ตารางที่ 1 ระยะเวลาเข้าถึงบริการทางบริการสุขภาพหลังสังเกตพบเกิดอาการ (วัน) ผลลัพธ์ สื่อวีดิทัศน์ (n = 77) รูปแบบปกติ (n = 119) Mean difference (95% CI) p-value Median (IQR) Median (IQR) ระยะเวลาเข้าถึงบริการทางการแพทย์หลังจากแสดงอาการ 2 (0-5) 2 (1-4) 0.23 (-0.41, 0.88) 0.482 การเข้าถึงบริการด้วยอาการแพ้ยาชนิดรุนแรง; n=16 1 (0-2) 2 (0-9) -4.24 (-5.98, -2.49) < 0.001 การเข้าถึงบริการด้วยอาการนำ; n=21 2 (0-5) 1 (1-4) 0.83 (-1.03, 2.68) 0.382 การเข้าถึงบริการด้วยอาการอื่น; n=159 1 (4-7) 3 (1-4) 0.52 (-0.21, 1.25) 0.163 ตารางที่ 2 ความรุนแรงของอาการแพ้ยาขณะเข้าถึงบริการสุขภาพ Multivariable Multinomial Model, ปรับค่าด้วยตัวแปร อายุ เพศ การศึกษา โรคประจำตัวได้แก่ โรคภูมิแพ้ตนเองและการติดเชื้อไวรัส อภิปรายผลการศึกษา: การนำสื่อวีดิทัศน์มาใช้ให้คำแนะนำเพื่อเฝ้าระวังอาการแพ้ยาชนิดรุนแรงร่วมกับการให้ คำแนะนำรูปแบบปกติส่งผลให้ผู้ป่วยที่ได้รับยาที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดปฏิบัติตัวได้อย่างเหมาะสมเมื่อเกิด อาการไม่พึงประสงค์จากยา โดยผู้ป่วยมารับบริการทางการแพทย์รวดเร็ว สอดคล้องกับการศึกษาการใช้สื่อ วีดิทัศน์ร่วมกับการให้คำแนะนำโดยเภสัชกรต่อการแจ้งประวัติการแพ้ยาด้วยตนเองของผู้ป่วย ซึ่งการศึกษานี้ เป็นการศึกษาแรกที่เปรียบเทียบผลลัพธ์เชิงคลินิกของการใช้สื่อวีดิทัศน์ต่อการเกิดอาการแพ้ยาชนิดรุนแรง ได้แก่ การเกิด Severe cutaneous adverse drug reactions (SCARs) และอาการนำ (Prodrome) โดย เปรียบเทียบกับผู้ป่วยที่มีอาการแพ้ยาอื่น ๆ เนื่องด้วยอาการแพ้ยาชนิดรุนแรงมีอุบัติการณ์น้อย สามารถขยาย การใช้สื่อวีดิทัศน์ไปยังโรงพยาบาลอื่น ๆ และเทียบเคียงประสิทธิผลของสื่อวีดิทัศน์เพื่อเฝ้าระวังอาการแพ้ยา ชนิดรุนแรงเพื่อเพิ่มจำนวนผู้ป่วยต่อไป สรุปและข้อเสนอแนะ: การให้คำแนะนำผู้ป่วยโดยใช้สื่อวีดิทัศน์ร่วมกับรูปแบบปกติเพื่อเฝ้าระวังการแพ้ยา ชนิดรุนแรงในผู้ป่วยได้รับยาที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ทำให้ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาเร็วขึ้นและความรุนแรงของ อาการแพ้ยามีแนวโน้มลดลง การนำผลงานไปใช้ประโยชน์: สื่อวีดิทัศน์ให้คำแนะนำเพื่อเฝ้าระวังอาการแพ้ยาชนิดรุนแรงได้ถูกนำไปใช้เป็น ส่วนหนึ่งของแนวทางปฏิบัติเพื่อให้คำแนะนำผู้ป่วยได้รับยาที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดร่วมกับการให้คำแนะนำ รูปแบบอื่น ๆ ณ โรงพยาบาลระยอง และได้รับการเผยแพร่เพื่อให้คำแนะนำแก่บุคคลทั่วไปทางแฟนเพจกลุ่ม งานเภสัชกรรม โรงพยาบาลระยอง ผลลัพธ์ สื่อวีดิทัศน์ (n = 77) รูปแบบปกติ (n = 119) OR (95% CI) p-value OR (95% CI) p-value อาการแพ้ยาชนิดรุนแรง (SCAR) [จำนวน (ร้อยละ)] 5 (6.49) 11(9.24) Unadjusted model 0.67 0.22, 2.03 0.485 1.00 Ref. - Adjusted model 0.88 0.28, 2.78 0.830 1.00 Ref. - อาการนำ (Prodrome) [จำนวน (ร้อยละ)] 8 (10.39) 13 (10.92) Unadjusted model 0.91 0.36, 2.33 0.850 1.00 Ref. - Adjusted model 1.64 0.57, 4.53 0.362 1.00 Ref. - 46
ชื่อเรื่อง : การศึกษาผลการใช้น้ำมันกัญชาร่วมกับ Morphine ในผู้ป่วย Palliative Care ผู้วิจัย : นายวรเมธ จีนฉิ้ม , นางสาวฉัตรพร คลี่ขจาย โรงพยาบาลบ้านค่าย ผู้นำเสนอ : นายวรเมธ จีนฉิ้ม บทคัดย่อ ปัจจุบันการนำกัญชามาใช้ในทางการแพทย์ถือว่าได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ยังเป็นเรื่องใหม่ สำหรับวงการแพทย์ด้วยเช่นกัน ด้วยข้อมูลในการรักษาที่ยังไม่ชัดเจนมากพอ เพื่อที่จะส่งเสริมการใช้กัญชาในผู้ป่วย อย่างแพร่หลายรวมถึงความปลอดภัยในการใช้กัญชาทางการแพทย์ยังเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจในการศึกษาต่อเนื่อง การนำกัญชาทางการแพทย์มาใช้ในการรักษาผู้ป่วยกลุ่ม Palliative Care เป็นอีกหนึ่งทางเลือกเนื่องจากผู้ป่วย Palliative Care ส่วนใหญ่จะได้รับ Morphine ในการบรรเทาความเจ็บปวดและอาการอื่นๆแต่หากใช้ในปริมาณที่ มากเกินไปก็มีโอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้ ดังนั่นการศึกษาการใช้กัญชาในผู้ป่วย Palliative Care เป็นอีกหนึ่งการศึกษาที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยได้หากการใช้กัญชาสามารถบรรเทาอาการความทุกข์ทรมานและ ลดการใช้ Morphine ซึ่งจะลดผลข้างเคียงที่เกิดกับผู้ป่วย โดยแพทย์ เภสัชกร แพทย์แผนไทยและสหวิชาชีพได้ ทำการศึกษาข้อมูลเรื่องกัญชาและได้นำมาใช้กับผู้ป่วย Palliative Care โดยเริ่มศึกษาการใช้น้ำมันกัญชาร่วมกับ Morphine ในผู้ป่วยตั้งแต่ปีงบประมาณ 2565 จนถึงปัจจุบัน โดยน้ำมันกัญชาทางการแพทย์ที่ใช้รักษาคือ น้ำมัน กัญชาตำรับหมอเดชา เป็นสารสกัดกัญชาในน้ำมันมะพร้าว ความเข้มข้น 10% ผลิตโดยกองพัฒนายาแผนไทยและ สมุนไพร กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข และ Morphine เป็นขนาดยา ตามที่แพทย์ปัจจุบันกำหนด มีการศึกษาในตึกผู้ป่วยในโรงพยาบาลบ้านค่ายที่ผู้ดูแลอนุญาตให้มีการศึกษาและเก็บ ผล โดยในช่วงแรกมีการใช้กัญชาทางการแพทย์ควบคู่กับ Morphine มีการสังเกตอาการเป็นระยะ ผลการรักษา พบว่าผู้ป่วยที่ได้รับ Morphine ในปริมาณมากมาก่อนจะมีอาการข้างเคียงเช่น กระสับกระส่าย ไม่สงบ หลังจากใช้ กัญชาทางการแพทย์ควบคู่ สามารถลดอาการกระสับกระส่าย ผู้ป่วยมีความสงบมากขึ้น และสามารถลดปริมาณ Morphine ลงได้ หลังจากการศึกษาที่เริ่มจากผู้ป่วยที่พักรักษาในโรงพยาบาลก็ได้มีการนำไปใช้ในกลุ่มผู้ป่วย Palliative Care มากขึ้น ผลที่เกิดขึ้นจากการศึกษาพบว่าผู้ป่วยสามารถลดการใช้ Morphine ลงและสามารถลด ผลข้างเคียงจากการใช้Morphine นอกจากนี้เมื่อใช้กัญชาผู้ป่วยสามารถนอนหลับได้ดีขึ้น ทานอาหารได้มากขึ้น มี ความสุขในช่วงสุดท้ายของชีวิต และสุดท้ายผู้ป่วยจากไปอย่างสงบญาติหรือผู้ดูแลรู้สึกสุขใจ อย่างก็ตามการศึกษา ผลการใช้น้ำมันกัญชาร่วมกับ Morphine ในผู้ป่วย Palliative Care ยังมีอีกหลายประเด็นที่ยังต้องศึกษาเพิ่มเติม และยังต้องศึกษาในกลุ่มผู้ป่วยที่มากขึ้นเพื่อให้เกิดผลเป็นที่ประจักษ์ต่อไป 47
การศึกษาผลการใช้น้ำมันกัญชาร่วมกับ Morphine ในผู้ป่วย Palliative Care นายวรเมธ จีนฉิ้ม , นางสาวฉัตรพร คลี่ขจาย โรงพยาบาลบ้านค่าย ปัจจุบันกัญชาทางการแพทย์ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับการใช้ดูแลรักษาผู้ป่วย แต่อย่างไรก็ตามการนำ กัญชาทางการแพทย์มาใช้ในการดูแลรักษาผู้ป่วยยังถือเป็นเรื่องใหม่และเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาวิจัยรวบรวมข้อมูล อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อวงการสาธารณสุขและผู้ป่วย การนำกัญชาทางการแพทย์มาใช้ในการรักษา ผู้ป่วยนั้นยังเป็นประเด็นข้อถกเถียงกันอย่างมากในวงการสาธารณสุข ถึงประโยชน์และความปลอดภัยในการใช้ยา ปัจจุบันกัญชาทางการแพทย์นั้นมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งสำหรับการใช้ภายนอกและการใช้รับประทาน ทั้งรูปสาร สกัดของทางแผนปัจจุบัน หรือยากัญชาในรูปแบบยาสมุนไพรที่รู้จักกันแพร่หลาย เช่น น้ำมันกัญชาทั้ง 5 สูตร รับประทาน(สูตรอาจารย์หมอเดชา)กัญชาทางการแพทย์ส่วนใหญ่นำมาใช้ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการนอนไม่หลับ เบื่อ อาหาร บรรเทาอาการข้างเคียงจากการรักษาทางแผนปัจจุบันและการใช้บรรเทาอาการปวดทรมานในกลุ่มผู้ป่วย Palliative care โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วย Palliative care นั้นจะใช้ยารักษาตามอาการเพื่อลดการทรมานในช่วงสุดท้าย ของชีวิตและยาที่เป็นที่นิยมใช้คือ Morphine ที่สามารถบรรเทาอาการปวดและอาการทุกข์ทรมานสำหรับผู้ป่วยได้ แต่ในบางรายที่มีการใช้ Morphine ในปริมาณมากเกินไปหรือร่างกายผู้ป่วยนั้นไม่ตอบสนองต่อยา อาจส่งผลทำให้ ผู้ป่วยมีการคลื่นไส้ กระสับกระส่ายรู้สึกไม่สุขสบายมากขึ้นกว่าเดิมโรงพยาบาลบ้านค่ายโดยแพทย์ เภสัชกร แพทย์ แผนไทยและพยาบาล จึงมีการศึกษาข้อมูลและหาแนวทางในการดูแลผู้ป่วย Palliative care เพื่อลดความทุกข์ ทรมาน ให้ผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้น และเป็นการส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล จึงได้มีแนวทางในการศึกษาโดยการนำ น้ำมันกัญชาทั้ง 5 สูตรรับประทานให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการดูแลผู้ป่วย น้ำมันกัญชาทั้ง5 สูตรรับประทานที่ นำมาใช้นั้นเป็นตำรับหมอเดชา โดยสารสกัดกัญชาในน้ำมันมะพร้าว ความเข้มข้น 10% ผลิตโดยกองพัฒนายาแผน ไทยและสมุนไพร กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข เป็นการศึกษาโดยการใช้ น้ำมันกัญชา ร่วมกับการใช้ยา Morphine ในช่วงแรกจะเป็นการใช้น้ำมันกัญชาในปริมาณ 1-2 หยดวันละ 1-2 ครั้ง ขึ้นอยู่กับการพิจารณาในผู้ป่วยแต่ละราย และใช้ Morphine ในขนาดยาที่แพทย์เป็นผู้กำหนดให้แต่ละรายเช่นกัน และหากผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้นอาการทุกข์ทรมานลดลงจะมีการปรับลดการใช้ Morphine ลงโดยเริ่มทำการรักษาและเก็บ ผลการรักษาในผู้ป่วย Palliative Care ที่รักษาอยู่ในโรงพยาบาลบ้านค่ายก่อนเนื่องจากสามารถสังเกตและติดตาม อาการหลังจากใช้ยาได้ และต่อมามีการนำมาใช้ในการรักษาผู้ป่วย Palliative Care รายอื่นๆที่สามารถดูแลตัวเอง ได้หรือญาติสามารถควบคุมและสังเกตอาการผู้ป่วยได้ที่บ้าน ทั้งนี้ผู้ป่วยที่จะได้รับน้ำมันกัญชานั้นจะมีการสื่อสาร ข้อมูลให้กับญาติหรือผู้ดูแลเกี่ยวกับกัญชาและวิธีการรักษาอย่างชัดเจนหากญาติหรือผู้ดูแลลงความเห็นและยินยอม รับการรักษาจึงจะสามารถใช้ได้ โดยระยะเวลาในการเริ่มรักษาโดยใช้น้ำมันกัญชาร่วมกับ Morphine และเก็บ ผลการรักษาตั้งแต่ปีงบประมาณ 2565 จนถึงปัจจุบันมีผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาโดยการใช้น้ำมันกัญชาร่วมกับ Morphine จำนวนทั้งสิ้น 7 ราย ซึ่งแต่ละรายนั้นมีอาการที่แตกต่างกันออกไปดังนี้ ผู้ป่วยรายที่ 1 ชายไทยอายุ72 ปีAdmit รพ.บ้านค่าย ประวัติ CA แพทย์ระบุPalliative Care มีอาการหอบเหนื่อย ปวดช่องท้องและหลัง รักษา 48
โดย Morphine ทั้งแบบเม็ดและDrip หลังใช้ผู้ป่วย มีอาการกระสับกระส่าย หายใจหอบเหนื่อยมากขึ้น อาการปวด ไม่ลดลง จึงพิจารณาใช้น้ำมันกัญชาร่วมด้วยโดยใช้ครั้งละ 2หยด หลังการใช้น้ำมันกัญชา 2 วันอาการ กระสับกระส่ายลดลง ปวดลดลง สามารถลดปริมาณ Morphineและในวันที่ 5 ผู้ป่วยได้จากไปอย่างสงบ ไม่ทุกข์ ทรมาน ผู้ป่วยรายที่ 2 ชายไทยอายุ 76 ปี ประวัติ CA แพทย์ระบุ Palliative Care ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัวให้Drip Morphine มีอาการไอ มีเสมหะ กระสับกระส่าย หอบเหนื่อย เริ่มใช้น้ำมันกัญชา 2 หยอด ผู้ป่วยกระสับกระส่าย มากขึ้น ไอมากขึ้น จึงพิจารณาหยุดใช้น้ำมันกัญชา ผู้ป่วยรายที่ 3 ชายไทย 65 ปีประวัติ CA แพทย์ระบุ Palliative Care มีการใช้ยา morphine แบบเม็ดทุก 12 ชม. + แบบน้ำหากมีอาการปวดรุนแรงหลังจากให้ยาแล้วอาการปวด ลดลง มีอาการเบื่ออาหาร นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย และผู้ป่วยมีอาการคลื่นไส้ วิงเวียนศีรษะ บางครั้งมีอาการ กระสับกระส่าย จึงพิจารณาใช้น้ำมันกัญชาร่วมด้วย มีการปรับขนาดยาในช่วง1-4วันแรก วันที่ 5 เป็นต้นไปใช้ น้ำมันกัญชา 2 หยด + Morphine 1 เม็ด/วัน ผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้น จึงมีการติดตามผลเป็นระยะ อาการปวดลดลง ทาน อาหารได้ดีขึ้น หลับสนิท มีแรงมากขึ้น นัดติดตามผล 1 เดือน หลังจากนั้นผู้ป่วยใช้กัญชา 2 หยดก่อนนอน มีการใช้ Morphine 2-3 ครั้ง / สัปดาห์รักษาผ่านไปประมาณ 3 เดือน ผู้ป่วยเสียชีวิตอย่างสงบ ผู้ป่วยรายที่ 4 ชายไทย อายุ 73 ปี ประวัติ CA แพทย์ระบุ Palliative Care ผู้ป่วยมีอาการปวดช่องท้อง ปวดหลัง ปวดจุกท้อง ทาน อาหารได้น้อย นอนไม่ค่อยหลับ มีการใช้ยา morphine แบบเม็ดทุก 12 ชม. วันละ 2 ครั้งทุกวัน หลังจากให้ยา แล้วอาการปวดลดลง มีอาการเบื่ออาหาร นอนไม่หลับ และผู้ป่วยมีอาการคลื่นไส้ ท้องผูก บางครั้งมีอาการ กระสับกระส่าย จึงพิจารณาใช้น้ำมันกัญชาร่วมด้วย 1สัปดาห์แรก มีการใช้ Morphine วันละ 2 ครั้ง + น้ำมัน กัญชา 1 หยดก่อนนอน มีการติดตามผลและปรับขนาดยาเป็นระยะ ในช่วงหลังผู้ป่วยใช้น้ำมันกัญชา 2 หยดก่อน นอน มีการใช้ Morphine เพียงสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ผู้ป่วยทานอาหารได้ดีขึ้น ปวดลดลง หลับสนิทขึ้น ทำกิจวัตร ประจำวันได้ดีขึ้น ช่วงเดือนที่ 6- 8ผู้ป่วยหยุดการใช้Morphine ใช้เพียงน้ำมันกัญชา 3 หยด เช้า-เย็น เดือนที่ 8 หลังการใช้กัญชาร่วมกับ Morphine ผู้ป่วยจากไปอย่างสงบ ผู้ป่วยรายที่ 5หญิงไทยคู่ อายุ 81 ปี ประวัติ CA แพทย์ระบุ Palliative Care ผู้ป่วยปวดแผลในช่องปาก ทานอาหารได้น้อย นอนไม่หลับ อ่อนแรง มีการใช้ยา morphine แบบเม็ดทุก 12 ชม. วันละ 2 ครั้งทุกวัน +แบบน้ำ 2 cc.ทุก 4-6 ชม.หลังจากให้ยาแล้วอาการปวด ลดลง อาหารได้ดีขึ้น นอนไม่หลับ และผู้ป่วยมีอาการท้องผูก บางครั้งมีอาการกระสับกระส่าย จึงพิจารณาใช้ น้ำมันกัญชาร่วมด้วย 1สัปดาห์แรก มีการใช้ Morphine แบบเม็ด วันละ 2 ครั้ง + น้ำมันกัญชา 1 หยดก่อนนอน มี การใช้ Morphine แบบน้ำ วันละ 1 ครั้ง อาการปวดลดลง เริ่มทานอาหารได้ดีขึ้น การนอนหลับยังเหมือนเดิม จึงพิจารณาให้ยาเท่าเดิม สัปดาห์ที่ 2 -4 ทานอาหารได้ดีขึ้น นอนหลับได้ดี1เดือนผ่านไปผู้ป่วยใช้ Morphineแบบ เม็ด เพียงวันละ 1 ครั้ง + น้ำมันกัญชา 2 หยดก่อนนอน หิวบ่อย รักษาต่อเนื่อง 7เดือนผู้ป่วยจากไปอย่างสงบ ผู้ป่วยรายที่ 6 หญิงไทยคู่ อายุ 57 ปี ประวัติ CA แพทย์ระบุPalliative Care ผู้ป่วยมีอาการปวดทั่วร่างกาย นอน ไม่หลับ ทานอาหารได้น้อย ( ให้อาหารทางสายยาง) มีการใช้ยา morphine แบบน้ำทุก 4 – 6 ชม. หลังจากให้ยา แล้วอาการปวดลดลง บางครั้งมีอาการกระสับกระส่าย นอนไม่หลับ วันที่ 1-3 ใช้ Morphine เท่าเดิม น้ำมันกัญชา ครั้งละ 2 หยดก่อนนอน อาการกระสับกระส่ายลดลง นอนหลับได้ดีขึ้น ปวดลดลงเล็กน้อย วันที่ 4 – 6 ใช้ Morphine ทุก 6-12 ชม.+น้ำมันกัญชา 2 หยดก่อนนอน วันที่ 7 ผู้ป่วยจากไปอย่างสงบ ผู้ป่วยรายที่ 7 หญิงไทยคู่ 49
CA ใช้ยา Morphine แบบเม็ด วันละ 3 – 4 ครั้งและ บางวันที่มีอาการปวดมากจะมีใช้Morphine น้ำร่วมด้วย ช่วงแรกของการใช้น้ำมันกัญชา เช้า-เย็น ครั้งละ 2 หยด และใช้Morphine ในขนาดยาเท่าเดิม ผู้ป่วยไม่รู้สึกถึง ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และมีการปรับขนาดยาน้ำมันกัญชา เป็นครั้งละ 4 หยด เช้า เย็น ผู้ป่วยนอนหลับได้ดี ขึ้น แต่มีอาการข้างเคียงคือมีอาการใจสั่น กระสับกระส่าย จึงมีการติดตามผลและปรับขนาดยา เป็นครั้งละ 3 หยด เช้า เย็น + ใช้ยา Morphine ในขนาดเท่าเดิม ปัจจุบันผู้ป่วยใช้น้ำมันกัญชาครั้งละ 3 หยด เช้า เย็น + Morphine เม็ด วันละ 2 -3 ครั้ง / มีการใช้Morphine แบบน้ำบ้างแต่ความถี่ในการใช้ลดลง ผู้ป่วยนอนหลับได้ดีขึ้น ทาน อาหารได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากการศึกษาผลการใช้น้ำมันกัญชาร่วมกับ Morphine ในผู้ป่วย Palliative Care สามารถสรุปผล เบื้องต้นได้ว่าการนำน้ำมันกัญชามาใช้ร่วมกับ Morphine ในการดูแลผู้ป่วย Palliative Care นั้นสามารถช่วยลด ความทุกข์ทรมานอาการเจ็บปวดจากโรคที่ผู้ป่วยต้องเผชิญอยู่ได้ ผู้ป่วยสามารถนอนหลับพักผ่อนได้ดีขึ้น ทาน อาหารได้มากขึ้นสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ดีขึ้น และในระยะยาวสามารถลดการใช้ Morphine ลงส่งผลให้ อาการข้างเคียงที่เกิดจากการได้รับ Morphine ลดลงด้วย แต่อย่างไรก็ตามยังมีรายงานผลข้างเคียงจากการใช้ น้ำมันกัญชาร่วมกับMorphine อยู่ และจำนวนผู้ป่วยอาจจะไม่เพียงพอที่จะสรุปผลได้อย่างชัดเจนเป็นที่ประจักษ์ ในด้านประสิทธิภาพที่เกิดขึ้น ประเด็นปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นเหล่านี้สามารถนำมาปรับปรุงและพัฒนาต่อยอด การศึกษาต่อไปได้ นอกกจากนี้การศึกษาครั้งนี้เป็นการพัฒนางานด้านการแพทย์แผนไทย ควบคู่กับแพทย์แผน ปัจจุบันและสหวิชาชีพ ซึ่งสุดท้ายแล้วเป้าหมายสูงสุดของการดูแลผู้ป่วย Palliative Care คือการลดความทุกข์ ทรมาน และให้ผู้ป่วยจากไปอย่างสงบ 50
