The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

งานวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาหรือแก้ปัญหาการอ่านและการเขียนแจกลูกสะกดคำ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ให้สามารถอ่านแจกลูกสะกดคำและจำแนกตัวสะกดในแต่ละมาตราได้ดียิ่งขึ้น สามารถนำความรู้ไปต่อยอดและไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ถูกต้อง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Yanisa Duangsuwan, 2024-06-14 02:06:10

การพัฒนาสื่อการเรียนรู้วิชาภาษาไทยเพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง มาตรา ตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้รูปแบบ ASSURE Model

งานวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาหรือแก้ปัญหาการอ่านและการเขียนแจกลูกสะกดคำ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ให้สามารถอ่านแจกลูกสะกดคำและจำแนกตัวสะกดในแต่ละมาตราได้ดียิ่งขึ้น สามารถนำความรู้ไปต่อยอดและไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ถูกต้อง

88 16 7 17 8 18 9 19 9 20 10 21 9 22 9 23 9 24 8 25 10 26 9 27 9 28 9 29 10 30 10 31 9 32 6


89 33 7 คะแนนรวม 289 คะแนนเฉลี่ย (x̅) 8.66 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 1.13 ค่าประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) 87.57 จากตารางที่ 5 แสดงให้เห็นว่า คะแนนทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ คะแนนเต็ม 10 คะแนน คิดเป็นคะแนนเฉลี่ยได้ 8.66 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 1.13 จึงมีประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) เท่ากับ 87.57 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด คือ เกณฑ์ 75


90 ตารางที่ 6 ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) ของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง มาตราแม่กน เลขที่ คะแนนทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ (10 คะแนน) 1 9 2 10 3 8 4 8 5 10 6 9 7 9 8 8 9 9 10 9 11 9 12 8 13 8 14 9 15 10


91 16 9 17 9 18 7 19 9 20 9 21 9 22 9 23 10 24 8 25 9 26 10 27 8 28 10 29 9 30 9 31 8 32 10


92 33 9 คะแนนรวม 285 คะแนนเฉลี่ย (x̅) 8.90 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 0.76 ค่าประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) 86.36 จากตารางที่ 6 แสดงให้เห็นว่า คะแนนทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ คะแนนเต็ม 10 คะแนน คิดเป็นคะแนนเฉลี่ยได้ 8.90 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 0.76 จึงมีประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) เท่ากับ 86.36 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด คือ เกณฑ์ 75


93 ตารางที่ 7 ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) ของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง มาตราแม่กด เลขที่ คะแนนทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ (10 คะแนน) 1 8 2 8 3 6 4 7 5 7 6 8 7 7 8 9 9 7 10 8 11 7 12 8 13 7 14 8 15 7


94 16 10 17 9 18 10 19 9 20 9 21 7 22 8 23 9 24 10 25 10 26 8 27 7 28 9 29 8 30 10 31 9 32 10


95 33 9 คะแนนรวม 274 คะแนนเฉลี่ย (x̅) 8.30 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 1.16 ค่าประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) 83.0 จากตารางที่ 7 แสดงให้เห็นว่า คะแนนทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ คะแนนเต็ม 10 คะแนน คิดเป็นคะแนนเฉลี่ยได้ 8.30 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 1.16 จึงมีประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) เท่ากับ 83.0 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด คือ เกณฑ์ 75


96 ตอนที่ 4 การวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิผล (E.I.) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง มาตราตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 5 แผน การวิเคราะห์ข้อมูลในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลออกเป็น 5 ตาราง ดังนี้ ตารางที่ 8 ดัชนีประสิทธิผล (E.I.) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง มาตราแม่กงและแม่กม เลขที่ คะแนนทดสอบก่อนเรียน (10 คะแนน) คะแนนทดสอบหลังเรียน (10 คะแนน) 1 5 6 2 7 7 3 7 8 4 6 7 5 6 7 6 6 8 7 8 8 8 6 6 9 4 6 10 9 10 11 9 10 12 9 9


97 13 8 9 14 8 10 15 5 7 16 9 10 17 9 9 18 10 10 19 4 10 20 10 9 21 10 10 22 10 10 23 5 8 24 7 10 25 9 10 26 9 10 27 7 10 28 10 9 29 7 8


98 30 7 10 31 10 9 32 10 10 33 6 10 คะแนนรวม 252 290 คะแนนเฉลี่ย (x̅) 7.64 8.79 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 1.90 1.39 ค่าดัชนีประสิทธิผล (E.I.) 0.487 จากตารางที่ 8 แสดงให้เห็นว่า คะแนนทดสอบก่อนเรียน คะแนนเต็ม 10 คะแนน คิดเป็นคะแนน เฉลี่ยได้ 7.64 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 1.90 และคะแนนทดสอบหลังเรียน คะแนนเต็ม 10 คะแนน คิดเป็นคะแนนเฉลี่ยได้ 8.79 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 1.39 จึงมีค่าดัชนีประสิทธิผล (E.I.) เท่ากับ 0.487 หรือคิดเป็นร้อยละ 48.7


99 ตารางที่ 9 ดัชนีประสิทธิผล (E.I.) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง มาตราแม่กกและแม่เกอว เลขที่ คะแนนทดสอบก่อนเรียน (10 คะแนน) คะแนนทดสอบหลังเรียน (10 คะแนน) 1 5 7 2 6 6 3 5 6 4 9 9 5 10 10 6 9 8 7 5 8 8 7 9 9 7 10 10 10 8 11 5 6 12 9 8 13 8 7 14 6 10


100 15 9 10 16 7 9 17 7 8 18 8 8 19 10 9 20 9 10 21 8 8 22 10 9 23 6 7 24 10 10 25 7 6 26 6 7 27 8 9 28 9 9 29 5 8 30 6 9 31 9 9


