The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

Ebook เล่มเอกสารผลงานวิชาการ เขตสุขภาพที่ 6 ปีงบ 66 ณ 30 ส.ค.66

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

เล่มเอกสารผลงานวิชาการ เขตสุขภาพที่ 6 ปีงบ 66 ณ 30 ส.ค.66

Ebook เล่มเอกสารผลงานวิชาการ เขตสุขภาพที่ 6 ปีงบ 66 ณ 30 ส.ค.66

Keywords: Ebook เล่มเอกสารผลงานวิชาการ

วัตถุประสงค์ 1.เพื่อให้มีระบบการส่งต่อตามมาตรฐาน และแนวทางเดียวกันทั้งอำเภอ 2.ผู้ป่วยได้รับความปลอดภัย และแก้ไขภาวะฉุกเฉินเบื้องต้นตามมาตรฐาน ตัวชี้วัด -ร้อยละ ของการส่งต่อผู้ป่วยชายแดน กัมพูชา จาก สำรูด มา รพ.บ่อไร่ ได้รับการประสานงาน ทุกราย 100 % ดำเนินงานดังนี้ 1.เยี่ยม อนามัยสำรูด โดยมีท่านสาธารณสุขอำเภอ ผู้ช่วยสาธารณสุขอำเภอ และทีม อำเภอบ่อไร่ 2.Group Line ในการสื่อสาร 3. มีการจัดทำ Flow การส่งต่อ 96


หลังจากนั้นพบปัญหา โควิดด่านปิด ไม่มีการส่งต่อผู้ป่วย ในปี 64 • เจ้าหน้าที่ที่อยู่ ทีม ประสานงาน ระดับหัวหน้างาน ลาออก เกษียณ ย้าย ทำให้ระบบการทำงานขาด การดำเนินต่อ ปี 65 ในปี พ.ศ 66 พบ ปัญหา ผู้ป่วย Trauma ไป โรงพยาบาลตราด โดย ไม่ได้ ประสาน โรงพยาบาลบ่อไร่ โดยนำผู้ป่วยไป เอง โดย แพทย์ Neuro ศัลย์ ได้แจ้งว่าผู้ป่วย E1V2M4 ต้องใส่ ETT มีภาวะสมองบวม ให้ โรงพยาบาลบ่อไร่ ทบทวนระบบ Refer ชายแดน จากการตามเคสจาก โรงพยาบาลตราดพบ ผู้ป่วย จำหน่าย 16 กุมภาพันธ์ 2566 SCORE E4VT Jackson เป็นผู้ป่วยติดเตียง เกิดภาวะพิการ ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ขั้นตอน 1.สอบถามหน้างานว่ามีใครโทรประสานส่งต่อผู้ป่วย หรือ ไม่ 2.แจ้งหัวหน้าฝ่ายการพยาบาลรับทราบ 3.แจ้งสำนักงานสาธารณสุข อำเภอบ่อไร่รับทราบ และประชุมหารือ แนวทางที่ดำเนินการ 97


การประชุม ระดับอำเภอ และภาคส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ประชุมระดับหน่วยงาน หัวหน้าฝ่ายการ และท่านสาธารณสุขอำเภอ และผู้ช่วย 98


ได้รับการสนับสนุนและดูงานที่สำรูด โดยได้ความอนุเคราะห์จาก อำเภอ และพี่จิตอาสา ที่ลาออกไปเป็นผู้นำทีม 99


วันที่ 8 ก.พ.66 ดูงาน รพ คลองใหญ่ ชอ่งทางการสอื่สารใหมร่ะหวา่งโรงพยาบาลบอ่ ไร-่ ส ารดู 100


ปรับ Flow การประสานงาน 101


ผลลัพธ์ หลังจากมีการปรับ Flow Walk In ยังไม่พบปัญหาระบบการส่งต่อโดยไม่แจ้งประสานงานหรือผู้ป่วยทรุด ลงจากการไปเอง แผนพัฒนา 1.นำเสนอแนวทางปฏิบัติงานเข้าทบทวนในทีมผู้เกี่ยวข้องทุกปีในระดับอำเภอ เนื่องจากการ ปรับเปลี่ยนบุคลากร อาจเกิดความคลาดเคลื่อนในการสื่อสารได้และทันที่เมื่อพบปัญหา 2.ร่วมพัฒนาทักษะการคัดกรองผู้ป่วยในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เข้าใจหลักการและใช้เกณฑ์การ คัดกรองเดียวกันทุกปี แนวทางการปฏิบัติงานหลังปรับใหม่ 102


“สาธารณสุขทางทะเล และ Digital เพื่อสุขภาพ” 1.ชื่อเรื่อง กรณีศึกษาเปรียบเทียบการผ่าตัดและการให้การดูแลรักษาผู้ป่วยภาวะหลอดเลือดสมองโป่งพองแตก 2.ชื่อผู้วิจัยหรือคณะผู้วิจัย พร้อมชื่อหน่วยงาน นายแพทย์เสฏฐวุฒิ ทองเพ็ชร์ ตำแหน่ง นายแพทย์ชำนาญการ สาขาประสาทศัลยกรรม 3.บทคัดย่อ โรคหลอดเลือดโป่งพองในสมอง (Cerebral aneurysm) คือตำแหน่งของหลอดเลือดสมองที่มีการโป่งพอง ออกจากผนังปกติ เมื่อมีแรงดันมากขึ้นจะทำให้ความเสี่ยงที่หลอดเลือดสมองจะแตกมีเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่ง ส่งผลให้เนื้อสมองได้รับการบาดเจ็บ และมีอันตรายจนถึงเสียชีวิตได้ จากการวิจัยพบว่าหากหลอดเลือดสมองที่โป่ง พองแตกจะมีอัตราการเสียชีวิตได้ถึง 24% ใน 24 ชั่วโมง ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้การรักษาอย่าง รวดเร็วที่สุด ผู้วิจัยจึงได้จัดทำกรณีศึกษาเปรียบเทียบ เพื่อทำการศึกษาเปรียบเทียบการผ่าตัดและการให้การดูแล รักษาผู้ป่วยภาวะหลอดเลือดสมองโป่งพองแตก กรณีศึกษาที่ 1 มาโรงพยาบาลด้วยอาการเรียกไม่รู้สึกตัว 2 ชั่วโมง ก่อนมาโรงพยาบาล พบว่ามี ruptured saccular aneurysm proximal M1 of right middle cerebral artery , ประเมิน modified Fisher grading scale 3 ,ประเมิน WFNS grade 5 ,ประเมิน Hunt and Hess grading scale 5 ให้การรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด ใช้เวลาในการผ่าตัด 4 ชั่วโมง 5 นาที และเสียเลือดระหว่างการผ่าตัด 300 ml. กรณีศึกษาที่ 2 มาโรงพยาบาลด้วยอาการชักเกร็งกระตุกทั่วทั้งตัว 20 นาทีก่อนมาโรงพยาบาล พบว่ามี ruptured saccular aneurysm right MCA-ACA bifurcation (proximal M1 of right middle cerebral artery) ,ประเมิน modified Fisher grading scale 3 ,ประเมิน WFNS grade 3 ,ประเมิน Hunt and Hess grading scale 3 ให้ การรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด ใช้เวลาในการผ่าตัด 3 ชั่วโมง 15 นาที และเสียเลือดระหว่างการผ่าตัด 300 ml. กรณีศึกษาที่ 1 ทำการตรวจติดตามอาการผู้ป่วยที่สามเดือนหลังการผ่าตัด ทำการประเมิน Glasgow outcome scale ระดับ 2 เปรียบเทียบกับกรณีศึกษาที่ 2 ทำการประเมิน Glasgow outcome scale ระดับ 3-4 จาก กรณีศึกษาทั้งสองกรณีพบว่า ทั้งสองกรณีศึกษาตำแหน่งของหลอดเลือดสมองโป่งพองแตก (ruptured cerebral aneurysm) อยู่ในตำแหน่งที่ใกล้เคียงกัน การผ่าตัดในลักษณะรูปแบบใกล้เคียงกัน จะเห็นได้ว่าหากสามารถให้การ รักษาผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที จะสามารถทำให้การฟื้นตัวของผู้ป่วยดีกว่านั่นเองตลอดจนนำมาผลลัพธ์ที่ ดีในการดูแลรักษาผู้ป่วยและพัฒนาองค์กรต่อไป 103


“สาธารณสุขทางทะเล และ Digital เพื่อสุขภาพ” 1.ชื่อเรื่อง กรณีศึกษาเปรียบเทียบการผ่าตัดและการให้การดูแลรักษาผู้ป่วยภาวะหลอดเลือดสมองโป่งพองแตก 2.ชื่อผู้วิจัยหรือคณะผู้วิจัย พร้อมชื่อหน่วยงาน นายแพทย์เสฏฐวุฒิ ทองเพ็ชร์ ตำแหน่ง นายแพทย์ชำนาญการ สาขาประสาทศัลยกรรม 3.ชื่อผู้นำเสนอผลงาน นายแพทย์เสฏฐวุฒิ ทองเพ็ชร์ ตำแหน่ง นายแพทย์ชำนาญการ สาขาประสาทศัลยกรรม 4.ความสำคัญของปัญหา โรคหลอดเลือดโป่งพองในสมอง (Cerebral aneurysm) คือตำแหน่งของหลอดเลือดสมองที่มีการโป่งพอง ออกจากผนังปกติ เกิดจากแรงดันในหลอดเลือดกระทบกับบริเวณผนังหลอดเลือดที่อ่อนแอ จนเกิดการดันให้โป่ง พองขึ้น เมื่อมีแรงดันมากขึ้นจะทำให้ความเสี่ยงที่หลอดเลือดสมองจะแตกมีเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งส่งผลให้เนื้อ สมองได้รับการบาดเจ็บ และมีอันตรายจนถึงเสียชีวิตได้ จากการวิจัยพบว่าหากหลอดเลือดสมองที่โป่งพองแตกจะมี อัตราการเสียชีวิตได้ถึง 24% ใน 24 ชั่วโมง ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้การรักษาอย่างรวดเร็วที่สุด ภายหลังจากการทำการรักษาหลอดเลือดสมองโป่งพองแตกแล้ว การดูแลผู้ป่วยในระยะพักฟื้นนับว่ามีความสำคัญ อย่างมาก เนื่องจากเป็นภาวะที่มีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้มาก และมักรุนแรง จึงควรมีความรู้ความเข้าใจเป็นอย่าง ดี เพื่อสามารถให้การรักษาผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด 5.วัตถุประสงค์ เพื่อทำการศึกษาเปรียบเทียบการผ่าตัดและการให้การดูแลรักษาผู้ป่วยภาวะหลอดเลือดสมองโป่งพองแตก 6.วิธีการศึกษา : กรณีศึกษาเปรียบเทียบ (comparative case study) กรณีศึกษาที่ 1 เคสผู้ป่วยชาย อายุ 59 โรคประจำตัวไขมันโลหิตสูง ความดันโลหิตสูง ไม่มียาประจำ มา โรงพยาบาลด้วยอาการเรียกไม่รู้สึกตัว 2 ชั่วโมง ก่อนมาโรงพยาบาล ตรวจร่างกายระดับความรับรู้สึกตัว e1vtm2 pupil right 5 mm fix left 4 mm fix motor ขยับข้างขวามากกว่าข้างซ้าย ได้ทำการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง แบบฉีดสีเส้นเลือด พบว่ามี ruptured saccular aneurysm proximal M1 of right middle cerebral artery , ประเมิน modified Fisher grading scale 3 ,ประเมิน WFNS grade 5 ,ประเมิน Hunt and Hess grading scale 104


5 ให้การรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดแบบเปิดเพื่อหนีบเส้นเลือด (open surgical microvascular clipping) การผ่าตัด ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ใช้เวลาในการผ่าตัด 4 ชั่วโมง 5 นาที และเสียเลือดระหว่างการผ่าตัด 300 ml. รูปภาพ CT brain ก่อนและหลังผ่าตัด กรณีศึกษาที่ 1 กรณีศึกษาที่ 2 เคสผู้ป่วยชาย อายุ 55 ไม่มีโรคประจำตัว ไม่มียาประจำ มาโรงพยาบาลด้วยอาการชักเกร็ง กระตุกทั่วทั้งตัว 20 นาที ก่อนมาโรงพยาบาล ตรวจร่างกายระดับความรับรู้สึกตัว e3v4m6 pupil 3 mm react to light both eye motor ขยับข้างขวามากกว่าข้างซ้าย ได้ทำการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองแบบฉีดสีเส้นเลือด พบว่ามี ruptured saccular aneurysm right MCA-ACA bifurcation(proximal M1 of right middle cerebral artery) ,ประเมิน modified Fisher grading scale 3 ,ประเมิน WFNS grade 3 ,ประเมิน Hunt and Hess grading scale 3 ให้การรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดแบบเปิดเพื่อหนีบเส้นเลือด (open surgical microvascular clipping)การผ่าตัดประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ใช้เวลาในการผ่าตัด 3 ชั่วโมง 15 นาที และเสียเลือดระหว่างการ ผ่าตัด 300 ml. รูปภาพ CT brain ก่อนและหลังผ่าตัด กรณีศึกษาที่ 2 105


7.ผลการศึกษา : กรณีศึกษาที่ 1 ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดแบบเปิดเพื่อหนีบเส้นเลือด (open surgical microvascular clipping) ด้วยการผ่าตัดแบบ pterional approach with proximal to distal หลังการผ่าตัดผู้ป่วยมีภาวะ clinical vasospasm ได้ทำ triple H therapy คือ hypertension ,hemodilution ,hypervolemia 7 วัน และมี hospital acquired pneumonia ได้ยาฆ่าเชื้อจนอาการดีขึ้น และกลับบ้านได้ ทำการตรวจติดตามอาการผู้ป่วยที่ สามเดือนหลังการผ่าตัด ตรวจร่างกายระดับความรับรู้สึกตัว e4vtm4 pupil 3 mm slightly react to light both eye motor ขยับข้างขวามากกว่าข้างซ้าย สามารถหายใจได้เอง ทำการประเมิน Glasgow outcome scale ระดับ 2 กรณีศึกษาที่ 2 ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดแบบเปิดเพื่อหนีบเส้นเลือด (open surgical microvascular clipping) ด้วยการผ่าตัดแบบ pterional approach with proximal to distal หลังการผ่าตัดผู้ป่วยมีภาวะ clinical vasospasm ได้ทำ triple H therapy คือ hypertension ,hemodilution ,hypervolemia 7 วัน และมี hospital acquired pneumonia ได้ยาฆ่าเชื้อจนอาการดีขึ้น ร่วมกับมีอาการชักและกลับบ้านได้ ทำการตรวจ ติดตามอาการผู้ป่วยที่สามเดือนหลังการผ่าตัด ตรวจร่างกายระดับความรับรู้สึกตัว e4v2m6 pupil 3 mm react to light both eye motor ขยับข้างขวามากกว่าข้างซ้าย สามารถหายใจได้เอง ทำการประเมิน Glasgow outcome scale ระดับ 3-4 8.อภิปรายผลการศึกษา จากกรณีศึกษาทั้งสองกรณีพบว่า ทั้งสองกรณีศึกษาตำแหน่งของหลอดเลือดสมองโป่งพองแตก (ruptured cerebral aneurysm) อยู่ในตำแหน่งที่ใกล้เคียงกัน การผ่าตัดในลักษณะรูปแบบใกล้เคียงกัน จะเห็นได้ว่าหาก สามารถให้การรักษาผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที ในช่วงที่ WFNS grading และ Hunt and Hess grading ที่ ดีกว่า จะสามารถทำให้การฟื้นตัวของผู้ป่วยดีกว่านั่นเอง 9.สรุปและข้อเสนอแนะ : ในอนาคตหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะได้มีโอกาสพัฒนาการใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ทันสมัย โดยการใช้กล้องจุลทรรศน์ ผ่าตัดสมอง ที่สามารถฉีดสีดูเส้นเลือดได้ระหว่างการผ่าตัด อันจะนำมาซึ่งความปลอดภัยของผู้ป่วยต่อไป 10.การนำผลงานไปใช้ประโยชน์/อ้างอิง จากกรณีศึกษาเปรียบเทียบข้างต้น จะสามารถนำไปใช้ในการให้การรักษาผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงที นำมาซึ่ง ผลลัพธ์ที่ดีในการดูแลรักษาผู้ป่วยและพัฒนาองค์กรต่อไป 106


บทคัดย่อ สถานการณ์ปัญหาโรค ด้วยอ าเภอศรีมหาโพธินั้นเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมขนาดได้รับผลกระทบจากปัญหาการ ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พบว่าปัจจัยจากการประกอบอาชีพในโรงงานอุตสาหกรรม ร่วมกับมีการกระจุกตัวของประชากรในเขตอุตสาหกรรม และพื้นที่โดยรอบอย่างหนาแน่น โดยมีอัตราป่วยสูง คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตอ าเภอ (พซอ.) จึงได้ก าหนดให้โรค COVID-19 เป็นปัญหาส าคัญและมีความจะ เป็นอย่างยิ่งที่ต้องการการด าเนินการแก้ปัญหาโดยใช้ภาคีเครือขายที่มีการสนับสนุนการด าเนินการ จึงจะเกิด ความส าเร็จในการแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดภาคีเครือข่ายในการควบคุมและ ป้องกันการระบาดของโรค COVID-19 ทั้งภาคอุตสาหกรรม และชุมชน ปฏิบัติงานตามแนวทางและเครื่องมือที่ สามารถใช้ในการควบคุมและป้องกันการระบาดของโรค COVID-19 และสามารถควบคุมสถานการณ์ในลักษณะ Cluster ให้สงบได้ภายใน 28 วัน มีการก าหนดโครงสร้างการด าเนินงานระดับอ าเภอ ต าบล หมู่บ้าน และสถาน ประกอบการ ซึ่งมีการมอบหมายภารกิจควบคุมป้องกันโรค COVID-19 ของทีมน า และทีมสนับสนุน ซึ่งมีการ ก าหนดบทบาทหน้าที่และกิจกรรมของแต่ละทีม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามถาระกิจ ความถนัด และทรัพยากรที่มี ของแต่ละหน่วย รวมทั้งก าหนดเป้าหมายการด าเนินงาน 3 ป้าหมาย 1)พัฒนาศักยภาพบุคลากรสาธารณสุข และทีม สนับสนุน สร้างและขยายการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย 2)การพัฒนาเครื่องมือและกระบวนการในการด าเนินงาน 3)พัฒนาระบบข้อมูล ข่าวสาร สารสนเทศ โดยในปี 2565 อ าเภอศรีมหาโพธิมีผู้ป่วยทั้งหมด 22769 ราย อัตรา ป่วยร้อยละ 39.96 โดยด าเนินการจัดตั้งทีมปฏิบัติงาน 15 ทีม สามารถท าการตรวจคัดกรอง ได้จ านวน 400 คนต่อ วัน การสอบสวนโรคในสถานประกอบการที่มีการระบาดแบบกลุ่มก้อนจ านวนมากสามารถให้ผู้ประสานทีม สอบสวนซึ่งเป็นพนักงานฝ่ายบุคคลหรือเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการท างานท าการคัดแยกกลุ่มเสี่ยงตามค าถาม 5 หมวดที่สร้างขึ้นแล้วบันทึกข้อมูลลงฐานข้อมูลเพื่อส่งกลุ่มเสี่ยงเข้าตรวจในจุดตรวจเชิงรุกของอ าเภอได้การ ด าเนินการมาตรการ bubble and seal ในรูปแบบของอ าเภอศรีมหาโพธิ แบบประยุกต์แบบไม่พักอาศัยในโรงงาน อุตสาหกรรม แต่เป็นการเดินทางไปกลับที่พักของตนเอง หรือที่พักที่ที่โรงงานอุตสาหกรรมจัดหาให้ โดยมีการท า ข้อตกลง 3 ฝ่าย สามารถควบคุมการระบาด และการกระจายการติดเชื้อจากสถานประกอบการสู่ชุมชนได้ภายใน 28 วัน ความส าเร็จของการด าเนินงานที่สามารถลดขั้นตอนการด าเนินงาน สร้างนวัตกรรม โดยได้มีการทบทวน เป้าหมายหลักของการด าเนินงานทั้ง 3 เพื่อก าหนดกระบวนการด าเนินงานให้ง่ายต่อการปฏิบัติ กระชับ และ รวดเร็วที่สุด สามารถลดขั้นตอนในการวิเคราะห์ข้อมูล สามารถบรรลุผลลัพธ์ (Outcomes) ที่ต้องการซึ่งสะท้อนถึง สิ่งที่ชุมชนได้รับจากการแก้ปัญหาต่อโรคและภัยสุขภาพที่ นั้นเกิดจากการสื่อสารระหว่างเครือข่ายผู้มีส่วนได้ส่วย เสียที่เกี่ยวข้องเกิดความตระหนักและความรอบรู้ถึงปัญหาการบาดของโรค จึงเกิดความร่วมมือในการแก้ไขปัญหา อย่างมีส่วนร่วมตามบริบทของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถน ากระบวนการด าเนินงานภายใต้กลไก พัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอ าเภอ ไปใช้กับการแก้ปัญหาสาธารณสุขและภัยสุขภาพด้านอื่นได้ เนื่องจากการ แก้ปัญหาสุขภาพนั้นต้องท าการแก้ไขปัญหาแบบองค์รวม ซึ่งมีผู้ที่มีส่วนได้เสียมาเกี่ยวข้องเป็นจ านวนมาก ซึ่ง แนวทางและกระบวนการ กระบวนทัศน์การด าเนินงานแก้ไขปัญหาการระบาดของโรค COVID-19 สามารถน าไป ประยุกต์ใช้ได้ 107


