The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

งานวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาหรือแก้ปัญหาการอ่านและการเขียนแจกลูกสะกดคำ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ให้สามารถอ่านแจกลูกสะกดคำและจำแนกตัวสะกดในแต่ละมาตราได้ดียิ่งขึ้น สามารถนำความรู้ไปต่อยอดและไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ถูกต้อง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Yanisa Duangsuwan, 2024-06-14 02:06:10

การพัฒนาสื่อการเรียนรู้วิชาภาษาไทยเพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง มาตรา ตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้รูปแบบ ASSURE Model

งานวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาหรือแก้ปัญหาการอ่านและการเขียนแจกลูกสะกดคำ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ให้สามารถอ่านแจกลูกสะกดคำและจำแนกตัวสะกดในแต่ละมาตราได้ดียิ่งขึ้น สามารถนำความรู้ไปต่อยอดและไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ถูกต้อง

การพัฒนาสื่อการเรียนรู้วิชาภาษาไทยเพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง มาตราตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้รูปแบบ ASSURE Model โดย นางสาวจามจุรีวิชัยเนาว์ และคณะ งานวิจัยเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในรายวิชาการผลิตสื่อการเรียนรู้วิชาภาษาไทย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หลักสูตรการศึกษาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม


การพัฒนาสื่อการเรียนรู้วิชาภาษาไทยเพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง มาตราตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้รูปแบบ ASSURE Model โดย นางสาวจามจุรีวิชัยเนาว์ รหัสนิสิต 63010514006 กลุ่มเรียนที่ 1 นางสาวจิระนันท์ คำผาย รหัสนิสิต 63010514007 กลุ่มเรียนที่ 1 นางสาวญาณิศา ดวงสุวรรณ รหัสนิสิต 63010514015 กลุ่มเรียนที่ 1 นายนนทพัทธ์ บุตรโพธิ์ศรี รหัสนิสิต 63010514021 กลุ่มเรียนที่ 1 นางสาวบุษกร เดชแพง รหัสนิสิต 63010514025 กลุ่มเรียนที่ 1 นายพิบูลย์ศักดิ์ แสนวิลัย รหัสนิสิต 63010514034 กลุ่มเรียนที่ 2 งานวิจัยเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในรายวิชาการผลิตสื่อการเรียนรู้วิชาภาษาไทย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หลักสูตรการศึกษาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม


ชื่อเรื่อง การพัฒนาสื่อการเรียนรู้วิชาภาษาไทยเพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง มาตรา ตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้รูปแบบ ASSURE Model ผู้วิจัย นางสาวจามจุรีวิชัยเนาว์ และคณะ อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อัฐพล อินต๊ะเสนา ปริญญา การศึกษาบัณฑิต สาขาวิชา ภาษาไทย มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ปีที่พิมพ์ 2565 บทคัดย่อ งานวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาหรือแก้ปัญหาการอ่านและการเขียนแจกลูกสะกดคำ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ให้สามารถอ่านแจกลูกสะกดคำและจำแนกตัวสะกดในแต่ละมาตราได้ดี ยิ่งขึ้น สามารถนำความรู้ไปต่อยอดและไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ถูกต้อง โดย 1) ใช้สื่อการสอนไม้บรรทัดสะกดคำ 2) พัฒนาสื่อการเรียนรู้ เรื่อง มาตราตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ให้มี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง มาตราตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา ก่อนและหลังการใช้สื่อการเรียนรู้ตามรูปแบบ ASSURE Model จากกลุ่มตัวอย่างนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหลักเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ห้อง ป.2/3 จำนวนนักเรียน 33 คน ได้มาจากการเลือกตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบ ทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง มาตราตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา จำนวน 50 ข้อ การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยใช้ค่าร้อยละ ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหลักเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม มี การพัฒนาขึ้น หลังจากฝึกอ่านแจกลูกสะกดคำโดยการใช้สื่อช่วยสอน คือ ไม้บรรทัดสะกดคำ ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนสูงขึ้น นักเรียนมีความสนใจในเนื้อหาการเรียนเนื่องจากมีสื่อการสอนที่ช่วยเร้าความสนใจของนักเรียน จากการสังเกตพฤติกรรมโดยรวมนักเรียนกระตือรือร้นในการเรียนเป็นอย่างมาก นักเรียนได้ดำเนินการใช้สื่อด้วย ตนเองไปพร้อมกับการอธิบายและสาธิตการใช้สื่อจากครูผู้สอน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้นักเรียนเข้าใจเนื้อหาในการเรียน เรื่อง มาตราตัวสะกด เมื่อมีปัญหาหรือข้อสงสัยนักเรียนก็สามารถสอบถามกับครูได้ทันที จึงส่งผลให้มีพัฒนาการที่ สูงขึ้น และมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบก่อนเรียนและหลังเรียนแล้ว ร้อยละ 87.90 ซึ่งสูงกว่า เกณฑ์ที่ตั้งไว้ที่ร้อยละ 75 ก


TITLE The Development of learning media in Thai language subjects to promote learning achievement : Spelling section that meets the section of grade 2 students using the ASSURE Model AUTHOR Ms.Jamjuree Wichainao and others ADVISOR Asst. Prof. Dr. Autthapon Inthasena DEGREE Bachelor of Education MAJOR Thai Language UNIVERSITY Mahasarakham University DATE 2022 ABSTRACT Classroom Research Edition It is intended to develop or solve reading and writing problems. For Grade 2 students to be able to read, give children spelling words and recognize the spelling of each section better. Able to apply knowledge to further development and to use in daily life correctly by 1) using teaching materials to teach spelling rulers 2) developing learning materials on the subject of spelling scale that meets the section For students in grade 2 to be effective according to the criteria 75/75 3) Comparison of academic achievement on the subject of the spelling section that meets the section. Before and after using learning media according to the ASSURE Model from a sample group of Prathomsuksa 2 students at Lak Muang Mahasarakham School. Mahasarakham Province, semester 1, academic year 2022, Grade 2/3 room, 33 students were obtained by selecting a specific sample (Purposive Sampling). Number of 50 items. Data analysis of the researcher used the percentage. The results showed that Grade 2 students at Lak Muang Maha Sarakham School Maha Sarakham Province has evolved After practicing reading, give the child spelling words by using teaching aids, namely, spelling rulers. make academic achievement higher Students are interested in the content of the course as there are teaching materials that stimulate students' interest. By observing the overall behavior, the students were very enthusiastic about their studies. The students were able to use the media by themselves while also explaining and demonstrating the use of the media from the teachers. Therefore, it makes students understand the content of the course on the subject of spelling. When there is a problem or doubt, students can ask the teacher immediately. thus resulting in higher development and having higher learning achievement when comparing before and after school by 87.90%, which is higher than the threshold set at 75 percent. ข


กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยฉบับนี้สำเร็จสมบูรณ์ได้ด้วยความกรุณาและความช่วยเหลืออย่างสูงยิ่งจากผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อัฐพล อินต๊ะเสนา ที่ประสิทธิ์ประสาทให้ความรู้ ประสบการณ์ และแนะนำแนวทางในการทำการวิจัย ตลอดจน ตรวจสอบ ปรับปรุง แก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ คณะผู้วิจัยขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ ที่นี้ ขอขอบพระคุณ อาจารย์ ดร.อารีย์รัตน์ โนนสุวรรณ อาจารย์ประจำภาควิชาหลักสูตรและการสอน สาขาวิชาภาษาไทย คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม , นางสุภาพร บุญจันทร์ หัวหน้าสายชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหลักเมืองมหาสารคาม และนางวันดี สมนึกในธรรม ครูภาษาไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหลักเมืองมหาสารคาม ที่ให้ความอนุเคราะห์เป็นผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ตลอดจนให้คำแนะนำ ปรึกษา และข้อเสนอแนะ จนงานวิจัยสำเร็จได้ด้วยดี ขอขอบพระคุณผู้อำนวยการโรงเรียนหลักเมืองมหาสารคาม ตลอดจนคณะครูสายชั้นประถมศึกษา ปีที่ 2 ทุกท่านที่ให้ความร่วมมือในการทดลองใช้เครื่องมือและเก็บข้อมูลในการวิจัย ขอขอบใจนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ทุกคน ที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดียิ่ง คุณค่าและประโยชน์จากงานวิจัยฉบับนี้ คณะผู้วิจัยขออุทิศแด่ผู้มีพระคุณทุกท่าน และเพื่อเป็นตำราทาง การศึกษาต่อไป จามจุรีวิชัยเนาว์ และคณะ ค


สารบัญ บทที่ หน้า บทคัดย่อภาษาไทย ................................................................................................................ ก บทคัดย่อภาษาอังกฤษ ........................................................................................................... ข กิตติกรรมประกาศ .................................................................................................................. ค สารบัญ ................................................................................................................................... ง บัญชีตาราง ............................................................................................................................. จ บัญชีภาพประกอบ .................................................................................................................. ฉ บทที่ 1 บทนำ ....................................................................................................................... 1 1.1 ที่มาและความสำคัญ ......................................................................................................... 1 1.2 วัตถุประสงค์ในการวิจัย ..................................................................................................... 4 1.3 สมมุติฐานในการศึกษาค้นคว้า ............................................................................ 4 1.4 กรอบความคิดในการวิจัย ................................................................................... 5 1.5 ขอบเขตของการวิจัย .......................................................................................... 5 1.6 นิยามศัพท์เฉพาะ ................................................................................................ 6 1.7 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ .................................................................................. 7 บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง .................................................................................................... 8 1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 .................................................. 11 1.1 ความนำ .............................................................................................. 11 1.2 วิสัยทัศน์............................................................................................. 12 1.3 หลักการ .............................................................................................. 12 1.4 จุดหมาย ............................................................................................... 12 ง


สารบัญ (ต่อ) บทที่ หน้า 1.5 สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์.................... 13 1.6 มาตรฐานการเรียนรู้................................................................................. 14 1.7 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ วิชาภาษาไทย .......................................... 15 2. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวกับหลักการออกแบบของ ASSURE Model .................. 17 2.1 ความหมายของ ASSURE Model ............................................................ 17 2.2 หลักการและที่มาของ Assure Model ..................................................... 19 2.3 สรุปหัวใจหลักของ Assure Model .......................................................... 19 2.4 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหลักการออกแบบของ ASSURE Model ............... 19 2.4.1 งานวิจัยในประเทศ ................................................................... 19 2.4.2 งานวิจัยต่างประเทศ ................................................................. 21 3. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวกับสื่อการเรียนรู้............................................................. 22 3.1 ความหมายของสื่อการเรียนรู้.................................................................... 22 3.2 ประเภทของสื่อการเรียนรู้......................................................................... 23 3.3 ประโยชน์ของสื่อการเรียนรู้....................................................................... 26 3.4 หลักการใช้สื่อการเรียนรู้........................................................................... 30 3.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสื่อการเรียนรู้......................................................... 33 2.3.5.1 งานวิจัยในประเทศ ............................................................... 33 2.3.5.2 งานวิจัยต่างประเทศ ............................................................. 35 4. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวกับแผนการจัดการเรียนรู้............................................... 37 4.1 ความหมายและความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้............................ 37 4.2 ประเภทของแผนการจัดการเรียนเรียนรู้................................................... 39 ง


สารบัญ (ต่อ) บทที่ หน้า 4.3 ลักษณะที่ดีและองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้........................... 39 4.4 หลักการและรูปแบบของแผนการจัดการเรียนรู้........................................ 42 4.5 ขั้นตอนการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้.................................................... 43 4.6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแผนการจัดการเรียนรู้............................................ 45 4.6.1 งานวิจัยในประเทศ ................................................................... 45 4.6.2 งานวิจัยต่างประเทศ ................................................................. 46 5 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน .............................................. 46 5.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน .................................................... 46 5.2 ประเภทของแบบทดสอบการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ........................... 47 5.3 องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ................................... 49 5.4 กระบวนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ......................... 49 5.5 ประโยชน์ของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ........................................................ 51 5.6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ........................................... 52 5.6.1 งานวิจัยในประเทศ .................................................................... 52 5.6.2 งานวิจัยต่างประเทศ .................................................................. 53 6. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวกับประสิทธิภาพสื่อการเรียนรู้......................................... 54 6.1 การหาประสิทธิภาพของสื่อการเรียนรู้....................................................... 54 6.2 การกำหนดเกณฑ์มาตรฐาน ....................................................................... 55 6.3 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพสื่อการเรียนรู้..................................... 56 6.3.1 งานวิจัยในประเทศ ................................................................... 56 6.3.2 งานวิจัยต่างประเทศ .................................................................. 57 ง


สารบัญ (ต่อ) บทที่ หน้า 7. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวกับมาตราตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา ................................. 58 7.1 ความหมายของมาตราตัวสะกด .................................................................. 58 7.2 ความสำคัญของมาตราตัวสะกด .................................................................. 59 7.3 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับมาตราตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา .............................. 59 7.3.1 งานวิจัยในประเทศ ..................................................................... 59 7.3.2 งานวิจัยต่างประเทศ .................................................................... 63 8. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวกับกรอบแนวคิดในการวิจัย ............................................... 63 8.1 ความหมายของกรอบแนวคิด ....................................................................... 63 8.2 ความสำคัญของกรอบแนวคิด ...................................................................... 63 8.3 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกรอบแนวคิด ........................................ 64 8.3.1 งานวิจัยในประเทศ ...................................................................... 64 8.3.2 งานวิจัยต่างประเทศ .................................................................... 65 บทที่ 3 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ......................................................................................................... .. 67 1. การกำหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ......................................................................... 67 1.1 ประชากร ............................................................................................... ....... 67 1.2 กลุ่มตัวอย่าง .................................................................................................. 67 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ................................................................................................ 67 3. การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย .................................................. 68 3.1 การสร้างสื่อการเรียนรู้ประเภทวัสดุ : ไม้เมตรสะกดคำ ................................. 68 3.2 การสร้างสื่อการเรียนรู้ประเภทอิเล็กทรอนิกส์ : เกมการศึกษาออนไลน์....... 68 ง


สารบัญ (ต่อ) บทที่ หน้า 3.3 การสร้างและหาคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย เรื่อง มาตราตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา ....................................................... 69 3.4 การสร้างและหาคุณภาพของแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ................ 70 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล .................................................................................................... 71 5. การวิเคราะห์ข้อมูล ......................................................................................................... 71 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ........................................................................................................ 76 1. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ...................................................... 76 2. ลำดับขั้นตอนในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ....................................................... 76 3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล .................................................................................................... 77 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ............................................................................ 111 ความมุ่งหมายของการวิจัย ................................................................................................ 111 สรุปผล .............................................................................................................................. 111 อภิปรายผล ....................................................................................................................... 113 ข้อเสนอแนะ ..................................................................................................................... 116 บรรณานุกรม ......................................................................................................................... ......... 117 ภาคผนวก ....................................................................................................................................... 120 ภาคผนวก ก ...................................................................................................................... 121 ภาคผนวก ข ...................................................................................................................... 128 ภาคผนวก ค ...................................................................................................................... 261 ภาคผนวก ง ....................................................................................................................... 276 ง


สารบัญ (ต่อ) บทที่ หน้า ภาคผนวก จ ...................................................................................................................... 321 ภาคผนวก ฉ ...................................................................................................................... 339 ภาคผนวก ช ...................................................................................................................... 348 ประวัติผู้ทำวิจัย .................................................................................................... .......................... 353 ง


สารบัญตาราง ตาราง หน้า 1. ตารางแสดงกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ...................................................................................... 77 2. ตารางวิเคราะห์ประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) ................................................................... 78 3. ตารางวิเคราะห์ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) ของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง มาตราแม่กงและมาตราแม่กม ............................................................................................. 81 4. ตารางวิเคราะห์ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) ของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง มาตราแม่กกและแม่เกอว .................................................................................................... 84 5. ตารางวิเคราะห์ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) ของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง มาตราแม่กบและมาตราแม่เกย ........................................................................................... 87 6. ตารางวิเคราะห์ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) ของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง มาตราแม่กน ....................................................................................................................... 90 7. ตารางวิเคราะห์ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) ของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง มาตราแม่กด ....................................................................................................................... 93 8. ตารางวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิผล (E.I.) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง มาตราแม่กงและแม่กม ...................................................... 96 9. ตารางวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิผล (E.I.) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง มาตราแม่กกและแม่เกอว .................................................... 99 10. ตารางวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิผล (E.I.) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง มาตราแม่กบและมาตราแม่เกย ...................................... 102 11. ตารางวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิผล (E.I.) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง มาตราแม่กน .................................................................. 105 12. ตารางวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิผล (E.I.) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง มาตราแม่กด ................................................................... 108 จ


สารบัญภาพประกอบ ภาพประกอบ หน้า 1. กรอบความคิดในการวิจัย ........................................................................................................... 5 2. สูตรการหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ................................................................................... 72 3. สูตรการหาค่าประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียน เรื่อง มาตราตัวสะกด .............................. 73 4. สูตรการวิเคราะห์หาค่าความยากง่าย ......................................................................................... 73 5. สูตรการวิเคราะห์หาค่าอำนาจจำแนก ........................................................................................ 74 6. สูตรการวิเคราะห์หาค่าความเชื่อมั่น ........................................................................................... 74 7. สูตรการหาค่าค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามความพึงพอใจทั้งฉบับ ...................................... 74 8. สูตรการคำนวณหาค่าเฉลี่ย ......................................................................................................... 75 9. สูตรการหาคำนวณหาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ............................................................................ 75 10. สูตรการหาค่าร้อยละ ................................................................................................................ 75 ฉ