101 32 5 6 33 8 7 คะแนนรวม 248 270 คะแนนเฉลี่ย (x̅) 7.51 8.18 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 1.75 1.33 ค่าดัชนีประสิทธิผล (E.I.) 0.2682 จากตารางที่ 9 แสดงให้เห็นว่า คะแนนทดสอบก่อนเรียน คะแนนเต็ม 10 คะแนน คิดเป็นคะแนน เฉลี่ยได้ 7.51 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 1.75 และคะแนนทดสอบหลังเรียน คะแนนเต็ม 10 คะแนน คิดเป็นคะแนนเฉลี่ยได้ 8.18 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 1.33 จึงมีค่าดัชนีประสิทธิผล (E.I.) เท่ากับ 0.2682 หรือคืิดเป็นร้อยละ 26.82


102 ตารางที่ 10 ดัชนีประสิทธิผล (E.I.) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง มาตราแม่กบและมาตราแม่เกย เลขที่ คะแนนทดสอบก่อนเรียน (10 คะแนน) คะแนนทดสอบหลังเรียน (10 คะแนน) 1 7 7 2 7 7 3 8 9 4 8 9 5 8 9 6 7 7 7 7 8 8 9 10 9 7 7 10 7 9 11 8 8 12 9 10 13 8 10 14 7 9


103 15 9 10 16 6 7 17 7 8 18 9 9 19 9 9 20 9 10 21 8 9 22 8 9 23 7 9 24 7 8 25 9 10 26 8 9 27 7 9 28 8 9 29 9 10 30 9 10 31 9 9


104 32 5 6 33 5 7 คะแนนรวม 255 289 คะแนนเฉลี่ย (x̅) 7.72 8.66 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 1.12 1.13 ค่าดัชนีประสิทธิผล (E.I.) 0.4533 จากตารางที่ 10 แสดงให้เห็นว่า คะแนนทดสอบก่อนเรียน คะแนนเต็ม 10 คะแนน คิดเป็นคะแนน เฉลี่ยได้ 7.72 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 1.12 และคะแนนทดสอบหลังเรียน คะแนนเต็ม 10 คะแนน คิดเป็นคะแนนเฉลี่ยได้ 8.66 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 1.13 จึงมีค่าดัชนีประสิทธิผล (E.I.) เท่ากับ 0.4533 หรือคิดเป็นร้อยละ 45.33


105 ตารางที่ 11 ดัชนีประสิทธิผล (E.I.) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง มาตราแม่กน เลขที่ คะแนนทดสอบก่อนเรียน (10 คะแนน) คะแนนทดสอบหลังเรียน (10 คะแนน) 1 6 9 2 9 10 3 7 8 4 8 8 5 9 10 6 8 9 7 6 9 8 8 8 9 8 9 10 8 9 11 7 9 12 5 8 13 8 8 14 8 9


106 15 8 10 16 7 9 17 9 9 18 6 7 19 8 9 20 8 9 21 7 9 22 8 9 23 7 10 24 8 8 25 7 9 26 9 10 27 6 8 28 8 10 29 8 9 30 8 9 31 7 8


107 32 9 10 33 9 9 คะแนนรวม 252 285 คะแนนเฉลี่ย (x̅) 7.63 8.90 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 1.02 0.76 ค่าดัชนีประสิทธิผล (E.I.) 0.4230 จากตารางที่ 11 แสดงให้เห็นว่า คะแนนทดสอบก่อนเรียน คะแนนเต็ม 10 คะแนน คิดเป็นคะแนน เฉลี่ยได้ 7.63 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 1.02 และคะแนนทดสอบหลังเรียน คะแนนเต็ม 10 คะแนน คิดเป็นคะแนนเฉลี่ยได้ 8.90 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 0.76 จึงมีค่าดัชนีประสิทธิผล (E.I.) เท่ากับ 0.4230 หรือคิดเป็นร้อยละ 42.30


108 ตารางที่ 12 ดัชนีประสิทธิผล (E.I.) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง มาตราแม่กด เลขที่ คะแนนทดสอบก่อนเรียน (10 คะแนน) คะแนนทดสอบหลังเรียน (10 คะแนน) 1 7 8 2 8 8 3 4 6 4 4 7 5 6 7 6 4 8 7 8 7 8 8 9 9 6 7 10 6 8 11 6 7 12 7 9


109 13 5 7 14 4 8 15 7 7 16 7 10 17 8 9 18 8 10 19 5 9 20 7 9 21 6 7 22 6 8 23 7 9 24 8 10 25 9 10 26 4 8


110 27 5 7 28 10 9 29 7 8 30 7 10 31 10 9 32 8 10 33 9 9 คะแนนรวม 221 274 คะแนนเฉลี่ย (x̅) 6.70 8.30 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 1.70 1.16 ค่าดัชนีประสิทธิผล (E.I.) 0.486 จากตารางที่ 12 แสดงให้เห็นว่า คะแนนทดสอบก่อนเรียน คะแนนเต็ม 10 คะแนน คิดเป็นคะแนน เฉลี่ยได้ 6.70 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 1.70 และคะแนนทดสอบหลังเรียน คะแนนเต็ม 10 คะแนน คิดเป็นคะแนนเฉลี่ยได้ 8.30 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 1.16 จึงมีค่าดัชนีประสิทธิผล (E.I.) เท่ากับ 0.486 หรือคิดเป็นร้อยละ 48.6


111 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การพัฒนาสื่อการเรียนรู้วิชาภาษาไทยเพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง มาตราตัวสะกด ที่ตรงตามมาตรา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้รูปแบบ ASSURE Modelผู้วิจัยได้สรุปผล อภิปรายผล และมีข้อเสนอแนะ ดังนี้ 1.ความมุ่งหมายของงานวิจัย 2.สรุปผล 3.อภิปราย 4.ข้อเสนอแนะ ความมุ่งหมายของงานวิจัย 1.เพื่อสร้างและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ เรื่อง มาตราตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 ตามรูปแบบ ASSURE Model ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 2.เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง มาตราตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา ก่อนและหลัง การใช้สื่อการเรียนรู้ตามรูปแบบ ASSURE Model สรุปผล จากการศึกษาการพัฒนาสื่อการเรียนรู้วิชาภาษาไทยเพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง มาตรา ตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้รูปแบบ ASSURE Modelผู้วิจัยได้สรุปผล จากการวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้ 1.จากการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) ของแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง มาตรา ตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 5 แผน แสดงให้เห็นว่า แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 - 5 มีคะแนนเต็มแผนละ 20 คะแนน แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 คิดเป็นคะแนนเฉลี่ยได้ 17 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 16.21 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 คิดเป็นคะแนนเฉลี่ยได้ 16.21 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 2.09 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 คิดเป็นคะแนนเฉลี่ยได้ 16.09 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 1.64 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 คิดเป็นคะแนนเฉลี่ยได้ 15.81 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 1.46 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 คิดเป็นคะแนนเฉลี่ยได้ 17.06 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 2.43