ชื่อเรื่อง : สถานการณ์ความชุกภาวะโลหิตจางและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก ของเด็กอายุ 6-12 เดือน ที่คลินิกสุขภาพเด็กดี เครือข่ายบริการสุขภาพโรงพยาบาลระยอง ปี 2564-2565 ผู้วิจัย : เนาวรัตน์ ศรีสวัสดิ์, พ.บ.1 , กรรณิการ์ พินิจ, พย.ม.2 1 กลุ่มงานกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลศูนย์ระยอง, 2 งานส่งเสริมสุขภาพและฟื้นฟู กลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลศูนย์ระยอง ผู้นำเสนอผลงาน : แพทย์หญิงเนาวรัตน์ ศรีสวัสดิ์, นางสาวกรรณิการ์ พินิจ บทคัดย่อ ภาวะโลหิตจางส่งผลต่อการเจริญเติบโตของร่างกายและสติปัญญา สถานการณ์ความชุกภาวะโลหิต จางเขตสุขภาพที่ 6 ปีพ.ศ.2565 พบ 14.49% จังหวัดระยอง 18.64% และเครือข่าย 16.98% แนวคิดปัจจัย กำหนดสุขภาพ ได้แก่ ปัจจัยด้านมารดาและบิดา ด้านตัวเด็ก และด้านสิ่งแวดล้อม วัตถุประสงค์ ศึกษาสถานการณ์ความชุกภาวะโลหิตจางในเด็กอายุ 6-12 เดือน ที่มารับบริการที่คลินิก สุขภาพเด็กดี และศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้อง วิธีการศึกษา วิจัยเชิงพรรณนาแบบย้อนหลัง (Retrospective Descriptive Study กลุ่มตัวอย่าง 364 คน วันที่ 1 ตุลาคม 2564 ถึง 30 กันยายน 2565 ข้อมูลเวชระเบียน ทะเบียนแม่และเด็ก สมุดสุขภาพแม่และ เด็ก ผล Hb Hematocrit วิเคราะห์ข้อมูล สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) และสถิติเชิงอนุมาน Multiple logistic regression analysis ผลการวิจัย เพศชาย 51.7% เพศหญิง 48.3% สัญชาติไทย อายุครรภ์ต่ำสุด 26 สัปดาห์ สูงสุด 41 สัปดาห์ น้ำหนักมาตรฐาน 2,500–4,000 กรัม 75.1% น้อยที่สุด 800 กรัม ส่วนสูงตามเกณฑ์ 92.2% ภาวะ โลหิตจางพบ 22.54% เพศชายซีดมากกว่าเพศหญิง มารดามีประวัติโลหิตจางมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value 0.001) เป็น 3.1 เท่า บิดาที่มีประวัติภาวะโลหิตจางเป็น 2.3 เท่า ปัจจัยด้านตัวเด็ก ส่วนสูงตามเกณฑ์อายุมี นัยสำคัญทางสถิติ (p-value 0.022) เด็กเตี้ยมีสัดส่วนเป็น 3.4 เท่า เด็กส่วนสูงมากกว่าเกณฑ์ เป็น 3.9 เท่า เด็กที่รับประทานนมแม่อย่างเดียวมีสัดส่วนเป็น 3.0 เท่า เมื่อเทียบกับเด็กที่รับประทานนมผสม ปัจจัยด้าน สิ่งแวดล้อม ไม่มีความสัมพันธ์ สรุปและข้อเสนอแนะ หาสาเหตุเชิงลึก คู่สมรสต้องการมีบุตรได้รับการตรวจสุขภาพครั้งแรกก่อนอายุ ครรภ์ 12 สัปดาห์ ทารกเตี้ย และสูง เด็กที่รับประทานนมแม่อย่างเดียวที่มีภาวะโลหิตจางควรพบแพทย์ เพื่อ การวินิจฉัยและตรวจพัฒนาการเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป คำสำคัญ ภาวะซีดจากการขาดธาตุเหล็ก เด็ก 6-12 เดือน คลินิกสุขภาพเด็กดี แนวทางการดูแลและการคัด กรองภาวะโลหิตจาง แนวทางการจ่ายยาน้ำเสริมธาตุเหล็ก 51
ผลงานวิชาการนำเสนอด้วยการบรรยาย (Oral presentation) 1.ชื่อเรื่อง : สถานการณ์ความชุกภาวะโลหิตจางและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก ของเด็กอายุ 6-12 เดือน ที่คลินิกสุขภาพเด็กดี เครือข่ายบริการสุขภาพโรงพยาบาลระยอง ปี 2564-2565 2.ชื่อผู้วิจัย หรือคณะผู้วิจัย พร้อมชื่อหน่วยงาน : 1. แพทย์หญิงเนาวรัตน์ ศรีสวัสดิ์ นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ โรงพยาบาลระยอง 2. นางสาวกรรณิการ์ พินิจ พยาบาลชาชีพชำนาญการ โรงพยาบาลระยอง 3.ชื่อผู้นำเสนอผลงาน : แพทย์หญิงเนาวรัตน์ ศรีสวัสดิ์, นางสาวกรรณิการ์ พินิจ 4.ความสำคัญของปัญหา : ภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กในเด็กเล็กจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตของร่างกายและมีผลต่อ พัฒนาการทางสมอง สติปัญญา ศักยภาพการเรียนรู้ ทำให้เด็กไม่สามารถเรียนรู้และมีพัฒนาการเท่ากับเด็ก ปกติได้ จากสถานการณ์ความชุกเขตสุขภาพที่ 6 ปีพ.ศ.2565 พบว่ามีเด็ก 6-12 เดือน มีภาวะโลหิตจางร้อยละ 14.49 ขณะที่กรมอนามัยได้กำหนดเป้าหมายให้เด็กมีภาวะซีดจากการขาดธาตุเหล็กไม่เกินร้อยละ 10 จังหวัด ระยองมีความชุกของภาวะโลหิตจางร้อยละ 18.64 และเครือข่ายบริการสุขภาพโรงพยาบาลระยอง ร้อยละ 16.98 ซึ่งสูงกว่าสถานการณ์ของเขตสุขภาพที่ 6 ซี่งมีอัตราสูงกว่าเกณฑ์เกือบ 2 เท่า ซึ่งส่งผลกระทบ ต่อเด็ก 6-12 เดือน 5. วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาสถานการณ์ความชุกภาวะโลหิตจางในเด็กอายุ 6-12 เดือน และศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับ ภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก 6.วิธีการศึกษา : วิจัยเชิงพรรณนาแบบย้อนหลัง (Retrospective Descriptive Study วันที่ 1 ตุลาคม 2564 ถึง 30 กันยายน 2565 กลุ่มตัวอย่าง 364 คน ข้อมูลจากเวชระเบียน ทะเบียนแม่และเด็ก สมุดสุขภาพแม่และเด็ก ผล Hb Hematocrit วิเคราะห์ข้อมูล สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) และสถิติเชิงอนุมาน Multiple logistic regression analysis 7.ผลการศึกษา : ผลการวิจัย เพศชาย 51.7% เพศหญิง 48.3% สัญชาติไทย อายุครรภ์ต่ำสุด 26 สัปดาห์ สูงสุด 41 สัปดาห์ น้ำหนักมาตรฐาน 2,500–4,000 กรัม 75.1% น้อยที่สุด 800 กรัม ส่วนสูงตามเกณฑ์ 92.2% ภาวะ โลหิตจางพบ 22.54% เพศชายซีดมากกว่าเพศหญิง มารดามีประวัติโลหิตจางมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value 0.001) เป็น 3.1 เท่า บิดาที่มีประวัติภาวะโลหิตจางเป็น 2.3 เท่า ปัจจัยด้านตัวเด็ก ส่วนสูงตามเกณฑ์อายุ มีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value 0.022) เด็กเตี้ยมีสัดส่วนเป็น 3.4 เท่า เด็กส่วนสูงมากกว่าเกณฑ์ เป็น 3.9 เท่า เด็กที่รับประทานนมแม่อย่างเดียวมีสัดส่วนเป็น 3.0 เท่า เมื่อเทียบกับเด็กที่รับประทานนมผสม ปัจจัยด้าน สิ่งแวดล้อม ไม่มีความสัมพันธ์ 52
8.อภิปรายผล จากการศึกษาสถานการณ์ความชุกของภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กเด็กอายุ 6-12 เดือน ของ เครือข่ายบริการสุขภาพโรงพยาบาลระยอง พบว่ามีภาวะปัจจัยด้านมารดาและบิดา ปัจจัยด้านตัวเด็ก เป็น ปัจจัยหลัก โดยเฉพาะทารกที่มีภาวะส่วนสูงมากกว่าเกณฑ์มีสัดส่วนการเกิดภาวะโลหิตจางเป็น 3.908 ควร ได้รับการประเมินตรวจความผิดปกติของเม็ดเลือดขาวหรือเกล็ดเลือดและความผิดปกติในการสร้างเม็ดเลือด แดง ซี่งส่งผลต่อภาวะซีดของเด็ก และดำเนินการร่วมกันวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา สาเหตุที่เกี่ยวข้องกับการ เกิดภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กเชิงพื้นที่ของแต่ละแห่ง เพื่อเปรียบเทียบสาเหตุ ความชุก และหาแนว ทางการแก้ไข ผลักดันเข้าสู่นโยบายในระดับจังหวัดต่อไป 9.สรุปและข้อเสนอแนะ : จากผลการศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับภาวะโลหิตจางในเด็กอายุ 6-12 เดือน ประกอบด้วยปัจจัยด้าน มารดา บิดา ปัจจัยด้านตัวเด็ก และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ผลการศึกษา ปัจจัยด้านมารดาและบิดาที่ พบว่ามารดาที่มีประวัติโลหิตจางมีความสัมพันธ์ต่อการเกิดภาวะโลหิต จางของเด็กอายุ 6-12 เดือนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value 0.001) มีสัดส่วนการเกิดภาวะโลหิตจางในเด็ก อายุ 6-12 เดือนเป็น 3.121 เท่าเมื่อเทียบกับมารดาที่ไม่มีประวัติภาวะโลหิตจาง บิดาที่มีประวัติโลหิตจางมี ความสัมพันธ์ต่อการเกิดภาวะโลหิตจางของเด็กอายุ 6-12 เดือนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value 0.027) มี สัดส่วนการเกิดภาวะโลหิตจางในเด็กอายุ 6-12 เดือนเป็น 2.383 เท่าเมื่อเทียบกับบิดาที่ไม่มีประวัติภาวะโลหิต จาง ในส่วนของปัจจัยด้านอายุครรภ์ของมารดาขณะคลอด ผลการศึกษาพบว่าไม่มีความสัมพันธ์กับการเกิด ภาวะโลหิตจางในเด็กอายุ 6-12 เดือน ปัจจัยด้านตัวเด็ก พบว่าภาวะส่วนสูงตามเกณฑ์อายุ มีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะโลหิตจางในเด็ก อายุ 6-12 เดือนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value 0.022, p-value 0.022) เด็กที่มีส่วนสูงน้อยกว่าเกณฑ์จะ มีสัดส่วนการเกิดภาวะโลหิตจางเป็น 3.419 เท่าเมื่อเทียบกับเด็กที่มีส่วนสูงตามเกณฑ์ปกติ และเด็กที่มีส่วนสูง มากกว่าเกณฑ์มีสัดส่วนการเกิดภาวะโลหิตจางเป็น 3.908 เท่าเมื่อเทียบกับเด็กที่มีส่วนสูงตามเกณฑ์ปกติ ข้อมูลการรับประทานนมแม่ตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 เดือน พบว่าการรับประทานนมแม่อย่างเดียวมีความสัมพันธ์กับ การเกิดภาวะโลหิตจางในเด็ก 6-12 เดือนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value 0.001) โดยเด็กที่รับประทานนม แม่อย่างเดียวมีสัดส่วนการเกิดภาวะโลหิตจางเป็น 3.029 เท่าเมื่อเทียบกับเด็กที่รับประทานนมผสม ในส่วน ของปัจจัยด้านเพศ ภาวะน้ำหนักตามเกณฑ์อายุ การรับประทานนม (นมแม่+นมผสม) ไม่มีความสัมพันธ์กับการ เกิดภาวะโลหิตจางในเด็กอายุ 6-12 เดือน ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม พบว่าทุกปัจจัยที่ทำการศึกษา ประกอบด้วย ปัจจัยด้านผู้ดูแล ช่วงอายุของ ผู้ดูแล และระดับการศึกษาของผู้ดูแลไม่มีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะโลหิตจางของเด็กอายุ 6-12 เดือน ข้อเสนอแนะ 1.ศึกษาสาเหตุเชิงลึกในพื้นที่แต่ละหน่วยบริการโดยใช้แนวทางการเฝ้าระวังภาวะซีดจากการขาดธาตุ เหล็ก และแนวทางการจ่ายยาน้ำเสริมธาตุเหล็ก 2. คู่สมรสควรได้รับการตรวจสุขภาพก่อนตั้งครรภ์และเข้ารับบริการฝากครรภ์ครั้งแรกก่อนอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ ที่หน่วยบริการปฐมภูมิ 3. ทารกหลังคลอดที่มีส่วนสูงน้อยกว่าเกณฑ์ ส่วนสูงมากกว่าเกณฑ์เด็กที่รับประทานนมแม่อย่างเดียว ที่มีภาวะโลหิตจางควรพบแพทย์ เพื่อการวินิจฉัยและได้รับยาและอาหารเสริมตามวัยอย่างถูกต้อง ตลอดจน ได้รับการติดตามเยี่ยมบ้าน โดยทีมสหวิชาชีพ ที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านพัฒนาการ ด้านโภชนาการ เพื่อคุณภาพ ชีวิตที่ดีต่อไป 53
10.การนำผลงานไปใช้ประโยชน์ 1. สร้างแนวทางการส่งต่อเพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องจากหน่วยบริการปฐมภูมิในพื้นที่ เขตรับผิดชอบของโรงพยาบาลระยอง 2. ทราบสถานการณ์เพื่อนำข้อมูลมาวางแผนป้องกันและควบคุมภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุ เหล็กที่เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ 3. บริหารจัดการยาน้ำเสริมธาตุเหล็กและเวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ งบประมาณเพื่อ สนับสนุนให้หน่วยบริการปฐมภูมิ 4. สรุปข้อมูลสารสนเทศ เพื่อประกอบการพิจารณาผลักดันนโยบายที่เกี่ยวข้องกับภาวะโลหิตจาง จากการขาดธาตุเหล็ก 5. นำผลการศึกษาที่ได้รับ พัฒนาต่อยอดการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพให้กับผู้ปกครอง ผู้ดูแลเด็ก อายุ 6-12 เดือนให้มีความรอบรู้ทางสุขภาพที่ถูกต้อง เหมาะสม 54
ชื่อเรื่อง : ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการพัฒนาองค์กรตามเกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐของ หน่วยงานสาธารณสุข ผู้วิจัย : นางสุภาวดี โกมลกาญจนกุล นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระยอง ผู้นำเสนอผลงาน : นางสุภาวดี โกมลกาญจนกุล สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระยอง บทคัดย่อ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการพัฒนาองค์กร ตามเกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ ได้แก่ ความรู้ ทัศนคติและพฤติกรรมของบุคลากร รวมทั้งปัจจัย ด้านการบริหาร โดยใช้หลักการบริหารจัดการ 7S ตามแนวคิดของ แมคคินซีย์ (McKinsey’s 7S Framework) เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed method) โดยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามในการรวบรวมข้อมูลด้าน ความรู้ ทัศนคติและพฤติกรรมของบุคลากร ส่วนเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์และการสนทนากลุ่มเกี่ยวกับ หลักการบริหารจัดการ 7S กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ บุคลากรที่ปฏิบัติงานในสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระยองและ สำนักงานสาธารณสุขอำเภอทุกแห่งในจังหวัดระยอง รวม 8 อำเภอ จำนวน 120 คน แบ่งสัดส่วนกลุ่มตัวอย่าง ของแต่ละหน่วยงานเป็นแบบกำหนดจำนวน (Quota Sampling) และใช้การสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย (Simple random sampling) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ตารางแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมานการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุ (Multiple Regression) ส่วนข้อมูล เชิงคุณภาพ ใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการศึกษา พบว่าบุคลากรส่วนใหญ่มีระดับความรู้ ทัศนคติและพฤติกรรมในการพัฒนา องค์กรตามเกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐอยู่ ในระดับปานกลาง สำหรับปัจจัยด้านการบริหารตาม หลักการบริหารจัดการ 7S พบว่าบุคลากรส่วนใหญ่ให้ความสำคัญในระดับมากกับกับตัวแปร 3 ตัวคือ 1) ความ พรอมของระบบงาน หรือรูปแบบการบริหาร (System) 2) ค่านิยมร่วมและวัฒนธรรมองค์กร (Shared Value) และ3) การมีสวนร่วมของบุคลากร (Staff) โดยพบว่า ปัจจัยด้านความพรอมของระบบงานหรือรูปแบบการ บริหาร (System) ค่านิยมร่วมและวัฒนธรรมองค์กร (Shared Value) และการมีสวนรวมของบุคลากร (Staff) มีผลต่อความสำเร็จในการพัฒนาองค์กรตามเกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ ร้อยละ 70.4 อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ P < 0.05 กลาวอีกนัยหนึ่ง คือยิ่งมีความพรอมของระบบงาน คานิยมร่วมและวัฒนธรรม องคกรและการมีสวนร่วมของบุคลากร จะยิ่งช่วยสนับสนุนใหการพัฒนาองคกรตามเกณฑคุณภาพการบริหาร จัดการภาครัฐของหน่วยงานสาธารณสุขในจังหวัดระยองประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น ขอเสนอแนะในการ พัฒนาคุณภาพองค์กร ควรสนับสนุนให้บุคลากรมีความรู้ เกี่ยวกับเกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐอย่าง ต่อเนื่องเพื่อให้เกิดความเข้าใจและมีทัศนคติที่ดีและพฤติกรรมในการมีส่วนร่วมดำเนินงานร่วมกันมากขึ้น นอกจากนี้ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดควรประกาศเป็นนโยบายให้หน่วยงานบริหาร ประกอบด้วย สำนักงาน สาธารณสุขอำเภอและสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดใช้กระบวนการตามเกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ (PMQA) ในการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภายในองค์กร และพัฒนาระบบงานให้มีความพร้อมเป็นไป ตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยผู้บริหารองค์กรควรส่งเสริมการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการสร้างค่านิยมร่วม และ วัฒนธรรมองค์กร การสื่อสารประชาสัมพันธ์และกิจกรรมการมีส่วนร่วมเพื่อสนับสนุนกระบวนการพัฒนา คุณภาพภายในองค์กรให้ทั่วถึงทุกระดับ คำสำคัญ: การพัฒนาองค์กร, เกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ 55