1 บทที่ 1 บทนำ ที่มาและความสำคัญ นักเรียนที่เรียนในชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เป็นระดับชั้นที่ต้องมีพื้นฐานด้านการอ่านออกเขียนได้ที่จะต้องใช้ เป็นเครื่องมือในการเรียนระดับชั้นต่อไป ควรจะต้องอ่านออกเขียนได้ตามมาตรฐานที่หลักสูตรกำหนด อีกทั้ง รัฐบาลมีนโยบายที่จะสร้างความเข้มแข็งด้านการอ่านเขียน ให้แก่นักเรียนประถมศึกษาอย่างจริงจังจึงมอบหมายให้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดำเนินการประเมินผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านออกเขียนได้ของนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 สำนักทดสอบทางการศึกษาได้รับมอบหมายจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐานให้ดำเนินการประเมินผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านออกเขียนได้ของนักเรียน โดยเครื่องมือที่ใช้ในการประเมิน ได้แก่ แบบทดสอบวัดสมรรถนะนักเรียน 3 ด้าน คือ อ่านออก อ่านรู้เรื่อง และเขียนได้ ซึ่งเป็นแนวทางในการ ดำเนินการจัดสอบ และพัฒนานักเรียนให้ได้มาตรฐาน จากนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ จุดเน้นของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน แต่ก็ยังมีนักเรียนบางคนที่ยังเขียนตามคำบอกไม่ถูกต้อง การเขียนสะกดคำ คือ การจัดเรียงพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ให้เป็นคำที่มีความหมายถูกต้องตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน และสามารถนำคำดังกล่าวไปใช้สื่อสารในชีวิตประจำวันได้(กมลวรรณ สีแสง, 2563 : 21 นักเรียนควรที่จะได้เรียนรู้ในรายวิชาภาษาไทย เนื่องจากภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ เป็นสมบัติทาง วัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ และเสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเครื่องมือ ในการติดต่อสื่อสาร เพื่อสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทำให้สามารถประกอบธุรกิจ และดํารงชีวิต ร่วมกันในสังคมประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุข เป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์จากแหล่งข้อมูล สารสนเทศต่าง ๆ เพื่อพัฒนาความรู้ความคิด วิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ตลอดจนนําไปใช้ในการพัฒนาอาชีพให้มีความมั่นคงทางสังคมและ เศรษฐกิจ ภาษาไทยจึงมีความสําคัญจําเป็นที่คนไทยทุกคนจะต้องศึกษาและฝึกฝนจนเกิดทักษะเพื่อใช้ติดต่อ ระหว่างคนไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ กล่าวถึงความสําคัญของภาษาไทยเป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดข้อมูล ข่าวสารวิทยาการและเทคโนโลยีต่างๆ มาเป็นภาษาไทยเพื่อถ่ายทอด และเผยแพร่ความรู้ อันจะนําไปใช้ในการ พัฒนาวิทยาการในประเทศมีมากขึ้น เกิดผลกระทบทําให้การใช้ภาษาไทยได้รับอิทธิพลจากภาษาต่างประเทศ เพิ่มขึ้น อาจเป็นแนวทางให้ภาษาไทยพัฒนาไปอย่างไม่ถูกต้อง ถ้าเราไม่ตระหนักถึงความสําคัญของการใช้ภาษา ทั้งภาษาพูดและภาษาเขียนให้ถูกต้องภาษาก็จะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ในที่สุดอาจไม่เหลือรูปรอยเดิมไว้ให้ลูกหลานไทย ได้ชื่นชม และภาคภูมิใจภาษาไทย ที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติ( ณัฐ ภมรประวัติ, 2534 : 38) ซึ่งภาษาที่ใช้สื่อสารใน ชีวิตประจําวัน มักเป็นการสื่อสารที่ไม่เป็นทางการ เช่น การพูดคุย สนทนา การพูดโทรศัพท์ การเขียนจดหมาย ส่วนตัว เป็นต้น ผู้ใช้มุ่งให้ผู้อื่นเข้าใจอย่างรวดเร็ว ภาษาของวัยรุ่น ภาษาในสื่อสารมวลชน ซึ่งไม่เคร่งครัดตาม


2 ระเบียบกฎเกณฑ์การใช้ภาษา ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนกลุ่มสาระภาษาไทยในระดับประถมศึกษา มีจุดมุ่งหมายให้นักเรียนมีความสามารถทางทักษะทั้ง 4 ด้าน คือ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียนอย่าง สัมพันธ์กันทุกด้าน กรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการได้ให้ความสําคัญของภาษาไทย โดยกําหนดให้นโยบาย แผนพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน และการใช้ภาษาไทย ทั้งในการอ่าน (กรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการ, 2545 : 2-5) ภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติ และเป็นสิ่งซึ่งแสดงถึงเอกลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นเอกราชของ ชาติไทย ที่มีความรุ่งเรืองแห่งอารยธรรม และเป็นที่น่าภาคภูมิใจของคนไทยมายาวนาน ดังที่พระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระราชดํารัสในที่ประชุมของชุมนุมภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ถึงความสำคัญของภาษาไทยไว้ว่า “ภาษาไทยเป็นเครื่องมืออยางหนึ่งของชาติ ภาษาทั้งหลายเป็น เครื่องมือของมนุษย์ชนิดหนึ่ง คือ เป็นทางสำหรับแสดงความคิดเห็นอยางหนึ่ง เป็นสิ่งที่สวยงามอย่างหนึ่ง เช่น ในทางวรรณคดีเป็นต้น ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องรักษาเอาไว้ให้ดี ประเทศเรานั้นมีภาษาเป็นของตนเองซึ่งต้องหวงแหน ประเทศใกล้เคียงของเราหลายประเทศมีภาษาของตนเอง แต่ว่าเขาก็ไม่แข็งแรง เขาต้องพยายามหาหนทางที่ จะต้องสร้างภาษาของตนเองไว้ให้มั่นคง เราโชคดีที่มีภาษาของตนเองแต่โบราณกาล จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะรักษา ไว้” จากพระราชดำรัสดังกล่าว จะเห็นได้ว่าภาษาไทยนอกจากจะเป็นภาษาประจำชาติแล้วยังเป็นเครื่องมือที่ใช้ใน การติดต่อสื่อสารระหว่างคนในชาติด้วยกัน และภาษาไทยเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองทางวัฒนธรรม อันล้ำค่า (กรมวิชาการ , 2539 : 7 - 8) จากความสำคัญดังกล่าว กระทรวงศึกษาธิการจึงได้บรรจุวิชาภาษาไทยไว้ ในหลักสูตรในทุกระดับการศึกษา ซึ่งอยู่ในกล่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โดยไม่ได้มุ่งหวังให้นักเรียนอ่านออกเขียน ได้เพียงอยางเดียว แต่มุ่งหวังให้นักเรียนนำความรู้ ความสามารถไปใช้ประโยชน์ได้จริง สื่อสารกับผู้อื่นได้อย่างมี ประสิทธิภาพ และประสิทธิผล ใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น ๆ ใช้เทคโนโลยีในการสื่อสาร ได้เป็นอย่างดี รวมทั้งต้องรักษาภาษาไทยไว้ในฐานะเป็นสมบัติของชาติ และได้กำหนดสาระการเรียนรู้ รายปีกลุ่ม สาระการเรียนรู้ภาษาไทย (ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 1 - 3) ไว้ครอบคลุมทั้งความคิดรวบยอด หรือส่วนที่เป็นองค์ ความรู้ทักษะกระบวนการ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ที่เกิดขึ้น เป็นคุณภาพการเรียนรู้ภาษาไทย ซึ่งโรงเรียน จำเป็นต้องจัดทั้งหมด เพื่อความเป็นเอกภาพของชาติตามหลักการของหลักสูตร (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551 : 37) และการเรียน เรื่อง มาตราตัวสะกดเป็นความรู้พื้นฐานที่จำเป็นของการอ่านและเขียนสะกดคำ เพราะเด็กต้อง รู้จักมาตราตัวสะกดก่อนจึงจะสามารถสะกดคำได้ถูกต้อง และพัฒนาไปสู่การเขียนเป็นคำและประโยคได้ ถ้าเด็ก เขียนสะกดคำไม่ได้ เด็กจะไม่สามารถเข้าใจเรื่องจากผู้อื่นและแสดงให้ผู้อื่นเข้าใจตนเองไม่ได้ ดังนั้น การเขียน สะกดคำให้ถูกต้องนับว่าเป็นสิ่งสำคัญมากในการเรียน เด็กควรจะเขียนสะกดคำให้ถูกต้องตั้งแต่เริ่มเรียนคำ เพื่อ ช่วยให้เด็กรู้จักคำต่าง ๆ ที่จำเป็นในชีวิตประจำวันและให้เด็กใช้คำต่าง ๆ ได้ถูกต้องและกว้างขวาง (วรรณี โสม ประยูร, 2544 : 156) ซึ่งสอดคล้องกับกำชัย ทองหล่อ (2543 : 160) กล่าวถึง ความสำคัญของการเขียนสะกดคำ ว่า ตัวอักษรเป็นเครื่องหมายแทนคำพูด เพราะฉะนั้นการเขียนสะกดคำจึงนับว่าเป็นความสำคัญส่วนหนึ่งของการ ใช้ภาษา ถ้าเขียนผิด ความหมายจะเปลี่ยนไปหรืออาจจะไม่มีความหมายเลยก็ได้ (วัลยา อ่ำหนองโพธิ์, 2557 : 2)


3 ปัจจัยพื้นฐานสำคัญในการเขียนอย่างมีประสิทธิภาพคือ การเขียนสะกดคำให้ถูกต้องทั้งนี้เพราะถ้าผู้เขียนสามารถ เขียนสะกดคำได้โดยไม่ผิดพลาดก็ย่อมทำให้ผู้อ่านสามารถรับสารได้ตรงตามความหมาย และตรงกับความต้องการ ของผู้เขียน การเขียนสะกดคำเป็นการสื่อความที่มีวิธีการสลับซับซ้อนมากกว่าการพูด จำเป็นต้องให้ผู้อ่านเข้าใจ โดยไม่มีเสียงสูงต่ำ หนักเบา หรือการแสดงสีหน้าท่าทางประกอบอย่างภาษาพูด การเขียนสะกดคำจึงเป็นทักษะที่ ต้องใช้เวลาฝึกฝนนานกว่าทักษะอื่น ๆ เริ่มตั้งแต่การคัดลายมือการเขียนตัวหนังสือให้ถูกแบบ การสะกดคำให้ ถูกต้อง การถ่ายทอดความคิดออกเป็นตัวหนังสือให้ผู้อ่านเข้าใจ ตลอดจนการเขียนถ้อยคำให้สละสลวยได้ ประโยชน์ตามจุดประสงค์ (ฐาปะนีย์ นาครทรรพ, 2545 : 42 - 43) ปัญหาที่พบในการเรียนการสอน เรื่อง มาตรา ตัวสะกด กล่าวคือ ผู้เรียนมักมีปัญหาในเรื่องการสะกดคำเนื่องจากผู้เรียนยังอยู่ในวัยที่เด็กมาก พัฒนาการทางด้าน สติปัญญายังไม่พัฒนาเต็มที่ เมื่อผู้เรียนเรียนเกี่ยวกับเนื้อหาที่จำเป็นจะต้องใช้ความจำค่อนข้างมาก จึงทำให้เกิด ความเบื่อหน่ายเพราะยังขาดทักษะในการคิดแยกแยะ และผู้เรียนไม่กระตือรือร้นในการเรียน เพราะขาดสิ่งดึงดูด ความสนใจ เช่น สื่อ ครูผู้สอน วิธีการสอน เป็นต้น ถ้าผู้เรียนไม่สามารถแยกแยะมาตราตัวสะกดสะกดได้ ก็ไม่ สามารถแจกลูกสะกดคำได้ ไม่สามารถอ่านหรือเขียนคำต่าง ๆ ที่ถูกต้องได้ และนำไปสู่ปัญหาในการเรียนเรื่อง อื่น ๆ อีกมากมาย (สรุปผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐานระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6, 2562) จากเหตุผลดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าครู ต้องสอนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ การสอนภาษาไทยให้ เกิดประสิทธิภาพตามจุดประสงค์ของหลักสูตรนั้น คือ ผู้สอนต้องสอนให้ผู้เรียนสามารถใช้ภาษาไทย ในการ ติดต่อสื่อสารได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ จึงมีความจำเป็นต้องฝึกฝนทักษะพื้นฐานให้สัมพันธ์กันทั้ง 5 ทักษะคือการอ่าน การเขียน การฟังการดู และการพูด หลักการใช้ภาษาไทย วรรณคดีและวรรณกรรม ในทั้ง 5 ทักษะนี้ การเขียนนับว่าเป็นการสื่อสารที่มีวิธีการที่ซับซ้อนกว่าทักษะอื่น ๆ เพราะผู้ที่จะเขียนได้นั้นต้องสามารถฟัง พูดและอ่านได้ดี จึงจะช่วยให้เกิดความสามารถในด้านการเขียน อีกทั้งทักษะการเขียนจัดว่าเป็นทักษะทางภาษาที่ มีความสำคัญมาก เนื่องจากการเขียนเป็นเครื่องมือในการสื่อความหมายที่คงทนถาวร เป็นหลักฐานที่ดีกว่าทักษะ อื่น เพราะการเขียนจะไม่ลบเลือนเหมือนคำพูด การเขียนจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการติดต่อระหว่างอดีต - ปัจจุบัน ถึงอนาคตได้ดี (วรรณีโสมประยูร, 2544 : 156) ดังนั้นผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะพัฒนาสื่อการเรียนรู้เรื่อง มาตราตัวสะกด ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 และสาเหตุที่ทางผู้วิจัยต้องการที่จะพัฒนาเนื่องจากปัญหาที่ผู้เรียนไม่มีพื้นฐาน และไม่เข้าใจในการใช้มาตราตัว สะกด ส่งผลให้ไม่สามารถอ่านและเขียนสะกดคำได้ถูกต้อง จึงมีความจำเป็นที่จะต้องหาวิธีการพัฒนาในเรื่องการ อ่านตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา เพื่อเป็นพื้นฐานในการอ่านเขียนภาษาไทยให้ถูกต้อง ผู้วิจัยจึงได้ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และนวัตกรรมที่ช่วยพัฒนาการสอนภาษาไทยให้มีประสิทธิภาพ สามารถส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่ คงทน จากการศึกษา พบว่าเครื่องมือที่เกี่ยวกับการส่งเสริมทักษะทางการอ่านแนวทางหนึ่งที่แก้ปัญหาได้ คือ การ ใช้สื่อการเรียนรู้ประเภทวัสดุ และประเภทอิเล็กทรอนิกส์ในการพัฒนาการอ่านและการเขียนที่ตรงตามมาตรา โดยจะใช้หลักการสร้างและพัฒนาสื่อตามรูปแบบ ASSURE Model เพื่อให้สื่อมีความหลากหลาย น่าสนใจ และ


4 เหมาะสมกับวัยของผู้เรียนมากยิ่งขึ้น เพื่อให้การเรียนการสอนเรื่องมาตราตัวสะกด ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น (สังวาลย์ จันทร์เทพและคณะ, 2562 : 27 ในการพัฒนาสื่อการเรียนรู้ให้มีความเหมาะสม กับเนื้อหา ช่วงวัย ระดับชั้น ความรู้ และประสบการณ์ของผู้เรียน จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากสื่อการเรียนรู้จะช่วยเสริมสร้างบรรยากาศภายในชั้นเรียน ทำให้การเรียนผ่อนคลายขึ้น ทำให้ผู้เรียนเข้าใจ เนื้อหาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น สามารถอ่านและเขียนสะกดคำได้ถูกต้อง มีพื้นฐานในการอ่านเขียนภาษาไทยให้ถูกต้อง จึง มีผลทำให้ผู้เรียนมีความสุข และรู้สึกสนุกกับการเรียนมากขึ้น ด้วยรูปแบบของสื่อที่มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงให้ เหมาะสม รวมทั้งการมีสื่อการเรียนรู้ที่หลากหลายทั้งการใช้สื่อการเรียนรู้ประเภทวัสดุ และประเภทอิเล็กทรอนิกส์ ในการพัฒนาการอ่าน และการเขียนที่ตรงตามมาตรา จึงทำให้สามารถกระตุ้นและสร้างความสนใจให้กับผู้เรียน เป็นอย่างดี เป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนกระทำกิจกรรมต่าง ๆ ภายในชั้นเรียนด้วยตนเอง และกระตุ้นการกระทำ กิจกรรมแบบเป็นกลุ่มด้วย ทำให้เกิดมนุษยสัมพันธ์อันดีในระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียน และผู้เรียนกับผู้สอน อีกทั้งมี การยกตัวอย่างการใช้และการมีภาพประกอบมาตราตัวสะกด ช่วยทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว จดจำความหมายได้เร็วขึ้น จึงทำให้ผู้เรียนมีความเข้าใจในเรื่อง มาตราตัวสะกดได้มากขึ้น ตลอดจนสามารถนำเรื่อง มาตราตัวสะกดไปต่อยอดความรู้ในเรื่องอื่น ๆ ได้อย่างถูกต้อง (ฐะปะนีย์ นาครทรรพ, 2556, หน้า 348) วัตถุประสงค์ในการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้กำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย ดังนี้ 1. เพื่อสร้างและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ เรื่อง มาตราตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 ตามรูปแบบ ASSURE Model ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง มาตราตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา ก่อนและหลัง การใช้สื่อการเรียนรู้ตามรูปแบบ ASSURE Model สมมุติฐานในการศึกษาค้นคว้า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง มาตราตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา สูงกว่าก่อนการใช้สื่อการเรียนรู้