การป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ภายใต้กลไก พัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอ าเภอ อ าเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี หน่วยงาน ส ำนักงำนสำธำรณสุขอ ำเภอศรีมหำโพธิ จังหวัดปรำจีนบุรี ชื่อผู้น าเสนอผลงาน นำยโสภณ เกษส ำโรง นักวิชำกำรสำธำรณสุขช ำนำญกำร ส ำนักงำนสำธำรณสุขอ ำเภอศรีมหำโพธิ จังหวัดปรำจีนบุรี ความส าคัญของปัญหา สถำนกำรณ์ปัญหำโรค ด้วยอ ำเภอศรีมหำโพธินั้นเป็นพื้นที่อุตสำหกรรมขนำดใหญ่ ด้วยในปี 2563 จนถึง 2564 นั้นอ ำเภอศรีมหำโพธิได้รับผลกระทบจำกปัญหำกำรระบำดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนำ 2019 (COVID-19) อย่ำงรุนแรงส่งผลต่อสภำพกำรด ำเนินวิถีชีวิต พบว่ำปัจจัยจำกกำรประกอบอำชีพในโรงงำนอุตสำหกรรม ร่วมกับมี กำรกระจุกตัวของประชำกรในเขตอุตสำหกรรม และพื้นที่โดยรอบอย่ำงหนำแน่น โดยมีอัตรำป่วยสูงในปี 2564 พบ ผู้ป่วยจ ำนวน 9920 รำย อัตรำป่วยร้อยละ 12.12โดยเป็นผู้ป่วยในเขตอ ำเภอศรีมหำโพธิ จ ำนวน 8286 รำย (ร้อยละ 83.53)และเป็นผู้ป่วยนอกพื้นที่อ ำเภอศรีมหำโพธิแต่มีควำมเชื่อมโยงกำรติดเชื้อจำก Cluster ในอ ำเภอศรีมหำโพธิ จ ำนวน 1634 รำย (ร้อยละ 16.47) และเมื่อแบ่งเป็นผู้ป่วยที่มีควำมเสี่ยงกำรท ำงำนทั้งหน่วยงำน และโรงงำน อุตสำหกรรม จ ำนวน 6293 รำย (ร้อยละ 63.44) และผู้ที่มีควำมเสี่ยงจำกกำรติดเชื้อร่วมบ้ำน หรือชุมชนเดียวกับ ผู้ป่วย จ ำนวน 3627 รำย (ร้อยละ 36.56) ซึ่งปัญหำดังกล่ำวส่งผลกระทบในวงกว้ำงอย่ำงมำกกว่ำ คณะกรรมกำรพัฒนำคุณภำพชีวิตอ ำเภอ (พซอ.) จึงได้ก ำหนดให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนำ 2019 (COVID-19) เป็นปัญหำส ำคัญและมีควำมจะเป็นอย่ำงยิ่งที่ต้องกำรกำรด ำเนินกำรแก้ปัญหำโดยใช้ภำคีเครือขำยที่มีกำรสนับสนุน กำรด ำเนินกำร จึงจะเกิดควำมส ำเร็จในกำรแก้ปัญหำอย่ำงมีประสิทธิภำพ วัตถุประสงค์ 1. เกิดภำคีเครือข่ำยในกำรควบคุมและป้องกันกำรระบำดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนำ 2019 (COVID-19) ทั้งภำคอุตสำหกรรม และชุมชน ปฏิบัติงำนตำมแนวทำงและเครื่องมือที่สำมำรถใช้ในกำรควบคุมและป้องกันกำร ระบำดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนำ 2019 (COVID-19) 2. สำมำรถควบคุมสถำนกำรณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนำ 2019 (COVID-19) ในลักษณะ Cluster ให้สงบได้ ภำยใน 28 วัน กลุ่มเป้าหมาย คณะกรรมกำรพัฒนำคุณภำพชีวิตระดับอ ำเภอ อ ำเภอศรีมหำโพธิภำคีเครือข่ำย และประชำชนทั่วไป ขั้นตอนการด าเนินการ การป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ภายใต้กลไกพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอ าเภอ อ าเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรีมีการด าเนินการดังนี้ กำรก ำหนดโครงสร้ำงกำรด ำเนินงำนระดับอ ำเภอ ต ำบล หมู่บ้ำน และสถำนประกอบกำร ซึ่งมีกำร มอบหมำยภำรกิจควบคุมป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนำ 2019 (COVID-19) ของทั้ง 2 ทีม 1. ทีมน ำ ประกอบด้วย คณะกรรมกำรพัฒนำคุณภำพชีวิตระดับอ ำเภอ คณะกรรมกำรควบคุมโรคติดต่อ คณะกรรมกำรตำมระบบ EOC อ ำเภอศรีมหำโพธิ 2.ทีมสนับสนุน ประกอบด้วยอำสำสมัครสำธำรณสุขประจ ำหมู่บ้ำน มูลนิธิพัฒนำระบบสุขภำพอ ำเภอศรีมหำโพธิ มูลนิธิกู้ภัย สถำนประกอบกำร วัด/โรงเรียน จิตอำสำ องค์กำรบริหำรส่วนท้องถิ่น และก ำนัน ผู้ใหญ่บ้ำน โดยมีกำรก ำหนดบทบำทหน้ำที่และกิจกรรมของแต่ละทีม และหน่วยงำนที่เกี่ยวข้องตำมถำระกิจ ควำมถนัด และทรัพยำกรที่มีของแต่ละหน่วย รวมทั้งก ำหนดเป้ำหมำยกำรด ำเนินงำน ดังนี้ 108


1 พัฒนำศักยภำพบุคลำกรสำธำรณสุข และทีมสนับสนุน โดยสร้ำงและขยำยกำรมีส่วนร่วมของภำคีเครือข่ำย ให้เจ้ำหน้ำที่สำธำรณสุขเข้ำรับกำรพัฒนำควำมรู้และกำรปฏิบัติ เป็นทีมกลำงของอ ำเภอศรีมหำโพธิและขยำยให้มี ครอบคลุมทุกหน่วยบริกำร จ ำนวน 14 ทีม และสถำนประกอบกำร 2.กำรพัฒนำเครื่องมือและกระบวนกำรในกำรด ำเนินงำน พัฒนำเครื่องมือที่ใช้ด ำเนินกำรสอบสวนโรค หำกลุ่มเสี่ยง และควบคุมโรค โดยให้สำมำรถใช้ได้ง่ำย เข้ำใจง่ำย และใช้โปรแกรมบันทึกข้อมูลออนไลน์ สำมำรถ บันทึกข้อมูลร่วมกัน ดังนี้ 3.พัฒนำระบบข้อมูล ข่ำวสำร สำรสนเทศ พัฒนำระบบฐำนข้อมูลผู้ป่วย และกลุ่มเสี่ยงของอ ำเภอศรีมหำ โพธิ ให้สำมำรถเข้ำมำใช้งำนร่วมกัน และสำมำรถสรุปวิเครำะห์ข้อมูลโดยอัตโนมัติ และสื่อสำรผ่ำนทำงกำรประชุม ทำง LINE Group และใช้ช่องทำง Facebook เป็นประจ ำทุกวัน เพื่อกำรสื่อสำรประชำสัมพันธ์ แนวทำงกำร ด ำเนินกำร รวมถึงมำตรกำรต่ำงๆ กับประชำชน ผลการด าเนินงาน ในปี 2565 อ ำเภอศรีมหำโพธิมีผู้ป่วยทั้งหมด 22769 รำย อัตรำป่วยร้อยละ 39.96 ผลกำรสอบสวนพบว่ำ เป็นกำรติดเชื้อจำกที่ปฏิบัติงำน จ ำนวน 11313 รำย (ร้อยละ 40.74) ติดจำกกำรร่วมบ้ำนร่วมชุมชนเดียวกัน จ ำนวน 12277 รำย (ร้อยละ 44.21) และไม่ทรำบสำเหตุที่แน่ชัด 4179 รำย (ร้อยละ 15.05) 1. อ ำเภอศรีมหำโพธิมีทีมปฏิบัติงำน 15 ทีม ทีมกลำง 1 ทีม และทีมประจ ำหน่วยบริกำร 14 ทีม และผู้ ประสำนงำนของแต่ละสถำนประกอบกำร ตำมพื้นที่รับผิดชอบ และมีจุดตรวจเชิงรุกจ ำนวน 2 จุด สำมำรถท ำกำร ตรวจคัดกรองผู้ป่วยได้ด้วยวิธี RT-PCR และ ATK ได้จ ำนวน 400 คนต่อวันโดยแบ่งเป็น 2 รอบ รอบเช้ำจ ำนวน 200 รำย และรอบบ่ำย จ ำนวน 200 รำย โดยใช้เจ้ำหน้ำที่ swab จ ำนวน 4 คน และเจ้ำหน้ำที่ลงทีเบียนซักทวน ประวัติ 2 คน 2. กำรสอบสวนโรคในสถำนประกอบกำรที่มีกำรระบำดแบบกลุ่มก้อนจ ำนวนมำกสำมำรถให้ผู้ประสำน ทีมสอบสวนซึ่งเป็นพนักงำนฝ่ำยบุคคลหรือเจ้ำหน้ำที่ควำมปลอดภัยในกำรท ำงำนท ำกำรคัดแยกกลุ่มเสี่ยงตำม ค ำถำม 5 หมวดที่สร้ำงขึ้นแล้วบันทึกข้อมูลลงฐำนข้อมูลเพื่อส่งกลุ่มเสี่ยงเข้ำตรวจในจุดตรวจเชิงรุกของอ ำเภอได้ โดยใช้เจ้ำหน้ำที่สำธำรณสุขผู้ประสำน 1 คน 3. กำรด ำเนินกำรมำตรกำร bubble and seal ในรูปแบบของอ ำเภอศรีมหำโพธิ แบบประยุกต์แบบไม่พัก อำศัยในโรงงำนอุตสำหกรรม แต่เป็นกำรเดินทำงไปกลับที่พักของตนเอง หรือที่พักที่ที่โรงงำนอุตสำหกรรมจัดหำให้ โดยมีกำรท ำข้อตกลง 3 ฝ่ำย คือโรงงำนอุตสำหกรรม สำธำรณสุขและฝ่ำยปกครอง และพนักงำนกลุ่มสัมผัสเสี่ยงสูง มำใช้ในกำรควบคุมกำรระบำดในสถำนประกอบกำร ให้สำมำรถควบคุมกำรระบำด และกำรกระจำยกำรติดเชื้อ จำกสถำนประกอบกำรสู่ชุมชนได้ภำยใน 28 วัน ตำรำงที่1 ตำรำงแสดงจ ำนวนผู้ป่วยจ ำนวนวันที่ใช้หลังจำกเริ่มมำตรกำร bubble and seal และจ ำนวนวันที่ใช้ใน กำรควบคุมโรคทั้งหมดของ Cluster Cluster จ ำนวน ผู้ป่วย พบผู้ป่วย รำยแรก เริ่ม BB&S สิ้นสุด BB&S สิ้นสุดกำร ระบำดของ Cluster ระยะเวลำ ที่ใช้ ตั้งแต่BB& S ระยะเวลำที่ ใช้ควบคุมโรค รง.ชิ้นส่วนยำนพำหนะจำกยำง 48 15/2/2565 19/2/2565 18/3/2565 1/3/2565 10 14 รง.ชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์ที่ใช้กับ ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ 155 16/2/2565 25/2/2565 24/3/2565 5/3/2565 8 17 รง.ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 557 20/2/2565 4/3/2565 31/3/2565 22/3/2565 18 30 109


รง.ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ 36 10/2/2565 4/3/2565 31/3/2565 13/3/2565 9 31 รง.ชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป 17 26/2/2565 10/3/2565 6/4/2565 25/3/2565 15 27 รง.ผลิตเครื่องท ำควำมเย็น 29 24/2/2565 11/3/2565 7/4/2565 13/3/2565 2 17 รง.ผลิตแผ่นวงจรอิเล็คทรอนิกส์ 298 19/2/2565 18/3/2565 14/4/2565 5/4/2565 18 45 ก่อสร้ำงหมู่บ้ำนจัดสรร 15 23/2/2565 22/3/2565 18/4/2565 29/3/2565 7 34 รง.ผลิตเครื่องพิมพ์ 829 1/1/2565 - - 27/8/2565 - 238 รง.ผลิตนมถั่วเหลือง 283 3/3/2565 - - 30/4/2565 - 58 รง.ผลิตชิ้นส่วนเครื่องมือทำงกำรแพทย์ 174 23/3/2565 - - 24/4/2565 - 32 รง.ผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม 157 26/2/2565 - - 14/3/2565 - 16 รง.ผลิตรถยนต์ 107 9/1/2565 - - 9/3/2565 - 59 รง.ผลิตไส้กรอก 101 28/2/2565 - - 12/5/2565 - 73 รง.ครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์และไฟฟ้ำ 74 12/1/2565 - - 6/4/2565 - 84 รง.ผลิตชิ้นส่วนพลำสติก 64 4/3/2565 - - 2/4/2565 - 29 รง.ผลิตชิ้นส่วนยำนยนต์โรง 1 44 15/1/2565 - - 5/3/2565 - 49 รง.ผลิตชิ้นส่วนยำนยนต์โรง 2 35 4/2/2565 - - 29/3/2565 - 53 รง.ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้ำต่ำงๆ 38 1/2/2565 - - 15/3/2565 - 42 รง.ผลิตขนมปัง 20 16/2/2565 - - 8/3/2565 - 20 * - Cluster ที่ไม่ได้ด ำเนินกำร bubble and seal อภิปรายผลการศึกษา ผลผลิต ผลลัพธ์ และควำมยั่งยืน บทเรียนที่ได้รับจำกกำรด ำเนินงำนตำมเป้ำหมำยหลัก ที่คณะกรรมกำร พัฒนำคุณภำพชีวิตระดับอ ำเภอ ก ำหนดเพื่อแก้ปัญหำกำรระบำดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนำ 2019 (COVID-19) จ ำนวน 3 เป้ำหมำย ได้มีกำรด ำเนินกำรป้องกันควบคุมโรค และภัยสุขภำพ ภำยใต้วัฒนธรรมในกำรท ำงำนที่ดี มุ่งมั่น ประสำนงำน ทีมจิตอำสำ ท ำงำนได้บุญ ปฏิบัติงำนตำมมำตรฐำนวิชำชีพ และได้น ำแนวทำงกำรสร้ำงควำม ร่วมมือแบบมีส่วนร่วมของภำคีเครือข่ำยชุมชน มีกำรหำรือปรับปรุงแนวทำงด ำเนินกำรตำมบริบทของตัวเองจนเกิด แนวทำงกำรด ำเนินงำนใหม่ๆ ที่อยู่ภำยใต้มำตรกำรที่เป็นมำตรฐำน เป็นแนวทำงกำรด ำเนินกำรของตนเอง หลังกำร ด ำเนินงำนดังกล่ำวมีกำรทบทวน ติดตำมผล สรุปบทเรียนที่ได้ และก ำหนดประเด็น แก้ไข ปรับปรุง พัฒนำต่อยอด อย่ำงต่อเนื่องผ่ำนเวทีกำรประชุมต่ำงๆ ควำมส ำเร็จของกำรด ำเนินงำนที่สำมำรถลดขั้นตอนกำรด ำเนินงำน สร้ำงนวัตกรรม โดยได้มีกำรทบทวนเป้ำหมำยหลักของกำรด ำเนินงำนทั้ง 3 เพื่อก ำหนดกระบวนกำรด ำเนินงำนให้ ง่ำยต่อกำรปฏิบัติ กระชับ และรวดเร็วที่สุด โดยแนวทำงกำรด ำเนินกำรนี้ท ำให้สำมำรถควบคุมโรค ตัดวงจรกำร ระบำดในสถำนประกอบกำรได้รวดเร็วมำกยิ่งขึ้น นอกจำกนี้ในระบบฐำนข้อมูลผู้ป่วยนั้นได้มีกำรออกแบบให้ สำมำรถวิเครำะห์ข้อมูลผู้ป่วย ที่ใช้รำยงำนรำยวันต่อนำยอ ำเภอศรีมหำโพธิ เพื่อกำรสื่อสำรประชำสัมพันธ์ แนวทำงกำรด ำเนินกำร รวมถึงมำตรกำรต่ำงๆ กับประชำชน จึงสำมำรถลดขั้นตอนในกำรวิเครำะห์ข้อมูล สรุปและข้อเสนอแนะ จำกกำรด ำเนินกำรป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนำ 2019 (COVID-19) ภำยใต้กลไกพัฒนำคุณภำพชีวิต ระดับอ ำเภอ สำมำรถบรรลุผลลัพธ์ (Outcomes) ที่ต้องกำรซึ่งสะท้อนถึงสิ่งที่ชุมชนได้รับจำกกำรแก้ปัญหำต่อโรค และภัยสุขภำพที่สำมำรถควบคุมกำรเกิดกำรระบำดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนำ 2019 (COVID-19) ได้ตำม มำตรฐำน สำมำรถค้นหำกลุ่มเป้ำหมำยและด ำเนินกำรฉีดวัคซีน มีอัตรำสูงที่มำกกว่ำร้อยละ 80 และสถำน ประกอบกำรต่ำงๆในอ ำเภอผ่ำนสำมำรถกำรประเมินมำตรฐำนต่ำงๆได้ตำมก ำหนด นั้นเกิดจำกกำรสื่อสำรระหว่ำง เครือข่ำยผู้มีส่วนได้ส่วยเสียที่เกี่ยวข้องเกิดควำมตระหนักและควำมรอบรู้ถึงปัญหำกำรบำดของโรค จึงเกิดควำม 110


ร่วมมือในกำรแก้ไขปัญหำอย่ำงมรส่วนร่วม เกิดเป็นวัตกรรม มีแนวทำงในกำรด ำเนินกำรตำมบริบทของตนเองได้ อย่ำงมีประสิทธภำพ การน าผลการศึกษาไปใช้ประโยชน์ สำมำรถน ำกระบวนกำรด ำเนินงำนภำยใต้กลไกพัฒนำคุณภำพชีวิตระดับอ ำเภอ ไปใช้กับกำรแก้ปัญหำ สำธำรณสุขและภัยสุขภำพด้ำนอื่นได้ เนื่องจำกกำรแก้ปัญหำสุขภำพนั้นต้องท ำกำรแก้ไขปัญหำแบบองค์รวม ซึ่งมีผู้ ที่มีส่วนได้เสียมำเกี่ยวข้องเป็นจ ำนวนมำก ซึ่งแนวทำงและกระบวนกำร กระบวนทัศน์กำรด ำเนินงำนแก้ไขปัญหำ กำรระบำดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนำ 2019 (COVID-19) สำมำรถน ำไปประยุกต์ใช้ได้ เอกสารอ้างอิง 1. กรมควบคุมโรค กระทรวงสำธำรณสุข. แนวทำงกำรเฝ้ำระวังและสอบสวนโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนำ 2019 ฉบับวันที่ 1 มิถุนำยน 2564. [อินเตอร์เน็ต]. [เข้ำถึงเมื่อ 1 เม.ย. 2565]. เข้ำถึงได้จำก : https://ddc. moph.go.th/viralpneumonia/file/g_srrt/g_srrt_110864.pdf 2.กรมควบคุมโรค กระทรวงสำธำรณสุข. โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนำ 2019. หมวดควำมรู้ทั่วไป [อินเตอร์เน็ต]. [เข้ำถึงเมื่อ 1 เม.ย. 2565]. เข้ำถึงได้จำก http://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/ faq_more.php 3.กรมควบคุมโรค กระทรวงสำธำรณสุข. คู่มือมำตรกำรป้องกันควบคุมโรคในพื้นที่เฉพำะ (Bubble and Seal) [อินเตอร์เน็ต]. [เข้ำถึงเมื่อ 1 เม.ย. 2565]. เข้ำถึงได้จำก : https://ddc.moph.go.th/uploads/publish /1183620211001030623.pdf 4. ส ำนักงำนสำธำรณสุขจังหวัดปรำจีนบุรี.ข่ำวประชำสัมพันธ์ [อินเตอร์เน็ต]. [เข้ำถึงเมื่อ 1 เม.ย. 2565]. เข้ำถึงได้จำก : https://pri.moph.go.th/ 111


