The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

Ebook เล่มเอกสารผลงานวิชาการ เขตสุขภาพที่ 6 ปีงบ 66 ณ 30 ส.ค.66

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

เล่มเอกสารผลงานวิชาการ เขตสุขภาพที่ 6 ปีงบ 66 ณ 30 ส.ค.66

Ebook เล่มเอกสารผลงานวิชาการ เขตสุขภาพที่ 6 ปีงบ 66 ณ 30 ส.ค.66

Keywords: Ebook เล่มเอกสารผลงานวิชาการ

ชื่อเรื่อง พชอ Digital ผู้จัดทำ นายสมบัติ เหลืองโสมนภา พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ รักษาการในตำแหน่ง ผอ.รพ.สต.บ้านทับทิมสยาม01 ผู้นำเสนอ นายสมบัติ เหลืองโสมนภา ความสำคัญของปัญหา กระทรวงสาธารณสุข ได้น าแนวคิด ระบบสุขภาพอ าเภอ มาขับเคลื่อนการจัดการสุขภาพตามบริบท พื้นที่ โดยมี คณะกรรมการเครือข่ายบริการสุขภาพระดับอ าเภอ เป็นกลไกในการขับเคลื่อน จนถึงปัจจุบันมีการ ปรับเปลี่ยนสู่ คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอ าเภอ(พชอ.) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง กระทรวงมหาดไทย กระทรวง สาธารณสุข และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้ท าข้อตกลงความร่วมมือ เพื่อการพัฒนาและ ขับเคลื่อนการดูแลชีวิตและความเป็นอยู่ และสุขภาพของประชาชน ในอ าเภอ เป็นมิติใหม่ของการปฏิรูปสู่Thailand ๔.๐ และสร้างความร่วมมือให้บรรลุยุทธศาสตร์ของชาติ ใน หลายๆด้าน ซึ่งหลักการของคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิต ระดับอ าเภอเป็นการสร้างความร่วมมือของ หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชนในอ าเภอในการดูแล สุขภาวะ ทางกาย จิต และสังคมเพื่อพัฒนา คุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน โดยมีระเบียบส านักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการ พัฒนาคุณภาพชีวิต ระดับอ าเภอ พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นเครื่องมือในการด าเนินการ โดยก าหนดให้มีคณะกรรมการนโยบาย พัฒนา คุณภาพชีวิตระดับอ าเภอ(พชอ.) ประกอบด้วยปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานกรรมการ และ ปลัดกระทรวง สาธารณสุขเป็นรองประธานกรรมการ ผู้บริหารระดับสูงจากกระทรวงต่างๆ และผู้บริหาร กองทุนเป็นกรรมการ โดยมี รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขที่รับผิดชอบกลุ่มภารกิจด้านการสาธารณสุข เป็น กรรมการและเลขานุการ ซึ่งการขับเคลื่อน การด าเนินงานของคณะกรรมการพชอ.ประกอบด้วยผู้แทนส่วน ราชการ ภาคเอกชนและประชาชน กระทรวงสาธารณสุข ให้ความส าคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน ภายใต้แนวคิด ระบบสุขภาพอ าเภอ โดยมี คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอ าเภอ(พชอ.) เป็นกลไกขับเคลื่อน โดยมีนายอ าเภอเป็นประธานกรรมการ สาธารณสุขอ าเภอเป็นเลขานุการ ดังนั้นเพื่อให้คณะกรรมการพชอ. มีความรู้ความเข้าใจ นโยบาย แนวคิด บทบาท และ แนวทางการด าเนินงานของคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพ ชีวิตระดับอ าเภอ(พชอ.) และเพื่อให้มีสมรรถนะด้านภาวะผู้น า การบริหารจัดการ การสร้างความร่วมมือในการ ท างาน มีความเข้าใจในปัจจัยก าหนดสุขภาพ และสามารถมองภาพการ พัฒนาคุณภาพชีวิตได้ โดยมีทักษะการ รับฟังและยอมรับซึ่งกันและกันระหว่างสมาชิกในทีมและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซึ่ง จะสามารถจัดการความ ขัดแย้ง สามารถแก้ปัญหา อย่างเป็นขั้นตอนและประสานความร่วมมือในการพัฒนาคุณภาพชีวิต ของประชาชน ได้จึงจัดท าโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอ าเภอขึ้น ทั้งนี้ ผู้จัดท านวัตกรรม เล็งเห็นว่า การจัดเก็บ ข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล ปัจจุบันยังขาดการน าระบบดิจิตอลมาผนวกเข้ากับระบบงาน พชอ และเพื่อให้ พชอ มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ที่รวดเร็วตรวจสอบได้ทันยุคทันสมัย จึงได้คิดจัดท านวัตกรรม พชอ Digital 146


วัตถุประสงค์/สมมติฐาน 1. เพื่อพัฒนาระบบข้อมูล พชอ ให้มีความทันสมัยตามยุค 4.0 2. สามารถจัดการดูแล ประชาชน ได้อย่างทั่วถึง ด้วยระบบ ดิจิตอล 3. เกิดกระบวนแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงาน 4. สามารถนำข้อมูลสุขภาพของประชาชน มาวิเคราะห์ปัญหาที่แท้จริงได้ วิธีการศีกษา 1. สร้างเครื่องมือการส่งข้อมูลสุขภาพ ปัญหา และแนวทางแก้ไข ของประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ใน รูปแบบ Google from 2. ให้หน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง ที่อาจจะยังไม่คุ้นเคยระบบส่งข้อมูลสุขภาพ ปัญหาประชาชน ได้ ลองทำ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความเข้าใจการทำงาน แบบ100 % 3. สร้างช่องทางการ ประมวลผลงานที่ส่ง บนรูปแบบDATA STUDIO เพื่อง่ายต่อการเห็นปัญหาของ ข้อมูลสุขภาพได้ ผลการศึกษา 1. ข้อมูลการเยี่ยมประชาชน แต่ละครั้งสามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้ 2. ผู้จัดทำสามารถติดตามประมวลผลภาวะสุขภาพของประชาชนได้และเห็นผลลัพธ์ข้อมูลว่า ประชาชนที่ได้รับการเยี่ยม ส่งผ่านลิ้ง พชอ Digital สรุปผลและข้อเสนอแนะ 1. การทำงานรูปแบบ พชอ Digital จะไม่สามารถสำเร็จได้ หากหน่วยงานต่างๆที่เยี่ยมดูแล ประชาชน ไม่มีการใช้ พชอDigital การนำไปใช้จริง สำนักงานสาธารณสุขอำเภอบ่อไร่ ร่วมกับกรมการปกครอง อำเภอบ่อไร่ เล็งเห็นเรื่อง สุขภาพประชาชนที่ได้รับการดูแลติดตามเยี่ยมเยียน ของหน่วยงานต่างๆ ที่ผ่านมา ในมิติของ พชอ พบว่า ปัญหาของข้อมูลสุขภาพของประชาชน ที่จะเอาวิเคราะห์และดูแลอย่างทั่วถึงนั้น พบว่า มีปัญหาทางด้านการ วิเคราะห์ข้อมูลผ่านระบบสนเทศ ทำให้การดูแลประชาชนไม่ทั่วถึงที่เป็นปัญหาของประชาชนอย่างแท้จริง และ นอกจากนี้ ยังสามารถแบ่งประเภทของประชาชนต่างๆออกเป็นแต่ละกลุ่มได้ชัดเจน เช่น ผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้ป่วยทางจิต เป็นต้น 147


ชื่อเรื่อง พชอ Digital ผู้จัดทำ นายสมบัติ เหลืองโสมนภา พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ รักษาการในตำแหน่ง ผอ.รพ.สต.บ้านทับทิมสยาม01 ผู้นำเสนอ นายสมบัติ เหลืองโสมนภา ความสำคัญของปัญหา กระทรวงสาธารณสุข ได้น าแนวคิด ระบบสุขภาพอ าเภอ มาขับเคลื่อนการจัดการสุขภาพตามบริบท พื้นที่ โดยมี คณะกรรมการเครือข่ายบริการสุขภาพระดับอ าเภอ เป็นกลไกในการขับเคลื่อน จนถึงปัจจุบันมีการ ปรับเปลี่ยนสู่ คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอ าเภอ(พชอ.) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง กระทรวงมหาดไทย กระทรวง สาธารณสุข และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้ท าข้อตกลงความร่วมมือ เพื่อการพัฒนาและ ขับเคลื่อนการดูแลชีวิตและความเป็นอยู่ และสุขภาพของประชาชน ในอ าเภอ เป็นมิติใหม่ของการปฏิรูปสู่Thailand ๔.๐ และสร้างความร่วมมือให้บรรลุยุทธศาสตร์ของชาติ ใน หลายๆด้าน ซึ่งหลักการของคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิต ระดับอ าเภอเป็นการสร้างความร่วมมือของ หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชนในอ าเภอในการดูแล สุขภาวะ ทางกาย จิต และสังคมเพื่อพัฒนา คุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน โดยมีระเบียบส านักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการ พัฒนาคุณภาพชีวิต ระดับอ าเภอ พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นเครื่องมือในการด าเนินการ โดยก าหนดให้มีคณะกรรมการนโยบาย พัฒนา คุณภาพชีวิตระดับอ าเภอ(พชอ.) ประกอบด้วยปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานกรรมการ และ ปลัดกระทรวง สาธารณสุขเป็นรองประธานกรรมการ ผู้บริหารระดับสูงจากกระทรวงต่างๆ และผู้บริหาร กองทุนเป็นกรรมการ โดยมี รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขที่รับผิดชอบกลุ่มภารกิจด้านการสาธารณสุข เป็น กรรมการและเลขานุการ ซึ่งการขับเคลื่อน การด าเนินงานของคณะกรรมการพชอ.ประกอบด้วยผู้แทนส่วน ราชการ ภาคเอกชนและประชาชน กระทรวงสาธารณสุข ให้ความส าคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน ภายใต้แนวคิด ระบบสุขภาพอ าเภอ โดยมี คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอ าเภอ(พชอ.) เป็นกลไกขับเคลื่อน โดยมีนายอ าเภอเป็นประธานกรรมการ สาธารณสุขอ าเภอเป็นเลขานุการ ดังนั้นเพื่อให้คณะกรรมการพชอ. มีความรู้ความเข้าใจ นโยบาย แนวคิด บทบาท และ แนวทางการด าเนินงานของคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพ ชีวิตระดับอ าเภอ(พชอ.) และเพื่อให้มีสมรรถนะด้านภาวะผู้น า การบริหารจัดการ การสร้างความร่วมมือในการ ท างาน มีความเข้าใจในปัจจัยก าหนดสุขภาพ และสามารถมองภาพการ พัฒนาคุณภาพชีวิตได้ โดยมีทักษะการ รับฟังและยอมรับซึ่งกันและกันระหว่างสมาชิกในทีมและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซึ่ง จะสามารถจัดการความ ขัดแย้ง สามารถแก้ปัญหา อย่างเป็นขั้นตอนและประสานความร่วมมือในการพัฒนาคุณภาพชีวิต ของประชาชน ได้จึงจัดท าโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอ าเภอขึ้น ทั้งนี้ ผู้จัดท านวัตกรรม เล็งเห็นว่า การจัดเก็บ ข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล ปัจจุบันยังขาดการน าระบบดิจิตอลมาผนวกเข้ากับระบบงาน พชอ และเพื่อให้ พชอ มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ที่รวดเร็วตรวจสอบได้ทันยุคทันสมัย จึงได้คิดจัดท านวัตกรรม พชอ Digital 148


วัตถุประสงค์/สมมติฐาน 1. เพื่อพัฒนาระบบข้อมูล พชอ ให้มีความทันสมัยตามยุค 4.0 2. สามารถจัดการดูแล ประชาชน ได้อย่างทั่วถึง ด้วยระบบ ดิจิตอล 3. เกิดกระบวนแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงาน 4. สามารถนำข้อมูลสุขภาพของประชาชน มาวิเคราะห์ปัญหาที่แท้จริงได้ วิธีการศีกษา 1. สร้างเครื่องมือการส่งข้อมูลสุขภาพ ปัญหา และแนวทางแก้ไข ของประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ใน รูปแบบ Google from 2. ให้หน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง ที่อาจจะยังไม่คุ้นเคยระบบส่งข้อมูลสุขภาพ ปัญหาประชาชน ได้ ลองทำ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความเข้าใจการทำงาน แบบ100 % 3. สร้างช่องทางการ ประมวลผลงานที่ส่ง บนรูปแบบDATA STUDIO เพื่อง่ายต่อการเห็นปัญหาของ ข้อมูลสุขภาพได้ ผลการศึกษา 1. ข้อมูลการเยี่ยมประชาชน แต่ละครั้งสามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้ 2. ผู้จัดทำสามารถติดตามประมวลผลภาวะสุขภาพของประชาชนได้และเห็นผลลัพธ์ข้อมูลว่า ประชาชนที่ได้รับการเยี่ยม ส่งผ่านลิ้ง พชอ Digital สรุปผลและข้อเสนอแนะ 1. การทำงานรูปแบบ พชอ Digital จะไม่สามารถสำเร็จได้ หากหน่วยงานต่างๆที่เยี่ยมดูแล ประชาชน ไม่มีการใช้ พชอDigital การนำไปใช้จริง สำนักงานสาธารณสุขอำเภอบ่อไร่ ร่วมกับกรมการปกครอง อำเภอบ่อไร่ เล็งเห็นเรื่อง สุขภาพประชาชนที่ได้รับการดูแลติดตามเยี่ยมเยียน ของหน่วยงานต่างๆ ที่ผ่านมา ในมิติของ พชอ พบว่า ปัญหาของข้อมูลสุขภาพของประชาชน ที่จะเอาวิเคราะห์และดูแลอย่างทั่วถึงนั้น พบว่า มีปัญหาทางด้านการ วิเคราะห์ข้อมูลผ่านระบบสนเทศ ทำให้การดูแลประชาชนไม่ทั่วถึงที่เป็นปัญหาของประชาชนอย่างแท้จริง และ นอกจากนี้ ยังสามารถแบ่งประเภทของประชาชนต่างๆออกเป็นแต่ละกลุ่มได้ชัดเจน เช่น ผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้ป่วยทางจิต เป็นต้น 149


1 ชื่อผลงาน นวัตกรรมเพื่อลดเครื่องมือหมดอายุในหน่วยงานอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช (ปฏิทินสิ้น Expired : Calendar Expired Date) ชื่อหน่วยงาน งานอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลบ่อไร่ จ.ตราด ผู้นำเสนอ นางสาวอภิญญารัชต์ ศรีเบญจรัตน์ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ บทคัดย่อ ความปลอดภัยของผู้รับบริการเป็นจุดเน้นของระบบสุขภาพที่โรงพยาบาลให้ความสำคัญ หน่วยงาน อุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวชให้บริการในการทำหัตถการต่างๆเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน ดังนั้นเครื่องมือและ อุปกรณ์ที่ใช้ต้องมีความสะอาด ปราศจากเชื้อ ได้มาตรฐาน มีเพียงพอและพร้อมใช้งาน ส่งผลให้ผู้รับบริการได้รับ ความปลอดภัยเมื่อทำหัตถการ ซึ่งหน่วยงานอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวชมีการสำรองใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ใน หน่วยงาน จำนวน 168 ชิ้น พบอุบัติการณ์ของหมดอายุไม่พร้อมใช้งาน ปี 2564 จำนวน 8 ครั้ง ปี 2565 จำนวน 14 ครั้ง จากปัญหาดังกล่าว จึงจัดทำนวัตกรรมขึ้นในรูปแบบของปฏิทิน เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานตรวจสอบได้ อย่างสะดวก รวดเร็ว สามารถลดอุบัติการณ์ได้ ขั้นตอนคือนำเครื่องมือและอุปกรณ์ทั้งหมดมาลงวันหมดอายุใน ปฏิทิน เมื่อส่งนึ่งประจำวันและได้รับเครื่องมือจากหน่วยจ่ายกลางมาใหม่บุคลากรที่รับของจะลงวันหมดอายุของ เครื่องมือนั้นๆในปฏิทิน ซึ่งจะทำให้ทราบว่ามีเครื่องมือใดหมดอายุเมื่อตรวจเช็คประจำวัน เมื่อนำนัวตกรรมมาใช้ในหน่วยงาน พบว่าบุคลากรมีความพึงพอใจต่อการใช้งาน ผู้รับบริการได้รับความ ปลอดภัยเมื่อทำหัตถการ มีเครื่องมือและอุปกรณ์พร้อมใช้อยู่เสมอ และลดการเกิดอุบัติการณ์ของหมดอายุไม่ พร้อมใช้งาน ปี 2566 เหลือ 2 ครั้ง คำสำคัญ นวัตกรรม ,เครื่องมือและอุปกรณ์ 150


2 ผลงานการพัฒนาคุณภาพ: นวัตกรรม 1.ชื่อผลงาน/โครงการ ปฏิทินสิ้น Expired : Calendar Expired Date 2.ชื่อหน่วยงาน/เจ้าของผลงาน นางสาวอภิญญารัชต์ ศรีเบญจรัตน์ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ งานอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลบ่อไร่ จ.ตราด ๓.ปัญหาและสาเหตุโดยย่อ หน่วยงานอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวชให้บริการในการทำหัตถการต่างๆเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน ดังนั้นเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ต้องมีความสะอาด ปราศจากเชื้อ ได้มาตรฐาน มีเพียงพอและพร้อมใช้งาน ส่งผล ให้ผู้รับบริการได้รับความปลอดภัยเมื่อทำหัตถการ จึงมีการสำรองใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ในหน่วยงาน จำนวน 168 ชิ้น ในการตรวจเช็คประจำวันทำให้ใช้เวลานานและละเลยในการตรวจสอบ ของบางอย่างใช้งานน้อย ไม่ ค่อยได้ใช้งาน เกิดปัญหาหมดอายุไม่ได้ส่งนึ่ง มีของไม่พร้อมใช้ในหน่วยงาน พบอุบัติการณ์ของหมดอายุไม่พร้อม ใช้งาน ปี 2564 จำนวน 8 ครั้ง ปี2565 จำนวน 14 ครั้ง จึงจัดทำนวัตกรรมเพื่อลดเครื่องมือหมดอายุใน หน่วยงานอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช 4.วัตถุประสงค์ - เพื่อลดการเกิดอุบัติการณ์ของหมดอายุไม่พร้อมใช้งาน 5.ตัวชี้วัดความสำเร็จ - ไม่พบอุบัติการณ์เรื่องของหมดอายุ 6.วิธีการดำเนินงาน 6.1 ทำการออกแบบโดยใช้ปฏิทินในการช่วยเตือนความจำ 6.2 นำเครื่องมือและอุปกรณ์ทั้งหมดมาลงวันหมดอายุในปฏิทิน 6.3 ประชุมชี้แจงการใช้งานและขอความร่วมมือบุคลากรเมื่อส่งนึ่งประจำวันและได้รับเครื่องมือ จากหน่วยจ่ายกลางมาใหม่บุคลากรที่รับของจะลงวันหมดอายุของเครื่องมือนั้นๆในปฏิทิน โดยติดไว้บริเวณตู้เก็บ เครื่องมือ 151


