The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

งานวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาหรือแก้ปัญหาการอ่านและการเขียนแจกลูกสะกดคำ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ให้สามารถอ่านแจกลูกสะกดคำและจำแนกตัวสะกดในแต่ละมาตราได้ดียิ่งขึ้น สามารถนำความรู้ไปต่อยอดและไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ถูกต้อง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Yanisa Duangsuwan, 2024-06-14 02:06:10

การพัฒนาสื่อการเรียนรู้วิชาภาษาไทยเพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง มาตรา ตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้รูปแบบ ASSURE Model

งานวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาหรือแก้ปัญหาการอ่านและการเขียนแจกลูกสะกดคำ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ให้สามารถอ่านแจกลูกสะกดคำและจำแนกตัวสะกดในแต่ละมาตราได้ดียิ่งขึ้น สามารถนำความรู้ไปต่อยอดและไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ถูกต้อง

38 ศิริวรรณ วณิชวัฒนวรชัย (2558) ได้อธิบายไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้มีรายละเอียดสำคัญ ดังนี้ 1) แผนการจัดการเรียนรู้เป็นหลักฐานที่แสดงถึงการเป็นครูมืออาชีพ มีการเตรียมล่วงหน้า แผนการจัดการเรียนรู้จะสะท้อนให้เห็นถึงการใช้เทคนิคการสอน สื่อนวัตกรรม และจิตวิทยาการเรียนรู้มา ผสมผสานกันหรือประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสภาพของนักเรียนที่ตนเองสอนอยู่ 2) แผนการจัดการเรียนรู้ช่วยส่งเสริมให้ผู้สอนได้ศึกษาค้นคว้า หาความรู้เกี่ยวกับหลักสูตร เทคนิคการสอน สื่อนวัตกรรม และวิธีการวัดและประเมินผล 3) แผนการจัดการเรียนรู้ทำให้ครูผู้สอนและครูที่จะปฏิบัติการสอนแทน สามารถปฏิบัติการสอน แทนได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพ 4) แผนการจัดการเรียนรู้ที่เป็นหลักฐานที่แสดงข้อมูลด้านการเรียนการสอน การวัดและ ประเมินผลที่จะนำไปใช้ประโยชน์ในการจัดการเรียนรู้ในครั้งต่อไป 5) แผนการจัดการเรียนรู้เป็นหลักฐานที่แสดงถึงความเชี่ยวชาญในวิชาชีพครู ซึ่งสามารถนำไป เสนอเป็นผลงานทางวิชาการ เพื่อขอเลื่อนวิทยฐานะหรือตำแหน่งได้ อาภรณ์ ใจเที่ยง (2553) ได้อธิบายไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้มีความสำคัญหาย ประการดังนี้ 1) ทำให้ผู้สอนสอนด้วยความมั่นใจ เมื่อเกิดความมั่นใจในการสอนย่อมจะสอนด้วยควา ม คล่องแคล่ว เป็นไปตามลำดับขั้นตอนอย่างราบรื่น ไม่ติดขัด การสอนจะดำเนินไปสู่จุดหมายปลายทาง อย่างสมบูรณ์ 2) ทำให้เป็นการสอนที่มีคุณค่าคุ้มกับเวลาที่ผ่านไป เพราะผู้สอนอย่างมีแผนมีเป้าหมาย และมี ทิศทางในการสอน มิใช่สอนอย่างเลื่อนลอย ผู้เรียนจะได้รับความรู้ ความคิด เกิดเจตคติ เกิดทักษะเกิด ประสบการณ์ใหม่ตามที่ผู้สอนวางแผนไว้ ทำให้เป็นการจัดการเรียนการสอนที่มีคุณค่า 3) ทำให้เป็นการสอนที่ตรงตามหลักสูตร ทั้งนี้เพราะในการ วางแผนการจัดการเรียนรู้ผู้สอนต้องศึกษาหลักสูตรทั้งด้านจุดประสงค์ เนื้อหาสารที่จะสอน การจัด กิจกรรมการเรียนการสอน การใช้สื่อการสอน และการวัดผลและประเมินผล แล้วจัดทำออกมาเป็น แผนการจัดการเรียนรู้หลักสูตร 4) ทำให้การสอนบรรลุผลอย่างมีประสิทธิ เนื่องจากผู้สอนต้องวางแผนการจัดการเรียนรู้ อย่าง รอบคอบในทุกองค์ประกอบของการ รวมทั้งการจัดเวลาเวลา สถานที่ และสิ่งอำนวยความ สะดวกต่าง ๆ ดังนั้น เมื่อมีการวางแผนการจัดการเรียนรู้ที่รอบคอบ และปฏิบัติตามแผนการจัดการ เรียนรู้ที่วางไว้ ผล ของการสอนย่อมสำเร็จได้ดีกว่าการไม่ได้วางแผนการจัดการเรียนรู้ 5) ทำให้ผู้สอนมีเอกสารเตือนความจำ สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการสอนต่อไป ทำให้ไม่ เกิดความซ้ำซ้อนและเป็นแนวทางในการทบทวนหรือการออกข้อสอบเพื่อวัดผลและประเมินผล ผู้เรียนได้


39 นอกจากนี้ทำให้ผู้สอนมีเอกสารไว้เป็นแนวทางแก่ผู้ที่เข้าสอนในกรณีจำเป็น เมื่อผู้สอนไม้ สามารถเข้าสอน เองได้ ผู้เรียนจะได้รับความรู้และประสบการณ์ที่ต่อเนื่องกัน 6) ทำให้ผู้เรียนเกิดเจตคติที่ดีต่อผู้สอนและต่อวิชาที่เรียน ทั้งนี้เพราะผู้สอนสอนด้วยความพร้อม เป็นความพร้อมทั้งทางด้านจิตใจคือ ความมั่นใจในการสอน และความพร้อมทางด้านวัตถุ คือ การที่ผู้สอน ได้เตรียมเอกสาร หรือสิ่งการสอนไว้อย่างพร้อมเพรียง เมื่อผู้สอนมีความพร้อมในการสอน ย่อมสอนด้วย ความกระจ่างแจ้ง ทำให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจอย่างชัดเจนในบทเรียน อันจะส่งให้ผู้เรียนเกิดเจตคติที่ดีต่อ ผู้สอนและต่อวิชาที่เรียน สรุปได้ว่า การวางแผนการจัดการเรียนรู้มีความสำคัญต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เป็นอย่างมาก คือ ทำให้ผู้สอนสอนด้วยความมั่นใจ ทำให้เป็นการสอนที่มีคุณค่าคุ้มกับเวลาที่ผ่านไป ทำให้เป็นการสอนที่ตรงตาม หลักสูตร ทำให้การสอนบรรลุผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้สอนมี เอกสารเตือนความจำ และทำให้ผู้เรียนเกิด เจตคติที่ดีต่อผู้สอนและต่อวิชาที่เรียน 4.2 ประเภทของแผนการจัดการเรียนเรียนรู้ ประเภทของแผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้สำหรับการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานตาม หลักสูตรอิงมาตรฐาน สามารถ สรุปได้เป็น 2 ประเภท (ชนาธิป พรกุล. 2552 : 85-86 ; นาตยา ปิลันธนานนท์. 2545 : 168) มี รายละเอียดดังนี้ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ระดับหน่วยการเรียนรู้ เป็นแผนที่ระบุเป้าหมายหลักและระบุเฉพาะ กิจกรรมหลัก ๆ 2) แผนการจัดการเรียนรู้ระดับบทเรียนหรือแผนรายชั่วโมง เป็นแผนที่ระบุกิจกรรมหลัก และ กิจกรรมย่อยอย่างละเอียดชัดเจนเป็นรายชั่วโมงหรือรายครั้ง สรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ระดับหน่วยการเรียนรู้ และแผนการจัดการเรียนรู้ระดับบทเรียน มี ลักษณะ ที่คล้ายคลึงกัน และจะสอดคล้องสัมพันธ์กันด้วย เพราะแผนการจัดการเรียนรู้ ระดับบทเรียนจะให้ รายละเอียดของเป้าหมายการเรียนรู้ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เนื้อหา สาระ สื่อการเรียนการสอน การวัด ประเมินผล ในบทเรียนย่อย ๆ ที่ประกอบกันเป็นหน่วยการเรียนรู้ 4.3 ลักษณะและองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ ลักษณะแผนจัดการเรียนรู้ที่ดี แผนการจัดการเรียนรู้ถือเป็นเครื่องมือสำคัญของผู้สอนที่จะช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถสรุปลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ดีได้ จากการศึกษานักวิชาการได้อธิบายลักษณะ ของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ดี ดังนี้


40 นาตยา ปิลันธนานนท์ (2545 : 172-173) ได้อธิบายไว้ว่า ลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ดี ต้อง ประกอบไปด้วย 1) เจตคติที่ดี ผู้สอนควรมีความรู้สึกที่ดีต่อการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ ไม่ควรมองว่างาน เขียนแผนการจัดการเรียนรู้เป็นการสร้างภาระ ความยุ่งยาก เพราะแผนการจัดการเรียนรู้จะเป็น ประโยชน์ต่อทั้งผู้สอน ผู้เรียน ผู้บริหาร สถานศึกษาและต่อสังคม ที่จะจัดการศึกษาให้มีคุณภาพ หาก ผู้สอนมีความรู้สึก มีเจตคติที่ดีต่อการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ ก็จะทำให้แผนการจัดการเรียนรู้มี คุณภาพและนำไปใช้ได้จริง 2) นักวางแผน นักคิด การจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ก็เช่นเดียวกับประมวลการสอนหรือ แนว การสอน หรือกำหนดการสอน คุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้สามารถสะท้อนความเป็นนักวางแผน นักคิดสร้างสรรค์ของผู้สอนได้ 3) เครื่องมือสื่อสาร แผนการจัดการเรียนรู้ก็เช่นเดียวกับประมวลการสอนที่ใช้เป็นเครื่องมือ สื่อสารความเข้าใจสำหรับตัวผู้สอน ผู้บริหาร พ่อแม่ ผู้ปกครองและชุมชน ได้รับทราบว่า โรงเรียนจัด การศึกษาอย่างไร ผู้เรียนได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างไร 4) เฉพาะเจาะจง ครอบคลุม พอเพียง การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ควรต้องระบุสิ่งที่จะ เรียน จะสอนให้ชัดเจน ครอบคลุมและพอเพียงที่จะทำให้ผู้เรียนมีคุณภาพ ความรู้ ความสามารถตาม มาตรฐาน ที่กำหนดไว้ในหลักสูตร ไม่ออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้ด้วยการกำหนดจุดประสงค์ที่ กว้างมากเกินไป หรือน้อยเกินไป และต้องเป็นประโยชน์กับผู้เรียน 5) ยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนได้ แผนการจัดการเรียนรู้เป็นสิ่งที่ได้เตรียมการล่วงหน้าก่อนจะมีการเรียน การสอนจริง ๆ การกำหนดข้อมูลใด ๆ ไว้ในแผนการจัดการเรียนรู้ ควรมีความยืดหยุ่นที่จะสามารถปรับ เปลี่ยนแก้ปัญหาได้ ในกรณีที่มีปัญหาเมื่อมีการนำไปใช้ หรือไม่สามารถดำเนินการตามแผนการจัดการเรียนรู้นั้น สามารถปรับเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ โดยไม่กระทบกระเทือนต่อการเรียนการสอนและผลการเรียนรู้ สรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ที่ดี ควรมีลักษณะที่ช่วยส่งเสริมเจตคติที่ดี ช่วยสะท้อนให้ ผู้สอน เป็นนัก คิด นักวางแผน เป็นเครื่องมือสื่อสารที่ดี มีความเฉพาะเจาะจง ครอบคลุม และมีความยืดหยุ่นสามารถปรับเปลี่ยน ได้ตามความเหมาะสม ตลอดจนมีความชัดเจน ทุกคนสามารถแปลความ ได้ตรงกันและมีการนำไปใช้และพัฒนา อย่างต่อเนื่อง


41 องค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ องค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้เป็นสิ่งที่ควรตระหนักถึงเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากการเขียนแผนการ จัดการเรียนรู้จำเป็นต้องเขียนตามลำดับองค์ประกอบและหากขาดองค์ประกอบใด ก็มิอาจทำให้แผนการจัดการ เรียนรู้นั้นสมบูรณ์ เมื่อพิจารณาแล้วการศึกษา วิเคราะห์ องค์ประกอบของ แผนโดยทั่วไปจะมี 7 องค์ประกอบดังนี้ (เอกรินทร์ สี่มหาศาล และคณะ, 2552) 1) สาระสำคัญ เป็นการเขียนในลักษณะเป็นความคิดรวบยอด หรือ Concept 2) จุดประสงค์การเรียนรู้ เขียนในลักษณะจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ซึ่งเมื่อผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติ ทุกพฤติกรรมในแต่ละแผนการเรียนรู้ของหน่วยการเรียนรู้ แล้วบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ ตัวชี้วัด และมาตรฐาน ผลการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ในแต่ละหน่วย 3) สาระการเรียนรู้ เป็นการเขียนเนื้อหาสาระในลักษณะเป็นประเด็นสำคัญสั้น ๆ สอดคล้องกับ เนื้อหาสาระที่ก าหนดไว้ในแผนการจัดการเรียนรู้ 4) กิจกรรมการเรียนรู้ ระบุวิธีสอน กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เทคนิคการสอนที่ หลากหลาย เมื่อจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ครบถ้วนบรรลุวัตถุประสงค์ในการเรียนรู้ เมื่อเรียนครบทุก แผนการจัดการ เรียนรู้ ผู้เรียนจะได้รับความรู้ ทักษะกระบวนการ และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ครบถ้วนตามเป้าหมายการเรียนรู้ ของตัวชี้วัด และมาตรฐานการเรียนรู้ที่ก าหนดไว้ โดยออกแบบการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้เรียนต้องปฏิบัติใน แต่ละรายชั่วโมงอย่างชัดเจน 5) สื่อ แหล่งการเรียนรู้ในแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้จะกำหนดสื่อการเรียนรู้ที่ใช้ ประกอบการ เรียนการสอนไว้อย่างชัดเจน มีใบความรู้ ใบงาน แบบฝึกทักษะการเรียนรู้เอกสาร เพิ่มเติมส าหรับผู้สอนตามความ เหมาะสมและบอกแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญที่จะช่วยให้การจัดกิจกรรมการ เรียนรู้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด 6) การวัดและประเมินผล ทุกแผนการจัดการเรียนรู้ จะระบุ รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่อง การวัด และประเมินผล ทุกแผนการการจัดการเรียนรู้จะระบุรายละเอียดเกี่ยวกับ เรื่อง การวัดและประเมินผล คือ หลักฐานการเรียนรู้ ร่องรอยการเรียนรู้ วิธีการวัดและประเมินผล เครื่องมือในการวัด และ ประเมินผล 7) บันทึกผลการจัดการเรียนรู้ เป็นการบันทึกผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในแต่ละแผนการ จัดการเรียนรู้เพื่อน าไปปรับปรุงและพัฒนาวิธีการจัดการเรียนรู้ให้บรรลุเป้าหมาย สรุปได้ว่า องค์ประกอบของ แผนการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย สาระสำคัญ จุดประสงค์การ เรียนรู้ สาระการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อ และแหล่งการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล บันทึก ผลหลังสอน