รูปแบบการดูแลผู้สูงอายุแบบองค์รวม 5G Model อำเภอวังจันทร์จังหวัดระยอง นางสาวณัฐกุล รุจิวงศ์* บทคัดย่อ การพัฒนารูปแบบการดำเนินงานในการดูแลผู้สูงอายุครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างรูปแบบการดูแล ผู้สูงอายุแบบองค์รวม สำหรับเตรียมความพร้อมในการรับมือสังคมผู้สูงอายุ โดยสมบูรณ์แบบของอำเภอ วังจันทร์ในอนาคต โดยมีจุดมุ่งหวังในการดูแลคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุรอบด้านทั้งสังคมและสุขภาพ เฝ้าระวัง ป้องกัน และชะลอกลุ่มติดสังคมในการก้าวเข้าสู่ผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้าน ติดเตียง ให้นานที่สุด ควบคู่กับการดูแล กลุ่มติดบ้านติดเตียงตามระบบการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุขสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง(Long Term Care) ดำเนินงานในพื้นที่อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง ในการดูแลผู้สูงอายุทั้งสิ้น จำนวน 3,855 คน แบ่งเป็น กลุ่มติดสังคม 3,708 คน กลุ่มติดบ้าน 121 คน และกลุ่มติดเตียง 26 คน โดยการสร้างรูปแบบการดูแลผู้สูงอายุ แบบองค์รวม 5G Model โดยใช้หลักการคิดแบบ Business Canvas Model ในการวางแผนการดำเนินงาน โดยรูปแบบการดูแลผู้สูงอายุแบบองค์รวม 5G Model อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง ประกอบด้วย G1 : Good Health (สุขภาพดี) , G2 : Good Nutrition (กินดี) , G3 : Good Environment(อยู่ดี) , G4 : Good Choice (ทางเลือกดี), G5 : Good Dead (ตายดี) ผลการดำเนินงานเชิงปริมาณ พบว่า ผู้สูงอายุได้รับการคัดกรองสุขภาพ 10 เรื่อง และ 9 ด้าน ร้อยละ 96.96, ตรวจและส่งเสริมสุขภาพช่องปากและฟัน ร้อยละ 98.50, ประเมินภาวะโภชนาการในผู้สูงอายุร้อยละ 98.37, กลุ่มเป้าหมายได้เข้าร่วมระบบการดูแลผู้สูงอายุระยะยาวฯ (LTC) ร้อยละ 97.40, การจัดกิจกรรม รณรงค์, โครงการส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ, การจัดหาเครื่องบริโภคให้กลุ่มผู้สูงอายุยากไร้, การจัด สภาพแวดล้อม การซ่อมแซม ทำทางลาดบ้าน ให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุ, การจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกใน การดำเนินชีวิตประจำวัน, สร้างคุณค่าให้ผู้สูงอายุ เช่น สอนเด็กใน ศพด.ทำขนมโบราณ สามารถดำเนินการได้ ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ร้อยละ 100, กิจกรรมเตรียมจิตใจสู่วาระสุดท้ายของชีวิตให้จากไปอย่างสงบ, การมอบ พวงหรีดจากเพื่อนผู้สูงอายุดำเนินการได้ ร้อยละ 60, และการจัดตั้งเงินสงเคราะห์ฌาปนกิจจากชมรมผู้สูงอายุ สามารถดำเนินการได้ 1 ตำบล(ร้อยละ 20) จากผลการดำเนินงานจะเห็นได้ว่าเกิดรูปแบบการดูแลผู้สูงอายุ แบบองค์รวม 5G Model อำเภอวังจันทร์จังหวัดระยอง จากการสร้างการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในการ ขับเคลื่อนการดำเนินงาน จนส่งผลให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลที่ครอบคลุมทั้งด้านสุขภาพและด้านสังคม ครบมิติ การส่งเสริม การป้องกัน การรักษา และการฟื้นฟูสมรรถภาพ อย่างเป็นรูปธรรม จากผลการดำเนินงาน เห็นควรนำเสนอผลการดำเนินงานต่อคณะกรรมการ เวทีประชุม เวทีประชาคมอย่างต่อเนื่อง เพื่อการขับเคลื่อนการดำเนินงานอย่างยั่งยืน ควรจัดมหกรรมผู้สูงอายุระดับ อำเภอ และเชิดชูเกียรติผู้สูงอายุต้นแบบตลอดจนภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงาน และประยุกต์ใช้ แนวคิด 5G Model กับงานอื่น เช่น งานป้องกันควบคุมโรค งานอนามัยแม่และเด็ก สร้างเป็นอำเภอ 5G ในการดูแลสุขภาพประชาชนต่อไป คำสำคัญ : การดูแลผู้สูงอายุแบบองค์รวม, 5G Model *นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ สำนักงานสาธารณสุขอำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง 112


รูปแบบการดูแลผู้สูงอายุแบบองค์รวม 5G Model อำเภอวังจันทร์จังหวัดระยอง นางสาวณัฐกุล รุจิวงศ์ นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ สำนักงานสาธารณสุขอำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง ผู้วิจัยและผู้นำเสนอผลงาน ความสำคัญของปัญหา ประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Ageing Society) โดยสัดส่วนประชากรกลุ่มผู้สูงอายุได้เพิ่มขึ้น อย่างรวดเร็ว เป็น 16.5 % ในปี พ.ศ. 2559 และมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงถึง 32.2% ในปี พ.ศ. 2575 นอกจากนี้ แนวโน้มผู้สูงอายุที่ต้องอยู่ตามลำพัง เจ็บป่วย ด้วยโรคเรื้อรังเพิ่มมากขึ้น ส่งผลต่อภาระค่าใช้จ่ายทางสุขภาพ ที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยในส่วนของอำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง มีสัดส่วนของผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นในทิศทาง เดียวกับสถานการณ์ของประเทศ โดยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากร้อยละ 12.53 ในปี พ.ศ.2556 เพิ่มขึ้นเป็น ร้อยละ 12.67 ในปี พ.ศ.2558, ร้อยละ 15.23 ในปี พ.ศ.2560, ร้อยละ 16.68 ในปี พ.ศ.2562, ร้อยละ 18.45 ในปี พ.ศ.2564 และ ในปี พ.ศ.2565 เพิ่มมากขึ้นเป็น ร้อยละ 18.73 ต่อประชากรทั้งหมด ซึ่งที่ผ่านมาอำเภอ วังจันทร์ ได้เข้าร่วมการดำเนินงานระบบการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุขสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง (Long Term Care) กับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2559 นำร่อง 1 แห่ง และเข้าร่วมร้อยละ 100(4 ตำบล 1 เทศบาล) ในปี พ.ศ. 2560 เพื่อใช้เป็นระบบการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้าน ติดเตียง ในพื้นที่ โดยได้รับความร่วมมือในการดำเนินงานเป็นอย่างดีจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน แต่การดำเนินงาน ของระบบการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุขสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง(Long Term Care) เป็นเพียงการ ดูแล กลุ่มติดบ้าน ติดเตียงในด้านสุขภาพโดยผู้จัดการผู้สูงอายุ (Care Manager), ผู้ดูแลผู้สูงอายุ(Care Giver) และสหวิชาชีพ ตามแผนการดูแลด้านสุขภาพที่กำหนด และปัจจุบันอำเภอวังจันทร์ มีผู้สูงอายุทั้งสิ้น จำนวน 3,855 คน แบ่งเป็นกลุ่มติดสังคม 3,708 คน กลุ่มติดบ้าน 121 คน และกลุ่มติดเตียง 26 คน ดังนั้น เครือข่ายบริการสุขภาพอำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ที่เล็งเห็น ความสำคัญของผู้สูงอายุ จึงได้คัดเลือกเรื่องผู้สูงอายุเป็นประเด็นหนึ่งในการดำเนินงานการพัฒนาคุณภาพชีวิต ผ่านกลไกการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ(พชอ.) เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือสังคมผู้สูงอายุ โดยสมบูรณ์แบบของอำเภอวังจันทร์ในอนาคต โดยมีจุดมุ่งหวังในการดูแลคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุรอบด้านทั้ง สังคมและสุขภาพ เฝ้าระวัง ป้องกัน และชะลอกลุ่มติดสังคมในการก้าวเข้าสู่ผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้าน ติดเตียง ให้นานที่สุด ควบคู่กับการดูแลกลุ่มติดบ้านติดเตียงตามระบบการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุขสำหรับผู้สูงอายุ ที่มีภาวะพึ่งพิง(Long Term Care) จึงได้เกิดแนวคิดในการสร้างรูปแบบการดูแลผู้สูงอายุแบบองค์รวม 5G Model อำเภอวังจันทร์จังหวัดระยอง ขึ้นมา วัตถุประสงค์ 1.เพื่อสร้างรูปแบบการดูแลผู้สูงอายุแบบองค์รวม อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง 2.เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์แบบของอำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง วิธีการดำเนินงาน 1.แต่งตั้งและประชุมผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง คณะกรรมการดำเนินงานด้านผู้สูงอายุ ประกอบด้วย คณะอนุกรรมการการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ คณะกรรมการประสานงานสาธารณสุขระดับอำเภอ 2.สร้างรูปแบบการดูแลผู้สูงอายุแบบองค์รวม 5G Model โดยใช้หลักการคิดแบบ Business Canvas Model เพื่อความครบถ้วนในการวางแผนการสร้างรูปแบบและการดำเนินงาน 3.กำหนดสิทธิประโยชน์/กิจกรรมที่ผู้สูงอายุควรจะได้รับเพื่อพัฒนาให้ผู้สูงอายุและผู้รับผิดชอบ 113


Business Canvas Model : รูปแบบการดูแลผู้สูงอายุแบบองค์รวม 5G Model ผู้ร่วมงานหลัก (Key partners) :ภาคีเครือข่าย - รพ./รพ.สต/สสอ. - อปท. - สปสช. - CM/CG - นักบริบาล - พัฒนาชุมชน - คกก.พชอ - คกก.ผู้สูงอายุ - ศูนย์ผู้สูงอายุฯ กิจกรรมหลัก (Key activities) พัฒนาคุณภาพชีวิต ผู้สูงอายุแบบองค์รวม สูงวัยอย่างมีคุณค่า ชราอย่างมีคุณภาพ ทั้งสังคมและสุขภาพ คุณค่าของระบบ บริการสุขภาพ (Value proposition) : ชุดสิทธิประโยชน์ G1 : Good Health (สุขภาพดี) G2 : Good Nutrition (กินดี) G3 : Good Environment (อยู่ดี) G4 : Good Choice (ทางเลือกดี) G5 : Good Dead (ตายดี) ความสัมพันธ์ระหว่าง ผู้รับบริการ ผู้ให้บริการ ภาคีเครือข่าย(Customer relationship) : กิจกรรม โซเชียลมีเดีย -Focus Group -Line Official กลุ่มผู้รับบริการ (Customer segment) : ผู้สูงอายุ3 กลุ่ม - กลุ่มติดสังคม - กลุ่มติดบ้าน - กลุ่มติดเตียง ทรัพยากรหลัก (Key resources) : คน เงิน ของ -CM/CG/สหวิชาชีพ -กองทุน สปสช./LTC -กองทุนคนวังจันทร์ไม่ ทิ้งกัน ช่องทางการเข้าถึง บริการ(Channels) : 4 ช่องทางหลัก -สถานบริการ -อปท. -สื่อออนไลน์ -CM/CG/นักบริบาล รายจ่ายหรือต้นทุนของระบบ(Cost structure):ค่าใช้จ่าย - ค่าจัดบริการ - ค่าวัสดุอุปกรณ์ - เครื่องอุปโภค บริโภค รายรับของระบบ(Revenue streams):แหล่งงบประมาณ -งบ LTC / กองทุนตำบล จาก สปสช. -งบ PP ของ CUP -กองทุนคนวังจันทร์ไม่ทิ้งกัน ผลการดำเนินงาน(เชิงปริมาณ) รูปแบบการดูแลผู้สูงอายุแบบองค์รวม 5G Model อำเภอวังจันทร์จังหวัดระยอง ผลการดำเนินงาน 5G สิทธิประโยชน์/กิจกรรมที่ต้องได้รับ เป้าหมาย ผลงาน G1 : Good Health (สุขภาพดี) 1.คัดกรองสุขภาพ 10 เรื่อง และ 9 ด้าน 3,470 คน (90%) 3,738 คน (96.96) 2.โครงการส่งเสริมสุขภาพฯ 5 ตำบล (100%) 5 ตำบล (100%) 3.กิจกรรมรณรงค์วันผู้สูงอายุประจำปี 5 ตำบล (100%) 5 ตำบล (100%) G2 : Good Nutrition (กินดี) 1.ตรวจและส่งเสริมสุขภาพช่องปากและฟัน 3,470 คน (90%) 3,797 คน (98.50%) 2.ประเมินภาวะโภชนาการในผู้สูงอายุ 3,470 คน (90%) 3,792 คน (98.37%) 3.จัดหาเครื่องบริโภคให้กลุ่มผู้สูงอายุยากไร้ 25 คน (นำร่อง) 25 คน (100%) G3 : Good Environment (อยู่ดี) 1.จัดสภาพแวดล้อม การซ่อมแซม ทำทางลาด บ้าน ให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุ 5 คน (นำร่อง) 5 คน (100%) 2.จัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกในการดำเนิน ชีวิตประจำวัน 5 คน (นำร่อง) 5 คน (100%) 114


รูปแบบการดูแลผู้สูงอายุแบบองค์รวม 5G Model อำเภอวังจันทร์จังหวัดระยอง ผลการดำเนินงาน 5G สิทธิประโยชน์/กิจกรรมที่ต้องได้รับ เป้าหมาย ผลงาน 3.สร้างคุณค่าให้ผู้สูงอายุ เช่น สอนเด็กใน ศพด. ทำขนมโบราณ 5 ตำบล (100%) 5 ตำบล (100%) G4 : Good Choice (ทางเลือกดี) 1.คลินิกผู้สูงอายุ (ณ รพ.วังจันทร์) 1 แห่ง (100%) 1 แห่ง (100%) 2.ระบบการดูแลผู้สูงอายุระยะยาวฯ (LTC) (กลุ่มเป้าหมายได้เข้าร่วมโครงการ) 270 คน (100 %) 263 คน (97.40%) 3.โรงเรียนผู้สูงอายุ / ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิต ผู้สูงอายุฯ/ชมรมผู้สูงอายุ 5 ตำบล (100%) 5 ตำบล (100%) G5 : Good Dead (ตายดี) 1.กิจกรรมเตรียมจิตใจสู่วาระสุดท้ายของชีวิตให้ จากไปอย่างสงบ 5 ตำบล (100%) 3 ตำบล (60%) 2.เงินสงเคราะห์ฌาปนกิจจากชมรมผู้สูงอายุ 5 ตำบล (100%) 1 ตำบล (20%) 3.พวงหรีดจากเพื่อนผู้สูงอายุ 5 ตำบล (100%) 3 ตำบล (60%) ผลการดำเนินงาน (เชิงคุณภาพ) เกิดรูปแบบการดูแลผู้สูงอายุแบบองค์รวม 5G Model อำเภอวังจันทร์จังหวัดระยอง จากการสร้าง การมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน จนส่งผลให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลที่ครอบคลุม ทั้งด้านสุขภาพและด้านสังคม ครบมิติการส่งเสริม การป้องกัน การรักษา และการฟื้นฟูสมรรถภาพ อย่างเป็น รูปธรรม อภิปรายผลการศึกษา จากผลการดำเนินงาน พบว่า รูปแบบการดูแลผู้สูงอายุแบบองค์รวม ภายใต้แนวคิด 5G Model สิทธิประโยชน์และกิจกรรมที่กำหนดสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุของอำเภอวังจันทร์ ให้สูงวัยอย่างมี คุณค่า ชราอย่างมีคุณภาพ ได้อย่างครบถ้วน สรุปและข้อเสนอแนะ 1.ควรนำเสนอผลการดำเนินงานต่อคณะกรมการ เวทีประชุม เวทีประชาคม อย่างต่อเนื่องเพื่อการ ขับเคลื่อนในการหาเงินสมทบกองทุนคนวังจันทร์ไม่ทิ้งกันอย่างยั่งยืน 2.จัดมหกรรมผู้สูงอายุระดับอำเภอปีละ 1 ครั้ง 3.เชิดชูเกียรติผู้สูงอายุต้นแบบตลอดจนภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงาน การนำผลงานไปใช้ประโยชน์ ประยุกต์ใช้แนวคิด 5G Model กับงานอื่น เช่น งานป้องกันควบคุมโรค งานอนามัยแม่และเด็ก สร้างเป็นอำเภอ 5G ในการดูแลสุขภาพประชาชนต่อไป เอกสารอ้างอิง กรมการแพทย์.(2562).ความท้าทายด้านสุขภาพ.แผนยุทธศาสตร์กรมการแพทย์ พ.ศ. 2562(ระยะที่ 1 ปฏิรูประบบ พ.ศ.2560-2564).กรมการแพทย์ 115


1. ชื่อผลงานBest Practice/นวัตกรรม พัฒนาระบบบริการปฐมภูมิดูแลรักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่บ้านและในชุมชน ด้วยการส่งต่อ ผ่านระบบ HI CUP อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ 2. ชื่อผู้เสนอผลงาน พญ.พันธิพา พันธนูตำแหน่ง นายแพทย์ชำนาญการกลุ่มงานอายุรกรรม โรงพยาบาลบางจาก สถานที่ทำงาน โรงพยาบาลบางจาก อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ โทรศัพท์มือถือ 083 – 6661945 อีเมลย์ [email protected] 3. ความสำคัญของผลงานหรือนวัตกรรมที่นำเสนอ ในพื้นที่อำเภอพระประแดง พบว่าเป็นพื้นที่สีแดงเข้ม มีการระบาดของโรคโควิด-19 เกิน 100 รายทุกตำบลยกเว้น ตำบลบางกระสอบที่มีผู้ป่วยไม่ถึง 100 ราย อำเภอพระประแดงประกอบด้วยตำบลทั้งหมด 15 ตำบล แบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 โซนตามลักษณะภูมิศาสตร์และสังคมเป็นหลัก ประกอบด้วย โซนเพชรหึงษ์ โซนสุขสวัสดิ์ โซนปู่เจ้าสมิงพราย การระบาดของโรค มีการระบาดตั้งแต่ระลอกที่ 1-ระลอกที่ 5 โดยระลอกที่ 3 ตั้งแต่ 4 เมษายน 2564 โดยการระบาดช่วงแรกเกิดขึ้นโดยประชาชนที่อาศัยในพื้นที่ที่ทำงานในกรุงเทพ ที่มีการระบาด เช่น ทองหล่อ เข้ามารักษาตัว ในโรงพยาบาลและตรวจพบว่าเป็น โรคโควิด-19 และมีหลายเหตุการณ์ที่ประชาชนที่เดินทางไป-กลับ ทำงานในพื้นที่เสี่ยง ป่วยเป็นโรคโควิด-19 ตลอดจนคนในครอบครัวที่เป็นโรคโควิด-19 เนื่องจากสัมผัสกับบุคคลในครอบครัวที่เป็นก่อนหน้า ตลอดจนเหตุการณ์ที่เกิดเป็นกลุ่มก้อน หลายเหตุการณ์ จำนวนผู้ป่วยติดเชื้อมากเกินจำนวนเตียงที่รองรับได้ของโรงพยาบาล อัตรากำลังของบุคลากรในโรงพยาบาลไม่เพียงพอ อีกทั้งโรงพยาบาลบางจาก ยังเป็นโรงพยาบาลแม่ข่ายที่ต้องรับดูแล ผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ระดับ Moderate ขึ้นไปจาก รพ สต. ในพื้นที่ โดยเฉพาะโรคอื่น ๆ (Non-COVID) อีกด้วย จึงจำเป็นต้องมีแนวทาง ดูแลผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ที่เหมาะสม โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีอาการและความเสี่ยงต่ำ (กลุ่มสีเขียว) ซึ่งสามารถให้การดูแลที่บ้านได้เพื่อเพิ่มจำนวนเตียงในโรงพยาบาล รองรับผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ที่มีอาการซับซ้อน และลดอัตรา การครองเตียงของผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 กลุ่มสีเขียว ดังนั้น คณะกรรมการโรคติดเชื้อโรงพยาบาลาบางจากก นำโดยทีมอายุรแพทย์ ร่วมกับหอ ผู้ป่วยแยกโรค (Cohort ward) งาน 116


