2 ระยะทาง 40 เมตร ทั้งก8อนและหลังการติดเทปทันที การวิเคราะหcข>อมูลใช>สถิติพรรณนาอธิบายข>อมูลพื้นฐาน, Kolmogorov-Smirnov เพื่อวิเคราะหcการแจกแจงของข>อมูล และ Wilcoxon Signed Ranks Test กำหนดค8า นัยสำคัญที่ <.05 เพื่อเปรียบเทียบอาการปวดขณะเดินก8อนและหลังการติดเทป ด>วยโปรแกรมสำเร็จรูป SPSS for Mac Statistics Subscription ผลการศึกษาและอภิปรายผลการศึกษา กลุ8มตัวอย8างจำนวน 37 คน (ชาย 4 คน, หญิง 33 คน, อายุเฉลี่ย 60±9.79 ปò) พบว8ามีอาการปวดเข8า ขณะเดินก8อนการติด KT (VASpre) ระหว8าง 1-9 (5.81±1.76) และภายหลังการติด KT (VASpost) ระหว8าง 0-4 (0.9±1.17) เมื่อเปรียบเทียบอาการปวดขณะเดินก8อนและหลังการติด KT พบว8ามีความแตกต8างกันอย8างมี นัยสำคัญทางสถิติ (Z=-5.331, p <0.001 ) สอดคล>องกับการศึกษาของ Campolo M. และคณะ (2013) ทำการศึกษาเปรียบเทียบผลการติดเทป 2 วิธีการ คือ KT และ McConnell taping technique ขณะขึ้นบันไดใน ผู>ป?วยปวดเข8า 20 คน พบว8าผู>ป?วยมีอาการปวดลดลงทั้ง 2 กลุ8ม ซึ่งยังมีการศึกษา Takasaki H. และคณะ (2013) 2 กล8าวถึงอาการปวดที่ลดลงอย8างทันทีขณะทำกิจกรรมจากการติด KT ร8วมกับการรักษาปกติในผู>ป?วยข>อเข8าเสื่อม Aghapour E. และคณะ (2017) ได>ศึกษาผลของการติด KT ที่มีต8อกำลังกล>ามเนื้อ Vastus medialis oblique (VMO) ในนักกีฬา 15 คน ที่มีอาการปวดเข8าจาก Patellofemoral pain พบว8าในกลุ8มติด KT มีค8า peak torque, functional test (step down และ bilateral squat) และอาการปวดที่ลดลง จากการทบทวนวรรณกรรมพบว8า อาการปวดที่ลดลงอาจเนื่องมาจากผลทางสรีรวิทยาทั้งที่ระดับชั้นผิวหนัง ชั้นพังผืดกล>ามเนื้อ ชั้นกล>ามเนื้อ และ แนวการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ (Alignment dysfunction)จึงให>เกิดผลในทางที่ดีแต8ทั้งนี้มีการศึกษา Demirci S. และคณะ (2017) เปรียบเทียบอาการปวด ฟ\งกcชั่น และการทรงตัว จากการรักษา 2 วิธีการ คือ KT และ Mobilization with movement (MWM) เปvนเวลา 6 สัปดาหc ในผู>ป?วย Patellofemoral pain พบว8าการกลุ8ม ติด KT สามารถลดอาการปวดได>มากกว8ากลุ8ม MWM ในช8วง 2 สัปดาหcแรก แต8หลังจากนั้นพบว8ากลุ8ม MWM ช8วย ลดปวดได>มากกว8ากลุ8มติด KT และภายในกลุ8มติด KT เองมีอาการปวดที่คงที่จนถึงสัปดาหcที่ 6 จากการศึกษานี้จึง อาจกล8าวได>ว8าการติด KT เพียงอย8างเดียวไม8สามารถทำให>ผู>ป?วยหายจากอาการของโรคได> ควรได>รับการรักษาใน ขั้นตอนปกติและออกกำลังกายร8วมด>วย สรุปและขKอเสนอแนะ จากการศึกษานี้พบว8าการติด KT ในผู>ป?วยข>อเข8าเสื่อมสามารถช8วยลดอาการปวดขณะเดินได>อย8างทันที ทั้งนี้การติดเทปเปvนการลดกลไกที่ทำให>เกิดอาการปวดจากการเคลื่อนไหวของข>อต8อ การวิเคราะหcป\ญหาและ เข>าใจถึงกลไกการเคลื่อนไหวของข>อเข8าจึงมีความสำคัญและผู>ติดควรมีทักษะในการใช>เทป เพื่อให>การติดเทปมี ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และควรมีการออกกำลังกายควบคู8ไปด>วย สุดท>ายแล>วผู>ป?วยจะสามารถทำกิจวัตร ประจำวันได>อย8างปกติและเปvนการยืดเวลาในการใช>เข8าโดยไม8มีอาการปวดไปได>อีกนาน และอาจเปvนส8วนช8วยหนึ่ง 196
3 ด>านการดูแลสุขภาพตามแผนผู>สูงอายุแห8งชาติจากการศึกษานี้สามารถต8อยอดการศึกษาในครั้งต8อไป โดยใช> ร8วมกับการคัดกรองและประเมินสุขภาพผู>สูงอายุ ของกระทรวงสาธารณสุข ในผู>สูงอายุที่ผลการประเมินพบว8ามี ภาวะเข8าเสื่อมทางคลินิกและยังสามารถใช>ร8วมกับการประเมินความเสี่ยงหกล>ม Time Up and Go ได> เอกสารอKางอิง Aghapour E., Kamali F., Sinaei E. (2017). Effects of Kinesio Taping® on knee function and pain in athletes with patellofemoral pain syndrome. Journal of Bodywork & Movement Therapies, 21(4), 835-839. Aktas, G., & Baltaci, G. (2011). Does kinesio taping increase knee muscle strength and functional performance?. Isokinetics and Exercise Science, 19, 149-155. Campolo M, Babu J, Dmochowska K, Scariah S, Varughese J. (2013). A comparison of two taping techniques (kinesio and mcconnell) and their effect on anterior knee pain during functional activities. International Journal of Sports Physical Therapy, Apr 8(2), 105-110. Fu, T.C., Wong, A.M., Pei, Y.C., Wu, K.P., Chou, S.W., & Lin, Y.C. (2008). Effect of Kinesio taping on muscle strength in athletes-a pilot study. Journal of Science and Medicine in Sport, 11, 198-201. Kase, K., Wallis, J., & Kase, T. (2003). Clinical therapeutic applications of the kinesio taping method (2nd ed.). 197
ประสิทธิผลของการพัฒนาคุณภาพระบบการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉิน โรงพยาบาลบ้านบึง จังหวัดชลบุรี The Effectiveness of Quality Development for Emergency Referral System Banbung Hospital Chonburi Province มัทนา ศิริโชคปรีชา แผนกอุบัติเหตุฉุกเฉิน โรงพยาบาลบ้านบึง: ผู้น าเสนอผลงาน อนิสา อรัญคีรี วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพัฒนา (Development Research) มีวัตุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผล ของการพัฒนาคุณภาพระบบการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉิน โรงพยาบาลบ้านบึง จังหวัดชลบุรีกลุ่มตัวอย่างเป็นแบบบันทึก ประเมินผู้ป่วยฉุกเฉินระหว่างส่งต่อ ก่อนการพัฒนา ตั้งแต่ ธันวาคม 2565 ถึง กุมภาพันธ์ 2566จ านวน 225 ฉบับ และหลังการพัฒนา ตั้งแต่เมษายน 2566ถึง มิถุนายน 2566จ านวน 224 ฉบับ เครื่องมือวิจัย คือแนวปฏิบัติการส่ง ต่อผู้ป่วย กลุ่มงานการพยาบาล โรงพยาบาลบ้านบึง และเครื่องมือรวบรวมข้อมูล คือ แบบประเมินผู้ป่วยระหว่างส่งต่อ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าคะแนนเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบ สัดส่วนคุณภาพการดูแลผู้ป่วยส่งต่อ และอัตราอุบัติการณ์ความรุนแรงทางคลินิกตั้งแต่ระดับ C ขึ้นไป ก่อนและหลัง การพัฒนาคุณภาพระบบการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉิน ด้วย proportion test ผลการศึกษาพบว่า ภายหลังการพัฒนาคุณภาพระบบการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉิน ผู้ป่วยฉุกเฉินได้รับการดูแล เหมาะสม ครบถ้วนตามความจ าเป็นและถูกต้องตามมาตรฐานเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 94.20 เป็นร้อยละ 99.10 และ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ (Z = 5.54, p <.001) และมีคุณภาพการดูแลรายด้านเพิ่มขึ้นทั้ง 5 ด้าน โดยพบว่า การประเมินสัญญาณชีพ การดูแลทางเดินหายใจ การดูแลการหายใจและการดูแลระบบไหลเวียน มีสัดส่วนการ ดูแลที่เหมาะสมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ (Z = 5.55, p < .001); (Z = 3.09, p = .001); (Z = 3.09, p = .001) และ(Z = 2.34, p = .01) ตามล าดับ ส่วน การดูแลบาดแผล และการดามอวัยวะที่หัก พบว่าทั้งก่อนและ หลังพัฒนา สัดส่วนการดูแลที่เหมาะสมไม่แตกต่างกัน นอกจากนี้พบว่า อัตราอุบัติการณ์ความรุนแรงทางคลินิก ตั้งแต่ระดับ C ขึ้นไปหลังการพัฒนาคุณภาพยังลดลง จาก 2.70 เหลือ 0.9 แต่ลดลงอย่างไม่มีนัยส าคัญทางสถิติ (Z = 1.43, p = .07) สรุปผล การมีแนวปฏิบัติการส่งต่อผู้ป่วยที่ให้ความส าคัญ สมรรถนะบุคลากรส่งต่อ การมีอัตราการก าลัง ส่งต่อเหมาะสมกับระดับความรุนแรงผู้ป่วย การบริหารกระบวนการส่งต่อตั้งแต่ เตรียมความพร้อมก่อนส่งต่อ การ เฝ้าระวังแก้ไขปัญหาระหว่างส่งต่อ ตลอดจนการควบคุมก ากับในการท างานของบุคลากร จะท าให้ผู้ป่วยได้รับการดูแล ส่งต่อที่มีคุณภาพ และลดอัตราอุบัติการณ์ความรุนแรงทางคลินิกได้ ซึ่งโรงพยาบาลต่าง ๆ จึงควรให้ความส าคัญ ค าส าคัญ: การพัฒนาคุณภาพระบบการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินในการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน 198
ประสิทธิผลของการพัฒนาคุณภาพระบบการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉิน โรงพยาบาลบ้านบึง จังหวัดชลบุรี The Effectiveness of Quality Development for Emergency Referral System Banbung Hospital Chonburi Province มัทนา ศิริโชคปรีชา แผนกอุบัติเหตุฉุกเฉิน โรงพยาบาลบ้านบึง: ผู้น าเสนอผลงาน อนิสา อรัญคีรี วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก ความส าคัญของปัญหา แผนบริการสุขภาพ (service plan) ปีพ.ศ. 2555-2559 ได้ใช้หลักเครือข่ายบริการไร้รอยต่อ (seamless heath service network) การจัดระดับโรงพยาบาลรับส่งต่อ (referral hospital cascade) เพื่อให้ใช้ และจัดสรรทรัพยากรภายในเครือข่ายให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด หลีกเลี่ยงการลงทุนซ้ าซ้อน และขจัดการแข่งขัน (กองบริหารการสาธารณสุข, 2562) ดังนั้นการจัดระบบส่งต่อเมื่อเกินศักยภาพของโรงพยาบาลแต่ละระดับ จ าเป็นต้องวางระบบส่งต่อผู้ป่วยที่เชื่อมโยงกันระหว่างสถานพยาบาลด้วยระบบส่งต่อที่ปลอดภัย เพื่อให้ประชาชนที่ เจ็บป่วยได้รับการดูแลรักษาที่เหมาะสม ครอบคลุม และมีคุณภาพได้มาตรฐาน จากการทบทวนวรรณกรรมพบว่าการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินไปยังสถานพยาบาลที่มีศักยภาพ จ าเป็นต้อง บริหารจัดการให้บุคลากรพร้อมปฏิบัติงาน มีสมรรถนะด้านความรู้และทักษะในการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินหรือแก้ไข คุกคามชีวิตได้ มีรถและพนักงานขับรถที่พร้อมด้วยอุปกรณ์ และการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ (สถาบันการแพทย์ ฉุกเฉินแห่งชาติ, 2557) ที่ผ่านมาหลายโรงพยาบาลมีปัญหาเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่เป็นอันตรายกับผู้ป่วยในการ ส่งต่อ (มณฑา คงรัสโร, 2563)ซึ่งถ้ามีคุณภาพการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินตามมาตรฐานทั้งด้านบุคลากร และอุปกรณ์ต่าง ๆ รวมทั้งรถพยาบาล ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเตรียมการส่งต่อผู้ป่วย การด าเนินการระหว่างส่งต่อผู้ป่วย และขั้นการ ส่งมอบผู้ป่วย (นุชรี ศรีสุกใส, 2564) ตลอดจนการจัดอัตราก าลังที่เหมาะสมกับการจ าแนกประเภทผู้ป่วย (พนิดา เขตอริยกุล, 2554) ก็จะช่วยลดภาวะแทรกซ้อนของผู้ป่วยที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างการส่งต่อได้ จากข้อมูลสถิติการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉิน โรงพยาบาลบ้านบึงมีปัญหาการดูแลส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉิน ซึ่งถูก ประเมินคุณภาพการส่งต่อโดยโรงพยาบาลศูนย์จังหวัด ปี 2563 เดือน พฤษภาคม - กันยายน 2563 พบว่า มี ผู้ป่วยส่งต่อทั้ง 330 ราย เกิดอุบัติการณ์คลินิกตั้งแต่ระดับ C ขึ้นไป 5 ราย จ าแนกเป็น C 2 ราย, D 1 ราย, E2 ราย(ไม่ได้เฝ้าระวัง สัญญาณชีพ เมื่อไปถึงปลายทางผู้ป่วยช็อกได้ทบทวนและพัฒนา และผู้ป่วยต่อเครื่องช่วยหายใจ ระหว่างส่งต่อเครื่องไม่ท างาน) ปี2564 จึงได้หาสาเหตุ แก้ไขปัญหา พัฒนาบุคลากรส่งต่อ จัดระบบปฐมนิเทศ พยาบาลใหม่ที่ขึ้นเวรส่งต่อ เนื่องจากตารางเวรส่งต่อ เป็นพยาบาลมาจากหน่วยงานต่างๆ และก าหนดความรู้ ทักษะที่จ าเป็นและด าเนินการจัดอบรมพร้อมทั้งสื่อสารกระบวนการดูแลผู้ป่วยส่งต่อ ในปี 2565 ติดตามผลยังพบ อัตราอุบัติการณ์ความรุนแรงทางคลินิกตั้งแต่ระดับ C ขึ้นไป จ านวน 63 ราย ถึงแม้ด้านคุณภาพการดูแลทางเดิน หายใจดูแลระบบไหลเวียน ดูแลบาดแผล และดูแลอวัยวะส่วนที่หัก มีความเหมาะสมเป็นส่วนใหญ่ ร้อยละ 99.33, 98.00, 98.65 และ 99.71 ตามล าดับ (โรงพยาบาลบ้านบึง, 2565) ผู้วิจัยจึงตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว จึงได้ วิเคราะห์สาเหตุอุบัติการณ์ พบว่าเกิดจาก สมรรถนะบุคลากรไม่เพียงพอ แนวทางปฏิบัติงานส่งต่อยังไม่ชัดเจนจาก บริบทที่เปลี่ยนแปลงไป การบริหารด้านอัตราก าลังและการก ากับดูแล จึงมีการพัฒนาคุณภาพระบบการส่งต่อผู้ป่วย ฉุกเฉิน ด้วยวงล้อ PDCA โดยสิ่งที่ปรับปรุงเพิ่มเติม คือ แนวทางปฏิบัติงานส่งต่อมอบหมายหน้าที่รับผิดชอบของ หัวหน้าเวร พยาบาลส่งต่อที่ชัดเจน ตั้งแต่เตรียมความพร้อมก่อนส่งต่อ ขณะส่งต่อและการส่งมอบผู้ป่วย มีการ ก ากับดูแล บริหารอัตราก าลังส่งต่อให้เหมาะสมกับความรุนแรงผู้ป่วย และ พัฒนาบุคลากรเป็นระยะๆ ด้วยระบบพี่ เลี้ยงสอนหน้างาน /กิจกรรม share and learn ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาผลของการคุณภาพระบบส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉิน วัตถุประสงค์ 199
เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการพัฒนาคุณภาพระบบการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉิน โรงพยาบาลบ้านบึง จังหวัด ชลบุรี สมมุติฐานการวิจัย 1. หลังพัฒนาคุณภาพระบบการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉิน คุณภาพการดูแลผู้ป่วยที่ได้รับการส่งต่ออย่าง เหมาะสม ครบถ้วนตามความจ าเป็นและถูกต้องตามมาตรฐาน ทั้งรายด้านและโดยรวม ตามระดับความรุนแรงของ ผู้ป่วยมีมากกว่าก่อนการพัฒนาคุณภาพระบบส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉิน 2. หลังพัฒนาคุณภาพระบบการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉิน อัตราอุบัติการณ์ความรุนแรงทางคลินิก ตั้งแต่ระดับ C ขึ้นไป ลดลง วิธีการศึกษา: การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพัฒนา (Development Research) โดยกลุ่มตัวอย่างคือ แบบบันทึก ประเมินผู้ป่วยระหว่างส่งต่อ และได้รับประเมินคุณภาพการส่งต่อโดยโรงพยาบาลศูนย์จังหวัด ใช้เกณฑ์คัดเข้า คือ ผู้ป่วยอายุ 12 ปีขึ้นไป ที่รับบริการห้องอุบัติเหตุฉุกเฉิน และมีพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในตารางเวรส่งต่อของ องค์กรพยาบาลโรงพยาบาลบ้านบึง ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา คือตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2565 เป็นต้นมา และเกณฑ์ การคัดออก ได้แก่ผู้ป่วยฉุกเฉินเป็นผู้ป่วยจิตเวช,ผู้ป่วยไม่ได้รับการประเมินคุณภาพส่งต่อ ขนาดกลุ่มตัวอย่างใช้ ตารางของทาโร่ ยามาเน่ค านวณตามเกณฑ์ประชากร 526 คน โดยใช้ระดับความคลาดเคลื่อน (e) ± ร้อยละ 6 ได้ ขนาดกลุ่มตัวอย่างจ านวนอย่างน้อยในแต่ละระยะ 182 คน เก็บข้อมูล 2 ระยะ คือ 1) ก่อนพัฒนา ธันวาคม 2565 ถึง กุมภาพันธ์ 2566 จ านวน225ฉบับ และ 2) หลังพัฒนา เมษายน 2566ถึง มิถุนายน 2566จ านวน 224 ฉบับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าคะแนนเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบ คุณภาพการดูแลผู้ป่วยส่งต่อ และอัตราอุบัติการณ์ความรุนแรงทางคลินิกตั้งแต่ระดับ C ขึ้นไป ก่อนและหลังการ พัฒนาคุณภาพ ด้วย proportion test ผ่านการรับรองจากคณะกรรมการจริยธรรมวิจัยในมนุษย์ ส านักงาน สาธารณสุขจังหวัดชลบุรี เลขที่หนังสือรับรอง 028-2566 ผลการศึกษา: ผลการศึกษาพบว่า ภายหลังการพัฒนาคุณภาพระบบการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉิน ผู้ป่วยฉุกเฉินได้รับการดูแล เหมาะสมเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 94.20 เป็นร้อยละ 99.10 และเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ (Z = 5.54, p <.001) และมีคุณภาพการดูแลรายด้านเพิ่มขึ้น5 ด้าน โดยพบว่า การประเมินสัญญาณชีพ การดูแลทางเดินหายใจ การดูแล หายใจและการดูแลระบบไหลเวียน มีสัดส่วนการดูแลเหมาะสมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ (Z = 5.55, p < .001); (Z = 3.09, p = .001); (Z = 3.09, p = .001) และ(Z = 2.34, p = .01) ตามล าดับ ส่วนด้านการดูแล บาดแผล และการดูแลการดามอวัยวะส่วนที่หัก พบว่าทั้งก่อนและหลังการพัฒนาสัดส่วนการดูแลที่เหมาะสมไม่ แตกต่างกัน นอกจากนี้อัตราอุบัติการณ์ความรุนแรงทางคลินิกตั้งแต่ระดับ C ขึ้นไปหลังการพัฒนาคุณภาพยังลดลง จาก 2.70 เหลือ 0.90 แต่ แต่ลดลงอย่างไม่มีนัยส าคัญทางสถิติ (Z = 1.43, p = .07) อภิปรายผลการศึกษา ภายหลังการพัฒนาคุณภาพระบบการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉิน การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับการส่งต่อมีความ เหมาะสมโดยรวมและรายด้าน 5 ด้านพบว่า ด้านเฝ้าระวังสัญญาณชีพ การดูแลทางเดินหายใจ การดูแลการหายใจ และการดูแลระบบไหลเวียน มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยส าคัญสถิติ เมื่อพิจารณา ด้านคุณภาพการดูแลผู้ป่วยทุก ระดับความรุนแรงได้รับการดูแลเหมาะสมจากร้อยละ 94.20 เป็นร้อยละ 99.10ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยส าคัญสถิติ เช่นกัน ทั้งนี้จากการพัฒนาแนวปฏิบัติและขั้นตอนส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินองค์กรพยาบาล โรงพยาบาลบ้านบึงที่ชัดเจน และการบริหารทรัพยากรที่เหมาะสม การพัฒนาสมรรถนะบุคลากรตามส่วนขาด รวมถึงความพร้อมของรถพยาบาล 200
เครื่องมืออุปกรณ์และการก ากับดูแล เนื่องจากได้พัฒนาตามแนวทางการดูแลตามกระบวนการและขั้นตอนการ ปฏิบัติการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินระหว่างสถานพยาบาล (สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.), 2557)และกอง บริหารการสาธารณสุข, (2562) ซึ่งสอดคล้องกับ พนิดา เขตอริยกุล(2554) ที่กล่าวถึง การจัดอัตราก าลังที่ เหมาะสมขึ้นกับการจ าแนกประเภทผู้ป่วย ในโรงพยาบาลชุมชน จ าเป็นที่จะต้องจัด บุคลากร อุปกรณ์ และรถส่งต่อที่ มีประสิทธิภาพ มีความพร้อมตลอดเวลา จะเห็นได้ว่าหลังพัฒนา มีการจัดจ านวนพยาบาลส่งต่อ 2 คน มีสัดส่วน เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 9.8 เป็นร้อยละ27.2 และจัดอัตราก าลังคนจะค านึงถึงสมรรถนะด้านความรู้และทักษะที่ใช้ใน การส่งต่อให้เหมาะสมกับระดับความรุนแรง นอกจากนี้ด้านอัตราอุบัติการณ์ความรุนแรงทางคลินิกลดลง จาก 2.70 เหลือ 0.90แต่ลดลงอย่างไม่มีนัยส าคัญ ทั้งนี้เนื่องจากระบบการส่งต่อที่พัฒนาขึ้น ใช้การมีส่วนร่วมบุคลากร ของ แพทย์ พยาบาล แผนกอุบัติเหตุฉุกเฉิน ตั้งแต่การพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้อง การเตรียมอุปกรณ์ดูแลผู้ป่วย แนว ปฏิบัติการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉิน ซึ่งสอดคล้องกับจักรพงศ์ ปิติโชคโภคินท์, มยุนา ศรีสุภนันต์, สุรีย์ จันทรโมรี, และ ประภาเพ็ญ สุวรรณ, 2562) ได้ศึกษาพัฒนารูปแบบการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินที่มีภาวะวิกฤตโรงพยาบาลนาตาล จังหวัดอุบลราชธานี ผลพบว่า การพัฒนารูปแบบส่งต่อที่เหมาะสม เริ่มตั้งแต่ การเตรียม การเคลื่อนย้าย การจัด ทรัพยากร ทีมที่เหมาะสม รวมทั้งพยาบาลที่มีประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินที่มีภาวะวิกฤต ต้องมี ความคุ้นเคยกับอุปกรณ์ที่ใช้ ในการเคลื่อนย้าย จะช่วยลดความเสี่ยงระหว่างส่งต่อได้ สรุปและข้อเสนอแนะ: การมีแนวปฏิบัติการส่งต่อผู้ป่วยที่ให้ความส าคัญ สมรรถนะบุคลากรส่งต่อ การมีอัตราการก าลังส่งต่อเหมาะสม กับระดับความรุนแรงผู้ป่วย การบริหารกระบวนการส่งต่อตั้งแต่ความพร้อมก่อนส่งต่อ ระหว่างส่งต่อส่งมอบ รวมถึงการก ากับในการท างานจะท าให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลส่งต่อที่มีคุณภาพ ซึ่งโรงพยาบาลต่าง ๆควรให้ความส าคัญ การน าผลงานไปใช้ประโยชน์ 1.ผู้บริหารสามารถน าการบริหารจัดการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉิน ไปปรับปรุงแก้ไขพัฒนางาน ระบบรับส่งต่อให้ดียิ่งขึ้น 2.สามารถน าไปใช้เพื่อลดอุบัติการณ์การเกิดภาวะแทรกซ้อนหรืออุบัติการณ์ไม่พึงประสงค์ขณะส่งต่อได้ 3.น าระบบส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉิน ที่พัฒนาขึ้นไปใช้ในหน่วยงานอื่นๆในโรงพยาบาล เอกสารอ้างอิง กองบริหารการสาธารณสุข, (2562). คู่มือแนวทางการพัฒนาระบบรับส่งต่อผู้ป่วย. (ม.ป.ท.): ส านักงาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข. จักรพงศ์ ปิติโชคโภคินท์, มยุนา ศรีสุภนันต์, สุรีย์ จันทรโมรี, และประภาเพ็ญ สุวรรณ, (2562). การพัฒนารูปแบบการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินที่มีภาวะวิกฤต โรงพยาบาลนาตาล จังหวัดอุบลราชธานี. วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ, 37(1).88-97. โรงพยาบาลบ้านบึง. (2565). รายงานข้อมูลสถิติหน่วยงานอุบัติเหตุฉุกเฉิน. โรงพยาบาลบ้านบึง. นุชรี ศรีสุกใส, (2564). การพัฒนาและประเมินประสิทธิผลการใช้แนวทางปฏิบัติ ในการส่งต่อผู้ป่วยทางน้ า. วารสารวิจัยและนวัตกรรมทางสุขภาพ, 4 (1). 84 -98. พนิดา เขตอริยกุล. (2554) การจัดอัตราก าลังบุคลากรพยาบาล ตามระบบการจ าแนกประเภทผู้ป่วยหอผู้ป่วย ในโรงพยาบาลขามสะแกแสง จังหวัดนครราชสีมา. วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนครราชสีมา มกราคม–มิถุนายน 17(1).5–16. https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/6629 สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ. (2557). การปฏิบัติการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินระหว่างสถานพยาบาล.นนทบุรี: บริษัท อัลทิเมท พริ้นติ้ง จ ากัด 201