ชื่อเรื่อง : ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการพัฒนาองค์กรตามเกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐของ หน่วยงานสาธารณสุข ผู้วิจัย : นางสุภาวดี โกมลกาญจนกุล สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระยอง ผู้นำเสนอผลงาน : นางสุภาวดี โกมลกาญจนกุล สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระยอง ความสำคัญของปัญหา กระทรวงสาธารณสุข ได้กำหนดให้หน่วยบริหารในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข โดยในระดับจังหวัด ได้แก่ สำนักงานสาธารณสุขอำเภอและสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ดำเนินการพัฒนา คุณภาพองค์กรโดยใช้เกณฑ์การพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ (PMQA) และได้กำหนดเป้าหมาย การดำเนินงาน PMQA ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2561 ถึงปัจจุบัน โดยจังหวัดระยองมีนโยบายการดำเนินงานใน การพัฒนาองค์กรสู่การเป็นองค์กรคุณภาพ โดยนำเกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ (PMQA) มาใช้เป็น เครื่องมือในการขับเคลื่อนการพัฒนาองค์กรเป้าหมาย และผลการดำเนินงานสามารถดำเนินงานได้ตามเกณฑ์ และตัวชี้วัดที่กำหนดทุกปีแต่จากการนิเทศติดตามงานพบว่า บุคลากรส่วนใหญ่ยังไม่มีความมั่นใจในการ ดำเนินงานหรือการนำ PMQA ไปใช้อย่างแท้จริง ซึ่งเป้าหมายหรือผลลัพธ์ในการดำเนินงานพัฒนาองค์กรตาม เกณฑ์ PMQA คือ การนำไปใช้ประโยชน์เพื่อยกระดับคุณภาพการปฏิบัติงานขององค์กรให้มีคุณภาพ เพื่อให้ สามารถส่งมอบคุณค่าที่ดีขึ้น ทั้งผลผลิตและบริการให้แก่ผู้รับบริการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ดังนั้น ผู้วิจัยจึงมี ความสนใจที่จะศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการพัฒนาองค์กรตามเกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการ ภาครัฐของหน่วยงานสาธารณสุขในจังหวัดระยอง ทั้งปัจจัยด้านความรู้ ทัศนคติและพฤติกรรมของบุคลากร รวมทั้งปัจจัยด้านการบริหาร โดยใช้หลักการบริหารจัดการ 7S ตามแนวคิดของ แมคคินซีย์ (McKinsey’s 7S Framework) เป็นเครื่องมือในการประเมินผลความสำเร็จในการพัฒนาองค์กรตามเกณฑ์คุณภาพการบริหาร จัดการภาครัฐขององค์กร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการพัฒนาองค์กรตาม เกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ ได้แก่ ความรู้ ทัศนคติและพฤติกรรมของบุคลากร รวมทั้งปัจจัยด้าน การบริหาร โดยใช้หลักการบริหารจัดการ 7S ตามแนวคิดของ แมคคินซีย์ (McKinsey’s 7S Framework) วิธีการศึกษา การศึกษาครั้งนี้ เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed method) โดยเชิงปริมาณใช้ แบบสอบถามในการรวบรวมข้อมูลด้านความรู้ ทัศนคติและพฤติกรรมของบุคลากร ส่วนเชิงคุณภาพใช้การ สัมภาษณ์และการสนทนากลุ่มเกี่ยวกับหลักการบริหารจัดการ 7S กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ บุคลากรที่ปฏิบัติงานใน สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระยองและสำนักงานสาธารณสุขอำเภอทุกแห่งในจังหวัดระยอง รวม 8 อำเภอ จำนวน 120 คน แบ่งสัดส่วนกลุ่มตัวอย่างของแต่ละหน่วยงานเป็นแบบกำหนดจำนวน (Quota Sampling) และใช้การสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย (Simple random sampling) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ตารางแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมานการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุ (Multiple Regression) โดยใชวิธีขั้นบันได (Stepwise) ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพ ใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการศึกษา ปัจจัยด้านบุคลากร เป็นปัจจัยสนับสนุนต่อการพัฒนาองค์กรตามเกณฑ์คุณภาพการบริหาร จัดการภาครัฐ (PMQA) ของหน่วยงานสาธารณสุขในจังหวัดระยอง ประกอบด้วย ความรู้ ทัศนคติและ พฤติกรรม เมื่อพิจารณาผลการศึกษาในภาพรวม พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความรู้อยู่ในระดับปานกลาง (̅= 3.36) รองลงมาคือ มีทัศนคติอยู่ในระดับปานกลาง (̅= 3.30) และพฤติกรรมอยู่ในระดับปานกลาง (̅= 3.24) ตามลำดับ รายละเอียด เมื่อพิจารณาปัจจัยด้านบุคลากรในแต่ละด้าน พบว่าด้านความรู้บุคลากร 56
ส่วนใหญ่มีความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาองค์กรตามเกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ (PMQA) โดย ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง โดยส่วนใหญ่มีความรู้และความเข้าใจ สามารถอธิบายความหมาย ความเป็นมา และวัตถุประสงค์ของPMQA ได้รองลงมาคือ มีความรู้และความเข้าใจสามารถอธิบายความสำคัญของ PMQA ที่มีต่อบุคลากรและองค์กรได้โดยสามารถอธิบายวิธีการนำ PMQA ไปใช้ประโยชน์กับงานประจำได้น้อยที่สุด ส่วนด้านทัศนคติพบว่าบุคลากรส่วนใหญ่มีทัศนคติเกี่ยวกับการพัฒนาองค์กรตามเกณฑ์คุณภาพการบริหาร จัดการภาครัฐ (PMQA) โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง โดยส่วนใหญ่มีความคิดเห็นด้วยว่า PMQA เป็น เครื่องมือที่เหมาะสม ในการใช้วัดหรือประเมินผลการพัฒนาคุณภาพการดำเนินงานของ สสจ.และ สสอ. ซึ่ง เป็นหน่วยบริหาร รองลงมาคือ เห็นด้วยว่าการทำ PMQA ของหน่วยงาน เป็นการลดภาระงานและลดความ ซ้ำซ้อนของงาน โดยเห็นด้วยว่า การทำ PMQA ของหน่วยงานจะช่วยให้บุคลากรในหน่วยงานมีส่วนร่วมในการ คิด วิเคราะห์ วางแผนและแชร์ข้อมูลร่วมกันมากขึ้นน้อยที่สุด สำหรับด้านพฤติกรรม พบว่าบุคลากรส่วนใหญ่มี พฤติกรรมเกี่ยวกับการพัฒนาองค์กรตามเกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ (PMQA) โดยภาพรวมอยู่ใน ระดับปานกลาง โดยส่วนใหญ่ยึดกลยุทธ์และเป้าหมายขององค์กร/ หน่วยงาน ในการวางแผนและดำเนินงาน รองลงมาคือ สนับสนุนการทำ PMQA ของหน่วยงาน โดยเข้าร่วมในกิจกรรม PMQA ของหน่วยงานน้อยที่สุด ส่วนผลการวิเคราะห์ขอมูล โดยใชการวิเคราะห์การถดถอยพหุมิติ (Multiple Regression) โดยใชวิธีขั้นบันได (Stepwise) พบวามีตัวแปร 3 ตัว ร่วมกันทํานายปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการพัฒนาองค์กรตามเกณฑ์ คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐโดยที่ ความพรอมของระบบงานหรือรูปแบบการบริหาร (System) อธิบาย ความผันแปรได้ ร้อยละ 52.5 ค่านิยมร่วมและวัฒนธรรมองค์กร (Shared Value) อธิบายความผันแปรเพิ่มขึ้น ได้ ร้อยละ 10.5 และการมีสวนรวมของบุคลากร (Staff) อธิบายความผันแปรเพิ่มขึ้นได้ ร้อยละ 4.8 เมื่อ รวมตัวแปรอิสระทั้ง 3 ตัวเข้าด้วยกันแล้ว สามารถอธิบายความผันแปรการศึกษา ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จ ในการพัฒนาองค์กรตามเกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐได้ ร้อยละ 70.4 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ P < 0.05 กลาวอีกนัยหนึ่ง คือ ยิ่งมีความพรอมของระบบงาน คานิยมร่วมและวัฒนธรรมองคกร และการมีสวน ร่วมของบุคลากร จะยิ่งมีสวนสนับสนุนใหการพัฒนาองคกรตามเกณฑคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐของ หน่วยงานสาธารณสุขในจังหวัดระยองประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น อภิปรายผล บุคลากร เป็นปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนให้การพัฒนาองค์กรเป็นไปอย่างมีคุณภาพตาม เกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ (PMQA) โดยปัจจัยที่สำคัญคือ ความรู้ ทัศนคติและพฤติกรรมของ บุคลากร ซึ่งส่วนใหญ่มีความรู้ ทัศนคติและพฤติกรรมอยู่ในระดับปานกลาง ทั้งนี้อาจเนื่องจากจังหวัดระยอง มี การจัดประชุมเพื่อทบทวนความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับ PMQA ก่อนการดำเนินงานเป็นประจำทุกปี สอดคล้อง กับแนวคิดความรู้ ทัศนคติและพฤติกรรมที่ระบุว่าการเกิดพฤติกรรมเป็นสิ่งที่บุคคลปฏิบัติออกมาทางร่างกาย โดยมีความรู้และทัศนคติเป็นตัวช่วยให้เกิดพฤติกรรม การปฏิบัติที่ถูกต้อง กระบวนการในการจะก่อให้เกิด พฤติกรรมนั้น ต้องอาศัยระยะเวลาและการตัดสินใจหลายขั้นตอน แต่เนื่องจากเกณฑ์ PMQA ต้องใช้การ ตีความเพื่อความเข้าใจในเกณฑ์ด้านต่างๆ ซึ่งค่อนข้างมีความซับซ้อนและมีรายละเอียดที่ต้องพิจารณามาก ทำ ให้ผู้ปฏิบัติงานมีความเข้าใจที่ยังไม่ชัดเจนส่งผลให้ความรู้ ทัศนคติและพฤติกรรมอยู่ในระดับปานกลาง และ พบว่าปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการพัฒนาองค์กรตามเกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ คือ ความ พรอมของระบบงานหรือรูปแบบการบริหาร (System) ค่านิยมร่วมและวัฒนธรรมองค์กร (Shared Value) และการมีสวนรวมของบุคลากร (Staff) ซึ่งมีความสัมพันธ์ต่อกันในการพัฒนาคุณภาพองค์กรให้เป็นไปตาม เป้าหมายที่กำหนด ดังนั้น ให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนและผลักดันให้บุคลากรในองค์กรเกิด การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ความรู้และทัศนคติในการให้ความร่วมมือพัฒนาองค์กรมีได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยั่งยืนเป็นองค์กรคุณภาพอย่างแท้จริง 57
สรุปและข้อเสนอแนะ การศึกษาครั้งนี้พบว่า บุคลากรส่วนใหญ่มีความรู้ ทัศนคติและพฤติกรรมอยู่ในระดับปานกลาง สำหรับปัจจัยด้านการบริหารตามหลักการบริหารจัดการ 7S พบว่าบุคลากรส่วนใหญ่ให้ความสำคัญในระดับ มากกับ ตัวแปร 3 ตัวคือ 1) ความพรอมของระบบงาน หรือรูปแบบการบริหาร (System) 2) ค่านิยมร่วมและ วัฒนธรรมองค์กร (Shared Value) และ3) การมีสวนร่วมของบุคลากร (Staff) โดยพบว่า ปัจจัยด้านความ พรอมของระบบงานหรือรูปแบบการบริหาร (System) ค่านิยมร่วมและวัฒนธรรมองค์กร (Shared Value) และการมีสวนรวมของบุคลากร (Staff) มีผลต่อความสำเร็จในการพัฒนาองค์กรตามเกณฑ์คุณภาพการบริหาร จัดการภาครัฐ ร้อยละ 70.4 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ P < 0.05 ข้อเสนอแนะ 1. ควรสนับสนุนให้บุคลากรมีความรู้ เกี่ยวกับเกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐอย่าง ต่อเนื่องเพื่อให้เกิดความเข้าใจและมีทัศนคติที่ดีและพฤติกรรมในการมีส่วนร่วมดำเนินงานร่วมกันมากขึ้น 2. สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดควรประกาศเป็นนโยบายให้หน่วยงานบริหาร ประกอบด้วย สำนักงานสาธารณสุขอำเภอและสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดใช้กระบวนการตามเกณฑ์คุณภาพการบริหาร จัดการภาครัฐ (PMQA) ในการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภายในองค์กร และพัฒนาระบบงานให้มีความ พร้อมเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด 3. ด้านระบบงาน หรือรูปแบบการบริหาร (System) ควรมีการปรับปรุงและออกแบบ กระบวนการปฏิบัติงานหลักของกลุ่มงานในสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดและสำนักงานสาธารณสุขอำเภอ โดย คำนึงถึงความพึงพอใจและไม่พึงพอใจของผู้รับบริการและผู้มีสวนได้สวนเสีย 4. ด้านค่านิยมร่วมและวัฒนธรรมองค์กร (Shared Value) ผู้บริหารขององค์กรควรส่งเสริม การจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการสร้างค่านิยมร่วมและวัฒนธรรมองค์กร เน้นการสื่อสารประชาสัมพันธ์ และ กิจกรรมการมีส่วนร่วม เพื่อให้บุคลากรมีความเข้าใจในค่านิยมร่วมและวัฒนธรรมองค์กร เกิดความรู้สึกหรือ ทัศนคติและการปฏิบัติที่ดีซึ่งจะช่วยสนับสนุนกระบวนการพัฒนาคุณภาพภายในองค์กรให้ทั่วถึงทุกระดับ 5. ด้านการมีส่วนร่วมของบุคลากร (Staff) ควรกำหนดเป็นตัวชี้วัดรายบุคคล เพื่อสนับสนุน ให้บุคลากรเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมขององค์กร โดยเฉพาะด้านการพัฒนาคุณภาพ รวมทั้งเปิดโอกาสให้ บุคลากรทุกระดับมีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาของหน่วยงานตั้งแต่เริ่มต้นในการคิดวิเคราะห์ วางแผน ดำเนินการและติดตามประเมินผลให้เหมาะสมในแต่ละระดับ การนำผลงานไปใช้ประโยชน์ หน่วยงานสาธารณสุข สามารถนำหลักการและกระบวนการพัฒนาองค์กรตามเกณฑ์คุณภาพ การบริหารจัดการภาครัฐ ไปใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการปรับปรุงและพัฒนากระบวนการทำงาน ทั้งหน่วย บริหารและหน่วยบริการ อาทิ กลุ่มงานต่างๆ ในสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาล สำนักงาน สาธารณสุขอำเภอและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลให้เป็นไปตามนโยบายและเป้าหมายที่กำหนด ช่วยให้ สามารถดำเนินการอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การวางแผน การดำเนินงาน การติดตามประเมินผลและการพัฒนา ปรับปรุงงาน ซึ่งจะช่วยให้การพัฒนาองค์กรเป็นไปอย่างมีทิศทางเป็นระบบ เป็นองค์กรคุณภาพที่สามารถ ให้บริการประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดความพึงพอใจในการรับบริการ 58
ประสิทธิผลของรูปแบบการป้องกันการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุ โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีแรงจูงในการดูแลสุขภาพ ชมรมผู้สูงอายุ จังหวัดระยอง นางวิลาวัลย์ เอี่ยมสอาด ตำแหน่ง นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการพิเศษ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระยอง นางสาวกรรณิการ์ พินิจ ตำแหน่ง พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ โรงพยาบาลระยอง บทคัดย่อ ปัจจุบันทั่วโลกและประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์แบบประเทศไทยจะเข้าสู่สังคม ผู้สูงอายุแบบสมบูรณ์คือการที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเกินร้อยละ 20 ข้อมูลกรมควบคุมโรค พบว่าในปี พ.ศ.2560 -2564 จังหวัดระยองมีอัตราการเสียชีวิตจากการพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป เท่ากับ 15.3, 20.1, 16.0, 22.5 และ 28.4 ต่อแสนประชากร ซึ่งเป็นอัตราการเสียชีวิตที่สูงมากเมื่อเทียบกับ สถิติการเสียชีวิตในระดับประเทศ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi - Experimental Research) แบบสองกลุ่มวัดสองครั้ง ก่อนและหลังการทดลอง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของรูปแบบการป้องกันการ พลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีแรงจูงในการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุในชมรมผู้สูงอายุ จังหวัดระยอง ประชากรที่ใช้ในการศึกษาคือ ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปในของผู้สูงอายุในชมรมผู้สูงอายุ จังหวัด ระยอง ตามเกณฑ์การคัดเข้า (Inclusion Criteria) และเกณฑ์คัดออก (Exclusion Criteria) จำนวน 112 ราย โดยแบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 56 ราย และกลุ่มเปรียบเทียบ 56 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาคือ รูปแบบการ ป้องกันการพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีแรงจูงในการดูแลสุขภาพ กำหนดจัดกิจกรรม ทั้งหมด 6 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือแบบสอบถามรูปแบบการป้องกันการพลัดตกหก ล้มในผู้สูงอายุโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีแรงจูงในการดูแลสุขภาพ ประกอบด้วย 5 ส่วน คือ ข้อมูลส่วนบุคคล ความรู้เกี่ยวกับการพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุ การรับรู้เกี่ยวกับการพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุ พฤติกรรมการ ป้องกันการพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุ และ การทดสอบการเคลื่อนไหวของร่างกาย (Time up and go test) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติ T-test ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังจากจัดกิจกรรมตามรูปแบบการป้องกันการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุโดย ประยุกต์ใช้ทฤษฎีแรงจูงในการดูแลสุขภาพ กลุ่มทดลองมีค่าคะแนนเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับการพลัดตกหกล้ม สูง กว่าก่อนการทดลอง (t=-12.260 p-value < 0.001) และสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ (t=3.638 p-value < 0.001) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ การรับรู้เกี่ยวกับการพลัดตกหกล้มมีค่าคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าก่อนการทดลอง (t=-4.827 p-value < 0.001) และสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ (t= 2.820 p-value = 0.006) อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติ พฤติกรรมการป้องกันการพลัดตกหกล้มสูงกว่าก่อนการทดลอง (t= -7.960 p-value = 0.006) แต่ ไม่แตกต่างจากกลุ่มเปรียบเทียบ (t= 1.264 p-value = 0.209) ผลการประเมินสมรรถภาพทางกายด้วยวิธีการ Time up and go test มีค่าคะแนนดีกว่าก่อนการทดลอง (t= 8.272 p-value < 0.001) และดีกว่ากลุ่ม เปรียบเทียบ (t=-3.980 p-value < 0.001) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คำสำคัญ รูปแบบการป้องกันการพลัดตกหกล้ม ผู้สูงอายุ 59