42 4.4 หลักการและรูปแบบของแผนการจัดการเรียนรู้ หลักในการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ ควรคำนึงถึงหลักในการเขียนว่าจะต้องเขียนอะไร เขียนอย่างไร และ เพื่อให้เกิดความเข้าใจง่ายในการนำไปใช้ศึกษา หรือจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวทาง ในการสอนผู้เรียน ควร คำนึงถึงรายละเอียดดังนี้ 1) ควรเขียนให้ชัดเจน แจ่มแจ้งในทุกหัวข้อ เพื่อให้ความกระจ่างแก่ผู้อ่าน มีรายละเอียด พอสมควร ไม่ย่นย่อและไม่ละเอียดเกินไป 2) ใช้ภาษาเขียนที่สื่อความหมายให้เข้าใจได้ตรงกัน เป็นประโยคที่ได้ใจความ ไม่ใช่ความค้าง ไม่ ยืดยาว เยิ่นเย้อ 3) เขียนทุกหัวข้อเรื่องให้สอดคล้องกัน 4) สาระสำคัญต้องสอดคล้องกับเนื้อหา 5) จุดประสงค์ต้องสอดคล้องกับเนื้อหา กิจกรรมและการวัดผล 6) สื่อการสอนต้องสอดคล้องกับกิจกรรมและการวัดผล 7) เขียนให้เป็นลำดับขั้นตอนก่อนหลังในทุกหัวข้อ 8) เขียนหัวข้อให้ถูกต้องชัดเจน เช่น จุดประสงค์ต้องเขียนให้เป็นจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม 9) จัดเนื้อหา กิจกรรม ให้เหมาะสมกับเวลาที่ก าหนด 10) คิดกิจกรรมที่น่าสนใจอยู่เสมอ 11) เขียนให้เป็นระเบียบ ง่ายแก่การอ่าน และสะอาดชวนอ่าน 12) เขียนในสิ่งที่สามารถปฏิบัติได้จริงและสอนตามแผนที่วางไว้ สรุปได้ว่า หลักในการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ ผู้เขียนจะต้องวางแผนล่วงหน้าก่อนการ เรียนการสอน โดยศึกษาเนื้อหาที่จะเขียนให้ละเอียดและตามลำดับขั้นตอน แบ่งหน่วยเนื้อหาย่อย แบ่งเวลาที่ใช้การสอนทุกหัวข้อ มีความสอดคล้องกัน ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย รวมทั้งต้องมีการหา ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ รูปแบบแผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ไม่มีรูปแบบที่ตายตัว แต่แผนจะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน โดย นักวิชาการที่ได้ศึกษา วิเคราะห์ไว้ว่า ลักษณะของแผนนั้นสถานศึกษาให้อิสระในการออกแบบ แผนการจัดการเรียนรู้ โดยทั่วไปมี 3 รูปแบบ ได้แก่ 1) แบบความเรียง เป็นการเขียนองค์ประกอบต่าง ๆ ของแผนการจัดการเรียนรู้โดยเขียนร้อย เรียงกันเป็นความเรียงตามลำดับ


43 2) แบบตาราง เป็นการเขียนองค์ประกอบในรูปแบบตาราง ซึ่งจะทำให้มองเห็นภาพรวมของ องค์ประกอบต่าง ๆ ได้เข้าใจง่าย 3) แบบผสมผสาน เป็นการเขียนองค์ประกอบต่าง ๆ ของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผสมผสาน ทั้ง 2 แบบคือแบบความเรียงและแบบตาราง 4.5 ขั้นตอนการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ที่ดี ควรเขียนเป็นขั้นตอนโดยนำมาตรฐานหักสูตรการศึกษา ขั้นพื้นฐานมา จัดการเรียนรู้ ดังนี้(วิมลรัตน์ สุนทรวิโรจน์. 2553) 1) ศึกษามาตรฐานการเรียนรู้ และมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้นของกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่ จัดทำ หลักสูตรเพื่อให้เข้าใจเป้าหมายและทิศทางของการจัดการเรียนรู้ 2) วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น เพื่อกำหนดสาระการเรียนรู้ช่วงชั้น และกำหนดผลการ เรียนรู้ที่คาดหวังรายปี รายภาค (เฉพาะระดับมัธยมศึกษาตอนปลายกำหนดสาระการเรียนรู้เป็น รายภาค เรียน) สาระการเรียนรู้ช่วงชั้นเป็นการกำหนดเนื้อหาที่จะต้องเรียนโดยคำนึงถึงจุดเน้นของ หลักสูตร ความ ต้องการของผู้เรียน ความต้องการของท้องถิ่นและชุมชน จำนวนเวลาที่จัดการเรียนรู้ ในแต่ละสัปดาห์ วัย และระดับชั้น ส่วนการกำหนดผลการเรียนรู้ที่คาดหวังรายปี รายภาคเรียนนั้น เป็นการระบุถึงความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะของผู้เรียนซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากการเรียนรู้ในแต่ละปี/ ภาค 3) วิเคราะห์สาระการเรียนรู้ช่วงชั้นและผลการเรียนรู้ที่คาดหวังรายปี/รายภาคเรียน เพื่อ กำหนด เป็นสาระการเรียนรู้รายปี รายภาค กล่าวคือเป็นเนื้อหาที่จะต้องเรียนให้สอดคล้องกับสภาพ และความ ต้องการของท้องถิ่นและชุมชน 4) นำผลการเรียนรู้ที่คาดหวังรายปี รายภาค และสาระการเรียนรู้รายปี/รายภาค มาพิจารณา เพื่อจัดทำคำอธิบายรายวิชา 5) นำคำอธิบายรายวิชามากำหนดเป็นหน่วยการเรียนรู้ ซึ่งอาจอธิบายได้ว่าเป็นหน่วยการ เรียนรู้ เปรียบเสมือนบทเรียนหนึ่ง ๆ ซึ่งประกอบด้วยเนื้อหาหายเรื่องที่มีความสัมพันธ์กัน นอกจากนี้ การจัดทำ หน่วยอาจใช้หลักการบูรณาการหลายกลุ่มสาระการเรียนรู้เข้าด้วยกัน โดยใช้วิชาใดวิชาหนึ่ง เช่น สังคม ศึกษา แล้วนำลักษณะเนื้อหาของกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน 6) นำหน่วยการเรียนรู้แต่ละหน่วยมาจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้เป็นรายหน่วย 7) นำแผนการจัดการเรียนรู้รายหน่วยมาจัดทำแผนการเรียนรู้รายชั่วโมง สรุปได้ว่า ขั้นตอนการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ ต้องเริ่มจากการศึกษาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยศึกษามาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น สาระการเรียนรู้ตัวชี้วัด รายปี รายภาค แล้วกำหนดเป็นสาระการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับสภาพบริบท และความต้องการของท้องถิ่นและ


44 ชุมชน หลังจากนั้นจึงนำตัวชี้วัดชั้นปี และสาระการเรียนรู้รายปีมา พิจารณาจัดทำคำอธิบายรายวิชา แล้วจึง กำหนดเป็นหน่วยการเรียนรู้และจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อใช้การจัดการเรียนรู้ต่อไป อาภรณ์ ใจเที่ยง (2553) ได้อธิบายไว้ว่า ขั้นตอนการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ ตามหลักสูตรการศึกษา ขั้นพื้นฐาน สามารถจัดทำได้ตามขั้นตอนดังนี้ 1) วิเคราะห์คำอธิบายรายวิชา เพื่อนำไปใช้ในการจัดทำโครงสร้างรายวิชาที่ประกอบด้วย หน่วย การเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด หรือผลการเรียนรู้ สาระสำคัญ เวลาเรียน และน้ำหนัก คะแนนใน แต่ละหน่วย ซึ่งจะเห็นในภาพรวมในระดับรายวิชาว่าผู้สอนจะต้องจัดการเรียนรู้ในแต่ละปีการศึกษา หรือ ภาคการศึกษาทั้งหมดกี่หน่วยการเรียนรู้ ใช้เวลาเรียนเท่าใด 2) วิเคราะห์จุดประสงค์รายวิชา และมาตรฐานรายวิชา โดยพิจารณาจากมาตรฐานการ เรียนรู้ และตัวชี้วัด หรือผลการเรียนรู้ เพื่อนำมาเขียนจุดประสงค์การเรียนรู้ โดยให้ครอบคลุม พฤติกรรมทั้งด้าน ความรู้ ทักษะ กระบวนการ เจตคติและค่านิยม 3) วิเคราะห์สาระการเรียนรู้โดยวิเคราะห์จากตัวชี้วัด หรือผลการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ในแต่ละ รายวิชา เพื่อนำมาใช้ในการเลือกและขยายสาระที่เรียนรู้ให้สอดคล้องกับผู้เรียน ชุมชน และท้องถิ่น รวมทั้งวิทยาการและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้เรียน 4) วิเคราะห์กระบวนการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้และ ตัวชี้วัด หรือผลการเรียนรู้ตลอดจนสาระการเรียนรู้ โดยเลือกรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียน เป็นสำคัญ ที่ ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม ลงมือปฏิบัติจริง มีความน่าสนใจ สอดคล้องกับวัยและธรรมชาติของ ผู้เรียน สามารถ นำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันและชีวิตจริงได้ 5) วิเคราะห์กระบวนการประเมินผล โดยเลือกใช้วิธีการวัดและประเมินผลที่หลากหลาย ใช้ เครื่องมือวัดที่มีความน่าเชื่อถือ และเกณฑ์การประเมินที่สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 6) วิเคราะห์แหล่งการเรียนรู้ โดยคัดเลือกสื่อการเรียนรู้และแหล่งการเรียนรู้ทั้งในและนอก ห้องเรียนให้เหมาะสมสอดคล้องกับกระบวนการเรียนรู้


45 4.6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแผนการจัดการเรียนรู้ 4.6.1. งานวิจัยในประเทศ วฤดี เชยเดช (2557: บทคัดย่อ) ได้วิจัยเชิงทดลอง เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้สาระ ภาษาไทย โดยแนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบเรียนปนเล่น โดยใช้กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2557 โรงเรียนชุมชนประชาธิปัตย์วิทยาคาร จังหวัดปทุมธานี จำนวน 30 คน โดยการ สุ่มอย่างง่าย ผลการศึกษาพบว่า 1) แผนการจัดการเรียนรู้สาระภาษาไทย โดยแนวคิดการจัดการเรียนรู้ แบบเรียนปนเล่นที่สร้าง ขึ้น มีค่าดัชนีความสอดคล้องในภาพรวมของแผนเฉลี่ยเท่ากับ 0.89 และ สามารถพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำ ของนักเรียนได้ โดยมีผลคะแนนเฉลี่ยของการประเมินทักษะ การอ่านสะกดคำ เท่ากับ 14.90 คะแนน 2) ผลการเปรียบเทียบทักษะการอ่านสะกดคำของนักเรียนระหวางก่อนและหลังการใช้แผนการ จัดการเรียนรู้ พบว่า คะแนนสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อน เรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 สุนิษฐา บุญศรี, อัษฎา พลอยโสภณ และรัชนี อิ่มอก (2564: บทคัดย่อ) ได้วิจัยเพื่อพัฒนา แผนการจัดการเรียนรู้ผ่านเกม เรื่อง การเขียน และเพื่อเปรียบเทียบคะแนนการเขียนสะกดคำโดยการจัดการ เรียนรู้ผ่านเกม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียน ที่ 2 ปีการศึกษา 2562 ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดยพิจารณาจากคะแนนจาก แบบทดสอบเรื่องการเขียนสะกดคำยากของนักเรียนที่มีคะแนน ต่ำกว่า 20 คะแนน จำนวน 10 คน ผลการวิจัย พบว่า 1) แผนการจัดการเรียนรู้ผ่านเกม เรื่อง การเขียนสะกดคำ มีประสิทธิภาพเท่ากับ 90.22/88 2) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ผ่านเกม เรื่อง การเขียน สะกดคำมีคะแนนเขียนสะกดคำสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 สายใจ ตะพองมาตร (2557: บทคัดย่อ) ได้วิจัย1)เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้แบบซินเนค ติกส์โดยใช้แนวคิดของ ศิลปินที่มีชื่อเสียง เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรคข์องนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอน ปลาย 2) เพื่อประเมินความคิด สร้างสรรค์จากกระบวนการทำงานและผลงานศิลปะของนักเรียนที่เรียนด้วย แผนการจัดการเรียนรู้แบบซินเนคติกส์ และ3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแผนการจัดการเรียนรู้ แบบซินเนคติกส์โดยใช้แนวคิดของศิลปินที่มีชื่อเสียง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 4 โรงเรียนสตรีประเสริฐศิลป์ ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2558 จำนวน 30 คน ซึ่งได้มาจากวิธีการสุ่มอย่างง่าย ผลการวิจัยพบว่า 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบซินเนคติกส์โดยใช้แนวคิดของศิลปินที่มีชื่อเสียงเพื่อพัฒนาความคิด สร้างสรรค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่สร้างขึ้นมีคุณภาพตามเกณฑ์ที่ กำหนดผลการประเมิน


46 คุณภาพ มีค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 4.39 และมีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.20 เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับเกณฑ์ การประเมินความพึงพอใจมีค่าน้า หนักคะแนนในระดับมาก 2) ผลการประเมินความคิดสร้างสรรค์กระบวนการทำงานและผลงานศิลปะของนักเรียนที่เรียน โดยใช้ แผนการจัดการเรียนรู้แบบซินเนคติกส์โดยใช้แนวคิดของศิลปินที่มีชื่อเสียงเพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ของนักเรียน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายภาพรวมอยู่ในระดับดีมีค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 8.31 และมีค่าส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน เท่ากับ 0.53 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแผนการจัดการเรียนรู้แบบซินเนคติกส์โดยใช้แนวคิดของ ศิลปินที่มีชื่อเสียงเพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายนักเรียนมีความพึงพอใจ ในภาพรวมอยู่ในระดับมากโดยมีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.32 และมีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.40 4.6.2 งานวิจัยต่างประเทศ Salma Saleh Moh’d, Jean Uwamahoro, John Aluko Orodho (2022) ได้ทำการ ว ิ จัย เกี่ยวกับ “การวิเคราะห์การวางแผนบทเรียนคณิตศาสตร์โดยกรอบของครูความรู้เนื้อหาการสอน” ที่กล่าวถึงว่า ความรู้ด้านเนื้อของผู้สอนของกลุ่มอย่างส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพแผนการจัดการเรียนรู้หรือไม่ ผลการวิจัยและ สืบสวนพบว่า ผู้สอนกลุ่มตัวอย่างนั้นยังมีความสามารถไม่เพียงพอที่จะพัฒนาคุณภาพแผนการจัดการเรียนรู้ได้ 5. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 5.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีผู้ให้ความหมายไว้ ดังนี้ ประกิจ รัตนสุวรรณ (2525: 200) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คุณลักษณะและ ความสามารถของบุคคลที่เกิดจากการเรียนการสอน เป็นการเปลยี่นแปลง พฤติกรรมและประสบการณ์การเรียนรู้ จากการฝึกฝนอบรมหรือสอน อัจฉรา สุขารมณ์ และ อรพินทร์ ชูชม (2530: 10) ได้กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสําเร็จที่ได้จากการทํางานที่ตองอาศัยความพยายามจํานวนหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการกระทําที่อาศัย ความสามารถทางร่างกายหรือสมอง ดังนั้นผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจึงเป็นขนาดของความสําเร็จที่ไดจากการเรียนที่ อาศัยการทดสอบ เช่น จากการสังเกต หรือการตรวจการบ้าน หรืออาจอยูในรูปของเกรดที่ไดมาจากโรงเรียนซึ่ง ต้องอาศัย กรรมวิธีที่ซับซ้อนและช่วงเวลาในการประเมินอันยาวนาน หรืออีกวิธีหนึ่งอาจวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนดวยแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั่วไป


