด ไมใ่ ช่ตัวการหลกั หรอื ตัวการสาคัญ
โดยในกระบวนการจาเป็นจะต้องมีการแตง่ ต้ังคณะกรรมการกล่ันกรองเข้ามาช่วย
พิจารณา เพ่อื ควบคุมกากบั การกนั ผู้ตอ้ งหาเปน็ พยาน อีกท้ังจะชว่ ยค้มุ ครองเจ้าหนา้ ที่ในการใช้ดุลพนิ ิจ
เพราะอาจจะมีปญั หาเร่ืองการเลือกปฏบิ ตั อิ ยา่ งไม่เปน็ ธรรม
(4) ควรสนับสนุนให้มีกำรบัญญัติกฎหมำยเพื่อรองรับและตรวจสอบพนักงำน
สอบสวนคดีพิเศษในกำรใชด้ ุลพินิจกำรกันผตู้ ้องหำเป็นพยำนในคดีพิเศษ
เห็นควรสนบั สนุนตามทีไ่ ด้กล่าวไปแล้ว
(5) มำตรกำรท่ีจะกำกบั /ตรวจสอบกำรกันผูต้ ้องหำเปน็ พยำนในคดีพิเศษมีอะไรบ้ำง
1. จะต้องเป็นคดีท่ียุ่งยาก ซับซ้อน และไม่มีพยานหลักฐานอ่ืน ๆ อันจะนาไปสู่
การจับกุมผู้กระทาความผิดท่ีเป็นตัวการหลักหรอื ตัวการใหญ่
2. จะต้องมีพนักงานอัยการร่วมสอบสวนในคดตี งั้ แต่แรก
3. ควรจะต้องมีคณะกรรมการขึ้นมากลั่นกรองหรือตรวจสอบการเสนอกันไว้
เป็นพยานอกี ช้ันหนง่ึ
4. ในการสง่ั คดีอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษไมค่ วรลงมาสัง่ คดีเองทุกคดี ควรจะให้
สิน้ สดุ ในชนั้ ผู้อานวยการกอง เพราะในช้ันความเหน็ แยง้ ก็เป็นอานาจของอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษอีก
5. ควรมีการติดตามประเมินผลในการนาเคร่ืองมอื น้ีมาใช้ในคดีพิเศษ พิจารณาว่า
มีผลดีผลเสียอยา่ งไร ควรปรบั ปรงุ ทบทวนแก้ไขอย่างไร
(6) กำรกำหนดแนวทำง/ระเบียบในกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนในคดีพิเศษมีผลดี/
ผลเสยี อยำ่ งไร
ข้อเสีย อาจจะถูกมองว่าเป็นเรื่องของการเลือกปฏิบัติ ทาอย่างไรที่จะไม่ถูก
มองว่าเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ซ่ึงข้อเสียตรงนี้ก็มีข้อแก้ไขคือ หลักเกณฑ์ต้องชัดเจน รอบคอบ
รัดกุม หลักเกณฑ์ก็จะเป็นเหมือนไม้บรรทัดจะไม่เลือกท่ีรักมักท่ีชัง ข้อเสียอื่น ๆ คือ ผู้กระทาผิด
รายน้ันกจ็ ะไมถ่ ูกลงโทษในความผดิ ทไี่ ด้กระทาลงไป
การกาหนดเร่ืองการกันผู้ต้องหาเป็นพยานนัน้ ไม่ไดห้ มายความว่าจะต้องนาไปใช้
ในทุก ๆ คดี แต่จะใช้ในคดีท่ีจาเป็นจริง ๆ ซึ่งหมายความว่า เป็นเคร่ืองมือที่กาหนดไว้แต่ไม่ใช้ก็ได้
หรอื จาเป็นก็สามารถนามาใช้ได้ เพราะมีบทบัญญัตกิ าหนดไวแ้ ล้ว
(7) ข้อควรระวัง/ข้อสังเกตในกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนเพ่ือกำรอำนวยควำม
ยุติธรรมในภำพรวม
ส่งิ ที่ต้องระมัดระวังคือ อคตติ ่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคดี เรื่องดุลพินิจ ความเป็นกลาง
ต้องมีจริยธรรมและเช่ือม่ันศรัทธาในกระบวนการยุติธรรม ในการดาเนินการเหล่าน้ีจะเห็นว่าระบบ
175
ท่ีจะมาช่วยอุดช่องว่างการดาเนินคดี ในระบบคดีของกรมสอบสวนคดีพิเศษคือ ทนายจาเลยจะ
พยายามทาให้เกิดสงสัย ทาให้ฟังไม่ได้ แต่ถ้าเป็นระบบไต่สวนถ้าเป็นเร่ืองท่ีศาลดาเนินคดีเองก็จะไม่มี
เรื่องสงสัย เพราะศาลพยานหลกั ฐานเองได้ ซ่ึงการดาเนินคดีแบบนี้จะประสบความสาเรจ็ คดยี าก ๆ คดี
คา้ มนุษย์ศาลอาญาก็ดาเนินคดีได้
ในคดีใช้ระยะเวลานาน ศาลจะมีแนวทางรูปแบบของท่านในการรับฟังคาให้การ
ในครั้งแรก แต่หากพบว่ามีการกลับคาให้การต้องไปดูว่าเหตุใดจึงเกิดการกลับคาให้การ เช่น เรา
คุ้มครองเขาดีหรือไม่ เขาต้องประสบกับปัญหาอย่างไรบ้างในระหว่างการพิจารณาคดี โดยเราอาจ
มีมาตรการดาเนินคดี หากเกิดกรณีการกลับคาให้การ แต่เราต้องบอกให้เขารู้และเข้าใจนะว่าเม่ือเค้า
เปน็ พยานเขาจะไดร้ บั อะไร แตห่ ากกลับคาให้การเขาจะเจอกบั อะไร
กรณีที่การกันเปน็ พยาน ตอ้ งดึงเขาออกมาจากสถานะ “ผู้ตอ้ งหา” โดยต้ังสถานะ
ใหม่ว่าเขาเป็น “พยาน” ซึ่งต้องให้การตามความสัตย์จริง ถ้าให้การตามความสัตย์จริงก็จะไม่มีการ
ดาเนินคดี แตถ่ า้ ยังเป็นผตู้ ้องหาก็จะไปอยู่ในประมวลวธิ พี ิจารณาความอาญา มาตรา 134
หน่วยงานด้านกฎหมายหรือหน่วยงานด้านวิจัยพัฒนาควรจะมีการเก็บข้อมูล
สภาพปัญหาในคดีตลอดตั้งแต่ต้นจนจบในช้ันศาล จัดทาข้อมูล สถิติ เพ่ือนาไปสู่การพัฒนาพนักงาน
สอบสวน เพื่อให้เป็นไปตามค่านิยมร่วมของกรมสอบสวนคดีพิเศษที่มีอยู่ เกียรติศักดิ์ เช่ียวชาญ
ซื่อสตั ย์
(8) ข้อเสนออื่น ๆ เพ่ือเพิ่มประสิทธิภำพในกำรสืบสวนสอบสวนและกำรแสวงหำ
พยำนหลกั ฐำนในคดีพเิ ศษ
ควรมีการสัมมนาการแลกเปล่ียนมุมมองการดาเนินคดีร่วมกัน มีการพบปะ
แลกเปลี่ยน ผลงานการทาคดีในระหว่างรอบปีหรือรอบไตรมาส ระหว่างหน่วยงานคดีในกรมสอบสวน
คดีพิเศษ ซึ่งเป็นสิ่งท่ีหายไป ทาให้การประสานงานต่าง ๆ หรือการไม่ได้มีการนาผลงานคดีในรอบ
ท่ีผ่านมาคุยกัน ในที่น้ีไม่ใช่ว่าใครถูกใครผิดแต่เพ่ือมาหาแนวทางการทางานให้มันดีขึ้น ให้ครบถ้วน
สมบูรณ์ข้ึน ลดช่องว่างในการทางานความหลากหลายของแต่ละคนหรือของหน่วยงานเป็นข้อด้อย
ที่อาจจะทาให้การทางานไม่สอดประสานกัน ขัดแย้งกัน พนักงานสอบสวนถือว่าเป็นกลไกหลักในการ
ดาเนินคดีพิเศษ ถ้าไม่มีประสิทธิภาพก็ต้องหันกลับมามองว่าพนักงานสอบสวนท่ีทาสานวน หรือการ
รวบรวมพยานหลักฐาน การมารวมตัวกันในรปู แบบสหวิชาชีพน้ันเกิดความคดิ ก็อาจจะแตกต่างไปบ้าง
จึงทาให้การดาเนินคดีบางอย่างมันกลายเป็นว่าต่างคนต่างคิดต่างคนต่างทา ซ่ึงเปรียบเทียบกับ
หน่วยงานอื่นอย่างเช่น ป.ป.ง. เขามีกระบวนการสัมมนาแลกเปล่ียนตลอด เพื่อลดช่องว่างในการ
ทางาน ทาให้บางเร่ืองมีความราบรื่นข้ึนไม่ต้องสอบเพ่ิมเสียเวลาต่าง ๆ หรือ กลต. ก็มีการสัมมนา
เชิญทางพนักงานอัยการมาร่วมพูดคุย ท่ีผ่านมาพนักงานอัยการใหม่ท่ีมาฝึกอบรม ทางหน่วยงานก็ได้
พาพนักงานอัยการใหม่กลุ่มนี้ไปดูงานท่ีกรมสอบสวนพิเศษ สาหรับการสัมมนาควรมีในหลายระดับ
ตงั้ แตผ่ ู้ปฏิบัตงิ าน ผู้บริหารรวมกัน ไมใ่ ชส่ ัมมนาอย่ใู นระดับเดียวกนั เทา่ นนั้
ขอเสนอในเรื่องการมีความเห็นทางคดี อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษไม่ควรจะ
ลงมามีความเห็นในทางคดีต้ังแต่แรก ควรให้ผู้อานวยการกองสามารถเสนอสรุปสานวนได้เลย โดยไม่
ต้องเสนอไปท่ีอธิบดีฯ เพื่อมีความเห็นในทางคดีในชั้นแรก เพราะจะเก่ียวพันถึงข้ันตอนการทา
ความเห็นแย้ง ซึ่งก็มีปัญหาในบางคดีในเรื่องการทาความเห็นแย้งตามมาตรา 34 แห่งพระราชบัญญัติ
การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ควรจะมกี ารปรับปรงุ ในจุดนี้
176
ในประเด็นเร่ืองพนักงานสอบสวนควรจะมีการฝึกอบรมหรือกาหนดแนวทาง
ให้ปฏิบัติเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ควรจะต้องมีการละลายพฤติกรรม ให้รวมเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่ใช่
ทาตามแบบที่ตนเองคุ้นเคยหรือเคยปฏิบัติ อาทิ ผู้ที่เคยเป็นตารวจก็จะทาแบบที่ตารวจเคยทา ผู้ท่ีเป็น
ทหารกจ็ ะทาแบบที่ทหารเคยทา หรือผู้ทม่ี าจากกรมการปกครองก็จะทาแบบท่ีกรมการปกครองเคยทา
มนั จึงมคี วามหลากหลายแบบมีผลเสยี จงึ ควรปรับปรงุ ให้ปฏิบัติเปน็ แนวทางเดียวกนั ใหไ้ ด้
เรื่องความก้าวหน้าในอาชีพ จะเห็นได้ว่ากลุ่มท่ีมาจากข้าราชการพลเรือน
อาจจะไม่ได้รับการยอมรับเท่ากับกลุ่มที่มาจากตารวจ อาจเกิดปัญหาในการปฏิบัติงาน แม้จะเคย
ปรับไปบ้างก็ตาม ท้ายท่ีสุดก็กลับมาเป็นแบบเดิม ขอให้ดูตัวอย่างพนักงานอัยการ ศาล ไม่ว่าคุณจะมา
จากไหน เม่ือคุณมาแล้วจะได้รับการยอมรับ ไม่ได้ดูท่ียศ แต่ก็เป็นเรื่องที่ยาก แต่ก็ควรปรับไปเร่ือย ๆ
ต้องคานึงถึงความเจริญก้าวหน้า หน่วยงานต้องมีให้กับคนทุกกลุ่ม อาจต้องใช้เวลานานในการแก้ไข
ตอ้ งคานงึ ถงึ ระบบคณุ ธรรมจรยิ ธรรมใหม้ ากขนึ้ ลดปัญหาการวิง่ เต้นให้ได้
4.4.7 ผ้ใู หส้ มั ภำษณ์คนท่ี 7116
(1) สภำพปัญหำในกำรแสวงหำพยำนหลักฐำนในคดีพิเศษมอี ะไรบ้ำง
คดีพิเศษมีปัญหาหลายแง่หลายมุม หากดูจากมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติ
การสอบสวนคดีพเิ ศษ พ.ศ. 2547 จะพบว่าเปน็ คดีที่ต้องมคี วามยุ่งยาก ซับซ้อน อาชญากรรมข้ามชาติ
มีผู้ท่ีมีอิทธิพลเป็นตัวการ มีผลกระทบต่อความมั่นคง เศรษฐกิจ และอื่น ๆ ซ่ึงเม่ือคดีมีความยุ่งยาก
ในเน้ือหาแล้วย่อมมีความยุ่งยากในเรื่องพยานหลักฐานด้วย ขอมุ่งไปท่ีประเด็นของหัวข้อวิจัยน้ี
คือ เรื่องการกันผู้ต้องหาเป็นพยาน เนื่องจากการดาเนินคดีพิเศษส่วนมากจะขาดพยานหลักฐานที่
สาคัญ เพราะผู้ร่วมกระทาผิดจะร่วมกันปกปิดการกระทาความผิดจนไม่อาจหาพยานท่ีรู้เห็นได้หรือ
รเู้ ห็นได้ก็ล้วนเป็นผู้ที่อยู่ในข่ายร่วมกระทาความผิดท้ังส้ิน เช่น คดีการกู้ยืมท่ีเป็นการฉ้อโกงประชาชน
หรอื ทเ่ี ราเรียกว่าคดีแชร์ลูกโซ่ การกระทาความผิดเป็นลักษณะปิรามิดขึ้นไป มีลักษณะทลี่ ูกข่ายเริ่มต้น
กจ็ ะเป็นผ้เู สียหาย พอเปน็ ผู้เสียหายก็จะชวนเพ่ือน ชวนญาติมาร่วมกระทาความผิด ซึ่งแนวคิดใน DSI
ก็จะมี 2 แนวคิด คือ 1) เอาผิดกับผู้ร่วมกระทาความผิดทั้งหมด 2) เอาผิดเฉพาะผู้ที่อยู่บนสุดของ
ปิรามิดคือตัวการใหญ่จริง ๆ แม่ข่ายท้ังหลายถือเป็นผู้เสียหาย ซึ่งวิธีนี้จะสามารถเอาตัวการใหญ่มา
ลงโทษได้เพราะพยานหลักฐานแวดล้อมเพียงพอ ซึ่งในขณะนั้นยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ ซ่ึงจะมลี ักษณะ
กันผู้ต้องหาเป็นพยานกลาย ๆ หรือตัวอย่างคดีท่ีเป็นองค์กรอาชญากรรม ผู้ที่ออกไปกระทาความผิด
จริง ๆ เป็นผู้ถูกใช้หรือเป็นตัวแทน (nominee) เป็นตัวละครหางแถว ส่วนผู้วางแผน ผู้ก่อการท้ังหลาย
กจ็ ะลึกลับซับซ้อนเป็น Organized Crime ทาให้ไม่สามารถจัดการตัวการใหญ่ได้ หรือในคดียาเสพติด
ที่ตัวการใหญ่ไม่ได้แตะต้องเงิน ไม่ได้แตะต้องยาเสพติด จึงไม่สามารถสืบสวนสอบสวน นาไปสู่การนา
ผนู้ นั้ มาลงโทษได้ จับได้แต่ผู้กระทาความผดิ ทเี่ ป็นตัวเล็กทั้งส้ิน ถือเป็นตวั อย่างทเ่ี ห็นได้ชดั เจนและเป็น
บริบทท่ีจะนาไปสู่ว่า “ทาไมจึงควรจะมีมาตรการกันผู้กระทาความผิดออกมาเป็นพยาน” คดีพิเศษ
ของ DSI เข้าขา่ ยลกั ษณะดังกลา่ ว
เคร่ืองมือพิเศษในพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 มี 2 ประเภท
ที่มีลักษณะเด่นและแตกต่างจากหน่วยงานอื่น ค่าใช้จ่ายในคดีพิเศษตามมาตรา 31 ได้ออกแบบให้
พนักงานสอบสวนคดีพิเศษสามารถใช้งบประมาณได้อย่างถูกต้องตามท่ีกฎหมายกาหนด โดยให้
116 สมั ภาษณเ์ มอ่ื วนั ท่ี 12 มิถนุ ายน 2564
177
นาไปใช้ในการบูรณาการร่วมกับเจ้าหน้าที่หน่วยงานอ่ืน การหาแหล่งข่าว การมีปฏิสัมพันธ์กับ
หน่วยงานต่าง ๆ ตามอานาจหน้าที่ ซ่ึงจะทาให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษสามารถดาเนินงานได้
อย่างมีประสิทธิภาพ มีความคล่องตัว โดยไม่ต้องเอาคนไปจานวนมากในการออกพ้ืนท่ี แต่สามารถ
ไปบูรณาการกับเจ้าหน้าที่อ่ืน ๆ ได้ การมีเครื่องมือน้ีกว่าจะได้มายากมาก ต้องไปนาเสนอในรัฐสภา
กว่าจะได้รับความเห็นชอบต้องช้ีแจงอย่างมาก และต้องให้กระทรวงการคลังเห็นชอบในการจ่าย
แต่ละรายการก็เป็นเร่ืองท่ียากยิ่งขึ้นไปอีก แต่ท้ายที่สุดก็ดาเนินการได้สาเร็จจนมีเงินงบประมาณ
ในมาตรา 31 ใช้ในปัจจุบัน แต่การใช้เงินดังกล่าวก็มีปัญหาในการใช้ กลัวการถูกกล่าวหาในการใช้
มีความเข้มงวดในการเบิกจ่ายมาก ในยุคหน่ึงเงินมาตรา 31 เหลือจานวนมากต้องนาไปแปลง
งบประมาณ เพราะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษไม่กล้าเบิกจ่าย กลัวถูกมองในแง่ที่ไม่ดี เม่ือมาตรา 31
ไม่คล่องตัว ก็ส่งผลกระทบไปถึงมาตรา 22/1 ในการบูรณาการความร่วมมือโดยขอให้เจ้าหน้าท่ีอ่ืน
เข้ามาช่วยเหลือ หากเราไม่มีค่าเบ้ียเล้ียง ไม่มีค่าน้ามัน ไม่มีค่าแหล่งข่าว ไม่มีค่าอาหาร แล้วเขาจะมา
ช่วยเราได้อย่างเต็มทไ่ี ด้อย่างไร
มาตรา 22/1 และมาตรา 31 ถูกออกแบบมาเพ่ือให้เป็นจุดแข็งในการปฏิบัติงาน
และเป็นจุดด้อยของหน่วยงานอื่นที่ไม่มี แต่ปรากฏว่าไม่ได้นาไปถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าท่ีควร
ในเรื่องน้ไี มต่ ้องแก้กฎหมาย สามารถแก้ไขโดยการปรับทศั นคติจากผู้บรหิ ารไปจนถึงผูป้ ฏิบตั ิ
(2) ควรจะมีวิธีกำรเพ่ิมประสิทธิภำพในกำรแสวงหำพยำนหลักฐำนในคดีพิเศษ
อยำ่ งไร
1. สามารถเพ่ิมประสิทธิภาพในการแสวงหาพยานหลักฐานได้ โดยให้มีการ
ดาเนินการตามมาตรา 22/1 และมาตรา 31 ซ่ึงเราออกแบบมาเพื่อให้เป็นจุดแข็งในการปฏิบัติงาน
และเป็นจุดด้อยของหน่วยงานอื่นท่ีไม่มี แต่ปรากฏว่าไม่ได้นาไปถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าท่ีควร
ในเร่ืองนี้ไมต่ ้องแก้กฎหมาย สามารถแก้ไขโดยการปรับทศั นคติจากผู้บริหารไปจนถงึ ผู้ปฏิบัตติ ้องเขา้ ใจ
ว่า มาตรา 23 และ 31 คือ เครื่องมือที่มีประโยชน์ ค่าใช้จ่ายในคดีพิเศษท่ีถูกต้องตามกฎหมาย
สามารถแต่งตั้งเจ้าหน้าท้องถ่ินปลัดอาเภอ ตารวจท้องท่ีเป็นผู้ช่วย โดยใช้เงินจากมาตรา 31 ได้
แต่ปัญหาเท่าท่ีเจอจะถูกมองว่าเป็นช่องทางของการร่ัวไหลของเงิน หรืออาจจะนาไปใช้โดยไม่ชอบ
สุรุ่ยสุร่าย ผู้บริหารก็ไม่กล้าจ่ายกลัวว่าลูกน้องจะโกง ทาให้เข้มงวดมากลูกน้องก็ไม่อยากเบิก เราจึง
ควรมาระดมความเห็นและมาทบทวนว่าจะออกแบบวิธีใช้เงินมาตรา 31 อย่างไร และมีวิธีอื่น ๆ
เพิ่มเติมหรือไม่ อาทิ ในการทางานร่วมกันอาจจะต้องมีหนังสือชมเชย หรือออกประกาศนียบัตร
หรือวุฒบิ ัตร หรือจัดทาโล่ห์ขอบคณุ ในความร่วมมือ มีการจัดฝึกอบรมร่วมกนั มีการสร้างแรงจูงใจเป็น
Incentive ทาให้เขารู้สึกภาคภูมใิ จทไ่ี ด้ร่วมงานกับ DSI ให้มีการจดั สมั มนารว่ มกันเพอื่ สรา้ งปฏิสัมพันธ์
แลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ มีความรู้สึกที่ดีในการร่วมกันทางานเพื่อประเทศ DSI เป็นหน่วยงานใหม่
ต้องสร้างแนวคิดในการทาประโยชน์ให้กับประเทศ ให้คุณค่ากับบุคลากรรุ่นพี่ที่ผ่านร้อนผ่านหนาว
มีประสบการณ์ เช่น พนักงานอัยการก็ให้อยู่ถึงอายุ 65 ปี โดยใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ของรุ่นพี่ ๆ
นามาพัฒนา DSI ตอ่ ไป
2. ในอนาคตควรจะตอ้ งแก้กฎหมาย 2 เรือ่ ง คือ
(2.1) เสนอให้มีกองทุนที่ดูแลเจ้าหน้าท่ีท่ีถูกฟ้องท้ังทางแพ่งและทางอาญา
เมื่อถูกฟ้องคดีก็จะมีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ มากมาย หน่วยงานจะต้องมีหน้าที่ในการช่วยเหลือเจ้าหน้าท่ี
178
ที่ถูกฟ้องอันเนื่องมาจากปฏิบัติหน้าท่ี โดยอาจสามารถใช้เงินมาตรา 31 มาเป็นค่าใช้จ่ายในเรื่อง
ดงั กลา่ ว และทางกองกฎหมายต้องเข้ามาให้ความชว่ ยเหลืออย่างทนั ท่วงที
(2.2) เสนอแก้กฎหมายโดยให้มีบทบัญญัติไว้ว่า หากเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน
ตามอานาจหน้าที่โดยสุจริตจะไม่ถูกฟ้องคดีโดยง่าย เป็นการสร้างความมั่นใจให้กับเจ้าหน้าท่ีในการ
ปฏิบัติงาน โดยขอให้ศึกษาบทเรียนจากผู้ท่ีเคยถูกฟ้องมาแล้ว เพ่ือนามาสู่การป้องกันการฟ้องร้อง
โดยง่ายที่อาจจะเกิดข้ึน ซึ่งศาลฎีกาเคยออกบรรทัดฐานมาแล้วว่า ป.ป.ช. จะไม่ถูกฟ้องคดี เว้นแต่
จะไปร้องถอดถอน แม้ว่าต่อมาในภายหลังศาลฎีกาจะเปล่ียนแนวมาให้สามารถฟ้อง ป.ป.ช. ได้ก็ตาม
ลักษณะนี้ต้องเสนอแก้กฎหมาย เพื่อป้องกันการถูกฟ้องคดีโดยง่าย ซ่ึงได้มีปรากฏไว้ในพระราช
กาหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ มาตรา ๑๗ ที่ว่า “พนักงานเจ้าหนาท่ี
และผูมีอานาจหนาที่เชนเดียวกับพนักงานเจาหนาท่ีตามพระราชกาหนดนี้ไมตองรับผิดท้ังทางแพง
ทางอาญา หรือทางวินัย เน่ืองจากการปฏิบัติหนาท่ีในการระงับหรือปองกันการกระทาผิดกฎหมาย
หากเปนการกระทาที่สุจรติ ไมเลอื กปฏิบัติ และไมเกินสมควรแกเหตุ หรอื ไมเกินกวากรณีจาเปน แตไมตัด
สิทธิผูไดรับความเสียหายที่จะเรียกรองคาเสียหายจากทางราชการตามกฎหมายวาดวยความรับผิด
ทางละเมิดของเจาหนาท”ี่ ซ่งึ ตรงน้ีอาจจะต้องไปปรับข้อความให้สอดคลอ้ งกับบรบิ ทของ DSI
3. ควรให้มีการแยกผู้กระทาความผิดท่ีมีสว่ นร่วมกระทาผิดน้อยที่สุดออกมาเป็น
พยาน ซ่ึงจะตรงกับวัตถุประสงค์ของงานวิจัยฉบับน้ี จะสามารถทาให้พนักงานสอบสวนแสวงหา
พยานหลักฐานไดม้ ากย่งิ ขึน้ ในคดพี เิ ศษบางคดีท่ีไมส่ ามารถแสวงหาพยานหลกั ฐานไดอ้ ย่างเพยี งพอ
(3) กำรกำหนดแนวทำงกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนจะสำมำรถเพ่ิมประสิทธิภำพ
ในกำรสบื สวนสอบสวนและกำรแสวงหำพยำนหลกั ฐำนในคดพี ิเศษได้หรือไม่
สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการสืบสวนสอบสวนและการแสวงหาพยาน
หลักฐานในคดีพิเศษได้อย่างมาก เพราะผู้กระทาความผิดที่ถูกกันเป็นพยานน้ันจะรู้เห็นกับการกระทา
ผดิ โดยตรงและใกลช้ ิดกับเหตุการณ์มากท่สี ุด
(4) ควรสนับสนุนให้มีกำรบัญญัติกฎหมำยเพื่อรองรับและตรวจสอบพนักงำน
สอบสวนคดีพิเศษในกำรใช้ดลุ พินิจกำรกันผตู้ อ้ งหำเปน็ พยำนในคดพี เิ ศษหรือไม่
เห็นควรจะสนับสนุน เพราะการไม่ดาเนินคดีกับผู้กระทาความผิดต้องมีกฎหมาย
รองรับ ถา้ ไม่มีกฎหมายรองรับพนักงานสอบสวนจะโดนขอ้ หาละเวน้ เสยี เอง เป็นความผิดตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 157 "ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษ
จาคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหม่ืนบาทถึงสองแสนบาท หรือท้ังจาทั้งปรับ" ซ่ึงหากมี
บทบัญญัติแห่งกฎหมายในเร่ืองดังกล่าว ถ้าโดนข้อหาละเว้น ก็จะมีกฎหมายรองรับในการกันผู้ต้องหา
เป็นพยาน หมายความว่า จะมีกฎหมายรองรับท่ีจะไม่ดาเนินคดีกับผู้กระทาผิดนั้นเพราะเหตุผลอะไร
และท่ีสาคัญจะต้องมีการตรวจสอบการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าท่ี ซ่ึงมีความสาคัญและจาเป็นควร
กาหนดใหม้ ีการบญั ญัติกฎหมาย แต่ควรเขยี นเป็นเชงิ แม่บท และให้ไปออกอนบุ ัญญตั เิ พิ่มเติมแทน
(5) มำตรกำรทีจ่ ะกำกับ/ตรวจสอบกำรกนั ผตู้ ้องหำเปน็ พยำนในคดีพิเศษมีอะไรบำ้ ง
มาตรการที่จะกากับตรวจสอบในการเลือกวิธีใช้วิธีการกันผู้ต้องหาเป็นพยาน
มีความจาเป็นเพื่อสร้างมาตรฐาน (Standard Mechanisms) เพ่ือคุ้มครองเจ้าหน้าที่ ปกป้องเจ้าหน้าที่
179
(Protect) และในขณะเดยี วกนั จะต้องมีการตรวจสอบเจา้ หน้าท่ี (Rechecked) ว่าทเี่ จ้าหน้าทที่ าไปน้ัน
ได้ทาถูกต้องหรือไม่ ฉะน้นั Keyword ในเรอ่ื งนีก้ ็จะมี “มาตรฐาน” “การค้มุ ครอง” และ “การตรวจสอบ”
(6) กำรกำหนดแนวทำง/ระเบียบในกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนในคดีพิเศษมีผลดี/
ผลเสยี อยำ่ งไร
ผลดี คาตอบเหมือนในข้อ 5 เป็นการสร้างมาตรฐาน การคุ้มครองรองรับของ
ผปู้ ฏิบัติงานเจา้ หน้าท่แี ละการมีเอกภาพหรอื มวี ิธีการในการตรวจสอบ
ผลเสีย ต้องระวังในเร่ืองการกาหนดแนวทางหรือระเบียบหรือกฎหมาย หาก
กาหนดโดยเคร่งครัดมากเกินไปจะไม่ยืดหยุ่น เจ้าหน้าท่ีปฏิบัติตามได้ลาบาก และอาจเพิกเฉยไม่เลือก
ดาเนินการวิธีนี้ หรือหากกาหนดวิธีการตรวจสอบหลายข้ันตอน ยุ่งยาก วิธีการนี้ก็อาจไม่ถูกนามาใช้
ซ่งึ จะไมเ่ กิดประโยชน์ในทสี่ ดุ
(7) ข้อควรระวัง/ข้อสังเกตในกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนเพื่อกำรอำนวยควำม
ยตุ ธิ รรมในภำพรวม
ต้องมีสัดส่วนระหว่างประโยชน์ที่จะได้รับกับความหนักเบาของการกระทาความผิด
ซึ่งเร่ืองน้ีเป็นเร่ืองท่ียากพอสมควร เหมือนการช่ังน้าหนักพยานหลักฐาน การท่ีเราจะสั่งไม่ฟ้องใครสักคน
กต็ ้องชั่งน้าหนักพยานมากทีเดียว สาหรบั เรื่องการกันผตู้ ้องหาเป็นพยานในคดีพิเศษ เป้าหมายหรอื Goal
ของเราคือ ประโยชน์ที่จะได้รับจากบุคคลผู้ถูกกันเป็นพยาน ว่าจะสามารถช่วยให้นาผู้กระทาความผิด
ท่ีเป็นตัวการใหญ่มาลงโทษได้จริงหรือไม่ ความหนักเบาท่ีจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องได้รับโทษคุ้มค่า
หรือไม่ จะรักษาสมดุลให้ได้อย่างไร วางระเบียบได้ระดับหนึ่ง และต้องสามารถใช้ดุลยพินิจได้อีกระดับ
หน่ึง ซึ่งเรื่องการกันผู้ต้องหาเป็นพยานนั้นไม่ง่าย กฎหมายหลายฉบับที่มีเร่ืองน้ี ในส่วนที่ผมเก่ียวข้อง
อาทิ สานักงาน ป.ป.ท. ผมเป็นคนร่างกฎหมาย และได้มีมาตรการกันเป็นพยาน แต่การเขียนกฎหมาย
ไมส่ ามารถลงรายละเอียดได้ เขียนไม่ได้แบบที่พดู จะทาอย่างไร เปน็ เรอ่ื งทย่ี ากเหมือนกัน
งานวิจัยท่ีทาอยู่น้ีอาจจะได้คาตอบถ้ามีการระดมสมองต่าง ๆ คาว่า “ประโยชน์
แค่ไหน” “ประโยชน์สาธารณะ” ส่วนหนึ่ง หรือ “เป็นพยานที่หนักแน่น” “เป็นพยานโดยตรง” หรือ
“เป็นเพียงพยานบอกเล่า” ต้องมาทารายการเป็นข้อ ๆ ว่าประโยชน์น่ีคืออย่างไร คุ้มค่าหรือไม่กับ
การที่จะต้องปล่อยผู้กระทาความผิดไปรายหน่ึง หรือต้องไปดูบุคคลนี้กระทาความผิดเป็นตัวการใหญ่
หรือตัวการรอง หรือมีลักษณะเป็นคนก่อให้เกิดกระทาความผิด เป็นคนใช้ หรือเป็นต้นตอหลัก หรือ
เปน็ นายทุนเจา้ ของเงิน แบบนก้ี ไ็ ม่ไดถ้ อื ว่าผดิ หลกั การกันเป็นพยาน
(8) ข้อเสนออ่ืน ๆ เพ่ือเพิ่มประสิทธิภำพในกำรสืบสวนสอบสวนและกำรแสวงหำ
พยำนหลักฐำนในคดพี เิ ศษ
ตอ้ งมมี าตรการเสริมเพอ่ื ทาใหก้ ารกันตัวผู้ตอ้ งหาท่จี ะเป็นพยานมคี วามสัมฤทธิ์ผล
เช่น การคุ้มครองพยาน การไม่ต้องรับโทษ การให้ผลตอบแทนเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ หรือเป็นค่าใช้จ่าย
เพื่อมาขึ้นศาล โดยใช้เงินงบประมาณตามมาตรา 31 ได้ มีการส่งเสริมให้มีการกลับตัว กลับใจ ยับยั้ง
และใหเ้ บาะแสเพม่ิ เติม ซ่ึงจะตอ้ งดาเนินการกบั บคุ คลดังกล่าวกอ่ นทจี่ ะดาเนนิ คดี
สาหรับคดีพิเศษของ DSI อาจไม่ต้องรอถูกจับ แม้ว่าจะเป็นผู้กระทาความผิด
ไปแล้วหากเกิดการสานึกได้ก็สามารถให้บุคคลดังกล่าวไปหาเจ้าหน้าท่ีเพ่ือให้ข้อมูลและเพื่อเข้าสู่
มาตรการคุ้มครองพยานหลังจากการตรวจสอบข้อมูลของพนักงานสอบสวน โดยยอมรับที่จะให้
เบาะแสทเ่ี ป็นประโยชน์แกท่ างราชการ
180
ทั้งน้ี เห็นด้วยกับการที่จะต้องต้ังคณะกรรมการเพ่ือที่จะเข้ามากล่ันกรองในการ
พิจารณาเรื่องการกันเป็นพยาน แต่ควรจะเป็นการดูแลเร่ืองมาตรฐาน การดูว่าเป็นไปตามระเบียบ/
ข้อบังคับหรือไม่ ในขณะเดียวกัน เห็นควรให้มีการเปิดช่องให้ผู้มีส่วนในการกระทาความผิดสามารถ