3 7.ผลการดำเนินงานและการนำไปใช้ ตัวชี้วัด เป้าหมาย ปี2564 ปี2565 ปี2566 (ม.ค.-ส.ค.) 1.อุบัติการณ์ของหมดอายุไม่พร้อมใช้งาน 0 8 14 2 8.แผนการพัฒนา / บทเรียนที่ได้รับ -ลดการใช้กระดาษโดยนำไปเคลือบแล้วใช้ได้หลายครั้ง 152


สรุปสาระสำคัญ แนวทางการส่งต่อผู้ป่วยบ่อไร่- สำรูด ผู้คิดค้น : นางสุรีย์พร โตสติ ตำแหน่ง พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ หน่วยงาน แผนกอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลบ่อไร่ ตำบลบ่อพลอย อำเภอบ่อไร่ จังหวัดตราด ความสำคัญของปัญหา ในปี พ.ศ 2560 โรงพยาบาล บ่อไร่ ร่วมกับ คป.สอ บ่อไร่ มีนโนบายที่จะพัฒนาพื้นที่ รอยต่อชายแดนให้มี แนวทางการส่งต่อผู้ป่วย ที่ทำให้ผู้ป่วยปลอดภัย และรวดเร็วในกลุ่มผู้ป่วยโรคสำคัญ เช่น STEMI , Stroke ,Head Injury, Trauma จากการเก็บข้อมูล ผู้ป่วยที่เข้ามาจากชายแดนรักษาตัวใน โรงพยาบาลบ่อไร่ ทั้งที่ ซื้อบัตรประกันสุขภาพ และที่ไม่ได้ซื้อบัตรประกันสุขภาพ ซึ่งพบว่าระยะเวลา 3 ปี ที่ผ่านมา มีผู้ป่วย Trauma 2 ราย และผู้ป่วย Stroke 1 ราย จึงมีแนวทางเพื่อที่จะรองรับผู้ป่วยที่มีภาวะฉุกเฉิน และมุ่งที่จะดูแลผู้ป่วย ชายแดนระดับประเทศตามวิสัยทัศน์ที่ตั้งกันไว้ โดย มีการ ไปสร้างสัมพันธภาพไว้ และและมีขั้นตอนการ 153


วัตถุประสงค์ 1.เพื่อให้มีระบบการส่งต่อตามมาตรฐาน และแนวทางเดียวกันทั้งอำเภอ 2.ผู้ป่วยได้รับความปลอดภัย และแก้ไขภาวะฉุกเฉินเบื้องต้นตามมาตรฐาน ตัวชี้วัด -ร้อยละ ของการส่งต่อผู้ป่วยชายแดน กัมพูชา จาก สำรูด มา รพ.บ่อไร่ ได้รับการประสานงาน ทุกราย 100 % ดำเนินงานดังนี้ 1.เยี่ยม อนามัยสำรูด โดยมีท่านสาธารณสุขอำเภอ ผู้ช่วยสาธารณสุขอำเภอ และทีม อำเภอบ่อไร่ 2.Group Line ในการสื่อสาร 3. มีการจัดทำ Flow การส่งต่อ 154


หลังจากนั้นพบปัญหา โควิดด่านปิด ไม่มีการส่งต่อผู้ป่วย ในปี 64 • เจ้าหน้าที่ที่อยู่ ทีม ประสานงาน ระดับหัวหน้างาน ลาออก เกษียณ ย้าย ทำให้ระบบการทำงานขาด การดำเนินต่อ ปี 65 ในปี พ.ศ 66 พบ ปัญหา ผู้ป่วย Trauma ไป โรงพยาบาลตราด โดย ไม่ได้ ประสาน โรงพยาบาลบ่อไร่ โดยนำผู้ป่วยไป เอง โดย แพทย์ Neuro ศัลย์ ได้แจ้งว่าผู้ป่วย E1V2M4 ต้องใส่ ETT มีภาวะสมองบวม ให้ โรงพยาบาลบ่อไร่ ทบทวนระบบ Refer ชายแดน จากการตามเคสจาก โรงพยาบาลตราดพบ ผู้ป่วย จำหน่าย 16 กุมภาพันธ์ 2566 SCORE E4VT Jackson เป็นผู้ป่วยติดเตียง เกิดภาวะพิการ ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ขั้นตอน 1.สอบถามหน้างานว่ามีใครโทรประสานส่งต่อผู้ป่วย หรือ ไม่ 2.แจ้งหัวหน้าฝ่ายการพยาบาลรับทราบ 3.แจ้งสำนักงานสาธารณสุข อำเภอบ่อไร่รับทราบ และประชุมหารือ แนวทางที่ดำเนินการ 155


การประชุม ระดับอำเภอ และภาคส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ประชุมระดับหน่วยงาน หัวหน้าฝ่ายการ และท่านสาธารณสุขอำเภอ และผู้ช่วย 156


ได้รับการสนับสนุนและดูงานที่สำรูด โดยได้ความอนุเคราะห์จาก อำเภอ และพี่จิตอาสา ที่ลาออกไปเป็นผู้นำทีม 157


วันที่ 8 ก.พ.66 ดูงาน รพ คลองใหญ่ ชอ่งทางการสอื่สารใหมร่ะหวา่งโรงพยาบาลบอ่ ไร-่ ส ารดู 158


ปรับ Flow การประสานงาน 159


ผลลัพธ์ หลังจากมีการปรับ Flow Walk In ยังไม่พบปัญหาระบบการส่งต่อโดยไม่แจ้งประสานงานหรือผู้ป่วยทรุด ลงจากการไปเอง แผนพัฒนา 1.นำเสนอแนวทางปฏิบัติงานเข้าทบทวนในทีมผู้เกี่ยวข้องทุกปีในระดับอำเภอ เนื่องจากการ ปรับเปลี่ยนบุคลากร อาจเกิดความคลาดเคลื่อนในการสื่อสารได้และทันที่เมื่อพบปัญหา 2.ร่วมพัฒนาทักษะการคัดกรองผู้ป่วยในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เข้าใจหลักการและใช้เกณฑ์การ คัดกรองเดียวกันทุกปี แนวทางการปฏิบัติงานหลังปรับใหม่ 160


การศึกษาประสิทธิผลของครีมบัวบกอภัยภูเบศรที่มีต่อการหายของแผลที่เท้าในผู้ป่วยเบาหวาน แผนก ศัลยกรรมโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ปาณิกา พรมภักดิ์, ชนิตา กิตติวีราพัชร์, สุภาภรณ์ วงษ์นิกร, ชนิกา พุ่มพวง, อาสาฬา เชาวน์เจริญ บทคัดย่อ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบคะแนนในการหายของแผลของกลุ่มทดลองและกลุ่ม ควบคุมหลังการบ าบัดใน 4 สัปดาห์โดยใช้รูปแบบการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) ท าการ เก็บรวบรวมข้อมูลหลังการทดลองทั้ง 2 กลุ่ม (Two group post –test design) กลุ่มตัวอย่างเป็น ผู้ป่วยที่มีแผล เบาหวานที่เท้าที่เข้ารับการรักษาที่หอผู้ป่วยศัลยกรรมชายและหญิง โดยการคัดเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จ านวน 60 ราย แบ่งเป็นกลุ่มทดลองจ านวน 30 รายและกลุ่มควบคุมจ านวน 30 ราย เครื่องมือที่ใช้ใน การวิจัย ได้แก่ ครีมสุมนไพรบัวบก เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลลักษณะส่วน บุคคลของผู้ป่วย และแบบบันทึกค่าเฉลี่ยคะแนนการหายของแผล (BWAT Score) โดยแบบสอบถามผ่านการตรวจ ความตรงของเนื้อหาและความเที่ยงของแบบสอบถามโดยผู้ทรงคุณวุฒิจ านวน 3 ท่าน ได้ค่าความตรงของเนื้อหา และความเที่ยงเท่ากับ 0.91 โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติวิเคราะห์ Independent t-test ผลการวิจัยพบว่า 1. ค่าเฉลี่ยคะแนน BWAT scores ระหว่างกลุ่มทดลองที่ได้รับการท าแผลด้วยครีมสมุนไพรบัวบกอภัย ภูเบศรน้อยกว่าผู้ป่วยกลุ่มควบคุมที่ได้รับการท าแผลตามปกติในสัปดาห์ที่ 3 อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .001 2. ค่าเฉลี่ยคะแนน BWAT scores ระหว่างผู้ป่วยกลุ่มทดลองที่ได้รับการท าแผลด้วยครีมสมุนไพรบัวบก อภัยภูเบศรน้อยกว่าผู้ป่วยกลุ่มควบคุมที่ได้รับการท าแผลตามปกติในสัปดาห์ที่ 4 อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .001 แสดงให้เห็นว่า การท าแผลด้วยครีมสมุนไพรบัวบกมีผลช่วยส่งเสริมให้แผลหายเร็วขึ้นเนื่องจากเพิ่มการ สังเคราะห์ collagen และสร้าง granulation tissue เกิดเยื่อบุใหม่ (re - epithelialization) เพิ่มการหดตัวของ แผล (tensile strength) และไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน จึงสมควรส่งเสริมให้มีการดูแลบาดแผลเรื้อรังด้วยสมุนไพรไทย ค าส าคัญ ครีมสมุนไพรบัวบกอภัยภูเบศร,การหายของแผล,ผู้ป่วยเบาหวาน 161


1 ชื่อเรื่องวิจัย การศึกษาประสิทธิผลของครีมบัวบกอภัยภูเบศรที่มีต่อการหายของแผลที่เท้าในผู้ป่วยเบาหวาน แผนกศัลยกรรมโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ผู้น ำเสนอ พว.ปาณิกา พรมภักดิ์ หน่วยงานศัลยกรรม ผู้รับผิดชอบ 1. พว.ปาณิกา พรมภักดิ์ 2.พว.ชนิตา กิตติวีราพัชร์ 3. พว.สุภาภรณ์ วงษ์นิกร 4. พญ.ชนิกา พุ่มพวง 5. ภญ.อาสาฬา เชาวน์เจริญ ควำมเป็นมำและควำมส ำคัญของปัญหำ โรคเท้าเบาหวาน (Diabetic foot) เป็นกลุ่มอาการของเท้าซึ่งเกิดจากปลายประสาทเสื่อม เส้นเลือด ส่วนปลายตีบตันและ/หรือการติดเชื้อ ก่อให้เกิดแผลและน าไปสู่การสูญเสียการท างานหรือการถูกตัดขาได้ (ณัฐพงศ์,2556) จากข้อมูลในประเทศสหรัฐอมริกาผู้ป่วยเท้าเบาหวานที่รักษาโรงพยาบาลพบว่าประมาณร้อย ละ 15 - 20 มีภาวะแทรกซ้อนคือการติดเชื้อของแผลเท้าเบาหวาน (R. G. Frykberg,2002) ผู้ป่วยที่มีแผลเท้า เบาหวานร้อยละ 66 เป็นสาเหตุของการถูกตัดขาถึงร้อยละ 0.5 ต่อปีของผู้ป่วยเบาหวาน (Yuan-Sang et al, 2012) ส าหรับประเทศไทยพบความชุกของการเกิดแผลเท้าเบาหวานประมาณร้อย 20 และเป็นสาเหตุของการ ตัดขาร้อยละ 70 ความชุกของการตัดเท้าหรือขาประมาณร้อยละ 32 โดยอัตราการตายหลังการตัดขาหรือเท้า ใน 5 ปีประมาณร้อยละ 50 (สถาบันวิจัยและประเมินเทคโนโลยีทางการแพทย์,2558) การรักษาแผลเท้า เบาหวานที่ติดเชื้อเป็นมาตรฐานในปัจจุบัน คือ การักษาด้วยวิธีการผ่าตัด การรักษาด้วยยาต้านจุลชีพ เช่น เบตาดีน หรือท าแผลด้วยวัสดุทางการแพทย์เฉพาะทาง (Fox Clet al,1990) เช่น Foams, hydrocolloids เป็นต้น การทบทวนวรรณกรรมที่ผ่านมาในต่างประเทศได้น าสมุนไพรที่มีส่วนประกอบของใบบัวบก (WH -1 cream) ส าหรับรักษาแผลเท้าเบาหวานที่มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับวัสดุทางการแพทย์จาก ต่างประเทศและนอกจากนี้มีความปลอดภัยมากกว่า (Yuan-Sang,2012() ใบบัวบก (Centella asiatica (L.) Urb.) สามารถลดปริมาณการสร้างสารที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ และยังมีฤทธิ์ช่วยสมานแผลโดยการกระตุ้น การสังเคราะห์คอลลาเจน ท าให้แผลหายเร็วและแผลเป็นมีขนาดเล็กลง จากการทบทวนวรรณกรรมที่ผ่านมา ของประเทศไทยจากการศึกษาของวีรยะ เภาเจริญ(Paocharoen V,2010) เรื่องการศึกษาประสิทธิผลของสาร สกัดบัวบกในรูปแบบรับประทานเพื่อสมานแผลที่เกิดจากเบาหวาน และผลข้างเคียงยาแคปซูลสารสกัดบัวบก (อาสารสมัคร 200 ราย) พบว่า การหดรัดตัวของแผลในกลุ่มที่ได้รับสารสกัดบัวบกดีกว่ากลุ่มที่ได้รับยาหลอก จากการศึกษาย้อนหลังของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ระหว่างปี พ.ศ.2560 - 2565 พบว่าร้อยละ 32 ของผู้ป่วยเบาหวานมีสาเหตุส าคัญที่ท าให้ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลบ่อยครั้งคือการมีแผลที่เท้าซึ่งผล จากการมีแผลที่เท้าท าให้ผู้ป่วยปวดแผล แผลอักเสบติดเชื้อจนถูกตัดเท้าร้อยละ 50 (สถิติการผ่าตัดแผนก ศัลยกรรมโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร;2565)ซึ่งโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรมีการคิดค้นวิธีการ สกัดและพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรที่มีมาตรฐานร่วมกับการรักษาแผนปัจจุบันมานานและมีวิสัยทัศน์ที่ ชัดเจน คือ โรงพยาบาลศูนย์เชี่ยวชาญระดับสูง ด้วยการแพทย์วิถีใหม่เป็นที่พึงของประชาชน การแพทย์แผน ไทยและสมุนไพรนานาชาติ ผู้วิจัยในฐานะพยาบาลเฉพาะทางด้านบาดแผล ออสโตมีและควบคุมการขับถ่าย ไม่ได้ ( ET- nurse) โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรจึงให้ความส าคัญกับปัญหานี้จึงน าสมุนไพรครีมบัวบก อภัยภูเบศรมาประยุกต์ใช้กับจัดการกับบาดแผลเท้าเบาหวานในแผนกศัลยกรรม วัตถุประสงค์เพื่อประสิทธิผลของครีมสมุนไพรบัวบกอภัยภูเบศรที่มีต่อการหายของแผลที่เท้าในผู้ป่วย เบาหวาน ระเบียบวิธีกำรวิจัยวิธีการด าเนินวิจัยการศึกษาครั้งนี้เป็นศึกษาวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi –experimental research) ท าการเก็บรวบรวมข้อมูลหลังการทดลอง 2 กลุ่ม (Two group pre - test and post –test design) 162


2 ขอบเขตของกำรวิจัย กลุ่มประชำกร โดยการคัดเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ที่มารักษาในแผนกศัลยกรรมทั้งชายและหญิง โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ผู้วิจัยก าหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้โปรแกรมส าเร็จรูป G-power version 3.1.5 ผลงานวิจัยกึ่งทดลองของงานวิจัยที่ผ่านมา (23) โดยก าหนดค่าอ านาจทดสอบที่ 0.90 ก าหนดค่าความคลาดเลื่อนที่ 0.05 ก าหนดค่าอิทธิพลที่ 1.42 ได้ขนาดของกลุ่มตัวอย่างเท่ากับ 24 ราย ผู้วิจัย ได้เพิ่มขนาดตัวอย่างอีกร้อยละ20 เพื่อป้องกันการสูญหายของข้อมูลระหว่างวิจัยดังนั้นกลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ได้กลุ่มละ 30 ราย โดยแบ่งเป็นกลุ่มควบคุม 30 คน กลุ่มทดลอง 30 คน ระยะเวลาด าเนินการตั่งแต่เดือน เมษายน – สิงหาคม 2566เกณฑ์การเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจงตามคุณสมบัติ เกณฑ์การคัดเข้า (Inclusion criteria)และเกณฑ์การคัดออก ( Exclusion criteria) กำรตรวจสอบคุณภำพเครื่องมือ การตรวจความตรงของเนื้อหา ( Content Validity) ของแบบสัมภาษณ์ โดยผู้ทรงคุณวุฒิจ านวน 3 ท่านในด้านการแพทย์แผนไทย การพยาบาลเฉพาะด้านบาดแผล และการวิจัย ตรวจสอบความถูกต้อง เหมาะสมของภาษา ความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ และครอบคลุมของเนื้อหา จากนั้นน าผลการพิจารณาของ ผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 3 ท่าน มาหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of ltem Objective Congruence : IOC) ได้ ค่าความเที่ยงตรงตามเนื้อหา ( Content Validity) = 0.91( p = 0.5) มีความสอดคล้อง (Concurrent Validity) = 0.91( p = 0.001) ซึ่งงานวิจัยนี้ข้อค าถามทุกข้อมีค่า IOC มากกว่าหรือเท่ากับ 0.5 แสดงว่า ข้อความนั้นใช้ได้ จึงไม่มีข้อค าถามที่ต้องปรับปรุงแก้ไข ค่าความเชื่อมั่น (Reliability) โดยน าแบบบันทึกข้อมูล ที่ผ่านการการตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิแล้วไปทดลองใช้ (Try Out) กับผู้ป่วยแผลเบาหวานที่เท้าที่มีลักษณะ คล้ายคลึงกับกลุ่มตัวอย่าง จ านวน 10 คน แล้วหาค่าความเชื่อมั่นของแบบบันทึกข้อมูลได้ค่าสัมประสิทธิ์ สหสัมพันธ์ของการวัดซ้ า ( Test – Retest Reliability) เท่ากับ 0.91 จึงน าแบบบันทึกข้อมูลไปใช้เก็บข้อมูล กำรวิเครำะห์ข้อมูล หลังจากการเก็บข้อมูลแล้วน าข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และประเมินผลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ส าเร็จรูป 1.วิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคล ใช้สถิติเชิงพรรณา (Descriptive statistic ) ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2.วิเคราะห์เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนน BWAT scores ระหว่างผู้ป่วยกลุ่มควบคุมที่ได้รับการท าแผล ตามปกติ และผู้ป่วยกลุ่มทดลองที่ได้รับการท าแผลด้วยครีมสมุนไพรบัวบกอภัยภูเบศร โดยใช้สถิติอนุมาน (Inferential statistic) ได่แก่ Independent t – test ผลกำรศึกษำ 1. ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง การวิจัยครั้งนี้พบว่า ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุมไม่ แตกต่างกัน โดยทั้ง 2 กลุ่ม 2. วิเคราะห์เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนน BWAT scores ระหว่างผู้ป่วยกลุ่มควบคุมที่ได้รับการท าแผล ตามปกติ และผู้ป่วยกลุ่มทดลองที่ได้รับการท าแผลด้วยครีมสมุนไพรบัวบกอภัยภูเบศร ในสัปดาห์ที่ 3 และ 4 และผู้ป่วยกลุ่มทดลองที่ได้รับการท าแผลด้วยครีมสมุนไพรบัวบกอภัยภูเบศรแตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทาง สถิติที่ p ‹ .05 สรุปและอภิปรำยกำรวิจัย จากการวิจัยพบว่าการท าแผลด้วยสมุนไพรที่มีสารสกัดจากบัวบกจะช่วยลดอันตรายจากการติดเชื้อ ส่งเสริมให้แผลหายเร็ว (Tayloret al., 2008 ) จึงท าให้การหายของแผลผ่านการประเมินด้วย BWAT Scores ที่แตกต่างกันในสัปดาห์ที่ 3 และ 4 แตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งสอดคล้องกับ 163


