The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

Ebook เล่มเอกสารผลงานวิชาการ เขตสุขภาพที่ 6 ปีงบ 66 ณ 30 ส.ค.66

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

เล่มเอกสารผลงานวิชาการ เขตสุขภาพที่ 6 ปีงบ 66 ณ 30 ส.ค.66

Ebook เล่มเอกสารผลงานวิชาการ เขตสุขภาพที่ 6 ปีงบ 66 ณ 30 ส.ค.66

Keywords: Ebook เล่มเอกสารผลงานวิชาการ

ผผลลงงาานนวิวิวิ วิ ช วิ ช วิ ชาากกาารร "สาธารณสุขทางทะเล และ Digital เพื่ "สาธารณสุขทางทะเล และ Digital เพื่ พื่ อ พื่ สุขภาพ" พื่ อสุขภาพ" การประชุมวิชาการสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ ๖ ประจำ ปีงบประมาณ ๒๕๖๖ การประชุมวิชาการสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ ๖ ประจำ ปีงบประมาณ ๒๕๖๖ ระหว่างวันที่ 6 - 8 กันยายน 2566 ณ โรงแรมอัยยะปุระรีสอร์ท แอนด์ สปา อำ เภอเกาะช้าง จังหวัดตราด


สาส์นจากผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 นายแพทย์สุเทพ เพชรมาก เนื่องในโอกาสการประชุมวิชาการสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 ประจำปีงบประมาณ 2566 “ เนื่องในโอกาสการประชุมวิชาการสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๖ ระหว่างวันที่ ๖-๘ กันยายน ๒๕๖๖ ณ โรงแรมอัยยะปุระ รีสอร์ท แอนด์สปา อำเภอเกาะช้าง จังหวัดตราด ผมขอส่งความระลึกมายังคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ในสังกัดเขตสุขภาพที่ ๖ ทุกท่าน เขตสุขภาพที่ ๖ เป็นเขตสุขภาพซึ่งประกอบด้วยจังหวัดต่างๆ รวม ๘ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ระยอง สมุทรปราการ ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา จันทบุรี และตราด โดยที่ผมได้มีโอกาสเยี่ยมเยียน ทุกจังหวัดผ่านกลไกการตรวจราชการ การประชุม และการลงเยี่ยมพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ได้เห็นการดำเนินงาน ของทุกจังหวัดที่มีการนำนโยบายทั้งระดับกระทรวงสาธารณสุข และระดับเขตสุขภาพขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติ อย่างแข็งขันครอบคลุมทุกมิติสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเทคโนโลยี Digital มาใช้ในกระบวนงาน ทั้งระบบสนับสนุนและระบบบริการ ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในระบบบริการทางการแพทย์ และสาธารณสุขสำหรับประชาชนอย่างมาก มีการนำนโยบาย EMS มาใช้ในระบบบริหารจัดการ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงาน ลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว ก่อให้เกิดผลลัพธ์คือ ประชาชนสุขภาพดี เจ้าหน้าที่มีความสุข ระบบสุขภาพยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพัฒนางานสาธารณสุขในจังหวัดที่มีพื้นที่ ทางทะเล ซึ่งจังหวัดตราดมีผลงานที่ดีเยี่ยมทั้งในด้านการส่งต่อผู้ป่วยผ่านอากาศยาน, การจัดระบบบริการ แพทย์อาสาในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเกาะหมาก, การนำแพทย์เวชศาสตร์ทางทะเล ร่วมขับเคลื่อน ระบบสุขภาพรองรับพื้นที่ทางทะเล ที่เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและนักท่องเที่ยว การจัดประชุมวิชาการสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๖ ในครั้งนี้ เป็นการ รวบรวมองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ทั้งจากผู้บริหาร ผู้ปฏิบัติงาน และนำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในระยะเวลา ๓ วันนี้ ดังนั้น ผู้ที่ได้เข้าร่วมประชุมวิชาการจะได้รับองค์ความรู้ใหม่ๆ จากผลงานนวัตกรรม ผลงานดีเด่น และผลงานการวิจัยต่างๆ เพื่อเป็นแนวทางการพัฒนางานในปีถัดไป ซึ่งได้รวบรวมไว้ในเอกสารฉบับนี้ด้วยแล้ว ในโอกาสนี้ ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ได้โปรดดลบันดาลประทานพร ให้ผู้บริหารและบุคลากรในสังกัดเขตสุขภาพที่ ๖ ทุกท่าน ประสบแต่ความสุข ความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่ราชการ มีกำลังใจที่เข้มแข็ง เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการพัฒนาสภาวะสุขภาพของประชาชนให้มีสุขภาพดีสืบไป” (นายสุเทพ เพชรมาก) ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ ๖


สารบัญ หน้า - ก าหนดการประชุมวิชาการสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 “สาธารณสุขทาง ทะเลและดิจิทัลเพื่อสุขภาพ" 1 - รายชื่อวิทยากรบรรยายและวิทยากรวิพากย์ผลงานวิชาการ 4 - สรุปจ านวนและรายชื่อผู้น าเสนอผลงานวิชาการ 6 - ประกวดผลงานวิชาการน าเสนอโดยวาจา (Oral presentation) R2R (OR – 01 ถึง 14) 18 OR - 01 การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์โรงพยาบาลแหลมสิงห์จังหวัด จันทบุรี 19 OR - 02 การเข้าถึงยาจ าเป็นในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคเกาต์ที่มีอัลลีล HLA-B*58:01 เป็นบวก (positive result) โรงพยาบาลท่าตะเกียบ จังหวัดฉะเชิงเทรา 23 OR – 03 การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดซื้อยา โรงพยาบาลบางละมุง ตามแนวคิดการวัดก าลังความสามารถ จัดหาเวชภัณฑ์ยาจากข้อมูลการจัดซื้อยา (Pharmaceutical Acquisition Capability; PAC) 26 OR - 04 การพัฒนาระบบการจัดการเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพด้านการควบคุมก ากับดูแลการใช้ยาและส่งเสริม การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผล โรงพยาบาลชลบุรี 30 OR - 05 การศึกษาผลกระทบจากการใช้บริการสุขภาพของแรงงานต่างด้าวของโรงพยาบาลรัฐในจังหวัดตราด 35 OR - 06 ประสิทธิผลของโปรแกรมการมีส่วนร่วมของครอบครัวร่วมกับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากตัวแบบต่อ การใช้ยาฝังคุมก าเนิดในมารดาวัยรุ่นหลังคลอด 39 OR - 07 การใช้สื่อวีดิทัศน์ให้ค าแนะน าเพื่อเฝ้าระวังอาการแพ้ยาชนิดรุนแรงในผู้ป่วยได้รับยาที่ต้องติดตาม อย่างใกล้ชิด 43 OR - 08 การศึกษาผลการใช้น้ ามันกัญชาร่วมกับ Morphine ในผู้ป่วย Palliative Care 47 OR - 09 สถานการณ์ความชุกภาวะโลหิตจางและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กของเด็ก อายุ 6-12 เดือน ที่คลินิกสุขภาพเด็กดีเครือข่าย บริการสุขภาพโรงพยาบาลระยอง ปี 2564-2565 51 OR - 10 ปัจจัยที่มีผลต่อความส าเร็จในการพัฒนาองค์กรตามเกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐของ หน่วยงานสาธารณสุข 55 OR - 11 ประสิทธิผลของรูปแบบการป้องกันการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีแรงจูงใจ ในการดูแลสุขภาพ ชมรมผู้สูงอายุ จังหวัดระยอง 59 OR - 12 การพัฒนาโปรแกรมฟื้นฟูสมรรถภาพปอด ในผู้ต้องขังหายป่วยด้วยโควิด 19 เรือนจ ากลางจังหวัดสมุทรปราการ 63 OR - 13 ผลของโปรแกรมการสอนต่อความรู้และพฤติกรรมการดูแลของผู้ดูแลผู้ป่วยเด็กโรคธาลัสซีเมีย โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว 67 OR - 14 ผลของการใช้โปรแกรมการวางแผนจ าหน่ายต่อความแตกฉานด้านสุขภาพของผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้น เรื้อรังในหอ ผู้ป่วยอายุรกรรมชาย โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว 71 - ประกวดผลงานวิชาการน าเสนอโดยวาจา (Oral presentation) Best Practice (OB – 01 ถึง 12) 75 OB - 01 การพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยในที่บ้าน (Home ward) เครือข่าย คปสอ.ขลุง จ.จันทบุรี 76 OB - 02 การลดการปนเปื้อนเชื้อ Coaglulase Negative Staphylococci จากการเพาะเชื้อจากเลือดใน โรงพยาบาลบางน้ าเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา 81 OB - 03 พัฒนาระบบการดูแลฟื้นฟูสภาพผู้ป่วยระยะกลางแบบองค์รวมโดยทีมสหวิชาชีพโรงพยาบาลบางละมุง 86 OB - 04 การพยาบาลผู้ป่วยวัณโรคปอดในทัณฑสถานหญิงชลบุรี 88 OB - 05 ประสิทธิภาพและความปลอดภัยของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านสุขภาพในระบบกระจายยา ผู้ป่วยใน โรงพยาบาลชลบุรี 92 OB - 06 แนวทางการส่งต่อผู้ป่วยบ่อไร่-ส ารูด 94


สารบัญ (ต่อ) หน้า OB - 07 กรณีศึกษาเปรียบเทียบการผ่าตัดและการให้การดูแลรักษาผู้ป่วยภาวะหลอดเลือดสมองโป่งพองแตก 103 OB - 08 การป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ภายใต้กลไกพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอ าเภอ อ าเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี 107 OB - 09 รูปแบบการดูแลผู้สูงอายุแบบองค์รวม 5G Model อ าเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง 112 OB - 10 พัฒนาระบบบริการปฐมภูมิดูแลรักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) ที่บ้านและในชุมชน ด้วยการส่งต่อผ่านระบบ HI CUP อ าเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ 116 OB - 11 การเทียบประสานรายการยา (medication reconciliation) ช่วยลดความคลาดเคลื่อนทางยา คลินิกโรคไตเรื้อรัง (CKD clinic) 123 OB - 12 การพัฒนากระบวนการค้นหาน าส่งผู้ติดสารเสพติดสู่สถานฟื้นฟูสมรรถภาพ 127 - ประกวดผลงานวิชาการน าเสนอโดยวาจา (Oral presentation) Innovation (นวัตกรรม)(OI – 01 ถึง 10) 131 OI - 01 ระบบความพร้อมรถพยาบาล ระบบส่งต่อและเชื่อมโยงเครือข่ายแบบรวมศูนย์ iAmbulance 132 OI - 02 นวัตกรรม FLAX tigger tool for HAI เพื่อเฝ้าระวังการติดเชื้อในโรงพยาบาลวัดญาณสังวราราม 138 OI - 03 กระติกวัคซีนมหัศจรรย์ 142 OI - 04 พชอ Digital 146 OI - 05 ปฏิทินสิ้น Exp. 150 OI - 06 การศึกษาประสิทธิผลของครีมบัวบกอภัยภูเบศรที่มีต่อการหายของแผลที่เท้าในผู้ป่วยเบาหวาน แผนกศัลยกรรม โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร 161 OI - 07 แผ่นแปะเสริมใยรัก แก้ไขหัวนมสั้นในมารดาหลังคลอด 165 OI - 08 การพัฒนาระบบการจองเตียงไอซียูโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว 169 OI - 09 Plan-D : ซอฟท์แวร์ ERP บริหารงานหน่วยงานภาครัฐ 172 OI - 10 สแกนไว เข้าใจง่าย ไม่กลัวผ่าตัด 181 - ประกวดผลงานวิชาการโดยโปสเตอร์ (Poster presentation) R2R (PR – 01 ถึง 11) 184 PR - 01 การพัฒนารูปแบบการเข้าถึงระบบบริการทางด่วนส าหรับกลุ่มเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรีDevelopment of Fast Track Service System model for Stroke risk group at Laemsing Hospital , Chanthaburi Province 185 PR - 02 การพัฒนากระบวนการตรวจคัดกรองพัฒนาการเด็กปฐมวัยโดยการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลโยธะกา 190 PR - 03 ผลทันทีของการติดเทปคิเนซิโอที่มีต่ออาการปวดเข่าขณะเดินในผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อม Acute Effect of Kinesio Taping on Knee Pain During Walking in Osteoarthritis 194 PR - 04 ประสิทธิผลของการพัฒนาคุณภาพระบบการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินโรงพยาบาลบ้านบึง 198 PR - 05 การพัฒนาแนวทางปฏิบัติการพยาบาลวิสัญญีในการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดมะเร็งล าไส้และทวารหนักด้วย ERAS Protocol โรงพยาบาลบ้านบึง 202 PR - 06 การพัฒนาโปรแกรมสร้างความรู้และความสามารถในการปฏิบัติการพยาบาลของพยาบาลวิชาชีพ จบใหม่โดยใช้ทฤษฏีการเรียนรู้แบบผู้ใหญ่ โรงพยาบาลตราด 208 PR - 07 ผลของโปรแกรมการเตรียมความพร้อมของผู้รับบริการรายใหม่ต่อการเตรียมตัวก่อนการส่องกล้อง หลอดลม 212 PR - 08 การประเมินความเสี่ยงทางการยศาสตร์ในการท างานคอมพิวเตอร์ของบุคลากรโรงพยาบาลบ้านฉาง 216 PR - 09 ปัจจัยที่มีผลต่อการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในผู้ป่วยคาสายสวนปัสสาวะในโรงพยาบาลสมุทรปราการ 220


สารบัญ (ต่อ) หน้า PR - 10 ผลของการวางแผนการจ าหน่ายโดยการประยุกต์ใช้แนวคิดของกาเย่ต่อความรู้ในการปฏิบัติตัว เพื่อป้องกันการกลับมารักษาซ้ าในผู้ป่วยโรคเลือดออกทางเดินอาหารส่วนต้นที่มีสาเหตุมาจาก พฤติกรรมการรับประทานยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ 224 PR - 11 การศึกษาประสิทธิผลของยาทาสมุนไพรสูตรเย็นในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการปวดในต าบลวังน้ าเย็น 228 - ประกวดผลงานวิชาการโดยโปสเตอร์ (Poster presentation) Best Practice (PB – 01 ถึง 11) 235 PB - 01 การสอบสวนการระบาดของโรคไข้เลือดออกค่ายทหารแห่งหนึ่ง ต าบลวัดใหม่ อ าเภอเมือง จังหวัด จันทบุรีตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 236 PB - 02 ผลของการพัฒนารูปแบบการคัดกรองมะเร็งล าไส้ใหญ่และล าไส้ตรง อ าเภอท่าตะเกียบ จังหวัด ฉะเชิงเทรา 241 PB - 03 ผลของการพัฒนางาน 4 ด้าน เพื่อป้องกันการเกิดปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ 245 PB - 04 กรณีศึกษาเปรียบเทียบการผ่าตัดด้วยวิธี anterior cervical discectomy and fusion versus laminoplasty in acute traumatic central cord syndrome 249 PB - 05 การพัฒนาระบบการเตรียมความพร้อมของผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติดรุนแรงกลับสู่ชุมชน เฝ้าระวัง การก าเริบซ้ า อ าเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี 253 PB - 06 การเฝ้าระวังการสัมผัสสารตะกั่วในเด็กปฐมวัย เขตพื้นที่อ าเภอบ้านฉาง (Surveillance of Lead exposure in early childhood Banchang District) 259 PB - 07 Mobile geriatric clinic อ าเภอวังจันทร์จังหวัดระยอง 263 PB - 08 best Practice การดูแลผู้ป่วยประคับประคอง 266 PB - 09 ต าบลต้นแบบมหัศจรรย์ 1,000 วัน Plus สู่ 2,500 วัน 270 PB - 10 ผลของแนวปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง 273 PB - 11 การเปรียบเทียบการเกิดความเคลื่อนในการจ่ายยา continue ชนิดยาเม็ดระหว่างการจัดยาด้วย เครื่องจัดยาอัตโนมัติและการจัดยาด้วยคน 277 - ประกวดผลงานวิชาการโดยโปสเตอร์ (Poster presentation) Innovation (นวัตกรรม) (PI – 01 ถึง 08) 281 PI - 01 ลดขั้นตอนการเฝ้าระวังการติดเชื้อด้วย IT 282 PI - 02 วงล๊อก วงล้อวัคซีน 288 PI - 03 บัตรนัดสอนได้ยุคโควิด-19 290 PI - 04 เครื่องเตือนสารละลายสวนล้างกระเพาะปัสสาวะแบบต่อเนื่อง (Sound alarm sensor) ในผู้ป่วย หลังผ่าตัดต่อมลูกหมากทางท่อปัสสาวะ 295 PI - 05 ใกล้หมอใกล้ใจด้วยไผ่ล้อมดิจิทัล 300 PI - 06 ประสิทธิผลของการรักษาแผลด้วย Negative Pressure Wound Therapy (NPWT) และ ไบโอนา โนเซลลูโลสเคลือบด้วยโลหะเงินนาโนสีฟ้า 311 PI - 07 ประสิทธิผลของการเตรียมมารดาในระยะเปลี่ยนผ่านรูปแบบแอพพลิเคชั่นไลน์ต่อพฤติกรรมการ ดูแลตนเองและบุตรหลังคลอด มารดาครรภ์แรก โรงพยาบาลสมุทรปราการ 315 PI – 08 Grip Stronger 320 - บรรณานุกรม ประวัติวิทยากรบรรยาย ประวัติวิทยากรวิพากย์ผลงานวิชาการ ค าสั่งคณะกรรมการและคณะท างานจัดประชุมวิชาการสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 ประจ าปีงบประมาณ 2566


กำหนดการประชุมวิชาการสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ ๖ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖6 “สาธารณสุขทางทะเลและดิจิทัลเพื่อสุขภาพ" ณ โรงแรมอัยยะปุระ รีสอร์ท แอนด์ สปา อ.เกาะช้าง จังหวัดตราด ระหว่างวันที่ 6 - 8 กันยายน ๒๕๖6 วันที่/เวลา กิจกรรม/รายละเอียด วันพุธที่ 6 กันยายน ๒๕๖6 09.00 - 12.00 น. - จัดเตรียมบูธนิทรรศการ ณ บริเวณหน้าห้องประชุมจอมทอง 1 - ลงทะเบียนผู้นำเสนอผลงาน ณ ห้องประชุม Lobby ( ส่งเอกสารประกอบการนำเสนอผลงานทั้ง แบบ Poster และ Oral Presentation พร้อมสำเนาและทดลองนำเสนอสื่อ ) - ลงทะเบียนผู้เข้าร่วมประชุม ณ บริเวณหน้าห้องประชุมจอมทอง 1 12.00 – 13.00 น. รับประทานอาหารกลางวัน 13.00 - 15.00 น. - ศึกษาข้อมูลองค์ความรู้ด้านสาธารณสุขในบูธนิทรรศการ 8 จังหวัด ณ บริเวณหน้าห้องประชุมจอมทอง 1 15.00 – 15.30 น. รับประทานอาหารว่างและเครื่องดื่ม 15.30 - 16.00 น. - พิธีเปิดการประชุมวิชาการ “สาธารณสุขทางทะเลและดิจิทัลเพื่อสุขภาพ" ณ ห้องประชุมจอมทอง 1 กล่าวต้อนรับ โดย นายชำนาญวิทย์ เตรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตราด กล่าวรายงาน โดย นายแพทย์ธนะวัฒน์ วงศ์ผัน นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดตราด กล่าวเปิด โดย นายแพทย์สุเทพ เพชรมาก ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 - เยี่ยมชมบูธนิทรรศการ 8 จังหวัด ณ บริเวณหน้าห้องประชุมจอมทอง 1 ผู้ดำเนินรายการ นายธนพนธ์ คณะศาสตร์ นักวิชาการสาธารณสุขปฏิบัติการ นางสาวกัญญารัตน์ ระลึกชอบ แพทย์แผนไทย 16.00 – 17.00 บรรยายเรื่อง “การขับเคลื่อนนโยบาย Digital เพื่อสุขภาพ ” ณ ห้องประชุมจอมทอง 1 โดย นายแพทย์โสภณ เมฆธน (อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข) 18.00 - 19.00 น. รับประทานอาหารเย็น (ณ โรงแรมที่พัก) 1


วันพฤหัสบดีที่ 7 กันยายน ๒๕๖6 กิจกรรม/รายละเอียด ๐๘.๐๐ - ๐๙.๐๐ น. - ลงทะเบียนผู้เข้าร่วมประชุม ณ บริเวณหน้าห้องประชุมจอมทอง 1 - ลงทะเบียนผู้นำเสนอผลงาน ณ ห้องประชุม Lobby ( ส่งเอกสารประกอบการนำเสนอผลงาน ทั้งแบบ Poster และ Oral Presentation พร้อมสำเนาและทดลองนำเสนอสื่อ ) ๐๙.๐๐ - ๑๐.1๕ น. - บรรยายเรื่อง “การแพทย์ฉุกเฉินทางอากาศในเขตสุขภาพที่ 6” ณ ห้องประชุมจอมทอง 1 โดย นายแพทย์อัจฉริยะ แพงมา เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ 10.30 - 11.30 น. การอภิปรายเรื่อง “สุขภาพดีวิถีบูรพา”ณ ห้องประชุมจอมทอง 1 โดย นายแพทย์อภิชาติรอดสม รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ นายแพทย์อภิรัต กตัญญุตานนท์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดชลบุรี นายแพทย์อภิรักษ์ พิศุทธ์อาภรณ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดจันทบุรี ผู้ดำเนินการอภิปราย นายแพทย์กสิวัฒน์ ศรีประดิษฐ์ นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดฉะเชิงเทรา - ซ้อมแผนลำเลียงผู้ป่วยทาง อากาศ อำเภอเกาะช้าง ณ ที่ว่าการอำเภอเกาะช้าง โดย ทีมจังหวัดตราดร่วมกับ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ 11.30 - 12.00 น. จัดเตรียมสถานที่สำหรับเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผลงานวิชาการ 12.00 - 13.00 น. รับประทานอาหารกลางวัน 13.๐๐ - 16.3๐ น 1. เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผลงานวิชาการในรูปแบบ Oral Presentation (นำเสนอ 7 นาที วิพากษ์ ๓ นาที) - ห้องประชุมจอมทอง 1 - ห้องประชุมจอมทอง 2 - ห้องประชุม Lobby 2. เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผลงานวิชาการในรูปแบบ Poster Presentation (นำเสนอ 7 นาที วิพากษ์ ๓ นาที) - ห้องประชุมระเบียงทะเลใหญ่ Zone 1 - ห้องประชุมระเบียงทะเลใหญ่ Zone 2 - ห้องประชุมระเบียงทะเลเล็ก 3. ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 ตรวจเยี่ยมพื้นที่ 1๘.๐๐ - 22.๐๐ น. รับประทานอาหารเย็น & งาน Dinner talk 2


หมายเหตุ - วันที่ 6 กันยายน 2566 รับประทานอาหารว่างและเครื่องดื่ม เวลา 15.00 น. - วันที่ 7 กันยายน 2566 รับประทานอาหารว่างและเครื่องดื่ม เวลา 10.30 น. และ 14.30 น. - วันที่ 8 กันยายน 2566 รับประทานอาหารว่างและเครื่องดื่ม เวลา 10.30 น. การลงทะเบียนเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผลงานวิชาการ - วันที่ 6 กันยายน 2566 สามารถลงทะเบียนได้ ณ ห้องประชุม Lobby ตั้งแต่เวลา 09.00 – 16.00 น. วันศุกร์ที่ 8 กันยายน ๒๕๖6 กิจกรรม/รายละเอียด ๐9.๐๐ - ๐๙.3๐ น. การอภิปรายเรื่อง“การขับเคลื่อนงานสาธารณสุขทางทะเล จังหวัดตราด” ณ ห้องประชุมจอมทอง 1 โดย นายแพทย์ธนะวัฒน์ วงศ์ผัน นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดตราด นายแพทย์สุชาติ ตันตินิรามัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลตราด นายแพทย์ภาณุวัฒน์ โสภณเลิศพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเกาะช้าง ผู้ดำเนินการอภิปราย นายแพทย์สราวุฒิ บุญฤทธิ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลคลองใหญ่ 09.30 – 09.50 น. ชมวิดีทัศน์ผลงาน EMS ดีเด่น เขตสุขภาพที่ 6 (รางวัลชนะเลิศอันดับ 1) ระดับ รพศ./รพท. และ รพช. 09.50 - 10.50 น. การอภิปรายเรื่อง “ EMS best Practice” ณ ห้องประชุมจอมทอง 1 โดย นายแพทย์นำพล แดนพิพัฒน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมุทรปราการ นายแพทย์สุกิจ บรรจงกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลโรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีระยอง แพทย์หญิงอุไร ศิลปกิจโกศล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพนมสารคาม นายแพทย์สุกฤษฏิ์ เลิศสกุลธรรม ผู้อำนวยการโรงพยาบาลโคกสูง ผู้ดำเนินการอภิปราย นายแพทย์สุเมธ เถาหมอ รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร โรงพยาบาลตราด 10.50 - 11.00 น. - พิธีมอบรางวัลการประกวดผลงาน EMS ดีเด่น เขตสุขภาพที่ 6 ระดับ รพศ./รพท. และ รพช. - พิธีมอบรางวัลประกาศเกียรติคุณผลงานรางวัลที่ 1 - 3 ประเภท Oral และ Poster presentation โดย นายแพทย์สุเทพ เพชรมาก ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 11.00 - 12.00 น. - บรรยายเรื่อง “การขับเคลื่อนระบบสุขภาพ เขตสุขภาพที่ 6” ณ ห้องประชุมจอมทอง 1 โดย นายแพทย์สุเทพ เพชรมาก ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 - พิธีปิดการประชุมวิชาการ “สาธารณสุขทางทะเลและดิจิทัลเพื่อสุขภาพ" โดย นายแพทย์สุเทพ เพชรมาก ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 12.00 น. รับประทานอาหารกลางวัน เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ 3