เข้ามาร้องขอ หรือส่งคาร้องทุกข์ด้วยตนเองได้ด้วย แต่ต้องมีการถ่วงน้าหนักให้ดี ให้คณะกรรมการ
มีหน้าที่ช่วยส่งเสริมและคุ้มครองเจ้าหน้าท่ี ในการพิจารณาว่าควรกันผู้ต้องหาคนใดเป็นพยานเป็นหน้าท่ี
ของคณะพนกั งานสอบสวนในคดี
ในส่วนของพนักงานสอบสวนก็ต้องยอมรับว่า พนักงานสอบสวนคดีพิเศษเป็น
กลไกสาคัญในการทางานหรือขับเคล่ือนในการแสวงหาพยานหลักฐาน คงไม่สามารถทาให้พนักงาน
สอบสวนเป็นซุปเปอร์แมนคนเดียว แต่ต้องสร้างทีมที่เป็นทีมซุปเปอร์แมน นี่คือ แนวคิดของ DSI
นั่นคือ การระดมทรัพยากรของประเทศ แต่วิธีการจะระดมอย่างไร How to build Superman
Team เป็นเร่ืองที่ต้องคิด ต้องสร้าง โดยส่วนตัวยังเชื่อในเรื่องใช้ทรัพยากรโดยเฉพาะเร่ืองเงินจะเป็น
ตัวขับเคลื่อนงานใหม้ ีความคลอ่ งตัวและมปี ระสิทธภิ าพ
4.4.8 ผ้ใู ห้สัมภำษณ์คนที่ 8117
(1) สภำพปญั หำในกำรแสวงหำพยำนหลักฐำนในคดพี เิ ศษมีอะไรบ้ำง
ในคดีพิเศษมีลักษณะตามท่ีปรากฏในมาตรา 21 เป็นคดีท่ีมีความสลับซับซ้อน
มีความยากในการแสวงหาพยานหลักฐาน โดยเฉพาะการแสวงหาพยานหลักฐานเพ่ือนาผู้กระทา
ความผิดมาดาเนินคดี โดยส่วนใหญ่ผู้กระทาความผิดเป็นคนท่ีมีศักยภาพ มีความรู้ความสามารถ
มีอิทธิพล และบางคร้ังก็ใช้วิธีการสกัดการเข้าถึงตัว เช่น การใช้ตัวแทน (Nominee) การใช้บุคคล
เป็นตัวตัดวงจร (cut-out) เพ่ือไม่ให้เข้าถึงตัวการท่ีแท้จริงได้โดยง่าย แบบนี้คือความยากที่เกิดขึ้น
กระบวนการท่ีพนักงานสอบสวนจะต้องหาพยานหลักฐาน เพื่อนาไปสู่กระบวนการพิจารณาของศาล
ซง่ึ ศาลให้ความสาคัญเร่ืองพยานหลักฐานเป็นหลกั หากพนกั งานสอบสวนเข้าไม่ถงึ ตัวเป้าหมายโดยตรง
เป็นเพียงการคาดการณ์ พยานหลักฐานกไ็ ม่แนน่ หนา จะเป็นส่งิ ท่ที าให้คดลี ้มเหลวได้ ดังนั้นจึงขึ้นอยู่ท่ี
พยานปากสาคัญ มีหลายคดี อาทิ ในการจ้างวานฆ่า ซึ่งเป็นคดีของตารวจ โดยตารวจเองรู้อยู่แล้วว่า
คนสั่งการฆ่าคือใคร แต่ไม่สามารถที่จะหาพยาน หลักฐานได้ว่าคน ๆ นี้เป็นคนส่ังการ ถึงแม้จะจับตัว
มือปืนได้แต่ก็ไม่สามารถสาวไปถึงตัวผู้บงการได้ ฉะนั้น ในคดีจ้างวานฆ่าในสานักงานตารวจแห่งชาติ
จึงบังคับใช้กฎหมายได้ไม่เต็มที่ ถึงแม้จะรู้ตัวว่าใครเป็นผู้บงการก็ตาม เช่นเดียวกับคดีพิเศษถึงแม้จะรู้
ว่าใครเป็นผู้กระทาความผิดท่ีเป็นตัวการใหญ่ แต่หากพนักงานสอบสวนหาพยานหลักฐานแต่ไปไม่ถึง
บคุ คลดังกล่าว ส่วนน้ีคือความยากของคดีพิเศษ ซ่งึ ปัจจุบันความยากได้มีมากข้ึนด้วยเทคโนโลยีต่าง ๆ
ที่เกิดขน้ึ การเข้าถึงตวั หาพยานหลักฐานค่อนข้างยาก หากผู้กระทาความผิดไดใ้ ช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย
การสืบสวนสอบสวนก็จะยิ่งยากเข้าไปใหญ่ เพราะต้องใช้พยานหลักฐานท่ีเป็นพยานบุคคล และท่ีเป็น
พยานเอกสารต่าง ๆ เข้ามา บางคร้ังพยานหลักฐานเหล่าน้ีไม่มี มีแต่ส่ิงที่จับต้องไม่ได้ ฉะนั้น ในการ
สืบสวนแสวงหาพยานหลักฐานในคดีพิเศษมีความยากขึ้นทุกวัน สมัยก่อนได้ทาเรื่องเกี่ยวกับคดี
สิ่งแวดล้อม ปรากฏว่ามีการไปออกโฉนดท่ีดินของรัฐโดยมิชอบ ซ่ึงในสมัยก่อนอาจไม่คิดว่าภาครัฐ
จะมาตรวจสอบ ผู้กระทาความผิดก็ไปออกโฉนดด้วยตนเองหรือไปโชว์ตัว ออกในนามของเขาเองกับ
ท่ีดินของหลวง ต่อมาเม่ือมีการบังคับใช้กฎหมายเรือ่ งนี้พนักงานสอบสวนจึงเหน็ ตัวผู้กระทาความผิดที่
117 สัมภาษณเ์ ม่ือวนั ท่ี 18 พฤษภาคม 2564
181
เป็นผู้มีอทิ ธิพลง่ายขึ้น หลังจากนั้นพฒั นาการของผู้กระทาความผิดเหล่าน้ีได้มีมากขนึ้ มีการใช้ตัวแทน
(Nominee) เข้ามาถือแทนบ้าง การหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแทน (Nominee) กับตัวการที่แท้จริง
บางคร้ังก็สามารถหาได้ แต่พอไปถึงพนักงานอัยการหรือศาล อาจจะมีปัญหาในเรื่องน้าหนักของ
พยานหลักฐานท่ีไม่แน่นหนา จนกระท่ังเกิดการส่ังไม่ฟ้องหรือการยกฟ้อง ฉะน้ัน คดีพิเศษจึงมีความ
ยากในการเก็บพยานหลักฐานมากย่ิงขึ้น เพราะมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยี ย่ิงปัจจุบันมีเร่ือง 5G
เข้ามาเก่ยี วขอ้ ง การเก็บหลักฐานของเจา้ หนา้ ท่ีก็เป็นเร่ืองที่ยากมากที่จะทาอย่างไรให้ศาลเช่ือวา่ คน ๆ
นีเ้ ป็นคนทาผิด ยกตัวอย่าง คดี Cyber crime เมื่อก่อนทาคดี พนักงานสอบสวนใช้ระบบคอมพิวเตอร์
ในการไปแฮกข้อมูล เพ่ือไปดูว่าใครคือคนท่ีใช้ ซึ่งคนท่ีอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เราไม่รู้ว่าใครเป็นคนใช้
อาจจะเป็นคนอ่ืนก็ได้ หรืออาจจะเป็นคนนี้ก็ได้ เราก็ต้องไปหาพยานหลักฐานตามหลักของประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เช่น พยานบุคคล พยานเอกสาร พยานวัตถุ ในการท่ีจะมาพิสูจน์ให้
ปราศจากข้อสงสัยว่าคน ๆ น้ีเป็นคนท่ีทาความผิด เป็นคนที่ใช้เครื่องมือเหล่าน้ีในการกระทาความผิด
จะถามว่าเรามีการเตรยี มความพรอ้ มหรือในการทจ่ี ะเก็บหลกั ฐานเพือ่ จะมาพสิ ูจน์ความผดิ เขาได้ ตรงน้ี
ยากข้ึนทุกวัน ฉะน้ัน สภาพปัญหาในการรวบรวมพยานหลักฐานในคดีพิเศษก็ต้องบอกได้ว่าในอนาคต
หรือปัจจุบันนี้ จะมีความยากข้ึนเร่ือย ๆ อาชญากรใช้เทคโนโลยีอย่างเช่ียวชาญ ซ่ึงพนักงานสอบสวน
อาจจะตามไม่ทัน การเก็บหลักฐานก็จะไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ยกตัวอย่างเร่ืองของ bitcoin ซึ่งเป็น
เงินอิเล็กทรอนิกส์หรือเงินดิจิทัล จับต้องไม่ได้ จะยึดเขามาได้อย่างไร เมื่อมีการโกงเงินแล้วนาไปซ้ือ
bitcoin แล้วบินไปต่างประเทศ ไปขาย bitcoin ในต่างประเทศ จะไปอายัดเงินเขาอย่างไร หรือจะไป
อายัดเหมือนตอนที่เขาฝากเงินกับธนาคารเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว เพราะเงินดิจิทัลไม่สามารถจับต้องได้
ตรงนี้เป็นความยาก การบังคับใช้กฎหมายในการหาพยานหลักฐานต้องบอกว่ายากข้ึนเรื่อย ๆ ฉะน้ัน
พนักงานสอบสวนต้องพัฒนาในเรื่องของศักยภาพ การใช้เทคโนโลยี การใช้เคร่ืองมือต่าง ๆ เพราะ
เครื่องมือของกรมสอบสวนคดีพิเศษมีอยู่หลายตัว เป็นตัวช่วยได้ถ้าพนักงานสอบสวนรู้จักใช้ตัวช่วย
ในการทางานใหม้ ีประสทิ ธภิ าพ
(2) ควรจะมีวิธีกำรเพ่ิมประสิทธิภำพในกำรแสวงหำพยำนหลักฐำนในคดีพิเศษ
อย่ำงไร
วิธีที่จะเพ่ิมประสิทธิภาพในการแสวงหาพยานหลักฐานในคดีพิเศษมีหลายวิธี
วธิ แี รก คือ ตัวพนักงานสอบสวนต้องพัฒนาตนเองอย่างตอ่ เนื่อง เพราะโลกเปลี่ยนไปทกุ วัน โดยเฉพาะ
ปัจจุบันนี้มีเทคโนโลยีท่ีจะต้องใช้สัญญาณ 5G มากขึ้น ถามว่าพนักงานสอบสวนรู้หรือไม่เร่ือง 5G คือ
อะไร แล้วจะมีวธิ ีการป้องกนั อาชญากรรมที่เกดิ จากการใช้ 5G อย่างไร ประเทศไทยเราไปไกลมากแล้ว
ถ้าในโลกก็ยิ่งไปไกลกว่าน้ันอีก โดยเฉพาะเรื่องเทคโนโลยี ส่ิงเหล่านี้ไม่เคยนามาคิดเลยว่าวันหน่ึงจะมี
อาชญากรท่ีใช้ช่องทางนี้ ในการแสวงหาผลประโยชน์หรือมากระทากับคนที่สุจริต ตรงน้ีเป็นส่ิงท่ีต้อง
เสริมความรู้และพัฒนาขีดความสามารถกับตัวพนักงานสอบสวนก่อน ตัวอย่าง bitcoin ที่ได้เล่าให้ฟัง
มีการต่ืนตัวอยู่พักหน่ึง และพนักงานสอบสวนก็ยังหาช่องทางในการแก้ปัญหาไม่ได้ เช่น วิธีการ
โอนย้าย (transfer) เงินออกไปเราจะมีวิธีการยังไงในการบล็อกเงิน เม่ือเขาไปซื้อ bitcoin เขาโกงเงิน
มาวันเดยี วเขาก็ไปซื้อ bitcoin แล้วกโ็ อนจบเลย เรายงั ไม่ทนั ได้รับคดีเลย เราจะไปทายังไงกไ็ ม่ทัน
วิธีที่ 2 เรื่องของเคร่ืองมือพิเศษท่ีมีอยู่ เคร่ืองมือพิเศษที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ
มีอยู่ มันมศี ักยภาพมาก แต่การนาไปใช้ค่อนข้างน้อย ต้องบอกเลยว่าท่ีผ่านมา 10 กว่าปีมีใช้เครื่องมือ
พิเศษน้อยมาก ถ้าเราสามารถพัฒนาในเรื่องการนาไปปฏิบัติได้จริง พนักงานสอบสวนจะทางานได้มี
182
ประสิทธิภาพข้ึนมาก ตัวอย่าง เรื่องการแฝงตัว มีความเกี่ยวข้องเรื่องการกันผู้ต้องหามาเป็นพยาน
วิธีน้ีเป็นวิธที ี่ดีท่ีสุด เพราะการที่เราเอาคนไปอยู่ในองค์กรอาชญากรรม ไปเก็บข้อมูลต่าง ๆ เหมือนกับ
เรามีพยานบุคคลที่ไปเห็นข้อมูลการกระทาความผิดของอาชญากรทั้งหมดในรูปแบบการแฝงตัว
วันหนึ่งเราต้องจัดการกับกลุ่มอาชญากรกลุ่มน้ี ซ่ึงถ้าเราไม่มีพยานหลักฐานอื่น ก็ต้องให้บุคคลคนนี้มา
เป็นประจักษ์พยาน ซ่ึงอาจจะอยู่ในกระบวนการของผู้กระทาความผิดต้องไปคลุกคลีกับผู้กระทา
ความผิด แต่เขามีที่มามาจากรัฐ มาจากการแฝงตัวของฝา่ ยรัฐให้ไปกระทาความผดิ เพราะว่าให้ไปเก็บ
ข้อมูล ให้ไปหาเครือข่ายต่าง ๆ แล้ววันหนึ่งถ้าคดีจาเป็นท่ีจะต้องดาเนินคดีกับกลุ่มนี้แล้วไม่มี
พยานหลักฐานอื่น ก็สามารถใหม้ าเป็นประจักษ์พยานได้ นั่นคือการกันผู้ตอ้ งหาเป็นพยานน่ีคือส่ิงท่ีคิด
ไว้ดีมาก แต่ยังไม่เคยมีใครเอาไปใช้อย่างจริงจัง อาจจะต้องใช้เวลา อาจจะมีข้ันตอน/วิธีการต่าง ๆ
เยอะ พนักงานสอบสวนส่วนใหญ่ก็บอกว่ายากเกินไปในทางปฏิบัติ แต่เม่ือก่อนเราเคยทาได้มาแล้ว
แต่เราก็ไม่เคยเอามาถึงขั้นมาเป็นพยาน เพียงแต่ส่งข้อมูลมาให้เราดาเนินการ ซึ่งตรงน้ีก็เป็นการช้ีช่อง
หาพยานหลักฐานว่าควรไปหาพยานหลักฐานจากจุดไหนไปจุดไหน โดยท่ีเราจะไม่เปิดเผยตัวผู้ท่ีเข้าไป
แฝงตัวนี่คือประโยชน์ที่ได้รับจากการที่เราส่งคนไปแฝงตัว ในระยะแรกที่ได้ร่วมจัดทาระเบียบภายใน
กาหนดแนวทางถึงข้ันท่ีว่าไม่มีใครล่วงรู้และไม่มีนายทะเบียนจัดทาข้อมูลในการแฝงตัว ต้องมี
ความยืดหยุ่นท่ีสุด แต่ต่อมาทราบว่ามีการแก้ไขระเบียบให้มีนายทะเบียน ซึ่งอาจเกิดข้อมูลร่ัวไหล
และเกิดความไม่ปลอดภัยกับผู้ที่แฝงตัว รวมถึงมีข้ันตอนในการปฏิบัติหลายขั้นตอน วิธีการน้ีจึง
ไม่ถูกนามาใช้อีก นอกจากน้ี เรื่องการท่ีปรึกษาคดีพิเศษ ทาไมถึงต้องมี เพราะเหมือนกับเราไปทา
คดีประเภทหน่ึง ซ่ึงเราไม่รู้ในรายละเอียด เราไม่เคยมีพ้ืนฐานของเร่ืองนั้นมาก่อน จาเป็นท่ีจะต้อง
นาคนที่อยู่แวดวงของคนเหล่านั้นมาให้คาแนะนา เช่น เร่ืองเทคโนโลยีบางทีเราไม่มีความรู้ท่ีจะไป
ค้นหาพยานหลักฐานในสิ่งที่เขาทาผิด แต่มีคนหนึ่งท่ีเป็นคู่แข่งทางการค้าหรือเป็นคนท่ีมีความ
บาดหมางกันเราสามารถเอาคนเหล่าน้ีมาเป็นท่ีปรึกษาให้คาแนะนากับพนักงานสอบสวนในการท่ีจะ
ไปเก็บพยานหลักฐานได้เร็วข้ึนแทนที่จะมานั่งศึกษาเอง มีคนท่ีมีความเช่ียวชาญชี้ช่องให้หมดแบบน้ี
ทาให้การทางานมีการเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพดีขน้ึ ยกตัวอยา่ ง คดีภาษีนา้ มนั ภาษนี ้ามันเป็นอยา่ งไร เราเป็น
ตารวจเราไม่ทราบรายละเอียดแน่นอน เราจึงเอาคู่แข่งมาเป็นพยาน มาเป็นคนให้คาแนะนา เราจึงรู้
หมดว่าพยานหลักฐานมีอะไรบ้าง ได้เห็นถึงโครงสร้างในการทาธุรกิจของเขาท้ังหมดว่าเขาหลบเลี่ยง
ภาษีอยา่ งไร เราควรจะไปเก็บขอ้ มูลพยานหลักฐานจากจดุ ไหน ลกั ษณะน้ีสามารถทาได้หมด เพราะเรา
มที ปี่ รึกษาที่ลว่ งรูท้ ัง้ หมด ทุกวันน้ีกรมยังใช้ทีป่ รึกษายงั ไมเ่ ตม็ ประสิทธิภาพ ถ้าเป็นไปได้กรมควรจะปัด
ฝ่นุ เคร่ืองมอื พิเศษท้ังหมดทมี่ ีอยใู่ ห้ดแี ละให้ถกู นามาใช้อย่างเป็นรูปธรรม เครื่องมือทีด่ ีอีกเครื่องมือหน่ึง
คือ การมีพนักงานอัยการร่วมสอบสวน ในทางปฏิบัติอาจจะมีปัญหาอุปสรรคบ้าง แต่ส่ิงท่ีดีคือ การได้รับ
คาแนะนาเพม่ิ เติมทเี่ ป็นประโยชน์ การมีความน่าเชื่อถอื และการปิดช่องว่างในเรื่องพยานหลักฐานทาให้
พยานหลกั ฐานมนี า้ หนกั มีความน่าเช่ือถอื อยา่ งน้อยศาลกจ็ ะใหค้ วามเช่อื ถือย่ิงข้นึ
วิธีท่ี 3 คือ การจัดทาความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน หรือ MOU ให้เจ้าหน้าท่ี
หน่วยงานท่ีจัดทา MOU จะต้องขับเคลื่อนงาน ขับเคลื่อนความร่วมมือ มิเช่นนั้นก็จะเป็นแค่กระดาษ
ตอ้ งทาให้เกดิ การเขา้ มาร่วมกันทางาน และเกดิ การบังคับใชก้ ฎหมายรว่ มกัน นคี่ ือการขบั เคลือ่ น MOU
ท่ีมีประสิทธิภาพ เสนอแนวทางว่า ควรให้กองที่รับผิดชอบดูว่าจะใช้งาน MOU ใดบ้าง มี MOU กับ
หน่วยงานท่ีต้องการอยู่หรอื ไม่ การทา MOU ต้องพิเศษมากกวา่ การทางานแบบงานประจา (Routine)
ในการขับเคล่ือน ที่สาคัญก็ต้องมีผู้แทนบุคคลมารับผิดชอบอย่างจริงจัง ยกตัวอย่าง ควรจะเป็นระดับ
183
รองอธิบดีที่ควรจะมารับผิดชอบในการขับเคล่ือน MOU เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้มากขึ้น นา MOU
ที่มีอยู่มาปัดฝุ่นและนามาทบทวนขับเคล่ือนใหม่ หาแนวทางท่ีทาให้ MOU มีความต่อเนื่อง แต่ทา
อย่างไรให้ผู้ปฏิบัติงานเห็นความสาคัญท่ีจะส่งเสริมให้ MOU ขับเคลื่อนต่อไปได้ เม่ือเปล่ียนหัวหน้า
หน่วยงานก็จะไม่มีปัญหา ยกตัวอย่าง มีอยู่ครั้งหน่ึงกรมได้เข้าไปทา MOU กับหน่วยงานต่างๆ มีทั้ง
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และอ่ืน ๆ เมื่อเจอการกระทาความผิด เจ้าหน้าที่
ของเรานา MOU ท่ีมีอยู่ไปพบกับหน่วยงานดังกล่าว แสดง MOU ปรากฏท่ีมีร่วมกัน ปรากฏว่า
หน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง MOU ก็เข้ามาร่วมกันทางานและก็บังคับใช้กฎหมาย โดยท่ีเราไม่ต้องไป
ดาเนินคดี แต่เราเป็นแกนกลางที่เราจะต้องดึงคนเหล่าน้ีเข้ามาแล้วบังคับใช้กฎหมายกันเอง นี่คือการ
ขับเคลื่อน MOU ที่มีประสิทธิภาพ จะทาให้เป็นเร่ืองการสืบสวนได้โดยที่ไม่ต้องไปทาส่วนอ่ืน
สามารถลดคา่ ใชจ้ า่ ย ลดระยะเวลา และมีความร่วมมืออยา่ งแทจ้ รงิ
เคยเจอประสบการณ์อยู่เร่ืองหน่ึง MOU กับกรมหนึ่ง ตอนน้ันเจ้ากรมคนหน่ึง
ลงนาม MOU ไว้ ตอนหลังท่านเปล่ียนตาแหน่งไปแล้วย้ายไป ภายหลังคนรุ่นใหม่มาเขาไม่เอาด้วย
ท้ัง ๆ ท่ี MOU ยังไม่หมดอายุ บอกให้ทาก็เหมือนทาแบบงานประจา (Routine) แสดงว่ามีแนวนโยบาย
เปลี่ยนไป ซ่ึงปัญหานี้ จริง ๆ แล้วควรให้ MOU ต่อเนื่อง การปฏิบัติงานในระดับผู้ปฏิบัติระหว่าง 2
หน่วยงานต้องแนบแน่นก่อน ต้องมีความสัมพันธ์ท่ีดี เป็นเพื่อนเป็นเครือข่ายที่ดี เพ่ือต่อไปนี้หาก
เปลี่ยนหัวหน้าหน่วยงานแต่ผู้ปฏิบัติยังคงเดิม ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปฏิบัติงานจึงมีความสาคัญที่จะ
สง่ เสริมให้ MOU ขับเคลื่อนต่อไปได้ เมื่อเปลี่ยนหัวหน้า หน่วยงานก็จะไม่มีปัญหาในทางปฏบิ ัติ ดังนั้น
ความสัมพันธ์จึงต้องมีท้ังในระดับองค์กร ระดับผู้บริหาร และระดับเจ้าหน้าท่ี แม้มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
โยกย้ายที่เหลือก็ยังสามารถมีความสัมพันธ์และมีความร่วมมือต่อกันเหมือนเดิม แบบนี้จึงจะทาให้
MOU มปี ระสิทธภิ าพ
(3) กำรกำหนดแนวทำงกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนจะสำมำรถเพิ่มประสิทธิภำพ
ในกำรสบื สวนสอบสวนและกำรแสวงหำพยำนหลักฐำนในคดพี ิเศษไดห้ รอื ไม่
มีประสิทธิภาพแน่นอน แต่ต้องมีวิธีการและแนวทาง ผมไม่อยากให้ไปทา
เป็นระเบียบ หากไปทาเป็นระเบียบที่ไม่ยืดหยุ่นหรือมีความเคร่งครัดมากเกินไป จะเป็นปัญหาในทาง
ปฏิบัติเหมือนเรื่องการแฝงตัว หรืออาจเกิดการฟ้องเจ้าหน้าท่ีตามมาตรา 157 ได้ แนวทางท่ีสาคัญท่ี
จะต้องใช้ประกอบการพิจารณา คอื
1. ต้องไม่มีพยานหลักฐานอ่ืน ท่ีจะสามารถพิสูจน์ความผิดเพ่ือจับตัวผู้กระทา
ความผดิ รายใหญ่ได้ เราถงึ จะใช้วธิ นี ี้ แต่ถ้ามพี ยานหลักฐานอนื่ อยูแ่ ล้ว แตเ่ ราไปกันผ้ตู ้องหาไว้เป็นพยาน
ในกรณีนี้จะกลายเป็นไปช่วยเหลือผู้ต้องหา สาคัญมากประเด็นนี้ คือ ต้องไม่มีหลักฐานพยานอ่ืนใด
ทจ่ี ะไปบงั คับใชก้ ฎหมายกับตัวบงการได้ แบบน้เี ราจงึ จะใช้เรื่องการกนั ผูต้ อ้ งหาเปน็ พยาน
2. ผู้ต้องหาที่กันเป็นพยานต้องเป็นผู้กระทาความผิดน้อยท่ีสุด ไม่ใช่ไปเลือก
ตวั การสาคญั มากันเป็นพยาน แบบนี้เกดิ ความเสีย่ งและผิดวตั ถุประสงค์ ตอ้ งเลือกคนท่ีทาผิดนอ้ ยที่สุด
โดยอาจจะเป็นลิ่วล้อท่ีเข้าไปทาผิดร่วมกัน ไม่ได้เป็นตัวหลักและก็ไม่ได้เป็นตัวการใหญ่ แต่เป็นผู้ท่ีรู้เห็น
เหตุการณท์ ง้ั หมดว่าใครคือตัวการสาคัญ วธิ กี ารทาผดิ ทาอยา่ งไร น่คี อื หลกั การเลือกคนทีท่ าผดิ น้อยทสี่ ุด
สาหรบั รปู แบบของการกนั ผตู้ อ้ งหาเปน็ พยานมอี ยู่ 2 แนว คอื
แนวท่ี 1 การดาเนินคดีไปก่อนในช้ันพนักงานสอบสวนแล้วสั่งไม่ฟ้อง โดยให้แจ้ง
ขอ้ หาแล้วไม่ส่ังฟ้อง ในทางกฎหมายห้ามโจทก์อ้างจาเลยเป็นพยาน เพราะฉะน้ันการที่เรานาผู้ต้องหา
184
คนนี้เข้ามาเป็นพยาน ฐานะของคนนั้นจะต้องไม่เป็นจาเลย คือจะต้องสั่งไม่ฟ้องก่อนเพื่อไม่ให้อยู่ใน
ฐานะเป็นจาเลย จากนั้นพนักงานอัยการก็จะพิจารณาว่ามีความเหมาะสมหรือไม่กับการที่จะต้องกัน
ผู้ต้องหารายน้ีเป็นพยาน ถ้าพนักงานอัยการเห็นว่าเหมาะสมก็จะส่ังไม่ฟ้องตาม และก็นาบุคคล
ดังกล่าวเข้ามาในสานวนในฐานะพยาน ในกรณีนี้คือ ตารวจทาอยู่ซึ่งก็คล้าย ๆ กับว่าเราไม่ใช่จุด
สุดท้ายที่จะตัดสินใจว่าการกันผู้ต้องหาเป็นพยานได้หรือไม่ ยังมีพนักงานอัยการเป็นผู้พิจารณา
การกลัน่ กรองอกี ครัง้ หนึ่ง นค่ี ือรปู แบบทดี่ าเนนิ การอยู่ทวั่ ไป
แนวที่ 2 คือ กรณีท่ีพนักงานสอบสวนยังไม่ได้แจ้งข้อหา และในคดีท่ีมีพนักงาน
อัยการมาร่วมสอบสวน อาจจะปรึกษาพนักงานอัยการว่าจะสามารถกันเป็นพยานเลยได้หรือไม่
(กันแบบ Auto) โดยที่ยงั ไม่ต้องแจ้งขอ้ หากับบุคคลรายดังกล่าว ยกตัวอย่าง คดีความผิดตามกฎหมาย
ว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว โดยมีตัวแทน (Nominee) ซ่ึงภรรยาเป็นคนไทย แต่งงาน
เสร็จเอามาเป็นตัวแทนต้ังบริษัท พอนานเข้าก็เลิกกับภรรยา ตอนหลังมีการตรวจสอบพบว่าตัวแทน
ผู้หญิงซึ่งเป็นอดีตภรรยาน้ีไม่ได้มีการลงทุน และไม่มีบทบาทอะไรในบริษัท เป็นเพียงตัวแทนที่
ชาวต่างชาติตั้งขึ้นมา โดยให้เอาลายเซ็นของอดีตภรรยาซึ่งเป็นคนไทยไปใช้ในการจดทะเบียนทาธุรกิจ
เพื่อให้ตามกฎหมายไทยกาหนด ซึ่งเป็นการกระทา ท่ีผิดกฎหมาย ในการท่ีพนักงานสอบสวนจะจับ
ผู้กระทาผิดที่เป็นตัวการชาวต่างชาติดังกล่าว หากไม่มีพยานหลักฐานอ่ืนที่จะไปถึงตัวการที่แท้จริง
พนักงานสอบสวนจึงได้กันอดีตภรรยารายน้ีไว้เป็นพยานโดยมิได้แจ้งข้อหา โดยในความเป็นจริงอดีต
ภรรยาก็มีความผิดในการยินยอมท่ีจะเป็นตัวแทน ถือว่ามีส่วนร่วมในการกระทาความผิด แต่พนักงาน
สอบสวนกก็ ันไว้เป็นพยานโดยที่ไมไ่ ด้แจง้ ขอ้ หา ลักษณะน้คี ือ การกนั ไว้เปน็ พยานแบบออโต้
(4) ควรสนับสนุนให้มีกำรบัญญัติกฎหมำยเพื่อรองรับและตรวจสอบพนักงำน
สอบสวนคดพี เิ ศษในกำรใช้ดลุ พนิ ิจกำรกนั ผู้ต้องหำเป็นพยำนในคดพี เิ ศษหรอื ไม่
การดาเนินการเรื่องน้ีโดยส่วนตัวเห็นว่าไม่ต้องไปแก้กฎหมาย เพราะว่า
กระบวนการทางกฎหมายมีหลักอยู่แล้ว หลักการคือ ห้ามโจทก์อ้างจาเลยเป็นพยาน เม่ือไม่มี
พยานหลักฐานเพียงพอท่ีพนักงานสอบสวนจะนาผู้กระทาความผิดท่ีเป็นตัวการใหญ่มาลงโทษ
จึงจะกันผู้ร่วมกระทาความผิดเป็นพยาน โดยจะต้องไม่ให้บุคคลน้ันเป็นจาเลย น่ีคือหลักการ
ที่กฎหมายมอี ยูแ่ ลว้
(5) มำตรกำรท่ีจะกำกับ/ตรวจสอบกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนในคดีพิเศษมี
อะไรบ้ำง
ในคดีพิเศษหากมีการกันผู้ต้องหาเป็นพยาน จะมีความเสี่ยงในเร่ืองของการ
จะช่วยผู้ต้องหาหรือไม่ เพราะฉะน้ัน ควรจะมีการกลั่นกรองตรงนี้ น่าจะมีการนาเสนอข้อมูลให้
อธิบดีพิจารณาใหค้ วามเห็นชอบ ควรต้องเสนอความเห็นตรงน้ีไปถึงอธิบดีด้วย อย่างน้อยกองกฎหมาย
จะได้กล่ันกรองอีกระดับหนึ่งว่าถูกต้อง เหมาะสม เป็นตามแนวทางท่ีกาหนดหรือไม่ กรมควรจะกาหนด
แนวทางให้พนักงานสอบสวนเขา้ ใจว่าหากประสงค์จะกนั ผตู้ ้องหาเป็นพยาน จะต้องทาอย่างไร ต้องทา
กับใครบ้าง ต้องทาแบบไหน ขั้นตอนกระบวนการเป็นอย่างไร แต่อาจจะไม่ต้องถึงจัดทาเป็นระเบียบ
ซึ่งหากจัดทาเป็นระเบียบและมีความเคร่งครัด ก็อาจเกิดการฟ้องร้องตามมาตรา 157 ได้ แต่ถ้าเป็น
แนวทางที่แสดงให้เห็นว่าพอจะมีพยานหลักฐานในบางส่วนไปถึงผู้บงการ แต่ไม่เพียงพอ จึงมีความ
จาเป็นต้องเสริมเครื่องมือการกันไว้เป็นพยานข้ึนมาอีกตัวหน่ึง เพ่ือให้มีประสิทธิภาพในการบังคับใช้
กฎหมายมากขึ้น ทั้งน้ีทั้งนั้นไม่ควรให้คณะพนักงานสอบสวนคิดเพียงกลุ่มเดียว จะต้องเสนอ
185
ผู้บังคับบัญชาตามลาดับชั้นพิจารณาและให้มีความเห็นดว้ ย เพราะเม่ือไปถึงผู้บังคับบญั ชาก็จะมคี นทา
หน้าที่กลั่นกรอง ถ้ากลั่นกรองแลว้ มีเหตุ มีผล มีความจาเปน็ ก็สามารถทจ่ี ะดาเนนิ การต่อไปได้ แตห่ าก
ถ้ากรมไม่มีการกล่ันกรองก็จะถูกมองว่าเป็นการช่วยเหลือผู้ต้องหา และท่ีสาคัญอีกประการหนึ่ง คือ
จะต้องไม่เป็นการจูงใจ หรือไปบังคับขู่เข็ญ หรือจูงใจให้คาม่ันสัญญากับผู้กระทาความผิด อันนี้ถือว่า
ไมช่ อบด้วยกฎหมายทนั ที
(6) กำรกำหนดแนวทำง/ระเบียบในกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนในคดีพิเศษมีผลดี/
ผลเสียอย่ำงไร
มีผลเสีย หากพนักงานสอบสวนไม่สุจริตก็จะเป็นการช่วยเหลือผู้ต้องหา ดังน้ัน
กระบวนการกลั่นกรองจึงมีความสาคัญและจาเป็นอย่างมากในการดาเนินการในเรื่องน้ี กระบวนการ
ภายใน หากพนักงานอัยการท่ีรว่ มสอบสวน และมีอธิบดีใหค้ วามเหน็ ชอบก็สามารถดาเนินการต่อไปได้
ข้ันตอนต่อไปคือ ในชั้นศาล ความสาเร็จของคดีอยู่ที่การข้ึนศาล พนักงานสอบสวนจะทาอย่างไรให้
ตัวพยานของเราให้การอย่างมีประสิทธิภาพได้ และที่แน่นอนคือจะต้องถูกถามจากฝ่ายตรงข้ามว่า
บุคคลรายน้ีเป็นหน่ึงในผู้ร่วมกระทาความผิดทาไมไม่ถูกดาเนินคดี และฝั่งตรงข้ามพยายามที่จะหา
ช่องทางทจ่ี ะทาลายนา้ หนกั ของพยานปากน้ี ก็จะมีประเด็นแบบนต้ี อ้ งระมัดระวงั ในเรื่องดังกลา่ ว
เคยมีแนวคิดของสานักงาน ป.ป.ช. เก่ียวกับเร่ืองของผู้รับสินบนกับผู้ให้สินบน
เขาบอกว่า ถ้าไปดาเนินคดีทั้งสองคนและจะไปเอาหลักฐานที่ไหน ในเม่ือคุณคิดว่าคนที่รับสินบน
เป็นตัวหลัก ก็ต้องกันผู้ที่ให้สินบน แต่ถามว่าคนให้สินบนกระทาความผิดหรือไม่ คาตอบคือกระทาผิด
แต่จาเป็น ถ้าไม่กันไว้เป็นพยานในการดาเนินคดีท้ังคู่ แล้วจะทราบได้อย่างไรว่าเงินมาจากไหน
เอามาให้เม่ือไหร่ การกระทาความผิดเกิดข้ึนเม่ือไหร่ ข้อมูลเหล่าน้ีจะไม่มีทางทราบได้เลย ดังน้ัน
จึงเป็นลักษณะการกันปลาตัวเล็ก เพื่อดาเนินคดีกับปลาตัวใหญ่ นี่คือแนวคิดของสานักงาน ป.ป.ช.