3 การศึกษาของ วีรยะ เภาเจริญ (2555) ได้ศึกษาผลทางคลีนิกของสารสกัดจากบัวบกในผู้ป่วยเบาหวานที่มีแผล ที่เท้า เป็นการศึกษาแบบสุ่มไปข้างหน้าโดยผู้ป่วย 200 คน ที่ได้รับการรักษาในภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะ แพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พบว่ามีการหายของแผลที่เร็วขึ้นในกลุ่มที่ได้รับสารสกัดจากบัวบก และ มีการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อที่แผล ผิดปกติน้อยลงในกลุ่มที่ได้รับสารสกัดจากบัวบกอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ แสดงให้เห็นว่าการใช้นวตกรรม และเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ และ ให้บริการพยาบาลเฉพาะทางแบบวิถี ใหม่อย่างมีประสิทธิภาพจากการดูแล การใช้สมุนไพรบัวบก จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการให้บริการสุขภาพ และครอบคลุมวิสัยทัศน์ของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จังหวัดปราจีนบุรี คือ โรงพยาบาลศูนย์ เชี่ยวชาญระดับสูง ด้วยการแพทย์วิถีใหม่เป็นที่พึงของประชาชน การแพทย์แผนไทยและสมุนไพรนานาชาติ ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะในการศึกษาครั้งต่อไป 1. การศึกษาครั้งนี้จ านวนกลุ่มตัวอย่าง ค่อนข้างน้อย เนื่องจากระยะเวลาในการเก็บข้อมูล มีจ ากัด ดังนั้นในการศึกษาครั้งต่อไป ควรเพิ่มระยะ เวลาและจ านวนกลุ่มตัวอย่างให้มากขึ้น 2. ควรมีการศึกษาและติดตามประเมินผล ระยะยาว 3 ควรมีการศึกษาในกลุ่มผู้ป่วยที่มีแผลเรื้อรังชนิดอื่น ประโยชน์ที่คำดว่ำจะได้รับ 1.เป็นองค์ความรู้ของการวิจัยต่อยอดทางคลินิก ในการพัฒนายา/ผลิตภัณฑ์สมุนไพรหรือสารจาก ธรรมชาติ อันเป็นทรัพยากรอันมีค่าของประเทศ ส าหรับน ามาใช้เพื่อรักษาหรือร่วมรักษา เพื่อเพิ่มประสิทธิผล การรักษาและ/หรือลดอาการไม่พึงประสงค์จากวิธีการรักษาทางการแพทย์ 2. ลดค่าใช้จ่ายส าหรับการดูแลแผลเท้าเบาหวาน 3. ลดภาวะเสี่ยงในถูกตัดขาของผู้ป่วยแผลเท้าเบาหวาน บรรณำนุกรม 1.สถาบันวิจัยและประเมินเทคโนโลยีทางการแพทย์ กรมการแพทย์.แนวทางเวชปฏิบัติการป้องกันและดูแล รักษาผู้ป่วยเบาหวานที่ภาวะแทรกซ้อนที่เท้า.พิมพ์ครั้งที่ 4.กรุงเทพ: นิวธรรมดาการพิมพ์ (ประเทศไทย) ; 2558. 2. สถิติการผ่าตัดแผนกศัลยกรรมโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร;2565. 3. Best practice guideline: wound mamagement in diabetic foot ulcers.Wound international,2013.Available from http://www.woundsintenternational.com 4.Frykberg. Diabetic Foot Ulcers: Pathogenesis and Management. American Family Physician.2002 ; 9:1657-1662 5. Paocharoen V. The efficacy and side effects of oral Centella asiatica extract for wound healing promotion in diabetic wound patients.J Med Assoc Thai Vol.93 Suppl.7 2010. Tayloret al., 2008 6.Yuan-Sang Kuo,Hsiung-Fei Chien and Willian Lu. Plectranthus amboinicus and Centella asiatica Cream for the Treatment of Diabetic Foot Ulcers: A randomized controlled. Hindawi Publishing Corporation Evidence – Based Complementary and Alternative Medicine, Article ID 418679 Doi: 10.1155/2012/418679. 164


ชื่อเรื่อง แผ่นแปะเสริมใยรัก แก้ไขหัวนมสั้นในมารดาหลังคลอด ชื่อผู้วิจัย นางสาวนงลักษณ์ มาวัชระ กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยสูติ-นรีเวช โรงพยาบาลบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ชื่อผู้น าเสนอผลงาน นางสาวนงลักษณ์ มาวัชระ บทคัดย่อ การเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาเป็นเรื่องที่ทั่วโลกและประเทศไทยให้ความส าคัญเป็นอย่างมาก ในประเทศ ไทยใช้การประเมิน LATCH score เพื่อประเมินการให้นมบุตรด้วยการเข้าเต้า มีส่วนประกอบ 5 ประการ ได้แก่ การอมหัวนมมารดา การดูดกลืนที่ถูกวิธี ลักษณะของหัวนมมารดา ความนุ่มสบายของเต้านมมารดา และท่าอุ้ม ทารก ซึ่งมารดาหลังคลอดที่หัวนมสั้นจะมีปัญหาในการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา ด้านการที่ลูกดูดนมไม่ได้หรือ ดูดไม่ได้ดีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความส าเร็จในการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาในรายที่มีภาวะหัวนมสั้น เพื่อให้ บุคลากรในหน่วยงานปฏิบัติตามแนวทางการแก้ไขหัวนมสั้นในมารดาหลังคลอด โดยใช้แผ่นแปะเสริมใยรักเป็น มาตรฐานเดียวกันและเพื่อศึกษาความพึงพอใจในภาพรวมของมารดาหลังคลอดในการใช้แผ่นแปะเสริมใยรัก กลุ่มมารดาที่ได้รับบริการนวัตกรรมนี้คือ มารดาหลังคลอดที่มีความยาวของหัวนมน้อยกว่า 0.7 เซนติเมตร ที่ คลอดในโรงพยาบาลบางพลีทุกคนตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 ถึงปัจจุบันร้อยละ 100 พยาบาลวิชาชีพจะ ประเมินลักษณะของหัวนมมารดาตั้งแต่แรกรับย้ายมาที่หอผู้ป่วย นวัตกรรม คือ การจัดท าแผ่นแปะเสริมใยรัก พร้อมแนะน าการใช้ Syringe pull เครื่องมือส าหรับแบบประเมิน คือ LATCH score และวิเคราะห์ข้อมูลด้วย สถิติร้อยละ วิธีการศึกษา ใช้กระบวนการ PDCA ครั้งที่ 1 ใช้ syringe pull เพียงอย่างเดียวในการดึงหัวนมของ มารดาหลังคลอดที่หัวนมสั้น พบปัญหาว่ามารดาเหนื่อยและเครียดในการปฏิบัติท าให้ไม่ประสบความส าเร็จใน การน าบุตรเช้าเต้า ครั้งที่ 2 ใช้แผ่นแปะเสริมใยรัก พร้อม syringe pull พบว่ามารดามีหัวนมยื่นออกมากขึ้น และคงสภาพได้นาน ผลการศึกษา พบว่า อัตราความส าเร็จในการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาในรายที่มีภาวะหัวนมสั้นก่อน ด าเนินการ หลังด าเนินการครั้งที่1 และหลังด าเนินการครั้งที่ 2 เท่ากับ ร้อยละ 20.00, 52.75, 75.45 ตามล าดับ และอัตราความพึงพอใจในภาพรวมของมารดาหลังคลอดในการใช้แผ่นแปะเสริมใยรัก ก่อน ด าเนินการ หลังด าเนินการครั้งที่1 และหลังด าเนินการครั้งที่ 2 เท่ากับ ร้อยละ 40.50, 52.25, 87.52 ตามล าดับ สรุปและข้อเสนอแนะ นวัตกรรมนี้ช่วยให้มารดาหลังคลอดที่มีหัวนมสั้น ประสบความส าเร็จในการ เลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา ดังนั้นสถานบริการสาธารณสุขอื่นๆที่ให้บริการคลอด และดูแลมารดาหลังคลอด สามารถน านวัตกรรมนี้ไปใช้ได้ท าให้ทารกอมและดูดนมมารดาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเพื่อเป็นการ ช่วยส่งเสริมความส าเร็จในการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา 165


ชื่อเรื่อง แผ่นแปะเสริมใยรัก แก้ไขหัวนมสั้นในมารดาหลังคลอด ชื่อผู้วิจัย นางสาวนงลักษณ์ มาวัชระ กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยสูติ-นรีเวช โรงพยาบาลบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ชื่อผู้น าเสนอผลงาน นางสาวนงลักษณ์ มาวัชระ ความส าคัญของปัญหา การเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา เป็นการสร้างรากฐานที่ส าคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของทารก ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยเล็งเห็นความส าคัญนี้ นมมารดานับว่าเป็นอาหารที่มีคุณค่าอย่างสูงสุดแก่ทารกแรกเกิด ท า ให้ทารกแข็งแรงและเจริญเติบโตได้อย่างสมบูรณ์ การเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาจึงเป็นนโยบายที่กรมอนามัยให้ ความส าคัญเป็นอย่างมากและรณรงค์เรื่องการให้นมมารดาเพียงอย่างเดียว เป็นเวลา 6 เดือน ซึ่งข้อส าคัญของ การให้นมมารดา กรมอนามัยแนะน าให้ 4 ดูด ได้แก่ ดูดเร็ว ดูดบ่อย ดูดถูกวิธี ดูดเกลี้ยงเต้า (กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, 2557) โดยการที่มารดาจะน าบุตรเข้าเต้าได้ดีนั้น ใช้การประเมินด้วย LATCH score มี 5 ประการ ได้แก่ การอมหัวนมของทารก การดูดกลืนที่ถูกวิธี ลักษณะของหัวนมมารดา ความนุ่มสบายของ เต้านมมารดา และท่าอุ้มทารก (ภาวิน พัวพรพงษ์, 2558) หนึ่งข้อในการประเมินนี้คือ ลักษณะของหัวนม (Type of nipple) ซึ่งจะพบว่ามารดาที่มีภาวะหัวนมสั้น โดยมีความยาวของหัวนมน้อยกว่า 0.7 เซนติเมตร (ปิยรัตน์ จีนาพันธุ์และคณะ, 2561) จะมีปัญหาในการให้นมบุตรและไม่ประสบความส าเร็จในการเลี้ยงบุตร ด้วยนมมารดา กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยสูติ- นรีเวช โรงพยาบาลบางพลีจึงเล็งเห็นความส าคัญของนโยบายที่กรม อนามัยได้ก าหนดไว้ และน ามาเป็นแนวทางปฏิบัติในการส่งเสริมการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาในหน่วยงาน จึง ท าการเก็บข้อมูลในปี 2564 - 2565 พบมารดามาคลอดเฉลี่ย 250 คน/เดือน มีมารดาหลังคลอดที่มีปัญหาเรื่อง การเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา เนื่องจากทางหน่วยงานมีการประเมินหัวนมและลานนมของมารดา โดยใช้แบบ ประเมินประสิทธิภาพการให้นมบุตร ระหว่างเดือน ตุลาคม 2564 - กันยายน 2565 พบว่า มีมารดาที่มีภาวะ หัวนมสั้นร้อยละ 10 - 15 ต่อเดือน และมีปัญหาในการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา เนื่องจากลูกอม/ดูดนมไม่ได้ หรือดูดได้ไม่ดี ท าให้มารดามีภาวะหัวนมแตก เต้านมคัดตึงตามมา บางรายถึงขั้นไปใช้นมผสมแทนการให้นมแม่ การแก้ไขมารดาที่มีหัวนมสั้น มีผู้คิดหาแนวทางแก้ไขไว้หลายวิธี เช่น การใช้ Syringe pull ดึงหัวนมหรือใช้ nipple puller หรือ Nipple Shield ครอบหัวนม เป็นต้น จากการทบทวนพบว่า แนวทางแก้ไขปัญหา ดังกล่าว มารดาต้องอาศัยความอดทนและความพยายามสูง บางครั้งท าให้มารดาเหนื่อยและเครียดต่อการ ปฏิบัติ ลักษณะหัวนมคงรูปได้ไม่นาน และยังพบว่าผลส าเร็จไม่เป็นไปตามเป้าหมาย กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยสูติ-นรีเวช จึงได้พัฒนางานประจ า โดยการคิดค้นนวัตกรรม “แผ่นแปะ เสริมใยรัก แก้ไขหัวนมสั้นในมารดาหลังคลอด” นี้ขึ้น เพื่อเป็นการช่วยส่งเสริมความส าเร็จในการเลี้ยงบุตรด้วย นมมารดา ท าให้ทารกดูดนมมารดาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นการน านโยบายระดับชาติมาสู่การปฏิบัติใน โรงพยาบาลได้อย่างยั่งยืน วัตถุประสงค์ 1. เพื่อพัฒนาแนวทางการแก้ไขหัวนมสั้นในมารดาหลังคลอด และให้บุคลากรในหน่วยงานปฏิบัติตาม แนวทางการแก้ไขหัวนมสั้นในมารดาหลังคลอดโดยใช้แผ่นแปะเสริมใยรักเป็นมาตรฐานเดียวกัน 2. เพื่อส่งเสริมความส าเร็จในการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาในรายที่มีภาวะหัวนมสั้น 3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจในภาพรวมของมารดาหลังคลอดในการใช้แผ่นแปะเสริมใยรัก วิธีการศึกษา (Process) ใช้กระบวนการ PDCA การทบทวนกิจกรรมระยะที่ 1 (ตุลาคม 2564 – ธันวาคม 2564) 166


Plan สืบค้นและรวบรวมข้อมูลมารดาหลังคลอดที่หัวนมสั้น ค้นคว้าแนวคิด ทฤษฎีจากต ารา เอกสาร และ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาจัดตั้ง Miss นมแม่ กลุ่มท างาน ก าหนดวัตถุประสงค์ ตัวชี้วัด ที่เกี่ยวข้อง มอบหมายงาน วางแผนงาน ทบทวนความรู้เกี่ยวกับนมแม่และสร้างแนวปฏิบัติ Do น าข้อมูลมารดาหลังคลอดที่มีหัวนมสั้นในปี 2564 จ านวน 30 ราย มาวิเคราะห์ค้นหาปัญหาและสาเหตุ (Root Cause Analysis) ของการให้นมมารดาไม่ส าเร็จและน าเสนอแนวทางการแก้ไขหัวนมสั้น โดยใช้ Syringe pull ดึงหัวนมข้างละ 10 นาทีเช้า - เย็น ตามที่มีผู้เชี่ยวชาญได้เสนอแนวทางแก้ไขไว้ ติดตาม ความสามารถในการให้นมบุตร เก็บสถิติตามตัวชี้วัดที่ก าหนดเป็นรายเดือน Check ติดตามการใช้ Syringe pull ดึงหัวนมของมารดาหลังคลอดที่หัวนมสั้น ติดตามสถิติตามตัวชี้วัดที่ ก าหนด สรุปผลการด าเนินงานและสถิติตามตัวชี้วัดที่ก าหนดเป็นรายเดือน น าเสนอต่อทีมท างาน Act ทีมท างานร่วมวิเคราะห์ความส าเร็จของกิจกรรมที่ท าในระยะที่ 1 น าปัญหาที่พบไปท า PDCA ต่อไป ผลการทบทวนครั้งที่ 1 จากการสังเกตและซักถามพบปัญหา คือ มารดาหลังคลอดที่มีหัวนมสั้น รู้สึกเหนื่อยและเครียดในการ ปฏิบัติท าให้บุตรดูดนมมารดาไม่ได้ บุตรจะเกิดความหงุดหงิดร าคาญร้องกวน ส่วนตัวมารดาเองจะเจ็บหัวนม หัวนมแตก มีอาการคัดตึงเต้านม บางรายเกิดการอักเสบของเต้านม ท าให้มารดาต้องไปเลี้ยงบุตรด้วยนมผสม การทบทวนกิจกรรมระยะที่ 2 (มกราคม – กันยายน 2565) Plan รวบรวมข้อมูลมารดาที่มีหัวนมสั้น ช่วงเดือน มกราคม – มีนาคม 2565 ค้นคว้างานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพิ่มเติม ก าหนดวัตถุประสงค์ และตัวชี้วัดเพิ่ม มอบหมายงาน วางแผนงาน และสื่อสารข้อมูลเรื่องมารดาหลัง คลอดที่มีหัวนมสั้น Do น าข้อมูลของมารดาหลังคลอดที่มีหัวนมสั้น จ านวน 10 ราย (มกราคม – มีนาคม 2565) มาวิเคราะห์ปัญหา และสาเหตุ (Root Cause Analysis) และ เมษายน - กันยายน 2565 ปรับแนวทางการแก้ไขหัวนมสั้น โดยใช้ แผ่นแปะเสริมใยรักและเก็บสถิติตามตัวชี้วัดที่ก าหนดเป็นรายเดือน Check เมษายน - กันยายน 2565 ติดตามการใช้แผ่นแปะเสริมใยรัก แก้ไขหัวนมสั้นในมารดาหลังคลอด ติดตามสถิติตามตัวชี้วัดที่ก าหนด สรุปผลการด าเนินงานและสถิติตามตัวชี้วัดที่ก าหนดเป็นรายเดือน Act ทีมท างานร่วมวิเคราะห์ความส าเร็จของกิจกรรมที่ท า พร้อมทั้งน าเสนอผลงาน ผลการทบทวนครั้งที่ 2 พบว่ามารดาที่มีภาวะหัวนมสั้น เมื่อใช้แผ่นแปะเสริมใยรัก มีหัวนมยื่นยาวออกมากขึ้น และคงสภาพได้ นานขึ้น ทารกสามารถอมหัวนมมารดาได้ สามารถเลี้ยงดูบุตรด้วยนมมารดาได้ส าเร็จมากขึ้น และมารดาที่ใช้ นวัตกรรมนี้เกิดความพึงพอใจในระดับมากที่สุด ผลการศึกษา มีแนวทางการแก้ไขหัวนมสั้นในมารดาหลังคลอดที่ชัดเจนมากขึ้นและบุคลากรในหน่วยงาน ปฏิบัติตามแนวทางการแก้ไขหัวนมสั้นในมารดาหลังคลอดโดยใช้แผ่นแปะเสริมใยรักเป็นมาตรฐานเดียวกัน ตัวชี้วัด ก่อน ด าเนินการ หลังด าเนินการ ครั้งที่1 หลังด าเนินการ ครั้งที่ 2 อัตราความส าเร็จในการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา ในรายที่มีภาวะหัวนมสั้น 20.00 52.75 75.45 อัตราความพึงพอใจในภาพรวมของมารดาหลัง คลอดในการใช้แผ่นแปะเสริมใยรัก 40.50 52.25 87.52 167