ควบคุมโรค งานเภสัชกรรม งานประกันสุขภาพ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาชน จึงได้ร่วมกันพัฒนาระบบ บริการปฐมภูมิดูแลรักษาผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ที่บ้าน/ในชุมชน โดย ผ่านกลไก “ ข้อมูลถูกต้อง ปลอดภัย ผู้อาศัยในพระประแดงสุขภาพดี ด้วยการส่งต่อผ่านระบบ HI CUP ” โดยจัดระบบบริการศูนย์กักแยกตัวในชุมชน (CI: Community isolation) การกักแยกตัวที่บ้าน (HI: Home isolation) และการรักษา แบบผู้ป่วยนอก “เจอ แจก จบ” (OPSI: Outpatient with self-isolation) อย่างมีคุณภาพ เหมาะสมกับบริบท อำเภอพระประแดง สอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติของประเทศ การควบคุมการระบาด ในระดับจังหวัดสมุทรปราการ มีทีม EOC ระดับจังหวัด เพื่อกำหนดทิศทางการแก้ไขปัญหา ส่วยของอำเภอ มีEOC ระดับอำเภอ ซึ่งประกอบด้วย คณะทำงานหลายภาคส่วน เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนการปกครองอำเภอ ตำรวจ ทีมสาธารณสุข ระดับอำเภอ ถึง รพสต.ระดับตำบล 4. วัตถุประสงค์กระบวนการ 1. เพื่อเพิ่มจำนวนเตียงในโรงพยาบาลรองรับผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ที่มีอาการซับซ้อน และลดอัตราการ ครองเตียง ของผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 กลุ่มสีเขียว 2. เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนในพื้นที่ สามารถเข้าถึงการรักษาได้รวดเร็ว ปลอดภัย และเกิด ภาวะแทรกซ้อนจากการรักษาน้อยที่สุด 3. เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 4.กลุ่มเป้าหมาย ผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ที่ไม่มีอาการ/อาการน้อย/ความเสี่ยงต่ำ (กลุ่มสีเขียว) ตามเกณฑ์กรมการ แพทย์สามารถกักตัวอยู่ที่บ้านได้อย่างปลอดภัย 5.วิธีการดำเนินงาน ขั้นที่1 การวางแผน (Plan) 1. ประชุมแนวทางดำเนินการศูนย์กักแยกตัวในชุมชน และการกักแยกตัวที่บ้าน เป็นการประสานความร่วมมือระหว่าง หน่วยงาน สาธารณสุข (โรงพยาบาลและหน่วยบริการปฐมภูมิทั้ง 15 แห่ง) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาค ประชาชน กำหนดยุทธศาสตร์ นโยบาย และแนวทางปฏิบัติร่วมกัน บูรณาการทรัพยากร คน เงิน ของ ดำเนินการผ่าน 5 ร่วม ได้แก่ ร่วมริเริ่ม ร่วมวางแผน ร่วมดำเนินการ ร่วมรับผลประโยชน์และ ร่วมประเมินผล กำหนดเป้าหมาย: Early detection Early Diagnosis Early treatment Early containment - แยกกลุ่มป่วยออกจากกลุ่มไม่ป่วยได้รวดเร็ว - ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษารวดเร็วและเหมาะสม - ผู้ป่วยปลอดภัย - เจ้าหน้าที่ปลอดภัย - ชุมชนปลอดภัย 2. สื่อสารนโยบายและแนวทางปฏิบัติแก่ผู้ปฏิบัติในการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิดูแลรักษาผู้ป่วยติด เชื้อโควิด-19 ที่บ้าน/ ในชุมชน “ใกล้บ้าน ใกล้ใจ รวดเร็ว ปลอดภัย ด้วยกลไก 3 หมอ” กำหนด ผู้จัดการเคสรายกรณี(Case manager) ใน โรงพยาบาล และผู้ประสานงานรายรพ.สต. 3. ประชาคมพื้นที่ สร้างความเข้าใจ และความเชื่อมั่นในระบบการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ในชุมชน ชุมชนได้ประโยชน์ คือ - มีจุดรองรับผู้ป่วยในชุมชนที่ปลอดภัย - เป็นจุดเตรียมความพร้อมผู้ป่วยคืนสู่ชุมชน - ประชาชนมีความมั่นใจในความปลอดภัยภายใต้สถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 117


ขั้นที่2 การปฏิบัติตามแผน (Do) 1. จัดทำเอกสารคู่มือดำเนินการ ได้แก่ - คู่มือการดูแลผู้ป่วยโควิด 19 ในโรงพบยาบาลบางจาก - แนวทางปฏิบัติตัวในการทำ Home isolation - พัฒนาแบบประเมินผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 เพื่อเป็นเกณฑ์จำแนกผู้ป่วยในการทำ Community isolation, Home isolation, Outpatient with self-isolation ดังนี้ 118


119


1. ดำเนินการตามแนวปฏิบัติข้างต้น Community isolation และ Home isolation เกณฑ์รับดูแล: ผู้ป่วยที่อาการดีขึ้นและ Step down เพื่อกักตัวต่อจนครบกำหนดจากโรงพยาบาล ผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 กลุ่ม สีเขียว รายใหม่ขั้นตอนการดูแล: - ผู้ป่วยรายใหม่มารับบริการที่ รพ สต ซึ่งจะได้รับการตรวจประเมินโดยใช้แบบ ประเมินผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ประเมิน เบื้องต้นโดยรพ.สต. และประเมินซ้ำโดยแพทย์อายุรกรรม ผ่านไลน์ HI CUP เพื่อพิจารณาให้การรักษา - ส่งชื่อผู้ป่วยเปิด Visit และขอ Authen code ที่โรงพยาบาล สื่อสารข้อมูลผ่าน Group line โดย จะมีการตัดรอบเวลาการส่ง ชื่อ และจัดยา Favipiravir Molnupiravir ตามข้อบ่งชี้ ส่วนยาอื่น ๆ ให้เบิกล่วงหน้าไปไว้ที่รพ.สต.ได้ - ผู้ป่วย Community isolation และ Home isolation ทุกราย จะได้รับการลงทะเบียนในระบบ A-MED Telehealth เพื่อ Monitor ข้อมูลการรักษาผู้ป่วยจนสิ้นสุดการรักษา - รพ.สต. รับยาจากโรงพยาบาลโดยมีรถนำส่งยาพร้อมยาโรค NCDs ทุกวันในเวลาราชการ 08.00 – 15.00 น. จากนั้น อสม. นำส่ง Boxset (เบิกล่วงหน้าที่ศูนย์เครื่องมือแพทย์ไว้ที่รพ.สต.) ประกอบด้วยยา เครื่องวัดอุณหภูมิ เครื่องวัด ความอิ่มตัวออกซิเจน ปลายนิ้ว เครื่องวัดความดันโลหิต (มีเฉพาะที่ Community isolation) หน้ากากอนามัย เจล แอลกอฮอล์ ถุงแดงใส่ขยะติดเชื้อ ภายใน 48 ชั่วโมงหลังตรวจพบเชื้อ รวมทั้งนำส่งน้ำและอาหาร 3 มื้อให้แก่ผู้ป่วย - ผู้ป่วยวัดสัญญาณชีพและบันทึกอาการด้วยตนเองหรือส่งให้ทางรพ.สต.เป็นผู้บันทึกข้อมูลลงใน ระบบ A-MED Telehealth ให้เป็นปัจจุบันทุกวัน - แพทย์ให้การประเมินและดูแลผู้ป่วยผ่าน Telemedicine: ทางโทรศัพท์, Line official Line group HI CUP ผู้ป่วยโค วิดประจำแต่ละรพ.สต. - เจ้าหน้าที่ รพ สต รับหน้าที่เป็นผู้เฝ้าดูแลผู้ป่วย ผลัดเปลี่ยนเวรทั้งกลางวันและกลางคืนที่ศูนย์ Community isolation - เมื่อสิ้นสุดการรักษา ตรวจสอบความถูกต้อง ครบถ้วนของข้อมูล และนำส่งข้อมูลที่งานประกัน สุขภาพเพื่อ claim ค่าใช้จ่ายในการรักษา - กรณีผู้ป่วยอาการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น อสม.ประจำหมู่บ้าน ซึ่งเข้าถึงผู้ป่วยได้เร็วที่สุดเป็นผู้ประเมินอาการเบื้องต้น และนำเครื่องมือวัดสัญญาณชีพไปประเมินผู้ป่วย จากนั้นรายงานมาที่ เจ้าหน้าที่รพ.สต. และรายงานข้อมูลผู้ป่วยให้แก่ 120


แพทย์อายุรกรรม ให้การดูแลรักษา หากมีความจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล จึงแจ้งศูนย์วิทยุออกรับ ผู้ป่วย (Step up) มารักษาในโรงพยาบาลภายใน 30 นาที OPSI: Outpatient with self-isolation เกณฑ์รับดูแล: ผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 กลุ่มสีเขียว รายใหม่ขั้นตอนการดูแล: ปฏิบัติเช่นเดียวกับการให้การดูแล Community isolation และ Home isolation แต่มีข้อแตกต่าง ดังนี้ - ติดตามอาการและสัญญาณชีพแรกรับและที่ 48 ชั่วโมง - ไม่นำส่ง Boxset และอาหารแก่ผู้ป่วย ขั้นที่ 3 การตรวจสอบ (Check) 1. ลงพื้นที่เยี่ยมเสริมพลัง รับฟังปัญหาหน้างาน แนะนำแนวทางปฏิบัติ 2. ประชุมติดตามการดำเนินงานการดูแลผู้ป่วยทุกขั้นตอนในภาพรวม CUP และแยกรายรพ.สต. สอดคล้องกับแนวทาง EOC จังหวัด ขั้นที่ 4 การปรับปรุงแก้ไข (Act) 1. สะท้อนปัญหาจากการปฏิบัติงานทุกด้าน ระดมสมองกำหนดแนวทางร่วมกันในการแก้ไขปัญหา และ ปรับปรุง แนวทางการดูแลรักษาให้เหมาะสม กระชับ ทันสมัยตามเกณฑ์กรมการแพทย์และ สอดคล้องกับบริบทพื้นที่เป็น ระยะ 121


6.ผลการดำเนินงาน - จัดตั้งศูนย์กักแยกตัวในชุมชน (Community isolation) ครอบคลุมทุกพื้นที่ 1 แห่ง 150 เตียง ที่เทศบาลลัดหลวง - ผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 กลุ่มสีเขียว สามารถให้การดูแลรักษาในชุมและที่บ้านได้อย่างรวดเร็ว ปลอดภัย ด้วยกลไก 3 หมอ 7.บทเรียนที่ได้รับและองค์ความรู้ที่เกิด การดำเนินงานการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ที่บ้านและในชุมชน เป็นงานที่ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจ ของภาคี เครือข่ายทุกภาคส่วน ทั้งฝ่ายปกครองผู้กำหนดทิศทางและนโยบาย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เอื้อเฟื้อ สถานที่ในการจัดตั้ง ศูนย์ Community isolation และสนับสนุนงบประมาณ ถุงยังชีพ ภาคประชาชนที่ให้ความ ร่วมมือในการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อโค วิด-19 ที่บ้านและชุมชน รวมทั้งปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาด โควิด-19 เป็นอย่างดีและหน่วยงาน สาธารณสุข โรงพยาบาล และทีม 3 หมอผู้เป็นกำลังหลักในการดูแลผู้ป่วย เพื่อให้ทั้งอำเภอพระประแดงข้ามพ้นวิกฤตการแพร่ ระบาดครั้งนี้ไปได้ด้วยดี 8.ปัจจัยแห่งความสำเร็จ - กลไก 3 หมอ ทีมหมอครอบครัว และเครือข่ายหน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิมีความเข้มแข็ง โดยเฉพาะแพทย์อายุรกรรม ผู้เป็นกำลังหลักในการรับปรึกษาการดูแลรักษาผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ทำให้เจ้าหน้าที่ รพ.สต.และอสม.ด่านหน้าเกิดความ มั่นใจในการดูแลผู้ป่วย และผู้ป่วยมีความอุ่นใจ รู้สึกปลอดภัยในการให้การดูแล รักษาที่บ้าน - การเชื่อมโยงไร้รอยต่อระหว่างโรงพยาบาลและหน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิ - การประชุมสื่อสารระหว่างทีมเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง ทำให้แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม - ระบบข้อมูลสารสนเทศที่ถูกต้อง ครบถ้วน เป็นปัจจุบันผ่านระบบ A-MED Telehealth - การสื่อสารระหว่างทีมที่มีประสิทธิภาพทุกช่องทาง 9.ข้อเสนอแนะ ขยายผลและปรับปรุงการใช้แนวทางปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ในบริบทอำเภอพระประแดง ให้สอดคล้อง กับเกณฑ์กรมการแพทย์และเหมาะสมกับการเข้าสู่สถานการณ์การเป็นโรคประจำถิ่นต่อไป 122


ชื่อเรื่อง การเทียบประสานรายการยา (medication reconciliation) ช่วยลดความ คลาดเคลื่อนทางยา คลินิกโรคไตเรื้อรัง (CKD clinic) ชื่อผู้วิจัย นางพรรณี ราชรักษ์ และ นางสาวทิพวรรณ กุลจันทร์ศรี หน่วยงาน งานบริการจ่ายยาผู้ป่วยนอก กลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว ชื่อผู้น าเสนองาน นางพรรณี ราชรักษ์ บทคัดย่อ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้วเป็นโรงพยาบาลทั่วไประดับจังหวัด และมีแพทย์เฉพาะทาง อายุรกรรม สาขาโรคไต เพียงคนเดียวในจังหวัดสระแก้ว ที่นอกจากจะดูแลประชากรในอ าเภอเมืองสระแก้วแล้ว ยังเป็นโรงพยาบาลที่รับส่งต่อผู้ป่วยจากอ าเภอใกล้เคียง ผู้ป่วยที่มารับบริการมีความซับซ้อนของโรคและยา สภาวะการท างานของไต จึงมีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอันตรกิริยาระหว่างยา อาการไม่พึงประสงค์จาก ยา รวมถึงการได้รับยาซ้ าซ้อน วัตถุประสงค์ของการศึกษา เพื่อลดความคลาดเคลื่อนทางยาจากการสั่งใช้ยา ในช่วงรอยต่อของการรักษา และเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับยาที่สมควรจะได้รับอย่างต่อเนื่อง เหมาะสม ปลอดภัย จาก การรวบรวมปัญหาและเก็บข้อมูลของความคลาดเคลื่อนทางยาจากการสั่งใช้ยาในช่วงรอยต่อของการรักษาใน คลินิกโรคไตเรื้อรัง โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว โดยเก็บข้อมูลปัญหาจากการใช้ยา ตั้งแต่วันที่ 1 เดือน ตุลาคม 2562 – วันที่ 30 เดือน กันยายน 2565 และน าข้อมูลปัญหาจากการใช้ยาที่เก็บรวบรวมในการ จ่ายยามาวิเคราะห์เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย โดยเป็นผลเนื่องจากการรักษาด้วยยา และเป็น เหตุทั้งที่เกิดขึ้นจริงหรือมีโอกาสเกิดขึ้น พร้อมทั้งรายละเอียดของปัญหาที่พบ ซึ่งการน ากระบวนการเทียบ ประสานรายการยา (medication reconciliation) เป็นกระบวนการที่จะให้ได้มาซึ่งข้อมูลรายการยาที่ผู้ป่วยใช้ อยู่ในปัจจุบันให้สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะสามารถท าได้ในกรอบเวลาที่ก าหนด ทั้งชื่อยา ขนาดรับประทาน ความถี่ และวิถีที่ใช้ยานั้น ๆ ที่ผู้ป่วยได้รับจากโรงพยาบาล หรือยาที่ผู้ป่วยซื้อมารับประทานเอง รวมทั้งผลิตภัณฑ์อาหาร เสริม สมุนไพร วิตามินต่าง ๆ ที่ใช้อย่างต่อเนื่อง หรือใช้บ าบัดอาการเป็นครั้งคราว เพื่อใช้รายการยานี้เป็นข้อมูล สื่อสารให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ในสถานพยาบาล ซึ่งแพทย์ผู้รักษาจะสามารถใช้ข้อมูลในการวางแผนการ รักษาแก่ผู้ป่วยให้มีความเป็นปัจจุบันมากที่สุด และเภสัชกรสามารถใช้ข้อมูลในการแจ้งให้กับผู้ป่วยทราบหากมี การเปลี่ยนแปลงรายการยา หรือเปลี่ยนแปลงวิธีรับประทานยา โดยหลังจากการน ากระบวนการเทียบประสาน รายการยามาใช้อย่างเป็นรูปธรรม พบว่าคลาดเคลื่อนทางยาจากการสั่งใช้ยาในช่วงรอยต่อของการรักษาลดลง อย่างต่อเนื่อง และสามารถลดความคลาดเคลื่อนของปัญหาจากการใช้ยาของผู้ป่วย (DRPs) เช่น การไม่ได้รับยา ที่สมควรจะได้รับ สามารถแก้ไขได้ 100% การได้รับยาผิดหรือได้รับยาไม่เหมาะสม การได้รับยาซ้ าซ้อน สามารถ แก้ไขได้ 100% การเกิดปฏิกิริยาระหว่างยา-อาหาร-ค่าผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ สามารถแก้ไขได้ 89% และ ความไม่ร่วมมือในการใช้ยา เช่น ลืมทานยา ทานยาไม่ถูกวิธี สามารถแก้ไขได้ 75% ทั้งนี้การได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วนจากการส่งตัวมาจากสถานพยาบาลอื่น รวมถึงความร่วมมือของ ผู้ป่วยและผู้ดูแลยังเป็นข้อจ ากัดในกระบวนการเทียบประสานรายการยา ซึ่งแนวทางในการพัฒนากระบวนการ เทียบประสานรายการยาให้เหมาะสม สะดวก รวดเร็ว มีแบบฟอร์มที่เข้าใจง่าย สามารถน ามาใช้อย่างเป็น รูปธรรมในคลินิกการรักษาอื่นๆ เพื่อช่วยลดความคลาดเคลื่อนที่อาจจะเกิดขึ้น เป็นการจัดการความ คลาดเคลื่อนทางยาจากการสั่งใช้ยาในช่วงรอยต่อของการรักษาเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับยาที่สมควรได้รับอย่างต่อเนื่อง และเหมาะสมต่อไป 123


ชื่อเรื่อง การเทียบประสานรายการยา (medication reconciliation) ช่วยลดความ คลาดเคลื่อนทางยา คลินิกโรคไตเรื้อรัง (CKD clinic) ชื่อผู้วิจัย นางพรรณี ราชรักษ์ และ นางสาวทิพวรรณ กุลจันทร์ศรี หน่วยงาน งานบริการจ่ายยาผู้ป่วยนอก กลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว ชื่อผู้น าเสนองาน นางพรรณี ราชรักษ์ 1. ที่มาและความส าคัญของปัญหา กระบวนการเทียบประสานรายการยา (medication reconciliation) เป็นกระบวนการที่จะให้ได้มาซึ่ง ข้อมูลรายการยาที่ผู้ป่วยใช้อยู่ในปัจจุบันให้สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะสามารถท าได้ในกรอบเวลาที่ก าหนด ทั้งชื่อยา ขนาดรับประทาน ความถี่ และวิถีที่ใช้ยานั้น ๆ ที่ผู้ป่วยได้รับจากโรงพยาบาล หรือยาที่ผู้ป่วยซื้อมารับประทาน เอง รวมทั้งผลิตภัณฑ์อาหารเสริม สมุนไพร วิตามินต่าง ๆ ที่ใช้อย่างต่อเนื่อง หรือใช้บ าบัดอาการเป็นครั้งคราว เพื่อใช้รายการยานี้เป็นข้อมูลสื่อสารให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ในสถานพยาบาล ซึ่งแพทย์ผู้รักษาจะสามารถ ใช้ข้อมูลในการวางแผนการรักษาแก่ผู้ป่วยให้มีความเป็นปัจจุบันมากที่สุด และเภสัชกรสามารถใช้ข้อมูลในการ แจ้งให้กับผู้ป่วยทราบหากมีการเปลี่ยนแปลงรายการยา หรือเปลี่ยนแปลงวิธีการใช้ยาขึ้น เนื่องจากโรงพยาบาล สมเด็จพระยุพราชสระแก้วเป็นโรงพยาบาลทั่วไประดับจังหวัด และมีแพทย์เฉพาะทางอายุรกรรม สาขาโรคไต เพียงคนเดียวในจังหวัดสระแก้วที่นอกจากจะดูแลประชากรในอ าเภอเมืองสระแก้วแล้วยังเป็นโรงพยาบาลที่ รับส่งต่อผู้ป่วยจากอ าเภอใกล้เคียง ท าให้ผู้ป่วยที่มารับบริการมีความซับซ้อนของโรคและยา สภาวะการท างาน ของไต จึงมีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอันตรกิริยาระหว่างยา อาการไม่พึงประสงค์จากยา รวมถึงการได้รับ ยาซ้ าซ้อน จากการวิเคราะห์ปัญหาการเทียบประสานรายการยา สามารถจ าแนกปัญหาเป็นด้านต่างๆ ดังนี้ 1.ระบบ : ปัจจุบันงานบริการจ่ายยาผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว ยังไม่มี กระบวนการเทียบประสานรายการยาอย่างเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน โดยเฉพาะผู้ป่วยในคลินิกโรคไตเรื้อรัง ซึ่งส่วน ใหญ่ได้รับยาหลายรายการและหลายสถานพยาบาล อาจท าให้เกิดความคลาดเคลื่อนจากการสื่อสารข้อมูลยาที่ ไม่ครบถ้วน รายการยาซ้ าซ้อน หรือได้รับยาที่ไม่สมควรจะได้รับ ส่งผลให้เกิดความคลาดเคลื่อนทางยาได้ ซึ่ง คลินิกโรคไตเรื้อรังได้เล็งเห็นความส าคัญในการวางแผนแนวทางในการพัฒนากระบวนการเทียบประสานรายการ ยา เพื่อจัดการความคลาดเคลื่อนทางยาในช่วงรอยต่อของการรักษา และเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับยาที่สมควรได้รับ อย่างต่อเนื่อง เหมาะสม และปลอดภัย 2.เจ้าหน้าที่ : เนื่องจากเภสัชกรคลินิกโรคไตเรื้อรัง โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว มีจ านวน เพียง 1 คน ซึ่งปริมาณของผู้มารับบริการมีจ านวนมาก การบริการมีความซับซ้อนทั้งตัวโรค ยา สภาวะการ ท างานของไต จึงมีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอันตรกิริยาระหว่างยา อาการไม่พึงประสงค์จากยา รวมถึง การได้รับซับซ้อนของยา ดังนั้นกระบวนการเทียบประสานรายการยา จึงช่วยให้เภสัชกรสามารถแก้ไขปัญหา ความคลาดเคลื่อนทางยาได้ง่าย สะดวกและครบถ้วนมากขึ้น 3.อุปกรณ์ : ก่อนหน้านี้คลินิกโรคไตเรื้อรัง โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว ยังไม่มีการ ด าเนินการกระบวนการเทียบประสานรายการยาอย่างเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน อาจท าให้เกิดความคลาดเคลื่อนจาก การสื่อสารข้อมูลรายการยาที่ไม่ครบถ้วนหรือรายการยาซ้ าซ้อน การวางแผนแนวทางในการพัฒนากระบวนการ ประสานรายการยา จึงถูกน ามาใช้ในคลินิกโรคไตเรื้อรังอย่างเป็นรูปธรรมและเป็นแนวทางการด าเนินงานมา อย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน 4.ผู้ป่วย : ผู้ป่วยที่รับการรักษาในคลินิกโรคไตเรื้อรังมักได้รับยาหลายรายการ หลายสถานพยาบาล และ บางรายอาจจะซื้อยามารับประทานเองตามร้านขายยา สื่อโฆษณาต่างๆ ท าให้รายการยาที่ได้รับอาจเกิดความ ซับซ้อน เกิดอันตรกิริยาระหว่างยา พบยาที่ไม่เหมาะสมต่อการรักษา ซึ่งกระบวนการเทียบประสานรายการยาใน 124