การพัฒนาแนวทางปฏิบัติการพยาบาลวิสัญญีในการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ด้วย ERAS Protocol โรงพยาบาลบ้านบึง The development of nurse anesthetists practice guideline for surgery colorectal cancer patients with ERAS Protocol, Ban Bueng Hospital สุคนธ์ทิพย์ กุลประยงค์(พย.บ.)1* ฉัตรแก้ว เกื้อสงค์(พย.บ.)2 1,2โรงพยาบาลบ้านบึง จังหวัดชลบุรี บทคัดย่อ การวิจัยและพัฒนานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแนวทางปฏิบัติการพยาบาลวิสัญญีในการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดมะเร็ง ลำไส้ใหญ่และทวารหนักด้วย ERAS Protocol โรงพยาบาลบ้านบึง ประกอบด้วย 3 ระยะ คือ 1) วิเคราะห์แนวทาง ปฏิบัติการพยาบาลวิสัญญีในการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักตามมาตรฐานเดิม 2) พัฒนาแนวทาง ปฏิบัติการพยาบาลวิสัญญีฯด้วย ERAS Protocol และ3) ประเมินผลแนวทางปฏิบัติการพยาบาลวิสัญญีฯ กลุ่มตัวอย่าง เลือกแบบเจาะจง โดยมีวิสัญญีพยาบาลจำนวน 7 คนและผู้ป่วยที่รับบริการผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักจำนวน 30 คน เก็บข้อมูลระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ - มิถุนายน 2566 เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย 1) แนวทางการสนทนากลุ่ม 2) แบบทดสอบความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติการพยาบาลวิสัญญีในการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักด้วย ERAS Protocol 3) แบบประเมินความคิดเห็นของวิสัญญีพยาบาลต่อแนวทางปฏิบัติการพยาบาลวิสัญญีฯ และ4) แบบ บันทึกผลการใช้แนวทางปฏิบัติการพยาบาลวิสัญญีฯ ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.92 วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ด้วยสถิติ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ pair t-test ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษา 1.สถานการณ์การใช้แนวทางปฏิบัติเดิมจำเป็นต้องพัฒนาต่อยอดเพื่อลดการเกิดอุบัติการณ์ ภาวะแทรกซ้อนและส่งเสริมการฟื้นตัวหลังผ่าตัด 2.มีแนวทางปฏิบัติการพยาบาลวิสัญญีในการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดมะเร็ง ลำไส้ใหญ่และทวารหนักด้วย ERAS Protocol ประกอบด้วย ระยะก่อน ระหว่างและหลังให้การระงับความรู้สึก 3. วิสัญญี พยาบาลมีคะแนนความรู้เฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง (M=13.00, SD = 1.00) โดยต้องพัฒนาความรู้ ด้านการฝึกหายใจ และไออย่างมีประสิทธิภาพก่อนผ่าตัด และการจัดการความปวด หลังการให้ความรู้ วิสัญญีพยาบาลมีคะแนนความรู้เฉลี่ย แตกต่างจากก่อนให้ความรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติอย่างสูง (P<.001) 4.วิสัญญีพยาบาลมีความคิดเห็นต่อการใช้แนวทาง ปฏิบัติฯในระดับมากที่สุด(M=4.81, SD = .13) โดยเฉพาะช่วยส่งเสริมให้เกิดการยกระดับความรู้และพัฒนาคุณภาพการ พยาบาลวิสัญญี 5. ไม่พบอุบัติการณ์การใส่ท่อช่วยหายใจซ้ำหลังผ่าตัด 6.ปวดแผลผ่าตัดหลังผ่าตัดลดลง ร้อยละ 27.90 ข้อเสนอแนะ ควรส่งเสริมการประยุกต์ใช้ ERAS Protocol แบบสหสาขาวิชาชีพและติดตามประเมินผลเป็น ระยะเพื่อให้เกิดการพัฒนาคุณอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน คำสำคัญ : แนวทางปฏิบัติ วิสัญญีพยาบาล ERAS Protocol มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก 202
การพัฒนาแนวทางปฏิบัติการพยาบาลวิสัญญีในการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ด้วย ERAS Protocol โรงพยาบาลบ้านบึง The development of nurse anesthetists practice guideline for surgery colorectal cancer patients with ERAS Protocol, Ban Bueng Hospital สุคนธ์ทิพย์ กุลประยงค์(พย.บ.)1* ฉัตรแก้ว เกื้อสงค์(พย.บ.)2 1,2โรงพยาบาลบ้านบึง จังหวัดชลบุรี บทคัดย่อ การวิจัยและพัฒนานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแนวทางปฏิบัติการพยาบาลวิสัญญีในการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดมะเร็ง ลำไส้ใหญ่และทวารหนักด้วย ERAS Protocol โรงพยาบาลบ้านบึง ประกอบด้วย 3 ระยะ คือ 1) วิเคราะห์แนวทาง ปฏิบัติการพยาบาลวิสัญญีในการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักตามมาตรฐานเดิม 2) พัฒนาแนวทาง ปฏิบัติการพยาบาลวิสัญญีฯด้วย ERAS Protocol และ3) ประเมินผลแนวทางปฏิบัติการพยาบาลวิสัญญีฯ กลุ่มตัวอย่าง เลือกแบบเจาะจง โดยมีวิสัญญีพยาบาลจำนวน 7 คนและผู้ป่วยที่รับบริการผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักจำนวน 30 คน เก็บข้อมูลระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ - มิถุนายน 2566 เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย 1) แนวทางการสนทนากลุ่ม 2) แบบทดสอบความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติการพยาบาลวิสัญญีในการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักด้วย ERAS Protocol 3) แบบประเมินความคิดเห็นของวิสัญญีพยาบาลต่อแนวทางปฏิบัติการพยาบาลวิสัญญีฯ และ4) แบบ บันทึกผลการใช้แนวทางปฏิบัติการพยาบาลวิสัญญีฯ ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.92 วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ด้วยสถิติ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ pair t-test ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษา 1.สถานการณ์การใช้แนวทางปฏิบัติเดิมจำเป็นต้องพัฒนาต่อยอดเพื่อลดการเกิดอุบัติการณ์ ภาวะแทรกซ้อนและส่งเสริมการฟื้นตัวหลังผ่าตัด 2.มีแนวทางปฏิบัติการพยาบาลวิสัญญีในการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดมะเร็ง ลำไส้ใหญ่และทวารหนักด้วย ERAS Protocol ประกอบด้วย ระยะก่อน ระหว่างและหลังให้การระงับความรู้สึก 3. วิสัญญี พยาบาลมีคะแนนความรู้เฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง (M=13.00, SD = 1.00) โดยต้องพัฒนาความรู้ ด้านการฝึกหายใจ และไออย่างมีประสิทธิภาพก่อนผ่าตัด และการจัดการความปวด หลังการให้ความรู้ วิสัญญีพยาบาลมีคะแนนความรู้เฉลี่ย แตกต่างจากก่อนให้ความรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติอย่างสูง (P<.001) 4.วิสัญญีพยาบาลมีความคิดเห็นต่อการใช้แนวทาง ปฏิบัติฯในระดับมากที่สุด(M=4.81, SD = .13) โดยเฉพาะช่วยส่งเสริมให้เกิดการยกระดับความรู้และพัฒนาคุณภาพการ พยาบาลวิสัญญี 5. ไม่พบอุบัติการณ์การใส่ท่อช่วยหายใจซ้ำหลังผ่าตัด 6.ปวดแผลผ่าตัดหลังผ่าตัดลดลง ร้อยละ 27.90 ข้อเสนอแนะ ควรส่งเสริมการประยุกต์ใช้ ERAS Protocol แบบสหสาขาวิชาชีพและติดตามประเมินผลเป็น ระยะเพื่อให้เกิดการพัฒนาคุณอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน คำสำคัญ : แนวทางปฏิบัติ วิสัญญีพยาบาล ERAS Protocol มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก 203
1. ชื่อเรื่อง การพัฒนาแนวทางปฏิบัติการพยาบาลวิสัญญีในการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักด้วย ERAS Protocol โรงพยาบาลบ้านบึง (The development of nurse anesthetists practice guideline for surgery colorectal cancer patients with ERAS Protocol, Ban Bueng Hospital) 2. ผู้วิจัยหรือคณะผู้วิจัย นางสาวสุคนธ์ทิพย์ กุลประยงค์ และนางฉัตรแก้ว เกื้อสงค์พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ หน่วยงานการพยาบาลผู้ป่วยผ่าตัดและวิสัญญีพยาบาล โรงพยาบาลบ้านบึง 3. ชื่อผู้นำเสนอผลงาน นางสาวสุคนธ์ทิพย์ กุลประยงค์ 4. ความสำคัญของปัญหา โรคมะเร็งเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของทุกประเทศ เป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของการเสียชีวิตของประชากรไทยตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน (สถาบันมะเร็งแห่งชาติ, 2564) การรักษาโรคมะเร็งมีหลายวิธี ได้แก่ รังสีรักษา เคมีบำบัด การผ่าตัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิธีการผ่าตัด ซึ่งเป็นการผ่าตัดใหญ่ที่มีการให้การระงับความรู้สึกขณะผ่าตัด และมีโอกาสของการเกิดผลข้างเคียงหลังการผ่าตัด ทำให้เกิด ภาวะแทรกซ้อน ส่งผลต่อการฟื้นตัวหลังผ่าตัดของผู้ป่วยเป็นไปอย่างล่าช้า จำนวนวันนอนโรงพยาบาลและอัตราการครองเตียงเพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายในการรักษาเพิ่ม (สิริอร ข้อยุ่น, วริศรา ภู่ทวีและอาภา ศรีสร้อย, 2562)ในปีพ.ศ. 2563 -2565 โรงพยาบาลบ้านบึง มีผู้ป่วยที่เข้า รับการผ่าตัดทั้งหมด จำนวน 2,084, 1,773 และ 2,476 ราย ตามลำดับ เป็นผู้ป่วยผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักจำนวน 28, 32 และ 58 รายตามลำดับ ซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นพบอุบัติการณ์เกิดภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด 1) มีการใส่ท่อช่วยหายใจซ้ำ ภายใน 2 ชั่วโมง จำนวน 0, 0 และ 1 ราย ตามลำดับ 2) ภาวะความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดต่ำจำนวน 0,3 และ 6 ราย ตามลำดับ 3) ปวดแผลหลังผ่าตัดความปวด pain score > 6 ใน 24 ชม.แรกหลังผ่าตัด จำนวน 8, 10 และ 14 ราย ตามลำดับ 4) ท้องอืด จำนวน 3, 6 และ 8ราย ตามลำดับ 5) ปอดแฟบ 0, 1 และ 2 ราย ตามลำดับ ส่งผลผู้ป่วยฟื้นตัวช้าทำให้จำนวนวันนอนผู้ป่วยหลังผ่าตัดนานขึ้น เป็น 11 –14 วัน (ข้อมูลสถิติ โรงพยาบาล บ้านบึง) เมื่อทบทวนกระบวนการทำงานพบว่าวิสัญญีพยาบาลได้ปฏิบัติงานตามแนวทางปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดทั่วไปตามมาตรฐาน ซึ่งแม้ว่าจะปฏิบัติตามมาตรฐานแล้ว แต่การเกิดภาวะแทรกซ้อนยังคงมีอยู่และแนวโน้มเพิ่มขึ้น วิสัญญีพยาบาลซึ่งเป็นผู้มีบทบาทที่สำคัญ ต่อการส่งเสริมการฟื้นตัวหลังผ่าตัดทุกช่วงเวลาของการผ่าตัดตระหนักถึงปัญหาการเกิดภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวจึงได้มีการพัฒนาแนวทาง ปฏิบัติการพยาบาลวิสัญญีในการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักโดยกระบวนการมีส่วนร่วมขึ้น โดยการนำ Enhanced Recovery After Surgery (ERAS) Program (Wilmore & Kehlet, 2001) ซึ่งเป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นการดูแลเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนและ ส่งเสริมการฟื้นตัวหลังผ่าตัด มาประยุกต์ใช้ในการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ในการจัดการระบบการดูแลที่ดีตั้งแต่ระยะ ก่อน ระหว่างและหลังให้การระงับความรู้สึก เพื่อช่วยลดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น ส่งเสริมให้การฟื้นตัวหลังผ่าตัดเร็วขึ้น ลด ระยะเวลาการนอนโรงพยาบาล ลดค่าใช้จ่ายและช่วยให้ผู้ป่วยกลับบ้านเร็วขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพการพยาบาลวิสัญญีที่ดีขึ้น 5. วัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาแนวทางปฏิบัติการพยาบาลวิสัญญีในการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักด้วย ERAS Protocol 6. วิธีการศึกษา การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) โดยศึกษาในวิสัญญีพยาบาล จำนวน 7 คนและผู้ป่วยที่มารับบริการผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ที่โรงพยาบาลบ้านบึงทุกรายที่มารับบริการในเดือน กุมภาพันธ์ ถึงเดือนมิถุนายน 2566 จำนวน 30 ราย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 204
ประชากร ประกอบด้วย วิสัญญีพยาบาลที่ปฏิบัติงานโรงพยาบาลบ้านบึง และผู้ป่วยผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่และ ทวารหนักที่มารับบริการผ่าตัดโรงพยาบาลบ้านบึง กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย 2 กลุ่ม ได้แก่ 1)วิสัญญีพยาบาลที่ ปฏิบัติงาน หน่วยงานการพยาบาลผู้ป่วยผ่าตัดและวิสัญญีพยาบาล โรงพยาบาลบ้านบึง ประจำปี 2566 เลือกกลุ่ม ตัวอย่างแบบเจาะจงตามคุณสมบัติที่กำหนด คือเป็นวิสัญญีที่นำแนวทางปฏิบัติการพยาบาลวิสัญญีในการดูแลผู้ป่วยผ่าตัด มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักด้วย ERAS Protocol โรงพยาบาลบ้านบึง ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 7 คน ไปใช้2)ผู้ป่วย ที่มารับบริการผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ที่โรงพยาบาลบ้านบึงทุกราย ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ ถึง มิถุนายน 2566 เครื่องมือการวิจัย1) ข้อคำถามสำหรับการทำกระบวนการกลุ่มที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเองเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์และแนวทางปฏิบัติ ฯ เดิม 2) แบบทดสอบความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติการพยาบาลวิสัญญีในการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักด้วย ERAS Protocol3) แบบประเมินความคิดเห็นของวิสัญญีพยาบาลต่อการพัฒนาแนวทางปฏิบัติการพยาบาลวิสัญญีฯ4) แบบบันทึกผลการใช้ แนวทางปฏิบัติการพยาบาลวิสัญญีฯ นำเครื่องมือไปให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่านตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาด้วยวิธีการหาค่าดัชนีความ สอดคล้อง (IOC) มีค่าอยู่ระหว่าง .60-1.00 ทั้ง 2 ชุด วิเคราะห์ดัชนีความสอดคล้อง ได้เท่ากับ .86 และ .84 ตามลำดับ ปรับปรุงแก้ไขข้อ คำถามตามผู้เชี่ยวชาญแบบประเมินความคิดเห็นของวิสัญญีพยาบาลฯมีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของคอนบาค เท่ากับ .92 การพิทักษ์สิทธิกลุ่มตัวอย่าง งานวิจัยนี้ได้ขอและผ่านการพิจารณารับรองจากคณะกรรมการจริยธรรมวิจัยใน มนุษย์ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชลบุรี หมายเลขโครงการ CBO REC 66-008 วันที่รับรอง 20 มกราคม 2566 วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล/สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ด้วยสถิติ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน และ pair t-test ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา 7. ผลการศึกษา สถานการณ์การใช้แนวทางปฏิบัติเดิมพบว่าแนวทางปฏิบัติเดิมมีความชัดเจน เข้าใจง่าย ครอบคลุมทุกระยะ มีความเป็นไปได้ใน การนำไปใช้ แต่ยังพบอุบัติการณ์การเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักที่สำคัญ ได้แก่ 1) มีการใส่ท่อช่วยหายใจ ซ้ำ ภายใน 2 ชั่วโมงหลังอดท่อช่วยหายใจ จำนวน 1 ราย 2) ภาวะความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดวัดทางปลายนิ้วต่ำหลังถอดท่อช่วย หายใจ จำนวน 6 ราย 3) ปวดแผลหลังผ่าตัด pain score > 6 ใน 24 ชม.แรกหลังผ่าตัด14 ราย (ข้อมูลสถิติ โรงพยาบาลบ้านบึง) ทำให้ผู้ป่วย ใช้ระยะเวลาในการฟื้นตัวนานขึ้นดังนั้นแนวทางปฏิบัติเดิมจำเป็นต้องพัฒนาต่อยอดเพื่อลดการเกิดอุบัติการณ์ภาวะแทรกซ้อนและส่งเสริม การฟื้นตัวหลังผ่าตัดก่อนการพัฒนาให้ความรู้ในการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักด้วย ERAS Protocol ภาพรวมวิสัญญี พยาบาลมีคะแนนความรู้เฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง (M=13.00, SD= 1.00) หลังพัฒนาวิสัญญีพยาบาลมีคะแนนความรู้เฉลี่ยอยู่ในระดับสูง (M=18.71, SD= .951)หลังการให้ความรู้ วิสัญญีพยาบาลมีคะแนนความรู้เฉลี่ยแตกต่างจากก่อนให้ความรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติอย่าง สูง (P <.001) หลังพัฒนามีแนวทางปฏิบัติการพยาบาลวิสัญญีในการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักด้วย ERAS Protocol ฯ ประกอบด้วย ระยะก่อน ระหว่างและหลังให้การระงับความรู้สึกวิสัญญีพยาบาลมีความคิดเห็นต่อแนวทางปฏิบัติฯ ที่พัฒนาขึ้นใน ภาพรวมมีความเห็นด้วยระดับมากที่สุด(M=4.81, SD= .13) เมื่อพิจารณารายข้อพบว่ามีความเห็นด้วยอยู่ในระดับมากที่สุดทุกข้อ และทุก คนมีความเห็นว่าแนวทางปฏิบัติฯ มีกระบวนการปฏิบัติชัดเจน ง่ายต่อการนำสู่การปฏิบัติได้ดี ช่วยแก้ปัญหา ส่งผลให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้ รวดเร็ว ปลอดภัย และแนวทางปฏิบัติฯ นี้ ส่งเสริมให้เกิดการยกระดับความรู้และพัฒนาคุณภาพการพยาบาลวิสัญญีไม่พบอุบัติการณ์การ ใส่ท่อช่วยหายใจซ้ำหลังผ่าตัด ปวดแผลผ่าตัดหลังผ่าตัดลดลง ร้อยละ 27.90 8. อภิปรายผลการศึกษา 205
แนวทางปฏิบัติการพยาบาลวิสัญญีในการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักตามมาตรฐานเดิม แม้มีความชัดเจน เข้าใจง่าย ครอบคลุมทุกระยะแต่ยังพบอุบัติการณ์การเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักที่สำคัญ เนื่องจาก ผู้ป่วยมีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น สอดคล้องกับการศึกษาของประไพ ผลอิน, กฤษณา วันขวัญ, น้ำอ้อย ภักดีวงศ์, อัชฌาฌัฐ วังไสมและอุษา วงษ์อนันต์ (2564) พบว่าปัจจัยด้านอายุ ภาวะโภชนาการ การสูบบุหรี่ โรคประจำตัว และสภาพก่อนระงับความรู้สึกมีความสัมพันธ์กับ ภาวะแทรกซ้อนจากยาระงับความรู้สึกแบบทั่วร่างกายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.01)ในกระบวนการพัฒนาแนวทางปฏิบัติการพยาบาล วิสัญญีฯ วิสัญญีพยาบาลมีความรู้เพิ่มขึ้น ทำให้วิสัญญีพยาบาลต้องตระหนักถึงบทบาทสำคัญในการจัดการความเสี่ยง ที่อาจส่งผลต่อการ เกิดภาวะแทรกซ้อนและการฟื้นตัวของผู้ป่วยหลังผ่าตัดได้อย่างมีประสิทธิภาพให้ครอบคลุมทุกระยะเลือกตัดสินใจให้การดูแลเหมาะสมกับ ผู้ป่วยแต่ละรายแต่ละช่วงเวลา ภายใต้ความรู้เชิงประจักษ์ โดยคำนึงถึงความปลอดภัย การฟื้นตัวของผู้ป่วยและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย หลังผ่าตัดเป็นสำคัญ สอดคล้องการศึกษาของศรีสังวาลย์ เนตรอนงค์, โชติรส อังกุระวรานนท์และนันท์มนัส จิตต์มาลา (2566)ก่อนให้ ความรู้วิสัญญีพยาบาลมีคะแนนความรู้เฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง โดยต้องพัฒนาความรู้ด้านการฝึกหายใจและไออย่างมีประสิทธิภาพก่อน ผ่าตัด และการจัดการความปวด หลังการให้ความรู้ วิสัญญีพยาบาลมีคะแนนความรู้เฉลี่ยแตกต่างจากก่อนให้ความรู้อย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติอย่างสูง (P <.001)สอดคล้องกับการศึกษาของ Goldrick & Turner (1995)ที่กล่าวว่าการให้ความรู้แก่พยาบาลซึ่งเป็นบุคลากรที่ ปฏิบัติงานในการดูแลผู้ป่วยเป็นกระบวนการกระตุ้นพยาบาลให้นำความรู้ไปใช้การปฏิบัติ ช่วยทำให้สามารถเชื่อมโยงระหว่างความรู้และ การปฏิบัติของบุคคล เพื่อให้เกิดการปฏิบัติที่ดี วิสัญญีพยาบาลมีความคิดเห็นต่อการใช้แนวทางปฏิบัติฯในระดับมากที่สุด(M=4.81, SD = .13) โดยเฉพาะช่วยส่งเสริมให้เกิดการยกระดับความรู้และพัฒนาคุณภาพการพยาบาลวิสัญญีมีกระบวนการปฏิบัติชัดเจน ง่ายต่อการนำสู่ การปฏิบัติได้ดี ช่วยแก้ปัญหา ส่งผลให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้รวดเร็วปลอดภัยสอดคล้องกับศิตาพร ยังคง และคณะ, 2556; ทิศนา แขมมณี, 2557) สอดคล้องกับการศึกษาของศรีสังวาลย์ เนตรอนงค์และคณะ (2566) พบว่า แนวทางปฏิบัติฯ ที่มีความชัดเจน ง่ายในการนำสู่การปฏิบัติ ผู้ใช้แนวปฏิบัติเกิดความพึงพอใจ 5. ไม่พบอุบัติการณ์การใส่ท่อช่วยหายใจซ้ำหลังผ่าตัด 6.ปวดแผลผ่าตัดหลังผ่าตัดลดลง ร้อยละ 27.90 9. สรุปและข้อเสนอแนะ แนวทางปฏิบัติเดิมจำเป็นต้องพัฒนาต่อยอดเพื่อลดการเกิดอุบัติการณ์ภาวะแทรกซ้อนและส่งเสริมการฟื้นตัวหลังผ่าตัด การ พัฒนาแนวทางปฏิบัติการพยาบาลวิสัญญีฯประกอบด้วย ระยะก่อน ระหว่างและหลังให้การระงับความรู้สึก หลังการให้ความรู้วิสัญญี พยาบาลมีคะแนนความรู้เฉลี่ยแตกต่างจากก่อนให้ความรู้อย่างสูง วิสัญญีพยาบาลมีความคิดเห็นต่อการใช้แนวทางปฏิบัติฯในระดับมาก ที่สุดโดยเฉพาะช่วยส่งเสริมให้เกิดการยกระดับความรู้และพัฒนาคุณภาพการพยาบาลวิสัญญีไม่พบอุบัติการณ์การใส่ท่อช่วยหายใจซ้ำ หลังผ่าตัด ปวดแผลผ่าตัดหลังผ่าตัดลดลง ข้อเสนอแนะควรส่งเสริมการประยุกต์ใช้ ERAS Protocol แบบสหสาขาวิชาชีพและติดตาม ประเมินผลเป็นระยะเพื่อให้เกิดการพัฒนาคุณอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน 10. การนำผลงานไปใช้ประโยชน์ 1.ระดับองค์กร งานการพยาบาลผู้ป่วยผ่าตัดและวิสัญญีพยาบาล นำไปใช้เป็นแนวทางสำหรับปฏิบัติการ พยาบาลวิสัญญีในการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักด้วย ERAS Protocol ที่เข้ารับการผ่าตัดใน โรงพยาบาลบ้านบึงเพื่อให้เกิดการจัดการระบบการดูแลที่ดีตั้งแต่ระยะก่อน ระหว่างและหลังให้การระงับความรู้สึก ผู้ป่วย ปลอดภัย ลดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ส่งเสริมให้การฟื้นตัวหลังผ่าตัดเร็วขึ้น 2.ระดับบุคคล วิสัญญีพยาบาลได้รับการ ยกระดับความรู้เกี่ยวกับแนวคิดและการประยุกต์ใช้ ERAS ในการปฏิบัติการพยาบาลวิสัญญี สามารถประยุกต์ใช้องค์ความรู้ ทักษะ บูรณาการความรู้สู่การปฏิบัติด้วยความมั่นใจ ปฏิบัติงานได้ตามมาตรฐานและแนวทางปฏิบัติงานขององค์กร 206