รายชื่อวิทยากรบรรยาย การประชุมวิชาการสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ.2566 “สาธารณสุขทางทะเลและดิจิทัลเพื่อสุขภาพ" ล าดับ ชื่อ – สกุล วิทยากร ต าแหน่ง หัวข้อบรรยาย 1 นายแพทย์โสภณ เมฆธน โทร. 08-1925-0612 กรรมการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข การขับเคลื่อนนโยบาย Digital เพื่อ สุขภาพ (6 กันยายน 2566) 2 นายแพทย์อัจฉริยะ แพงมา โทร. 08-5483-1669 เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ การแพทย์ฉุกเฉินทางอากาศในเขต สุขภาพที่ 6(7 กันยายน 2566) 3 นายแพทย์อภิชาติ รอดสม โทร. 08-1998-8620 รองเลขาธิการส านักงานหลักประกันสุขภาพ แห่งชาติ สุขภาพดีวิถีบูรพา (7 กันยายน 2566) 4 นายแพทย์อภิรัต กตัญญุตานนท์ โทร. 08-9799-6772 นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดชลบุรี 5 นายแพทย์อภิรักษ์ พิศุทธ์อาภรณ์ โทร. 06-2429-7000 นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดจันทบุรี 6 ผู้ด าเนินการอภิปราย นายแพทย์กสิวัฒน์ ศรีประดิษฐ์ โทร. 08-1862-8589 นายแพทย์เชี่ยวชาญ(ด้านเวชกรรมป้องกัน) ส านักงานสาธารณสุขจังหวัดฉะเชิงเทรา 7 นายแพทย์ธนะวัฒน์ วงศ์ผัน โทร. 08-1883-7150 นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดตราด การขับเคลื่อนงานสาธารณสุข ทางทะเล จังหวัดตราด 8 นายแพทย์สุชาติ ตันตินิรามัย (8 กันยายน 2566) โทร. 08-1576-7693 ผู้อ านวยการโรงพยาบาลตราด 9 นายแพทย์ภาณุวัฒน์ โสภณเลิศพงศ์ โทร. 06-2879-2891 ผู้อ านวยการโรงพยาบาลเกาะช้าง 10 ผู้ด าเนินการอภิปราย นายแพทย์สราวุฒิ บุญฤทธิ์ โทร. 09-5951-5141 ผู้อ านวยการโรงพยาบาลคลองใหญ่ 11 นายแพทย์น าพล แดนพิพัฒน์ โทร. 06-4946-5919 ผู้อ านวยการโรงพยาบาลสมุทรปราการ EMS best Practice 12 นายแพทย์สุกิจ บรรจงกิจ โทร. 08-1982-6227 ผู้อ านวยการโรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ระยอง (8 กันยายน 2566) 13 แพทย์หญิงอุไร ศิลปกิจโกศล โทร. 08-1861-3979 ผู้อ านวยการโรงพยาบาลพนมสารคาม 14 นายแพทย์สุกฤษฏิ์ เลิศสกุลธรรม โทร. 09-5760-8777 ผู้อ านวยการโรงพยาบาลโคกสูง 15 ผู้ด าเนินการอภิปราย นายแพทย์สุเมธ เถาหมอ โทร. 08-1340-0462 รองผู้อ านวยการฝ่ายบริหาร โรงพยาบาล ตราด 16 นายแพทย์สุเทพ เพชรมาก ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 การขับเคลื่อนระบบสุขภาพ (8 กันยายน 2566) 4


รายชื่อกรรมการวิพากษ์และผู้ประสานจังหวัดตราด No ชื่อ –สกุล/ No.ห้องพัก รร.อัยยะปุระ ต าแหน่ง หน่วยงาน หัวข้อ ห้องน าเสนอ ผู้ประสาน 1 นางสาวกรรณิกา อ าพนธ์ โทร. 06-1549-8226 พยาบาลวิชาชีพ เชี่ยวชาญ โรงพยาบาลพระปกเกล้า จังหวัดจันทบุรี Oral R2R ห้องประชุม Lobby นส.นิสาลักษณ์ ศิริมงคลกิจ โทร.08-1644- 0778 2 นางนันทยา ประคองสาย โทร. 08-8205-5162 เภสัชกร (เชี่ยวชาญ) โรงพยาบาลพระปกเกล้า จังหวัดจันทบุรี 3 นายแพทย์อนิรุต วรวาท โทร. 09-7959-9247 คุณกรรณิกา ประสานให้ นายแพทย์ ช านาญการ กลุ่มงานนิติเวช. โรงพยาบาลพระปกเกล้า จังหวัดจันทบุรี Oral Best Practice ห้องประชุม จอมทอง 2 นางศรีวรรณ สังวราภรณ์ โทร.08-1996- 4 นายแพทย์พาณุพงศ์ วัฒนะเลิศรังสี 7622 โทร. 08-4294-6545 นายแพทย์ ช านาญการ โรงพยาบาลพระปกเกล้า จังหวัดจันทบุรี 5 นายแพทย์พีรพัชร รัตนสุนทร โทร. 08-3032-4750 นายแพทย์ ช านาญการพิเศษ โรงพยาบาลตราด จังหวัดตราด Oral Innovation ห้องประชุม จอมทอง 1 น.ส.กัณหา โภคสมบัติ โทร.08-1922- 6540 6 เภสัชกรกฤษณ์สรวมชีพ โทร. 08-1000-1767 เภสัชกรช านาญ การ โรงพยาบาลตราด จังหวัดตราด 7 นางศิริพร ฤทธิสร โทร. 08-3837-9991 เภสัชกร เชี่ยวชาญ หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลระยอง จังหวัด ระยอง Poster R2R ห้องประชุม ระเบียงทะเล เล็ก นางกัญญา เชื้อเงิน โทร. 08-9748- 8 ดร.นิ่มนวล. ชูยิ่งสกุลทิพย์โทร. 2853 โทร. 08-7058-0712 พยาบาล ปฏิบัติการ พยาบาลขั้นสูง หัวหน้าหอผู้ป่วยโรคหลอด เลือดสมอง. โรงพยาบาล ระยอง จังหวัดระยอง 9 นายแพทย์สุทธิพงษ์ อิทธิพร โทร. 08-9402-9802 นายแพทย์ ช านาญการพิเศษ ด้านเวชกรรม กลุ่มงานกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลพุทธโสธร จังหวัดฉะเชิงเทรา Poster Best Practice ห้องประชุม ระเบียงทะเล ใหญ่ 1 นายจิรยุทธ์ ประสิทธินาวา โทร. 08-1683- 10 นางจิราภรณ์ฉลานุวัฒน์ 9072 โทร. 08-1844-5668 หัวหน้าพยาบาล (พยาบาลวิชาชีพ เชี่ยวชาญ) โรงพยาบาลพุทธโสธร จังหวัดฉะเชิงเทรา 11 พญ ทัศนีย์จินตกานนท์ โทร. 08-9748-4809 นายแพทย์ เชี่ยวชาญ โรงพยาบาลตราด จังหวัดตราด Poster Innovation ห้องประชุม ระเบียงทะเล ใหญ่ 2 น.ส.โสมาพัฒน์ นิรันต์พานิช โทร. 06-4151- 9266 12 นพ. ภาสกร กุลรัตน์ โทร.08-1717-5163 นายแพทย์ ช านาญการ โรงพยาบาลตราด จังหวัดตราด 5


สรุปจ านวนการลงทะเบียนนสมัครเข้าร่วมประกวดผลงานวิชาการเขตสุขภาพที่ 6 ประจ าปีงบประมาณ 2566 “สาธารณสุขทางทะเล และ Digital เพื่อสุขภาพ” ระหว่างวันที่ 6 - 8 กันยายน 2566 ณ โรงแรมอัยยะปุระรีสอร์ท แอนด์ สปา อ.เกาะช้าง จังหวัดตราด จังหวัด Oral presentation Poster presentation รวมทั้งหมด R2R Best Practice นวัตกรรม รวม R2R Best Practice นวัตกรรม รวม ตราด 1 2 2 5 1 1 1 3 8 จันทบุรี 1 1 1 3 1 1 1 3 6 ระยอง 5 1 0 6 1 4 0 5 11 ชลบุรี 2 3 2 7 3 1 2 6 13 ฉะเชิงเทรา 1 1 1 3 1 1 1 3 6 สระแก้ว 2 2 2 6 2 1 1 4 10 ปราจีนบุรี 1 1 1 3 1 1 1 3 6 สมุทรปราการ 1 1 1 3 1 1 1 3 6 รวมทั้งหมด 14 12 10 36 11 11 8 30 66 6


รายชื่อผู้น าเสนอผลงานวิชาการ การประชุมวิชาการสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 “สาธารณสุขทางทะเลและดิจิทัลเพื่อสุขภาพ" ล าดับ จังหวัด ค า น าหน้า ชื่อ - สกุล ผู้สมัคร ต าแหน่ง สถานที่ ท างาน เบอร์โทร ติดต่อ ประเภทประกวดผลงาน วิชาการ ระบุ ชื่อผลงานเรื่อง `รหัส code 1 จันทบุรี นางสาว มลิวัลย์ ประสาทไชยพร พยาบาลวิชาชีพ ช านาญการ รพ.แหลมสิงห์ 0863549526 ประกวดผลงานวิชาการน าเสนอ โดยวาจา (Oral presentation) R2R การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพ ของหญิงตั้งครรภ์โรงพยาบาลแหลมสิงห์ จังหวัด จันทบุรี OR - 01 2 ฉะเชิงเทรา นาย นายนภันต์พุทธคุณ นิมมานนันทน เภสัชกรช านาญ การ โรงพยาบาล ท่าตะเกียบ 0615855406 ประกวดผลงานวิชาการน าเสนอ โดยวาจา (Oral presentation) R2R การเข้าถึงยาจ าเป็นในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคเกาต์ ที่มีอัลลีล HLA-B*58:01 เป็นบวก(positive result) โรงพยาบาลท่าตะเกียบ จังหวัดฉะเชิงเทรา OR - 02 3 ชลบุรี นาย ปรัชญา พัชรวรกุลชัย เภสัชกรช านาญ การ โรงพยาบาล บางละมุง 0815473639 ประกวดผลงานวิชาการน าเสนอ โดยวาจา (Oral presentation) R2R การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดซื้อยา โรงพยาบาลบาง ละมุง ตามแนวคิดการวัดก าลังความสามารถจัดหา เวชภัณฑ์ยาจากข้อมูลการจัดซื้อยา (Pharmaceutical Acquisition Capability; PAC) OR - 03 4 ชลบุรี นาง ศุลักษณ์ สุนทรส เภสัชกรช านาญ การ รพ.ชลบุรี 0969793554 ประกวดผลงานวิชาการน าเสนอ โดยวาจา (Oral presentation) R2R การพัฒนาระบบการจัดการเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ ด้านการควบคุมก ากับดูแลการใช้ยาและส่งเสริมการ ใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผล โรงพยาบาลชลบุรี OR - 04 5 ตราด นาง ปรางค์ภัสสร จันทร์ทองภักดี นักวิชาการ สาธารณสุข ช านาญการ กลุ่มงาน ประกันฯ สสจ.ตราด 0641106125 ประกวดผลงานวิชาการน าเสนอ โดยวาจา (Oral presentation) R2R การศึกษาผลกระทบจากการใช้บริการสุขภาพของ แรงงานต่างด้าวของโรงพยาบาลรัฐในจังหวัดตราด OR - 05 6 ปราจีนบุรี นางสาว ชนิตา กิตติวีราพัชร์ พยาบาลวิชาชีพ ช านาญการ โรงพยาบาล เจ้าพระยา อภัยภูเบศร 0909194599 ประกวดผลงานวิชาการน าเสนอ โดยวาจา (Oral presentation) R2R ประสิทธิผลของโปรแกรมการมีส่วนร่วมของ ครอบครัวร่วมกับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากตัวแบบ ต่อการใช้ยาฝังคุมก าเนิดในมารดาวัยรุ่นหลังคลอด OR - 06 7


รายชื่อผู้น าเสนอผลงานวิชาการ การประชุมวิชาการสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 “สาธารณสุขทางทะเลและดิจิทัลเพื่อสุขภาพ" ล าดับ จังหวัด ค า น าหน้า ชื่อ - สกุล ผู้สมัคร ต าแหน่ง สถานที่ ท างาน เบอร์โทร ติดต่อ ประเภทประกวดผลงาน วิชาการ ระบุ ชื่อผลงานเรื่อง `รหัส code 7 ระยอง นาย ปรพงศ์ เพชรอินทร์ เภสัชกรช านาญ การ กลุ่มงานเภสัช กรรม โรงพยาบาล ระยอง 0853340454 ประกวดผลงานวิชาการน าเสนอ โดยวาจา (Oral presentation) R2R การใช้สื่อวีดิทัศน์ให้ค าแนะน าเพื่อเฝ้าระวังอาการ แพ้ยาชนิดรุนแรงในผู้ป่วยได้รับยาที่ต้องติดตาม อย่างใกล้ชิด OR - 07 8 ระยอง นาย วรเมธ จีนฉิ้ม โรงพยาบาล บ้านค่าย ประกวดผลงานวิชาการน าเสนอ โดยวาจา (Oral presentation) R2R การศึกษาผลการใช้น้ ามันกัญชาร่วมกับ Morphine ในผู้ป่วย Palliative Care OR - 08 9 ระยอง นางสาว เนาวรัตน์ ศรีสวัสดิ์ นายแพทย์ช านาญ การพิเศษ โรงพยาบาล ระยอง ประกวดผลงานวิชาการน าเสนอ โดยวาจา (Oral presentation) R2R สถานการณ์ความชุกภาวะโลหิต จางและปัจจัยที่ เกี่ยวข้องกับ ภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก ของเด็กอายุ 6-12 เดือน ที่คลินิกสุขภาพเด็กดี เครือข่าย บริการสุขภาพโรงพยาบาลระยอง ปี 2564-2565 OR - 09 10 ระยอง นาง สุภาวดีโกมลกาญจนกุล นักวิชาการ สาธารณสุข ช านาญการ ส านักงาน สาธารณสุข จังหวัดระยอง 0946414954 ประกวดผลงานวิชาการน าเสนอ โดยวาจา (Oral presentation) R2R ปัจจัยที่มีผลต่อความส าเร็จในการพัฒนาองค์กรตาม เกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐของ หน่วยงานสาธารณสุข OR - 10 11 ระยอง นางสาว กรรณิการ์ พินิจ พยาบาลวิชาชีพ ช านาญการ โรงพยาบาล ระยอง ประกวดผลงานวิชาการน าเสนอ โดยวาจา (Oral presentation) R2R ประสิทธิผลของรูปแบบการป้องกันการพลัดตกหก ล้มของผู้สูงอายุ โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีแรงจูงใจ ในการดูแลสุขภาพ ชมรมผู้สูงอายุจังหวัดระยอง OR - 11 12 สมุทรปราการ นางสาว รักษฎาภรณ์ โมกขะเวส นักกายภาพบ าบัด ช านาญการ โรงพยาบาล บางบ่อ 0890279995 ประกวดผลงานวิชาการน าเสนอ โดยวาจา (Oral presentation) R2R การพัฒนาโปรแกรมฟื้นฟูสมรรถภาพปอด ใน ผู้ต้องขังหายป่วยด้วยโควิด 19 เรือนจ ากลาง จังหวัดสมุทรปราการ OR - 12 8


รายชื่อผู้น าเสนอผลงานวิชาการ การประชุมวิชาการสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 “สาธารณสุขทางทะเลและดิจิทัลเพื่อสุขภาพ" ล าดับ จังหวัด ค า น าหน้า ชื่อ - สกุล ผู้สมัคร ต าแหน่ง สถานที่ ท างาน เบอร์โทร ติดต่อ ประเภทประกวดผลงาน วิชาการ ระบุ ชื่อผลงานเรื่อง `รหัส code 13 สระแก้ว นางสาว ดวงใจ พิชัยบัณฑิตกุล พยาบาลวิชาชีพ ปฏิบัติการ โรงพยาบาล สมเด็จพระ ยุพราช สระแก้ว 0861102976 ประกวดผลงานวิชาการน าเสนอ โดยวาจา (Oral presentation) R2R ผลของโปรแกรมการสอนต่อความรู้และพฤติกรรม การดูแลของผู้ดูแลผู้ป่วยเด็กโรคธาลัสซีเมีย โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว OR - 13 14 สระแก้ว นางสาว ปรางทิพย์ ค าสิงห์ พยาบาลวิชาชีพ ช านาญการ โรงพยาบาล สมเด็จพระ ยุพราช สระแก้ว 0862295609 ประกวดผลงานวิชาการน าเสนอ โดยวาจา (Oral presentation) R2R ผลของการใช้โปรแกรมการวางแผนจ าหน่ายต่อ ความแตกฉานด้านสุขภาพของผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้น เรื้อรังในหอ ผู้ป่วยอายุรกรรมชาย โรงพยาบาล สมเด็จพระยุพราชสระแก้ว OR - 14 15 จันทบุรี นาย พรมมินทร์ ไกรยสินธ์ นายแพทย์ช านาญ การ รพ.ขลุง 0909055243 ประกวดผลงานวิชาการน าเสนอ โดยวาจา (Oral presentation) Best Practice การพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยในที่บ้าน (Home ward) เครือข่าย คปสอ.ขลุง จ.จันทบุรี OB - 01 16 ฉะเชิงเทรา นาง อาภรณ์ ยิ้มเนียม พยาบาลวิชาชีพ ช านาญการ โรงพยาบาล บางน้ าเปรี้ยว 0884902535 ประกวดผลงานวิชาการน าเสนอ โดยวาจา (Oral presentation) Best Practice การลดการปนเปื้อนเชื้อ Coaglulase Negative Staphylococci จากการเพาะเชื้อจากเลือดใน โรงพยาบาลบางน้ าเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา OB - 02 17 ชลบุรี นาง เนตรนภา ศรีสุริยจันทร์ พยาบาลวิชาชีพ ช านาญการ โรงพยาบาล บางละมุง 0832426959 ประกวดผลงานวิชาการน าเสนอ โดยวาจา (Oral presentation) Best Practice พัฒนาระบบการดูแลฟื้นฟูสภาพผู้ป่วยระยะกลาง แบบองค์รวมโดยทีมสหวิชาชีพโรงพยาบาลบางละมุง OB - 03 18 ชลบุรี นาง สุพรรณีวิชกูล พยาบาลวิชาชีพ ช านาญการ ศสม.เมือง ชลบุรี 0871460211 ประกวดผลงานวิชาการน าเสนอ โดยวาจา (Oral presentation) Best Practice การพยาบาลผู้ป่วยวัณโรคปอดในทัณฑสถานหญิง ชลบุรี OB - 04 19 ชลบุรี นางสาว จิตชานันทน์ อภิญชญาภัฏฐ์ เภสัชกรช านาญ การ รพ.ชลบุรี 0948246649 ประกวดผลงานวิชาการน าเสนอ โดยวาจา (Oral presentation) Best Practice ประสิทธิภาพและความปลอดภัยของการใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศด้านสุขภาพในระบบกระจาย ยาผู้ป่วยใน โรงพยาบาลชลบุรี OB - 05 9


รายชื่อผู้น าเสนอผลงานวิชาการ การประชุมวิชาการสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 “สาธารณสุขทางทะเลและดิจิทัลเพื่อสุขภาพ" ล าดับ จังหวัด ค า น าหน้า ชื่อ - สกุล ผู้สมัคร ต าแหน่ง สถานที่ ท างาน เบอร์โทร ติดต่อ ประเภทประกวดผลงาน วิชาการ ระบุ ชื่อผลงานเรื่อง `รหัส code 20 ตราด นาง สุรีย์พร โตสติ พยาบาลวิชาชีพ ช านาญการ โรงพยาบาล บ่อไร่ จ.ตราด 0909920659 ประกวดผลงานวิชาการน าเสนอ โดยวาจา (Oral presentation) Best Practice แนวทางการส่งต่อผู้ป่วยบ่อไร่-ส ารูด OB - 06 21 ตราด นาย เสฏฐวุฒิ ทองเพ็ชร์ นายแพทย์ช านาญ การ โรงพยาบาล ตราด 0805845352 ประกวดผลงานวิชาการน าเสนอ โดยวาจา (Oral presentation) Best Practice กรณีศึกษาเปรียบเทียบการผ่าตัดและการให้การ ดูแลรักษาผู้ป่วยภาวะหลอดเลือดสมองโป่งพองแตก OB - 07 22 ปราจีนบุรี นาย โสภณ เกตุส าโรง นักวิชาการ สาธารณสุข ช านาญการ ส านักงาน สาธารณสุข อ าเภอศรีมหา โพธิ 0898398560 ประกวดผลงานวิชาการน าเสนอ โดยวาจา (Oral presentation) Best Practice การป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID19) ภายใต้กลไกพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอ าเภอ อ าเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี OB - 08 23 ระยอง นางสาว ณัฐกุล รุจิวงศ์ นักวิชาการ สาธารณสุข ช านาญการ ส านักงาน สาธารณสุข อ าเภอวัง จันทร์ จังหวัด ระยอง ประกวดผลงานวิชาการน าเสนอ โดยวาจา (Oral presentation) Best Practice รูปแบบการดูแลผู้สูงอายุแบบองค์รวม 5G Model อ าเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง OB - 09 24 สมุทรปราการ นางสาว พันธิพา พันธนู นายแพทย์ช านาญ การ โรงพยาบาล บางจาก 0836661945 ประกวดผลงานวิชาการน าเสนอ โดยวาจา (Oral presentation) Best Practice พัฒนาระบบบริการปฐมภูมิดูแลรักษาผู้ป่วยติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่บ้านและในชุมชน ด้วยการส่งต่อผ่านระบบ HI CUP อ าเภอพระ ประแดง จังหวัดสมุทรปราการ OB - 10 25 สระแก้ว นางสาว พรรณีราชรักษ์ เภสัชกรช านาญ การ โรงพยาบาล สมเด็จพระ ยุพราช สระแก้ว 0899392900 ประกวดผลงานวิชาการน าเสนอ โดยวาจา (Oral presentation) Best Practice ก า รเทียบป ร ะส าน ร ายก า ร ย า (medication reconciliation) ช่วยลดความคลาดเคลื่อน ทางยา คลินิกโรคไตเรื้อรัง (CKD clinic) OB - 11 10