ผลงานวิชาการนำเสนอด้วยการบรรยาย (Oral presentation) 1.ชื่อเรื่อง : ประสิทธิผลของรูปแบบการป้องกันการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุ โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีแรงจูงใจ ในการดูแลสุขภาพ ชมรมผู้สูงอายุ จังหวัดระยอง 2.ชื่อผู้วิจัย หรือคณะผู้วิจัย พร้อมชื่อหน่วยงาน : 1. นางวิลาวัลย์ เอี่ยมสอาด สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระยอง 2. นางสาวกรรณิการ์ พินิจ โรงพยาบาลระยอง 3.ชื่อผู้นำเสนอผลงาน : นางสาวกรรณิการ์ พินิจ ตำแหน่ง พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ เบอร์โทร. 089-9369668 E-mail : [email protected] 4.ความสำคัญของปัญหา จากข้อมูลกองป้องกันการบาดเจ็บ กรมควบคุมโรค พบว่าในปี พ.ศ.2560-2564 จังหวัดระยองมีอัตรา การเสียชีวิตจากการพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป เท่ากับ 15.3, 20.1, 16.0, 22.5 และ 28.4 ต่อแสนประชากร ซึ่งเป็นอัตราการเสียชีวิตที่สูงมากเมื่อเทียบกับสถิติการเสียชีวิตในระดับประเทศ ข้อมูลจาก ระบบ Health Data Center สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระยอง พบว่าในปี พ.ศ.2565 จังหวัดระยองมี ผู้สูงอายุจำนวน 94,492 ราย ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 15.97 ของประชากรทั้งหมด สำหรับชมรมผู้สูงอายุจังหวัด ระยอง มีสมาชิกในชมรมทั้งหมด 350 ราย ซึ่งผู้สูงอายุกว่าครึ่งหนึ่งของทั้งหมดเคยมีภาวะเสี่ยงต่อการพลัดตก หกล้ม และยังมีผู้สูงอายุบางส่วนที่เคยหกล้มซ้ำหลายครั้งในรอบ 1 ปี 5.วัตถุประสงค์: 1. เพื่อพัฒนารูปแบบการป้องกันการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุ โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีแรงจูงใจในการ ดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุในชมรมผู้สูงอายุ จังหวัดระยอง 2. เพื่อศึกษาผลของรูปแบบการป้องกันการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีแรงจูงใจ ในการดูแลสุขภาพ ของผู้สูงอายุในชมรมผู้สูงอายุ จังหวัดระยอง 6.วิธีการศึกษา : เป็นการศึกษาการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi - Experimental Research) 1. เก็บข้อมูลก่อนการจัดกิจกรรมและประเมินสมรรถนะทางกายของกลุ่มที่ทำการศึกษาและกลุ่ม เปรียบเทียบ 2. ดำเนินการจัดกิจกรรมรูปแบบการป้องกันการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎี แรงจูงในการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุในชมรมผู้สูงอายุ จังหวัดระยอง กลุ่มทดลองจัดกิจกรรมการป้องกัน การพลัดตกหกล้มตามรูปแบบที่กำหนดไว้ และกลุ่มเปรียบเทียบเก็บรวบรวมข้อมูลก่อนและหลังการศึกษา 3. สรุปผลการศึกษารวมกลุ่มตัวอย่างที่ทำการศึกษาและกลุ่มเปรียบเทียบ สอบถามตามแบบบันทึก ข้อมูลและทดสอบสมรรถภาพทางกาย 7.ผลการศึกษา : จากการศึกษาพบว่าส่วนใหญ่ของทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบเป็นเพศหญิง ร้อยละ 89.3 และ ร้อยละ 87.5 ช่วงอายุของทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบเป็นผู้สูงอายุวัยต้น คือ ช่วงอายุ 60-69 ปี 60
คิดเป็นร้อยละ 73.2 และร้อยละ 69.6 ทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบส่วนใหญ่สถานภาพสมรส ระดับ การศึกษาของทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบอยู่ในระดับประถมศึกษาร้อยละ 57 กลุ่มทดลองและกลุ่ม เปรียบเทียบส่วนใหญ่ไม่ได้ประกอบอาชีพ ร้อยละ 46.4 และ ร้อยละ 44.6 ทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ มีโรคประจำตัวร้อยละ 71.4 บุคคลที่มีโรคประจำตัวของทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ รับประทานยา โรคประจำตัวอยู่ระหว่าง 1-3 ชนิด ร้อยละ 44.6 และ ร้อยละ 42.9 ทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบส่วน ใหญ่ไม่ดื่มสุรา และไม่สูบบุหรี่ ลักษณะที่อยู่อาศัยกลุ่มทดลองส่วนใหญ่อาศัยอยู่บ้านชั้นเดียวติดพื้น ร้อยละ 60.7 กลุ่มเปรียบเทียบส่วนใหญ่อาศัยอยู่บ้านชั้นเดียวติดพื้น ร้อยละ 64.3 ข้อมูลการมีผู้ดูแลพบว่าทั้งกลุ่ม ทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบส่วนใหญ่มีผู้ดูแล ร้อยละ 91.1 และ ร้อยละ 94.6 ตามลำดับ ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังจัดกิจกรรมรูปแบบการป้องกันการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีแรงจูงใจในการ ดูแลสุขภาพ กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยด้านความรู้ สูงกว่าก่อนการทดลอง (t=-12.260) และสูงกว่ากลุ่ม เปรียบเทียบ (t=3.638) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผลการรับรู้มีค่าคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าก่อนการทดลอง (t=-4.827) และสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ (t= 2.820) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ด้านพฤติกรรมมีค่าคะแนนสูง กว่าก่อนการทดลอง (t=-7.960) แต่ไม่แตกต่างจากกลุ่มเปรียบเทียบ (t=1.264) ผลการประเมินสมรรถภาพ ทางกายด้วยวิธีการ Time up and go test มีผลการเคลื่อนไหวดีกว่าก่อนการทดลอง (t=8.272) และดีกว่า กลุ่มเปรียบเทียบ (t=-3.980) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 8.อภิปรายผล ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้พบว่าพฤติกรรมการป้องกันการพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุ ระหว่างกลุ่มทดลอง และกลุ่มเปรียบเทียบไม่แตกต่างกัน จากการวิเคราะห์ผ่านการประเมินตรวจเยี่ยมบ้านในกลุ่มทดลองพบว่า ปัจจัยที่ทำให้ผลการประเมินพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปได้น้อย คือ การปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม สภาพแวดล้อม ภายในบ้านยังไม่สามารถดำเนินการได้ อาทิเช่น การจัดของให้เป็นระเบียบไม่กีดขวางทางเดิน การปรับปรุงแสง สว่างให้เหมาะสม การปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทานยา เป็นต้น พฤติกรรมต่างๆ สามารถปรับเปลี่ยนให้ดี ขึ้นได้ผ่านการกระตุ้นเตือนอย่างสม่ำเสมอ การลงพื้นที่เยี่ยมบ้านสร้างความรู้ แรงจูงใจในการปฏิบัติตัวมีผลทำ ให้กลุ่มทดลองมีค่าคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมที่สูงขึ้น ถ้าหากดำเนินการต่อเนื่องและเป็นระยะยาวจะสามารถ ส่งผลให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายในทิศทางที่ดีขึ้นได้ 9.สรุปและข้อเสนอแนะ จากการศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการป้องกันการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎี แรงจูงใจในการดูแลสุขภาพ ชมรมผู้สูงอายุ จังหวัดระยอง ภายหลังการจัดกิจกรรมตามรูปแบบการป้องกันการ พลัดตกหกล้มโดยประยุกต์ทฤษฎีแรงจูงใจในการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุ ชมรมผู้สูงอายุ จังหวัดระยอง (กลุ่ม ทดลอง) มีค่าคะแนนเฉลี่ยคะแนนความรู้เกี่ยวกับการพลัดตกหกล้ม การรับรู้โอกาสเสี่ยง การรับรู้ความรุนแรง ของการพลัดตกหกล้ม การรับรู้ความสามารถตนเองในการปฏิบัติ การรับรู้ผลลัพธ์ในการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกัน ภาวะพลัดตกหกล้ม พฤติกรรมการป้องกันการพลัดตกหกล้ม และสมรรถภาพทางกาย สูงกว่ากลุ่มที่ไม่ได้เข้า ร่วมในการจัดกิจกรรมฯ (กลุ่มเปรียบเทียบ) ข้อเสนอแนะ : 1. ระบบการดูแลผู้สูงอายุ การป้องกันการพลัดตกหกล้ม กำหนดเป็นนโยบายหลักเพื่อให้บุคลากร ด้านสาธารณสุขทำงานอย่างเป็นระบบโดยใชทฤษฎีแรงจูงใจ ตั้งแต่ระดับชุมชน จังหวัด เขตสุขภาพ และ ระดับประเทศ โดยบูรณาการจากทุกภาคส่วนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้สูงอายุ 61
2. ผลักดันการจัดตั้งศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ (Day Care) แบบไปเช้าเย็นกลับในชุมชน เพื่อดูแลสุขภาพ ผู้สูงอายุ เป็น 1 ศูนย์ดูแล 1 ตำบลโดยการบริหารจัดการของชุมชนและองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น 3. ผลักดันงบประมาณเข้ากองทุนสำนักงานหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าแห่งชาติ จัดสรรงบ สนับสนุนแว่นตาให้ผู้สูงอายุเพื่อป้องกันการพลัดตกหกล้ม 10.การนำผลงานไปใช้ประโยชน์ สถานบริการระดับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล คัดกรองผู้สูงอายุโดยใช้การประเมินสมรรถภาพ ทางกาย Time up and go ให้กับผู้สูงอายุทุกราย ผลการเคลื่อนไหวมากกว่า 12 วินาทีจัดระบบส่งต่อเข้ารับ การดูแลในคลินิกผู้สูงอายุ 62
1 การพัฒนาโปรแกรมฟื้นฟูสมรรถภาพปอด ในผู้ต้องขังหายป่วยด้วยโควิด 19 เรือนจำกลางจังหวัดสมุทรปราการ ประเภท R2R รักษฎาภรณ์ โมกขะเวส นักกายภาพบำบัดชำนาญการ กลุ่มงานเวชกรรมฟื้นฟู โรงพยาบาลบางบ่อ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ บทคัดย่อ การศึกษาวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมฟื้นฟูสมรรถภาพปอด ในผู้ต้องขังที่หายขาด จากโควิด 19 ต่อผลการวัดสมรรถภาพปอดด้วยระยะทางเฉลี่ยในการเดิน six-minute walk test (6MWT) และคะแนนเฉลี่ยค่าความรู้สึกเหนื่อย Borg’s Scale (Rate of perceived exertion (RPE) แบบหนึ่งกลุ่มวัด สองครั้ง ก่อนและหลังการทดลอง ศึกษาในผู้ต้องขังชาย จำนวน 60 คน ที่หายป่วยจากโรคโควิด 19 และมี อาการ Long covid ระหว่าง มกราคม 2566 - มีนาคม 2566 ศึกษา ณ เรือนจำกลางสมุทรปราการ ทำการสุ่ม แบบโควตาจากจำนวนผู้ป่วยแต่ละแดน ผู้ต้องขังจะได้รับการสัมภาษณ์แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป วัดสัญญาณ ชีพ ค่าออกซิเจนในเลือด สอบถามระดับความรู้สึกเหนื่อยขณะพัก และการวัดสมรรถภาพปอดด้วยการเดิน 6MWT ผู้เข้าร่วมวิจัยจะได้รับโปรแกรมฟื้นฟูสมรรถภาพปอด (REHAB) ซึ่งมีการนำทฤษฎี A spectrum of support for COPD โดยสมาคมฟื้นฟูสมรรถภาพปอดและหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา มาประยุกต์ใช้ร่วมกับ โปรแกรมการฟื้นฟูสมรรถภาพปอดและการออกกำลังกายด้วยตนเองในผู้ป่วยโควิด 19 จาก มหาวิทยาลัยมหิดล โปรแกรมประกอบด้วยการให้ความรู้เรื่องการปฏิบัติตัว การฝึกหายใจ การบริหารผนัง ทรวงอก การฝึกไอ และการออกกำลังกายแบบแอโรบิค โดยปฏิบัติตามโปรแกรม 5 วันต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 8 สัปดาห์หลังจากนั้นวัดผลสมรรถภาพปอดด้วยการเดิน 6MWT รวบรวมค่าเฉลี่ยระยะทาง และสอบถามค่า ความรู้สึกเหนื่อยหลังการเข้าร่วมโปรแกรม ใช้สถิติIndependent t – test (p<0.05) เปรียบเทียบค่าเฉลี่ย ก่อนและหลังการทดลองภายในกลุ่ม ผลการศึกษา พบว่า ผู้เข้าร่วมวิจัยร้อยละ 90 มีอาการ Long Covid ลดลง และบางรายพบว่าอาการหายไป ค่าเฉลี่ยระยะทางการเดิน 6MWT ก่อนและหลังการเข้าร่วมโปรแกรม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.05) แต่พบว่า คะแนนเฉลี่ยค่าความรู้สึกเหนื่อย ไม่มีความแตกต่างอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติ จากการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าผู้ต้องขังที่หายจากการเป็นโควิด-19 แล้ว เมื่อได้รับการฟื้นฟู สมรรถภาพปอดจะสามารถทำให้กลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ใกล้เคียงปกติมีภาวะ Long COVID ลดลง มีการ ออกกำลังกายที่สม่ำเสมอในเรือนจำ และสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีด้านสุขภาพให้กับผู้ต้องขังรายใหม่ที่หาย ป่วยจากการเป็นโควิด-19 และสามารถส่งต่อการปฏิบัติตัว ให้คำแนะนำเพื่อนผู้ต้องขังได้เป็นอย่างดี คำสำคัญ โควิด 19, โปรแกรมฟื้นฟูสมรรถภาพปอด, ระยะทางเฉลี่ยในการเดิน6MWT, ค่าความรู้สึกเหนื่อย 63
1 การพัฒนาโปรแกรมฟื้นฟูสมรรถภาพปอด ในผู้ต้องขังหายป่วยด้วยโควิด 19 เรือนจำกลางจังหวัดสมุทรปราการ ประเภท R2R รักษฎาภรณ์ โมกขะเวส นักกายภาพบำบัดชำนาญการ กลุ่มงานเวชกรรมฟื้นฟู โรงพยาบาลบางบ่อ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา: ปี 2564 เรือนจำกลางจังหวัดสมุทรปราการ มีการระบาดของโรคโค วิด 19 ในแดนพยาบาลจำนวนผู้ติดเชื้อกว่า 596 ราย มีผู้ต้องขังเสียชีวิต 1 ราย กว่าร้อยละ 90 เป็นผู้ป่วย แสดงอาการอยู่ในกลุ่มสีเขียว หลังหายจากโรคโควิด 19 พบว่าร้อยละ 50 ยังคงมีอาการ Long COVID การศึกษานี้มีเป้าหมายในการสอนการฟื้นฟูสมรรถปอดให้กับผู้ต้องขังหลังป่วยเป็นโควิด-19 ทุกราย แต่ เนื่องจากข้อจำกัดด้านบุคลากรที่มีไม่เพียงพอต่อภาระงาน จึงได้ทำการจัดทำโปรแกรมการฟื้นฟูสมรรถภาพ ปอด โดยรูปแบบการสอนการออกกำลังกายแบบกลุ่มและให้โปรแกรมไปปฏิบัติต่อเนื่องในแดนนอน ทำให้ ผู้ต้องขังมีการออกกำลังกายที่สม่ำเสมอในเรือนจำ และหากกลับมาเป็นโควิดซ้ำ ก็จะมีอาการที่ไม่รุนแรง และ สามารถเป็นแบบอย่างที่ดีด้านสุขภาพให้กับผู้ต้องขังรายใหม่ที่หายป่วยจากการเป็นโควิด-19 รายใหม่ และ สามารถส่งต่อวิธีการปฏิบัติตัว ให้คำแนะนำเพื่อนผู้ต้องขังรายอื่นๆได้เป็นอย่างดี วัตถุประสงค์ของการวิจัย: เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมฟื้นฟูสมรรถภาพปอด ในผู้ต้องขังหายขาดจากโควิด-19 เรือนจำกลางสมุทรปราการ ต่อผลการวัดสมรรถภาพปอด ได้แก่ ระยะทางเฉลี่ยในการเดิน six-minute walk test (6MWT) และคะแนนเฉลี่ยค่าความรู้สึกเหนื่อย (Borg’s scale) โดยเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยก่อนและหลัง การเข้าร่วมโปรแกรมฟื้นฟูสมรรถภาพปอด ขอบเขตของการวิจัย: การศึกษาวิจัยวัดผลของโปรแกรมการฟื้นฟูสมรรถภาพปอด ในผู้ต้องขังหายป่วยจาก โควิด-19 แบบวัดภายในกลุ่ม หนึ่งกลุ่มวัด 2 ครั้ง ก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมศึกษา ณ แดนพยาบาล เรือนจำกลางสมุทรปราการ เป็นระยะเวลา 3 เดือน ระหว่าง ธันวาคม 2565 - มีนาคม 2566 โปรแกรมการฟื้นฟูสมรรถปอด (REHAB : pulmonary rehabilitation) ในกลุ่มผู้ต้องขัง R : Rate of Perceive Breathing Exercise E : Education สอนการปฏิบัติตัวในแดนนอน H : Huffing Coughing airway clearing A : Aerobic Exercise B : Breathing Exercise - Deep slow breathing - Purse lip exercise with Upper chest movement - chest mobilization technique - Upper chest breathing exercise - Diaphragmatic breathing - Deep breathing exercise - Pursed lip breathing วิธีการศึกษา การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (quasi-experimental research) แบบหนึ่งกลุ่มวัดสอง ครั้ง ก่อนและหลังการทดลอง (one groups pretest-posttest design) ประชากร เป็นผู้ต้องขังเพศชาย อาศัยในเรือนจำกลางจังหวัดสมุทรปราการ อายุระหว่าง 20-59 ปี กลุ่มตัวอย่างได้รับการสุ่มแบบโควตา ตาม การวัดสมรรภภาพปอด -ระยะทางในการเดิน 6MWT -ระดับความรู้สึกเหนื่อย (Borg’s scale) 64