อ้างอิง ประไพ ผลอิน, กฤษณา วันขวัญ, น้ำอ้อย ภักดีวงศ์, อัชฌาฌัฐ วังไสมและอุษา วงษ์อนันต์. (2564). ปัจจัยที่มี ความสัมพันธ์กับภาวะแทรกช้อนจากยาระงับความรู้สึกแบบทั่วร่างกายของผู้ป่วยหลังผ่าตัด. วารสารการ พยาบาลและสุขภาพ สสอท., 3(1), 32-47. ศิตาพร ยังคง, ไพบูลย์ สุริยะวงศ์ไพศาล, ลือชัย ศรีเงินยวง, จอมขวัญ โยธาสมุทร, ทรงยศ พิลาสันต์, ศรีเพ็ญ ตันติเวส, และยศ ตีระวัฒนานนท์. (2556). การประเมินการพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพภายใต้การ ดำเนินงานของคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติระหว่างปี พ.ศ. 2550 – 2554. ม.ป.ท.: ม.ป.พ. ศรีสังวาลย์ เนตรอนงค์, โชติรส อังกุระวรานนท์ และนันท์มนัส จิตต์มาลา. (2566). ประสิทธิผลการใช้แนวปฏิบัติทาง วิสัญญีในการส่งเสริมการฟื้นตัวหลังผ่าตัดถุงน้ำดีโดยวิธีการส่องกล้อง. พยาบาลสารมหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 50(1), 81-96. สถาบันมะเร็งแห่งชาติ. (2564). ทะเบียนมะเร็งระดับโรงพยาบาล พ.ศ.2564. กรุงเทพฯ: พรทิพย์ การพิมพ์. สถาบันมะเร็งแห่งชาติ. (2564). ทะเบียนมะเร็งระดับโรงพยาบาล พ.ศ.2564. กรุงเทพฯ: พรทิพย์การพิมพ์. สิริอร ข้อยุ่น, วริศรา ภู่ทวีและอาภา ศรีสร้อย. (2562). ผลของการใช้โปรแกรมการฟื้นตัวหลังผ่าตัดร่วมกับเครื่องพยุงเดิน หลังผ่าตัด เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดในผู้ป่วยหลังผ่าตัดช่องท้อง. ศรีนครินทร์เวชสาร, 34(4): 386- 392. Goldrick, B. A., & Turner, J. G. (1995). Education and behavior change in prevention and control of infection. In B. M. Soule, E. L. Larson, & G. A. Preston (Eds.), Infections and nursing : Prevention and control (pp. 175-192). St. Louis: Mosby. Wilmore, D., & Kehlet, H. (2001). Management of patients in fast track surgery. BMJ, 332, 473- 476. https://doi.org/10.1136/bmj.322.7ss284.473. 207
การพัฒนาโปรแกรมสร้างความรู้และความสามารถในการปฏิบัติการพยาบาลของพยาบาลวิชาชีพจบใหม่ โดยใช้ทฤษฎีการเรียนรู้แบบผู้ใหญ่ โรงพยาบาลตราด นางลดาวัลย์ จันทร์แจ้ง พย.ม. นางอันธิกา คะระวานิชวท.ม. นางสาวณัฏฐกุล หนูจักร วท.ม. นางดาวรุ่ง ศิริพันธ์พย.ม. กลุ่มการพยาบาลโรงพยาบาลตราด บทคัดย่อ พยาบาลคือ บุคลากรที่เป็นก าลังส าคัญในการขับเคลื่อนการบริการในโรงพยาบาลให้บรรลุเป้าหมาย ปัจจุบันการ ขาดแคลนพยาบาลรุนแรงมากขึ้น ทั้งด้านจ านวนพยาบาลและพยาบาลที่มีสมรรถนะสูง โดยพบว่าพยาบาลจบใหม่ (Novice) ช่วง 1-2 ปีแรก มีอัตราการลาออกสูง จากปัญหาเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมก่อนปฏิบัติงานทั้งด้านความรู้ และความสามารถ การวิจัยครั้งนี้ใช้รูปแบบการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาและศึกษาผลของการใช้โปรแกรมสร้างความรู้และความสามารถในการปฏิบัติการพยาบาลของพยาบาล วิชาชีพจบใหม่ โดยใช้ทฤษฎีการเรียนรู้แบบผู้ใหญ่ กลุ่มตัวอย่างคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เป็นพยาบาลวิชาชีพ จบใหม่จ านวน 31 คน และพยาบาลวิชาชีพประจ าหอผู้ป่วยที่เป็นแหล่งฝึกจ านวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย โปรแกรมสร้างความรู้และความสามารถในการปฏิบัติการพยาบาลของพยาบาลวิชาชีพจบใหม่ เก็บ ข้อมูลโดยใช้แบบวัดความรู้การปฏิบัติการพยาบาลของพยาบาลวิชาชีพจบใหม่ แบบประเมินความสามารถในการ ปฏิบัติการพยาบาลของพยาบาลวิชาชีพจบใหม่ แบบสอบถามความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพจบใหม่ แบบสอบถาม ความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพประจ าหอผู้ป่วย และแบบรายงานอุบัติการณ์ไม่พึงประสงค์และข้อร้องเรียนของ พยาบาลวิชาชีพจบใหม่ วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติเชิงพรรณนาเป็นจ านวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน และใช้สถิติวิเคราะห์ คือ Pair t-test และ One sample t-test ผลการวิจัยพบว่า ความรู้ก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมฯอยู่ในระดับปานกลาง ความสามารถในการ ปฏิบัติการพยาบาลของพยาบาลวิชาชีพจบใหม่อยู่ในระดับมาก ความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพจบใหม่ในการเข้า ร่วมโปรแกรมฯอยู่ในระดับมาก ความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพประจ าหอผู้ป่วยต่อผลการเข้าโปรแกรมฯของ พยาบาลวิชาชีพจบใหม่อยู่ในระดับมาก เมื่อเปรียบเทียบความรู้ของพยาบาลวิชาชีพจบใหม่ก่อนและหลังเข้าร่วม โปรแกรมฯ มีความแตกต่างอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ความสามารถในการปฏิบัติการพยาบาลของ พยาบาลวิชาชีพจบใหม่สูงกว่าค่าเกณฑ์เป้าหมายอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ความพึงพอใจของพยาบาล วิชาชีพจบใหม่ในการเข้าร่วมโปรแกรมฯสูงกว่าค่าเกณฑ์เป้าหมายอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ความพึง พอใจของพยาบาลวิชาชีพประจ าหอผู้ป่วยสูงกว่าค่าเกณฑ์เป้าหมายมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และไม่พบ อุบัติการณ์ไม่พึงประสงค์และข้อร้องเรียนจากพฤติกรรมบริการพยาบาลวิชาชีพจบใหม่ การพัฒนาโปรแกรมสร้างความรู้และความสามารถในการปฏิบัติการพยาบาลส าหรับพยาบาลวิชาชีพจบใหม่ ท าให้สามารถประเมินความรู้ความสามารถพื้นฐาน และส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้โดยใช้ประสบการณ์ของผู้เรียนและ ผู้สอนร่วมกัน การจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสม สามารถเพิ่มความรู้ความสามารถสูงขึ้นได้ทุกด้าน เกิดความพึงพอใจต่อ พยาบาลจบใหม่และพยาบาลวิชาชีพประจ าหอผู้ป่วย มีความพร้อมในการปฏิบัติงานจริง เกิดความคุ้นเคยสามารถเข้า ร่วมทีมพยาบาลได้รวดเร็วขึ้น ข้อเสนอแนะจากการศึกษาครั้งนี้ ในการบริหารการพยาบาลแนวใหม่ ควรมีการส่งเสริม จัดการเรียนการสอน และการเตรียมพร้อมส าหรับพยาบาลวิชาชีพจบใหม่ ในด้านทักษะการท างานเป็นทีมและ จริยธรรมในการประกอบวิชาชีพ การทดลองปฏิบัติงานจริง และปรับรูปแบบการสอนในด้านการพยาบาลพื้นฐาน การวางแผนการพยาบาลคุณภาพ จัดฐานการเรียนรู้และจ าลองสถานการณ์และทดลองฝึกการดูแลผู้ป่วย เพื่อให้ มีประสิทธิผลที่ดีมากขึ้นต่อไป ค าส าคัญ โปรแกรมสร้างความรู้และความสามารถในการปฏิบัติการพยาบาลของพยาบาล พยาบาลวิชาชีพจบใหม่ 208
1 1. ชื่อเรื่อง การพัฒนาโปรแกรมสร้างความรู้และความสามารถในการปฏิบัติการพยาบาลของพยาบาล วิชาชีพจบใหม่โดยใช้ทฤษฎีการเรียนรู้แบบผู้ใหญ่ โรงพยาบาลตราด 2. คณะผู้วิจัย นางลดาวัลย์ จันทร์แจ้ง นางอันธิกา คะระวานิช นางสาวณัฏฐกุล หนูจักร นางดาวรุ่ง ศิริพันธ์ กลุ่มการพยาบาล โรงพยาบาลตราด 3. ผู้น ำเสนอผลงำน นางสาวณัฏฐกุล หนูจักร 4. ควำมส ำคัญของปัญหำ พยาบาลคือบุคลากรที่เป็นก าลังส าคัญในการขับเคลื่อนการบริการในโรงพยาบาลให้บรรลุเป้าหมาย ปัจจุบัน พบว่า ปัญหาการขาดแคลนพยาบาลรุนแรงมากขึ้น ทั้งด้านจ านวนพยาบาลและพยาบาลที่มีสมรรถนะสูง โดย พบว่าพยาบาลจบใหม่ ช่วง 1-2 ปีแรก มีอัตราการลาออกสูง สาเหตุ ไม่สามารถประยุกต์ความรู้ที่เรียนมาใช้ใน สถานการณ์จริงได้การตัดสินใจแก้ปัญหาทางคลินิกไม่ถูกต้องท าให้เกิดความเครียด (จิดาภา รอดโพธิ์ทอง, 2559) บรรยากาศการบริหารจัดการในโรงพยาบาล กฏระเบียบ นโยบายต่างๆ ส่งผลกระทบต่อการปรับตัว การ ไม่ได้รับการพัฒนาสมรรถนะ โดยเฉพาะโรงพยาบาลรัฐบาล (กฤษดา แสวงดี อ้างใน มงคล สุริเมือง และคณะ, 2563) การพัฒนาสมรรถนะพยาบาลวิชาชีพจบใหม่ ให้มีความรู้ ความสามารถ ทักษะ และความมั่นใจในการปฏิบัติงาน จึง มีความส าคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาบุคลากรทางการพยาบาล โรงพยาบาลตราดเปิดบริการจริง 470 เตียง กรอบอัตราก าลัง 335 คน ปฏิบัติงานจริง 290 คน การลาออกปี2565 คิดเป็น ร้อยละ 6.47 (คณะท างานด้าน จัดการและพัฒนาทรัพยากรบุคคลกลุ่มการพยาบาลโรงพยาบาลตราด,2566) ด้วยการบริหารงานแนวใหม่สามารถ สรรหาพยาบาลวิชาชีพจบใหม่ ปี 2566 จ านวน 31 คน จากการทบทวนปัญหาช่วงปี 2564-2565 พบว่า1) การเรียน ออนไลน์และสถานการณ์โควิดมีผลต่อความรู้การปฏิบัติหน้างาน 2) ไม่มีรูปแบบพัฒนาสมรรถนะพยาบาลวิชาชีพ จบใหม่ที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน 3) ใช้ประสบการณ์พี่เลี้ยงซึ่งมีภาระงานมากท าให้ไม่มีเวลาสอนได้เต็มที่ 4) วิธีการ สอนใช้รูปแบบเดิม เน้นการปฐมนิเทศแบบบรรยาย 5) การสอนทักษะหน้างานไม่สามารถจ าลองสถานการณ์ได้ และ 6) การควบคุมก ากับไม่ทั่วถึง พยาบาลวิชาชีพจบใหม่ไม่ได้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ เสี่ยงต่ออุบัติการณ์ไม่พึง ประสงค์/ข้อร้องเรียน ผู้วิจัยจึงมีแนวคิดประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเรียนรู้แบบผู้ใหญ่ พัฒนาโปรแกรมสร้างความรู้และ ความสามารถในการปฏิบัติการพยาบาล เพื่อพัฒนาความรู้ ความสามารถก่อนปฏิบัติงาน รวมถึงสร้างความพึง พอใจส าหรับพยาบาลจบใหม่และพยาบาลวิชาชีพประจ าหอผู้ป่วย 5. วัตถุประสงค์/สมมุติฐำนกำรวิจัย 5.1 วัตถุประสงค์กำรวิจัย เพื่อพัฒนาและศึกษาผลของการใช้โปรแกรมสร้างความรู้และความสามารถในการ ปฏิบัติการพยาบาลของพยาบาลวิชาชีพจบใหม่ โดยใช้ทฤษฎีการเรียนรู้แบบผู้ใหญ่โรงพยาบาลตราด 5.2 สมมุติฐำนกำรวิจัย 5.2.1 ค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมสร้างความรู้และความสามารถในการปฏิบัติการ พยาบาลของพยาบาลวิชาชีพจบใหม่มีความแตกต่างกัน 5.2.2 ค่าเฉลี่ยคะแนนความสามารถในการปฏิบัติการพยาบาลของพยาบาลวิชาชีพจบใหม่สูงกว่าค่าเกณฑ์ เป้าหมาย 5.2.3 ค่าเฉลี่ยคะแนนความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพจบใหม่สูงกว่าค่าเกณฑ์เป้าหมาย 5.2.4 ค่าเฉลี่ยคะแนนความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพประจ าหอผู้ป่วยสูงกว่าค่าเกณฑ์เป้าหมาย 6. วิธีกำรศึกษำ การวิจัยครั้งนี้ใช้รูปแบบการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) พัฒนาและศึกษาผลของการ ใช้โปรแกรมสร้างความรู้และความสามารถในการปฏิบัติการพยาบาลของพยาบาลวิชาชีพจบใหม่ โดยใช้ทฤษฎี การเรียนรู้แบบผู้ใหญ่ของ มัลคัม โนลส์ (Knowles, 1980) ระยะเวลาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือนมิถุนายน 2566 กลุ่มตัวอย่างคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เป็นพยาบาลวิชาชีพจบใหม่จ านวน 31 คน และพยาบาล วิชาชีพประจ าหอผู้ป่วยที่เป็นแหล่งฝึกจ านวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย โปรแกรมสร้าง ความรู้และความสามารถในการปฏิบัติการพยาบาลของพยาบาลวิชาชีพจบใหม่ เก็บข้อมูลโดยใช้ แบบวัด ความรู้การปฏิบัติการพยาบาลของพยาบาลวิชาชีพจบใหม่ แบบประเมินความสามารถในการปฏิบัติการ พยาบาลของพยาบาลวิชาชีพจบใหม่ แบบสอบถามความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพจบใหม่ แบบสอบถามความ พึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพประจ าหอผู้ป่วย และแบบรายงานอุบัติการณ์ไม่พึงประสงค์และข้อร้องเรียนของ 209
2 พยาบาลวิชาชีพจบใหม่ วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติเชิงพรรณนาเป็นจ านวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน และใช้สถิติวิเคราะห์ คือ Pair t-test และ One sample t-test 7. ผลกำรวิจัย 7.1 มีโปรแกรมสร้างความรู้และความสามารถในการปฏิบัติการพยาบาลของพยาบาลวิชาชีพจบใหม่ 5 ด้าน ระยะเวลา 15 วัน 100 ชั่วโมง ประกอบด้วย ด้านที่ 1) การน าเข้าสู่บทเรียนและปฐมนิเทศ (Orientation & Information) 3 วัน (20 ชม.) ด้านที่ 2) การพยาบาลพื้นฐาน (Basic Nursing science) 1วัน (7ชม.) ด้านที่ 3) การวางแผนการพยาบาลคุณภาพ (Quality Nursing Care Plan) 1 วัน (7 ชม.) ด้านที่ 4) การเรียนรู้และ ฝึกปฏิบัติเชิงรุก (Active Learning & Experimentation) 4 วัน (24 ชม.) ด้านที่ 5) การทดลองปฏิบัติงาน (Simulation Practice Training) 6 วัน (42 ชม.) 7.2 ผลการใช้โปรแกรมสร้างความรู้และความสามารถในการปฏิบัติการพยาบาลของพยาบาลวิชาชีพจบใหม่ 7.2.1 ด้านผู้ให้บริการ ความรู้ของพยาบาลวิชาชีพจบใหม่ก่อนเข้าร่วมโปรแกรมสร้างความรู้และ ความสามารถในการปฏิบัติการพยาบาลอยู่ในระดับปานกลาง (Mean score = 61.16) ความรู้หลังเข้าร่วม โปรแกรมฯอยู่ในระดับปานกลาง (Mean score = 72.14) เมื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ก่อนและ หลังเข้าร่วมโปรแกรมฯ พบว่าความรู้ของพยาบาลวิชาชีพจบใหม่ก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมฯ มีความ แตกต่างอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t = 8.76, p-value = .000) หลังจากเข้าร่วมโปรแกรมฯ พยาบาล วิชาชีพจบใหม่มีความรู้ในหมวดความรู้เกี่ยวกับทักษะการท างานเป็นทีม และจริยธรรมในการประกอบวิชาชีพ มากที่สุด (Mean score = 83.87) และมีความรู้ด้านการใช้กระบวนการพยาบาลและการบันทึกทางการ พยาบาลเพิ่มขึ้นน้อยที่สุด (Mean score = 56.99) ความสามารถในการปฏิบัติการพยาบาลของพยาบาลวิชาชีพ จบใหม่อยู่ในระดับมาก ( ̅ = 4.48, S.D. = 0.44) เมื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนความสามารถในการ ปฏิบัติการพยาบาลของพยาบาลวิชาชีพจบใหม่กับค่าเกณฑ์เป้าหมาย (ก าหนดระดับมาก = 3.51) พบว่า ความสามารถในการปฏิบัติการพยาบาลของพยาบาลวิชาชีพจบใหม่สูงกว่าค่าเกณฑ์เป้าหมายอย่างมีนัยส าคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 (t = 12.01, p -value =.000) โดยมีความสามารถในการปฏิบัติการพยาบาล หมวดการ ท างานเป็นทีมและจริยธรรมในการประกอบวิชาชีพอยู่ในระดับมากที่สุด ( ̅= 4.95, S.D. = 0.18) ความพึง พอใจของพยาบาลวิชาชีพจบใหม่ในการเข้าร่วมโปรแกรมฯอยู่ในระดับมากที่สุด ( ̅ = 4.65, S.D. = 0.33) เมื่อ เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพจบใหม่กับค่าเกณฑ์เป้าหมาย (ก าหนดระดับมาก = 3.51) พบว่า ความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพจบใหม่ในการเข้าร่วมโปรแกรมฯสูงกว่าค่าเป้าหมายอย่างมี นัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t = 19.27, p-value = .000) พยาบาลวิชาชีพจบใหม่มีความพึงพอใจระดับ มากที่สุดในด้านการทดลองปฏิบัติงาน ( ̅= 4.72, S.D. = 0.33) 7.2.2 ด้านผู้รับผลงาน ความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพประจ าหอผู้ป่วยต่อผลการเข้าโปรแกรมฯของพยาบาล วิชาชีพจบใหม่อยู่ในระดับมาก ( ̅ = 3.70, S.D. = 0.44) เมื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนความพึงพอใจของ พยาบาลวิชาชีพประจ าหอผู้ป่วยกับค่าเกณฑ์เป้าหมาย (ก าหนดระดับมาก = 3.51) ความพึงพอใจของพยาบาล วิชาชีพประจ าหอผู้ป่วยสูงกว่าค่าเกณฑ์เป้าหมายอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t = 2.34, p = .013) โดย มีความพึงพอใจในด้านทักษะการท างานเป็นทีมและจริยธรรมในการประกอบวิชาชีพระดับมากเป็นอันดับแรก ( ̅ = 4.12, S.D. = 0.47) รองลงมาคือ ความรู้ในการปฏิบัติการพยาบาลระดับปานกลาง ( ̅= 3.48, S.D. = 0.56) 7.2.3 ด้านคุณภาพบริการ หลังการเข้าร่วมโปรแกรมสร้างความรู้และความสามารถในการปฏิบัติการ พยาบาลของพยาบาลวิชาชีพจบใหม่ พบว่า ไม่พบอุบัติการณ์ไม่พึงประสงค์และข้อร้องเรียนจากพฤติกรรม บริการพยาบาลวิชาชีพจบใหม่ 8. อภิปรำยผลกำรวิจัย ผลของการใช้โปรแกรมสร้างความรู้และความสามารถในการปฏิบัติการพยาบาลของพยาบาลวิชาชีพ จบใหม่ พบว่า ความรู้ก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมสร้างความรู้และความสามารถในการปฏิบัติการพยาบาล ของพยาบาลวิชาชีพจบใหม่มีความแตกต่างกัน โดยความรู้หลังเข้าร่วมโปรแกรมสูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม ส่วน ความสามารถในการปฏิบัติการพยาบาลพยาบาลจบใหม่ความพึงพอใจของพยาบาลจบใหม่ และความพึงพอใจของ พยาบาลวิชาชีพประจ าหอผู้ป่วยมีค่าสูงกว่าค่าเกณฑ์เป้าหมาย การพัฒนาโปรแกรมสร้างความรู้และ ความสามารถในการปฏิบัติการพยาบาล เป็นการสร้างมโนทัศน์ของพยาบาลวิชาชีพจบใหม่โดยการปฐมนิเทศ 210
3 การปรับความรู้การพยาบาลพื้นฐาน การวางแผนการพยาบาลคุณภาพ การเรียนรู้และฝึกปฏิบัติเชิงรุก การ ทดลองปฏิบัติงาน ให้สอดคล้องกับการเรียนรู้แบบผู้ใหญ่ของ มัลคัม โนลส์ (Knowles, 1980) คือ ให้มีส่วนร่วม ตัดสินใจในเรื่องที่ต้องการเรียนรู้ น าประสบการณ์การเรียนรู้มาใช้ในการเรียนการสอน มีการแลกเปลี่ยน ประสบการณ์ในกลุ่ม ความพร้อมที่จะเรียน จัดเวลาและแนวทางการเรียนรู้ให้เหมาะกับการเรียนรู้ในผู้ใหญ่ ไม่ใช่ลักษณะการบรรยายเท่านั้น มีการสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ ให้มีความต้องการเรียนรู้ด้วยตนเอง เข้าใจ ว่าต้องเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเอง ส่งผลต่อการเป็นพยาบาลจบใหม่มีสมรรถนะสูงทั้งด้านความรู้และความสามารถ มีความพร้อมด้านการท างานเป็นทีมและจริยธรรมในการประกอบวิชาชีพมากที่สุด นอกจากนั้นการทดลอง ปฏิบัติงานท าให้เกิดความคุ้นเคยกับหอผู้ป่วยและลักษณะผู้ป่วยจึงท าให้มีความพร้อมที่จะเข้าท างานเป็นทีม พยาบาลได้ทันทีสอดคล้องกับ นันทวัน ดาวอุดม และคณะ (2559) ศึกษาการใช้รูปแบบเป็นระเบียบปฏิบัติ เรื่องการดูแลพยาบาลปฏิบัติงานใหม่ของหน่วยงาน พบว่า กลุ่มพยาบาลจบใหม่มีสมรรถนะทางคลินิกหลังการ ใช้รูปแบบสอนงานอย่างเป็นระบบในช่วงเวลา 12 สัปดาห์ และ 24 สัปดาห์ ค่าคะแนนเฉลี่ยสมรรถนะทาง คลินิกของพยาบาลจบใหม่ทุกด้านสูงขึ้น และดารุณี แปงทิศ (2563) ศึกษาผลของการใช้โปรแกรมการนิเทศ ทางคลินิกต่อการพัฒนาความรู้และการปฏิบัติการพยาบาลของพยาบาลวิชาชีพในหอผู้ป่วยหนักทารกแรกเกิด โรงพยาบาลสันทราย ในพยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการจ านวน 10 คน ระดับ Novice ระยะเวลานิเทศ 1 เดือน การประเมินความรู้และประเมินทักษะสูงกว่าก่อนการใช้โปรแกรม ดังนั้นการพัฒนาและศึกษาผลของการใช้ โปรแกรมสร้างความรู้และความสามารถในการปฏิบัติการพยาบาลของพยาบาลวิชาชีพจบใหม่ โดยใช้ทฤษฎี การเรียนรู้แบบผู้ใหญ่โรงพยาบาลตราด เป็นการเพิ่มความรู้ ความสามารถ ทักษะ และความมั่นใจในการ ปฏิบัติงาน จึงมีความส าคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาบุคลากรทางการพยาบาล 9. สรุปและข้อเสนอแนะ การพัฒนาโปรแกรมสร้างความรู้และความสามารถในการปฏิบัติการพยาบาลของพยาบาลส าหรับ พยาบาลวิชาชีพจบใหม่ ท าให้สามารถประเมินความรู้ความสามารถพื้นฐาน และส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้โดยใช้ ประสบการณ์ของผู้เรียนและผู้สอนร่วมกัน การจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสม สามารถเพิ่มความรู้ความสามารถสูงขึ้นได้ ทุกด้าน เกิดความพึงพอใจต่อพยาบาลจบใหม่และพยาบาลวิชาชีพประจ าหอผู้ป่วย มีความพร้อมในการปฏิบัติงาน จริง เกิดความคุ้นเคยสามารถเข้าร่วมทีมพยาบาลได้รวดเร็วขึ้น ข้อเสนอแนะจากการศึกษาครั้งนี้ ในการบริหารการ พยาบาลแนวใหม่ ควรมีการส่งเสริมจัดการเรียนการสอน และการเตรียมพร้อมส าหรับพยาบาลวิชาชีพจบใหม่ ใน ด้านทักษะการท างานเป็นทีมและจริยธรรมในการประกอบวิชาชีพ การทดลองปฏิบัติงานจริง และปรับรูปแบบ การสอนในด้านการพยาบาลพื้นฐาน การวางแผนการพยาบาลคุณภาพ จัดฐานการเรียนรู้และจ าลอง สถานการณ์ และทดลองฝึกการดูแลผู้ป่วย เพื่อให้มีประสิทธิผลที่ดีมากขึ้นต่อไป 10. กำรน ำผลงำนไปใช้ประโยชน์ ใช้ในการติดตามประเมินผล : การลาออก/ความเครียด/อุบัติการณ์ความเสี่ยงทางการพยาบาลของ พยาบาลวิชาชีพจบใหม่ และเป็นต้นแบบ/แนวทางในการพัฒนาหลักสูตร post baccalaureate programs ของ โรงพยาบาลต่อไปในอนาคต เอกสำรอ้ำงอิง คณะท างานด้านจัดการและพัฒนาทรัพยากรบุคล กลุ่มการพยาบาล โรงพยาบาลตราด. (2566). รายงาน การประชุมคณะกรรมการบริการกลุ่มการพยาบาล ครั้งที่ 3/2566. เอกสารอัดส าเนา. จิดาภา รอดโพธิ์ทอง. (2559). การพัฒนารูปแบบพยาบาลพี่เลี้ยง ส าหรับพยาบาลวิชาชีพใหม่โรงพยาบาล ปากเกร็ด. วารสารกองการพยาบาล 43(2) : 66-82. ดรุณี แปงทิศ. (2563). ศึกษาผลการใช้โปรแกรมการนิเทศทางคลินิกต่อการพัฒนาความรู้และการปฏิบัติการ พยาบาลของพยาบาลวิชาชีพในหอผู้ป่วยหนักทารกแรกเกิด โรงพยาบาลสันทราย จังหวัดเชียงใหม่. นันทวัน ดาวอุดม และคณะ (2559). การพัฒนารูปแบบพยาบาลพี่เลี้ยงโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า. วารสารพยาบาลทหารบก, 3(17), 197. มงคล สุริเมือง และคณะ. (2563). ศึกษาผลของการให้ความรู้พยาบาลวิชาชีพจบใหม่ โครงการ Elective Intensive Care Unit โรงพยาบาลแม่สอด จังหวัดตาก. ผลงานวิชาการ, (1-10). Knowles, M.S. (1980). The Adult Learner: A Neglected Species. (3rd Ed.). Houston, TX: Gulf. 211