ซ่ึงไม่ได้เกิดจากแนวความคิดของหน่วยเราหน่วยเดียว มีหลายหน่วยงานที่คิดเหมือนกันในเรื่อง
การกันผู้ต้องหาเป็นพยาน เพราะฉะน้ันก็คือ ข้อดี ป้องกันการใช้ดุลพินิจไม่ถูกต้องของพนักงาน
สอบสวนเองท่ีต้องการช่วยเหลือผู้ต้องหา จูงใจหรือบังคับขู่เข็ญหรือให้คาม่ันสัญญาให้กับผู้กระทา
ความผดิ และชว่ ยแกป้ ญั หาของการมพี ยานหลกั ฐานท่ีไม่แนน่ หนาจนกระทัง่ ศาลสงั่ ไม่ฟ้อง
(7) ข้อควรระวัง/ข้อสังเกตในกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนเพ่ือกำรอำนวยควำม
ยตุ ิธรรมในภำพรวม
(1) พนักงานสอบสวนเองจะต้องสุจริต ไม่มีเจตนาแอบแฝงในการช่วยเหลือ
ผู้กระทาความผดิ
(2) ต้องปรับกระบวนการทางานภายใน ให้มีแนวทางการพิจารณาท่ีชัดเจน
อาทิ ต้องเป็นคดีท่ีไม่มีพยานหลักฐานอื่นท่ีจะนาไปสู่ผู้กระทาความผิดท่ีเป็นตัวการท่ีแท้จริง ผู้ท่ีถูก
กันไว้เป็นพยานต้องเป็นผู้ท่ีมีส่วนในการกระทาความผิดน้อยที่สุด แต่ในการกาหนดแนวทางต้องมี
ความยืดหย่นุ มเิ ชน่ นน้ั จะเกดิ ปญั หาในการปฏิบัติ
(3) ต้องเพิ่มข้ันตอนการกลั่นกรองเรื่องดังกล่าว โดยอาจให้พนักงานอัยการท่ี
ร่วมสอบสวนให้ความเห็นชอบร่วมด้วย แล้วเสนออธิบดีหรือคณะกรรมการกลั่นกรองท่ีอธิบดีแต่งต้ัง
เพอ่ื รว่ มพจิ ารณาเหตุผลความจาเป็นในการใช้เครือ่ งมือนี้
186
(4) ในขั้นตอนการดาเนินคดีในศาล ต้องระวังฝ่ายตรงข้ามหาช่องทางท่ีจะ
พยายามทาลายน้าหนกั ของพยาน โดยอาจแยง้ วา่ พยานดังกล่าวนี้เป็นผรู้ ว่ มกระทาความผิด ทาไมถงึ ไม่
ดาเนนิ คดดี ว้ ย
(5) ต้องระวังเร่ืองการกลับคาให้การ เม่ือคดีขึ้นสู่ศาล พยานอาจกลับคาให้การ
ไปเข้าข้างฝ่ายผู้กระทาความผิด เพราะอาจจะเกิดจากความสนิทสนมในอดีต หรือไม่บางครั้งพยาน
อาจจะโดนขม่ ขู่ทง้ั ครอบครัว หรอื อาจบอกว่าถกู บังคบั ขู่เขญ็ จากพนักงานสอบสวน
(6) ต้องมีความละเอียดรอบคอบในการกันผู้กระทาผิดเป็นพยาน ต้องมีข้อมูล
ที่ครบถ้วนเก่ียวกับพยานรายน้ัน อาจเกิดกรณีท่ีพยานไม่บอกความจริงว่าตนเองได้มีการกระทา
ความผิดหลายคดี จะทาให้พยานรายนห้ี มดความนา่ เชอื่ ถือในช้ันศาลได้
(7) ต้องหาพยานหลักฐานอ่ืนจากช่องทางหรือเบาะแสท่ีผู้ถูกกันไว้เป็นพยาน
ใหข้ อ้ มูลใหม้ ากที่สดุ ทง้ั เรอ่ื งกระแสการเงนิ ทรพั ย์สิน ข้อมลู บุคคล เป็นต้น
(8) ต้องมีระบบการคุ้มครองพยานท่ีมีประสิทธิภาพ รักษาความปลอดภัยให้
กับพยานและครอบครัว รวมถึงสทิ ธิและค่าใชจ้ า่ ยทจ่ี าเปน็ ระหวา่ งท่ีได้รบั การค้มุ ครองพยาน
(9) ต้องไม่มีการบังคับขู่เข็ญ หรือจูงใจ หรือให้คามั่นสัญญากับผู้กระทาผิด
ตอ้ งระวงั
(8) ข้อเสนออื่น ๆ เพื่อเพ่ิมประสิทธิภำพในกำรสืบสวนสอบสวนและกำรแสวงหำ
พยำนหลกั ฐำนในคดีพเิ ศษ
ควรมกี ารทบทวนปรับปรุงพระราชบัญญัติการสอบสวนคดพี ิเศษ พ.ศ. 2547 และ
ท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ซ่ึงการสืบสวนสอบสวนเป็นพลวตั ไม่สามารถท่ีจะหยุดน่ิงอยู่ได้
กฎหมายเม่ือ 20 ปีท่ีแล้วอาจจะนามาใช้ในปัจจุบันไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นควรจะมาดูเร่ืองการเพิ่ม
ประสิทธิภาพของการรวบรวมพยานหลักฐานเป็นเร่ืองหลัก ส่ิงใหม่ ๆ ที่ เข้ามาทาให้โลกเปล่ียนแปลง
ไป จะมีช่องทางใดบ้างท่ีจะเสริมให้การทางานของพนักงานสอบสวนมีประสิทธิภาพยิ่งข้ึน ง่ายขึ้นใน
ปัจจุบันกฎหมายแต่ละหน่วยงานกจ็ ะมีมาตรการป้องกันการขอข้อมูล/การรักษาข้อมูล ไม่ให้เราเข้าถึง
ข้อมูลของเขาได้ การทางานของเราก็จะยากยิ่งขึ้น ควรแก้ไขให้กฎหมายเราสามารถขอข้อมูลจาก
หน่วยงานต่าง ๆ ได้ และทาให้หน่วยงานต่าง ๆ เหล่านั้นให้ความร่วมมือกับเราโดยไม่มีข้ออ้าง ต้องเอา
กฎหมายมาร้อื ดูว่าตดิ ขัดมีอปุ สรรคตรงไหน ควรแก้ปัญหาอย่างไร อาจต้องคุยกับหน่วยงานท่เี กี่ยวขอ้ ง
ด้วย เสนอผู้ที่มีอานาจตัดสินใจในการท่ีตัดสินใจว่าทาอย่างไรให้การสืบสวนสอบสวนมีประสิทธิภาพ
ทันสมัย สอดคล้องกับสถานการณใ์ นปัจจบุ ัน และทันตอ่ การเปลี่ยนแปลงในการกอ่ อาชญากรรม
ควรมีการศกึ ษากฎหมายใหม่ท่ีมีการกาหนดมาตรการใหม่ที่นามาใช้เป็นเครื่องมือ
อาทิ มาตรา 100/2 ในพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 บัญญัติไว้ว่า “ถ้าศาลเห็นว่า
ผู้กระทาความผิด ผู้ใดได้ให้ข้อมูลท่ีสาคัญและเป็นประโยชน์อย่างย่ิงในการปราบปรามการกระทา
ความผิดเก่ียวกับยาเสพติดให้โทษ ต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตารวจหรอื พนักงานสอบสวน ศาลจะ
ลงโทษผู้น้ันน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่าท่ีกาหนดไว้สาหรับความผิดนั้นก็ได้” ก็เป็นตัวอย่างประการหนึ่ง
ที่ควรจะต้องศึกษาเพิ่มเติม อาจนามาใช้ในการเสนอปรับแก้ไขพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ
ในอนาคต
187
4.4.9 ผู้ให้สมั ภำษณค์ นท่ี 9118
(1) สภำพปญั หำในกำรแสวงหำพยำนหลักฐำนในคดีพิเศษมีอะไรบ้ำง
ในแง่มุมของการแสวงหารวบรวมพยานหลักฐานในคดีพิเศษตามพระราชบัญญัติ
การสอบสวนคดีพิเศษกาหนดลักษณะความผิดไว้ชัดเจนว่า ความผิดอาญาบางประเภทที่มีความ
ซับซ้อน และต้องใช้การรวบรวมพยานหลักฐานพยานหลักฐานที่เป็นพิเศษ ในคดีที่มีผลกระทบ
อย่างรุนแรงต่อด้านต่าง ๆ ของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นศีลธรรมอันดี ความสงบเรียบร้อย ความม่ันคง
หรือเป็นเร่ืองของระบบเศรษฐกิจการคลัง และเช่ือมโยงถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ หรือผู้มี
อิทธิพลด้วย กลุ่มนี้ทาให้เห็นว่าลักษณะของคดีพิเศษเป็นคดีที่มีความยาก จึงมองได้ว่าสภาพปัญหา
จากการแสวงหาพยานหลกั ฐานการสบื สวนสอบสวน จะมี 2 มิติ คือ
มิติที่ 1 คือเรื่องของความยุ่งยากซับซ้อน คดีพิเศษเป็นความผิดที่แตกต่างจาก
คดีอาญาท่ัวไป ในการก่ออาชญากรรมที่เป็นคดีอาญา จะแบ่งออกได้เป็นคดีอาญาทั่วไปและคดีพิเศษ
หากเป็นคดีพิเศษจะดูท่ีปริมาณมูลค่าความเสียหายต้องเสียหายจานวนมาก รวมถึงจานวนผู้เสียหาย
จะต้องมีจานวนมากเช่นเดียวกัน การที่มีมูลค่าความเสียหายมากและจานวนผู้เสียหายมากนั้น
หมายความว่า การกระทาความผิดครอบคลุมพ้ืนที่อาณาเขตท่ีกว้าง ดังน้ัน หน้าที่ของกรมสอบสวน
คดพี เิ ศษจึงเปน็ ท่ีเรือ่ งใหญ่ การแสวงหาหลกั ฐานจึงยาก
มิติท่ี 2 คือ เรื่องระยะเวลาในการสืบสวนสอบสวนดาเนินคดีพิเศษกับคดีอาญา
ทั่วไปกับผู้กระทาความผิดเป็นไปตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญาอย่างเดียวเลย ไม่ว่าจะเป็น
การผัดฟ้อง ฝากขัง และการปล่อยช่ัวคราว โดยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาอาญาไม่ได้แยกระหว่าง
คดีพิเศษกับคดีอาญาทั่วไปไว้ จึงใช้ระยะเวลาเดียวกัน เพราะกฎหมายมีมาตรฐานเดียว แต่ในทาง
ปฏิบัติการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษมีความยากกว่า คดีมีความซับซ้อนกว่า ครอบคลุมพ้ืนที่เสียหาย
มากกว่า มีมูลค่าความเสียหายมากกว่า แต่ยังจะต้องใช้ระยะเวลาเท่ากันคดีอาญาท่ัวไป จึงอาจจะทา
ให้กระทบต่อประสิทธิภาพในการทางานของกรมสอบสวนคดีพิเศษได้ เพราะการแสวงหารวบรวม
พยานหลักฐาน อาจจะทาได้ไม่ครบถ้วน ทาให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา เนื่องจากว่าเวลาน้อยอาจจะ
ทาให้รวบรวมพยานหลกั ฐานไม่ครบถ้วน อาจจะต้องเป็นเรอ่ื งของการรีบฟ้องไปก่อนท่ีเหลือก็ต้องแยก
คดีไป ทาให้ภาพรวมของการดาเนินคดีไม่สมบูรณ์ และในบางคดีพิเศษท่ีมีอานาจอธิปไตยในการ
ดาเนินการจะอยู่ในเขตราชอาณาจักรก็ตาม แต่พยานหลักฐานบางอย่างอาจเกิดนอกราชอาณาจักร
ถึงแม้ว่าประมวลกฎหมายพิจารณาความอาญาความผิดบางอย่างเกิดนอกราชอาณาจักร ในการ
แสวงหาพยานหลักฐานที่อยู่นอกราชอาณาจักร พนักงานสอบสวนก็ไม่สามารถไปดาเนินการเองได้
เพราะว่าอานาจไม่มี ต้องใช้ความรว่ มมือระหว่างประเทศทางอาญา ซง่ึ อัยการสูงสุดเป็นผูป้ ระสานงาน
กลาง ระยะเวลาในการไปเอาพยานหลักฐานมาก็มีความยาก ต้องใช้ระยะเวลา คดีบางประเภท เช่น
คดีภาษีอากรของกรมศุลกากรมีคณะกรรมการพิจารณาเร่ืองราคาของ มีคณะกรรมการพิจารณาเรื่อง
ภาษกี ฎหมายเฉพาะของหน่วยงาน เวลาประสานงานบางคร้งั อาจจะยังไมไ่ ด้ขอ้ มูลกลับมาในระยะเวลา
ท่ีกาหนด จึงมีข้อจากัด ทาให้ในทางคดีอาจจะต้องดาเนินการฟ้องไปก่อน หากไม่ฟ้องไปก่อนผู้ต้องหา
กจ็ ะหลุด อายุความก็จะขาด หรอื เราอาจจะไม่สามารถดาเนินคดีกับผู้ต้องหานั้นได้อีก ทั้งหมดที่กล่าว
มานคี้ อื สภาพปัญหา และถือวา่ เปน็ ประเด็นทย่ี ากในคดีพิเศษทง้ั 2 มติ ิ
118 สมั ภาษณเ์ ม่อื วนั ที่ 28 พฤษภาคม 2564
188
(2) ควรจะมีวิธีกำรเพ่ิมประสิทธิภำพในกำรแสวงหำพยำนหลักฐำนในคดีพิเศษ
อย่ำงไร
จากสภาพปัญหาที่กล่าวไปแล้วในข้อที่ 1 น้ัน ไม่ใช่เร่ืองที่เราเพ่ิงมาเจอจริง ๆ
เขาเจอกันมาก่อนท่ีจะมีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และนาไปสู่การร่างกฎหมายว่าด้วยการสอบสวน
คดีพิเศษ โดยได้กาหนดวิธีการสืบสวนสอบสวนท่ีเป็นพิเศษไว้ไม่ว่าจะเป็นเร่ือง การบูรณาการ
การแฝงตัว การค้นโดยไม่มีหมาย การเข้าถึงข้อมูล การมีท่ีปรึกษา และการให้มีคนมาร่วมทางาน
กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ ประเด็นเหล่าน้ีก็จะสามารถแก้ไขปัญหาข้อบกพร่องไปได้ในระดับหนึ่ง
ขณะที่มีการจัดตั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษ และจัดทาร่างกฎหมาย เม่ือปี พ.ศ. 2547 ก็เห็นปัญห า
แต่ในปัจจุบันเกิดการเปล่ียนแปลงในหลายเร่ือง มีการพัฒนาการของเทคโนโลยี หรือการพัฒนา
รูปแบบการก่ออาชญากรรมกเ็ ปลีย่ นไปด้วย สง่ ผลกระทบมติ ใิ นการแสวงหาพยานหลักฐาน ในเร่ืองความ
ยุ่งยากแล้วก็เร่ืองเวลา ถามว่าจะทายังไงให้เพ่ิมมาตรการเพ่ิมประสิทธิภาพ ต้องบอกว่าจริงอยู่ ณ ขณะท่ี
รา่ งกฎหมายเรามีเครอ่ื งมือพเิ ศษ แต่ในการดาเนนิ การในเชิงปฏิบัติ อาจจะใช้คาพูดว่า “มอี านาจแตไ่ ม่
กล้าใช้” เนื่องจากว่าการใช้อานาจตามกฎหมายกาหนดดังกล่าว เป็นอานาจท่ีส่งผลกระทบต่อสิทธิ
เสรีภาพของบุคคล เพราะฉะน้ัน ถ้าพนักงานสอบสวนใช้อานาจแล้วไปกระทบสิทธิ ถึงแม้พนักงาน
สอบสวนจะใช้อานาจโดยชอบ แต่เขาเสียหาย เขาก็สามารถฟ้องพนักงานสอบสวนได้ พนักงาน
สอบสวนก็อาจไม่ทาจริง ๆ หากเขาฟ้องพนักงานสอบสวนที่ปฏิบัติหน้าท่ีโดยชอบด้วยกฎหมาย
ซึ่งแนน่ อนว่าไมผ่ ิด แตใ่ นระหวา่ งการต่อสูค้ ดีซ่ึงใชร้ ะยะเวลานาน ก็จะเปน็ การไมส่ บายใจ รบกวนจิตใจ
และในแต่ละคดีก็ส่งผลต่อเร่ืองอื่น ๆ มากมาย พนักงานสอบสวนจึงไม่อยากจะถูกฟ้อง การแฝงตัว
จึงไม่ใช้ ค้นโดยไม่มีหมายก็ไม่ใช้ ต้องไปขอหมายศาลดีกว่า ผลก็ช้าเหมือนเดิม รวมถึงค่าใช้จ่ายใน
การสืบสวนสอบสวนปัจจุบัน กรมสอบสวนคดีพิเศษมีแต่ก็อาจจะใช้ไม่เต็มท่ี หากจะต้องมีมาตรการ
ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพก็อาจเสนอได้ ดังน้ี
มาตรการท่ี 1 ให้ใช้ประสิทธิภาพของเครื่องมือในกฎหมายว่าด้วยการสอบสวน
คดีพิเศษที่กาหนดไว้ที่มีอยู่ให้เต็มความสามารถ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย
ท่กี าหนดไว้กอ่ น
มาตรการท่ี 2 การบูรณาการนามาตรการทางกฎหมาย หรือกฎหมายอื่น ๆ ท่ี
เก่ียวข้อง ซ่ึงมีอยู่จานวนมากซึ่งเป็นประโยชน์มาใช้ เพราะว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษสร้างมาเพ่ือ
การบูรณาการ ไม่ว่าจะเป็นสหวิชาชีพ สหวิทยาการ มาตรการที่ 2 น้ี คือ การบูรณาการทางกฎหมาย
ซ่ึงจะใช้เพิ่มประสิทธิภาพ โดยนาเอากฎหมายหลาย ๆ ฉบับ มาบูรณาการใช้ด้วยกัน เช่น 1) ประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาจะมี กระบวนการในการสืบพยานก่อนฟ้อง กรณีพยานท่ีอยู่เป็น
ผู้เสียหายท่ีอยู่ในต่างประเทศท่ีจะต้องเดินทางกลับ ขอสบื พยานก่อนฟ้องได้ อันนี้ควรจะสามารถทาได้
ไมจ่ าเป็นที่ใหเ้ ขากลับไปก่อนแลว้ ไปเรียกเขามา เขาก็ไม่มา เรากจ็ ะเสยี พยานปากนี้ไป 2) เรื่องของการ
กันผู้ต้องหาไว้เป็นพยาน เร่ืองนี้เป็นเรื่องสาคัญถ้าสามารถทาได้ จะเพิ่มประสิทธิภาพในการสืบสวน
สอบสวนคดีพิเศษได้มาก 3) เรื่องของมาตรการทางแพ่งเก่ียวกับการฟอกเงิน ซ่ึงได้บูรณาการกับ
สานักงาน ป.ป.ง. การดาเนินการมาตรการทางภาษีควบคู่กับการดาเนินการทางอาญา และต้อง
ประสานงานการร่วมมือระหว่างประเทศทางอาญา ซ่ึงมชี ่องทางที่เป็นทางการท่ีชัดเจนอย่แู ล้ว แต่ต้อง
พัฒนาสัมพันธ์โดยส่ิงที่ทาอยู่ก็คือ MOU ระหว่างประเทศ หรือเป็นภาคีเครือข่ายในหน่วยงานต่าง ๆ
ท้ังที่ไม่เป็นทางการด้วยเพื่อให้ได้ข้อมูลมาก่อน ในระหว่างการดาเนินการท่ีเป็นทางการ ทาแบบ
189
คู่ขนาน ข้อมูลที่ได้มาก่อนจะเป็นประโยชน์ในการที่พนักงานสอบสวนจะไปต่อยอดการแสวงหา
พยานหลักฐานอ่ืนประกอบเมื่อเอกสารที่เป็นทางการมาถึงจะสามารถประกอบกันพอดี ไม่เสียเวลา
ในการรอเอกสาร อันนี้หากเป็นเรื่องที่จะสามารถทาได้มากขึ้นก็จะเพิ่มประสิทธิภาพในการสืบสวน
สอบสวนคดีพิเศษมากข้นึ
มาตรการท่ี 3 ซ่ึงจะได้พูดในทุกเวที พนักงานสอบสวนจะต้องประยุกต์ใช้ในการ
เทคโนโลยีวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษมีทิศทางท่ีชัดเจนอยู่แล้ว
ในเรื่องของการใช้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อนามาเพ่ิมประสิทธิภาพในการแสวงหา
พยานหลักฐาน วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับนิติวิทยาศาสตร์
วทิ ยาศาสตร์ทั่วไป วิทยาศาสตร์ประยุกต์ต่าง ๆ สามารถนามาใช้ได้ ซึ่งหลักการของวิทยาศาสตร์มีคาตอบ
เป็นหนึ่งเดียว ไม่โกหก เพราะฉะน้ันสิ่งน้ีตอบโจทย์ความแม่นยา ตอบโจทย์ความรวดเร็ว โปร่งใส
ตรวจสอบได้ มีคุณภาพและน้าหนักดีกว่าพยานที่เป็นพยานบุคคล ถึงเวลาเปล่ียนไม่ได้ ปรับไม่ได้
ตัวอย่างท่ีกรมสอบสวนคดีพิเศษใช้อยู่ปัจจุบัน ด้วยความท่ีมีความยากลาบาก ในการเข้าพื้นท่ีเพ่ือ
ตรวจสอบคดีทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดลอ้ ม หรือคดอี ่ืน ๆ ทีเ่ กีย่ วข้องกบั พื้นท่ีในวงกว้าง จะมกี าร
ใช้ DSI Map ในการตรวจหาแผนที่ และใช้เทคโนโลยีสารสนเทศดา้ นภูมศิ าสตร์ มาใช้ GIS เร่ืองอย่างอ่ืน
ที่กาลังดาเนินการเป็นเร่ืองของ AI รวมถึงเทคโนโลยีที่โลกกาลังใช้อยู่คือ การติดตามใบหน้าพิสูจน์
ตัวบุคคล สามารถใช้ในการติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาสามารถนามาใช้ได้ เทคโนโลยีในเร่ืองของบล็อกเชน
ในการท่ีจะป้องกันข้อมลู เพ่อื ท่ีจะนาไปสู่การเปน็ พยานหลักฐาน บล็อกเชนช่วยได้ บล็อกเชนตวั ท่เี ป็น
การเข้าไปแก้ไขเปล่ียนแปลงยาก จะเป็นไปในเส้นทางเดิมตลอด อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ Data analysis
หรือ Data Dashboard จะทาอย่างไรที่จะประมวลผลและนาเสนอตัวพยาน หลักฐานในรูปแบบของ
dashboard ให้เห็นชัดเจน มคี วามเชื่อมโยง ปัจจุบันท่เี ราเห็นในการนาเสนอพยานหลักฐานในรปู แบบ
Infographic ก็จะมีความชัดเจน ทาให้มีประสิทธิภาพมากข้ึน อันนี้ก็จะเป็น 3 มาตรการ ที่คิดว่า
สามารถท่ีจะเพ่ิมประสิทธิภาพในการแสวงหาพยานหลักฐานได้ในช่วงน้ี ซึ่งจะครอบคลุม แต่ประเด็น
ทจี่ ะแตกยอ่ ยในแตล่ ะเรื่อง จะต้องดใู นรายละเอยี ดว่าจะดาเนนิ การอยา่ งไร
(3) กำรกำหนดแนวทำงกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนจะสำมำรถเพิ่มประสิทธิภำพ
ในกำรสบื สวนสอบสวนและกำรแสวงหำพยำนหลกั ฐำนในคดีพเิ ศษได้หรอื ไม่
หลักในการกันผู้ต้องหาเป็นพยาน คือ ตามกฎหมายห้ามโจทก์อ้างจาเลยเป็น
พยานในคดีอาญา แต่การที่เราจะไม่อ้างจาเลย วิธีการแรก คือ ไม่ให้เขาเป็นจาเลย หากเขาเป็นผู้ร่วม
กระทาความผิดหรือว่าเขาเป็นผู้ต้องหา พนักงานสอบสวนจะใช้วิธีกันเขาออกมา การกันออกมา
ดังกล่าวมี 2 วิธี คือ วิธีท่ี 1 คือ การท่ีพนักงานสอบสวนไม่สอบเขาเป็นผู้ต้องหาต้ังแต่แรก แต่การท่ี
ไมส่ อบเขาผู้ตอ้ งหาตง้ั แต่แรก ไมม่ หี ลักประกนั ว่าถึงเวลาแล้วเขาจะไม่ถกู ดาเนินคดี หรอื เขาจะใหก้ ารที่
เป็นประโยชนใ์ นชั้นศาล ไมม่ ีอะไรที่จะคุ้มครองเขา วิธีท่ี 2 คอื การเสนอสง่ั ไมฟ่ ้องไปที่พนักงานอัยการ
และเมื่อพนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้อง พนกั งานอัยการจะสั่งสอบเพิ่มเติมเป็นพยาน อันน้ีเปน็ แนวทางท่ีใช้
กันอยู่ในปัจจุบัน สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการสอบสวนสืบสวนในคดพี ิเศษได้ แต่คดีพิเศษตามทไ่ี ด้
กล่าวไปแล้วว่าเป็นคดีท่ียุ่งยากซับซ้อน การกระทาความผิดท่ียุ่งยากซับซ้อนน้ัน ผู้ท่ีจะรู้กระบวนการ
ของภายในก็จะต้องเป็นผู้กระทาความผิดด้วยกันเอง ซึ่งจะเป็นผู้ท่ีรู้ดีกว่าพนักงานสอบสวนที่ต้อง
แสวงหา หรอื พยานบุคคลหรอื พยานหลักฐานอ่ืน ๆ อีกท้ัง พยานทป่ี รากฏน้ันจะเป็นแคส่ ่วน ๆ อาจไม่
สามารถเช่ือมโยงกันได้ หรือสามารถนามาประกอบกันซึ่งอาจจะตรงหรือไม่ตรง แต่ว่าคนที่อยู่ในเร่ือง
190
กระทาความผิดดังกล่าวต้ังแต่ต้นจนจบเขาจะรู้ดีกว่าแน่นอน เพราะฉะนั้น การท่ีจะดาเนินคดีกับ
คดีอาญาบางประเภท เช่น องค์กรอาชญากรรม อาชญากรรมข้ามชาติ หรือคดีที่มีผู้มีอิทธิพลเป็น
ตัวการจะต้องการนาผู้ที่เป็นตัวการสาคัญในการกระทาความผิด หรือผู้ท่ีได้รับประโยชน์ขั้นสุดท้าย
หรือผู้ที่อยู่เบ้ืองหลังมาลงโทษ เพ่ือยุติอาชญากรรมดังกล่าวคนเหล่าน้ี การกระทาความผิดจะมีลักษณะ
ตัดตอน สาวไปไม่ถึงตัวการสาคัญ พยานหลักฐานแต่ละส่วนก็แยกกัน การท่ีจะไปดาเนินคดีก็จะไป
ไม่ถึงตัวการ ฉะน้ัน การกนั ผู้ต้องหาเป็นพยานจะเป็นการยกเว้นการกระทาความผิดให้บางคนเพื่อที่จะ
ไปเอาผิดตัวใหญ่ ซ่ึงจะใช้วิธีการปล่อยปลาเล็ก หรือใช้ปลาเล็กไปตกปลาใหญ่ หรือไปตกปลาท้ังฝูง
จะเกิดประโยชน์ในการดาเนินคดีและเป็นประโยชน์ในการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ การที่เราจะ
ดาเนินคดีกับองค์กรอาชญากรรม อาชญากรรมข้ามชาติ มันยากที่จะแสวงหารวบรวมพยานหลักฐาน
ได้ครบถ้วน ระยะเวลาในการดาเนินคดีมีจากัด เพราะฉะน้ัน ถ้าได้ผู้ร่วมกระทาความผิดมาเป็นพยาน
จะทาให้เพม่ิ ประสิทธภิ าพ แตต่ ้องคานึง
หลักสาคัญอีกประการหน่ึง คือ หลักของการกันผู้ต้องหาเป็นพยาน จะต้องกัน
ผู้ท่ีมีส่วนร่วมกระทาผิดน้อยที่สุดมาเป็นพยานเพ่ือท่ีจะไปดาเนินการกั บผู้กระทาผิดทั้งกระบวนการ
หรือตวั การใหญ่ อันนี้ก็จะเกดิ ประโยชน์ ณ ปจั จบุ นั ยงั ไมม่ วี ธิ ีอน่ื ทช่ี ัดเจนและมปี ระสิทธภิ าพมากกว่าน้ี
อีกประเด็นหน่ึงที่จะนาไปสู่การใช้การกันผู้ต้องหามาเป็นพยาน พนักงานสอบสวน
จะต้องดาเนินการอย่างเต็มกาลังความสามารถ ใช้เคร่ืองมือท่ีมีทุกอย่างครบถ้วนแล้ว ยังไม่สามารถ
ที่จะเอื้อมไปถึงผู้ท่ีกระทาความผิดทอ่ี ย่เู บอื้ งหลัง หรอื ตัวการสาคัญได้ จงึ ต้องใช้วิธีการน้ี ซ่ึงเป็นวิธีการ
ทางเลือกที่ไม่มีทางอ่ืนแล้ว จึงจะมาเลือกใช้วิธีการน้ี ไม่ใช่ว่าพนักงานสอบสวนมีเจตนาที่จะไป
ชว่ ยเหลอื ผูก้ ระทาความผิดบางคน
โดยสรุปคือ จากสภาพปัญหาในคดีพิเศษมีความจาเป็นที่จะต้องใช้วิธีการกัน
ผู้กระทาความผิดหรือผู้ต้องหาบางคนมาเพื่อสอบสวนเป็นพยาน เพ่ือท่ีจะนาไปสู่การดาเนินคดีกับ
ผู้กระทารายอืน่ หรือผกู้ ระทาผิดทง้ั กระบวนการท้ังองค์กร หรอื กับผทู้ รงอิทธิพลให้มีประสิทธภิ าพย่ิงขน้ึ
(4) ควรสนับสนุนให้มีกำรบัญญัติกฎหมำยเพื่อรองรับและตรวจสอบพนักงำน
สอบสวน คดพี ิเศษในกำรใชด้ ลุ พินจิ กำรกันผตู้ ้องหำเป็นพยำนในคดพี ิเศษหรอื ไม่
เห็นควรให้การสนับสนุนท่ีจะนาวิธีนี้มาใช้ในการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ
ตามที่ได้กล่าวไปแล้ว จะมีประโยชน์ในการท่ีจะคุ้มครองประโยชน์ของสาธารณะ มองว่าการดาเนิน
คดีอาญามีประโยชน์ต่อสาธารณะ และก็มีประโยชน์ท่ีจะคุ้มครองสาธารณะชนส่วนใหญ่ ในการที่จะ
ดาเนินคดีกับอาชญากรรมร้ายแรงต่าง ๆ แล้วได้ปล่อยผู้กระทาผิดบางรายท่ีกระทาผิดเพียงเล็กน้อย
เพื่อท่ีจะให้เกิดประโยชน์ ซ่ึงจะลดปัญหาข้อจากัดทั้งเรื่องความยุ่งยาก ซับซ้อน ระยะเวลาจะได้สั้นลง
วิธีการปฏิบตั ิจะมีความเป็นไปไดม้ ากขน้ึ
เรื่องของการกันผู้ต้องหาเป็นพยานมีหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องกับกรมสอบสวน
คดีพิเศษ ซ่ึงเขาให้การยอมรับ คือ สานักงานอัยการสูงสุด มีระเบียบในการดาเนินคดีอาญาของ
พนักงานอัยการ ซ่ึงได้กาหนดแนวทางและวิธีการพิจารณาของพนักงานอัยการในการกันผู้ต้องหา
ไว้เป็นพยานไว้แล้ว และจะมีแนวทางปฏิบัติของสานักงานการสอบสวนซึ่งมีผลโดยตรงกับ
กรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่พนักงานอัยการจะต้องร่วมสอบสวนกับพนักงานสอบสวน และปฏิบัติหน้าท่ี
ร่วมกับพนักงานสอบสวน ได้มีข้อกาหนดหรือแนวทางในการกันผู้ต้องหาเป็นพยานไว้ด้วย เมื่อทาง
พนักงานอยั การมแี นวทางรองรบั กรมสอบสวนคดีพิเศษกค็ วรจะเพ่ิมเติมเรื่องน้ใี นกฎหมายเพ่ือที่จะให้
191
เป็นทิศทางเดียวกัน ให้มีความชัดเจน เป็นประโยชน์ และมีการปฏิบัติท่ีมีมาตรฐาน มีประสิทธิภาพ
พนักงานสอบสวนจะได้ทราบว่าหากประสงค์หรือมีความจาเป็นจะดาเนินการในเร่ืองน้ี จะต้อง
ดาเนินการเปน็ ไปในแนวทางเดยี วกนั และตอ้ งทาอย่างไร
(5) มำตรกำรท่จี ะกำกับ/ตรวจสอบกำรกันผู้ต้องหำเปน็ พยำนในคดีพิเศษมอี ะไรบำ้ ง
ในการกันผู้ต้องหาเป็นพยาน ใช้เฉพาะคดีที่มีความจาเป็น ถ้ามีความจาเป็นถือว่า
เป็นพยานหลักฐานที่ดีที่สุดประการหนึ่ง ซ่ึงสิ่งที่เราต้องทากับพยานเหล่านี้ คือ 1) ต้องมีการคุ้มครอง
พยาน โดยพยานเหล่าน้ีถ้าเขาอยู่ในองค์กร ในองค์กรอาชญากรรม ซึ่งการลงโทษไม่มีการปลดออก
ไล่ออก หรือตัดเงินเดือน มีแต่ส่ังฆ่ากัน อันตรายจะเกิดกับตัวเขา ญาติ พี่น้อง พ่อแม่ลูก จึงมีความ
จาเปน็ จะต้องมกี ารใช้มาตรการการค้มุ ครองพยานควบคู่ไปกบั การกันผู้ต้องหาไวเ้ ป็นพยาน มาตรการน้ี
จะทาให้พยานไม่ต้องกังวล สามารถให้การได้เต็มที่ เพราะได้รับการคุ้มครองพยานจากพนักงาน
สอบสวน หรืออาจจะสั่งไม่ฟ้องไปแล้วเขาได้รับความคุ้มครองไม่ให้ถูกดาเนินคดีแล้วซึ่งหมายความว่า
เขาจะไม่ถูกดาเนินคดีและไม่ถูกส่ังฆ่า เขาจะได้ให้การในเรื่องที่ถูกต้องตามทานองคลองธรรม
มาตรการนี้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกระบวนการยุติธรรมทางอาญา อาทิ สานักงานอัยการสูงสุด