คลินิกโรคไตเรื้อรัง นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาจากการใช้ยา (drug related problems; DRPs) ของผู้ป่วยแล้ว ยังสามารถลดอุบัติการณ์ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ 2. วัตถุประสงค์ 1. เพื่อลดความคลาดเคลื่อนทางยาจากการสั่งใช้ยาในช่วงรอยต่อของการรักษา 2. เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับยาที่สมควรจะได้รับอย่างต่อเนื่อง เหมาะสม และปลอดภัย 3. ขั้นตอนการแก้ปัญหา 1. รวบรวมปัญหาและเก็บข้อมูลของความคลาดเคลื่อนทางยาจากการสั่งใช้ยาในช่วงรอยต่อของการ รักษาในคลินิกโรคไตเรื้อรัง โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว โดยเก็บข้อมูลปัญหาจากการใช้ ยา ตั้งแต่วันที่ 1 เดือน ตุลาคม 2562 – วันที่ 30 เดือน กันยายน 2565 2. น าข้อมูลปัญหาจากการใช้ยา ที่เก็บรวบรวมในการจ่ายยามาวิเคราะห์เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่เกิด ขึ้นกับผู้ป่วย โดยเป็นผลเนื่องจากการรักษาด้วยยา และเป็นเหตุทั้งที่เกิดขึ้นจริงหรือมีโอกาสเกิดขึ้น พร้อมทั้งรายละเอียดของปัญหาที่พบ 3. น ากระบวนการเทียบประสานรายการยา มาใช้ในคลินิกโรคไตเรื้อรัง อย่างเป็นรูปธรรม โดยกรอก ข้อมูลรายการยาที่ผู้ป่วยใช้อยู่ในปัจจุบันให้สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะสามารถท าได้ ทั้งชื่อยา ขนาด รับประทาน ความถี่ และวิถีที่ใช้ยานั้นๆที่ผู้ป่วยได้รับจากโรงพยาบาลหรือยาที่ผู้ป่วยซื้อมา รับประทานเอง รวมทั้งผลิตภัณฑ์เสริม อาหาร สมุนไพร วิตามินต่างๆ ที่ใช้อย่างต่อเนื่องหรือใช้เป็น ครั้งคราวเพื่อบ าบัดอาการก็ตาม เพื่อเป็นข้อมูลในการจัดการการรักษาอย่างต่อเนื่องต่อไป 4. สรุปผลความคลาดเคลื่อนในการประสานรายการยา ของคลินิกโรคไตเรื้อรัง เพื่อน าข้อมูลมาพัฒนา ระบบงานในคลินิกโรคไตเรื้อรัง โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว 4. ตัวชี้วัด/เครื่องชี้วัด : ความคลาดเคลื่อนทางยาจากการสั่งใช้ยาในช่วงรอยต่อของการรักษาลดลง 5. กลุ่มเป้าหมาย ผู้ป่วยที่รับการรักษาในคลินิกโรคไตเรื้อรัง โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว 6. ระยะเวลาด าเนินการ ตั้งแต่วันที่ 1 เดือน ตุลาคม พ.ศ. 2562 ถึงวันที่ 30 เดือน กันยายน พ.ศ. 2565 7. ผลการด าเนินการ ระบบเดิม พัฒนาระบบขั้นที่ 1 พัฒนาระบบขั้นที่ 2 1. ผู้ป่วยพบพยาบาลจุดคัดกรอง ของคลินิก CKD 1. ผู้ป่วยพบพยาบาลจุดคัดกรองของ คลินิก CKD 1. ผู้ป่วยพบพยาบาลจุดคัดกรองของคลินิก CKD 2. ไม่ได้มีการส่งท าการประสาน รายการยาของผู้ป่วย 2. พยาบาลส่งพบเภสัชกร พร้อมน า ประวัติการรักษาจากโรงพยาบาลเดิม เพื่อท าการเทียบประสานรายการยา ของผู้ป่วย 2. พยาบาลส่งพบเภสัชกรพร้อมน าประวัติ การรักษาจากโรงพยาบาลเดิม เพื่อท าการ เทียบประสานรายการยาของผู้ป่วย + ถุงยา เดิม โดยเจ้าพนักงานเภสัชกรรมเป็นผู้ คัดลอกรายการยาลงในแบบฟอร์ม 3. ไม่ได้พบเภสัชกรเพื่อหาปัญหา จากการใช้ยาก่อนเข้าพบแพทย์ 3.เภสัชกรซักประวัติผู้ป่วย + ทบทวนวิธีการรับประทานของผู้ป่วย 3. เภสัชกรซักประวัติผู้ป่วย+ ทบทวน รายการยาที่ผู้ป่วยน ามาพร้อมวิธีการ รับประทาน เพื่อหาปัญหาจากการใช้ยา ก่อนเข้าพบแพทย์ 4. ผู้ป่วยรอพบแพทย์เพื่อตรวจ รักษา 4. ผู้ป่วยรอพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา 4. ผู้ป่วยรอพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา 125


ระบบเดิม พัฒนาระบบขั้นที่ 1 พัฒนาระบบขั้นที่ 2 5. เจ้าพนักงานเภสัชกรรม ตรวจสอบยาเบื้องต้น 5. เจ้าพนักงานเภสัชกรรมตรวจสอบ ยาเบื้องต้น 5. เจ้าพนักงานเภสัชกรรมตรวจสอบยา เบื้องต้น+หากพบว่าแพทย์มีการปรับขนาด ยา/หยุดยา จะลงบันทึกรายละเอียดใน แบบฟอร์มแจ้งให้กับเภสัชกรรับทราบ 6. ไม่มีการตรวจสอบยาเดิม/หัก ลบยาเดิม 6. ไม่มีการตรวจสอบยาเดิม/หักลบ ยาเดิม 6. ตรวจสอบยาเดิม/หักลบยาที่สั่งใช้ใหม่ 7. จัดยา ตามรายการยา 7. จัดยา ตามรายการยา 7. จัดยา ตามรายการยา+จับคู่ยาเดิมของ ผู้ป่วยที่ได้รับจากโรงพยาบาลเดิม 8. เภสัชกรจ่ายยา+อธิบาย วิธีการใช้ยา 8. เภสัชกรจ่ายยา+อธิบายวิธีการใช้ ยา ตามใบเทียบประสานรายการยา ของผู้ป่วย 8. เภสัชกรจ่ายยา+ อธิบายวิธีการใช้ยา/ หากมีการปรับเปลี่ยนรายการยาจะแจ้งให้ ผู้ป่วยรับทราบ 9. ยังไม่มีระบบการเก็บข้อมูล ปัญหาจากการใช้ยาอย่างเป็น รูปธรรม 9. เก็บรวบรวมข้อมูลปัญหาจาการใช้ ยาลงในแบบฟอร์ม พร้อมบันทึก ข้อมูลเพื่อไปพัฒนาระบบ 9. เก็บรวบรวมข้อมูลปัญหาจากการใช้ยาลง ในแบบฟอร์ม พร้อมบันทึกข้อมูลเพื่อไป พัฒนาระบบ+เก็บมูลค่ายาคืน 8. ผลลัพธ์ของการด าเนินงาน การน ากระบวนการเทียบประสานรายการยามาใช้ในคลินิกโรคไตเรื้อรัง งานบริการจ่ายยาผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว อย่างเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน โดยพบว่าการน ากระบวนการเทียบประสาน รายการยาเข้ามาใช้พบคลาดเคลื่อนทางยาจากการสั่งใช้ยาในช่วงรอยต่อของการักษาลดลงอย่างต่อเนื่อง และ สามารถลดความคลาดเคลื่อนของปัญหาจากการใช้ยาของผู้ป่วย (DRPs) เช่น การไม่ได้รับยาที่สมควรจะได้รับ สามารถแก้ไขได้ 100% การได้รับยาผิดหรือได้รับยาไม่เหมาะสม การได้รับยาซ้ าซ้อน สามารถแก้ไขได้ 100% การเกิดปฏิกิริยาระหว่างยา-อาหาร-ค่าผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ สามารถแก้ไขได้ 89% และความไม่ร่วมมือ ในการใช้ยา เช่น ลืมทานยา ทานยาไม่ถูกวิธี สามารถแก้ไขได้ 75% 9. ปัญหาและอุปสรรค 1. รายการยาที่หลายชนิดร่วมกัน อาจท าให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการคัดลอกรายการยาได้ 2. การส่งตัวผู้ป่วยมาจากหลายสถานพยาบาล การได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วนจากสถานพยาบาล ท าให้ เกิด อุปสรรคในการติดตามรายการยาผู้ป่วย 3. ความร่วมมือของผู้ป่วยและญาติ การให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน หรือผู้ป่วยที่มีผู้ดูแลหลายคน อาจท าให้ เกิดความสับสนในการรับประทานยาได้ 4. เจ้าพนักงานเภสัชกรรมต้องรับภาระงานทั้ง 2 คลินิกในเวลาเดียวกัน อาจท าให้เกิดความสับสน ของภาระหน้างาน 10. แนวทางที่จะพัฒนาในโอกาสต่อไป : เนื่องจากโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้วเป็นโรงพยาบาล ทั่วไประดับจังหวัดและมีแพทย์เฉพาะทางหลากหลายสาขา นอกจากจะดูแลประชากรในอ าเภอเมืองสระแก้ว แล้ว ยังเป็นโรงพยาบาลที่รับส่งต่อผู้ป่วยจากอ าเภอใกล้เคียง ท าให้ผู้ป่วยที่มารับบริการมีความซับซ้อนของโรค และยา จึงมีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาจากการได้รับยาหลายสถานบริการได้ ซึ่งแนวโน้มในการ พัฒนากระบวนการเทียบประสานรายการยาให้เหมาะสม สะดวก รวดเร็ว มีแบบฟอร์มที่เข้าใจง่าย สามารถ น ามาใช้อย่างเป็นรูปธรรมในคลินิกการรักษาอื่นๆ เพื่อช่วยลดความคลาดเคลื่อนที่อาจจะเกิดขึ้น เป็นการจัดการ ความคลาดเคลื่อนทางยาจากการสั่งใช้ยาในช่วงรอยต่อของการรักษาเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับยาที่สมควรได้รับอย่าง ต่อเนื่องและเหมาะสมต่อไป 126


ภาคีเครือข่ายการดูแลผู้ติดสารเสพติดสู่สถานฟื้นฟูสมรรถภาพ นางนุษรา เทียมศิริตำแหน่ง พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ หน่วยงาน: กลุ่มงานงานจิตเวชและยาเสพติด โรงพยาบาลวังน้ำเย็น อ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว บทคัดย่อ ตามประมวลกฎหมายยาเสพติดที่กำหนดให้ผู้เสพยาเสพติดมีสภาพเป็นผู้ป่วยอย่างหนึ่ง มิใช่อาชญา กรปกติ ทำให้เกิดปัญหาการใช้ยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง เกิดความผิดปกติทางจิต และมีพฤติกรรมก่อความ รุนแรงยิ่งขึ้น ซึ่งแต่เดิมนั้นในการที่จะนำส่งผู้ติดกลุ่มนี้เข้าบำบัดฟื้นฟูฯจะต้องส่งข้อมูลให้กับสำนักงานคุม ประพฤติเพื่อพิจารณาบังคับบำบัดตามพ.ร.บ.ฟื้นฟูฯ2545 ซึ่งเรียกว่า “ค่ายนิวัฒน์พลเมือง” ซึ่งมีข้อจำกัดใน การรับเฉพาะกลุ่มผู้ติดที่ไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆ หรือหากจะนำส่งเข้าสถาบันบำบัดยาเสพติดก็จะพบปัญหา เรื่องการเดินทางและภาระค่าใช้จ่ายมาก จึงทำให้ผู้ติดกลุ่มนี้ที่มีภาวะแทรกซ้อนทางกายและความผิดปกติทาง จิต ยังคงอยู่ในชุมชน และยังคงใช้สารเสพพติดอย่างต่อเนื่อง จากสถิติการเข้ารับรักษาผู้ติดสารเสพติดใน โรงพยาบาลวังน้ำเย็น พบที่มีอาการทางจิต ปี2564 จำนวน 39 รายปี 2565 จำนวน 48 ราย ปี2566-ก.ค.66 จำนวน 62 ราย และเป็นผู้ป่วยกำเริบซ้ำโดยเฉลี่ยร้อยละ 60 ในแต่ละรอบปีและในปี2566ได้มีการ ปรับเปลี่ยนการนำส่งผู้ติดยาและสารเสพติดเข้าสถานฟื้นฟูฯ โดยให้สถานพยาบาลเป็นผู้ประเมินนำส่ง ดังนั้น จึงเกิดการพัฒนาภาคีเครือข่ายดูแลผู้ติดสารเสพติด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เครือข่ายมีระบบเชื่อมโยงใน ค้นหา การดูแล นำส่งผู้ติดยาและสารเสพติดได้ตามเป้าหมาย ร่วมถึงการติดตามเมื่อกลับสู่ชมชน โดยเฉพาะ อย่างยิ่งหากมีอาการทางจิตร่วมด้วยจะทำให้ได้รับการบำบัดรักษาได้อย่างต่อเนื่อง ขึ้นตอนการทำงาน โดยมีการประชุมเครือข่ายพบยส.ระดับอำเภอ จัดตั้งกลุ่มไลน์เพื่อการประสานงาน ออกให้ความรู้กับผู้นำชุมชนในการประชุมผู้ใหญ่บ้านกำนันระดับอำเภอเรื่องการดูแลกลุ่มเสี่ยงก่อความรุนแรง เพิ่มช่องทางการรับส่งข้อมูลและให้คำปรึกษากับชุมชน ด้วยเบอร์มิสเตอร์ใส่ใจ ของโรงพยาบาลวังน้ำเย็น มี ช่องทางส่งต่อข้อมูลในระบบการเข้ารับการรักษา มีการขึ้นทะเบียนผู้ติดสารเสพติดที่มีพฤติกรรมก่อความ รุนแรงตั้งแต่ปี 2564 ทำข้อตกลงกับผู้ที่ตรวจพบสารเสพติดที่เข้าบำบัดในโรงพยาบาล ประสานเครือข่าย และอสม. ส่งต่อข้อมูลในการติดตามให้ได้รับการดูแลการรักษาต่อเนื่อง วางแผนในการนำส่งผู้ติดสารเสพติด ร่วมกับฝ่ายปกครองอำเภอ ผู้นำชุมชน อสม.และจนท.ตำรวจ การจัดหาศูนย์ฟื้นฟูฯจากสสจ.สระแก้ว ประสาน การนำส่ง จากสถานฟื้นฟูฯ ผอ.รพ.วังน้ำเย็น จนท.ตำรวจร่วมนำส่ง เตรียมความพร้อมด้านการรักษาและยาให้ อย่างเพียงพอ และออกเยี่ยมผู้ติดสารเสพติดที่ศูนย์ฟื้นฟูทุกเดือน จากเป้าหมายการนำส่ง จำนวน 5 ราย ผลงานที่ภาคีเครือข่ายได้ค้นหาและนำส่ง จำนวน 24 ราย คิดเป็น 5 เท่าของเป้าหมายที่ได้รับ โดยแบ่งเป็น มทบ.19 จ.สระแก้ว จำนวน 15 ราย 2 รอบ, มทบ.12 จ.ปราจีนบุรี จำนวน 3 ราย 2 รอบ, มทบ.14 ชลบุรี6 ราย 1 รอบ จากการดำเนินงานของเครือข่ายอย่างเป็นระบบจะสามารถช่วยให้ผู้ติดสารเสพติดมีสุขภาพที่ดีขึ้น มีศักยภาพในการดูแลตนเองได้ ไม่มีหลบหนีระหว่างบำบัด ไม่มีอาการทางจิตกำเริบ ผู้ดูแลและครอบครัวพึง พอใจได้ผ่อนคลายความกังกล ชุมชนปลอดภัย ลดอัตราผู้ป่วยพฤติกรรมรุนแรงจากการใช้สารเสพติดเข้ารับกา รักษา คำสำคัญ : การฟื้นฟูสมรรถภาพ , เฝ้าระวังความเสี่ยงก่อความรุนแรงในชุมชน ,ลดการนอนรพ. 127


ภาคีเครือข่ายดูแลผู้ติดสารเสพติดสู่สถานฟื้นฟูสมรรถภาพ ผู้นำเสนอผลงาน : นางนุษรา เทียมศิริ ตำแหน่ง พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ หน่วยงาน : กลุ่มงานงานจิตเวชและยาเสพติด โรงพยาบาลวังน้ำเย็น ความสำคัญของปัญหา ตามประมวลกฎหมายยาเสพติดที่กำหนดให้ผู้เสพยาเสพติดมีสภาพเป็นผู้ป่วยอย่างหนึ่ง มิใช่อาชญา กรปกติ ทำให้เกิดปัญหาการใช้ยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง เกิดความผิดปกติทางจิต และมีพฤติกรรมก่อความ รุนแรงยิ่งขึ้น จากสถิติการเข้ารับรักษาผู้ติดสารเสพติดในโรงพยาบาลวังน้ำเย็น มีผู้ป่วยยาเสพติดที่มีอาการทาง จิตและก่อเหตุความรุนแรงกับ บุคคลใกล้ชิด ครอบครัว หรือคนในชุมชน ปี2564 จำนวน 39 ราย ปี2565 จำนวน 48 รายและปี 2566 - ก.ค.66 จำนวน62 ราย และเป็นผู้ป่วยกำเริบซ้ำโดยเฉลี่ยร้อยละ 60 ในแต่ละ รอบปี ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยยาเสพติดที่มี อาการทางจิตมีภาวะเสี่ยงสูงที่จะก่อความรุนแรง ได้แก่ การใช้ สารเสพติด อย่างต่อเนื่อง ไม่ยอมรับความเจ็บป่วยของตนเอง ขาดผู้ดูแล ไม่ได้รักษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแต่เดิม นั้นในการที่จะนำส่งผู้ติดกลุ่มนี้เข้าบำบัดฟื้นฟูฯจะต้องส่งข้อมูลให้กับสำนักงานคุมประพฤติเพื่อพิจารณาบังคับ บำบัดตามพ.ร.บ.ฟื้นฟูฯ2545 ซึ่งเรียกว่า “ค่ายนิวัฒน์พลเมือง” ซึ่งมีข้อจำกัดในการรับเฉพาะกลุ่มผู้ติดที่ไม่มี อาการแทรกซ้อนใดๆ หรือหากจะนำส่งเข้าสถาบันบำบัดยาเสพติดก็จะพบปัญหาเรื่องการเดินทางและภาระ ค่าใช้จ่ายมาก จึงทำให้ผู้ติดกลุ่มนี้ที่มีภาวะแทรกซ้อนทางกายและความผิดปกติทางจิต ยังคงอยู่ในชุมชน และ ในปีพ.ศ. 2566 ได้มีการปรับเปลี่ยนการนำส่งผู้ติดยาและสารเสพติดเข้าสถานฟื้นฟูฯ โดยให้สถานพยาบาล เป็นผู้ประเมินนำส่ง ดังนั้นจึงเกิดการพัฒนาภาคีเครือข่ายดูแลผู้ติดสารเสพติด โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้ เครือข่ายมีระบบเชื่อมโยงในค้นหา การดูแล นำส่งผู้ติดยาและสารเสพติดได้ตามเป้าหมาย ร่วมถึงการติดตาม เมื่อกลับสู่ชมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีอาการทางจิตร่วมด้วยจะทำให้ได้รับการบำบัดรักษาได้อย่างต่อเนื่อง ภาคีเครือข่ายดูแลผู้ติดสารเสพติดที่มีพฤติกรรมเสี่ยงก่อความรุนแรง ได้เข้าสถานฟื้นฟูจะช่วยให้เกิด ความปลอดภัยให้กับบุคคลใกล้ชิด ครอบครัว และชุมชน อีกทั้งเป็นการคุ้มครองสิทธิผู้ป่วยจิตเวชให้ได้รับการ ดูแลรักษาในเชิงสาธารณสุข ซึ่งได้พัฒนาจากเดิมในเรื่อง ปักหมุดในกลุ่มเสี่ยงต่อการใช้ยา/สารเสพติดทุกชนิด โดยให้ความสำคัญในการค้นหาในผู้ที่ใช้ยาเสพติดและผู้ป่วยที่ Admit จากปัญหาการใช้ยา/สารเสพติด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีอาการทางจิตร่วมด้วยจะทำให้รับการบำบัดรักษาได้อย่างต่อเนื่อง ร่วมกับผู้ที่มีประวัติ ผู้ที่มีประวัติรักษาโรคทางจิตเวช ,มีพฤติกรรม/อารมณ์ หุนหันพลันแล่น อาละวาด ทำลายทรัพย์สิน ,มีประวัติ ทำร้ายตนเอง/ผู้อื่น หรือเคยข่มขู่ วัตถุประสงค์ 1. เพื่อนำผู้ติดยาเสพติดที่เสี่ยงก่อความรุนแรงต่อตนเองหรือผู้อื่นเข้าบำบัด 2. เพื่อการดูแลสิทธิผู้ป่วยตามพรบ.สุขภาพจิตให้ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง 3. เพื่อส่งเสริมสมรรถภาพผู้ติดยาและสารเสพติดสามารถดูแลตนเองได้ 4. เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นในครอบครัวและขุมชน 128