2 จำนวนสัดส่วนร้อยละผู้ที่เคยป่วยเป็นโรคโควิด-19 พฤษภาคม 2564 ถึง มิถุนายน 2565 และหายป่วยมาแล้ว อย่างน้อย 6 เดือน มี Vital sign ปกติ ไม่มีโรคประจำตัวเกี่ยวโรคทางระบบทางเดินหายใจ เช่น วัณโรค COPD หรือ Asthma โรคหัวใจทุกประเภท ผู้เข้าร่วมวิจัยจะได้รับ สัมภาษณ์อาสาสมัครด้วยแบบสอบถาม ประกอบด้วยข้อมูลทั่วไป แบบประเมินค่าความรู้สึกเหนื่อย Borg’s Scale วัด Vital sign ได้แก่ วัดความดัน โลหิต การเต้นชีพจรขณะพัก ระดับออกซิเจนในเลือด สอบถามระดับความเหนื่อยขณะพัก และทำการวัด สมรรถภาพปอดด้วยการเดิน 6MWT หลังจากนั้นจะได้รับการสอนโปรแกรมการฟื้นฟูสมรรถภาพปอดด้วย โปรแกรม REHAB ร่วมกับสื่อแผ่นพับกลับไปทำต่อเนื่องที่เรือนนอน โดยปฏิบัติ 5 วันต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 8 สัปดาห์ ถูกควบคุมด้วย อาสาสมัคร อสรจ.ในแต่ละเรือนนอน และต้องบันทึกตารางการออกกําลังกายตาม โปรแกรมฟื้นฟูสมรรถภาพปอด เมื่อครบ 8 สัปดาห์ผู้เข้าร่วมวิจัยจะได้รับ ใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive statistic) หาค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) และสถิติ Independent t – test เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยการคะแนน Borg’s scale และระยะทางเฉลี่ยในการเดิน 6MWT ระหว่างก่อนและหลัง การทดลองภายในกลุ่ม โดยกำหนดระดับนัยสำคัญที่ p – value < 0.05 ผลการศึกษา ผู้เข้าร่วมวิจัย อายุเฉลี่ย ปี 44 ปี ก่อนเข้าร่วมโปรแกรมมีอาการ Long COVID 37 ราย ได้แก่ อาการ ไอมีเสมหะ 23 ราย ไอแห้ง 3 ราย อ่อนเพลีย 8 ราย เหนื่อยง่าย 3 ราย หลังเข้าร่วมโปรแกรมพบว่า 34 รายไม่ พบอาการ Long Covid คิดเป็นร้อยละ 90 ค่าเฉลี่ยระยะทางการเดิน 6MWT ก่อนและหลังการเข้าร่วม โปรแกรมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.05) ส่วนคะแนนเฉลี่ยค่าความรู้สึกเหนื่อย ไม่มีความแตกต่าง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ตารางที่ 1 ข้อมูลทั่วไปผู้เข้าร่วมวิจัย และผลการตรวจวัดสมรรถภาพปอดก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรม ลักษณะผู้เข้าร่วมวิจัย (n=60) ก่อนเข้าร่วมโปรแกรม Mean(SD) หลังการเข้าร่วม โปรแกรม p-value (<0.05)* อายุ (ปี) 43.65(10.41) น้ำหนัก (กิโลกรัม) 71.89(13.70) ส่วนสูง (เซนติเมตร) 168.82(14.81) ดัชนีมวลกาย (กก/ตร.ชม) 22.55(4.46) ระยะเวลาที่จำคุก(ปี) 7.15(2.36) ระยะเวลาหายจากโควิด19 (เดือน) 6.02(0.13) อัตราการเต้นหัวใจขณะพัก(ครั้ง:นาที) 86.38(12.03) 85.38(13.19) 0.49 ความดันโลหิต Systolic (mmHg.) 131.28(22.02) 131.72(20.75) 0.844 ความดันโลหิต Diastolic (mmHg.) 84.96(14.66) 82.59(16.02) 0.196 ค่าเฉลี่ยระดับออกซิเจนในเลือด(%) 97.54(2.74) 97.13(1.35) 0.308 คะแนนความเหนื่อย Borg’s scale (คะแนน) 2.08(1.54) 1.89(1.75) 0.169 ระยะทางเฉลี่ย 6MWT (เมตร) 377.14(74.16) 401.63 (65.85) 0.000* อภิปรายผล: จากการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าผู้ต้องขังที่หายจากการเป็นโควิด-19 แล้ว เมื่อได้รับการฟื้นฟู สมรรถภาพปอดจะสามารถทำให้กลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ใกล้เคียงปกติมีภาวะ Long COVID ลดลง สามารถเดินได้ระยะทางไกลขึ้น ส่วนอาการเหนื่อยไม่ชัดเจนว่ามีความเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ใกล้เคียงกับการศึกษา ของ Foglio ในปี 2007 ที่พบว่า base line dyspnea ของ COPD หลังการติดตาม 7 ปี มีค่าคงที่ ซึ่งใน 65
3 การศึกษาครั้งนี้เป็นการออกกำลังกายในเรือนนอน ซึ่งอาจไม่สามารถควบคุมการออกกำลังกายให้ถึงระดับ ความเหนื่อยที่ต้องการ สรุปผล: การศึกษานี้พบว่ามีประโยชน์ในด้านการออกกำลังกายที่สม่ำเสมอในเรือนจำ และผู้ต้องขังสามารถ เป็นแบบอย่างที่ดีด้านสุขภาพให้กับผู้ต้องขังรายใหม่ที่หายป่วยจากการเป็นโควิด-19 และสามารถส่งต่อการ ปฏิบัติตัว ให้คำแนะนำเพื่อนผู้ต้องขังได้เป็นอย่างดีการศึกษานี้แสดงถึงผลลัพธ์ของโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทำความ ดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของระบบการดูแลรักษาแบบเท่าเทียม กัน ส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค ทั้งในด้านของงานราชทัณฑ์ที่เกี่ยวกับผู้ต้องขัง และงานด้านสาธารณสุขที่ เกี่ยวกับด้านฟื้นฟูสภาพโรงพยาบาลแม่ข่าย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ที่ประชาชนในฐานะผู้ต้องขังจะได้รับ การฟื้นฟูที่เท่าเทียมกับผู้ป่วย หรือผู้ที่หายป่วยอื่นๆ นำมาจัดทำแผนการในการดูแลฟื้นฟูสภาพ ผู้ต้องขัง ร่วมกันระหว่างโรงพยาบาลแม่ข่าย และเรือนจำกลางจังหวัดสมุทรปราการ อันจะนำไปสู่ประสิทธิผลการดูแล ผู้ต้องขังป่วยด้วยโรคระบาดอื่นๆ เช่น วัณโรคที่ดียิ่งขึ้นในอนาคตได้ การนำผลงานไปใช้ประโยชน์/อ้างอิง การศึกษาวิจัยนี้สามารถนำมาใช้เป็นแนวทางการดำเนินงานฟื้นฟูผู้ต้องขังโรคระบบหายใจและหลอด เลือด (REHAB) ได้โปรแกรมการฟื้นฟูสมรรถภาพปอด โดยรูปแบบการสอนการออกกำลังกายแบบกลุ่มและให้ โปรแกรมไปปฏิบัติต่อเนื่องในแดนนอน ทำให้ผู้ต้องขังมีการออกกำลังกายที่สม่ำเสมอในเรือนจำ และหาก กลับมาเป็นโควิดซ้ำ ก็จะมีอาการที่ไม่รุนแรง และสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีด้านสุขภาพให้กับผู้ต้องขังรายใหม่ ที่หายป่วยจากการเป็นโควิด-19 รายใหม่ และสามารถส่งต่อวิธีการปฏิบัติตัว ให้คำแนะนำเพื่อนผู้ต้องขังราย อื่นๆได้เป็นอย่างดี ภาคผนวก สัมภาษณ์ ตรวจร่างการ วัด Vital sign ให้โปรแกรมฟื้นฟูสมรรถภาพปอด วัดสมรรถภาพปอด เดิน 6MWT สอบถาม Borg’s score และวัด Vital sign หลังเข้าร่วมโปรแกรม 66
ผลของโปรแกรมการสอนต่อความรู้และพฤติกรรมการดูแลของผู้ดูแลผู้ป่วยเด็กโรคธาลัสซีเมีย โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว The Effects of Teaching Programs on Knowledge and Care Behaviors of Caregivers of Children with Thalassemia Sakaeo Crown Prince Hospital ดวงใจ พิชัยบัณฑิตกุล1* กรรณิการ์ ศิริโต2** พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ1 พยาบาลวิชาชีพช านาญการ2 บทคัดย่อ โรคธาลัสซีเมีย เป็นโรคทางพันธุกรรมที่เกิดจากความผิดปกติทางเลือดอย่างหนึ่งที่พบมากในประเทศ ไทย และเป็นปัญหาสาธารณสุขที่ส าคัญของประเทศ และเด็กป่วยโรคธาลัสซีเมียจ าเป็นต้องได้รับการรักษาโดย การให้เลือด ซึ่งการให้เลือด 12-15 ครั้งขึ้นไป ท าให้ผู้ป่วยมีภาวะเหล็กเกิน จึงต้องได้รับการรักษาด้วย การรับประทานยาขับเหล็กเป็นประจ าทุกเดือน และอาจจะมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมา ดังนั้น การดูแลของ ผู้ดูแลจึงมีความส าคัญกับเด็ก การวิจัยกึ่งทดลองชนิดหนึ่งกลุ่มวัดก่อนหลังครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบความรู้และพฤติกรรมการดูแลของผู้ดูแลเด็กป่วยโรคธาลัสซีเมียก่อนและหลังที่ได้รับโปรแกรม การสอน กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ดูแลเด็กป่วยโรคธาลัสซีเมียทุกรายที่มารับการรักษาโดยให้เลือดอย่างสม่ าเสมอทุก ราย มีจ านวน 14 ราย ในโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว ในช่วงเดือนสิงหาคม ถึง เดือนตุลาคม พ.ศ. 2565 เครื่องมือวิจัย ได้แก่ โปรแกรมการสอนการดูแลเด็กป่วยโรคธาลัสซีเมีย ประกอบด้วย การ์ตูน Animation คู่มือการดูแลเด็กโรคธาลัสซีเมีย แนวทางการพูดคุยทางโทรศัพท์แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคลของ ผู้ป่วยเด็ก และผู้ดูแลเด็กโรคธาลัสซีเมีย แบบสอบถามความรู้เรื่องโรคธาลัสซีเมีย และแบบวัดพฤติกรรมการ ดูแลเด็กของผู้ดูแลเด็กป่วยโรคธาลัสซีเมีย มีค่าความเที่ยงของแบบสอบถามความรู้เรื่องโรคธาลัสซีเมีย และ แบบวัดพฤติกรรมการดูแลเด็กของผู้ดูแลเด็กป่วยโรคธาลัสซีเมีย เท่ากับ .87 และ .82 ตามล าดับ วิเคราะห์ ข้อมูลโดยใช้สถิตพรรณนาและ Wilcoxon signed rank test ผลการวิจัยพบว่า หลังได้รับโปรแกรมการสอนฯ ผู้ดูแลเด็กป่วยโรคธาลัสซีเมียมีคะแนนความรู้ และ พฤติกรรมการดูแลผู้เด็กป่วยโรคธาลัสซีเมียเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ .05 (P = .001 และ P = .020 ตามล าดับ) จากผลการวิจัยนี้ มีข้อเสนอแนะว่า สามารถน าโปรแกรมการสอนความรู้เรื่องโรคธาลัสซีเมียครั้งนี้ ไปใช้ในการให้ความรู้กับผู้ดูแลผู้ป่วยเด็กโรคธาลัสซีเมียต่อไป ค ำส ำคัญ: ธำลัสซีเมีย, โปรแกรมกำรสอน, ควำมรู้, พฤติกรรมกำรดูแล, ผู้ดูแล 67
1. ชื่อเรื่อง: ผลของโปรแกรมการสอนต่อความรู้และพฤติกรรมการดูแลของผู้ดูแลผู้ป่วยเด็ก โรคธาลัสซีเมีย โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว (The Effects of Teaching Programs on Knowledge and Care Behaviors of Caregivers of Children with Thalassemia Sakaeo Crown Prince Hospital) 2. ผู้วิจัย นางสาวดวงใจ พิชัยบัณฑิตกุล และนางสาวกรรณิการ์ ศิริโต โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว 3. ผู้น าเสนอผลงาน นางสาวดวงใจ พิชัยบัณฑิตกุล 4. ความส าคัญของปัญหา โรคธาลัสซีเมีย (Thalassemia) เป็นปัญหาสาธารณสุขที่ส าคัญของประเทศ ประเทศไทยพบพาหะธาลัสซี เมียร้อยละ 30-40 ของประชากรทั้งหมด หรือประมาณ 18-24 ล้านคน (กรมการแพทย์, 2561) โดยแต่ละปีจะ มีทารก ที่เกิดใหม่เป็นโรคธาลัสซีเมียประมาณ 12,125 คน และประมาณ 600,000 คน เป็นธาลัสซีเมียชนิด รุนแรง ปานกลาง ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่อผู้ป่วยทางด้านร่างกาย และเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ จึงจ าเป็นที่ จะต้องได้รับเลือดเป็นประจ า และจากข้อมูลทางสถิติของหอผู้ป่วยกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลสมเด็จพระ ยุพราชสระแก้ว ในปี พ.ศ. 2561-2562 พบว่า เด็กป่วยด้วยโรคธาลัสซีเมียที่ต้องมารับบริการให้เลือด จ านวน 40, 91 ตามล าดับ และตั้งแต่ปีพ.ศ.2563 เป็นต้นมา ได้มีคลินิกธาลัสซีเมียเด็กเกิดขึ้น ซึ่งพบว่า ปี พ.ศ.2563- 2564 มีจ านวนเด็กที่มารับบริการให้เลือดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จ านวน 129 และ 163 ราย ตามล าดับ (ข้อมูล สารสนเทศ รพร.สระแก้ว, 2562) จากการสอบถามและทบทวนข้อมูล พบปัญหาของผู้ดูแลเด็กป่วยโรคธาลัสซีเมียในโรงพยาบาลสมเด็จ พระยุพราชสระแก้ว คือ มีผู้ป่วยเด็กธาลัสซีเมียที่มีภาวะซีดลง แต่ไม่มีอาการผิดปกติอย่างอื่น จึงไม่พามาพบ แพทย์ และมีผู้ป่วยเด็กธาลัสซีเมียที่มีไข้ 2 -3 วัน หลังออกจากโรงพยาบาล ให้รับประทานยาลดไข้ที่บ้าน จนกระทั่งเริ่มมีอาการอ่อนเพลีย รับประทานอาหารได้น้อย ผู้ดูแลจึงพามาโรงพยาบาล ทั้งสองเหตุการณ์มีส่วน สะท้อนความรู้ความเข้าใจที่ไม่เพียงพอในการดูแลผู้ป่วยเด็กป่วยโรคธาลัสซีเมีย ซึ่งการจัดกิจกรรมให้ความรู้ใน การดูแลผู้ป่วยเด็กโรคธาลัสซีเมีย จึงต้องการกิจกรรมที่แตกต่างจากเดิม การให้ความรู้แก่ผู้ดูแลผู้ป่วยเด็กโรคธาลัสซีเมียของโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้วที่ผ่านมา จะปฏิบัติโดยการให้ความรู้และค าแนะน าก่อนการจ าหน่ายกลับบ้าน โดยไม่มีแบบแผนการปฏิบัติที่ชัดเจน ซึ่งอาจท าให้ผู้ดูแลไม่จดจ า หรือจ าข้อมูลได้ไม่นาน จากการทบทวนการให้ความรู้หรือการสอนนั้นกาเย่ได้ น าเสนอหลักการสอนไว้ 9 ประการ ซึ่งเป็นหลักการสอนที่น าเสนอเนื้อหาและจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยเน้น ให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับผู้สอนและบทเรียน ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน 5. วัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบความรู้ของผู้ดูแลในการดูแลเด็กป่วยโรคธาลัสซีเมียก่อน และหลังที่ได้รับโปรแกรม การสอนการดูแลผู้ป่วยเด็กโรคธาลัสซีเมีย 2) เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมการดูแลของผู้ดูแลเด็กป่วยโรคธาลัสซีเมียก่อน และหลังที่ได้รับ โปรแกรมการสอนการดูแลผู้ป่วยเด็กโรคธาลัสซีเมีย 6. วิธีการศึกษา: รูปแบบการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (quasi – experimental study) ชนิดหนึ่งกลุ่มวัดก่อน-หลัง 68
7. กรอบแนวคิด 8. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร คือ ผู้ดูแลเด็กป่วยโรคธาลัสซีเมีย ที่มารับการรักษาโดยให้เลือดอย่างสม่ าเสมอใน โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ดูแลเด็กป่วยโรคธาลัสซีเมียทุกรายที่มารับเลือดที่หอผู้ป่วยกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว ในช่วงเดือนสิงหาคม – ตุลาคม พ.ศ.2565 มีจ านวน 14 ราย เกณฑ์การคัดเลือกเข้าสู่โครงการ 1) ผู้ดูแลเด็กผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น β-thalassemia / Hb E ได้รับเลือด ทุก 2-4 สัปดาห์ และได้ยาบ ารุงเลือด หรือยาขับเหล็ก 2) สามารถอ่าน ฟัง เขียน หรือสื่อสารภาษาไทยเข้าใจได้ดี และมีอายุ 20 ปีขึ้นไป เกณฑ์การคัดออกจากการศึกษา ผู้ดูแลผู้ป่วยเด็กโรคธาลัสซีเมียที่ไม่สามารถเข้าร่วมในการท า กิจกรรมกลุ่มได้ครบ 4 ครั้ง และ/หรือตอบแบบสอบถามไม่ครบตามที่ก าหนดไว้ในโปรแกรม 9. การวิเคราะห์ข้อมูล: วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ส าเร็จรูป ดังนี้ 1) แจกแจงความถี่ และหาร้อยละของข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ดูแล และใช้ Median, IQR ในการ พรรณนาคะแนนความรู้เรื่องโรคธาลัสซีเมีย และพฤติกรรมการดูแลของผู้ดูแล 2) เปรียบเทียบคะแนนความรู้เรื่องโรคธาลัสซีเมียก่อน และหลังให้ความรู้ ผลของโปรแกรมการสอน ต่อความรู้และพฤติกรรมการดูแลของผู้ดูแลผู้ป่วยเด็กโรคธาลัสซีเมีย โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว โดยใช้ Wilcoxon signed-rank test 3) เปรียบเทียบคะแนนพฤติกรรมการดูแลของผู้ดูแลก่อน และหลังให้ความรู้ ผลของโปรแกรมการ สอนต่อความรู้และพฤติกรรมการดูแลของผู้ดูแลผู้ป่วยเด็กโรคธาลัสซีเมีย โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช สระแก้ว โดยใช้ Wilcoxon signed-rank test 10. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย: โปรแกรมการสอนการดูแลเด็กป่วยโรคธาลัสซีเมีย แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล ของผู้ป่วยเด็กและผู้ดูแล แบบสอบถามความรู้เรื่องโรคธาลัสซีเมีย และแบบวัดพฤติกรรมการดูแลเด็กของผู้ดูแล เด็กป่วยโรคธาลัสซีเมีย 11. การพิทักษ์สิทธิ: ผ่านการรับรองจากคณะกรรมการพิจารณาจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ โรงพยาบาล สมเด็จพระยุพราชสระแก้ว รหัสโครงการ S015q/65 ExPD ลงวันที่ 20 กรกฎาคม 2565 12. ผลการศึกษา พบว่า หลังได้รับโปรแกรมการสอนฯ ผู้ดูแลเด็กป่วยโรคธาลัสซีเมียมีคะแนนความรู้ และ พฤติกรรมการดูแลผู้เด็กป่วยโรคธาลัสซีเมียเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ .05 (P = .001 และ P = .020 ตามล าดับ) 13. อภิปรายผลการศึกษา : พบว่า โรคธาลัสซีเมีย เป็นปัญหาสาธารณสุขที่ส าคัญของประเทศ และเป็นโรค เรื้อรังที่ต้องการการดูแลที่ต่อเนื่อง โดยผู้ป่วยเด็กต้องมีผู้ดูแลช่วยในการดูแลสุขภาพบางส่วนที่ไม่สามารถ ปฏิบัติเองได้ ผู้ดูแลจึงมีความส าคัญ เพราะสามารถช่วยป้องกันไม่ให้เด็กโรคธาลัสซีเมียเกิดภาวะแทรกซ้อน โปรแกรมการสอน 1. จัดสภาพแวดล้อมให้ดึงดูดความสนใจ 2. สร้างสัมพันธภาพ แนะน าตัว แจ้งวัตวัตถุประสงค์การวิจัย และขั้นตอนภายหลังการเข้า ร่วมการวิจัยให้กับผู้ดูแลเด็กป่วยโรคธาลัสซีเมีย 3. พูดคุยให้เห็นถึงความส าคัญของการดูแลผู้ป่วยเด็กโรคธาลัสซีเมีย ถาม-ตอบ เล่า ประสบการณ์การดูแลที่ผ่านมา 4. ให้ชมการ์ตูน เรื่อง ธาลัสซีเมีย ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีผู้วิจัยให้ข้อมูลเพิ่มเติม ยกตัวอย่างให้สอดคล้องกับเนื้อหา พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ และผู้วิจัยให้ความรู้ สรุป เนื้อหาภายหลังการรับชมการ์ตูน 5. โทรศัพท์กระตุ้นเตือนพฤติกรรมการดูแลของผู้ดูแล ภายหลังการสอน 15 วัน ของแต่ละ กลุ่ม ใช้เวลาประมาณ 5 -10 นาที/คน 6. ทบทวนความรู้ก่อนการจ าหน่าย และมอบคู่มือโรคธาลัสซีเมียให้กลับไปทบทวนที่บ้าน ทฤษฎีการเรียนรู้ ตามแนวคิดของกาเย่ 1. เร่งเร้าความสนใจ 2. บอกวัตถุประสงค์ 3. ทบทวนความรู้เดิม 4. น าเสนอเนื้อหาใหม่ 5. ชี้แนะแนวทางการเรียนรู้ 6. กระตุ้นการตอบสนอบทเรียน 7. ให้ข้อมูลย้อนกลับ 8. ทดสอบความรู้ใหม่ 9. สรุปและน าไปใช้ - ความรู้เรื่อง โรคธาลัสซีเมีย - พฤติกรรมการดูแล ของผู้ดูแลผู้ป่วยเด็ก โรคธาลัสซีเมีย 69
หรือหากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม อาจส่งผลให้อาการของโรครุนแรงขึ้นได้ ผู้ดูแลจึงจ าเป็นต้องมีความรู้ และพฤติกรรมในการดูแลผู้ป่วยที่เหมาะสม และกิจกรรมต้องแตกต่างไปจากเดิม เพื่อให้สามารถจดจ าความรู้ ได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้น ผู้วิจัยจึงได้น าแนวคิดการสอนของกาเย่มาใช้ในการจัดโปรแกรมการสอน ประกอบด้วย การ์ตูนเรื่อง Thalassemia โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับโรค การดูแล และการปฏิบัติที่เหมาะสมกับโรคธาลัสซีเมีย การรับชมเนื้อหาความรู้ผ่านตัวการ์ตูนที่มีสีสัน ช่วยดึงดูดความสนใจ ท าให้เข้าใจเนื้อหาง่ายมากขึ้น ภายหลัง การรับชมได้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน ก่อนจ าหน่ายได้มอบคู่มือการดูแลเด็กโรคธาลัสซีเมีย ให้กลับไปทบทวนต่อที่บ้าน และมีการโทรศัพท์กระตุ้นเตือนพฤติกรรมการดูแลของผู้ดูแล ซึ่งแนวคิดของกาเย่ นั้นเป็นแบบแผน มีวิธีการ กระบวนการในการจัดประสบการณ์ต่างๆ ให้แก่ผู้ดูแล เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ตามที่ เป้าหมายก าหนดได้เป็นอย่างดี 14. สรุปและข้อเสนอแนะ : ควรน าโปรแกรมการสอนความรู้เรื่องโรคธาลัสซีเมียที่ได้จากการวิจัยครั้งนี้ไปใช้ ในการดูแลผู้ป่วยในการให้การพยาบาล และให้ค าแนะน าก่อนจ าหน่ายผู้ป่วยกลับบ้านอย่างมีแบบแผนเป็น รูปแบบเดียวกัน และควรศึกษาเพิ่มเติมถึงความคงทนของความรู้ และพฤติกรรมของผู้ดูแลหลังสิ้นสุดโปรแกรม ที่นานขึ้น เช่น ทุก 3 เดือน หรือ 6 เดือน รวมถึงควรศึกษาเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมการสอน กับกลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ 15. การน าผลงานไปใช้ประโยชน์: การน าผลงานของโปรแกรมการสอนความรู้เรื่องโรคธาลัสซีเมียครั้งนี้ไปใช้ ในการให้ความรู้กับผู้ดูแลผู้ป่วยเด็กโรคธาลัสซีเมีย 16. เอกสารอ้างอิง กิตติ ต่อจรัส, พิมพ์ลักษณ์ เจริญขวัญ. (2563). แนวทางเวชปฏิบัติส าหรับการรักษาภาวะโลหิตจาง และธาลัสซีเมีย, กรุงเทพฯ: สมาคมโลหิตวิทยาแห่งประเทศไทย. หน้า 101 – 199. กรมการแพทย์. (2561). โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย โรคทางพันธุกรรมที่น่าเป็นห่วงในประเทศไทย. (ออนไลน์)เข้าถึงได้ที่ https://pr.moph.go.th/?url=pr/detail/all/02/116500 ค้นเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2566. บุญชู พงศ์ธนากุล, กุลวรา เมฆสวรรค์. (2563). โภชนาการในผู้ป่วยธาลัสซีเมีย. (ออนไลน์) เข้าถึงได้ที่ https://www.si.mahidol.ac.th/th/department/pediatrics/pdf/service/leftlet/HematologyOncolo gy/ ค้นเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2563. วิลาส สุภา, ปริญญภาษ สีทอง. (2565). การพัฒนาหลักสูตรส่งเสริมความสามารถในการเขียน เพื่อ การสื่อสารภาษาไทยโดยใช้แนวคิดการจัดการเรียนรู้ของกาเย่ ส าหรับนักศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย. วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ มจร วิทยาเขต แพร่,8(2), 119-135. วรวุฒิ แสงทอง, จุฬารัตน์ ห้าวหาญ และคณะ. (2563). ผลของระบบสนับสนุนและให้ความรู้อย่างมี แบบแผนต่อความรู้และพฤติกรรมการดูแลตนเองของเด็กวัยเรียนโรคธาลัสซีเมีย. วารสารเครือข่ายวิทยาลัย พยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้, 7(2), 39-50. สิริภากร แสงกิจพร. (2565). ผู้ที่เป็นพาหะของโรคธาลัสซีเมีย สามารถเกิดขึ้นได้เองโดยไม่ได้รับการ ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ได้หรือไม่. (ออนไลน์) เข้าถึงได้ที่ http://webdb.dmsc.moph.go.th/ifc_nih/a_nih_7_001c.asp?info_id=531 ค้นเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2565. Thalassemia Foundation of Thailand. (2020). Clinical practice guideline for diagnosis and management of thalassemia syndrome. (ออนไลน์) เข้าถึงได้ที่ http://www.thalassemia.or.th/thal-cpg.pdf ค้นเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 25 70
ผลของการใช้โปรแกรมการวางแผนจ าหน่ายต่อความแตกฉานด้านสุขภาพของผู้ป่วย โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังในหอผู้ป่วยอายุรกรรมชาย โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว ปรางทิพย์ ค าสิงห์, พย.บ * วิชุดา ชัยมิ่ง, พย.บ * รัฏฐา ขันทองนาค, พย.บ * บทคัดย่อ การวิจัยกึ่งทดลองชนิดหนึ่งกลุ่มวัดก่อน – หลังนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ย ความแตกฉานด้านสุขภาพของผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังก่อนและหลังได้รับการวางแผนการจ าหน่าย ตามแนวคิด DMETHOD กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยในหอผู้ป่วยอายุรกรรมชาย โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช สระแก้ว ที่แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง จ านวน 30 ราย เครื่องมือวิจัยได้แก่ โปรแกรม การวางแผนจ าหน่ายผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่ผู้วิจัยพัฒนาตามหลักของ DMETHOD แบบประเมินความ แตกแตกฉานด้านสุขภาพของผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ด าเนินการวิจัยในระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือน มิถุนายน พ.ศ 2566 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพื้นฐานและ paired t test ผลการศึกษาพบว่า คะแนนเฉลี่ยความแตกฉานในการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ าของผู้ป่วยโรค ปอดอุดกั้นเรื้อรังหลังได้รับโปรแกรมการวางแผนจ าหน่ายด้วย DMETHOD สูงกว่าก่อนการวางแผนจ าหน่าย อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ (t = 5.879; p <.001) จากผลการวิจัยมีข้อเสนอแนะ ควรใช้การวางแผนจ าหน่าย ผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังด้วยโปรแกรมการวางแผนตาม DMETOD ที่พัฒนาขึ้นนี้ เพื่อให้ความแตกฉาน ในการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ า และควรมีการวิจัยเพื่อติดตามความคงทนของความแตกฉาน ในการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ าในผู้ป่วยกลุ่มนี้ ค าส าคัญ : โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง/ ความแตกฉานด้านสุขภาพ/ การวางแผนการจ าหน่าย/ DMETHOD * พยาบาลวิชาชีพประจ าหอผู้ป่วยอายุรกรรมชาย โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว 71
1. ชื่อเรื่อง : ผลของการใช้โปรแกรมการวางแผนจ าหน่ายต่อความแตกฉานด้านสุขภาพของผู้ป่วย โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ในหอผู้ป่วยอายุรกรรมชาย โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว 2. คณะผู้วิจัย : นางสางปรางทิพย์ ค าสิงห์, นางสางวิชุดา ชัยมิ่ง, นางสางรัฏฐา ขันทองนาค พยาบาลวิชาชีพ หอผู้ป่วยอายุรกรรมชาย โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว 3.ชื่อผู้น าเสนอผลงาน : นางสางปรางทิพย์ ค าสิงห์, นางสางวิชุดา ชัยมิ่ง, นางสางพลอยน้ าผึ้ง ผินกระโทก 4.ความส าคัญของปัญหา โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง เป็นกลุ่มโรคที่มีการอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนล่างอย่างถาวร การด าเนิน โรคส่วนใหญ่จะเป็นไปในทางที่เสื่อมลง และไม่กลับคืนสู่สภาพปกติ เป็นโรคที่ไม่หายขาด (ธาดา วินทะไชยและ นรลักขณ์ เอื้อกิจ,2561) ซึ่งเป็นสาเหตุส าคัญที่ท าให้ผู้ป่วยมีอาการหอบเหนื่อย หากเกิดภาวะการก าเริบ เฉียบพลัน (Acute exacerbation) อาจท าให้เกิดภาวะ respiratory failure ส่งผลให้ระยะเวลาการนอน โรงพยาบาลยาวนานขึ้น คุณภาพชีวิตเลวลง เพิ่มอัตราการทุพลภาพและเสียชีวิตมากขึ้น มีการเพิ่มขึ้นของ ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา การเพิ่มขึ้นของอัตราการนอนโรงพยาบาล มีผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม ด้วย (นภารัตน์ อมรพุฒิสถาพร, 2553) จากรายงานสถานการณ์การตายของประชากรไทยพบว่า ปี 2562 โรคของระบบทางเดินหายใจ จัดเป็นระบบที่มีอัตราการตายอยู่ในล าดับที่ 3 รองลงมาจากโรคมะเร็ง และโรคระบบไหลเวียนโลหิต ในเขต สุขภาพที่ 6 มีผู้ป่วยโรคหลอดลมอักเสบ ถุงลมโป่งพอง และปอดอุดกั้นเรื้อรัง มีอัตราป่วย 177.17 ต่อประชากร 100,000 คน จัดอยู่ในล าดับที่ 8 (กองยุทธศาสตร์และแผนงาน ส านักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข,2562) หอผู้ป่วยอายุรกรรมชาย โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว พบว่าโรคหลอดลมอักเสบ ถุงลมโป่งพอง และปอดอุดกั้นแบบเรื้อรังเป็นโรคที่พบมาก 1 ใน 5 อันดับแรกของผู้ป่วยใน พบว่ามีอัตราการ Re-admit จากภาวะ Acute exacerbation ในปี 2560-2564 ร้อยละ 5.88 ,8.85,11.32, 8.27 และ 7.56 ตามล าดับ (ศูนย์สารสนเทศ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว, 2566) ข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ให้เห็นว่า การจัดระบบดูแล ผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ควรมุ่งเน้นการส่งเสริมให้มีพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสมเพื่อลดโอกาสการก าเริบ ของโรค โดยพฤติกรรมการดูแลสุขภาพที่เหมาะสมนั้นจะต้องมีความแตกฉานด้านสุขภาพ (Health literacy) ซึ่งหมายถึง ความรู้ ความเข้าใจ และความสามารถเฉพาะบุคคลในการเข้าถึง ท าความเข้าใจ และใช้ข้อมูล เพื่อให้เกิดสุขภาพที่ดีแต่ในทางกลับกันผู้ป่วยที่มีความแตกฉานด้านสุขภาพไม่เพียงพอ จะไม่สามารถจัดการ กับอาการของโรคได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ส่งผลให้เกิดข้อจ ากัดในภาวการณ์ท าหน้าที่ (สันติ ยอมประโคน, 2557) หากผูปวยไมมีความรูหรือเข้าใจไมถูกตองเกี่ยวกับปญหาสุขภาพของตนแลวนั้น ก็จะมีพฤติกรรมไม เหมาะสม สงผลใหภาวะเจ็บปวยรุนแรงขึ้นได้ โดยการวางแผนจ าหน่ายผู้ป่วยที่มีประสิทธิภาพ เป็นสิ่งส าคัญใน การช่วยให้ผู้ป่วยเกิดความแตกฉานด้านความรู้ และสามารถน าความรู้ที่ได้รับ ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ ลดโอกาสในการก าเริบของโรคเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข อีกทั้งยังส่งผลให้ลดอัตราการป่วยและลดอัตราการ Re-admit ได้อีกด้วย (สุรีย์ ธรรมิกบวร, 2554) จากการทบทวนรูปแบบการวางแผนจ าหน่าย แบบ DMETHOD สามารถจ าหน่ายผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถลดจ านวนวันนอนและการกลับมารักษาซ้ าภายใน 28 วัน โดยมีการประเมินความแตกฉานด้านสุขภาพ ขั้นพื้นฐานส าหรับผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง มีทีมสหสาขาวิชาชีพในการดูแลผู้ป่วย จากที่มาและความส าคัญดังกล่าวคณะผู้จัดท าจึงมีความจ าเป็นต้องท าการศึกษาวิจัย เรื่อง ผลของการ ใช้โปรแกรม การวางแผนจ าหน่ายต่อความแตกฉานด้านสุขภาพของผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังในหอผู้ป่วย อายุรกรรมชาย โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช สระแก้ว เพื่อเป็นการพัฒนาคุณภาพการพยาบาลผ่านงานวิจัย และจะก่อเกิดผลดีต่อผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง 72
5.วัตถุประสงค์: เพื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยความแตกฉานในการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ าของ ผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังก่อนและหลังได้รับโปรแกรมการวางแผนจ าหน่าย สมมุติฐาน : คะแนนเฉลี่ยความแตกฉานในการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ าของผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้น เรื้อรังหลังได้รับโปรแกรมการวางแผนจ าหน่ายสูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรม 6. วิธีการศึกษา : การวิจัยครั้งนี้ใช้รูปแบบการวิจัยกึ่งทดลองชนิดหนึ่งกลุ่มวัดก่อน – หลัง การก าหนดกลุ่มตัวอย่าง : เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง ก าหนดขนาดตัวอย่าง 30 ราย ตาม rule of thrump ของการวิจัย วิธีการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง เกณฑ์การคัดเลือกอาสาสมัครเข้าสู่โครงการ (inclusion criteria) คือ 1. ผู้ป่วย ในหอผู้ป่วยอายุรกรรมชายที่แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง 2. ผู้ป่วยอายุ 35 ปีขึ้นไป กรณีอายุ มากกว่า 60 ปี จะต้องผ่านเกณฑ์ประเมินความคิดความจ า(TMSE) 3. ผู้ป่วยที่มีสติสัมปชัญญะดี สามารถอ่าน พูด ฟัง เขียน และสื่อสารได้ดี 4. ผู้ป่วยที่มีระดับความรุนแรงของภาวะหายใจล าบาก (mMRC) อยู่ในระดับ 2 ขึ้นไป 5. ผู้ป่วยหรือญาติมีโทรศัพท์ที่สามารถติดต่อผ่านทางไลน์ได้และมีเกณฑ์การคัดเลือกอาสาสมัครออก จากโครงการ (exclusion criteria) คือ 1. ผู้ป่วยที่ on Endotracheal Tube หรือ Tracheostomy Tube 2. ผู้ป่วยติดเตียง 3. ผู้ป่วยทีเข้าร่วมโปรแกรมได้ไม่ครบตามก าหนด การวิเคราะห์ข้อมูล 1. วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไป ด้วยสถิติพรรณนา ได้แก่ จ านวนและร้อยละ 2. วิเคราะห์ความแตกฉานในการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังด้วย ด้วยสถิติพรรณนา ได้แก่ จ านวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 3. เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยความแตกฉานในการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ าของ ผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังก่อนและหลังได้รับโปรแกรมการวางแผนจ าหน่าย โดยใช้สถิติ paired t-test สถิติที่ใช้ ใช้สถิติทดสอบ t (Morgan, 2007) 7.ผลการศึกษา จากผลการศึกษาพบว่าคะแนนเฉลี่ยความแตกฉานในการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ าของผู้ป่วย โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังหลังได้รับโปรแกรมการวางแผนจ าหน่ายด้วย DMETHOD สูงกว่าก่อนการวางแผน จ าหน่ายอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ (t = 5.879; p <.001) 8.อภิปรายผลการศึกษา กลุ่มตัวอย่างได้รับการวางแผนจ าหน่ายซึ่งมีการออกแบบกิจกรรมคลอบคลุม ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคปอด อุดกั้นเรื้อรัง ให้ค าแนะน าเรื่องยา ให้ค าแนะน าเรื่องอาหาร แนะน าการจัดสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมกับสุขภาพ ให้การพยาบาลตามแผนการรักษา ฝึกการหายใจและแนะน าการตรวจตามนัด ทั้งหมดเป็นไปตามหลักการ วางแผนจ าหน่าย DMETHOD (ศิริพร และคณะ, 2555) ท าให้กลุ่มตัวอย่างเข้าใจเกี่ยวกับโรคและการดูแล ตัวเองที่เหมาะสมกับสภาวะสุขภาพส่งผลให้เกิดความแตกฉานทางสุขภาพ ผลการศึกษานี้สอดคลองกับ การศึกษาของรัตนาภรณ์ แซ่ลิ้ม นงลักษณ์ ว่องวิษณุพงศ์ และสุดจิต ไตรประคอง (2557) ที่พบว่าโปรแกรม การวางแผนจ าหน่ายตาม DMETHOD ท าให้ ค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้และพฤติกรรมดูแลตนเองของผู้ป่วยโรค หลอดเลือดแดงอุดตันภายหลังการทดลองของเพิ่มขึ้นกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ (p < .05) 73