อภิปรายผลการศึกษา ในขั้นตอนกิจกรรมระยะที่ 1 (ตุลาคม 2564 – ธันวาคม 2564) ทีมท างานใช้Nipple pull ดึงหัวนม ตามที่มีผู้เชี่ยวชาญเสนอแนวทางไว้เพียงอย่างเดียว แต่ยังไม่สามารถแก้ไขหัวนมสั้นได้ ทารกยังไม่สามารถอม หัวนมมารดาได้ มารดายังมีภาวะหัวนมแตก เต้านมคัดตึง และยังไม่เป็นผลส าเร็จในการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา ภาพที่ 1 แสดงมารดาที่มีภาวะหัวนมสั้น ภาพที่ 2 แสดงการใช้ Nipple pull เพียงอย่างเดียว ในขั้นตอนกิจกรรมระยะที่ 2 (มกราคม – กันยายน 2565) คิดค้นนวัตกรรม “แผ่นแปะเสริมใยรัก” มา ใช้พบว่า ทารกสามารถอมหัวนมและดูดนมมารดาได้ความส าเร็จในการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาในรายที่มี ภาวะหัวนมสั้นมากขึ้น และมารดาหลังคลอดมีความพึงพอใจในภาพรวมของการใช้แผ่นแปะเสริมใยรักอยู่ในระดับมาก ที่สุด ภาพที่ 3 แสดงอุปกรณ์ส าหรับ“แผ่นแปะเสริมใยรัก” ภาพที่ 4มารดาที่มีหัวนมสั้นและใช้“แผ่นแปะเสริมใยรัก” สรุปและข้อเสนอแนะ นวัตกรรมนี้ช่วยให้มารดาหลังคลอดที่มีหัวนมสั้น ประสบความส าเร็จในการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา สามารถน าไปขยายต่อได้ การน าผลงานไปใช้ประโยชน์ สถานบริการสาธารณสุขอื่นๆที่ให้บริการคลอดและส่งเสริมการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา สามารถน า นวัตกรรมนี้ไปใช้เพื่อลดจ านวนมารดาที่ไม่สามารถเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาได้ ท าให้เกิดความภูมิใจต่อมารดา ต่อ บุคลากร เกิดผลส าเร็จในการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาส่งผลดีทางอ้อมต่อองค์กร ในระดับอ าเภอ จังหวัดและระดับประเทศ อ้างอิง กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. (2557). วิธีดูดนมแม่ให้ “น้ านม” มามาก. เข้าถึงจาก https://mgronline.com/qol/detail/9570000091667 ปิยรัตน์ จีนาพันธุ์, อัจฉรา มีนาสันติรักษ์, จตุพร เพิ่มพรสกุล และ ลมัย แสงเพ็ง. (2561). ผลของนวัตกรรม การสร้างหัวนมต่อความส าเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในมารดาหลังคลอดที่มีหัวนมสั้น. เข้าถึงจาก https://he01.tci.thaijo.org/index.php/JRTAN/article/download/161601/116541/447435 ภาวิน พัวพรพงษ์. (2558). การประเมินการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่. เข้าถึงจาก http://med.swu.ac.th/research/images/Journal/21-1-4-56/1.pdf 168


ผลงานประเภท นวัตกรรม (Oral presentation) 1. ชื่อนวัตกรรม: ภาษาไทย : การพัฒนาระบบการจองเตียงไอซียูโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว ภาษาอังกฤษ : Application Sakaeo Crown Prince Hospital ICU booking Center 2. เจ้าของความคิด นางสาวสายชล บุญรักษ์ เบอร์โทรศัพท์094-2429650 นางสาวจันทร์วดี จันทร เบอร์โทรศัพท์ 095-5569072 หน่วยงาน : กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยหนัก โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว 3. เจ้าของนวัตกรรม นางสาวสายชล บุญรักษ์ นางสาวจันทร์วดี จันทร กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยหนัก โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว 4. ความเป็นนวัตกรรม: เป็นการประยุกต์ใช้โปรแกรม Google sheet เพื่อเก็บข้อมูลความต้องการเตียง ICU ของหน่วยงาน ต่างๆ ในโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว 5. เทคโนโลยีที่ใช้: Google sheet 6. รูปแบบของนวัตกรรม: แอพพลิเคชั่น ศูนย์จองเตียง ICU โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว 7. ระดับของนวัตกรรม: องค์กร:โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว 8. หมวดหรือหัวข้อ นโยบายที่เกี่ยวข้อง: TQA / PMQA / HA /MAGNET 9.รายละเอียดความคิดหรืองานนวัตกรรม: แอพพลิเคชั่น ศูนย์จองเตียง ICU โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว ประกอบด้วยองค์ประกอบ ดังนี้ 9.1 ข้อมูลทั่วไปของผู้รับจองและการติดต่อกลับในแต่ละเดือน 9.2 แถบสถานะ การจองเตียงภาพรวม ณ ปัจจุบัน 9.3 ส่วนของตึกต้นทาง ที่ต้องลงข้อมูลการจอง 9.4 ตางรางวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกที่ถูกซ่อนไว้ด้านข้างของตาราง 9.5 ตารางแสดงข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ที่จะถูกน าไปใช้ในการสรุปผลการด าเนินงานในแต่ละเดือน องค์ประกอบแอพพลิเคชั่น ศูนย์จองเตียง ICU โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว ส่วนที่ 1 ส่วนที่ 2 ส่วนที่ 3 169


10. ประโยชน์ใช้สอยของนวัตกรรม: 10.1 เพื่อให้ทราบข้อมูลการเข้าถึงไอซียูในโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว ได้แก่ - เก็บข้อมูลจ านวนครั้งการจองเตียง ICU ในแต่ละเดือน - ค่าเฉลี่ยความต้องการเตียงในแต่ละวัน - จ านวนครั้งในการจองเตียง แยกตามกลุ่มงาน หอผู้ป่วย สาเหตุ ความเร่งด่วน และแพทย์ - จ านวนครั้งในการเข้าถึง ICU แยกตามกลุ่มงาน หอผู้ป่วย สาเหตุ ความเร่งด่วน และแพทย์ - จ านวนครั้งในการเข้าถึง ICU แต่ละ ICU และอัตราการหมุนเวียนเตียงแต่ละ ICU - จ านวนครั้งที่ไม่สามารถเข้าถึง ICU ได้ เหตุผล และอุบัติการณ์การเสียชีวิตจากกรณีที่ไม่สามารถเข้าถึง ICU ได้ - ระยะเวลารอคอยเตียง ICU ทั้งที่สามารถเข้าถึง ICU ได้และไม่สามารถเข้าถึง ICU ได้ 10.2 เพื่อน าข้อมูลดังกล่าวมาวิเคราะห์ผล และใช้เป็นแนวทางการพัฒนาระบบการเข้าถึงไอซียูให้มี ประสิทธิภาพ รวดเร็ว และสามารถเพิ่มโอกาสการมีชีวิตรอดของผู้ป่วยให้มากยิ่งขึ้น 11. ประโยชน์ต่อชุมชน: สามารถน าแอพพลิเคชั่นไปประยุกต์ปรับเปลี่ยนต่อยอดให้เหมาะสมกับชุมชนได้ ส่วนที่ 4 ส่วนที่ 5 170


12. ที่มาของนวัตกรรม: ในอดีตไม่มีการเก็บข้อมูลสถิติการเข้าถึงไอซียูอย่างเป็นระบบ เมื่อมีผู้ป่วยวิกฤต หรือผู้ป่วยที่มีความ ต้องการเตียงไอซียู โดยเริ่มจากแพทย์เจ้าของไข้จะเป็นผู้ประเมินและมีความประสงค์ต้องการเตียงไอซียู จากนั้นพยาบาลของหอผู้ป่วยนั้นๆจะท าการโทรประสานงานไปยังไอซียูต่างๆที่แพทย์ต้องการเพื่อสอบถาม เตียงว่าง และประสานงานย้ายผู้ป่วยเข้าไอซียู แต่ในกรณีที่เตียงไอซียูไม่ว่าง หรือว่างหลังจากการติดต่อ ประสานงานไปแล้ว มักพบปัญหาว่าในบางครั้งพยาบาลไม่ได้มีการติดต่อประสานงานกันต่อและมีความซ้ าซ้อน ในการติดต่อสอบถามหลายรอบ ท าให้ผู้ป่วยไม่ได้ย้ายเข้าไอซียู หรือเสียโอกาสได้เข้าไอซียูช้า ส่งผลให้มีผู้ป่วย วิกฤตที่คงค้างอยู่ที่ตึกสามัญจ านวนมาก เมื่อผู้ป่วยไม่สามารถเข้าถึงการดูแลรักษาพยาบาลที่มีประสิทธิภาพ อย่างทันท่วงทีได้นั้น ส่งผลให้อัตราการเสียชีวิตและทุพพลภาพเพิ่มสูงขึ้น ระยะเวลาในการนอนโรงพยาบาล เพิ่มขึ้น รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาพยาบาลผู้ป่วยมากขึ้นตามล าดับ ระบบการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับการเข้าถึงไอซียู ในอดีต มีเพียงการเก็บข้อมูลการสอบถามเตียงไม่ว่างจากหอ ผู้ป่วยต่างๆ และการโทรตามผู้ป่วยภายหลังเมื่อเตียงไอซียูว่างแล้ว ซึ่งโรงพยาบาลยังไม่มีการน าข้อมูลดังกล่าว มาวิเคราะห์และพัฒนาระบบการเข้าและออกจากไอซียูอย่างจริงจัง รวมทั้งมักประสบปัญหาการรับผู้ป่วยที่ไม่ เท่าเทียมกันของแต่ละไอซียู ซึ่งในบางครั้งท าให้เกิดการกระทบกระทั่งกันระหว่างหน่วยงานได้เป็นระยะๆ การพัฒนาระบบการเข้าถึงไอซียู มีจุดเริ่มต้นมาจากการตรวจคุณภาพโรงพยาบาล ผู้ตรวจการได้เล็งเห็นปัญหา ในระบบการคัดผู้ป่วยเข้าและออกจากไอซียู ในโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว จึงตั้งโจทย์ให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องคิดค้นและเริ่มพัฒนาระบบการจัดการเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ในส่วนของการพัฒนาการเข้าถึง ไอซียูนั้น จึงมีการท าแบบบันทึกข้อมูลโดยใช้ Google sheet มาทดลองให้และพัฒนาเรื่อยมาตั้งแต่ เดือน มกราคม พ.ศ.2565 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งกลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยหนัก ประกอบด้วย งานห้องผู้ป่วยหนัก 1, งานห้องผู้ป่วยหนัก 2, งานห้องผู้ป่วยหนัก 3, งานห้องผู้ป่วยหนัก 4, และห้องผู้ป่วยทารกแรกเกิดวิกฤต มีการ หมุนเวียนกันเป็นศูนย์รับจองเตียง ICU ในแต่ละเดือน ท าให้มีความท้าทายอย่างยิ่งในการจัดการความ หลากหลายในการเก็บรวบรวมข้อมูลของแต่ละหน่วยงาน สรุปผลการด าเนินงานในแต่ละหน่วยงาน ดังนั้น ผู้พัฒนาโปรแกรมจึงมีการประยุกต์ใช้สูตรต่างๆที่มีอยู่ใน Google sheet ให้สามารถใช้งานในการเก็บรวบรวม ข้อมูล ดูสรุปผลการด าเนินงานแบบเรียลไทม์ และท าให้แต่หน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องสามารถน าข้อมูลดังกล่าว ไปใช้วิเคราะห์ต่อไปได้ตรงกัน 13. การขยายผลของนวัตกรรม: ยังไม่มีการน าไปใช้นอกองค์ เนื่องจากยังไม่มีการเผยแพร่ออกไปภายนอก 14. การหาประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญา: - ไม่มี 171


บทคัดย'อ นวัตกรรม (Innovation) ........................................................... 1. ชื่อเรื่อง Plan-D: ซอฟท-แวร-ERP บริหารงานหน9วยงานภาครัฐ 2. ชื่อเจBาของผลงาน/หน'วยงาน นายทรงพล เพียเพ็งตEน ตำแหน9งเจEาพนักงานสาธารณสุขอาวุโส งานขEอมูลข9าวสารและเทคโนโลยี สารสนเทศ กลุ9มงานพัฒนายุทธศาสตร-สาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสระแกEว 3. ผูBนำเสนอผลงาน นายทรงพล เพียเพ็งตEน ตำแหน9งเจEาพนักงานสาธารณสุขอาวุโส 4. ความสำคัญของปPญหา ซอฟต-แวร-ประเภท ERP (Enterprise Resource Planning) เปbนซอฟต-แวร-ที่ช9วยในการจัดการทรัพยากร และกระบวนการต9างๆ ภายในองค-กร เช9น การจัดซื้อจัดจEาง การเงิน บัญชี ทรัพยากรบุคคล ฯลฯ ซึ่งซอฟต-แวรERP สามารถช9วยองค-กรในการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลดความซ้ำซEอนของงาน เพิ่มการบูรณาการ ขEอมูล และลดตEนทุนการดำเนินงานไดE, ERP ถูกนำไปใชEอย9างกวEางขวางในภาคธุรกิจ แต9ดEวยบริบทการดำเนินงาน ธุรกิจกับหน9วยงานรัฐมีความแตกต9างกันมาก จึงไม9สามารถนำซอฟท-แวร- ERP มาใชEในหน9วยงานภาครัฐไดE หน9วยงานภาครัฐที่ไม9มีระบบซอฟท-แวร-ERP ช9วยในการทำงานอาจประสบปoญหาต9างๆ ดังนี้ • ประสิทธิภาพการทำงานต่ำ: เนื่องจากตEองอาศัยการทำงานแบบแมนนวล ซึ่งอาจทำใหEเกิดขEอผิดพลาด และล9าชEาไดE • ตBนทุนการดำเนินงานสูง: หน9วยงานภาครัฐอาจตEองเสียค9าใชEจ9ายสูงในการดำเนินการต9างๆ เช9น การจEาง บุคลากรเพิ่มเพื่อทำงานแบบแมนนวล การจัดซื้ออุปกรณ-และซอฟต-แวร-ต9างๆ ที่เกี่ยวขEองกับงานเปbนเรื่องๆ ไป โดยแต9ละซอฟท-แวร-ไม9สามารถเชื่อมโยงขEอมูลกันไดEเลย • ความถูกตBองของขBอมูลต่ำ: เนื่องจากขEอมูลต9างๆ อาจถูกบันทึกไวEในระบบต9างๆ หรือโปรแกรมต9างๆ แยกกัน ซึ่งอาจทำใหEเกิดขEอผิดพลาดไดE • การบริการประชาชนไม'ดี: เนื่องจากอาจไม9สามารถเขEาถึงขEอมูลต9างๆ ไดEอย9างทันท9วงทีและถูกตEอง • ความเสี่ยงดBานความปลอดภัยสูง: หน9วยงานภาครัฐอาจเสี่ยงต9อภัยคุกคามดEานความปลอดภัย เช9น การ โจรกรรมขEอมูล หรือการแฮกระบบ 5. วัตถุประสงค\ การพัฒนาซอฟท-แวร- Plan-D ซึ่งเปbนซอฟท-แวร-ประเภท ERP ที่ออกแบบมาเพื่อหน9วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะ มีวัตถุประสงค-เพื่อแกEปoญหาดังนี้ 1. ปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน: โดยการลดซ้ำซEอนของงาน ช9วยทำงานที่ตEองทำซ้ำๆ เพิ่มการบูร ณาการขEอมูล และลดความซับซEอนของกระบวนการต9างๆ 172


2. ลดความซ้ำซBอนของงาน: โดยการรวมขEอมูลและกระบวนการต9างๆ ไวEในระบบเดียว ซึ่งจะช9วยลดเวลา และค9าใชEจ9ายในการดำเนินการต9างๆ 3. เพิ่มการบูรณาการขBอมูล: โดยการรวมขEอมูลจากแผนกต9างๆ ไวEในระบบเดียว ซึ่งจะช9วยใหEหน9วยงาน ภาครัฐสามารถเขEาถึงขEอมูลไดEอย9างรวดเร็วและถูกตEอง 4. ลดตBนทุนการดำเนินงาน: โดยการลดเวลาและค9าใชEจ9ายในการดำเนินการต9างๆ รวมถึงการปรับปรุง ประสิทธิภาพการดำเนินงาน 5. ปรับปรุงการบริการประชาชน: โดยการช9วยใหEหน9วยงานภาครัฐสามารถใหEบริการที่รวดเร็ว ถูกตEอง และมี ประสิทธิภาพมากขึ้น 6. เพิ่มความปลอดภัยของขBอมูล: การรวมขEอมูลต9างๆ ไวEในระบบเดียวและรักษาความปลอดภัยของขEอมูล เหล9านั้น 7. ปฏิบัติตามกฎระเบียบ/กฎหมาย: โดยการออกแบบระบบใหEสอดคลEองกับกฎหมายต9างๆ ที่เกี่ยวขEอง มี การรวมขEอมูลต9างๆ ไวEในระบบเดียวและช9วยใหEหน9วยงานภาครัฐสามารถตรวจสอบขEอมูลเหล9านั้นไดE 6. วิธีการศึกษา/ขั้นตอนการดำเนินงานนวัตกรรม 1. ศึกษาความตEองการขององค-กร เพื่อกำหนดขอบเขตของโครงการใหEชัดเจน ซึ่งรวมถึงกระบวนการทำงานที่ องค-กรตEองการปรับปรุง ขEอมูลที่จำเปbน และคุณสมบัติของซอฟต-แวร-ที่ตEองการ 2. เลือกเทคโนโลยีการพัฒนาซอฟท-แวร-ที่ตรงกับความตEองการขององค-กร ซึ่งมีหลายปoจจัยที่ตEองพิจารณา เช9น คุณสมบัติของแพลตฟอร-ม ค9าใชEจ9าย การสนับสนุน และความยืดหยุ9น 3. พัฒนาซอฟต-แวร-ใหEตรงกับความตEองการขององค-กร ซึ่งรวมถึงการเพิ่มหรือลบคุณสมบัติบางอย9างของ ซอฟต-แวร- การกำหนดค9าซอฟต-แวร-ใหEทำงานร9วมกับระบบอื่นๆ และการฝ~กอบรมบุคลการเกี่ยวกับการใชE งานซอฟต-แวร4. ทดสอบซอฟต-แวร-ใหEทำงานไดEอย9างถูกตEองและมีประสิทธิภาพ ซึ่งรวมถึงการทดสอบระบบย9อยต9างๆ ของ ซอฟต-แวร- การทดสอบการผสานรวมกับระบบอื่นๆ และการทดสอบการใชEงานซอฟต-แวร-โดยบุคลากร 5. บำรุงรักษาซอฟต-แวร-ใหEทำงานไดEอย9างถูกตEองและมีประสิทธิภาพ ซึ่งรวมถึงการอัปเดตซอฟต-แวร- การ แกEไขปoญหาที่พบ และการเพิ่มคุณสมบัติใหม9ๆ ใหEกับซอฟต-แวร7. ผลการศึกษา ไดEเลือกใชEเทคโนโลยีที่สำคัญดังนี้ Google Compute Engine (Infrastructure cloud), PHP, NodeJS, JavaScript, OpenSSL, SMTP, IMAP และดำเนินการพัฒนาซอฟท-แวร-เปbน Modules หลายระบบตามขอบเขต ความตEองการขององค-กร ประกอบดEวย - ระบบบุคลากร - ระบบลงชื่อเขEา-ออกงาน - ระบบการลา/ไปราชการ – ระบบสารบรรณดิจิทัล – ระบบบริหารแผนงานโครงการ - ระบบจองหEองประชุม, รถ – ระบบบริหารวัสดุครุภัณฑ- – ระบบจัดซื้อจัดจEาง – ระบบแจEงซ9อม – ระบบการเงินและบัญชี– ระบบจัดเก็บและแชร-ไฟล-เอกสาร – ระบบ 173