5 กรอบความคิดในการวิจัย ภาพประกอบที่ 1 กรอบความคิดในการวิจัย ขอบเขตของการศึกษาค้นคว้า 1. ประชากร ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหลักเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จํานวน 5 ห้องเรียน รวมนักเรียน 168 คน 2. กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างได้แก่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหลักเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ห้อง ป.2/3 จำนวนนักเรียน 33 คน ได้มาจากการเลือกตัวอย่างแบบ เฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) 3. ตัวแปรที่ศึกษา ตัวแปรที่จะศึกษาค้นคว้าในครั้งนี้ ได้แก่ 3.1 ตัวแปรอิสระ คือ สื่อการเรียนรู้วิชาภาษาไทย เรื่อง มาตราตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 3.2 ตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง มาตราตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 4. เนื้อหา เนื้อหา เรื่อง มาตราตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา โดยค้นคว้าจากแบบเรียนวิชาภาษาไทยระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2551 5. ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า ระยะเวลาที่ใช้ในการเก็บข้อมูลจะดำเนินการในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 5 แผน แผนละ 1 ชั่วโมง เรื่อง มาตราตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา


6 คำนิยามศัพท์เฉพาะ 1. สื่อการเรียนรู้ หมายถึง สิ่งใด ๆ ก็ตามที่เป็นเครื่องช่วยถ่ายทอดความรู้จากบทเรียนไปสู่ผู้เรียนซึ่งจะ ช่วยทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ 2. มาตราตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา หมายถึง คำที่สะกดด้วยรูปพยัญชนะที่ตรงกับชื่อมาตราตัวสะกด เช่น มาตราแม่กง พยัญชนะที่เป็นตัวสะกดในมาตรานี้ คือ ง. มาตราแม่กม พยัญชนะที่เป็นตัวสะกดในมาตรานี้ คือ ม. มาตราแม่กก พยัญชนะที่เป็นตัวสะกดในมาตรานี้ คือ ก. มาตราแม่เกอว พยัญชนะที่เป็นตัวสะกดในมาตรานี้ คือ ว. มาตราแม่กบ พยัญชนะที่เป็นตัวสะกดในมาตรานี้ คือ บ. มาตราแม่เกย พยัญชนะที่เป็นตัวสะกดในมาตรานี้ คือ ย. มาตราแม่กน พยัญชนะที่เป็นตัวสะกดในมาตรานี้ คือ น. มาตราแม่กด พยัญชนะที่เป็นตัวสะกดในมาตรานี้ คือ ด. 3. ASSURE Model หมายถึง รูปแบบของการวางแผนหรือออกแบบการสอนโดยเน้นการใช้สื่อและ เทคโนโลยีเป็นองค์ประกอบ รวมทั้งเน้นการมีส่วนร่วมของผู้เรียนเป็นสำคัญ ซึ่งเป็นแนวทางการปฏิบัติ เพื่อให้ผู้สอนเกิดความมั่นใจ ที่จะใช้สื่อการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้สูงสุดตามความสามารถของแต่ละคน ซึ่งรายละเอียดของโมเดลมีดังนี้ 3.1 Analyze Leaner Characteristics การวิเคราะห์ลักษณะผู้เรียน 3.2 State Objectives การกำหนดวัตถุประสงค์ 3.3 Select, Modify, of Design Materials การเลือก ดัดแปลง หรือออกแบบสื่อใหม่ 3.4 Utilize Materials การใช้สื่อ 3.5 Require Learner Response การกำหนดการตอบสนองของผู้เรียน 3.6 Evaluation การประเมิน 4. แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง แนวการจัดการเรียนการสอนของครูภายใต้กรอบเนื้อหา สาระที่ต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยกำหนดจุดประสงค์ วิธีการดำเนินการหรือกิจกรรมให้ผู้เรียน บรรลุ วัตถุประสงค์ สื่อการเรียนรู้ที่หลากหลาย และวิธีวัดประเมินผลที่สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 5. ประสิทธิภาพสื่อการเรียนรู้ หมายถึง การนำสื่อการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยได้สร้างและพัฒนาขึ้นไป ทดลองใช้และปรับปรุง แก้ไข เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 75/75


7 75 ตัวแรก หมายถึง ค่าร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนที่ทำแบบทดสอบย่อยระหว่างเรียน ไม่ต่ำกว่า 75 75 ตัวหลัง หมายถึง ค่าร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนที่ได้จากการกระทำแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนไม่ต่ำกว่า 75 6. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่า ในเรื่องมาตราตัวสะกดของนักเรียนจากการเรียนด้วยไม้บรรทัดสะกดคำและสื่อ ประกอบการสอนพาวเวอร์พอยต์ ซึ่งวัดได้จากคะแนนการทำแบบฝึกหัดระหว่างเรียนและแบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ การวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยคาดหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา ดังนี้ 1. เป็นการพัฒนาสื่อการเรียนรู้วิชาภาษาไทย เรื่อง มาตราตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 ให้มีประสิทธิภาพ 2. ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง มาตราตัวสะกดที่ตรงตามมาตราสูงขึ้น 3. เป็นแนวทางสำหรับผู้สนใจจะศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาสื่อการเรียนรู้วิชาภาษาไทยเพื่อส่งเสริม ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง มาตราตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้รูปแบบ ASSURE Model ต่อไป


8 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ค้นคว้าหาประสิทธิภาพของสื่อการเรียนรู้ที่ได้พัฒนา เรื่อง มาตรา ตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา วิชาภาษาไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 1.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 1.1.1 ความนำ 1.1.2 วิสัยทัศน์ 1.1.3 หลักการ 1.1.4 จุดหมาย 1.1.5 สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1.1.6 มาตรฐานการเรียนรู้ 1.1.7 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ วิชาภาษาไทย 2. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวกับหลักการออกแบบของ ASSURE Model 2.1 ความหมายและหลักการของ ASSURE Model 2.2 ขั้นตอนของ ASSURE Model 2.3 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหลักการออกแบบของ ASSURE Model 2.3.1 งานวิจัยในประเทศ 2.3.2 งานวิจัยต่างประเทศ 3. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวกับสื่อการเรียนรู้ 3.1 ความหมายของสื่อการเรียนรู้ 3.2 ประเภทของสื่อการเรียนรู้ 3.3 ประโยชน์ของสื่อการเรียนรู้ 3.4 หลักการใช้สื่อการเรียนรู้


9 3.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสื่อการเรียนรู้ 3.5.1 งานวิจัยในประเทศ 3.5.2 งานวิจัยต่างประเทศ 4. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวกับแผนการจัดการเรียนรู้ 4.1 ความหมายและความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ 4.2 ประเภทของแผนการจัดการเรียนเรียนรู้ 4.3 ลักษณะที่ดีและองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ 4.4 หลักการและรูปแบบของแผนการจัดการเรียนรู้ 4.5 ขั้นตอนการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ 4.6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแผนการจัดการเรียนรู้ 4.6.1 งานวิจัยในประเทศ 4.6.2 งานวิจัยต่างประเทศ 5. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 5.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 5.2 ประเภทของแบบทดสอบการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 5.3 องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 5.4 กระบวนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 5.5 ประโยชน์ของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 5.6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 5.6.1 งานวิจัยในประเทศ 5.6.2 งานวิจัยต่างประเทศ 6. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวกับประสิทธิภาพสื่อการเรียนรู้ 6.1 การหาประสิทธิภาพของสื่อการเรียนรู้ 6.2 การกำหนดเกณฑ์มาตรฐาน 6.3 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพสื่อการเรียนรู้ 6.3.1 งานวิจัยในประเทศ 6.3.2 งานวิจัยต่างประเทศ


10 7. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวกับมาตราตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา 7.1 ความหมายของมาตราตัวสะกด 7.2 ความสำคัญของมาตราตัวสะกด 7.3 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับมาตราตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา 7.3.1 งานวิจัยในประเทศ 7.3.2 งานวิจัยต่างประเทศ 8. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวกับกรอบแนวคิดในการวิจัย 8.1 ความหมายของกรอบแนวคิด 8.2 ความสำคัญของกรอบแนวคิด 8.3 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับกรอบแนวคิด 8.3.1 งานวิจัยในประเทศ 8.3.2 งานวิจัยต่างประเทศ


11 1. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 1.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 1.1.1 ความนำ กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ให้เป็นหลักสูตร แกนกลางของประเทศ โดยกำหนดจุดหมาย และมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายและกรอบทิศทางในการพัฒนา คุณภาพผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2544 ให้เป็นหลักสูตรแกนกลางของประเทศโดยกำหนดจุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายและกรอบ ทิศทางในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้เป็นคนดีมีปัญญามีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีขีดความสามารถในการแข่งขันใน เวทีระดับโลก พร้อมกันนี้ได้ปรับกระบวนการพัฒนาหลักสูตรให้มีความสอดคล้องกับเจตนารมณ์แห่ง พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ที่มุ่งเน้นการกระจาย อำนาจทางการศึกษาให้ท้องถิ่นและสถานศึกษาได้มีบทบาทและมีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร เพื่อให้สอดคล้อง กับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น เอกสารหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 นี้จัดทำขึ้นสำหรับท้องถิ่นและ สถานศึกษาได้นำไปใช้เป็นกรอบและทิศทางในการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา และจัดการเรียนการสอน เพื่อ พัฒนาเด็กและเยาวชนไทยทุกคนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้มีคุณภาพด้านความรู้และทักษะที่จำเป็นสำหรับ การดำรงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง และแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดที่กำหนดไว้ในเอกสารนี้ ช่วยทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในทุกระดับ เห็นผลคาดหวังที่ต้องการในการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนที่ชัดเจน ซึ่งจะสามารถช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใน ระดับท้องถิ่นและสถานศึกษาร่วมกันพัฒนาหลักสูตรได้อย่างมั่นใจ ทำให้การจัดทำหลักสูตรในระดับสถานศึกษามี คุณภาพและมีความเป็นเอกภาพยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้เกิดความชัดเจนเรื่องการวัดและประเมินผลการเรียนรู้และ ช่วยแก้ปัญหาการเทียบโอนระหว่างสถานศึกษา ดังนั้นในการพัฒนาหลักสูตรในทุกระดับตั้งแต่ระดับชาติจนกระทั่ง ถึงสถานศึกษา จะต้องสะท้อนคุณภาพมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดที่กำหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐาน รวมทั้งเป็น กรอบทิศทางในการจัดการศึกษาทุกรูปแบบและครอบคลุมผู้เรียนทุกกลุ่มเป้าหมายใน ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน


12 1.1.2 วิสัยทัศน์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคนซึ่งเป็นกำลังของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มี ความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพลเมืองโลก ยึดมั่นใน การปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจต คติที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อการประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐาน ความเชื่อว่า ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ 1.1.3 หลักการ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานมีหลักการที่สำคัญ ดังนี้ 1. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดมุ่งหมายและมาตรฐานการเรียนรู้ เป็น เป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรม บนพื้นฐานของความเป็นไทย ควบคู่กับความเป็นสากล 2. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเสมอภาคและ มีคุณภาพ 3. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาให้ สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น 4. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทางด้านสาระการเรียนรู้ เวลา และการจัดการเรียนรู้ 5. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 6. เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบนอกระบบ และตามอัธยาศัยครอบคลุมทุก กลุ่มเป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์ 1.1.4 จุดหมาย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพ ในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ จึงกำหนดเป็นจุดหมายเพื่อให้เกิดกับผู้เรียนเมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้ 1. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัย และปฎิบัติตนตาม หลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2. มีความรู้ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี และมีทักษะชีวิต 3. มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัย และรักการออกกำลังกาย 4. มีความรักชาติ มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลเมืองโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิตและการ ปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 5. มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม มีจิต สาธารณะที่มุ่งทำประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข


13 1.1.5 สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานมุ่งให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ 5 ประการดังนี้ 1.1 ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้ ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเอง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและ ประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหา ความขัดแย้งต่างๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้ วิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเองและสังคม 1.2 ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิด อย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศ เพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม 1.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่ เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรม และข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และ การเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่างๆในสังคม แสวงหาความรู้ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคม และสิ่งแวดล้อม 1.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่างๆไปใช้ใน การดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงาน และการอยู่ร่วมกันในสังคม ด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่างๆอย่างเหมาะสม การ ปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น 1.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเป็นความสามารถในการเลือก และใช้เทคโนโลยีด้าน ต่างๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคมในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การ ทำงาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสม และมีคุณธรรม 2. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้ สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุขในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลเมืองโลก ดังนี้ 1. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 2. ซื่อสัตย์สุจริต 3. มีวินัย 4. ไฝ่เรียนรู้


14 5. อยู่อย่างพอเพียง 6. มุ่งมั่นในการทำงาน 7. รักความเป็นไทย 8. มีจิตสาธารณะ นอกจากนี้ สถานศึกษาสามารถกำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพิ่มเติมให้สอดคล้องตาม บริบท และจุดเน้นของตนเอง 1.1.6 มาตรฐานการเรียนรู้ การพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความสมดุล ต้องคำนึงถึงหลักพัฒนาการทางสมองและพหุปัญญา หลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานจึงกำหนดให้ผู้เรียนเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ดังนี้ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สุขศึกษาและพละศึกษา ศิลปะ การงานอาชีพและเทคโนโลยี ภาษาต่างประเทศ ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ได้กำหนดมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายสำคัญของการพัฒนา คุณภาพผู้เรียนมาตรฐานการเรียนรู้ระบุสิ่งที่ผู้เรียนเพิ่งรู้ ปฏิบัติได้ มีคุณธรรมจริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐานนอกจากนั้น มาตรฐานการเรียนรู้ยังเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนพัฒนาการศึกษา ทั้งระบบ เพราะมาตรฐานการเรียนรู้จะสะท้อนให้ทราบว่าต้องการอะไร จะสอนอย่างไร และประเมินอย่างไร รวมทั้งเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบ เพื่อการประกันคุณภาพการศึกษา โดยใช้ระบบการประเมินคุณภาพภายใน และการประเมินคุณภาพภายนอก ซึ่งรวมถึงการทดสอบระดับเขตพื้นที่การศึกษา และการทดสอบระดับชาติ ระบบการตรวจสอบเพื่อประกันคุณภาพดังกล่าว เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสะท้อนภาพการจัดการศึกษาว่า สามารถ พัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามที่มาตรฐานการเรียนรู้กำหนดเพียงใด


15 1.1.7 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ วิชาภาษาไทย สาระที่ 1 การอ่าน ท.1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนำไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการ ดำเนินชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน ตัวชี้วัดชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 1. อ่านออกเสียงคำ คำคล้องจอง ข้อความ และบทร้อยกรองง่ายๆ ได้ถูกต้อง 2. อธิบายความหมายของคำและข้อความที่อ่าน 3. ตั้งคำถามและตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน 4. ระบุใจความสำคัญและรายละเอียดจากเรื่องที่อ่าน 5. แสดงความคิดเห็นและคาดคะเนเหตุการณ์จากเรื่องที่อ่าน 6. อ่านหนังสือตามความสนใจอย่างสม่ำเสมอ และนำเสนอเรื่องที่อ่าน 7. อ่านข้อเขียนเชิงอธิบายและปฏิบัติตามคำสั่งหรือข้อแนะนำ 8. มีมารยาทในการอ่าน สาระที่ 2 การเขียน ท.2.1 ใช้กระบวนการเขียน เขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียนเรื่องราวใน รูปแบบต่างๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศ และรายงานการศึกษาค้นคว้าอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวชี้วัดชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 1. คัดลายมือตัวบรรจงเต็มบรรทัด 2. เขียนเรื่องสั้นๆ เกี่ยวกับประสบการณ์ 3. เขียนเรื่องสั้นๆ ตามจินตนาการ 4. มีมารยาทในการเขียน สาระที่ 3 การฟัง การดู และการพูด ท.3.1 สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด ความรู้สึก ในโอกาสต่างๆ อย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์ ตัวชี้วัดชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 1. ฟังคำแนะนำ คำสั่งที่ซับซ้อนและปฏิบัติตาม 2. เล่าเรื่องที่ฟังแลดูทั้งที่เป็นความรู้และความบันเทิง 3. บอกสาระสำคัญของเรื่องที่ฟังแลดู 4. ตั้งคำถามและตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่ฟังแลดู