รายชื่อผู้น าเสนอผลงานวิชาการ การประชุมวิชาการสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 “สาธารณสุขทางทะเลและดิจิทัลเพื่อสุขภาพ" ล าดับ จังหวัด ค า น าหน้า ชื่อ - สกุล ผู้สมัคร ต าแหน่ง สถานที่ ท างาน เบอร์โทร ติดต่อ ประเภทประกวดผลงาน วิชาการ ระบุ ชื่อผลงานเรื่อง `รหัส code 26 สระแก้ว นาง นุษรา เทียมศิริ พยาบาลวิชาชีพ ช านาญการ รพ.วังน้ าเย็น 0655530442 ประกวดผลงานวิชาการน าเสนอ โดยวาจา (Oral presentation) Best Practice การพัฒนากระบวนการค้นหาน าส่งผู้ติดสารเสพติด สู่สถานฟื้นฟูสมรรถภาพ OB - 12 27 จันทบุรี นาย พิทักษ์พงษ์ เพียเพ็งต้น นักวิชาการ สาธารณสุข ช านาญการ รพ.เขาสุกิม 0819497923 ประกวดผลงานวิชาการน าเสนอ โดยวาจา (Oral presentation) นวัตกรรม ระบบความพร้อมรถพยาบาล ระบบส่งต่อและ เชื่อมโยงเครือข่ายแบบรวมศูนย์ iAmbulance OI - 01 28 ชลบุรี นางสาว ปริยากร แก้วบุบผา พยาบาลวิชาชีพ ช านาญการ โรงพยาบาล วัดญาณสังวรา ราม 0896023187 ประกวดผลงานวิชาการน าเสนอ โดยวาจา (Oral presentation) นวัตกรรม นวัตกรรม FLAX tigger tool for HAI เพื่อเฝ้าระวัง การติดเชื้อในโรงพยาบาลวัดญาณสังวราราม OI - 02 29 ชลบุรี นาง สุภาภรณ์ นิลเทศ พยาบาลวิชาชีพ ช านาญการ โรงพยาบาล วัดญาณสังวรา ราม 0819458272 ประกวดผลงานวิชาการน าเสนอ โดยวาจา (Oral presentation) นวัตกรรม กระติกวัคซีนมหัศจรรย์ OI - 03 30 ตราด นาย สมบัติ เหลืองโสมนภา พยาบาลวิชาชีพ ช านาญการ รพ.สต.บ้าน ทับทิสยาม 01 0955320720 ประกวดผลงานวิชาการน าเสนอ โดยวาจา (Oral presentation) นวัตกรรม พชอDigital OI - 04 31 ตราด นางสาว อภิญญารัชต์ ศรีเบญจรัตน์ พยาบาลวิชาชีพ ช านาญการ โรงพยาบบ่อไร่ 0802366297 ประกวดผลงานวิชาการน าเสนอ โดยวาจา (Oral presentation) นวัตกรรม ปฏิทินสิ้น Exp. OI - 05 32 ปราจีนบุรี นางสาว ปาณิกา พรมภักดิ์ พยาบาลวิชาชีพ ช านาญการ โรงพยาบาล เจ้าพระยา อภัยภูเบศร 0921394715 ประกวดผลงานวิชาการน าเสนอ โดยวาจา (Oral presentation) นวัตกรรม การศึกษาประสิทธิผลของครีมบัวบกอภัยภูเบศรที่มี ต่อการหายของแผลที่เท้าในผู้ป่วยเบาหวาน แผนก ศัลยกรรมโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร OI - 06 33 สมุทรปราการ นางสาว นงลักษณ์ มาวัชระ พยาบาลวิชาชีพ ช านาญการ โรงพยาบาล บางพลี 0959353390 ประกวดผลงานวิชาการน าเสนอ โดยวาจา (Oral presentation) นวัตกรรม แผ่นแปะเสริมใยรัก แก้ไขหัวนมสั้นในมารดาหลัง คลอด OI - 07 11


รายชื่อผู้น าเสนอผลงานวิชาการ การประชุมวิชาการสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 “สาธารณสุขทางทะเลและดิจิทัลเพื่อสุขภาพ" ล าดับ จังหวัด ค า น าหน้า ชื่อ - สกุล ผู้สมัคร ต าแหน่ง สถานที่ ท างาน เบอร์โทร ติดต่อ ประเภทประกวดผลงาน วิชาการ ระบุ ชื่อผลงานเรื่อง `รหัส code 34 สระแก้ว นางสาว นางสาวสายชล บุญรักษ์ พยาบาลวิชาชีพ ช านาญการ โรงพยาบาล สมเด็จพระ ยุพราช สระแก้ว 0942429650 ประกวดผลงานวิชาการน าเสนอ โดยวาจา (Oral presentation) นวัตกรรม การพัฒนาระบบการจองเตียงไอซียู โรงพยาบาล สมเด็จพระยุพราชสระแก้ว OI - 08 35 สระแก้ว นาย ทรงพล เพียเพ็งต้น เจ้าพนักงาน สาธารณสุขอาวุโส ส านักงาน สาธารณสุข จังหวัด สระแก้ว 0909529741 ประกวดผลงานวิชาการน าเสนอ โดยวาจา (Oral presentation) นวัตกรรม Plan-D: ซอฟท์แวร์ ERP บริหารงานหน่วยงาน ภาครัฐ OI - 09 36 ฉะเชิงเทรา นางสาว วรวีย โกศล พยาบาลวิชาชีพ ช านาญการ โรงพยาบาล พนมสารคาม ประกวดผลงานวิชาการน าเสนอ โดยวาจา (Oral presentation) นวัตกรรม สแกนไว เขาใจงาย ไมกลัวผาตัด OI - 10 37 จันทบุรี นาย อนุสร วุฒิกิจ พยาบาลวิชาชีพ ช านาญการ โรงพยาบาล แหลมสิงห์ อ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี ประกวดผลงานวิชาการโดย โปสเตอร์ (Poster presentation) R2R การพัฒนารูปแบบการเข้าถึงระบบบริการทางด่วน ส าหรับกลุ่มเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาล แหลมสิงห์จังหวัดจันทบุรี Development of Fast Track Service System model for Stroke risk group at Laemsing Hospital , Chanthaburi Province PR - 01 38 ฉะเชิงเทรา นางสาว เทวิกา นิลวงษ์ นักวิชาการ สาธารณสุข ปฏิบัติการ โรงพยาบาล ส่งเสริม สุขภาพต าบล โยธะกา 0621862545 ประกวดผลงานวิชาการโดย โปสเตอร์ (Poster presentation) R2R การพัฒนากระบวนการตรวจคัดกรองพัฒนาการเด็ก ปฐมวัยโดยการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย ของ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลโยธะกา PR - 02 12


รายชื่อผู้น าเสนอผลงานวิชาการ การประชุมวิชาการสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 “สาธารณสุขทางทะเลและดิจิทัลเพื่อสุขภาพ" ล าดับ จังหวัด ค า น าหน้า ชื่อ - สกุล ผู้สมัคร ต าแหน่ง สถานที่ ท างาน เบอร์โทร ติดต่อ ประเภทประกวดผลงาน วิชาการ ระบุ ชื่อผลงานเรื่อง `รหัส code 39 ชลบุรี นาย ธนัท ติกปัญญาวุฒิ นักกายภาพบ าบัด ช านาญการ โรงพยาบาล แหลมฉบัง 0830575228 ประกวดผลงานวิชาการโดย โปสเตอร์ (Poster presentation) R2R ผลทันทีของการติดเทปคิเนซิโอที่มีต่ออาการปวด เข่าจณะเดินในผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อม Acute Effect of Kinesio Taping on Knee Pain During Walking in Osteoarthritis PR - 03 40 ชลบุรี นางสาว มัทนา ศิริโชคปรีชา พยาบาลวิชาชีพ ช านาญการ โรงพยาบาล บ้านบึง 0942641569 ประกวดผลงานวิชาการโดย โปสเตอร์ (Poster presentation) R2R ประสิทธิผลของการพัฒนาคุณภาพระบบการส่งต่อ ผู้ป่วยฉุกเฉินโรงพยาบาลบ้านบึง PR - 04 41 ชลบุรี นางสาว สุคนธ์ทิพย์ กุลประยงค์ พยาบาลวิชาชีพ ช านาญการ โรงพยาบาล บ้านบึง 0962942635 ประกวดผลงานวิชาการโดย โปสเตอร์ (Poster presentation) R2R การพัฒนาแนวทางปฏิบัติการพยาบาลวิสัญญีในการ ดูแลผู้ป่วยผ่าตัดมะเร็งล าไส้และทวารหนักด้วย ERAS Protocol โรงพยาบาลบ้านบึง PR - 05 42 ตราด นางสาว นางสาวณัฏฐกุล หนูจักร พยาบาลวิชาชีพ ช านาญการ โรงพยาบาล ตราด 0813643314 ประกวดผลงานวิชาการโดย โปสเตอร์ (Poster presentation) R2R การพัฒนาโปรแกรมสร้างความรู้และความสามารถใน การปฏิบัติการพยาบาลของพยาบาลวิชาชีพจบใหม่ โดยใช้ทฤษฏีการเรียนรู้แบบผู้ใหญ่ โรงพยาบาลตราด PR - 06 43 ปราจีนบุรี นางสาว อรุณวรรณ วงษ์เดิม พยาบาลวิชาชีพ ช านาญการ โรงพยาบาล เจ้าพระยา อภัยภูเบศร 0971539294 ประกวดผลงานวิชาการโดย โปสเตอร์ (Poster presentation) R2R ผลของโปรแกรมการเตรียมความพร้อมของ ผู้รับบริการรายใหม่ต่อการเตรียมตัวก่อนการส่อง กล้องหลอดลม PR - 07 44 ระยอง นาง พรเพ็ญ จงอนุรักษ์ พยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาล บ้านฉาง ประกวดผลงานวิชาการโดย โปสเตอร์ (Poster presentation) R2R การประเมินความเสี่ยงทางการยศาสตร์ในการท างาน คอมพิวเตอร์ ของบุคลากรโรงพยาบาลบ้านฉาง PR - 08 45 สมุทรปราการ นางสาว ระวี แช่มชื่น พยาบาลวิชาชีพ ช านาญการ โรงพยาบาล สมุทรปราการ 0635491519 ประกวดผลงานวิชาการโดย โปสเตอร์ (Poster presentation) R2R ปัจจัยที่มีผลต่อการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในผู้ป่วย คาสายสวนปัสสาวะในโรงพยาบาลสมุทรปราการ PR - 09 13


รายชื่อผู้น าเสนอผลงานวิชาการ การประชุมวิชาการสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 “สาธารณสุขทางทะเลและดิจิทัลเพื่อสุขภาพ" ล าดับ จังหวัด ค า น าหน้า ชื่อ - สกุล ผู้สมัคร ต าแหน่ง สถานที่ ท างาน เบอร์โทร ติดต่อ ประเภทประกวดผลงาน วิชาการ ระบุ ชื่อผลงานเรื่อง `รหัส code 46 สระแก้ว นางสาว ฐิติมา สุระพันธ์ พยาบาลวิชาชีพ ช านาญการ โรงพยาบาล สมเด็จพระ ยุพราช สระแก้ว 0650250351 ประกวดผลงานวิชาการโดย โปสเตอร์ (Poster presentation) R2R ผลของการวางแผนการจ าหน่ายโดยการประยุกต์ใช้ แนวคิดของก าเย่ต่อคว าม รู้ในก า รปฏิบัติตั ว เพื่อป้องกันการกลับมารักษาซ้ าในผู้ป่วยโรค เลือดออกทางเดินอาหารส่วนต้นที่มีสาเหตุมาจาก พฤติกรรมการรับประทานยาต้านการอักเสบที่ ไม่ใช่สเตียรอยด์ PR - 10 47 สระแก้ว นางสาว กนกอร ชัยพันธ์ แพทย์แผนไทย โรงพยาบาล วังน้ าเย็น 0923173308 ประกวดผลงานวิชาการโดย โปสเตอร์ (Poster presentation) R2R การศึกษาประสิทธิผลของยาทาสมุนไพรสูตรเย็นใน กลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการปวดในต าบลวังน้ าเย็น PR - 11 48 จันทบุรี นางสาว พนิดา บุญล้อม นักวิชาการ สาธารณสุข ปฏิบัติการ รพ. พระปกเกล้า 0989459532 ประกวดผลงานวิชาการโดย โปสเตอร์ (Poster presentation) Best Practice การสอบสวนการระบาดของโรคไข้เลือดออกค่าย ทหารแห่งหนึ่ง ต าบลวัดใหม่ อ าเภอเมือง จังหวัด จันทบุรี ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 PB - 01 49 ฉะเชิงเทรา นางสาว รุ่งอรุณ จันทรา พยาบาลวิชาชีพ ช านาญการ โรงพยาบาล ท่าตะเกียบ จ.ฉะเชิงเทรา 0803265955 ประกวดผลงานวิชาการโดย โปสเตอร์ (Poster presentation) Best Practice ผลของการพัฒนารูปแบบการคัดกรองมะเร็งล าไส้ ใหญ่และล าไส้ตรง อ าเภอท่าตะเกียบ จังหวัด ฉะเชิงเทรา PB - 02 50 ชลบุรี นางสาว สมศรี ซื่อต่อวงศ์ พยาบาลวิชาชีพ ช านาญการพิเศษ รพ.ชลบุรี 0868150861 ประกวดผลงานวิชาการโดย โปสเตอร์ (Poster presentation) Best Practice ผลของการพัฒนางาน 4 ด้าน เพื่อป้องกันการเกิด ปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ PB - 03 51 ตราด นาย เสฏฐวุฒิ ทองเพ็ชร์ นายแพทย์ช านาญ การ โรงพยาบาล ตราด 0805845352 ประกวดผลงานวิชาการโดย โปสเตอร์ (Poster presentation) Best Practice กรณีศึกษาเปรียบเทียบการผ่าตัดด้วยวิธี anterior cervical discectomy and fusion versus laminoplasty in acute traumatic central cord syndrome PB - 04 14


รายชื่อผู้น าเสนอผลงานวิชาการ การประชุมวิชาการสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 “สาธารณสุขทางทะเลและดิจิทัลเพื่อสุขภาพ" ล าดับ จังหวัด ค า น าหน้า ชื่อ - สกุล ผู้สมัคร ต าแหน่ง สถานที่ ท างาน เบอร์โทร ติดต่อ ประเภทประกวดผลงาน วิชาการ ระบุ ชื่อผลงานเรื่อง `รหัส code 52 ปราจีนบุรี นางสาว พฤกษา อินทประเสริฐ นักวิชาการ สาธารณสุข ส านักงาน สาธารณสุข อ าเภอศรีมหา โพธิ 0981097999 ประกวดผลงานวิชาการโดย โปสเตอร์ (Poster presentation) Best Practice การพัฒนาระบบการเตรียมความพร้อมของผู้ป่วยจิต เวชและยาเสพติดรุนแรงกลับสู่ชุมชน เฝ้าระวังการ ก าเริบซ้ า อ าเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี PB - 05 53 ระยอง นางสาว รัตติกาล สุวรรณโชติ นักวิชาการ สาธารณสุข ปฏิบัติการ โรงพยาบาล บ้านฉาง ประกวดผลงานวิชาการโดย โปสเตอร์ (Poster presentation) Best Practice การเฝ้าระวังการสัมผัสสารตะกั่วในเด็กปฐมวัย เขต พื้นที่อ าเภอบ้านฉาง (Surveillance of Lead exposure in early childhood Banchang District) PB - 06 54 ระยอง นาย วิทยา เข็มสว่าง นักวิชาการ สาธารณสุข โรงพยาบาล วังจันทร์ ประกวดผลงานวิชาการโดย โปสเตอร์ (Poster presentation) Best Practice Mobile geriatric clinic อ าเภอวังจันทร์จังหวัด ระยอง PB - 07 55 ระยอง นาง สมลักษณ์ ทองสุข พยาบาลวิชาชีพ ช านาญการพิเศษ โรงพยาบาล บ้านฉาง ประกวดผลงานวิชาการโดย โปสเตอร์ (Poster presentation) Best Practice best Practice การดูแลผู้ป่วยประคับประคอง PB - 08 56 ระยอง นางสาว สุนิสาย วัฒนะบุตร นักวิชาการ สาธารณสุข ปฏิบัติการ โรงพยาบาล ระยอง ประกวดผลงานวิชาการโดย โปสเตอร์ (Poster presentation) Best Practice ต าบลต้นแบบมหัศจรรย์ 1,000 วัน Plus สู่ 2,500 วัน PB - 09 57 สมุทรปราการ นาง วิไล วงศ์แกล้ว พยาบาลวิชาชีพ ช านาญการ หอผู้ป่วย พิเศษ VIP ร.พ. สมุทรปราการ 0959517080 ประกวดผลงานวิชาการโดย โปสเตอร์ (Poster presentation) Best Practice ผลของแนวปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบ ประคับประคอง PB - 10 15


รายชื่อผู้น าเสนอผลงานวิชาการ การประชุมวิชาการสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 “สาธารณสุขทางทะเลและดิจิทัลเพื่อสุขภาพ" ล าดับ จังหวัด ค า น าหน้า ชื่อ - สกุล ผู้สมัคร ต าแหน่ง สถานที่ ท างาน เบอร์โทร ติดต่อ ประเภทประกวดผลงาน วิชาการ ระบุ ชื่อผลงานเรื่อง `รหัส code 58 สระแก้ว นาย ธนะศักดิ์ กาวีวน เภสัชกร ปฏิบัติการ โรงพยาบาล สมเด็จพระ ยุพราช สระแก้ว 0951956495 ประกวดผลงานวิชาการโดย โปสเตอร์ (Poster presentation) Best Practice การเปรียบเทียบการเกิดความเคลื่อนในการจ่ายยา continue ชนิดยาเม็ดระหว่างการจัดยาด้วยเครื่อง จัดยาอัตโนมัติและการจัดยาด้วยคน PB - 11 59 จันทบุรี นางสาว อังคณา ขวัญพันธุ์งาม พยาบาลวิชาชีพ ช านาญการ รพ. พระปกเกล้า 0806252148 ประกวดผลงานวิชาการโดย โปสเตอร์ (Poster presentation) นวัตกรรม ลดขั้นตอนการเฝ้าระวังการติดเชื้อด้วย IT PI - 01 60 ฉะเชิงเทรา นาง ภัทราภรณ์ จุ้ยเจริญ พยาบาลวิชาชีพ ช านาญการ โรงพยาบาล บางคล้า 0639419551 ประกวดผลงานวิชาการโดย โปสเตอร์ (Poster presentation) นวัตกรรม วงล๊อก วงล้อวัคซีน PI - 02 61 ชลบุรี นางสาว กุลธิดา ตรีเมฆ นักกายภาพบ าบัด ปฏิบัติการ โรงพยาบาล พานทอง 0846638387 ประกวดผลงานวิชาการโดย โปสเตอร์ (Poster presentation) นวัตกรรม บัตรนัดสอนได้ยุคโควิด-19 PI - 03 62 ชลบุรี นาง พิสมัย มั่นคง พยาบาลวิชาชีพ ช านาญการ รพ.ชลบุรี 0858126446 ประกวดผลงานวิชาการโดย โปสเตอร์ (Poster presentation) นวัตกรรม เครื่องเตือนสารละลายสวนล้างกระเพาะปัสสาวะ แบบต่อเนื่อง (Sound alarm sensor) ในผู้ป่วย หลังผ่าตัดต่อมลูกหมากทางท่อปัสสาวะ PI - 04 63 ตราด นางสาว วราพรรณ ดาวลอย พยาบาลวิชาชีพ ช านาญการ หน่วยบริการ ปฐมภูมิศูนย์ สุขภาพชุมชน เมือง โรงพยาบาล ตราด สาขา วัดไผ่ล้อม 0917852514 ประกวดผลงานวิชาการโดย โปสเตอร์ (Poster presentation) นวัตกรรม ใกล้หมอใกล้ใจด้วยไผ่ล้อมดิจิทัล PI - 05 16


รายชื่อผู้น าเสนอผลงานวิชาการ การประชุมวิชาการสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 “สาธารณสุขทางทะเลและดิจิทัลเพื่อสุขภาพ" ล าดับ จังหวัด ค า น าหน้า ชื่อ - สกุล ผู้สมัคร ต าแหน่ง สถานที่ ท างาน เบอร์โทร ติดต่อ ประเภทประกวดผลงาน วิชาการ ระบุ ชื่อผลงานเรื่อง `รหัส code 64 ปราจีนบุรี นาง สุภาภรณ์ วงษ์นิกร พยาบาลวิชาชีพ ช านาญการ โรงพยาบาล เจ้าพระยา อภัยภูเบศร 0909194599 ประกวดผลงานวิชาการโดย โปสเตอร์ (Poster presentation) นวัตกรรม ประสิทธิผลของการรักษาแผลด้วย Negative Pressure Wound Therapy (NPWT) และ ไบโอ นาโนเซลลูโลสเคลือบด้วยโลหะเงินนาโนสีฟ้า PI - 06 65 สมุทรปราการ นาง วันเพ็ญ เพชรรักษ์ พยาบาลวิชาชีพ ช านาญการ โรงพยาบาล สมุทรปราการ 0865696311 ประกวดผลงานวิชาการโดย โปสเตอร์ (Poster presentation) นวัตกรรม ประสิทธิผลของการเตรียมมารดาในระยะเปลี่ยน ผ่านรูปแบบแอพพลิเคชั่นไลน์ต่อพฤติกรรมการดูแล ตนเองและบุตรหลังคลอด มารดาครรภ์แรก โรงพยาบาลสมุทรปราการ PI - 07 66 สระแก้ว นาย นายชนวัฒน์ น้อยถนอม นักกายภาพบ าบัด โรงพยาบาล วังน้ าเย็น 0968209595 ประกวดผลงานวิชาการโดย โปสเตอร์ (Poster presentation) นวัตกรรม Grip Stronger PI - 08 17


ประกวดผลงานวิชาการนำเสนอโดย วาจา (Oral presentation) R2R (OR – 01 ถึง 14) 18


การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์โรงพยาบาลแหลมสิงห์จังหวัดจันทบุรี The Development of Model of Health Promoting Behaviors for Pregnancy at Laemsing Hospital, Chantaburi Province มลิวัลย์ ประสาทไชยพร1 *,จินตนา ใจมั่น2 และชัชชญา สร้อยเพชร3 โรงพยาบาลแหลมสิงห์อ าเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี นางสาวมลิวัลย์ ประสาทไชยพร ผู้น าเสนอผลงาน บทคัดย่อ ปัญหาอนามัยแม่และเด็กเป็นปัญหาที่ส าคัญ คือการเสียชีวิตของมารดาและทารกยังไม่ลดลงซึ่งมาจาก สาเหตุหญิงตั้งครรภ์มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ในทุกระยะของการตั้งครรภ์ จึงจ าเป็นต้องส่งเสริม ให้หญิงตั้งครรภ์มีความรู้และพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้องเพื่อลดภาวะแทรกซ้อน การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิง ปฏิบัติการที่ใช้แนวคิดของสติงเกอร์ วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพหญิงตั้งครรภ์ และเปรียบเทียบคะแนนความรู้และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของหญิงตั้งครรภ์ก่อนและหลังการเข้าร่วม กิจกรรมรูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพหญิงตั้งครรภ์ ผู้เข้าร่วมวิจัยเป็น หญิงไทยตั้งครรภ์ อายุครรภ์ ไม่เกิน 28 สัปดาห์ ที่มาฝากครรภ์โรงพยาบาลแหลมสิงห์ จ านวน 30 คน เลือกตัวอย่างแบบเจาะจง ขั้นตอนในการวิจัย ประกอบไปด้วย 3 ระยะได้แก่ 1) การพินิจพิเคราะห์สภาพปัญหา 2) การออกแบบรูปแบบ 3) การทดสอบรูปแบบ ในการน ารูปแบบไปใช้และการประเมินผลของรูปแบบ เครื่องมือที่ใช้เป็น แนวค าถามสนทนากลุ่ม ประเด็นการ ประชุมทีมวิจัย กิจกรรมของรูปแบบ วัสดุอุปกรณ์ในการจัดกิจกรรม แบบสอบถามความรู้และพฤติกรรมที่ผ่านการ ตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิจ านวน 3 ท่าน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา สถิติเชิงพรรณนา และ Wilcoxon Signed Rank test และ Paired t-test ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพ ของหญิงตั้งครรภ์ รูปแบบ P3M ซึ่งประกอบไปด้วย 1) P(Process) คือกระบวนการในการเตรียมการในการ ด าเนินงาน 2) M(Method) คือวิธีการในการสร้างรูปแบบและกิจกรรมในรูปแบบ 3) M(Material) คือวัสดุอุปกรณ์ และ M(Man) คือคนที่เกี่ยวข้องในการพัฒนารูปแบบ เมื่อน ากิจกรรมในรูปแบบไปใช้พบว่า คะแนนความรู้ และ พฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองรวม พฤติกรรมด้านความรับผิดชอบต่อสุขภาพ ด้านโภชนาการ ด้านกิจกรรมทาง กาย ด้านการจัดการกับความเครียด ด้านการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ของหญิงตั้งครรภ์หลังการเข้าร่วมกิจกรรม เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ p-value < 0.001 ผลที่ได้จากการวิจัยควรน ารูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรม สุขภาพหญิงตั้งครรภ์ รูปแบบ P3M ไปใช้ในการด าเนินงานในหน่วยงานและและพื้นที่อื่นที่มีลักษณะทางประชากร คล้ายคลึง ค าส าคัญ: รูปแบบ, การส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพ, หญิงตั้งครรภ์ 19


การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์โรงพยาบาลแหลมสิงห์จังหวัดจันทบุรี The Development of Model of Health Promoting Behaviors for Pregnancy at Laemsing Hospital, Chantaburi Province ความส าคัญของปัญหา ปัจจุบันมีการให้บริการฝากครรภ์ที่ครอบคลุม และมีแหล่งข้อมูลข่าวสารทางสุขภาพ ที่เอื้อต่อหญิงตั้งครรภ์ จ านวนมาก แต่การเกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ยังเกิดขึ้นค่อนข้างสูง หากหญิงตั้งครรภ์มีความรู้ทาง สุขภาพในระดับต่ า จะมีความเชื่อและพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่เหมาะสมซึ่งจะส่งผลต่อคุณภาพชีวิต และ ความสามารถในการจัดการตนเอง สถานการณ์ปัจจุบันปัญหาอนามัยแม่และเด็กเป็นปัญหาที่ส าคัญจากแผนพัฒนา สุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 12 พ.ศ.2560-2564 พบว่า มีอัตราการตายของมารดาและทารก อัตราการคลอดมีชีพใน หญิงอายุ 15-19 ปี และหญิงตั้งครรภ์ได้รับการดูแลก่อนคลอดครบ 5 ครั้งตามเกณฑ์ต่ ากว่าค่าเป้าหมาย ใน โรงพยาบาลแหลมสิงห์ปี2561-2563 ไม่พบอัตราการตายของมารดาที่ตั้งครรภ์ แต่พบอัตราการคลอดมีชีพในหญิง อายุ 15-19 ปี เกินจากค่าเป้าหมาย คือ 30.60, 39.85 และ 43.34 ต่อพันประชากรหญิงอายุ 15-19 ปี และพบว่า หญิงตั้งครรภ์ได้รับการดูแลก่อนคลอดครบ 5 ครั้งตามเกณฑ์ต่ ากว่าค่าเป้าหมาย คือร้อยละ 39.92, 43.75 และ 42 ตามล าดับ การฝากครรภ์จะท าให้ การดูแลรักษาเพื่อป้องกันความผิดปกติและลดโอกาสเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อน ระหว่างตั้งครรภ์ตั้งแต่ระยะเริ่มแรกได้ ดังนั้นหญิงตั้งครรภ์ต้องมีความรู้และพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้อง โดยใช้หลัก ส่งเสริมสุขภาพตามแนวคิดของเพนเดอร์ ประกอบด้วย 6 ด้าน คือ ความรับผิดชอบต่อสุขภาพ กิจกรรมทางกาย โภชนาการ สัมพันธภาพระหว่างบุคคล การจัดการกับความเครียด และการพัฒนาทางจิตวิญญาณ อย่างไรก็ตาม การที่หญิงตั้งครรภ์และทารกในครรภ์จะมีสุขภาพดี สมบูรณ์ แข็งแรง ขึ้นอยู่กับหญิงตั้งครรภ์เป็นบุคคลส าคัญที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีพฤติกรรมดูแลสุขภาพตนเองที่ถูกต้อง ด ารงไว้ซึ่งภาวะสุขภาพช่วยเพิ่มศักยภาพของบุคคล ส่งเสริมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ดังนั้นการส่งเสริมสุขภาพในระยะตั้งครรภ์ จึงมีความส าคัญที่จะช่วยลดภาวะเสี่ยงและ ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น แก่หญิงตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาเรื่องการพัฒนา รูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์โรงพยาบาลแหลมสิงห์จังหวัดจันทบุรี เพื่อเป็นรูปแบบ ส าหรับให้หญิงตั้งครรภ์น าไปใช้ในการดูแลสุขภาพตนเองให้เหมาะสมถูกต้อง วัตถุประสงค์1. เพื่อพัฒนารูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรมดูแลสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์อ าเภอแหลมสิงห์ จันทบุรี 2. เพื่อเปรียบเทียบคะแนนความรู้และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของหญิงตั้งครรภ์ก่อนและ หลังการเข้าร่วมกิจกรรมรูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรมดูแลสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์ วิธีการศึกษา วิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action research) 20


การก าหนดตัวอย่าง 1.กลุ่มหญิงตั้งครรภ์ค านวนขนาดตัวอย่าง โดย สตรีตั้งครรภ์ที่มารับบริการฝากครรภ์ที่เข้าร่วม กิจกรรมในรูปแบบการส่งเสริมสุขภาพ ใช้สูตรของโคเฮน(1988) โดยก าหนดค่า effect size = 0.60 ค่า power = 0.70 ค่า α = 0.05 ได้ขนาดตัวอย่างจ านวน 30 คน 2. เจ้าหน้าที่แผนกฝากครรภ์เลือกแบบเจาะจงเป็นผู้ที่ปฏิบัติงานใน โรงพยาบาลแหลมสิงห์ 5 คน 3. เภสัชกรเลือกแบบเจาะจงเป็นผู้ที่ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง 1 คน 4. โภชนากรเลือกแบบเจาะจงเป็นผู้ที่ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง 1 คน โดยก าหนดคุณสมบัติเกณฑ์คัดเข้า เป็นหญิงไทยตั้งครรภ์ อายุครรภ์ ไม่เกิน 28 สัปดาห์ มีสติสัมปชัญญะดี อ่าน – ออก เขียนได้ ไม่มีโรคแทรกซ้อนหรือโรคประจ าตัวใดๆระหว่าตั้งครรภ์ สมัครใจเข้าร่วมโครงการวิจัย และ ก าหนดเกณฑ์คัดออกคือไม่สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ วิธีการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง เลือกตัวอย่างแบบเจาะจง การวิเคราะห์ข้อมูล ข้อมูลเชิงคุณภาพ วิเคราะห์โดยใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา Content Analysis ข้อมูลเชิงปริมาณ ข้อมูล ส่วนบุคคลวิเคราะห์โดยใช้จ านวนและร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การเปรียบเทียบความรู้ก่อนและ หลังวิเคราะห์โดย ใช้ Wilcoxon Signed Ranks Test และพฤติกรรมวิเคราะห์โดยใช้ Paired t-test ผลการศึกษา ผลการวิจัยพบว่ารูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์พัฒนารูปแบบโดยใช้รูปแบบ P3M ในการด าเนินงานในหน่วยงาน ท าให้คะแนนความรู้ และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพภาพรวม พฤติกรรมด้าน ความรับผิดชอบต่อสุขภาพ ด้านโภชนาการ ด้านกิจกรรมทางกาย ด้านการจัดการกับความเครียด ด้านการมี ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ของหญิงตั้งครรภ์หลังการเข้าร่วมกิจกรรมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ p-value < 0.001 อภิปรายผลการศึกษา จากการศึกษาการพัฒนารูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์โรงพยาบาลแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรีสามารถอภิปรายผลตามสมมติฐานการวิจัย ดังนี้ 1.ผลการศึกษาพบว่าคะแนนความรู้ในการปฏิบัติตนขณะตั้งครรภ์ของหญิงตั้งครรภ์โรงพยาบาลแหลมสิงห์ หลังการเข้าร่วมกิจกรรมดีกว่าก่อนการเข้าร่วมกิจกรรม อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01(p-value<0.001) สอดคล้องกับการศึกษา แว่นใจ นาคะสุวรรณ และคณะ ศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพการดูแลตนเองต่อ ความรู้และพฤติกรรมการดูแลตนเองและพฤติกรรมความเครียดของสตรีตั้งครรภ์วัยรุ่นครรภ์แรก พบว่าคะแนน ความรู้การดูแลตนเองในสตรีตั้งครรภ์วัยรุ่นครรภ์แรกในระยะตั้งครรภ์หลังการใช้โปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพ มี คะแนนความรู้การดูแลตนเองสูงขึ้นกว่าก่อนทดลอง อธิบายได้ว่าการมีคะแนนความรู้การดูแลตนเองที่เพิ่มขึ้น เนื่องจาก การมีกิจกรรมสร้างเสริมความรู้ด้านต่างๆ สามารถให้ความรู้ได้ตรงตามความต้องการและสามารถน าไป 21


ปรับใช้ในการดูแลตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับการศึกษาของ ดวงหทัย เกตุทอง ศึกษาการใช้ โปรแกรมเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพแก่หญิงตั้งครรภ์ที่มารับบริการที่คลินิกพัฒนารูปแบบและนวัตกรรมบริการ สุขภาพสตรี สถาบันพัฒนาสุขภาพเขตเมือง พบว่า คะแนนความรอบรู้ด้านสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์หลังได้รับการ เสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพสูงกว่าก่อนได้รับการเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพแก่หญิงตั้งครรภ์ 2.ผลการศึกษาพบว่าคะแนนพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองขณะตั้งครรภ์ของหญิงตั้งครรภ์โรงพยาบาล แหลมสิงห์หลังการเข้าร่วมกิจกรรมดีกว่าก่อนการเข้าร่วมกิจกรรม อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01(pvalue<0.001) สอดคล้อง กับการศึกษาของ สุจิรัตน์ สมณาศักดิ์ ศึกษาการส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเองของ หญิงวัยรุ่นตั้งครรภ์แรกโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพศูนย์อนามัยที่ 10 เชียงใหม่ พบว่าคะแนนพฤติกรรมการดูแล ตนเองของหญิงวัยรุ่นตั้งครรภ์แรกหลังเข้าร่วมกิจกรรมสูงกว่าก่อนเข้าร่วมกิจกรรมทุกด้าน หญิงตั้งครรภ์วัยรุ่นได้ พัฒนาความรู้ ความเข้าใจ เจตคติที่ดี สามารถน าความรู้กลับไปใช้ได้จริง และมีส่วนร่วมในการพัฒนาความสามารถ ในการดูแลตจนเองส่งผลให้หญิงวัยรุ่นตั้งครรภ์ได้อย่างปลอดภัย ไม่มีภาวะแทรกซ้อน และสอดคล้องกับการศึกษา แว่นใจ นาคะสุวรรณ และคณะ และกรุณา ประมูลสินทรัพย์ ศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพการดูแล ตนเองต่อความรู้และพฤติกรรมการดูแลตนเองและพฤติกรรมความเครียดของสตรีตั้งครรภ์วัยรุ่นครรภ์แรก พบว่า คะแนนพฤติกรรมการปฏิบัติดูแลตนเองของสตรีตั้งครรภ์วัยรุ่นครรภ์แรกในระยะตั้งครรภ์หลังการใช้โปรแกรมการ ส่งเสริมสุขภาพ มีคะแนนพฤติกรรมการปฏิบัติตัวดูแลตนเองโดยรวมสูงขึ้นกว่าก่อน และสอดคล้องกับทฤษฎีของ Pender กล่าวว่าการรับรู้ประโยชน์ของการปฏิบัติพฤติกรรมนั้นมีอิทธิพลต่อการปฏิบัติพฤติกรรมสร้างเสริม สุขภาพถึงร้อยละ 61 ซึ่งการรับรู้ประโยชน์ของการปฏิบัติพฤติกรรมนี้เป็นความเชื่อของบุคคล โดยคาดหวัง ประโยชน์ที่จะได้รับ ภายหลังการปฏิบัติพฤติกรรมสุขภาพ การรับรู้ประโยชน์จากการปฏิบัติพฤติกรรมเป็นแรงเสริม ท าให้บุคคลเกิดแรงจูงใจในการปฏิบัติพฤติกรรมนั้น บุคคลจะปฏิบัติพฤติกรรมตามประสบการณ์ในอดีตที่พบว่า พฤติกรรมนั้น ให้ผลทางบวกต่อตนเอง สรุปและข้อเสนอแนะ 1.พยาบาลฝากครรภ์ ควรประเมินความรู้และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองขณะตั้งครรภ์อย่าง ครอบคลุม ซึ่งควรเริ่มทันทีเมื่อหญิงตั้งครรภ์มาฝากครรภ์ เพื่อน าข้อมูลไปวางแผนในการให้ความรู้และค าแนะน าที่ เหมาะสม แก่หญิงตั้งครรภ์ที่มาฝากครรภ์ตั้งแต่ระยะแรกจนถึงระยะคลอด 2.ควรมีการติดตามและประเมินผลหญิงตั้งครรภ์ที่ได้รับค าแนะน าในการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพขณะ ตั้งครรภ์อย่างสม่ าเสมอต่อเนื่อง เพื่อวางแผนในการส่งเสริมพฤติกรรมให้ถูกต้องเหมาะสมและสอดคล้องกับความ ต้องการของแต่ละบุคคล และควรมีการประสานงานกับอาสาสมัครในชุมชนเพื่อติดตามเยี่ยมและส่งต่อในรายที่มี ภาวะเสี่ยงหรือภาวะแทรกซ้อน การน าผลงานไปใช้ประโยชน์อ้างอิง น ารูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพหญิงตั้งครรภ์ รูปแบบ P3M ไปใช้ในการด าเนินงานในหน่วยงาน และและพื้นที่อื่นที่มีลักษณะทางประชากรคล้ายคลึง 22


การเข้าถึงยาจำเป็นในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคเกาต์ที่มีอัลลีล HLA-B*58:01 เป็นบวก (positive result) โรงพยาบาลท่าตะเกียบ จังหวัดฉะเชิงเทรา Access to Essential Medication for the Management of Gout Patients with a Positive HLA-B*58:01 Allele at Tha Takiap Hospital, Chachoengsao Province, Thailand นภันต์พุทธคุณ นิมมานนันทน์, ภ.บ. โรงพยาบาลท่าตะเกียบ จังหวัดฉะเชิงเทรา บทคัดย่อ บทนำ ยา Allopurinol เป็นยาทางเลือกแรกที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคเกาต์ แต่มีรายงานว่าผู้ที่มีอัลลีล HLA-B*58:01 จะพบความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติการณ์แพ้ยาแบบ SJS/TEN, DRESS และ MPE ได้มากกว่าผู้ที่ ไม่มีอัลลีลถึง 579, 430 และ 144 เท่า ตามลำดับ ทั้งนี้ในอำเภอท่าตะเกียบพบความชุกของผู้ที่มีอัลลีลดังกล่าว คิดเป็นร้อยละ 12.50 ดังนั้น ผู้ป่วยในกลุ่มนี้ จึงควรเข้าถึงยาทางเลือกในการรักษา เช่น ยา Benzbromarone วัตถุประสงค์เพื่อทบทวนการเข้าถึงยาจำเป็นในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคเกาต์ที่มีpositive HLA-B*58:01 วิธีการศึกษา เป็นการศึกษาเชิงปฏิบัติการ ระหว่างวันที่ 11 พฤศจิกายน 2564 ถึงวันที่ 13 กรกฎาคม 2566 ผลการศึกษา PAOR ดังนี้P:Plan ปี 2564 คณะกรรมการเภสัชกรรมและการบำบัด (PTC) ประกาศนโยบาย ความปลอดภัยด้านยา โดยกำหนดให้ผู้ป่วยทุกรายต้องตรวจอัลลีล HLA-B*58:01 ก่อนเริ่มใช้ยา Allopurinol และปี 2565 อนุมัติการนำยา Benzbromarone เข้าบัญชียาโรงพยาบาลท่าตะเกียบ โดยมีเงื่อนไขการสั่งใช้ยา O:Observe ผู้ป่วยโรคเกาต์ที่มีอัลลีล HLA-B*58:01 เป็นบวก จำนวน 12 ใน 96 ราย (ร้อยละ 12.50) เป็น เพศชาย ร้อยละ 100.00 ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยสูงอายุ ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี (ร้อยละ 58.33) ซึ่งพบว่า มีผู้ป่วย จำนวน 8 ราย (ร้อยละ 66.67) ได้รับการสั่งใช้ยา Benzbromarone แต่มีผู้ป่วยเพียงจำนวน 5 ราย (ร้อยละ 62.50) ที่ได้รับการตรวจการทำงานของตับและมีค่าการทำงานของตับอยู่ในเกณฑ์ปกติระหว่าง 6 เดือนแรก ของการรักษา ผู้ป่วยจำนวน 3 ใน 5 ราย (ร้อยละ 60.00) มีระดับกรดยูริกในเลือดอยู่ในเกณฑ์เป้าหมาย และ อยู่ระหว่างการติดตามผล 3 ราย ส่วนผู้ป่วยที่เหลืออีก 4 ราย (ร้อยละ 33.33) ยังไม่ได้รับการสั่งใช้ยานี้ เนื่องจากผู้ป่วยจำนวน 1 ราย (ร้อยละ 25.00) รับประทานยาที่อาจเกิดอันตรกิริยาระหว่างกัน และผู้ป่วย จำนวน 3 ราย (ร้อยละ 75.00) อยู่ระหว่างการปรับพฤติกรรม R:Reflect ใช้ SWOT analysis สะท้อนการ ดำเนินงาน ซึ่งพบว่า จุดแข็ง คือ การให้ความร่วมมือ ส่วนจุดอ่อน คือ การปรับเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ใหม่ อภิปรายผลการศึกษา ในภาพรวม ผู้ป่วยโรคเกาต์ที่มีอัลลีล HLA-B*58:01 เป็นบวก สามารถเข้าถึงการใช้ยา Benzbromarone ได้ที่โรงพยาบาลชุมชน ร้อยละ 66.67 ผลลัพธ์ทางคลินิกดีขึ้น ร้อยละ 60.00 และได้รับการ ติดตามความปลอดภัยจากการใช้ยา ร้อยละ 62.50 สิทธิ์การรักษาครอบคลุมค่าใช้จ่ายด้านยาและ ห้องปฏิบัติการประมาณ 35,500 บาท และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปยังโรงพยาบาลประจำ จังหวัดประมาณ 4,000-12,000 บาท โดยไม่รวมถึงค่าการสูญเสียรายได้หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ข้อเสนอแนะ 1) ระดับโรงพยาบาล เพิ่มความเข้าถึงยา โดยกำหนดให้ต้องตรวจอัลลีล HLA-B*58:01 ก่อนเริ่ม ใช้ยา Allopurinol และมียาทางเลือกพร้อมใช้2) ระดับนโยบาย ผลักดันให้ราคายาที่จำเป็น มีราคาถูกลง การนำผลงานไปใช้ประโยชน์ การตรวจอัลลีล HLA-B*58:01 ก่อนเริ่มใช้ยา Allopurinol และการเพิ่มความ เข้าถึงยาแก่ผู้ป่วยที่มีข้อจำกัดเรื่องการเดินทาง เป็นสิ่งจำเป็น คำสำคัญ : HLA-B*58:01, Allopurinol, การเข้าถึงยา, Benzbromarone 23


สรุปสาระสำคัญ ชื่อเรื่อง การเข้าถึงยาจำเป็นในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคเกาต์ที่มีอัลลีล HLA-B*58:01 เป็นบวก (positive result) โรงพยาบาลท่าตะเกียบ จังหวัดฉะเชิงเทรา Access to Essential Medication for the Management of Gout Patients with a Positive HLA-B*58:01 Allele at Tha Takiap Hospital, Chachoengsao Province, Thailand ชื่อผู้วิจัย นายนภันต์พุทธคุณ นิมมานนันทน์ ภ.บ. โรงพยาบาลท่าตะเกียบ จังหวัดฉะเชิงเทรา ชื่อผู้นำเสนอผลงาน นายนภันต์พุทธคุณ นิมมานนันทน์ เภสัชกรชำนาญการ ความสำคัญของปัญหา การเข้าถึงยาและเวชภัณฑ์ที่จำเป็น เป็น 1 ใน 6 เสาหลักของระบบสุขภาพ5 ซึ่งยาที่จำเป็น หมายถึง ยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ หรือยาที่มีปัญหาขาดแคลน1 ซึ่งในที่นี้ จะกล่าวถึงเฉพาะยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ ยา Allopurinol เป็นยาที่ใช้ยับยั้งการสร้างกรดยูริก (Uricostatic agent) โดยเป็นยาทางเลือกแรกที่ใช้ในการ รักษาโรคเกาต์ แม้ว่าจะเป็นยาที่มีราคาถูก และมีประสิทธิภาพดีในการรักษา แต่มีรายงานการเกิดอุบัติการณ์ แพ้ยาดังกล่าวสูงและมีอัตราการเสียชีวิตถึงร้อยละ 11.392,4 จากฐานข้อมูลผู้ป่วยที่ได้รับการส่งตรวจอัลลีล HLA-B*58:01 โรงพยาบาลท่าตะเกียบ ประจำปี 2564-2566 พบว่า ผู้ป่วยจำนวน 12 ใน 96 ราย (ร้อยละ 12.50) มีผลตรวจเป็นบวก หรือพบอัลลีล HLA-B*58:01 ซึ่งผู้ที่มีอัลลีลดังกล่าว จะพบความเสี่ยงต่อการเกิด อุบัติการณ์แพ้ยา Allopurinol แบบ SJS/TEN, DRESS และ MPE ได้มากกว่าผู้ไม่มีอัลลีล 579, 430 และ 144 เท่า2ดังนั้น ผู้ป่วยในกลุ่มนี้ จึงควรพิจารณาเปลี่ยนไปใช้ยาเร่งการขับกรดยูริกทางไต (Uricosuric agent) ได้แก่ ยา Benzbromarone ซึ่งเป็นยาที่มีประสิทธิภาพเทียบเท่ายา Allopurinol4 และเป็นยาภายใต้กรอบ บัญชียาจังหวัดฉะเชิงเทรา อย่างไรก็ตาม ยานี้มีข้อจำกัดเรื่องราคาที่แพงกว่า Allopurinol ถึง 15 เท่า จึงต้องมี การประเมินการสั่งใช้ยา (Drug Use Evaluation : DUE) ร่วมด้วยเสมอ วัตถุประสงค์การวิจัย เพื่อทบทวนการเข้าถึงยาจำเป็นในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคเกาต์ที่มีอัลลีล HLAB*58:01 เป็นบวก (positive result) วิธีการศึกษา เป็นการศึกษาเชิงปฏิบัติการ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณและคุณภาพ วิธีวิเคราะห์เชิงเนื้อหา เก็บ ข้อมูลระหว่าง วันที่ 11 พฤศจิกายน 2564 ถึงวันที่ 13 กรกฎาคม 2566 ผลการศึกษา ดำเนินการตามวงจร PAOR ดังนี้P:Plan ปี 2564 คณะกรรมการเภสัชกรรมและการบำบัด (PTC) ประกาศนโยบายความปลอดภัยด้านยา โดยกำหนดให้ผู้ป่วยที่มีข้อบ่งใช้ยา Allopurinol ต้องเข้ารับ การตรวจอัลลีล HLA-B*58:01 ก่อนเสมอ (new user) และปี 2565 อนุมัติการนำยา Benzbromarone ซึ่ง เป็นยาในบัญชี ค. เข้าบัญชียาโรงพยาบาลท่าตะเกียบ โดยมีเงื่อนไขการสั่งใช้ยาที่คณะกรรมการ PTC กำหนด A:Act แพทย์พิจารณาสั่งใช้ยา Benzbromarone ภายใต้เงื่อนไขต่อไปนี้ 1) ผลการตรวจอัลลีล HLA-B*58:01 เป็นบวก หรือ 2) ประวัติแพ้ยา Allopurinol หรือ 3) ให้ยาต่อตามการปรับยาจาก รพ. อื่น ๆ และต้องส่งตรวจ การทำงานของตับ (Liver function test) O:Observe ผู้ป่วยโรคเกาต์ที่มีอัลลีล HLA-B*58:01 เป็นบวก จำนวน 12 ราย เป็นเพศชาย จำนวน 12 ราย (ร้อยละ 100.00) ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยสูงอายุ ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี (ร้อยละ 58.33) ซึ่งพบว่า มีผู้ป่วยจำนวน 8 ราย (ร้อยละ 66.67) ได้รับการสั่งใช้ยา Benzbromarone เนื่องจากมีผลการตรวจอัลลีล HLA-B*58:01 เป็นบวก จำนวน 7 ราย (ร้อยละ 87.50) และประวัติแพ้ยา 24