ปฏิทิน โดยทุกระบบถูก Integrated เขEาดEวยกัน มีความเชื่อมโยงถึงกันทั้งหมด และไดEตั้งชื่อซอฟท-แวร-ว9า Plan-D ซึ่งลEอมาจาก “การวางแผนที่ดี” 8. อภิปรายผลการศึกษา ซอฟต-แวร- Plan-D สามารถช9วยหน9วยงานในการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลดความซ้ำซEอน ของงาน เพิ่มการบูรณาการขEอมูล และลดตEนทุนการดำเนินงานไดE ซึ่งส9งผลดีต9อหน9วยงานในการปรับปรุง ประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน การบูรณาการขEอมูลต9างๆ ที่เกี่ยวขEอง เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการงบประมาณ ลดความซ้ำซEอนในการเบิกจ9ายงบประมาณ การลดขEอผิดพลาดในการบันทึกบัญชี เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงาน บุคคล ลดความซ้ำซEอนในการบันทึกขEอมูลบุคลากร การลดขEอผิดพลาดในการประมวลผลขEอมูล และการเพิ่มความ โปร9งใสในการบริหารจัดการงานบุคคล, เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารความเสี่ยง ลดความซับซEอนในการติดตาม ความเสี่ยง การลดขEอผิดพลาดในการรายงานความเสี่ยง และการเพิ่มการบูรณาการขEอมูลต9างๆ ที่เกี่ยวขEอง 9. สรุปและขBอเสนอแนะ Plan-D ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อแกEปoญหาการทำงานในรูปแบบดั้งเดิม ใหEเปbนรูปแบบการทำงานใหม9 ถือเปbน ความทEาทายขององค-กรเปbนอย9างมาก เนื่องจากเปbนการปรับเปลี่ยนวัฒนาธรรมการทำงานขององค-กร แต9ผลลัพธ-ที่ ไดEกลับมามีความคุEมค9า หากดำเนินการดEวยความรอบครอบ และสื่อสารกับบุคลากรอย9างสม่ำเสมอ ขEอเสนอแนะ ในการพัฒนาหรือการนำ ERP ไปใชEในหน9วยงานรัฐ 1. กำหนดเปïาหมายและวัตถุประสงค-ที่ชัดเจน ก9อนเริ่มนำ ERP มาใชE ตัวอย9างเช9น หน9วยงานอาจ ตEองการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลดความซ้ำซEอนของงาน เพิ่มการบูรณาการขEอมูล หรือ ลดตEนทุนการดำเนินงาน ซึ่งอาจกำหนดมากกว9า 1 วัตถุประสงค2. การนำ ERP มาใชEเปbนโครงการขนาดใหญ9ที่ตEองใชEทรัพยากรจำนวนมาก หน9วยงานจึงควรจัดเตรียม ทรัพยากรที่จำเปbนใหEเพียงพอ เช9น งบประมาณ บุคลากร และเวลา 3. การนำ ERP มาใชEจะส9งผลกระทบต9อบุคลากรของหน9วยงาน จึงควรสื่อสารกับบุคลากรอย9างสม่ำเสมอ เพื่อใหEบุคลากรเขEาใจถึงประโยชน-ของการนำระบบ ERP มาใชE และมีส9วนร9วม 4. ทดสอบระบบ ERP อย9างครอบคลุม ก9อนเริ่มใชEงานระบบ เพื่อตรวจสอบว9าระบบ ERP ทำงานไดEอย9าง ถูกตEองและมีประสิทธิภาพ 5. เมื่อระบบ ERP เริ่มใชEงานแลEว หน9วยงานควรอบรมบุคลากรเกี่ยวกับการใชEงานระบบ ERP เพื่อใหE สามารถใชEงานระบบ ERP ไดEอย9างมีประสิทธิภาพ 6. ติดตามผลและประเมินผลการใชEงานระบบ ERP อย9างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจสอบว9าระบบ ERP บรรลุ เปïาหมายและวัตถุประสงค-ที่วางไวEหรือไม9 10. การนำผลงานไปใชBประโยชน\ มีการใชEงานในสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสระแกEว และมีการขยายการใชEงานไปสู9โรงพยาบาล สำนักงาน สาธารณสุขอำเภอ และโรงพยาบาลส9งเสริมสุขภาพตำบล ทุกแห9งในสังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสระแกEว 174


บทคัดย'อ นวัตกรรม (Innovation) ........................................................... 1. ชื่อเรื่อง ระบบเอกสารดิจิทัล 2. ชื่อเจBาของผลงาน/หน'วยงาน นายทรงพล เพียเพ็งต7น ตำแหน;งเจ7าพนักงานสาธารณสุขอาวุโส กลุ;มงานพัฒนายุทธศาสตรEสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสระแก7ว โทร 0909529741 3. ผูBนำเสนอผลงาน นายทรงพล เพียเพ็งต7น ตำแหน;งเจ7าพนักงานสาธารณสุขอาวุโส 4. ความสำคัญของปPญหา ปNญหาของการจัดการหนังสือราชการแบบกระดาษ: - การจัดการหนังสือราชการแบบกระดาษเปUนกระบวนการที่ยุ;งยากและสิ้นเปลืองทรัพยากร ต7องใช7 กระดาษหมึกพิมพEจำนวนมาก - ใช7พื้นที่จัดเก็บจำนวนมาก เอกสารราชการจำนวนมากถูกเก็บไว7ในรูปแบบกระดาษ ซึ่งต7องใช7พื้นที่ จัดเก็บจำนวนมาก พื้นที่จัดเก็บนี้อาจต7องเสียค;าใช7จ;ายสูง และอาจหายากในบางสถานที่ - ใช7เวลานานในการค7นหาและจัดระเบียบเอกสาร การค7นหาเอกสารราชการอาจใช7เวลานานและ ยุ;งยาก เนื่องจากเอกสารอาจถูกจัดเก็บไว7ในหลายสถานที่และไม;ได7จัดระเบียบอย;างเปUนระบบ การ ค7นหาเอกสารที่เฉพาะเจาะจงอาจทำให7เสียเวลาและหงุดหงิดได7 - เอกสารอาจสูญหายหรือเสียหายได7ง;าย เอกสารราชการอาจสูญหายหรือเสียหายได7ง;าย เนื่องจากถูก ส;งผ;านหลายมือและอาจถูกวางผิดที่หรือทำหาย เอกสารที่สูญหายหรือเสียหายอาจทำให7การทำงาน ล;าช7าและอาจทำให7เกิดปNญหาทางกฎหมายได7 - อาจทำให7เกิดปNญหาด7านความปลอดภัย เอกสารราชการอาจมีข7อมูลส;วนบุคคลหรือข7อมูลลับซึ่งอาจ ถูกเข7าถึงโดยบุคคลที่ไม;เกี่ยวข7องได7 การจัดการหนังสือราชการแบบกระดาษอาจทำให7เอกสารเหล;านี้ ตกอยู;ในความเสี่ยงของการถูกขโมยหรือละเมิด 175


5. วัตถุประสงคU 1. ประหยัดค;ากระดาษและหมึกพิมพEประหยัดค;าใช7จ;ายในการจัดเก็บและส;งเอกสาร 2. สะดวกและรวดเร็วในการเข7าถึงเอกสาร 3. เพิ่มความปลอดภัยของเอกสาร 4. ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานจากรูปแบบที่ทำอยู;เดิม 5. ส;งเสริมความโปร;งใส สามารถตรวจสอบเส7นทางหนังสือและประวัติการแก7ไขหนังสือ 6. วิธีการศึกษา/ขั้นตอนการดำเนินงานนวัตกรรม 1. พัฒนาระบบสารบรรณดิจิทัลสำหรับการจัดการเอกสารราชการ ระบบสารบรรณดิจิทัลสำหรับการจัดการเอกสารราชการ ควรสามารถรองรับการบันทึก สืบค7น เวียน ส;ง และลงนามในเอกสารราชการได7 ระบบควรมีความปลอดภัยสูงและสามารถปeองกันการเข7าถึงเอกสารโดย บุคคลที่ไม;ได7รับอนุญาต ระบบควรสามารถรองรับการทำงานร;วมกันของเจ7าหน7าที่ราชการหลายคนได7 และระบบควรสามารถรายงานข7อมูลต;างๆ เกี่ยวกับเอกสารราชการได7 2. จัดทำคู;มือการใช7งานระบบสารบรรณดิจิทัลสำหรับเจ7าหน7าที่ คู;มือการใช7งานระบบดิจิทัลสำหรับเจ7าหน7าที่ราชการควรอธิบายขั้นตอนการใช7งานระบบอย;างละเอียด คู;มือควรมีรูปแบบที่เข7าใจง;ายและสามารถเข7าถึงได7ผ;านระบบอินเทอรEเน็ต 3. ฝhกอบรมเจ7าหน7าที่เกี่ยวกับการใช7งานระบบสารบรรณดิจิทัล เจ7าหน7าที่ควรได7รับการฝhกอบรมเกี่ยวกับการใช7งานระบบสารบรรณดิจิทัลอย;างมีประสิทธิภาพ การ ฝhกอบรมควรครอบคลุมถึงขั้นตอนการใช7งานระบบสารบรรณดิจิทัล ความปลอดภัยของระบบสารบรรณ ดิจิทัล และประโยชนEของการใช7ระบบสารบรรณดิจิทัล 7. สรุปผลการดำเนินงาน/ผลลัพธUการดำเนินงาน/ตัวชี้วัดความสำเร็จ 1. ประหยัดค;ากระดาษและหมึกพิมพEประหยัดค;าใช7จ;ายในการจัดเก็บและส;งเอกสารลง 2. สะดวกและรวดเร็วขึ้นในการเข7าถึงเอกสารได7ทาง Internet มีระบบค7นหาเอกสารได7อย;างรวดเร็ว 3. เอกสารมีความปลอดภัยมากขึ้น มีระบบปeองกันการเข7าถึงเอกสาร 4. การดำเนินงานสารบรรณในหน;วยงานมีประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น 5. มีความโปร;งใส สามารถตรวจสอบเส7นทางหนังสือและประวัติการแก7ไขหนังสือย7อนหลังได7 176


8. อภิปรายผลการศึกษา การจัดการหนังสือราชการแบบอิเล็กทรอนิกสEเปUนวิธีแก7ปNญหาที่ดีกว;าสำหรับปNญหาเหล;านี้ การจัดการ หนังสือราชการแบบอิเล็กทรอนิกสEช;วยให7สามารถจัดเก็บเอกสารในไฟลEดิจิทัล ซึ่งใช7พื้นที่จัดเก็บน7อยลง ค7นหาและ จัดระเบียบเอกสารได7ง;าย และสามารถปeองกันเอกสารสูญหายหรือเสียหายได7 การจัดการหนังสือราชการแบบ อิเล็กทรอนิกสEยังช;วยให7สามารถรักษาความปลอดภัยของข7อมูลได7ดีขึ้น เนื่องจากเอกสารสามารถเข7าถึงได7เฉพาะผู7 ที่มีสิทธิ์เท;านั้น การจัดการหนังสือราชการแบบอิเล็กทรอนิกสEเปUนวิธีแก7ปNญหาที่มีประสิทธิภาพและประหยัดค;าใช7จ;าย สำหรับหน;วยงานราชการ ช;วยให7สามารถประหยัดพื้นที่จัดเก็บ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และปรับปรุงความ ปลอดภัยของข7อมูล 9. สรุปและขBอเสนอแนะ องคEกรสามารถปรับเปลี่ยนการทำงานโดยใช7กระดาษเปUนการใช7ไฟลEเอกสารดิจิทัลได7โดย 1. กำหนดเปeาหมายและแผนงาน องคEกรควรกำหนดเปeาหมายและแผนงานในการปรับเปลี่ยนการทำงานโดย ใช7ไฟลEเอกสารดิจิทัล โดยกำหนดเปeาหมายว;าต7องการลดการใช7กระดาษให7ได7เท;าไร และกำหนดแผนงาน ว;าจะใช7เทคโนโลยีใดในการแปลงเอกสารกระดาษให7เปUนไฟลEดิจิทัล 2. จัดหาอุปกรณEและซอฟตEแวรEที่จำเปUน องคEกรควรจัดหาอุปกรณEและซอฟตEแวรEที่จำเปUนในการแปลง เอกสารกระดาษให7เปUนไฟลEดิจิทัล เช;น เครื่องสแกนเนอรE เครื่องพิมพEเลเซอรE เครื่องถ;ายเอกสาร และ ซอฟตEแวรEจัดการเอกสารดิจิทัล 3. อบรมพนักงานเกี่ยวกับการใช7เทคโนโลยีดิจิทัล องคEกรควรอบรมพนักงานเกี่ยวกับการใช7เทคโนโลยีดิจิทัล ในการแปลงเอกสารกระดาษให7เปUนไฟลEดิจิทัล และการใช7ไฟลEเอกสารดิจิทัลในการทำงาน 4. สร7างระบบการอนุมัติและจัดเก็บเอกสารดิจิทัล องคEกรควรสร7างระบบการอนุมัติและจัดเก็บเอกสารดิจิทัล เพื่อให7พนักงานสามารถเข7าถึงเอกสารดิจิทัลได7อย;างสะดวกและรวดเร็ว 5. สื่อสารกับพนักงานเกี่ยวกับประโยชนEของการใช7ไฟลEเอกสารดิจิทัล องคEกรควรสื่อสารกับพนักงานเกี่ยวกับ ประโยชนEของการใช7ไฟลEเอกสารดิจิทัล เช;น ประหยัดเวลา ประหยัดค;าใช7จ;าย เพิ่มความปลอดภัยของ ข7อมูล และลดปริมาณขยะ การปรับเปลี่ยนการทำงานโดยใช7ไฟลEเอกสารดิจิทัลสามารถช;วยให7องคEกรประหยัดเวลา ประหยัด ค;าใช7จ;าย เพิ่มความปลอดภัยของข7อมูล และลดปริมาณขยะได7 องคEกรจึงควรพิจารณาปรับเปลี่ยนการทำงานโดย ใช7ไฟลEเอกสารดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและลดต7นทุน 177


10. การนำผลงานไปใชBประโยชนU มีการใช7งานในสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสระแก7ว และมีการขยายการใช7งานไปสู;หน;วยงานภายนอก ได7แก; โรงพยาบาลโคกสูง 12. เอกสารอBางอิง หมายเหตุ เอกสารไม'เกิน 5 หนBา ตารางสรุปการเบิกหมึกพิมพ0 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสระแก=ว ตารางสรุปการเบิกกระดาษ (รีม) สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสระแก=ว 178


รูปภาพแสดงการค=นหาเอกสาร 179


รูปภาพแสดงทะเบียนหนังสือ และการจัดเก็บเอกสารในรูปแบบไฟล0ดิจิทัล รูปภาพแสดงการเข=าถึงระบบสารบรรณดิจิทัลได=งOาย ตลอดเวลาผOาน Internet และระบบความปลอดภัยปVองกันการเข=าถึงจาก บุคคลที่ไมOได=รับอนุญาต 180


ชื่อผลงานนวัตกรรม สแกนไว เขาใจงาย ไมกลัวผาตัด ชื่อผูเสนอผลงาน 1. นางสาววรวีย โกศล 2. นางสาวกฤษดาพรรณ แซตั๊น 3. นางสาวพีรยา แสนสบาย ชื่อ/ที่อยูของหนวยงาน หนวยงานหองผาตัด โรงพยาบาลพนมสารคาม ที่มาโครงการ (ความเปนมาของนวัตกรรม สถานการณปญหา เหตุผลความจำเปนในการเกิดนวัตกรรม) การผาตัดไมวาจะเปนการผาตัดชนิดใดๆ ก็ตาม ทั้งการผาตัดใหญ ผาตัดเล็ก การผาตัดที่ทราบลวงหนาหรือ การผาตัดแบบฉุกเฉิน ยอมสงผลกระทบทางดานจิตใจของผูปวย กอใหเกิดความวิตกกังวล โดยเฉพาะในระยะกอน ผาตัด (Brunner &Suddarth, 1992 : Beare & Myers, 1994) เนื่องจากเปนสถานการณที่ไมคุนเคยกับสถานที่ สิ่งแวดลอม ความกังวลที่ไมทราบวาจะเกิดอะไรกับตน ความรูสึกกลัว เชน กลัวการผาตัด กลัวหลับ กลัวการดม ยาสลบ กลัววาจะไมฟนหลังจากดมยาสลบ ซึ่งความวิตกกังวลนี้กอใหเกิดความเปลี่ยนแปลงดานจิตใจและความคิด มี อาการนอนไมหลับ ขาดความรวมมือในการรักษา มีโอกาสเสี่ยงตอการเกิดภาวะแทรกซอนขณะผาตัดและหลังผาตัด ได จากการตอบสนองทั้งทางดานรางกายและจิตใจ ทำใหตองใชระยะเวลาพักฟน และอยูในโรงพยาบาลนานขึ้น (Badner, Neilson, Munk, KwiatKowska & Gelb, 1990; Johnston, 1990; McEachern, 1992; Steelman, 1990) โรงพยาบาลพนมสารคามมีผูรับบริการผาตัด ในแผนกศัลยกรรม ศัลยกรรมกระดูกและขอ และสูตินรีเวช ใน ปงบ 2564-2565 มีจำนวน 1325 ราย และ1584 ราย ในผูปวยที่ไดรับการผาตัดแบบนัดทุกรายจะไดรับการเยี่ยมและ ประเมินในระยะกอนผาตัด เพื่อแจงใหผูปวยทราบเกี่ยวกับการผาตัด ชนิดการผาตัด ระยะเวลาที่ผูปวยอยูในหอง ผาตัดและหองพักฟน รวมถึงการไดรับยาระงับความรูสึกขณะผาตัด เพื่อใหความวิตกกังวลของผูปวยลดลง จากขอมูลในวันที่ผูปวยมารับบริการผาตัด พบวาผูปวยบางรายยังคงมีความวิตกกังวล และมีการซักถามขอมูล เกี่ยวกับการผาตัด การระงับความรูสึก และการไดรับบริการในหองผาตัด ในผูปวยบางรายไมไดปฏิบัติตัวตาม คำแนะนำ เชน การงดน้ำและอาหาร มีผลใหผูปวยตองไดรับการผาตัดลาชา และสงผลตอการจัดลำดับตารางผาตัด และเพิ่มภาระงานใหกับหนวยงานผูปวยใน รวมทั้งผลกระทบตอผูปวยและญาติ เชน เพิ่มระยะเวลาในการนอน โรงพยาบาล และคาใชจาย เปนตน จากปญหานี้ หนวยงานจึงไดรวบรวมขอมูล และวิเคราะหสาเหตุของปญหา พบวา หนวยงานมีแนวทางในการใหคำแนะนำ แตวิธีการถายทอดของแตละบุคคลแตกตางกันไป ประกอบกับผูปวยแตละ รายมีการรับรูไมเทากัน ทำใหยังพบผูปวยปฏิบัติตัวไมถูกตอง ดังนั้นทางหนวยงานเล็งเห็นถึงความสำคัญของปญหานี้ จึงไดมีการคิดวิเคราะหแกไขปญหา และนำไปสูการ พัฒนาในรูปแบบการใหคำแนะนำความรู โดยมีการจัดทำวิดีทัศนที่มีภาพ เสียง และขอความเขามาชวยเสริมความรู และเพิ่มการบรรยายบรรยากาศในหองผาตัดตั้งแตรับผูปวยเขาผาตัด กิจกรรมการพยาบาลที่ผูปวยจะไดรับ จนกระทั่ง เสร็จสิ้นกระบวนการผาตัด การไดรับการดูแลในหองพักฟน และการสงกลับไปยังหอผูปวย เพื่อใหผูปวยไดสัมผัสถึง สถานการณจริงที่ผูปวยจะไดรับการปฏิบัติ เมื่อมาถึงหองผาตัด วัตถุประสงคของโครงการ 1. เพื่อลดความวิตกกังวลของผูปวยผาตัดและครอบครัว 181