112 ดังนั้นคะแนนรวมเต็ม 100 คิดเป็นคะแนนเฉลี่ยได้ 82.18 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 5.12 จึงมี ประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) เท่ากับ 82.18 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด คือ เกณฑ์ 75 2.จากการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) ของแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง มาตรา ตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 5 แผน 2.1ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) ของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง มาตราแม่กงและมาตราแม่กม คะแนนทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ คะแนนเต็ม 10 คะแนน คิดเป็นคะแนนเฉลี่ยได้ 8.79 และส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 1.39 จึงมีประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) เท่ากับ 87.90 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด คือ เกณฑ์ 75 2.2ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) ของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง มาตราแม่กกและแม่เกอว คะแนนทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ คะแนนเต็ม 10 คะแนน คิดเป็นคะแนนเฉลี่ยได้ 8.18 และส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 1.33 จึงมีประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) เท่ากับ 81.81 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด คือ เกณฑ์ 75 2.3ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) ของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง มาตราแม่กบและมาตราแม่ เกยคะแนนทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ คะแนนเต็ม 10 คะแนน คิดเป็นคะแนนเฉลี่ยได้ 8.66 และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 1.13 จึงมีประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) เท่ากับ 87.57 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด คือ เกณฑ์ 75 2.4ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) ของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ เรื่อง มาตราแม่กนคะแนนทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ คะแนนเต็ม 10 คะแนน คิดเป็นคะแนนเฉลี่ยได้ 8.90 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 0.76 จึงมีประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) เท่ากับ 86.36 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด คือ เกณฑ์ 75 2.5ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) ของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง มาตราแม่กดคะแนนทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ คะแนนเต็ม 10 คะแนน คิดเป็นคะแนนเฉลี่ยได้ 8.30 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ได้ 1.16 จึงมีประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) เท่ากับ 83.0 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด คือ เกณฑ์ 75 3.การวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิผล (E.I.) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ด้วยแผนการจัดการ เรียนรู้ เรื่อง มาตราตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 5 แผน 3.1ดัชนีประสิทธิผล (E.I.) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง มาตราแม่กงและแม่กมคะแนนทดสอบก่อนเรียน คะแนนเต็ม 10 คะแนน คิดเป็นคะแนนเฉลี่ยได้ 7.64 และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 1.90 และคะแนนทดสอบหลังเรียน คะแนนเต็ม 10 คะแนน คิดเป็นคะแนนเฉลี่ยได้ 8.79 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 1.39 จึงมีค่าดัชนีประสิทธิผล (E.I.) เท่ากับ 0.487 หรือคิดเป็นร้อยละ 48.7


113 3.2ดัชนีประสิทธิผล (E.I.) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง มาตราแม่กกและแม่เกอวคะแนนทดสอบก่อนเรียน คะแนนเต็ม 10 คะแนน คิดเป็นคะแนนเฉลี่ยได้ 7.51 และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 1.75 และคะแนนทดสอบหลังเรียน คะแนนเต็ม 10 คะแนน คิดเป็นคะแนนเฉลี่ยได้ 8.18 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 1.33 จึงมีค่าดัชนีประสิทธิผล (E.I.) เท่ากับ 0.2682 หรือคิดเป็นร้อยละ 26.82 3.3ดัชนีประสิทธิผล (E.I.) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง มาตราแม่กบและมาตราแม่เกยคะแนนทดสอบก่อนเรียน คะแนนเต็ม 10 คะแนน คิดเป็นคะแนนเฉลี่ยได้ 7.72 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 1.12 และคะแนนทดสอบหลังเรียน คะแนนเต็ม 10 คะแนน คิดเป็นคะแนน เฉลี่ยได้ 8.66 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 1.13 จึงมีค่าดัชนีประสิทธิผล (E.I.) เท่ากับ 0.4533 หรือคิดเป็น ร้อยละ 45.33 3.4ดัชนีประสิทธิผล (E.I.) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง มาตราแม่กนคะแนนทดสอบก่อนเรียน คะแนนเต็ม 10 คะแนน คิดเป็นคะแนนเฉลี่ยได้ 7.63 และส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 1.02 และคะแนนทดสอบหลังเรียน คะแนนเต็ม 10 คะแนน คิดเป็นคะแนนเฉลี่ยได้ 8.90 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 0.76 จึงมีค่าดัชนีประสิทธิผล (E.I.) เท่ากับ 0.4230 หรือคิดเป็นร้อยละ 42.30 3.5ดัชนีประสิทธิผล (E.I.) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง มาตราแม่กดคะแนนทดสอบก่อนเรียน คะแนนเต็ม 10 คะแนน คิดเป็นคะแนนเฉลี่ยได้ 6.70 และส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 1.70 และคะแนนทดสอบหลังเรียน คะแนนเต็ม 10 คะแนน คิดเป็นคะแนนเฉลี่ยได้ 8.30 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 1.16 จึงมีค่าดัชนีประสิทธิผล (E.I.) เท่ากับ 0.486 หรือคิดเป็นร้อยละ 48.6 อภิปรายผล จากการศึกษาการพัฒนาสื่อการเรียนรู้วิชาภาษาไทยเพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง มาตราตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้รูปแบบ ASSURE Model ใน ครั้งนี้สามารถอภิปรายผลได้ดังนี้ 1.จากการวิจัยพบว่าแผนการพัฒนาสื่อการเรียนรู้วิชาภาษาไทยเพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน เรื่อง มาตราตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้รูปแบบ ASSURE Model ตัวแผนมีขั้นตอนการสอนที่เหมาะสมกับเนื้อหาสามารถนำแผนไปใช้กับเด็กทั้งเรื่องกระบวนการ ที่สามารถใช้ได้ดีจะเห็นได้จากค่าเฉลี่ยของ (E1) ที่มีเกณฑ์ผ่านทุกแผนจึงทำให้เรียนกระบวนการของ แผนนั้นสามารถทำให้เกิดประสิทธิภาพด้านการเรียนรู้ของผู้เรียนได้ซี่งสอดคล้องกับค่าประสิทธิภาพ