สานกั งานตารวจแห่งชาติ สานักงาน ป.ป.ช. สานักงาน ก.ก.ต. หนว่ ยงานเหลา่ นี้ได้วางระเบียบ กาหนด
ทิศทางการดาเนินการเป็นไปในแนวทางเดียวกัน อย่างท่ีบอกว่า การรวบรวมพยานหลักฐานในการ
ดาเนินคดีต้องดาเนินการอย่างเต็มความสามารถแล้ว ไม่อาจรวบรวมพยาน หลักฐานดาเนินคดีกับ
ผู้กระทาความผิดท่ีสาคัญได้ บุคคลคนนั้นเป็นผู้ที่รู้เห็นหรือมีส่วนร่วมในการกระทาความผิดแต่น้อย
รู้รายละเอียดท้ังกระบวนการ สามารถให้ถ้อยคาที่เป็นประโยชน์ เป็นเบาะแสเพ่ือประกอบการ
ดาเนนิ คดีกับตัวการทสี่ าคัญ/ตวั การหลักไดจ้ ึงใช้วิธนี ้ี
ประเด็นที่สาคัญหรือเง่ือนไขท่ีสาคัญคือ ผู้ที่ถูกกันไว้เป็นพยานน้ันจะต้องเต็มใจ
ให้ถ้อยคา เพราะถ้าไม่เต็มใจให้ถ้อยคา หรือให้ถ้อยคาโดยถูกบังคับขู่เข็ญหลอกลวงจูงใจ จะต้องห้าม
รับฟังตามกฎหมาย ดังนั้น ผู้ท่ีจะถูกกันไว้เป็นพยานจะต้องเต็มใจให้ถ้อยคา ต้องยืนยันว่าจะต้อง
ไปเป็นพยานให้การในชั้นศาล เน่ืองจากพยานบุคคลถ้าไม่มา หรือมาแล้วแต่ไม่ให้การ หรือให้การ
อย่างอื่นก็จะทาให้รูปคดีเสียหาย ถือเป็นหลักเกณฑ์ที่ทุกหน่วยงานให้การยอมรับกันแล้วและใช้
หลักเกณฑน์ เ้ี หมือนกนั ถ้ากรมสอบสวนคดีพิเศษกาหนด จะต้องใชม้ าตรการเง่ือนไขแบบนเ้ี ช่นเดียวกัน
มาตรการการกากับตรวจสอบของหน่วยงานต่าง ๆ จะถูกกากับและตรวจสอบ
โดยผู้บังคับบัญชา อาทิ สานักงานอัยการสูงสุด กาหนดให้อธิบดีอัยการเป็นผู้พิจารณา หากสานักงาน
การสอบสวนจะเสนอหรือให้คาแนะนาในเร่ืองการกันผู้ต้องหาเป็นพยาน ต้องเสนอถึงอธิบดีอัยการ
ให้สั่งหรือให้เห็นชอบก่อน จึงจะส่ังไม่ฟ้อง หรือสานักงานสอบสวนจะมาทางานร่วมกับกรมสอบสวน
คดีพิเศษ ซึ่งจะเสนอวา่ ขอกันผู้ต้องหาเป็นพยาน นอกจากกระบวนการของกรมสอบสวนคดีพิเศษแล้ว
ทางพนักงานอัยการจะต้องไปเสนอเรื่องขอกันผู้ต้องหาเป็นพยานว่าจะให้คาแนะนาอย่างไร พนักงาน
อัยการท่ีร่วมสอบสวนจะต้องไปเสนออธิบดีอัยการก่อนจึงจะมาให้คาแนะนาและก็เข้าสู่กระบวนการ
ดาเนินการต่อไป ซ่ึงเป็นมาตราการที่กากับตรวจสอบโดยผู้บังคับบัญชาไม่สามารถตัดสินใจได้ด้วย
ตวั เอง มีผู้บังคับบญั ชาต้องมาพิจารณากล่ันกรอง
ในส่วนของสานักงานตารวจแหง่ ชาติ มเี ร่ืองการกันผู้ต้องหาเป็นพยานมานานแล้ว
ท้ังในระเบียบหรือหนังสือเวียน ในการกนั ผู้ต้องหาไว้เป็นพยานของพนักงานสอบสวนคือตารวจ จะทา
โดยลาพังอยแู่ ลว้ พอจะกันผู้ต้องหาไวเ้ ปน็ พยานจะต้องใหพ้ นักงานสอบสวนผู้รบั ผิดชอบ ถ้าของตารวจ
192
ก็คือ ผู้กากับ ถ้าของกรมสอบสวนคดีพิเศษคืออธิบดี แต่ถ้าเป็นคดีแบบอุกฉกรรจ์ ต้องให้ผู้บังคับการ
ตารวจภูธรจังหวัดให้ความเห็นชอบในการส่ังการ ก่อนท่ีจะเสนอพนักงานอัยการ ถ้าเป็นคดีที่สะเทือน
ขวัญประชาชน คดีท่ีส่งผลต่อความมั่นคงอันน้ีต้องไปถึงอธิบดีตารวจหรือผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติ
ก่อนที่จะส่งไปให้พนักงานอัยการ เพราะทางน้ีมีความคิดเห็นเสร็จแล้ว จะต้องส่งให้พนักงานอัยการ
เพื่อพิจารณาว่าการกันผู้ต้องหาเป็นพยานไม่ใช่คนไม่ผิด เป็นคนผิดแต่ประสงค์จะกันไว้เป็นพยาน
โดยให้พนักงานอัยการส่ังไม่ฟ้องแบบนี้ พนักงานอัยการก็จะต้องไปพิจารณา ซ่ึงพนักงานอัยการก็ต้อง
ไปเสนอให้อธิบดีอัยการพิจารณา ถ้าเห็นชอบส่ังไม่ฟ้องเขา พนักงานอัยการจะต้องส่ังให้สอบสวน
บคุ คลน้เี ปน็ พยาน พนกั งานสอบสวนของตารวจจึงจะสอบบคุ คลผนู้ เ้ี ป็นพยานได้
ในสว่ นของสานักงาน ป.ป.ช. กับสานกั งาน ก.ก.ต. คล้ายกัน เจ้าหน้าที่ไต่สวนของ
เขาหากเห็นว่าจะกันคนน้ีเป็นพยานหรือตัวพยานเองร้องขอว่าจะขอเป็นพยาน เขาก็จะเสนอ
คณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือคณะกรรมการ ก.ก.ต. แล้วแต่กรณีส่ังให้กันคนน้ีเป็นพยาน ไม่ไปอัยการ
เขาส่ังเอง เพราะเขาเป็นระบบไต่สวนมีคณะกรรมการพิจารณา สามารถที่จะจัดการตรงน้ันได้เอง
ออกกฎออกระเบียบได้เอง ไม่ต้องเสนอเร่ืองไปท่ีอัยการและส่งกลับไป ซ่ึงจะต้องใช้เวลา แนวทางของ
สานักงาน ป.ป.ช. ของสานักงาน ก.ก.ต. เขายังไม่ส่ังไม่ฟ้อง แต่หาผู้ท่ีถูกกันเป็นพยานให้การไม่เป็น
ไปตามท่ีเคยให้การไว้ หรือกลับคาให้การ หรือไม่มาศาล หน่วยงานนี้จะสามารถกลับไปดาเนินคดีกับ
ผู้ที่ถกู กนั เป็นพยานได้
ในส่วนของกรมสอบสวนคดีพิเศษเห็นควรเสนอแนวทางในลักษณะเดียวกับ
สานักงานตารวจแห่งชาติ เน่ืองจากเป็นหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายท่ีมีลักษณะคล้ายกัน หากจะ
เทียบเคียง คือ หัวหน้าพนักงานสอบสวนคือหัวหน้าพนักงานสอบสวนโรงพัก ผู้อานวยการกองก็เหมือน
ผู้บังคับการจังหวัด อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษก็เหมือนผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติ แต่พอมาเป็น
คดีพิเศษซ่ึงเป็นคดีท่ีกระทบกับความมั่นคง ซ่ึงปรากฏอยู่ในมาตรา 21 ตามกฎหมายว่าด้วยการ
สอบสวนคดีพิเศษ ก็อาจจะต้องเสนออธิบดีทุกเรื่อง หรือให้เสนอรองอธิบดี ในประเด็นนี้เป็นเรื่องของ
การกาหนดมาตรการภายใน ยังต้องหารือกันในรายละเอียด เพ่ือให้มีมุมมองท่ีแตกต่างและเกิด
มาตรการการกากับและตรวจสอบท่ีมปี ระสิทธิภาพ
ในประเดน็ ท่ีเกี่ยวกับผูต้ ้องหาท่ีถูกกันไวเ้ ป็นพยานน้ัน เขาได้ประโยชน์ในลักษณะ
ท่ีเปล่ียนตัวเขาจากผู้ต้องหาไปเป็นพยาน แล้วมีมาตรการทางกฎหมายท่ีสามารถดาเนินการได้ คือ
กรณที ี่พนักงานอัยการสง่ั ไม่ฟ้องแล้ว ถ้าจะฟ้องเขาอีกไม่ไดเ้ ว้นแต่ว่ามีพยานหลักฐานใหมต่ ามประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 147 ที่บัญญัติไว้ว่า “เม่ือมีคาส่ังเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีแล้ว
ห้ามมิให้มีการสอบสวนเก่ียวกับบุคคลนั้นในเรื่องเดียวกันน้ันอีก เว้นแต่จะได้พยานหลักฐานใหม่
อันสาคัญแก่คดี ซึ่งน่าจะทาให้ศาลลงโทษผู้ต้องหานั้นได้” คือ ในคดีเดิมหากพนักงานสอบสวนไปเจอ
พยานหลักฐานอื่นในคดี ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเป็นผู้ร่วมกระทาผิดแล้วสามารถฟ้องใหม่ได้ นอกจากนี้ หากมี
การใช้มาตรการคุ้มครองพยาน แลว้ พยานไม่มาหรือให้การท่ีไม่เป็นประโยชนใ์ นการพิจารณา สามารถ
เรียกในสิ่งที่เขาได้รับระหว่างการคุ้มครองพยาน ไม่ว่าจะเร่ืองสิทธิประโยชน์ หรือค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
ในขณะท่ีเขาอยู่ในฐานะของพยาน กรณีให้การเท็จเป็นความผิดทางกฎหมายก็ถูกดาเนินคดีได้ กรณีที่
ไม่มาเปน็ พยานอาจจะเปน็ เรือ่ งของขดั คาส่ังเจ้าพนักงาน ทัง้ หมดน้ขี นึ้ อยกู่ ับพฤตกิ รรม แลว้ แตก่ รณี
ในคดีพิเศษควรกาหนดผู้รับผิดชอบที่ส่ังหรือพิจารณาเร่ืองการกันผู้ต้องหาเป็น
พยานไว้ให้ชัดเจน ซ่ึงเป็นอธิบดี แตจ่ ะมกี ลไกอน่ื อาทิ การตัง้ คณะกรรมการชุดหน่ึงเพือ่ กลั่นกรองหรือ
193
ช่วยเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาของอธิบดี ลักษณะนี้ก็น่าจะมีความรอบคอบมากยิ่งข้ึน
และเพ่ิมความคุ้มครองให้กับพนักงานสอบสวนในการถูกฟ้องร้องดาเนินคดี หากคณะกรรมการชุดน้ี
เห็นด้วยและอธิบดีก็เห็นด้วยตามเสนอ แสดงให้เห็นถึงกลไกมาตรการการตรวจสอบการใช้ดุลพินิจ
อยา่ งเป็นรูปธรรม จะเพิ่มประสทิ ธิภาพ ในการสืบสวนสอบสวนคดีพเิ ศษได้มากขนึ้ สามารถดาเนินคดี
กับผู้ท่ีกระทาความผิดที่เป็นตัวการหลักได้ ถือว่าประโยชน์ในการที่จะไปสู่สาธารณะได้มากข้ึน แทนที่
ว่าจะทาไปแบบไม่ใช้มาตรการนี้ จะเอาผิดใครไม่ได้เลย สูญเสียงบประมาณสูญเสียกาลังคน สูญเสีย
ความปลอดภัยของสาธารณะ ในท่ีสดุ ในภาพรวมกจ็ ะไมค่ ุม้ ค่า
(6) กำรกำหนดแนวทำง/ระเบียบในกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนในคดีพิเศษมีผลดี/
ผลเสยี อย่ำงไร
ผลดี เร่ืองของการกันผู้ต้องหาเป็นพยานอาจจะเชื่อมโยงกับเคร่ืองมือพิเศษที่
กรมสอบสวนคดีพิเศษมีอยู่ คือ การแฝงตัว ลองคิดดูว่าในการแฝงตัว ผู้ท่ีเข้าไปแฝงตัวในองค์กร
อาชญากรรม เมื่อเข้าไปแล้วจะต้องสร้างความเช่ือถือไว้เนื้อเช่ือใจยอมรับนับถือในกลุ่มอาชญากร
คือ ต้องใจถึงและร่วมกระทาความผิดให้เห็น จึงกลายเป็นผู้ร่วมกระทาความผิด แต่ในบทบัญญัติของ
กฎหมายกไ็ มไ่ ด้บอกสักทีเดียวว่าในการกระทาความผิดนน้ั จะไม่ถูกดาเนินคดี กลายเป็นว่าชว่ งท่ีคุณไป
แฝงตัวนั่นคือคุณร่วมกระทาความผิด มาตรการนี้อาจจะช่วยได้ แต่ก็ต้องไปศึกษาร่วมกับหลาย ๆ
กฎหมายนะ อันนี้เป็นข้อสังเกต มาตรการเร่ืองของการกันผู้ต้องหาเป็นพยานนี้อาจจะช่วยได้ในการที่
จะดาเนินคดีกับกลุ่มองค์กรอาชญากรรมนี้ พนักงานสอบสวนสามารถที่จะกันผู้ท่ีแฝงตัวนี้เป็นพยาน
โดยเขาจะไม่ถูกดาเนินคดี เพราะวัตถุประสงค์ คือ ให้เขาเข้าไป เขาต้องเป็นพยานอยู่แล้ว แต่ต้องใช้
วิธีการกัน เพราะว่าเขามีส่วนที่เขากระทาความผิด มาตรการแฝงตัวใช้กับเจ้าหน้าท่ีและบุคคล
ภายนอกด้วย การปฏิบัติตามข้อบังคับเร่ืองการแฝงตัว การปฏิบัติตามข้อบังคับน้ีโดยสุจริต หากถูก
ฟ้องแพ่งและอาญาจะได้รับช่วยเหลือจากการดาเนินคดีของกรมสอบสวนคดีพิเศษ แต่ไม่ได้บอกว่า
ไม่ผิด ช่วยเหลือแต่ยังไม่มีบทคุ้มครอง ดังนั้น มาตรการเรื่องของการกันผู้ต้องหาเป็นพยานน้ีจะเป็น
มาตรการท่ีคมุ้ ครองไดด้ ว้ ย
ผลเสีย หากมาตรการกากับหรือตรวจสอบไม่ดี พออาจจะนาไปสู่การแสวงหา
ประโยชน์โดยมชิ อบ ไมว่ ่าจะเปน็ เร่ืองผลประโยชน์ หรอื ประโยชน์ของผู้ต้องหาท่ีอาจจะมีเส้นสาย หรือ
คาให้การต่าง ๆ ท่ีได้รับจากผู้ต้องหาท่ีจะกันไว้เป็นพยานน้ันเขาอาจจะหลอกพนักงานสอบสวนก็ได้
ทาอย่างไรก็ไดใ้ หพ้ นักงานสอบสวนเชื่อ แต่จรงิ ๆ แล้ว อาจจะไม่ใช่พยานหลักฐานจรงิ ไม่สามารถท่ีจะ
นามาพิสูจน์ได้ เพราะฉะน้ัน การรับฟังพยานประเภทน้ี จะต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง แล้วจะต้อง
นาไปสู่พยานหลักฐานอ่ืนซึ่งสามารถเป็นอิสระต่อคาพูดเขา อาทิ เขาบอกว่ามีปืนอยู่ตรงน้ีเราต้อง
ไปเจอปืนจริง ๆ ให้เห็นอยู่จริง ๆ ว่าเป็นปืนท่ีใช้ในการกระทาความผิด ต้องสามารถเชื่อมโยง
สอดคล้อง สอดรับกันกับพยานหลักฐานอื่น ๆ ได้ จะต้องมีพยานหลักฐานอื่นประกอบท่ีมั่นคงด้วย
ไม่อย่างนั้นมองเห็นประโยชน์ก็พูดเอาประโยชน์เข้าตัว และยิ่งหากมีการสั่งไม่ฟ้องไปแล้ว การท่ีจะ
ดาเนนิ คดกี ับคนผนู้ ีก้ อ็ าจจะกระทาไม่ได้หรือกระทาไดย้ ากหากไม่มีพยาน หลักฐานใหม่
ผลเสียอีกประการคือ การกันผู้ต้องหาเป็นพยานน้ัน อาจจะเป็นมาตรการจูงใจ
ต้องระวังว่าการกาหนดมาตรการน้ีเป็นการกาหนดมาตรการตามกฎหมาย แต่การท่ีพนักงานสอบสวน
ไปบอกเขาว่าให้มาให้การต่อหน่วยงานรฐั นั้น จะต้องไม่เกิดจากการจูงใจ บังคับ ขู่เขญ็ ให้สัญญา หรือ
กระทาด้วยประการใด ๆ ที่ให้เขามาให้การ มิฉะนั้นจะต้องห้ามรับฟังตามกฎหมาย ดังน้ัน การกัน
194
ผู้ต้องหามาเป็นพยานจะต้องพิจารณาอย่างดีท่ีสุดแล้วว่าไม่มีพยานหลักฐานอื่นที่จะไปได้แล้ว
และสิ่งท่ีเขาให้เบาะแสหรือให้ข้อมูลต้องสามารถนาไปสู่พยานหลักฐานอื่น ๆ ได้อย่างมั่นคง โดยต้อง
สามารถเช่ือมโยงขอ้ มูลการกระทาความผดิ และนาไปถงึ ตัวการหลักได้ อย่างท่ีบอกว่า การกันผู้ต้องหา
เปน็ พยานนั้น เป็นพยานหลักฐานที่ดแี ตม่ นั ต้องเป็นมาตรการสดุ ทา้ ยที่จะนามาใช้ อนั น้ีสาคญั
(7) ข้อควรระวัง/ข้อสังเกตในกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนเพ่ือกำรอำนวยควำม
ยตุ ธิ รรมในภำพรวม
ควรคานึงถึงหลักเกณฑ์เร่ืองพยานหลวง (King’s Evidence) ที่ใช้กัน ในทาง
ปฏิบัติและศาลฎีกาได้รับรอง เช่น ในคดีจ้างวานฆ่าเพื่อการกันผู้ร่วมกระทาผิดไว้เป็นพยาน ตามคา
พิพากษาศาลฎีกาที่ 4512/2530 และ 1287/2531 และ 2029/2533 โดยทาให้ทันสมัยยิ่งข้ึน
กระบวนการดาเนนิ การท่ีโปร่งใส มีการตรวจสอบ มีมาตรการคุ้มครองความปลอดภัยพยาน ตลอดจน
บุคคลในครอบครัวพยานให้มีความปลอดภัยในชีวิตร่างกาย อีกทั้งการให้โอกาสผู้กระทาความผิด
กลับคืนสู่สังคม ข้อควรระวังอีกข้อหนึ่งคือ การกันผู้ต้องหาเป็นพยานเป็นการแสวงหาพยานหลักฐาน
ดาเนินคดีกับผู้กระทาความผิดจากผู้กระทาผิดด้วยกันแล้วสั่งไม่ฟ้อง ถือเป็นดาบสองคม โดยจะ
สามารถดาเนินคดีกับตัวการสาคัญได้ แต่ก็ปล่อยให้ผู้กระทาความผิดท่ีไม่ได้รับโทษอีกคนหน่ึงไป
ถึงแม้จะช่ังน้าหนักแล้วจะมีผลประโยชน์มากกว่าก็ตาม แต่ก็ต้องระวังในการรวบรวมพยานหลักฐาน
ทาอย่างไรจึงจะให้สมดุลและทาให้เกิดประโยชน์ต่อการอานวยการในภาพรวม โดยข้อเท็จจริง
คาให้การต้องมีความเชื่อมโยงสมเหตุสมผล และไม่มีลักษณะแกล้งปรักปราจาเลย รวมท้ังพนักงาน
สอบสวนต้องมคี วามมั่นใจวา่ จะสามารถเบิกความเป็นประโยชน์ในการพิจารณาต่อศาล ทั้งนี้ จะต้องไม่
เกิดจากการบังคับขู่เข็ญ หลอกลวง หรือให้สัญญาเพื่อชักจูงใจในการให้การเป็นพยาน อย่างไรก็ตาม
เรื่องการอานวยความยุตธิ รรมในภาพรวมกับการดาเนินคดีกับผู้กระทาความผดิ ท้ังหมดทุกคนมนั ถอื ว่า
ดีที่สุด แต่ถ้าเป็นไปไม่ได้ เพื่อประโยชน์ของสาธารณะหรือสังคมโดยรวมท่ีดีขึ้น หรือการได้ประโยชน์
มากกวา่ กต็ ้องยอมรบั
จากที่ได้ศึกษาเรื่องน้ีของหลาย ๆ หน่วย ไม่ใช่เป็นเรื่องของการแก้ไขกฎหมาย
แต่เป็นเร่ืองของการออกแนวทางปฏิบัติหรือออกระเบียบภายในมากกว่า ทั้งน้ี ต้องไปดูฐานอานาจ
ประกอบ ด้วยว่าไปอ้างอิงฐานอานาจใด หรือหากมีการแก้ไขกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ
ก็สามารถทาได้โดยให้มีบทบัญญัติว่าด้วยเรื่องการกันผู้ต้องหาเป็นพยาน แต่ต้องย้าว่า มาตรการน้ี
แม้เป็นเครื่องมือพิเศษท่ีเพิ่มขึ้นมา แต่ก็ไม่ใชม่ าตรการหลัก แต่เป็นมาตรการสุดท้าย การจะไปกาหนด
ไว้ในกฎหมาย อาจจะทาให้พนักงานสอบสวนนาเอามาตรการสุดท้ายน้ีมาเป็นมาตรการหลักก็ได้
มีความเสี่ยงสูง อีกวิธีการหนึ่ง คือ การมีคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ซ่ึงสามารถออกประกาศ
กคพ. ในเร่ืองนี้ได้ ซ่ึงกองกฎหมายอาจจะต้องไปพิจารณาว่ากระบวนการใดมีความเหมาะสมกว่ากัน
ระหว่างการเสนอปรับแก้ไขกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษกับการออกประกาศ กคพ.
ท้งั ในเรอ่ื งข้ันตอน วธิ ีการ ระยะเวลา คงจะตอ้ งพิจารณาในรายละเอยี ดต่อไป
(8) ข้อเสนออื่น ๆ เพื่อเพ่ิมประสิทธิภำพในกำรสืบสวนสอบสวนและกำรแสวงหำ
พยำนหลักฐำนในคดีพเิ ศษ
1. ขอให้พนักงานสอบสวนนาเครื่องมือพิเศษที่มีอยู่มาใช้ให้เต็มศักยภาพ
และอย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อให้เกิดความชัดเจนในขั้นตอนหรือวิธีการทางหน่วยงานได้พยายาม
จัดทาคู่มือและแนวทางปฏิบัติ แต่ก็ควรปรับปรุงให้เป็นปัจจุบัน เพ่ือจะมีการควบคุมและตรวจสอบ
195
พนักงานสอบสวนจะมีความเช่ือม่ัน และมีความมั่นใจในการนาไปใช้ในการปฏิบัติงานจริง และหาก
พนักงานสอบสวนทาตามขั้นตอนก็จะมีความม่ันใจและจะได้รับการคุ้มครอง หากถูกฟ้องร้องจะมี
กองกฎหมายเปน็ ผู้ชว่ ยเหลือในทางคดี
2. บูรณาการกฎหมายให้ครบ ดูกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย การดาเนินคดีพิเศษ
ไม่ใช่แค่ว่าคดีน้ันถูกกาหนดให้เป็นคดีพิเศษเท่านั้น แต่คดีนั้นจะต้องมีการสืบสวนสอบสวนและ
แสวงหาพยานหลักฐานด้วยวิธีพิเศษ มีการใช้เคร่ืองมือที่พิเศษตามท่ีกฎหมายกาหนด บูรณาการ
การทางานร่วมกับหน่วยงานอ่ืน ๆ ท้ังที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ มีจัดทา MOU ทาแล้วต้อง
ต่อเนื่อง ควรมีการพูดคุยระหว่างหน่วยงานเป็นประจาทุกปี มีการพัฒนาสัมพันธ์ทั้งระดับผู้บริหาร
ผู้อานวยการ ระดับเจ้าหน้าที่ แบบน้ีจะทาให้ MOU เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ให้ส่งบุคลากรไปอบรมทั้ง
ในประเทศและต่างประเทศ แต่จะต้องทาความเข้าใจว่าการส่งคุณไปนั้น นอกจากจะเป็นการแลกเปลี่ยน
องค์ความรู้ระหว่างกันและกัน ยังเป็นการพัฒนาสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงาน ไม่ใช่เพ่ือตัวคุณเองแต่เพ่ือ
องค์กร เพราะส่งไปในนามหน่วยงาน ความรู้ท่ีได้กลับมาก็ต้องกลับมาใช้กับองค์กร ไม่ได้ใช้กับตัวคุณ
เพียงคนเดียว ทั้งองค์ความรู้หรือเครือข่าย ขอให้เกิดการบูรณาการได้จริง ๆ ในเร่ืองกฎหมายที่มีอยู่ของ
หน่วยงาน ต่าง ๆ มาใช้ร่วมกัน พนักงานสอบสวนต้องรู้กฎหมายของตนเอง และรู้กฎหมายของหน่วยงาน
อ่ืนที่เกี่ยวข้อง ต้องรู้ท้ังกระบวนการตั้งแต่เร่ิมต้นจนจบ ต้องมองงานให้ออกจะสามารถเป็นประโยชน์
เพิ่มขึ้น
3. การนามาตรการท่ีมีอยู่ในกฎหมายอื่นมาใช้ในกฎหมายว่าด้วยการสอบสวน
คดีพิเศษก็น่าสนใจ อาทิ พระราชบัญญัติยาเสพติด มาตรา 100/2 บัญญัติว่า “ถ้าศาลเห็นว่าผู้กระทา
ความผิดผู้ใดได้ให้ข้อมูลท่ีสาคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทาความผิด
เก่ียวกับยาเสพติดให้โทษต่อพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตารวจ หรือพนักงานสอบสวน ศาลจะลงโทษ
ผู้นั้นน้อยกว่าอัตราโทษข้ันต่า ท่ีกาหนดไว้สาหรับความผิดนั้นก็ได้” ซ่ึงเป็นบทบัญญัติท่ีเปิดให้ศาล
จะสามารถใช้ดุลพินิจในการลงโทษ มาตรการนี้ก็น่าสนใจในการนามาปรับใช้ในคดีพิเศษท่ีมีลักษณะ
ความผิดฐานสมคบ อาทิ คดีองค์กรอาชญกรรมคดีการค้ามนุษย์ อาชญากรรมข้ามชาติ จะเพ่ิม
ประสิทธิภาพในการนาตัวการหลกั ตัวการสาคัญมาลงโทษได้
4.4.10. ผู้ให้สัมภำษณ์คนที่ 10119
(1) สภำพปัญหำในกำรแสวงหำพยำนหลักฐำนในคดีพิเศษมีอะไรบ้ำง
โดย ห ลั กเดิ ม ที การก าห น ด ให้ มี พ ระราช บั ญ ญั ติ การส อบ ส วน คดี พิ เศ ษ
พ.ศ. 2547 ในขณะนั้นถือว่ากฎหมายของเราเป็นกฎหมายท่ีดีท่ีสุด เน่ืองจากว่าในพระราชบัญญัติฯ
กาหนดเครื่องมือพิเศษ เป็นลักษณะที่กฎหมายตราข้ึนใหม่ เริ่มตั้งแต่ให้กรมสอบสวนพิเศษสามารถ
สนธิกาลังกับเจ้าหน้าท่ีของรัฐได้ตามมาตรา 22/1 กรณีการค้นแบบไม่มีหมายค้นตามมาตรา 24 ในการ
ยึดอายัดทรัพย์สิน การแฝงตัวตามมาตรา 27 การได้มาซึ่งข้อมูลข่าวสารตามมาตรา 25 และยังมีให้
พนักงานอัยการ ร่วมสอบสวนตามมาตรา 32 ให้นายกรัฐมนตรีสามารถท่ีจะมีคาส่ังให้เจ้าหน้าท่ีของรัฐ
ในหน่วยงานอ่ืนมาช่วยเหลือและปฏิบัติหน้าท่ีในการสอบสวนได้ตามมาตรา 33 ซ่ึงในขณะน้ันถือว่า
ค่อนข้างทันสมัยท่ีสุด ในขณะน้ันมีเครื่องมือพิเศษอีกหลายตัวท่ีเราไม่สามารถท่ีจะผลักดันออกมาเป็น
กฎหมายได้ เช่น เร่ืองการดักฟัง เพราะรูปแบบเปล่ียนไปแล้ว และอีกส่วนหน่ึงท่ีสาคัญ คือ การกัน
119 สมั ภาษณเ์ มื่อวนั ที่ 13 พฤษภาคม 2564
196
ผ้กู ระทาความผิดหรือผู้ตอ้ งหาเปน็ พยาน แบบนี้เป็นสภาพปัญหาของกรมสอบสวนคดีพเิ ศษซึง่ ได้พยายาม
จะผลักดันให้มีการแก้ไขหลายคร้ัง โดยเรามีแนวคิดต้ังแต่อดีตท่ีผ่านมาจะมีการพูดถึงระบบการกัน
ผู้ต้องหาเป็นพยาน เดิมทีตารวจจะใช้คาว่า “กันผู้ต้องหาเป็นพยาน” ซึ่งจะไปสอดคล้องกับระเบียบว่า
ด้วยการดาเนินคดีของพนักงานอัยการ ก็คือเรื่อง “การกันผู้ต้องหาเป็นพยาน” หมายความว่า ต้องมีการ
ดาเนินคดีผู้ต้องหาก่อน ผู้กระทาความผิดต้องตกเป็นผู้ต้องหาก่อน แล้วพนักงานอัยการจะต้องมีคาสั่ง
ไม่ฟอ้ ง โดยจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ 4 ประการ โดยสรุป คอื
1. พยานหลักฐานที่มีอยู่เพียงพอในการดาเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งหมด
หรือไม่
2. สามารถแสวงหาพยานหลักฐานอ่ืนนอกเหนือจากการกันผู้ต้องหาไว้เป็น
พยานได้หรอื ไม่
3. ถอ้ ยคาทพี่ ยานหรือผู้ต้องหาเหล่านั้นใหก้ ารมคี วามจริงแคไ่ หน
4. ประโยชน์ที่จะได้รับ ถ้าจะกันผู้ซึ่งเป็นผู้ต้องหาไว้เป็นพยานจะมีประโยชน์
เพียงพอหรือไม่
ซึง่ ในทา้ ยที่สุดเม่อื ไม่มีวิธีการอื่นใดอีกแล้ว ไม่สามารถหาพยานหลักฐานอื่น
ได้แล้ว จึงต้องกันผู้ต้องหาไว้เป็นพยานจึงจะสอดคล้องกัน พอมาถึงในช้ันสอบสวน กรมสอบสวน
คดีพิเศษมีความเห็นว่า ในหลักการในการกันผู้กระทาผิดไว้เป็นพยาน โดยที่ไม่ต้องดาเนินคดีน่าจะ
สามารถทาได้ เพราะท้ายสุดพยานต้องข้ึนศาล พยานเหล่านี้ต้องเป็นพยานของผู้ร่วมกระทาความผิด
มาตรา 227/1 คือ เป็นพยานซักทอด แต่ในหลักการน้ี ต้องถือว่าเป็นหลักการ ต้องมีกฎหมายบัญญัติ
กรมสอบสวนคดีพิเศษได้เคยจัดการสัมมนา/เสวนาหลายคร้ัง โดยหารือกันในวงเสวนา มีตัวแทนศาล
อาญา ตัวแทนของศาลฎกี า ตวั แทนของสานักงานอัยการสงู สุดมาร่วมแลว้ ก็ตกผลึกถึงหลักการของการ
กันผู้ร่วมกระทาความผิดไว้เป็นพยานเหล่านี้ แต่เราจะใช้หลักท่ัวไปก็คือ “หลักสุจริต” แต่ท้ังน้ี
ทั้งนั้นในทางปฏิบัติจริงเราต้องทาอย่างระมัดระวัง เพราะว่าไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ ทุกวันน้ีก็ยังเป็น
ปัญหาอยู่ กรมพยายามจะออกเป็นระเบียบ/แนวทาง ก็เหมือนจะติดขัดมีคนแย้ง ถ้าออกเป็นระเบียบ
หรือแนวทางแล้วจะไม่ชัดเจนเหมือนการแกไ้ ขกฎหมาย กย็ งั เป็นปัญหาสาคญั
(2) ควรจะมีวิธีกำรเพิ่มประสิทธิภำพในกำรแสวงหำพยำนหลักฐำนใน
คดพี ิเศษอย่ำงไร
มาตรการที่ควรเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายของเราได้ก็คือ
แนวทางการกันผู้ต้องหาเป็นพยาน ก็จะเป็นแนวหนึ่งท่ีเราเคยคิดไว้ เราเรียกว่า ล้มขบวนการ คือ
หลักคล้าย ๆ ว่า ขุดรากถอนโคน สาวถึงตัวการสาคัญ โดยจะเห็นได้ว่าในส่วนของสานักงานตารวจ
แห่งชาติ ก็มีการดาเนินการในลักษณะน้ีอยู่แล้ว โดยมีการออกระเบียบเป็นการภายในที่ไม่เกี่ยวคดี
ในส่วนของสานักงานอัยการสูงสุดเองก็เหมือนกัน มีการออกระเบียบเพ่ือรองรับเรื่องดังกล่าว โดยใช้
คาวา่ การกันผตู้ อ้ งหาเป็นพยาน
ต่อมาสานักงาน ป.ป.ช. และสานักงาน ป.ป.ท. มีหลักการน้ีออกมา
เหมือนกัน แต่ทันสมัยกว่า โดยใช้คาว่า “กันผู้กระทาความผิดเป็นพยาน” น้ันหมายความว่าจะไม่มี
การดาเนินคดีกับผู้กระทาผิดรายน้ัน ของกฎหมาย ป.ป.ท. เป็นรายแรกท่ีนามาใช้ ปรากฏอยู่ใน
พระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2551
มาตรา 58 ใชค้ าว่า “...จะกันผู้น้ันไว้เป็นพยานโดยไม่ดาเนินคดีก็ได้...” คือ ลักษณะของการกัน Auto
197
ไม่ต้องต้ังเขาเป็นผู้ต้องหา ในส่วนของ ป.ป.ช. ก็เช่นเดียวกันปรากฏอยู่ในพระราชบัญญัติประกอบ
รฐั ธรรมนูญวา่ ดว้ ยการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ ริต พ.ศ. 2561 มาตรา 135 คล้าย ๆ กนั ใช้คาว่า
“...จะกันผูน้ ัน้ ไวเ้ ป็นพยานไดโ้ ดยไมม่ กี ารดาเนนิ คดีกไ็ ด้...”