2. เพื่อใหผูปวยผาตัดและครอบครัวมีความรู ความเขาใจในกระบวนการผาตัดและสามารถปฏิบัติตัวไดอยาง ถูกตอง 3. เพื่อลดภาวะแทรกซอนหลังผาตัด จากการปฏิบัติตัวไมถูกตอง ระยะเวลาการดำเนินการ 1. สำรวจขอมูลตั้งแตเดือนมกราคม – เมษายน 2566 2. จัดทำเอกสารและวิดีโอความรูในเดือนพฤษภาคม 2566 3. นำไปทดลองใช และประเมินผลในเดือนมิถุนายน 2566 กลุมเปาหมาย ผูปวยที่ไดรับการผาตัดแบบนัดลวงหนา ที่มีอายุในชวง 15-60 ป ขั้นตอนการดำเนินงาน 1) นำขอมูลปญหาที่พบมาวิเคราะห : ตั้งแตเดือนมกราคม – เมษายน 2566 มียอดผูปวยนัดผาตัดแบบไม ฉุกเฉิน ดังนี้ 159 ราย, 152 ราย, 98 ราย และ179 รายตามลำดับ 2) ประชุมกลุมรวมกัน เพื่อหาแนวทาง และกระบวนการแกไขปญหา 3) รวบรวมขอมูลการใหความรู และจัดทำเอกสารและวิดีโอใหความรู - เก็บรวบรวบภาพบรรยากาศหองผาตัด ตั้งแตรับผูปวยเขาผาตัด จนกระทั่งสงผูปวยกลับหอผูปวย - บันทึกเสียงอธิบายและบรรยายความรูกอนและหลังผาตัด และบรรยากาศในหองผาตัด ดวยภาษา ที่เขาใจงายไมซับซอน - นำวิดีโอ และเอกสารความรูใหเจาหนาที่ในหนวยงานตรวจสอบความถูกตอง ความครบถวน และ ความเขาใจในแนวทางเดียวกัน จากนั้นนำมาแกไขใหถูกตองและครบถวนตามขอเสนอแนะ - นำวิดีโอ และเอกสารความรูที่ผานการตรวจสอบแลวใหบุคคลทั่วไป (บุคคลในครอบครัวเจาหนาที่) ชมวิดีโอ และเอกสารความรู พรอมประเมินความเขาใจหลังรับชม และนำขอเสนอแนะของบุคคลทั่วไปมา ปรับปรุงและแกไข 4) เมื่อแพทยผาตัดนัดผาตัดจะสงผูปวยมายังหองผาตัด เพื่อพบวิสัญญีแพทย/วิสัญญีพยาบาล เพื่อ ประเมินกอนผาตัด และใหคำแนะนำการปฏิบัติตัวกอนและหลังผาตัด พรอมประเมินความวิตกกังวลโดยใช แบบสอบถาม และใหเอกสาร QR code คำแนะนำในการปฏิบัติตัวกอนและหลังผาตัด และบรรยากาศภายในหอง ผาตัด เพื่อใหผูปวยสามารถไปรับชมตอที่บานไดและสามารถดูไดหลายๆรอบ 5) ในวันที่ผูปวยมารับบริการ จะทำการประเมินความพรอมของผูปวย ประเมินความวิตกกังวลโดยใช แบบสอบถาม รวมทั้งสังเกตพฤติกรรมที่แสดงออกของผูปวยกอนรับการผาตัด ผลการศึกษา เริ่มดำเนินการนำเอกสาร QR code ใชในผูปวยที่มารับบริการผาตัดในเดือนมิถุนายน 2566 โดยมีผูปวยที่ ไดรับการผาตัดแบบนัดลวงหนาที่มีอายุ 15-60 ปมีจำนวน 33 ราย หลังการประเมินกอนผาตัด การใหคำแนะนำการปฏิบัติตัวกอนและหลังผาตัด และประเมินความวิตกกังวล โดยใชแบบสอบถามกอนผาตัด พบวา ผูปวยมีความวิตกกังวลมากที่สุด คือ ระดับปานกลาง คิดเปนรอยละ 36.97, มี 182


ความวิตกกังวลรองลงมา คือ ระดับมาก คิดเปนรอยละ 21.21 และมีความวิตกกังวลนอยที่สุด คือ ระดับไมเลย คิด เปนรอยละ 9.09 ในวันที่ผูปวยมารับบริการ จะทำการประเมินความพรอมของผูปวย และประเมินความวิตกกังวลโดยใช แบบสอบถามในวันผาตัด พบวา ผูปวยมีความวิตกกังวลมากที่สุด คือ ระดับนอย คิดเปนรอยละ 37.57, มีความวิตก กังวลรองลงมา คือ ระดับปานกลาง คิดเปนรอยละ 28.48 และมีความวิตกกังวลนอยที่สุด คือ ระดับมากที่สุด คิดเปน รอยละ 6.06 อภิปรายผลการศึกษา แนวทางการใหความรูแบบที่ 1 คือ ผูปวยที่ไดรับการผาตัดจะไดรับการประเมินกอนผาตัด และใหคำแนะนำ การปฏิบัติตัวกอนและหลังผาตัด แนวทางการใหความรูแบบที่ 2 คือ ผูปวยไดรับการผาตัดจะไดรับการประเมินกอนผาตัด และใหคำแนะนำ การปฏิบัติตัวกอนและหลังผาตัด พรอมใหเอกสารความรู QR code รวมดวย จากการเปรียบเทียบแนวทางการใหความรูแบบที่ 1 และ 2 พบวา ผูปวยไดรับการผาตัดจะไดรับการประเมิน กอนผาตัด และใหคำแนะนำการปฏิบัติตัวกอนและหลังผาตัด พรอมใหเอกสารความรูQR code รวมดวย (แนว ทางการใหความรูแบบที่ 2) มีความวิตกกังวลระดับมากที่สุดลดลงจาก 15.76% เหลือ 6.06%, มีความวิตกกังวลระดับ มากลดลงจาก 21.21% เหลือ 12.12%, มีความวิตกกังวลระดับปานกลางลดลงจาก 36.97% เหลือ 28.48%, มีความ วิตกกังวลระดับนอยเพิ่มขึ้นจาก 16.97% เปน 37.57% และมีความวิตกกังวลระดับไมเลยจาก 9.09% เปน 15.75% สรุปและขอเสนอแนะ 1. สรุป : การนำสื่อวิดีทัศนและเอกสารความรูมาใชรวมกับการใหคำแนะนำกับผูรับบริการกอนผาตัด ราย พบวาผูปวยมีความวิตกกังวลลดลง สามารถปฏิบัติตัวกอนผาตัดไดถูกตอง และไดรับการผาตัดตามนัด รวมทั้งจากการ ตรวจเยี่ยมหลังผาตัด ยังไมพบผูปวยที่มีภาวะแทรกซอนหลังผาตัดจากการปฏิบัติตัวไมถูกตอง 2. ขอเสนอแนะ : นำสื่อความรูไปใชกับหนวยงานอื่นในโรงพยาบาล และสามารถใชในกลุมผูปวยทุกรายที่ ตองไดรับการผาตัด การนำไปใชประโยชน นำเอกสารความรู QR code ไปใชกับตึกผูปวยนอก และตึกผูปวยใน เพื่อใหเจาหนาที่ใชเปนแนวทางในการ ใหความรูเกี่ยวกับการผาตัด การระงับความรูสึก และการปฏิบัติตัวกอนและหลังผาตัด เอกสารอางอิง วิลาวัลย อึงพินิจ. (2546). การประเมินความวิตกกังวลกอนไดรับการผาตัดและยาระงับความรูสึกของผูปวยใน โรงพยาบาลสุรินทร. วารสารการแพทย, 18(3): 35-46. ศุภางค ดำเกิงธรรม. (2564). ผลการใชสื่อวีดีทัศนเพื่อเตรียมความพรอมผูปวยกอนเขารับการระงับความรูสึกตอ ความรูและความวิตกกังวลในผูปวยผาตัดกระดูก โรงพยาบาลแพร. วารสารโรงพยาบาลแพร, 29(1): 50-64. Phillips N. Anesthesia: techniques and agents. Berry and Kohn’s Operating Room Technique 2013; 26 (1): 422-423. 183


ประกวดผลงานวิชาการโดย โปสเตอร์ (Poster presentation) R2R (PR – 01 ถึง 11) 184


1 การพัฒนารูปแบบการเข้าถึงระบบบริการทางด่วนส าหรับกลุ่มเสี่ยง โรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี Development of Fast Track Service System model for Stroke risk group at Laemsing Hospital , Chanthaburi Province อนุสร วุฒิกิจ1 มัณฑนา มะโนรมย์2 ศิริพร ปัญญา3 โรงพยาบาลแหลมสิงห์ อ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี อนุสร วุฒิกิจ ผู้น าเสนอผลงาน บทคัดย่อ การวิจัยเชิงปฏิบัติการตามกรอบแนวคิดของสติงเกอร์มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)พัฒนารูปแบบการเข้าถึง ระบบบริการทางด่วนส าหรับกลุ่มเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง และ2)ประเมินประสิทธิผลของรูปแบบการเข้าถึง ระบบบริการทางด่วนส าหรับกลุ่มเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลแหลมสิงห์ ผู้เข้าร่วมวิจัยทั้งหมด จ านวน 49 คนประกอบด้วย กลุ่มที่ 1 ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง ที่มารับบริการโรงพยาบาลแหลม สิงห์ จังหวัดจันทบุรีจ านวน 30 คน กลุ่มที่ 2 เป็นแพทย์ผู้รับผิดชอบNCD clinic จ านวน 1 คน กลุ่มที่ 3 เป็น พยาบาลผู้รับผิดชอบNCD clinic จ านวน 4 คน และกลุ่มที่ 4 เป็นอาสาสมัครสาธารณสุขประจ าหมู่บ้าน (อสม.) จ านวน 14 คน ท าการคัดเลือกผู้เข้าร่วมวิจัยกลุ่มที่ 1, 2, 3 และ 4 แบบเจาะจง ขั้นตอนในการวิจัยมี 3 ระยะได้แก่ ระยะที่ 1 พินิจพิเคราะห์ ระยะที่ 2 คิดวิเคราะห์และระยะที่ 3 ระยะปฏิบัติการ เครื่องมือที่ใช้ใน การวิจัยได้แก่ ประเด็นการประชุม, คู่มือการให้ความรู้เรื่องโรคหลอดเลือดสมองและนวตกรรมที่เกี่ยวข้อง กิจกรรมการเข้าถึงระบบบริการทางด่วน และแบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์ เชิงเนื้อหา ข้อมูลเชิงปริมาณวิเคราะห์โดยสถิติเชิงพรรณนา และ paired t-test ผลการวิจัยพบว่ารูปแบบการเข้าถึงระบบบริการทางด่วนส าหรับกลุ่มเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง ได้แก่ 2MPประกอบไปด้วย 1)M (Man) คือบุคคลที่เกี่ยวข้องได้แก่ เจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพ ผู้ป่วยและอสม. 2)M (Material) ได้แก่ วัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ และ 3)P(process) ได้แก่ กระบวนการในการเตรียมพัฒนารูปแบบ การน ารูปแบบไปใช้และการประเมินผล ภายหลังการพัฒนารูปแบบพบว่าผู้เข้าร่วมกิจกรรมมีความรู้เกี่ยวกับ โรคหลอดเลือดสมองหลังเข้าร่วมกิจกรรมสูงกว่าก่อนเข้าร่วมกิจกรรมอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ(p-value< 0.001) และมีทักษะในการจัดการตนเองสูงกว่าก่อนเข้าร่วมกิจกรรมอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ(p-value< 0.001) ร้อยละของการเข้าถึงระบบบริการทางด่วนได้ทันเวลาคิดเป็นร้อยละ100 โดยมีระยะเวลาเฉลี่ย 63.33 นาที ผลการศึกษาที่ได้ โรงพยาบาลแหลมสิงห์ควรน ารูปแบบที่เกิดขึ้น และหน่วยงานทางด้านสุขภาพที่มี ลักษณะปัญหาคล้ายคลึงกันควรน ารูปแบบการเข้าถึงระบบบริการทางด่วนส าหรับกลุ่มเสี่ยงโรคหลอดเลือด สมอง ไปประยุกต์ใช้ในการให้บริการผู้ป่วยในพื้นที่ ค ำส ำคัญ: รูปแบบการเข้าถึงระบบบริการทางด่วน, กลุ่มเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง, โรงพยาบาล 185


1 การพัฒนารูปแบบการเขาถึงระบบบริการทางดวนสำหรับกลุมเสี่ยง โรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลแหลมสิงห จังหวัดจันทบุรี Development of Fast Track Service System model for Stroke risk group at Laemsing Hospital , Chanthaburi Province ความเปนมาและความสำคัญของปญหา โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) เปนโรคทางระบบประสาทที่มีความรุนแรงและเปนปญหาสาธารณสุขที่ สำคัญระดับโลก กระทรวงสาธารณสุขไดรายงานอัตราการเสียชีวิตดวยโรคหลอดเลือดสมองวามีแนวโนมสูงขึ้นอยาง ตอเนื่อง ตั้งแตปพ.ศ.2556-2558เทากับ36.13, 38.66 และ42.62 ตอแสนประชากรตามลำดับ จังหวัดจันทบุรี พบอัตราตายดวยโรคหลอดเลือดสมองตอแสนประชากรป2555-2557เทากับ5.22, 4.54 และ0.29 ตามลำดับ พบวา มีแนวโนมลดลงอยางตอเนื่อง แตพบวามีจำนวนผูปวยรายใหมเพิ่มขึ้นทุกป โรงพยาบาลแหลมสิงหเปนโรงพยาบาลชุมชนระดับ F2ระบบสงตอจึงเปนบทบาทที่สำคัญ จากสถิติพบโรค หลอดเลือดสมองเปนสาเหตุของการสงตอเปนลำดับที่ 1 ของแผนกอุบัติเหตุ-ฉุกเฉินในระยะ 5 ปที่ผานมา พบจำนวนผูปวยรายใหม ป2560-2563 เทากับ 58, 70, 107 และ 85 ราย เขาถึงระบบบริการทางดวนไดเพียงรอย ละ 43.70, 52.24, 52.68 และ27.27 ที่เหลือเขาถึงบริการชา ไมสามารถสงตอในระบบ Fast track ได และผลจาก การทำ R2R เกี่ยวกับ Stroke Alert ที่ผานมา ป2560 สงผลใหอัตราผูปวยโรคหลอดเลือดสมองเขาถึงบริการไดเร็ว ในป2560-2562 และการเขาถึงชาลงในป2563 เนื่องจากปญหาการใชรูปแบบไมตอเนื่อง ประกอบกับจำนวน ผูปวยกลุมเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น คณะผูวิจัยจึงไดปรับใหมีการพัฒนารูปแบบการเขาถึงระบบบริการทางดวนสำหรับกลุม เสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลแหลมสิงห จังหวัดจันทบุรีขึ้น วัตถุประสงคการวิจัย 1.เพื่อพัฒนารูปแบบการเขาถึงระบบบริการทางดวนในกลุมเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลแหลมสิงห 2.เพื่อประเมินประสิทธิผลของรูปแบบการเขาถึงระบบบริการทางดวนสำหรับกลุมเสี่ยงโรคหลอดเลือด สมอง โรงพยาบาลแหลมสิงห วิธีดำเนินการวิจัย เปนการวิจัยเชิงปฏิบัติการ(Action research) ไดกำหนดรูปแบบตามแนวคิดของสติงเกอร มี3 ขั้นตอนดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 Look phase (พินิจพิเคราะห) ไดแก 1)ศึกษากรอบแนวคิดและงานวิจัยที่เกี่ยวของ 2)ศึกษาสภาพปญหาที่เกิดขึ้น ไดแก สถานการณโรคหลอดเลือดสมองรายใหมที่เพิ่มขึ้นในเขตอำเภอแหลมสิงห สวนใหญมีโรครวมเปนความดันโลหิตสูง การเขาถึงชา เนื่องจากขาดความรูและขาดทักษะในการจัดการตนเอง เมื่อมีอาการของโรคหลอดเลือดสมอง ขั้นตอนที่ 2 Think phase (คิดวิเคราะห) ไดแก 1)ประชุมทีมเพื่อกำหนดรูปแบบการพัฒนา 2)นำขอมูลที่ไดจากการประชุม แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวของมาศึกษาวิเคราะหและรางกิจกรรมการเขาถึงระบบ บริการทางดวนสำหรับกลุมเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง โดยเริ่มที่ผูปวยกลุมเสี่ยงควรมีความรูเรื่องโรคกอนเปน อันดับแรก ปรับบริการในคลินิกความดันโลหิตสูง กำหนดเครื่องมือและนวตกรรมที่เกี่ยวของ 186