รูปแบบการดำเนินงาน ขั้นตอนการดำเนินงาน 3. ขึ้นทะเบียนผู้ติดสารเสพติดที่มีพฤติกรรมก่อความรุนแรง ทั้งต่อตนเองและผู้อื่นที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลวังน้ำ เย็นตั้งแต่ปี 2564 2. เพิ่มช่องทางการรับข้อมูลผู้ติดสารเสพติดจากชุมชน โดย มิสเตอร์ใส่ใจ ภายในโรงพยาบาล รวมถึงเป็นผู้ให้คำปรึกษา และแนะนำการดูแลผู้ติดสารเสพติด 4. ประสานงานกับผู้รับผิดชอบระดับจังหวัดในการ หาศูนย์ฟื้นฟูที่เปิดรับผู้ติดสารเสพติด 1. วางแผนการดำเนินงานโดยมีนายอำเภอเป็นประธาน รูปแบบเดิม รูปแบบใหม่ บังคับ / คดีความ สมัครใจ 5. ประสานการ นำส่ง จากสถาน ฟื้นฟู ผอ.รพ.วัง น้ำเย็น ร่วมด้วย จนท.ตำรวจ 129


ผลการดำเนินงาน เป้าหมาย 5 ราย นำส่ง ผู้เข้ารับการฟื้นฟู จำนวน 24 ราย แบ่งเป็น มทบ.19 อรัญประเทศ เปิดรับ พ.ค. 66 จำนวน 15 ราย , มทบ.12ปราจีนบุรี รับ มิ.ย. 66 จำนวน 3 ราย , มทบ.14 ชลบุรี รับ มิ.ย.66 จำนวน 6 ราย ผลการติดตาม 1. ผู้เข้ารับการฟื้นฟู ไม่มีหลบหนีระหว่างฟื้นฟู 2. ในรายที่มีการักษาอาการทางจิตได้กินยาอย่างต่อเนื่อง ไม่มีอาการทางจิตกำเริบ 3. ครอบครัวพึงพอใจ คิดเป็นร้อยละ 100 4. ชุมชน เกิดความเชื่อมั่นในกระบวนการดูแลผู้ติดยาเสพติดของเครือข่าย ความคาดหวัง 1. มีศูนย์ฟื้นฟูทางสังคม 2. มีเครือข่ายสถานฟื้นฟู เปิดรับตลอดไม่จำกัดเวลา 3. ผู้ติดสารเสพติดไม่มีพฤติกรรมรุนแรง ในระยะ 6 เดือนแรก จากผลการดำเนินงานภาคีเครือข่ายดูแลผู้ติดสารเสพติดที่มุ่ง ผลประโยชน์ต่อ ผู้ติดสารเสพติด ครอบครัวและชุมชน โดยไม่มีข้อจำกัด ของเครือข่าย สามารถนำผู้ติดสารเสพติด เข้าฟื้นฟูได้ถึง 24 ราย ซึ่งยังคง มีหลงเหลืออยู่ในชุมชนอีกบางส่วน หากเครือข่ายมี มาตรการในการดูแลผู้ ติดสารเสพติด ไปในทิศทางเดียวกัน เครือข่ายในการทำงานเข้มแข็ง ก็จะ สามารถดูแลผู้ติดสารเสพติดให้ฟื้นฟูสมรรถภาพได้ระยะเวลานานขึ้นเข้าสู่ ภาวะปกติได้มากขึ้น ครอบครัวลดความเครียดจากการดูแล ชุมชนได้คนดี คืนสู่สังคม 6. ในกรณีที่ผู้ติดสารเสพติดมีการรักษาทางจิตเวช ทางกลุ่มงานได้จัดเตรียมรายการยาที่ได้รับการรักษา ให้อย่างเพียงพอ 7. พยาบาลออกเยี่ยม สร้างขวัญกำลังใจ ณ สถานฟื้นฟู 130


ประกวดผลงานวิชาการนำเสนอโดย วาจา (Oral presentation) Innovation (นวัตกรรม) (OI – 01 ถึง 10) 131


1. ชื่อผลงาน : ระบบความพร้อมรถพยาบาล ระบบส่งต่อและเชื่อมโยงเครือข่ายแบบรวมศูนย์ iAmbulance 2. หน่วยงาน : งานเทคโลโนยีสารสนเทศ โรงพยาบาลเขาสุกิม อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี 3. ผู้นำเสนอ : นายพิทักษ์พงษ์ เพียเพ็งต้น นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ 4. ความสำคัญของปัญหา : ปัจจุบัน พบว่ามีรถพยาบาลฉุกเฉิน/รถบริการการแพทย์ฉุกเฉินประสบอุบัติเหตุ บ่อยครั้ง สาเหตุเนื่องจากอุปกรณ์ป้องกัน สภาพของรถปฏิบัติฉุกเฉิน โครงสร้างทางกายภาพและ สภาพแวดล้อม อีกทั้งยังมีปัญหาความพร้อมใช้งานของรถพยาบาลฉุกเฉิน/รถบริการการแพทย์ฉุกเฉิน ที่เกิด จากบุคคลหรือตัวเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ รวมถึงความพร้อมของตัวเจ้าหน้าที่ขับรถพยาบาลฉุกเฉิน การขับรถเร็ว และการขับรถระยะกระชั้นชิด เพื่อเป็นแนวทางในการตรวจสอบความพร้อมและค้นหาความไม่ปลอดภัยในการปฏิบัติงานในระบบส่ง ต่อและระบบปฏิบัติการแพทย์ฉุกเฉิน ส่งเสริมสนับสนุน พัฒนาให้ระบบการดำเนินงานด้านรับส่งต่อและระบบ การแพทย์ฉุกเฉินมีมาตรฐานในการดำเนินงาน จึงได้พัฒนาระบบความพร้อมรถพยาบาล ระบบส่งต่อและ เชื่อมโยงเครือข่ายแบบรวมศูนย์ iAmbulance เพื่อเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้สามารถตรวจสอบความปลอดภัย ของรถพยาบาล ได้ทั้งในระยะก่อนปฏิบัติงาน ขณะปฏิบัติงานและหลังปฏิบัติงาน ช่วยในการบริหารจัดการ รถพยาบาลฉุกเฉิน เตรียมความพร้อมในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยของโรงพยาบาลรับส่งต่อ เกิดความปลอดภัย แก่เจ้าหน้าที่และผู้ป่วยปลอดภัยจากการรับและส่งต่อ ลดการเกิดอุบัติเหตุและอุบัติการณ์ที่เกิดขึ้นกับ รถพยาบาลฉุกเฉินและช่วยบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้น เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างโรงพยาบาลที่รับส่งต่อ ระหว่างกัน 5. วัตถุประสงค์ 5.1 เพื่อสร้าง Application ในการตรวจสอบความพร้อม และค้นหาความไม่ปลอดภัย ในการ ปฏิบัติงานในระบบส่งต่อและระบบปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉิน 5.2 เพื่อสนับสนุนการพัฒนาระบบการดำเนินงานด้านการรับส่งต่อ และระบบการแพทย์ให้มีมาตรฐาน ในการปฏิบัติการ 6.วิธีดำเนินการ : 6.1 การออกแบบโปรแกรม วางแผนการดำเนินการ ประชุมผู้เกี่ยวข้องโดยประเมินความต้องการ และออกแบบรายละเอียด ตาม ความต้องการของผู้ใช้งาน พัฒนา Software Application รูปแบบของ Mobile Application สนับสนุน การทำงานบน OS Android และ IOS และจัดเก็บข้อมูลด้วยระบบฐานข้อมูล ทดสอบระบบโปรแกรมค้นหา ปัญหาและแก้ไขปัญหาก่อนนำไปใช้งานจริง เริ่มทดลองใช้งานจริง สำรวจปัญหาและความต้องการเพิ่มเติม วิเคราะห์ประเมินผลการทำงาน เพื่อติดตามและประเมินผลการทำงานของระบบ 6.2 การใช้งานโปรแกรม ระบบโปรแกรม iAmbulance ประกอบด้วยระบบการทำงาน 3 ระบบ ทำงานส่งต่อข้อมูลระหว่างกัน ดังนี้ 6.2.1 ระบบควบคุมความปลอดภัยรถพยาบาล เจ้าหน้าที่/ผู้ควบคุมรถพยาบาลจะดำเนินการ ตรวจสอบและบันทึกผ่าน Application ก่อนออกรถพยาบาล ข้อมูลต่างๆจะถูกนำมาประมวลผลเป็นร้อยละ 132


ความพร้อมใช้งานรถพยาบาลตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ เมื่อรถออกเดินทางจะส่งข้อมูลพิกัดตำแหน่ง ความเร็วรถ เส้นทางเดินรถให้ รพ.ต้นทาง และ รพ.รับส่งต่อ รับทราบข้อมูลแบบ Real Time 6.2.2 ระบบติดตามสถานะผู้ป่วย ระบบนี้จะถูกติดตั้งที่ศูนย์สั่งการควบคุมการส่งต่อของ โรงพยาบาล รายละเอียดข้อมูลผู้ป่วยส่งต่อ จะถูกส่งต่อจาก รพ. ต้นทาง ไปยัง รพ.ปลายทาง เพื่อให้รับทราบ ถึงประวัติการรักษา มีระบบติดตามสัญญาณชีพ ที่สามารถแสดงสัญญาณชีพจากบนรถพยาบาลไปยังแพทย์ พยาบาล ผ่านระบบ ER Dashboard 6.2.3 ระบบสื่อสารประสานงาน มีหน้าจอที่สามารถติดตามตำแหน่งทั้งหมดของ รถพยาบาลและ ผู้ป่วยได้ สามารถบอกเวลาที่ผู้ป่วยจะมาถึง เวลาที่คาดจะออกไปถึงผู้ป่วย สามารถนำมาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุง คุณภาพการให้บริการ ระบบ Video Conference สำหรับส่งภาพและเสียงเพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสารกับทีมแพทย์ 7. ผลการดำเนินงาน จากการดำเนินงานที่ผ่านมา มีหน่วยบริการที่ใช้งานระบบ ซึ่งประกอบด้วยโรงพยาบาลชุมชน 3 แห่ง พบว่า ระบบที่พัฒนาขึ้นใหม่ สามารถช่วยประเมินความพร้อมของเจ้าหน้าที่/ผู้ควบคุมรถพยาบาล มีความ พร้อมใช้ของอุปกรณ์และรถพยาบาลเพิ่มมากขึ้น ช่วยในการบริหารจัดการทรัพยากรที่มีได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น มีระบบ Datacenter แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยบริการรับ-ส่งต่อ แบบ Realtime สามารถดู ข้อมูลรายละเอียดการส่งต่อ ตำแหน่งและภาพบนรถพยาบาล อีกทั้งยังสามารถใช้ข้อมูลในการบริหารจัดการ รถพยาบาลและผู้ขับรถยนต์ได้ 8. สรุปและข้อเสนอแนะ ระบบความพร้อมรถพยาบาล ระบบส่งต่อและเชื่อมโยงเครือข่ายแบบรวมศูนย์ iAmbulance สามารถ ตอบสนองตามความต้องการใช้งานผู้ปฏิบัติงาน สามารถปรับปรุงเพิ่มเติมได้ตามต้องการ ง่ายต่อการติดตั้ง ใช้งาน รองรับระบบปฏิบัติการที่หลากหลาย 9. การนำไปใช้ประโยชน์ ระบบความพร้อมรถพยาบาล ระบบส่งต่อและเชื่อมโยงเครือข่ายแบบรวมศูนย์ iAmbulance สามารถ ใช้ตรวจสอบความปลอดภัยของรถพยาบาล ได้ทั้งในระยะก่อนปฏิบัติงาน ขณะปฏิบัติงานและหลังปฏิบัติงาน ช่วยในการบริหารจัดการรถพยาบาลฉุกเฉิน เตรียมความพร้อมในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยของโรงพยาบาล รับส่งต่อ เกิดความปลอดภัยแก่เจ้าหน้าที่และผู้ป่วยปลอดภัยจากการรับและส่งต่อ เพื่อช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุ และอุบัติการณ์ที่เกิดขึ้นกับรถพยาบาลฉุกเฉินและช่วยบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้น เชื่อมโยงข้อมูลระหว่าง โรงพยาบาลที่รับส่งต่อระหว่างกัน 133


ระบบความพร้อมรถพยาบาล ระบบส่งต่อและเชื่อมโยงเครือข่ายแบบรวมศูนย์ iAmbulance 1. หน่วยงาน : งานเทคโลโนยีสารสนเทศ โรงพยาบาลเขาสุกิม อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี 2. ผู้นำเสนอ : นายพิทักษ์พงษ์ เพียเพ็งต้น นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ 3. ความสำคัญของปัญหา : ปัจจุบัน การปฏิบัติงานให้ความช่วยเหลือ ดูแลรักษา ผู้ป่วยฉุกเฉิน ณ จุดเกิดเหตุ และนำส่งไปรับการรักษา ณ โรงพยาบาลที่ได้มาตรฐานที่อยู่ใกล้ที่สุด รวมถึงการส่งต่อไปยังโรงพยาบาลที่มี ศักยภาพสูงกว่า พบว่ามีรถพยาบาลฉุกเฉินประสบอุบัติเหตุบ่อยครั้ง เนื่องจากอุปกรณ์ป้องกัน สภาพของรถ ปฏิบัติฉุกเฉิน โครงสร้างทางกายภาพและสภาพแวดล้อม เช่น สภาพอากาศ แสงสว่างไม่เพียงพอ อีกทั้งยังมี ปัญหาความพร้อมใช้งานของรถพยาบาลฉุกเฉินที่เกิดจากบุคคลหรือตัวเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ เช่น การเช็คอุปกรณ์ บนรถ น้ำมันหมด ไม่มีการตรวจสอบความพร้อมของรถก่อนการออกปฏิบัติการ การขับรถเร็วและการขับรถ ระยะกระชั้นชิด ด้วยความตระหนักเกี่ยวกับปัญหาเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับรถพยาบาลขณะปฏิบัติงานเคลื่อนย้าย ผู้ป่วย (Medical transport accident) และอุบัติการณ์ที่เกิดขึ้นกับพาหนะ ทีม หรือผู้ป่วยในขณะปฏิบัติงาน เคลื่อนย้ายผู้ป่วย (Medical transport incident) จึงได้พัฒนาระบบความพร้อมรถพยาบาล ระบบส่งต่อและ เชื่อมโยงเครือข่ายแบบรวมศูนย์ iAmbulance เพื่อเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้สามารถตรวจสอบความปลอดภัย ของรถพยาบาล ได้ทั้งในระยะก่อนปฏิบัติงาน ขณะปฏิบัติงานและหลังปฏิบัติงาน ช่วยในการบริหารจัดการ รถพยาบาลฉุกเฉิน เตรียมความพร้อมในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยของโรงพยาบาลรับส่งต่อ เกิดความปลอดภัย แก่เจ้าหน้าที่และผู้ป่วยปลอดภัยจากการรับและส่งต่อ ทั้งยังช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุและอุบัติการณ์ที่เกิดขึ้นกับ รถพยาบาลฉุกเฉินและช่วยบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้น เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างโรงพยาบาลที่รับส่งต่อ ระหว่างกัน 4. วัตถุประสงค์ 5.1 เพื่อสร้าง Application ในการตรวจสอบความพร้อม และค้นหาความไม่ปลอดภัย ในการ ปฏิบัติงานในระบบส่งต่อและระบบปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉิน 5.2 เพื่อสนับสนุนการพัฒนาระบบการดำเนินงานด้านการรับส่งต่อ และระบบการแพทย์ให้มีมาตรฐาน ในการปฏิบัติการ 5.วิธีดำเนินการ : 5.1 การออกแบบโปรแกรม 5.1.1 วางแผนการดำเนินการ ประชุมผู้เกี่ยวข้องโดยประเมินความต้องการ (Assess Needs) และ ออกแบบรายละเอียด (Design Specifications) ตามความต้องการของผู้ใช้งานระบบในช่วงเดือนตุลาคม 2565 5.1.2 การออกแบบและพัฒนา Software Application พัฒนาในรูปแบบของ Mobile Application สนับสนุนการทำงานบน OS Android และ IOS และจัดเก็บข้อมูลด้วยระบบฐานข้อมูล MySQL ดำเนินการ ในช่วงเดือนตุลาคม 2565 – มีนาคม 2566 5.1.3 ทดสอบระบบโปรแกรมระบบงาน เพื่อค้นหาปัญหาและแก้ไขปัญหาให้เหลือน้อยที่สุดก่อน นำไปใช้งานจริงในช่วงเดือนเมษายน 2566 134


5.1.4 ดำเนินการใช้ระบบ (Implement Systems) และสนับสนุนการดำเนินการ (Support Operations) โดยมีการจัดประชุมผู้เกี่ยวข้อง เพื่อชี้แจงการดำเนินงานและเริ่มทดลองใช้งานจริง สำรวจปัญหา และความต้องการเพิ่มเติมเพื่อปรับปรุงและพัฒนาต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดระบบการทำงานที่ดียิ่งขึ้นช่วงเดือน เมษายน – กันยายน 2566 5.1.5 วิเคราะห์ประเมินผลการทำงาน (Evaluate Performance) เพื่อติดตามและประเมินผลการ ทำงานของระบบในช่วงเดือนมิถุนายน - กันยายน 2566 5.2 การใช้งานโปรแกรม ระบบโปรแกรม iAmbulance จะประกอบด้วยระบบการทำงาน 3 ระบบ ทำงานส่งต่อข้อมูลระหว่างกัน ดังนี้ 5.2.1 ระบบควบคุมความปลอดภัยรถพยาบาล จะถูกควบคุมโดย Application ของเจ้าหน้าที่/ ผู้ควบคุมรถพยาบาล เมื่อมีการขอออกรถส่งต่อผู้ป่วย Application จะช่วยประเมินความอ่อนล้าของ เจ้าหน้าที่/ผู้ควบคุมรถพยาบาล ตรวจสอบสภาพอากาศ ตรวจสอบจำนวนกระเป๋าพยาบาลอุปกรณ์ที่ใช้ใน รถพยาบาล ในส่วนของสถานะระดับน้ำมันเซื้อเพลิงและระดับออกซิเจนบนรถพยาบาล เจ้าหน้าที่/ผู้ควบคุม รถพยาบาลจะดำเนินการตรวจสอบและบันทึกผ่าน Application ก่อนออกรถพยาบาล ผ่าน Application สำหรับเจ้าหน้าที่/ผู้ควบคุมรถพยาบาลโดยเฉพาะ ข้อมูลต่างๆจะถูกนำมาประมวลผลเป็นร้อยละความพร้อมใช้ งานรถพยาบาลตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ เมื่อรถออกเดินทางจะส่งข้อมูลพิกัดตำแหน่ง ความเร็วรถ เส้นทางเดินรถ ให้ รพ.ต้นทาง และ รพ.รับส่งต่อ รับทราบข้อมูลแบบ Real Time 5.2.2 ระบบติดตามสถานะผู้ป่วย (Patient Monitoring) ระบบนี้จะถูกติดตั้งที่ศูนย์สั่งการควบคุมการ ส่งต่อของโรงพยาบาล เมื่อมีการขอออกรถพยาบาลจากระบบควบคุมความปลอดภัยรถพยาบาล รายละเอียด ข้อมูลผู้ป่วยส่งต่อ จะถูกส่งต่อจาก รพ. ต้นทาง ไปยัง รพ.ปลายทาง เพื่อให้รับทราบถึงประวัติการรักษา มี ระบบติดตามสัญญาณชีพ ที่สามารถแสดงสัญญาณชีพจากบนรถพยาบาลไปยังแพทย์ พยาบาล ผ่านระบบ ER Dashboard ซึ่งจะแสดงข้อมูลให้เห็นทั้งใน รพ. ต้นทางที่ส่งต่อ และ รพ.ที่รับส่งต่อ กล้องระบบ Conference สำหรับส่งภาพและเสียงในรถ ไปยังศูนย์สั่งการและแพทย์ ระบบ ER Dashboard จะทราบตำแหน่งของ รถพยาบาลและแสดงผลตำแหน่ง ความเร็ว ประมาณการเวลาที่จะถึงผ่านหน้าจอระบบ 5.2.3 ระบบสื่อสารประสานงาน (Communication) มีหน้าจอที่สามารถติดตามตำแหน่งทั้งหมดของ รถพยาบาลและผู้ป่วยได้ สามารถบอกเวลาที่ผู้ป่วยจะมาถึง เวลาที่คาดจะออกไปถึงผู้ป่วย สามารถนำมา วิเคราะห์เพื่อปรับปรุงคุณภาพการให้บริการ ระบบ Video Conference สำหรับส่งภาพและเสียงเพื่อใช้ในการ ติดต่อสื่อสารกับทีมแพทย์ 135