114 ผลลัพธ์ของแผน(E2) ที่มีค่าปรสิทธิภาพผลลัพธ์ที่มากกว่า 75 ที่เป็นขั้นผ่านของเกณฑ์ ทำให้ตัวแผน จัดการเรียนรู้มี่ค่าดัชนีประสิทธิ์ผลของทั้ง 5 แผนมีค่าดัชนีประสิทธิผลที่ผ่านเกณฑ์ จึงทำให้แผนทั้งเรื่อง กระบวนการสอนและผลลัพธ์สอดคล้องกัน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะเหตุปัจจัยดังนี้ 1.1 การจัดการรูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้ Assure Model เป็นการสอนที่มีขั้นตอนตาม ตัวหนังสือ คือ วิเคราะห์ลักษณะผู้เรียน ก่อนมีการทำวิจัยได้มีการวิเคราะห์ลักษณะผู้เรียนก่อนทำการ ทดลองคือการกำหนดเป้าหมาย จากนั้นมีการกำหนดวัตถุประสงค์ เมื่อเราได้กำหนดวัตถุประสงค์แล้วจึงมี การลงมือทำสื่อให้สอดคล้องกับลักษณะผู้เรียน หลักจากทำสื่อเสร็จก็จะเป็นขั้นตอนการให้ทางผู้เชี่ยวชาญ ประเมินสื่อ จากนั้นจึงทดลองใช้สื่อกับนักเรียนซึ่งเป็นขั้นตอนทดลองในการทำวิจัยหลักจากกำหนดเป้าหมาย หรือเลือกเป้าหมายสำเร็จ จึงเป็นการใช้สื่อหรือเป็นขั้นทดลอง จึงมาถึงขั้นการการดูการตอบสนองนักเรียนว่ามี ผลอย่างไรจากนั้นบันทึกผล 2.สื่อ จากการวิจัยพบว่าสื่อเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมากต่อการเรียนรู้เพื่อใช้ในการดำเนินการสอน โดยสื่อจะเป็นตัวหลัก ๆ ในการดึงความสนใจนักเรียนให้หันมาสนใจกับการเรียนการสอนได้โดยมีอ้างอิงจาก ชวลิต เข่งทอง (ม.ป.ป.) กล่าวว่า สื่อการเรียนการสอน นับเป็นองค์ประกอบที่สําคัญมาก ประการหนึ่งใน กระบวนการเรียนการสอน สื่อการเรียนการสอนก็คือตัวกลางหรือช่องทาง ที่ใช้ในการ นําเรื่องราวข้อมูล ข่าวสารจากผู้สอนไปสู่ผู้เรียน เพื่อทําให้การเรียนรู้หรือการเรียนการสอนบรรลุผล สําเร็จตามวัตถุประสงค์หรือ จุดมุ่งหมายที่วางไว้ได้เป็นอย่างดี จึงอาจกล่าวได้ว่า สื่อการเรียนการสอน นับได้ว่าเป็นปัจจัยสําคัญประการ หนึ่งที่จะทําให้การเรียนการสอนดําเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ สื่อการเรียนการสอนมีหลายประเภท แต่ละ ประเภทก็มีคุณลักษณะหรือคุณสมบัติต่างกันไป ผู้สอนที่ ตระหนักในคุณค่าของสื่อการเรียนการสอน จะต้อง ศึกษาให้เข้าใจถึงเงื่อนไขการเลือกใช้สื่อ และใช้งาน ได้อย่างถูกต้องเต็มตามประสิทธิภาพของสื่อการเรียนการ สอนนั้น ๆ โดยสื่อที่ตัวผู้ทดลองใช้นั้นเป็นสื่อประสมระหว่างสื่อแบบ online และ onsite โดยที่ผู้ทดลองได้ คิดค้นสื่อใช้ร่วมกับแผนการสอดและให้สอดคล้องกับรูปแบบการสอน Assure Model ซึ่งทำให้รูปแบบการ สอนและแผนมีประสิทธิผลมากขึ้น เพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพของแผน เราจึงเพิ่มสื่อลงไป สื่อที่เราทำคือไม้ บรรทัดสะกดคำ ซึ่งเป็นรูปแบบ onsite และสื่อเกมที่เป็นแบบ online เข้ามาผสม โดยจากการทดลองใช้สื่อ พบว่าผู้เรียน มีความตั้งใจจดจ่อกับสื่อเป็นอย่างมาก และเปิดรับการเรียนรู้ ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นที่จะ เรียน มีจิตใจที่ร่าเริง ทำให้การเรียนการสอนเป็นไปอย่างง่าย โดยสรุปได้ว่าในเรื่องสื่อนั้นถือว่าประสบผลสำเร็จ เพราะหลัก ๆ สามารถเติมเต็มความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับเรื่องที่จะสอนได้ ทำให้นักเรียนสามารถทำตามวัตถุประสงค์ของการสอนได้ตามแผนและสอดคล้องกับ ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ และดัชนีประสิทธิผล โดยนักเรียนมีความรู้เพิ่มมากขึ้นหลักจากการใช้สื่อ แต่ละแผน มีค่าประสิทธิผลและค่าดัชนีที่สูงกว่าเกณฑ์ ทำให้เรามั่นใจได้ว่า สื่อในการทดลองครั้งนี้ประสบความสำเร็จ ใน การสร้างสื่อและนำสื่อไปใช้กับนักเรียนและเห็นผล