16 5. พูดแสดงความคิดเห็นและความรู้สึกจากเรื่องที่ฟังแลดู 6. พูดสื่อสารได้ชัดเจนตรงตามวัตถุประสงค์ 7. มีมารยาทในการฟัง การดูและการพูด สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย ท.4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษา และหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลัง ของภาษาภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ ตัวชี้วัดชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 1. บอกและเขียนพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ยุค และเลขไทย 2. เขียนสะกดคำและบอกความหมายของคำ 3. เรียบเรียงคำเป็นประโยคได้ตรงตามเจตนาของการสื่อสาร 4. บอกลักษณะคำคล้องจอง 5. เลือกใช้ภาษาไทยมาตรฐานและภาษาถิ่นได้เหมาะสมกับกาลเทศะ สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม ท.5.1 เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่างเห็นคุณค่า และนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ตัวชี้วัดชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 1. ระบุข้อคิดเห็นที่ได้จากการอ่านหรือการฟังวรรณกรรมสำหรับเด็ก เพื่อนำไปใช้ใน ชีวิตประจำวัน 2. ร้องบทร้องเล่นสำหรับเด็กในท้องถิ่น 3. ท่องจำบทอาขยานตามที่กำหนด และบทร้อยกรองที่มีคุณค่าตามความสนใจ จากการศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 เป็นการมุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่ง เป็นกำลังของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมือง ไทยและพลเมืองโลกยึดมั่นในการปกครองตามระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้ และทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ และการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้น ผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่า ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ


17 2. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหลักการออกแบบของ ASSURE Model 2.1 ความหมายของ ASSURE Model 1. Analyze learners (การวิเคราะห์ลักษณะผู้เรียน) การวิเคราะห์ลักษณะของผู้เรียน จะทำให้ผู้สอน เข้าใจลักษณะของผู้เรียนและสามารถเลือกใช้สื่อการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับผู้เรียนและบรรลุวัตถุประสงค์ ของการเรียนการสอน การวิเคราะห์ผู้เรียนนั้นจะวิเคราะห์ใน 2ลักษณะ คือ 1. ลักษณะทั่วไป เป็นลักษณะที่เกี่ยวข้องกับการเลือกใช้สื่อการเรียนการสอนโดยตรง ได้แก่ เพศ อายุ ชั้น ปีที่เรียน ระดับสติปัญญา ความถนัด วัฒนธรรม สังคม ฯลฯ 2. ลักษณะเฉพาะ เป็นลักษณะที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่จะสอน ซึ่งจะมีผลต่อการเลือกวิธีการสอนและสื่อ การเรียนการสอน ได้แก่ 2.1 ความรู้และทักษะพื้นฐานของผู้เรียนในเนื้อหาที่จะสอน 2.2 ทักษะที่เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ของผู้เรียน เช่น ทักษะด้านภาษา คณิตศาสตร์ การอ่าน และการใช้เหตุผล 2.3 ผู้เรียนมีความรู้และทักษะที่จะสอนนั้นหรือไม่ 2.4 ทัศนคติของผู้เรียนต่อวิชาที่จะเรียน 2. State objectives (การกำหนดวัตถุประสงค์) การเรียนการต้องมีการกำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม ที่กำหนดความสามารถของผู้เรียนว่าจะทำอะไรได้บ้าง ในระดับใด และภายใต้ เงื่อนไขใดไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้สามารถเลือกใช้วิธีการสอนและสื่อการเรียนการสอนได้เหมาะสม โดยวัตถุประสงค์ทางการศึกษาทั้ง 3ด้าน คือ 1. พุทธิพิสัย เป็นวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้เพื่อวัดการเรียนรู้ของผู้เรียนเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจ สติปัญญา และการพัฒนา 2. จิตพิสัย เป็นวัตถุประสงค์ทางด้านความคิด ทัศนคติ ความรู้สึก ค่านิยมและการเสริมสร้างทางปัญญา 3. ทักษะพิสัย เป็นวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวกับการกระทำ การแสดงออกหรือการปฏิบัติ 3. Select instructional methods, media, and materials (การเลือก ดัดแปลงหรือออกแบบ สื่อใหม่) การที่จะมีสื่อที่เหมาะสมในการเรียนการสอนนั้น สามารถทำได้ 3 วิธีด้วยกัน คือ 1. การเลือกสื่อที่มีอยู่แล้ว เป็นการพิจารณาเลือกสื่อการเรียนการสอน ที่มีอยู่แล้วจากแหล่งต่างๆ เพื่อนำมาใช้ในการเรียนการสอน การเลือกสื่อที่มีอยู่แล้วควรมีเกณฑ์ในการพิจารณาดังนี้ • ลักษณะผู้เรียน • วัตถุประสงค์การเรียนการสอน • เทคนิคหรือวิธีการเรียนการสอน


18 • สภาพการณ์และข้อจำกัดในการใช้สื่อการเรียนการสอนแต่ละชนิด 2. การปรับปรุง หรือดัดแปลงสื่อที่มีอยู่แล้ว กรณีที่สื่อการเรียนที่มีอยู่แล้วไม่เหมาะสมกับการใช้ในการเรียนการสอน ให้พิจารณาว่าสามารถนำมา ปรับปรุงให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การเรียนการสอนได้หรือไม่ ถ้าปรับปรุงได้ก็ให้ปรับปรุงก่อนนำไปใช้ 3. การออกแบบสื่อใหม่ กรณีที่สื่อการเรียนการสอนที่มีอยู่ไม่สามารถนำมาใช้ได้หรือไม่เหมาะสมที่จะนำมาปรับปรุงใช้ หรือไม่มีสื่อ การเรียนการสอนที่ต้องการใช้ในแหล่งบริการสื่อการเรียนการสอนใดเลย ก็จำเป็นต้องออกแบบและสร้างสื่อการ เรียนการสอนขึ้นมาใหม่ 4. Utilize media and materials (การใช้สื่อ) ขั้นตอนการใช้สื่อการเรียนการสอน มีขั้นตอนที่สำคัญ อยู่ 4 ขั้นตอน คือ 1. ดูหรืออ่านเนื้อหาในสื่อ / ทดลองใช้ ก่อนนำสื่อการเรียนการสอนใดมาใช้จำเป็นต้องมีการตรวจสอบ เนื้อหาว่าตรงตามวัตถุประสงค์หรือไม่ จะได้แก้ไขปรับปรุงได้ทัน 2. เตรียมสภาพแวดล้อม / จัดเตรียมสถานที่ การที่จะใช้สื่อการเรียนการสอนจำเป็นที่ต้องมีการเตรียม สถานที่ สิ่งอำนวยความสะดวก ให้เหมาะสมกับการใช้สื่อการสอนแต่ละชนิด 3. เตรียมผู้เรียน ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้จากการใช้สื่อการเรียนการสอนได้ดีนั้น จะต้องมีการเตรียม ผู้เรียนให้พร้อมที่จะเรียนเรื่องนั้น ๆ มีการเร้าความสนใจ หรือเน้นจุดที่ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ 4. การนำเสนอ / ควบคุมชั้นเรียน ผู้สอนที่ทำหน้าที่ผู้เสนอสื่อการเรียนการสอนนั้น ในการนำเสนอควร ปฏิบัติดังนี้ 4.1 ต้องทำตัวเป็นตัวกลางที่จะทำให้การนำเสนอครั้งนั้นประสบความสำเร็จ โดยการทำตัวให้เป็น ธรรมชาติ 4.2 ขณะที่บรรยายนำเสนอสื่อการเรียนการสอนต้องสอดแทรกอารมณ์ขันบ้า 4.3 ประเมินความสนใจของผู้เรียน โดยใช้การกวาดสายตามองผู้เรียนให้ทั่วทั้งชั้นซึ่งเป็นการแสดง ความสนใจผู้เรียน และวิเคราะห์สีหน้า ท่าทางของผู้เรียนไปพร้อมกัน 5. Require learner participation (การกำหนดการตอบสนองของผู้เรียน) การใช้สื่อในการเรียน การสอนแต่ละครั้ง ผู้สอนต้องจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมและกระตุ้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอน โดยเปิด โอกาสให้ผู้เรียนสามารถ ตอบสนองโดยเปิดเผย โดยการพูดหรือเขียน เมื่อผู้เรียนมีการตอบสนองผู้สอนควรให้การ เสริมแรงทันที เพื่อให้ผู้เรียนทราบว่าตนมีความเข้าใจและเกิดการเรียนรู้ที่ถูกต้องหรือไม่ โดยการให้ทำแบบฝึกหัด การตอบคำถาม การอภิปราย หรือการใช้บทเรียนแบบโปรแกรม


19 6. Evaluate and revise (การประเมินการใช้สื่อ) หลังจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแล้ว จำเป็นต้องมีการประเมินผลกระบวนการเรียนการสอนเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ช่วยให้ผู้สอนทราบว่า การเรียนการสอน บรรลุวัตถุประสงค์มากน้อยเพียงใดสิ่งที่ต้องประเมินได้แก่ การประเมินผลกระบวนการเรียนการสอน จะทำให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงและพัฒนา วิธีการสอนและการใช้สื่อการเรียนในครั้งต่อ ๆ ไปให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การประเมินสื่อและวิธีการเรียนการสอน เพื่อให้ทราบว่าสื่อและวิธีการสอนที่ใช้มีประสิทธิภาพมากน้อย เพียงใด ต้องปรับปรุงแก้ไขหรือไม่ ช่วยให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์เพิ่มขึ้นหรือไม่ การประเมินผลสื่อการเรียนการสอน ควรให้ครอบคลุม ด้านความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การเรียนการสอน ด้านคุณภาพของสื่อ เช่น ขนาด รูปร่าง สี ความชัดเจนของสื่อ 2.2 หลักการและที่มาของ Assure Model (Heinich, และคณะ)การใช้สื่อการสอนอย่างเป็นระบบ โดยใช้แบบจำลองในการใช้สื่อการสอนนั้น ผู้สอน ควรจะมีการวางแผนการใช้สื่ออย่างรัดกุม และเป็นระบบ ทั้งนี้เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการปฎิบัติ ซึ่งจะทำให้ ผู้สอนเกิดความมั่นใจในการใช้สื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้สูงสุด ตามความสามารถของ แต่ละบุคคล และตรงตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่วางไว้ การวางแผนการใช้สื่อการสอนโดยใช้แนวคิดของ วิธี ระบบ เป็นแนวทางหนึ่งที่ทำให้การวางแผนการใช้สื่อการสอนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ " The ASSURE Model" เป็นแบบจำลองที่ได้รับความนิยมในการนำไปใช้ เพื่อวางแผนการใช้สื่อกสารสอนอย่างมีประสิทธิภาพ 2.3 สรุปหัวใจหลักของ Assure Model จากรูปแบบจำลอง The ASSURE model จะเน้นถึงการวางแผนการใช้สื่ออย่างเป็นระบบในสภาพของ ห้องเรียนจริง เพื่อให้ผู้สอนสามารถนำรูปแบบจำลองนี้ มาใช้วางแผนการสอนได้อย่างมีประสิทธิผล ถ้าหากผู้สอน สามารถดำเนินการได้ตามกระบวนการได้ถูกต้องทุกขั้นตอนจะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี 2.4 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหลักการออกแบบของ ASSURE Model 2.4.1 งานวิจัยในประเทศ ภวิสาณัชช์ ศรศิริวงศ์ (2563 : บทคัดย่อ) ห้องเรียนเสมือนจริง ในปัจจุบันเทคโนโลยีสื่อสารมี ความเจริญมาก มีการสร้างนวัตกรรมทางการศึกษาในโลกยุคไร้พรมแดน การเรียนการสอนในรูปแบบนี้อาศัยสื่อ อิเล็กทรอนิกส์โทรคมนาคม และเครือข่ายคอมพิวเตอร์เป็นหลัก ที่เรียกว่า ห้องเรียนเสมือนจริง เป็นการใช้ ซอฟต์แวร์จัดประสบการณ์เรียนรู้ที่ช่วยสนับสนุนผู้เรียน อํานวยความสะดวกในการเรียนรู้และมีส่วนร่วม ผู้เรียน และผู้สอนสามารถเลือกสถานที่ ความสนใจและเวลาด้วยตนเองผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ทําให้เกิดการแลก เปลี่ยนเรียนรู้จากการร่วมกิจกรรมกลุ่ม กับผู้สอนหรือเพื่อน ๆ ร่วมชั้นได้เต็มที่ โดยไม่จําเป็นต้องอยู่ในห้องเรียน จริง ๆ ข้อจํากัดของห้องเรียนเสมือนจริง พบว่า อุปกรณ์และซอฟต์แวร์มีราคาแพง ความล่าช้าในการรอข้อมูล


20 ย้อนกลับ ผู้เรียนต้องใช้คอมพิวเตอร์ได้เป็นอย่างดี ปฏิสัมพันธ์การเรียนไม่มีความเป็นธรรมชาติและมีน้อยเกินไป และผู้เรียนขาดความรับผิดชอบในการเรียนด้วยตนเองผู้สอนอาจใช้ซอฟต์แวร์ Second Life มาพัฒนาห้องเรียน เสมือนจริง ซึ่งเป็นโลกเสมือนบนอินเทอร์เน็ต สื่อสารและปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้อื่น ๆ สําหรับอาจารย์คณะ ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากรที่จะนําห้องเรียนเสมือนจริงมาใช้ในการเรียนการสอนนั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียง เครื่องมือหนึ่งในการส่งเสริมการเรียนรู้ หากยังไม่สามารถทดแทนการเรียนการสอนทางวิชาชีพครูอย่างแท้จริงได้ เพราะศึกษาศาสตร์ เป็นศาสตร์ที่ต้องอาศัยทักษะความรู้ ทัศนคติ และการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู ในการ ออกไปเป็นประกอบวิชาชีพครูที่ดี ดังนั้น ห้องเรียนเสมือนจริงจึงไม่สามารถทดแทนได้ทั้งหมดคําสําคัญ: ห้องเรียน เสมือนจริง, โปรแกรมจําลองสังคม 3 มิติ*นักวิชาการอุดมศึกษาปฏิบัติการ ภาควิชาการบริหารการศึกษา คณะ ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร มนตรี รุ่งเรือง , อมร ปิยะวาจี, โชคดี ศรีสมบัติ (2560 : บทคัดย่อ) ศึกษาการออกแบบผลิตภัณฑ์สื่อการ เรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์สำหรับเด็ก พบการวิจัยว่าค่าเฉลี่ยเลขผลิตภัณฑ์สื่อการเรียนการสอน วิชา คณิตศาสตร์สำหรับเด็ก ที่ผู้วิจัยพัฒนาออกแบบขึ้นมีผลรวมค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.64 ซึ่ง หมายความว่าอยู่ในเกณฑ์ที่มี ความเหมาะสมมากที่สุด เมื่อผู้วิจัยได้ทำการทดสอบและหาความพึงพอใจของผลิตภัณฑ์สื่อการเรียนการสอนวิชา คณิตศาสตร์สำหรับเด็กเสร็จสิ้นแล้ว ผู้วิจัยได้นำผลิตภัณฑ์สื่อการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์สสำหรับเด็กไป บริจาค กรกฎา นักคิ้ม และปวีณา อ่อนใจเอื้อ (2564 : บทคัดย่อ) ศึกษาความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ ASSURE Model เพื่อวางแผนการใช้สื่อและเทคโนโลยีในการแนะแนวของนิสิตปริญญาตรี คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผลการวิจัยพบว่า 1) คะแนนความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับ ASSURE Model ของนิสิตที่ เข้าร่วมกิจกรรมในระยะหลังการทดลอง (x̅= 3.72) สูงกว่าระยะก่อนการทดลอง (x̅= 2.48) อย่างมีนัยสำคัญที่ .05 2) นิสิตมีความพึงพอใจเกี่ยวกับสิ่งที่ได้รับจากการเข้าร่วมกิจกรรมอยู่ในระดับมากที่สุด 3 ด้าน ตามลำดับ คือ การ นำ ASSURE Model มาใช้ในการวางแผน การจัดกิจกรรมมีความเหมาะสมกับเนื้อหาของรายวิชา (x̅= 4.59) การเข้าร่วมกิจกรรมช่วยให้นิสิตมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการออกแบบการใช้เทคโนโลยีและสื่อการเรียนรู้เพื่อ การแนะแนวโดยใช้ ASSURE Model (x̅= 4.43) การเข้าร่วมกิจกรรมช่วยให้นิสิตมีแนวทางในการออกแบบหรือ เลือกประยุกต์ใช้เทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม (x̅= 4.40) รักชนก อินจันทร์, ชญานิน วังตาล และกฤษณกัณฑ์ภาโพธิรัตน์ (2563 : บทคัดย่อ) ศึกษาแนวทางการ จัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบ ASSURE Model วิชาการงานอาชีพ ของครูผู้สอนในจังหวัดเชียงราย งานวิจัยนี้มี วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบริบทการใช้สื่อการเรียนรู้รายวิชาการงานอาชีพ ศึกษาแนวทางสร้างสื่อการเรียนรู้โดยใช้ ASSURE Model ในรายวิชาการงานอาชีพ เพื่อพัฒนาสื่อการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 และประเมินความพึงพอใจ การพัฒนาสื่อการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ด้วย Mobile Application สำหรับครูผู้สอน กลุ่มสาระการเรียนรู้การ งานอาชีพ ระดับมัธยมศึกษาของจังหวัดเชียงราย กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ได้แก่ ครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้การ