6. ผลการดำเนินงาน จากการดำเนินงานที่ผ่านมา มีหน่วยบริการที่ใช้งานระบบ ซึ่งประกอบด้วยโรงพยาบาลชุมชน 3 แห่ง พบว่า ระบบที่พัฒนาขึ้นใหม่ สามารถช่วยประเมินความพร้อมของเจ้าหน้าที่/ผู้ควบคุมรถพยาบาล มีความ พร้อมใช้ของอุปกรณ์และรถพยาบาลเพิ่มมากขึ้น สามารถช่วยในการบริหารจัดการทรัพยากรที่มีได้มี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น - มีระบบ Datacenter แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยบริการรับ-ส่งต่อ แบบ Realtime สามารถดู ข้อมูลรายละเอียดการส่งต่อ ตำแหน่งและภาพบนรถพยาบาล อีกทั้งยังสามารถใช้ข้อมูลในการบริหารจัดการ รถพยาบาลและผู้ขับรถยนต์ได้ - ความพึงพอใจผู้ปฏิบัติงานมีความพึงพอใจ Application ในภาพรวมที่ร้อยละ 94.76 ตารางแสดงข้อมูลเปรียบเทียบระบบความพร้อมรถพยาบาล ระบบส่งต่อและเชื่อมโยงเครือข่ายแบบรวมศูนย์ iAmbulance ที่พัฒนาใหม่ และระบบการปฏิบัติงานเดิม ประเด็นพัฒนา ระบบเดิม ระบบที่พัฒนา ระบบความควบคุมปลอดภัย รถพยาบาล (Ambulance Monitoring) 1.การประเมินความอ่อนล้าของ เจ้าหน้าที่/ผู้ควบคุมรถพยาบาล ไม่มีการประเมิน ประเมินโดยใช้ Application สามารถวิเคราะห์ความเสี่ยงและความพร้อม ปฏิบัติงานก่อนออกปฏิบัติงาน 2.การตรวจสอบสภาพอากาศ ไม่มี สามารถวิเคราะห์สภาพอากาศผ่าน Application ที่เชื่อมต่อข้อมูลจากGoogle 3.ตรวจสอบกระเป๋าพยาบาลบน รถพยาบาล ตรวจสอบโดย เจ้าหน้าที่ ตรวจสอบว่ามีกระเป๋าพยาบาลบนรถพยาบาล ด้วย Bluetooth iBeacon ผ่าน Application 4.สถานะน้ำมันเซื้อเพลิง กระดาษ ตรวจสอบและบันทึกผ่าน Application 5.ระดับออกซิเจนในถังออกซิเจนบน รถพยาบาล กระดาษ ตรวจสอบและบันทึกผ่าน Application ระบบติดตามสถานะผู้ป่วย (Patient Monitoring) 1.ข้อมูลผู้ป่วย ข้อมูลการส่งต่อผู้ป่วย สัญญาณชีพเมื่อแรกรับ ข้อมูลผลการ ตรวจ LAB กระดาษ, ไม่มีผล LAB รวบรวมข้อมูลสัญญาณชีพและผล LABจาก HIS ของโรงพยาบาล แสดงผลผ่าน ER Dashboard ของโรงพยาบาลรับ-ส่งต่อ 2.ระบบติดตามสัญญาณชีพ จากบน รถพยาบาลไปยังระบบ ER Dashboard ไม่มี รวบรวมข้อมูลสัญญาณชีพจาก HIS ของ โรงพยาบาล 3. ตำแหน่งของรถพยาบาลและ ความเร็ว ประมาณการเวลาที่จะถึง ไม่มี ประมวลผลข้อมูลผ่านระบบ GPS ระบบสื่อสารประสานงาน (Communication) 1.ระบบ Conference สำหรับส่งภาพ และเสียงในรถ ไปยังศูนย์สั่งการและทีม แพทย์ ไม่มี ระบบ vdo Conference ผ่าน Application ระหว่างศูนย์สั่งการและรถพยาบาล 136


จากผลการดำเนินงานดังกล่าว แสดงให้เห็นความสามารถของระบบการช่วยการดำเนินงานด้านการ รับส่งต่อ และระบบการแพทย์ให้มีมาตรฐานในการปฏิบัติการ สามารถนำข้อมูลที่มีมาใช้ในการวิเคราะห์ วาง แผนการดำเนินงานต่อไปได้ 8. สรุปและข้อเสนอแนะ 1.ระบบความพร้อมรถพยาบาล ระบบส่งต่อและเชื่อมโยงเครือข่ายแบบรวมศูนย์ iAmbulance สามารถ ตอบสนองตามความต้องการใช้งานผู้ปฏิบัติงาน สามารถปรับปรุงเพิ่มเติมได้ตามต้องการ เนื่องจากเราเป็น ผู้พัฒนาระบบเอง 2. Application ที่ง่ายต่อการติดตั้งใช้งาน รองรับระบบปฏิบัติการที่หลากหลาย 3. มีระบบ Datacenter แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยบริการรับ-ส่งต่อ แบบ Realtime สามารถดู ข้อมูลรายละเอียดการส่งต่อ ตำแหน่งและภาพบนรถพยาบาล อีกทั้งยังสามารถใช้ข้อมูลในการบริหารจัดการ รถพยาบาลและผู้ขับรถยนต์ได้ 4. ค่าใช้จ่ายน้อย ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ ไม่มีค่าดูแลรักษารายปี 5. มองเห็นโอกาสในการพัฒนาต่อยอดในอนาคต เช่น การเชื่อมต่อกับระบบอื่นๆ ฯลฯ 9. การนำไปใช้ประโยชน์ ระบบความพร้อมรถพยาบาล ระบบส่งต่อและเชื่อมโยงเครือข่ายแบบรวมศูนย์ iAmbulance สามารถ ใช้ตรวจสอบความปลอดภัยของรถพยาบาล ได้ทั้งในระยะก่อนปฏิบัติงาน ขณะปฏิบัติงานและหลังปฏิบัติงาน ช่วยในการบริหารจัดการรถพยาบาลฉุกเฉิน เตรียมความพร้อมในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยของโรงพยาบาล รับส่งต่อ เกิดความปลอดภัยแก่เจ้าหน้าที่และผู้ป่วยปลอดภัยจากการรับและส่งต่อ เพื่อช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุ และอุบัติการณ์ที่เกิดขึ้นกับรถพยาบาลฉุกเฉินและช่วยบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้น เชื่อมโยงข้อมูลระหว่าง โรงพยาบาลที่รับส่งต่อระหว่างกัน 137


ชื่อผลงาน : นวัตกรรม FLAX tigger tool for HAI เพื่อเฝ้าระวังการติดเชื้อ ในโรงพยาบาลวัดญาณสังวราราม ชื่อเจ้าของผลงาน : นางสาวปริยากร แก้วบุบผา พว.ชำนาญการ ICN สถานที่ติดต่อกลับ : หน่วยควบคุมการติดเชื้อ โรงพยาบาลวัดญาณสังวราราม E-mail --> [email protected] เบอร์โทร 089-6023187 บทนำ จากสถิติการติดเชื้อในโรงพยาบาลวัดญาณสังวราราม ในปี 2565 จากการรายงานไม่พบการติดเชื้อใน โรงพยาบาล แต่จากการทบทวนcase พบผู้ป่วยติดเชื้อในโรงพยาบาล 1ราย พบว่า ข้อมูลการเฝ้าระวังขาด ประสิทธิภาพ ขาดความรู้ในการเฝ้าระวัง ดังนั้นผู้จัดทำจึงพัฒนาเครื่องมือ FLAX (Trigger tool for HAI)ที่ช่วย ในการประเมินคนไข้ที่มีเกณฑ์สงสัยติดเชื้อในโรงพยาบาลเฝ้าระวังการติดเชื้อในโรงพยาบาล เพื่อพัฒนาระบบการ เฝ้าระวังการติดเชื้อในโรงพยาบาลวัดญาณสังวราราม 6.วิธีการศึกษา/การดำเนินงาน / ประชากร/กลุ่มตัวอย่าง /เครื่องมือ การศึกษาครั้งนี้ประชุมทีมและพัฒนาสร้างรูปแบบนวัตกรรมเพื่อการเฝ้าระวังการการติดเชื้อในโรงพยาบาลโดย กำหนดกลุ่มเป้าหมายคือ ผู้ป่วยหลังการAdmit 2 วัน ในตึกผู้ป่วยในทุกราย โดยนวัตกรรม FLAX (Tigger tool for HAI เป็นการนำ Diagnostic testและภาวะไข้ มาเป็น เครื่องมือในการเฝ้าระวังการติดเชื้อ F= Fever(ไข้38องศา ขึ้นไป ) L= Lab (ผลLabที่มีการพบเชื้อ) A= Antibiotic (การสั่งใช้ยาAntibioticของแพทย์) X= X-ray (ผลx – ray ที่มีความผิดปกติบ่งบอกของการติดเชื้อ) สร้างเป็นคำที่ง่ายต่อการจดจำเป็น FLAX เมื่อพบผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์ อย่างน้อย 1 ข้อให้แจ้ง ICN เพื่อร่วมวิเคราะห์case ร่วมกับทีมแพทย์และพยาบาลและร่วมวินิจฉัย ขณะผู้ป่วยอยู่ใน หอผู้ป่วย บันทึกการรายงานcase ที่เข้าเกณฑ์เพื่อประเมินผลในการใช้นวตกรรม พยาบาล ICN ทำ Preverence Survey และสรุปผลการใช้นวตกรรมและมีการส่งข้อมูลไปยังหน่วยงาน 7.ผลการศึกษา ตัวชี้วัด เป้าหมาย ร้อยละ หลังการพัฒนา(ร้อยละ) มีนาคม-มิถุนายน66 1. ประสิทธิภาพของการเฝ้าระวัง > 80 100 2. ประสิทธิภาพของนวัตกรรม > 50 16.7 มีระดับความพึงพอใจในการจัดทำนวัตกรรม โดยรวมอยู่ในระดับมาก อภิปรายสรุป :จากการแนวทางการเฝ้าระวังการติดเชื้อในรูปแบบเดิม ด้วยภาระงานและความสามารถของICWN แต่ละคนทำให้เกิดข้อแตกต่างกัน จึงทำให้มีข้อมูลผู้ป่วยติดเชื้อในโรงพยาบาลคลาดเคลื่อน จากปัญหาดังกล่าวจึง คิดค้นนวัตกรรม FLAX เพื่อเป็นตัวกระตุ้นเตือนในการเฝ้าระวังการติดเชื้อในโรงพยาบาล หลังจากการใช้นวัตกรรม ทำให้ประสิทธิภาพของการเฝ้าระวัง 100% 9.เอกสารอ้างอิง : สถาบันบำราศนราดูร. คู่มือวินิจฉัยการติดเชื้อในโรงพยาบาล พิมพ์ครั้งที่1 . กรุงเทพ สำนักพิมพ์อักษรกราฟฟิค แอนด์ดีไซน์ , 2561 138


1.ชื่อผลงาน : นวัตกรรม FLAX tigger tool for HAI เพื่อเฝ้าระวังการติดเชื้อ ในโรงพยาบาลวัดญาณสังวราราม 2. ชื่อเจ้าของผลงาน : นางสาวปริยากร แก้วบุบผา พว.ชำนาญการ พยาบาลควบคุมการติดเชื้อโรงพยาบาลวัดญาณสังวราราม 3. ผู้นำเสนอผลงาน : นางสาวปริยากร แก้วบุบผา พว.ชำนาญการ 4.ความสำคัญของปัญหา : การติดเชื้อในโรงพยาบาล HAI (Hospital–Associated Infections) ถือว่าเป็นปัญหาสำคัญในระบบ สาธารณสุขของทุกประเทศ ในประเทศไทยมีผู้ป่วยที่รับไว้รักษาในโรงพยาบาลประมาณ 4,000,000 คน จะมีผู้ป่วย โรคติดเชื้อในโรงพยาบาลอย่างน้อย300,000คนผู้ป่วยกลุ่มนี้มีอัตราการตายประมาณร้อยละ5.9และอยู่โรงพยาบาล นานขึ้นเฉลี่ย 5 วัน งบประมาณของรัฐบาลถูกใช้ในการรักษาคิดเป็นเงินประมาณ 1600- 2400 ล้านบาทต่อปี ( สมหวัง ด่านชัยวิจิตร, 2559) จากปัญหาการติดเชื้อดังกล่าว การเฝ้าระวังการติดเชื้อในโรงพยาบาลจึงเป็นสิ่งสำคัญ กับการพัฒนางานด้านควบคุมการติดเชื้อในโรงพยาบาล ระบบการเฝ้าระวังที่มีประสิทธิภาพจะทำให้สามารถค้นพบ ผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อในโรงพยาบาลได้รวดเร็วทำให้สามารถควบคุมการระบาดได้ โรงพยาบาลที่มีระบบการเฝ้า ระวังการติดเชื้อ มีอัตราการติดเชื้อในโรงพยาบาลลดลงร้อยละ 32 (ทิพย์สุดา หริกุลสวัสดิ์.2555) โรงพยาบาลวัดญาณสังวราราม มีระบบการเฝ้าระวังการติดเชื้อแบบ Hospital-wide ร่วมกับ target surveillance โดยพยาบาลควบคุมการติดเชื้อประจำหอผู้ป่วย(ICWN)ติดตามสถานการณ์การติดเชื้อลงในแบบเฝ้า ระวังและสรุปรายงานการเฝ้าระวังการติดเชื้อประจำเดือนส่งให้ ICNทุกเดือน จากสถิติการติดเชื้อในโรงพยาบาลวัด ญาณสังวรารามปี 2563 , 2564 , 2565 พบอัตราการติดเชื้อในโรงพยาบาล 0.16 , 0.09 และ 0 ต่อ 1000 วัน นอนตามลำดับ ในปี 2565 จากการรายงานไม่พบการติดเชื้อในโรงพยาบาล แต่จากการทบทวนcase จากเวช ระเบียนพบผู้ป่วยติดเชื้อในโรงพยาบาล 1ราย ซึ่งทบทวน case พบว่า ข้อมูลการเฝ้าระวังขาดประสิทธิภาพ ขาด ความรู้ในการประเมินผู้ป่วยติดเชื้อในโรงพยาบาลและหน่วยงานมีการส่งรายงานล่าช้า ทำให้มีความเสี่ยงต่อการ ระบาดหรือแพร่กระจายเชื้อในโรงพยาบาล ดังนั้นผู้จัดทำจึงพัฒนาเครื่องมือ FLAX (Trigger tool for HAI)ที่ช่วยในการประเมินคนไข้ที่มีเกณฑ์สงสัย ติดเชื้อในโรงพยาบาลเฝ้าระวังการติดเชื้อในโรงพยาบาล เพื่อพัฒนาระบบการเฝ้าระวังการติดเชื้อในโรงพยาบาล วัดญาณสังวรารามบันทึกข้อมูลเป็นปัจจุบันและส่งข้อมูลได้รวดเร็วทันเวลา เป็นการเพิ่มการประสิทธิภาพในการเฝ้า ระวังการติดเชื้อในโรงพยาบาลเพิ่มมากขึ้น 5.วัตถุประสงค์: เพื่อพัฒนาระบบการเฝ้าระวังการติดเชื้อในโรงพยาบาลวัดญาณสังวราราม 6.วิธีการศึกษา/การดำเนินงาน / ประชากร/กลุ่มตัวอย่าง /เครื่องมือ (1) ประชุมทีมผู้ป่วยในร่วมด้วย แพทย์พยาบาลควบคุมการติดเชื้อประจำหอผู้ป่วย หัวหน้าตึกผู้ป่วยใน พยาบาล ควบคุมการติดเชื้อ(ICN) วิเคราะห์สาเหตุประสิทธิภาพการเฝ้าระวังการติดเชื้อในโรงพยาบาล (2)ทบทวนวรรณกรรม,รวบรวมความรู้ข้อมูล,สร้างรูปแบบนวัตกรรมเพื่อการเฝ้าระวังการการติดเชื้อใน โรงพยาบาล 139


(3) กำหนดกลุ่มเป้าหมายคือ ใช้กับผู้ป่วยที่ Admit ในตึกผู้ป่วยในทุกราย และผู้ใช้นวัตกรรมคือพยาบาลวิชาชีพที่ ดูแลผู้ป่วยในหอผู้ป่วยทุกคน (4)นำเสนอการใช้นวัตกรรม FLAX ( Tigger tool for HAI ) ดังนี้ นวัตกรรม FLAX (Tigger tool for HAI )เป็น การนำ Diagnostic test มาเป็น เครื่องมือในการเฝ้าระวังการติดเชื้อ โดยใช้ ภาวะไข้ , ผลLABที่บ่งบอกถึงการติด เชื้อ ,การเริ่มให้Antibiotic , และภาพรังสี X- ray ที่บ่งบอกถึงภาวะการติดเชื้อ สร้างเป็นคำที่ง่ายต่อการจดจำเป็น FLAX โดยนำอักษรหน้าของ Diagnostic test มาเรียงกัน และกำหนดให้ใช้ในผู้ป่วยAdmit Day 3 เป็นต้นไป คือ หลังการAdmit 2 วัน มอบหมายหัวหน้าตึกผู้ป่วยในมีการติดตามการใช้งานหลังการส่งเวรทุกเช้าเมื่อพบผู้ป่วยที่ เข้าเกณฑ์ FLAX อย่างน้อย 1 ข้อให้แจ้ง ICN เพื่อร่วมวิเคราะห์case ร่วมกับทีมแพทย์และพยาบาลและร่วมวินิจฉัย ขณะผู้ป่วยอยู่ในหอผู้ป่วย (5).บันทึกการรายงานcase ที่เข้าเกณฑ์เพื่อประเมินผลในการใช้นวตกรรม พยาบาล ICN ทำ Prevalence Survey ทุก 7 วัน และร่วมรับฟังการส่งเวรในตึกผู้ป่วยใน สัปดาห์ละ 2 ครั้ง และตรวจสอบจากใบเฝ้าระวังในChart ผู้ป่วย เพื่อประเมินประสิทธิผลของนวัตกรรม และประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้นวัตกรรม (6).สรุปผลการใช้นวตกรรมและมีการส่งข้อมูลไปยังหน่วยงาน ภาพที่1 นวัตกรรม FLAX 7.ผลการศึกษา ตัวชี้วัด เป้าหมาย ร้อยละ หลังการพัฒนา(ร้อยละ) มีนาคม-มิถุนายน66 1. ประสิทธิภาพของการเฝ้าระวัง > 80 100 2. ประสิทธิภาพของนวัตกรรม > 50 16.7 140