47 ไพศาล หวังพานิช (2533: 209) ไดใหความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ไว้ดังนี้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คุณลักษณะและความสามารถของบุคคล อันเกิดจากการเรียนการ สอน เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกิดจาก การฝึกอบรม หรือจากการสอน การวัดผลสัมฤทธิ์จึงเป็นการตรวจสอบระดับความสามารถ หรือความสัมฤทธิ์ผล ของบุคคลว่าเรียนรู้แล้วเท่าไร มีความสามารถชนิดใด ซึ่งสามารถวัดได้ 2 แบบ ตามจุดมุ่งหมายและลักษณะวิชาที่ สอน คือ 1. การวัดด้วยการปฏิบติเป็นการตรวจสอบระดับความสามารถในการปฏิบัติ หรือทักษะของผู้เรียนโดย ผู้เรียนได้แสดงความสามารถดังกลาวในรูปการกระทําจริงให้ออกมาเป็นผลงาน เช่น วิชาศิลปศึกษา พลศึกษา การ ช่าง เป็นต้น การวัดแบบนี้จึงตองวัด โดยใช้ขอสอบปฏิบัติ 2. การวัดด้านเนื้อหา เป็นการตรวจสอบความสามารถเกี่ยวกับเนื้อหาวิชาอันเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ ของผู้เรียน รวมถึงพฤติกรรมความสามารถในด้านต่างๆสามารถวัดได้โดยใช้ข้อสอบผลสัมฤทธิ์ วรรณี โสมประยูร (2537: 262) ได้ใหความหมายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า หมายถึง ความสามารถ หรือพฤติกรรมของนักเรียนที่เกิดจากการเรียนรู้ซึ่งพัฒนาขึ้นหลังจาการอบรมสั่งสอนและฝึกฝนโดยตรง กูด (Good. 1973: 103 ) ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในสถานศึกษาโดยปกติวัดจาก คะแนนท่ีครูเป็นผู้ให้หรือจากแบบทดสอบ หรืออาจรวมทั้งคะแนน ที่ครูเป็นผู้ให้และคะแนนที่ได้จากแบบทดสอบ จากความหมายดังกล่าวสรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ หรือ ทักษะซึ่งเกิด จากการทํางานที่ประสานกัน และต้องอาศัยความพยายามอย่างมาก ทั้งองค์ประกอบทางด้านสติปญญา และ องค์ประกอบที่ไม่ใช่สติปัญญาแสดงออกในรูปของความสําเร็จ สามารถวัดได้โดยการใช้แบบทดสอบ หรือคะแนนที่ ครูให้ 5.2 ประเภทของแบบทดสอบการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ประกิจ รัตนสุวรรณ (2525: 210) ได้แบ่งประเภทของแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนไว้ ดังนี้ 1. แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้น (Teacher-Made Test) ครูผู้สอนจัดสร้างขึ้น เพื่อวัดความก้าวหน้าของ นักเรียน ภายหลังจากได้มีการเรียนการสอนไประยะหนึ่งแล้ว โดย ปกติแบบทดสอบประเภทนี้จะใช้เฉพาะภายใน กลุ่มนักเรียนที่ครูผู้ออกข้อสอบเป็นผู้สอน จะไม่นําไปใช้กับนักเรียนกลุ่มอ่อน ทั้งนี้โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อตรวจสอบ นักเรียนวามีความรู้ ความสามารถตามจุดมุ่งหมายของการเรียนการสอนมากน้อยเพียงใด และจะนําผลสอบนี้ไปใช้ ทั้งปรับปรุงซ่อมเสริมการเรียนการสอน กับนําไปตัดสินผลการเรียนของนักเรียนด้วยตัวอย่าง แบบทดสอบที่ครูใช้ ในการสอบกลางภาค หรือปลายภาค หรือเมื่อสิ้นสุดการเรียนการสอน ในแต่ละบทเรียนนั้นเอง 2. แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized Test) เป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ เช่นเดียวกับ แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นใช้เองแต่มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบ การเรียนด้านต่าง ๆ ของนักเรียนที่ต่างกลุ่มกัน


48 บุญชม ศรีสะอาด (2532: 8 – 9) ได้แบ่งลักษณะของแบบทดสอบออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. แบบทดสอบแบบอิงเกณฑ์ หมายถึง แบบทดสอบที่สรางขึ้นตาม จุดประสงคเชิงพฤติกรรม มีคะแนน จุดตัดหรือคะแนนเกณฑที่ใช้ตัดสินว่า ผู้เรียนมีความรู้ตามเกณฑ์ที่กําหนดไว้หรือไม่ การวัดเพื่อใหตรงตาม จุดประสงค์ซึ่งเป็นหัวใจของการทดสอบประเภทนี้ 2. แบบทดสอบแบบอิงกลุ่ม หมายถึง แบบทดสอบที่สร้างเพื่อวัดให้ ครอบคลุมหลักสูตรสร้างตาม ตารางวิเคราะห์หลักสูตร สามารถจําแนกผู้เรียนตามเกงออนได การรายงานผลการสอบอาศัยคะแนนมาตรฐานซึ่ง เป็นคะแนนมาตรฐานซึ่งเป็นคะแนนที่สามารถ วัดได้ที่แสดงสถานภาพความสามารถของบุคคลเมื่อเปรียบเทียบกับ บุคคลอื่นที่ใช้กลุ่มเปรียบเทียบ ลวน สายยศ และ อังคณา สายยศ (2536: 146 – 147) ได้แบ่งแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ได้เป็น 2 พวก คือ 1. แบบทดสอบของครู หมายถึง ชุดของคําถามที่ครูเป็นผู้สร้างขึ้น ซึ่งเป็นข้อคําถามเกี่ยวกับความรู้ที่ นักเรียนได้เรียนในหห้องเรียนว่านักเรียนมีความรู้มากแค่ไหน บกพร่องตรงไหนจะได้สอนซ่อมเสริม หรือเป็นการ วัดความพร้อมที่จะได้เรียนในบทเรียนใหม่ขึ้นอยู่กับความต้องการของครู 2. แบบทดสอบมาตรฐาน แบบทดสอบประเภทนี้สร้างขึ้นจากผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาวิชาหรือจาก ครูผู้สอนวิชานั้น แต่ผ่านการทดลองคุณภาพหลายครั้ง จนกระทั่งมีคุณภาพดีจึงสร้างเกณฑ์ปกติของแบบทดสอบ นั้น สามารถใช้เป็นหลักเปรียบเทียบผลเพื่อประเมินค่าของการเรียนการสอนในเรื่องใดก็ได้ แบบทดสอบมาตรฐาน จะมีคู่มือดําเนินการสอบ บอกวิธีสอนและยังมีมาตรฐานในด้านการแปลคะแนนด้วย ทั้งแบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้น และแบบทดสอบมาตรฐาน มีวิธีการสร้างข้อคําถามเหมือนกัน เป็นคําถามที่วัดเนื้อหาและพฤติกรรมที่สอนไปแล้ว จะเป็นพฤติกรรมที่สามารถ ตั้งคําถามวัดได้ซึ่งควรวัดให้ครอบคลุมพฤติกรรมต่าง ๆ ดังนี้ 1. ความรู้ความจํา 2. ความเข้าใจ 3. การนําไปใช้ 4. การวิเคราะห์ 5. การสังเคราะห์ 6. การประเมินค่า จากที่กล่าวมาข้างตนสามารถสรุปประเภทของแบบทดสอบการวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนได้ คือ 1. เป็นแบบทดสอบของครู หรือแบบทดสอบมาตรฐาน 2. เป็นแบบทดสอบแบบอิงเกณฑ์ หรือ แบบทดสอบแบบอิงกลุม 3. เป็นลักษณะการวัดด้านปฏิบัติหรือการวัดเนื้อหา


49 5.3 องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน องค์ประกอบที่มีอิทธิพลตอผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีผู้ได้ใหคําอธิบายไว้ ดังนี้ เพรสคอต์ต (Prescott. 1961: 14 – 16) ได้ใช้ความรู้ทางชีววิทยา สังคมวิทยา จิตวิทยา และการแพทย์ ศึกษา เกี่ยวกับการเรียนของนักเรียนทั้งในและนอกห้องเรียน สรุปผลการศึกษาว่าองค์ประกอบที่มีอิทธิพลตอผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนมี ดังนี้ 1. องค์ประกอบทางด้านร่างกาย ได้แก่ อัตราการเจริญเติบโตของร่างกาย สุขภาพ ข้อบกพร่องทางกาย และบุคลิกภาพ ท่าทาง 2. องค์ประกอบทางความรัก ได้แก่ ความสัมพันธ์ของบิดามารดา ความสัมพันธ์ของบิดากับลูก มารดากับ ลูก ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัวทั้งหมด 3. องค์ประกอบทางวัฒนธรรมและสังคม ได้แก่ ขนบธรรมเนียมประเพณี ความเป็นอยู่ของครอบครัว สภาพแวดล้อมทางบ้าน และฐานะทางบ้าน 4. องค์ประกอบทางการพัฒนาแห่งตน ได้แก่ ปัญหาปรับตัว การแสดงออกทางอารมณ์ขององค์ประกอบ ต่างๆที่มีผลต่อระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน โดยนําเอาครู นักเรียนและหลักสูตรมาเป็นองค์ประกอบ สําคัญ โดยเชื่อวาเวลาและคุณภาพของการสอนมีอิทธิพลโดยตรงต่อปริมาณความรู้ที่นักเรียนได้รับจากอิทธิพลที่มี ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดังกล่าวมาข้างต้น พอจะสรุปได้ว่า ผลกระทบต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีหลายองค์ ประกอบด้วยกัน แต่ผลที่เกิดขึ้นโดยตรงนั้น ได้แก่วิธีสอนของครูและกิจกรรมการเรียนการสอนที่ครูเป็นผู้จัดขึ้น 5.4 กระบวนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน บุญเชิด ภิญโญอนันตพงษ์ (2525: 21 – 30) ได้กล่าวถึงขั้นตอนของกระบวนการสร้างแบบทดสอบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ ดังนี้ ขั้นที่ 1 การวางแผนสร้างแบบทดสอบ พิจารณาถึงจุดประสงค์ของการนําแบบทดสอบไปใช้ การ วางแผนสร้างแบบทดสอบว่าจะสร้างแบบทดสอบอย่างไร หรือทราบ จุดประสงค์ของการนําแบบทดสอบไปใช้ ซึ่ง แบบทดสอบส่วนใหญ่จะมีความสัมพันธ์กับการสอน เช่น การสอบเพื่อตรวจสอบความรู้ก่อนทําการเรียนการสอน เพื่อที่ผู้สอนจะสามารถนํามา ปรับปรุงวิธีการสอน ดังนั้นจุดประสงค์ของการนําแบบทดสอบไปใช้อาจจําแนกเป็น 4 จุดประสงค์ คือ 1. ใช้ตรวจสอบความรู้เดิม จะทําการสอบก่อนที่จะเริ่มต้นการสอน เพื่อ พิจารณาว่านักเรียนมีความรู้ พื้นฐานที่จําเป็นสําหรับเนื้อหาที่จะเรียนเพียงพอหรือไม่และนักเรียนมีความรู้เนื้อหาที่จะสอนหรือไม่ 2. ใช้ตรวจสอบความก้าวหน้าและปรับปรุงการเรียนการสอน 3. ใช้วินิจฉัยผูเรียน 4. ใช้สรุปบทเรียน เนื้อหาและพฤติกรรมที่ต้องการวัด


50 เนื้อหาและพฤติกรรมที่ต้องการวัด คือ เนื้อหาและพฤติกรรมที่ทำการสอน การวิเคราะห์หลักสตูร การวิเคราะห์ หลักสูตรเป็นกระบวนการในการจําแนกแยกแยะ ในวิชานั้นๆมีหัวขอเนื้อหาสาระที่สําคัญอะไรบ้าง มีจุดประสงค์ที่ จะให้เกิดพฤติกรรมอะไรบ้าง ดังนั้นการวิเคราะห์หลักสูตรจึงประกอบด้วยการวิเคราะห์ 2 อย่าง คือ 1. การวิเคราะห์เนื้อหาวิชา 2. การวิเคราะห์จุดประสงค์ การวิเคราะห์เนื้อหาวิชา เป็นการจําแนก หรือจัดหมวดหมู่เนื้อหาวิชาเป็นหัวข้อสําคัญโดยคํานึงถึงสิ่ง ต่อไปนี้ 1. ความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันของเนื้อหา 2. ความยากง่ายของเนื้อหา 3. ขนาดของเนื้อหา 4. เวลาที่สอน การวิเคราะห์จุดประสงค์ การวิเคราะห์เนื้อหาวิชา เป็นการจำแนก หรือจัดหมวดหมู่เนื้อหาวิชาเป็นหัวขอสําคัญ โดยคํานึงถึง สิ่งต่อไปนี้ 1. รวบรวมจุดประสงค์ของเนื้อหาวิชาทั้งหมด จากหนังสือหลักสูตรและคู่มือครู 2. เขียนพฤติกรรมที่สําคัญของแต่ละจุดประสงค์ทั้งหมด 3. ยุบพฤติกรรมที่สําคัญที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันให้เป็นพฤติกรรมเดียวกัน 4. นิยามความหมายของพฤติกรรมที่ยุบรวมแล้ว ขั้นที่ 2 การเตรียมงานและเขียนข้อสอบ เมื่อวางแผนการสร้างแบบทดสอบโดยการสร้างเป็นตารางวิเคราะห์หลักสูตรเรียบร้อยแล้ว ต้อง เตรียมงาน และเขียนข้อสอบต่อไป ขั้นที่ 3 การทดลองสอบ เมื่อเขียนขอสอบและจัดพิมพ์เรียบร้อยแล้ว จึงนําไปทดลองสอบ ขั้นที่ 4 การประเมินผลแบบทดสอบ การประเมินผลแบบทดสอบ เป็นการตรวจสอบว่าแบบทดสอบมีคุณภาพหรือไม่ โดยพิจารณาตาม คุณลักษณะที่ดีของแบบทดสอบ 10 ประการ คือ 1. ความแม่นตรง หมายถึง แบบทดสอบสามารถวัดพฤติกรรมได้ตรงตามที่ระบุไว้ในจุดประสงค์และ ตามที่ทำการสอนจริง 2. ความเชื่อมั่น หมายถึง แบบทดสอบให้ผลการสอบสอดคล้องตรงกันทุกครั้ง


51 3. อํานาจจําแนก หมายถึง ข้อสอบที่แบ่งแยกคนเก่งอ่อนออกจากกันได้ กล่าวคือ คนเก่งจะตอบถูก คนอ่อนจะตอบผิด 4. ความเป็นปรนัย หมายถึง ข้อสอบที่มีคําถามชัดเจน และการให้คะแนนชัดเจน 5. ความเฉพาะเจาะจง หมายถึง ข้อสอบที่มีคําถามชัดเจนและการใหคะแนนชัดเจน 6. ประสิทธิภาพ หมายถึง แบบทดสอบที่ใชนั้น ประหยัดเวลาการสร้าง การดําเนินการสอบ การตรวจ ให้คะแนนให้แต่ผลการสอบถูกต้อง 7. ความสมดุล หมายถึง แบบทดสอบสามารถวัดได้ครอบคลุมตามจุดประสงค์และมีเนื้อหามีสัดสวน จํานวนข้อสอดคล้องตามตารางวิเคราะห์หลักสตูร 8. ความยุติธรรม หมายถึง แบบทดสอบมีความชัดเจนไม่คลุมเครือ และเปิดโอกาสใหทุกคนมีโอกาสที่ จะตอบถูกได้เท่ากัน 9. ความเหมาะสมของเวลา หมายถึง แบบทดสอบได้กำหนดเวลาให้อยางเพียงพอในการตอบข้อสอบ จนเสร็จ อุทุมพร จามรมาน (2540: 27) กล่าวถึงการสร้างข้อสอบที่เป็นระบบนั้น มีขั้นตอน ดังนี้ 1. การระบุจํานวนจุดมุ่งหมายในการทดสอบ 2. การระบุเนื้อหาให้ชัดเจน 3. การทําตารางเนื้อหากับจุดมุ่งหมายในการทดสอบ 4. การทําน้ำหนัก 5. การกําหนดเวลาสอบ 6. การกําหนดจํานวนข้อหรือคะแนน 7. การเขียนข้อสอบ 8. การตรวจสอบข้อเขียนที่เขียนขึ้น 9. การทดลองใช้แก้ไข ปรับปรุง 5.5 ประโยชน์ของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สุริยัน แสงแก้ว (2535: 23 ; อางอิงมาจาก Chauncey; & Dobbin. 1963: 63 – 67) กล่าวถึง ประโยชน์ของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ 5 ประการ ดังนี้ 1. เพื่อดูระดับพัฒนาการ 2.ใช้เป็นประโยชน์ในการแนะแนวนักเรียน 3. เพื่อประโยชน์ในด้านการวางแผนสร้างหลักสูตรต่อไป 4. เพื่อใช้ในการสอบคัดเลือกและเลื่อนชั้น