115 3.การวิเคราะห์ลักษณะผู้เรียนสำคัญมากเนื่องจากเมื่อเรารู้ลักษณะของผู้เรียนเราสามารถออกแบบ การเรียนการสอนให้เข้ากับผู้เรียนได้ จากการศึกษาลักษณะโดยรวมของนักเรียนพบว่า พื้นฐานเดิมนักเรียน พบว่าชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/3 อายุ 8 ปี จำแนกเป็น เพศชาย 14 คน หญิง 19 คน รวมทั้งหมด 33 คนโดย เด็กแต่ละคนมีระดับสติปัญญาที่ดี ความถนัดหลากหลายหรือเป็นความถนัดทั่วไป เป็นเด็กที่มาจากต่างพื้นที่ สังคมในห้องเรียนเป็นห้องที่ครื้นเครง โดยมีลักษณะเฉพาะความรู้และทักษะพื้นฐานของผู้เรียนในเนื้อหาที่จะ สอนเป็นห้องที่มีระดับสติปัญญาที่ดี นักเรียนเข้าใจเนื้อหาได้อย่างดีเยี่ยม มีพื้นฐานในเรื่องที่จะสอนมาดีทักษะ ทางด้านภาษาที่พบเห็น มีทักษะที่ทั้งการออกเสียง การสะกดคำ ทักษะการหันลิ้น มีพื้นฐานทางด้านที่จะสอน มาในระดับต้น ๆ พอได้เรียนในสิ่งที่สอนจึงเข้าใจง่าย ทัศนคติของผู้เรียนที่มีต่อวิชาภาษาไทยนั้นคิดว่าวิชานี้ ยาก เป็นวิชาที่มองว่าเนื้อหายากต่อการเรียน แต่นักเรียนทุกคนก็สามารถทำได้ในเรื่องที่จะสอน ทั้งการสะกด คำ การอ่านคำ ตามที่ผู้สอนได้กำหนดไว้ทำให้ง่ายต่อการเข้าใจ ทางผู้วิจัยจึงจัดทำแผนการสอนที่เหมาะแก่การสอนนักเรียนชั้นประถมศึกษา โดยกำหนดจากตัว นักเรียนเอง จึงได้นำหลักการการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ Assure เข้ามาในการใช้การจัดเรียนรู้ และนำลักษณะผู้เรียนมาวิเคราะห์จนได้แผนการสอน และยังได้นำข้อมูลพื้นฐานของนักเรียนมาวิเคราะห์ใช้ เป็นฐานข้อมูลในการออกแบบสื่อ สอดคล้องกับการจัดการเรียนรู้ Assure ที่มีสื่อประสม 4.ผลการวิจัยเปรียบเทียบผลก่อนและหลัง โดยทางผู้ทดลองได้ผลจากการวิจัยที่นำมาเปรียบเทียบกัน ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนได้ โดยเห็นจากการสังเกตนั่นคือ ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหามากขั้น จากก่อนเรียน สามารถตอบได้ในเรื่องที่เรียน มีความรู้ที่มากขึ้น มีผลคะแนนแบบทดสอบที่สูงขึ้นระหว่างก่อน เรียนและหลังเรียน โดยก่อนทดลองข้อมูลจากผู้เรียน เปรียบเทียบค่าก่อนเรียนและหลังเรียนตามค่าดัชนีประสิทธิผลโดยใช้ข้อสอบแบบทดสอบมาตรา แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 มาตราแม่กงและแม่กม -มีคะแนนรวมก่อนเรียนที่ 252 คะแนน และมีคะแนนรวมหลังเรียนที่ 290 คะแนน -มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนที่ 7.64 คะแนน และมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนที่ 8.79 คะแนน -ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานก่อนเรียนที่ 1.90 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานหลังเรียนที่ 1.39 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 มาตราแม่กกและแม่เกอว -มีคะแนนรวมก่อนเรียนที่ 248 คะแนน และมีคะแนนรวมหลังเรียนที่ 270 คะแนน -มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนที่ 7.51 คะแนน และมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนที่ 8.18 คะแนน -ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานก่อนเรียนที่ 1.75 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานหลังเรียนที่ 1.33 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 มาตราแม่กบและแม่เกย -มีคะแนนรวมก่อนเรียนที่ 255 คะแนน และมีคะแนนรวมหลังเรียนที่ 289 คะแนน -มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนที่ 7.72 คะแนน และมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนที่ 8.66 คะแนน -ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานก่อนเรียนที่ 1.12 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานหลังเรียนที่ 1.13


116 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 มาตราแม่กน -มีคะแนนรวมก่อนเรียนที่ 252 คะแนน และมีคะแนนรวมหลังเรียนที่ 285 คะแนน -มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนที่ 7.63 คะแนน และมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนที่ 8.90 คะแนน -ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานก่อนเรียนที่ 1.02 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานหลังเรียนที่ 0.76 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 มาตราแม่กด -มีคะแนนรวมก่อนเรียนที่ 221 คะแนน และมีคะแนนรวมหลังเรียนที่ 274 คะแนน -มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนที่ 6.70 คะแนน และมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนที่ 8.30 คะแนน -ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานก่อนเรียนที่ 1.70 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานหลังเรียนที่ 1.16 5.ผลจากการศึกษารูปแบบการสอนและสื่อจากการวิจัยพบว่า รูปแบบการสอนนั้นสอดคล้องกับสื่อได้ เป็นอย่างดี ด้วยรูปแบบการสอนแบบ Assure Model โดยรูปแบบการสอนแบบ Assure นั้นเป็นรูปแบบการ สอนโดยการใช้สื่อประสม โดยสื่อที่ทำมาก็ออกแบบมาจาก การวิเคราะห์ลักษณะผู้เรียน และวัตถุประสงค์ โดย การวิเคราะห์ลักษณะผู้เรียนเป็นสำคัญเพื่อจำลองและออกแบบสื่อในการทดลองสอนและใช้เพื่อให้สื่อมี ประสิทธิภาพที่ทำให้เกิดประสิทธิผลกับผู้เรียนมากที่สุด นอกจากรูปแบบการสอนและสื่อที่สอดคล้องกันแล้ว ยังใช้รูปแบบการสอนและสื่อไปประยุกต์ให้เข้ากับแผนเพื่อให้เกิดกระบวนการสอนที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ข้อเสนอแนะ 1.ข้อเสนอแนะในการนำไปใช้ 1.1 สื่อการสอนรูปแบบออนไลน์เป็นการนำเสนอ ซึ่งในห้องนั้นมีอุปกรณ์การสอนไม่เพียงพอ การใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์เข้ามาช่วยนอกเหนือจากแท็บเล็ดอาจจะต้องใช้สักสองถึงสามเครื่อง จะทำให้ ผู้เรียนเข้าถึงเนื้อหาความรู้ได้อยู่ทั่วถึงแน่นอน 1.2เนื่องจากใบงานกิจกรรมมีแบบฝึกที่เยอะจนผู้เรียนทำไม่ทัน จึงอาจต้องปรับจำนวนของ ข้อในใบกิจกรรมลดลงมาเพื่อกระชับเวลาให้ทัน 2.ข้อเสนอแนะในการนำไปใช้ในครั้งถัดไป 2.1 ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Assure Model 2.2 ศึกษาเกี่ยวกับงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการนำ Assure Model ไปใช้ในห้องเรียน เพิ่อเพิ่ม ประสิทธิภาพในการเรียนรู้ของผู้เรียน