21 งานอาชีพ ระดับมัธยมศึกษาของโรงเรียน จังหวัดเชียงราย จำนวน 5 คน เลือกโดยวิธีการตามสะดวกหรือสมัครใจ เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถาม เรื่องบริบทการใช้สื่อการเรียนรู้รายวิชาการงานอาชีพ แบบ บันทึกการสนทนากลุ่ม เรื่องการวิเคราะห์ ASSURE Model การใช้สื่อการเรียนรู้รายวิชาการงานอาชีพ และแบบ ประเมินความพึงพอใจการพัฒนาสื่อการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ด้วยโมบายแอพพลิเคชั่น (Mobile Application) สำหรับครูผู้สอน กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ ระดับมัธยมศึกษาของจังหวัดเชียงราย ผลการวิจัย พบว่า ครูผู้สอนมีประสบการณ์สอน 3 ปี ถึง 36 ปี สอนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 แต่ละภาคเรียนมีการปรับเปลี่ยน ระดับชั้นตามรายวิชาตามความเชี่ยวชาญของผู้สอน การเรียนการสอนปัจจุบันเป็นรูปแบบออนไลน์พร้อมกับการ เรียนรูปแบบปกติทำให้ครูต้องใช้สื่อการสอนที่มีความหลากหลาย แนวทางสร้างสื่อการเรียนรู้โดยใช้ ASSURE Model ในรายวิชาการงานอาชีพ ได้ดำเนินการโดยใช้แบบจำลองการใช้สื่อ ASSURE Model กับครูผู้สอนได้ พัฒนาสื่อโดยออกแบบเนื้อหาการสอนด้วยโปรแกรม Canva และใช้Google Drive Google Form Google Slides ใช้ร่วมกับ Google Classroom และ Google Meet ครูผู้สอนมีความพึงพอใจการพัฒนาสื่อการเรียนรู้ใน ศตวรรษที่ 21 ด้วย Mobile Application ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x̅= 4.64) อรพร คัมภีรศาสตร์ (2560 : บทคัดย่อ) ศึกษาการพัฒนาเกณฑ์การประเมินพระต้นแบบด้านสื่อการเรียนรู้ ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ผลการวิจัยพบว่า1) ด้านการวิเคราะห์คุณลักษณะของผู้เรียน พบว่า ผู้สอนเน้นปลูกฝัง เรื่องคุณงามความดี หลักคําสอนของพระพุทธองค์2) ด้านการเลือก ดัดแปลง หรือออกแบบสื่ออใหม่ พบว่า ผู้สอน ปลุกศรัทธา ให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน เลือกสื่อที่ไม่ขัดต่อความมั่นคงของชาติ ส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมและวัฒนธรรม อันดีของผู้เรียน และผลิตสื่ออโดยคํานึงถึงความถูกต้อง 3) ด้านการใช้สื่อ พบว่า ผู้สอนเข้าใจหลักธรรม คําสอน ประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอยางที่ดี มีวิธีสอนที่หลากหลาย ใช้สื่อสอดคลองกับเนื้อหา วัตถุประสงค์ สื่อเป็น รูปธรรม เก็บรักษาง่าย เร้าความสนใจของผู้เรียน โดยคํานึงถึงวัยและความพร้อมของผู้เรียน กิจกรรม โดยใช้ แบบทดสอบ ข้อสอบเพื่อวัดความรูของผูเรียน และ การนําความรูไปประยุกตใชในชีวิตประจําวัน 2.4.2 งานวิจัยต่างประเทศ Zafer Batır และ Özlem Sadi (2563: 119) ได้ทำการศึกษาตรวจสอบโมดูลวิทยาศาสตร์ที่วางแผนไว้ และดำเนินการตาม ASSURE Model เพื่อสอนมาตรฐานหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับพลังงานศักย์ พลังงานศักย์โน้ม ถ่วงและผลกระทบของมวลและความสูงที่มีต่อพลังงานศักย์โน้มถ่วง โดยปฏิบัติตามหกขั้นตอนของแบบ ASSURE Model ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการศึกษาต่างๆ แอปพลิเคชันแบบโต้ตอบและการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติ กิจกรรม. ผลการศึกษาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าการใช้งานต่างๆ ของ ASSURE Model สามารถใช้ในการวางแผนหน่วย การเรียนการสอน/บทเรียนได้สำหรับหัวข้อวิทยาศาสตร์อื่นๆ


22 3. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวกับสื่อการเรียนรู้ 3.1 ความหมายของสื่อการเรียนรู้ สื่อการเรียนการสอน ตรงกับคําภาษาอังกฤษวา “Instructional Media” แปลว่าสื่อการสอนหรือสื่อ การเรียนการสอน ซึ่งได้มีนักการศึกษาหลายท่าน ทั้งในประเทศและต่างประเทศให้ความหมายของสื่อการเรียน การสอนไว้ ดังนี้ กิดานันท มลิทอง (2523 : 76) สรุปว่า สื่อการเรียนการสอน หมายถึง ตัวกลางที่ช่วยนําและ ถ่ายทอดความรู้จากครูผู้สอนหรือจากแหล่งความรู้ไปยังผู้เรียนเพื่อให้ผู้เรียนสามารถบรรลุวัตถุประสงค์การเรียน ที่ตั้งไว้ เช่นเดียวกับชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2539 : 13) สรุปได้ว่า สื่อการสอน หมายถึง วัสดุ อุปกรณ์และวิธีการ ที่ใช้ เป็นสื่อกลางให้ผู้สอนสามารถส่ง หรือถ่ายทอดความรู้ เจตคติและทักษะไปยังผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไชยยศ เรืองสุวรรณ (2533 : 80) สรุปว่า สื่อการเรียนการสอน หมายถึง สิ่งต่างๆ ที่ผู้สอน และผู้เรียน นํามาใช้ในระบบการเรียนการสอน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดมุงหมายของการเรียนการสอนได้อย่าง มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับมนตรี แย้มกสิกร (2526 : 29) ได้กล่าวไว้ว่า สื่อการเรียนการสอน หมายถึง ตัวกลางที่ช่วยนําความรู้จากผู้สอนหรือแหล่งความรู้ไปยังผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุจุดประสงค์ เชิงพฤติกรรม ตามที่ต้องการ วาสนา ชาวหา (2525 : 15) สรุปว่า สื่อการเรียนการสอน หมายถึง สิ่งใดก็ตามที่เป็นตัวกลางนําความรู้ ไปสู่ผู้เรียน และทําให้การเรียนการสอนนั้นเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ พิมพ์วรรณ เทพสุมาธานนท์ (2531 : 29) ได้กล่าวว่า สื่อการเรียนการสอน หมายถึง ตัวกลางที่ช่วยนํา ความรู้จากผู้สอนหรือแหล่งความรู้ไปยังผู้เรียนเพื่อใหผู้เรียนบรรลุจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมตามที่ต้องการ เกอรลัช และอีไล (Gerlach, and Ely, 1982 : 282) อ่างถึงในกิดานันท มลิทอง (2540 : 2) ให้ ความหมายของคําว่า สื่อการเรียนการสอนว่า สื่อการสอนมีบทบาทเป็นกุญแจสําคัญในการวางแผนและการใช้การ สอนเชิงระบบ สื่อมีความหมายมากไม่ว่าจะเป็นบุคคล วัสดุ อุปกรณ์วิธีการ หรือเหตุการณ์ที่สร้างเงื่อนไข ซึ่ง สามารถทําให้ผู้เรียนเกิดความรู้ทักษะและทัศนคติต่างๆ ตามความหมายนี้ อาจารย์ ตํารา และสิ่งแวดล้อมใน โรงเรียนเป็นสื่อทั้งสิ้น บราวน์ และคนอื่นๆ (Brown and others. 1977 : 5) ได้กล่าวว่า สื่อการเรียนการสอน คือ อุปกรณ์ ทั้งหลายที่สามารถช่วยเสนอความรู้ให้แก่ผู้เรียนจนเกิดผลการเรียนที่ดี ทั้งที่มีความหมายรวมถึงกิจกรรมต่างๆ ที่ไม่ เฉพาะแต่สิ่งที่เป็นวัตถุ หรือเครื่องมือเท่านั้นจากความหมายสื่อการเรียนการสอนหรือสื่อการสอนที่นักการศึกษาได้ กล่าวไว้ข้างต้นนั้น สรุปได้ว่า สื่อการเรียนการสอนหมายถึง วัสดุ อุปกรณ วิธีการ และตัวกลางที่สามารถถ่ายทอด ความรู้จากผู้สอนหรือแหล่งความรู้ต่างๆ ไปยังผู้เรียนเพื่อให้ผู้เรียนได้รับรู้เรื่องราวหรือความรู้ได้อย่างมี ประสิทธิภาพและบรรลุจุดประสงค์ที่วางไว้


23 3.2 ประเภทของสื่อการเรียนรู้ สื่อการเรียนการสอนแต่ละประเภท แต่ละชนิดจะมีคุณค่าและเกิดประโยชน์ต่อผู้เรียนอย่างสูงสุดก็ ต่อเมื่อ ผู้สอนสามารถเลือกสื่อการเรียนการสอนแต่ละประเภทมาใช้ได้เหมาะสมตรงกับเนื้อหา วัตถุประสงค์ของ หลักสูตร และสามารถตอบสนองความต้องการของผู้เรียนได้ กิดานันท์ มลิทอง (2531 : 79 -80) ได้จําแนกสื่อการเรียนการสอนตามทรัพยากรการเรียนรู้ (Learning resource) เป็น 5 รูปแบบ 1. คน (People) หมายถึง บุคลากรที่อยู่ในระบบของโรงเรียน เช่น ครูผู้บริหารผู้ช่วยสอน ผู้แนะแนว การศึกษาหรือผู้ที่อํานวยความสะดวกในด้านต่างๆ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ 2. วัสดุ (Meterials) หมายถึง วัสดุที่บรรจุเนื้อหาในบทเรียน เช่น หนังสือ สไลด์แผนที่ หรือสิ่่งต่างๆ ที่ เป็นทรัพยากรในโรงเรียนและได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยอํานวยความสะดวก 3. อาคารสถานที่ (Setting) หมายถึง อาคารที่ใช้ในการเรียนการสอน เช่น อาคารเรียน อาคาร เอนกประสงค์ อาคารเฉพาะ สนามกีฬา แปลงเกษตร 4. เครื่องมือและอุปกรณ์ (Tool and Equipment) เป็นทรัพยากรทางการเรียนรู้เพื่อช่วยในการผลิต หรือใช้ร่วมกับทรัพยากรอื่น 5. กิจกรรม (Activities) เป็นการดําเนินงานที่จัดขึ้นเพื่อกระทํารวมกับทรัพยากรอื่นๆ หรือเป็นเทคนิค วิธีการพิเศษเพื่อการเรียนการสอน เช่น การออกแบบโปรแกรม เกม และการจําลอง การจัดทัศนศึกษา ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2529 : 112) ได้แบ่งสื่อการสอนเป็น 3 ประเภท ดังนี้ 1. วัสดุ หมายถึง สิ่งของช่วยสอนที่มีการผุพังสิ้นเปลือง เช่น ชอล์ก ฟิล์ม ภาพถายสไลด์ภาพยนตร์ ฯลฯ 2. อุปกรณ์ หมายถึง สิ่งช่วยสอนที่เป็นเครื่องมือ เช่น กระดานดํา กล้องถ่ายรูป เครื่องฉายภาพยนตร์ เครื่องรับโทรทัศน์ ฯลฯ 3. กระบวนการและวิธีการ ได้แก่ การจัดระบบ การสาธิต การทดลองและกิจกรรมต่างๆ โดย เฉพาะ กิจรรมที่ครูจัดทําขึ้นและมุ่งให้นักเรียนปฏิบัติ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2547 : ออนไลน์) ได้จําแนกสื่อการสอนซึ้งเรียกว่า “โสตทัศนูปกรณ์” ออกเป็น 6 ประเภท 1. วัสดุลายเส้น มี 9 ชนิด คือ กระดานดํา แผนที่และลูกโลก การ์ตูน โปสเตอร์ แผนภาพ แผนสถิติ แผนภูมิ แผ่นปานสําลี และป้ายนิเทศ 2. วัสดุมีทรง มี 6 ชนิด คือ ตู้อันตรทัศน์ พิพิธภัณฑ์โรงเรียน ของเลียนแบบ ของจําลอง ของตัวอย่าง และของจริง


24 3. โสตวัสดุ มี 4 ชนิด คือ ระบบเสียง แผนเสียง และวิทยุ 4. ภาพนิ่ง มี 10 ชนิด คือ ภาพผนัง สมุดภาพ ภาพสามมิติ ภาพเขียน รูปภาพภาพถ่าย ฟิล์ม สตริป สไลด์ ภาพโปร่งแสง และรูปตัดมาจากหนังสือ 5. กิจกรรมร่วม แบ่งเป็น 8 ชนิด ได้แก่ งานที่เป็นโครงการ การเล่นละคร การแสดงบทบาท การสาธิต การศึกษานอกสถานที่ นิทรรศการ การทดลอง กระบะทราย 6. ภาพยนตรและโทรทัศน์ ชนะ กลิภาร (2530 : 14 -16) ได้จําแนกประเภทสื่อการสอนออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ 1. สื่ออุปกรณ์หรือสื่อหนัก (Hardware) คือ อุปกรณ์เทคนิคทั้งหลาย เช่น เครื่องฉายภาพยนตร์เครื่อง ฉายสไลด์ เครื่องฉายภาพโปรงแสง เครื่องบันทึกเทป/โทรทัศน์ และเครื่องเรียนด้วยคอมพิวเตอร์ 2. สื่อประเภทวัสดุหรือสื่อเบา (Software) คือ วัสดุในการเรียนรู้ เช่น ฟิล์มภาพยนตร์ สไลด์ แผ่นโปรง แสดง และโปรแกรมสําหรับคอมพิวเตอร์ เป็นต้น บางชนิดใช้เนื้อหาและใบงาน ไชยยศ์ เรืองสุวรรณ (2526 : 4) ได้แบ่งสื่อการสอนตามลักษณะรูปร่างของสื่อไว้ 4ประเภท คือ 1. สื่อประเภทเครื่องมือ เป็นสื่อที่ได้จากความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์แขนงวิศวกรรมไฟฟ้าและ อิเล็กทรอนิกส์ เช่น เครื่องฉายต่างๆ เครื่องเสียง วิทยุและโทรทัศน์รวมทั้งแผ่นป้ายต่างๆ 2. สื่อประเภทวัสดุ หมายถึง สื่อที่ได้จากความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เป็นวัสดุ ที่มีการผุผัง สิ้นเปลืองได้ง่าย เช่น แผนที่ แผนสถิติ ภาพโฆษณา แผนภูมิ รูปภาพ หุนจําลองของจริง และอื่นๆ 3. สื่อประเภทวิธีการ หมายถึง สื่อประเภทเทคนิค ระบบกระบวนการต่างๆ เช่น การสาธิต การศึกษา นอกสถานที่ การทดลอง การแสดงละคร นิทรรศการ 4. สื่อประสม หมายถึง การนําสื่อประเภทต่างๆ ทั้งที่เป็นเครื่องมือวัสดุและวิธีการมาใช้ร่วมกันอย่าง สัมพันธ์กัน ในลักษณะที่สื่อแต่ละอยางส่งเสริมสนับสนุนซึ่งกันและกัน เช่น บทเรียน โปรแกรม ชุดการสอน การ จัดการเรียนการสอนแบบศูนย์การเรียน เอดการ์ เดล (Edgar Dale) อ้างถึงในกิดานันท์ มลิทอง (2540 : 81 -82) ได้จัดแบ่งสื่อการสอน และ การแสดงขั้นตอนของประสบการณ์การเรียนรู้และการใช้แต่ละประเภทในกระบวนการเรียนรู้ โดยพัฒนาความคิด ของนักจิตวิทยา บรุนเนอร์ (Bruner) นํามาสร้างเป็น “กรวยประสบการณ์”(Cone of Experiences) 1. ประสบการณ์ตรง เป็นประสบการณ์ขั้นที่เป็นรูปธรรมมากที่สุด โดยการให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ โดยตรงจากของจริง สถานการณจริง หรือด้วยการกระทําจริงของตนเอง เช่น การจับต้อง การเห็น 2. ประสบการณ์การร้อง เป็นการเรียนรู้โดยให้ผู้เรียนจากสิ่งที่ใกล้เคียงกับความจริงที่สุด เช่น ของ จําลอง สถานการณ์จําลอง