52 5. เพื่อใช้เปรียบเทียบความสามารถในการสอนของครูในโรงเรียนเดียวกัน หรือเปรียบเทียบระหว่าง โรงเรียน จากการศึกษาเรื่องผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีคุณลักษณะรวมถึงความรู้ ความสามารถของบุคคลได้รับจากการเรียนการสอน ทําใหบุคคลเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในด้านต่างๆ และ ถือเป็นวิธีการที่จะทราบว่านักเรียนได้บรรลุเป้าหมายของการเรียนหรือไม่ รวมทั้งเพื่อการแก้ไขปัญหาและปรับปรุง การเรียนการสอน 5.6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 5.6.1 งานวิจัยในประเทศ อาทิตยา แสงสุข และคณะ (2558 : บทคัดย่อ) ศึกษาประสิทธิภาพชุดฝึกทักษะภาษาไทย เรื่อง สํานวน ไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและ หลังการเรียน ดําเนินการทดลองโดยใช้แผนการวิจัย One Group Pre-test Post-test Design เครื่องมือที่ใช้ใน การวิจัย ได้แก่ 1) ชุดฝึกทักษะภาษาไทยเรื่อง สํานวนไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยระดับชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4 จํานวน 3 ชุด 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การใช้ชุดฝึกทักษะภาษาไทย เรื่อง สํานวนไทย กลุ่มสาระการ เรียนรู้ภาษาไทย ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผลการวิจัยพบว่า ผลการเปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและหลัง เรียนการใช้ชุดฝึกทักษะภาษาไทยพบว่า คะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นันทวัน เหิดขุนทด (2555 : บทคัดย่อ) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง สํานวน สุภาษิต และคำ พังเพย กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง สํานวนไทย โดยใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง สํานวน สุภาษิต และคำพังเพย ผลการวิจัยพบว่า ผลการเปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนการใช้ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง สํานวน สุภาษิต และคำพังเพย พบว่า คะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี นัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เยาวรัตน์ ตรึกตรอง (2557 : บทคัดย่อ) ศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังใช้แบบ ฝึกทักษะการอ่านจับใจความ เรื่อง สำนวน สุภาษิต คำพังเพย โดยใช้ชุดนิทาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับ ใจความ เรื่อง สำนวน สุภาษิต คำพังเพย โดยใช้ชุดนิทาน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จันทิมา เมยประโคน (2555 : บทคัดย่อ) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนและความพึงพอใจในการเรียน วิชาศิลปะ เรื่อง การสร้างสรรค์จาก เศษวัสดุ ของนักเรียนชั ้นประถมศึกษาปี ที่ 5 ที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ แบบ 4 MAT ผลการศึกษาพบว่า 1. ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนวิชาศิลปะ เรื่อง การสร้างสรรค์ จากเศษวัสดุ โดยการจัดการเรียนรู้แบบ 4 MAT ทั้ง 5 กิจกรรม คือ ภาพปะติดจากเศษวัสดุ ที่ใส่ดินสอจากเศษ วัสดุ ตุ๊กตาจากเศษผ้า แจกันจากเศษวัสดุ และดอกไม้จากเศษวัสดุ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญทาง


53 สถิติที่ระดับ .05 2. ความพึงพอใจต่อการเรียนศิลปะของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ แบบ 4 MAT ทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านกระบวนการจัดการเรียนรู้ ด้านบรรยากาศการเรียนการสอน ด้านการใช้สื่อการ เรียนการสอน และด้านการวัดและประเมินผล อยู่ในระดับมากที่สุด นงลักษณ์ เขียวมณี (2562 : บทคัดย่อ) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ และเทคโนโลยีและความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยวิธีการจัดการเรียนรู้ แบบใช้โครงงานเป็นฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยีของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 หลังได้รับวิธีการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด คือ ร้อยละ 70 ของคะแนน เต็ม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 2. ความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยีของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังได้รับวิธีการจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน อยู่ในระดับดีมาก 5.6.2 งานวิจัยต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โซนส์ (Sones. 1944: 238 – 239) ได้ศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ในการอ่านของนักเรียนเกรด 6 และ เกรด 9 ระหว่างหนังสือคู่มือธรรมดากับหนังสือการ์ตูน โดยใช้กลุ่มทดลองการ์ตูนเรื่อง วอนเดอร์วูแมน (Wonder Woman) กลุ่มควบคุมใช้หนังสือบทเรียนธรรมดา ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนกลุ่มทดลองมีผลสัมฤทธิ์ในการอ่านสูง กว่านักเรียนในกลุ่มควบคุม แสดงว่าการ์ตูนช่วยให้เด็กเรียนรู้ได้ดีกว่าหนังสือธรรมดา ลอเรย์ (Lowrey. 1978: 817) ได้ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของการใช้แบบฝึกทักษะกับนักเรียนระดับ 1 ถึงระดับ 3 จํานวน 87 คน พบว่า นักเรียนที่ได้รับการฝึกโดยใช้แบบฝึกทักษะมีคะแนนการทดสอบหลังการทํา แบบฝึกมากกว่าคะแนนทดสอบก่อนทําแบบฝึก แมคพิค (Mc Peake. 1979: 1799 – A) ได้ศึกษาผลการเรียนจากแบบฝึก อยางมีระบบตั้งแตเริ่มศึกษา จนถึงความสามารถในการอ่าน และเพศที่มีตอความสามารถในการสะกดคําของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จํานวน 129 คน พบว่า ทุกกลุ่มมีผลสัมฤทธิ์ในการสะกดคำสูงขึ้น ยกเว้นนักเรียนชายที่มีความบกพร่องในการอ่าน และพบว่าแบบฝึกช่วยในการปรับปรุงความสามารถในการสะกดคําไปสู่คําใหมที่ยังไม่ได้ศึกษา และคะแนนของ นักเรียนหญิงสูงกว่านักเรียนชายอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ นอกจากนี้การอ่านยังมีความสัมพันธ์กับความสามารถใน การสะกดคํา จากการศึกษางานวิจัยทั้งในและต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สรุปได้ว่า การจัด กิจกรรมการเรียนการสอนที่ดี มีประสิทธิภาพและการตระหนักถึงตัวผู้เรียนเป็นสําคัญจะส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของนักเรียน


54 6. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวกับประสิทธิภาพสื่อการเรียนรู้ 6.1 การหาประสิทธิภาพของสื่อการเรียนรู้ การทดสอบประสิทธิภาพ (developmental testing) หมายถึง กระบวนการทดสอบคุณภาพ ของต้นแบบชิ้นงาน (prototype) โดยการนำสื่อหรือชุดการสอนไปทดสอบด้วยกระบวนการสองขั้นตอน คือ การ ทดสอบประสิทธิภาพใช้เบื้องต้น (Try Out) และทดสอบประสิทธิภาพสอนจริง(Trail Run) เพื่อหาคุณภาพของสื่อ สามขั้นตอนที่กำหนดใน 3 ประเด็นคือ การทำให้ผู้เรียนมีความรู้เพิ่มขึ้น การช่วยให้ ผู้เรียนผ่านกระบวนการเรียน และทำแบบประเมินสุดท้ายได้ดี และการทำให้ผู้เรียนมีความพึงพอใจ นำผล ที่ได้มาปรับปรุงแก้ไข ก่อนที่จะผลิต ออกมาเผยแพร่เป็นจำนวนมากซึ่งขั้นตอนในการทดสอบประสิทธิภาพ มีขั้นตอนหลัก 2 ขั้นได้แก่ การทดสอบ ประสิทธิภาพใช้เบื้องต้น และทดสอบประสิทธิภาพสอนจริง (ชัย ยงค์ พรหมวงศ์, 2520) 1. การทดสอบประสิทธิภาพใช้เบื้องต้น (try out) เป็นการนำสื่อที่ผลิตขึ้นเป็นต้นแบบ (Prototype) ไป ทดสอบประสิทธิภาพใช้ตามขั้นตอนกำหนดไว้ในแต่ละระบบ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ ของสื่อให้เท่าเกณฑ์ที่ กำหนดไว้ และปรับปรุงจนถึงเกณฑ์ 1.1 การทดสอบประสิทธิภาพแบบเดี่ยว (individual testing) เป็นการทดสอบประสิทธิภาพกับ ผู้เรียนจำนวน 1-3 คน โดยใช้เด็กอ่อน ปานกลาง และเก่ง ระหว่างทดสอบประสิทธิภาพให้จับเวลาในการประกอบ กิจกรรม สังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนว่า หงุดหงิดทำหน้าฉงน หรือทำท่าทางไม่เข้าใจหรือไม่ 1.2 การทดสอบประสิทธิภาพแบบแบบกลุ่ม (group testing) เป็นการทดสอบประสิทธิภาพ กับ ผู้เรียนจำนวน 6-10 คน โดยการคละผู้เรียนที่เก่ง ปานกลาง และอ่อน 1.3 การทดสอบประสิทธิภาพแบบสนาม (field testing) เป็นการทดสอบประสิทธิภาพกับ ผู้เรียนทั้งชั้น จำนวน 15 คนขึ้นไป ในการทดสอบประสิทธิภาพแต่ละขั้นตอน จะต้องมีเครื่องมือประเมิน ในรูป แบบทดสอบ แบบสอบถามและแบบสังเกต เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ เทียบกับเกณฑ์ที่กำหนดตามประเภท ของสื่อ และทำการปรับปรุงให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงเกณฑ์ที่กำหนด จึงจะถือว่าสื่อมีประสิทธิภาพ 2. การทดสอบประสิทธิภาพสอนจริง (trial run) เป็นการนำสื่อที่ได้ปรับปรุงแก้ไขผ่านเกณฑ์แล้ว ไปสอน จริงในขั้นเรียนหรือในสถานการณ์การเรียนที่แท้จริงในช่วงเวลาหนึ่ง อาทิ 1 ภาคการศึกษาเป็น อย่างน้อย เพื่อ ตรวจสอบคุณภาพเป็นครั้งสุดท้ายก่อนนำไปเผยแพร่และผลิตออกเป็นจำนวนมาก


55 6.2 การกำหนดเกณฑ์มาตรฐาน แนวคิดการประเมินโดยอาศัยเกณฑ์จะมีการกำหนดค่าตัวเลขขึ้นมาเพื่อเป็นสิ่งที่จะระบุถึง ประสิทธิภาพของสื่อ ในปัจจุบันการกำหนดเกณฑ์นิยมปฏิบัติใน 2 แนวทาง คือ 1. การทดสอบประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 90/90 เป็นวิธีการที่ได้รับการพัฒนานำมาเพื่อ ประเมิน ประสิทธิภาพของบทเรียนโปรแกรม มีพื้นฐานมาจากการเรียนรู้แบบรอบรู้ นิยามของเกณฑ์ มาตรฐาน 90/90 นั้น ได้อธิบายไว้ว่า (เปรื่อง กุมุท, 2519) 90 ตัวแรกเป็นคะแนนเฉลี่ยของทั้งกลุ่ม ซึ่งหมายถึงนักเรียนทุกคน เมื่อสอนครั้งหลังเสร็จ ให้ คะแนนเสร็จ นำคะแนนมาหาค่าร้อยละให้หมดทุกคะแนน แล้วหาค่าร้อยละเฉลี่ยของทั้งกลุ่ม ถ้าบทเรียน โปรแกรมถึงเกณฑ์ค่า ร้อยละเฉลี่ยของกลุ่มจะต้องเป็น 90 หรือสูงกว่า 90 ตัวที่สองแทนคุณสมบัติที่ว่า ร้อยละ 90 ของนักเรียนทั้งหมด ได้รับผลสัมฤทธิ์ตามความมุ่งหมายแต่ละ ข้อ และทุกข้อของบทเรียนโปรแกรมนั้น 2. การทดสอบประสิทธิภาพตามเกณฑ์ประสิทธิภาพ E1/E2 เป็นแนวคิดการประเมินที่เกิดขึ้น เพื่อ ประเมินประสิทธิภาพของชุดการสอนและสื่อการสอนประเภทต่าง ๆ ยกเว้น บทเรียนโปรแกรม ซึ่ง ตั้งอยู่บน พื้นฐานของกลุ่มพฤติกรรมนิยมที่ต้องการประเมินผลพฤติกรรมของผู้เรียนใน 2 ประเภท คือ พฤติกรรมต่อเนื่อง (กระบวนการ) และพฤติกรรมสุดท้าย (ผลลัพธ์) โดยกำหนดค่าประสิทธิภาพเป็น E1 (ประสิทธิภาพของ กระบวนการ) E2 (ประสิทธิภาพของผลลัพธ์) นิยามประสิทธิภาพ E1/E2 คือ (ชัยยงค์ พรหมวงศ์, 2520) E1 หมายถึง ค่าร้อยละของคะแนนเฉลี่ยที่เกิดจากการทำกิจกรรมระหว่างเรียนจากชุดการ สอนหรือสื่ออื่น ๆ ของผู้เรียน (ประสิทธิภาพของกระบวนการเรียนรู้) E2 หมายถึง ค่าร้อยละของคะแนนเฉลี่ยที่เกิดจากการทำแบบทดสอบหลังการเรียนของ ผู้เรียน (ประสิทธิภาพของผลลัพธ์การเรียนรู้) เกณฑ์ที่นิยมตั้งไว้สำหรับด้านความรู้ (พุทธิพิสัย) คือ E1/E2 =90/90 85/85 หรือ 80/80 ขึ้นอยู่กับระดับ พุทธิพิสัย อาจตั้งไว้ดังนี้ หากเน้นระดับความจำ และความเข้าใจก็อาจตั้ง 90/90 หากเน้นการนำไปใช้และการวิเคราะห์ก็อาจตั้ง 85/85 หรือ หากเน้นการวิเคราะห์ การสังเคราะห์และการประเมินก็อาจตั้ง 80/80 เป็นต้น