ผลของโปรแกรมการเตรียมความพร้อมของผู้รับบริการรายใหม่ต่อการเตรียมตัวก่อนการส่องกล้องหลอดลม THE EFFECT OF READINESS PREPARATION NEW PATIENTS UNDERGOING BRONCHOSCHOSCOPY อรุณวรรณ วงษ์เดิม พย.ม., แสงตะวัน สุพัฒนคูณ พย.ม. บทคัดย่อ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการเตรียมความพร้อมของผู้รับบริการรายใหม่ ต่อการเตรียมตัวก่อนการส่องกล้องหลอดลม โดยใช้รูปแบบการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) แบบสองกลุ่มวัดผลหลังการทดลอง (Post-test only group design) กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้รับบริการรายใหม่ที่มีการนัด ส่องกล้องตรวจหลอดลมแบบผู้ป่วยนอกหน่วยงานตรวจรักษาพิเศษส่องกล้องหลอดลม โรงพยาบาลเจ้าพระยา อภัยภูเบศรจ านวน 48 ราย โดยการคัดเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบ่งเป็นกลุ่ม ทดลองจ านวน 24 คนได้รับโปรแกรมการเตรียมความพร้อมก่อนการส่องกล้องตรวจหลอดลม และกลุ่มควบคุม จ านวน 24 คน เป็นกลุ่มที่ได้ข้อมูลความรู้ในการเตรียมตัวส่องกล้องตรวจหลอดลมตามปกติ เครื่องมือที่ใช้ในการ วิจัย โปรแกรมการดูแลผู้รับบริการก่อนส่องกล้องตรวจหลอดลม เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อ มูล ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ 1) แบบสอบถามข้อมูลส่วนตัว 2) แบบประเมินความพึงพอใจต่อโปรแกรมการเตรียม ความพร้อมของผู้รับบริการก่อนการส่องกล้องตรวจหลอดลม 3) แบบประเมินความพร้อมในการส่องกล้องตรวจ หลอดลม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติวิเคราะห์ Independent t-test, paired t-test, Chi squre ผลการวิจัยพบว่า ความพร้อมในการส่องกล้องหลอดลมของกลุ่มทดลองไม่แตกต่างจากกลุ่มควบคุมอย่าง มีนัยส าคัญทางสถิติ ความพึงพอใจต่อโปรแกรมการเตรียมความพร้อมของผู้รับบริการก่อนการส่องกล้องหลอดลม พบว่าค่าคะแนนการรับรู้ความพึงพอใจต่อความสะดวกที่ได้รับจากบริการ การประสานงานของบริการ อัธยาศัย และการให้เกียรติของผู้ให้บริการ ข้อมูลที่ได้รับบริการ และคุณภาพบริการของกลุ่มทดลองมากกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ 212
1. ชื่อเรื่อง : ผลของโปรแกรมการเตรียมความพร้อมของผู้รับบริการรายใหม่ต่อการเตรียมตัวก่อนการส่องกล้อง หลอดลม THE EFFECT OF READINESS PREPARATION NEW PATIENTS UNDERGOING BRONCHOSCHOSCOPY 2. ชื่อผู้วิจัย : นางสาวอรุณวรรณ วงษ์เดิม พย.ม. โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร นางแสงตะวัน สุพัฒนคูณ พย.ม. โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร 3. ชื่อผู้น ำเสนอผลงำน นางสาว อรุณวรรณ วงษ์เดิม พย.ม. โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร 4. ควำมส ำคัญของปัญหำ การส่องกล้องตรวจหลอดลม (Bronchoscopy) เป็นหัตถการที่ใช้เพื่อการวินิจฉัยและรักษาโรค ในระบบการหายใจ เช่น ผู้ป่วยที่มีก้อนเนื้องอก ผู้ป่วยที่มีปอดอักเสบติดเชื้อ ผู้ป่วยที่มีหลอดลมถูกกดทับ หรือ มีเนื้องอกในหลอดลม หรือหลอดลมตีบ (ลาวรรณ สรสิทธิ์รุ่งสกุล, 2563) ซึ่งปัจจุบันนี้พบว่าเป็นเทคนิคที่ถูก น าไปใช้อย่างกว้างขวางในการวินิจฉัยโรคทางคลินิกเนื่องจากมีความละเอียดสูง ใช้งานง่าย และมีความ ปลอดภัยสูงเมื่อเทียบกับการผ่าตัดทรวงอกแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตามการการส่องกล้องตรวจหลอดลม อาจท า ให้เกิดความกลัวและความวิตกกังวลก่อน ท าได้(Bo Si et al., 2020) การเตรียมความพร้อมให้กับผู้ป่วยเป็น บทบาทของพยาบาล ในการเตรียมความพร้อมของผู้ป่วยทั้งด้านร่างกายและจิตใจ โดยการประเมินปัญหา และปัจจัยเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดขึ้น ให้ความรู้ เกี่ยวกับโรค ขั้นตอนการปฏิบัติและการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยก่อน และหลังท าหัตถการอย่างถูกวิธีโดยใช้ภาษา ที่เข้าใจง่ายเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากปัจจัยเสี่ยง ที่อาจเกิด ขึ้นกับผู้ป่วยระหว่างและหลังการท าหัตถการ ช่วยลดความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย และป้องกันการเลื่อน และงดท าหัตถการได้(จริยา เลาหวิช, 2564) จากสถิติการส่องกล้องตรวจหลอดลมโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร มีสถิติการเลื่อนและงดนัด ส่องกล้องตรวจหลอดลมในอัตราที่สูงถึง ร้อยละ 7.32 โดย เป็นสาเหตุหลักในการเลื่อนและงดส่องกล้อง คือการเตรียมตัวในการส่องกล้องตรวจหลอดลมไม่ถูกต้อง โดยพบว่าบางรายไม่งดรับประทานอาหารหรือ เครื่องดื่ม การลืมรับประทานยาความดันโลหิตในเช้าวันส่องกล้อง ในกรณีที่มียาควบคุมความดันโลหิตเป็นผล ให้ค่าเฉลี่ยของความดันโลหิตก่อนตรวจสูงกว่าปกติ ท าให้ต้องเลื่อนหรืองดส่องกล้องตรวจหลอดลมได้ สาเหตุรองลงมาคือ พบว่าความกลัวและวิตกกังวล การเจาะเลือดเพื่อเตรียมตัวส่องกล้องก่อนวันนัดไม่ครบถ้วน ปัญหาเหล่านี้ล้วนแต่เป็นการแสดงถึงการให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนท าให้ผู้ป่วยขาดความรู้ ความเข้าใจที่จะเห็นถึง ความส าคัญในการปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง จากปัญหาและการทบทวนวรรณกรรมข้างต้น ทางหน่วยงานจึงได้น าปัญหามาวิเคราะห์และแก้ไข ข้อบกพร่องร่วมกัน พบว่าในปัจจุบันเป็นการให้ข้อมูลความรู้ในการเตรียมตัวส่องกล้องตรวจหลอดลมโดยการ บอกวิธีการเตรียมด้วย และให้บัตรนัดที่มีชุดข้อความสั้น ๆ ส าเร็จรูปจากโปรแกรม HosXP ซึ่งไม่ครอบคลุม และอาจเข้าใจและเตรียมตัวมาส่องกล้องหลอดลมได้ไม่ดีพอ ผู้วิจัยจึงสนที่พัฒนาโปรแกรมการดูแลผู้ป่วยก่อน ส่องกล้องตรวจหลอดลมท าให้ผู้ป่วยมีการเตรียมตัวทั้งทางด้านร่างกาย และจิตใจ ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตัวได้ ถูกต้องทั้งก่อนตรวจ ขณะตรวจ และหลังตรวจขึ้น และน าไปใช้กับผู้ป่วยที่มีนัดส่องกล้องตรวจหลอดลมแบบ ผู้ป่วยนอก 213
5.วัตถุประสงค์ของกำรวิจัย เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการเตรียมความพร้อมของผู้รับบริการรายใหม่ต่อการเตรียมตัวก่อนการ ส่องกล้องหลอดลม สมมุติฐานการวิจัย หลังใช้โปรแกรมการเตรียมความพร้อมของผู้รับบริการก่อนการส่องกล้องหลอดลมถูกต้องร้อยละ 100 6. วิธีกำรศึกษำ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) แบบสองกลุ่มวัดผลหลังการ ทดลอง (post-test only group design) กลุ่มตัวอย่าง คือผู้รับบริการรายใหม่ที่มีการนัดส่องกล้องตรวจ หลอดลม แบบผู้ป่วยนอก หน่วยงานตรวจรักษาพิเศษงานส่องกล้องหลอดลม โรงพยาบาล เจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ านวน 48 ราย โดยการคัดเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างตาม คุณสมบัติที่ก าหนดไว้ ตามเกณฑ์การคัดเข้า (Inclusion criteria) และเกณฑ์การคัดออก (Exclusion criteria) แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 24 คน เป็นกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมการเตรียมความพร้อมก่อนการส่องกล้องหลอดลม และ กลุ่มควบคุม 24 ราย เป็นกลุ่มที่ได้ข้อมูลความรู้ในการเตรียมตัวส่องกล้องตรวจหลอดลมตามปกติ เครื่องมือที่ ใช้ในการวิจัย โปรแกรมการดูแลผู้รับบริการก่อนส่องกล้องตรวจหลอดลม เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวม ข้อมูลประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ 1. แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล 2. แบบประเมินความพึงพอใจต่อ โปรแกรมการเตรียมความพร้อมของผู้รับบริการก่อนการส่องกล้องหลอดลม 3. แบบประเมินความความพร้อม ในการส่องกล้องทางหลอดลม น าแบบสอบถามที่ได้ตอบเรียบร้อยแล้วมาตรวจสอบความสมบูรณ์ของข้อมูล แล้วประมวลผล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติวิเคราะห์Independent t-test, paired t-test และ Chi square ผู้วิจัยด าเนินการพิทักษ์สิทธิ์ของกลุ่มตัวอย่าง โดยการเสนอโครงร่างวิจัยผ่านการพิจารณาจาก คณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (IRB – BHUBEJHR - 214) 7. ผลกำรศึกษำ 7.1 การเปรียบเทียบความพร้อมในการส่องกล้องตรวจหลอดลม พบว่ากลุ่มทดลองมากกว่ากลุ่ม ควบคุม คิดเป็น 100 % และ 93.3 % ตามล าดับ เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่าง พบว่าความพร้อมในการส่อง กล้องตรวจหลอดลมในกลุ่มทดลองไม่แตกต่างจากกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ 7.2 คะแนนการรับรู้ความพึงพอใจต่อโปรแกรมการเตรียมความพร้อมของผู้รับบริการก่อนการส่อง กล้องหลอดลมพบว่าค่าคะแนนการรับรู้ความพึงพอใจต่อความสะดวกที่ได้รับจากบริการ การประสานงานของ บริการ อัธยาศัยและการให้เกียรติของผู้ให้บริการ ข้อมูลที่ได้รับบริการ และคุณภาพบริการของกลุ่มทดลอง มากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ และมีระดับ .05 8. อภิปรำยผลกำรศึกษำ 8.1 เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างความพร้อมในการส่องกล้องตรวจหลอดลม แล้วพบว่าความพร้อม ในการส่องกล้องตรวจหลอดลมในกลุ่มทดลองไม่แตกต่างจากกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติสามารถ อภิปรายได้ว่า ในการท านัดผู้รับบริการทุกรายมีการถาม เกี่ยวกับโรคประจ าตัว และยาที่ใช้ และมีการเน้นย้ า ให้งดยาละลายลิ่มเลือดตามค าสั่งแพทย์ การรับประทานยากลุ่มลดความดันโลหิตในเช้าวันส่องกล้องด้วยวาจา และการเขียนข้อความลงบนบัตรนัด และไฮไลด์ข้อความให้เห็นชัดเจน ทุกรายที่ใช้ยาดังกล่าว ทั้ง 2 กลุ่ม ซึ่ง เป็นสาเหตุดังกล่าวเป็นสาเหตุส าคัญ และพบมากที่สุดของการงดหรือเลื่อนการส่องกล้องตรวจหลอดลมออกไป จึงส่งผลให้คะแนนความพร้อมในการส่องกล้องตรวจหลอดลมก่ของทั้งสองกลุ่มไม่แตกต่างกัน 214
8.2 ด้านความพึงพอใจจากผู้ใช้บริการที่มีต่อโปรแกรมชุดข้อมูลความรู้และค าแนะน าในการเตรียมตัว ส่องกล้องตรวจหลอดลมของกลุ่มทดลองมากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติสามารถอภิปรายได้ว่า โปรแกรมการให้ข้อมูลผู้ป่วยที่เป็นข้อมูล เกี่ยวกับสภาพแวดล้อม ห้องตรวจ สิ่งที่ผู้ป่วยจะต้องพบจริง ด้วยวีดิทัศน์ผ่านคิวอาร์โค๊ด ซึ่งมีความสะดวกสบายและทันสมัย ครบถ้วน ผู้รับบริการสามารถการทบทวนการ ปฏิบัติตัวได้ด้วยตัวเอง เมื่อต้องการ แต่ละกิจกรรมการพยาบาลในโปรแกรมล้วนที่ส่งเสริมสัมพันธภาพระหว่าง พยาบาล ผู้ป่วยและญาติมีการสื่อสารกันมากขึ้น ตั้งแต่วันที่ท านัด การติดตามตรวจสอบความพร้อมของ ผู้รับบริการทางไลน์ หรือโทรศัพท์ ท าให้ผู้รับบริการทราบปัญหา และแก้ไขได้ตรงกับความต้องการของ ผู้รับบริการในแต่ละราย มีให้ค าแนะน าในการปฏิบัติตนเป็นขั้นตอนเชื่อมโยงกัน มีผลให้ผู้รับบริการรับรู้ถึงการ ประสานงานที่ดี รวดเร็ว สนใจ และมีคุณภาพได้ 215
ชื่อเรื่อง : การประเมินความเสี่ยงทางการยศาสตร์ในการทำงานคอมพิวเตอร์ ของบุคลากรโรงพยาบาลบ้านฉาง (Ergonomic Risk Assessment in Computer Work of personnel at Banchang Hospital) ผู้วิจัย : พรเพ็ญ จงอนุรักษ์, รัตติกาล สุวรรณโชติ งานอาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม โรงพยาบาลบ้านฉาง ผู้นำเสนอผลงาน : พรเพ็ญ จงอนุรักษ์ บทคัดย่อ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการประเมินความเสี่ยงทางการยศาสตร์ในการทำงาน คอมพิวเตอร์ ของบุคลากรโรงพยาบาลบ้านฉาง ที่ปฏิบัติงานโดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลา 6-8 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อ เป็นข้อมูลในการเฝ้าระวังความเสี่ยงด้านการยศาสตร์ที่เกิดจากการการปฏิบัติงาน และพัฒนารูปแบบการ ส่งเสริมสุขภาพอย่างเหมาะสม เป็นการศึกษาวิจัยเชิงสำรวจ (Survey research) เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบ เจาะจง (Purposive sampling) เฉพาะหน่วยงานที่ทำงานกับคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ ได้แก่ กลุ่มงานประกัน สุขภาพ ยุทธศาสตร์และสารสนเทศฯ และกลุ่มงานบริหารทั่วไป จำนวน 30 คน โดยใช้เครื่องมือ แบบสอบถาม ข้อมูลทั่วไปมีคำถามทั้งหมด 5 ข้อ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมาเอง และแบบประเมิน Rapid Office Strain Assessment (ROSA) สำหรับการประเมินความเสี่ยงทางการยศาสตร์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา (Descriptive statistics) แสดงข้อมูลจำนวนและค่าร้อยละเพื่ออธิบายข้อมูลทั่วไปและข้อมูลลักษณะในการ ทำงานด้วยระดับความเสี่ยงทางการยศาสตร์ ผลการวิจัยครั้งนี้ พบว่า ลักษณะงานที่เป็นงานสำนักงาน ทำให้บุคลากรที่ปฏิบัติงานโดยใช้ คอมพิวเตอร์ของโรงพยาบาลบ้านฉางส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ที่มีอายุไม่เกิน 30 ปี โดยต้องปฏิบัติงานมากกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน แต่ในระหว่างวันนั้น มีการลุกเดิน ยืดเหยียดบริหารร่างกาย/กล้ามเนื้อ แต่ด้วยภาระงานทำให้ ไม่มีเวลาการออกกำลังกาย และยังไม่เคยได้รับความรู้ในเรื่องการยศาสตร์และท่าทางการนั่งทำงานที่ถูกต้อง จากการประเมินสถานีงานและท่าทางการทำงานของบุคลากรปฏิบัติงานโดยใช้คอมพิวเตอร์ของโรงพยาบาล บ้านฉางด้วยวิธี ROSA จำนวน 30 คน พบว่า เก้าอี้ที่นั่งไม่พอดี มีความสูงหรือต่ำเกินไป (ข้อพับเข่าน้อยกว่า หรือมากกว่า 90 องศา) ร้อยละ 63.33 ที่นั่งมีช่องว่างมากกว่า 7 เซนติเมตร ร้อยละ 70 ที่พักแขนของเก้าอี้ และพนักพิงปรับไม่ได้ รวมถึงไม่มีที่รองข้อมือหรือที่รองข้อมือมีพื้นผิวแข็ง หรือมีจุดกดทับในขณะที่ใช้งานเมาส์ ร้อยละ 100 ซึ่งจากการวิเคราะห์ความเสี่ยงจากการประเมินความเสี่ยงด้านการยศาสตร์ของบุคลากรประจำ สำนักงานของโรงพยาบาลบ้านฉาง พบว่า ส่วนใหญ่มีคะแนนตั้งแต่ 5 คะแนนขึ้นไป แปลผลได้ว่าจำเป็นต้องมี การประเมินหรือศึกษาเพิ่มเติมทันที ผู้วิจัยจึงมีการสื่อสารความเสี่ยงและให้ความรู้แก่บุคลากรโรงพยาบาลบ้าน ฉาง และนำเสนอผลการวิจัยแก่ผู้บริหาร เพื่อวางแผนในการปรับปรุงสถานีงานให้มีความเหมาะสม ข้อเสนอแนะ ควรนำผลการศึกษาที่ได้ไปใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการปรับปรุงสถานีงานให้เหมาะสมกับ สรีระของแต่ละบุคคล และควรปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทำงาน เพื่อลดความเสี่ยงจากการมีท่าการทำงาน ที่ไม่เหมาะสมตามหลักวิชาการ และควรมีการศึกษาในเจ้าหน้าที่หน่วยงานอื่นมากขึ้น ในกลุ่มที่มีการทำงานใน ลักษณะคล้ายๆ กัน และอาจมีการศึกษาเปรียบเทียบกับผลการป่วยด้วยโรคกระดูกและกล้ามเนื้อของเจ้าหน้าที่ คำสำคัญ : การประเมินความเสี่ยงด้านการยศาสตร์, การทำงานคอมพิวเตอร์,บุคลากรโรงพยาบาล 216
การประเมินความเสี่ยงทางการยศาสตร์ในการทำงานคอมพิวเตอร์ ของบุคลากรโรงพยาบาลบ้านฉาง (Ergonomic Risk Assessment in Computer Work of personnel at Banchang Hospital) พรเพ็ญ จงอนุรักษ์ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ รัตติกาล สุวรรณโชติ นักวิชาการสาธารณสุขปฏิบัติการ งานอาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม โรงพยาบาลบ้านฉาง ผู้นำเสนอผลงาน นางพรเพ็ญ จงอนุรักษ์ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ ความสำคัญของปัญหา การยศาสตร์(ergonomics) เป็นศาสตร์หรือวิชาการที่เป็นการปรับเปลี่ยนสภาพงานให้เหมาะสมกับ ผู้ปฏิบัติงาน ทั้งทางด้านกายภาพ สรีรวิทยา ชีวกลศาสตร์ และจิตวิทยา รวมถึงเป็นการปรับปรุงสภาพการ ทำงานอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการทำงานสูงสุด และผู้ปฏิบัติงานสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมี ความสุขไม่เกิดการบาดเจ็บหรือการเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากการปฏิบัติงาน การยศาสตร์จึงมุ่งเน้นในเรื่อง การศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์และปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ที่มีต่อเครื่องจักร อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการทำงาน และสภาพแวดล้อมในการทำงาน สาเหตุอันดับหนึ่งของผู้ได้รับการวินิจฉัยโรคจากการทำงาน คือโรคกระดูกและกล้ามเนื้อ การเกิดความ ผิดปกติของระบบโครงร่างและกล้ามเนื้อบริเวณกระดูกสันหลังและรยางค์ส่วนบนเป็นอาการที่เกิดขึ้นบ่อยจาก การทำงาน โดยเฉพาะการทำงานที่ใช้ท่าทางและอิริยาบถที่ไม่ถูกต้อง มักเป็นสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดอาการ ดังกล่าวได้ นอกจากนั้นยังมีปัจจัยด้านการยศาสตร์การทำงาน เช่น ท่าทางการทำ งานที่ไม่เหมาะสม มีการก้ม ตัวหรือเอี้ยวตัวในขณะทำงาน และทำงานในท่านั่งหรือยืนเป็นเวลานาน ทำให้เกิดความเจ็บปวดและเมื่อยล้า ของกล้ามเนื้อได้ ซึ่งพบมากในงานที่ต้องใช้กำลังและออกแรงมาก งานที่มีการบิด หมุนส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ตลอดเวลาการทำงานซึ่งปัญหาด้านการยศาสตร์นี้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของผู้ปฏิบัติงานคือ การเจ็บป่วยจากท่าทางการทำงาน เป็นปัญหาที่เกิดจากความไม่เหมาะสมด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ด้านการยศาสตร์ ซึ่งมีความสัมพันธ์ต่อการเกิดโรคทางระบบกระดูกและ กล้ามเนื้อที่มีสาเหตุมาจากการทำงานหรือ Work-related musculoskeletal disorders (WMSDs) เป็นกลุ่ม อาการที่มีความผิดปกติจากการเจ็บปวดของกล้ามเนื้อ เอ็นหรือเส้นประสาท ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการทำงาน ดังนั้น ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาผลการประเมินความเสี่ยงทางการยศาสตร์ในการทำงานคอมพิวเตอร์ ของบุคลากรโรงพยาบาลบ้านฉาง ที่ปฏิบัติงานโดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลา 6-8 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อเป็นข้อมูลใน การเฝ้าระวังความเสี่ยงด้านการยศาสตร์ที่เกิดจากการการปฏิบัติงาน และพัฒนารูปแบบการส่งเสริมสุขภาพ อย่างเหมาะสมต่อไป วัตถุประสงค์ เพื่อประเมินความเสี่ยงทางการยศาสตร์ในการทำงานคอมพิวเตอร์ ของบุคลากรโรงพยาบาลบ้านฉาง วิธีการศึกษา การวิจัยนี้เป็นการศึกษาวิจัยเชิงสำรวจ (Survey research) เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling) เฉพาะหน่วยงานที่ทำงานกับคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ ได้แก่ กลุ่มงานประกันสุขภาพ ยุทธศาสตร์และสารสนเทศฯ และกลุ่มงานบริหารทั่วไป จำนวน 30 คน โดยใช้เครื่องมือ ดังนี้ 217