ใน ส่ ว น ข อ งก ร ม ส อ บ ส ว น ค ดี พิ เศ ษ เห็ น ค ว รเส น อ ให้ มี ก ารแ ก้ ก ฎ ห ม าย เพิ่ ม
บทบัญญัติเรื่องการกันผู้ต้องหาเป็นพยาน โดยใช้แนวทางในลักษณะเดียวกับสานักงาน ป.ป.ช. และ
สานักงาน ป.ป.ท. คือ “...จะกันผู้นั้นไว้เป็นพยานได้โดยไม่มีการดาเนินคดีก็ได้...” ซ่ึงเป็นการกันแบบ
ยงั ไม่ต้องให้เขาเป็นผ้ตู ้องหา กันไว้เป็นพยานแต่แรก อย่างไรก็ตาม อาจมีลักษณะที่ 2 ไดค้ ือ หากกรณี
มีการแจ้งข้อหาแล้วคาให้การซ่ึงเป็นประโยชน์ ให้พนักงานสอบสวนมีความเห็นส่ังไม่ฟ้อง ให้พนักงาน
อัยการพิจารณาหากเห็นด้วย ให้สอบสวนบุคคลดังกล่าวนั้นเป็นพยาน สามารถใช้ได้ท้ัง 2 แนวทาง
เนือ่ งจากในทางปฏิบัตอิ าจเกดิ ได้ท้ัง 2 กรณี
(3) กำรกำหนดแนวทำงกำรกันผตู้ ้องหำเปน็ พยำนจะสำมำรถเพิ่มประสิทธิภำพ ในกำร
สืบสวนสอบสวนและกำรแสวงหำพยำนหลกั ฐำนในคดพี ิเศษได้หรือไม่
สามารถเพิ่มประสิทธิภาพไดอ้ ยา่ งแน่นอน เพราะเปน็ เรื่องท่ีไดม้ กี ารปรึกษา หารือ
กันมานานแล้ว และได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ในคดีพิเศษผู้กระทาความผิดส่วนใหญ่จะมี
การต่อสู้ทางคดี เม่ือขึ้นศาลจริงจาเลยก็ต้องสู้ทุกคร้ัง จาเลยจะมีทนาย ส่วนใหญ่จะเป็นคดีท่ีผู้กระทา
ความผิดเป็นคนมีฐานะ มีความรู้ หรือมีอิทธิพล ดังนั้น การท่ีจะดาเนินคดีต้องกันตัวเล็กตัวน้อย
เพ่ือท่ีจะดาเนินคดกี ับตัวการใหญ่ แต่เขาจะสู้ในด้านเทคนิคส่วนใหญ่ อาจเกิดกรณีจาเลยอ้างว่าบุคคล
ที่ถูกกันเป็นพยานแท้ที่จริงเป็นหุ้นส่วนหรือมีส่วนร่วม ไม่ใช่ผู้รู้เห็น และอาจกล่าวหาว่าพนักงาน
สอบสวนเลือกปฏิบัติหรือปฏิบัติโดยไม่สุจริต เทคนิคในการดาเนินการเขาจะใช้ช่องทางในกฎหมาย
โดยอาจจะไปฟ้องพนักงานสอบสวนในศาลทุจริต ทาให้พนักงานสอบสวนไม่กล้า มีความกังวลว่า
อาจจะถูกฟ้อง ดังน้ัน จึงจาเป็นต้องออกกฎหมายเพ่ือปกป้องคุ้มครองเจ้าหน้าท่ีด้วย ถ้ามีกฎหมาย
บัญญัติไว้ชัดเจนพนักงานสอบสวนส่วนใหญ่ก็จะกล้าใช้ แต่ต้องมาสร้างความสุจริตให้ได้ ต้องไม่เลือก
ปฏิบตั โิ ดยไมเ่ ป็นธรรมหรอื ไมม่ ีเหตผุ ลความจาเปน็ หรอื ต้องกาหนดเง่อื นไขในการใช้วธิ ีนเ้ี พ่มิ เติมต่อไป
(4) ควรสนับสนุนให้มีกำรบัญญัติกฎหมำยเพ่ือรองรับและตรวจสอบพนักงำน
สอบสวนคดพี เิ ศษในกำรใช้ดุลพนิ ิจกำรกันผ้ตู อ้ งหำเป็นพยำนในคดีพิเศษหรือไม่
เห็นควรสนับสนุน เพราะถ้าไม่แก้กฎหมายก็จะเป็นการใช้ดุลพินิจ ซึ่งจะมีความ
เสี่ยงท้ังการใช้ดุลพินิจไม่สุจริต หรือพนักงานสอบสวนไม่ได้รับความคุ้มครอง ถ้าออกเป็นกฎหมาย
โดยแก้กฎหมายหลักโดยเพิ่มเติมบทบัญญัติว่าด้วยการกันผู้กระทาความผิดหรือผู้ต้องหาเป็นพยานได้
และใช้แนวทางเดียวกันกับกฎหมายของ ป.ป.ช. และ ป.ป.ท. ลักษณะน้ีจะดีท่ีสุด เพ่ิมเป็นมาตราใหม่
เฉพาะเร่ืองน้ี
(5) มำตรกำรท่จี ะกำกบั /ตรวจสอบกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนในคดพี ิเศษมอี ะไรบ้ำง
การกัน ผู้ต้ องห าเป็ นพ ยาน ค วรจะน าม าใช้ใน ค ดีที่ มี คว าม ซับ ซ้อ น ห รือ คดี ที่ มี
ผลกระทบต่อความม่ันคง หรือคดีที่มีผู้มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลัง หรือคดีองค์กรอาชญากรรมหรือ
อาชญากรรมข้ามชาติ และต้องเป็นคดีท่ีไม่สามารถหาพยานหลักฐานอ่ืนใดได้แล้วท่ีจะนาไปสู่ตัวการ
ที่อยู่เบื้องหลัง
ระบบท่ีเป็นอยูใ่ นปัจจุบันสืบสวนสอบสวน และการฟ้องคดีแยกจากกัน แต่ในบาง
ประเทศเช่น ญี่ปุ่น อเมริกา เป็นระบบท่ีมีการสอบสวนฟ้องร้องรวมกัน หมายความว่าพนักงานอัยการ
198
มีหน้าท่ีสอบสวนด้วย ประเทศไทยเราแยกสอบสวนออกจากการฟ้องคดี แต่ในคดีพิเศษบางคดีมี
พนักงานอัยการมาร่วมสอบสวนตามมาตรา 32 ตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ แต่ปัญหา
ที่เกิดข้ึนคือ เรื่องความซ้าซ้อน เน่ืองจากว่าในชั้นสอบสวนแม้มีพนักงานอัยการมาร่วมสอบสวน
ซึง่ ในบางคดมี ีพนกั งานรว่ มสอบสวนหลายท่านได้รว่ มดาเนินการจนเสรจ็ สนิ้ กระบวนการจนมีความเห็น
ร่วมกันว่าสามารถฟ้องคดีได้ แต่เม่ือสรุปสานวนส่งสานักงานอัยการสูงสุด ปรากฏว่าพนักงานอัยการ
ที่ได้รับสานวนคดีพิเศษ ซึ่งดาเนินการเพียงคนเดียว กลับมีความเห็นว่าพยาน หลักฐานไม่เพียงพอ
ส่ังให้มีการสอบสวนเพิ่มเติม ท้ัง ๆ ท่ีมีการร่วมดาเนินการกับพนักงานอัยการมาต้ังแต่แรกและมี
พนักงานอัยการหลายท่านท่ีมาร่วมในคดีดังกล่าว และเป็นพนักงานอัยการท่ีทรงคุณวุฒิทั้งนั้น จึงเป็น
ระบบของพนักงานอัยการที่ทาให้เกิดปัญหา จึงเสนอปรบั ระบบให้พนักงานอัยการที่ร่วมสอบสวนเป็น
ผู้ฟ้องคดี หรืออาจจ้างทนายความเข้ามาช่วยเป็นผู้ฟ้อง อันนี้เป็นรูปแบบใหม่ที่ประเทศยังไม่มี
เป็นข้อเสนอรปู แบบใหม่ ทีม่ ีพนักงานสอบสวนเขา้ ไปช่วยเหลือ ทาให้การฟอ้ งคดีมีประสิทธิภาพ ทาให้
ข้ันตอนสั้นลงแต่มีประสิทธิภาพมากข้ึน แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นการสร้างข้ันตอนให้ยาวขึ้น โดยมี
พนักงานอัยการจากสานักงานการสอบสวนและยังต้องส่งไปท่ีสานักงาน คดีพิเศษซึ่งขั้นตอนยาวขึ้น
แต่ประสิทธิภาพกลับน้อยลง
(6) กำรกำหนดแนวทำง/ระเบียบในกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนในคดีเศษมีผลดี/
ผลเสียอยำ่ งไร
ผลเสียจะเป็นเร่ืองเจ้าหน้าท่ีเหล่าน้ีในการเลือกปฏิบัติ ต้องมีการกาหนด
เกณฑ์มาตรฐานให้ได้ เพื่อรับประกันว่าจะไม่เกิดการใช้ดุลยพินิจอย่างไม่ชอบ อย่าให้ดุลยพินิจเป็น
เรื่องแบบเบ็ดเสร็จ ต้องมีลักษณะถ่วงดุลกันระหว่างพนักงานอัยการ พนักงานสอบสวน หรือ
คณะกรรมการชุดใดชุดหน่ึง ถ้ามีพนักงานอัยการร่วมสอบสวนและหากจะกันใครไว้เป็นพยานใน
คดีพิเศษ พนักงานอัยการกับพนักงานสอบสวนจะต้องเห็นร่วมกัน หรืออธิบดีต้องเห็นชอบด้วยเป็น
เอกฉันท์ เป็นการสร้างกลไกให้ตรวจสอบควบคุมภายใน (Internal control) เป็นการตรวจสอบ
ควบคุมภายในทางคดใี นช้ันพจิ ารณาเบือ้ งต้น เปน็ ชัน้ ภายในยังไมไ่ ดอ้ อกไปสภู่ ายนอก
(7) ข้อควรระวัง/ข้อสังเกตในกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนเพ่ือกำรอำนวยควำมยุติธรรม
ในภำพรวม
เร่ืองการอย่าพยายามให้ใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบ เป็นหลักการดุลพินิจเพียง
อย่างเดียว จะตอ้ งสร้างหลักเกณฑ์ข้นึ มาคู่กัน เพราะหลกั เกณฑ์มันมมี าตรฐาน ตอบโจทย์กระบวนการ
ยุติธรรมได้ ตอบโจทย์พนักงานอัยการได้ ตอบโจทย์ศาลได้ เวลาไปข้ึนศาลจะบอกว่า การท่ีเรากัน
พยานคนนี้เหตุผลเพราะอะไร ไม่ว่าจะเป็นคดีการเงินการธนาคาร คดีภาษี คดีสิ่งแวดล้อม หรือคดี
ประเภทอื่น ๆ ทุกคดีของเราสามารถใช้มาตรการนี้ได้ทุกคดี เช่น ด้านการเงินเป็นองค์กรเกี่ยวกับการ
ปั่นหุ้น เป็นการกระทาเกี่ยวกับตลาดทุน ตัวการใหญ่ ทุกวันนี้เจ้าของบริษัทจากัดมหาชนจะส่งคนมา
เป็นกรรมการแล้ว ตัวการตัวจริงอยู่เบ้ืองหลัง คนที่เป็น คณะกรรมการเป็นลูกน้องหมด ถ้าในกรณี
แบบนี้เราจะพจิ ารณาเขาไดว้ ่าใครเป็นตัวการเราสามารถท่จี ะรวมตวั กนั ได้
มองย้อนกลับไปมีหลายคดีที่ศาลยกฟ้อง ส่ิงท่ีสาคัญคือการขาดพยานหลักฐาน
ท่ีสาคัญ เช่น คดีบุกรุกที่ดิน แม้เราได้ดาเนินคดีโดยมีพยานหลักฐานต่าง ๆ มากมาย แต่ท้ายท่ีสุดแล้ว
ศาลยกฟ้องเพราะ ไม่มีพยานหลักฐานว่าคน ๆ น้ันเป็นเป็นเจ้าของ เพราะในการบุกรุกท่ีดิน ไม่เคย
มีใครเห็นคน ๆ น้ัน ได้เข้าในพ้ืนท่ี แม้มีพยานแวดล้อม ท้ายท่ีสุดแล้วพอข้ึนศาล ศาลก็ยกฟ้องเพราะ
199
มีบริษัทท่ีอ้างว่าเป็นเจ้าของ แต่ตัวเจ้าของที่แท้จริงก็ไม่ถูกกล่าวถึง เรียกว่าศาลอาจจะไม่เช่ือใน
พยานหลักฐานหรือไม่ส้นิ สงสัย ยังมีเร่ืองสงสัยว่าเขาเป็นเจ้าของจริงหรือไม่ เพราะฉะนั้นคดีลักษณะนี้
เป็นคดีที่มีความซับซ้อน และมีผู้ทรงอิทธิพลเป็นตัวการอยู่เบื้อหลัง ซ่ึงถ้าเป็นคดีทั่วไปก็ไม่มีปัญหา
ซบั ซ้อนในการแสวงหาพยานหลกั ฐาน
(8) ข้อเสนออื่น ๆ เพื่อเพ่ิมประสิทธิภำพในกำรสืบสวนสอบสวนและกำรแสวงหำ
พยำนหลกั ฐำนในคดีพเิ ศษ
เสนอเร่ืองของการทาสานวนคดี ปัจจุบันพนักงานสอบสวนทาสานวนเสนอ
พนักงานอัยการ และพนักงานอัยการทาสานวนเสนอต่อศาล จะเห็นว่าเป็น 2 ข้ันตอน โดยแต่ละ
ขั้นตอนต้องใช้ระยะเวลานาน ทาไมไม่ปรับให้เป็นให้พนักงานสอบสวนในคดีที่มีพนักงานอัยการร่วม
สอบสวนสามารถทาสานวนฟอ้ งคดีได้เลย อย่างไรก็ตาม พนักงานอัยการอาจไมเ่ ห็นด้วย เพราะเห็นว่า
จะไม่เกิดการตรวจสอบถ่วงดุล และเป็นการตัดอานาจของพนักงานอัยการผู้ใหญ่ พนักงานอัยการ
ก็อาจจะไม่เห็นด้วยในข้อเสนอนี้ ส่วนตัวไม่อยากให้เสียเวลาในการทาสานวนคดีเพราะใช้เวลามาก
กระบวนการในการเสนอฟ้องคดีต่อศาล ควรจะเร็วกว่านี้ เป็นโจทย์ที่ในภาพรวมที่จะต้องไปคิดหา
คาตอบต่อไป
4.4.11. ผูใ้ ห้สัมภำษณ์คนที่ 11120
(1) สภำพปัญหำในกำรแสวงหำพยำนหลักฐำนในคดพี ิเศษมีอะไรบ้ำง
เร่ืององค์ความรู้จะมีความสาคัญอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทาง
เทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงเร่ืองข้อกฎหมาย จะนาไปสู่ความยากในการที่จะแสวงหาข้อเท็จจริง
และพยานหลักฐาน เพราะฉะน้ันสภาพปัญหาโดยหลัก ๆ ของกรมสอบสวนคดีพิเศษจริง ๆ อยู่ท่ี
ผู้รับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นตัวพนักงานสอบสวนเองจะต้องมีองค์ความรู้ มีทักษะในหลากหลายสาขา
วิชาชีพ เพ่ือให้เห็นสภาพแวดล้อมท่ีเปล่ียนแปลงไป เทคโนโลยีเปล่ียนแปลงไป วิทยาศาสตร์
คอมพิวเตอร์ ดาวเทียมอุปกรณ์ต่าง ๆ ก็จะแตกต่างกันไป เพราะฉะน้ันความเจริญทางด้านเทคโนโลยี
มีแล้ว ยังต้องสามารถนาเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์กับศาสตร์สาขาต่าง ๆ ให้ได้ อันนี้เป็นเรื่องสาคัญ
มองจุดแข็งของกรมสอบสวนคดีพิเศษมีสหวิชาชีพอยู่แล้วเราจึงต้องนาจุดแข็งเหล่านี้มาเสริม คือ
ตัวพนักงานสอบสวนทุกคน เจ้าหน้าท่ีคดีพิเศษทุกคนจะต้องเท่าทัน อย่าไปบอกว่าเจ้าหน้าท่ีด้าน
เทคโนโลยี เท่านั้นท่ีจะต้องเท่าทันเทคโนโลยี ซ่ึงไม่ใช่พนักงานสอบสวนคดีพิเศษรู้กฎหมาย และยัง
จาเป็นต้องรู้เร่ืองเทคโนโลยีอีกดว้ ยดว้ ย หากในการสืบสวนสอบสวน ถ้าพนักงานสอบสวนขาดคนท่ีเก่ง
เทคโนโลยีก็จะทาให้ไปต่อไม่ได้ แผนประทุษกรรมท่ีซับซ้อน อาชญากรมักจะเอาความก้าวหน้าทาง
เทคโนโลยีมาเป็นเคร่ืองมือในการกระทาความผิดกฎหมาย กรมสอบสวนคดีพิเศษทาคดีแชร์ลูกโซ่
ทาเร่ืองการเจาะเว็บไซต์ เป็นการนาเทคโนโลยมี าประยกุ ต์ใชท้ ง้ั สนิ้
ส่วนปัญหาในด้านกฎหมายพนักงานสอบสวนจะต้องรู้ถ่องแท้ และต้องใช้
กฎหมายให้เป็นสาคัญมาก เพราะว่าพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษได้ให้มาตรการพิเศษ
ตา่ ง ๆ ไว้ครบแล้ว และไดม้ าเสริมในเรอื่ งการกันผู้ตอ้ งหาเปน็ พยานต้องถือวา่ เป็นตวั เชอ่ื มท่ดี ี นอกจาก
มาตรการพิเศษที่มีครบแล้ว ไม่ว่าการสะกดรอย การแฝงตัว การเข้าถึงข้อมูล การมีท่ีปรึกษาคดีพิเศษ
และอื่น ๆ ถือว่าให้ไว้ครบแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถได้ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานได้ เราจึงตัดสินใจ
120 สมั ภาษณเ์ มื่อวันท่ี 2 มถิ ุนายน 2564
200
ใช้การกันผู้ต้องหาเป็นพยาน ซึ่งเป็นมาตรการท่ีจาเป็นเสริมเข้ามา เพราะฉะน้ันถามว่า ถ้าเราทาครบ
มาตรการพเิ ศษแลว้ ยังไมไ่ ดพ้ ยานหลักฐานท่ีจะนาไปส่ตู ัวการผู้อยู่เบ้ืองหลัง วิธีการกันเปน็ ผู้ต้องหาเป็น
พยานถือเป็นไม้สุดท้าย ซ่งึ ก็มองว่ามีประโยชน์อย่างย่ิง แต่ก็ต้องบวกดว้ ยองค์ความรู้ทางด้านกฎหมาย
ซ่ึงก็จะมีเทคนิควิธีการที่ถูกต้องว่ากันอย่างไร มีขั้นตอนอย่างไร ซึ่งจะมีพัฒนาการท่ีอยู่ในรูปแบบคดี
ต่าง ๆ ท่ีได้นาวิธีการน้ีไปใช้ สามารถใช้ได้ผลหรือไม่ได้ผลอย่างไร ก็จะมีแนวคาพิพากษาฎีกาออกมา
ซึ่งตรงนี้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษยังมีไม่ก่ีคดีที่ใช้ และที่ใช้ไปก็มีปัญหาด้วย เช่น คดีเพชรซาอุ
ได้มีการกันผู้ต้องหาเป็นพยาน ซ่ึงต้องมีความรู้ทางด้านกฎหมายโดยตรง อาทิ ประมวลวิธีพิจารณา
ความอาญา มาตรา 232 ท่ีกาหนดหลักไว้ ห้ามมิให้โจทก์อ้างจาเลยเป็นพยาน ซึ่งส้ันมากแต่จะทาให้
คนน้ีมาเป็นพยานในคดี ซึ่งพนักงานสอบสวนพิจารณาแล้วว่าถ้าไม่เอาคนในที่ล่วงรู้พฤติการณ์กับการ
กระทาความผิดในเรื่องของรูปแบบองค์กรอาชญากรรม ต้องบอกว่าปัจจุบัน คดีท่ีใหญ่ ไขคดียาก
คือ คดีท่ีมีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรม เพราะฉะนั้นในคดีองค์กรอาชญากรรม ผู้กระทาความผิด
ผู้ร่วม ผู้สนับสนุนมันมีเยอะ ตัวละครย่อมแบ่งหน้าที่กันทาหลากหลาย เรื่องการกันผู้ต้องหาเป็นพยาน
จึงมีความจาเป็นอย่างมาก วัตถุประสงค์แท้จริงในการบังคับใช้กฎหมาย คือ ต้องให้ได้ตัวผู้บงการ หากว่า
เราจับล่ิวล้อหรือผู้กระทาผิดที่เป็นเพียงผู้รับคาส่ัง จับได้ก็ไม่มีผลอะไร ยิ่งคดียาเสพติดหัวหน้า
กระบวนการก็จะยังไม่ถูกดาเนินการ ผู้ใช้แรงงาน คนขนของ คนบรรจุของ คนเช่าสถานท่ีเพื่อพักยา
ขบวนการเหล่านี้เปล่ียนหน้าได้ตลอด ซ่ึงคนกลุ่มน้ีถูกจับอยู่รายวัน ซ่ึงจับอย่างไรปัญหายาเสพติด
ก็ไม่จบ เพราะว่าตัวผู้บงการเขาลอยตัว เขามีวิธีการตัดตอน ซึ่งเทคโนโลยีได้เข้ามาเติมเต็มตรงจุดนี้
ใน Application ต่าง ๆ ไม่จาเป็นต้องมหี น้าเราเอง สิ่งเหล่านเ้ี อ้ือมาก เทคโนโลยีเป็นเครื่องมืออย่างดี
ให้กับผู้บงการ ทาให้เกิดการตัดตอน อีกทั้งคนระดับผู้ปฏิบัติก็ไม่อยากจะรู้ว่าคนสั่งการเป็นใคร มีที่มา
อย่างไร ใครเก่ียวข้องบ้าง คนกลุ่มนี้ไม่อยากรู้เพราะไม่อยากรับผิดชอบ อยากรู้แค่งานของตัว เอง
ทางานแล้วรับเงินมาก็จบ น่ีคือส่ิงที่ทาให้วิธีการทางานในคดีพิเศษเกี่ยวกับองค์กรอาชญากรรมจะยาก
มาก ทาให้คดีพิเศษที่เรากาหนดมาตรการพิเศษต่าง ๆ ไว้เดิม ทาให้เราเข้าถึงพยานหลักฐานไม่ได้
ขีดสุดของมาตรการพิเศษคือเรื่อง ดักฟังโทรศัพท์ การเข้าถึงข้อมลู ข่าวสารตามมาตรา 25 ซึ่งการดกั ฟัง
โทรศัพท์ในปัจจุบัน เมื่อ Application LINE ก็ไม่สามารถดาเนินการได้อีก การเข้าถึงข้อมูลยากมาก
ย่ิงข้ึน แต่พนักงานสอบสวนจะต้องทาอย่างไรให้มันถึงจุดน้ีให้ได้ เพราะฉะน้ัน การแฝงตัวกับการกัน
ผู้ต้องหาเป็นพยานเหมือนจะคล้าย ๆ กัน วิธีการคล้าย ๆ กัน แต่บทบาทจะต่างกัน การแฝงตัวแม้ใน
กฎหมายจะบอกว่าการเข้าไปทาความผิดไปด้วยจะถือว่าเราไม่ผิดแต่ก็ยังไม่มีแนวคาพิพากษาฎีกา
ทีช่ ดั เจน การเขยี นกฎหมายเพอ่ื ใหพ้ นักงานสอบสวนทางานได้ แต่หากว่าเราไปรว่ มกระบวนการจริง ๆ
คนของเราที่แฝงตัวจะพ้นผิดหรือไม่นั้น กไ็ ม่ได้มแี นวคาพพิ ากษาฎีกาทชี่ ัดเจน เพราะยังมีความสมุ่ เสี่ยง
มาก แม้กฎหมายเราจะเป็นระดับพระราชบัญญัติก็ตาม ในข้อเท็จจริงยังไมช่ ัด เราก็ไม่อยากให้ไปถึงจุด
น้ันเพราะไม่แน่ใจว่าเจ้าหน้าท่ีที่ไปรว่ มกระทาความผิดจะไดร้ ับการคุ้มครองมากน้อยแค่ใด ได้รับความ
คุ้มครองหรือไม่ เพราะฉะนั้น เร่ืองการแฝงตัวหรืออาพรางกับการกันตัวผู้ต้องหาเป็นพยานดูเหมือน
จะคล้ายกัน การที่คนของเราที่ไปอยู่ในกระบวนการ ก็คือผู้ต้องหาด้วย แปลว่า การที่เป็นเจ้าหน้าท่ี
อาพรางหรือแฝงตัวน่ันเอง แต่การอาพรางหรือการแฝงตัวก็มีกระบวนการทางกฎหมายกาหนดไว้อยู่
มีทาบันทึกไว้ก่อน อนุมัติไว้ก่อน น่ันคือ การแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าเราไม่ได้มีเจตนาท่ีจะไปกระทา
ความผิด เพียงแต่เราแค่ไปแฝงตัวหรืออาพรางเพื่อให้รู้ว่าล่วงรู้เหตุการณ์ในการท่ีกระทาความผิดของ
กล่มุ องค์กรอาชญากรรม ซึง่ กต็ า่ งกันตรงน้ี แต่ในสว่ นผู้ต้องหา จริง ๆ เขาไมร่ ู้ตัวมาก่อนเพราะเขาไมไ่ ด้
201
ถูกใช้จากเจ้าหน้าที่ เพราะฉะนั้น การเข้าไปของเขาและการร่วมกระทาความผิดของเขา นั่นคือ
ความสมคั รใจท่ีจะกระทาความผิดตั้งแต่ตน้ ประเด็นที่เก่ียวข้องกบั ข้อกฎหมาย คอื การห้ามไม่ให้โจทก์
อ้างจาเลยเป็นพยาน เพราะฉะนั้น การท่ีพนักงานสอบสวนจะเอาผู้กระทาผิดรายใดมาเป็นพยาน
ผู้กระทาผดิ รายน้ันจะตอ้ งอยูใ่ นฐานะที่ไม่ใช่จาเลย
สรุปได้ว่าสภาพปัญหาในคดีพิเศษคือ 1) มีคาสาคัญคือ “มีการตัดตอน”
พนักงานสอบสวนไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า ใครคือตัวบงการหรือตัวบงการคือใคร เนื่องจากคดีพิเศษ
เป็นคดีใหญ่ มีความซับซ้อน มีผู้มีอิทธิพลที่เป็นตัวการใหญ่ เป็นองค์กรอาชญากรรม มีผู้กระทา
ความผิดหลายคน มีมูลค่าความเสียหายจานวนมาก เป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ มีการทางาน
เป็นทีมเป็นกระบวนการ 2) องค์ความรู้ของพนักงานสอบสวนเองในเรื่องเทคโนโลยีต้องให้ทันกับ
การเปล่ียนแปลง และต้องใช้ให้เป็น ถ้าพนักงานสอบสวนไม่ทราบว่ามีอุปกรณ์เครื่องมืออะไรบ้าง
หรือไม่ทราบว่าอุปกรณ์หรือเคร่ืองมือต่าง ๆ มีประโยชน์อย่างไร ก็จะไม่สามารถหยิบใช้ได้ให้เกิด
ประโยชน์ และในการท่ีดาเนินคดีพิเศษ บทบาทของพนักงานสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษได้
กาหนดให้มีองค์ประกอบในลักษณะเป็นคณะทางาน เพราะฉะน้ัน ถ้าพนักงานสอบสวนไม่ทราบ
หัวหน้าพนกั งานสอบสวนก็จะต้องทราบ ต้องมีความรอบรู้เร่ืองเหล่านี้ พนักงานสอบสวนจะต้องรอบรู้
และเปิดโลกทัศน์ให้กว้าง ทราบเร่ืองเคร่ืองมือทั้งหมดมีอะไรเพื่อจะได้หยิบใช้ให้ได้ และหั วหน้า
คณะพนักงานสอบสวนก็จะต้องรวู้ า่ ในสถานการณ์น้ีควรจะปรับใช้มาตรการพิเศษอะไร มาตรการพเิ ศษ
ทว่ี า่ ทกุ คนต้องรู้อย่างเขา้ ใจว่ามีอะไรบ้าง สามารถใชป้ ระโยชนไ์ ดอ้ ย่างไร ในสถานการณ์ใด
(2) ควรจะมีวิธีกำรเพิ่มประสิทธิภำพในกำรแสวงหำพยำนหลักฐำนในคดีพิเศษ
อย่ำงไร
การเพิ่มประสิทธิภาพในการแสวงหาพยานหลักฐาน ก่อนอื่นเราต้องมีแตกย่อย
ในรายละเอยี ดว่า จริง ๆ แลว้ มาตรการพิเศษเหล่านี้ต้องมีการถกู ใชแ้ ล้วยึดโยงว่าแต่ละคดตี ้องเรมิ่ จาก
ตรงไหน ถึงท่ีสุดตรงไหน หากไม่ได้ผลแล้วจึงต้องมาใช้วิธีการกันผู้ต้องหาเป็นพยาน แต่บางครั้งอาจ
ไม่ได้มีการคิดแบบท่ีได้กล่าวไปแล้ว แต่กลับตรงข้าม คือ คิดเลยว่าเรื่องนี้จะใช้วิธีการกันผู้ต้องหาเป็น
พยาน ซ่ึงจริง ๆ จะต้องทาในลักษณะเป็นแบบ checklist โดยดูว่าจะเร่ิมจากวิธีการเบาไปหาวิธีการ
หนัก ต้องมาดูมาตรการพิเศษของกรมสอบสวนคดีพิเศษ จริง ๆ ในทุกคดีไม่ได้จากัดว่าคดีน้ีใช้เครื่อง
นั้นไม่ได้และหรือคดีน้ีใช้ได้ ขึ้นอยู่ที่ข้อเท็จจริงในแต่ละเร่ืองในแต่ละคดีมากกว่าว่าคดีแบบนี้
สถานการณ์แบบน้ี ควรจะใช้เคร่ืองมือหรือมาตรการไหนอย่างไร และใช้อย่างจริงจัง โดยหัวหน้า
คณะพนักงานสอบสวนจะต้องเป็นคนเสนอแนวทาง และมีการประชุม สรุปเป็นมติท่ีประชุมคณะ
พนักงานสอบสวน ผมเองมีโอกาสไปขึ้นศาลด้วย คดีแบบนี้จะมีการถามศาลจะไล่กระบวนการของ
พนักงานสอบสวน ในการข้ึนศาลน้ัน ศาลก็ดูระเบียบภายใน ดูแนวทางปฏิบัติว่าคณะพนักงาน
สอบสวนชุดน้ีได้ทาตามกระบวนการน้ันหรอื ไม่ หากเราเขียนขั้นตอนหรือกระบวนการท่ีเคร่งครัดมาก
ขั้นตอนหรือกระบวนการเหล่าน้ันจะถูกนาเสนอในศาล ซึ่งแบบน้ีมีทั้งข้อดีและข้อไม่ดี หากพนักงาน
สอบสวนเข้าใจกระบวนการนั้น และทาตามน้ันก็จะเป็นการรับประกันว่าพนักงานสอบสวนได้ ทาตาม
หลักการ ทาโดยชอบด้วยกฎหมาย และมีความน่าเชื่อถือ ซ่ึงศาลจะมองว่าพนักงานสอบสวนมีการ
ทางานที่เป็นระบบเป็นขั้นเป็นตอน แต่ในทางกลับกัน หากพนักงานสอบสวนไม่ได้ทาตามวิธีการ
ที่กาหนดหรือตกหล่นบางประการ หรือทางานคดีด้วยความรู้สึกว่าทาได้ เข้าใจเอาเอง หรือทาแบบท่ี
คนอ่นื เค้าเคยทากนั มา แบบนี้อันตราย เอาเป็นว่ามาตรการพิเศษท่ีมีน้ันพนกั งานสอบสวนทุกคนเข้าใจ
202
ดีแล้วหรือยัง ดังน้ัน พนักงานสอบสวนจะต้องเข้าใจมาตรการพิเศษทุกอย่างท่ีมีอยู่และเข้าใจวิธีการ
และข้ันตอนการใชใ้ นเขา้ ใจอยา่ งถอ่ งแท้
(3) กำรกำหนดแนวทำงกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนจะสำมำรถเพ่ิมประสิทธิภำพ
ในกำรสบื สวนสอบสวนและกำรแสวงหำพยำนหลักฐำนในคดีพิเศษไดห้ รือไม่
เรื่องการกันผู้ต้องหาเป็นพยานจะเป็นประโยชน์และเพิ่มประสิทธิภาพในเร่ือง
การแสวงหาพยานหลักฐาน แต่จะใช้วิธีนี้ก็ต่อเม่ือเราใช้วิธีการอื่นใดแล้วไม่ได้ผล จึงจะมาใช้วิธีน้ี
ซ่ึงในปัจจุบัน กรมสอบสวนคดีพิเศษยังไม่ได้มีการกาหนดกฎหมาย แนวทาง หรือระเบียบเกี่ยวกับเร่ืองน้ี
ถ้าต้องการให้เกิดผลท่ีเป็นรูปธรรม เราควรที่จะมีปรับแก้กฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ เพ่ือท่ีว่า
ให้พนักงานสอบสวนได้รับทราบว่ามีวิธีการนี้อยู่ และผู้ที่จะถูกันเป็นพยานจะได้รับทราบว่าเป็นกฎหมาย
ท่ีสามารถทาได้โดยชอบด้วยกฎหมาย มีความเชื่อมั่น โดยมีกฎหมายรับรอง และทาให้พยานดังกล่าว
มีน้าหนักรับฟังได้ในชั้นศาล อันนี้คือผลเลิศ ที่เราต้องการ ดังนั้น กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงควรปรับแก้
กฎหมายอย่างจริงจัง เพ่ือมิให้มีข้อท้วงติงโต้แย้งในภายหลัง ในการทาเร่ืองน้ี อาจแบ่งการทางาน
ออกเป็นแต่ละช่วงระยะเวลา โดยในระยะแรกผลักดันให้นาไปสู่การแก้กฎหมาย ต่อมาเมื่อกฎหมายได้รับ
การแก้ไขแล้วและประกาศให้ทราบโดยทั่วกันแล้ว ระยะต่อไปจึงนาไปสู่การกาหนดระเบียบภายใน
เพ่อื ปฏบิ ตั ติ ามกรอบกฎหมาย และซักซ้อมความเข้าใจกันภายใน
(4) ควรสนับสนุนให้มีกำรบัญญัติกฎหมำยเพ่ือรองรับและตรวจสอบพนักงำน
สอบสวนคดพี เิ ศษในกำรใชด้ ุลพินิจกำรกนั ผูต้ ้องหำเปน็ พยำนในคดพี ิเศษหรือไม่
คาตอบรวมกับข้อ 3
(5) มำตรกำรท่ีจะกำกับ/ตรวจสอบกำรกนั ผตู้ ้องหำเป็นพยำนในคดพี ิเศษมีอะไรบ้ำง
กรมสอบสวนคดีพเิ ศษจะต้องยกมาตรฐานการดาเนินงานในเรือ่ งการกันผตู้ อ้ งหา
เป็นพยาน ควรท่ีจะดาเนินการตามกระบวนการท่ีกฎหมายกาหนด โดยการเสนอสั่งไม่ฟ้อง และมีการ
วางแผนเตรียมการหรือหารือร่วมกับพนักงานอัยการท่ีรับผิดชอบก่อน คดีของเราไม่ใช่คดีเล็ก ๆ
จงึ ต้องมีการวางแผนเตรยี มการและร่วมหารือกันอย่างรอบคอบ และให้มีพนักงานอัยการร่วมสอบสวน
ต้ังแต่แรก และเป็นมติของคณะพนักงานสอบสวนว่าจะกันผู้ต้องหารายใดเป็นพยาน จุดนี้ต้องมีการ
กาหนดเง่ือนไขที่ชัดเจนในทางคดี ว่าคดีใดที่ประสงค์ต้องเข้าสู่กระบวนการกันผู้ต้องหาเป็นพยาน
จะต้องมีพนักงานอัยการร่วมสอบสวน และเป็นมติของคณะพนักงานสอบสวนว่าจะกันผู้ต้องหารายใด
เป็นพยาน การท่ีเราจะปล่อยผู้ต้องหาที่มีส่วนในการกระทาความผิดไป 1 คน หรือพ้นไปได้ พนักงาน
สอบสวนก็ต้องมองผลลัพธ์ว่าผลลัพธ์คุ้มค่าหรือไม่ คุ้มค่าอย่างไร มาตรการน้ีถือว่าเป็นมาตรการที่
เข้มข้นสุดกว่ามาตรการพิเศษอื่นท่ีเรามี เพ่ือความน่าเช่ือถือของพยานหลักฐาน และป้องกันการ
แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ และเปน็ การคุ้มครองเจ้าหน้าทีด่ ้วย
ในเรื่องการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาอีกคณะหนึ่งเพ่ือกลั่นกรองเรื่องน้ีก่อนที่จะ
เสนออธิบดี ในส่วนน้ีคิดว่าไม่ควรมี เพราะในการสอบสวนคดีพิเศษจะต้องเป็นเรื่องลับ เป็นความลับ
ในสานวนคดี และการกันเป็นพยานต้องเป็นเรื่องที่ต้องคานึงถึงความไม่ปลอดภัยของผู้ต้องหาที่จะ
ถูกกันเป็นพยาน และท่ีสาคัญอานาจในการเสนอหรือส่ังคดีเป็นของคณะพนักงานสอบสวนอยู่แล้ว