Allopurinol จำนวน 1 ราย (ร้อยละ 12.50) ผู้ป่วยจำนวน 5 ใน 8 ราย (ร้อยละ 62.50) ได้รับการตรวจการ ทำงานของตับและมีค่าการทำงานของตับอยู่ในเกณฑ์ปกติระหว่าง 6 เดือนแรกของการรักษา ผู้ป่วยจำนวน 3 ใน 5 ราย (ร้อยละ 60.00) มีระดับกรดยูริกในเลือดอยู่ในเกณฑ์เป้าหมาย (ต่ำกว่า 7 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร) และ อยู่ระหว่างการติดตามผล 3 ราย ส่วนผู้ป่วยที่เหลืออีก 4 ราย (ร้อยละ 33.33) ยังไม่ได้รับการสั่งใช้ยา Benzbromarone เนื่องจากผู้ป่วยจำนวน 1 ราย (ร้อยละ 25.00) รับประทานยา Warfarin ซึ่งอาจเกิดอันตร กิริยาระหว่างกัน และผู้ป่วยจำนวน 3 ราย (ร้อยละ 75.00) อยู่ระหว่างการควบคุมอาหารและปรับเปลี่ยน พฤติกรรม R:Reflect ใช้ SWOT analysis สะท้อนการดำเนินงาน ซึ่งพบว่า จุดแข็ง คือ การให้ความร่วมมือ ส่วนจุดอ่อน คือ การปรับเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ใหม่ เช่น แพทย์ อภิปรายผลการศึกษา ผู้ป่วยที่มีผลตรวจเป็นบวก หรือพบอัลลีล HLA-B*58:01 สามารถเข้าถึงการใช้ยา Benzbromarone ที่โรงพยาบาลชุมชน ร้อยละ 66.67 มีผลลัพธ์ทางคลินิกที่ดีขึ้น ร้อยละ 60.00 และได้รับ การติดตามความปลอดภัยจากการใช้ยา ร้อยละ 62.50 จากการดำเนินงานดังกล่าวตลอดการศึกษาในภาพรวม งบประมาณต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านยาประมาณ 5,500 บาท ต้นทุนค่าใช้จ่ายทางห้องปฏิบัติการ 30,000 บาท โดยไม่รวมถึงค่าการสูญเสียรายได้จากการต้องขาดงาน ค่าอาหาร หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ แต่สามารถช่วย ประหยัดค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยในการเดินทางไปยังโรงพยาบาลประจำจังหวัด ซึ่งอยู่ห่างไกลถึง 110 กิโลเมตร ประมาณ 4,000 บาท เมื่อเดินทางโดยรถประจำทาง หรือ 12,000 บาท เมื่อเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว ซึ่ง ค่าใช้จ่ายด้านนี้ เป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีผลต่อการเข้าถึงบริการ โดยผู้ป่วยมักจะเข้ารับบริการสุขภาพที่ โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดก่อนเสมอ3 เนื่องจากใช้เวลาเดินทางมาโรงพยาบาลชุมชน ไม่เกิน 1 ชั่วโมง และ ระยะทางเฉลี่ย 10 กิโลเมตร ข้อเสนอแนะ 1) ระดับโรงพยาบาล กำกับให้มีการสั่งตรวจอัลลีล HLA-B*58:01 ก่อนเริ่มใช้ยา Allopurinol เสมอ (new user) และนำยาทางเลือกเข้าบัญชีโรงพยาบาล เพื่อเพิ่มความเข้าถึงยาแก่ผู้ป่วย 2) ระดับนโยบาย ผลักดันให้ราคายาที่จำเป็น มีราคาถูกลง การนำผลงานไปใช้ประโยชน์ การตรวจอัลลีล HLA-B*58:01 ก่อนเริ่มใช้ยา Allopurinol และการเพิ่มความ เข้าถึงยาแก่ผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องการเดินทาง เป็นสิ่งจำเป็น คำสำคัญ : HLA-B*58:01, Allopurinol, การเข้าถึงยา, Benzbromarone บรรณานุกรม 1) กลุ่มนโยบายแห่งชาติด้านยา .(2564). นโยบายแห่งชาติด้านยาและแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบยาแห่งชาติพ.ศ. 2563-2565. สืบค้น 13 กรกฎาคม 2566, จาก https://ndi.fda.moph.go.th/uploads/policy_file//20210330101713.pdf 2) โครงการวิจัย เภสัชพันธุศาสตร์เพื่อการใช้ยาสมเหตุผลในประเทศไทย. (2564) . แนวปฏิบัติทางเภสัชกรรมคลินิกสําหรับการตรวจลักษณะพันธุกรรม HLAB*58:01เพื่อประกอบการใช้ยา allopurinol. (พิมพ์ครั้งที่ 1). กรุงเทพฯ: บริษัท กิรติธนพัฒธ์ จํากัด. สืบค้นจาก https://kuza.me/jZAvW 3) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข. การวิเคราะห์การเข้าถึงยาบัญชียาหลักแห่งชาติบัญชียา จ(2). สืบค้น 13 กรกฎาคม 2566, จาก https://www.hitap.net /documents/180275 4) สมาคมรูมาติสซั่มแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2555. (2555). แนวทางเวชปฏิบัติการดูแลรักษาโรคเกาต์(Guideline for Management of Gout). สืบค้น 13 กรกฎาคม 2566,จาก https://thairheumatology.org/index.php/learning-center/for-physician/for-physician-3?view=article&id =70:1-26&catid =16 5) สมเกียรติ วัฒนศิริชัยกุล. (2547). 6 เสาหลักของระบบสุขภาพ. สืบค้น 13 กรกฎาคม 2566, จากhttps://www.hsri.or.th/ researcher/media /issue/detail/5440 25


การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดซื้อยา โรงพยาบาลบางละมุง ตามแนวคิดการวัดกำลังความสามารถจัดหาเวชภัณฑ์ยาจากข้อมูลการจัดซื้อยา (Improving Efficiency of Pharmaceutical Purchasing at Banglamung Hospital Using The Pharmaceutical Acquisition Capability Approach) ปรัชญา พัชรวรกุลชัย กลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลบางละมุง ชลบุรี 20150 โทร 038-41-1551 ต่อ 236 E-mail: [email protected] บทคัดย่อ การจัดซื้อยาหรือเวชภัณฑ์ชนิดใดชนิดหนึ่งนั้น ขีดความสามารถในการจัดซื้อไม่ได้ขึ้นกับปริมาณใน การจัดซื้อหรือกำลังซื้อตามหลักส่วนลดปริมาณ (Quantity Discount) เท่านั้น แต่พบว่ามีปัจจัยอื่นที่ส่งผลกระทบ ต่อการเพิ่มหรือลดความสามารถในการจัดหาโดยรวมได้ ซึ่งขีดความสามารถที่เกิดจากปัจจัยอื่นๆเหนือกำลังซื้อนี้ได้ ถูกขนานนามว่า “ขีดความสามารถเสริมกำลังซื้อ หรือ PAC (Pharmaceutical Acquisition capability)” กรมบัญชีกลางได้พัฒนาระบบ “รายงานข้อมูลการจัดซื้อเวชภัณฑ์ยา” เป็นระบบสารสนเทศในการติดตามราคา และวิเคราะห์ขีดความสามารถในการจัดซื้อยาของภาครัฐตามแนวคิดของ PAC ให้หน่วยงานรัฐได้นำไปใช้ประโยชน์ ในปัจจุบันกรมบัญชีกลางได้นำข้อมูลการจัดซื้อ ปีงบประมาณ 2562 – 2564 มาวิเคราะห์ตามแนวคิดดังกล่าว การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์มูลค่าประหยัดจากการจัดซื้อยา ตามแนวคิดการวัดกำลัง ความสามารถจัดหายา จากข้อมูลการจัดซื้อยา เป็นการศึกษาแบบตัดขวาง (Cross-sectional study) รายการยาที่ นำมาศึกษาเป็นรายการยาที่ได้รับการวิเคราะห์ตามแนวคิด PAC ตามแผนจัดซื้อโรงพยาบาลบางละมุง ปีงบประมาณ 2566 และมีค่า PAC ต่ำกว่า PAC เฉลี่ย ผลการวิจัยครั้งนี้พบว่า รายการยาที่นำมาศึกษาจำนวน 52 รายการ พบว่าต่อรองสำเร็จราคาจัดซื้อไม่เกิน ราคาแนะนำจาก PAC-DSS ในปีงบประมาณ 2565 และไม่สามารถต่อรองได้เพิ่มอีกในปีงบประมาณ 2566 จำนวน 19 รายการ สามารถต่อรองเพิ่มได้อีก จำนวน 8 รายการ รายการที่สามารถต่อรองสำเร็จในปีงบประมาณ 2566 จำนวน 2 รายการ และจำนวน 5 รายการ ที่สามารถต่อรองให้ลดราคาลงได้แต่ยังสูงกว่าราคาแนะนำจาก PAC-DSS เมื่อนำข้อมูลมาเปรียบเทียบระหว่างมูลค่าที่ต่อรองได้และมูลค่าที่ต้องจัดซื้อตามแผน จำนวน 15 รายการ พบว่ามูลค่าการจัดซื้อตามแผน 11,604,538.40 บาท และหากจัดซื้อตามราคาที่ต่อรองจากแนวคิดการ วัดกำลังความสามารถจัดหาเวชภัณฑ์ยาจากข้อมูลการจัดซื้อยา มูลค่าการจัดซื้อ 9,771,148.10 บาท ทำให้ ประหยัดได้ 1,833,390.30 บาท หรือ ร้อยละ 15.80 การนำระบบ “รายงานข้อมูลการจัดซื้อเวชภัณฑ์ยา” มาใช้ในการปฏิบัติงานจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพ การจัดซื้อยาของกลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลบางละมุงได้ จากความสามารถของระบบที่สามารถสะท้อนราคา ในการจัดซื้อยาเมื่อเปรียบเทียบกับโรงพยาบาลอื่นๆ สามารถแนะนำราคาอ้างอิงที่เหมาะสมในการจัดซื้อยาใน ปริมาณต่างๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ในการใช้ประกอบการตัดสินใจในต่อรองราคากับผู้จำหน่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหากนำไปใช้ในวงกว้างจะทำให้สามารถควบคุมการกระจายราคายาและควบคุมค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อได้ คำสำคัญ: ราคาจัดซื้อยา, ขีดความสามารถเสริมกำลังซื้อ 26


ชื่อเรื่อง การเพิ่มประสิทธิภาพระบบเบิกเวชภัณฑ์ไปยังหน่วยบริการภายในกลุ่มงานเภสัชกรรม ชื่อผู้วิจัย นายปรัชญา พัชรวรกุลชัย ชื่อผู้นำเสนอ นายปรัชญา พัชรวรกุลชัย กลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลบางละมุง จังหวัดชลบุรี บทนำ: ราคาสินค้าชนิดหนึ่งๆ ที่มีจำหน่ายในท้องตลาดที่ไม่เท่ากัน ถึงแม้ว่าจะเป็นสินค้าชนิดเดียวกัน ขนาดบรรจุ เท่ากัน ชื่อการค้าเดียวกัน ซื้อจากผู้จำหน่ายรายเดียวกัน แต่หากผู้ซื้อต่างกัน ราคาที่ซื้อได้ก็อาจแตกต่างกัน เป็น สิ่งที่สามารถพบเห็นได้โดยทั่วไปในประเทศไทย สำหรับผลิตภัณฑ์ยาก็สามารถพบลักษณะดังกล่าวได้เช่นกัน การ ที่ผู้ซื้อที่ไม่มีเครื่องมือที่สามารถตรวจสอบราคาขายของสินค้าที่จำหน่ายในท้องตลาดได้ ทำให้ไม่สามารถ เปรียบเทียบราคากับผู้ซื้อรายอื่นได้ จากการพัฒนา “รายงานข้อมูลการจัดซื้อเวชภัณฑ์ยา (ระบบ PAC-DSS)” ของกรมบัญชีกลาง ซึ่งเป็นระบบสารสนเทศในการติดตามราคาและวิเคราะห์ขีดความสามารถในการจัดซื้อยาของ ภาครัฐตามแนวคิดของ PAC โดยทำงานผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ มีข้อมูลราคายา ที่โรงพยาบาลจัดซื้อ เปรียบเทียบราคายาจาก PAC ของหน่วยงานรัฐอื่นๆ แนะนำราคาเหมาะสมที่ควรจัดซื้อใน ปริมาณการจัดซื้อต่างๆ สามารถสะท้อนราคายาที่เป็นจริงในท้องตลาดได้ทางผู้วิจัยจึงมีความประสงค์ในการนำ เครื่องมือดังกล่าวมาใช้เพื่อประสิทธิภาพการจัดซื้อยา ของกลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลบางละมุง แนวคิด PAC (Pharmaceutical Acquisition Capability) ในการจัดซื้อผลิตภัณฑ์ชนิดใดชนิดหนึ่งนั้น ปริมาณในการจัดซื้อถือว่าเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้ผู้ซื้อมีอำนาจในการต่อรองจากผู้จำหน่าย ผู้ซื้อที่จัดซื้อปริมาณ สูงจะสามารถต่อรองและจัดซื้อได้ในราคาถูกว่าผู้ซื้อที่มีปริมาณน้อย ซึ่งเป็นไปตามหลักของการให้ส่วนลดปริมาณ ซึ่งเป็นที่รับทราบและยอมรับกันโดยทั่วไป แต่ในความเป็นจริงพบว่า การจัดซื้อยาชนิดเดียวกัน ชื่อการค้าเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกัน ปริมาณจัดซื้อเท่ากัน จากผู้จำหน่ายรายเดียวกัน ผู้ซื้อแต่ละรายอาจซื้อยาชนิดนั้นได้ในราคาที่ ไม่เท่ากัน แสดงว่าขีดความสามารถในการจัดซื้อยาชนิดหนึ่งๆ ไม่ได้ขึ้นกับปริมาณในการจัดซื้อหรือกำลังซื้อเพียง อย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยอื่นที่มีผลต่อราคาในการจัดซื้ออีกด้วย ซึ่ง ศริพา อุดมอักษร ให้ชื่อปัจจัยที่มีผลต่อการเพิ่ม หรือลดความสามารถในการจัดหาโดยรวม เหนือกำลังซื้อนี้ว่า “ขีดความสามารถเสริมกำลังซื้อ หรือ PAC (Pharmaceutical Acquisition capability)” ค่าดัชนี PAC คือค่าตัวเลขสัมพันธ์ที่สะท้อนขีดความสามารถในการจัดหานอกเหนือจากกำลังซื้อ หรือ ขีดความสามารถเสริมกำลังซื้อของยารายการนั้นๆของหน่วยงานที่จัดซื้อเทียบกับหน่วยงานอื่นๆ ที่จัดซื้อยารายการ ชนิดเดียวกันและที่รายงานในระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ PAC เฉลี่ย คือราคาที่ใช้อ้างอิงประกอบการจัดซื้อยาในระบบสารสนเทศในการติดตามราคาและวิเคราะห์ ขีดความสามารถในการจัดซื้อยา หากค่า PAC สูงกว่า PAC เฉลี่ย หมายถึงโรงพยาบาลมีขีดความสามารถใน การจัดซื้อยาชนิดนั้น มากกว่าค่าเฉลี่ยของโรงพยาบาลโดยรวมหรือ โรงพยาบาลสามารถซื้อยาได้ในราคาที่ถูกกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับโรงพยาบาลอื่นได้ในปริมาณที่เท่ากัน แต่หากค่า PAC ต่ำกว่า PAC เฉลี่ย หมายถึงโรงพยาบาล มีขีดความสามารถในการจัดซื้อยาชนิดนั้นน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของโรงพยาบาลโดยรวม เมื่อเปรียบเทียบการซื้อยา ในปริมาณที่เท่ากัน หรือโรงพยาบาลสามารถซื้อยาได้ในราคาสูงกว่าโรงพยาบาลอื่นๆ วัตถุประสงค์: วิเคราะห์มูลค่าประหยัด จากการจัดซื้อยา ตามแนวคิดการวัดกำลังความสามารถจัดหาเวชภัณฑ์ยา จากข้อมูลการจัดซื้อยา ปีงบประมาณ 2566 (Pharmaceutical Acquisition Capability; PAC) วิธีการศึกษา: เป็นการศึกษาแบบตัดขวาง (Cross-sectional study) มีเกณฑ์คัดเข้าร่วมคือ รายการจัดซื้อในช่วง ปีงบประมาณ 2562 ถึงปีงบประมาณ 2564 ที่ได้รับการวิเคราะห์ตามทฤษฎี PAC ในระบบ PAC-DSS และเป็น รายการตามแผนจัดซื้อยา ปีงบประมาณ 2566 เกณฑ์คัดออก คือ รายการยาตามแผนจัดซื้อจากองค์การ เภสัชกรรม ปีงบประมาณ 2566 รายการยาตามแผนจัดซื้อจากสภากาชาด ปีงบประมาณ 2566 และรายการยา 27


ตามแผนจัดซื้อจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ปีงบประมาณ 2566 วิเคราะห์มูลค่าประหยัดจากการ จัดซื้อยาตามแนวคิด PAC โดยใช้สถิติร้อยละ ผลการศึกษา: ผลรายงานการจัดซื้อยาตามชื่อสามัญทางยา โดยใช้รหัส GPU ในฐานข้อมูลยาและรหัสยามาตรฐาน ของไทย (TMT) ที่โรงพยาบาลบันทึกด้วยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP) ในระหว่างปีงบประมาณ 2562 ถึง ปีงบประมาณ 2564 ตามที่ได้รับการวิเคราะห์ตามแนวคิดการวัดกำลังความสามารถจัดหาเวชภัณฑ์ยาจากข้อมูล การจัดซื้อยา (Pharmaceutical Acquisition Capability, PAC) มีทั้งสิ้น 198 รายการ เมื่อตัดจำนวนรายการที่ ซ้ำในแต่ละปีงบประมาณ โดยคัดเลือกปีงบประมาณล่าสุดไว้มีจำนวนรายการยาทั้งสิ้น 93 รายการ (ตารางที่ 1) วิธีการจัดซื้อ (GPU) ค่า PAC จำนวนรายการ งบประมาณ เฉพาะเจาะจง e-bidding ต่ำกว่า PAC เฉลี่ย สูงกว่าPAC เฉลี่ย (GPU) 2562 2 0 2 0 2 2563 36 6 34 8 42 2564 49 0 38 11 49 รวม 87 6 74 19 93 ตารางที่ 1 รายงานการจัดซื้อยาตามชื่อสามัญทางยา ที่ได้รับวิเคราะห์ตามแนวคิด PAC หลังจากนำ “PAC ต่ำกว่า PAC เฉลี่ย” จำนวน 74 รายการ ตัดรายการต้องซื้อจากองค์กรของรัฐที่ ไม่สามารถต่อรองได้ ตัดรายการตัดออกจากกรอบปีงบ 2566 พบว่ามีรายการที่ “PAC ต่ำกว่า PAC เฉลี่ย” จำนวน 52 รายการ ผลจากการต่อรองราคาตามราคาแนะนำ PAC พบว่า สามารถต่อรองราคาได้ จำนวน 15 รายการ (ตารางที่ 2) รายละเอียด จำนวน (รายการ) ไม่สามารถต่อรองราคาได้ 17 ต่อรองสำเร็จในปีงบประมาณ 2565 แต่ราคาเพิ่มขึ้นในปีงบประมาณ 2566 1 ต่อรองราคาสำเร็จราคาไม่เกินราคาที่ PAC แนะนำในปีงบประมาณ 2565 ไม่สามารถ ต่อรองราคาอีกได้ ในปีงบประมาณ 2566 19 ต่อรองได้ราคาลดลง แต่ราคาสูงกว่าราคา PAC แนะนำ 5 ต่อรองราคาสำเร็จราคาไม่เกินราคาที่ PAC แนะนำในปีงบประมาณ 2565 และยัง สามารถต่อรองราคาอีกได้ ในปีงบประมาณ 2566 8 ต่อรองสำเร็จใน ปีงบประมาณ 2566 2 รวม 52 ตารางที่ 2 สรุปผลการต่อรองราคายาตามราคาแนะนำ PAC เมื่อนำข้อมูลราคาจากรายการที่ต่อรองได้ในปีงบประมาณ 2566 จำนวน 15 รายการ มาเปรียบเทียบ ระหว่างมูลค่าที่ต้องจัดซื้อตามแผนและมูลค่าที่ต่อรองได้พบว่ามูลค่าการจัดซื้อตามแผน 11,604,538.40 บาท และหากจัดซื้อตามราคาที่ต่อรองจากแนวคิดการวัดกำลังความสามารถจัดหาเวชภัณฑ์ยาจากข้อมูลการจัดซื้อยา มูลค่าการจัดซื้อ 9,771,148.10 บาท ทำให้ประหยัดได้ 1,833,390.30 บาท หรือ ร้อยละ 15.80 (ตารางที่ 3) 28


กลุ่มยา (National List of Essential Medicines) จำนวน มูลค่าจัดซื้อตามแผน มูลค่าหลังต่อรอง มูลค่าประหยัด รายการยา ปีงบ 2566 (บาท) (บาท) (บาท) Infections 1 378,000.00 357,000.00 21,000.00 Cardiovascular system 5 4,694,940.00 4,096,000.00 598,940.00 Malignant disease and immunosuppression 1 348,000.00 239,250.00 108,750.00 Nutrition and blood 1 402,435.00 398,370.00 4,065.00 Anesthesia 1 595,000.00 374,500.00 220,500.00 Endocrine system 2 1,209,216.00 1,076,496.00 132,720.00 Eye 1 1,707,720.00 1,292,988.00 414,732.00 Respiratory system 2 969,227.40 686,544.10 282,683.30 Immunological products and vaccines 1 1,300,000.00 1,250,000.00 50,000.00 รวม 15 11,604,538.40 9,771,148.10 1,833,390.30 ตารางที่ 3 มูลค่าที่โรงพยาบาลประหยัดได้ หากต่อรองและจัดซื้อตามราคาแนะนำ PAC อภิปรายผลการศึกษา จากผลการศึกษาพบรายการยาบางรายการยาไม่สามารถหาค่า PAC ได้ อาจเกิดจากเป็นรายการยาใหม่ที่ เข้ากรอบบัญชียาโรงพยาบาล หลังประมวลผล"รายงานข้อมูลการจัดซื้อเวชภัณฑ์ยา“(หลังปีงบประมาณ2564) หรือเป็นรายการยาที่มีหน่วยงานของรัฐบันทึกในระบบการจัดซื้อด้วยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP) น้อยกว่า 4 แห่ง เนื่องจากข้อกำหนดของ PAC approach จะสามารถคำนวณค่าต่างๆ ของยานั้นๆได้เมื่อมีจำนวนผู้ซื้อรายงาน ข้อมูลการจัดซื้อเข้าไปในระบบตั่งแต่ 4 ราย ขึ้นไป ราคาแนะนำ PAC ที่ไม่สามารถต่อรองราคาได้ มีทั้งเป็นยาที่มี ผู้จำหน่ายรายเดียว โดยบริษัทแจ้งว่าเป็นราคาจัดซื้อร่วมระดับเขตของเขตอื่น ปัจจุบันไม่มีราคานี้แล้ว และยามี ผู้จำหน่ายหลายราย ที่แจ้งว่าสถานการณ์ปัจจุบันต้นทุนสูงขึ้นทำให้ไม่สามารถจำหน่ายราคาดังกล่าวได้ซึ่งทาง ผู้วิจัยใช้ราคาต่ำสุดจากศูนย์ข้อมูลข่าวสารด้านเวชภัณฑ์ กระทรวงสาธารสุข (DMSIC) ร่วมในการพิจารณาการ ดำเนินการต่อรองราคาต่อไป สรุปและข้อเสนอแนะ : ข้อเสนอแนะต่อระบบงานจัดซื้อของโรงพยาบาล :ควรเชื่อมโยงเข้ากับโปรแกรมงานจัดซื้อ เพื่อให้สามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ได้จริง เกิดความสะดวกง่ายและรวดเร็วในการใช้งาน ข้อเสนอแนะ ต่อการจัดซื้อยาในระดับจังหวัด/ระดับเขต: ควรนำราคาแนะนำจาก PAC ในระบบ"รายงานข้อมูลการจัดซื้อ เวชภัณฑ์ยา" ไปประกอบการจัดทำราคากลาง ในการจัดทำ e-bidding ในระดับจังหวัดและระดับเขต และ ข้อเสนอแนะต่อโปรแกรมที่จัดทำโดยกรมบัญชีกลาง: ควรมีการอัพเดทฐานข้อมูลให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ โดย ฐานข้อมูลที่มีในปัจจุบัน ซึ่งราคายา ณ ปัจจุบันอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และข้อมูลที่แสดงปัจจุบันยังไม่ สามารถส่งออกข้อมูลออกจากระบบได้ ทำให้การนำไปใช้งานต้องเกิดการคัดลือกทีละรายการ การนำไปใช้ประโยชน์: จากการนำระบบ "รายงานข้อมูลการจัดซื้อเวชภัณฑ์ยา“ ทำให้โรงพยาบาลมีฐานข้อมูล สืบค้น หาราคาอ้างอิงในการจัดซื้อและสามารถวิเคราะห์ราคาที่ควรจัดซื้อในปริมาณการจัดซื้อต่างๆได้ ส่งผลเกิด การต่อรองราคากับบริษัทผู้จัดจำหน่าย ในราคาที่สมเหตุผล เอกสารอ้างอิง 1.กองระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐและราคากลาง กรมบัญชีกลาง. (2563). แจ้งการใช้งาน "รายงานข้อมูลการจัดซื้อเวชภัณฑ์ยา"ของหน่วยงานของรัฐ สำหรับบริหารจัดการและ วิเคราะห์ข้อมูลตามบัญชีรายการยา และเพื่อการกำหนดราคาอ้างอิงเวชภัณฑ์ยาในระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP). กรุงเทพมหานคร: สำนักงาน 2.Udomaksorn, S. (2005). Characterization of Discriminating-Induced Pharmaceutical Price Dispersion. Doctoral Degree Thesis, Chulalongkorn University, Bangkok. 3.รุ่งเพชร สกุลบำรุงศิลป์, นุศราพร เกษสมบูรณ์, ศิริพา อุดมอักษร, อินทิรา กาญจนพิบูลย์ และไพทิพย์ เหลืองเรืองรอง. (2555). ระบบสารสนเทศเพื่อการติดตามราคาและวิเคราะห์ ขีดความสามารถในการจัดซื้อผลิตภัณฑ์ยาของภาครัฐตามแนวคิดของ PAC. กรุงเทพมหานคร: สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข. 29


เรื่อง การพัฒนาระบบการจัดการเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพด้านการควบคุมกำกับดูแลการใช้ยาและส่งเสริมการใช้ยา ปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผล โรงพยาบาลชลบุรี บทคัดย่อ การดื้อยาต้านจุลชีพ (Antimicrobial resistance) มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีรายงานการเสียชีวิต ของผู้ป่วยจากการติดเชื้อดื้อยาสูงมากกว่าเชื้อที่ไม่ดื้อยา การจัดการเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพด้านการควบคุมกำกับดูแลการ ใช้ยาปฏิชีวนะมีกระบวนการหลักเกี่ยวข้องกับการควบคุมกำกับดูแลการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างเหมาะสม (Antimicrobial stewardship programs, ASPs) งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงประเมินผล (Evaluation Research) ด้านการพัฒนาระบบงานการจัดการเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพด้านการควบคุมกำกับดูแลการใช้ยาปฏิชีวนะและการส่งเสริม การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผลในโรงพยาบาลชลบุรี มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลการดำเนินงานพัฒนาระบบ จัดการเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพด้านการควบคุมกำกับดูแลการใช้ยาปฏิชีวนะและส่งเสริมการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผล ในโรงพยาบาล ช่วงปีพ.ศ.2561 ถึง พ.ศ.2565 ร่วมกับการวิเคราะห์หาส่วนขาดของการพัฒนาระบบงานสู่ศักยภาพที่ ยั่งยืน (Sustainable Capacity) ผลการวิจัยพบว่าการดำเนินงานอยู่ในระดับศักยภาพที่แสดงความต่อเนื่อง สม่ำเสมอ สามารถเป็นต้นแบบในการดำเนินงานได้ (Demonstrated capacity) ผลลัพธ์ข้อมูลตัวชี้วัดของการดำเนินงานมี แนวโน้มที่ดีขึ้น ได้แก่ ปริมาณการใช้ยาต้านปฏิชีวนะในหน่วย Defined Daily Dose (DDD) ผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน จากเดิมเท่ากับ 6.76 และ 77.62 ในปี พ.ศ.2560 เป็น 2.09 และ 70.17 ในปี พ.ศ.2565 อัตราการใช้ยาต้านจุลชีพ สำคัญเหมาะสมเพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 50.56 เป็น 85.92 ร้อยละความร่วมมือของระยะเวลาการใช้ยาปฏิชีวนะไม่เกิน 14 วันเพิ่มขึ้นจากเดิม 48.97 เป็น 92.94 อัตราการพบเชื้อดื้อยาในกระแสเลือดลดลงจากเดิม 49.72 เป็น 47.20 และ อัตราการเสียชีวิตจากเชื้อดื้อยาลดลงจากเดิม 44.72 เป็น 37.71 โดยยังมีประเด็นองค์ประกอบส่วนขาดที่สามารถ พัฒนาต่อไปสู่ศักยภาพระดับ Sustainable capacity เช่น การใช้ High-impact intervention เป็นมาตรการจูงใจ เพื่อให้เกิดการใช้ยาปฏิชีวนะได้อย่างเหมาะสม และเพิ่ม Target setting and monitoring โดยติดตามอัตราการสั่งใช้ ยาปฏิชีวนะครบกลุ่มโรคอย่างสม่ำเสมอ คำสำคัญ: การวิจัยเชิงประเมินผล (Evaluation Research), การดื้อยาต้านจุลชีพ (Antimicrobial resistance), การ ควบคุมกำกับดูแลการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างเหมาะสม (Antimicrobial stewardship programs, ASPs) 30


1/3 1. ชื่อเรื่อง : การพัฒนาระบบการจัดการเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพด้านการควบคุมกำกับดูแลการใช้ยาและส่งเสริมการใช้ยา ปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผล โรงพยาบาลชลบุรี 2. ผู้วิจัยหรือคณะผู้วิจัย พร้อมชื่อหน่วยงาน : ภญ.ศุลักษณ์ สุนทรส*, ภญ.เกศรินทร์ชัยศิริ*, ภญ.สุภาพร วงค์ด้วง* และ พญ.หัสญา ตันติพงศ์** กลุ่มงานเภสัชกรรม* และกลุ่มงานอายุรกรรม** โรงพยาบาลชลบุรี 3. ชื่อผู้นำเสนอผลงาน : ภญ.ศุลักษณ์ สุนทรส 4. ความสำคัญของปัญหา : การดื้อยาต้านจุลชีพ (Antimicrobial resistance) มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องใน แถบทวีปเอเซียและทั่วโลก(1-2) มีรายงานการเสียชีวิตของผู้ป่วยจากการติดเชื้อดื้อยาสูงมากกว่าเชื้อที่ไม่ดื้อยา(3-5) รายงานการดื้อยาของเชื้อแบคทีเรียในโรงพยาบาลประเทศไทย โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบอัตราเชื้อดื้อยาของประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปีผู้ป่วยติดเชื้อแบคทีเรียดื้อยาประมาณปีละ 88,000 ราย เสียชีวิตประมาณปีละ 38,000 ราย(6) การจัดการเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพด้านการควบคุมกำกับดูแลการใช้ยาปฏิชีวนะ และ ส่งเสริมการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผลในโรงพยาบาล เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับนโยบาย มาตรการ ปฏิบัติด้านการควบคุมกำกับดูแลการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างเหมาะสม (Antimicrobial stewardship programs, ASPs) โดยคาดหวังผลจากการดำเนินการช่วยส่งเสริมการดูแลรักษาผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการเกิดเชื้อดื้อยา ลด ค่าใช้จ่ายด้านยา(7-9) และลดอัตราการเสียชีวิต(10) โรงพยาบาลชลบุรีเป็นโรงพยาบาลศูนย์ระดับตติยภูมิมีการดำเนินงานจัดการเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพด้านการ ควบคุมกำกับดูแลการใช้ยาปฏิชีวนะและส่งเสริมการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผล ตั้งแต่ปี พ.ศ.2561 ถึงปัจจุบัน แต่ ยังไม่มีการประเมินผลการดำเนินการดังกล่าวอย่างเป็นระบบ เนื่องจากเป็นงานที่มีความซับซ้อนเชื่อมโยงหลายส่วน ปัจจุบันประเทศไทยมีแนวทางการประเมินศักยภาพการจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพ ด้านการควบคุมกำกับดูแลการใช้ ยาต้านจุลชีพอย่างเหมาะสม ในคู่มือการประเมินการจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพอย่างบูรณาการในโรงพยาบาล ซึ่ง ประกาศเผยแพร่โดยกรมการแพทย์ภายใต้ยุทธศาสตร์ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทย กับองค์การอนามัยโลก พ.ศ. 2565(11) ดังนั้น ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาการพัฒนาระบบจัดการเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพด้านการควบคุมกำกับดูแลการใช้ยา ปฏิชีวนะในโรงพยาบาลชลบุรี โดยทำการวิจัยเชิงประเมินผลตามหลักการในคู่มือการประเมินจัดการการดื้อยาต้านจุล ชีพอย่างบูรณาการในโรงพยาบาลดังกล่าว เพื่อประเมินผลการดำเนินการและใช้เป็นแนวทางพัฒนางานต่อไป 5. วัตถุประสงค์: เพื่อประเมินผลการพัฒนาระบบจัดการเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพด้านการควบคุมกำกับดูแลการใช้ยา ปฏิชีวนะ และการส่งเสริมการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผลในโรงพยาบาลชลบุรี 6. วิธีการศึกษา: งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงประเมินผล (Evaluation Research) ด้านการพัฒนาระบบงานการจัดการ เชื้อดื้อยาต้านจุลชีพด้านการควบคุมกำกับดูแลการใช้ยาปฏิชีวนะ และการส่งเสริมการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผลใน โรงพยาบาลชลบุรี ในช่วงปีพ.ศ.2561 ถึง พ.ศ.2565 ตามหลักการในคู่มือการประเมินจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพอย่าง บูรณาการในโรงพยาบาล(11) ซึ่งมีองค์ประกอบหลักและองค์ประกอบย่อยที่ส่งผลต่อศักยภาพการควบคุมกำกับดูแลการ ใช้ยาต้านจุลชีพอย่างเหมาะสม ร่วมกับการวิเคราะห์หาส่วนขาดของการพัฒนาระบบงานสู่ศักยภาพที่ยั่งยืน (Sustainable Capacity) โดยกำหนดตัวอย่างในการใช้ประเมินผลข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับระบบงานจากฐานข้อมูลของ โรงพยาบาล ร่วมกับนโยบาย มาตรการ กิจกรรม รายงานการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการดื้อยาต้านจุลชีพ และคณะอนุกรรมการส่งเสริมการใช้ยาสมเหตุผล โรงพยาบาลชลบุรี 31


2/3 งานวิจัยนี้ได้รับการรับรองให้ดำเนินการวิจัยได้โดยคณะกรรมการจริยธรรมวิจัยโรงพยาบาลชลบุรี เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2566 เอกสารเลขที่ 035/2566 รหัสวิจัย 46/66/T/b 7. ผลการศึกษา: การพัฒนาระบบงานการจัดการเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพด้านการควบคุมกำกับดูแลการใช้ยาปฏิชีวนะ และการส่งเสริมการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผลในโรงพยาบาลชลบุรี มีการดำเนินการแบบมุ่งแก้ไขสถานการณ์ตาม บริบทของโรงพยาบาล ร่วมกับการปรับปรุงระบบงานโดยใช้แนวทางการจัดการ AMR อย่างบูรณาการ (Integrated AMR Management: IAM) โดยมีเป้าหมายรายปีตามกระทรวงสาธารณสุข ผลลัพธ์ข้อมูลตัวชี้วัดของการดำเนินงานมี แนวโน้มที่ดีขึ้น ได้แก่ ปริมาณการใช้ยาต้านปฏิชีวนะในหน่วย Defined Daily Dose (DDD) ผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน จากเดิมเท่ากับ 6.76 และ 77.62 ในปี พ.ศ.2560 เป็น 2.09 และ 70.17 ในปี พ.ศ.2565 อัตราการใช้ยาต้านจุลชีพ สำคัญเหมาะสมเพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 50.56 เป็น 85.92 ร้อยละความร่วมมือของระยะเวลาการใช้ยาปฏิชีวนะไม่เกิน 14 วัน เดิม 48.97 เป็น 92.94 อัตราการพบเชื้อดื้อยาในกระแสเลือด เดิม 49.72 เป็น 47.20 และอัตราการเสียชีวิต จากเชื้อดื้อยาเดิม 44.72 เป็น 37.71 ผลประเมินการดำเนินการอยู่ระดับศักยภาพที่แสดงความต่อเนื่อง สม่ำเสมอ มีผล การพัฒนาเป็นที่ประจักษ์ชัด สามารถเป็นต้นแบบหรือตัวอย่างเด่นในการดำเนินงานได้ (Demonstrated capacity) ซึ่งแสดงผลข้อมูลสรุปตามองค์ประกอบ ดังนี้องค์ประกอบที่ 1: การลดใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็นในโรคที่ไม่ได้เกิด จากแบคทีเรีย 4 กลุ่มโรค ได้แก่ Upper Respiratory infection (URI), Acute Diarrhea (AD), Fresh Traumatic wound (FTW) และ Antibiotic prophylaxis in vaginal delivery of normal term labor (APL) มีองค์ประกอบ ย่อย 3 ส่วน ดังแสดงในตารางที่ 1 ตารางแสดงการประเมินผลศักยภาพของการพัฒนาในองค์ประกอบที่ 1 1.1 Guideline 1.2 Target setting and monitoring 1.3 Interventions ระดับศักยภาพ ของการพัฒนา องค์ประกอบย่อยส่วนที่ขาดของ ระดับ Sustainable capacity มีนโยบาย แนวทาง รักษาและการสั่งใช้ ยาปฏิชีวนะใน 4 กลุ่มโรค ตั้งแต่ปี 2561 ซึ่งใช้ต่อเนื่อง ถึงปี 2565 มีเป้าหมายในแต่ละปี และติดตามอัตราการ สั่งใช้ยาปฏิชีวนะใน 4 กลุ่มโรคทุกไตรมาส อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2561 ถึง 2565 มีการใช้Education & Training ซึ่งเป็น low impact intervention ในช่วงปีแรก และใช้Audit & Feedback ซึ่งเป็น moderate-impact intervention ในปีถัดมา Demonstrated capacity ในปี พ.ศ.2565 1.1 Guideline: แนวทางการสั่งใช้ ยาปฏิชีวนะที่ปรับปรุงทุกปี 1.2 Target setting and monitoring: ติดตามอัตราการใช้ ยาปฏิชีวนะครบกลุ่มโรคทุกเดือน 1.3 Interventions: moderate และ high impact intervention องค์ประกอบที่ 2: การส่งเสริมการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างเหมาะสมในโรคติดเชื้อแบคทีเรีย มีองค์ประกอบย่อย 3 ส่วน ได้แก่ Guideline, Lab Result Utilization และ Antimicrobial Stewardship (AMS) Intervention and Evaluation ดังแสดงในตารางที่ 2 : ตารางแสดงการประเมินผลศักยภาพของการพัฒนาในองค์ประกอบที่ 2 2.1 Guideline 2.2 Lab Result Utilization 2.3 AMS Intervention and Evaluation ระดับศักยภาพ ของการพัฒนา องค์ประกอบย่อยส่วนที่ขาดของ ระดับ Sustainable capacity มีแนวทางการรักษา และแนวทางการใช้ ยาในกลุ่มโรคที่สงสัย การติดเชื้อแบคทีเรีย และมีการปรับปรุง แพทย์ผู้สั่งยานำผล ความไวของเชื้อไปใช้ ตัดสินใจเลือกใช้ยา เข้าถึง Antibiogram ใช้มาตรการ AMS แบบ passive ในปีแรกรวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูล จากนั้น ใช้ Drug Use Evaluation (DUE), Pre-authorization Developed capacity ในปี พ.ศ.2565 2.2 Lab Result Utilization: ติดตามผล compliance ของ แพทย์ในการเลือกใช้ยาตามความ ไวของเชื้อทุก 3-6 เดือน 32


3/3 ให้เป็นปัจจุบันทุกปี ตั้งแต่ปี2564 และ 2565 ในรูปแบบที่เข้าถึงได้ โดยง่าย (QR code) ในปี2564-2565 & De-escalation และ Auto-stop ซึ่งเป็น semiactive intervention 2.3 AMS Intervention and Evaluation: ใช้แบบ active ร่วมกับ round ward โดยทีม AMS และประเมินผลอย่างต่อเนื่อง องค์ประกอบที่ 3: การติดตามและประเมินผลการควบคุมกำกับการใช้ยาต้านจุลชีพในภาพรวมของโรงพยาบาล องค์ประกอบย่อย 3 ส่วน ได้แก่ AMR governance, Antimicrobial Use (AMU) monitoring และ Information Technology (IT) service แสดงในตารางที่ 3: ตารางแสดงการประเมินผลศักยภาพของการพัฒนาในองค์ประกอบที่ 3 3.1 AMR governance 3.2 Antimicrobial Use monitoring 3.3 IT service ระดับศักยภาพ ของการพัฒนา องค์ประกอบย่อยส่วนที่ขาดของ ระดับ Sustainable capacity ตั้งคณะอนุกรรมการ การจัดการเชื้อดื้อยา รพ. ตั้งแต่ปี2561 มี ผลสัมฤทธิ์ของ AMS ในภาพรวมของ รพ. ชัดเจนขึ้นในปี 2563 มีการวางกลยุทธิ์เพื่อ แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ติดตามสถานการณ์ และแนวโน้มการใช้ยา ปฏิชีวนะบางรายการ และบางหอผู้ป่วยใน จากนั้นขยายการ ติดตามในภาพรวม ของ รพ. ตั้งแต่ปี 2563 มีระบบ IT ที่สนับสนุนงาน AMS แต่ต้องอาศัยการทำ Manual ดึงรายงานจาก HIS (Manual data link) ตั้งแต่ปี 2561 ถึง 2565 ยังไม่สามารถเชื่อมโยงข้อมูล ต่าง ๆ ได้อย่างเต็มรูปแบบ (Full link) Developed Capacity ในปี พ.ศ.2565 3.1 AMR governance: มีคณะทำงานในระดับกลุ่มงานย่อย 3.2 Antimicrobial Use monitoring: ติดตามยาปฏิชีวนะที่ สำคัญในทุกหอผู้ป่วยทุกไตรมาส 3.3 IT service: สนับสนุนการเชื่อม โยงข้อมูลเต็มรูปแบบ รายงานผล ตามเป้าหมาย และเข้าถึงง่าย 8. อภิปรายผลการศึกษา: การพัฒนาระบบงานการจัดการเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพด้านการควบคุมกำกับดูแลการใช้ยา ปฏิชีวนะและส่งเสริมการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผลในโรงพยาบาลชลบุรี ในช่วงปี พ.ศ.2561 ถึง พ.ศ.2565 มีการ ดำเนินการได้ถึงระดับศักยภาพ Developed Capacity ในทั้ง 3 องค์ประกอบหลัก โดยมีการพัฒนาที่โดดเด่นใน องค์ประกอบที่ 2 และยังมีประเด็นพัฒนาต่อให้อยู่ในระดับของการพัฒนาระบบงานสู่ศักยภาพที่ยั่งยืน (Sustainable Capacity) (11) เช่น การทบทวนและประกาศใช้ Guideline ยาปฏิชีวนะใน 4 กลุ่มโรคอย่างต่อเนื่องทุกปี ร่วมกับการใช้ High-impact intervention เป็นมาตรการจูงใจเพื่อให้เกิดการใช้ยาปฏิชีวนะได้อย่างเหมาะสมเพิ่มเติมในส่วนของ Target setting and monitoring ต้องเพิ่มการติดตามอัตราการสั่งใช้ยาปฏิชีวนะครบกลุ่มโรคเป็นประจำทุกเดือน 9. สรุปและข้อเสนอแนะ: การพัฒนาระบบจัดการเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพด้านการควบคุมกำกับดูแลการใช้ยาปฏิชีวนะ โรงพยาบาลชลบุรี มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 ถึง พ.ศ.2565 โดยมีกิจกรรมและกระบวนการต่าง ๆ เป็นไปตามหลักการแนวทางการประเมินศักยภาพการจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพด้านการควบคุมกำกับดูแลการใช้ยา ต้านจุลชีพอย่างเหมาะสมในคู่มือการประเมินจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพอย่างบูรณาการในโรงพยาบาลในศักยภาพ ระดับ Demonstrated capacity โดยมีประเด็นที่ต้องพัฒนาเพื่อไปสู่ศักยภาพระดับ Sustainable capacity ต่อไป 10. การนำผลงานไปใช้ประโยชน์: ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานเพื่อให้การพัฒนาระบบ การจัดการเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพด้านการควบคุมกำกับดูแลการใช้ยาและส่งเสริมการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผล โรงพยาบาลชลบุรีไปสู่ระดับศักยภาพที่ยั่งยืนต่อไป และสามารถนำไปใช้เป็นต้นแบบในการพัฒนาเครือข่ายจังหวัด ชลบุรีและเขตสุขภาพที่ 6 ภายใต้นโยบาย Service Plan ด้าน Rational Drug Use (RDU) และ Antimicrobial Resistance (AMR) ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ป่วย 33


4/3 เอกสารอ้างอิง 1. Bassetti M, Poulakou G, Ruppe E, Bouza E, Van Hal SJ, Brink A. Antimicrobial resistance in the next 30 years, humankind, bugs and drugs: a visionary approach. Intensive Care Med. 2017. 2. Kang C-I, Song J-H. Antimicrobial Resistance in Asia: Current Epidemiology and Clinical Implications. Infection & Chemotherapy. 2013;45(1):22-31. 3. Zhang Y, Chen X-L, Huang A-W, Liu S-L, Liu W-J, Zhang N, et al. Mortality attributable to carbapenem-resistant Pseudomonas aeruginosa bacteremia: a meta-analysis of cohort studies. Emerging Microbes & Infections. 2016;5(3):e27. 4. Martin A, Fahrbach K, Zhao Q, Lodise T. Association Between Carbapenem Resistance and Mortality Among Adult, Hospitalized Patients With Serious Infections Due to Enterobacteriaceae: Results of a Systematic Literature Review and Meta-analysis. Open Forum Infectious Diseases. 2018;5(7). 5. Soontaros S, Leelakanok N. Association between carbapenem-resistant Enterobacteriaceae and death: A systematic review and meta-analysis. Am J Infect Control. 2019;47(10):1200-12. 6.NARST. Antibiogram Resistance 2000-2021.(ออนไลน์). [เข้าถึงเมื่อ 20 มกราคม 2566]. เข้าถึงได้จาก http://narst.dmsc.moph.go.th 7. Haseeb A, Faidah HS, Al-Gethamy M, Iqbal MS, Barnawi AM, Elahe SS, et al. Evaluation of a Multidisciplinary Antimicrobial Stewardship Program in a Saudi Critical Care Unit: A Quasi-Experimental Study. Front Pharmacol. 2021;11. 8. McGregor JC, Furuno JP. Optimizing research methods used for the evaluation of antimicrobial stewardship programs. Clin Infect Dis. 2014;59 Suppl 3:S185-92. 9. Lee CF, Cowling BJ, Feng S, Aso H, Wu P, Fukuda K, et al. Impact of antibiotic stewardship programmes in Asia: a systematic review and meta-analysis. J Antimicrob Chemother. 2018;73(4):844- 51. 10. Wassef MAA, Sayed AM, Aziz HSA, Meligy B, Halim MMA. Implementation and Evaluation of Antimicrobial Stewardship Program in Medical ICU in Cairo University Specialized Pediatric Hospital. Open Access Macedonian Journal of Medical Sciences. 2020;8(B):716-22. 11. กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. คู่มือการประเมินการจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพอย่างบูรณาการใน โรงพยาบาล (EE-AMR Tool, Thailand). กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วนจำกัดการพิมพ์. 2565. 34