1. แบบสอบถามข้อมูลทั่วไปมีคำถามทั้งหมด 5 ข้อ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมาเอง ประกอบด้วย เพศ อายุ การออกกำลังกาย การฝึกอบรมความรู้เกี่ยวกับการออกกำลังกาย การบริหารร่างกาย/ยืดกล้ามเนื้อระหว่าง ทำงาน 2. แบบประเมิน Rapid Office Strain Assessment (ROSA) สำหรับการประเมินความเสี่ยงทางการย ศาสตร์ เป็นเครื่องมือในการบ่งชี้จุดที่มีความเสี่ยงในการทำงานคอมพิวเตอร์ โดยพิจารณาจากอุปกรณ์ที่ใช้งาน เช่น เก้าอี้ หน้าจอคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ เมาส์ แป้นพิมพ์ และระยะเวลาในการใช้งานอุปกรณ์โดยผลคะแนน ของการประเมินจะมีค่าตั้งแต่ 1 ถึง 10 คะแนน หากมีค่าคะแนนการประเมิน น้อยกว่า 5 คะแนน แปลว่า ยัง ไม่จำเป็นต้องมีการประเมินหรือศึกษาเพิ่มเติม แต่หากมีค่าคะแนนตั้งแต่ 5 ขึ้นไป แปลว่า จำเป็นต้องมีการ ประเมินหรือศึกษาเพิ่มเติมทันที ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลโดยสอบถามข้อมูลปัจจัยส่วนบุคคลกับกลุ่มตัวอย่างภายในโรงพยาบาลบ้าน ฉาง ประเมินท่าทางการปฏิบัติงาน สอบถามข้อมูล สังเกตท่าทาง และถ่ายภาพนิ่งขณะนั่งทำงาน เพื่อประเมิน ความเสี่ยงของกลุ่มตัวอย่าง และนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ตามวิธีการทางสถิติวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ พรรณนา (Descriptive statistics) แสดงข้อมูลจำนวนและค่าร้อยละเพื่ออธิบายข้อมูลทั่วไปและข้อมูลลักษณะ ในการทำงานด้วยระดับความเสี่ยงทางการยศาสตร์ ผลการศึกษา ผลจากการศึกษาข้อมูลปัจจัยส่วนบุคคลของบุคลากรประจำสำนักงานของโรงพยาบาลบ้านฉาง พบว่า บุคลากรส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 90 เป็นเพศชาย ร้อยละ 10 ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุน้อยกว่าหรือเท่ากับ 30 ปี ร้อยละ 46.67 ส่วนใหญ่บุคลากรไม่มีการออกกำลังกาย ร้อยละ 66.67 และออกกำลังกาย ร้อยละ 33.33 ส่วนใหญ่ไม่เคยฝึกอบรมเกี่ยวกับการนั่งทำงาน ร้อยละ 86.67 แต่มีการบริหารร่างกาย/กล้ามเนื้อ ระหว่างทำงาน ร้อยละ 90 และบุคลากรส่วนใหญ่ทำงานมากกว่า 4 ชั่วโมงขึ้นไป ร้อยละ 93.33 ผลจากการประเมินท่าทางการทำงานของบุคลากรประจำสำนักงานของโรงพยาบาลบ้านฉาง ในด้าน ความสูงของเก้าอี้พบว่า ส่วนมากเก้าอี้สูงหรือต่ำเกินไป (ข้อพับเข่าน้อยกว่าหรือมากกว่า 90 องศา) ร้อยละ 63.33 และพื้นที่ใต้ตะคับแคบไม่สามารถไขว้ขาได้ ร้อยละ 26.67 ความลึกของเก้าอี้ส่วนใหญ่สั้นเกินไป มี ช่องว่างมากกว่า 7 เซนติเมตร ร้อยละ 70 ที่พักแขนของเก้าอี้ปรับไม่ได้ ร้อยละ 100 รองลงมาที่พักแขนรองรับ ข้อศอกทำให้มีมุม 90 องศา และไหล่มีลักษณะผ่อนคลาย ร้อยละ 83.33 พนักพิงส่วนใหญ่ปรับไม่ได้ ร้อยละ 100 รองลงมาพนักพิงเอียง มากกว่า 110 องศา หรือ 95 องศา ร้อยละ 46.70 หน้าจอคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่มี ระยะความยาว 40-75 เซนติเมตร และหน้าจออยู่ในระดับสายตาของบุคลากร การใช้โทรศัพท์ส่วนใหญ่ใช้ อุปกรณ์สวมศีรษะ (Headset) หรือจับหูฟังด้วยมือและคออยู่ในท่าทางตรงตำแหน่งของโทรศัพท์อยู่ห่างไม่เกิน 30 เซนติเมตร ร้อยละ 73.33 การใช้เมาส์ส่วนใหญ่ไม่มีที่รองข้อมือหรือมีจุดกดทับในขณะที่ใช้งานเมาส์ ร้อย ละ 100 รองลงมา มีการใช้เมาส์อยู่ในแนวเดียวกับไหล่ ร้อยละ 80 การใช้แป้นพิมพ์ส่วนใหญ่ข้อมือมีลักษณะ ตรงและไหล่อยู่ในลักษณะผ่อนคลาย ร้อยละ 80 และจากการวิเคราะห์ความเสี่ยงจากการประเมินความเสี่ยงด้านการยศาสตร์ของบุคลากรประจำ สำนักงานของโรงพยาบาลบ้านฉาง พบว่า ส่วนใหญ่มีคะแนนตั้งแต่ 5 คะแนนขึ้นไป ร้อยละ 70 ซึ่งแปลผลได้ว่า จำเป็นต้องมีการประเมินหรือศึกษาเพิ่มเติมทันที รองลงมามีคะแนนน้อยกว่า 5 ร้อยละ 30 แปลผลได้ว่ายังไม่ จำเป็นต้องมีการประเมินหรือศึกษาเพิ่มเติม อภิปรายผลการศึกษา ด้วยลักษณะงานที่เป็นงานสำนักงาน ทำให้บุคลากรที่ปฏิบัติงานโดยใช้คอมพิวเตอร์ของโรงพยาบาล บ้านฉางส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ที่มีอายุไม่เกิน 30 ปี โดยต้องปฏิบัติงานมากกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน แต่ในระหว่าง วันนั้น มีการลุกเดิน ยืดเหยียดบริหารร่างกาย/กล้ามเนื้อ แต่ด้วยภาระงานทำให้ไม่มีเวลาการออกกำลังกาย 218
และยังไม่เคยได้รับความรู้ในเรื่องการยศาสตร์และท่าทางการนั่งทำงานที่ถูกต้อง จากการประเมินสถานีงาน และท่าทางการทำงานของบุคลากรปฏิบัติงานโดยใช้คอมพิวเตอร์ของโรงพยาบาลบ้านฉางด้วยวิธี ROSA จำนวน 30 คน พบว่า เก้าอี้ที่นั่งไม่พอดี มีความสูงหรือต่ำเกินไป (ข้อพับเข่าน้อยกว่าหรือมากกว่า 90 องศา) ที่ นั่งมีช่องว่างมากกว่า 7 เซนติเมตร และที่พักแขนของเก้าอี้และพนักพิงปรับไม่ได้ ไม่มีที่รองข้อมือหรือที่รอง ข้อมือมีพื้นผิวแข็ง หรือมีจุดกดทับในขณะที่ใช้งานเมาส์สอดคลองกับการศึกษาของณัจฉรียา คำยัง และคณะ (2561) และจากการวิเคราะห์ความเสี่ยงจากการประเมินความเสี่ยงด้านการยศาสตร์ของบุคลากรประจำ สำนักงานของโรงพยาบาลบ้านฉาง พบว่า ส่วนใหญ่มีคะแนนตั้งแต่ 5 ขึ้นไป ซึ่งแปลผลได้ว่าจำเป็นต้องมีการ ประเมินหรือศึกษาเพิ่มเติมทันที ผู้วิจัยจึงมีการสื่อสารความเสี่ยงและให้ความรู้แก่บุคลากรโรงพยาบาลบ้านฉาง และนำเสนอผลการวิจัยแก่ผู้บริหาร เพื่อวางแผนในการปรับปรุงสถานีงานให้มีความเหมาะสม ข้อเสนอแนะ 1. ควรนำผลการศึกษาที่ได้ไปใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการปรับปรุงสถานีงานให้เหมาะสมกับสรีระของ แต่ละบุคคล และควรปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทำงาน เพื่อลดความเสี่ยงจากการมีท่าการทำงานที่ไม่ เหมาะสมตามหลักวิชาการ 2. ควรมีการศึกษาในเจ้าหน้าที่หน่วยงานอื่นมากขึ้น ในกลุ่มที่มีการทำงานในลักษณะคล้ายๆ กัน และ อาจมีการศึกษาเปรียบเทียบกับผลการป่วยด้วยโรคกระดูกและกล้ามเนื้อของเจ้าหน้าที่ การนำผลงานไปใช้ประโยชน์ 1. บุคลากรโรงพยาบาลบ้านฉาง ทราบความเสี่ยงด้านการยศาสตร์จากขั้นตอนในการทำงาน และเกิดความตระหนักในการการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการทำงานใช้คอมพิวเตอร์ 2. เจ้าหน้าที่งานอาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม มีข้อมูลสุขภาพของบุคลากร เพื่อใช้ในการส่งเสริม สุขภาพ และพัฒนาแนวทางในการพฤติกรรมสุขภาพของบุคลากรต่อไป เอกสารอ้างอิง กลุ่มอาชีวอนามัย สำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค. (2560). แนว ทางการจัดบริการอาชีวอนามัยให้กับแรงงานในชุมชนด้านการยศาสตร์สำหรับเจ้าหน้าที่ หน่วยบริการ สุขภาพปฐมภูมิ. สืบค้นเมื่อ 9 พฤษภาคม 2566 ณัจฉรียา คำยัง, รัชดาพร แก้วนาคูณ, กันยาภรณ์ อาจกล้า, ทัศนีย์ สัทธรรม, นภัสวรรณ ฉลูทอง, และแพรว นภา แพงวงษ์. (2561). การประเมินความเสี่ยงทางการยศาสตร์ของอาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย จากการทำงานกับคอมพิวเตอร์. สืบค้นเมื่อ 9 พฤษภาคม 2566 ธยา ภิรมย์, สุรสิทธิ์ ระวังวงศ์, และนงนาฎ ระวังวงศ์. (2559). การประเมินความเสี่ยงทางการยศาสตร์จากการ ทำงานของพนักงานสำนักงานในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย. สืบค้นเมื่อ 9 พฤษภาคม 2566 ปวีณา มีประดิษฐ์. (2566). Rapid Office Strain Assessment. สืบค้นเมื่อ 9 พฤษภาคม 2566, มนตรา พิเชฐวีรชัย, กรรณิการ์ สุวรรณ, และทยา ฉัตรประเทืองกุล. (2564). การประเมินความเสี่ยง ทางการยศาสตร์ของบุคลากรโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพศูนย์อนามัยที่ 2 พิษณุโลก. สืบค้นเมื่อ 9 พฤษภาคม 2566 สุรสิทธิ์ ระวังวงค์, ชาตรี หอมเขียว, ธยา ภิรมย์, และวรรธนพร ชีววุฒิพงศ์. (2558). การประเมิน ความเสี่ยงทางการยศาสตร์และอาการทางกระดูกและกล้ามเนื้อจากการทำงานของพนักงาน สำนักงานในจังหวัดสงขลา.สืบค้นเมื่อ 9 พฤษภาคม 2566 219
บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบย้อนหลังเพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะที่ สัมพันธ์กับการใส่คาสายสวนปัสสาวะ หอผู้ป่วยใน โรงพยาบาลสมุทรปราการเก็บข้อมูลย้อนหลังจากเวชระเบียน ผู้ป่วยในที่ได้รับการใส่คาสายสวนปัสสาวะทั้งที่เกิดและไม่เกิด CAUTI (catheter-associated urinary tract infection) จำนวน 421 ราย ระหว่างเดือน ตุลาคม 2562 ถึง มิถุนายน พ.ศ. 2566 เครื่องมือวิจัย คือ แบบบันทึก ข้อมูลที่ ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหาเท่ากับ .94 วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปด้วยสถิติบรรยาย ได้แก่ ความถี่ ร้อยละค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเกิด CAUTI ด้วย Chi-square ผลการศึกษาพบว่าการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในผู้ป่วยคาสายสวนปัสสาวะในโรงพยาบาลสมุทรปราการพบร้อยละ 50.6 ปัจจัยที่มีผลต่อการเกิด CAUTI มี 4 ปัจจัย ได้แก่ จำนวนวันนอน กลุ่มโรคความรุนแรงของโรค และจำนวน วันใส่คาสายสวนปัสสาวะ โดย จำนวนวันนอน มากกว่า 14 วันมีผลต่อการเกิด การติดเชื้อในระบบทางเดิน ปัสสาวะร้อยละ 52.0 กลุ่มโรคกลุ่มโรคมีผลต่อการเกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะมากที่สุดคือ Diseases of the nervous system ร้อยละ 87.5 ความรุนแรงของโรคมีผลต่อการเกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ มากที่สุดคือ ผู้ป่วยหนักมาก (Intensive Care) ร้อยละ 64.7 และจำนวนวันใส่คาสายสวนปัสสาวะการเกิดการติด เชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะมากที่สุดคือ ผู้ป่วยที่คาสายสวนปัสสาวะมากกว่า 14 วัน ร้อยละ 77.6 ข้อเสนอแนะ บุคลากรทางการแพทย์ต้องให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ป่วยที่มีปัจจัยดังกล่าว เนื่องจาก มีโอกาสเกิดCAUTI สูงกว่า ผู้ป่วยอื่นๆ 220
วิจัยเรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในผู้ป่วยคาสายสวนปัสสาวะในโรงพยาบาล สมุทรปราการ จัดทำโดย นางสาวระวี แช่มชื่น นางสาวจิราภรณ์ พลับพลาไชย นางสาวกานติมา กำแพงเมือง หอผู้ป่วยหนักศัลยกรรม 2 โรงพยาบาลสมุทรปราการ ผู้นำเสนอผลงาน นางสาวระวี แช่มชื่น ที่มาและความสำคัญของปัญหา การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (UTIs) เป็นการติดเชื้อที่เกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาลที่พบมากเป็น อันดับที่ 5 โดยมีประมาณ 62,700 ราย ในโรงพยาบาล ในปี 2558 นอกจากนี้ UTI ยังคิดเป็นมากกว่า 9.5% ของการติดเชื้อที่รายงานโดยโรงพยาบาล ประมาณ 12%-16% ของผู้ป่วยในโรงพยาบาลที่เป็นผู้ใหญ่จะมีสาย สวนปัสสาวะ (IUC) อยู่ภายในระหว่างการรักษาตัวในโรงพยาบาล และในแต่ละวันสายสวนปัสสาวะยังคงอยู่ ผู้ป่วยมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 3%-7% ในการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะที่เกี่ยวข้องกับสายสวน (CAUTI) (National Health care Safety NetwORk: NHSN, 2023) การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะที่เกี่ยวข้องกับสายสวน (CAUTI) สามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน เช่น ต่อมลูกหมากอักเสบ ท่อน้ำอสุจิอักเสบ และ อัณฑะอักเสบในเพศชาย และโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ, pyelonephritis, แบคทีเรียแกรมลบ, เยื่อบุหัวใจอักเสบ, กระดูกสันหลัง osteomyelitis, โรคข้ออักเสบติด เชื้อ, endophthalmitis และเยื่อหุ้มสมองอักเสบในผู้ป่วย ภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับ CAUTI ทำให้เกิด อาการไม่สบายในผู้ป่วย ทำให้ต้องรักษาตัวโรงพยาบาลเป็นเวลานาน ค่าใช้จ่ายและการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้น มีการ คาดการณ์ว่าในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 13,000 รายที่เกี่ยวข้องกับ UTIs (NHSN, 2023) จากการศึกษาข้อมูลเวชระเบียนของโรงพยาบาลสมุทรปราการพบว่าข้อมูลการติดเชื้อในระบบทางเดิน ปัสสาวะ ตั้งแต่ ปีงบประมาณ 2563 - 2566 ปีงบประมาณ 2563 76 ราย, ปีงบประมาณ 2564 54 ราย, ปีงบประมาณ 2565 92 รายและปีงบประมาณ 2566( 1 ต.ค.65-30 มิถุนายน 2566) 70 ราย คิดเป็นอัตรา การติดเชื้อ 1.55,1.12,1.87 และ 2.72 ตามลำดับ จะเห็นว่าอัตราการติดเชื้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ดังนั้นผู้วิจัยจึง สนใจศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในโรงพยาบาลสมุทรปราการเพื่อให้ทราบถึงปัจจัยที่ทำ ให้เกิดการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ นำข้อมูลไปปรับปรุงและพัฒนาการการดูแลผู้ป่วยที่ได้รับการคาสายสวน ปัสสาวะ วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อศึกษาการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในผู้ป่วยคาสายสวนปัสสาวะ 2. เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในผู้ป่วยที่คาสายสวนปัสสาวะ วิธีดำเนินการวิจัย รูปแบบการวิจัย การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบวิเคราะห์ย้อนหลัง ประชากร ผู้ป่วยที่คาสายสวนปัสสาวะ ช่วงเวลา 1 ตุลาคม 2562 – 30 มิถุนายน 2566 กลุ่มตัวอย่าง ผู้ป่วยที่ติดเชื้อและไม่ติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2562 – 30 มิถุนายน 2566 221
สูตรที่ใช้คำนวณกลุ่มตัวอย่าง Cochran N=P(1-P)Z2 e2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย แบบบันทึกข้อมูลปัจจัยที่มีผลต่อการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในผู้ป่วยคาสายสวน ปัสสาวะ การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ การตรวจสอบความตรง ผู้วิจัยได้นำแบบสอบถามที่สร้างขึ้นไปปรึกษากับผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน เพื่อ ตรวจสอบความถูกต้องทางภาษา และความครอบคลุมของเนื้อหา (Content Validity) แล้วนำไปปรับปรุงแบบ บันทึกตามผู้ทรงคุณวุฒิเสนอแนะ แล้วส่งให้ผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาอีกครั้ง จนเป็นที่ยอมรับถือว่ามีความตรงตาม เนื้อหาแล้วจึงนำไปใช้ในการวิจัย สถิติและการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยนำแบบสอบถามที่ได้ตอบเรียบร้อยแล้วตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป คอมพิวเตอร์ โดยแบ่งการวิเคราะห์ดังนี้ 1.สถิติพรรณา (Descriptive statistic) ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย 2.สถิติอนุมาน (Inferential statistic) ได้แก่ Chi – Square, Fisher exact test สรุปผล จากการศึกษาวิจัยแบบวิเคราะห์ย้อนหลัง พบว่าการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในผู้ป่วยคาสายสวน ปัสสาวะในโรงพยาบาลสมุทรปราการพบร้อยละ 50.6 กลุ่มตัวอย่างที่มีจำนวนวันนอนมากกว่า 14 วัน พบว่ามี การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะมากที่สุด ร้อยละ 77.6 กลุ่มตัวอย่างที่มีจำนวนวันที่คาสายสวนปัสสาวะมากกว่า 14 วัน พบว่ามีการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะมากที่สุด ร้อยละ 80.8 กลุ่มตัวอย่างที่มีกลุ่มโรค มีDiseases of the nervous system พบว่ามีการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ร้อยละ 87.5กลุ่มตัวอย่างที่มีความรุนแรงของโรค ในระดับผู้ป่วยหนักมาก (Intensive Care) พบว่ามีการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะมากที่สุด ร้อยละ 64.7 อภิปรายผล ผู้วิจัยขออภิปรายผลการวิจัย ตามวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้ 1. การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในผู้ป่วยคาสายสวนปัสสาวะ หลังจากการศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการติดเชื้อ ทางเดินปัสสาวะในผู้ป่วยคาสายสวนปัสสาวะในโรงพยาบาลสมุทรปราการพบร้อยละ 50.6 เมื่อเปรียบเทียบ จากการศึกษางานวิจัย เยาวลักษณ์ อโณทยานนท์(2020) ศึกษาเรื่องปัจจัยที่มีผลต่อการติดเชื้อระบบทางเดิน ปัสสาวะที่สัมพันธ์กับการใส่คาสายสวนปัสสาวะในโรงพยาบาลตติยภูมิ ผลการศึกษาพบว่า อัตราการเกิด CAUTI เท่ากับ 23.32 ครั้งต่อ 1,000 วันที่ใส่คาสายสวนปัสสาวะ ปัจจัยที่มีผลต่อการเกิด CAUTI มี3 ปัจจัย ได้แก่ โรคร่วมทางไต เบาหวาน และจำนวนวันใส่คาสายสวนปัสสาวะ โดยสามารถร่วมกันทำนายการเกิด CAUTI ได้ร้อยละ 70.50 ซึ่งอัตราการเกิด CAUTI ในโรงพยาบาลสมุทรปราการเกิดขึ้นน้อยว่า 2. ปัจจัยที่มีผลต่อการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในผู้ป่วยที่คาสายสวนปัสสาวะ หลังจากการศึกษาปัจจัยที่มีผล ต่อการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในผู้ป่วยคาสายสวนปัสสาวะในโรงพยาบาลสมุทรปราการ ปัจจัยที่มีผลต่อการ ติดเชื้อได้แก่ จำนวนวันนอน วันคาสายสวนปัสสาวะ กลุ่มโรคและระดับความรุนแรงของโรค อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติ จำนวนวันนอนของผู้ป่วยที่ได้รับการคาสายสวนปัสสาวะส่งผลให้มีการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ เพิ่มมากขึ้น จากการศึกษาย้อนหลังผู้ป่วยโดยเป็นประชากรที่ศึกษาจำนวน 421 คน พบว่า วันนอนมากกว่า 14 วันมี การติดเชื้อมากสุด คิดเป็นร้อยละ 77.6 จำนวนวันคาสายสวนปัสสาวะของผู้ป่วย ส่งผลให้มีการติดเชื้อ 222
ระบบทางเดินปัสสาวะเพิ่มมากขึ้น จากการศึกษาย้อนหลังผู้ป่วยโดยเป็นประชากรที่ศึกษาจำนวน 421 คน พบว่า วันคาสายสวนปัสสาวะมากกว่า 14 วัน มีการติดเชื้อมากสุด คิดเป็นร้อยละ 80.8 ผลการศึกษานี้สอดคล้องกับ Allison S Letica-Kriegel(2019)จากการศึกษา การระบุปัจจัยเสี่ยง สำหรับการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะที่เกี่ยวข้องกับสายสวนปัสสาวะเป็นการศึกษาภาคตัดขวางขนาดใหญ่ของหก โรงพยาบาล การศึกษาวิจัยแบบย้อนหลังของผู้ป่วยโดยเป็นประชากรที่ศึกษาคือผู้ป่วย 47,926 คนที่ได้รับการ ใส่สายสวน 61,047 ครั้ง ในจำนวนนี้ 861 ราย (1.41%) ส่งผลให้เกิด CAUTI พบว่าอัตรา CAUTI เพิ่มขึ้นแบบ ไม่เชิงซ้อน สำหรับการใส่สายสวนในแต่ละวันเพิ่มขึ้นโดยปราศจาก CAUTI คือ 97.3% (CI: 97.1 ถึง 97.6) ที่ 10วัน 88.2% (CI: 86.9 ถึง 89.5) ที่ 30 วัน และ 71.8% (CI: 66.3 ถึง 77.8) ที่ 60 วัน และในช่วง 10–60 วัน โรคอัมพาตขา โรคหลอดเลือดสมอง และเพศหญิงพบว่าเพิ่มโอกาสของ CAUTI ทางสถิติ นางจุฬาพร ขำดี(2018)ศึกษาเรื่องผลการส่งเสริมปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันการติดเชื้อในระบบ ทางเดินปัสสาวะจากการคาสายสวนปัสสาวะในงานผู้ป่วยใน โรงพยาบาลศรีประจันต์ ผลจากการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการส่งเสริมการปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกัน CAUTI โดยกลุ่มที่ได้รับการส่งเสริมการ ปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกัน CAUTI พบอัตราการเกิด CAUTI เท่ากับ 2.55:1000 และกลุ่มตัวอย่างที่ ได้รับการพยาบาลตามปกติพบอัตราการเกิดCAUTI เท่ากับ2.07:1000วันคาสายสวนปัสสาวะ ผลการ เปรียบเทียบระยะเวลาการคาสายสวนก่อนการเกิดCAUTI ของทั้ง 2 กลุ่มพบว่าแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติ(P<0.05)แต่พบว่าอุบัติการณ์ CAUTI แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญ(P>0.05) เยาวลักษณ์ อโณทยานนท์(2020) ศึกษาการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะที่สัมพันธ์กับการใส่คาสาย สวนปัสสาวะในโรงพยาบาลตติยภูมิ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบย้อนหลัง พบว่า อัตราการเกิด CAUTI เท่ากับ 23.32 ครั้งต่อ 1,000 วันที่ใส่คาสายสวนปัสสาวะ จำนวนวันใส่คา สายสวนปัสสาวะเพิ่มขึ้น 1 สัปดาห์ มีโอกาสเกิด CAUTI เป็น 1.30 เท่า หรือร้อยละ 29.8 ข้อเสนอแนะ ผู้วิจัยจึงขอเสนอแนะ ดังต่อไปนี้ 1. จากผลการวิจัยแสดงให้เห็นปัจจัยที่มีผลต่อการติดเชื้อในโรงพยาบาล ของระบบทางเดินปัสสาวะ ในผู้ป่วยที่ได้รับคาสายสวนปัสสาวะ ได้แก่ จำนวนวันนอน วันคาสายสวนปัสสาวะ กลุ่มโรคและระดับความ รุนแรงของโรค ซึ่งปัจจัยต่างๆนี้พยาบาลจำเป็นต้องเพิ่มการเฝ้าระวังการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ 2. ผู้บริหารทางการพยาบาล นำผลการวิจัยไปกำหนดแนวทางและนโยบายให้บุคลากรทางการ พยาบาลผลปฏิบัติเกี่ยวกับการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการสร้างมาตรฐานการพยาบาลให้บุคลากรใช้เป็นแนวทางได้อย่างชัดเจนและมีการนิเทศงานให้มีการ ติดตามการปฏิบัติตามแนวทางเพื่อป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาลระบบทางเดินปัสสาวะในผู้ป่วยที่คาสาย สวนปัสสาวะ การนำผลงานไปใช้ประโยชน์ สามารถนำผลงานวิจัยมาศึกษาเพื่อนำปัจจัยที่ทำให้เกิด CAUTI มาพัฒนาการดูแลผู้ป่วยและนำ ผลการวิจัยไปกำหนดแนวทางและนโยบายให้บุคลากรทางการพยาบาลผลปฏิบัติเกี่ยวกับการป้องกันและ ควบคุมการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะอย่างมีประสิทธิภาพ 223