เมื่อเราเห็นว่าอะไรที่เป็นประโยชน์สูงสุดในทางคดี สิ่งน้ันคือส่ิงท่ีเราจะทา หากจะต้องไปเสนอ
คณะกลั่นกรองก็อาจมองได้ว่าคณะพนักงานสอบสวนไม่มีอานาจ แต่อานาจไปอยู่ท่ีคณะกล่ันกรองว่า
203
จะเห็นด้วยหรอื ไม่เห็นด้วย แต่อธิบดอี าจมอบหมายผูใ้ ดให้ชว่ ยกลนั่ กรองเป็นอานาจของอธบิ ดีสามารถ
มอบหมายได้
ประเด็นท่ีต้องพูดถึงควบคู่กันไปคือ เร่ือง มาตรการคุ้มครองพยาน เป็นมาตรการ
ที่จะมาเสริมเร่ืองการกันผู้ต้องหาเป็นพยานด้วย เม่ือเรื่องน้ีเป็นเรื่องเข้มข้นสุด เร่ืองความปลอดภัย
ก็ต้องถึงท่ีสุดด้วยเช่นเดียวกัน การกันผู้ต้องหาเป็นพยานต้องเป็นเรื่องลับในทางคดี การกาห นด
แนวทาง วธิ ีปฏบิ ัติหรือเงอ่ื นไขต่าง ๆ ต้องให้เป็นชนั้ ความลับในทางคดีเฉพาะผู้ท่มี สี ว่ นเกย่ี วขอ้ งเท่านั้น
ไม่ต่างจากการคุ้มครองพยาน แต่หากเม่ือการกันไว้เป็นพยานแล้วใครก็สามารถรู้ได้ เพราะผ่านมา
หลายขั้นตอน หลายกลุ่ม หลายคณะ เรื่องจะไม่ถูกปกปิด จะเกิดความไม่ปลอดภัยในชีวิตทันที พยาน
อาจถูกข่มขู่ทั้งตัวเองและเครือญาติ มีผลต่อคาให้การ อาจนาไปสู่การกลับคาให้การ หรือพยานไม่มา
ศาลได้ เกดิ ผลเสียในทางคดี ทาใหท้ ่ีทามาทั้งหมดเสยี ไป ดังน้ัน มาตรการกันผตู้ ้องหาเป็นพยานจึงต้อง
เป็นเรอื่ งลับ และต้องมีมาตรการคุ้มครองพยานเข้ามาดูแลทันที มาตรการน้ีต้องดาเนินการควบคู่กันไป
รวมถึงการกาหนดชั้นความลับ เขียนให้สอดรับกับระเบียบของสานักงานอัยการสูงสุดเพราะเขาต้ังรับ
ในเรื่องนไี้ ว้อย่แู ลว้
(6) กำรกำหนดแนวทำง/ระเบียบในกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนในคดีพิเศษมีผลดี/
ผลเสยี อย่ำงไรบำ้ ง
ผลเสียอาจมีเรื่องผลประโยชน์ โดยเป็นผู้ต้องหาและอาจเกิดการขอต่อรองว่ารู้เห็น
เพียงแค่นี้ พร้อมที่จะซัดทอดไปยังตัวผู้บงการ ในองค์กรอาชญากรรมบางประเภทตัวจริงก็อาจจะแฝงตัว
อยู่ในตัวปลอม พนักงานสอบสวนอาจถูกหลอกได้ ถ้าไม่รอบคอบเพียงพอจะทาให้พนักงานสอบสวน
ตัดสินใจท่ีผิดพลาด เพราะว่าในคดีองค์กรอาชญากรรมมีรูปแบบซับซ้อนจนเราคิดว่าวิธีการเดิมที่
เราเข้าใจอาจจะไม่ใช่แล้ว ประสบการณ์ที่ผา่ นมาหัวหน้าก็ตอ้ งนั่งหัวโต๊ะ แต่ตอนนไ้ี ม่ใชม่ ันถูกปรับเปล่ียน
ไปแล้ว ผู้กระทาความผิดปัจจุบัน มีความรู้ความเชี่ยวชาญ การจาภาพเดิม ๆ หรือวิธีการเดิม ๆ ไม่ใช่
แบบนั้นแล้ว จึงเป็นข้อควรระวังเพราะมันคือองค์กรอาชญากรรม พนักงานสอบสวนจะต้องเข้าใจ
พฤติการณ์แห่งคดีให้ถ่องแท้ แล้วก็เอาหลักฐานมาหารือกันในคณะพนักงานสอบสวนว่าอะไรใช่หรือไม่ใช่
อย่าตัดสินใจโดยพละการ ต้องแนะนาให้นาข้อมูลเข้าสู่ที่ประชุมคณะพนักงานสอบสวน เพื่อมีการ
ถกแถลงกนั จนเป็นทยี่ ตุ ิ เป็นมตทิ ่ปี ระชุมคณะพนักงานสอบสวน
ย้อนกลับไปในองค์ประกอบของคณะพนักงานสอบสวน ปัจจุบันที่เป็นอยู่จะต้อง
พิจารณาว่ามีองค์ประกอบท่ีครบถ้วนหรือไม่ กรมสอบสวนคดีพิเศษจะต้องมีมาตรฐานสูงและมี
ความก้าวหน้ากว่าหน่วยงานอ่ืน เราสามารถมีพนักงานอัยการร่วมสอบสวน เราสามารถมีผู้เช่ียวชาญ
มารว่ มให้ขอ้ มูลร่วมปรึกษา ผมทาแบบนน้ั แทบทุกคดี เพอ่ื ความรอบคอบเพราะคดีของเราคือ “คดีพเิ ศษ”
(7) ข้อควรระวัง/ข้อสังเกตในกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนเพื่อกำรอำนวยควำม
ยตุ ิธรรมในภำพรวม
ข้อควรระวังคือ เร่ืองการแสวงหาผลประโยชน์ หรือเร่ืองการกาหนดแนวทาง
หรือวิธีการปฏิบัติ หากกาหนดไม่ชัดเจน ไม่รอบคอบเพียงพอ หรือไม่รอบด้าน จะทาให้พนักงาน
สอบสวนตัดสินใจที่ผิดพลาดกลายเป็นการกันตัวผู้ต้องหาสาคัญเป็นพยาน อันน้ียอมให้เกิดข้ึนไม่ได้
ต้องให้มีการพิจารณาด้วยความรอบคอบและรอบด้าน คานึงถึงการนาตัวผู้กระทาผิดที่แท้จริงหรือ
ตวั การใหญ่มาลงโทษ เพื่อให้วงจรอาชญากรรมน้ันสิ้นสดุ ลงให้ได้ และน่ีคือการอานวยความยุติธรรมใน
ภาพรวม และนาไปส่กู ารสรา้ งความสงบสุขใหบ้ ้านเมอื ง
204
(8) ข้อเสนออื่น ๆ เพื่อเพ่ิมประสิทธิภำพในกำรสืบสวนสอบสวนและกำรแสวงหำ
พยำนหลักฐำนในคดพี เิ ศษ
ควรเร่ิมจากออกระเบียบแนวทางภายใน แล้วรวบรวมตัวบทกฎหมาย/ระเบียบ
ต่าง ๆ ที่เก่ียวข้อง ซ่ึงปกติก็มีการทบทวนกฎหมายอยู่แล้ว ศึกษาระเบียบภายในของพนักงานอัยการ
ถึงแม้ว่า DSI จะทาสาเร็จทุกเร่ืองในการขับเคล่ือนให้คดีประสบความสาเร็จ แต่ประเด็นเร่ืองการกัน
ผู้ต้องหาเป็นพยานเป็นประเด็นเร่ืองแนวคิดวิธีการทางาน โดยในภาพรวมตัวพนักงานสอบสวน ทีมงาน
ตอ้ งเหนยี วแน่นตอ้ งมกี รอบทิศทางท่ีชดั เจนไปในทศิ ทางเดียวกันและปราศจากผลประโยชนอ์ ื่นแอบแฝง
กรอบความคิด (Mindset) คือ กระบวนการทางความคิดของคนที่ทางานด้าน
การสืบสวนสอบสวนคือ 1) การแสวงหาความร่วมมือ 2) การประสานงานเป็นทักษะเบ้ืองต้นที่บุคลิก
ของผู้ท่ีทางานสืบสวนต้องมี เพราะคนไม่ได้รู้จริงทุกเร่ืองการแสวงหาความร่วมมือ รู้ว่าแหล่งข้อมูล
เรื่องนี้อยู่ท่ีใคร ที่หน่วยงานใด การติดยึดว่าพนักงานสอบสวนมีอานาจแค่เซ็นหนังสือเชิญเข้ามาเป็น
หลักการที่เก่ามาก วิธีการทางานของพนักงานสอบสวนต้องปรับ กองพัฒนาและสนับสนุนคดีพิเศษ
ท่ีมหี นา้ ท่ีในจการฝกึ อบรมคือหวั ใจสาคัญหลักของหนว่ ยงานในการพัฒนาและให้ความรู้ในเร่ืองดงั กล่าว
4.4.12 ผู้ใหส้ ัมภำษณ์คนท่ี 12121
(1) สภำพปญั หำในกำรแสวงหำพยำนหลกั ฐำนในคดพี เิ ศษมีอะไรบำ้ ง
คดีพิเศษเป็นคดีที่มีลักษณะของการก่ออาชญากรรมโดยส่วนใหญ่ผู้กระทา
ความผิดที่มีลักษณะเป็นเครือข่าย เป็นคดีที่มีความยุ่งยากซับซ้อนไม่ว่าจะเป็นอาชญากรรมทาง
เศรษฐกิจ องค์กรอาชญากรรม อาชญากรรมข้ามชาติ หรือคดีที่มีผู้มีอิทธิพลอยู่เบ้ืองหลัง ซ่ึงการ
แสวงหาพยานหลักฐานโดยปกตินั้นยากแก่การได้มาซึ่งพยานหลักฐานเพื่อนามาดาเนินคดีกับผู้กระทา
ความผิดได้โดยตรง อีกทั้งคดีพิเศษเป็นคดีที่มีผลกระทบต่อด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบเศรษฐกิจ
ความมั่นคงปลอดภัย ด้านเทคโนโลยี หรือด้านอ่ืน ๆ ของประเทศ คดีพิเศษยังมีความซับซ้อนในแง่
การก่ออาชญากรรม และในข้อเท็จจริงยังมีแง่มุมของสังคมมีความคาดหวังเก่ียวกับคดีที่เกิดข้ึน
การออกแบบกฎหมายการสอบสวนคดีพิเศษ จึงบัญญัติอานาจพิเศษในการรวบรวมพยานหลักฐาน
ขึ้นมาเป็นพิเศษต่างจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาทั่วไป ได้แก่การเข้าถึงพยานบุคคล
พยานวัตถุและพยานเอกสารอย่างรวดเร็ว ท้ังในส่วนการเรียก การค้นและยึด ตามมาตรา 25 และ
การเข้าถงึ พยาน หลักฐานโดยการดักรับพยานหลักฐาน ตามมาตรา 25 และการแฝงตัวเข้าไปในองค์กร
อาชญากรรมตามมาตรา 27 เหล่านี้เป็นการออกแบบกฎหมายเพอื่ ให้มีเคร่ืองมือพิเศษทสี่ ามารถเขา้ ถึง
พยานบุคคล พยานวัตถุและพยานเอกสาร ได้โดยช่องทางพิเศษ ให้เท่าทันต่ออาชญากรรมพิเศษ
และการเข้าถึงดังกล่าวอาจได้มาซึ่งพยานหลักฐานที่ทาให้เกิดผลสัมฤทธ์ิในทางคดี แต่การดาเนินการ
ดังกล่าวอาจมีข้อจากัดพยานหลักฐานท่ีได้มาอาจไม่สามารถเอาผิดกับตั วการสาคัญท่ีอยู่เบ้ืองหลัง
องค์กรอาชญากรรมได้การเข้าถึงบุคคลในเครือข่ายขององค์กรอาชญากรรมได้และนามาใช้เป็น
หลักฐานแสดงต่อศาลให้เห็นถึงวิธีการกระทาผิดแสดงเครือข่ายผู้ท่ีร่วมกระทาผิด และแสดง
พยานหลักฐานที่มีน้าหนักน่าเช่ือถือรับฟังลงโทษได้ ซึ่งคดีลักษณะน้ีเป็นการทางานท่ียากต่อการ
แสวงหาพยาน หลักฐาน ส่ิงท่ีสามารถทาได้คือ การมีมาตรการกันผู้ต้องหาหรือผู้ร่วมกระทาผิดเป็น
พยานในคดีพิเศษ จึงเป็นวิธีการสาคัญอย่างย่ิงต่อผลสัมฤทธิ์ของคดีพิเศษ แต่ถ้าเราไม่มีระเบียบในการ
121 สัมภาษณ์เม่ือวันท่ี 7 มถิ นุ ายน 2564
205
กันเป็นพยาน มองอีกมุมหน่ึงว่าบางครั้งคดีนั้นเราอาจจะไปเจอผู้ต้องหาซ่ึงอยู่ร่วมในกระบวนการ
กระทาความผิด หากไม่มีกระบวนการกันเป็นพยานอย่างท่ีเราคาดหวัง การจะให้มีการร้ือฟื้นคดีเหล่านี้
แทบจะทาไม่ได้ เพราะมีความยากลาบากในการที่จะแสวงหาพยานหลักฐานใหม่ ซึ่งในความเป็นจริง
การมีพยานหลักฐานใหม่เข้ามาในคดีมันเป็นไปไม่ได้หรือเป็นไปได้ยากมาก การสืบสวนสอบสวนที่จะ
ทาให้พยานหลักฐานมีน้าหนัก และมีประโยชน์ต่อรูปคดี จะต้องไปเอาในส่วนท่ีเป็นพยานสาคัญหรือ
เป็นผู้ต้องหาที่เคยถูกดาเนินคดีมาแล้วแต่ว่าพนักงานอัยการส่ังไม่ฟ้อง เพื่อนาคนกลุ่มนี้เข้ามาสู่
กระบวนการรวบรวมพยานหลักฐานในคดีพิเศษอีกครัง้ หนึ่ง สภาพปัญหาในการรวบรวมพยานหลักฐาน
ของคดีพิเศษที่สาคัญ อีกประการหนึ่ง เน่ืองจากเรามีระบบการสืบสวน มีกระบวนการรวบรวม
พยานหลักฐานที่ใช้เคร่ืองมือพิเศษตามที่กฎหมายกาหนด ไม่ว่าจะเป็นการแฝงตัว การดักรับข้อมูล
การมพี นักงานอัยการร่วมสอบสวน และอ่ืน ๆ ตรงนี้สาคญั ดังนั้น ระเบียบเกย่ี วกบั การกนั ผูต้ อ้ งหาเป็น
พยานควรจะสอดคล้องกับมาตราการอื่น ๆ ท่ีใช้ในการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ ก็คือกระบวนการ
สืบสวนก่อนเป็นคดีพิเศษ ซึ่งโดยวิธีการสืบสวนเท่าประสบการณ์ท่ีทามากระบวนการแฝงตัวได้ผล
กระบวนการดักฟังได้ผลแน่นอน ทาให้รู้ตัวละครในคดีนั้น ๆ ในกระบวนการของผู้กระทาความผิดถือ
เป็นข้อได้เปรียบของกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ เมื่อเรารู้ตัวละครในกระบวนการแล้ว
สามารถวางแผนการทางานได้มากย่ิงข้ึน การกันผู้ร่วมกระทาผิดเป็นพยานสามารถนามาวางแผน
ในการสอบสวนได้ โดยสามารถช้ีให้เห็นว่าพยานบุคคลคนน้ีมีความสาคัญอย่างไร สอดคล้องกับพยาน
เอกสารพยานวัตถุอยา่ งไร การกันผู้กระทาความผดิ แบบน้ีจะมีนา้ หนักของการรับฟังทม่ี ากขึ้น อกี ทั้งใน
แง่ของกระบวนการสืบสวนในคดีพิเศษก็จะสามารถเข้าไปถึงบุคคลคนน้ันได้ก่อนและเอาบุคคลคนน้ัน
มาเข้าสู่กระบวนการในแง่สืบสวนก่อนเป็นคดีพิเศษจะย่ิงทาได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ไม่ควรใช้คา
ว่าการกนั ผูต้ ้องหาเปน็ พยาน มองแคว่ า่ เขาเปน็ ผูร้ ่วมกระทาความผิดแบบนีจ้ ะมีความยืดหยุ่นกว่า
การใช้คาว่าการกันผู้ร่วมกระทาความผิดเป็นพยาน คือ ผู้ร่วมกระทาความผิด
ดงั กล่าวยังไม่ถูกกล่าวหา แต่หากใช้คาว่า ผู้ต้องหา หมายถึง บุคคลน้ันได้ที่ถูกกล่าวหาแล้ว แต่อาจจะ
ยังไม่ได้เข้าสู่กระบวนการ และในระดับท่ีหนักไปกว่าน้ันของผู้ถูกกล่าวหา คือ การถูกแจ้งข้อกล่าวหา
ซ่ึงหมายความว่า พนักงานสอบสวนได้ตัวมาแจ้งข้อกล่าวหา ไม่ว่าจะเป็นการออกหมายเรียกหรือ
หมายจับ ถ้าจะมองในแง่การกันเป็นพยานก็ถือว่าเป็นผู้ต้องหาทั้งน้ัน แต่ถ้าเกิดว่าเป็นผู้ร่วมกระทา
ความผิดระดับของการกล่าวหาอาจจะยังไม่ไปถึง อาจจะยังมีฐานะก้าก่ึงอยู่ คือ จริง ๆ ในงานสานวน
การสอบสวนยังถือว่าเป็นพยาน แต่ได้เข้าไปร่วมในกระบวนการกระทาความผิดแล้ว ใช้หลักเกณฑ์ใน
การกรองว่าคนนี้เป็นพยานได้หรือไม่ อันน้ีจะเป็นลักษณะท่ีว่ายังไม่ต้องไปกล่าวหา วิธีนี้ในทางปฏิบัติ
เรียกว่าวธิ ีการกันแบบอัตโนมตั ิ
สภาพปัญหาในเร่ืองของคดีท่ีจะมีการร้ือฟ้ืนข้ึนมาใหม่มันค่อนข้างท่ีจะเป็นไป
ได้ยาก ในการที่จะไปหาพยานหลักฐานใหม่ ยิ่งถ้าระยะเวลามันล่วงเลยมานาน ยกตัวอย่างกรณี
น้องชมพู่ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่คดีพิเศษ แต่หากเกิดกรณีที่จะนาไปสู่กระบวนการรื้อฟ้ืนการพิจารณา
เพื่อให้กรมสอบสวนคดีพิเศษดาเนินการและแสวงหาพยานหลักฐาน เวลาท่ีผ่านมาเนิ่นนาน
พยานหลักฐานต่าง ๆ ก็จะหายไปหมดแล้ว ในทางปฏิบัติเรียกว่า คดีแห้ง ซึ่งกเ็ ปน็ อีกสภาพปัญหาหน่ึง
แต่สภาพปัญหาในการสอบสวนคดีพิเศษที่สาคัญท่ีสุดคือ คดีพิเศษเป็นคดีความผิดทางอาญาที่ต้อง
ดาเนินการกับองค์กรอาชญากรรม ดาเนินคดีกับอาชญากรรมที่มีลักษณะของการกระทาผิดที่เป็น
เครือขา่ ย ตัวอย่าง คดีแชรล์ ูกโซ่ ซ่ึงลักษณะการกระทาความผิดค่อนข้างยากที่จะมีบุคคลภายนอกเข้า
206
ไปร่วมอยู่ในกระบวนการท่ีเป็นตัวการสาคัญได้จริง ๆ เครือข่ายของตัวการสาคัญจะมีอยู่เฉพาะคน
ซึ่งรับรดู้ ้วยกนั ส่วนคนท่ีเหลือจะเป็นเพียงองค์ประกอบท่ีแตกย่อยออกมา บางครง้ั จะเป็นผู้เสียหายอีก
ส่วนหน่ึงด้วยซ้าไปในกระบวนการแชร์ลูกโซ่ แต่แกนกลางของกระบวนการหลอกลวงจริง ๆ ไม่ว่าจะ
เป็นการระดมเงิน การโยกย้ายเงิน หรืออื่น ๆ เราแทบจะไม่สามารถเข้าไปถึงตรงน้ันได้เลย รวมถึง
องค์กรอาชญากรรมลักษณะที่มีผู้อยู่เบ้ืองหลังไม่มีความเคล่ือนไหว อย่างเช่น ในกรณีคดียาเสพติด ผู้ที่อยู่
เบ้ืองหลังไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ มีแค่รับรู้กัน พูดคุยกัน มีแต่คนท่ีจะต้องรับหน้าอย่างเดียว ไม่ใช่
ตัวการหรือผู้บงการทแ่ี ท้จริง จึงมคี วามยากมาก หากจะกลา่ วถึงในแงข่ องความสัมฤทธ์ผิ ลของคดีพิเศษ
เราจะต้องเจาะเข้าถึงองค์กรอาชญากรรม หรืออาชญากรรมท่ีเป็นเครือข่าย ท่ีสาคัญท่ีสุดท่ี
นอกเหนือจากการสืบสวนในหลาย ๆ ทางแล้ว วิธีท่ีดีที่สุดการเจาะเข้าไปในเครือข่ายขององค์กร
อาชญากรรมท่ีว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษไม่ควรจะดาเนินการในการแสวงหาพยานหลักฐานเพียงจาก
ผู้เสียหายหรือเหยื่อเท่าน้ัน ไม่เพียงพอ ยกตัวอย่าง คดีแชร์ลูกโซ่แม้จะสอบสวนผู้เสียหายได้นับพัน
นับหม่ืนราย แต่พยานหลักฐานท่ีจะเป็นเจาะจงเอาผิดกับผู้กระทาความผิดจริง ๆ บางคร้ังมีความเบา
บางมาก คือมีการกล่าวหาพันคนหม่ืนคนก็จริง แตก่ ารท่ีบอกว่าสงิ่ ที่เขาทาน้นั ผดิ เวลานาสืบในชนั้ ศาล
จริง ๆ ไม่ใช่ผู้เสียหายพนั คนหรือหม่ืนคน ส่ิงท่ีนาไปสืบในช้ันศาลคือ สิ่งที่เขาทาน้ันผดิ ในองค์ประกอบ
ของกฎหมายอย่างไร ผู้เสียหายเหล่าน้ีไม่มีความสามารถท่ีจะกล่าวหาเชิงลึก สภาพปัญหาจึงอยู่ที่
การแสวงหาพยานหลักฐานของพนักงานสอบสวนเท่านั้น เชน่ เส้นทางการเงินแล้วมีการนาเงินออกไป
นอกระบบ นอกจากน้ี คดีการพนันออนไลน์ ก็มีลักษณะการกระทาความผิดเป็นเครือข่าย หาก
กรมสอบสวนคดีพิเศษสามารถดาเนินการกับเครือข่ายได้ ทั้งเครือข่าย มันก็จะเป็นตัวระงับยับย้ัง
อาชญากรรมได้สน้ิ ซาก
สภาพปัญหาอีกประการหนึ่งคือ คดีพิเศษมีผลกระทบต่อสังคมในภาพกว้าง
การดาเนินคดีพิเศษต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบตั้งแต่แรก มีการประสานความร่วมมือกับ
หน่วยงานพันธมิตรอย่างเข้มแข็ง อาทิ คดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การออกเอกสาร
สิทธิโดยมิชอบ ผลจากการดาเนินคดีมิใช่เกิดประโยชน์ต่อเฉพาะกลุ่มของประชาชนหรือเฉพาะ
กลุ่มผู้เสียหายเท่าน้ัน แต่ยังสามารถช่วยเหลือหน่วยราชการหรือหน่วยงานอ่ืนท่ีเกี่ยวข้องได้อีกด้วย
บ างค ร้ังใน ก าร ท าค ดี พ นั ก งาน ส อ บ ส ว น บ างราย อ าจ จ ะ ยั งไม่ มี มุ ม ม อ งใน ลั ก ษ ณ ะท่ี เป็ น ม ห ภ า ค
ในองค์รวม อาจมองเพียงแค่คดีของตนเองที่อยู่ในความรับผิดชอบ จึงอยากให้เพ่ิมมุมมองในจุดน้ีด้วย
ผู้บริหารควรจะให้เวลากับการสร้างเครือข่ายให้มากข้ึน การเจาะเข้าไปในเครือข่ายอาชญากรรมตรงน้ี
ก็จะมาสัมพันธ์กับการสืบสวนแบบเครือข่าย DSI จะต้องมีการทางานในเชิงรุก เน้นการทางาน
เชิงคุณภาพมากกว่า การทางานเชงิ ปริมาณ การทางานในคดีพิเศษไม่ซ้าซ้อนกับหน่วยงานอน่ื เพียงแต่
เราอย่างไปเปิดรับงานท่ีไม่ใช่ภารกิจ ต้องลดในส่วนงานประเภทท่ีไม่เก่ียวข้องกับคดีพิเศษออกไป
อาจจะกล่ันกรองโดยฝ่ายรับเร่ืองราวร้องทุกข์ แต่ปัจจุบันเราไปสร้างระเบียบต่าง ๆ ที่เหมือนกับ
การเปิดช่องให้เรื่องไหลเข้ามาท่ีเรา เราก็จะไปใช้เวลากับเร่ืองท่ีซ้าซ้อนกับหน่วยงานอื่น แล้วเรา
กลบั มาคดิ ว่าอันนี้คอื เราก็มีบทบาทในการอานวยความยุตธิ รรมใหก้ ับประชาชน ทาให้เราหมดเวลาไป
มาก แตก่ ลบั ไมไ่ ด้สร้างงานที่เปน็ งานคดีพเิ ศษตามอานาจหน้าท่ีอย่างแท้จริง
207
สภาพปัญหาอีกประการหนึ่งคือ การถ่ายทอดองค์ความรู้ ควรมีการถ่ายทอดองค์
ความรู้ให้ทั่วท้ังองค์กร ในทุกปีจะมีการเกษียณอายุราชการของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษรุ่นพี่ ได้มี
การถ่ายทอดองค์ความรู้จากพี่ ๆ เหล่าน้ันแล้วหรือไม่ องค์ความรู้หลายอย่างไม่มีอยู่ในตารา หรือคู่มือ
ควรจะเน้นในเร่อื งนใี้ หม้ าก และในการทางานควรตอ้ งลดการใชด้ ลุ พนิ จิ ใหเ้ หลือนอ้ ยทส่ี ดุ
(2) ควรจะมีวิธีกำรเพ่ิมประสิทธิภำพในกำรแสวงหำพยำนหลักฐำนในคดีพิเศษ
อย่ำงไร
วิธีการเพิ่มประสิทธิภาพในการแสวงหาพยานหลักฐานในคดีพิเศษควรคานึง
ทั้งในส่วนวิธีการแสวงหาพยานหลักฐานและการนาพยานหลักฐานไปใช้ให้เกิดผลสัมฤทธ์ิสูงสุดต่อคดี
พิเศษ จงึ ควรมุ่งเน้นใน 4 กระบวนการทส่ี าคญั คือ
1) ช่องทางการเข้าถึงพยานหลกั ฐาน
2) กระบวนการคดั เลอื กพยานหลักฐาน
3) การรักษาพยานหลักฐาน และ
4) การนาพยานหลักฐานไปใชใ้ หเ้ กิดผลสมั ฤทธิ์
การเพิ่มประสิทธิภาพต้องเปล่ียนมุมมองการชี้วัดเป็นมุมมองของผลงาน
ยกระดับของคดีพิเศษข้ึนมาเป็นกลางวางตาแหน่งของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือฐานะของพนักงาน
สอบสวนคดีพิเศษที่สูงข้ึนควรสร้างฐานข้อมูลท่ีเป็นระบบเครือข่าย Big Data สิ่งที่เห็นอยู่ทุกวันนี้
เรายังเข้าไม่ถึงข้อมูล ความนิ่งในแง่ของในความเป็นเครือข่าย เราไม่มุ่งเน้นที่จะพัฒนาตรงนี้ อย่าง
จริงจัง ยังนาไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ ถ้าเราคิดเป็นเครือข่าย ฐานข้อมูลในเครือข่ายปัจจุบันตอบโจทย์
ระเบียบการกันผู้ต้องหาหรือผู้ร่วมกระทาความผิดเป็นพยานท่ีสอดคล้องกับการสอบสวนคดีพิเศษ
สาคัญผู้บริหารระดับสูงต้องมีนโยบายที่ชัดเจนส่ังการลงมา และเจ้าหน้าท่ีผู้ปฏิบัติจะต้องปลูกฝัง
ความคิดเชิงเครือข่าย ต้องมีมุมมองในเชิงกว้าง นาไปต่อยอดขยายผลให้มากขึ้นกว่าแค่ทาคดีแล้ว
สาเร็จ ดังนั้น ท้ังผู้บริหารและเจ้าหน้าท่ีผู้ปฏิบัติจะต้องมีมุมมองการคิดเป็นเครือข่าย มีการขยายงาน
มผี ลการสบื สวนในเชงิ เครือข่าย
(3) กำรกำหนดแนวทำงกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนจะสำมำรถเพ่ิมประสิทธิภำพ
ในกำรสบื สวนสอบสวนและกำรแสวงหำพยำนหลักฐำนในคดีพิเศษไดห้ รอื ไม่
ตามที่กล่าวไปแล้วว่าการกันผู้ต้องหาหรือผู้กระทาผิดเป็นพยานเป็นกระบวนการ
หน่ึงที่ใช้ได้ผลสูงสุดในคดีท่ีมีลักษณะเป็นเครือข่ายอาชญากรรม การนาผู้ท่ีร่วมกระทาหรืออยู่ใน
ส่วนหนึ่งส่วนใดของวงจรอาชญากรรม จะทาให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษสามารถเช่ือมโยงพยาน
หลักฐานให้ศาลรับฟังลงโทษไปยังตัวการสาคัญและเครือข่ายที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิผล เสมือน
หน่ึงมีผู้กระทาผิดมาบรรยายพฤติการณ์การกระทาผิดขององค์กรอาชญากรรม ให้พยานหลักฐาน
อย่างอ่ืนที่พนักงานสอบสวนแสวงหามาตามกระบวนการ สามารถรับฟังได้อย่างสอดคล้องมีน้าหนัก
รับฟงั ตามกฎหมายการรบั ฟงั พยานหลกั ฐาน
(4) ควรสนับสนุนให้มีกำรบัญญัติกฎหมำยเพื่อรองรับและตรวจสอบพนักงำน
สอบสวนคดีพิเศษในกำรใช้ดลุ พนิ จิ กำรกันผู้ต้องหำเปน็ พยำนในคดพี ิเศษหรือไม่
สนับสนุนครับ เพราะมีความสาคัญต่อผลสัมฤทธิ์ของคดีพิเศษตามเหตุผล
ที่กล่าวมาแล้วในข้อ 3 และเห็นว่าการกันผ้ตู ้องหาหรอื ผู้กระทาผิดในปัจจุบันแม้ไม่มีประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญาบัญญัติเรื่องการกันผู้ร่วมกระทาความผิดหรือผู้ต้องหาเป็นพยานเป็น
208
ลายลักษณ์อักษรมาก่อน แต่ไม่ขัดต่อหลักการรับฟังตามกฎหมายลักษณะพยานแต่อย่างใด ประกอบ
กบั แนวทางการกนั ผู้ต้องหาเปน็ พยาน มีหน่วยงานวางแนวทางไว้เพยี ง 3 หนว่ ยงานเทา่ น้นั คอื
1) ระเบียบของสานักงานตารวจแหง่ ชาติมีการบัญญัติถึงเร่ืองการกันตัวผตู้ ้องหา
เป็นพยานไว้ในประมวลระเบยี บการตารวจ ภาคที่ 1 ระเบยี บการตารวจเกย่ี วกับคดี ขอ้ 257-259
2) ในทางปฏิบัติของพนักงานอัยการสามารถกระทาได้ในกรณี ที่พิจารณาแล้ว
เห็นว่า พยานหลักฐานที่มีอยู่ไม่เพียงพอแก่การที่จะดาเนินคดีแก่ผู้ต้องหาดังที่บัญญัติรายละเอียด
ไว้ในระเบียบสานักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดาเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ. 2547
ข้อ 79 ซ่ึงบัญญัติว่า "ในกรณีที่พนักงานสอบสวนกันผู้ต้องหาซึ่งได้ร่วมกระทาความผิดด้วยกันคนใด
คนหนึ่งเป็นพยาน ให้พนักงานอัยการพิจารณาโดยรอบคอบ โดยคานึงถึงว่าถ้าไม่กันผู้ต้องหาคนใด
คนหนึ่งเป็นพยานแล้ว พยานหลักฐานท่ีมีอยู่เพียงพอแก่การท่ีจะดาเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งหมดหรือไม่
และอาจแสวงหาพยานหลักฐานอื่นแทนเพื่อให้เพียงพอแก่การที่จะดาเนินคดีกับผู้ต้องหาท้ังหมด
หรือไม่ ถ้อยคาของบุคคลนั้นรับฟังเป็นความสัตย์ได้เพียงใด รวมท้ังความคาดหมายในการที่ผู้น้ันจะ
เบิกความเป็นประโยชน์ในการพิจารณาหรือไม่ด้วย และพึงพิจารณากันผู้กระทาความผิดน้อยท่ีสุด
เป็นพยาน..." และ
3) ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง
หลักเกณฑ์ วิธีการและเง่ือนไขในการกันบุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหาไว้เป็นพยาน โดยไม่ดาเนินคดี
พ.ศ. 2554 มาเพื่อบังคบั ใช้ในการกนั บุคคลหรอื ผู้ถูกกล่าวหาไวเ้ ป็นพยาน ดงั น้ันจึงมีความจาเป็นอย่าง
ย่ิงในการผลักดนั ระเบยี บเกี่ยวกับการกันผู้ต้องหาหรือผู้รว่ มกระทาผิดเป็นพยาน เพื่อรองรับวธิ ีการการ
รวบรวมพยานหลักฐานของพนกั งานสอบสวนคดพี ิเศษ ใหเ้ ป็นอยา่ งมมี าตรฐาน
ขอเสนอให้จัดทาเป็นระเบียบภายใน และในอนาคตอาจเสนอแก้กฎหมาย
วา่ ด้วยการสอบสวนคดีพิเศษด้วย แต่ในชั้นแรกควรมีการกาหนดเป็นระเบียบภายในก่อน เพ่ือดูสภาพ
ปัญหาในทางปฏิบัติ เพราะหากเรามีข้อมูลเกี่ยวกับสภาพปัญหาท่ีเกิดข้ึนระหว่างการทางาน การแก้
กฎหมายกจ็ ะสามารถทาไดอ้ ยา่ งรอบคอบและมีประสิทธภิ าพมากขนึ้
(5) มำตรกำรที่จะกำกับ/ตรวจสอบกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนในคดีพิเศษ
มอี ะไรบำ้ ง
เมื่อมีระเบียบน้ีข้ึนมา การกนั เป็นพยานสามารถดาเนินการไดใ้ น 2 ลกั ษณะ คือ
ลักษณะที่ 1 คือ การกันผู้ร่วมกระทาความผิดเป็นพยาน ให้ใช้เป็นหลักในการ
สืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ ลักษณะน้ีจะมีมุมมองท่ีมีมิติท่ีกว้างกว่า ยืดหยุ่นกว่า และบางคร้ังการกัน
ในลักษณะนี้อาจจะทาให้หมดความจาเป็นการกันผู้ต้องหาเป็นพยานอีกเลยก็ได้ หมายความว่า
โดยสถานะแทนท่ีจะนาคนน้ีมาแจ้งข้อหาแต่มีกระบวนการทางกฎหมายท่ีรองรับการดาเนินการข อง
พนักงานสอบสวนก่อนหน้านั้นแล้ว และสามารถแสวงหาพยานหลักฐานได้ตามที่คนคนนั้นให้ข้อมูล
และส่ิงที่เป็นประโยชน์แล้ว กระบวนการกันผู้ต้องหาอาจจะไม่จาเป็น เนื่องจากพนักงานสอบสวน
สามารถที่จะได้มาซ่ึงพยานหลักฐาน และสามารถดาเนินคดีกับบุคคลท่ีอยู่นอกเหนือการกันหรือผู้ท่ี
เปน็ ตัวการได้ทง้ั หมดแลว้ อีกทั้งนา้ หนักของการรับฟงั ดีกว่า เพราะไม่อยู่ในฐานะผตู้ ้องหา อีกท้ังโอกาส
ท่ีพนักงานสอบสวนสามารถแสวงหาพยานหลักฐานได้มากกว่า เพราะผู้กระทาผิดรายอ่ืนยังไม่รู้ตัว
หากมีการแจง้ ขอ้ หาและอย่ใู นสถานะผตู้ ้องหาแล้ว ขอ้ มูลทไี่ ด้จะน้อยเพราะทกุ คนตา่ งรู้ตวั กนั หมดแล้ว
209
ลักษณะท่ี 2 คือ การกันผู้ต้องหา อาจนามาใช้ในกรณีท่ีเมื่อเกิดกรณีการจับกุม