2 ขั้นตอนที่ 3 Act Phase (การปฏิบัติการ) ไดแก 3.1 ปฏิบัติการ โดยเนนการใหความรูเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมองและทักษะในการจัดการตนเองเมื่อ มีอาการของโรคหลอดเลือดสมอง ไดแก 1)ทุกวันที่มีคลินิกความดันโลหิตสูง พยาบาลทำการคัดเลือกผูปวยกลุม เสี่ยง 2)แพทยรวมกับทีมผูวิจัยใหความรูเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมองแบบเจาะลึกทั้งรายกลุมและรายบุคคล โดยการใชเครื่องมือและนวตกรรมเขามามีสวนรวม ใชเวลา 30 นาที 3.2 ประเมินประสิทธิผลของรูปแบบโดย ประเมินความรูและทักษะในการจัดการตนเองที่เพิ่มขึ้น จาก การทำแบบสอบถาม Pre test – Post test และผูปวยโรคหลอดเลือดสมองเขาถึงระบบบริการทางดวนได เพิ่มขึ้นโดยดูจากขอมูลระยะเวลา Door to Door time ประชากรและกลุมตัวอยาง แบงเปน 4 กลุม 1) กลุมเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองที่เปนความดันโลหิตสูงที่มารับ บริการโรงพยาบาลแหลมสิงหที่ไดรับการคัดเลือกแบบเจาะจงมีCVD riskอยูในระดับสูงมากและสูงอันตราย อายุไมเกิน 70 ปมีสติสัมปชัญญะสมบูรณอานและเขียนหนังสือไดมีโทรศัพทและใชงานเปนจำนวน 30 คน ใชสูตรคำนวณของโคเฮน 2) แพทยประจำNCD clinic 1คน 3) พยาบาลNCD clinic 4คน และ 4)อาสาสมัคร สาธารณสุขประจำหมูบาน(อสม.) ผูรับผิดชอบเกี่ยวกับงาน NCD โดยตรง 14 คน รวมผูเขารวมวิจัย 49 คน สถิติที่ใชและการวิเคราะหขอมูล ไดแก 1)ขอมูลเชิงคุณภาพ ใชการวิเคราะหเชิงเนื้อหา 2)ขอมูลเชิงปริมาณ วิเคราะหโดยสถิติเชิงพรรณนา และ paired t-test ผลการวิจัย ตารางที่1 เปรียบเทียบระหวางความรูเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมอง และทักษะในการจัดการตนเองของ กลุมเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง กอนและหลังทำกิจกรรม ผลลัพธ จำนวนกลุมเสี่ยงที่ เขารวมกิจกรรม(คน) X SD. t-test p-value ความรู กอน 30 7.266 1.529 -5.590 0.000 หลัง 30 8.800 .550 ทักษะ กอน 30 2.300 1.600 -11.145 0.000 หลัง 30 5.366 .808 จากตารางที่1 หลังเขารวมกิจกรรม กลุมเสี่ยงมีความรูเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมองสูงขึ้นอยางมี นัยสำคัญทางสถิติ(t = -5.590 , p-value < 0.001) และมีทักษะในการจัดการตนเองสูงขึ้นอยางมีนัยสำคัญ ทางสถิติ(t = -11.145 , p-value < 0.001) ตารางที่2 คาเฉลี่ยเวลาการเขาถึงระบบบริการทางดวน(Door to Door time) และรอยละการเขาถึง ระบบบริการทางดวนไดทันเวลา ของกลุมเสี่ยงที่เขารวมกิจกรรมที่เปนโรคหลอดเลือดสมอง จำนวนกลุมเสี่ยงที่เขา รวมกิจกรรม (คน) กลุมเสี่ยงที่เปนโรคหลอด เลือดสมองคนที่ ... Door to Door time (นาที) X รอยละของการ เขาถึงทันเวลา 30 1 70 63.33 100 9 60 10 60 187


3 จากตารางที่2 จำนวนกลุมเสี่ยงที่เขารวมกิจกรรมทั้งหมด30 คน ปวยเปนโรคหลอดเลือดสมอง 3 คน ไดแก ลำดับที่ 1, 9 และ 10 เขาถึงระบบบริการทางดวนไดทันเวลา(Door to Door time)ทั้ง 3 คน คิดเปน รอยละ 100 โดยมีระยะเวลาเฉลี่ย 63.33 นาที สรุปและอภิปรายผลการวิจัย 1.รูปแบบที่เกิดขึ้นทำใหผูเขารวมกิจกรรมมีความรูเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้นและมีทักษะใน การจัดการตนเองเพิ่มขึ้น สอดคลองกับการศึกษาของกชพรรณ ศรีทวม ที่ทำการศึกษารูปแบบการเขาถึงบริการ การแพทยฉุกเฉินของผูปวยโรคหลอดเลือดสมอง ตำบลบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก และการศึกษาของอรทัย มานะธุระ ที่ทำการศึกษาผลการพัฒนาโปรแกรมความรอบรูทางสุขภาพ เรื่องอาการเตือนโรคหลอดเลือดสมอง และการเขาถึงระบบบริการทางดวนในผูปวยกลุมเสี่ยงความดันโลหิตสูงและญาติตำบลจักราช จังหวัด นครราชสีมา พบวาสงผลใหผูเขารวมกิจกรรมมีความรูและทักษะในการจัดการตนเองเพิ่มขึ้น สงผลใหเขารับ บริการทันเวลา ลดการเสียชีวิตและลดความพิการลงไดทั้งนี้อาจเปนเพราะมีการใชเครื่องมือบางอยางที่ คลายคลึงกันในสวนของการทำแบบทดสอบความรูและแบบประเมินทักษะ และไดทำในกลุมตัวอยางเดียวกัน ไดแก ผูปวยความดันโลหิตสูงที่เสี่ยงตอการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง 2.ประสิทธิผลของรูปแบบ พบวาผูเขารวมกิจกรรมมีความรูเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมองสูงกวากอน เขารวมกิจกรรมอยางมีนัยสำคัญทางสถิติ(p-value<0.001) มีทักษะในการจัดการตนเองสูงกวากอนเขารวม กิจกรรมอยางมีนัยสำคัญทางสถิติ(p-value<0.001) และรอยละของการเขาถึงระบบบริการทางดวนได ทันเวลาคิดเปนรอยละ 100 โดยมีระยะเวลาเฉลี่ย63.33นาที(เปาหมายไมเกิน150นาที) สอดคลองกับ การศึกษาของเกตุกาล ทิพยทิมพวงศเรื่องการพัฒนาระบบบริการชองทางดวนผูปวยโรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลทุงเสลี่ยมและเครือขาย พบวาผูเขารวมกิจกรรมมีความรูและทักษะในการจัดการตนเองเพิ่มขึ้น สงผลใหเขาถึงบริการไดเร็ว ใชเวลานอยกวาเกณฑที่กำหนดอยางมีนัยสำคัญทางสถิติ(p-value<0.001) และ ยังสอดคลองกับการศึกษาของสงบ บุญทองโทและคณะเรื่องการพัฒนาระบบบริการชองทางดวนผูปวยโรค หลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลวาปปทุมและเครือขายบริการ ผลการพัฒนาทำใหผูปวยเขาถึงบริการทันเวลา Door to Door time เฉลี่ย 72.22 นาที สรุปการวิจัย รูปแบบการเขาถึงระบบบริการทางดวนสำหรับกลุมเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลแหลมสิงห จังหวัดจันทบุรีคือ 2MP ซึ่งมีองคประกอบ 1) M (Man) คือบุคคลที่เกี่ยวของไดแก เจาหนาที่ดานสุขภาพ ผูปวยและอสม. 2) M (Material) ไดแก วัสดุอุปกรณ เครื่องมือ และ 3) P (process) ไดแก กระบวนการใน การเตรียมพัฒนารูปแบบ การนำรูปแบบไปใชและการประเมินผล ซึ่งภายหลังการใชรูปแบบสงผลใหผูปวยกลุม เสี่ยงมีความรูเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดและมีทักษะในการจัดการตนเองสูงขึ้น สามารถเขาถึงระบบบริการทาง ดวนไดทันเวลาที่กำหนด ไมเสียชีวิตและเกิดความพิการ ดังนั้นโรงพยาบาลแหลมสิงหควรนำรูปแบบการเขาถึง ระบบบริการทางดวนสำหรับกลุมเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองไปปรับใชกับผูปวยที่ขึ้นทะเบียนโรคความดันโลหิต สูงรายใหมทุกรายอยางตอเนื่อง ไมควรรอใหผูปวยพัฒนาไปเปนกลุมเสี่ยง และนำไปปรับใชในการดูแลผูปวย NCD อื่นใหมีประสิทธิภาพสูงสุด 188


4 การนำผลงานไปใชประโยชน หนวยงานทางดานสุขภาพอื่นที่มีปญหาคลายคลึงกันควรนำรูปแบบ การพัฒนารูปแบบการเขาถึง ระบบบริการทางดวนสำหรับกลุมเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลแหลมสิงห จังหวัดจันทบุรี ไป ประยุกตใชในการใหบริการผูปวยในพื้นที่ 189


บทคัดย่อ สถานการณ์เรื่องพัฒนาการเด็กในพื้นที่รับผิดชอบของ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลโยธะกา พบ ปัญหาการตรวจคัดกรองพัฒนาการยังไม่ครอบคลุม โดยรูปแบบการทำงานเดิมนั้นสามารถทำการตรวจพัฒนาการ เด็กได้แค่ 4 ราย ต่อวัน แต่มีจำนวนกลุ่มเป้าหมายทั้งหมดถึง 350 รายในพื้นที่ จากการวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา พบว่าผู้ปกครองเด็กปฐมวัยยังขาดความรู้ ความเข้าใจ และความตระหนักถึงความสำคัญของพัฒนาการเด็ก รวมไป ถึงขาดทักษะในการคัดกรองและกระตุ้นพัฒนาการเด็ก นอกจากนี้กำลังคนของ รพ.สต.โยธกาซึ่งเป็นหน่วยงาน รับผิดชอบก็มีจำกัดส่งผลให้บุคลากรแต่ละคนมีภาระงานจำนวนมากจนไม่สามารถจะดำเนินการตรวจพัฒนาการ เด็กได้ภายในเวลาที่กำหนด นอกจากนี้ยังค้นพบแนวโน้มของเด็กในพื้นที่ตำบลโยธะกามีจำนวนมากขึ้นและส่วน ใหญ่ติดโทรศัพท์มากขึ้น พัฒนาการของเด็กตำบลโยธะกาล่าช้า เข้าไม่ถึงการบริการสาธารณสุขในพื้นที่ รวมถึง ผู้ปกครองคิดว่าพัฒนาการเด็กล่าช้านั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย “เดี๋ยวโตก็ทำได้เอง” “ไปโรงเรียนครูก็สอนเอง” “ฉันคิด ว่าลูกหลานเก่งสามารถเปิดโทรศัพท์ดูได้ เปิดโทรทัศน์ได้เองโดยไม่รอผู้ปกครอง” ในบางครั้งผู้ปกครองมีมุมมองว่า ลูกหลานของตนมีพัฒนาการดี แต่พอลองตรวจพัฒนาการแล้ว “แค่วาดวงกลมเด็กกลับไม่สามารถทำได้ตามวัย” เด็กหลายคนขาดความมั่นใจในตัวเอง ไม่มีสมาธิ อยู่ไม่นิ่ง กรีดเสียงร้องโวยวาย เอาแต่ใจ ขว้างปาสิ่งของเวลาไม่ได้ ในสิ่งที่ต้องการ รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนากระบวนการคัดกรองพัฒนาการเด็กปฐมวัยโดย การมีส่วนร่วมของเครือข่าย ทำการศึกษาระหว่างเดือน มิถุนายน 2564- เดือนมิถุนายน พ.ศ.2565 ผู้ร่วม ปฏิบัติการ ประกอบด้วย อาสาสมัครสาธารณสุข 88 คน พยาบาลจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 1 คนนักวิชาการ สาธารณสุขและพยาบาลเทคนิคจาก โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 2 คน เจ้าหน้าที่จากมูลนิธิสร้างความเข้าใจ เรื่องสุขภาพผู้หญิง (สคส.) 4 คน รวม จำนวน 95 คน การตรวจคัดกรองและกระตุ้นพัฒนาการเด็กก่อนปฐมวัย (DSPM) ด้วยรูปแบบบริการเดิม ในระยะเวลา 1 เดือนจะสามารถ DSPM เด็กได้เพียง 17 ราย เท่านั้น ด้วยมี เจ้าหน้าที่ 4 คน ทำการคัดกรองแบบตั้งรับที่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลโยธะกา ในวัน EPI ที่มีเดือนละครั้ง เท่านั้นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลโยธะกาจึงได้ทำการอบรมพัฒนาศักยภาพ อาสาสมัครสาธารณสุข จำนวน 51 คน ที่สามารถตรวจคัดกรองพัฒนาการเด็กได้ 113 คนต่อวัน อีกทั้งยังช่วยแนะนำผู้ปกครองจำนวน 113 คนให้ สามารถสังเกตและกระตุ้นพัฒนาการลูกของตนเองได้ ผลการดำเนินงาน อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านตำบลโยธะกามีทั้งหมด 88 คน เข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 53 คน ได้วิเคราะห์บริบทการทำงานของตนเองและออกแบบการทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการคัดกรอง พัฒนาการเด็กที่ครอบคลุมทั้งพื้นที่จึงได้ชักชวนเพื่อน อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านตำบลโยธะกา อีก 37 คนที่เหลือให้มาร่วมเรียนรู้และฝึกตรวจคัดกรองพัฒนาการเด็กไปด้วยกัน ตลอดจนไปประสานความร่วมมือกับกอง สาธารณสุขขององค์การบริหารส่วนตำบล มาร่วมงานด้วยจนสามารถตรวจคัดกรองพัฒนาการเด็กได้ 350 คนต่อ วัน อีกทั้งยังช่วยแนะนำผู้ปกครองจำนวน 350 คนให้สามารถสังเกตและกระตุ้นพัฒนาการลูกของตนเองได้ ตำบลโยธะกาเป็นตำบลที่มีจุดแข็งสำคัญคือ ภาคีเครือข่ายสุขภาพที่เข็มแข็ง การทำงานแบบบูรณาการ การเข้าถึงและการปฏิบัติงานร่วมกันที่ดีมาโดยตลอด ทำให้การสร้างภาคีเครือข่ายในพื้นที่ เช่น อาสาสมัคร สาธารณสุขในพื้นที่ องค์การบริหารส่วนตำบล รวมถึงเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจำโรงพยาบาลส่งเสริมสุภาพโดยมี ทีมที่มีความรู้มากเข้ามาให้ความรู้ ความเข้าใจอย่างถูกต้องและดูแลให้คำปรึกษาติดตามด้วยดีเสมอมา จาก มูลนิธิ สร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพผู้หญิง(สคส.) ทำให้การดำเนินงานของเรา เป็นไปตามเป้าหมาย และมีภาคีเครือข่ายที่ มั่นคงและแก้ไข้ปัญหาพัฒนาการสมวัยได้ครอบคลุมพื้นที่มากขึ้นมากขึ้น 190


ชื่อเรื่อง การพัฒนากระบวนการตรวจคัดกรองพัฒนาการเด็กปฐมวัยโดยการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย ของ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลโยธะกา ผู้วิจัย นางสาวเทวิกา นิลวงษ์ นักวิชาการสาธารณสุขปฏิบัติการ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลโยธะกา อำเภอ บางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา ชื่อนำเสนอผลงาน นางสาวเทวิกา นิลวงษ์ สถานที่ติดต่อกลับ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลโยธะกา/ สาธารณสุขอำเภอบางน้ำเปรี้ยว เบอร์โทร 062-1862545 ความสำคัญของปัญหา พัฒนาการของมนุษย์เป็นกระบวนการที่มีความต่อเนื่องกันจนตลอดชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา(1) และยิ่ง ทวีความสำคัญมากขึ้นที่บุคลากรด้านสุขภาพต้องเข้าไปมีบทบาทส่งเสริมสนับสนุนนั้นคือการกระตุ้นพัฒนาการใน เด็กปฐมวัย (0-6 ปี) ซึ่งเป็นวัยที่มีความสำคัญที่สุด(2) เนื่องจากเด็กในวัยนี้มีการพัฒนาด้านร่างกาย ด้านอารมณ์และ จิตใจ ด้านสังคม และด้านสติปัญญาอย่างรวดเร็ว ดังนั้นผู้เกี่ยวข้องต้องรับรู้และเข้าใจในพัฒนาการและการเรียนรู้ ของเด็กปฐมวัยเพื่อให้สามารถกระตุ้นและจัดประสบการณ์ให้เด็กอย่างมีประสิทธิภาพ จากภาพรวมของประเทศไทยพบว่าเด็กปฐมวัยในช่วงเวลาสองทศวรรษที่ผ่านมามีพัฒนาการที่ไม่สมวัยสูง ถึงเกือบร้อยละ 30 ของเด็กปฐมวัยทั้งหมด ซึ่งอยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง สถานการณ์เรื่องพัฒนาการเด็กในพื้นที่รับผิดชอบของ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลโยธะกา พบ ปัญหาการตรวจคัดกรองพัฒนาการยังไม่ครอบคลุม โดยรูปแบบการทำงานเดิมนั้นสามารถทำการตรวจพัฒนาการ เด็กได้แค่ 4 ราย ต่อวัน แต่มีจำนวนกลุ่มเป้าหมายทั้งหมดถึง 350 รายในพื้นที่ จากการวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา พบว่าผู้ปกครองเด็กปฐมวัยยังขาดความรู้ ความเข้าใจ และความตระหนักถึงความสำคัญของพัฒนาการเด็ก รวมไป ถึงขาดทักษะในการคัดกรองและกระตุ้นพัฒนาการเด็ก นอกจากนี้กำลังคนของ รพ.สต.โยธกาซึ่งเป็นหน่วยงาน รับผิดชอบก็มีจำกัดส่งผลให้บุคลากรแต่ละคนมีภาระงานจำนวนมากจนไม่สามารถจะดำเนินการตรวจพัฒนาการ เด็กได้ภายในเวลาที่กำหนด นอกจากนี้ยังค้นพบแนวโน้มของเด็กในพื้นที่ตำบลโยธะกามีจำนวนมากขึ้นและส่วนใหญ่ติดโทรศัพท์มาก ขึ้น พัฒนาการของเด็กตำบลโยธะกาล่าช้า เข้าไม่ถึงการบริการสาธารณสุขในพื้นที่ รวมถึงผู้ปกครองคิดว่า พัฒนาการเด็กล่าช้านั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย “เดี๋ยวโตก็ทำได้เอง” “ไปโรงเรียนครูก็สอนเอง” “ฉันคิดว่าลูกหลานเก่ง สามารถเปิดโทรศัพท์ดูได้ เปิดโทรทัศน์ได้เองโดยไม่รอผู้ปกครอง” ในบางครั้งผู้ปกครองมีมุมมองว่าลูกหลานของตน มีพัฒนาการดี แต่พอลองตรวจพัฒนาการแล้ว “แค่วาดวงกลมเด็กกลับไม่สามารถทำได้ตามวัย” เด็กหลายคนขาด ความมั่นใจในตัวเอง ไม่มีสมาธิ อยู่ไม่นิ่ง กรีดเสียงร้องโวยวาย เอาแต่ใจ ขว้างปาสิ่งของเวลาไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ วัตถุประสงค์ทั่วไป เพื่อพัฒนากระบวนการตรวจคัดกรองพัฒนาการเด็กโดยการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย วัตถุประสงค์เฉพาะ 1. เพื่อศึกษารูปแบบของกระบวนการพัฒนาภาคีเครือข่ายในการตรวจคัดกรองพัฒนาการเด็ก 2. เพื่อศึกษาผลของกระบวนการพัฒนาภาคีเครือข่ายในการตรวจคัดกรองพัฒนาการเด็ก 191