9.สรุปและข้อเสนอแนะ จากผลการศึกษาครั้งนี้ คะแนนเฉลี่ยความแตกฉานในการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ าของ ผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังหลังได้รับโปรแกรมการวางแผนจ าหน่ายด้วย DMETHOD สูงกว่าก่อนการวางแผน จ าหน่ายอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ (t = 5.879; p <.001) ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะคือ ควรใช้การวางแผน จ าหน่ายผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังด้วยโปรแกรมการวางแผนตาม DMETHOD ที่พัฒนาขึ้นนี้ เพื่อให้ความ แตกฉานในการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ า และควรมีการวิจัยเพื่อติดตามความคงทนของความ แตกฉานในการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ าในผู้ป่วยกลุ่มนี้ 10. การน าไปใช้ประโยชน์/อ้างอิง จากการวิจัยในครั้งนี้ พบว่าการวางแผนจ าหน่ายผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังด้วยโปรแกรมการวางแผน ตาม DMETHOD ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นนี้ควรน าไปใช้ในการวางแผนจ าหน่ายผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังทุกราย เพื่อท าให้เกิดความแตกฉานในการปฏิบัติตัวเพิ่มขึ้น และหากผู้ป่วยมีความแตกฉานในการปฏิบัติตัวแล้วนั้น ก็ จะลดโอกาสการกลับเป็นซ้ าได้ อ้างอิง กลุ่มดิจิทัลสุขภาพ กองยุทธศาสตร์และแผนงาน ส านักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข. (2562). สรุปรายงานการป่วย พ.ศ. 2562. สืบค้น20 มิถุนายน 2566, จากhttps://www.https: //spd.moph.go.h/wpcontent/uploads/2023/04/ill_2562_full_20200921.pdf().t กองยุทธศาสตร์และแผนงานส านักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข. (2562). สถิติสาธารณสุข พ.ศ. 2562. สืบค้น20 มิถุนายน 2566, จากhttps://www http://www.pcko.moph.go.th/Health- Statistics/statistic2562.pdf ธาดา วินทะไชยและนรลักขณ์ เอื้อกิจ. (2561). ผลของโปรแกรมการจักการตนเองต่อสมรรถภาพปอด ของผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง. วารสารพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 12(2), 126 นภารัตน์ อมรพุฒิสถาพร. (2553). โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง Chronic Obstructive Pulmonary Disease. สืบค้น10 พฤศจิกายน 2565, จาก :https://www.rama.mahidol.ac.th/med/sites/default/files /public/pdf/medicinebook1/COPD รัตนาภรณ์ แซ่ลิ้ม และคณะ. (2557). ประสิทธิผลของโปรแกรมการวางแผนจ าหน่ายต่อความรู้และพฤติกรรม การดูแลตนเองในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายอุดตันในโรงพยาบาลสงขลานครินทร์. สืบค้น10 พฤศจิกายน 2565, จากhttps://he02.tcithaijo.org/index.php/TJONC/article/ view/21122/18302 ศูนย์สารสนเทศ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว. (2566). รายงานประจ าปี2565. สระแก้ว : โรงพยาบาล. ศิริพร และคณะ. (2555). การวางแผนจ าหน่าย (Discharge Plan). สืบค้น11 กรกฎาคม 2566, จาก https://www.gotoknow.org/posts/54816 สันติ ยอมประโคน. (2557). อิทธิพลของความความแตกฉานด้านสุขภาพ การรับรู้การสนับสนุนทางสังคม และความรู้สึกไม่แน่นอนในความเจ็บป่วยต่อภาวะการท าหน้าที่ในผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง. นครปฐม: ส านักพิมพ์มหาวิทยาลัยมหิดล. สุรีย์ ธรรมิกบวร. (2554). การพยาบาลองค์รวม : กรณีศึกษา. กรุงเทพ: ส านักพิมพ์บริษัท ธนาเพรสจ ากัด. Morgan, B.L. (2007). Understanding Power and Rules of Thumb for Determining Sample Sizes. Tutorials in Quantitative Methods for Psychology. 3 (2), 43‐50 74
ประกวดผลงานวิชาการนำเสนอโดย วาจา (Oral presentation) Best Practice (OB – 01 ถึง 12) 75
การพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยในที่บ้าน (Home ward) เครือข่าย คปสอ.ขลุง จ.จันทบุรี 1. คณะทำงาน : นพ.พรมมินทร์ ไกรยสินธ์, พว.มณฑาทิพย์ พงษ์วิฑูรย์, พว.สมจิต เติมธนสาร, พว.ฤทัย บุญทา, พว.สุพิชชา เชาวรัตน์, พว.เยาวเรศ พิพัฒน์ชัยกิจ , พว.สมลักษณ์ ช่วยทัต , พว.บูรณิมา ฉันทพิริยกุล, ภญ.อรอุมา สุวรรณวงศ์, จพ.อรรถพล โพธิ์ศรี โรงพยาบาลขลุง 2. ชื่อผู้นำเสนอผลงาน : นพ.พรมมินทร์ ไกรยสินธ์, พว.ฤทัย บุญทา 3. ความสำคัญของปัญหา : การดูแลแบบ Home ward เป็นการดูแลที่เปลี่ยนจาก disease focus เป็น holistic patient and family focus ที่ครอบคลุมในทุกมิติ ทั้งทางด้านกาย จิต สังคม และจิตวิญญาณ ก่อให้เกิดทักษะความรู้ในเรื่อง การดูแลสุขภาพตนเองและครอบครัว โรงพยาบาลขลุงเป็นโรงพยาบาลขนาด 30 เตียง มีประชากร 56,033 คน อัตราการครองเตียง 94.4% ทำให้เจ้าหน้าที่มีภาระงานมาก และการให้บริการผู้ป่วยในมีความ แออัด ผู้ป่วยบางรายมีภาระจำเป็นไม่สามารถนอนรักษาที่โรงพยาบาลได้ การพัฒนาระบบการดูแลแบบ Home ward จะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ป่วย ทั้งด้านผลของการรักษาและลดภาระค่าใช้จ่าย 4. วัตถุประสงค์: 4.1 เพื่อพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยในที่บ้านในบริบทอำเภอขลุง 4.2 เพื่อลดอัตราการครองเตียงในโรงพยาบาล 4.3 เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ป่วยในการรับบริการแบบผู้ป่วยในและลดค่าใช้จ่ายของผู้ป่วย 5. วิธีการดำเนินงาน : พัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยในที่บ้านโดยใช้แนวทางและมาตรฐานการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน ของกรมการแพทย์กระทรวงสาธารณสุข ภายใต้บริบทเครือข่าย คปสอ.ขลุง 6. ระยะเวลาดำเนินการ : พฤศจิกายน 2565 - กรกฎาคม 2566 7. ผลการดำเนินงาน : มีระบบการดูแลผู้ป่วยในที่บ้าน ในเครือข่าย คปสอ.ขลุง โดยการทำงานร่วมกันของทีมสหวิชาชีพ ดังนี้ กำหนดเกณฑ์ในการรับเข้ารักษา การติดตามประเมิน การบริหารยา การให้การพยาบาล การทำหัตการ การ จำหน่าย การนัดติดตาม และการแก้ปัญหากรณีเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน จำนวนผู้ป่วยที่ได้รับดูแลแบบผู้ป่วยในที่ บ้านทั้งหมด 373 คน หายป่วยและอาการทุเลา 355 คน (95.2%) อาการไม่ทุเลา 16 คน (4.3%) เสียชีวิต 2 คน (0.5%) คิดเฉลี่ยเป็น 41 คน/เดือน ผลดำเนินการด้านการเงินได้รับค่าชดเชยจาก สปสช.จำนวน 1,559,715 บาท คิดเฉลี่ยเป็น 5,341 บาท/คน 8. อภิปรายผลการศึกษา : จากการทบทวนผู้ป่วยที่เสียชีวิตและอาการไม่ทุเลา พบในกลุ่มผู้ป่วยโควิด 7 คน ติดเชื้อทางเดิน ปัสสาวะ 5 คน แผลกดทับ 2 คน เบาหวาน 2 คน ติดเชื้อในปอด 2 คน โดยสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิตจาก Aspirate pneumonia 2 คน และสาเหตุที่ทำให้อาการไม่ทุเลา มีดังนี้ ประเมินสัญญาณชีพและอาการไม่ เหมาะสม 12 คน ฉีดยาเบาหวานไม่ถูกต้อง 2 คน ขาดการประเมินความร่วมมือ 1 คน และผู้ป่วยไปรักษา โรงพยาบาลอื่น 1 คน โอกาสพัฒนา ได้แก่ การป้องกันการเกิดการสำลัก คัดเลือกผู้ป่วยที่สัญญาณชีพและ อาการคงที่ก่อนเข้ารับการรักษา 76
9. สรุปและข้อเสนอแนะ : การดูแลผู้ป่วยแบบ Home ward สามารถให้การดูแลผู้ป่วยกลุ่มโรคตามที่กรมการแพทย์กำหนดได้ ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่เหมาะสมและมีความปลอดภัยไม่น้อยกว่าการรักษาในโรงพยาบาล โดยใช้ทรัพยากรจาก ครอบครัวและชุมชนเป็นฐาน นอกจากนี้ควรมีการเพิ่มกลุ่มโรคที่น่าจะได้ประโยชน์จากการดูแลแบบ Home ward ได้แก่ ผู้ป่วย palliative care ที่ได้รับการจัดการอาการโดยใช้ยามอร์ฟีนผ่าน syringe driver และผู้ป่วย สิทธิ์อื่นๆ เช่น ข้าราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและประกันสังคม 10. การนำผลงานไปใช้ประโยชน์: 10.1 ขยายผลสู่รพ.สต. ในพื้นที่ อ.ขลุง 10.2- เป็นแหล่งเรียนรู้ดูงานของหน่วยงานอื่นๆ ในเขตสุขภาพที่ 6 และเขตสุขภาพที่ 2 11. เอกสารอ้างอิง : แนวทางและมาตรฐานการดูแลผู้ป่วยในที่บ้าน (Home ward). กรมการแพทย์กระทรวง สาธารณสุข, 2565 77
การพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยในที่บ้าน (Home ward) 1. ชื่อเรื่อง : การพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยในที่บ้าน (Home ward) เครือข่าย คปสอ.ขลุง จ.จันทบุรี 2. คณะท างาน : นพ.พรมมินทร์ ไกรยสินธ์, พว.มณฑาทิพย์ พงษ์วิฑูรย์, พว.สมจิต เติมธนสาร, พว.ฤทัย บุญทา, พว.สุพิชชา เชาวรัตน์, พว.เยาวเรศ พิพัฒน์ชัยกิจ , พว.สมลักษณ์ ช่วยทัต , พว.บูรณิมา ฉันทพิริยกุล, ภญ.อรอุมา สุวรรณวงศ์, จพ.อรรถพล โพธิ์ศรี โรงพยาบาลขลุง 3. ชื่อผู้น าเสนอผลงาน : นพ.พรมมินทร์ ไกรยสินธ์, พว.ฤทัย บุญทา 4. ความส าคัญของปัญหา : การดูแลแบบ Home ward เป็นการดูแลที่ปรับเปลี่ยนจากการมุ่งรักษาโรค (disease) เป็นเน้นการดูแลผู้ป่วย แบบองค์รวมที่ครอบคลุมในทุกมิติทั้งทางด้านกาย จิต สังคม และจิตวิญญาณ ก่อให้เกิดทักษะความรู้ในเรื่องการดูแล สุขภาพตนเองและครอบครัว โรงพยาบาลขลุงเป็นโรงพยาบาลขนาด 30 เตียง มีประชากร 56,033 คน อัตราการครอง เตียง 94.4% ท าให้เจ้าหน้าที่มีภาระงานมาก และการให้บริการผู้ป่วยในมีความแออัด ผู้ป่วยบางรายมีภาระจ าเป็นไม่ สามารถนอนรักษาที่โรงพยาบาลได้การพัฒนาระบบการดูแลแบบ Home ward จะท าให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ป่วย ทั้งด้านผลของการรักษาและลดภาระค่าใช้จ่าย 5. วัตถุประสงค์: 1. เพื่อพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยในที่บ้านในบริบทอ าเภอขลุง 2. เพื่อลดอัตราการครองเตียงในโรงพยาบาลและลดความแออัดในโรงพยาบาล 3. เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ป่วยในการรับบริการแบบผู้ป่วยในและลดค่าใช้จ่ายของผู้ป่วย 6. วิธีการด าเนินงาน : พัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยในที่บ้านโดยใช้แนวทางและมาตรฐานการดูแลผู้ป่วยในที่บ้าน ของกรมการ แพทย์กระทรวงสาธารณสุข ปี 2565 ภายใต้บริบทเครือข่าย คปสอ.ขลุง มีกลวิธีในการด าเนินงานดังนี้ 1. ศึกษานิยาม หลักเกณฑ์ และทบทวนวรรณกรรม 2. เตรียมความพร้อมสถานพยาบาลและบุคลากร แต่งตั้งผู้รับผิดชอบงาน ประกอบด้วย แพทย์ พยาบาล เภสัชกร นักวิชาการสาธารณสุข และเจ้าหน้าที่เวชสถิติเตรียมอุปกรณ์พื้นฐานส าหรับผู้ป่วย ยาและ เวชภัณฑ์ ระบบการติดตามอาการ ช่องทางการสื่อสารกับผู้ป่วย การบันทึกเวชระเบียนในระบบ HOSxP และ DMS Home Ward : A-MED 3. ประเมินความพร้อมของผู้ป่วย ผู้ดูแลและที่พักอาศัย 4. เกณฑ์การคัดเลือกผู้ป่วยเข้าระบบ - สภาวะผู้ป่วย มีสัญญาณชีพคงที่ ไม่มีความเสี่ยงอาการแย่ลง - ผู้ป่วยยังคงมีความจ าเป็นต้องการการดูแลแบบผู้ป่วยใน - มีการตัดสินใจร่วมกันระหว่างแพทย์ ผู้ป่วยและครอบครัว 5. แนวทางปฏิบัติในการให้บริการ ติดตาม และการจ าหน่าย กลุ่มโรคที่เริ่มด าเนินการ Home ward ตามค าแนะน าของกรมการแพทย์มีดังนี้ โรคเบาหวานที่มีน้ าตาล ในเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง โรคแผลกดทับ โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ โรคปอดอักเสบติดเชื้อ โรคไส้ติ่ง อักเสบเฉียบพลันภายหลังได้รับการผ่าตัด และโรคติดเชื้อโคโรนา 2019 มีระยะเวลาด าเนินงานตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2565 - สิงหาคม 2566 ค่าใช้จ่ายในการด าเนินงานดูแลผู้ป่วยแบบ Home ward เฉลี่ยเท่ากับ 3,300 บาท ต่อคน ได้แก่ ค่า จัดซื้ออุปกรณ์วัด V/S ค่าอุปกรณ์อื่นๆ ค่ายาและเวชภัณฑ์ ค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานนอกเวลา ค่าน้ ามัน รถ ค่าโทรศัพท์ 78
7. ผลการด าเนินงาน : จากการด าเนินงานพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยในที่บ้าน ภายใต้บริบทเครือข่าย คปสอ.ขลุง ท าให้มี ระบบการดูแลผู้ป่วยในที่บ้าน ดังนี้ มีการก าหนดเกณฑ์ในการรับเข้ารักษา การติดตามประเมิน การบริหารยา การให้การพยาบาล การท าหัตถการ การจ าหน่าย การนัดติดตาม และการแก้ปัญหากรณีเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งระบบที่เกิดขึ้นท าให้สามารถดูแลผู้ป่วยใน 7 กลุ่มโรคได้อย่างปลอดภัยในมาตรฐานการดูแลที่เทียบเคียงกับ ผู้ป่วยในโรงพยาบาล โดยการท างานร่วมกันของทีมสหวิชาชีพ การจ าแนกผู้ป่วยตามการวินิจฉัยโรค 5 อันดับแรกที่ได้รับการดูแลแบบ Home ward มีดังนี้ วินิจฉัยโรค ร้อยละ 1.โรคติดเชื้อโคโรนา 2019 50.9 2.โรคเบาหวาน 18.6 3.โรคความดันโลหิตสูง 11.9 4.โรคแผลกดทับ 11.8 5.โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ 4.6 มีจ านวนผู้ป่วยที่ได้รับดูแลการทั้งหมด 373 คน หายป่วยและอาการทุเลา 355 คน (95.2%) อาการไม่ ทุเลา 16 คน (4.3%) เสียชีวิต 2 คน (0.5%) คิดเฉลี่ยเป็น 41 คน/เดือน ผลด าเนินการด้านการเงินได้รับ ค่าชดเชยค่ารักษาพยาบาลจาก สปสช.จ านวน 1,559,715 บาท คิดเฉลี่ยเป็น 5,341 บาท/คน 8. อภิปรายผลการศึกษา : จากการทบทวนผู้ป่วยที่เสียชีวิต 2 คน พบว่าสาเหตุที่ท าให้เสียชีวิตทั้ง 2 คน เกิดจาก Aspirate pneumonia และญาติยอมรับการดูแลแบบประคับประคองที่บ้านเนื่องจากเป็นผู้ป่วยติดเตียง มีผู้ป่วยที่อาการ ไม่ทุเลาจ านวน 16 คน พบในกลุ่มผู้ป่วยโควิด 7 คน ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ 5 คน แผลกดทับ 2 คน เบาหวาน 2 คน ติดเชื้อในปอด 2 คน สาเหตุที่ท าให้ผู้ป่วยอาการไม่ทุเลาเป็นเหตุให้ต้องน ากลับมารักษาในโรงพยาบาล มี ดังนี้ ประเมินสัญญาณชีพและอาการไม่เหมาะสม 12 คน ฉีดยาเบาหวานไม่ถูกต้อง 2 คน ขาดการประเมิน ความร่วมมือ 1 คน และผู้ป่วยไปรักษาโรงพยาบาลอื่น 1 คน โอกาสพัฒนา ได้แก่การป้องกันการเกิดการส าลัก ในผู้ป่วยที่ติดเตียง การคัดเลือกผู้ป่วยที่มีอาการคงที่ก่อนเข้ารับการรักษา และความสมัครใจของผู้ป่วยในการ เข้ารับบริการ การจ าแนกผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลแบบ Home ward อาการไม่ทุเลา มีดังนี้ วินิจฉัยโรค ร้อยละ 1.โรคติดเชื้อโคโรนา 2019 43.75 2.โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ 31.25 3.โรคแผลกดทับ 12.5 4.โรคเบาหวาน 12.5 79