หรือมีการออกหมายเรียกหมายจับ หรือในกรณีที่รับคดีมาจากสานักงานตารวจแห่งชาติ ซึ่งได้มีการ
แจ้งข้อหากนั ไว้แล้ว อาจลว่ งเลยมาถึงสถานการณน์ นั้ แล้ว
ดังน้ัน ในการดาเนินคดีพิเศษจาเป็นท่ีจะควรมีท้ัง 2 ลักษณะในระเบียบของ
กรมสอบสวนคดีพิเศษ เพ่ือให้เกิดความชัดเจน ครอบคลุมในวิธีการปฏิบัติ ซึ่งจะต้องมีการปฏิบัติใน
แตล่ กั ษณะทีแ่ ตกตา่ งกัน
มาตรการท่ีจะกากับ/ตรวจสอบคือ การเสนอให้มีพนักงานอัยการร่วมสอบสวน
ในคดีที่คณะพนักงานสอบสวนประสงค์จะขอใช้วิธีการกันไว้เป็นพยาน เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและ
ตรวจสอบได้ และให้มีมติท่ีประชุมท่ีเป็นเอกฉันท์พร้อมระบุเหตุผลความจาเป็นต่าง ๆ เสนออธิบดี
กรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป สาหรับการต้ังคณะกรรมการกลั่นกรองเพ่ือ
พิจารณาเรื่องดังกล่าวก่อนเสนออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษนั้น มีความเห็นว่ายังไม่จาเป็นเพราะจะ
ทาให้การทางานมีขั้นตอนท่ีเพิ่มมากขึ้น การมีพนักงานอัยการร่วมสอบสวนและให้ความเห็นชอบใน
การเสนอขอกันไว้เป็นพยานเพียงพอแล้ว และท้ายท่ีสุดเป็นอานาจของอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ
จะเหน็ ดว้ ยหรือเห็นต่างอย่างไร และประเด็นสาคัญต้องระวังเร่อื งขอ้ มูลสาคญั ทจ่ี ะรั่วไหล หากเกดิ การ
ร่ัวไหลแล้วงานสบื สวนสอบสวนจะเสียไปทง้ั หมด ซ่ึงเป็นเรื่องท่ีต้องระมดั ระวังอย่างมากในงานคดีพิเศษ
(6) กำรกำหนดแนวทำง/ระเบียบในกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนในคดีพิเศษ
มีผลด/ี ผลเสียอยำ่ งไร
ผลดีสามารถเห็นได้ชัดเจนในเร่ืองการแสวงหาพยานหลักฐานที่เก่ียวข้องในคดี
เสมือนเป็นทางลัดให้พนักงานสอบสวนสามารถเข้าถึงกลุ่มหรือกระบวนการเครือข่ายการกระทา
ความผิดได้รวดเร็วกว่า หากไม่มีการกันไว้เป็นพยาน เม่ือมีระเบียบดังกล่าวข้ึนมา จะทาให้พนักงาน
สอบสวนสามารถเข้าถึงองค์กรอาชญากรรมหรือเข้าถึงเครือข่ายได้รวดเร็ว และเป็นทางลัดที่มีผู้ร่วม
กระทาความผิดและมีผู้ที่อยู่ในเครือข่ายน้ันมาช้ีช่องให้ว่ากระบวนการกระทาความผิดเป็นอย่างไร
มีใครในกระบวนการดังกล่าวบ้าง กระทาความผิดในช่วงเวลาใด มีการโอนเงินให้แก่ผู้ใด ฯลฯ ดังนั้น
การเข้าถึงพยานหลักฐานมันจะรวดเร็วมากกว่าท่ีจะใช้มุมของเหยื่อหรือผู้เสียหาย หรือพนักงาน
สอบสวนคาดการณ์เอาเอง แต่ผลเสียท่ีควรพึงระวัง ในกระบวนการกันไว้เป็นพยานน้ี ควรจะต้องมี
ระบบการถ่วงดุลและตรวจสอบ ในเมื่อกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษออกแบบกาหนด
ใหม้ ีพนักงานอัยการเข้ารว่ มสอบสวน กาหนดให้มผี ู้เชี่ยวชาญเข้ามารว่ มเป็นท่ีปรกึ ษาด้วย มองว่าอยา่ ง
แรก ต้องทาให้โปร่งใสด้วยการประชุม การหารือร่วมกันกับพนักงานอัยการ หรือการหารือร่วมกันกับ
ผู้เช่ียวชาญ ท่ีปรึกษา จะเป็นการตัดการพิจารณาของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษไปโดยฝ่ายเดียว
เพราะฉะน้ันในแง่ของการที่จะสร้างความโปร่งใสหรอื ให้มีมาตรฐานตรวจสอบได้ จึงควรท่ีจะนาเงื่อนไข
ให้มีพนักงานอัยการเข้ามาร่วมหรือผู้เชี่ยวชาญเข้ามาร่วม บางกรณี ผู้เชี่ยวชาญสามารถ บอกได้ว่า
ควรกันบุคคลใดไว้เป็นพยาน เพราะเป็นลักษณะความสามารถพิเศษ ความเช่ียวชาญชานาญมาตอบ
โจทย์ได้ กรมสอบสวนคดีพิเศษสามารถท่ีจะสร้างเงื่อนไขให้เกิดความโปร่งใสได้ ส่วนนี้ผมเสนอว่ามี
ความจาเป็น อีกทั้งยังสอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษท่ีกาหนดว่าเมื่อมีการ
กระบวนการเข้าถึงข้อมูลตามมาตรา 24 มาตรา 25 มาตรา 27 ต่อมาก็จะมองว่ากระบวนการคัดสรร
พยานท่ีจะกันไว้เป็นพยาน จะต้องใช้พนักงานอัยการร่วม หรือผู้เชี่ยวชาญร่วม หรือว่ามติที่ประชุม
เพ่ือท่ีจะคัดสรรว่า กลุ่มน้ีต้องกันเป็นพยาน ไม่ว่าจะเป็นการกันไว้เป็นพยานตั้งแต่ช้ันสืบสวน หรือใน
210
ช้ันสอบสวน หลักการคือ ต้องทาให้เกิดการโปร่งใส ในระเบียบเราต้องเขียนไว้ให้ชัดเจนว่าในคดีใดมี
เหตุท่ีจาเป็นจะต้องการเป็นพยานควรต้องมีอัยการร่วมสอบสวนด้วย ตั้งแต่ในช้ันสืบสวน แม้ว่าในชั้น
สืบสวนอาจจะยังไม่สามารถแต่งตั้งท่ีปรึกษาคดีพิเศษ หรือเชิญพนักงานอัยการมาร่วมสอบสวนได้ก็
ตาม แต่เราจะต้องกาหนดกลไกขึ้นมาเพ่ือการตรวจสอบและถ่วงดุลต้ังแต่เร่ิมดาเนินการในชั้นสืบสวน
โดยอาจใช้มติที่ประชุมพนักงานสอบสวนท่ีดาเนินการสืบสวนเร่ืองดังกล่าว เห็นชอบร่วมกันอย่างเป็น
เอกฉันท์ในการกันผู้ร่วมกระทาความผิดรายใดไว้เป็นพยาน เพื่อตอบโจทย์ในเรื่องความโปร่งใสให้ได้
อย่างเปน็ รูปธรรม
(7) ข้อควรระวัง/ข้อสังเกตในกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนเพ่ือกำรอำนวยควำม
ยุติธรรมในภำพรวม
เน่ืองจากการกันผู้ร่วมกระทาความผิดหรือผู้ต้องหาเป็นพยานเป็นเร่ืองที่มี
ความละเอียดอ่อน ข้อควรระวังคือ ควรใช้กลไกในเรื่องของการคุ้มครองพยานในขั้นสูงสุดไม่ว่าจะเป็น
เร่ืองเงิน เร่ืองการดูแลความปลอดภัย หรือองค์ประกอบกฎหมายอื่น ๆ ที่มีอยู่ การกันผู้ร่วมกระทา
ความผิดหรือผู้ต้องหาเป็นพยานจะสัมฤทธิ์ผลสูงสุดก็ต่อเม่ือผู้ร่วมกระทาความผิดหรือผู้ต้องหาเข้าไป
เบิกความในช้ันศาลโดยไม่ได้ถูกบังคับ ซ่ึงตรงนี้ถ้าการดูแลไม่ดี ความจริงใจไม่พอ อาจจะเกิดความ
เสียหายท้ังคดี กระบวนการรักษาพยานไวเ้ ปน็ กระบวนการเปน็ ข้ันตอนท่ีสาคัญเพราะ
1. คดีใช้ระยะเวลานานในการพิจารณาของศาล พยานอาจถูกทาให้ไขว้เขว
ถูกข่มขู่ ทายังไงกไ็ ด้ให้เขามั่นคงจนคดีสน้ิ สุด
2. ในการนาเร่ืองของการกันเป็นพยานจะได้ประโยชน์เต็มศักยภาพที่สุด
อย่าคิดเพียงฝ่ายเดียว ต้องมีพนักงานอัยการมาร่วมในการพิจารณาและตัดสินใจ ยกตัวอย่าง ในคดี
แชร์ลูกโซ่ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษมีการออกแบบการร้องทุกข์ของชาวบ้านผู้เสียหายโดยการส่ง
Google form ซ่ึงมีการส่งข้อมูลมาเป็นจานวนหลักพันคน ทางเรามองว่าการสืบสวนนี้มีน้าหนัก
มีจานวนผู้เสียหายถึงเกณฑ์ตามท่ีกาหนดแล้ว แต่พนักงานอัยการบอกว่า ไม่คิดว่าข้อมูลเป็นคาร้อง
ทุกข์ เป็นเพียงแค่ข้อมูลท่ีเราได้รับ หากเป็นคาร้องทุกข์ต้องมีการลงลายมือช่ือหากไม่มีการลงช่ือมา
พนักงานอัยการยังไม่ถือว่าเป็นการร้องทุกข์ ดังนั้น ในการคิดพนักงานสอบสวนจะต้องคิดเผื่อว่า
พนักงานอัยการมีความคิดหรือมุมมองอยา่ งไร เห็นดว้ ยกับพนักงานสอบสวนหรือไม่ หากเห็นชอบด้วย
ทกุ อย่างก็สามารถดาเนินการตอ่ ไปได้ จะได้ผลสัมฤทธ์ิสูงสุด
3. กรณีท่ีไปเบิกความในช้ันศาลก็มีโอกาสที่ผู้ที่ถูกกันไว้เป็นพยานน้ันจะ
เปลี่ยนใจ กลับคาให้การ หรือไม่ให้การอย่างที่ให้การไว้ ควรมีวิธีท่ีรองรับปัญหาตรงนี้ เห็นว่าใช้
แนวทางของ ป.ป.ช. เป็นหลัก ซ่ึงมีความยืดหยุ่นและมีความทันสมัยท่ีสุดในขณะน้ี เป็นเง่ือนไขเชิง
บงั คบั และต้องใช้ควบคู่กับการคุม้ ครองพยาน
(8) ข้อเสนออ่ืน ๆ เพ่ือเพมิ่ ประสิทธิภำพในกำรสืบสวนสอบสวนและกำรแสวงหำ
พยำนหลกั ฐำนในคดพี เิ ศษ
เสนอให้วางหลักการร่างระเบียบหรือกาหนดแนวทางการกันผู้ต้องหาเป็นพยาน
ไว้ในประเด็นสาคัญ 4 ข้อ ท่ีสอดคล้องกับกฎหมายการสอบสวนคดีพิเศษและกฎหมายคุ้มครองพยาน
ดังทกี่ ลา่ วแลว้ คอื
211
1) ช่องทางการเข้าถึงพยานหลักฐาน นั่นคือใช้ทุกช่องทางของกฎหมาย
การสอบสวนคดีพิเศษในการแสวงหาพยานหลักฐาน (ต้ังแต่มาตรา 24-27) เพ่ือให้เห็นถึงพยานพยาน
บุคคล พยานวัตถุ และพยานเอกสารท้งั หมดในคดพี เิ ศษ
2) กระบวนการคัดเลือกพยานหลักฐาน การร่างระเบียบหรือแนวทางในข้อน้ี
ให้ใช้หลักผู้ต้องหาหรือผู้ร่วมกระทาความผิดท่ีสามารถให้รายละเอียดเกี่ยวกับพฤติการณ์แห่งคดี
เช่ือมโยงเครือข่ายผู้กระทาผิดกับพยานหลักฐานท่ีได้มาตามช่องทางเข้าถึงในข้อ 1) มากท่ีสุด
โดยกระบวนการคัดเลือกผู้ท่ีจะกันเป็นพยานนั้น ให้ใช้หลักกฎหมายการสอบสวนคดีพิเศษที่มีอัยการ
ร่วมสอบสวนหรือเป็นท่ีปรึกษาในคดีพิเศษหรือมีผู้เชี่ยวชาญเป็นท่ีปรึกษาคดีพิเศษ มาปรับใช้กับ
หลักเกณฑ์และวิธีการในการคดั เลือกผู้ตอ้ งหาเป็นพยาน ซึ่งถือเปน็ การใช้ประโยชน์จากการทก่ี ฎหมาย
การสอบสวนคดีพิเศษ ออกแบบให้มีพนักงานอัยการหรือผู้เช่ียวชาญด้านต่าง ๆ เข้ามามีบทบาทใน
คดีพิเศษ ส่งผลให้กระบวนการคัดเลือกพยานหลักฐานหรือการกันผู้ต้องหาเป็นพยาน ถูกถ่วงดุลโดย
องค์กรหรือบุคคลอืน่ สามารถใช้อา้ งองิ ความโปรง่ ใส และมาตรฐานที่ใชใ้ นการคัดเลอื กได้เป็นอย่างดี
3) การรักษาพยานหลักฐาน หมายถึงการนากฎหมายการสอบสวนคดีพิเศษ
และกฎหมายคุ้มครองพยานมาใช้ใหเ้ กิดประโยชน์สูงสุด โดยส่วนตัวมีความคิดว่า การกันผู้ต้องหาหรือ
ผู้ร่วมกระทาผิดเป็นพยาน เป็นประเด็นดาเนินการที่มีความอ่อนไหว การกลับคาของพยานในชั้นศาล
การไมใ่ ห้ความรว่ มมอื ในการเบิกความ ไม่ว่าจะดว้ ยเหตุแหง่ ความกลัวจะเกิดอนั ตรายตอ่ ชีวติ หรืออย่าง
อื่นของบุคคลท่ีกันเป็นพยาน การไม่ไว้วางใจต่อพนักงานสอบสวนหรือเจ้าหน้าท่ีในส่วนของการ
ค้มุ ครอง ตลอดจนความจาเป็นด้านชีวิตความเป็นอยขู่ องตนเองและครอบครัว เนื่องจากคดอี าจมคี วาม
ยดื เย้ือยาวนาน เหล่าน้ีย่อมเป็นเหตุให้คดีพิเศษเกิดความเสียหายได้ท้ังสิ้น การใช้กฎหมายในส่วนของ
การคุ้มครองพยานให้เกิดประสิทธิภาพและใช้ค่าใช้จ่ายคดีพิเศษอย่างเหมาะสม จะถือเป็นการรักษา
พยานหลักฐานไว้อยา่ งม่นั คง
4) การนาพยานหลักฐานไปใช้ให้เกิดผลสัมฤทธิ์ นั่นคือการนาพยานที่กันไว้
ไปเบิกความประกอบพยานหลักฐานอ่ืน ให้ศาลรับฟังลงโทษผู้กระทาผิดได้ ในประเด็นนี้มุ่งเน้น
การประสานงานกับพนักงานอัยการในการนาพยานหลักฐานเข้าเบิกความหรือแสดงต่อศาลให้เกิด
ผลสัมฤทธ์ิ โดยเห็นว่า การร่างระเบียบเก่ียวกับการกันผู้ต้องหาเป็นพยานในคดีพิเศษ ควรมีพนักงาน
อัยการเข้าร่วมเป็นที่ปรึกษา เพ่ือให้พนักงานอัยการยอมรับหรือเห็นด้วยกับแนวทางการกันผู้ต้องหา
เป็นพยานเสยี กอ่ น
ท้ายที่สุด DSI จะต้องยกระดับของคดีพิเศษ ให้มีมุมมองในงานคดีเพิ่มขึ้นในแง่
เครือขา่ ย DSI ไม่ควรไปลยุ งานคดแี บบสานกั งานตารวจแห่งชาติ เพราะคดีพเิ ศษกับคดีอาญาทัว่ ไปของ
สานักงานตารวจแห่งชาติไม่เหมือนกัน ต่างประเภทกัน DSI เดินงานคดีแตกต่างกัน แต่ยังสามารถ
ร่วมมือกันในการร่วมกันอานวยความยตุ ิธรรมและหยดุ ยั้งอาชญากรรมของประเทศ
4.4.13. ผู้ให้สัมภำษณค์ นท่ี 13122
(1) สภำพปัญหำในกำรแสวงหำพยำนหลกั ฐำนในคดพี เิ ศษมอี ะไรบ้ำง
สภาพปัญหาในเรื่องพยานมีอยู่หลายประการด้วยกัน อาทิ 1) กรณีท่ีมีผู้ร่วม
กระทาความผิดหลายคน เช่น คดีทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ในกรณีคดีใหญ่ ๆ แบบนี้จะมี
122 สัมภาษณเ์ มือ่ วันที่ 31 พฤษภาคม 2564
212
ผู้มีอิทธิพลอยู่เบ้ืองหลังเป็นส่วนใหญ่ และจะมีลักษณะของการตัดตอน นายทุนใหญ่จ้างอีกคนหน่ึง
อกี คนหน่ึงก็ไปจ้างอกี คนมาดาเนินการแผ้วถางป่า การท่ีเราเข้าไปจับกุมผกู้ ระทาความผิดท่ีแผ้วถางป่า
เป็นการจับตัวเล็กตัวน้อย จับไปมากแต่ไหนก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่สามารถสาวไปถึงตัวผู้บงการ
ผู้ที่อยู่เบื้องหลังของการกระทาความผิดได้ กรณีบุกรุกป่าไม้ โดยไม่มีเอกสารสิทธ์ิเข้าถางป่าเลย
กม็ ีความยากท่ีจะหาตัวผู้กระทาความผดิ ท่ีเป็นตัวการใหญ่จริง ๆ น่ีคือปัญหาของรูปแบบน้ี 2) การไม่มี
หลักฐานเพียงพอที่จะเอาผิดกับผู้ท่ีเป็นนายทุน คดีพิเศษที่ดาเนินการ อาจจะมีผู้ต้องหาหลายคนหรือ
หลักฐานไม่เพียงพอที่จะเอาผิดกับพวกนายทุน เพราะมีการตัดตอน เอาผิดไม่ถึงหรืออาจถึงแต่พวก
นายทุนก็จะให้การปฏิเสธ เพราะนายทุนเหล่านี้เขารู้กฎหมายและใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการ
กระทาความผิด ทาให้พนักงานสอบสวนไม่สามารถท่ีจะหาตัวผู้กระทาความผิดที่แท้จริงได้ นี่คือความ
ยากในการแสวงหาพยานหลักฐานในคดีพิเศษ อาชญากรรมก็ไม่หมดไป อาชญากรรมยังคงอยู่
การบุกรุกท่ีดินในพ้ืนที่กระบี่ พังงา ภูเก็ต ก็ยังคงมีการกระทาความผิดอยู่จนถึงทุกวันนี้ ปราบปราม
เท่าไหร่ ก็ยังไม่สิ้นซาก มีผู้ทรงอิทธิพลเข้ามาเกี่ยวข้อง มีผู้ร่วมกระทาความผิดหลายคน เป็นเครือข่าย
โดยแบ่งการทางานออกเป็นสว่ นๆ และในบางกรณีชาวบ้านโดนหลอกให้กระทาความผดิ โดยไมร่ ู้วา่ ส่ิงที่
ทาอยู่เป็นนั้นผิดกฎหมาย
ปัญหาเร่ืองสภาพแวดล้อมและการเปล่ียนแปลงด้านเทคโนโลยี มีผลต่อการ
แสวงหาหลักฐานเทคโนโลยีสาคัญมาก เช่น คนกระทาความผิดเขาต้องการเงนิ หรือต้องการทดี่ ินเอาไป
ขาย การท่ีว่าจ้างคนสมัยก่อนอาจจะเป็นยื่นหมูยื่นแมวจ่ายเห็นหน้าเห็นตากัน แต่เดี๋ยวน้ีมีคนตัดตอน
(cut out) ให้เสร็จ มีเทคโนโลยี โอนเงินจากคนน้ีไปคนนี้ โดยท่ีตัวการใหญ่ไม่ได้เข้ามาอยู่ใน
กระบวนการโอนเงินเลย การสืบสวนทางด้านการเงินก็จะไม่พบผู้กระทาความผิดที่แท้จริงจากการใช้
เทคโนโลยีท่ีเจริญก้าวหน้าไป นี่คือความยากที่จะหาตัวผู้กระทาความผิดตัวใหญ่ท่ีจ่ายเงินให้กันเป็น
ทอด ๆ ไป เขาจะไมจ่ า่ ยโดยตรงจาก นาย ก. ไป นาย ข.
การสั่งจ่ายเงินใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยที่ใช้เงินหรือทุนทรัพย์ในการกระทา
ความผิด เพราะคดีบุกรุกป่าที่ดินต้องใช้คนเยอะใช้เครื่องจักรเยอะก็จะเป็นทอด ๆ ไม่สามารถหา
นายทุนท่ีแท้จริงได้ ท่ีเราพบในการใช้เทคโนโลยี เมื่อโลกเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีก็เข้ามาแทนท่ี
ซ่ึงก็มีท้ังบวกและลบแต่ในทางคดีพิเศษเทคโนโลยีถ้าพอไปอยู่ในมือผู้กระทาความผิดทาให้เขา
กระทาความผดิ ได้แนบเนยี นข้นึ กว่าเดมิ จน ทาให้เราเข้าถงึ พยานหลักฐานยาก
(2) ควรจะมีวิธีกำรเพ่ิมประสิทธิภำพในกำรแสวงหำพยำนหลักฐำนในคดีพิเศษ
อย่ำงไร
1. เร่ืองเทคโนโลยีเป็นเร่ืองที่สาคัญมากในยุคปัจจุบันนี้ พนักงานสอบสวนต้องรู้
ให้เท่าทันเทคโนโลยี ต้องมีเทคนิคกลยุทธ์ต่าง ๆ พนักงานสอบสวนต้องทันกับการเปล่ียนแปลงสังคม
โลกและเทคโนโลยีท่ีเปล่ียนแปลงไปอย่างรวดเร็ว พนักงานสอบสวนจะต้องมีความรู้ด้านกฎหมาย
ความเชี่ยวชาญด้านยุทธวิธี ต้องมีศิลปะและทักษะในการท่ีจะเข้าถึงข้อมูล เข้าถึงพยานหลักฐาน
ต่าง ๆ หลักฐานทางการเงิน การติดต่อสื่อสาร การใช้เทคโนโลยีเป็นเคร่ืองมือในการกระทาความผิด
เช่น การกู้เงินผ่านแอพพลิเคช่ันต่าง ๆ ผู้กู้กับผู้ให้กู้ต่างก็ไม่รู้จักกัน ไม่เคยเห็นหน้ากัน ดาเนินการ
ยนื่ เรื่องหรือส่งมอบเงินผ่านทางแอพพลิเคช่ัน แบบนี้พนักงานสอบสวนจะต้องติดตามให้ได้โดยจะต้อง
เข้าในวิธีการทางานของแอพพลิเคช่ัน ต้องทราบวิธีการเชื่อมโยงข้อมูล ต้องทราบเส้นทางการเงิน
ตอ้ งทราบการโอนและเปล่ียนถ่ายทรพั ยส์ ินเพ่ือการฟอกเงิน และอ่ืน ๆ
213
2. กรณีผู้กระทาความผิดหลายคนท่ีมีตัวการใหญ่ ต้องมีศิลปะในการสอบสวน
หรือหาหลักฐานใด ๆ จากตัวผู้ร่วมกระทาความผิดด้วยกัน คดีพิเศษส่วนใหญ่ ๆ ไม่ใช่เป็นความผิด
ซ่ึงหน้า เป็นความผิดที่เกิดแล้ว ถ้าสามารถหาข้อมูลในเชิงลึกจากผู้ร่วมกระทาความผิดได้ จะทาให้
พนักงานสอบสวนเข้าถึงข้อมูล เข้าถึงพยานหลักฐาน สามารถสาวไปถึงตัวการใหญ่ได้ และนาข้อมูล
ที่ได้จากผู้ร่วมกระทาความผิดมาสอบสวนต่อเพื่อให้ทราบข้อมูลว่า มีใครบ้างที่ร่วมกระบวนการ
นาไปสู่การแสวงหาพยานหลักฐานอ่ืน ๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นการต่อยอดในทางคดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิธีการดังกล่าวจะสามารถเพ่ิมประสิทธิภาพในงานคดีพิเศษได้อย่างเป็นรูปธรรม ซ่ึงได้เคยดาเนินการ
ขณะรับราชการทส่ี านักงานตารวจแหง่ ชาติ ใชก้ ารกันผตู้ ้องหาเปน็ พยาน ทาให้เข้าถึงข้อมูลการกระทา
ความผดิ ได้อย่างเป็นรูปธรรม ปราบปรามอาชญากรรมได้มปี ระสทิ ธิภาพมาก
(3) กำรกำหนดแนวทำงกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนจะสำมำรถเพ่ิมประสิทธิภำพ
ในกำรสืบสวนสอบสวนและกำรแสวงหำพยำนหลกั ฐำนในคดพี เิ ศษไดห้ รอื ไม่
การกันผู้ต้องหาเป็นพยานจะสามารถเพ่ิมประสิทธิภาพในการสืบสวนสอบสวน
และการแสวงหาพยานหลักฐานในคดีพิเศษได้อย่างแน่นอน ขอยกตัวอย่างในคดียาเสพติด มีการส่ง
ยาเสพติดจากภาคเหนือลงมาสู่กรุงเทพฯ พนักงานสอบสวนก็จับผู้ต้องหาได้พร้อมของกลางปรากฏว่า
ไม่มีพยานที่รู้เห็นว่าใครเป็นนายทุนใหญ่ แต่จับผู้กระทาความผิดได้ 2 คน และมีคนหน่ึงที่เข้าไป
เก่ียวข้องรู้เห็นต้ังแต่แรกจนมาถึงกรุงเทพฯ พนักงานสอบสวนจึงได้ทาการสอบสวนคนนี้ โดยเห็นว่า
สามารถที่จะเป็นพยานหลักฐานได้ ต้องการกันเขาเป็นพยาน ในส่วนของสานักงานตารวจแห่งชาติ
เขาจะมรี ะเบยี บภายในว่าด้วยเรอ่ื งในการกนั เป็นพยาน จงึ สามารถกันเขาเป็นพยานได้ ซึ่งมี 2 รูปแบบ
คือ การกันเป็นพยานก่อนส่ังคดีและก่อนที่จะตกเป็นผู้ต้องหา รูปแบบท่ี 1 จะกันเป็นพยานโดยที่ยัง
ไมเ่ ปน็ ผู้ต้องหา รูปแบบท่ี 2 คอื การกนั เป็นพยานซึ่งเป็นผตู้ อ้ งหาแล้ว แลว้ พนักงานสอบสวนสง่ั ไม่ฟอ้ ง
เมื่อไปถึงพนักงานอัยการก็จะสั่งไม่ฟ้องเช่นกัน ต่อมาพนักงานสอบสวนก็มาสอบผู้นั้นเป็นพยาน
ซึ่งพยานคนน้ีก็จะเป็นคนที่รู้เหตุการณ์กระทาความผิดตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งจะมีน้าหนักเพ่ิมมากข้ึน
ในฐานะที่เป็นพยานผู้ซึ่งได้เห็นกระบวนการทั้งหมด และนาพาไปหาพยานหลักฐานอ่ืน ๆ ประกอบ
ได้ด้วย เหมือนเป็นประจักษ์พยานท่ีเห็นเหตุการณ์ ในคดีพิเศษเช่นเดียวกัน หากพนักงานสอบสวน
คดีพิเศษสามารถเอาตัวผูต้ ้องหามากันเป็นพยานก็จะเกิดประโยชน์ในอันท่ีจะสาวไปถึงตัวนายทุนใหญ่
หรอื ผสู้ นบั สนุนการกระทาความผิดได้
การกันผู้ต้องหาท่ีเป็นพยานสามารถใช้ได้กับทุกคดี จุดสังเกตที่เราจะต้องใช้
เม่ือการแสวงหาพยานหลักฐานมาถึงจุดที่พยานหลักฐานอื่นไม่เพียงพอท่ีจะส่ังฟ้องหรือหาผู้กระทา
ความผิดท่ีแท้จริงไม่ได้หรืออาจจะมีผู้ต้องหาหลายคนท่ีอยู่ในคดีนั้น และในคดีน้ันอาจจะมีคนใด
คนหน่ึงที่ไม่ใช่ตัวการสาคัญ แต่เขาสามารถท่ีจะเบิกความในชั้นศาลได้ ส่วนนี้คือสาคัญถ้าเบิกความ
ไม่ได้ก็จะมีปัญหาต่อรูปคดี เท่าท่ีเคยทาคดีมาผู้ต้องหาคดีเก่ียวข้องกับยาเสพติดหลายคนเอาผู้ท่ีมี
ส่วนรู้เห็นน้อยท่ีสุดที่ไม่ใช่ตัวการสาคัญเต็มใจท่ีจะให้การในช้ันศาล และสามารถที่จะดูแลตัวเองได้
บางคร้งั คดใี หญ่ ๆ พยานอาจจะหาย หรอื พยานกลับคาใหก้ าร คอื ข้อสาคญั มากที่ตอ้ งระวงั
มาตรการและแนวทางใชใ้ นการพิจารณาว่าแนวทางท่ีจะเอาผู้ต้องหามาใชใ้ นการ
กนั เปน็ พยานประเภทของคดที ีจ่ ะตอ้ งนามาใช้ โดย
1. คดีน้ันอาจจะไม่มีพยานหลักฐานเลยนอกจากกลุ่มผู้ต้องหาด้วยกัน จึงจะใช้
วิธกี ารกันไวเ้ ป็นพยานได้
214
2. คดีที่มีผู้ต้องหาหลายคนและคนใดคนหน่ึงที่รู้เห็นเหตุการณ์ที่ไม่ใช่ตัวการ
สาคัญ ทส่ี ามารถเบกิ ความในชั้นศาลได้ นา่ จะเอามากันเปน็ พยานได้ ในความคิดของผมนะครับ
(4) ควรสนับสนุนให้มีกำรบัญญัติกฎหมำยเพื่อรองรับและตรวจสอบพนักงำน
สอบสวนคดพี ิเศษในกำรใชด้ ลุ พินจิ กำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนในคดีพเิ ศษหรือไม่
เห็นว่าควรสนับสนุน เพราะปัญหาเรื่องสภาพแวดล้อมและการเปล่ียนแปลง
ด้านเทคโนโลยีมีผลต่อการแสวงหาหลักฐานเทคโนโลยีสาคัญมากเช่น คนกระทาความผิดเขาต้องการ
เงินหรือต้องการท่ีดินเอาไปขาย จะไม่พบผู้กระทาความผิดท่ีแท้จริงจากการใช้เทคโนโลยีท่ีเจริญ
กา้ วหน้าไป น่ีคือ ความยากที่จะหาตวั ผู้กระทาความผิดตัวใหญท่ ี่จ่ายเงินให้กันเป็นทอด ๆ ไป เขาจะไม่
จ่ายโดยตรงจาก นาย ก. ไป นาย ข. การสั่งจ่ายเงินใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย เทคโนโลยีถ้าไปอยู่ในมือ
ผู้กระทาความผิดทาให้เขากระทาความผิดได้แนบเนียนขึ้นกว่าเดิมจนทาให้การเข้าถึงพยานหลักฐาน
ยาก ถา้ มสี ายอย่ใู นกระบวนการกจ็ ะช่วยได้มาก จึงควรจะต้องใช้วธิ กี นั ไวเ้ ปน็ พยาน
เคร่ืองมือมาตรการพิเศษที่มีอยู่ในตัวพระราชบัญญัติท่ีอยากเสนอ คือ การกัน
ผู้ต้องหาเป็นพยานท่ีมีมานานแล้ว สมัยใหม่เร่ืองของการต่อรองจากการศึกษามาผมว่าน่าจะดีถ้าอยู่
ในกฎหมายตรงน้ีในการต่อรองอย่างน้อยเขาเป็นผู้กระทาความผิด เมื่อจะมีการต่อรองเขาก็ยังเป็น
ผู้กระทาความผิดอยู่ดี โดยศาลอาจจะลงโทษน้อยหรือลดหย่อนให้ก็จะดีกว่าที่ปล่อยหลุดไปเลย
แบบนี้ การเจรจาต่อรองใครให้การเจรจาต่อรอง สมมุติว่าจับผู้ต้องหามา 4 คน ใครให้ประโยชน์ต่อ
การสอบสวน พนักงานสอบสวนอาจจะมีขนั้ ตอนวธิ ีการถ้าเขาใหก้ ารแบบนี้เขาต่อรองเราให้ข้อเท็จจริง
กับเราในการกระทาความผิด อาจจะลดโทษให้เขา มันก็จะมีประโยชน์กับคดีพิเศษด้วย เพราะว่า
ในคดียาเสพติดมีเร่ืองของการต่อรองในต่างประเทศมีมานานแล้วก็มีประโยชน์ด้วย ในคดีพิเศษยงั ไม่มี
ผมวา่ น่าจะนามาใช้ในอนาคตต่อไป
คดียาเสพติด มาตรา 100/2 ในกรณีท่ีผูก้ ระทาความผิดให้ข้อมูลทเ่ี ป็นประโยชน์
ศาลอาจจะมีคาส่ังลดโทษไม่ถึงเป็นการเจรจา แต่ถ้าให้ข้อมูลท่ีเป็นประโยชน์แก่ศาลก็สามารถนามา
เป็นมาตรการในคดีพิเศษแบบน้ีด้วย จึงควรจะมีการปรับปรุงพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ
ควรให้ปรากฏในกฎหมายของเราเลย เช่น คดียาเสพติดใช้ในกระบวนการคดีพิเศษ เพราะคดยี าเสพติด
จะใช้เฉพาะคนที่กระทาความผิดยาเสพติดอย่างเดียว แต่นาไปใช้ในกระบวนการคดีพิเศษ ซ่ึงมีกฎหมาย
ทา้ ยพระราชบัญญัตฯิ และกฎหมายท่ีปรากฏในกฎกระทรวง ผมว่าน่าจะมีประโยชน์มากกว่าการเจรจา
ต่อรองหรือการลดการต้องโทษเหมือนทาผิดท่ีหนักให้เป็นเบา ก็จะอยู่ในกระบวนการ ขอเอาตัว
ผู้กระทาความผิดมาลงโทษ สามารถที่จะหาหลักฐานอะไรก็ได้ให้เจอตัวผู้กระทาความผิดให้ได้ ส่วนท่ี
ลงโทษน้อยไม่น้อยเป็นเร่ืองของพนักงานอัยการอาจจะต้องเขียนว่าคนนี้ให้การเป็นประโยชน์ต่อ
พนักงานสอบสวน ขอให้ศาลลงโทษน้อยกว่าศาลจะลงโทษน้อยกว่าก็ได้ ซ่ึงจะเป็นเรื่องการพิจารณา
ของศาล ถ้ากฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพเิ ศษบัญญัติไว้ เขาใหข้ ้อมูลขอ้ เท็จจริง เชน่ วา่ มีคนกระทา
ความผิดอีกนะท่ีขยายผลจนมเี หตุทาใหเ้ ราออกหมายจับได้ เราอาจจะเขยี นในรายงานการสืบสวนของ
ผู้ต้องหาว่าให้การให้ประโยชน์จนทาให้พนักงานสอบสวนออกหมายจับผู้ต้องหาอีกคนหนึ่ง และศาล
ออกหมายจบั มนั เป็นประโยชน์ในการขยายผล อาจจะลดวันต้องโทษ ลดวันคุมขังก็แล้วแต่ ซ่ึงควรจะมี
การเพ่ิมเติมอีกมาตรการหนึ่ง นอกจากการกันผู้ต้องหาเป็นพยานแล้วในความคิดจากประสบการณ์
ในการทางาน ถ้าเรามีมาตรการอะไรเพ่ิมข้ึนอาจจะออกเป็นระเบียบภายในการกันผู้ต้องหาก่อนเพ่ือ
การรวดเร็ว แต่ถ้าได้จังหวะในการปรับแก้ตัวพระราชบัญญัติหมายถึง กฎหมายแม่ของเรา ควรมี
215
การเสนอเรื่องการกันเป็นพยานเข้าไปด้วย การต่อรองเข้าไปด้วยเพราะว่าตัวกฎหมายใหม่ ๆ จะมีมาตรการ
ใหม่ ๆ เรอ่ื ง อาทิ พระราชบัญญัติการมีสว่ นร่วมในการป้องกันและปราบปรามองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ
(5) มำตรกำรท่ีจะกำกับ/ตรวจสอบกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนในคดีพิเศษมี
อะไรบำ้ ง