วิธีการศึกษา รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนากระบวนการคัดกรองพัฒนาการเด็กปฐมวัยโดย การมีส่วนร่วมของเครือข่าย ทำการศึกษาระหว่างเดือน มิถุนายน 2564- เดือนมิถุนายน พ.ศ.2565 ผู้ร่วม ปฏิบัติการ ประกอบด้วย อาสาสมัครสาธารณสุข 88 คน พยาบาลจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 1 คนนักวิชาการ สาธารณสุขและพยาบาลเทคนิคจาก โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 2 คน เจ้าหน้าที่จากมูลนิธิสร้างความเข้าใจ เรื่องสุขภาพผู้หญิง (สคส.) 4 คน รวม จำนวน 95 คน กลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วย เด็กปฐมวัย จำนวน 350 คน และ แม่/ผู้ปกครอง จำนวน 350 คน โดยอบรมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน สาธิตวิธีการตรวจคัดกรอง พัฒนาการที่ถูกต้อง ฝึกปฏิบัติและลงพื้นประเมินพัฒนาการจริง ผลการดำเนินงานตรวจคัดกรองและประสิทธิภาพของรูปแบบการตรวจคัดกรองพัฒนาการเด็กปฐมวัย ของ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลโยธะกา การตรวจคัดกรองและกระตุ้นพัฒนาการเด็กก่อนปฐมวัย (DSPM) ด้วยรูปแบบบริการเดิม ในระยะเวลา 1 เดือนจะสามารถ DSPM เด็กได้เพียง 17 ราย เท่านั้น ด้วยมีเจ้าหน้าที่ 4 คน ทำการคัดกรองแบบตั้งรับที่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลโยธะกา ในวัน EPI ที่มีเดือนละครั้งเท่านั้น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลโยธะกาจึงได้ทำการอบรมพัฒนาศักยภาพ อาสาสมัครสาธารณสุข จำนวน 51 คน ที่สามารถตรวจคัดกรองพัฒนาการเด็กได้ 113 คนต่อวัน อีกทั้งยังช่วยแนะนำผู้ปกครองจำนวน 113 คนให้สามารถสังเกตและกระตุ้นพัฒนาการลูกของตนเองได้ ผลการดำเนินงาน อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านตำบลโยธะกามีทั้งหมด88คน เข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 53 คน ได้วิเคราะห์บริบทการทำงานของตนเองและออกแบบการทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการคัดกรอง พัฒนาการเด็กที่ครอบคลุมทั้งพื้นที่จึงได้ชักชวนเพื่อน อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านตำบลโยธะกา อีก 37 คนที่เหลือให้มาร่วมเรียนรู้และฝึกตรวจคัดกรองพัฒนาการเด็กไปด้วยกัน ตลอดจนไปประสานความร่วมมือกับกอง สาธารณสุขขององค์การบริหารส่วนตำบล มาร่วมงานด้วยจนสามารถตรวจคัดกรองพัฒนาการเด็กได้ 350 คนต่อ วัน อีกทั้งยังช่วยแนะนำผู้ปกครองจำนวน 350 คนให้สามารถสังเกตและกระตุ้นพัฒนาการลูกของตนเองได้ อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ การมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในการคัดกรองพัฒนาการเด็กปฐมวัยเชิงรุกในชุมชนนี้มีบทบาทสำคัญ อย่างยิ่งในการกระตุ้นให้พ่อแม่/ผู้ปกครองเกิดความตระหนักและเห็นความสำคัญของเฝ้าสังเกตุและตรวจคัดกรอง พัฒนาการเด็ก เพื่อให้บุตรหลานในชุมชนมีพัฒนาการที่ดีสมวัย โดยปัจจัยแห่งความสำเร็จของกระบวนการตรวจ คัดกรองพัฒนาการเด็กปฐมวัยโดยการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย คือ ความเข้มแข็งของเครือข่ายในการขับเคลื่อน ระบบหรือการทำงานเป็นทีมที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน(5) การมีส่วนร่วมของเครือข่ายสุขภาพด้านพัฒนาการเด็กปฐมวัยในชุมชนนั้น มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง ในการ กระตุ้นให้ผู้ปกครองเกิดความตระหนักและเล็งเห็นความสำคัญของพัฒนาการ และให้ความร่วมมือ ในการกระตุ้น พัฒนาการบุตรหลาน ด้านต่างๆเพื่อพัฒนาการที่ดีขึ้น จึงต้องมีการ ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ การสร้างพลังใน ชุมชนอย่างต่อเนื่อง (Community Learning) เพราะเมื่อเกิดการเรียนรู้แลกเปลี่ยน จนเป็นวงจรต่อเนื่องไม่รู้จบ ทำให้เกิดพลังมหาศาล ในการดำเนินกิจกรรม 192


การนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในงานประจำ การมีส่วนร่วมของเครืองข่ายสุขภาพด้านพัฒนาการเด็กปฐมวัยในชุมชนนั้น มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง ใน การกระตุ้นให้ผู้ปกครองเกิดความตระหนักและเร่งเห็นความสำคัญของพัฒนาการ และให้ความร่วมมือ ในการ กระตุ้นพัฒนาการบุตรหลาน ด้านต่างๆเพื่อพัฒนาการที่ดีขึ้น จากกิจกรรมดังกล่าว มิได้มุ่งเน้นแต่เพียงการ แก้ปัญหาพัฒนาการเด็กปฐมวัยเท่านั้น หากเป็นการ พัฒนาชุมชนแบบองค์รวม โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน ในการพัฒนา และประชาชนเองก็เป็นศูนย์กลาง ในการร่วม โดยมีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านและทีมภาคีเครืข่ายร่วม ดำเนินงาน ให้บรรลุเป้าหมาย ดังนั้น ทั้งในส่วนของประชาชน ภาคีเครือข่ายในชุมชนและเจ้าหน้าที่สุขภาพ จึงต้อง มีการ ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ การสร้างพลังในชุมชนอย่างต่อเนื่อง (Community Learning) เพราะเมื่อเกิด การเรียนรู้แลกเปลี่ยน จนเป็นวงจรต่อเนื่องไม่รู้จบ ทำให้เกิดพลังมหาศาล ในการดำเนินกิจกรรมร่วมกันในสังคม ผลที่ได้จะทำให้เด็กปฐมวัยในพื้นที่มีพัฒนาการที่ดี สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข และการติดตาม กระตุ้นพัฒนาการเด็ก0-6ปี ในพื้นที่ตำบลโยธะกา ในอนาคตคาดหวังว่าเด็กตำบลโยธะกาจะมีแต่เด็กพัฒนาการ สมวัย ปัจจัยแห่งความสำเร็จ ตำบลโยธะกาเป็นตำบลที่มีจุดแข็งสำคัญคือ ภาคีเครือข่ายสุขภาพที่เข็มแข็ง การทำงานแบบบูรณาการ การเข้าถึงและการปฏิบัติงานร่วมกันที่ดีมาโดยตลอด ทำให้การสร้างภาคีเครือข่ายในพื้นที่ เช่น อาสาสมัคร สาธารณสุขในพื้นที่ องค์การบริหารส่วนตำบล รวมถึงเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจำโรงพยาบาลส่งเสริมสุภาพโดยมี ทีมที่มีความรู้มากเข้ามาให้ความรู้ ความเข้าใจอย่างถูกต้องและดูแลให้คำปรึกษาติดตามด้วยดีเสมอมา จาก มูลนิธิ สร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพผู้หญิง(สคส.) ทำให้การดำเนินงานของเรา เป็นไปตามเป้าหมาย และมีภาคีเครือข่ายที่ มั่นคงและแก้ไข้ปัญหาพัฒนาการสมวัยได้ครอบคลุมพื้นที่มากขึ้นมากขึ้น 193


 (fiflfi&!ffi (!)((fiflfi&/ffl550ff0fl$/%fi45  5    5 ,1%/fi,1%nFMAUCAY3S52VL?X>^AE4X^C9X`SAYdJY?iSSV2VLEN>^3iV3=T^>XCaCF]jEhNK3jS^3iV^Q[dSJn &ffi.3!)'ff5CVKBCUAn?X2El::VN\<Xn_MTnCV5BCU?@VnNLL=EfKTLU?Ckn_FC22VKIVGDWDU>nLG_RMJ7DU5n 'ff2% n 3jS^3iV^Q[dSJ^EmC`L4AYdGDJV2aCF]jQ]5SVK\n_MTRV2bJib>jLUD2VL>]_MAYd^RJVTQJ6TCWbEQ]iEl:RVaC2VL^>XCn A\GGMIVG_MT4NVJGX2VLnAUe5CYe3jS^3iV^Q[dSJ^EmCEl:RVQ\3IVGRCZd5AYd2LTALN5QVBVL=Q\3aRj4NVJQW4U:aC F]jQ]5SVK\n2VL?X>^AE4X^C9X`Sn$(!,$)-ffl*!nn^EmCNXBY2VLRCZd5AYdCWJVa8jaCAV52VKIVGDWDU>n?UN^AEK[>AYdJY MU2P=T^7GVT8iNK^GXdJHl52k8dC3S5^C U [eS^K[dSb>jRMVK8CX>nLNJAUe5^GXdJ2VLAW5VC3S5LTDDaC^8X5QLYLTNXAKVnbJiNiV6T ^EmC^G[dSM>EN>6V2LTKT^7YKDGMUCRL[S^L[eSLU56V22Mb22VL^4M[dSCbRNnAWaRj2VL?X>^AE8CX>CYeb>jLUD4NVJCXKJaC El66\DUCnNU?@\ELTQ54k^G[dS^ELYKD^AYKDFMAUCAY3S52VL?X>nnAYdJY?iSSV2VLEN>^3iV3=T^>XC2iSC_MTRMU52VL?X> ^AEaCF]jEhNK3jS^3iV^Q[dSJn !)*(fi"+#(n2M\iJ?UNSKiV5^EmCF]jEhNKAYdJYSV2VLEN>^3iV_MTJY2VLFX>L]EaCMU2P=T^3iV8X>nAYdb>jLUD2VL?LN6n fl+ffl1n_MTb>jLUD2VLNXCX67UK3jS^3iV^Q[dSJ`>K_GAKkn_MTb>jLUD2VLQi5?iS^G[dSLU2PVAV52VKIVGDWDU>n`L5GKVDVM _RMJ7DU5n68MD\LYn6WCNCn n4Cnb>jJV`>K2VL4U>^M[S2_DD^7GVT^6VT65n.+*),$/!n!&!fi-$)(n2M\iJ ?UNSKiV5b>jLUD2VL?X>nn n^A4C4n`>KC X U22VKIVGDWDU>AYdFiVC2VLSDLJ_MTSS2aDLUDLS5`>Kn'!+$fiffl(n $(!,$)nffl*$(#n,,)fi$ffl-$)(nnn_MTnn n2M\iJ?UNSKiV56Tb>jLUD2VLELT^JXCLT>UD4NVJ^6cDEN>n$,.ffl&n ffl(ffl&)#n*ffl$(n,fiffl&!nn3=T^>XC^EmCLTKTAV5nn^J?LnAUe52iSC_MTRMU52VL?X>^AEAUCAYn2VLNX^4LVTRk3jSJ]M a8jQ@X?XGLL=CVSBXDVK3jSJ]MG[eC;VCn)&')#)+)/'$+()/n^G[dSNX^4LVTRk2VL_62_653S53jSJ]Mn_MTn $&fi)0)(n$#(! nffl(%,n!,-n2WRC>4iVCUKQW4U:AYdn n^G[dS^ELYKD^AYKDSV2VLEN>3=T^>XC2iSC_MTRMU5 2VL?X>^AEn>jNK`EL_2LJQW^Lc6L]Enn")+nfflfin-ffl-$,-$fi,n.ff,fi+$*-$)(n ffi (fi"+#(n2M\iJ?UNSKiV56WCNCn n4Cn8VKnn4CnR:X5n n4CnSVK\^7MYdKn ± nEgnGDNiVJY SV2VLEN>^3iV3=T^>XC2iSC2VL?X>nn*+!nLTRNiV5nn ± n_MTIVKRMU52VL?X>nn*),-n LTRNiV5nn± n^J[dS^ELYKD^AYKDSV2VLEN>3=T^>XC2iSC_MTRM52VL? U X>nnGDNiVJY4NVJ_?2?iV52UC SKiV5JYCUKQW4U:AV5Q@X?Xnffi  n*nnn $fi-flffi 56V22VLOZ2PVCYeGDNiV2VL?X>nnaCF]jEhNK3jS^3iV^Q[dSJQVJVL@8iNKM>SV2VLEN>3=T^>XCb>j SKiV5AUCAYnAUe5CYe2VL?X>^AE^EmC2VLM>2Mb2AYdAWaRj^2X>SV2VLEN>6V22VL^4M[dSCbRN3S53jS?iSnn2VLNX^4LVTRk El:RV_MT^3jVa6@Z52Mb22VL^4M[dSCbRN3S53jS^3iV6Z5JY4NVJQW4U:_MTF]j?X>4NLJYAU2PTaC2VLa8j^AEn^G[dSaRj2VL ?X>^AEJYELTQXABXIVGJV2KXd53ZeCn_MT4NLJY2VLSS22WMU52VK4ND4]ibE>jNKnQ\>AjVK_MjNF]jEhNK6TQVJVL@AW2X6NU?L ELT6WNUCb>jSKiV5E2?X_MT^EmC2VLK[>^NMVaC2VLa8j^3iV`>KbJiJYSV2VLEN>bEb>jSY2CVCn 194


 ,"ffl"*$ff#,ffi$.,,"ffl"*4fi;;6!6ffl'4)"9;  ;    ; 17)4"17)‡\cWlYWpIjKHmbUoTuW[JouYOowjWp|`pU‚jjmHmb[dTuI‚mISkuToYxY\tƒ[€daIƒjuI‚mugr|j`‡ ‡ 0A@2‡3320@‡;3‡ 6:2?6;‡'.<6:4‡;:‡ :22‡$.6:‡A>6:4‡*.876:4‡6:‡#?@2;.>@5>6@6?‡ *ff38$.+!;YmaXYlW‡UoH[…PPmdsRo‡vck‡YmKXYlUVm‡dbbS[~akblUY„‡v\YHHma_m]ZnZlT‡b]vhc`MZlK‡ ff38ffi-4'ffi)ff#,ffi;YmaXYlW‡UoH[…PPmdsRo‡wWb‡  ‡9.68‡6029.:6:@2>5;@9.680;9‡ $, '-+)ffl:(, ‡ IƒjuI‚mugr|j`u[†YwbJWp|]Z`mHxY\tƒgtKjmas‡vckhmHy`‚yTƒblZHmbTtvcWp|uh`mkg`LkYny[gt‚[…PhmxYHmbuToY‡ Ws]]c_m]vckJdm`]oHmb‡Wl}KYp}IƒjuI‚mugr|j`u[†Y[…PhmgsI_m]hYq|KWp|HbkWbdKgmXmbSgsIxhƒJdm`gnJlPxY \tƒgtKjmas‡LY`pHmbLlTUl}KJcoYoH\tƒgtKjmasWl|d[bkuWevckyTƒ`vYdWmKxYHmbJ p lTHbjKwbJIƒjuI‚mugr|j`xYJcoYoH‡Hmb blHfmTƒdadoXpHmbWmKHma_m]ZnZlTu[†YdoXpHmbblHfmWp|yTƒLlTu[†YHmbblHfmWp|y`‚xNƒamxYHmbTtvc\tƒ[€dau]r|jcTjmHmb [dT‡[jKHlYvckblHfm[…PhmLmHIƒjuI‚mugr|j`Wp|uHp|adIƒjKHlZHmbuToYvckHmbuJcr|jYyhdjr|Y‡ ‡wTaxNƒuJbr|jK`rjWmK Hma_m]ZnZlTvckxNƒjs[HbS„N‚daHmbuJcr|jYyhd‡UcjTLYHmb[blZu[cp|aYW‚mWmKvckdoXpHmbxYHmbuJcr|jYyhd‡ HmbUoTuW[JouYOowj‡ 6:2?6;@.<2‡ '‡u[†YdoXpHmbhYq|KWp|Yn`mxNƒxYHmbZnZlTxYWmKHma_m]ZnZlT‡yTƒ`pHmbxNƒ`m ja‚mKamdYmYvckyTƒblZHmb]lRYm`mja‚mKU‚juYr|jKWl}KclHfSkIjKuW[Wp|xN‡bƒ t[vZZ‡vckdoXpHmbxYHmbUoTuW[‡Uld uW[arTWp|`pclHfSkuM]mkN‚dau]o|`^…KH„Nl|YIjKuYr}juar|jyTƒhcmaNYoT‡bd`Wl}Ku]o|`HmbWnKmYIjKbkZZxYuNoKgbpbk doWam‡TƒdadoXpHmbUoTWp|hcmHhcmaUm`dlUVs[bkgKJ„IjK\tƒxhƒHmbblHfm‡y`‚d‚mLku[†Yu]r|jcT[dTLmHbkakuMpaZ]clY hbrjubr}jblKLmHHcyHHmbuJcr|jYyhd‡WnxhƒHmbUoTuW[NYoTYp}yTƒblZJdm`Yoa`xY[…LLsZlY‡ $+2ffl"*'9 u]r|ju[bpaZuWpaZ\cWlYWpIjKHmbUoT‡ '‡Wp|`pU‚jjmHmb[dTuI‚mISkuToYH‚jYvckhclKHmbUoTuW[xY\tƒ[€da IƒjuI‚mugr|j`‡ $.fl/,"%0&, ‡ Hcs‚`Uldja‚mKu[†Y\tƒ[€daWp|`pjmHmb[dTuI‚mvck`pHmb\oTbt[IjKIƒjuI‚mxYclHfSkuI‚mNoT‡ffi2:A‡B.84A9‡;3‡‡ :22‡Wp|yTƒblZHmbUbdL‡+>.E‡vckyTƒblZHmbdoYoLMlaIƒjuI‚mugr|j`wTav]Wa„‡vckyTƒblZHmbg‚KU‚ju]r|jblHfmWmK Hma_m]ZnZlT‡wbK]amZmcvhc`MZlK‡LNcZsbp‡LnYdY‡‡JY‡yTƒ`mwTaHmbJlTucrjHvZZuM]mkuLmkLK‡ $A><;?6B2‡&2820@6;:‡Hcs‚`Uldja‚mKyTƒblZHmbUoT‡ '‡TƒdauWJYoJ‡flA:0@6;:.8‡0;8820@6;:‡9216.8‡48616:4‡ vck‡&<.02‡IjK‡$.@288.>‡!64.92:@‡0;8820@6;:‡IjK‡"216.8‡0;88.@2>.8‡864.92:@‡fl.?06.‡0;8820@6;:‡ 122<‡8.E2>‡IjK‡ff86;@6/6.8‡/.:1‡vck‡fl.0686@.@2‡IjKHcƒm`uYr}j‡).?@A?‡9216.886?‡yTƒblZHmbUoTuW[wTaYlH Hma_m]ZnZlTWp|\‚mYHmbjZb`vckjjHxZblZbjKwTa‡92>60.:‡ 6:2?6;‡'.<6:4‡??;06.@6;:‡ '‡ ‡vck‡ '‡ ‡Wl}KYp}Hcs‚`Uldja‚mKLkyTƒblZHmb[bku`oYbkTlZJdm`uL{Z[dT‡)6?A.8‡.:.8;4‡<.6:‡?0.82‡)&‡ISkuToYu[†Y 195


Click to View FlipBook Version