117 บรรณานุกรม กมลวรรณ สีแสง. (2563). การพัฒนาทักษะการเขียนตัวสะกด มาตราแม่ กด ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดเสาธงนอก(รายงานผลการวิจัย). สมุทรปราการ : โรงเรียนวัดเสาธงนอก. กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. (2545). หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.). กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. (2547). ความคิดสร้างสรรค์ หลักการ ทฤษฎี การเรียนการสอน การวัดผล. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภา. กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. กัณย์ญภัธสร บัวหอม. (2562). การแก้ปัญหาการเขียนคำภาษาไทยไม่ถูกต้องของเด็กชายธีรดนต์ ดอเลาะ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้แบบฝึกหัดเขียนไทย (รายงานผลการวิจัย). ยะลา : โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา. กิตติคุณ รัตนเดชกำจาย. (2542) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องมาตราตัวสะกด ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่สอนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะกับสอนโดยวิธีปกติ. (วิทยานิพนธ์ การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตร และการนิเทศ). บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยศิลปากร. กุศยา แสงเดช. (2545). แบบฝึกคู่มือพัฒนาสื่อการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญระดับ ประถมศึกษา. กรุงเทพฯ: บริษัท สำนักพิมพ์แม็ค จำกัด. ฉันชนก รักแตง. (2546). การศึกษาผลของการสอนซ่อมเสริม กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยเรื่อง มาตราตัวสะกด และความสนใจในการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดย การจัดกิจกรรม การเรียนรู้แบบซิปปา(CIPPA MODEL). สารนิพนธ์ กศ.ม. กรุงเทพมหานคร : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยา ลัยศรีนครินทรวิโรฒ.


118 นีรชา แดงกองโค. (2551). การพัฒนาชุดฝึกทักษะการอ่าน การเขียนสะกดคำ สระเสียงสั้น สระเสียงยาว. (การค้นคว้าอิสระการศึกษามหาบัณฑิต). บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคลธัญบุรี บุญชม ศรีสะอาด. (2553). การวิจัยเบื้องต้น. (พิมพ์ครั้งที่ 8). กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น. ปาลิดา อิธิตา. (2565). การสร้างแบบฝึกทักษะการอ่าน และการเขียนมาตราตัวสะกดของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านมูเซอ สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 1. วารสารวิจัยวิชาการ, 5(1), 9-14. เปรมฤทัย บริรักษ์, จันทร์จิรา ทองหล่อ, ปาริชาต เตชะ. (2561). การอ่านและเขียนคำที่สะกด ตรงตามมาตราตัวสะกด ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 (รายงานผลการวิจัย). กำแพงเพชร : มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร. รุ่ง แก้วแดง. (2542). ปฏิรูปการศึกษาไทย. กรุงเทพมหานคร : มติชน ล้วน สายยศ; และอังคนา สายยศ. (2538). เทคนิคการวิจัยทางการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพ มหานคร : สุวีริยาศาสน์. วัลยา อ่ำหนองโพธิ์. (2557). การพัฒนาแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคํา เรื่อง มาตราตัวสะกด โดยใช้แผนผังความคิด สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 (รายงานผลการวิจัย). กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยศิลปากร. วิชัย วงษ์ใหญ่. (2543). วิสัยทัศน์การศึกษา. นนทบุรี : เอส อาร์ พริ้นติ้ง. สนิท สัตโยภาส. (2547). กระบวนการเรียนรู้ผู้เรียนเป็นสําคัญ. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว. สมนึก ภัททิยธนี. (2551). การวัดผลการศึกษา. (พิมพ์ครั้งที่ 6). กาฬสินธุ์ : ประสานการพิมพ์.


119 สุนีย์ แก้วของแก้ว. (2549). การพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคําที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา ของนักเรียนที่มีความบกพรองทางการเรียนรู้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้แบบฝึกการประสมอักษร (รายงานผลการวิจัย). กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. สุวิทย์ มูลคำ และอรทัย มูลคำ. (2550). 19 วิธีการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความรู้และทักษะ. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ภาพพิมพ์. เสน่ห์ วรสันติวงศ์. (2560). การใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนคำในมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1(รายงานผลการวิจัย). น่าน : โรงเรียนบ้านสบกอน. อารีพันธ์มณี. (2546). จิตวิทยาสร้างสรรค์การสอน. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ใยไหม เอดดูเคท. อำภวรรณ สันป่าเงิน. (2563). การแก้ปัญหานักเรียนเขียนสะกดคำไม่ถูกต้องตามมาตราตัวสะกด (รายงานผลการวิจัย). กำแพงเพชร : โรงเรียนวัดบ้านบึงทับแรต.