ชื่อเรื่อง : การศึกษาผลกระทบจากการใช้บริการสุขภาพของแรงงานต่างด้าวของโรงพยาบาลรัฐในจังหวัดตราด ชื่อผู้วิจัย : นางปรางค์ภัสสร จันทร์ทองภักดี ส านักงานสาธารณสุขจังหวัดตราด กลุ่มงานประกันสุขภาพ ส านักงานสาธารณสุขจังหวัดตราด โทร. 06 4110 6125 E-mail. : [email protected] ประเภทผลงาน งานวิจัย R2R บทคัดย่อ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบจากการใช้บริการสุขภาพของแรงงานต่างด้าว ของโรงพยาบาลรัฐในจังหวัดตราด และเพื่อเสนอแนะเชิงนโยบายการจัดระบบบริการสุขภาพที่เหมาะสม และป้องกันผลกระทบจากการใช้บริการสุขภาพของแรงงานต่างด้าวให้แก่โรงพยาบาลของรัฐในจังหวัดตราด โดยใช้วิธีด าเนินการวิจัยเชิงคุณภาพ ได้ศึกษาข้อมูลจากเอกสารรายงาน ข้อมูลทุติยภูมิ ได้แก่ รายงาน ผู้รับบริการผู้ป่วยประจ าวัน รายงานสถิติผู้รับบริการรายปี สรุปผลการด าเนินงานรายปีจากโปรแกรม Hos-XP ของโรงพยาบาล ระบบข้อมูลจาก Health Datacenter ของกระทรวงสาธารณสุข รายการบัญชีรับ-จ่ายและ รายงานเงินคงเหลือประจ าวัน รายงานสถานการณ์การเงินการคลัง รายเดือน-รายปีจากโปรแกรมบัญชี GL ของโรงพยาบาล รายงานกรอบอัตราก าลังบุคคลกร การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม การตอบแบบสอบถาม การสนทนากลุ ่มย ่อย กับบุคลากรที ่มีส่วนเกี ่ยวข้องหลักในการจัดบริการของโรงพยาบาลรัฐทุกแห ่งใน จังหวัดตราด จ านวน 35 ราย ผลการศึกษา ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการที่แรงงานต่างด้าวเข้ามารับบริการด้านสุขภาพของ โรงพยาบาลรัฐในจังหวัดตราดเป็นจ านวนมาก มี 3 ด้าน คือ ด้านการบริการพบว่า ภาระงานมีมาก ทั้งผู้ป่วย นอกและผู้ป่วยในโดยเฉพาะห้องคลอดได้รับผลกระทบมากที่สุด ด้านการเงินพบว่า แรงงานต่างด้าวที่ไม่มีบัตร ประกันสุขภาพและไม่มีเงินค่ารักษาท าให้โรงพยาบาลต้องรับภาระค่าใช้จ่ายในปริมาณมาก ด้านบุคลากรพบว่า จ านวนบุคลากรทางการแพทย์ที่ให้บริการไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับจ านวนผู้มารับบริการทั้งชาวไทยและแรงงาน ต่างด้าว จึงได้มีการให้ข้อเสนอแนะในการจัดบริการคลินิกนอกเวลา การปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมในการ ขึ้นทะเบียนบัตรประกันสุขภาพให้มีความครอบคลุมและเป็นธรรม รวมทั้งจะต้องให้ความส าคัญในการจัดกรอบ อัตราก าลัง ผู้ให้บริการภายใต้บริบทพื้นที่ด้วย ค าส าคัญ : แรงงานต่างด้าว/ บริการสุขภาพ/ ผลกระทบจากการใช้บริการสุขภาพของแรงงานต่างด้าว เอกสารอ้างอิง สุวารีเจริญมุขยนันท์และคณะ (2556). การศึกษาสถานการณ์การให้บริการสุขภาพกับชาวกัมพูชาที่ชายแดน ไทย-กัมพูชา : กรณีศึกษาจังหวัดสระแก้ว จันทบุรี และตราด. อรทัย ศรีทองธรรม และคณะ. (2555). ผลกระทบจากแรงงานข้ามชาติลาว กัมพูชา และพม่า ต่อภาระงาน บริการสุขภาพของโรงพยาบาลตามแนวชายแดนของประเทศไทย. 35


สรุปสาระส าคัญฉบับสมบูรณ์ 1. ชื่อเรื่อง การศึกษาผลกระทบจากการใช้บริการสุขภาพของแรงงานต่างด้าวของโรงพยาบาลรัฐในจังหวัดตราด 2. ผู้วิจัยหรือคณะผู้วิจัย พร้อมชื่อหน่วยงาน ชื่อ นางปรางค์ภัสสร นามสกุล จันทร์ทองภักดี ต าแหน่ง นักวิชาการสาธารณสุขช านาญการ วุฒิการศึกษา ปริญญาสาธารณสุขศาสตรบัณฑิต หน่วยงาน กลุ่มงานประกันสุขภาพ ส านักงานสาธารณสุขจังหวัดตราด. 3. ชื่อผู้น าเสนอผลงาน นางปรางค์ภัสสร จันทร์ทองภักดี 4. ความส าคัญของปัญหา ภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ผ่านมามีการเติบโตค่อนข้างสูง มีการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจการ ลงทุนและการจ้างงานเป็นจ านวนมาก ท าให้มีความต้องการแรงงานในปริมาณสูง โดยเฉพาะแรงงานภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งแรงงานระดับล่าง สังคมไทยมีโครงสร้างประชากรวัยท างานลดลงอีกทั้งยังอยู่ใน ช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมผู้สูงอายุ อัตราการเกิดลดลง วัยพึ่งพิงเพิ่มขึ้นท าให้ขาดแคลนแรงงาน จึงมีความจ าเป็นที่ ต้องใช้แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านจ านวนมากเพื่อเป็นแรงงานทดแทนในหลายกิจการ โดยที่แรงงานต่างด้าว มีส่วนส าคัญที่ท าให้เศรษฐกิจของประเทศไทยเติบโตขึ้น สถานการณ์แรงงานต่างด้าวที่เข้ามารับบริการในโรงพยาบาลของรัฐในจังหวัดตราด มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทุกปี เนื่องมากจากการเปิดพรมแดนตามนโยบายประชาคมอาเซียนและเขตเศรษฐกิจพิเศษท าให้แรงงานและ ประชากรในเขตประเทศเพื่อนบ้านข้ามมาใช้บริการสุขภาพของไทยมากขึ้น เกิดการเจ็บป่วยเป็นโรคจาก การท างาน การติดเชื้อและโรคเรื้อรังเพิ่มขึ้น โรคระบาดที่แฝงอยู่ในพื้นที่ตามแนวชายแดน เช่น มาลาเรีย วัณโรค และโรคติดต่ออื่นๆ ก็จะเข้าสู่ประเทศไทยเพิ่มขึ้น จ านวนผู้ป่วยที่มารับบริการในโรงพยาบาลก็จะ เพิ่มขึ้นไปด้วย โดยโรงพยาบาลก็ไม่สามารถปฏิเสธการรักษาได้ อีกทั้งจ านวนบุคลากรทางการแพทย์ก็มีจ านวน จ ากัดและการจัดกรอบอัตราก าลังในการปฏิบัติงานก าหนดให้สอดคล้องกับจ านวนประชากรตามทะเบียน ราษฎร์ซึ่งเป็นคนไทยเท่านั้น หากแรงงานต่างด้าวที่เข้ามารักษาพยาบาลในประเทศไทยไม่สามารถช าระค่า รักษาพยาบาลได้ก็จะส่งผลกระทบให้โรงพยาบาลประสบปัญหาทางการเงินอีกด้วย ดังนั้นจะเห็นได้ว่าหากไม่มี การบริหารจัดการที่เหมาะสม ปัญหาเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อระบบบริการสุขภาพของประเทศไทยเพิ่มขึ้น เรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้ ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาผลกระทบการใช้บริการสุขภาพของแรงงานต่างด้าวของโรงพยาบาลรัฐ ในจังหวัดตราด ในช่วงปีงบประมาณ 2562 - 2564 เพื่อที่จะทราบผลกระทบในด้านต่างๆ ตลอดจนแนวโน้มที่ น่าจะมีในอนาคต เพื่อน าผลที่ได้จากการศึกษามาเป็นข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการด าเนินงานให้แก่ โรงพยาบาลรัฐในจังหวัดตราดต่อไป 5. วัตถุประสงค์ / สมมุติฐาน (ถ้ามี) 5.1 เพื่อศึกษาผลกระทบจากการใช้บริการสุขภาพของแรงงานต่างด้าวของโรงพยาบาลรัฐในจังหวัดตราด 5.2 เพื่อเสนอแนะเชิงนโยบายการจัดระบบบริการสุขภาพที่เหมาะสมและป้องกันผลกระทบจากการใช้ บริการสุขภาพของแรงงานต่างด้าว ให้แก่โรงพยาบาลของรัฐในจังหวัดตราด 6. วิธีการศึกษา : เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีการตอบแบบสอบถาม, การสนทนากลุ่มย่อย และการสังเกต แบบไม่มีส่วนร่วม การก าหนดตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจงจากบุคลากรที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดบริการของ โรงพยาบาลรัฐทุกแห่งในจังหวัดตราด จ านวน 35 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ผู้วิจัยได้ใช้แบบสอบถามและ การสนทนากลุ่มย่อย การวิเคราะห์ข้อมูลผู้วิจัยใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาที่ได้จากการสังเกตแบบไม่มี 36


ส่วนร่วม การตอบแบบสอบถาม และการสนทนากลุ่มย่อย รวมทั้งการค้นคว้าข้อมูลทุติยภูมิจากสรุปผลการ ด าเนินงานประจ าปีของแต่ละโรงพยาบาล และวิเคราะห์ข้อมูลจากฐานข้อมูลกลางระดับจังหวัด 7. ผลการศึกษา : อธิบายผลการศึกษาที่ส าคัญ สอดคล้องกับวิธีการศึกษา ผลกระทบจากการใช้บริการสุขภาพของแรงงานต่างด้าวของโรงพยาบาลรัฐในจังหวัดตราด สามารถ จ าแนกผลกระทบ ดังนี้ ผลกระทบด้านการบริการ จังหวัดตราดมีพรมแดนติดกับประเทศกัมพูชา จึงท าให้มีแรงงานสัญชาติ กัมพูชาเข้ามารับบริการตรวจสุขภาพและขึ้นทะเบียนหลักประกันสุขภาพเป็นจ านวนมากที่สุด การที่แรงงาน ต่างด้าวเข้ามาในประเทศเป็นจ านวนมากท าให้หน่วยงานด้านสาธารณสุขต้องมีระบบการป้องกันควบคุมโรค และการรักษาโรคเพิ่มขึ้น และมีแรงงานต่างด้าวที่เข้ามารับบริการในแผนกผู้ป่วยในตามจ านวนแรงงานที่ขึ้น ทะเบียนหลักประกันสุขภาพในระบบ จะเป็นการสร้างภาระงานด้านการบริการให้แก่แพทย์ พยาบาล และ บุคลากรทางการแพทย์เพิ่มมากขึ้น ผลกระทบที่เป็นปัญหามากที่สุด คือ แผนกห้องคลอด เนื่องจากผู้รับบริการ ที่เป็นแรงงานต่างด้าวมีความเชื่อมั่นในระบบบริการสาธารณสุขของประเทศไทยและนิยมมาคลอดที่ โรงพยาบาลของรัฐ ซึ่งมีค่าบริการไม่แพงและสามารถใช้สิทธิบัตรประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าวได้ ท าให้เตียง ส ารองไม่เพียงพอ นอกจากนี้ การให้บริการด้านสุขภาพแก่แรงงานต่างด้าวทั้ง 3 สัญชาตินั้นมีอุปสรรคด้าน ภาษาและการสื่อสารที่ไม่สามารถสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการได้ ท าให้การซักประวัติเพื่อแจ้งอาการเจ็บป่วย อาจไม่ครอบคลุมหรือได้ข้อมูลไม่ครบถ้วน จะมีผลกระทบต่อการวางแผนการรักษาของแพทย์ ผลกระทบด้านการเงิน จะพบในกลุ่มแรงงานต่างด้าวที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนและไม่มีสิทธิการรักษาทั้งใน ระบบประกันสังคมและระบบประกันสุขภาพแรงงาน เมื่อไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นแรงงานในระบบประกันสุขภาพ และไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาล ท าให้โรงพยาบาลต้องรับภาระค่าใช้จ่ายในปริมาณมาก แม้ว่าจ านวนแรงงาน ต่างด้าวที่เข้ารับบริการด้านสุขภาพมีแนวโน้มลดลงแต่ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นโดยที่ลักษณะการค้างช าระค่า รักษาพยาบาลเกิดขึ้นได้ในหลายกรณี เช่น แรงงานไม่มีสิทธิการรักษาหรือบัตรประกันสุขภาพคุ้มครอง สถานพยาบาลของรัฐต้องให้บริการและให้ค้างช าระเพื่อมาช าระเงินในภายหลัง แต่แรงงานเหล่านั้นไม่เข้ามาช าระ เงิน ต่อมาเมื่อต้องเข้ารับบริการอีกก็จะแจ้งชื่อ-สกุลใหม่ ท าให้โรงพยาบาลไม่สามารถตรวจสอบได้ เมื่อวิเคราะห์ สถานะทางการเงินจะท าให้ทราบว่าโรงพยาบาลแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บไม่ได้เป็นจ านวนมาก ถึงแม้ โรงพยาบาลของรัฐจะได้รับการจัดสรรงบประมาณตามสัดส่วนจ านวนประชากรที่รับผิดชอบในพื้นที่แล้วก็ตาม ผลกระทบด้านบุคลากร การก าหนดกรอบอัตราก าลังและจ านวนผู้ให้บริการแต่ละสาขาวิชาชีพของ สถานพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขนั้น ก าหนดจากจ านวนประชากรคนไทยตามทะเบียนราษฎร์ใน พื้นที่เป็นฐานในการค านวณ แต่โรงพยาบาลที่ตั้งอยู่บริเวณชายแดนหรือในเขตเศรษฐกิจพิเศษตามนโยบายของ รัฐบาลจะมีผู้รับบริการที่เป็นประชากรแฝงจากแรงงานต่างชาติในพื้นที่เข้ามารับริการด้วยในปริมาณมาก โรงพยาบาลแต่ละแห่งต้องให้บริการทั้งในกลุ่มแรงงานถูกกฎหมายและกลุ่มแรงงานผิดกฎหมาย ท าให้มีจ านวน ผู้ให้บริการไม่เพียงพอ อีกทั้งยังมีผลกระทบตามมาทั้งทางด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินเนื่องจากใน พื้นที่ที่มีแรงงานต่างด้าวอาศัยอยู่มากมักจะมีความเสี่ยงด้านอาชญากรรมเพิ่มขึ้น 8. อภิปรายผลการศึกษา แรงงานต่างด้าวมารับบริการประเภทผู้ป่วยนอกเป็นจ านวนมากในแต่ละวัน ส่วนมากจะเป็นแผนก อายุรกรรมที่ให้บริการรักษาอาการป่วยทั่วไป รวมถึงโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และแผนก อุบัติเหตุฉุกเฉินเนื่องจากอาการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุจราจรและบาดเจ็บจากการท างาน สอดคล้องกับงานวิจัย ของสุวารีเจริญมุขยนันท์ และคณะ (2556) ได้ท าการศึกษาสถานการณ์การให้บริการสุขภาพกับชาวกัมพูชา ที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พบว่า ผู้รับบริการด้านสุขภาพประเภทผู้ป่วยใน โรคที่เป็นสาเหตุของการใช้บริการ สุขภาพเป็นล าดับแรก ได้แก่ กลุ่มการคลอดและการตั้งครรภ์ ส่วนโรคอื่นๆ ได้แก่ โรคระบบทางเดินหายใจ 37


โรคระบบทางเดินอาหาร และการบาดเจ็บ โดยเหตุผลหลักของการมาใช้บริการคือ ความสะดวกในการเข้าถึง บริการ ความมั่นใจต่อการให้บริการ และความรุนแรงของโรค ผู้ป่วยที่เข้ามารับบริการในโรงพยาบาลของรัฐในจังหวัดตราด มีทั้งคนไทยที่มีระบบหลักประกัน สุขภาพคุ้มครอง และแรงงานต่างด้าวซึ่งมีทั้งสิทธิประกันสังคมและบัตรประกันสุขภาพ ของกระทรวง สาธารณสุข ผลกระทบที่เกิดขึ้นส่วนมากมาจากแรงงานที่ไม่มีสิทธิการรักษา เมื่อเจ็บป่วยต้องเข้ารับบริการใน โรงพยาบาลแล้วไม่สามารถช าระเงินได้ท าให้ค้างเป็นลูกหนี้ซึ่งโรงพยาบาลต้องรับภาระค่าใช้จ่ายในปริมาณมาก สอดคล้องกับงานวิจัยของอรทัย ศรีทองธรรมและคณะ (2555) ได้ศึกษาผลกระทบจากแรงงานข้ามชาติลาว กัมพูชา และพม่า ต่อภาระงานบริการสุขภาพของโรงพยาบาลตามแนวชายแดนของประเทศไทย พบว่า โรงพยาบาลตามแนวชายแดนต้องแบกรับภาระทางการเงิน ทางด้านค่าใช้จ่าย ในการบริการสุขภาพแก่แรงงาน ข้ามชาติลาวและชาวต่างชาติท าให้ภาพรวมสถานะทางการเงินโรงพยาบาล มีรายจ่ายมากกว่ารายรับ ทั้งใน แผนกผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในโดยเฉพาะผู้ป่วยในแผนกสูติกรรม กระทรวงสาธารณสุขได้จัดท ากรอบอัตราก าลังจ านวนบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ที่ปฏิบัติงานอยู่ในสถานพยาบาลระดับต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพพื้นที่และจ านวนประชากร โดยใช้ จ านวนประชากรสัญชาติไทยเป็นฐานในการค านวณและจัดกรอบอัตราก าลังดังกล่าว ซึ่งบุคลากรทางการแพทย์ ที่มีความส าคัญและจ าเป็นต่อการจัดบริการ สอดคล้องกับงานวิจัยของอรทัย ศรีทองธรรมและคณะ (2555) ได้ศึกษาผลกระทบจากแรงงานข้ามชาติลาว กัมพูชา และพม่า ต่อภาระงานบริการสุขภาพของโรงพยาบาลตาม แนวชายแดนของประเทศไทย พบว่า อัตราก าลังที่โรงพยาบาลแต่ละแห่ง ได้รับการจัดสรรตามกรอบโครงสร้าง ของกระทรวงสาธารณสุข โดยดูจากประชาชนคนไทยในพื้นที่รับผิดชอบเป็นหลัก แต่ผลการวิจัยครั้งนี้พบว่า โรงพยาบาลแต่ละแห่งต้องแบกรับผู้มารับบริการที่เป็นแรงงานต่างด้าวทั้งที่เป็นกลุ่มแรงงานถูกกฎหมายและ กลุ่มแรงงานที่ผิดกฎหมายด้วย 9. สรุปและข้อเสนอแนะ : สรุปสาระส าคัญของผลการศึกษาและข้อเสนอแนะอย่างกระชับ ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการที่แรงงานต่างด้าวเข้ามารับบริการด้านสุขภาพของโรงพยาบาลรัฐในจังหวัด ตราดเป็นจ านวนมาก มี 3 ด้าน คือ ด้านการบริการพบว่า ภาระงานมีมาก ทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน โดยเฉพาะห้องคลอดได้รับผลกระทบมากที่สุด ด้านการเงินพบว่า แรงงานต่างด้าวที่ไม่มีบัตรประกันสุขภาพ และไม่มีเงินค่ารักษาท าให้โรงพยาบาลต้องรับภาระค่าใช้จ่ายในปริมาณมาก ด้านบุคลากรพบว่า จ านวน บุคลากรทางการแพทย์ที่ให้บริการไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับจ านวนผู้รับบริการทั้งชาวไทยและแรงงานต่างด้าว จึงได้มีการให้ข้อเสนอแนะในการจัดบริการคลินิกนอกเวลา การปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมในการขึ้นทะเบียน บัตรประกันสุขภาพให้มีความครอบคลุมและเป็นธรรม รวมถึงจะต้องให้ความส าคัญในการจัดกรอบอัตราก าลัง ผู้ให้บริการภายใต้บริบทพื้นที่ด้วย 10. การน าผลงานไปใช้ประโยชน์/อ้างอิง 1. ภาครัฐควรจัดให้มีคลีนิคเฉพาะทางหรือศูนย์บริการสุขภาพชาวต่างชาติและบริการแรงงานใน สถานพยาบาลโดยเฉพาะเนื่องจากมีแรงงานต่างชาติเข้ามารับบริการเป็นจ านวนมาก และเร่งสร้างความร่วมมือ ทางด้านสาธารณสุขกับสถานพยาบาลในประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้เคียง เพื่อให้สามารถดูแลประชาชนของ ตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2. ภาครัฐควรมีปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมในการขึ้นทะเบียนบัตรประกันสุขภาพทั้งเรื่องราคาและ ความครอบคลุมในการรักษาให้สอดคล้องกับความเป็นความเป็นจริงในพื้นที่ 3. ภาครัฐควรจัดกรอบอัตราก าลังผู้ให้บริการภายใต้บริบทพื้นที่ตามประชากรจริง โดยต้องใช้สัดส่วน การเข้ารับบริการของผู้ป่วยและสภาพพื้นที่ด้วย เพื่อก าหนดอัตราก าลังผู้ให้บริการให้สอดคล้องกับจ านวน ผู้รับบริการ รวมถึงการพัฒนาทักษะด้านภาษาของผู้ให้บริการเพิ่มขึ้นด้วย 38


ประสิทธิผลของโปรแกรมการมีส่วนร่วมของครอบครัวร่วมกับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากตัวแบบต่อ การใช้ยาฝังคุมก าเนิดในมารดาวัยรุ่นหลังคลอด Efficacy of Family Participation and Applying Role Model Program on Using Contraceptive in Teenage Mothers. บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการมีส่วนร่วมของ ครอบครัวร่วมกับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากตัวแบบต่อการใช้ยาฝังคุมก าเนิดในมารดาวัยรุ่นหลังคลอด กลุ่ม ตัวอย่างเป็นมารดาวัยรุ่นหลังคลอดอายุ 15-19 ปี ที่มาคลอดบุตรที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรจ านวน 60 คน โดยการคัดเลือกแบบเจาะจงตามคุณสมบัติที่ก าหนด แบ่งเป็นกลุ่มทดลองจ านวน 30 คน กลุ่มควบคุมจ านวน 30 คน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการมีส่วนร่วมของครอบครัวร่วมกับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากตับแบบ กลุ่ม ควบคุมได้รับการพยาบาลตามปกติเก็บรวบรวมข้อมูลตั้งแต่เดือนเมษายน ถึงเดือนกรกฎาคม 2566 เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัยได้แก่ โปรแกรมการมีส่วนร่วมของครอบครัวร่วมกับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากตัวแบบ แบบสอบถาม ข้อมูลส่วนบุคคล แบบสอบถามความรู้เรื่องยาฝังคุมก าเนิด มีค่าความเชื่อมั่น .78 แบบบันทึกความตั้งใจและการใช้ ยาฝังคุมก าเนิด วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติทดสอบ Independent t-test, paired t-test และ Chi square ผลการวิจัยพบว่า 1. คะแนนความรู้เฉลี่ยของมารดาวัยรุ่นกลุ่มทดลองหลังการได้รับโปรแกรมสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมี นัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และคะแนนความรู้เฉลี่ยของมารดาวัยรุ่นกลุ่มทดลองหลังการได้รับโปรแกรมสูง กว่าก่อนได้รับโปรแกรมอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 2. มารดาวัยรุ่นกลุ่มทดลองมีความตั้งใจ และการใช้ยาฝังคุมก าเนิดสูงกว่ามารดาวัยรุ่นกลุ่มควบคุมอย่างมี นัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โปรแกรมการมีส่วนร่วมของครอบครัวร่วมกับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากตัวแบบท าให้มารดาวัยรุ่น ตัดสินใจใช้ยาฝังคุมก าเนิดได้ จึงควรส่งเสริมและน า โปรแกรมการมีส่วนร่วมของครอบครัวร่วมกับการแลกเปลี่ยน เรียนรู้จากตัวแบบนี้ไปใช้เพื่อส่งเสริมการใช้ยาฝังคุมก าเนิดในวัยรุ่น เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ซ้ า ค าส าคัญ : การมีส่วนร่วมของครอบครัว การแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากตัวแบบ การใช้ยาฝังคุมก าเนิด มารดาวัยรุ่น 39