56 ส่วนเกณฑ์ที่ตั้งไว้สำหรับด้านจิตพิสัยและทักษะพิสัย อาจตั้งไว้ดังนี้ 85/85 เมื่อเป็นการเปลี่ยนแปลงทัศนคติหรือความชานาญที่ไม่ต้องใช้เวลามากนัก 80/80 เมื่อต้องการเวลาในการเปลี่ยนแปลงทัศนคติหรือฝึกฝน 75/75 เมื่อต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้านจิตพิสัยหรือทักษะพิสัยเป็นเวลานาน และผู้เรียน ต้องการเวลาในการฝึกฝนมากขึ้น อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะเน้นเนื้อหาสาระด้านใดก็ตามไม่ควรดั้งเกณฑ์ E1/E2 ไว้ต่ำกว่า 75/75 เพราะเป็น ระดับความพอใจต่ำสุด จึงไม่ควรตั้งไว้ต่ำกว่านี้ หากตั้งเกณฑ์ไว้เท่าใด ก็มักได้ผลเท่านั้น 6.3 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพของสื่อ 6.3.1 งานวิจัยในประเทศ ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (การทดสอบประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอน 2556) เป็นวารสารศึกษาศาสตร์วิจัย ที่ กล่าวเกี่ยวกับความหมายและความสำคัญของการหาประสิทธิภาพของสื่อ สำหรับการผลิตสื่อและชุดการสอนการ ทดสอบประสิทธิภาพ หมายถึง การนำสื่อหรือชุดการสอนไปทดสอบด้วยกระบวนการสองขั้นตอน คือ การ ทดสอบประสิทธิภาพใช้เบื้องต้น (Try Out) และทดสอบประสิทธิภาพสอนจริง (Trial Run) เพื่อหาคุณภาพของสื่อ ตามขั้นตอนที่กำหนดใน 3 ประเด็น คือ การทำให้ผู้เรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นการช่วยให้ผู้เรียนผ่านกระบวนการเรียน และทำแบบประเมินสุดท้ายได้ดี และการทำให้ผู้เรียนมีความพึงพอใจ นำผลที่ได้มาปรับปรุงแก้ไขก่อนที่จะผลิต ออกมาเผยแพร่เป็นจำนวนมาก พลรบ พรายรักษา (สารนิพนธ์ 2552) เป็นงานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพของชุดพัฒนาทักษะการ อ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ที่มีต่อความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนปทุมวิไล จังหวัดปทุมธานี กลุ่มตัวอย่างได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) ทําการ สอนนักเรียนกลุมตัวอยางโดยใช้ชุดพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เป็นเวลา 7 สัปดาห์รวมทั้งสิ้น 14 ชั่วโมง จากนั้นทดสอบหลังเรียนด้วยแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจ ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาประสิทธิภาพของชุดพัฒนาทักษะการอ่านดังกล่าว และเปรียบเทียบ ความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของคะแนนที่ได้จากการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้ t-test แบบ Dependent t-test สรุปว่า ชุดพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจมีประสิทธิภาพสูง โดยสูงกว่า เกณฑ์ที่ตั้งไว้ (80/80) และมีประสิทธิภาพในการพัฒนาความสามารถในการอ่านของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 โรงเรียนปทุมวิไล จังหวัดปทุมธานีให้สูงขึ้น


57 เผชิญ กิจระการ (2544) ได้กล่าวถึง ประสิทธิภาพของสื่อการเรียนการสอนว่า หมายถึง ความสามารถ ของบทเรียนในการสร้างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ถึงระดับเกณฑ์ที่คาดไว้ ประสิทธิภาพที่วัดออกมาจะพิจารณาจากเปอร์เซ็นต์การทำแบบฝึกหัดหรือกระบวนการปฏิสัมพันธ์กับเปอร์เซ็นต์ การทำแบบทดสอบเมื่อจบบทเรียน ราตรี พิชัยพงษ์ (2552) การหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนตามแบบแผนการทดลอง จึงต้องใช้หลัก สถิติเพื่อสรุปความหมายในเชิงของการเปรียบเทียบ โดยใช้ z-test, t-test, f-test, และ Chi-Square เป็นต้น ซึ่ง แปลความหมายในเชิงคุณภาพหรือการเปรียบเทียบ โดยทั่วไปการพัฒนาสื่อการสอนสำหรับการวิจัยนั้นเพื่อยืนยัน ด้านคุณภาพของบทเรียนที่พัฒนาขึ้น นอกจากจะหาประสิทธิภาพของบทเรียนแล้ว ยังนิยมเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของผู้เรียนเมื่อเรียนด้วยสื่อการสอนเรื่องดังกล่าวด้วย ถ้าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนมีค่า สูงขึ้น ก็จะเป็นสิ่งยืนยันได้ถึงความสามารถของบทเรียนในการทำให้ผู้เรียนที่เกิดการเรียนรู้ได้ดีขึ้นเมื่อพิจารณา โครงสร้างบทเรียนที่ออกแบบไว้แล้ว สื่อการสอนที่ต้องการหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน จึงต้อง ประกอบด้วย ทั้ง แบบทดสอบก่อนบทเรียนและแบบทดสอบหลังบทเรียน ถ้าหากไม่มีแบบทดสอบก่อนบทเรียนก็ จะไม่สามารถหาค่าในส่วนนี้ได้ รดา วัฒนะนิรันดร์ (2558) ได้ศึกษาผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเทคนิคการเรียนรู้แบบ TGT โดยใช้ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเพื่อพัฒนาการอ่าน เขียน คำอักษรนำสำหรับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยการวิจัยครั้ง นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเทคนิคการเรียนรู้แบบ TGT 6.3.2 งานวิจัยต่างประเทศ แอนเดอร์สัน (Anderson,1982,pp.4795-A) ได้สร้างชุดการสอนด้วยตนเองเพื่อหาประสิทธิภาพตาม เกณฑ์ที่ตั้งไว้และเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมในระดับเตรียมอุดมศึกษา โดยใช้ชุดการสอนด้วย ตนเองกับการสอนแบบบรรยาย ผลปรากฏว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ วิวาส (Vias 1985: 603, อ้างถึงใน เสน่ห์ คงสบาย 2545,72) ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับการออกแบบพัฒนา และการประเมินค่าของการรับรู้ทางความคิดของนักเรียนเกรด 1 ในประเทศเวนูซูเอล่า โดยใช้ชุดการสอนจาก การศึกษาเกี่ยวกับความเข้าใจในการพัฒนาทักษะทั้ง 5 ด้าน คือ ด้านความคิด ด้านความพร้อมในการเรียน ด้าน ความคิดสร้างสรรค์ ด้านเชาว์ปัญญา และด้านการปรับตัวทางสังคม นักเรียนกลุ่มตัวอย่างได้รับการสอนโดยใช้ชุด การสอน และกลุ่มควบคุมได้รับการสอนแบบปกติ ผลการวิจัย พบว่า นักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้ชุดการสอนมี ความสามารถเพิ่มขึ้นหลังจากได้รับการสอนด้วยชุดการสอน สูงกว่านักเรียนที่ได้รับการสอนแบบปกติ


58 แมรี่เคอ (Maryker 1983: 1319-A อ้างถึงใน เสน่ห์ คงสบาย 2545,72) ได้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับผลการสอน ที่เน้นทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการพัฒนารูปแบบของความมีเหตุผลในการคิดกับนักศึกษาวิชาเอก ประถมศึกษา ผลการวิจัยพบว่า มีนัยสำคัญทางสถิติ คือ ครูที่ผ่านการอบรมและนำกระบวนการสอนหรือชุดสื่อ การสอนที่ผ่านการประเมินแล้วไปใช้ในห้องเรียน นักเรียนจะมีการพัฒนาที่ดีขึ้นและมีความคิดอย่างเป็นระบบ สรุปได้ว่า การหาประสิทธิภาพของสื่อการสอนเป็นกระบวนการตรวจสอบ และพิจารณาคุณค่าของสื่อ อย่างมีระบบก่อนนำสื่อไปใช้งานจริงในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพต่อไป 7. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวกับมาตราตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา 7.1 ความหมายของมาตราตัวสะกด วีณา วงศ์ศรีเผือก (2546, หน้า73) ได้ให้ความหมายของคำว่ามาตราตัวสะกด หมายถึง หมวดหมู่ ของพยัญชนะที่ทำหน้าที่เป็นพยัญชนะท้าย หรือตัวสะกด ความหมายของตัวสะกด คือ พยัญชนะที่ประกอบอยู่ท้ายสระและมีเสียงประสมเข้ากับสระ ทำให้เสียงของ คำแตกต่างกันตามตัวพยัญชนะที่นำมาประกอบ แบ่งออกได้เป็น 8 มาตรา รวมเรียกว่า “มาตราตัวสะกด” ได้แก่ มาตราแม่กก กง กบ กด กน กม เกย เกอว หากพยางค์ใดไม่ปรากฎพยัญชนะตัวสะกด เช่น พ่อ แม่ ไก่ ทะเล ปูนา ตา ศีรษะ จัดว่าเป็นมาตราแม่ ก กา ซึ่งตัวสะกดในภาษาไทยจำแนกได้ 2 ประเภท ได้แก่ 1. มาตราตัวสะกดที่ใช้พยัญชนะสะกดเพียงตัวเดียวและตรงตามมาตรา มี 4 มาตรา ได้แก่ 1.1 มาตราแม่กง ใช้ ง เป็นตัวสะกด เช่น สูง ครั้ง จริง สร้าง เรื่อง ฯลฯ 1.2 มาตราแม่กม ใช้ ม เป็นตัวสะกด เช่น รวม เติม ถาม จาม สุ่ม ฯลฯ 1.3 มาตราแม่เกย ใช้ ย เป็นตัวสะกด เช่น สวย ร่ำรวย กล้วย ควาย สบาย เฉยเมย ฯลฯ 1.4 มาตราแม่เกอว ใช้ ว เป็นตัวสะกด เช่น แมว แวววาว เปรี้ยว แก้ว ข่าว เที่ยว ฯลฯ 2. มาตราตัวสะกดที่ใช้พยัญชนะเป็นตัวสะกดหลายตัว ทั้งที่ตรงตามมาตราและที่ออกเสียงเหมือน ตัวสะกดเหล่านี้ มี 4 มาตรา ได้แก่ 2.1 มาตราแม่กก ใช้ ก ข ค ฆ เป็นตัวสะกดออกเสียงเหมือน ก สะกด ได้แก่ ข ค ฆ เช่น ประโยค เลข เมฆ สมัคร ฯลฯ 2.2 มาตราแม่กด ใช้ จ ฉ ช ซ ฎ ฏ ฐ ฒ ฑ ด ต ถ ท ธ ศ ษ ส เป็นตัวสะกดออกเสียงเหมือน ด สะกด ได้แก่ จ ฉ ช ซ ฎ ฏ ฐ ฒ ฑ ต ถ ท ธ ศ ษ ส เช่น ตำรวจ รถ บวช ก๊าซ กฎหมาย อิฐ ผลิต โกรธ ฯลฯ 2.3 มาตราแม่กน ใช้ น ญ ณ ร ล ฬ เป็นตัวสะกดออกเสียงเหมือน น สะกด ได้แก่ ญ ณ ร ล ฬ เช่น เหรียญ กุญชร ปลาวาฬ วันเพ็ญ ชุลมุน กาฬสินธุ์ ฯลฯ


59 2.4 มาตราแม่กบ ใช้ บ ป พ ฟ ภ เป็นตัวสะกด ออกเสียงเหมือน บ สะกด ได้แก่ ป พ ฟ ภ เช่น ยีราฟ อพยพ ลาภ ขวบ ลูบ ทัพพี บาป ฯลฯ 7.2 ความสำคัญของมาตราตัวสะกด การเรียนรู้เรื่องมาตราตัวสะกด ถือเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาทักษะด้านอ่านและการเขียนคำในภาษา ไทยมีทั้งประเภทที่เป็นคำไทยแท้มีตัวสะกดตรงตามมาตรา และคำที่รับมาจากภาษาอื่น ได้แก่ ภาษาบาลี สันสกฤต และภาษายุโรปตะวันตก จะมีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตราเป็นส่วนใหญ่ลักษณะเช่นนี้นับว่าเป็นปัญหาอีกประการ หนึ่งสำหรับผู้เรียนภาษาไทย หากผู้เขียนใช้ตัวสะกดไม่ถูกต้องจะทำให้สื่อความหมายผิดพลาดไม่ตรงตามความ ต้องการ ตัวสะกดในภาษาไทยมีบทบาทสำคัญในการกำหนดเสียง และความหมายของคำให้แตกต่างกัน เช่น สา + ง สาง สา + น สาน นอกจากนี้ตัวสะกดในมาตราเดียวกัน ออกเสียงสะกดเหมือน แต่ก็จะมีความหมายแตกต่างกัน เช่น การ (งาน) กาล (เวลา) อาจ (หาญ) สะ (อาด) การสอนเรื่องมาตราตัวสะกด ครูควรจัดกิจกรรมให้นักเรียนตระหนักถึงความจำเป็นในการเขียนและการ อ่านคำให้ตรงตามมาตราตัวสะกด เพื่อสื่อความหมายได้ถูกต้องตรงความหมาย 7.3 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับมาตราตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา 7.3.1 งานวิจัยในประเทศ กมลวรรณ สีแสง (2563 : บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการเขียนตัวสะกด มาตราแม่กด ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดเสาธงนอก โดยใช้แบบฝึกทักษะซึ่งคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างจากการ เลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) ซึ่งมีนักเรียนจำนวน 5 คนที่มีความบกพร่องเรื่องการสะกดคำ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนเรื่องมาตราตัวสะกดแม่กด และแบบฝึกทักษะ การเขียนตัวสะกดมาตราแม่กด วิเคราะห์ข้อมูลโดยนำคะแนนที่ได้มาวิเคราะห์โดยใช้ค่าเฉลี่ย (x̄) และค่าร้อยละ แล้วเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนดไว้คือ ร้อยละ 60 ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนกลุ่มตัวอย่างมีทักษะและ ความสามารถในการเขียนตัวสะกดมาตราแม่กด หลังการใช้แบบฝึกสูงกว่าก่อนการใช้แบบฝึก และพบว่ามีนักเรียน ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 60 จำนวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 80 อำภวรรณ สันป่าเงิน (2563) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การแก้ปัญหานักเรียนเขียนสะกดคำไม่ถูกต้องตามมาตรา ตัวสะกด การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ในการจัดการเรียนการสอน เพื่อฝึกให้นักเรียนเขียนสะกดคำจากมาตรา ตัวสะกดต่างๆ ได้ถูกต้องแม่นยำ ผู้วิจัยได้จัดทำแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน เพื่อพัฒนาการเขียนสะกดคำ ของนักเรียนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ผลการวิจัยพบว่า