120 ภาคผนวก


121 ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบเครื่องมือและหนังสือขอความอนุเคราะห์


122 รายชื่อผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบเครื่องมือ 1. อาจารย์ ดร.อารีย์รัตน์ โนนสุวรรณ อาจารย์ประจำภาควิชาหลักสูตรและการสอน สาขาวิชาภาษาไทย คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ผู้เชี่ยวชาญด้านหลักสูตรและการสอน 2. นางสุภาพร บุญจันทร์ ตำแหน่ง หัวหน้าสายชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหลักเมืองมหาสารคาม ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาและการใช้ภาษา 3. นางวันดี สมนึกในธรรม ตำแหน่ง ครูภาษาไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหลักเมืองมหาสารคาม ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาและการใช้ภาษา


123 หนังสือขอความอนุเคราะห์


124


125


126 ภาคผนวก ข ตัวอย่างแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้


127 แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีสอนแบบอุปนัย (Induction Method) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ รายวิชา ภาษาไทยพื้นฐาน รหัสวิชา ท ๑๒๑๐๑ หน่วยการเรียนรู้ที่ ๓ เรื่อง มาตราตัวสะกดแม่กง แม่กม จำนวน ๑ ชั่วโมง ครูผู้สอน นางสาวจามจุรี วิชัยเนาว์ , นางสาวจิระนันท์ คำผาย วันที่ ๑๕ เดือน กันยายน ๒๕๖๕ สาระสำคัญ ๑. มาตราตัวสะกด คือ พยัญชนะที่ผสมอยู่ข้างหลังคำหรือพยางค์ในแม่ ก กา ทำให้แม่ ก กา มีตัวสะกด เช่น คำว่า นา เมื่อประสมกับ ง ลายเป็น นาง เป็นต้น ๒. มาตราตัวสะกด แม่กง คือ คำหรือพยางค์ที่มี ง เป็นตัวสะกด เช่น เสียง กวาง ลิง วิ่ง แป้ง ฯลฯ ๓. มาตราตัวสะกด แม่กม คือ คำหรือพยางค์ที่มี ม เป็นตัวสะกด เช่น ขนม โดม แก้ม ยิ้ม อุ้ม ฯลฯ มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด มาตรฐานการเรียนรู้ ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิด เพื่อนำไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการดำเนินชีวิต และมีนิสัยรักการอ่าน มาตรฐานการเรียนรู้ ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของ ภาษาและพลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษาและรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ ตัวชี้วัดการเรียนรู้ ท 1.1 ป.2/1 การอ่านออกเสียงคำ คำคล้องจอง ข้อความ และบทร้อยกรองง่ายๆ ได้ถูกต้อง ท 4.1 ป.2/2 เขียนสะกดคำและบอกความหมายของคำ จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจในมาตราตัวสะกดแม่ กง และ แม่ กม รวมถึงสามารถบอกมาตรา ตัวสะกด และยกตัวอย่างคำได้ถูกต้องตามมาตราอย่างถูกต้อง (K) 2. นักเรียนสามารถอ่านและเขียนคำตามมาตราตัวสะกดแม่ กง และ แม่ กม ได้ถูกต้อง (P) 3. นักเรียนตระหนักถึงคุณค่า และความสำคัญของการอ่านและการเขียนสะกดคำ ได้ถูกต้อง ในชีวิตประจำวัน (A)


128 สาระการเรียนรู้ 1. การอ่านออกเสียงและการบอกความหมายของคำ คำคล้องจอง ข้อความและบทร้อยกรองง่ายๆ ประกอบ ด้วย คำที่มีตัวสะกดตรงตามมาตรา 2. มาตราตัวสะกดที่ตรงตามมาตรา คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. ใฝ่เรียนรู้ หมายถึง คุณลักษณะที่แสดงออกถึงการยึดมั่นในข้อตกลง กฎเกณฑ์และระเบียบ ข้อบังคับของ ครอบครัว โรงเรียน และสังคม 2. มุ่งมั่นในการทำงาน หมายถึง คุณลักษณะที่แสดงออกถึงความตั้งใจ เพียรพยายามในการเรียน แสวงหา ความรู้จากแหลงเรียนรู้ทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน 3. รักความเป็นไทย หมายถึง การแสดงออกถึงความภาคภูมิใจ เห็นคุณค่า ร่วมอนุรักษ์ และสืบทอด ภูมิปัญญาไทย การใช้ภาษาไทยได้อย่างถูกต้องเหมาะสม สมรรถนะผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร มีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความเข้าใจของตนเอง โดยใช้ภาษาอย่างเหมาะสม 2. ความสามารถในการคิด มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ การคิดอย่างสร้างสรรค์ การคิด อย่างมีวิจารณญาณและเป็นระบบ 3. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต มีความสามารถในการนำกระบวนการต่างๆ ไปใช้ในชีวิต ประจำวันการเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงาน การอยู่ร่วมกันในสังคม ผลงานที่ต้องการ 1. ใบงาน เรื่อง มาตราตัวสะกดน่ารู้