ในความคิดเห็นส่วนตัว คดีพิเศษหากจะมีการกันผู้ต้องหาเป็นพยาน ผู้ต้องหา
คนน้ันจะต้องตกเป็นผู้ต้องหาแล้วถึงจะนาไปกันไว้เป็นพยาน เพราะจะผ่านกระบวนการเห็นชอบของ
พนักงานอัยการด้วยแต่หากจะกันก่อนที่จะตกเป็นผู้ต้องหาหรือท่ีเรียกกันว่ากันแบบออโต้นั้น จะเป็น
การคิดของพนักงานสอบสวนแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่หากผ่านพนักงานอัยการด้วย พนักงานอัยการก็จะ
ชั่งน้าหนักแล้วเห็นว่าบุคคลนี้เขามีส่วนรู้เห็นในการกระทาความผิด และมีประโยชน์ที่จะเป็นพยาน
ในชั้นศาล ก็จะเกิดประโยชน์มากกว่า การดาเนินการในรูปแบบนี้เหมือนผ่านการพิจารณา 2 ขั้นตอน
ช่วยทาให้เกิดการถ่วงสมดุลและเกิดประโยชน์มากกว่า มีความบริสุทธ์ิยุติธรรม หากพนักงานอัยการ
ไม่เห็นด้วยบุคคลน้ันก็จะกลับไปเป็นผู้ต้องหา และไม่ได้เข้าสู่กระบวนการกันไว้เป็นพยาน เพราะการ
สอบสวนนอกจากตัวผู้ต้องหาท่ีกันเป็นพยานแล้วต้องสอบสวนพยานหลักฐานอย่างอ่ืนท่ีมีน้าหนัก
ประกอบดว้ ย ในกรณที พ่ี นักงานอยั การไม่เห็นดว้ ยกับการกันไว้เปน็ พยานน่ีคือข้อห่วงใย
หากมีการจัดการให้ผู้ต้องหาเป็นพยานในรูปแบบที่ 1 คือ การกันไว้เป็นพยาน
ก่อน หากในคดมี ีผูต้ ้องหาหลายคนด้วยกัน ก็จะเกดิ คาถามว่า ทาไมคนนพี้ นักงานสอบสวนไม่สอบสวน
ทาไมสั่งไม่ฟ้อง ทาไมจึงกันไว้เป็นพยาน จะมีปัญหาในการขึ้นศาลได้ รูปแบบสานวนคดีก็อาจจะมี
ปญั หาได้ดว้ ย แต่หากกระบวนการกันไวเ้ ปน็ พยานผ่านการสั่งไม่ฟ้องของพนกั งานอัยการแล้ว ผมว่าจะ
มีประโยชน์มากกว่า เพราะพนักงานอัยการเป็นคนสุดท้ายในการนาสานวนข้ึนสู่การพิจารณาของศาล
เม่ือเห็นชอบให้กันไว้เป็นพยานแล้วสามารถเบิกความในช้ันศาลได้ แต่ในทางกลับกันหากพนักงาน
สอบสวนสั่งไม่ฟ้อง เพ่ือจะกันไว้เป็นพยานแต่พนักงานอัยการเห็นว่าไม่น่าจะมีประโยชน์ พนักงาน
อัยการอาจจะส่ังฟ้องกลับก็ได้ เหมือนเป็นการที่พนักงานอัยการใช้ดุลพินิจ ในการสอบสวนพนักงาน
สอบสวนมีการสอบสวนพยานหลักฐานอย่างอ่ืนด้วย ท่ีจะนามาเป็นหลักฐานในการจะฟ้องตัวผู้กระทา
ความผดิ การทจ่ี ะนาผูต้ ้องหาคนน้นั มากนั ไว้เปน็ พยานกเ็ ป็นเพียงส่วนหน่งึ เท่าน้นั เอง ไมใ่ ชท่ ้ังหมด
ส่วนข้อกังวลในเรื่องระยะเวลาในการที่พนักงานอัยการจะส่ังไม่ฟ้องผู้ต้องหาน้ัน
อาจจะใช้ระยะเวลานาน ผมมีความคิดเห็นส่วนตัวว่า ผู้ต้องหาก็คือผู้ต้องหา ผมว่าระยะเวลาถึงแม้จะ
ใช้ระยะเวลานานก็จริง แต่ปัจจุบันการใช้เทคโนโลยีในการท่ีจะเข้าสู่พยานหลักฐานน้ันจะง่ายขึ้น
กว่าเดิมมาก ในความคิดเห็นส่วนตัวไม่สาคัญผู้ต้องหากระทาความผิดก็ยังเป็นตัวผู้ต้องหา อยู่ท่ีช่วง
ระยะเวลาท่ีการเป็นผู้ต้องหากับการส่ังฟ้องของพนักงานอัยการคงไม่นานเกินไป คิดว่าน่าจะไม่มี
ผลอะไร ระยะเวลาไม่สาคัญ คานึงถึงแค่อายุความฟ้องร้องเท่านั้นเอง อายุความของคดีใหญ่เป็น
หลัก เพราะตอนที่ผมทาใช้ระยะเวลาแค่ 3-4 เดือนเท่าน้ัน ท่ีเคยทาเร่ืองการกันผู้ต้องหาเป็นพยาน
ซึ่งถือว่าไม่นานมากนัก การควบคุมตัวผู้ต้องหาใช้ระยะเวลาเท่าไหร่อานาจในการควบคุมตัวเป็นคดี
พเิ ศษส่วนใหญ่จะมผี ลกระทบรา้ ยแรงตอ้ งคานงึ ถงึ แตล่ ะคดีมีความสาคัญ หรอื ระยะเวลาทีจ่ ะใช้กันเป็น
พยานอยู่ภายในอายุความ ถ้าในกรณีของตารวจจะจับในขณะเกิดเหตุ ซ่ึงเป็นความผิดซ่ึงหน้า อายุ
ความประมาณ 10-15 ปี ช่วงของการทาสานวนทันอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นคดีพิเศษของกรมสอบสวนคดี
พเิ ศษ ซงึ่ เป็นคดแี หง้ เวลาอาจตอ้ งคานงึ กอ่ น แตอ่ ยา่ งไรก็ให้ดูท่อี ายคุ วามเป็นหลัก
216
มาตรการและแนวทางท่ีจะใช้ในการพิจารณาในส่วนของประเภทของคดีที่
จะต้องนามาใช้ โดยควรจะเป็นคดีที่อาจจะไม่มีพยานหลักฐานเลยนอกจากกลุ่มผู้ต้องหาด้วยกันถึงกัน
เป็นพยานได้และ/หรือคดีที่มีผู้ต้องหาหลายคนและคนใดคนหนึ่งท่ีรู้เห็นเหตุการณ์ท่ีไม่ใช่ตัวการสาคัญ
ท่ีสามารถเบกิ ความในช้นั ศาลได้ จงึ สมควรท่จี ะใชว้ ิธีการกนั ไวเ้ ปน็ พยานได้
กรมสอบสวนคดีพิเศษมีเคร่ืองมือพิเศษพิเศษหลายอย่าง สามารถนามาใช้
ร่วมกันได้และใช้ควบคู่ไปกับการคุ้มครองการเป็นพยาน ต้องใช้กฎหมายหลาย ๆ ตัว ในกรณีที่กลับ
คาให้การมีมาตรการพิเศษอยู่แล้วที่เอาเขาข้ึนสืบพยานไว้ก่อนได้ เพราะคดีใหญ่ ๆ ในการขึ้นศาล
อาจจะใช้เวลาอาจจะสืบพยานไว้ก่อนได้ คือ พยานพวกนี้จะต้องขึ้นศาลให้เร็วท่ีสุดเพราะว่าพยานน้ัน
อาจจะกลบั คาให้การ
มาตรการในการตรวจสอบถ่วงดุลในการกาหนดแนวทางในระเบียบ หากมี
ข้ันตอนวิธีการที่ชัดเจนไม่น่าจะมีปัญหา เน่ืองจากการสอบสวนเราทาในรูปของคณะพนักงานสอบสวน
และควรกาหนดให้มีข้ันตอนการพิจารณาของคณะกรรมการกล่ันกรองก่อนถึงอธิบดีกรมสอบสวน
คดีพิเศษซ่ึงเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด รวมถึงการมีพนักงานอัยการร่วมสอบสวน เพียงพอสาหรับ
การตรวจสอบถ่วงดุล นอกจากน้ี ในการสอบสวนคดีพิเศษกาหนดให้ดาเนินการในรูปคณะพนักงาน
สอบสวน การที่จะพิจารณาว่าจะเลือกผู้ต้องหาคนใดไปเป็นพยานนั้น คณะพนักงานสอบสวนต้อง
มีมติร่วมกัน และต้องผ่านผู้บังคับบัญชาตามลาดับชั้น โดยอาจกาหนดให้ผ่านความเห็นชอบของ
รองอธิบดีท่ีควบคุมกากับ และควรกาหนดว่าคดีใดท่ีประสงค์จะใช้แนวทางการกันผู้ต้องหาเป็นพยาน
ควรจะมีพนกั งานอยั การร่วมสอบสวน
(6) กำรกำหนดแนวทำง/ระเบียบในกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนในคดีพเิ ศษมีผลดี/
ผลเสียอย่ำงไร
ผลดี ดุลพินิจของพนักงานสอบสวนต้องมีแนวทางปฏิบัติว่าการที่จะจัดผู้ต้องหา
เป็นพยานสัก 1 รายน้ัน ต้องมีแนวทางในการท่ีจะพิจารณาใช้กับผู้ต้องหาคนใดคนหนึ่งอาจจะอยู่ใน
รูปแบบของคณะ ของเราเป็นคณะพนักงานสอบสวนอยู่แล้วก็คือ สอบสวนทุกอย่างมาเข้าสู่ที่ประชุม
คณะพนักงานสอบสวน และหาข้อดีข้อเสีย หรือว่าความน่าจะเป็น เพราะว่าอย่างน้อยถ้าเรากันแล้ว
ผูต้ ้องหาด้วยกันจะต้องคิดวา่ ทาไมพนักงานสอบสวนไม่เลือกที่จะกันเขาเปน็ พยาน ทาไมถึงกันคนนี้คน
น้นั ไวเ้ ป็นพยาน อาจจะมีปัญหาได้ในอนาคต ต้องวางแนวทางรูปแบบในการที่จะพิจารณาว่าจะกันคน
ไหนเป็นพยาน โดยคณะพนักงานสอบสวน ในการท่ีเราเลือกผู้ต้องหาคนใดไปเป็นพยาน ไม่ใช่ว่าเป็น
ดุลพินิจของพนักงานสอบสวนฝ่ายเดียวแต่เป็นในนามของคณะพนักงานสอบสวน เพราะฉะนั้น
ทางคณะก็จะมีสิทธิ์ในการท่ีจะแลกเปล่ียนความคิดเห็น หรือว่าบางคณะจะมีมติร่วมกันว่าจะเลือก
ผู้ต้องหาคนใดได้ไว้เป็นพยานคือ โดยพนักงานสอบสวนต้องเสนอผ่านผู้บังคับบัญชาตามลาดับช้ัน
คณะกรรมการกลั่นกรอง อย่างน้อยจะมีรองอธิบดี 1 ท่าน และในความคิดของผมเห็นว่าควรจะมี
พนักงานอัยการร่วมดว้ ย 1 ทา่ น เขา้ มาเพราะอย่างน้อยในการรว่ มสอบสวน ถ้ามีพนักงานอัยการกจ็ ะดี
มีความรอบคอบ ควรจะเสนอในระหว่างการพิจารณาว่าคดีใดท่ีมีประสงค์จะใช้แนวทางการกัน
ผู้ต้องหาเป็นพยานควรจะมีพนักงานอัยการร่วมสอบสวนด้วยก่อน เพราะว่าเวลาเราจะสรุปสานวน
เสนอก็จะต้องสง่ ไปทพ่ี นกั งานอัยการ
การมีพนักงานอัยการร่วมสอบสวนควรจะตั้งแต่แรกหรือสามารถต้ังเพ่ิมเติมได้
ในความคิดของผมในการสืบสวนแบบนี้ควรมีพนักงานอัยการต้ังแต่ทีแรก ถ้าเข้ามาทีหลังจะมีปัญหา
217
ควรมีตั้งแต่ทีแรก ผมทาอยู่กองคดีส่ิงแวดล้อมเยอะมากท่ีมีพนักงานอัยการเข้าร่วมสอบสวนถึงแม้
กฎหมายไม่บังคับ ทางเราได้เสนอขอพนักงานอัยการเข้าร่วมสอบสวนในคดีสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นคดีท่ีมี
ผู้มีอิทธิพลเยอะมาก และการหาพยานหลักฐานยุ่งยากซับซ้อน ถ้ามีพยักงานอัยการร่วมสอบสวน
ต้ังแต่แรกเลยจะได้ตั้งรูปคดีตั้งแต่ทีแรกจะทาให้คดีประสบความสาเร็จเป็นหลัก
ผลเสีย ผมมอง 2 อย่าง อย่างแรกผู้ต้องหาเกิดให้การไม่ตรง หรือมีการกลับ
คาให้การในชั้นศาลน้าหนักของพยานน้อย ต่อให้เขาเป็นผู้กระทาความผิดน้าหนักเขาก็ไม่เยอะอยู่แล้ว
ถ้าให้การไม่ตรงอาจจะเสียรูปคดีได้ท่ีผมคิดว่าอาจจะมีปัญหาในทุกคดี คือ ให้การไม่ตรง กลับคา
ไมเ่ หมอื น ทีแรกเพราะอย่างน้อยเขาก็เปน็ ผ้กู ระทาความผิดมาก่อนแต่ถ้าเรามมี าตรการในการคุ้มครอง
พยานทีด่ ีพอ ผมว่าไม่น่าจะมีปญั หาคือ สมยั ก่อนการกนั เป็นพยานของตารวจ จะต่างคนต่างดูแลกันไป
แต่ปัจจุบันมีมาตรการในการกันเป็นพยานผมคิดว่าอาจจะไม่มีก็ได้ถ้าเรามีมาตรการที่ดีพอถ้าเราดูแล
เขาอย่างดีเช่น เรากันเขาเป็นผู้ต้องหาแล้วเราใช้มาตรการกันเป็นพยานเข้าไปดูแลแล้ว ควรท่ีจะมีเอา
พยานปากน้ขี ้ึนสบื ไว้ก่อนเลยเพราะบางทีอาจจะใช้ระยะเวลาในการสืบ 5 ปีกไ็ ด้ ถ้าเรานาพยานปากน้ี
ให้เขาขึ้นศาลแล้วก็จะหมดห่วงเรื่องการกลับคาให้การ หรือให้การไม่ตรงกันท่ีสืบพยานไว้ก่อน
เราสามารถทาได้ สืบพยานไว้ก่อนและใช้เป็นหลักฐานพอเวลาเข้าสู่กระบวนการของศาล ก็เอาตรงน้ี
มาใช้ได้ เช่น พยานเป็นชาวต่างชาติถ้าไม่สืบไว้ก่อนก็จะเอาตัวมาส่งจะลาบาก ก่อนที่จะฟ้องก็ต้อง
เอาพยานท่เี ป็นชาวต่างชาตมิ าเซน็ ไว้ก่อน
(7) ข้อควรระวัง/ข้อสังเกตในกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนเพื่อกำรอำนวยควำม
ยุติธรรม ในภำพรวม
ข้อควรระวังของเจ้าหน้าที่ถ้ามีการวางระเบียบไว้อย่างดีมีขั้นตอนแนวทาง
ไมน่ า่ จะมปี ญั หาเพราะทาในรปู ของคณะพนกั งานสอบสวนผ่านคณะกรรมการกล่นั กรองอีก 1 ครั้งก่อน
เสนอผู้บังคับบัญชา โดยมีแนวทางวิธีการปฏิบัติอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพเพียงพอ ผมว่าไม่
น่าจะมีปัญหาเพราะมีพนักงานสอบสวนร่วมและพนักงานอัยการร่วมน่าจะเพียงพอแล้วไม่น่าจะมี
ปัญหาเราทางานเป็นรูปคณะทางาน ส่งสานวนไปท่ีพนักงานอัยการก็จะพิจารณาอีกคร้ังหน่ึงว่า
เห็นด้วยที่เราจะส่ังไม่ฟ้องหรือไม่ ก็จะมีการตรวจสอบก็ต้องผ่านคณะกรรมการที่เราจะต้ังขึ้นเพ่ือ
กลน่ั กรอง ถา้ ในสว่ นผปู้ ฏิบัตงิ านเองเง่อื นไขข้ันตอนไม่น่าจะมปี ัญหา
ประเด็นที่ 1 ผูต้ ้องหาหรือผูท้ ่ีเราจะกันไว้เป็นพยาน ถ้าเราให้ความคุ้มครองเต็มท่ี
โอกาสทีจ่ ะเปลี่ยนใจก็เปน็ ไปไดน้ อ้ ย
ประเด็นที่ 2 การสืบพยานไว้ก่อนเพื่อป้องกันระยะเวลาที่ยาวนานก็จะเป็น
การแก้ปัญหาความเสยี่ งที่เกดิ ข้นึ
(8) ข้อเสนออ่ืน ๆ เพ่ือเพม่ิ ประสิทธภิ ำพในกำรสืบสวนสอบสวนและกำรแสวงหำ
พยำนหลักฐำนในคดีพเิ ศษ
ข้อเสนอแนะของความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน ผมมองว่าการสืบสวนทาง
การเงินสาคัญท่ีสุด ในการที่จะหาตัวผู้ต้องหา ผมมองว่านาย ก. เขาทาผิดเขาต้องการเงินอยู่แล้ว
การสืบสวนทางด้านการเงินจะหาตัวผู้ต้องหาได้เร็วท่ีสุด เพราะว่าผู้ต้องหาหลอกลวงโดยต้องการเงิน
มา ในการสอบสวนทางด้านการเงินด้วยมาตรการเทคโนโลยีใหม่ ๆ การโอนเงินจากบัญชีนี้ไปบัญชีนั้น
ถ้าเรามีมาตรการการฝึกฝนทางการเงินท่ีร่วมกับหน่วยงานหลาย ๆ หน่วยงานก็จะทาให้การสืบสวน
ไปถึงตัวผู้กระทาความผิดได้ดีท่ีสุด ในความคิดของผมเพราะท่ีผ่านมาเราอาจจะมีการสืบสวนทาง
218
ด้านอ่ืน ๆ มาเยอะ สิ่งที่จาเป็นที่สุดในความคิด ของเราท่ีจะถึงตัวผู้กระทาความผิด เพราะว่ามี
มาตรการยึดทรัพย์ก็จะมีประโยชน์ เพราะว่าผู้ต้องหาบางคร้ัง ให้ผู้กระทาความผิดรับผิดแทนก็ติดคุก
ไปก็จบแล้ว แต่ก็สืบสวนทางด้านการเงินริบทรัพย์หมดตัวประมาณนี้ ความร่วมมือในการสืบสวน
ทางด้านการเงินเราควรร่วมมือกับใครเป็นพิเศษ ส่ิงท่ีเรามีความร่วมมืออยู่แล้ว เราควรมีการทบทวน
เรอ่ื งอะไรบา้ งใหม้ ศี ักยภาพมากข้ึนตอนน้ีที่เรามอี ยู่กบั ธนาคาร กับสานกั งาน ปปง. อยแู่ ล้ว ในความคิด
ของผมเราก็ต้องไปพ่ึงเขาในการวิเคราะห์ ต้องไปพ่ึงข้อมูลจากเขาแต่อยากให้ข้อมูลไหลมาเป็นของเรา
โดยความร่วมมอื เราอาจจะสร้างคนข้ึนมาคลา้ ยกบั การตรวจสอบก็จะรวดเร็วกวา่ แตส่ ุดท้ายเราอาจจะ
ไปสอบเข้าเป็นพยานคือ เหมือนเรามีข้อมูลอยู่ในมือ เช่น คดีส่ิงแวดล้อมคือการบุกรุกที่ดินของรัฐ
เราสามารถรู้ได้เลยว่าบุกรุกที่ดินท่ีป่าสงวนแห่งชาติจะทาให้เราตรงไปหาป่าสงวนแห่งชาติได้เร็วที่สุด
ไม่ต้องอ้อมไปทางนี้ แต่ถ้าเรามีการศึกษาทางด้านการเงิน ถ้าข้อมูลสืบสวนงานการเงิน อย่างเช่น
การบุกรุกที่ดินของรัฐข้อมูลทรัพยากรท้ังหมดอยู่ท่ี DSI เยอะหมดแล้วเราสามารถรู้ทันทีด้วยตัวของ
เราเอง ถา้ เรามีข้อมูลส่วนทางด้านการเงินไหลมาอยู่ท่ี DSI เราสามารถรู้ดว้ ยตวั ของเราเอง เบ้อื งต้นเรา
จะทาได้เร็วไม่ต้องไปขอให้ช่วยวิเคราะห์ขอให้ช่วยสืบอาจจะทาได้อยู่แล้ว แต่ถ้าสืบสวนของเราได้เอง
โดยท่ีเรามีข้อมูลอยู่ที่มือจะทาให้ได้เร็วย่ิงขึ้น อาจจะต้ังกองขึ้นมา 1 กอง สืบสวนทางด้านการเงิน
โดยเฉพาะรู้เส้นทางการเงินและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับทางการเงินมารวมอยู่กองน้ี มีหน้าที่ในการ
วิเคราะห์เชื่อมโยง หรือประสานข้อมูลให้เร็วที่สุด ผมยกตัวอย่าง กองสิ่งแวดล้อมตอนน้ีมีข้อมูล
ทรพั ยากรแหง่ ชาติอยทู่ ่ีศนู ย์วฒั นธรรมแผนท่ีครบทุกอย่าง การสืบสวนจะเรว็ มากเรานา่ จะมหี นว่ ยท่ที า
ด้านสืบสวนทางด้านการเงินเพราะท่ีผ่านมาคือ ในการสอบสวน คือเป็นกองที่สอบสวน แต่ไม่มีกองท่ี
สืบสวนทางด้านการเงินโดยเฉพาะ ถ้ามีสืบสวนโดยเฉพาะแล้วระดมคนที่เกี่ยวข้องอาจจะมีเคร่ืองมือ
ข้อมูล มาอยู่ในส่วนน้ีจะทาใหท้ ันต่อผู้ต้องหาท่ีจะยกั ยา้ ยถ่ายเทเงินก็จะเร็วกว่าระบบต้องเชอ่ื มโยงด้วย
ท้ังหมดกับธนาคารหรือแบงก์ชาติที่เราสามารถจะหาข้อมูลทางการเงินได้เร็วท่ีสุด ระบบต้องเช่ือมโยง
เราจะต้องมีเจ้าหน้าที่ท่ีสามารถวิเคราะห์ตัวน้ีได้คิดว่าเราควรมีกองสืบสวนการเงินโดยเฉพาะเพราะ
ผู้ต้องหาต้องการเงินอยู่แล้ว จะยกตัวอย่าง ส่วนแผนท่ีท่ีทามาสามารถใช้ภาพเดียวบอกได้ว่าอันน้ีเป็น
การบุกรุกที่ดินของรัฐทรัพยากรธรรมชาติบุกรุกเน้ือที่ 500 ไร่ หรือ 10 ไร่ มีอะไรอยู่ในน้ันดูจากภาพ
เดียว ที่กระบวนการท่ีเขาสร้างข้ึนมามีข้อมูลทุกอย่างแล้ว เขาวิเคราะห์ข้อมูลตัวเองส่งให้ทีมสอบสวน
และให้ทีมสอบสวนง่ายยิ่งข้ึนถ้ามีผังสอบสวนทางด้านการเงินในการวิเคราะห์ท้ังหมด ใครเป็นเจ้าของ
บัญชี ใครเป็นผู้ต้องหา ใครเป็นผู้โอนเงิน จะเห็นภาพรวมจะสืบสวนได้ง่ายและจะมีข้อมูลจะส่งให้
พนักงานสอบสวนท่ีอยกู่ องคดีนาไปดาเนินการตอ่ ให้เรว็ ทส่ี ุด หัวใจสาคัญในการกระทาความผิดคอื เงิน
เราต้องมีหน่วยแบบนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะหลักฐานทางการเงนิ จะชัดเจนที่สุดแลว้ การจดั สัมมนาควรเชิญ
หน่วยงานท่ีจะต้องพูดคุยควรจะมี สานักงานตารวจแห่งชาติ สานักงานอัยการสูงสุด สภาทนายความ
อาจจะกระทบสิทธ์ิอื่น ๆ ด้วย เพราะว่าทนายความไม่ใช่ว่าเป็นทนายให้กับผู้ต้องหาเป็นฝ่ายเดียว
แต่เป็นทนายให้โจทก์ด้วย อาจจะมีมุมมองที่ดีศาลด้วยผู้พิพากษาด้วย ข้อเสนอแนะแนวทางในการ
เพิ่มประสิทธิภาพสาหรับการอานวยความยุติธรรมให้กับประชาชนในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ
อย่าง ทั้งเร่ือง เศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยีสารสนเทศต้องมีความรวดเร็ว และไม่เลือกปฏิบัติ
อยู่บนพน้ื ฐานของกฎหมายท่ถี กู ตอ้ งที่ใหอ้ านาจไว้
219
4.4.14 ผู้ให้สัมภำษณค์ นที่ 14123
(1) สภำพปัญหำในกำรแสวงหำพยำนหลักฐำนในคดพี ิเศษมอี ะไรบำ้ ง
สภาพปัญหาจะแตกต่างตามลักษณะของคดี คดีกลุ่มแรก กลุ่มคดีเศรษฐกิจ
ที่ผู้กระทาความผิดมุ่งทรัพย์สิน หรือคดีทางด้านความมั่นคง หรือคดีต่อชีวิตร่างกายที่ไม่ได้อยู่ใน
บัญชีท้ายพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 แต่ถ้าเป็นเร่ืองใหญ่ ๆ เช่น เรื่องคดี
การหายตัวไปของนายบิลล่ี พอละจี ซึ่งเป็นคดีความผิดต่อชีวิตร่างกาย จะต้องลงไปงมไปหา
พยานหลักฐานท่ีเป็นวัตถุท่ีเป็นโครงกระดูก ส่วนนี้ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งเป็นประเภทจะมีข้อจากัด
ท่ีแตกต่างกัน แต่ทั้งหลายขึ้นอยู่กับการพัฒนาเทคโนโลยีเป็นหลัก อย่างคดีทางด้านเศรษฐกิจไม่ว่า
จะเป็นทางด้านภาษี หรือด้านการเงิน เทคโนโลยีท่ีพัฒนาขึ้น การกระทาความผิดก็จะนาไปใช้ในการ
กระทาความผิด เช่น คดีเก่ียวกับเงินกู้นอกระบบ หรือคดีเกี่ยวกับการปล่อยสินเชื่อ ปัจจุบันเก็บข้อมูล
ไว้ใน Cloud จะไปเอาพยานหลักฐานและไปค้น แบบน้ีได้ไม่เหมือนเก็บไว้เป็นกระดาษหรือเป็นแฟ้ม
แล้วเจอ บางทีเก็บใน Server บางทีไปอยู่ตรงไหนไม่สามารถรู้ได้ ถา้ เป็นเร่ืองออนไลน์ใหญ่ ๆ อาจเก็บ
ไว้ท่ีเมืองนอก แบบน้ีเราจะไปรวบรวมพยานหลักฐานยากกว่าเดิมมาก พนักงานสอบสวนจึงพัฒนา
ไปตามเทคโนโลยีท่ีเปล่ียนแปลงไป บางครั้งมีโปรแกรมทาลายเม่ือเราไปค้นก็จะมีต้ังระบบทาลาย
ตัวเอง การจะไปกู้ระบบต้องใช้ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีและผู้เช่ียวชาญ ก็จะเป็นการยากและ
อุปสรรคในการรวบรวมพยานหลักฐาน สืบเนื่องจากการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยี ท่ีเทคโนโลยี
ก็จะเหมือนดาบสองคมทีม่ ีประโยชนแ์ ละกม็ ีโทษ หากนาเทคโนโลยีไปใช้ทาให้การเข้าถึงยากข้ึนหรือไม่
เม่ือสมัย 20 ปีท่ีแล้ว โทรศัพท์มือถือ ถ้าสามารถได้เลข IMEI ก็สามารถเช็คได้ แต่ปัจจุบันนี้สามารถ
โทรผ่านอินเทอร์เน็ต line, what app กท็ าให้เข้าถึงยากขึ้น และการท่จี ะไปดูหลักฐานในคดีไดต้ ้องหา
ความสาคัญ สมัยก่อนหากเจอคนติดต่อกันช่วงเวลาน้ีก็จะเป็น guideline ในการสืบสวน ในการที่จะ
ไปหาหลักฐาน แต่ปัจจุบันนี้บางคร้ังไม่สามารถพิสูจน์ได้ ปัจจุบันเทคโนโลยีเป็นปกติเกือบทั้งหมดแล้ว
โทรไลน์ก็จะยากข้ึนที่จะหาความสัมพันธ์ อีกอย่างหน่ึง คือต้องถ่ายทอดความรู้ประสบการณ์ให้เด็ก ๆ
ที่เข้ามาใหม่ในระดบั ปฏบิ ัตกิ าร พยายามให้ถา่ ยทอดความรเู้ รื่องงานสืบสวนสอบสวนให้พฒั นาต่อเนื่อง
เพราะปัจจุบันนี้มีผู้ใหญ่มากพอสมควร ผอ.ส่วน ผอ.กอง เป็น รอง ผอ. อย่างเช่น กองคดีการเงิน
การธนาคารและการฟอกเงินมีบุคลากรน้อยลง บุคลากรท่ีเข้ามาใหม่ก็จะมีประสบการณ์น้อยก็ต้อง
มีการถ่ายทอดองค์ความรู้ต่าง ๆ ให้ทัน ต้องมีระบบบริหารงานบุคคลท่ีมีประสิทธิภาพเพื่อผลิต
บคุ ลากรทีม่ าทดแทนใหท้ นั ในส่วนนี้
(2) ควรจะมีวิธีกำรเพ่ิมประสิทธิภำพในกำรแสวงหำพยำนหลักฐำนในคดีพิเศษ
อย่ำงไร
ถ้าเอาปัญหาเป็นตัวตั้งก็จะต้อง 1) เพ่ิมศักยภาพในด้านไอทีเทคโนโลยี
ผู้เช่ียวชาญท่ีมีความรู้เข้ามาสอนบุคลากรท่ีเป็นพนักงานสอบสวน บางครั้งถ้าเป็นไปได้อาจจะรับ
โอนคนที่มีความสามารถเข้ามาบ้าง อันน้ีก็เป็นแนวทางแรก 2) เรื่องเคร่ืองมือพิเศษต้องใช้ให้มากข้ึน
ในตอนที่เร่ิมทางานยังมีโอกาสไดใ้ ชอ้ ยบู่ ้างเล็กน้อย เครอื่ งมือพิเศษจาเป็นต้องใช้มากขึ้น เชิญพนักงาน
อัยการเข้าร่วมสอบสวน ค่าใช้จ่ายในการสืบสวนสอบสวนถ้าใช้อย่างถูกวิธีก็จะเป็นการเพ่ิม
ประสิทธิภาพในการพัฒนา หรือการหาแหล่งข่าวข้อมูลต่าง ๆ เรื่องการเข้าถึงข้อมูลก็มีการได้ใช้บ้าง
123 สัมภาษณเ์ มอ่ื วันท่ี 31 พฤษภาคม 2564
220
แต่อาจใช้น้อยลงเนื่องจากต้องขออนุมัติอธิบดีศาลอาญา เครื่องดักฟัง อีเมล การดักฟังโทรศัพท์
จาเปน็ ต้องใหผ้ ู้ทมี่ ีความรเู้ ช่ียวชาญเขา้ มาพฒั นาในสว่ นน้ี
มาตราที่เกี่ยวกับเครื่องมือพิเศษ ต้ังแต่มาตรา 25 และ 27 มาตรา 25 เข้าถึง
ขอ้ มูล มาตรา 27 การแฝงตัว มาตรา 30 อัยการร่วม มาตรา 31 ค่าใช้จ่าย มาตรา 32 อัยการ มาตรา
33 เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานรัฐอื่นเข้ามาก็จะใช้ตรงส่วนน้ี เพราะต้องใช้อานาจนายกรัฐมนตรี เช่น
คดีใหญ่ คดีม็อบกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง จะใช้มาตรา 33 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอช่ือ
ไปให้นายกรัฐมนตรีใช้อานาจตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน เจ้าหน้าท่ีหน่วยงาน
ของรัฐอ่ืนมาร่วมเป็นพนักงานสอบสวน คดีใหญ่ ๆ จะให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้าร่วม หรือบางคดี
ก็อาจนากระทรวงดิจทิ ลั และหน่วยงานทเ่ี กี่ยวขอ้ ง เขา้ มาร่วมได้
ต้องต้ังข้อสงสัยว่าทาไมถึงไม่ใช้มาตรการท่ีมีอยู่ให้เต็มศักยภาพ เหตุใดจึงต้อง
มีขั้นตอนจานวนมาก และต้องทาคาร้องไปขออนุมัติอธิบดีศาลอาญา ถ้าไม่เป็นคดีใหญ่ ๆ และสาคัญ
บางทีก็ไม่ได้เป็นที่นิยมใช้ อีกแนวหน่ึงอาจจะต้องพัฒนากฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษอย่างที่
ทาอยู่ก็เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพส่ิงท่ีจะต้องทา คือ การพัฒนากฎหมายและระเบียบให้มีประสิทธิภาพ
ในการทางานให้กับเจ้าหน้าท่ีท่ีจะไปรวบรวมพยานหลักฐานหรือ ยกตัวอย่าง การกันไว้เป็นพยานเป็น
อีกวิธีหน่ึง หรือต้องมีกฎหมายในลักษณะปกป้องเจ้าหน้าที่ให้มากกว่าเดิม DSI ไม่ได้สู้รบกับคนท่ีไม่มี
ช่ือเสียงแต่สู้รบกับผู้มีอิทธิพล มีอานาจเงินต่าง ๆ โอกาสท่ีจะโต้ตอบและฟ้องกลับมีมาก เพราะผู้มี
อิทธิพลมีศักยภาพ มีความรู้ และมีคนช่วยเหลือจานวนมาก เพราะฉะน้ันกฎหมายจะต้องปกป้อง
ให้สมดุลกัน เม่ือต้ังใจจะไปเพื่อจะปราบปรามและจะต้องเจ็บตัว จึงมีความเสี่ยงอาจจะโดนทาร้าย
น้อยคนท่ีจะมีจิตวิญญาณที่ทาเพื่อส่วนรวม องค์กรอาชญากรรมพวกน้ีมีอิทธิพลกลุ่มลักษณะนี้มุ่งทาลาย
ระบบเศรษฐกจิ จะต้องจดั การให้ได้ โดยเอาความเส่ียงของเจ้าหนา้ ที่เข้าไปแลก แต่หากกฎหมายมีการ
ปกป้องเจ้าหน้าที่มากข้ึนโดยท่ีทาไปอย่างสุจริต ให้มีกฎหมายระเบียบที่เอ้ือต่อการทางาน ปกป้อง
คุ้มครองเจ้าหน้าที่ให้เพ่ิมมากขึ้นเพราะต้องสู้กับคนท่ีไม่ธรรมดา หากกาหนดขั้นตอนไว้เยอะ ๆ ถ้าทา
แล้วไม่ตรงกับขั้นตอนก็จะเป็นจุดอ่อนหรือเป็นแผลให้ฝ่ายตรงข้ามมาเล่นงาน กลายเป็นว่ามาตรการ
หรือเครื่องมือพิเศษท่ีมีอยู่จึงไม่ค่อยได้นามาใช้อย่างเต็มศักยภาพ แต่ในเม่ือสังคมเปล่ียนแปลงไป
เทคโนโลยีเปล่ียนไปจึงมีความจาเป็นที่จะต้องมองหาส่ิงใหม่ ๆ ให้เข้ากับบริบทท่ีเปลี่ยนแปลง
กฎหมายหรือมาตรการต่าง ๆ ก็เช่นเดียวกัน เมื่ออยู่กบั ของเดิมบางทีไม่เวริ ์ค เรม่ิ ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
ก็ตอ้ งเปลี่ยนหรือเพ่ิมเติม
(3) กำรกำหนดแนวทำงกำรกันผู้ต้องหำเป็นพยำนจะสำมำรถเพิ่มประสิทธิภำพ
ในกำรสบื สวนสอบสวนและกำรแสวงหำพยำนหลักฐำนในคดพี ิเศษได้หรอื ไม่
การกันผู้ต้องหาเป็นพยานน้ันสามารถเพ่ิมประสิทธิภาพได้ โดยเฉพาะคดีที่เป็น
องค์กรอาชญากรรมหรือคดีท่ีไม่มีพยานหลักฐานพยานบุคคลที่ไปรู้เห็นหรือพยานหลักฐานอื่น ๆ จึงมี
ความจาเป็นท่ีจะต้องเอาผู้ที่ร่วมกระทาผิดด้วยกันมาเพื่อที่จะยืนยันการกระทาความผิดที่เกิดข้ึนและ
นาไปสู่การกระทาความผิดของตัวการใหญ่ แต่ต้องกาหนดรูปแบบวิธีการให้รัดกุม ให้มีมาตรฐานต้องมี
ประสิทธิภาพแน่นอน เช่น คดีการเงินการธนาคาร ความผิดในเร่ืองการป่ันหุ้น การสร้างราคา การนาข้อมูล
ภายในองค์กรออกมา ย่อมจะรู้เห็น แต่คนภายในหรือคนกลุ่มเดียว พยานหลักฐาน พยานบุคคลอ่ืน ๆ
ไม่มีทางไปรู้เห็นเขาอยู่แล้ว ถ้าเราไม่ไปกันผู้ต้องหาหรือผู้ร่วมกระทาการมายืนยันก็ยากท่ีจะเอาผิดได้
แต่เมื่อจะนาผู้ร่วมกระทาการมาก็ยังยาก และต้องประกอบพยานหลักฐานอื่น การที่ดาเนินคดีโดยใช้