25 3. ประสบการณ์นาฏกรรมหรือการแสดง เป็นการแสดงบทบาทสมมติหรือการแสดงละคร เพื่อเป็นการ จัดประสบการณ์ให้แก่ผู้เรียนในเรื่องที่มีขอจํากัดด้วยยุคสมัย เวลา สถานที่ เช่น เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์หรือ เรื่องราวที่เป็นนามธรรม 4. การสาธิต เป็นการแสดงหรือการกระทําประกอบคําอธิบาย เพื่อให้เห็นลําดับขั้นตอนของการ กระทํานั้น 5. การศึกษานอกสถานที่ เป็นการให้ผู้เรียนได้รับและเรียนรู้ประสบการณ์ภายนอกสถานที่เรียนอาจ เป็นการเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ หรือการสัมภาษณบุคคลต่างๆ 6. นิทรรศการ เป็นการจัดแสดงสิ่งของต่างๆ การจัดป้ายนิทรรศการ เพื่อให้สารประโยชน์ และความรู้ แก่ผู้ชม เป็นการใช้ประสบการณ์แก่ผู้ชมโดยนําประสบการณ์หลากหลายผสมผสานกันมากที่สุด 7. โทรทัศน์ เพื่อให้ขอมูลความรู้แก่ผู้เรียน หรือผู้ชมที่อยู่ในห้องเรียนหรืออยู่ทางบ้าน การสอนอาจจะ เป็นการสอนสด หรือบันทึกลงวีดีทัศน์ก็ได้ 8. ภาพยนตร์ เป็นภาพที่บันทึกเรื่องราวเหตุการณ์ลงบนฟิล์ม เพื่อให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ทั้งภาพ และเสียง โดยใช้ประสาทตาและหู 9. การบันทึกเสียง วิทยุ ภาพนิ่ง ข้อมูลที่อยู่ในสื่อขั้นนี้จะให้ประสบการณ์แก่ผู้เรียน ที่ถึงแม้จะอ่าน หนังสือไ่ม่ออก แต่ก็สามารถจะเข้าใจเนื้อหาเรื่องราวที่สอนได้ 10. ทัศนสัญลักษณ์ เช่น แผนที่ แผนภูมิ หรือเครื่องหมายต่างๆ อันเป็นสัญลักษณ์แทนความเป็นจริง ของสิ่งต่างๆ หรือข้อมูลที่ต้องการให้เรียนรู้ 11. วัจนสัญลักษณ์ เป็นประสบการณ์ในขั้นที่เป็นนามธรรมมากที่สุด ได้แก่ ตัวหนังสือในภาษาเขียน และเสียงของคําพูดในภาษาพูด จากกรวยประสบการณ์ เดลได้จําแนกสื่อการสอนออกเป็น 3 ประเภท คือ 1. สื่อประเภทวัสดุ (Software) หมายถึง สื่อที่เก็บความรู้อยู่ในตัวเอง ซึ่งจําแนกย้อยเป็น 1.1 วัสดุประเภทที่สามารถถ่ายทอดความรู้ได้ด้วยตนเอง โดยไม่จําเป็นต้องอาศัยอุปกรณ์อื่นช่วย เช่น แผนที่ ลูกโลก รูปภาพหุนจําลอง เป็นต้น 1.2 วัสดุประเภทที่ไม่สามารถถ่ายทอดความรู้ได้ด้วยตนเอง โดยไม่จําเป็นต้องอาศัยอุปกรณ์อื่นช่วย เช่น แผนซีดี ฟิล์มภาพยนตร์ เป็นต้น 2. สื่อประเภทอุปกรณ์ (Hardware) หมายถึง สิ่งที่เป็นตัวกลางหรือตัวผ่านทําให้ข้อมูล หรือความรู้ที่ บันทึกในวัสดุ สามารถถ่ายทอดออกมาให้เห็นหรือได้ยิน เช่น เครื่องฉายแผ่นโปรงใส เครื่องเล่นซีดี เป็นต้น 3. อาคารสถานที่ (Setting) ตัวตึก ที่ว่าง สิ่งแวดล้อม ฯลฯ ซึ่งมีผลเกี่ยวของกับทรัพยากรรูปแบบ อื่นๆ และผู้เรียน สถานที่สําคัญในการศึกษา ได้แก่ ตึกเรียนและสถานที่อื่นๆ ที่ออกแบบมาเพื่อการเรียนการสอนโดย


26 สวนรวม เช่น ห้องสมุด หอประชุม สนามเด็กเล่น เป็นต้น ส่วนสถานที่ต่างๆ ในชุมชนก็สามารถประยุกต์ ใช้เป็น ทรัพยากรสื่อการเรียนการสอนได้เช่นกัน เช่น โรงงาน ตลาด สถานที่ทางประวัติศาสตร์ พิพิธภัณฑ์ เป็นต้น 4. เครื่องมือและอุปกรณ์ (Tools and Equipment) เป็นทรัพยากรทางการเรียนรู้เพื่อช่วยใน การผลิต หรือใช้ร่วมกับทรัพยากรอื่น เช่น เครื่องมือด้านโสตทัศนูปกรณ์ เครื่องถ่ายเอกสารเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นต้น 5. กิจกรรม (Activities) เป็นการดําเนินงานที่จัดทําขึ้นเพื่อกระทํารวมกับทรัพยากรอื่น หรือเป็น เทคนิควิธีการพิเศษเพื่อการเรียนการสอน เช่น การสอนแบบโปรแกรม เกมและการจําลอง การจัดทัศนศึกษา ฯลฯ กิจกรรมเหล่านี้มักมีวัตถุประสงค์เฉพาะที่มีการใช้วัสดุการเรียนแต่ละวิชา 3.3 ประโยชน์ของสื่อการเรียนรู้ กิดานันท์ มลิทอง ได้กล่าวถึงคุณค่าของสื่อการสอน โดยแบ่งคุณค่าของสื่อเป็นสื่อกับผู้เรียนและสื่อ กับผู้สอน ดังนี้ สื่อกับผู้เรียน 1. เป็นสิ่งที่ช่วยให้เกิดการเรียนรู้อยางมีประสิทธิภาพเพราะช่วยให้เกิดความเข้าใจเนื้อหา บทเรียนที่ ยุ่งยากซับซ้อนได้ง่ายขึ้นในระยะสั้น และสามารถช่วยใหเกิดความคิดรวบยอดในเรื่องนั้นได้อย่างรวดเร็ว 2. สื่อจะช่วยกระตุ้นและสร้างความสนใจให้กับผู้เรียนทําให้ไม่รู้สึกเบื่อหนายในการเรียน 3. การใช้สื่อจะทําให้ผู้เรียนมีความเข้าใจตรงกัน และเกิดประสบการณ์ในวิชาที่เรียน 4. ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมเรียนการสอนมากขึ้น ทําให้ผู้เรียนมีมนุษย์สัมพันธ์อันดีใน ระหว่างผู้เรียนด้วยกัน 5. ช่วยสร้างเสริมลักษณะที่ดีในการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ ช่วยให้เกิดความคิดสร้างสรรค์จากการใช้ สื่อเหล่านี้ 6. ช่วยแก้ปัญหาเรื่องของความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยการจัดให้มีการใช้สื่อในการศึกษา รายบุคคล สื่อกับผู้สอน 1. การใช้สื่อวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ประกอบการเรียนการสอนเป็นการสร้างบรรยากาศในการสอนให้ น่าสนใจยิ่งขึ้น ทําให้ผู้สอนมีความสนุกสนานในการสอนมากกว่าวิธีการที่เคยใช้การบรรยายแต่เพียงอยางเดียว และเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในตัวเองให้เพิ่มขึ้นด้วย 2. สื่อจะช่วยแบ่งเบาภาระของผู้สอนในด้านการเตรียมเนื้อหา เพราะอาจให้ผู้เรียนศึกษาเนื้อหาจาก สื่อได้เอง 3. เป็นการกระตุ้นให้ผู้สอนตื่นตัวอยู่เสมอในการเตรียมและผลิตวัสดุ เพื่อใช้เป็นการสอนตลอดจนคิด คนเทคนิควิธีการต่าง ๆ เพื่อให้การเรียนรู้น่าสนใจยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม สื่อการเรียนการสอนจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อ


27 ผู้สอนได้นําไปใช้อย่างเหมาะสมและถูกวิธี ดังนั้นก่อนที่จะนําสื่อแต่ละอย่างไปใช้ ผู้สอนควรจะได้ศึกษาถึงลักษณะ และคุณสมบัติของสื่อการสอน ข้อดีและข้อจํากัดอันเกี่ยวเนื่องกับตัวสื่อและการใช้สื่อแต่ละอย่าง ตลอดจนการผลิต และการใช้สื่อใหเหมาะสมกับสภาพการเรียนการสอนด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนบรรลุตาม จุดมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ที่วางไว้ นิพนธ์ สุขปรีดี (2521 : 13 - 16) กล่าวไว้ว่า สื่อการสอน เป็นสื่อถ่ายทอดความรู้และความคิดระหว่าง ครูกับนักเรียนเป็นเครื่องช่วยให้บทเรียนง่ายขึ้นเพราะสื่อการสอนจะช่วยให้ครูสามารถถ่ายทอดขอเท็จจริง ทักษะ ทัศนคติ ความรู้ ความเข้าใจ และความซาบซึ้งเห็นคุณค่าในเรื่องราวที่สอนซึ่งจะเป็นรากฐานให้เกิดความเข้าใจและ ความจําอย่างถาวร นักการศึกษาที่มีชื่อเสียงของโลกต่างยอมรับและเห็นพ้องกันว่า สื่อการ สอนนําเป็นอุปกรณ์ การสอนที่ช่วยให้การสอนได้ผลดีขึ้นในด้านคุณค่าบางประการจากการใช้สื่อการสอน ดังนี้ 1. คุณค่าทางด้านวิชาการสรุปได้ดังนี้ ผู้เรียนที่ไดรับการสอนจากการใช้สื่อการสอนประกอบการสอนจะ ได้ประสบการณตรง และเรียนได้ดีมากกว่าผู้เรียนที่ไม่มีสื่อการสอนประกอบการเรียนการสอน 1.1 ลักษณะที่เป็นรูปธรรมของสื่อการสอนช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจความหมายของสิ่งต่างๆ ได้อย่าง กว้างขวาง เป็นแนวทางให้เข้าใจสิ่งอื่นๆ ได้ดียิ่งขึ้นและยังช่วยส่งเสริมด้านความคิดและการแก้ปัญหาอีกด้วย 1.2 จากการวิจัยสรุปว่า สื่อการสอนให้ประสบการณ์ที่เป็นจริงแก่ผู้เรียน ทําให้ผู้เรียนเรียน้รูอย่าง ถูกต้อง ทั้งยังช่วยให้ผู้เรียนจดจําเรื่องราวต่าง ๆ ได้มากและจําได้นาน 1.3 สื่อการสอนโดยเฉพาะภาพยนตร์ จะช่วยเร่งทักษะในการเรียนรู้ 2. คุณค่าทางด้านจิตวิทยาการเรียนรู้ สรุปได้ดังนี้ 2.1 สื่อการสอนทําให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ และเรียนรู้ในสิ่งต่าง ๆ มากขึ้น เช่น การอ่าน ความคิด ริเริ่มสร้างสรรค์ จินตนาการ ทัศนคติ การแก้ปัญหา และความซาบซึ้งในคุณค่า 2.2 ทําให้ผู้เรียนมีมโนภาพเริ่มแรกอย่างถูกต้องสมบูรณ์ และก่อให้เกิดความคิดรวบยอดเป็นอย่าง เดียวกันทั้งมีอิทธิพลต่อเจตคติของผู้เรียนด้วย 2.3 สื่อการสอนเร้าให้ผู้เรียนเกิดความพอใจ และยั่วยุให้ทํากิจกรรมด้วยตนเอง 3. คุณคาทางดานเศรษฐกิจการศึกษา สรุปไดดังนี้ 3.1 สื่อการสอนสามารถช่วยให้ผู้เรียนที่เรียนช้าให้เรียนได้เร็วและมากขึ้นส่วนผู้เรียนฉลาดก็จะเรียนรู้ ได้มากขึ้นไปอีก 3.2 การสอนโดยอธิบายเพียงอย่างเดียว เป็นการสิ้นเปลืองเวลาที่สุดเพราะผู้เรียนลืมง่าย ถ้าใช้สื่อ การสอนจะช่วยขจัดความสิ้นเปลืองนี้ และยังช่วยให้ผู้สอนที่สอนดีอยูแล้วสอนดียิ่งขึ้น 3.3 สื่อการสอนช่วยประหยัดคําพูด และเวลาของผู้สอนที่สําคัญยิ่งกวานั้นยังช่วยประหยัดเวลาของผู เรียน ทําให้มีเวลาที่จะศึกษาบทเรียนอื่นต่อไป 3.4 สื่อการสอนช่วยขจัดปัญหาเรื่องสถานที่ เวลา และระยะทาง ได้ดังนี้


28 3.4.1 สามารถนําสิ่งที่เกิดในอดีตมาศึกษาไ้ด เช่น ภาพยนตร์ 3.4.2 สื่อการสอนช่วยนําสิ่งที่อยู่ไกลเกินไป มาศึกษาได้ 3.4.3 ช่วยทําสิ่งที่เคลื่อนไหวช้าให้เร็วได้ และทําสิ่งที่เคลื่อนไหวเร็วให้ช้าลงได้ เช่น ภาพยนตร์ สามารถแสดงให้เห็นการเจริญเติบโตของพืชได้ในระยะเวลาสั้นๆ ได้ กมล และมานิต เวียสุวรรณ (2540 : 43) กลาวถึง คิตเตอร์ (Kinder) ให้ความเห็นเกี่ยวกับคุณค่าของ สื่อการสอนว่า 1. สื่อการเรียนการสอน สามารถเอาชนะข้อจํากัดเรื่องความแตกต่างกันของ ประสบการณ์ดั้งเดิมของผู้เรียน คือเมื่อใช้สื่อการเรียนการสอนแล้ว จะช่วยให้เด็กซึ่งมี ประสบการณ์เดิมต่างกันเข้าใจได้ใกล้เคียงกัน 2. ขจัดปัญหาเกี่ยวกับเรื่องสถานที่ ประสบการณตรงบางอย่างหรือการเรียนรู้ 3. สื่อการเรียนการสอนทําให้เด็กมีความคิดรวบยอดอย่างเดียวกัน 4. ทําให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรงจากสิ่งแวดล้อมและสังคม 5. ทําให้เด็กมีนโนภาพเริ่มแรกอย่างถูกต้องและสมบูรณ์ 6. ทําให้เด็กมีความสนใจและต้องการเรียนในเรื่องต่างๆ มากขึ้น เช่น การอ่าน ทัศนคติ การแก้ปัญหา ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ 7. เป็นการสร้างแรงจูงใจและเร้าความสนใจ 8. ช่วยให้ผู้เรียนมีประสบการณ์จากรูปธรรมสู่นามธรรม ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2529 : 113) กล่าวถึง คุณค่าของสื่อการสอนไว้ว่า 1. การเพิ่มจํานวนผู้เรียนนั้น สื่อการเรียนการสอนมีความสําคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อให้ เพียงพอแก่ความต้องการของผู้เรียน 2. สื่อการเรียนการสอนช่วยทําให้ผู้สอนสอนได้ดีขึ้นและช่วยให้การสอนบรรลุเป้าหมาย 3. สื่อการเรียนการสอนสําเร็จรูป ช่วยให้ผู้เรียนที่อยู่ในสภาพเสียเปรียบ หรือผู้ยากไร้สามารถเรียนได้ ทัดเทียมกับผู้ที่มีฐานะดีกว่า ชัยยงค์ เรืองสุวรรณ (2526 : 139-140) สรุปคุณค่าของสื่อการสอนได้ดังนี้ 1. ช่วยเพิ่มพูนประสบการณ์ของผู้เรียน 2. ทําให้เนื้อหาวิชาความรู้ที่สอนมีความหมายต่อผู้เรียนมากขึ้น 3. เร้าความสนใจของผู้เรียน ทําให้ครูสามารถสอน และทํากิจกรรมการเรียนการสอนได้กว้างขวางมาก ขึ้น 4. เป็นเครื่องชี้แนะการตอบสนองของผู้เรียน 5. สามารถเอาชนะขีดจํากัดต่างๆ ทางกายภาพได้