129 กิจกรรมการเรียนรู้ 1.ขั้นเตรียมการ 1.1 นำเข้าสู่บทเรียน โดยนำสื่อการเรียนการสอน “ไม้เมตรสะกดคำ” เรื่องมาตราตัวสะกด ที่ครูผู้สอนเตรีมไว้ขึ้นมาให้นักเรียนดูเพื่อดึงดูดความสนใจ แล้วถามคำถามว่า “นักเรียนเห็นของที่อยู่ในมือครู ไหมคะ นักเรียนคิดว่ามันคืออะไร” แล้วถามคำถามต่อไปว่า “ลองเดาดูซิว่าวันนี้เราจะเรียนเรื่องอะไรคะ” เมื่อได้คำตอบแล้ว จึงแจ้งให้นักเรียนทราบว่าจะทำการเรียนการสอน เรื่อง มาตราตัวสะกดแม่กง และ แม่ กม (5 นาที) 1.2 ทบทวนความรู้เดิมของนักเรียน โดยการให้นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน เรื่องมาตราตัวสะกดแม่ กง และ แม่ กม จำนวน 10 ข้อ (10 นาที) 2. ขั้นเสนอตัวอย่าง 2.1 แจกใบความรู้ เรื่อง มาตราตัวสะกดแม่กง และ แม่ กม ให้นักเรียน ประกอบการอธิบาย จากนั้นให้นักเรียนฝึกอ่านแจกลูกสะกดคำ ตามตัวอย่าง ในมาตราแม่กง และแม่กม (5 นาที) เช่น ก - ว – า – ง อ่านว่า กวาง เ - พ - ล - ง อ่านว่า เพลง แ - ย - ม อ่านว่า แยม ป - ล - อ - ม อ่านว่า ปลอม 2.2 อธิบายวิธีการการใช้สื่อการเรียนรู้ “ไม้เมตรสะกดคำ” และยกตัวอย่างคำในมาตรา ตัวสะกดแม่กง และ แม่ กม ให้นักเรียนฟัง จากนั้นให้นักเรียนแบ่งเป็น 6 กลุ่ม ก่อนให้นักเรียนทดลองใช้ สื่อโดยการอ่านออกเสียงไปพร้อมกันในแต่ละคำที่มีการเลื่อน ไม้เมตรสะกดคำ (10 นาที) เช่น โ - ก – ง อ่านว่า โกง จ - อ - ง อ่านว่า จอง ค - า - ม อ่านว่า คาม ก - า - ง อ่านว่า กาง 3.ขั้นเปรียบเทียบ 3.1 ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 7 คน จำนวน 5 กลุ่มพร้อมกับตั้งชื่อกลุ่มเป็นชื่อผลไม้ ที่ชื่นชอบ ในการทำกิจกรรมโดยใช้สื่อการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ “Word Wall” เป็นเกมแยกหมวดหมู่ คำศัพท์ตามมาตราตัวสะกดแม่กง และ แม่ กม ที่ครูเตรียมไว้ 16 คำแบ่งเป็น มาตราละ 8 คำ พร้อมภาพประกอบ


130 3.2 ครูอธิบายกติกาและวิธีการเล่น จากนั้นให้ผู้เรียนเริ่มเล่นเกม โดยจับเวลาในการเล่น กลุ่มละ 2 นาที โดยให้นักเรียนแต่ละกลุ่มช่วยกันแยกหมวดหมู่คำศัพท์ให้ถูกต้อง กลุ่มที่ทำได้ภายในเวลาที่ กำหนดและได้คะแนนมากที่สุด อาจมีการให้รางวัลเป็นอุปกรณ์การเรียน หรือขนม เพื่อเป็นการเสริมแรง บวกและกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความสนุกสนานในการเรียน (10 นาที) 4.ขั้นกฏเกณฑ์ 4.1 หลังจากจบการทำกิจกรรมครูถามคำถามตรวจสอบความเข้าใจ “นักเรียนเห็นความ แตกต่างของคำที่สะกดด้วยมาตราตัวสะกดแม่กง และ แม่กม ไหมคะ” “แตกต่างกันตรงไหน” แล้วให้นักเรียน ร่วมกันตอบคำถาม เมื่อได้คำตอบแล้วครูผู้สอนทำการสรุปความรู้ที่ถูกต้องอีกครั้งหนึ่ง (5 นาที) 5.ขั้นนำไปใช้ 5.1 แจกใบงาน เรื่อง มาตราตัวสะกดน่ารู้ ให้นักเรียนทำ (5 นาที) 5.2 ให้นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน เรื่อง มาตราตัวสะกดแม่กง และ แม่กม จำนวน 10 ข้อ (10 นาที สื่อการเรียนรู้ 1. สื่อการเรียนการสอน “ไม้เมตรสะกดคำ”เรื่องมาตราตัวสะกดแม่ กง และ แม่กม (สื่อวัสดุ) 2. สื่อการเรียนการสอนโปรแกรม “Word Wall”เกมมาตราตัวสะกดแม่ กง และ แม่กม (สื่ออิเล็กทรอนิกส์) 3. ใบงาน เรื่อง มาตราตัวสะกดน่ารู้ 4. ใบความรู้มาตราตัวสะกดแม่ กง และ แม่ กม แหล่งการเรียนรู้ 1. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานภาษาไทย ชุด ภาษาเพื่อชีวิต ภาษาพาที 2. อินเทอร์เน็ต


131 การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ การวัด และประเมินผล วิธีการวัด และประเมินผล เครื่องมือที่ใช้ เกณฑ์ การประเมิน นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจในมา ตราตัวสะกดแม่ กง และ แม่ กม รวมถึงสามารถบอกมาตราตัวสะก ด และยกตัวอย่างคำตามมาตราได้อ ย่างถูกต้อง (K) การทดสอบความรู้ แบบทดสอบความรู้ก่อนเรี ยน – หลังเรียน ชนิด เลือกตอบ 3 ตัวเลือก จำนวน 10 ข้อ ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 ขึ้นไป นักเรียนสามารถอ่านและเขียนคำ ตามมาตราตัวสะกดแม่ กง และ แม่ กม ได้ถูกต้อง (P) การประเมินผลงาน แบบประเมินใบงาน รายบุคคล แบบ 5 รายการ 3 ระดับ คุณภาพ ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 ขึ้นไป นักเรียนตระหนักถึงคุณค่า และความสำคัญของการอ่านและ การเขียนสะกดคำได้ถูกต้องในชีวิ ตประจำวัน (A) การสังเกตพฤติกรรมราย บุคคล แบบสังเกตพฤติกรรม แบบ 5 คุณลักษณะ 3 ระดับ คุณภาพ ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 ขึ้นไป คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ประเมินคุณลักษณะอัน พึงประสงค์รายบุคคล แบบประเมินคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ 3 คุณ ลักษณะ 9 รายการ 3 ระดับคุณภาพ ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 ขึ้นไป สมรรถนะ ประเมินสมรรถนะรายบุ คคล แบบประเมินคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ 3 คุณ ลักษณะ 9 รายการ 3 ระดับคุณภาพ ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 ขึ้นไป


132


133


134


135


136


137


Click to View FlipBook Version