60 1. การทดสอบก่อนเรียน นักเรียนคัดเลือกคำศัพท์ที่สะกดด้วยมาตราตัวสะกดต่างๆจากหนังสือพิมพ์ แล้ว นำคำศัพท์มาติดลงในใบงานที่ครูกำหนดให้ 9 มาตราตัวสะกด ผลการเขียนสะกดคำนักเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 60 จำนวน 7 มาตราตัวสะกด มาตราแม่ ก กา และแม่ กม ไม่ผ่านเกณฑ์ รวมเฉลี่ยทั้งหมดคิดเป็นร้อยละ 78.66 2. การทดสอบหลังเรียน ใบงานที่ 1 มาตราตัวสะกดแม่ ก กา นักเรียน เขียนคำจากภาพที่กำหนดให้ ผล การเขียนสะกดคำผ่านเกณฑ์ร้อยละ 83.33 3. ใบงานที่ 2 มาตราตัวสะกด แม่ กง เติมคำที่มีตัวสะกด 8 ข้อ ผลการเขียนสะกดคำผ่านเกณฑ์ร้อยละ 100 4. ใบงานที่ 3 มาตราตัวสะกดแม่ กน เติมตัวสะกด เขียนคำ และแต่งประโยค จำนวน 26 ข้อ ผลการเขียน สะกดคำผ่านเกณฑ์ร้อยละ 69.25 5. ใบงานที่ 4 มาตราตัวสะกด แม่ กม เติมคำที่มีตัวสะกด จำนวน 10 ข้อ ผลการเขียนสะกดคำผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 70 6. ใบงานที่ 5 มาตราตัวสะกด แม่ เกย หาคำที่มี ย สะกด และแต่งประโยค เติมคำในประโยค จำนวน 15 ข้อ ผลการเขียนสะกดคำผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 7. ใบงานที่ 6 มาตราตัวสะกด แม่ เกอว ระบายสีคำที่มี ว สะกดจำนวน 8 ข้อผลการเขียนสะกดคำผ่าน เกณฑ์ร้อยละ 62 8. ใบงานที่ 7 มาตราตัวสะกด แม่ กก ระบายสีคำที่มีตัวสะกด จำนวน 21 ข้อ ผลการเขียนสะกดคำผ่า เกณฑ์ร้อยละ 23.80 9. ใบงานที่ 8 มาตราตัวสะกด แม่ กด เติมคำที่มีตัวสะกด จำนวน 12 ข้อ ผลการเขียนสะกดคำผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 25 10. ใบงานที่ 9 มาตราตัวสะกด แม่ กบ เติมคำที่มีตัวสะกด จำนวน 10 ข้อ ผลการเขียนสะกดคำผ่าน เกณฑ์ร้อยละ 70 11. ผลจากการเขียนสะกดคำจากใบงานทั้ง 9 มาตราตัวสะกด นักเรียนยังเขียนสะกดค าไม่ผ่านร้อยละ 60 จจำนวน 2 มาตราตัวสะกด คือ แม่ กก แม่กด รวมเฉลี่ยทั้งหมดคิดเป็นร้อยละ 64.87 จากผลการดำเนินงาน 1. ในภาพรวมจากการวิจัยเรื่องการแก้ปัญหานักเรียนเขียนสะกดคำไม่ถูกต้องตามมาตราตัวสะกด พบว่า นักเรียนยังจำมาตราตัวสะกดแต่ละมาตราตัวสะกดไม่ได้ จึงเขียนไม่ถูกต้อง 2. นักเรียนไม่ค่อยสนใจในการทำงาน สังเกตจากชิ้นงานและลายมือ 3. ครูผู้ทำงานวิจัย มีเวลาพบผู้เรียนห้องละ 1 คาบ ต่อสัปดาห์ (นักเรียนทำงานหลังจากเรียนในชั่วโมงแล้ว ) ทำให้การดำเนินงานวิจัยครั้งนี้ยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร


61 4. จากการสังเกตคิดว่านักเรียนหาคำศัพท์จากวารสารจะได้คะแนนมากกว่าในใบงานเพราะนักเรียนอาศัยความจำ ไม่ได้มาจากความเข้าใจ เปรมฤทัย บริรักษ์, จันทร์จิรา ทองหล่อ และปาริชาต เตชะ (2561) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การอ่านและเขียน คำที่สะกดตรงตามมาตราตัวสะกดของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบการอ่าน และเขียนคำที่สะกดตรงตามมาตราตัวสะกด หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้การเรียนแบบร่วมมือ ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1 ที่เกณฑ์ร้อยละ 70 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยการจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือ เรื่อง การอ่านและการเขียนคำที่สะกดตรงตามมาตราตัวสะกด ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เพื่อศึกษาความรับผิดชอบหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้การเรียนแบบร่วมมือ เรื่อง การอ่านและการเขียนคำที่ สะกดตรงตามมาตราตัวสะกด ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเทศบาล 1 (เกริกกฤตยาอุปถัมภ์)ตำบลในเมือง อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดก าแพงเพชร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 จำนวน 28 คน ได้จากการเลือกแบบเจาะจง(Purposive Sampling) ผลการวิจัยพบว่า การอ่านและเขียนคำที่สะกดตรงตามมาตราตัวสะกด หลังเรียนของนักเรียน สูงกว่า เกณฑ์ที่ร้อยละ 70 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การเรียนแบบร่วมมือ เรื่อง การอ่าน และการเขียนคำที่สะกดตรงตามมาตราตัวสะกดของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่1 สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ความรับผิดชอบหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้การเรียนแบบร่วมมือ เรื่อง การอ่าน และการเขียนคำที่สะกดตรงตามมาตราตัวสะกด ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยรวมอยู่ในระดับมาก คือ มี ค่าเฉลี่ย (x) เท่ากับ 2.7 สังวาลย์ จันทร์เทพ, ยุพิน จันทร์เรือง และ อัญชลี เท็งตระกูล (2562) ได้ทำการวิจัยเรื่องการใช้แบบฝึก เสริมทักษะพัฒนาการอ่านตัวสะกดไม่ตรงมาตรา ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเทศบาล 1 วัดพรหมวิหาร อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย การ วิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมทักษะพัฒนาการอ่านตัวสะกดไม่ตรงม าตรา ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการอ่านสะกดคำ โดยใช้ แบบฝึกเสริมทักษะพัฒนาการอ่านตัวสะกดไม่ตรงมาตราด้วยกิจกรรมการเรียนรู้เทคนิค STAD และศึกษาความพึง พอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้แบบฝึกเสริมทักษะพัฒนาการอ่านตัวสะกดไม่ตรงมาตราด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ เทคนิค STAD ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเทศบาล 1 (วัดพรหมวิหาร) อำเภอแม่สาย จังหวัด เชียงราย ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเทศบาล 1(วัดพรหม วิหาร) อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย 3 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 104 คน กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถม ศึกษาปีที่ 2/3 จำนวน 34 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านตัวสะกดไม่ตรงมาตรา จำนวน 4 ชุด ชุดละ 8 แบบฝึก แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 4 หน่วย หน่วยละ 6 แผน แบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียน-หลังเรียน (Pre-test–Post-test) แบ่งเป็นการอ่านออกเสียง 40 คำ แบบ


62 เลือกตอบ จำนวน 20 ข้อ ข้อละ 1 คะแนน รวม 40 คะแนน และแบบสำรวจความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการ เรียน โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะพัฒนาการอ่านตัวสะกดไม่ตรงมาตราด้วยกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD จำนวน 10 ข้อผลการวิจัยพบว่า 1. ประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมทักษะเรื่องการอ่านตัวสะกดไม่ตรงมาตรา แม่กก แม่กด แม่กน แม่กบ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเทศบาล 1 (วัดพรหมวิหาร) อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย มีค่า E1/ E2 เท่ากับ 84.83/85.67 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 80/80 เป็นไปตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/3 โรงเรียนเทศบาล 1 (วัดพรหมวิหาร) หลัง ได้รับการจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะพัฒนาการอ่านตัวสะกดไม่ตรงมาตราด้วย กิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD มีคะแนนค่าเฉลี่ยเท่ากับ 18.26 คิดเป็นร้อยละ 85.66 สูงกว่าเกณฑ์ ที่ตั้งไว้ มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. นักเรียนกลุ่มตัวอย่างที่เรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะพัฒนาการอ่านตัวสะกดไม่ตรงมาตราด้วย กิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD มีค่าเฉลี่ยระดับความพึงพอใจเท่ากับ 2.60 อยู่ในระดับมาก เสน่ห์ วรสันติวงศ์ (2560 : 9) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนคำในมาตรา ตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1/1 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560 โรงเรียนบ้านสบกอน ตำบลเชียงกลาง อำเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน จำนวน 32 คน ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ แบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนคำในมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถม ศึกษาปีที่ 1 จำนวน 8 เล่ม แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การอ่านและเขียนคำในมาตราตัวสะกด จำนวน 20 ข้อ แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนคำในมาตรา ตัวสะกด จำนวน 12 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย (x̄) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ค่าทดสอบค่าที (t-test) แบบ Dependent Sample Test และการหาประสิทธิภาพ E1/ E2 ซึ่งผล การศึกษาพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนคำในมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01


63 7.3.2 งานวิจัยต่างประเทศ ฮอร์น (Horn 1969 : 43) ได้ทำการวิจัยเรื่องการเขียนสะกดคำในโรงเรียนมัธยมศึกษา พบว่า นักเรียนมักจะสะกดผิดตัวมาก โดยเฉพาะเด็กในระดับ 4-12 ซึ่งแสดงถึงความไม่สนใจในการใช้ภาษา เขากล่าวว่า การเขียนสะกดผิดนั้น ทำให้ผู้อ่านมีความรู้สึกว่าคนเขียนไม่มีความสามารถ ชเวนดินเนอร์ (Schwendinger 1977 : 51) ได้ศึกษาผลการเขียนสะกดคำของนักเรียนในระดับ 6 จำนวน 503 คน โดยใช้แบบฝึกหัดที่มีรูปของจริงและแบบเขียนตามคำบอก ผลการวิจัยพบว่านักเรียนที่เรียน โดยการใช้แบบฝึกหัดที่มีรูปภาพของจริงมีผลการเรียนการเขียนสะกดคำสูงกว่านักเรียนที่เรียนแบบเขียนตามคำ บอก 8. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวกับกรอบแนวคิดในการวิจัย 8.1 ความหมายของกรอบความคิด กรอบแนวความคิด (Conceptual Framework) กรอบแนวคิดในการวิจัยเป็นขั้นตอนการนําตัว แปรและประเด็นที่ต้องการทําวิจัยมาเชื่อมโยงกับแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องในรูปของคําบรรยาย มีด้วยกัน 3 รูปแบบ คือ แบบพรรณาความ แบบจําลอง และแบบแผนภาพ ลักษณะของกรอบแนวคิดในการวิจัยที่ดี • มีความชัดเจนในการแสดงทิศทางของความสัมพันธ์ของสิ่งที่ต้องการศึกษา หรือตัวแปรที่จะศึกษา • ใช้เป็นกรอบในการกําหนดขอบเขตของการวิจัยการพัฒนาเครื่องมือในการวิจัยรูปแบบการวิจัยได้ หลักการเขียนกรอบแนวคิดในการวิจัย • กําหนดตัวแปรต้น หรือตัวแปรอิสระ ไว้ด้านซ้ายมือ • กําหนดตัวแปรตามไว้ด้านขวามือ • เขียนลูกศรชี้จากตัวแปรต้นแต่ละตัวมายังตัวแปรตามให้ครบทุกคู่ที่ต้องการ 8.2 ความสำคัญของกรอบความคิด กรอบแนวความคิด (Conceptual Framework) หมายถึงความคิดของผู้วิจัย เกี่ยวกับตัวแปรต่าง ๆ ที่ ผู้วิจัยได้กําหนดไว้เป็นข้อสมมติฐานในการศึกษาและวิจัยแต่ละ ครั้ง ทั้งนี้ โดยทั่วไปจะเข้าใจกันผิดว่า กรอบ แนวความคิดคือ ขอบเขตการวิจัย ซึ่งหมายถึง สาระหรือวัตถุประสงค์หรือประเด็นต่าง ๆ ที่ผู้ที่วิจัยต้องการศึกษา กรอบแนวคิดการวิจัยของผู้วิจัย เป็นการแสดงออกถึงประเด็นสําคัญดังต่อไปนี้


64 • ความรอบรู้ของผู้วิจัย • ระดับสติปัญญาของผู้วิจัยในการกลั่นกรองเอกสารที่จะนํามาใช้ • การได้มาซึ่งองค์ความรู้ในปัจจุบัน จึงรู้ได้ว่ามีอะไรอีกหรือไม่ที่จะทําให้ผู้วิจัย ตัดสินใจทําการศึกษาต่อไป 8.3 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกรอบความคิด 8.3.1 งานวิจัยในประเทศ นงลักษณ์ วิรัชชัย (2540) ได้ให้ความหมายของคําว่า กรอบความคิดเชิงทฤษฎีว่าเป็นแบบจําลอง ที่ แสดงโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มตัวแปรทั้งหมดโดยอาศัยทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็น แบบ จําลองแสดงโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎี และอเมนด้า (Imenda, 2557) กล่าวว่า กรอบทฤษฎีเป็นการประยุกต์ใช้ทฤษฎี หรือชุดของแนวคิดมาจากทฤษฎีหนึ่งเดียว การให้ คําอธิบายของ เหตุการณ์ หรือเปิดปรากฏการณ์หรือวิจัยปัญหาเฉพาะ ซึ่งสอดคล้องกับ บัณฑิตา อินสมบัติ (2558) ที่ว่ากรอบ ความคิดเชิงทฤษฎี หมายถึง แนวคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของตัวแปรทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับ ปรากฏการณ์ที่ ต้องการศึกษา ซึ่งได้จากการทบทวนเอกสาร ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง (สุวิมล ติรกานันท์, 2546, น. 35) กรอบความคิดการวิจัยได้ 3 รูปแบบ 1. แบบบรรยาย เป็นการใช้ถ้อยคําบรรยายความเกี่ยวเนื่อง ลําดับก่อน-หลัง และความสัมพันธ์ ของตัวแปร ลักษณะนี้ไม่ดึงดูดความสนใจของผู้อ่านมากนัก 2. แบบฟังค์ชั่นทางคณิตศาสตร์ วิธีนี้นิยมใช้ในการวิจัยทางเศรษฐศาสตร์ เป็นการพยายาม อธิบายเรื่องราวทั้งหมด ด้วยวิธีการทางคณิตศาสตร์ แบบแผนภูมิ เป็นการเชื่อมโยงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่ต้องการศึกษาแสดง ลําดับการเกิดก่อนหลัง ของตัวแปร นอกจากนี้แผนภูมิที่สร้างขึ้นยังสามารถแสดงความเป็นเหตุเป็นผล ซึ่ง นําไปสู่การใช้เทคนิคทางสถิติที่ เหมาะสมในการวิเคราะห์ต่อไป บัณฑิตา อินสมบัติ (2558) ได้ให้ความหมาย กรอบความคิดการวิจัย คือ ภาพสรุป สุดท้าย เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของตัวแปรที่ผู้วิจัยต้องการศึกษาโดยกรอบความคิดการวิจัยนี้ได้จากการลดตัวแปร ในกรอบ ความคิดเชิงทฤษฎีกรอบความคิดการวิจัยนี้อาจจะเป็นกรอบความคิดเชิงทฤษฎีก็ได้ หากผู้วิจัยสนใจจะ ศึกษา ปรากฏการณ์ที่ครอบคลุมทฤษฎีนั้นทั้งหมด แต่โดยส่วนใหญ่แล้วผู้วิจัยจะศึกษาความสัมพันธ์ของตัวแปร เพียงบาง ตัวในกรอบความคิดเชิงทฤษฎี ด้วยเพราะข้อจํากัดด้านต่าง ๆ กรอบความคิดการวิจัยนี้จึงได้จากการลด ตัวแปรใน กรอบความคิดเชิงทฤษฎี