1. ชื่อเรื่อง : ประสิทธิผลของโปรแกรมการมีส่วนร่วมของครอบครัวร่วมกับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากตัวแบบต่อการ ใช้ยาฝังคุมก าเนิดในมารดาวัยรุ่นหลังคลอด Efficacy of Family Participation and Applying Role Model Program on Using Contraceptive in Teenage Mothers. 2. ชื่อผู้วิจัย : นางสาวชนิตา กิตติวีราพัชร์ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร นางยุพเรศ จารุเนตร โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร นางสาวนงลักษณ์ เครือเจริญ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร 3. ชื่อผู้น ำเสนอผลงำน นางสาวชนิตา กิตติวีราพัชร์ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร 4. ควำมส ำคัญของปัญหำ การตั้งครรภ์ในวัยรุ่นเป็นปัญหาส าคัญ ส่งผลกระทบทั้งด้านร่างกาย จิตใจ เศรษฐกิจและสังคม นอกจากนี้ยังพบโอกาสของการตั้งครรภ์ซ้ าในมารดาวัยรุ่นที่เพิ่มมากขึ้น จากสถิติปี 2563-2565 อัตราการ ตั้งครรภ์ซ้ าของประเทศไทยพบร้อยละ 14.42, 13.96 และ 14.29 และอัตราการตั้งครรภ์ซ้ าของโรงพยาบาล เจ้าพระยาอภัยภูเบศร พบร้อยละ 10.55, 16.33 และ 13.64 (HDC จังหวัดปราจีนบุรี, 2565) แม้ว่าแนวโน้ม การตั้งครรภ์ซ้ าของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรจะลดลง แต่ยังสูงกว่าเกณฑ์ที่ก าหนดไว้ที่ร้อยละ 13.5 (กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, 2565) การตั้งครรภ์ซ้ าในมารดาวัยรุ่น เกิดจากสาเหตุที่ส าคัญ คือ การมี เพศสัมพันธ์โดยไม่มีการคุมก าเนิดและใช้การคุมก าเนิดไม่ต่อเนื่อง (Herrman, 2007) ขาดความตระหนักถึง โอกาสในการตั้งครรภ์ซ้ า การไม่ได้รับการบริการคุมก าเนิดที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งการขาดความรู้ความเข้าใจ ในเรื่องการคุมก าเนิด การฝังยาคุมก าเนิดเป็นวิธีหนึ่งที่ที่จะช่วยป้องกันปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นได้ ซึ่งมี ประสิทธิภาพในการคุมก าเนิดสูง มีความต่อเนื่องและสม่ าเสมอในการคุมก าเนิด จากสถิติอัตราการคุมก าเนิดกึ่ง ถาวรในหญิงอายุน้อยกว่า 20 ปี โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร พบร้อยละ 58.25 (HDC จังหวัดปราจีนบุรี, 2565) ซึ่งยังต่ ากว่าตัวชี้วัดที่ส านักอนามัยการเจริญพันธุ์ กรมอนามัยก าหนดไว้คือร้อยละ 80 จากการทบทวน วรรณกรรมพบว่ามารดาวัยรุ่นหลังคลอดไม่ฝังยาคุมก าเนิด มีสาเหตุจากด้านความรู้เกี่ยวกับยาฝังคุมก าเนิด ด้าน ความรู้สึกทางลบเกี่ยวกับยาฝังคุมก าเนิด ด้านการได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว บุคคลในครอบครัวมีอิทธิพล ต่อมารดาวัยรุ่นอย่างมาก หากบุคคลในครอบครัวสนับสนุนให้มารดาวัยรุ่นใช้ยาฝังคุมก าเนิด มารดาวัยรุ่นจะ คล้อยตาม และการเรียนรู้จากตัวแบบท าให้มารดามีทัศนคติที่ดี เกิดความคล้อยตาม และตัดสินใจใช้ยาฝัง คุมก าเนิดได้ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรได้ด าเนินการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นตามนโยบายกระทรวง สาธารณสุข โดยรนณรงค์และส่งเสริมการฝังยาคุมก าเนิดในหญิงวัยรุ่นหลังแท้งและมารดาวัยรุ่นหลังคลอดบุตร ก่อนออกจากโรงพยาบาล และการศึกษาที่ผ่านมาส่วนใหญ่เป็นโปรแกรมที่ให้ความรู้โดยบุคลากรสาธารณสุข ยัง มีประเด็นปัญหาที่มารดาวัยรุ่นไม่ได้เรียนรู้จากตัวแบบ โดยมารดาวัยรุ่นจะสามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากผู้ที่ผ่าน การฝังยาคุมก าเนิดมาแล้ว ซึ่งน าไปสู่การเสริมทัศนคติทางบวกต่อพฤติกรรมการใช้ยาฝังคุมก าเนิด ผู้วิจัยจึงสนใจ ศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการมีส่วนร่วมของครอบครัวร่วมกับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากตัวแบบต่อการใช้ ยาฝังคุมก าเนิดในมารดาวัยรุ่นหลังคลอด เพื่อส่งเสริมให้มารดาวัยรุ่นตัดสินใจใช้ยาฝังคุมก าเนิด เพื่อป้องกันการ ตั้งครรภ์ซ้ าต่อไป 40


5. วัตถุประสงค์ของกำรวิจัย เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนความรู้ ความตั้งใจ และการใช้ยาฝังคุมก าเนิดของมารดา วัยรุ่นหลังคลอดระหว่างกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมการมีส่วนร่วมของครอบครัวร่วมกับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากตัว แบบกับกลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ สมมุติฐำนกำรวิจัย มารดาวัยรุ่นหลังคลอดระหว่างกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมการมีส่วนร่วมของครอบครัวร่วมกับการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้จากตัวแบบมีคะแนนความรู้ ความตั้งใจ และการใช้ยาฝังคุมก าเนิด สูงกว่ากลุ่มที่ได้รับการ พยาบาลตาม 6. วิธีกำรศึกษำ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research ) แบบสองกลุ่มวัดผลก่อนและหลัง การทดลอง กลุ่มตัวอย่างเป็นมารดาวัยรุ่นหลังคลอดอายุ 15-19 ปีที่มาคลอดบุตรที่ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัย ภูเบศร ค านวณกลุ่มตัวอย่างโดยใช้โปรแกรม G-power (Cohen,1988) โดยก าหนดขนาดตัวอย่างโดยใช้วิธีวิเคราะห์ อ านาจการทดสอบ( power of analysis ) ก าหนดค่าอัลฟ่าที่ .05 อ านาจการทดสอบ ( power ) เท่ากับ .80 เลือกขนาดอิทธิพลขนาดใหญ่เท่ากับ .7 ได้ตัวอย่างกลุ่มละ 26 คน ในการศึกษานี้ใช้กลุ่มตัวอย่างกลุ่มละ 30 คน คัดเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ตามคุณสมบัติที่ก าหนดไว้ ตามเกณฑ์การคัดเข้า (Inclusion criteria) และเกณฑ์การคัดออก ( Exclusion criteria) กลุ่มทดลองเป็นกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมการมีส่วนร่วมของ ครอบครัวร่วมกับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากตัวแบบ กลุ่มควบคุมเป็นกลุ่มที่ได้รับพยาบาลตามปกติ เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัย 1) เครื่องมือที่ใช้ในการด าเนินการวิจัย ได้แก่โปรแกรมการมีส่วนร่วมของครอบครัวร่วมกับการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้จากตัวแบบ 2) เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่แบบสอบถามข้อมูลลักษณะส่วน บุคคลของมารดาวัยรุ่น แบบสอบถามความรู้เรื่องยาฝังคุมก าเนิด จ านวน 15 ข้อ แบบบันทึกความตั้งใจในการใช้ ยาฝังคุมก าเนิด และแบบบันทึกการใช้ยาฝังคุมก าเนิด โดยแบบสอบถามผ่านการตรวจความตรงของเนื้อหาและ ความเที่ยงของแบบสอบถามโดยผู้ทรงคุณวุฒิจ านวน 3 ท่าน วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติวิเคราะห์ Independent t-test, paired t-test และ Chi square ผู้วิจัยด าเนินการพิทักษ์สิทธิ์ของกลุ่มตัวอย่าง โดยการเสนอโครงร่างวิจัยผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการ จริยธรรมการวิจัยของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (IRB – BHUBEJHR - 213) 7. ผลกำรศึกษำ 1. คะแนนความรู้เฉลี่ยหลังการได้รับโปรแกรมของมารดาวัยรุ่นกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมี นัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และคะแนนความรู้เฉลี่ยของมารดาวัยรุ่นกลุ่มทดลองหลังการได้รับโปรแกรมสูง กว่าก่อนได้รับโปรแกรมอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 2. มารดาวัยรุ่นกลุ่มทดลองมีความตั้งใจ และการใช้ยาฝังคุมก าเนิดสูงกว่างมารดาวัยรุ่นกลุ่มควบคุม อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 8. อภิปรำยผลกำรศึกษำ 1. คะแนนความรู้เฉลี่ยหลังการได้รับโปรแกรมของมารดาวัยรุ่นกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุมเนื่องจาก มารดาวัยรุ่นได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการคุมก าเนิด วิธีใช้ยาฝังคุมก าเนิด ข้อดีข้อเสียของการใช้ยาฝังคุมก าเนิด ท าให้ มารดาวัยรุ่นมีความรูความเข้าใจเกี่ยวกับยาฝังคุมก าเนิด และได้รับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากตัวแบบที่เป็นวัย 41


เดียวกัน ผ่านการใช้ยาฝังคุมก าเนิดมาแล้ว ท าให้มารดาวัยรุ่นมีความสนใจและตั้งใจในการเรียนรู้จึงมีผลท าให้ คะแนนความรู้ของกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควมคุม 2. มารดาวัยรุ่นกลุ่มทดลองมีความตั้งใจ และการใช้ยาฝังคุมก าเนิดสูงกว่างมารดาวัยรุ่นกลุ่มควบคุม อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมการมีส่วนร่วมของครอบครัวร่วมกับการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้จากตัวแบบท าให้มารดาวัยรุ่นตัดสินใจใช้ยาฝังคุมก าเนิดมากขึ้น เนื่องจากบุคคลในครอบครัว ได้แก่ สามี มารดา บิดา มีอิทธิพลต่อมารดาวัยรุ่นอย่างมาก หากบุคคลดังกล่าวมีความรู้ความเข้าใจการใช้ยาฝัง คุมก าเนิด จะสนับสนุนให้มารดาใช้ยาฝังคุมก าเนิด นอกจากนี้การได้เรียนรู้จากมารดาวัยรุ่นที่ผ่านการใช้ยาฝัง คุมก าเนิดมาแล้ว ท าให้มารดามีทัศนคติที่ดีต่อการใช้ยาฝังคุมก าเนิด ลดความวิตกกังกล มีความมั่นใจตัดสินใจใช้ ยาฝังคุมก าเนิดได้ 9. สรุปและข้อเสนอแนะ โปรแกรมการมีส่วนร่วมของครอบครัวร่วมกับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากตัวแบบท าให้มารดาวัยรุ่น ตัดสินใจใช้ยาฝังคุมก าเนิดได้ จึงควรส่งเสริมและน า โปรแกรมการมีส่วนร่วมของครอบครัวร่วมกับการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้จากตัวแบบนี้ไปใช้เพื่อส่งเสริมการใช้ยาฝังคุมก าเนิดในวัยรุ่น เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ซ้ า 10. กำรน ำผลงำนไปใช้ประโยชน์ 1. น าโปรแกรมไปส่งเสริมการใช้ยาฝังคุมก าเนิดในวัยรุ่นเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ซ้ า 2. น าไปขยายผลใช้ในโรงพยาบาลชุมชนในเครือข่ายทุกแห่งเพื่อส่งเสริมการใช้ยาฝังคุมก าเนิดในวัยรุ่น และป้องกันการตั้งครรภ์ซ้ าต่อไป 42


การใช้สื่อวีดิทัศน์ให้คำแนะนำเพื่อเฝ้าระวังอาการแพ้ยาชนิดรุนแรง ในผู้ป่วยได้รับยาที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด นายปรพงศ์ เพชรอินทร์, นาวสาวศิริวัฒนา ปวงคำ, นางสาวพัชรี ค้ำชู กลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลระยอง ผู้นำเสนอผลงาน: นายปรพงศ์ เพชรอินทร์ ความสำคัญของปัญหา: โรงพยาบาลระยองดำเนินการเฝ้าระวังการเกิดอาการแพ้ยาอย่างรุนแรง (Intensive ADR Monitoring) ในผู้ป่วยมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัส-2019 ส่งผล กระทบต่อการดำเนินงาน ทำให้ผู้ป่วยไม่ได้รับคำแนะนำโดยตรงจากเภสัชกร กลุ่มงานเภสัชกรรม จึงได้จัดทำ วีดิทัศน์การเฝ้าระวังการแพ้ยาชนิดรุนแรงเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการให้คำแนะนำ มุ่งหวังให้ผู้ป่วยสามารถ เฝ้าระวังอาการแพ้ยาชนิดรุนแรงและสามารถปฏิบัติตัวได้อย่างเหมาะสมเมื่อเกิดอาการแพ้ยาชนิดรุนแรง วัตถุประสงค์: เปรียบเทียบระยะเวลาที่ผู้ป่วยเข้าถึงบริการสุขภาพ และความรุนแรงของอาการแพ้ยา ณ เวลา ที่ผู้ป่วยเข้าถึงบริการสุขภาพระหว่างผู้ที่ได้รับแนะนำปกติและคำแนะนำปกติร่วมกับวีดิทัศน์ วิธีการศึกษา: การศึกษารูปแบบตัดขวาง (cross-sectional study) โดยให้คำแนะนำเฝ้าระวังอาการแพ้ยา ชนิดรุนแรงด้วยรูปแบบปกติ หรือ รูปแบบปกติร่วมกับสื่อวีดิทัศน์ แก่ผู้ป่วยที่ได้รับยาได้รับยาที่มีโอกาสเกิด อาการแพ้ยาชนิดรุนแรงระหว่างปีงบประมาณ 2563 ถึง 2565 วิเคราะห์ระยะเวลาที่ผู้ป่วยเข้าถึงบริการสุขภาพ และความรุนแรงของอาการแพ้ยาด้วยสถิติการวิเคราะห์เชิงถดถอย (regression analysis) ผลการศึกษา: ผู้ป่วยที่ได้รับยาที่มีโอกาสเกิดอาการแพ้ยาชนิดรุนแรง แสดงอาการแพ้ยาจำนวน 196 ราย เกิดอาการแพ้ยาชนิดรุนแรง 16 ราย อาการนำ 21 ราย และอาการไม่รุนแรง 159 ราย ผู้ป่วยทั้งที่ได้รับ คำแนะนำรูปแบบปกติร่วมกับสื่อวีดิทัศน์และรูปแบบปกติมีแนวโน้มเข้ารับบริการสุขภาพใกล้เคียงกันคือ 2 วัน หลังจากสังเกตพบอาการ ผู้ป่วยที่มีอาการแพ้ยาชนิดรุนแรงในกลุ่มที่ได้รับคำแนะนำรูปแบบปกติร่วมกับ สื่อวีดิทัศน์จะเข้าถึงบริการสุขภาพเร็วกว่าผู้ป่วยที่ได้รับคำแนะนำรูปแบบปกติเฉลี่ย 4.25 วัน (p-value <0.001) แนวโน้มความรุนแรงของอาการแพ้ยา ณ เวลาที่ผู้ป่วยเข้าถึงบริการสุขภาพของผู้ป่วยที่ได้รับ คำแนะนำรูปแบบปกติร่วมกับสื่อวีดิทัศน์ลดลง โดยผู้ป่วยแสดงอาการแพ้ยาชนิดรุนแรงน้อยกว่าร้อยละ 12 (adjusted OR 0.88; 0.28-2.78) และแสดงอาการนำมากกว่าร้อยละ 64 (adjusted OR 1.64; 0.57-4.53) เมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ได้รับคำแนะนำรูปแบบปกติ อภิปรายผลการศึกษา: การนำสื่อวีดิทัศน์มาใช้ร่วมกับการให้คำแนะนำรูปแบบปกติส่งผลให้ผู้ป่วยที่ได้รับยาที่ ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดปฏิบัติตัวได้อย่างเหมาะสมเมื่อเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากยา สอดคล้องกับการศึกษา การใช้สื่อวีดีทัศน์ร่วมกับการให้คำแนะนำโดยเภสัชกรต่อการแจ้งประวัติการแพ้ยาด้วยตนเองของผู้ป่วย สรุปและข้อเสนอแนะ: การให้คำแนะนำผู้ป่วยโดยใช้สื่อวีดิทัศน์ร่วมกับรูปแบบปกติเพื่อเฝ้าระวังการแพ้ยา ชนิดรุนแรงทำให้ผู้ป่วยมีแนวโน้มเข้ารับการรักษาเร็วขึ้นและความรุนแรงของอาการแพ้ยาลดลง การนำผลงานไปใช้ประโยชน์: สื่อวีดิทัศน์ให้คำแนะนำเพื่อเฝ้าระวังอาการแพ้ยาชนิดรุนแรงได้ถูกนำไปใช้เป็น ส่วนหนึ่งของแนวทางปฏิบัติเพื่อให้คำแนะนำผู้ป่วยได้รับยาที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดร่วมกับการให้คำแนะ รูปแบบอื่น ๆ ณ โรงพยาบาลระยอง คำสำคัญ: วีดิทัศน์, การแพ้ยาชนิดรุนแรง, ระยะเวลาที่ผู้ป่วยเข้าถึงบริการสุขภาพ, อาการนำ 43


การใช้สื่อวีดิทัศน์ให้คำแนะนำเพื่อเฝ้าระวังอาการแพ้ยาชนิดรุนแรง ในผู้ป่วยได้รับยาที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด Video as a Counseling Media in Intensive Adverse Drug Reaction Monitoring for Severe Cutaneous Adverse Reactions นายปรพงศ์ เพชรอินทร์, นาวสาวศิริวัฒนา ปวงคำ, นางสาวพัชรี ค้ำชูกลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลระยอง ผู้นำเสนอผลงาน: นายปรพงศ์ เพชรอินทร์ ความสำคัญของปัญหา: อาการแพ้ยา คือ ปฏิกิริยาผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายต่อยาที่ใช้ สามารถเกิดขึ้นได้กับยาทุก ประเภท แต่ไม่ได้เกิดกับทุกคน จะเกิดขึ้นเฉพาะบางคนที่มีระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไวต่อยามากกว่าปกติ โดยอาการแพ้ยาที่สำคัญ ได้แก่ Severe cutaneous adverse drug reactions (SCARs) คือ การแพ้ยาอย่าง รุนแรงซึ่งแสดงออกมาในรูปแบบอาการทางผิวหนัง เป็นอาการไม่พึงประสงค์จากยาที่มีอัตราการเกิดน้อย แต่มี ความรุนแรงและเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ โดยอาการที่เกิดขึ้นนี้พบว่าทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตระหว่างร้อยละ 1.0- 10.0 ตามลักษณะอาการแสดงที่พบ และภายหลังที่ผู้ป่วยได้รับการรักษามีเพียงร้อยละ 24.8 หายเป็นปกติโดย ไม่มีร่องรอยเดิม การเกิดอาการแพ้ยาชนิดรุนแรง ณ โรงพยาบาลระยองในปีงบประมาณ 2564 พบอุบัติการณ์จำนวน 37 ราย จำแนกตามอาการได้ดังนี้ Acute Generalized Exanthematous Pustulosis (AGEP) 11 ราย Drug Reaction with Eosinophilia and Systemic Syndrome (DRESS) 11 ราย Steven-Johnson Syndromes (SJS) 9 ราย และ Toxic Epidermal Necrolysis (TEN) 6 ราย โดยทำให้ผู้ป่วยต้องได้รับการ รักษาเพิ่มเติมจำนวน 18 ราย นอนโรงพยาบาลหรือนอนโรงพยาบาลนานขึ้น 17 ราย ยาที่เป็นสาเหตุของการ แพ้ยาชนิดรุนแรง 3 ลำดับแรก ได้แก่ Cotrimoxazole 5 ราย Allopurinol 4 ราย และ Phenytoin 3 ราย โรงพยาบาลระยองดำเนินการเฝ้าระวังการเกิดอาการแพ้ยาอย่างรุนแรงเชิงรุก (Intensive ADR Monitoring) มาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัส-2019 ส่งผลกระทบต่อการ ดำเนินงาน ทำให้ผู้ป่วยไม่ได้รับคำแนะนำโดยตรงจากเภสัชกร กลุ่มงานเภสัชกรรม จึงได้จัดทำวีดิทัศน์การ เฝ้าระวังการแพ้ยาชนิดรุนแรงเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการให้คำแนะนำ มุ่งหวังให้ผู้ป่วยสามารถเฝ้าระวังอาการ แพ้ยาชนิดรุนแรงและสามารถปฏิบัติตัวได้อย่างเหมาะสมเมื่อเกิดอาการแพ้ยาชนิดรุนแรง วัตถุประสงค์: 1. เปรียบเทียบระยะเวลาที่ผู้ป่วยเข้าถึงบริการสุขภาพระหว่างผู้ที่ได้รับแนะนำปกติและคำแนะนำปกติร่วมกับ วีดิทัศน์ 2. เปรียบเทียบความรุนแรงของอาการแพ้ยา ณ เวลาที่ผู้ป่วยเข้าถึงบริการสุขภาพระหว่างผู้ที่ได้รับแนะนำปกติ และคำแนะนำปกติร่วมกับวีดิทัศน์ วิธีการศึกษา: การศึกษารูปแบบตัดขวาง (cross-sectional study) ด้วยการทบทวนเวชระเบียนผู้ป่วยที่ได้รับ ยาได้รับยาที่มีโอกาสเกิดอาการแพ้ยาชนิดรุนแรงได้รับยาในโปรแกรมการเฝ้าระวังการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ ชนิดรุนแรง (Intensive ADR monitoring) จำนวน 11 รายการ ได้แก่ Phenytoin, Phenobarbital, 44


Carbamazepine, Allopurinol, Nevirapine, GPO-Vir S30, GPO-vir Z250, Cotrimoxazole, Dapsone, Sulfadiazine และ Sulfasalazine ระหว่างปีงบประมาณ 2563 ถึง 2565 แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ได้รับคำแนะนำรูปแบบปกติ (ผู้ป่วยที่ได้รับยาครั้งแรกระหว่างวันที่ 1 ส.ค. 2563 – 31 ส.ค. 2564) และ กลุ่มที่ได้รับคำแนะนำรูปแบบปกติร่วมกับวีดิทัศน์ (ผู้ป่วยที่ได้รับยาครั้งแรกระหว่างวันที่ 1 ต.ค. 2564 – 30 ก.ย. 2565) วิเคราะห์ทางสถิติด้วยการวิเคราะห์เชิงถดถอย (regression analysis) โดยระยะเวลาที่ผู้ป่วย เข้าถึงบริการสุขภาพวิเคราะห์ด้วย Mean difference และความรุนแรงของอาการแพ้ยาวิเคราะห์ odds ratios โดยใช้Multivariable Multinomial Model ภาพที่ 1 แผนผังการศึกษา ผลการศึกษา: ผู้ป่วยที่ได้รับยาที่มีโอกาสเกิดอาการแพ้ยาชนิดรุนแรง แสดงอาการแพ้ยาจำนวน 196 ราย เกิดอาการแพ้ยาชนิดรุนแรง 16 ราย อาการนำ 21 ราย และอาการไม่รุนแรง 159 ราย แสดงดังภาพที่ 1 ผู้ป่วย ทั้งที่ได้รับคำแนะนำรูปแบบปกติร่วมกับสื่อวีดิทัศน์และรูปแบบปกติมีแนวโน้มเข้ารับบริการสุขภาพใกล้เคียง กันคือ 2 วันหลังจากสังเกตพบอาการ ผู้ป่วยที่มีอาการแพ้ยาชนิดรุนแรงในกลุ่มที่ได้รับคำแนะนำรูปแบบปกติ ร่วมกับสื่อวีดิทัศน์เข้าถึงบริการสุขภาพเร็วกว่าผู้ป่วยที่ได้รับคำแนะนำรูปแบบปกติเฉลี่ย 4.25 วัน (p-value <0.001) แสดงดังตารางที่ 1 แนวโน้มความรุนแรงของอาการแพ้ยา ณ เวลาที่ผู้ป่วยเข้าถึงบริการสุขภาพของ ผู้ป่วยที่ได้รับคำแนะนำรูปแบบปกติร่วมกับสื่อวีดิทัศน์ลดลง โดยผู้ป่วยแสดงอาการแพ้ยาชนิดรุนแรงน้อยกว่า ร้อยละ 12 (adjusted OR 0.88; 0.28-2.78) และแสดงอาการนำมากกว่าร้อยละ 64 (adjusted OR 1.64; 0.57-4.53) เมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ได้รับคำแนะนำรูปแบบปกติแสดงดังตารางที่ 2 ผู้ป่วยที่มีประวัติแพ้ยา ณ โรงพยาบาลระยอง ระหว่าง 1 ส.ค. 63- 30 ต.ค. 65 จำนวน 12,912 ราย 3,416 ราย 212 ราย 196 ราย อาการนำ 21 ราย แพ้ยาอาการอื่น ๆ 159 ราย ผู้ป่วยที่มีประวัติแพ้ยาอยู่เดิม 9,496 ราย ผู้ป่วยแพ้ยาชนิดอื่น ๆ 3,204 ราย ผู้ป่วยได้รับยานอกช่วงการศึกษา 16 ราย ได้รับวีดิทัศน์ 8 ราย รูปแบบปกติ 13 ราย ได้รับวีดิทัศน์ 64 ราย รูปแบบปกติ 95 ราย แพ้ยาชนิดรุนแรง 16 ราย ได้รับวีดิทัศน์ 5 ราย รูปแบบปกติ 11 ราย 45


Click to View FlipBook Version