ผลของการวางแผนการจ าหน่ายโดยการประยุกต์ใช้แนวคิดของกาเย่ต่อความรู้ในการปฏิบัติตัว เพื่อป้องกันการกลับมารักษาซ าในผู้ป่วยโรคเลือดออกทางเดินอาหารส่วนต้นที่มีสาเหตุ มาจากพฤติกรรมการรับประทานยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ฐิติมา สุระพันธ์, พย.บ* หฤทัย แสงส่อง, พย.บ*สาวิตรี สิงหาเขต, พย.บ* รัชอุมา ศรีษะพันธุ์ , พย.บ* ยุพิน ถกลประจักษ์,พย.บ บทคัดย่อ การวิจัยกึ่งทดลองชนิดหนึ่งกลุ่มวัดก่อน – หลังนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยความรู้ ในการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการเป็นกลับซ้้าของผู้ป่วยโรคเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้นที่มีสาเหตุจาก พฤติกรรมการรับประทานยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ก่อนและหลังได้รับโปรแกรมการวางแผนการ จ้าหน่ายตามแนวคิดกาเย่ และเพื่อศึกษาจ้านวนการกลับมารักษาซ้้าในโรงพยาบาลของผู้ป่วยโรคเลือดออกใน ทางเดินอาหารส่วนต้นฯ ภายในระยะเวลา 28 วันหลังจ้าหน่าย หลังได้รับการวางแผนการจ้าหน่ายตาม แนวคิดกาเย่ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่ามีภาวะเลือดออกออกในทางเดินอาหาร ส่วนต้นที่มีสาเหตุจากพฤติกรรมการรับประทานยา NSAIDs และเข้ารับการรักษา ณ หอผู้ป่วยศัลยกรรมชาย โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว จ้านวน 30 คน เครื่องมือวิจัยได้แก่ โปรแกรมวางแผนการจ้าหน่าย ผู้ป่วยเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้นที่มีสาเหตุจากพฤติกรรมการรับประทานยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่ส เตียรอยด์และแบบทดสอบความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้น ด้าเนินการวิจัยในระหว่างเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2565 - พฤษภาคม พ.ศ. 2566 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ พื้นฐานและ paired t test ผลการศึกษาพบว่า คะแนนเฉลี่ยความรู้ในการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการเป็นกลับซ้้าของกลุ่มตัวอย่าง ผู้ป่วยโรคเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้นที่มีสาเหตุจากพฤติกรรมการรับประทานยาต้านการอักเสบที่ ไม่ใช่สเตียรอยด์หลังการวางแผนจ้าหน่ายตามแนวคิดของกาเย่สูงกว่าก่อนการวางแผนจ้าหน่ายอย่างมี นัยส้าคัญทางสถิติ (t = 6.215; p <.001) และเมื่อครบ 28 วัน กลุ่มตัวอย่างไม่มีการกลับมารักษาซ้้าใน โรงพยาบาลด้วยโรคเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้นที่มีสาเหตุจากพฤติกรรมการรับประทานยาต้านการ อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ จากผลการวิจัยมีข้อเสนอแนะ ควรใช้การวางแผนจ้าหน่ายผู้ป่วยโรคเลือดออกใน ทางเดินอาหารส่วนต้นฯด้วยโปรแกรมการวางแผนการจ้าหน่ายตามแนวคิดของกาเย่ที่พัฒนาขึ้นนี้ และควรมี การวิจัยเพื่อติดตามความคงทนของความรู้ในการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการเป็นกลับซ้้าของกลุ่มตัวอย่างผู้ป่วย โรคเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้นที่มีสาเหตุจากพฤติกรรมการรับประทานยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่ สเตียรอยด์หรือวิจัยติดตามการ Readmitted ในผู้ป่วยกลุ่มนี้ ค้าส้าคัญ : เลือดออกทางเดินอาหาร / ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ /การวางแผนการจ้าหน่าย/ แนวคิดของกาเย่ * พยาบาลวิชาชีพประจ้าหอผู้ป่วยศัลยกรรมชาย โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว 224
1.ชื่อเรื่อง : ผลของการวางแผนการจ าหน่ายโดยการประยุกต์ใช้แนวคิดของกาเย่ต่อความรู้ในการปฏิบัติตัว เพื่อป้องกันการกลับมารักษาซ้ าในผู้ป่วยโรคเลือดออกทางเดินอาหารส่วนต้นที่มีสาเหตุ มาจากพฤติกรรมการรับประทานยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ 2.ผู้วิจัย นางสาวฐิติมา สุระพันธ์ นางสาวหฤทัย แสงส่อง นางสาวสาวิตรี สิงหาเขต นางสาวรัชอุมา ศรีษะพันธุ์ นางยุพิน ถกลประจักษ์ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว 3.ชื่อผู้น าเสนอผลงาน นางสาวฐิติมา สุระพันธ์ นางสาวหฤทัย แสงส่อง 4 ความส าคัญของปัญหา เลือดออกระบบทางเดินอาหาร เป็นโรคที่พบในผู้ป่วยทั่วโลกและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตและมีแนวโน้ม การเจ็บป่วย ที่สูงขึ้น จากข้อมูลสถิติของสหรัฐอเมริกา พบผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดออกทางเดินอาหาร 94-100 รายต่อ 100,000 ประชากร เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 72,300 ราย พบการเสียชีวิต ประมาณ 4,000 รายต่อปี มีค่าใช้จ่ายในการรักษามากกว่า 2 ล้านเหรียญต่อปี (สุกานดา ตีพัดดี,2563) ส าหรับสถิติในประเทศ ไทย ไม่ได้ระบุสถิติผู้ป่วยที่มีเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้น แต่เป็นระบุเป็นผู้ป่วยโรคระบบย่อยอาหารจาก สถิติของกลุ่มข้อมูลข่าวสารสุขภาพ กองยุทธศาสตร์และแผนงาน กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ.2562 พบว่า มีจ านวนผู้ป่วยเป็นโรคระบบย่อยอาหาร ในปี พ.ศ. 2560 ถึงปี พ.ศ. 2562 จ านวน 19,362 ราย 19,247 ราย และ 21,317 ราย ตามล าดับ ต่อประชากร 100,000 ราย จัดเป็นโรคล าดับที่ 5 ใน 10 กลุ่มโรคของผู้ป่วยที่ เข้ารับการรักษาภาวะเลือดออกทางเดินอาหารเป็นโรคที่พบได้บ่อยและมีอัตราการเสียชีวิตจากเลือดออกใน ทางเดินอาหาร พบการเสียชีวิตช่วงแรกที่เข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาล ส่งผลให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัวร่วมกับมี ภาวะภาวะช็อกและเสียชีวิตตามมา (กองยุทธศาสตร์และแผนงาน, สถิติสาธารณสุข,2561) จากสถิติของ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว ในปีงบประมาณ 2562-2564 พบว่า มีผู้ป่วย โรคเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้นที่มีสาเหตุจากพฤติกรรมการรับประทานยาNSAIDs เข้ารับการรักษาที่ โรงพยาบาลจ านวน 389 , 297, 385 รายตามล าดับ และสถิติการเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยศัลยกรรมชาย โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว จ านวน 68,45,50 ราย คิดเป็นร้อยละ 22.36,15.15,18.37 ตามล าดับ จากการซักประวัติพบว่าผู้ป่วยหลายรายมีการซื้อยาชุดแก้ปวดที่เป็นยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ดังนั้นการเตรียมผู้ป่วยเมื่อกลับบ้านในเรื่องของพฤติกรรมการใช้ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์จึงถือว่า เป็นสิ่งส าคัญ การวางแผนการจ าหน่ายผู้ป่วยเป็นกระบวนการเตรียมผู้ป่วยให้พร้อมต่อการดูแลตัวเองเมื่อกลับไปอยู่ บ้านเพื่อให้ผู้ป่วยนั้นมีคุณภาพชีวิตที่ดีไม่กลับมาเจ็บป่วยจากพฤติกรรมเดิม การทบทวนการวางแผน การจ าหน่ายผู้ป่วยโรคทางเดินอาหารสวนต้นที่มีที่มีสาเหตุจากพฤติกรรมการรับประทานยา NSAIDs ในหอผู้ป่วยศัลกรรมชายที่ผ่านมาพบว่ายังไม่มีกระบวนการให้ความรู้ที่เป็นล าดับขั้นตอนและมีเนื้อหา เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับโรคโดยเฉพาะความรู้เกี่ยวกับการใช้ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ในผู้ป่วย โรคเลือดออกทางเดินอาหารสวนต้น อาจส่งผลที่ให้ผู้ป่วยมีความรู้ความเข้าใจไม่ถูกต้องถึงพฤติกรรมเสี่ยงที่ท า ให้เกิดภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้นจนท าให้กลับไปมีพฤติกรรมเสี่ยงจากความเชื่อเดิมๆ ดังนั้น การปรับเปลี่ยนกระบวนการวางแผนจ าหน่ายจึงนับได้ว่ามีความส าคัญ เพราะจะมีส่วนส่งเสริมให้ผู้ป่วย เกิดความปลอดภัยกับภาวะวิกฤตและช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคต จากการทบทวนวรรณกรรมพบว่าทฤษฎีการเรียนรู้ของกาเย่ (ทิศนา แขมมณี, 2557) เชื่อว่าความรู้มี หลายประเภท บางประเภทสามารถเข้าใจได้อย่างรวดเร็วไม่ต้องใช้ความคิดที่ลึกซึ้ง บางประเภทมีความซับซ้อน จ าเป็นต้องใช้ความสามารถในขั้นสูง ดังการวิจัยที่พบว่าหลังการพัฒนาผู้เรียนด้วยแนวคิดกาเย่แล้ว ผู้เรียนมี ระดับการเรียนรู้หลักการท างานคอมพิวเตอร์เบื้องต้นดีขึ้น (อรรถโกวิท จิตจักร 2555 )จากความส าคัญของ แนวคิดการเรียนรู้ของกาเย่ที่กล่าวมานี้ผู้วิจัยจึงน าแนวคิดทฤษฎีการเรียนรู้ของกาเย่มาประยุกต์ใช้ในการท า 225
วิจัยในครั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องและครอบคลุมกับปัญหากับผู้ป่วยกลุ่มนี้ในการส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเอง ที่เหมาะสมเพื่อให้ผู้ป่วยมีองค์ความรู้ความเข้าใจในสาเหตุปัญหาของโรคที่เกิดขึ้นจนน าไปสู่แบบแผนการปฏิบัติ ตัวเมื่อกลับไปอยู่ที่บ้านให้มีความเหมาะสมที่มากขึ้นและลดอัตราการกลับมารักษาซ้ าหลังจ าหน่ายอันจะส่งผล ต่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วยและต่อไป 5.วัตถุประสงค์ 1 เพื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยความรู้ในการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการเป็นกลับซ้ าของผู้ป่วยโรค เลือดออก ในทางเดินอาหารส่วนต้นที่มีสาเหตุจากพฤติกรรมการรับประทานยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่ สเตียรอยด์ก่อนและหลังได้รับ การวางแผนการจ าหน่ายตามแนวคิดกาเย่ 2 เพื่อศึกษาจ านวนการกลับมารักษาซ้ าในโรงพยาบาลของผู้ป่วยโรคเลือดออกในทางเดินอาหารส่วน ต้น ที่มีสาเหตุจากพฤติกรรมการรับประทานยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ภายในระยะเวลา 28 วันหลัง จ าหน่าย หลังได้รับการวางแผนการจ าหน่ายตามแนวคิดกาเย่ 6.สมมุติฐาน คะแนนเฉลี่ยความรู้ในการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการเป็นกลับซ้ าของผู้ป่วยโรคเลือดออกใน ทางเดินอาหารส่วนต้นที่มีสาเหตุจากพฤติกรรมการรับประทานยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์หลังการ วางแผนจ าหน่ายตามแนวคิดของกาเย่สูงกว่าก่อนการวางแผนจ าหน่าย 7.วิธีการศึกษา รูปแบบการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (quasi-experimental study) ชนิด หนึ่งกลุ่มวัดก่อนหลัง (one group pre-post test design กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่ามีภาวะเลือดออก ออกในทางเดินอาหารส่วนต้นที่มีสาเหตุจากพฤติกรรมการรับประทานยา NSAIDs และเข้ารับการรักษา ณ หอ ผู้ป่วยศัลยกรรมชาย โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว จ านวน 30 ด าเนินการวิจัยในระหว่างเดือน พฤศจิกายน พ.ศ.2565 -พฤษภาคม พ.ศ.2566 8.ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1. ประชากรคือ ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่ามีภาวะเลือดออกออกในทางเดินอาหาร ส่วนต้นที่เข้ารับการรักษา ณ หอผู้ป่วยศัลยกรรมชาย โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว ในเดือนตุลาคม พ.ศ.2565-กันยายน พ.ศ. 2566 ก าหนดขนาดตัวอย่าง 30 ราย ตาม rule of thrump ของการวิจัยที่ใช้สถิติ ทดสอบ (Morgan, 2007) 2. กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่ามีภาวะเลือดออกออกในทางเดินอาหารส่วน ต้นที่มีสาเหตุจากพฤติกรรมการรับประทานยาNSAIDs และเข้ารับการรักษา ณ หอผู้ป่วยศัลยกรรมชาย โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว ในเดือนตุลาคม พ.ศ.2565-กันยายน พ.ศ. 2566 ก าหนดเกณฑ์คัดผู้ป่วยเข้า คือ 1. ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารส่วน ต้น 2. ผู้ป่วยมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ สามารถให้ข้อมูล อ่าน เขียน ฟัง ได้ยินและเข้าใจภาษาไทยได้ดี 3. ผู้ป่วยที่สามารถรับรู้วัน เวลา สถานที่และบุคคลได้เป็นอย่างดี 4. ผู้ป่วยที่ยินดีให้ความร่วมมือในการวิจัย ก าหนดเกณฑ์คัดผู้ป่วยออก คือ 1. ผู้ป่วยที่มีเลือดออกทางเดินอาหารส่วนต้นที่ไม่ได้เกิดจากพฤติกรรมการรับประทานยาต้านการอักเสบที่ ไม่ใช่สเตียรอยด์ 2. ผู้ป่วยที่ขอยุติเข้าร่วมวิจัยในระหว่างการท าวิจัย 3. ผู้ป่วยที่จ าหน่ายก่อนในระหว่างการท า วิจัย 4. ผู้ป่วยไม่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ไม่สามารถให้ข้อมูล อ่าน เขียน ฟัง ได้ยินและเข้าใจภาษาไทยได้และ ไม่สามารถรับรู้วัน เวลา สถานที่ 9.เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1.โปรแกรมวางแผนการจ าหน่ายผู้ป่วยเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้นที่มี สาเหตุ 2.แผ่นพับความรู้เกี่ยวกับโรคเลือดออกทางเดินอาหารส่วนต้น 3.แผ่นพับความรู้เกี่ยวกับยาและภาพ ของยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ 4.แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ป่วย 5.แบบทดสอบความรู้ เกี่ยวกับการปฏิบัติตัวของผู้ป่วย 226
10.การพิทักษ์สิทธิ:ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการพิจารณาจริยธรรมวิจัยในมนุษย์ จังหวัดสระแก้ว เลขที่ 007q/66 ExPD 11.การวิเคราะห์ข้อมูล คือ 1. วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไป ความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตัวของผู้ป่วย ด้วยสถิตพื้นฐาน ได้แก่ จ านวน ร้อยละ 2. เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยความรู้ในการปฏิบัติตัวด้วยสถิติ pair t test 12.ผลการศึกษา : พบว่า คะแนนเฉลี่ยความรู้ในการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการเป็นกลับซ้ าของกลุ่มตัวอย่าง ผู้ป่วยโรคเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้นที่มีสาเหตุจากพฤติกรรมการรับประทานยาต้านการอักเสบที่ ไม่ใช่สเตียรอยด์หลังการวางแผนจ าหน่ายตามแนวคิดของกาเย่สูงกว่าก่อนการวางแผนจ าหน่ายอย่างมี นัยส าคัญทางสถิติ (t = 6.215; p <.001) และเมื่อครบ 28 วัน กลุ่มตัวอย่างไม่มีการกลับมารักษาซ้ าใน โรงพยาบาลด้วยโรคเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้นที่มีสาเหตุจากพฤติกรรมการรับประทานยาต้านการ อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ทั้งนี้อภิปรายได้ว่ากลุ่มตัวอย่างได้รับการวางแผนจ าหน่ายที่พัฒนาขึ้นตามแนวคิดกา เย่ ที่ท าให้ผู้ป่วยได้มีการทบทวนความรู้เดิมและช่วยกระตุ้นให้ผู้ป่วยสามารถเรียนรู้เนื้อหาใหม่ได้รวดเร็วมาก ยิ่งขึ้นจากการได้รับข้อมูลใหม่ที่ถูกต้องผ่านสื่อการสอนที่หลากหลายได้แก่ แผ่นพับ ภาพประกอบ บอร์ดยา พร้อมทั้งการอธิบายเพื่อกระตุ้นให้ผู้ป่วยสนใจที่จะเรียนรู้ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดทฤษฎีของกาเย่ในการให้ ความส าคัญในการจัดล าดับขั้นการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้สิ่งเร้า สิ่งแวดล้อมภายนอกกระตุ้นผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ และสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียน ว่ามีการตอบสนอง อย่างไร (ภาคินี ชูอินแก้ว,ภัทรวดี แก้วอัมพร,เดือนเพ็ญ กชกรจารุพงศ์,2553) สอดคล้องกับงานวิจัยของอรรถ โกวิท จิตจักร (2556) ที่ศึกษาวิจัยพัฒนาการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดของกาเย่เสริมด้วยคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ในนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 พบว่า หลังเรียนกลุ่มตัวอย่างมีคะแนนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทาง สถิติที่ระดับ .01 13.ข้อเสนอแนะ : ควรใช้การวางแผนจ าหน่ายผู้ป่วยโรคเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้นฯด้วยโปรแกรม การวางแผนการจ าหน่ายตามแนวคิดของกาเย่ที่พัฒนาขึ้นนี้ และควรมีการวิจัยเพื่อติดตามความคงทนของ ความรู้ในการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการเป็นกลับซ้ าของกลุ่มตัวอย่างผู้ป่วยโรคเลือดออกในทางเดินอาหารส่วน ต้นที่มีสาเหตุจากพฤติกรรมการรับประทานยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์หรือวิจัยติดตาม การ Readmitted ในผู้ป่วยกลุ่มนี้ 14.การน าผลงานไปใช้ประโยชน์ 1. ผู้ป่วยมีความรู้ในการปฏิบัติตัว เพื่อป้องกันการเป็นกลับซ้ าของโรคเลือดออกในทางเดินอาหารส่วน ต้นที่มีสาเหตุจากพฤติกรรมการรับประทานยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ 2. ผู้ป่วยที่ได้รับโปรแกรมการวางแผนจ าหน่ายฯ ไม่มีการกลับมารักษาซ้ าในโรงพยาบาลของผู้ป่วยโรค เลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้นที่มีสาเหตุจากพฤติกรรมการรับประทานยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่ส เตียรอยด์ภายในระยะเวลา 28 วันหลังจ าหน่าย 15.เอกสารอ้างอิง กองยุทธศาสตร์และแผนงาน, สถิติสาธารณสุข พ.ศ.2561 ส านักงานปลัดกระทรวง สาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข (อินเตอร์เน็ต). 2562 (เข้าถึงเมื่อ 10 ธันวาคม 2565) เข้าถึงได้จาก http://www.pcko.moph.go.th/Health-Statistics/statistic2562.pdf สถิติข้อมูลโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว งานข้อมูลและสถิติโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช สระแก้ว: โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว ปีงบประมาณ 2562-2564. สุกานดา ตีพัดดี. 2563.การพยาบาลผู้ป่วยเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้นที่มีภาวะช็อคร่วมกับ ภาวะแทรกซ้อน โรงพยาบาลกาฬสินธุ์.วารสารวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ, 13(2). 227
ชื่อเรื่อง “การศึกษาประสิทธิผลของยาทาสมุนไพรสูตรเย็นในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการปวด ในตำบลวังน้ำเย็น” วิศรุต ฉิมมาลา กนกอร ชัยพันธ์, จิรพรรณ เขียวจันทร์ กลุ่มงานการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก โรงพยาบาลวังน้ำเย็น จังหวัดสระแก้ว หลักการและเหตุผล สถานการณ์ปัจจุบัน อาการปวด บวม แดง ร้อน เป็นภาวะหนึ่งของกลุ่มอาการ อักเสบทางแพทย์แผนไทย พบบริเวณแขน ขา นิ้วมือ ข้อเท้า ข้อเข่า ปวดหลัง หรือปวดบ่า ซึ่งโดยส่วนใหญ่มัก เกิดร่วมกับการบาดเจ็บทางระบบกล้ามเนื้อเส้นเอ็น หรืออื่นๆ ในด้านความปวดแบ่งออกเป็น 2 แบบ ได้แก่ 1) ความปวดเฉียบพลัน (Acute pain) เป็นความปวดที่เพิ่งเกิดขึ้น มีระยะเวลาของความปวดที่จำกัด มีสาเหตุ เมื่อพยาธิสภาพหาย อาการปวดก็หาย ตัวอย่างเช่น ความปวดแผลหลังผ่าตัด หลังอุบัติเหตุ หรือถูกกระตุ้นจาก โรคต่างๆ พบว่ามีการเพิ่มขึ้นของสารอักเสบและเลือด บริเวณอักเสบเป็นจำนวนมาก ทำให้ เกิดการปวด บวม แดง และมีอุณหภูมิที่สูงขึ้น 2) ความปวดเรื้อรัง (Chronic pain) เป็นความปวดที่ยาวนานกว่า ระยะนี้มีการ สมานของเนื้อเยื่อที่ได้รับบาดเจ็บแล้ว บ่อยครั้งไม่สามารถบ่งชี้ถึงสาเหตุของความปวด อาการปวดมักอยู่นาน เกินกว่า 3 เดือน (โรงพยาบาลกระดูกและข้อ,2563) สถานการณ์ปัจจุบัน ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ.2564 ถึง เดือน กันยายน พ.ศ.2565 พบว่ามีผู้ป่วยที่มา รับการรักษาที่คลินิกแพทย์แผนไทย โรงพยาบาลวังน้ำเย็น ด้วยอาการปวด บวม แดง ร้อน เป็นจำนวน 6,713 คน คิดเป็นร้อยละ 43.21 ของผู้มารับบริการที่คลินิกแพทย์แผนไทย ด้วยเหตุนี้คณะผู้จัดทำได้เล็งเห็นความสำคัญของปัญหา จึงได้ศึกษาประสิทธิผลของยาทาสมุนไพรสูตร เย็น ในการลดอาการปวด บวม แดง ร้อน โดยผลของการศึกษาสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนา คุณภาพการบริการการแพทย์แผนไทยและส่งเสริมให้ประชาชนดูแลสุขภาพตนเองด้วยศาสตร์การแพทย์แผน ไทย วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของ ยาทาสมุนไพรสูตรเย็นในการลดอาการปวด วิธีการดำเนินงาน เป็นการศึกษาประสิทธิผลของยาทาสมุนไพรสูตรเย็น ซึ่งเป็นการวิจัยในรูปแบบกึ่งทดลอง แบบหนึ่งกลุ่มชนิดวัดก่อนและหลังการทดลอง การทดลองที่มีอาสาสมัครเพียงกลุ่มเดียวแล้วนำผลการทดลอง มาเปรียบเทียบจำนวน 15 คน โดยวัดอาการปวด หลังการใช้ยาทา 30 นาที ติดต่อกัน5วัน ผลการดำเนินงาน พบว่ากลุ่มเป้าหมาย 15 คน ทดลองใช้ยาทาสมุนไพรสูตรเย็น เป็นระยะเวลา 5 วัน ติดต่อกัน โดยวัด Pain score ก่อนและหลังการทดลอง พบว่าอาการปวดของกลุ่มเป้าหมายก่อนใช้มีค่าเฉลี่ย 4.00 และหลังใช้มีค่าเฉลี่ย 2.40 ยาทาสมุนไพรสูตรเย็นสามารถลดระดับ Pain Score ลดลงอย่างน้อย 1 ระดับคิดเป็นร้อยละ 93.33 โดยมีนัยทางสถิติ p =0.000* ข้อสรุป การศึกษาประสิทธิผลของยาทาสมุนไพรสูตรเย็น ใช้ลดระดับความเจ็บปวดการจากการบาดเจ็บทาง ระบบกล้ามเนื้อเส้นเอ็น หรืออื่นๆ ได้ ช่วยลดการใช้ยาแก้ปวดในกลุ่มอาการปวดกระดูกและกล้ามเนื้อ และ เป็นทางเลือกในการรักษาให้กับผู้ที่มีอาการปวดในทุกกลุ่มวัย 228