29 6. ทําให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะกระบวนการต่างๆ เช่น การแก้ปัญหา 7. เป็นเครื่องมือสําหรับครูในการวินิจฉัยผลการเรียน และช่วยในการซ้อมเสริม นอกจากนี้ยังได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับคุณค่าของสื่อการเรียนการสอนในด้านกายภาพ ดังนี้ 1. เป็นแหล่งความรู้ 2. เป็นสิ่งที่สามารถจัดใหสัมผัสและรับรู้ได้โดยง่าย 3. เป็นสิ่งที่สามารถเสนอตัวต่อผูเรียนได้ จากทัศนะของนักเทคโนโลยี และนักการศึกษาที่กล่าวขางตน สรุปได้ว่าสื่อการ เรียนการสอนมีคุณค่าและประโยชน์ต่อการเรียนการสอน ดังนี้ 1. เป็นสิ่งที่ช่วยให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจเนื้อหา บทเรียนที่ยุ่งยากซับซ้อนได้ง่ายขึ้นในระยะเวลาอันสั้น และสามารถช่วยให้เกิดความคิดรวบยอดในเรื่องนั้นได้อย่าง ถูกต้องและรวดเร็ว 2. สื่อจะช่วยกระตุ้นและสร้างความสนใจให้กับผู้เรียน ทําใหเกิดความสนุกและไม่เบื่อหน่ายต่อการ เรียน 3. การใช้สื่อจะทําให้ผู้เรียนมีความเข้าใจตรงกัน และเกิดประสบการณ์รวมกันในวิชาที่เรียน 4. ช่วยให้ผู้เรียนมีสวนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอนมากขึ้น ทําให้เกิดมนุษย์สัมพันธ์อันดีระหว่าง ผู้เรียนด้วยกันเอง และกับผู้สอนด้วย 5. ช่วยสร้างเสริมลักษณะที่ดีในการศึกษาคนคว้าหาความรู้ช่วยให้ผู้เรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์จาก การใช้สื่อเหล่านี้ 6. ช่วยแก้ปัญหาเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยการจัดให้มีการใช้สื่อในการศึกษารายบุคคล 7. การใช้สื่อวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ประกอบการเรียนการสอน เป็นการช่วยให้บรรยากาศในการสอน น่าสนใจยิ่งขึ้น ทําให้ผู้สอนมีความสนุกสนานในการสอนมากกวาวิธีการที่เคยใช้บรรยายแต่เพียงอย่างเดียว และ เป็นการสร้างความเชื่อมั่นในตัวเองให้มากขึ้นด้วย 8. สื่อจะช่วยแบ่งเบาภาระของผู้สอนในด้านการเตรียมเนื้อหาเพราะบางครั้งอาจใหผู้เรียนศึกษาเนื้อหา จากสื่อได้เอง 9. เป็นการกระตุ้นใหผู้สอนตื่นตัวอยู่เสมอในการเตรียมและผลิตวัสดุใหม่ๆ เพื่อใช้เป็นสื่อการสอน 10. คิดค้นเทคนิควิธีการต่างๆ เพื่อใหการเรียนรู้น่าสนใจยิ่งขึ้น


30 3.4 หลักการใช้สื่อการเรียนรู้ หลักในการใช้สื่อการเรียนรู้นั้นได้มีนักการศึกษาเสนอแนวคิดไว้ต่าง ๆ กัน ดังนี้ ไชยยศ เรืองสุวรรณ (2526 : 1470) ได้เสนอข้อคิดในการนํากรวยประสบการณ์ของเอดการ์เดล (Edgar Dale) ไปใช้ 5 ประการดังนี้ 1. สื่อประสบการณ์ต่างๆ ในกรวยประสบการณ์นั้น ได้จัดแบ่งตามลําดับประสบการณ์เรียนรู้ ดังนั้นเรา จะเริ่มใช้สื่อประสบการณ์ของผู้เรียนเป็นสําคัญ และในบางกรณีอาจใช้สื่อประสบการณ์หลายๆ อย่างพร้อม ๆ กันก็ ได้ 2. สื่อประสบการณ์ต่าง ๆ ในกรวยประสบการณ์ไม่อาจนําเสนอโดยแบ่งแยกจากกันได้อย่างเด็ดขาด ดังนั้นประสบการณ์ทุกขั้นจึงมีคุณค่าต่อการเรียนการสอนไม่แตกต่างกันส่วนประสบการณ์ขั้นใดจะเอื้อประโยชน์ ต่อการเรียนรู้มากที่สุด ย่อมขึ้นอยู่กับตัวผู้เรียนเป์นสําคัญ 3. ในการเรียนรู้มโนทัศน์ใหม่ ที่ไม่มีพื้นฐานมาก่อน ประสบการณ์ตรงจะช่วยได้มากในเรื่องความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องสมบูรณ์ 4. ในประเด็นที่ต้องพิจารณาตัวผู้เรียนและเนื้อหาเรื่องราวที่จะศึกษา ไม่จริงเสมอไปที่ประสบการณ์ขั้น สูง เหมาะกับผู้ใหญ่ และขั้นล่าง ๆ เหมาะกับเด็ก ๆ 5. การใช้กรวยประสบการณ์เพื่อการสอนนั้น เพื่อให้มีทางเลือกแก่ผูสอนในการพิจารณาเลือก ประสบการณ์ที่เหมาะสมกับตัวผู้เรียน จุดมุ่งหมาย และเนื้อหา ไชยยศ เรืองสุวรรณ (2533 : 88) สรุปว่า หลักการใช้สื่อหรือนําสื่ออาจพิจารณาได้ 3 ลักษณะดังนี้ 1. การใช้สื่อประกอบการเรียนการสอนของผู้สอน เช่น ประกอบคําบรรยายและการอธิบาย เป็นต้น 2. การใช้สื่อเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน เช่น ชุดการสอน บทเรียนด้วยตนเอง เป็นต้น 3. การใชสื่อรวมกันระหว่างผู้เรียนและผู้สอน เช่น เกม สถานการณ์จําลอง และการสาธิต เป็นต้น กิจกรรมการใช้สื่อการเรียนการสอน จะขึ้นอยู่กับเทคนิคและวิธีการเรียนของผู้เรียนกับวิธีสอน แต่สิ่ง หนึ่งที่ผู้สอนไม่ควรมองข้ามไป ก็คือ การมีส่วนรวมของผู้เรียน การใช้สื่อการเรียนการสอนควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียน มีส่วนรวมในกิจกรรมมากที่สุด Brown and other (1985 : 64-69 อ้างถึงใน กิดานันท มลิทอง, 2526 : 89-90) การใช้สื่อการสอนนั้นอาจจะใช้เฉพาะขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งของการสอน หรือจะใช้ในทุกขั้นตอนก็ได้ ดังนี้ 1. ขั้นนําเข้าสู่บทเรียน เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในเนื้อหาที่กําลังจะเรียนนั้น สื่อที่ใช้ในขั้นนี้ จึงเป็นสื่อที่กว้างๆ หรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเรียนในครั้งก่อน ยังมิใช้สื่อที่เน้นเนื้อหาเจาะลึกอย่างแท้จริง เช่น ภาพ บัตรคํา หรือบัตรูปัญหา เป็นต้น


31 2. ขั้นดําเนินการสอนหรือประกอบกิจกรรมการเรียน เป็นขั้นสําคัญในการเรียนเพราะเป็นขั้นที่จะให้ ความรู้เนื้อหาอย่างละเอียดเพื่อสนองวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ผู้สอนต้องเลือกสื่อให้ตรงกับเนื้อหาวิธีการสอนหรือ อาจจะใช้สื่อประสมก็ได้ ต้องมีการจัดลําดับขั้นตอนการใช้สื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับกิจกรรมการเรียนการ สอน การใช้สื่อในขั้นนี้จะต้องเป็นสื่อที่เสนอความรู้อยางละเอียดถูกต้อง และชัดเจนแก่ผู้เรียน เช่น ภาพยนตร์ สไลด์ แผ่น โปรงแสง แผนภูมิ เทปเสียง หรือชุดการสอน เป็นต้น 3. ขั้นวิเคราะห์และฝึกปฏิบัติ เป็นการเพิ่มพูนประสบการณ์ตรงแก่ผู้เรียนเพื่อให้ผู้เรียนได้ทดลองนํา ความรู้ดานทฤษฎี หรือหลักการที่เรียนมาแล้วไปใช้แก่ปัญหาในขั้นฝึกหัด โดยการลงมือฝึกปฏิบัติเอง สื่อในขั้นนี้จะ เป็นสื่อที่เป็นประเด็นปัญหาให้ผู้เรียนไ้ดขบคิด โดยผู้เรียนเป็นผู้ใช้สื่อเองมากที่สุด เช่น ภาพ บัตรคํา เทปเสียง สมุด แบบฝึกหัด หรือชุดการสอน เป็นต้น 4. ขั้นสรุปบทเรียน เป็นขั้นของการเรียนการสอนเพื่อการย้ําเนื้อหาบทเรียนให้ผู้เรียนมีความเข้าใจที่ ถูกต้อง และตรงตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ด้วย ขั้นสรุปนี้ควรใช้เพียงระยะเวลาสั้นๆ เช่นเดียวกับขั้นนํา สื่อที่ใช้สรุป จึงควรครอบคลุมเนื้อหาสําคัญทั้งหมดโดยย่อ และใช้เวลาน้อย เช่น แผนภูมิ แผนโปรงแสง เป็นต้น 5. ขั้นประเมินผู้เรียนเป็นการทดสอบว่าผู้เรียนสามารถเรียนรู้ หรือเข้าใจในสิ่งที่เรียนไปถูกต้องมาก น้อยเพียงใด และบรรลุตามวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ตั้งไว้หรือไม สื่อในขั้นนี้มักจะเป็นคําถามจากเนื้อหาที่เรียน โดยอาจมีภาพประกอบด้วย ก็ได้ อาจจะนําบัตรคําหรือสิ่งต่างๆ ที่ใชในขั้นกิจกรรมการเรียนถามอีกครั้ง และอาจ เป็นการทดสอบโดยการปฏิบัติจากสื่อหรือการกระทําของผู้เรียนเพื่อทดสอบดูว่าผู้เรียนสามารถมีทักษะจากการ ปฏิบัติอย่างถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ อีริคสันและเคิร์ล (Erickson and Curl, 1972 : 163-170) ได้กล่าวถึง หลักการใช้สื่อการเรียนการ สอนโดยทั่วไปไว้ว่า การใช้สื่อเพื่อเกื้อหนุนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ครูควรยึดหลักการ สําคัญ 5 ประการ ดังนี้ 1. หลักการเลือก (Select) ในการเลือกสื่อครูควรมีความสามารถพื้นฐานต่างๆในการเลือกสื่อ ดังนี้ 1.1 สามารถเขียนจุดมุ่งหมายในการเรียนการสอนได้อย่างชัดเจน 1.2 มีความรอบรู้ในเรื่องของแหล่งสื่อการสอนเป็นอย่างดี 1.3 สามารถเลือกหาสื่อที่เหมาะสมกับจุดมุ่งหมายของการสอนที่เขียนขึ้นมา 1.4 สามารถคาดคะเนได้ว่าประสบการณ์การเรียนรู้ทั้งหลายอันเนื่องมาจากสื่อการสอนนั้นๆ จะมี ผลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างไรบ้าง 1.5 สามารถนําสื่อต่างๆ มาสัมพันธ์กับการเรียนการสอนและปัญหาต่าง ๆ ในการเรียนการสอนได้ ไม่ว่าจะเป็นการสอนแบบกลุ่มหรือแบบบุคคลก็ตาม 1.6 สามารถเลือกสื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการสอนและกระตุ้นให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง 1.7 สามารถเลือกสื่อต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับวิธีการสอนแบบต่าง ๆ ได้


32 1.8 มีความสามารถในการพิจารณาคุณภาพ และความเหมาะสมของสื่อต่อผู้เรียนได้ 1.9 สามารถเตรียมและวางแผนการใช้สื่อการสอนได้ 1.10 สามารถผลิตสื่อการสอนแบบง่ายได้ 1.11 สามารถผลิตสื่อการสอนที่ซับซ้อน เช่น ชุดการสอน รายการโทรทัศน์เมื่อจําเป็น 2. หลักความพร้อม (Readiness) ความสามารถพื้นฐานในการสร้างความพร้อมให้แก่ผู้นักเรียนมีดังนี้ 2.1 พัฒนาแผนการสร้างความพร้อมเฉพาะอย่าง 2.2 แนะนําผู้เรียนเพื่อเป็นการเร้าให้เกิดความต้องการเรียนรู้จากสื่อที่ครูเลือกมา 2.3 สร้างกิจกรรมการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับสื่อการสอน 2.4 เลือกหาวิธีสอนที่เหมาะสม ที่จะนําไปสู่การใชสื่อการเรียนการสอนนั้น 2.5 ใช้แหล่งการเรียนอื่นๆ เพื่อสร้างความพร้อมให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียน 3. หลักการควบคุม (Control) ครูควรมีความสามารถและทักษะพื้นฐาน ดังนี้ 3.1 สามารถใช้เครื่องมือเทคโนโลยีทางการศึกษาได้ 3.2 สามารถป้องกันและแก่ไขข้อขัดข้องของเครื่องมือต่างๆ ได้ 3.3 สามารถจัดสภาพของห้องเรียนได้ดี ถ้าเป็นการฉายก็สามารถจัดสภาพการฉายได้ดี 3.4 สามารถติดตั้งเครื่องมือต่าง ๆ ได้ดี 3.5 ติดตั้งวัสดุต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม สะดวกต่อการใช้และติดตามผลและเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ เข้าไปมีส่วนร่วมได้เป็นอย่างดี 3.6 สามารถวางแผนกําหนดช่วงเวลาที่เหมาะสมในการใช้สื่อการเรียนการสอนใน ห้องเรียนได้เป็น อย่างดี 4. หลักการปฏิบัติ ครูควรมีความรู้และทักษะพื้นฐาน ดังนี้ 4.1 เลือกกิจกรรมการสอนที่กระตุ้นให้ผู้เรียนอยากเรียนอยากรู้ ตามจุดมุงหมายของการเรียนการ สอน 4.2 ใช้คําถามเป็นตัวกระตุ้นและชี้แนะ 4.3 ใช้การอภิปรายเพื่อนําไปสู่เนื้อหาและการสร้างมโนมติ 4.4 จัดกลุ่มผู้เรียนให้เหมาะสมและสร้างกิจกรรมท่าทายในการแก้ปัญหา 4.5 ใช้สื่ออย่างมีลําดับ 4.6 จัดดําเนินการด้านการจัดสภาพการณต่างๆ ในการใช้สื่อเพื่อการเรียนรู้ 4.7 สามารถจัดกลุ่มกิจกรรมให้ผู้เรียนหาความรู้จากสื่อต่างๆ ได้ เช่น จัดป้ายนิเทศ จุดมุมวิชาและ การค้นคว้ารายงานเพิ่มเติม เป็นต้น


33 5. หลักการประเมินผล (Evaluation) ครูควรประเมินผลทั้งจากตัวสื่อและจากการใชสื่อการสอนของ ครูเอง จากหลักการขอนี้จะทําให้ครูทราบว่า สื่อนั้นมีคุณค่าตอการเรียนการสอนมากน้อยเพียงใด และครูเอง มีเทคนิคในการสื่อการสอนนั้นดีพอหรือไม่ ดังนั้น ในเรื่องนี้ครูควรมีความรู้ความสามารถทักษะพื้นฐานในการวัด และประเมินผลการสอนของตัวเอง และสื่อการสอนตามจุดมุ่งหมายของการสอนเพื่อปรับปรุงในโอกาสต่อไป 3.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสื่อการเรียนรู้ 3.5.1 งานวิจัยในประเทศ วุฒิภัทร หนูยอด (2555) ได้ศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการสอนโดยใช้สื่อการสอนแบบ ออนไลน์ วิชาการเขียนโปรแกรมเว็บแบบพลวัต ผลการวิจัยพบว่า 1) นักศึกษาที่เรียนแบบ e-learning โดย ผ่านระบบสร้าง สื่อการเรียนการ สอนออนไลน์มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูงกว่านักศึกษาที่เรียนใน ห้องเรียนปกติซ่ึงมีค่า t เท่ากับ 2.22 ที่ระดับนัยสำคัญที่ 0.01 และ 2) ความพึงพอใจของนักศึกษาที่เรียน แบบ e-learning โดยผ่านระบบสร้าง สื่อการเรียนการสอนออนไลน์มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.64 ซ่ึงอยู่ในเกณฑ์พึงพอใจมากที่สุด ดังน้ันจึงสรุปได้ว่า การเรียน แบบ e-learning โดยผ่านระบบสร้างสื่อการเรียนการสอน ออนไลน์สามารถใช้ในการจัดการเรียนการสอนได้อย่าง มีประสิทธิภาพ จักรกฤษณ์ฮัน ยะลา (2556: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพของสื่อการสอนระหว่าง ประเภท สไลด์กับวีดีโอในรายวิชาระบบบริหารและการประกันคุณภาพ ผลจากการศึกษาพบว่า การเปรียบเทียบ ความแตกต่างของผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนที่ใช้สื่อการสอนระหว่างสื่อประเภทสไลด์กับวีดีโอผลการ ทดสอบความ แตกต่างของคะแนนสอบก่อนและหลังเรียนของสื่อประเภทสไลด์กับวิดีโอมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ที่ ระดับ .05 ทุกบทเรียนและกลุ่มเรียน สรุปได้ว่าประสิทธิภาพของสื่อการสอนประเภท สไลด์ไ์ด้ผลดีกว่า ประเภท วิดีโอ ปริวรรต สมนึก (2558 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอนโดยใช้สื่อวีดิทัศน์เพื่อ เพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง “ผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยว”ผลการวิจัยพบว่า (1) วิธีการสอนแบบปกติ มีข้อดีคือ เป็นวิธีสอนที่ใช้เวลาน้อย เมื่อเทียบกับวิธีสอนแบบอื่น ๆ ใช้กับผู้เรียนจำนวนมากได้ สะดวก ไม่ยุ่งยาก และถ่าย ทอดเนื้อหาสาระได้มาก ส่วนข้อจำกัดคือ เป็นวิธีสอนที่ผู้เรียนมีบทบาทน้อย จึงอาจทำให้ผู้เรียนขาดความสนใจใน การบรรยาย อาศัยความสามารถของผู้บรรยาย ถ้าผู้บรรยายไม่มีศิลปะในการบรรยายที่ดึงดูดใจผู้เรียน ผู้เรียนอาจ ขาดความสนใจ และถ้าผู้สอนขาดการเรียบเรียงเนื้อหาสาระอย่างเหมาะสม ผู้เรียนอาจเกิดความไม่เข้าใจ และไม่ สามารถซักถามได้ ถ้าผู้บรรยายไม่เปิดโอกาส นอกจากนี้ ยังเป็นวิธีสอนที่ไม่สามารถสนองตอบความต้องการและ ความแตกต่างระหว่างบุคคล สำหรับวิธีการสอนโดยใช้สื่อวีดิทัศน์เป็นหลัก มีข้อดีคือ ช่วยให้คุณภาพการเรียนรู้ของ ผู้เรียนดีขึ้น สามารถจำได้มากและนานขึ้น ช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ในปริมาณมากขึ้นในเวลาที่กำหนดไว้ และช่วยให้ ผู้เรียนมีความสนใจและมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ ส่วนข้อจำกัดคือ การขาดทักษะในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น