8.อภิปรายผลการศึกษา : ผลการศึกษาประสิทธิภาพของการเฝ้าระวังร้อยละ 100 สามารถประเมินและวินิจฉัย การติดเชื้อในโรงพยาบาลได้ถูกต้อง โดยการใช้เครื่องมือ FLAX ในการกระตุ้นเตือน มีระดับความพึงพอใจในการจัดทำนวัตกรรม โดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยแยกจำแนกในด้าน ความเข้ากันได้ของ นวัตกรรมกับระบบงานที่ปฏิบัติ รองลงมาด้านประสิทธิผลในการจัดทำนวัตกรรม และด้านประโยชน์ที่ได้รับ เพิ่มขึ้น ตามลำดับ 9.สรุปและข้อเสนอแนะ :จากการแนวทางการเฝ้าระวังการติดเชื้อในรูปแบบเดิมโดยให้ ICWN เป็นผู้วินิจฉัยcase HAI และรายงาน ICN เพื่อร่วมวิเคราะห์และวางแผนการดูแลและป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล ด้วยภาระงาน และความสามารถของICWNแต่ละคนทำให้เกิดข้อแตกต่างกันจึงทำให้มีข้อมูลผู้ป่วยติดเชื้อในโรงพยาบาล คลาดเคลื่อน จากปัญหาดังกล่าวทำให้เกิดการวิเคราะห์หาสาเหตุ และคิดค้นนวัตกรรม FLAX เพื่อเป็นตัวกระตุ้น เตือนในการเฝ้าระวังการติดเชื้อในโรงพยาบาล และเป็นความร่วมมือของพยาบาลในหอผู้ป่วยทุกคนที่จะช่วยกันเฝ้า ระวัง หลังจากการใช้นวัตกรรมทำให้ประสิทธิภาพของการเฝ้าระวัง 100% พบcase HAI ขณะที่ผู้ป่วยยังคงรักษาอยู่ในโรงพยาบาล ทำให้วิเคราะห์หาสาเหตุ กระบวนการทำงานที่เป็นปัญหา ที่แท้จริงได้ แก้ไขหน้างานได้อย่างทันท่วงที และเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดในหอผู้ป่วยใน แต่ยังพบว่า ประสิทธิภาพของนวัตกรรมร้อยละ 16.7 จากการวิเคราะห์ เจ้าหน้าที่ยังขาดความเข้าใจ ในการใช้และข้อบ่งชี้ใน การใช้นวัตกรรม จึงได้มีการประชุมร่วมกับทีมพยาบาลในตึกผู้ป่วย เกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจ และเปิดโอกาสให้ ซักถามเพื่อพัฒนานวัตกรรมต่อไป 10.การนำผลงานไปใช้ประโยชน์ นวัตกรรม FLAX Tigger tool for HAI นี้นำลงสู่ผู้ปฏิบัติในหอผู้ป่วยในของโรงพยาบาลวัดญาณสังวราราม โดย พยาบาลวิชาชีพตั้งแต่หัวหน้าหอผู้ป่วย พยาบาลควบคุมการติดเชื้อในหอผู้ป่วย และพยาบาลวิชาชีพทุกคนที่ร่วม ดูแลผู้ป่วย สามารถใช้เครื่องมือ FALX ร่วมกันเฝ้าระวังการติดเชื้อในโรงพยาบาล เป็นการร่วมมือกันของพยาบาล ในทีม และร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาสาเหตุในหน้างานจริง สามารถทบทวนกระบวนการดูแลขณะที่ผู้ป่วยยังAdmit ที่หอผู้ป่วย เพื่อเป็นการควบคุมการระบาดการติดเชื้อในโรงพยาบาลได้อย่างทันท่วงที เอกสารอ้างอิง : ทิพย์สุดา หริกุลสวัสดิ์. (2555). การพัฒนาระบบการเฝ้าระวังการติดเชื้อในโรงพยาบาล ของพยาบาลควบคุมการ ติดเชื้อประจำหอผู้ป่วยโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชธาตุพนม จังหวัดนครพนม. รายงานการศึกษา อิสระปริญญา พยาบาลศาสตร์มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยขอนแก่น. เอกสารอัดสำเนา. สมหวัง ด่านชัยวิจิตร. (2559). สถานการณ์การติดเชื้อในโรงพยาบาล. เอกสารประกอบ การประชุมสำหรับ บุคลากรสำนักงานป้องกัน 1064 เพชรดาพัฒทอง วารสารวิชาการแพทย์เขต 11 ปีที่ 32 ฉบับที่ 2 เม.ย.- มิ.ย. 2561 สถาบันบำราศนราดูร. คู่มือวินิจฉัยการติดเชื้อในโรงพยาบาล พิมพ์ครั้งที่1 . กรุงเทพ สำนักพิมพ์อักษรกราฟฟิค แอนด์ดีไซน์ , 2561 141


ชื่อนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ กระติกวัคซีนมหัศจรรย์ ผู้ประดิษฐ์และผู้น ำเสนอ นำงสุภำภรณ์ นิลเทศ ต ำแหน่งพยำบำลวิชำชีพช ำนำญกำร โรงพยำบำลวัดญำณสังวรำรำม สถานที่ติดต่อ รพ.วัดญำณสังวรำรำม อ.บำงละมุง จ.ชลบุรี Tel 081-9458272 e-mail : [email protected] หลักการและเหตุผล กำรได้รับวัคซีน Covid-19 ช่วยลดอัตรำกำรเสียชีวิตได้มำก แต่วัคซีนเป็ นชีววัตถุไวต่ออุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง เสื่อมสภำพง่ำย วัคซีนที่ สูญเสียคุณภำพนอกจำกจะไม่สำมำรถป้องกันโรคได้แล้ว อำจก่อให้เกิด AEFI ได้ ดงัน้นัอุณหภูมิเป็นปัจจยัสำ คญัที่ส่งผลต่อควำมคงตัวของ ยำ ต้องเก็บในอุณหภูมิที่เหมำะสม (2-8°C ) ในช่วงปี 64-65รพ.วัดญำณ มีผู้ต้องกำรฉีดวัคซีนเป็นจำ นวนมำก ท้งัที่รพ.และผปู้่วยติดเตียงใน ชุมชน ในปี 64 =18,305รำย ในปี 65 =41,556 รำย ในปี 66 (ถึงมิย.66) =2,239 รำย มีผลท ำให้กระติกวัคซีนมีไม่เพียงพอต่อควำมต้องกำร ของผู้รับบริกำร และกระติกเก็บวัคซีนที่มีอยู่ก็ไม่สะดวกใช้งำน และรำคำสูง ดงัน้นัจำกปัญหำที่กล่ำวมำขำ้งตน้ผศู้ึกษำจึงไดค้ดิคน้ “กระติก วัคซีนมหัศจรรย์” ข้ึนมำเพื่อใหผ้มู้ำรับบริกำรไดร้ับวคซีนที่มีคุณภำพ ั จัดเก็บอยู่ในอุณหภูมิที่เหมำะสม สะดวกต่อกำรใช้งำนรำคำย่อมเยำ วัตถุประสงค์ 1. เพื่อให้ผู้มำรับบริกำรได้รับวัคซีนที่มีคุณภำพ ไม่เสื่อมสภำพ จัดเก็บอยู่ในอุณหภูมิที่เหมำะสม (2-8°C) 2. เพื่อควำมเพียงพอพร้อมใช้ของกระติกวัคซีนที่มีคุณภำพ 3. เพื่อให้ผู้ให้บริกำรสำมำรถฉีดวัคซีนได้อย่ำงสะดวก ไม่ยุ่งยำกต่อกำรใช้งำน วิธีการพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ การออกแบบ “กระติกวัคซีนมหัศจรรย์” โดยปรึกษาผู้เชี่ยวชาญและค้นหาเอกสารอ้างอิงโดยมีขั้นตอนดังนี้ 1.กระติกต้องมีควำมหนำ (เก็บควำมเย็นได้นำน) มีขนำดที่เหมำะสม ยกและเคลื่อนย้ำยได้สะดวก (ประมำณ 15ลิตร)และรำคำไม่แพง 2. มีฝำเปิ ดด้ำนบน(ช่องเล็ก ๆ)เพื่อควำมสะดวกในกำรหยิบวัคซีน และเพื่อควบคุมอุณหภูมิไม่ให้เปลี่ยนแปลงมำกเมื่อต้องเปิ ดบ่อย ๆ 3. มีตัวบอกอุณหภูมิที่ได้มำตรฐำน รำคำไม่สูง ติดอยู่ทำงด้ำนนอกกระติกเพื่อที่จะสำมำรถ Check อุณหภูมิได้ตลอดเวลำที่ฉีดวัคซีน 4. ตัวบอกอุณหภูมิต้องมี Probe (วัดอุณหภูมิด้ำนใน) และสำยยำวพอที่จะสำมำรถน ำมำติดนอกกระติกได้พร้อมท้งัมีเสียง Alarm เตือน การทดสอบประสิทธิภาพสิ่งประดิษฐ์ ทดสอบตัววัดอุณหภูมิ โดยเปรียบเทียบกับตัววัดมำตรฐำน Log tag โดยหลังกำรทดสอบพบว่ำควำมถูกต้องแม่นย ำของตัววัดอุณหภูมิที่เลือก มำใช้ ±1-1.5°C เพรำะฉะน้นัถำ้จะให้วคัซีนอยใู่นอุณหภูมิที่เหมำะสม 2-8°C ตัววัดอุณหภูมิที่เลือกมำใช้จะต้องคงอุณหภูมิไว้ที่ 3.5-6.5°C เวลา จ านวน Cold pack อุณหภูมิภายห้อง อุณหภูมิกระติก Log tag 45 นาที 4 แผ่น 4 แผ่น 25°C 25°C 5.8°C 4.4°C 5.5°C 5.9°C 2 ชม. 4 แผ่น 5 แผ่น 25°C 30°C 4.7°C 3.5°C 3.9°C 4.2°C 6 ชม. 4 แผ่น 5 แผ่น 25°C 30°C 6.1°C 5.3°C 5.1°C 6.2°C ตารางเปรียบเทียบกระติกวัคซีนมหัศจรรย์กับวัคซีนที่นิยมใช้ตามโรงพยาบาลทั่วไป กระติกวัคซีน ราคา ขนาด การใช้งาน 4,200 บำท 3.4 ลิตร(ใหญ่สุด) 1.ขนำดเลก็พ้ืนที่ดำ้นในคบัแคบ 2.ฝำปิ ดแน่นเปิ ดล ำบำกในกรณีต้องเปิ ดหยิบบ่อย 7,500 บำท 46 ลิตร (เล็กสุด) 1.ขนำดใหญ่ เคลื่อนย้ำยล ำบำก รำคำแพง 2.เหมำะส ำหรับขนส่งวัคซีนปริมำณมำก 1,819 บำท 15ลิตร 1.ขนำดพอเหมำะ 2. มีฝำเล็กๆ ด้ำนบน เปิ ดหยิบวัคซีนได้ง่ำย 3.ตัววัด Temp อยู่ด้ำนนอก Check Temp สะดวก ประโยชน์/การน าไปใช้ จำกกำรนำ สิ่งประดิษฐ์มำใช้ต้งัแตเ่ริ่มมีกำรฉีดวคัซีนต้งัแตเดือนกพ.64 ่ ถึงปัจจุบันไดผ้ลดงัน้ี 1.กระติกวัคซีนเพียงพอพร้อมใช้ ส ำหรับให้บริกำรฉีดวัคซีน Covid-19 ท้งัในรพ.และในชุมชนส ำหรับผู้ป่ วยติดบ้ำน ติดเตียง 2. ผู้ให้บริกำรมีควำมพึงพอใจต่อกำรใช้กระติกวัคซีนมหัศจรรย์ร้อยละ100 ข้นัตอนในกำรเตรียมกระติกไม่ยุ่งยำก 3.ข้นัตอนในกำรเตรียมกระติกเพื่อให้คงอุณหภูมิไว้ที่ 3.5-6.5°C ไม่ยุ่งยำกซับซ้อน 4. สำมำรถขนส่งเลือดและขนส่ง Lab (ทำงรพ.ต้องไปเอำเลือดที่สภำกำชำดชลบุรีซึ่งใช้เวลำเดินทำงไปกลับ 2 ชม.และส่ง Lab นอก) 6. สำมำรถน ำไปใช้ได้ดีในรพ. , รพสต. ที่งบประมำณน้อย ๆ หรือชนบทที่ห่ำงไกลและขำดแคลนกระติกวัคซีน 142


ชื่อนวัตกรรม กระติกวัคซีนมหัศจรรย์ ผู้ประดิษฐ์ นางสุภาภรณ์ นิลเทศ ตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพชำนาญการ โรงพยาบาลวัดญาณสังวราราม ผู้นำเสนอ นางสุภาภรณ์ นิลเทศ ตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพชำนาญการ โรงพยาบาลวัดญาณสังวราราม สถานที่ติดต่อ รพ.วัดญาณสังวราราม อ.บางละมุง จ.ชลบุรี Tel 081-9458272 : [email protected] หลักการและเหตุผล ในช่วงสถานการณ์ Covid-19 ที่ผ่านมา ยอดผู้ป่วยยืนยัน Covid-19 ทั่วโลก (รายงานเมื่อเดือน พ.ย. 65) มีจำนวน 246,951,274 ราย เสียชีวิต 5,004,855 ราย อัตราป่วยตายอยู่ที่ 2.03% เพราะฉะนั้นการ ได้รับวัคซีนจึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยลดปริมาณอัตราการเสียชีวิต แต่วัคซีนเป็นชีววัตถุที่มีความคงตัวต่ำ ไวต่ออุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง เสื่อมสภาพได้ง่าย วัคซีนที่สูญเสียคุณภาพนอกจากจะไม่สามารถป้องกันโรคได้ แล้ว ในบางกรณีอาจก่อให้เกิด AEFI (Adverse Event Following Immunization) ได้ ดังนั้นอุณหภูมิเป็น ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความคงตัวของยา ต้องเก็บในสภาวะอุณหภูมิที่เหมาะสม (2-8°C ) ในช่วงปี 2564- 2565 รพ.วัดญาณสังวรารามมีผู้ต้องการฉีดวัคซีนเป็นจำนวนมาก ทั้งที่มารับบริการที่รพ.และออกไปฉีดให้กับ ผู้ป่วยติดเตียงในชุมชน ในปี 2564 จำนวน18,305 ราย ในปี 2565 จำนวน 41,556 ราย ในปี 2566 (ถึงมิย. 66) จำนวน 2,239 ราย มีผลทำให้กระติกเก็บวัคซีนมีไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้รับบริการ และกระติก เก็บวัคซีนที่มีอยู่อย่างจำกัดก็ไม่สะดวกในการใช้งาน และราคาค่อนข้างสูง ดังนั้นจากปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นผู้ ศึกษาจึงได้คิดค้น “กระติกวัคซีนมหัศจรรย์” ขึ้นมาเพื่อให้ผู้มารับบริการได้รับวัคซีนที่มีคุณภาพ ไม่เสื่อมสภาพ จัดเก็บอยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม (2-8°C) และสะดวกต่อการใช้งานของผู้ให้บริการ ในราคาย่อมเยา วัตถุประสงค์ 1. เพื่อให้ผู้มารับบริการได้รับวัคซีนที่มีคุณภาพไม่เสื่อมสภาพ จัดเก็บอยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม(2-8°C) 2. เพื่อความเพียงพอพร้อมใช้ของกระติกเก็บวัคซีนที่มีคุณภาพ 3. เพื่อให้ ผู้ให้บริการสามารถฉีดวัคซีนได้อย่างสะดวก ไม่ยุ่งยากต่อการใช้งาน วิธีการพัฒนานวัตกรรม การออกแบบ “กระติกวัคซีนมหัศจรรย์” โดยปรึกษาผู้เชี่ยวชาญและค้นหาเอกสารอ้างอิงโดยมีขั้นตอน ดังนี้ 1. กระติกที่เก็บวัคซีนต้องมีความหนา (เก็บความเย็นได้นาน) มีขนาดที่เหมาะสม สามารถยกและ เคลื่อนย้ายได้สะดวก (ขนาดที่เลือกประมาณ 15 ลิตร)ราคาไม่แพง 2. กระติกวัคซีนต้องมีฝาเปิดด้านบน(ช่องเล็กๆ) เพื่อความสะดวกในการหยิบวัคซีน และเพื่อควบคุม อุณหภูมิไม่ให้เปลี่ยนแปลงไปมากเมื่อเปิดฝากระติกทั้งฝาบ่อยๆ 3. ต้องมีตัวบอกอุณหภูมิที่ได้มาตรฐาน ราคาไม่สูงมาก ติดอยู่ทางด้านนอกกระติกเพื่อที่จะสามารถ Check อุณหภูมิให้ได้อยู่ในช่วง 2-8 °C ตลอดเวลาที่เก็บวัคซีน 4. ตัวบอกอุณหภูมิต้องมี Probe (วัดอุณหภูมิด้านใน) และสายยาวพอที่จะสามารถนำมาติดนอกกระติก ได้พร้อมทั้งมีเสียง Alarm เตือนเมื่ออุณหภูมิไม่อยู่ในช่วง 2-8°C 5. มีกล่องพลาสติกใส่วัคซีนด้านในเพื่อป้องกันไม่ให้ Cold pack โดนวัคซีนโดยตรง 6. Cold pack เลือกแบบสี่เหลี่ยมเป็นแผ่นแข็ง ได้มาตรฐานสามารถใส่ในกระติกได้พอดี 143


การทดสอบประสิทธิภาพนวัตกรรม 1. ทดสอบตัววัดอุณหภูมิที่เลือกมาใช้ โดยเปรียบเทียบกับตัววัดมาตรฐาน Log tag (ช่วงการวัดอุณหภูมิ -10 ถึง 60°C ความถูกต้องแม่นยำ ±0.5°C แต่ตัว Log tag ราคาค่อนข้างสูง 3500-5000 บาท และ ไม่มีสาย) โดยหลังการทดสอบพบว่าความถูกต้องแม่นยำของตัววัดอุณหภูมิที่เลือกมาใช้ ±1-1.5°C เพราะฉะนั้นถ้าจะให้วัคซีนอยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม 2-8°C ตัววัดอุณหภูมิที่เลือกมาใช้จะต้องคง อุณหภูมิไว้ที่ 3.5-6.5°C 2. ตารางทดสอบการใส่ Cold pack (500 gm แผ่นสี่เหลี่ยม) เพื่อให้ได้อุณหภูมิที่ 3.5-6.5°C เวลา จำนวน Cold pack อุณหภูมิห้อง อุณหภูมิกระติก Log tag 45 นาที 4 แผ่น 4 แผ่น 25°C 25°C 5.8°C 4.4°C 5.5°C 5.9°C 1 ชม. 4 แผ่น 4 แผ่น 25°C 30°C 5.5°C 6.5°C 5.2°C 7°C 2 ชม. 4 แผ่น 5 แผ่น 25°C 30°C 4.7°C 3.5°C 3.9°C 4.2°C 3 ชม. 4 แผ่น 5 แผ่น 25°C 30°C 4.7°C 4°C 4°C 4.9°C 4 ชม. 4 แผ่น 5 แผ่น 25°C 30°C 5.7°C 4.5°C 4.8°C 5.1°C 6 ชม. 4 แผ่น 5 แผ่น 25°C 30°C 6.1°C 5.3°C 5.1°C 6.2°C ตารางเปรียบเทียบกระติกวัคซีนมหัศจรรย์กับวัคซีนที่นิยมใช้ตามโรงพยาบาลทั่วไป กระติกวัคซีน ราคา ขนาด การใช้งาน 4,200 บาท 3.4 ลิตร(ใหญ่สุด) 1.ขนาดเล็ก พื้นที่ด้านในคับแคบ 2.ฝาปิดแน่นเปิดลำบากในกรณีต้องเปิดหยิบบ่อย 7,500 บาท 46 ลิตร (เล็กสุด) 1.ขนาดใหญ่ เคลื่อนย้ายลำบาก ราคาแพง 2.เหมาะสำหรับขนส่งวัคซีนปริมาณมาก 1,819 บาท ตัวกระติก 589 Cold pack 15 ลิตร ตัววัด Temp 950 4 แผ่น 280 1.ขนาดพอเหมาะ เคลื่อนย้ายได้สะดวก 2.มีฝาเล็กๆ ด้านบน เปิดหยิบวัคซีนได้ง่าย 3.ตัววัด Temp อยู่ด้านนอก Check Temp สะดวก ประโยชน์/การนำไปใช้ จากการนำสิ่งประดิษฐ์มาใช้ตั้งแต่เริ่มมีการฉีดวัคซีนตั้งแต่เดือนก.พ.64 ถึงปัจจุบัน ได้ผลดังนี้ 1. กระติกวัคซีนมีความเพียงพอพร้อมใช้ สำหรับให้บริการฉีดวัคซีน Covid-19 ทั้งในโรงพยาบาลและออกไป ให้บริการในชุมชนสำหรับผู้ป่วยติดบ้าน ติดเตียง 2.ผู้ให้บริการมีความพึงพอใจต่อการใช้กระติกวัคซีนมหัศจรรย์ร้อยละ100 ขั้นตอนในการเตรียมกระติกไม่ ยุ่งยาก 3. ขั้นตอนในการเตรียมกระติกเพื่อให้คงอุณหภูมิไว้ที่ 3.5-6.5 °C ไม่ยุ่งยากซับซ้อน 4. สามารถขนส่งเลือดเพื่อจะนำมา Stock สำหรับให้ผู้ป่วยที่รพ.ได้(ทางรพ.ต้องไปเอาเลือดที่สภากาชาดชลบุรี ใช้เวลาเดินทางไปกลับ 2 ชม.) 5. สามารถขนส่ง Lab ที่จะต้องส่งตรวจ Lab นอกที่ทางรพ.ไม่สามารถตรวจได้ 6. สามารถนำไปใช้ได้ดีในรพ. , รพสต. ที่งบประมาณน้อย ๆ หรือชนบทที่ห่างไกลและขาดแคลนกระติกวัคซีน 144


เอกสารอ้างอิง กระทรวงสาธารณสุข กรมควบคุมโรค. “คู่มือการบริหารจัดการวัคซีนและระบบลูกโซ่ความเย็น”. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์การศาสนา สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ,2547. การพัฒนาชุดอุปกรณ์อินเตอร์เน็ตสำหรับติดตามอุณหภูมิและความชื้นของการเก็บรักษายา กลุ่มงานเภสัชกรรม รพ.สมเด็จพระยุพราช. วรรณิภา ธานีรัตน์. การประเมินคุณภาพการบริหารจัดการวัคซีนในจังหวัดสงขลา (สารนิพนธ์ เภสัชศาสตรมหาบัณฑิต). สงขลา: มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์; 2552. วิมลัก ธารางกูร. ผลของกิจกรรมพัฒนาคุณภาพต่อการปฏิบัติงานบริหารจัดการวัคซีนของสถานีอนามัยและ ศูนย์สุขภาพชุมชนในจังหวัดกระบี่ (วิทยานิพนธ์เภสัชศาสตรมหาบัณฑิต).สงขลา: มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์; 2552 145


Click to View FlipBook Version