1 การศึกษาประสิทธิผลของยาทาสมุนไพรสูตรเย็นในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการปวด ในตำบลวังน้ำเย็น กลุ่มงานการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก โรงพยาบาลวังน้ำเย็น ตำบลวังน้ำเย็น อำเภอวังน้ำเย็น จังหวัดสระแก้ว ผลลัพธ์ด้านการพัฒนาคุณภาพ – ผลงานเด่น /นวัตกรรม ชื่อเรื่อง : การศึกษาประสิทธิผลของยาทาสมุนไพรสูตรเย็นในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการปวด ในตำบลวังน้ำเย็น ผู้จัดทำ : นางสาวกนกอร ชัยพันธ์ ตำแหน่ง แพทย์แผนไทยและคณะ ชื่อหน่วยงาน : คลินิกแพทย์แผนไทยเพ็ญนภา โรงพยาบาลวังน้ำเย็น ติดต่อ 037-251108 ต่อ 1923 ผู้นำเสนอ : นางสาวกนกอร ชัยพันธ์ ตำแหน่ง แพทย์แผนไทย 229
2 บทที่ 1 หลักการและเหตุผล สถานการณ์ปัจจุบัน อาการปวด บวม แดง ร้อน เป็นภาวะหนึ่งของกลุ่มอาการอักเสบ ทางแพทย์แผนไทย พบบริเวณแขน ขา นิ้วมือ ข้อเท้า ข้อเข่า ปวดหลัง หรือปวดบ่า ซึ่งโดยส่วนใหญ่มักเกิด ร่วมกับการบาดเจ็บทางระบบกล้ามเนื้อเส้นเอ็น หรืออื่นๆ ในด้านความปวดแบ่งออกเป็น 2 แบบ ได้แก่ 1) ความปวดเฉียบพลัน (Acute pain) เป็นความปวดที่เพิ่งเกิดขึ้น มีระยะเวลาของความปวดที่จำกัด มีสาเหตุ เมื่อพยาธิสภาพหาย อาการปวดก็หาย ตัวอย่างเช่น ความปวดแผลหลังผ่าตัด หลังอุบัติเหตุ หรือถูกกระตุ้นจาก โรคต่างๆ พบว่ามีการเพิ่มขึ้นของสารอักเสบและเลือด บริเวณอักเสบเป็นจำนวนมาก ทำให้ เกิดการปวด บวม แดง และมีอุณหภูมิที่สูงขึ้น 2) ความปวดเรื้อรัง (Chronic pain) เป็นความปวดที่ยาวนานกว่า ระยะนี้มีการ สมานของเนื้อเยื่อที่ได้รับบาดเจ็บแล้ว บ่อยครั้งไม่สามารถบ่งชี้ถึงสาเหตุของความปวด อาการปวดมักอยู่นาน เกินกว่า 3 เดือน (โรงพยาบาลกระดูกและข้อ,2563) สถานการณ์ปัจจุบัน ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ.2564 ถึง เดือน กันยายน พ.ศ.2565 พบว่ามีผู้ป่วยที่มา รับการรักษาที่คลินิกแพทย์แผนไทย โรงพยาบาลวังน้ำเย็น ด้วยอาการปวด บวม แดง ร้อน เป็นจำนวน 6,713 คน คิดเป็นร้อยละ 43.21 ของผู้มารับบริการที่คลินิกแพทย์แผนไทย ด้วยเหตุนี้คณะผู้จัดทำได้เล็งเห็นความสำคัญของปัญหา จึงได้ศึกษาประสิทธิผลของยาทาสมุนไพรสูตร เย็น ในการลดอาการปวด บวม แดง ร้อน โดยผลของการศึกษาสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาคุณภาพ การบริการการแพทย์แผนไทยและส่งเสริมให้ประชาชนดูแลสุขภาพตนเองด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทย วัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาประสิทธิผลของ ยาทาสมุนไพรสูตรเย็นในการลดอาการปวด ขอบเขตการศึกษา 1. ตัวแปรต้น : ยาทาสมุนไพรสูตรเย็น 2. ตัวแปรตาม : อาการปวด สมมุติฐาน 1. ยาทาสมุนไพรสูตรเย็นมีประสิทธิผลต่อการลดอาการปวด ผลที่คาดว่าจะได้รับ 1. ยาทาสมุนไพรสูตรเย็นมีประสิทธิผลต่อการลดอาการปวด โดยPain score ต้องลดลงอย่างน้อย 1 ระดับ 230
3 บทที่ 3 ขั้นตอนและวิธีการดำเนินงาน การศึกษาศึกษาประสิทธิผลของ ยาทาสมุนไพรสูตรเย็น ในการลดอาการปวด บวม แดง ร้อน ในกลุ่ม ผู้ป่วยที่มีอาการปวดบวม แดงร้อน และมี Pain score ≥1, ≤6 ในตำบลวังน้ำเย็น เป็นการวิจัยในรูปแบบกึ่ง ทดลอง (Quasi-experimental research) แบบหนึ่งกลุ่มชนิดวัดก่อนและหลังการทดลอง คือการทดลองที่มี อาสาสมัครเพียงกลุ่มเดียวแล้วนำผลการทดลองมาเปรียบเทียบความแตกต่างของตัวแปรตาม ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรที่ใช้ในการศึกษา : ประชากรผู้ที่อาศัยอยู่ในตำบลวังน้ำเย็น อำเภอวังน้ำเย็น จ.สระแก้ว ที่มารับการรักษาที่คลินิกแพทย์แผนไทย การเลือกกลุ่มตัวอย่าง : ผู้ป่วยที่ที่มารับการรักษาที่คลินิกแพทย์แผนไทย จำนวน 15 คน โดยเลือกจากกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงตาม คุณสมบัติที่กำหนด ดังนี้ เกณฑ์ในการคัดเข้า มีดังนี้ 1. มีอาการปวด บวม แดง ร้อน 2. มี Pain score ≤6 3. ไม่ได้อยู่ระหว่างการรักษาอาการปวดด้วยวิธีอื่น 4. ไม่มีแผลเปิด บริเวณที่ปวด บวม แดง ร้อน 5. ยินยอมเป็นอาสาสมัครเข้าร่วมการทดสอบ เกณฑ์ในการคัดออก มีดังนี้ 1. ผู้เข้าร่วมวิจัยไม่สามารถทำกิจกรรมครบตามโปรแกรม จำนวน 5วัน ตามที่กำหนด 2. มีอาการแพ้จากการใช้ยาทาสมุนไพร 3. มี Pain Score 6 เครื่องมือในการศึกษาวิจัย ดังนี้ 1. แบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไป ประกอบด้วย เพศ อายุ อาชีพ ระดับการศึกษา 2. แบบประเมินระดับความเจ็บปวด Pain Score แบบประเมินระดับความปวดชนิดตัวเลข (Numeric Rating Scale: NRS) โดยวัดอาการปวด หลังการใช้ยาทา 30 นาที ติดต่อกัน5วัน ระยะเวลาที่ใช้ในการดำเนินงาน ระยะเวลา ตั้งแต่เดือน เมษายน 2566 ถึง เดือน มิถุนายน 2566 สถานที่ปฏิบัติงาน คลินิกแพทย์แผนไทย รพ.วังน้ำเย็น ตำบลวังน้ำเย็น อ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว ขั้นการดำเนินงาน วิธีการทำยาทาสมุนไพร 1. เตรียมอุปกรณ์แอลกอฮอล์ 70% ขวดโหลกระเบื้อง ขวดบรรจุ ขนาด 30 ml. ผ้าขาวบาง ผงยา ประกอบด้วย ฟ้าทะลายโจร เขียวหอม ห้าราก ปริมาณ 300 กรัม กลีเซอรีน 2. หมักยาตำรับสมุนไพรนำผงยาฟ้าทะลายโจร เขียวหอม ห้าราก ที่เตรียมไว้ ปริมาณ 300 กรัม ใส่ลง ในขวดโหลกระเบื้องจากนั้นเทแอลกอฮอล์ 70 % ปริมาณ 600 ml. ลงในขวดโหล หมักทิ้งไว้ 7 วัน กรองสมุนไพรด้วยผ้าขาวบางเอาแต่น้ำใส่โหล 3. ประกอบยาทาสมุนไพร นำน้ำหมักสมุนไพรที่กรองไว้ผสมกับกลีเซอรีนในอัตราส่วน 1:1 คนผสมให้ เป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นทำไปบรรจุลงในขวดบรรจุภัณฑ์ที่เตรียมไว้เพื่อใช้ทา 231
4 ผู้หญิง 87% ผู้ชาย 13% เพศ บทที่ 4 ผลการดำเนินงานการจัดทำ แบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไป ประถมศึกษา 80% มัธยมศึก ษาหรือ เทียบเท่า 13% ปริญญา ตรี 7% สูงกว่า ปริญญา ตรี 0% ไม่ได้รับ การศึกษ 0% อื่นๆ 0% ระดับการศึกษา อายุตา่ กว่า 12 ปี 0% อายุ 13 - 19 ปี 0% อายุ 20 - 39 ปี 13% อายุ 40-59 ปี 27% อายุ 60 ปี ขึน้ไป 60% อายุ แผนภูมิวงกลมที่ 1 แสดงร้อยละของเพศของกลุ่มเป้าหมาย จากแผนภูมิวงกลมที่ 1 แสดงร้อยละของกลุ่มเป้าหมายในด้าน ของเพศ จะเห็นได้ว่า กลุ่มเป้าหมายที่มาเข้ารับบริการส่วนใหญ่เป็น ผู้หญิง 13 คน คิดเป็นร้อยละ 86.67 และผู้ชาย 2 คน คิดเป็นร้อยละ 13.33 แผนภูมิวงกลมที่2 แสดงร้อยละของอาชีพของกลุ่มเป้าหมาย จากแผนภูมิวงกลมที่ 2 แสดงร้อยละของของกลุ่มเป้าหมาย ที่มาเข้ารับบริการในด้านอาชีพ จะเห็นได้ว่า กลุ่มเป้าหมายที่มาเข้า รับบริการส่วนใหญ่เป็นแม่บ้าน จำนวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 46.67 ลำดับที่สองคือ ประกอบอาชีพค้าขายหรือธุรกิจส่วนตัว จำนวน 6 คน คิดเป็นร้อยละ 40 และลำดับสุดท้าย อื่นๆ จ ำนวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 13.33 จากแผนภูมิวงกลมที่ 3 แสดงร้อยละของกลุ่มเป้าหมาย ที่มาเข้ารับบริการในด้านระดับการศึกษา จะเห็นได้ว่า กลุ่มเป้าหมาย ที่มาเข้ารับบริการส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับประถมศึกษา จำนวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 80 ลำดับที่สองคือ จบมัธยมศึกษา หรือเทียบเท่า จำนวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 13.33 และลำดับ สุดท้าย จบปริญญาตรี จำนวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 6.67 แผนภูมิวงกลมที่ 3 แสดงร้อยละของระดับการศึกษาของกลุ่มเป้าหมาย จากแผนภูมิวงกลมที่ 4 แสดงร้อยละของกลุ่มเป้าหมาย ผู้ป่วยที่มาเข้ารับบริการในด้านอายุ จะเห็นได้ว่า กลุ่มเป้าหมายผู้ป่วย ที่มาเข้ารับบริการส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป จำนวน 9 คน คิดเป็นร้อยละ 60 ลำดับที่สองอยู่ในช่วงอายุ 40-59 ปี จำนวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 26.67 และลำดับสุดท้าย อยู่ในช่วง อายุ 20-39 ปี จำนวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 13.33 แผนภูมิวงกลมที่ 4 แสดงร้อยละของอายุของกลุ่มเป้าหมาย 232
5 แบบประเมินระดับความเจ็บปวด ตารางที่ 1 ผลการเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยรวมอาการปวด (Pain score)ของผู้ป่วยระหว่างก่อนและหลังการ ใช้ยาทาสมุนไพรสูตรเย็น ในการลดอาการปวด ในกลุ่มทดลอง(N=15) ตัวแปร X̄ SD MD t df p-value อาการปวด ก่อนร่วมกิจกรรม หลังร่วมกิจกรรม รวม 4.00 2.40 - 3.38 3.17 1.75 - - - - 9.43 - 14 .- * 0.000* เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยรวมอาการปวด (Pain score)ของผู้ป่วยระหว่างก่อนและหลังการใช้ยาทา สมุนไพรสูตรเย็นในการลดอาการปวด พบว่าหลังใช้ยาทาอาการปวดลดลง (p =0.000*) บทที่ ๕ สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ในการศึกษาประสิทธิผลของยาทาสมุนไพรสูตรเย็น ในการลดอาการปวด ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการปวด ในตำบลวังน้ำเย็น ตั้งแต่เดือนเมษายน 2566 – เดือนมิถุนายน 2566 พบว่ากลุ่มเป้าหมาย 15 คน ทดลองใช้ ยาทาสมุนไพรสูตรเย็น เป็นระยะเวลา 5 วันติดต่อกัน โดยใช้ Pain score วัดระดับความเจ็บปวด 2 ครั้งก่อน และหลังการใช้ พบว่าอาการปวดของกลุ่มเป้าหมายก่อนใช้มีค่าเฉลี่ย 4.00 และหลังใช้มีค่าเฉลี่ย 2.40 ยาทา สมุนไพรสูตรเย็นสามารถลดระดับ Pain Score ลดลงอย่างน้อย 1 ระดับคิดเป็นร้อยละ 93.33 ดังนั้น จึงสรุปผลในการศึกษาประสิทธิผลของยาทาสมุนไพรสูตรเย็นในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการปวดที่มี อาการดังกล่าวลดลงได้อย่างมีนัยทางสถิติ p =0.000* ปัญหาและอุปสรรค 1. กลุ่มเป้าหมายหลายรายไม่สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ครบตามโปรแกรม ข้อเสนอแนะ 1. เพิ่มกลุ่มเป้าหมายใหม่และจำนวนครั้งในการใช้ยา 2. สามารถนำยาไปพัฒนาเป็นรูปแบบอื่นได้ 3. สามารถนำความรู้จากรูปแบบยานี้ไปพัฒนาศักยภาพเครือข่าย รพสต.ได้ 233
6 บรรณานุกรม นายแพทย์สุรเกียรติ อาชานานุภาพ (2551) ตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป เล่ม2 350 โรคกับการดูแล รักษาและการป้องกัน (พิมพ์ครั้งที่4 ฉบับปรับปรุง) กรุงเทพฯ :โอลิสติก พับลิชชิ่ง มูลนิธิฟื้นฟูส่งเสริมการแพทย์แผนไทยเดิมและโรงเรียนอายุรเวทธำรง สถานการแพทย์แผนไทยประยุกต์. (2555) ตำราการแพทย์ไทยเดิม(แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ฉบับอนุรักษ์) เล่มที่1. (พิมพ์ครั้งที่3) กรุงเทพฯ : ศุภวนิชการพิมพ์ พ . ต. หญิงกาญจนา สีสัมฤทธ์ประธานคณะอนุกรรมการการประกันคุณภาพความปวด กองพยาบาล โรงพยาบาลพระมงกุลเกล้า.(2563). Pain Management. (ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก : https://nurse.pmk.ac.th ( 8 มิถุนายน 2566) คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.2564. คู่มือเภสัชกร: เพื่อให้คำแนะนำเรื่องวัคซีนโควิด-19 แก่ ประชาชน. พิมพ์ครั้งที่ 1. (ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก : https://apps.phar.ubu.ac.th/phargarden/main.php (25 มิถุนายน 2566) 234
ประกวดผลงานวิชาการโดย โปสเตอร์ (Poster presentation) Best Practice (PB – 01 ถึง 11) 235
การสอบสวนการระบาดของโรคไข้เลือดออกค่ายทหารแห่งหนึ่ง ตำบลวัดใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 ชื่อเจ้าของผลงาน: นางสาวพนิดา บุญล้อม, นายชวดล รัตนาคะ และนางสาวกสิณา เกษโกวิท สถานที่ปฏิบัติงาน : งานเวชปฏิบัติครอบครัวและชุมชน โรงพยาบาลพระปกเกล้า ชื่อผู้นำเสนอผลงาน นางสาวพนิดา บุญล้อม บทคัดย่อ ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2566 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 งานเวชปฏิบัติครอบครัวและชุมชน โรงพยาบาลพระปกเกล้า ได้รับรายงานจากกลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลพระปกเกล้า ว่า พบผู้ป่วย ไข้เลือดออกที่ค่ายทหารแห่งหนึ่ง จำนวนผู้ป่วยสะสมรวม 27 ราย เจ้าหน้าที่งานระบาดวิทยาจึงได้ดำเนินการ สอบสวนโรคและควบคุมการระบาดของโรคในพื้นที่ที่เกิดการระบาด วันที่ 16 มีนาคม 2566 จำนวนผู้ป่วย สะสม 9 ราย การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อยืนยันการวินิจฉัยและการระบาดของโรคไข้เลือดออก ค้นหาแหล่ง รังโรค ปัจจัยเสี่ยงของการระบาดของโรค และเพื่อเสนอแนะแนวทางและมาตรการในการป้องกัน ควบคุมโรค รูปแบบการศึกษาเป็นการศึกษาระบาดวิทยาเชิงพรรณนา โดยศึกษาสถานการณ์โรคไข้เลือดออกของจังหวัด จันทบุรี ทบทวนข้อมูลประวัติของผู้ป่วยจากเวชระเบียน และจากแบบสอบสวนโรคเฉพาะราย และค้นหา กิจกรรมพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดโรคและแหล่งที่สงสัยว่าเป็นแหล่งรังโรค โดยใช้แบบสอบถามความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมในการควบคุมและป้องกันโรคไข้เลือดออก การศึกษาด้านสิ่งแวดล้อม แหล่งการเกิดโรค โดยการสำรวจสภาพแวดล้อมทั่วไปของค่ายทหาร และสำรวจลูกน้ำยุงลาย จากการศึกษาพบผู้ป่วยที่มีอาการตามนิยามผู้ป่วยโรคไข้เลือกออกทั้งหมด 27 ราย เป็นเพศชาย ทั้งหมด อายุเฉลี่ย 23 ปี รับการรักษาเป็นผู้ป่วยนอก 11 ราย ผู้ป่วยใน 16 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิต ผู้ป่วยทั้ง 27 รายเป็นผู้ป่วยยืนยันที่มีผลบวกทางห้องปฏิบัติการจำเพาะ ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคไข้เด็งกี่ จำนวน 19 ราย (ร้อยละ 70.37), ไข้เลือดออก จำนวน 7 ราย (ร้อยละ 25.92) และวินิจฉัยเป็นไข้เลือดออกช็อก จำนวน 1 ราย (ร้อยละ 3.70) อาการและอาการแสดงของผู้ป่วยที่พบมากที่สุดคืออาการไข้ ร้อยละ 100 อาการ ปวดกล้ามเนื้อร้อยละ 88.9 ปวดศีรษะร้อยละ 81.5 ปวดกระดูกหรือข้อร้อยละ 77.8 การศึกษาความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมในการควบคุมและป้องกันโรคไข้เลือดออก พบว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีความรู้ในระดับมากร้อยละ 51.9 ระดับปานกลางร้อยละ 48.1 ทัศนคติเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออกในระดับดี ร้อยละ 59.3 ระดับปานกลาง ร้อยละ 40.7 และมีพฤติกรรมการป้องกันโรคไข้เลือดออกในระดับสูงร้อยละ 37.0 ระดับปานกลางร้อยละ 55.6 และในระดับต่ำร้อยละ 7.4 สภาพแวดล้อมโดยรอบค่อนข้างรก มีต้นไม้และป่าทึบ ยุงชุกชุม เศษภาชนะ ขยะ มี ถังน้ำใช้ที่ไม่มีฝาปิด ยางรถยนต์ที่ไม่ได้ใช้งาน จานรองกระถางต้นไม้เสี่ยงต่อการเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของ ยุงลาย และจากการสำรวจลูกน้ำยุงลาย พบค่าร้อยละของภาชนะขังน้ำที่พบลูกน้ำยุงลายมีค่าสูงเกินมาตรฐาน 236
ปัจจัยที่สำคัญในการระบาดของโรค ไข้เลือดออกในครั้งนี้สิ่งสำคัญตามหลักของระบาดวิทยาน่าจะเกิด จากตัวปัจจัยทางด้านบุคคลต้องมีการป้องกันการถูกยุงกัด และปัจจัยด้านสถานที่ ในส่วนของการจัดการ สิ่งแวดล้อมทางกายภาพที่ส่งผลต่อการระบาดของโรคไข้เลือดออกเป็นสำคัญ และการการดำเนินการควบคุม การระบาดของโรคจำเป็นต้องมีเครือข่ายที่คอยสนับสนุน รวมถึงสร้างความตระหนักรู้ถึงความรุนแรงของโรค ไข้เลือดออก และความสำคัญของการดำเนินงานควบคุมโรค คำสำคัญ: โรคไข้เลือดออก, การระบาด, ค่ายทหาร 237
การสอบสวนการระบาดของโรคไข้เลือดออกค่ายทหารแห่งหนึ่ง ตำบลวัดใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 ชื่อเจ้าของผลงาน: นางสาวพนิดา บุญล้อม, นายชวดล รัตนาคะ และนางสาวกสิณา เกษโกวิท สถานที่ปฏิบัติงาน: งานเวชปฏิบัติครอบครัวและชุมชน โรงพยาบาลพระปกเกล้า ชื่อผู้นำเสนอผลงาน นางสาวพนิดา บุญล้อม ความเป็นมา วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2566 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 งานเวชปฏิบัติครอบครัวและชุมชน โรงพยาบาล พระปกเกล้า ได้รับรายงานจากกลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลพระปกเกล้าว่า พบผู้ป่วยไข้เลือดออกที่ค่าย ทหารแห่งหนึ่ง ตำบลวัดใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี จำนวนผู้ป่วยสะสมรวม 27 ราย ผู้ป่วยทุกรายเข้าเกณฑ์ นิยามในการเฝ้าระวังโรคและเข้าเกณฑ์การสอบสวนการระบาดของโรคไข้เลือดออก เนื่องจากพบผู้ป่วยเป็นกลุ่ม ก้อน ตั้งแต่ 2 รายขึ้นไป และจำนวนผู้ป่วยสูงขึ้นมากกว่าปกติเมื่อเทียบกับข้อมูลผู้ป่วย 5 ปีย้อนหลัง เจ้าหน้าที่ งานระบาดวิทยาจึงได้ดำเนินการสอบสวนโรคและควบคุมการระบาดของโรคในพื้นที่ที่เกิดการระบาด โดยเริ่ม สอบสวนตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2566 ถึงวันที่31 พฤษภาคม 2566 และ เฝ้าระวังถึงวันที่ 28 มิถุนายน 2566 วัตถุประสงค์ 1. เพื่อยืนยันการวินิจฉัยและการระบาดของโรคไข้เลือดออก 2. เพื่อค้นหาแหล่งรังโรค ปัจจัยเสี่ยงของการระบาดของโรค 3. เพื่อเสนอแนะแนวทางและมาตรการในการป้องกัน ควบคุมโรค วิธีการศึกษา 1. การศึกษาระบาดวิทยาเชิงพรรณนา ศึกษาสถานการณ์โรคไข้เลือดออกของจังหวัดจันทบุรีทบทวนข้อมูลประวัติของผู้ป่วยจากเวชระเบียน ผู้ป่วยเกี่ยวกับการป่วย การรักษา และจากแบบสอบสวนโรคไข้เลือดออกเฉพาะราย ค้นหากิจกรรมพฤติกรรม เสี่ยงต่อการเกิดโรคและแหล่งที่สงสัยว่าเป็นแหล่งรังโรค โดยใช้แบบสอบถามให้ผู้ป่วยตอบแบบสอบถามความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมในการควบคุมและป้องกันโรคไข้เลือดออก 2. การศึกษาด้านสิ่งแวดล้อม แหล่งการเกิดโรค โดยการสำรวจสภาพแวดล้อมทั่วไปของค่ายทหาร การกำหนดนิยามผู้ป่วย ผู้ป ่วยสงสัย หมายถึง ผู้อยู ่ในค ่ายทหารแห ่งหนึ ่งที ่มีอาการไข้อย ่างเฉียบพลัน ร ่วมกับ มีอาการ อย่างน้อย 2 อาการ ได้แก่ ปวดศีรษะรุนแรง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดข้อหรือกระดูก ปวดกระบอกตาหรือมีผื่น ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ – 31 พฤษภาคม 2566 ผู้ป ่วยเข้าข ่าย หมายถึง ผู้ป ่วยสงสัยร ่วมกับลักษณะอย ่างน้อย 1 ข้อ ดังนี้ 1) ผลการทดสอบ Tourniquet test ให้ผลบวก 2) มีผลการตรวจเลือดทั่วไปของไข้เดงกี่ คือ ผลการตรวจ Complete Blood Count (CBC) พบจำนวนเม็ดเลือดขาว < 5,000 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลิเมตร 3) มีผลการเชื่อมโยงทางระบาด วิทยากับผู้ป่วยรายอื่นๆที่มีผลตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการจำเพาะ 238
ผู้ป่วยยืนยัน หมายถึง ผู้ป่วยสงสัย ร่วมกับมีผลบวกทางห้องปฏิบัติการจำเพาะข้อใดข้อหนึ่ง ได้แก่ NS-1 antigen ให้ผลเป็นบวก หรือการตรวจหาระดับภูมิคุ้มกันด้วย Commercial test kits ให้ผลบวกต่อ Dengue IgM หรือทั้ง Dengue IgM และ IgG ผลการสอบสวนโรค 1. ผลการศึกษาระบาดวิทยาเชิงพรรณนา 1.1 สถานการณ์โรคไข้เลือดออกจังหวัดจันทบุรี ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 31 พฤษภาคม 2566 รายงานสถานการณ์โรคไข้เลือดออกจังหวัดจันทบุรี ระหว ่างวันที ่ 1 มกราคม – 31 พฤษภาคม 2566 พบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก จำนวน 404 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 76.77ต่อประชากรแสนคน มีรายงานผู้เสียชีวิต 2 ราย อัตราตายต่อประชากรแสนคน เท่ากับ 0.38 พบผู้ป่วยเพศชายมากกว่าเพศหญิงอำเภอเมืองจันทบุรี พบผู้ป่วยจำนวน 127 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 100.64 ต่อประชากรแสนคน ไม่มีรายงานผู้ป่วยเสียชีวิตพบผู้ป่วยเพศชายมากกว่า เพศหญิง ตำบลที ่มีอัตราป ่วยต ่อประชากรแสนคนสูงส ุดคือตำบล วัดใหม ่ อัตราป ่วยเท ่ากับ 305.77 ในพื้นที่ตำบลวัดใหม่พบผู้ป่วยจำนวน 42 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 305.77 ต่อประชากรแสนคน ไม่มีรายงานผู้ป่วย เสียชีวิต ลักษณะการระบาดตามเวลา จากเส้นโค้งการระบาดพบผู้ป ่วยรายแรกในพื้นที ่วันที ่ 11 กุมภาพันธ์ 2566 และพบผู้ป ่วยอย ่าง ต่อเนื่อง ซึ่งผู้ป่วยทั้งหมดไม่มีประวัติการเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาด ดังภาพ ภาพที่ 1 แสดงการระบาดตามเวลาของผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกค่ายทหารแห่งหนึ่งระหว่างวันที่ 1 มกราคม –31 พฤษภาคม 2566 1.2 ศึกษาค้นหาและทบทวนข้อมูลประวัติของผู้ป่วยจากเวชระเบียนและแบบสอบสวนโรคไข้เลือดออกเฉพาะราย การระบาดครั้งนี้พบผู้ป่วยที่มีอาการตามนิยามผู้ป่วยโรคไข้เลือกออกทั้งหมด 27 ราย เป็นเพศชายทั้งหมด อายุเฉลี่ย 23 ปี (อายุน้อยที่สุด 21 ปี อายุมากที่สุด 29 ปี) ได้รับการรักษาเป็นผู้ป่วยนอกจำนวน 11 ราย ผู้ป่วยใน จำนวน 16 ราย ไม ่พบผู้เสียชีวิต ผู้ป ่วยทั้ง 27 รายเป็นผู้ป ่วยยืนยันที ่มีผลบวกทางห้องปฏิบัติการจำเพาะ 0 0 0 0 1 0 1 0 0 1 0 1 0 0 0 0 1 11 2 1 3 1 0 0 1 0 0 0 1 0 0 1 0 0 0 0 1 0 1 0 0 1 2 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 2 2 0 0 1 0 0 0 0 1 0 2 1 0 1 2 3 4 5 2ก.พ. 66 6ก.พ. 66 10ก.พ. 66 14ก.พ. 66 18ก.พ. 66 22ก.พ. 66 26ก.พ. 66 2มี.ค. 66 6มี.ค. 66 10มี.ค. 66 14มี.ค. 66 18มี.ค. 66 22มี.ค. 66 26มี.ค. 66 30มี.ค. 66 3เม.ย. 66 7เม.ย. 66 11เม.ย. 66 15เม.ย. 66 19เม.ย. 66 23เม.ย. 66 27เม.ย. 66 1พ.ค. 66 5พ.ค. 66 9พ.ค. 66 13 พ.ค. 66 17 พ.ค. 66 21 พ.ค. 66 25 พ.ค. 66 29 พ.ค. 66 2มิ.ย. 66 6มิ.ย. 66 10มิ.ย. 66 14มิ.ย. 66 จ านวนผู้ป่วย (ราย) วันเริ่มป่วย จ านวนผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกค่ายทหารแห่งหนึ่ง ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 31 พฤษภาคม 2566 (N=27) D0 16 มี.ค.66 ทีม SRRT ลงพื้นที่ D 3 D 7 D 14 D 21 D 28 11 เม.ย.66 239
การวินิจฉัยผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกทั้ง 27 ราย พบว่าผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคไข้เด็งกี่ (Dengue fever: DF) จำนวน 19 ราย (ร้อยละ 70.37), ไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever: DHF) จำนวน 7 ราย (ร้อยละ 25.92) และวินิจฉัยเป็นไข้เลือดออกช็อก (Dengue shock syn drome: DSS) จำนวน 1 ราย (ร้อยละ 3.70) ร้อยละอาการและอาการแสดงของผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกค่ายทหาร (N=27) ภาพที่ 2 แสดงร้อยละอาการและอาการแสดงของโรคไข้เลือดออกค่ายทหารแห่งหนึ่ง จากการศึกษาจากเวชระเบียนและแบบสอบสวนโรคไข้เลือดออกเฉพาะรายพบว่า ผู้ป่วยทั้งหมดมี อาการไข้ ร้อยละ 100 และผู้ป ่วยส ่วนใหญ ่มีอาการปวดกล้ามเนื้อร้อยละ 88.9 ปวดศีรษะร้อยละ 81.5 ปวดกระดูกหรือข้อร้อยละ 77.8 1.3 ค้นหากิจกรรมพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดโรคและแหล่งที่สงสัยว่าเป็นแหล่งรังโรค จากการศึกษาความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมในการควบคุมและป้องกันโรคไข้เลือดออกของผู้ป่วยใน ค่ายทหารแห่งหนึ่ง พบว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีความรู้ในระดับมากร้อยละ 51.9 ระดับปานกลางร้อยละ 48.1 ทัศนคติเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออกในระดับดี ร้อยละ 59.3 ระดับปานกลางร้อยละ 40.7 และพฤติกรรมการ ป้องกันโรคไข้เลือดออกในระดับสูงร้อยละ 37.0 ระดับปานกลางร้อยละ 55.6 และในระดับต่ำร้อยละ 7.4 2. การศึกษาด้านสิ่งแวดล้อม แหล่งการเกิดโรค โดยการสำรวจสภาพแวดล้อมทั่วไปของค่ายทหาร จากการสำรวจลักษณะที่อยู่อาศัยของผู้ป่วยเป็นค่ายทหาร แยกเป็นกองร้อย รวมถึงบ้านพักราชการ และเรือนรับรอง ซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่ค่อนข้างมาก สภาพแวดล้อมโดยรอบค่อนข้างรก มีต้นไม้และป่าทึบ ยุงชุกชุม เศษภาชนะ ขยะ มีถังน้ำใช้ที่ไม่มีฝาปิด ยางรถยนต์ที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว จานรองกระถางต้นไม้เสี่ยงต่อ การเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลาย และจากการสำรวจลูกน้ำยุงลาย พบค่าร้อยละของภาชนะขังน้ำที่พบลูกน้ำ ยุงลายมีค่าสูงเกินมาตรฐาน สรุปและอภิปรายผล การระบาดของโรคไข้เลือดออกในค่ายทหารแห่งนี้ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 พบผู้ป่วยทั้งสิ้น 27 ราย โดยยืนยันการตรวจทางห้องปฏิบัติการพบการติดเชื้อ Dengue ทุกราย ผู้ป่วย ทุกรายเป็นเพศชาย อายุเฉลี่ย 23 ปี ไม่มีการเสียชีวิตจากการระบาดครั้งนี้ ทีมสอบสวนโรคร่วมกับกองร้อย พยาบาลได้กำหนดมาตรการที่จำเพาะแก่ประชากรในพื้นที่ โดยเน้นการป้องกันตนเอง ปรับมาตรการบังคับการ นอนกางมุ้ง และการสำรวจลูกน้ำยุงลายทุกสัปดาห์ การพ่นสารเคมีกำจัดยุงตัวแก ่ทุกสัปดาห์ต่อเนื่องเป็น ระยะเวลา 28 วัน 11.1 25.9 2 33.3 44.4 77.8 81.5 88.9100 0 20 40 60 80 100 120 อาการอื่นๆ จุดเลือดออกตามผิวหนัง ปวดกระบอกตา ปวดศีรษะ ไข้/ไข้เฉียบพลัน 240
ผลของการพัฒนารูปแบบการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง อำเภอท่าตะเกียบ จังหวัดฉะเชิงเทรา The Effects of colon cancer screening model development Thatakiab District, Chachoengsao Province, Thailand นางสาวรุ่งอรุณ จันทรา พว. โรงพยาบาลท่าตะเกียบ จังหวัดฉะเชิงเทรา บทคัดย่อ บทนำ มะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง เป็น 1 ใน 5 ของโรคมะเร็ง และพบมากในประชาชนอายุ 50 ปีขึ้นไป (Cancer Registry database, 2564) ผู้ป่วยรายใหม่เฉลี่ย 40 รายต่อวันหรือประมาณ 15,000 รายต่อปี พบผู้เสียชีวิต 15 คนต่อวัน (สถาบันมะเร็งแห่งชาติ, 2565) อำเภอท่าตะเกียบ มีอัตราป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ และลำไส้ตรง พบเป็นอันดับ 4 ในเพศชายและอันดับ 8 ในเพศหญิง การตรวจหาความผิดปกติที่ลำไส้ได้ตั้งแต่ ในระยะเริ่มแรกช่วยลดอัตราการเสียชีวิตได้อย่างชัดเจน แต่เนื่องจากอำเภอท่าตะเกียบเป็นพื้นที่ห่างไกลการ เข้าถึงบริการค่อนข้างลำบาก จึงได้พัฒนารูปแบบการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง อำเภอท่าตะเกียบ วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบการคัดกรอง เพิ่มการเข้าถึงบริการของประชาชน ค้นหาและป้องกันภาวะเสี่ยง จากมะเร็งลำไส้ใหญ่และผู้ที่มีผลผิดปกติ ได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรก วิธีการศึกษา เป็นการศึกษาเชิงพัฒนา วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณและคุณภาพ วิเคราะห์เชิงเนื้อหาเก็บข้อมูล ระหว่าง วันที่ 1 ตุลาคม 2565 ถึงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 โดยใช้วงจร PDCA ร่วมกับการใช้ CMT model ดังนี้ P:Plan วิเคราะห์Gap Analysis วางแผน Monitorการทำงาน D:Do ประสาน รพ.สต.คัดกรองเชิงรุก กำหนดผู้รับผิดชอบงานชัดเจน C:Check ตรวจสอบ ติดตามผลการดำเนินงานตามTime Table ผ่าน HDC ประเมินผลด้วยค่าเฉลี่ย A:Act พัฒนางานเพิ่มระยะเวลาการคัดกรอง ใช้SWOT Analysis สะท้อนการ ดำเนินงาน จุดแข็งคือ การประชาสัมพันธ์ จุดอ่อนคือ Refer C:Community engagement ผู้นำชุมชน ประชาสัมพันธ์การคัดกรอง M:Make a decision การตัดสินใจแก้ไขปัญหาร่วมกัน T:Time and Understand the Roles and Responsibilities เข้าใจบทบาทหน้าที่รับผิดชอบตามกรอบเวลา ผลของการศึกษา อัตราการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงปี 2563-2566 คิดเป็นร้อยละ 9.37, 71.45, 72.71, 103.94 ตามลำดับ ผ่านผ่านเกณฑ์ KPI > ร้อยละ 80 เป็นอันดับที่ 1 ของ จ.ฉะเชิงเทรา อภิปรายผลการศึกษา อัตราการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรงสูงถึงร้อยละ 103.94 เกิดประสิทธิภาพ ในการส่งต่อ สามารถทำ Colonoscopy ได้ถึงร้อยละ 69.56 ผล Colonoscopy พบ Colonic polyp ร้อยละ 24.39 และ small internal hemorrhoid ร้อยละ 18.46 และสามารถช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย ในการเดินทาง ลดระยะเวลาการรอคอย สรุปและข้อเสนอแนะ ระดับหน่วยบริการ กำกับให้มีการเข้าถึงบริการเพื่อกลุ่มเป้าหมายที่มีผลผิดปกติได้รับ การรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ระดับนโยบาย ผลักดันให้ชี้แจง KPI ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ การนำผลงานไปใช้ประโยชน์การพัฒนารูปแบบการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง ทำให้ประชากร อายุ50 - 70 ปี สามารถเข้าถึงบริการการคัดกรองได้มากกว่าร้อยละ 80 241
สรุปสาระสำคัญ ชื่อเรื่อง ผลของการพัฒนารูปแบบการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง อำเภอท่าตะเกียบ จังหวัดฉะเชิงเทรา The Effects of colon cancer screening model development Thatakiab District, Chachoengsao Province, Thailand ชื่อผู้วิจัย นางสาวรุ่งอรุณ จันทรา พว. โรงพยาบาลท่าตะเกียบ จังหวัดฉะเชิงเทรา ชื่อผู้นำเสนอผลงาน นางสาวรุ่งอรุณ จันทรา พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ ความสำคัญของปัญหา มะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง เป็น 1 ใน 5 ของมะเร็งที่พบมากที ่สุดทั้งในเพศชายและเพศในช ่วง อายุ 50 ปีขึ้นไป (Cancer Registry database, 2564) ผู้ป ่วยรายใหม่เฉลี ่ย 40 รายต ่อวันหรือประมาณ 15,000 รายต ่อปีพบผู้เสียชีวิต 15 คนต ่อวัน ประมาณ 4,000 คนต ่อปี (สถาบันมะเร็งแห ่งชาติ, 2565) อำเภอท ่าตะเกียบ มีอัตราป ่วยมะเร็งลำไส้ใหญ ่และลำไส้ตรง พบเป็นอันดับ 4 ในเพศชายและอันดับ 8 ในเพศหญิง ซึ่งผู้ป ่วยมะเร็งลำไส้ใหญ ่กว ่าร้อยละ 30 เป็นระยะที ่มีการกระจายไปยังต ่อมน้ำเหลืองแล้ว (ระยะที่ 3) และร้อยละ 50 ตรวจพบเมื่อเป็นระยะแพร่กระจาย(ระยะที่ 4) ซึ่งการตรวจหาความผิดปกติที่ลำไส้ ได้ตั้งแต ่ในระยะเริ ่มแรก จะช ่วยลดโอกาสการแพร ่กระจายของโรคได้การรักษาได้ผลดีกว่า และสามารถช ่วยลดอัตราการเสียชีวิตได้อย ่างชัดเจน แต ่เนื ่องจากอำเภอท ่าตะเกียบเป็นพื้นที ่ห ่างไกล การเดินทางเข้ามาคัดกรองที่หน่วยบริการค่อนข้างลำบาก โรงพยาบาลท่าตะเกียบจึงได้พัฒนารูปแบบการคัด กรองมะเร็งลำไส้ใหญ ่และลำไส้ตรง อำเภอท ่าตะเกียบ จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื ่อเพิ ่มการเข้าถึงบริการของ ประชาชนอายุ 50 – 70 ปี วัตถุประสงค์ 1. เพื่อพัฒนาระบบการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง 2. เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการของประชาชน ค้นหาและป้องกันภาวะเสี่ยงจากมะเร็งลำไส้ใหญ่ 3. เพื่อให้ประชาชนอายุ 50 – 70 ปี ที่มีผลผิดปกติ ได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรก วิธีการศึกษา 1. เป็นการศึกษาเชิงพัฒนา วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณและคุณภาพ วิเคราะห์เชิงเนื้อหา เก็บข้อมูลระหว่าง วันที่ 1 ตุลาคม 2565 ถึงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 2. ศึกษาข้อมูลวิเคราะห์ปัญหาเชิงลึกจากรายงานการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง ในประชาชนอายุ 50-70 ปี ระหว่างปี 2563 - 2565 รูปแบบเดิม ปี 2563 - 2565 แจก Fit Test ประชาชน 50-70ปี ส่ง Specimen เองที่ รพ. เกิดความแออัด รอตรวจนาน ฟังผลที่ OPD รพ. ผลผิดปกติ Refer ไปรักษาเองตามสิทธิ์ ไม่มีญาติไม่มีเงินค่าเดินทาง จึงเข้าถึง Colonoscopy 242
3. ประชุมชี้แจงการพัฒนารูปแบบการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรงกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ เจ้าหน้าที่รพ., รพ.สต., งานเทคนิคการแพทย์, อปท., กำนัน, ผู้ใหญ ่บ้าน และอสม. พร้อมหาแนว ทางแก้ไขปัญหาร ่วมกัน โดยใช้แนวคิดการปรับปรุงกระบวนการทำงานอย ่างเป็นระบบ ใช้วงจร PDCA (Plan-Do-Check-Act) ร่วมกับการใช้ CMT model ดังนี้ 5. กรณีตรวจพบ Fit Test Positive ประสานงาน โรงพยาบาลศูนย์วางแผนทำ Colonoscopy 6. ประสาน สสอ.รพสต.เพื่อซักประวัติออกใบส่งตัวแทนโดยเจ้าหน้าที่ ผ่านระบบ Ever ของจังหวัด ฉะเชิงเทรา พร้อมทั้งไปอบรมการเตรียมก่อนทำ Colonoscopy เบิกยา เพื่อให้ประชากรที่มีผลผิดปกติเตรียม ลำไส้เองที ่บ้าน เมื ่อถึงวันนัดทำ Colonoscopy มีรถรพ. รับ-ส ่งฟรีมีพยาบาลวิชาชีพ ดูแลใกล้ชิดตลอด เส้นทาง สรุปผลการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ร้อยละ ผลของการศึกษา อภิปรายผลการศึกษา อัตราการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ ่และลำไส้ตรงสูงถึงร้อยละ 103.94 ผ ่าน KPI > ร้อยละ80 เป็นอันดับที ่ 1 ของจังหวัดฉะเชิงเทรา (HDC, 12 กรกฎาคม 2566) จากการวิเคราะห์พบว ่าเกิดจาก 9.37 71.45 72.71 103.94 0 2.79 7.27 4.1 0 9.09 58.57 69.56 0 0 29.26 42.85 0 20 40 60 80 100 120 2563 2564 2565 2566 กราฟแสดงผลการด าเนินงานการคัดกรองมะเร็งล าไส้ใหญ่และล าไส้ตรง ในประชาชนอายุ 50-70 ปี อ.ท่าตะเกียบ จ.ฉะเชิงเทรา ปีงบประมาณ 2563-2566 ร้อยละการคัดกรอง Fit test ร้อยละ Fit test = Positive ร้อยละการท า Colonoscopy ร้อยละ Colonoscopy ผลผิดปกติ วิเคราะห์Gap Analysis ประชุมทีม สสอ./รพ./รพสต./ อสม. ผู้นำชุมชน เพื่อชี้แจงนโยบาย วางแผน Monitor การดำเนินงานร่วมกัน ประสาน รพ.สต./จัดสรรชุดตรวจ Fit Test คัดกรองเชิงรุกในชุมชน/ คืนข้อมูล เป้าคัดกรองในเวทีหัวหน้าส่วนราชการ จัดทำแนวทางการดำเนินงาน กำหนดผู้รับผิดชอบงานชัดเจน ตรวจสอบการบันทึกข้อมูล/ ติดตามผลการดำเนินงานตามกรอบ ระยะเวลา(Time Table) ผ่าน HDC ประเมินผลด้วยค่าเฉลี่ย(Evaluation) พัฒนางาน/เพิ่มระยะเวลาการ คัดกรอง, ปรับเปลี่ยนการส่งSpecimen มีอสม.รวบรวม Fit Test ลดความแออัด, ให้ความรู้ทางวิชาการ ใช้SWOT Analysis สะท้อนการดำเนินงาน จุดแข็งคือ การ ประชาสัมพันธ์จุดอ่อนคือ Refer ผลผิดปกติ Community engagement ผู้นำชุมชนประชาสัมพันธ์ การคัดกรอง หอกระจายข่าวของหมู่บ้าน วิทยุชุมชน อ PDCA (Plan-Do-Check-Act) CMT model Make a decision การตัดสินใจแก้ไขร่วมกัน ประสานผู้นำออกเชิงรุกในชุมชน Time and Understand the Roles and Responsibilities เข้าใจบทบาทหน้าที่รับผิดชอบ/ ตามกรอบเวลา ผ่านเกณฑ์ KPI > ร้อยละ 80 อันดับที่ 1 ของ จ.ฉะเชิงเทรา C M T 243
การมีส่วนร่วมของชุมชน นอกจากนี้ยังมีผลลัพธ์ทางคลินิกที่ดีขึ้น เมื่อเทียบกับปี2565 พบว่ามีผู้ที่ได้รับการ ตรวจคัดกรองเพิ่มมากขึ้น จำนวน 158 ราย คิดเป็นร้อยละ 14.10 เกิดประสิทธิภาพในการส่งต่อ สามารถทำ Colonoscopy ได้ถึงร้อยละ 69.56 ผล Colonoscopy พบ Colonic polyp ร้อยละ 24.39 และ small internal hemorrhoid ร้อยละ 18.46 นอกจากนี้ยังสามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยในการเดินทาง ไปยังโรงพยาบาลศูนย์ประมาณ 64,000 บาท (2,000 บาท/คน) เมื่อเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว และประมาณ 16,000 บาท (500 บาท/คน) กรณีเดินทางโดยรถประจำทาง สามารถช่วยลดระยะเวลาการรอคอยเพื่อไปพบ แพทย์ที่ตึกศัลยกรรมทั่วไปประมาณ 4 ชั่วโมง/คน ซึ่งค่าใช้จ่ายและระยะเวลาการรอคอยเหล่านี้เป็นหนึ ่งใน ปัจจัยที่มีผลต่อการเข้ารับการ Colonoscopy ที่โรงพยาบาลศูนย์ทั้งสิ้น สรุปและข้อเสนอแนะ 1. ระดับหน่วยบริการ กำกับให้มีการเข้าถึงบริการเพื่อกลุ่มเป้าหมายที่มีผลผิดปกติได้รับการรักษา ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก 2. ระดับนโยบาย ผลักดันให้ชี้แจง KPI ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ การนำผลงานไปใช้ประโยชน์ การพัฒนารูปแบบการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง ทำให้ประชากรอายุ50 - 70 ปี สามารถ เข้าถึงบริการการคัดกรองได้มากกว่าร้อยละ 80 เอกสารอ้างอิง 1) World Health Organization. GLOBOCAN Estimate Cancer Incidence Mortality and prevalence worldwide in 2020. [internet]. [cite 2020 Aug 12]. Available from: URL: http://globocan.iarc.fr/Default.aspx 2) ทะเบียนมะเร็งระดับโรงพยาบาล. (2563) กรุงเทพฯ : หน่วยงาน เวชระเบียนและฐานข้อมูล โรคมะเร็ง กลุ่มงานดิจิทัลการแพทย์ Ell-Stoll, C., & Popkess-Vawter, S. (2020). 3) สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์. แนวทางการดำเนินงานและการบันทึกข้อมูล โครงการคัด กรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง ด้วยวิธี FIT test. (2023) สืบค้นวันที่ 13 กรกฎาคม 2566, จาก https://www.nci.go.th 4) ปริญญา ทวีชัยการ . (2560). ตำรามะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก. กรุงเทพฯ 244
ชื่อเรื่อง ผลของการพัฒนางาน 4 ด้านเพื่อป้องกันการเกิดปอดอักเสบที่สัมพันธ์กับการใช้เครื่องช่วยหายใจ อย่างยั่งยืน ในโรงพยาบาลชลบุรี(Best Practice) ผู้วิจัยหรือคณะผู้วิจัย นางสาวสมศรี ซื่อต่อวงศ์ และคณะ ชื่อหน่วยงาน งานควบคุมและป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล กลุ่มการพยาบาล โรงพยาบาลชลบุรี ชื่อผู้น าเสนอผลงาน นางสาวสมศรี ซื่อต่อวงศ์ต าแหน่ง พยาบาลวิชาชีพช านาญการพิเศษ ความส าคัญของปัญหา การเกิดปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ (ventilator associated pneumonia : VAP) ซึ่งเป็นปัญหาที่ส าคัญที่ท าให้ผู้ป่วยต้องนอนโรงพยาบาลนานขึ้น เสียค่าใช้จ่ายในการ รักษาเพิ่มขึ้น มีอัตราในการครองเตียงยาวนานขึ้น ส่งผลให้ภาวะความเจ็บป่วยรุนแรงขึ้นและอาจเป็นสาเหตุให้ ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ โรงพยาบาลชลบุรีเป็นโรงพยาบาลศูนย์มีจ านวนเตียง 840 เตียง มีจ านวนผู้ป่วยที่ใช้เครื่อง ช่วยหายใจเฉลี่ย 137 ราย/วัน ก่อนการพัฒนาปัญหาการติดเชื้อปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ เป็น ปัญหาอันดับ 1 ของการติดเชื้อในโรงพยาบาล (อัตราการติดเชื้อปี 2552 = 11.42 ครั้ง/1000 วันที่ใช้ เครื่องช่วยหายใจ) ดั้งนั้นงานควบคุมและป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาลเห็นความส าคัญในเรื่องนี้จึงได้จัดให้ มีการพัฒนางาน 4 ด้าน เพื่อป้องกันการติดเชื้อปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจอย่างยั่งยืน วัตถุประสงค์ เพื่อลดอุบัติการณ์การเกิดปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ วิธีการพัฒนา: เริ่มมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 จนถึงปัจจุบัน โดยแบ่งการพัฒนาออกเป็น 3 ระยะๆ ละ 5 ปี ระยะที่ 1 ตั้งแต่ปี 2552- 2556 เป็นระยะของการเรียนรู้และพัฒนา ระยะที่ 2 ตั้งแต่ปี 2557- 2561 เป็นระยะของการส่งเสริมการพัฒนา และระยะที่ 3 ตั้งแต่ปี 2562- 2566 เป็นระยะของการเกิด วัฒนธรรม และภายใต้การพัฒนาทั้ง 3 ระยะ จัดแบ่งการพัฒนาออกเป็น 4 ด้าน ได้แก่ ด้านอุปกรณ์และ โครงสร้าง ด้านบุคลากร ด้านแนวทางปฏิบัติ และด้านระบบงาน ซึ่งในแต่ละด้านจะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยที่คณะกรรมการควบคุมและป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล (ICC) เป็นผู้น าในการพัฒนา ผลการพัฒนา จากการพัฒนาอย่างต่อเนื่องพบว่าอัตราการติดเชื้อ VAP ลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 11.42 ครั้ง/ 1000 วันที่ใช้เครื่องช่วยหายใจ ในปี 2552 เหลือ 0.57 ครั้ง/1000 วันที่ใช้เครื่องช่วยหายใจ ในปี 2566 ซึ่ง เป็นอัตราการติดเชื้อที่ต่ ากว่าค่าเฉลี่ยจากการเทียบกับค่าThailand Hospital Indicator Project(THIP) 3.57 ครั้ง/1000วันที่ใช้เครื่องช่วยหายใจ และต่ ากว่าเป้าหมายตามแผนปฏิบัติการเชิงยุทธศาสตร์ด้านการป้องกัน และควบคุมการติดเชื้อระดับชาติ ปี 2566 ซึ่งมีเป้าหมายอยู่ที่ 3.50 ครั้ง/1000วันที่ใช้เครื่องช่วยหายใจ สรุปและข้อเสนอแนะ 1. การเรียนรู้ที่ได้รับจากการพัฒนางาน 4 ด้าน มีผลท าให้อุบัติการณ์การเกิดปอดอักเสบที่สัมพันธ์กับ การใช้เครื่องช่วยหายใจลดลง บุคลากรให้การดูแลและปฏิบัติเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ส่งผลให้ผู้ป่วย ปลอดภัยไม่เกิด ภาวะแทรกซ้อน ลดระยะเวลาในการนอนโรงพยาบาลและท าให้ลดต้นทุนการรักษา 2. การควบคุม/ติดตาม/ประเมินผล/การป้องกันปัญหาเกิดซ้ า เพื่อป้องกันการเกิดปอดอักเสบที่ สัมพันธ์กับการใช้เครื่องช่วยหายใจอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ต้องมีการให้ความรู้แก่บุคคลากรสม่ าเสมอ เน้นการท างานเป็นทีม พร้อมทั้งติดตามผล ตรวจสอบการปฏิบัติอย่างสม่ าเสมอ ประเมินผลเป็นระยะทุก 4 เดือน เพื่อปรับปรุงแก้ไขพัฒนางาน รวมทั้งต้องมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน สร้างวัฒนธรรมในการ ปฏิบัติงานให้เกิดค าว่า “ท าจนเป็นนิสัย” จึงจะเกิดเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน 245