34 เท่ากับการเข้าร่วมกิจกรรมแบบเข้าชั้นเรียนปกติ(2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาที่เรียนโดยสื่อวีดิทัศน์สูง กว่านักศึกษาที่เรียนโดยวิธีปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 และ(3) ระดับความพึงพอใจของนักศึกษาที่ มีต่อการสอนโดยใช้สื่อวีดิทัศน์เป็นหลักอยู่ในระดับมากโดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.79 ดรุณนภา นาชัยฤทธิ์ (2562 : บทคัดย่อ) ศึกษาการพัฒนาการเรียนการสอนบนบทเรียนออนไลน์ด้วย เทคนิคการเรียนรู้แบบกรณีศึกษาเพื่อส่งเสริมการคิดแก้ปัญหาของนักศึกษาครู ผลการวิจัยมีดังนี้1) คะแนนการคิด แก้ปัญหาของนักศึกษาที่เรียนบนบทเรียนออนไลน์ด้วยเทคนิคการเรียนรู้แบบกรณีศึกษาก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า การคิดแก้ปัญหาหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.01 2) ความพึงพอใจของ นักศึกษาที่เรียนบนบทเรียนออนไลน์ด้วยเทคนิคการเรียนรู้แบบกรณีศึกษาภาพรวม พบว่ามีความพึงพอใจอยู่ใน ระดับมาก (x̅= 4.42, S.D. =0.67) เรียงตามลำดับด้านที่มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจจากมากไปหาน้อย 3 ลำดับแรก ได้แก่ ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ (x̅= 4.54, S.D. =0.40) ด้านอาจารย์ผู้สอน (x̅= 4.38, S.D. =0.72) และ ด้านตัวอักษร สีและภาพ (x̅= 4.33, S.D. =0..65) ดร.กิ่งกาญจน์ บูรณสินวัฒนกูล (2562 : บทคัดย่อ) ศึกษาการพัฒนาสื่อการเรียนรู้บอร์ดเกมการศึกษาเพื่อ ส่งเสริมความสามารถการเรียนรู้ในรายวิชาพัฒนาการแบบเรียนภาษาไทยและความสุขในการเรียนรู้สำหรับนิสิต ระดับปริญญาตรี ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการหาประสิทธิภาพของสื่อการเรียนรู้บอร์ดเกม การศึกษาเพื่อส่งเสริม ความสามารถการเรียนรู้ในรายวิชาพัฒนาการแบบเรียนภาษาไทย และความสุขในการเรียนรู้สำหรับนิสิตระดับ ปริญญาตรีที่นำไปทดลองนี้มีประสิทธิภาพเท่ากับ 84.81/83.83 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 2) คะแนนเฉลี่ย ความสามารถด้านการเรียนรู้ในรายวิชาพัฒนาการแบบเรียนภาษาไทยของนิสิตระดับปริญญาตรี หลังการทดลอง สูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 3) นิสิตมีค่าเฉลี่ยความสุขในการเรียนรู้ที่มีต่อรายวิชา พัฒนาการแบบเรียนภาษาไทยโดยใช้สื่อการเรียนรู้บอร์ดเกมการศึกษาในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 4) ผลการ วิเคราะห์เนื้อหาจากแบบบันทึกสะท้อนผลการเรียนรู้ของกลุ่มตัวอย่างแสดงให้เห็นว่า สื่อการเรียนรู้บอร์ดเกม การศึกษาที่พัฒนาขึ้นช่วยเสริมสร้างความสามารถการเรียนรู้ และความสุขในการเรียนรายวิชาพัฒนาการ แบบเรียนภาษาไทยให้กับนิสิตได้ จากงานวิจัยที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่า สภาบันทางการศึกษาต่าง ๆ กําลังให้ความสนใจกับ การศึกษาปัญหาและความต้องการใช้สื่อการเรียนการสอน เนื่องจากสื่อการเรียนการสอนเป็นประโยชน์ต่อ การศึกษาอย่างมากและมีแนวโน้มเข้ามามีบทบาทต่อการศึกษาของไทยในอนาคต หากมีการนํามาใช้อย่างถูกต้อง และเหมาะสมโดยอาศัยการออกแบบและการวางแผนอย่างเป็นระบบ


35 3.5.2 งานวิจัยต่างประเทศ Nikolaos Pellas(2018)ได้ทำการวิจัยในหัวข้อ โมเดลห้องเรียนกลับด้านสามารถปรับปรุงผลการเรียน ของนักเรียนและความพึงพอใจในการฝึกอบรมในหลักสูตรการออกแบบสื่อการสอนระดับอุดมศึกษาได้หรือไม่ ซึ่ง วัตถุประสงค์ของการศึกษาวิจัยครั้งนี้ เพื่อกำหนดประสิทธิผลของวิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้านในการสอน วิชาการออกแบบสื่อการเรียนการสอน โดยเปรียบเทียบผลการเรียนของนักเรียน และความพึงพอใจในการ ฝึกอบรมในการสอนแบบบรรยายตามแบบฉบับกับนักเรียนในห้องเรียนแบบกลับด้าน นักศึกษาระดับปริญญาตรี ทั้งหมด 128 คนเข้าร่วมโดยสมัครใจและแบ่งออกเป็นกลุ่มควบคุม ( n = 62) และกลุ่มทดลอง ( n = 66) กลุ่ม ตามลำดับ ผลการศึกษาชี้ให้เห็นความแตกต่างอย่างมากทั้งในด้านผลการเรียนและความพึงพอใจในการฝึกอบรม ระหว่างทั้งสองกลุ่ม โดยที่นักเรียนในกลุ่มทดลองทำงานได้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลลัพธ์แสดง ให้เห็นปัจจัยที่กำหนดบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจในการฝึกอบรม ซึ่งอธิบายว่าทำไมนักเรียนในชั้นเรียน ที่กลับด้านจึงบรรลุความเชี่ยวชาญในวัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่สูงกว่ากลุ่มควบคุมในกลุ่มควบคุม การศึกษานี้เพิ่ม ลงในวรรณกรรมโดยการให้หลักฐานว่าห้องเรียนที่พลิกกลับสามารถเป็นประโยชน์ต่อผลการเรียนของนักเรียนได้ อย่างไร นำไปสู่ความพึงพอใจในการฝึกอบรมที่สูงขึ้นและความเข้าใจทางวินัยที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในหลักสูตรการ ออกแบบสื่อการสอน Dwijayani(2019) ได้ทำการวิจัยในหัวข้อ การพัฒนาสื่อการเรียนรู้แบบวงกลมเพื่อปรับปรุงผลการเรียนรู้ ของนักเรียน การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาสื่อการเรียนรู้คณิตศาสตร์ที่ถูกต้อง ใช้งานได้จริง และมี ประสิทธิภาพ สื่อการเรียนรู้คณิตศาสตร์ที่พัฒนาขึ้นในการศึกษาครั้งนี้ประกอบด้วยสื่อการสอนคณิตศาสตร์ที่มี เนื้อหาเป็นวงกลม เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ใบสังเกตการใช้สื่อการเรียนการสอน แบบสอบถามคำตอบของ นักเรียนและครู และแบบทดสอบผลการเรียนรู้ของนักเรียน ข้อมูลที่เก็บรวบรวมวิเคราะห์เชิงพรรณนา ผลการวิจัย พบว่า สื่อการสอนคณิตศาสตร์ถูกจัดประเภทให้มีความเที่ยงตรงสูงมาก ตรงตามลักษณะการปฏิบัติจริงและด้าน ประสิทธิผล ลักษณะของสื่อการสอนคือ (1) การใช้งานจริง (2) กิจกรรมการเรียนรู้เป็นแนวทางให้นักเรียนคิดอย่าง มีวิจารณญาณและสร้างสรรค์ (3) แบบฝึกหัดและปัญหาจริงเปิดโอกาสให้นักเรียนได้คิดหาทางเลือกในการ แก้ปัญหา และ (4) จัดให้มีการเปลี่ยนแปลงในการเรียนรู้ AMMACHI Labs Amrita Vishwa Vidyapeetham, Amritapuri(2018) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การศึกษา เปรียบเทียบกับสื่อการสอนทั่วไปเกี่ยวกับการเก็บรักษาความรู้ ผลการประเมินผลแบบทันทีและแบบล่าช้าที่ ดำเนินการในช่วงสองวันในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม เผยให้เห็นข้อสังเกตต่อไปนี้เกี่ยวกับประสิทธิภาพและการ มีส่วนร่วม หลังจากขั้นตอนการทำความคุ้นเคยและการแก้ไข เราสังเกตเห็นว่าค่าเฉลี่ยการเรียกคืนทันทีเกือบจะ เท่ากันสำหรับทั้งการทดลอง (ค่าเฉลี่ย=14.15, SD=5.24) และกลุ่มควบคุม (ค่าเฉลี่ย=14.46, SD=5.35) ในทาง ตรงกันข้าม กลุ่มทดลอง (ค่าเฉลี่ย=13.69, SD=6.43) ทำได้สูงกว่าในการทดสอบประเมินผลล่าช้าในวันที่สองเมื่อ เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม (ค่าเฉลี่ย=10.33, SD=5.43)( ตารางที่ 1 ) นอกจากนี้ยังพบว่าจำนวนการเรียกคืนที่ไม่


36 ถูกต้องโดยกลุ่มควบคุมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในวันที่สองในขณะที่กลุ่มทดลองลดลง ดังนั้น ระดับของการ สลายตัวของการเรียกคืนจึงน้อยกว่าสำหรับกลุ่มทดลอง จำนวนการเรียกคืนที่สับสนเกือบเท่าเดิมในทั้งสองวัน ที่ น่าสนใจคือ ผู้เข้าร่วมสามคนจากกลุ่มทดลองสามารถจำชื่อได้มากขึ้น และผู้เข้าร่วมสองคนจำชื่อได้เท่ากันในวันที่ สองมากกว่าในวันแรก แต่ไม่มีผู้เข้าร่วมกลุ่มควบคุมรายใดรายงานว่ามีการเรียกคืนเพิ่มขึ้นและมีแนวโน้มลดลง อย่างมากในวันที่สอง Dumitreseu, 2000, pp. 123 (อ้างอิงเฉลิมลาภ ทองอาจ และคณะ. (2554). : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับการเลือกสื่อตามสภาพจริงมาใช้ในการจัดการเรียนรู้ โดยพิจารณาจากข้อมูลพื้นฐาน 3 ประการ เพื่อให้เหมาะสมกับความรู้เดิมของผู้เรียนคือ ประการที่หนึ่งสื่อทางด้านภาษาศาสตร์ ประการที่สองสื่อ ทางด้านความรู้ ประการที่สามสื่อทางด้านวัฒนธรรม ผลการวิจัยพบว่า ผลการใช้สื่อทางด้านความรู้และด้าน ภาษาศาสตร์พบว่าผู้เรียนสามารถนำความรู้ทางด้านภาษาไปประยุกต์ใช้ และปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ตามความ ต้องการและตรงตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ Joseph, 1997, pp. 138 ได้ศึกษาผลของการใช้สื่อเอกสารจริงเพื่อพัฒนาการเรียนภาษาโดยกลุ่มทดลอง เป็นนักเรียนในระดับมัธยมศึกษา ซึ่งเรียนภาษาเยอรมัน จำนวน 14 คน และกลุ่มควบคุมจำนวน 7 คน ภายใน เวลา 11 สัปดาห์ กลุ่มทดลองที่ทำการสอนโดยใช้วิธีการสอนอ่านโดยใช้เอกสารจริง ควบคู่กับหนังสือเรียน มี ผลสัมฤทธิ์สูงกว่ากลุ่มควบคุม ซึ่งใช้เฉพาะหนังสือแบบเรียนอย่างเดียว นอกจากนั้น ผลการศึกษาพบว่าการใช้ ตัวอย่างภาษาจากเอกสารจริงเป็นสิ่งกระตุ้นและเสริมสร้างแรงจูงใจรวมทั้งทัศนคติที่ดีในการเรียนภาษาและ สามารถพัฒนาระดับการเรียนภาษาของกลุ่มนักเรียนที่เรียนอ่อนอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยจึงเห็นว่าการศึกษาปัญหาและความต้องการใช้สื่อการเรียนการสอนเป็น ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจในการทําวิจัย เพื่อได้ให้เห็นถึงภาพรวมของปัญหาและความต้องการใช้สื่อการเรียนการสอน ของครูสังกัดเทศบาลเมืองปัตตานีโดยเลือกทําการศึกษากับครูสังกัดเทศบาลเมืองปัตตานี เพื่อเป็นแนวทางในการ วางแผนดําเนินงาน ปรับปรุงและพัฒนาการใช้สื่อการเรียนการสอนในโรงเรียนสังกัดเทศบาลเมืองปัตตานีให้มี ประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลยิ่งขึ้น


37 4. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวกับแผนการจัดการเรียนรู้ 4.1 ความหมายและความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้คือ การนำวิชาหรือกลุ่มประสบการณ์ที่จะต้องทำแผนการจัดการ เรียนรู้ ตลอดภาคเรียนมาสร้างเป็นกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ การใช้สื่อ อุปกรณ์การจัดการเรียนรู้ และการวัดผล ประเมินผล โดยจัดเนื้อหาสาระและจุดประสงค์การเรียนย่อย ๆ ให้สอดคล้องกับ วัตถุประสงค์หรือจุดเน้นของ หลักสูตร สภาพของผู้เรียน ความพร้อมของโรงเรียนในด้านวัสดุ อุปกรณ์ และตรงกับชีวิตจริงในห้องเรียน วันชัย แย้มจันทร์ฉาย (2554) กล่าวสรุปไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง การวางแผน ล่วงหน้าเพื่อจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยจัดทําเป็นเอกสาร เนื้อหาความรู้ สื่อการเรียน การสอนกิจกรรมและ การประเมินผล สําลี รักสุทธี (2553) ได้ให้ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ คือ แผนการหรือโครงสรางที่จัดทําเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อการปฏิบัติการสอนในวิชาหนึ่ง เป็นการเตรียมการสอน อย่างเป็นระบบ และเปIนเครื่องมือที่ช่วยใหครูพัฒนาการจัดการเรียนการสอน ไปสู่จุดมุ่งหมายการเรียนรู้ และ จุดมุ่งหมายของหลักสูตรอย่างมีประสิทธิภาพ ขวลิต ชูกำแพง (2553) ได้อธิบายไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง เอกสารที่เป็นลาย ลักษณ์อักษรของครูผู้สอน ซึ่งเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในแต่ละครั้ง โดยใช้สื่อและ อุปกรณ์การ เรียนการสอนให้สอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง เนื้อหา เวลา เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ของผู้เรียนใหเป็นไป อย่างเต็มศักยภาพ จากความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู หมายถึง กรอบหรือทิศทางในการกําหนดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อใหดําเนินการเป็นไปตามลําดับ ขั้นตอน โดยมีการเตรียมขอ มูลต่างๆ ไว้ล่วงหนาอย่างเป็นระบบ จัดทําไว้เป็นลายลักษณ์อักษรและนํามาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรูเพื่อให้ ผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมายหรือเป้าหมายที่ไดกําหนดไว้ อันจะส่งผลใหผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนด้านความรู้ ทักษะ กระบวนการ และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ วันชัย แย้มจันทร์ฉาย (2554) กล่าวสรุปไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ถือว่าเป็นหัวใจสําคัญของการจัดการ เรียนการสอน เพราะจะเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนของครู จะทําให้ครูดําเนินการสอนไปตามลําดับ ไม'หลงทาง มีระยะเวลาในการทํากิจกรรมของนักเรียนที่ชัดเจน อัน จะทําใหการเรียนการสอนเป็นไปตามที่ คาดหวัง


Click to View FlipBook Version