65 (สมถวิล วิจิตรวรรณา และคณะ. 2556 กรอบแนวคิดการวิจัย (Conceptual Framwork) คือ การประมวลความคิดรวบยอดของงานวิจัยที่แสดงความเกี่ยวข้องระหว่างตัวแปรที่ศึกษา ดังนั้นหลักสำคัญในการ เขียนกรอบแนวคิด คือ จะต้องอิงแนวคิด หลักการหรือทฤษฎีที่นำมาใช้เป็นกรอบการทำวิจัย และแสดงความ สัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่ศึกษา หลักสำคัญในการเลือกกรอบแนวคิดในการวิจัย มี 4 ประการ คือ 1. ความตรงประเด็น กรอบแนวคิดที่ตรงประเด็นในด้านเนื้อหา พิจารณาได้จากเนื้อหาของตัวแปรอิสระ หรือตัวแปรที่ใช้ควบคุม และตัวแปรตาม 2. ความง่ายและไม่สลับซับซ้อน กรอบแนวคิดที่ควรจะเลือกควรเป็นกรอบที่ง่ายแก่การเข้าใจ ไม่ยุ่งยาก ซับซ้อน หากมีทฤษฎีหลายทฤษฎีที่จะนำมาใช้เป็นกรอบแนวคิด ผู้ที่ทำวิจัยควรเลือกทฤษฎีที่ง่ายที่สุดที่สามารถ อธิบายปรากฏการณ์ที่ต้องการศึกษาได้พอๆ กัน 3. ความสอดคล้องกัน แสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่สอดคล้องกับความสนใจของผู้วิจัย 4. ความมีประโยชน์ต่อการปฏิบัติ การวิจัยนั้นควรมีกรอบแนวคิดสะท้อนถึงประโยชน์ที่สามารถนำไปใช้ ในการวิจัยด้วย รศ.พ.ต.อ.หญิง ดร.พัชรา สินลอยมา, 2551 การสร้างกรอบแนวคิดในการวิจัย เป็นขั้นตอนของ การนําเอาตัวแปรและประเด็นที่ ต้องการทําวิจัยมาเชื่อมโยงกับแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องในรูปของคําบรรยาย แบบจําลอง แผนภาพหรือแบบผสมการวาง กรอบแนวคิดในการวิจัยที่ดี จะต้องชัดเจน แสดงทิศทาง ของ ความสัมพันธ์ ของสิ่งที่ต้องการศึกษา หรือตัวแปรที่จะศึกษา สามารถใช้เป็นกรอบในการ กําหนดขอบเขตของการ วิจัย การพัฒนาเครื่องมือในการวิจัย รูปแบบการวิจัย ตลอดจนวิธีการ รวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูล หลัก สําคัญของการเขียนกรอบแนวคิดการวิจัย 8.3.2 งานวิจัยนอกประเทศ McMilan And Schumacher (1989) ได้กล่าวถึง บทบาทของกรอบความคิดเชิงทฤษฎีไว้ 3 ประการ คือ 1) ช่วยตั้งหรือเป็นที่มาของคําถามการวิจัย (Generate research questions) นักวิจัยที่ตั้ง คําถาม การวิจัยโดยอิงกรอบความคิดเชิงทฤษฎีจะทําให้มีการขยายหรือปรับปรุงทฤษฎีเพิ่ม 2) ใช้วางกรอบ ความคิดการ วิจัย (Provide conceptual frame works) และ 3) ช่วยในการปรับคําถามการวิจัย (Reformulate research questions) ให้มีความชัดเจนและรัดกุมมากยิ่งขึ้น (Miles and Huberman, 2542) ให้ความหมายกรอบความคิดการวิจัยว่าคือ ระบบการทํางาน ของแนวคิด สมมติฐาน การคาดการณ์ ความเชื่อ และทฤษฎีที่จะมาสนับสนุนงานวิจัย ซึ่ง สามารถอธิบายได้ทั้ง ภาพกราฟิก หรือเล่าเรื่องในสิ่งสําคัญที่จะศึกษา ผ่าน ปัจจัยหลัก แนวคิด หรือตัวแปร ที่ผ่าน การสันนิฐานซึ่งกัน และกัน อีกทั้ง ลินห์และสมิธ


66 (Liehr and Smith, 2543) ให้ความหมายกรอบความคิดการ วิจัยว่า คือการสังเคราะห์ข้อมูล ต่างๆแนวคิดที่เกี่ยวข้อง เป็นรูปแบบในการบูรณาการเพื่อเป็นวิธีการในการมอง ปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อทํานาย เหตุการณ์ที่กําหนดหรือให้เกิดความเข้าใจของปรากฏการณ์ที่กว้างขึ้น (Roger, 2008) ได้นําเสนอประเภท และรูปแบบกรอบแนวคิดการวิจัยว่ามี2ประเภทหลัก ได้แก่ 1. กรอบด้านกระบวนการ (Process frameworks) คือกระบวนการซึ่งเป็นการกําหนดขั้นตอนที่จะการดําเนินการ โดยที่เริ่มจากการวางกรอบเพื่อการเริ่มต้นความคิด ไปสู่บทสรุป เป็นการเรียบเรียงความคิดของผู้วิจัยว่ามี กระบวนการอย่างไร และ 2. กรอบด้านเนื้อหา (Content frameworks) คือกระบวนการซึ่งเป็นการ กําหนดตัว แปรและความสัมพันธ์ เป็นการเรียบเรียงความคิดของผู้วิจัย ว่ากรอบแนวคิดนี้มีเหตุผลใดรองรับและมี กระบวนการอย่างไร (imenda,2557) กรอบที่เป็นการสังเคราะห์แนวคิดหรือ วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง สร้างขึ้นจาก ความหลากหลายของ แนวความคิด หรือทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง จากผู้วิจัย 1) เกิดจากการวิจัยปัญหาที่อาจไม่สามารถ อธิบายได้โดยมุมมองทางทฤษฎี โดทฤษฎีหนึ่ง 2) เป็นการวิจัยที่เกิดจากทฤษฎีแต่ สามารถนําประยุกต์ได้ตามเหตุ และผล หรือวิธีวิทยาอื่น ๆ


67 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การศึกษาค้นคว้าในครั้งนี้เป็นการศึกษาค้นคว้าเชิงกึ่งทดลอง (Quasi Experimental Research) ผู้วิจัยได้กำหนดวิธีการในการดำเนินการวิจัยเป็นขั้นตอน ดังนี้ 1. การกำหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3. การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล 5. การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. การกำหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1 ประชากร ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหลักเมือง มหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 5 ห้องเรียน รวมนักเรียน 168 คน 1.2 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างได้แก่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหลักเมืองมหาสารคาม จังหวัด มหาสารคาม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ห้อง ป.2/3 จำนวนนักเรียน 33 คน ได้มาจาก การเลือกตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ได้แบ่งการสร้างเครื่องมือออกเป็น 2 ชนิด คือ 1. สื่อการเรียนรู้ เรื่อง มาตราตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ทั้งสื่อประเภท วัสดุ และสื่อประเภทอิเล็กทรอนิกส์ 2. แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 5 แผน แผนละ 1 ชั่วโมง เรื่อง มาตราตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา 3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง มาตราตัวสะกด ที่ตรงตามมาตรา วิชาภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 50 ข้อ (มาตราแม่กง แม่กม แม่เกย แม่เกอว แม่กก แม่กบ มาตราละ 5 ข้อ ยกเว้นมาตราแม่กน และแม่กบ มาตราละ 10 ข้อ ซึ่งเป็นแบบทดสอบอิงเกณฑ์ชนิดเลือกตอบ 3 ตัวเลือก


68 3. การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.1 การสร้างสื่อการเรียนรู้ประเภทวัสดุ : ไม้เมตรสะกดคำ 3.1.1 ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับหลักการ และวิธีการสร้างสื่อการเรียนรู้ประเภทวัสดุ รูปแบบ “ไม้บรรทัดสะกดคำ” จากเอกสาร ตำรา งานวิจัย และผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเป็นแนวทางในการจัดเนื้อหา และสร้างสื่อการเรียนรู้ 3.1.2 ศึกษาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 คู่มือสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มการเรียนรู้ภาษาไทยช่วงชั้นที่ 1 (ป.1-ป.3)และหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียน เพื่อกำหนดเนื้อหา ของบทเรียนและกำหนดพฤติกรรมที่ต้องการ 3.1.3 แบ่งเนื้อหาออกเป็นตอนย่อย ๆ ตามมาตราตัวสะกด 8 มาตรา แล้วกำหนดจุดประสงค์ทั่วไป และจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม เพื่อเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและการประเมิน ผลของแต่ละตอน จากนั้นจึงนำมาสร้างเป็นไม้บรรทัดสะกดคำ 3.1.4 นำไม้บรรทัดสะกดคำที่สร้างขึ้นนี้ไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับสื่อการเรียนรู้ประเภทวัสดุ และผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาไทย เพื่อตรวจแก้ไขเกี่ยวกับรายละเอียดของเนื้อหาให้ชัดเจนและเหมาะสม 3.1.5 นำไม้บรรทัดสะกดคำที่ตรวจและแก้ไขแล้วตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญไปทดลองกับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหลักเมือง จังหวัดมหาสารคาม จำนวน 33 คน เพื่อหา ประสิทธิภาพของไม้บรรทัดสะกดคำ แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องด้านความเหมาะสมของ เนื้อหา ภาษา และเวลา เพื่อให้ได้บรรทัดสะกดคำที่มีประสิทธิภาพ นำไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างต่อไป 3.2 การสร้างสื่อการเรียนรู้ประเภทอิเล็กทรอนิกส์ : เกมการศึกษาออนไลน์ 3.2.1 ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับหลักการ และวิธีการสร้างสื่อการเรียนรู้ประเภทอิเล็กทรอนิกส์ รูปแบบ เกมการศึกษาอออนไลน์ จากเอกสาร ตำรา งานวิจัย และผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเป็นแนวทางใน การจัดเนื้อหาและสร้างสื่อการเรียนรู้ 3.2.2 ศึกษาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 คู่มือสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มการเรียนรู้ภาษาไทยช่วงชั้นที่ 1 (ป.1-ป.3) และหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียน เพื่อกำหนดเนื้อหา ของบทเรียนและกำหนดพฤติกรรมที่ต้องการ 3.2.3 แบ่งเนื้อหาออกเป็นตอนย่อย ๆ แล้วกำหนดจุดประสงค์ทั่วไปและจุดประสงค์เชิง พฤติกรรม เพื่อเป็นแนวทางในการจัดสร้างกิจกรรมการเรียนการสอน และการประเมินผลของ แต่ละตอน จากนั้นจึงนำมาสร้างเป็นเกมการศึกษาอออนไลน์


69 3.2.4 นำเกมการศึกษาอออนไลน์ ที่สร้างขึ้นนี้ไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับสื่อการเรียนรู้ ประเภทอิเล็กทรอนิกส์และผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาไทย เพื่อตรวจแก้ไขเกี่ยวกับรายละเอียดของเนื้อหา ให้ชัดเจนและเหมาะสม 3.2.5 นำเกมการศึกษาอออนไลน์ ที่ตรวจและแก้ไขแล้วตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญไปทดลอง กับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหลักเมือง จังหวัดมหาสารคาม จำนวน 33 คน เพื่อหา ประสิทธิภาพ ของเกมการศึกษาอออนไลน์แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องด้านความเหมาะสม ของเนื้อหา ภาษา และเวลา เพื่อให้ได้เกมการศึกษาออนไลน์ ที่มีประสิทธิภาพ นำไปใช้กับกลุ่ม ตัวอย่างต่อไปรูปแบบ จากเอกสาร ตำรา งานวิจัย และผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเป็นแนวทางในการจัดเนื้อหา และสร้างสื่อการเรียนรู้ 3.3 การสร้างและหาคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย เรื่อง มาตราตัวสะกด ที่ตรงตามมาตรา 3.3.1 ศึกษาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 คู่มือสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มการเรียนรู้ภาษาไทยช่วงชั้นที่ 1 (ป.1-ป.3) และหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียน 3.3.2 ศึกษาจุดประสงค์การเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 3.3.3 ศึกษาหนังสือแบบเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 3.3.4 ศึกษาเทคนิคการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้จากเอกสาร ตำราต่าง ๆ เพื่อเป็นแนวทางใน การสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ 3.3.5 กำหนดองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ และเวลาที่ใช้ในแต่ละแผน 3.3.6 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง มาตราตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 5 แผน แผนละ 1 ชั่วโมง ดังนี้ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง มาตราแม่กงและมาตราแม่กม แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง มาตราแม่กกและมาตราแม่เกอว แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง มาตราแม่กบและมาตราแม่เกย แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง มาตราแม่กน แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง มาตราแม่กด


70 3.3.7 นำแผนการจัดการเรียนรู้ทั้ง 5 แผนที่สร้างขึ้น นำเสนอผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบ ความถูกต้อง เหมาะสม ความสอดคล้องและความเหมาะสมระหว่างจุดประสงค์การเรียนรู้เนื้อหา สาระ กิจกรรมการเรียนรู้และการวัดผลประเมินผล โดยให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาว่าเหมาะสมหรือไม่ และให้ความคิดเห็นสำหรับการปรับปรุงแก้ไข จำนวน 3 ท่าน ดังนี้ 3.3.7.1 อาจารย์ ดร.อารีย์รัตน์ โนนสุวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านหลักสูตรและการสอน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 3.3.7.2 นางสุภาพร บุญจันทร์ ตำแหน่งหัวหน้าสายชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหลักเมืองมหาสารคาม ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในรายวิชาภาษาไทย 3.3.7.3 นางวันดี สมนึกในธรรม ตำแหน่งครูชำนาญการพิเศษ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหลักเมืองมหาสารคาม ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในรายวิชาภาษาไทย 3.3.8 ปรับปรุงและแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ 3.3.9 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วเสนอผู้เชี่ยวชาญอีกครั้งหนึ่ง เพื่อตรวจสอบและแก้ไขเป็นฉบับสมบูรณ์ที่ใช้ในการทดลอง 3.4 การสร้างและหาคุณภาพของแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3.4.1ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับหลักการในการสร้างแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ชนิดปรนัยจากเอกสารตำราและผู้เชี่ยวชาญเพื่อเป็นแนวทางในการสร้างแบบทดสอบผลสัมฤธิ์ ทางการเรียน 3.4.2 ศึกษาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 คู่มือสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มการเรียนรู้ภาษาไทยช่วงชั้นที่ 1 (ป.1-ป.3) และหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียน เพื่อกำหนด เนื้อหาในการออกแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3.4.3 นำแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมอบให้ผู้เชี่ยวชาญหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) เพื่อตรวจสอบคุณภาพ และทำการตรวจสอบ แก้ไข ตามการแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ 3.4.4 นำแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ทำการแก้ไขตามการแนะนำของผู้เชี่ยญชาญไป ทดสอบกับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหลักเมือง จังหวัดมหาสารคาม จำนวน 33 คน ในรูปแบบ แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน เพื่อตรวจสอบและเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อน และหลังจากได้ใช้สื่อการเรียนรู้ประกอบการจัดการเรียนสอน “ไม้เมตรสะกดคำ” และ “เกมการศึกษาออนไลน์” โดยคำนวณจากการหาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ เพื่อวิเคราะห์ผลการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน


71 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล 4.1 ขั้นเตรียมการ 4.1.1 ดำเนินการทำหนังสือเพื่อติดต่อกับผู้บริหารโรงเรียน หัวหน้าสายชั้น และครูผู้สอน วิชาภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหลักเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม เพื่อขอ ความอนุเคราะห์ในการทดลองการพัฒนาสื่อ 4.1.2 จัดตารางเวลาในการทดลองการพัฒนาสื่อ โดยทำการทดลองในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ใช้เวลาในการเก็บข้อมูลทั้งสิ้น 2 วัน จำนวน 5 ชั่วโมง 4.1.3 จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย เรื่อง มาตราตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา ชั้นประถม ศึกษาปีที่ 2 จำนวน 5 แผน แผนละ 1 ชั่วโมง 4.1.4 จัดทำสื่อการเรียนรู้ประเภทวัสดุ ได้แก่ ไม้เมตรสะกดคำ และสื่อการเรียนรู้ประเภท อิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ เกมการศึกษาออนไลน์ 4.1.5 จัดทำแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง มาตราตัวสะกด ที่ตรงตามมาตรา จำนวน 50 ข้อ (มาตราแม่กง แม่กม แม่เกย แม่เกอว แม่กก แม่กบ มาตราละ 5 ข้อ ยกเว้นมาตราแม่กนและแม่กบ มาตราละ 10 ข้อ) ชนิดเลือกตอบ 3 ตัวเลือก 4.1.6 จัดทำแบบตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือของผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาค่า IOC , แบบประเมิน แผนการจัดการเรียนรู้ , แบบประเมินสื่อการเรียนรู้ประเภทวัสดุและประเภทร่วมสมัย (สื่อการเรียนรู้ ประเภทอิเล็กทรอนิกส์) เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญได้ตรวจสอบและประเมินก่อนนำไปใช้จริง 5. การวิเคราะห์ข้อมูล 5.1 วิธีการวิเคราะห์ การศึกษาครั้งนี้ ผู้วิจัยทำการวิเคราะห์ข้อมูล โดยวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้ 1. วิเคราะห์หาค่าเฉลี่ยและร้อยละของคะแนนเฉลี่ยที่ได้จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนในชุดกิจกรรมการเรียน เรื่อง มาตราตัวสะกด มาตราละ 10 ข้อ เป็นจำนวน 50 ข้อ 2. วิเคราะห์หาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะในชุดกิจกรรมการเรียน เรื่อง มาตราตัวสะกด 3. วิเคราะห์หาคะแนนเฉลี่ยและร้อยละของคะแนนเฉลี่ยที่ได้จากการประเมินการทำแบบฝึก ทักษะระหว่างเรียน


72 5.2 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 5.2.1 สถิติที่ใช้ในการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ 1. การหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) โดยให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความสอดคล้องของ แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนในชุดกิจกรรมการเรียน เรื่อง มาตราตัวสะกด จำนวน 90 ข้อ และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อการเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียน เรื่อง มาตราตัวสะกด สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 การใช้สูตรการคำนวณ (สมบูรณ์ สุริยวงศ์ และคณะ, 2544 : 156-157) ดังนี้ ภาพประกอบที่ 2 สูตรการหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) IOC = ค่าดัชนีความสอดคล้อง ΣR = ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ N = จำนวนผู้เชี่ยวชาญ กำหนดเกณฑ์การประเมิน ให้คะแนน = + 1 หมายถึง เหมาะสม สอดคล้องตรงกับวัตถุประสงค์ ให้คะแนน = 0 หมายถึง ไม่แน่ใจ มีความสอดคล้องวัตถุประสงค์ ให้คะแนน = -1 หมายถึง ไม่สอดคล้องไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ เกณฑ์คัดเลือกค่า IOC 1.ค่า IOC = 1.00 เลือกใช้ 2.ค่า IOC = 0.50-0.99 พิจารณาปรับปรุงเน้ือหา 3.ค่า IOC = ต่ำกว่า 0.50 ให้ตัดทิ้ง


73 2. การหาค่าประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียน เรื่อง มาตราตัวสะกด E1 /E2 ใช้สูตรการคำนวณ (ดาวรุ่ง วีระกุล,2551 : 45) ดังนี้ เมื่อ E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ ΣX แทน คะแนนรวมของแบบฝึกหัดหรืองาน A แทน คะแนนเต็มของแบบฝึกหัดทุกชิ้นรวมกัน N แทน จำนวนนักเรียน เมื่อ E2 แทน ผลลัพธ์ของประสิทธิภาพ ΣY แทน ผลรวมของผลลัพธ์หลังเรียน B แทน คะแนนเต็มของการสอบ N แทน จำนวนนักเรียน ภาพประกอบที่ 3 สูตรการหาค่าประสิทธิภาพสื่อการเรียนการสอน 3. การหาค่าความยากง่าย ค่าอำนาจจำแนก โดยใช้วิธี กลุ่มสูง กลุ่มต่ำ และหาค่าความเชื่อมั่น ของ แบบทดสอบ (สมบูรณ์ สุริยวงศ์และคณะ, 2544 : 151-162) ดังนี้ - วิเคราะห์หาความยากง่าย (P) ของแบบทดสอบ จากสูตร ภาพประกอบที่ 4 สูตรการหาค่าความยากง่าย เมื่อ P แทน ค่าความยากง่าย Ru แทน จำนวนคนที่ตอบถูกในกลุ่มสูง RL แทน จำนวนคนที่ตอบถูกในกลุ่มต่ำ N แทน จำนวนคนในกลุ่มสูงและกลุ่มต่ำ


74 - วิเคราะห์หาค่าอำนาจจำแนก (r) ของแบบทดสอบ จากสูตร ภาพประกอบที่ 5 สูตรการหาค่าอำนาจจำแนก เมื่อ r แทน ค่าอำนาจจำแนก Ru แทน จำนวนคนที่ตอบถูกในกลุ่มสูง RL แทน จำนวนคนที่ตอบถูกในกลุ่มต่ำ N แทน จำนวนคนในกลุ่มสูงและกลุ่มต่ำ - หาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งแบบคำนวณโดยใช้สูตร KR-20 ของ คูเดอร์ริชาร์ดสัน ดังนี้ ภาพประกอบที่ 6 สูตรการหาค่าความเชื่อมั่น เมื่อ rtt แทน ความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ k แทน จำนวนข้อสอบในแบบทดสอบ p แทน สัดส่วนของผู้ตอบถูกในแต่ละข้อ q แทน สัดส่วนของผู้ตอบผิดในแต่ละข้อ S 2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนรวมของผู้ตอบทั้งหมด - หาค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามความพึงพอใจทั้งฉบับ ใช้สถิติแบบแอลฟาของครอนบัค Coefficient Alpha of Cronbach (ยุทธ์ ไกยวรรณ์ ,2555:96) ดังนี้ ภาพประกอบที่ 7 สูตรการหาค่าค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามความพึงพอใจทั้งฉบับ เมื่อ α แทน ความเชื่อมั่นของเครื่องมือวัด n แทน จำนวนข้อคำถามของเครื่องมือวัด (คะแนนแต่ละข้อ) S 2 i แทน ความแปรปรวนเป็นรายข้อ


75 S 1 i แทน ความแปรปรวนของเครื่องมือวัด 5.2.2. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. สถิติพื้นฐาน หาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ เพื่อวิเคราะห์ผลการทดสอบก่อน เรียนและหลังเรียน และความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียน ด้วยเอกสารประกอบการเรียน สูตรที่ใช้ใน การคำนวณหาค่าเฉลี่ย (วันทนา สุวรรณอัตถ์, 2548 : 170) คือ ภาพประกอบที่ 8 สูตรการหาค่าเฉลี่ย เมื่อ μ แทน ค่าเฉลี่ยของประชากร ΣX แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด N แทน จำนวนนักเรียนกลุ่มประชากร - สูตรที่ใช้ในการคำนวณหาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (วันทนา สุวรรณอัตถ์, 2548:188) คือ ภาพประกอบที่ 9 สูตรการหาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เมื่อ σ แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน X แทน คะแนนของนักเรียนแต่ละคน μ แทน ค่าเฉลี่ยของประชากร N แทน จำนวนนักเรียนกลุ่มประชากร - สูตรหาค่าร้อยละ (ยุทธ์ ไกยวรรณ์ ,2555:63) ภาพประกอบที่ 10 สูตรการหาค่าร้อยละ เมื่อ P แทน ร้อยละ f แทน ความถี่ที่ต้องการแปลงให้เป็นร้อยละ n แทน จำนวนความถี่ทั้งหมด


76 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเพื่อพัฒนาสื่อการเรียนรู้วิชาภาษาไทยเพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง มาตราตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้รูปแบบ ASSURE Model โดยนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลดังต่อไปนี้ 1. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 2. ลำดับขั้นตอนในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 1. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้กำหนดสัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้เกิดความเข้าใจในการแปล ความหมายและเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลให้ถูกต้อง ตลอดจนการสื่อความหมายข้อมูลที่ตรงกัน ดังนี้ x̅ แทน ค่าเฉลี่ย S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ΣX แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด N แทน จำนวนนักเรียนกลุ่มเป้าหมาย E1 แทน ประสิทธิภาพด้านกระบวนการ E2 แทน ประสิทธิภาพด้านผลลัพธ์ 2. ลำดับขั้นตอนในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล การนำผลการวิเคราะห์ข้อมูล และการแปลผลการวิเคราะห์ข้อมูลการศึกษางานวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปในการประมวลผลข้อมูล ซึ่งผู้วิจัยได้ทำการวิเคราะห์และนำเสนอในรูปแบบ ของตารางประกอบคำอธิบาย โดยเรียงลำดับหัวข้อการวิเคราะห์ข้อมูลเป็น 4 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 การวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหลักเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม ตอนที่ 2 การวิเคราะห์ประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) ของแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง มาตราตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 5 แผน


77 ตอนที่ 3 การวิเคราะห์ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) ของแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องมาตราตัวสะกด ที่ตรงตามมาตรา ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 5 แผน ตอนที่ 4 การวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิผล (E.I.) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ด้วยแผนการจัดการ เรียนรู้ เรื่อง มาตราตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 5 แผน ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลตามลำดับขั้นตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 การวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหลักเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม ตารางที่ 1 แสดงจำนวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย จำแนกตามข้อมูลพื้นฐาน ดังนี้ เพศ จำนวน ร้อยละ ชาย 14 42.5 หญิง 19 57.5 รวม 33 100 จากตารางที่ 1 แสดงให้เห็นว่ากลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ มีนักเรียนชายและนักเรียนหญิง จำนวนทั้งหมด 33 คน จำแนกเป็นเพศชายจำนวน 14 คน คิดเป็นร้อยละ 42.5 และเป็นเพศหญิง 19 คน คิด เป็นร้อยละ 57.5


78 ตอนที่ 2 การวิเคราะห์ประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) ของแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง มาตรา ตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 5 แผน เลขที่ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 คะแนนรวม (100) ใบงาน/ กิจกรรม (10) ทักษะ การอ่าน (10) ใบงาน/ กิจกรรม (10) ทักษะ การอ่าน (10) ใบงาน/ กิจกรรม (10) ทักษะ การอ่าน (10) ใบงาน/ กิจกรรม (10) ทักษะ การอ่าน (10) ใบงาน/ กิจกรรม (10) ทักษะ การอ่าน (10) 1 9 7 7.5 7 7 8 6 7 9 7 74.5 2 10 8 7.5 8 7 7 9 8 10 8 82.5 3 10 9 7.5 8 8 7 7 9 7 8 80.5 4 10 8 7.5 8 8 10 8 7 6 7 79.5 5 10 7 5 8 8 9 9 8 7 7 78 6 10 6 9.5 9 7 8 8 8 10 9 84.5 7 10 8 9.5 10 7 8 6 7 10 9 84.5 8 10 9 9.5 9 9 9 8 9 10 10 92.5 9 10 9 7.5 8 7 8 8 7 10 8 82.5 10 10 8 9.5 9 7 8 8 8 10 9 86.5 11 10 8 7.5 8 8 8 7 7 8 7 78.5 12 10 7 7.5 8 9 7 5 8 9 8 78.5


79 13 10 6 9.5 8 8 9 8 9 10 9 86.5 14 9 6 7.5 8 7 8 8 9 6 8 76.5 15 10 8 9 9 9 10 8 8 10 9 90 16 10 8 8 9 6 7 7 9 10 10 84 17 10 9 2.5 10 7 9 9 8 8 8 80.5 18 6 6 8 7 9 8 6 7 9 9 75 19 10 7 10 10 9 8 8 9 10 9 90 20 9 6 8.5 8 9 10 8 8 9 8 83.5 21 9 5 4.5 9 8 7 7 9 6 7 71.5 22 10 9 9.5 10 8 9 8 7 5 7 82.5 23 10 7 7.5 8 7 9 7 8 10 9 82.5 24 8 7 9.5 8 7 8 8 7 10 8 80.5 25 10 8 8.5 9 9 8 7 9 6 7 81.5 26 10 9 8.5 7 8 8 9 9 10 10 88.5 27 9 7 5.5 9 7 10 6 9 7 8 77.5 28 10 8 8.5 8 8 8 8 9 7 9 83.5


80 29 10 10 4.5 8 9 9 8 8 10 10 86.5 30 9 8 9 10 9 8 8 9 10 9 89 31 10 9 8 8 9 10 7 8 9 10 88 32 7 5 8.5 9 5 8 9 10 7 8 76.5 33 8 6 6.5 6 5 8 9 8 10 9 75.5 รวม 561 535 531 522 563 2712 17 16.21 16.09 15.81 17.06 82.18 S.D. 2.01 2.09 1.64 1.46 2.43 5.12 ประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) 82.18 จากตารางที่ 2 แสดงให้เห็นว่า แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 - 5 มีคะแนนเต็มแผนละ 20 คะแนน แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 คิดเป็นคะแนนเฉลี่ยได้ 17 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 16.21 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 คิดเป็นคะแนนเฉลี่ยได้ 16.21 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 2.09 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 คิดเป็นคะแนนเฉลี่ยได้ 16.09 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 1.64 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 คิดเป็นคะแนนเฉลี่ยได้ 15.81 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 1.46 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 คิดเป็นคะแนนเฉลี่ยได้ 17.06 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 2.43 ดังนั้นคะแนนรวมเต็ม 100 คิดเป็นคะแนนเฉลี่ยได้ 82.18 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 5.12 จึงมีประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) เท่ากับ 82.18 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด คือ เกณฑ์ 75


81 ตอนที่ 3 การวิเคราะห์ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) ของแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง มาตราตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 5 แผน การวิเคราะห์ข้อมูลในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลออกเป็น 5 ตาราง ดังนี้ ตารางที่ 3 ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) ของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง มาตราแม่กง และมาตราแม่กม เลขที่ คะแนนทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ (10 คะแนน) 1 6 2 7 3 8 4 7 5 7 6 8 7 8 8 6 9 6 10 10 11 10


82 12 9 13 9 14 10 15 7 16 10 17 9 18 10 19 10 20 9 21 10 22 10 23 8 24 10 25 10


83 26 10 27 10 28 9 29 8 30 10 31 9 32 10 33 10 คะแนนรวม 290 คะแนนเฉลี่ย (x̅) 8.79 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 1.39 ค่าประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) 87.90 จากตารางที่ 3 แสดงให้เห็นว่า คะแนนทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้คะแนนเต็ม 10 คะแนน คิดเป็นคะแนนเฉลี่ยได้8.79 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานได้1.39 จึงมีประสิทธิภาพของผลลัพธ์(E2) เท่ากับ 87.90 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด คือ เกณฑ์75


84 ตารางที่ 4 ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) ของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง มาตราแม่กก และแม่เกอว เลขที่ คะแนนทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้(10 คะแนน) 1 7 2 6 3 6 4 9 5 10 6 8 7 8 8 9 9 10 10 8 11 6 12 8 13 7 14 10 15 10


85 16 9 17 8 18 8 19 9 20 10 21 8 22 9 23 7 24 10 25 6 26 7 27 9 28 9 29 8 30 9 31 9 32 6


86 33 7 คะแนนรวม 270 คะแนนเฉลี่ย (x̅) 8.18 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 1.33 ค่าประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) 81.81 จากตารางที่ 4 แสดงให้เห็นว่า คะแนนทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ คะแนนเต็ม 10 คะแนน คิดเป็นคะแนนเฉลี่ยได้ 8.18 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 1.33 จึงมีประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) เท่ากับ 81.81 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด คือ เกณฑ์ 75


87 ตารางที่ 5 ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) ของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง มาตราแม่กบ และ มาตราแม่เกย เลขที่ คะแนนทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ (10 คะแนน) 1 7 2 7 3 9 4 9 5 9 6 7 7 8 8 10 9 7 10 9 11 8 12 10 13 10 14 9 15 10


Click to View FlipBook Version