9. สรุปและข้อเสนอแนะ : การดูแลผู้ป่วยแบบ Home ward สามารถให้การดูแลผู้ป่วยกลุ่มโรคตามที่กรมการแพทย์ก าหนดได้ ผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษาที่เหมาะสมตามมาตรฐานของแต่ละวิชาชีพแบบผู้ป่วยใน และมีความปลอดภัยไม่น้อย กว่าการรักษาอยู่ในโรงพยาบาล โดยใช้บ้านเป็นหอผู้ป่วยและทรัพยากรจากครอบครัวและชุมชนเป็นฐาน สามารถลดอัตราการครองเตียงและลดความแออัดในโรงพยาบาล นอกจากนี้ควรมีการเพิ่มกลุ่มโรคที่น่าจะได้ ประโยชน์จากการดูแลแบบ Home ward ได้แก่ ผู้ป่วย palliative care ที่ได้รับการจัดการอาการโดยใช้ยา มอร์ฟีนผ่าน Syringe driver และผู้ป่วยสิทธิ์อื่นๆ เช่น ข้าราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและ ประกันสังคม 10. การน าผลงานไปใช้ประโยชน์: 1. ขยายผลสู่ รพ.สต. ในพื้นที่และโรงพยาบาลชุมชนในจังหวัด เพื่อให้มีส่วนร่วมในการด าเนินงานและ ส่งเสริมการพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยในชุมชน 2. ขยายกลุ่มเป้าหมายไปยังกลุ่มผู้ป่วยที่น่าจะได้ประโยชน์จากการดูแลแบบ Homeward ได้แก่ ผู้ป่วย palliative care, COPD 3. เป็นแหล่งเรียนรู้ดูงานของหน่วยงานอื่นๆ ในเขตสุขภาพที่ 6 และเขตสุขภาพที่ 2 11. เอกสารอ้างอิง : แนวทางและมาตรฐานการดูแลผู้ป่วยในที่บ้าน (Home ward). กรมการแพทย์กระทรวงสาธารณสุข, 2565 80
การลดการปนเปื้อนเชื้อ Coagulase negative Staphylococci จากการเพาะเชื้อจากเลือด ในโรงพยาบาลบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา ผู้นำเสนอผลงาน นางอาภรณ์ ยิ้มเนียม พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ งานป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อใน ร.พ. บทคัดย่อ การเพาะเชื้อจากเลือด เป็นการตรวจหาเชื้อแบคทีเรียในเลือดของผู้ป่วย ช่วยในการวินิจฉัยภาวะการ ติดเชื้อในกระแสเลือด นำไปสู่การรักษาที่มีประสิทธิภาพ จากการเฝ้าระวังอุบัติการณ์เชื้อดื้อยาในโรงพยาบาล บางน้ำเปรี้ยวพบว่าผลการเพาะเชื้อมีการปนเปื้อนเชื้อประจำถิ่น Coagulase Negative Staphylococci (CNS) มากที่สุดร้อยละ 8.43, 10.39 และ 11.48 ในปี 2563-2565 ตามลำดับ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการ รักษาโรค เพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต สูญเสียทรัพยากรในระบบสุขภาพ โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อลด การปนเปื้อนเชื้อ CNS จากการเจาะเลือดเพื่อเพาะเชื้อ โดยใช้วิธีการจัดการความรู้ (Knowledge Management) ในกลุ่ม Infection Control Team ศึกษา/วิเคราะห์ปัญหาการปนเปื้อนเชื้อจากการเจาะ เลือด นำสู่การพัฒนาแนวทางปฏิบัติทางการพยาบาลการเจาะเลือดเพื่อเพาะเชื้อ อ้างอิงแนวทางปฏิบัติที่เป็น สากล CPG : Prevention of Blood Contamination ของ Emergency Nurses Association ปี 2016 และตามคู่มือ แนวปฏิบัติการเจาะเลือดเพื่อเพาะเชื้อและการเพาะเชื้อก่อโรคจากเลือด ของชมรมควบคุมโรค ติดเชื้อแห่งประเทศไทย จากการวิเคราะห์พบว่าสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการเตรียมผิวหนังที่ไม่มีประสิทธิภาพ การปนเปื้อนเชื้อจากหลายส่วนในการปฏิบัติงานในภาวะวิกฤต ฉุกเฉินและเร่งรีบ การดำเนินกิจกรรม KM ใน กลุ่ม ICWN 7 คน ร่วมกับแสวงหาแหล่งขององค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญ จากวิชาชีพ แพทย์ เภสัชกรและนัก เทคนิคการแพทย์ เพื่อพัฒนาแนวทางปฏิบัติ จัดหาทรัพยากร เลือกใช้น้ำยาทำลายเชื้อที่เหมาะสม เผยแพร่ แนวทางปฏิบัติกับพยาบาลวิชาชีพกลุ่มการพยาบาล 72 คน ด้วยการอบรม สัมมนา การนิเทศทางการ พยาบาล ICWN ของแต่ละหน่วยจะเป็นพี่เลี้ยงในการทำหัตถการนี้ให้กับพยาบาลในหน่วยงามของตนอย่าง ใกล้ชิด จัดเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ ให้พร้อมใช้ แนะนำการใช้น้ำยาทำลายเชื้อที่เหมาะสมและถูกต้อง เก็บรวบรวม ข้อมูลผลเพาะเชื้อและสรุปผลการปฏิบัติตามแนวทาง ผลการประเมินพบว่าการปฏิบัติอยู่ในระดับดีมาก ร้อย ละ 92.93 โดยวิธีปฏิบัติที่ได้คะแนนมากที่สุดได้แก่ การล้างมือก่อนเจาะเลือดทุกครั้ง (ร้อยละ 100) ส่วนการ ปฏิบัติที่ได้คะแนนน้อยที่สุดได้แก่ การสวมถุงมือปราศจากเชื้อก่อนการเจาะเลือด (ร้อยละ 80.82) สรุปผลการ ดำเนินงานพบว่าอัตราการพบเชื้อ CNS ที่ตรวจพบต่อปีลดลงจากร้อยละ 2.11 ในปี 2565 เหลือร้อยละ 0.84 ในปี 2566 และอัตราการพบเชื้อ CNS ที่พบเปรียบเทียบกับผลเลือดที่ขึ้นเชื้อทั้งหมด ลดลงจากร้อยละ 11.48 ในปี 2565 เหลือร้อยละ 7.17 ในปี 2566 สรุปได้ว่าอัตราการลดลงของการพบเชื้อ CNS หลังจากการทำ KM การปนเปื้อนของลดลงร้อยละ 0.60 จะเห็นว่าการจัดการความรู้ KM เป็นการกระตุ้นให้พยาบาลวิชาชีพ ตระหนักถึงความสำคัญของการปนเปื้อนเชื้อในผลเลือดผู้ป่วย ส่งเสริมให้พยาบาลสามารถเก็บตัวอย่างเลือด เพื่อเพาะเชื้อได้อย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยให้การวินิจฉัยโรคและการรักษาโรคมีประสิทธิภาพและ ประสบความสำเร็จ ประโยชน์ที่ได้รับ CPG นี้ สามารถนำแนวทางนี้ไปปรับใช้กับการเจาะเลือดชนิดอื่นๆ ได้ และกระบวนทำ KM ยังเป็นการจัดการความรู้อย่างเป็นระบบ มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เชื่อมโยงกันระหว่างสห สาขาวิชาชีพ สามารถนำไปดำเนินการพัฒนาคุณภาพงานด้านต่าง ๆ ได้ 81
การลดการปนเปื้อนของเชื้อ Coagulase Negative Staphylococci จากการเพาะเชื้อจากเลือดใน โรงพยาบาลบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา ชื่อหน่วยงาน งานป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อในโรงพยาบาล กลุ่มงานการพยาบาล ร.พ.บางน้ำเปรี้ยว ชื่อผู้นำเสนอ นางอาภรณ์ ยิ้มเนียม พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ กลุ่มงานการพยาบาล ร.พ.บางน้ำเปรี้ยว โทร 088-4902535 ความสำคัญของปัญหา การเพาะเชื้อจากเลือด (Hemoculture) เป็นการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เป็นการตรวจหาเชื้อ แบคทีเรียหรือเชื้อราในตัวอย่างเลือดของผู้ป่วย เลือดในภาวะปกติจะปราศจากเชื้อ หากตรวจเจอเชื้ออาจบ่งชี้ ว่ามีการติดเชื้อในเลือด เช่น มีเชื้อแบคทีเรียหรือมีเชื้อราในเลือด หากมีอาการรุนแรงร่วมด้วยจะเกิดการติดเชื้อ ในกระแสเลือด จากการนำเลือดมาเพาะเชื้อนี้จะทำให้สามารถระบุชนิดของเชื้อก่อโรคและตรวจหาภาวะเชื้อ ดื้อยาได้ นำไปสู่การรักษาที่ได้ประสิทธิภาพ การเจาะเลือดเพื่อเชื้อจึงเป็นหัตถการที่มีความสำคัญ มีความเสี่ยง ที่อาจเกิดจากการปนเปื้อนเชื้อประจำถิ่นหรือเชื้อดื้อยาได้ ซึ่งส่วนใหญ่ที่พบเกิดจากการเตรียมผิวหนังที่ไม่มี ประสิทธิภาพ (วรรณดี ภู่ภิรมย์ และคณะ, 2561) และเกิดจากการปนเปื้อนเชื้อจากบุคลากรผู้เจาะเลือด จาก อุปกรณ์ที่ใช้เจาะเลือด เช่น การปนเปื้อนในแอลกอฮอล์ที่ใช้ทำลายผิวหนัง การปนเปื้อนถุงมือที่สวมเจาะเลือด การปนเปื้อนในสำลีที่ใช้เช็ดทำความสะอาด การปนเปื้อนจุกยางที่ปิดขวดอาหารเลี้ยงเชื้อ การปฏิบัติงานใน ภาวะภาระงานมากและเร่งรีบ (Mark E.R et al., 2017) เชื้อจุลชีพที่พบว่ามีการปนเปื้อนในตัวอย่างเลือดที่ส่ง เพาะเชื้อ ประกอบด้วย เชื้อ Coagulase Negative Staphylococci, Micrococcus spp., Viridians groups staphylococci, Corynebacterium spp., และ Bacillus spp. ซึ่งเป็นเชื้อจุลชีพประจำถิ่น (Normal flora) ที่อยู่บนผิวหนังของผู้ป่วย จากผลการเฝ้าระวังเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพของโรงพยาบาลบางน้ำเปรี้ยวพบว่าผลการ เพาะเชื้อมีการปนเปื้อนเชื้อ Coagulase Negative Staphylococci (CNS) มากที่สุดและเพิ่มขึ้นทุกปี ร้อยละ 8.43, 10.39 และ 11.48 ในปี 2563-2565 ตามลำดับ วัตถุประสงค์ เพื่อลดการปนเปื้อนเชื้อ Coagulase Negative Staphylococci จากการเจาะเลือดเพื่อเพาะเชื้อ วิธีการศึกษา การดำเนินงาน ด้วยรูปแบบการจัดการความรู้ [Knowledge Management (KM)] เพื่อศึกษาปัญหา ของการเจาะเลือดเพาะเชื้อ พัฒนาแนวทางปฏิบัติการพยาบาลทำหัตถการเจาะเลือดเพื่อเพาะเชื้อ (Hemoculture) และผลของการนำแนวทางปฏิบัติไปใช้ โดยใช้พยาบาลป้องกันและควบคุมการติดเชื้อประจำ หน่วยงาน [Infection Control Ward Nurse (ICWN)] จำนวน 7 คน ทำกิจกรรม KM ร่วมกับวิชาชีพที่ เกี่ยวข้อง ได้แก่ แพทย์ เภสัชกรและนักเทคนิคการแพทย์ วิเคราะห์ปัจจัย ศึกษาสาเหตุ แสวงหาความรู้และ 82
แนวทางปฏิบัติ ความสามารถในการใช้แนวทางปฏิบัติตาม Clinical Practice Guideline : Prevention of Blood Contamination (ENA, 2016) นำแนวทางปฏิบัติที่พัฒนาขึ้นไปใช้ในทุกหน่วยงาน ICWN เป็นพี่เลี้ยง สอนแนะนำ และนิเทศการทำหัตถการเจาะเลือดเพื่อเพาะเชื้อในหน่วยงานตนเอง รับผิดชอบเก็บข้อมูล ติดตามผลการเพาะเชื้อ การจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ให้เป็นไปตามแนวทางปฏิบัติ ประเมินผลการปฏิบัติตาม แนวทางในไตรมาสที่ 3 เดือนมิถุนายน 2566 ผลการศึกษา ตารางที่ 1 แสดงอัตราการพบเชื้อ CNS จากการเพาะเชื้อจากเลือดของผู้ป่วยใน โรงพยาบาลบางน้ำเปรี้ยว ปี 2563 ปี 2564 ปี 2565 ปี 2566 (ต.ค.65- มิ.ย.66) จำนวนขวด Hemoculture ทั้งหมด 1395 1355 1330 1659 จำนวนขวด hemoculture ที่ตรวจพบเชื้อก่อโรค 166 154 244 195 จำนวนขวด hemoculture ที่ตรวจพบเชื้อ CNS 14 16 28 14 อัตราการพบเชื้อ CNS ที่ตรวจพบทั้งหมด 1.00 1.18 2.11 0.84 อัตราการพบเชื้อเชื้อ CNS ในผลเพาะเชื้อที่ขึ้นเชื้อทั้งหมด 8.43 10.39 11.48 7.17 สรุปผลการดำเนินงาน พบว่าอัตราการพบเชื้อ Coaglulase – negative Staphylococcus จากการเพาะเชื้อ จากเลือดลดลง ดังนี้ 1. อัตราการพบเชื้อ CNS ที่ตรวจพบต่อปี จากร้อยละ 2.11 ในปี 2565 ลดลงหลังจากทำ KM ในปี 2566 เหลือ 0.84 2. อัตราการพบเชื้อ CNS ที่ตรวจพบเปรียบเทียบกับผลการเพาะเชื้อจากเลือดที่ขึ้นเชื้อทั้งหมด จากร้อย ละ 11.48 ในปี 2565 ลดลงหลังจากทำ KM ในปี 2566 เหลือร้อยละ 7.17 3. อัตราการลดลงของการพบเชื้อ CNS หลังทำ KM ลดการปนเปื้อนของเชื้อ Coagulase Negative Staphylococcus จากการเพาะเชื้อจากเลือด เท่ากับร้อยละ 0.60 ผลสำเร็จของงาน 1. พัฒนาแนวทางปฏิบัติการเจาะเลือดเพื่อเพาะเชื้อ (Hemoculture) เพื่อลดการปนเปื้อนเชื้อดื้อยา Coagulase Negative Staphylococcus 2. พยาบาลมีความรู้ความเข้าใจและเห็นความสำคัญในการเจาะเลือดที่ถูกต้องและได้มาตรฐาน ผลการ ประเมินแนวทางปฏิบัติเจาะเลือดเพื่อเชื้ออยู่ในระดับดีมาก ร้อยละ 92.93 โดยที่วิธีการปฏิบัติที่มี คะแนนมากที่สุดได้แก่ การล้างมือก่อนการเจาะเลือดทุกครั้ง (ร้อยละ 100) การเปลี่ยนเข็มใหม่การฉีด เลือดเข้าในขวดเพาะเชื้อ (ร้อยละ 98.63) และการเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมก่อนการเจาะเลือด (ร้อยละ 83
98.17) ตามลำดับ ส่วนการปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติที่ได้คะแนนน้อยที่สุดได้แก่การสวมถุงมือ ปราศจากเชื้อก่อนการการเจาะเลือด (ร้อยละ 80.82) อภิปรายผล การจัดการความรู้ในการเจาะเลือดเพื่อเพาะเชื้อในครั้งนี้ เพื่อการพัฒนาแนวปฏิบัติ และการนำ แนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมนำไปใช้ โดยการแสวงหาความรู้จากสหสาขาวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง ได้แก่แพทย์ เภสัช กร และนักเทคนิคการแพทย์ นำมาพัฒนาแนวทางปฏิบัติ มีกิจกรรมการส่งเสริมความรู้การบรรยาย อภิปราย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น แลกเปลี่ยนประสบการณ์ การนำแนวทางปฏิบัติไปใช้แบบพี่เลี้ยงโดย ICWN ของ หน่วยงานจะเป็นพี่เลี้ยง/ที่ปรึกษา/นิเทศการ/ติดตามผลการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด ในปี 2566 พบว่าอัตรา การปนเปื้อนเชื้อ CNS ทั้งหมดลดลง คะแนนความสามารถในการปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติการเจาะเลือด เพาะเชื้ออยู่ในระดับดีมาก ในส่วนแนวทางปฏิบัติที่ได้คะแนนน้อยที่สุดได้แก่การสวมถุงมือปราศจากเชื้อก่อน การเจาะเลือดจะนำมาวิเคราะห์และดำเนินการพัฒนาต่อไป สรุปและข้อเสนอแนะ การจัดการความรู้ด้วยกระบวน Knowledge Management เป็นการกระตุ้นให้พยาบาลวิชาชีพ ตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันการปนเปื้อนเชื้อ CNS ที่เป็นเชื้อประจำถิ่นที่ผิวหนัง ส่งเสริมให้ พยาบาลสามารถเก็บตัวอย่างเพาะเชื้อได้อย่างถูกต้องเหมาะสม โดยปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติในทุกขั้นตอน ยึดหลักเทคนิคการปลอดเชื้อ (Aseptic technique) จนทำให้อัตราการปนเปื้อนเชื้อ CNS ลดลง ส่งผลให้การ วินิจฉัยและการรักษามีความถูกต้องแม่นยำ การดูแลรักษาผู้ป่วยมีประสิทธิภาพมากขึ้น การนำไปใช้ประโยชน์ ใช้เป็นแนวทางปฏิบัติในการเจาะเลือดเพื่อเพาะเชื้อและการเจาะเลือดเพื่อตรวจวินิจฉัยอื่นๆ ได้ 84
เอกสารอ้างอิง กำพล สุวรรณพิมลกุล, คัคนางค์ นาคสวัสดิ์. วิธีลดการปนเปื้อนในการเจาะเลือดเพื่อส่งเพาะเชื้อ. ใน: สุรางค์ เดชศิริเลิศ, สุวรรณา ตระกูลสมบูรณ์, กาญจนา คชินทร. บรรณาธิการ. แนวทางปฏิบัติการเจาะเลือด เพื่อเพาะเชื้อและการเพาะเชื้อก่อโรคจากเลือด. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย; 2553. หน้า 5-9. เจียมจิต แสงสุวรรณ. (2566). การจัดการความรู้. สืบค้นเมื่อ 1 กรกฎาคม 2566, จาก https://ph.kku.ac.th/thai/images/file/km/km2557.pdf วรรณดี ภู่ภิรมย์, อุราภรณ์ เชยกาญจน์ และนิสากร จันทวี. ผลของโปรแกรมการส่งเสริมสมรรถนะแห่งตนต่อ ความสามารถในการเก็บตัวอย่างเลือดส่งตรวจเพาะเชื้อของพยาบาลวิชาชีพและอัตราการปนเปื้อนเชื้อ จุลชีพ. วารสารวิชาการแพทย์เขต 11 2561; 32(3): 1189-1198. ENA Clinical Practice Guidelines Committee. Clinical Practice Guideline: Prevention of Blood Culture Contamination. Journals of Emergency Nursing. 2018; 44(3) 285.e1-285. Mark E.R, R Jennifer C, Cole Mel, Lyden. Reduction blood culture contamination through use of initial specimen diversion device. Clinical Infectious Diseases. 2017; 65(2) 201-205. 85
พัฒนาระบบการดูแลฟื้นฟูสภาพผู้ป่วยระยะกลางแบบองค์รวมโดยทีมสหวิชาชีพ โรงพยาบาลบางละมุง พว.เนตรนภา ศรีสุริยจันทร์ , พญ.กรองแก้ว โตชัยวัฒน์, พญ.ศศิวรรณ นิตินัย, กภ.ณชธรรม อ่อนน้อม, พท.ป. วรรณภรณ์ ศิริเลิศ, กนอ.วิภาดา พร้อมพูนสุข, พว.สีฟ้า เวหะชาติ ความส าคัญของปัญหา การดูแลผู้ป่วยระยะกลาง (Intermediate care: IMC) ที่ผ่านพ้นระยะวิกฤตอาการคงที่แต่มีความ ผิดปกติของร่างกายบางส่วนมีข้อจ ากัดในกิจวัตรในชีวิตประจ าวัน ต้องได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์ จากทีมสหวิชาชีพ ผู้ป่วยจะสามารถฟื้นฟูกลับมาด ารงชีวิตอิสระในสังคมได้ตามศักยภาพ โรงพยาบาลบางละมุง ไม่มีระบบในการดูแลป่วยที่ส่งกลับจากโรงพยาบาลศูนย์ที่เพิ่มขึ้นในปีพ.ศ. 2561-63 จ านวน 46, 53, 67 คน ตามล าดับ ผู้ป่วยไม่เข้าถึงบริการฟื้นฟูในระยะ 6 เดือนแรกส่งผลให้เป็นผู้ป่วย Long term care เกิดความ พิการและเสียชีวิต ทีมสหวิชาชีพโรงพยาบาลบางละมุงได้พัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยฟื้นฟูระยะกลางตาม แนวคิดการดูแลแบบองค์รวม (Holistic care) ให้มีศักยภาพตามมาตรฐานโรงพยาบาลทั่วไประดับ S วัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยฟื้นฟูสภาพระยะกลางแบบองค์รวมโดยทีมสหวิชาชีพ วิธีการศึกษา ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติ (Action research) โดยแบ่งเป็น 3 ระยะ การทบทวนปัญหา พัฒนาระบบบริการตามมาตรฐานจัดบริการฟื้นฟูสภาพผู้ป่วยระยะกลาง และประเมินผล ผลการศึกษา ระบบการดูแลฟื้นฟูสภาพผู้ป่วยระยะกลางจ านวน 6 เตียง 1) เลือกกลุ่มโรค ผู้ป่วยโรคหลอด เลือดสมอง (Stroke) ผู้ป่วยบาดเจ็บทางศีรษะทางสมอง(TBI) ผู้ป่วยบาดเจ็บทางไขสันหลัง (SCI) ผู้ป่วยกระดูก สะโพกหักที่มีอายุ≥ 50 ปี (Hip Fracture) 2) จัดตั้งทีมสหวิชาชีพ พัฒนาสมรรถนะการฟื้นฟูสภาพตาม ม า ต ร ฐ าน ก าห น ดเ กณฑ์คั ด เ ข้ าBarthel Index < 15 แ ล ะ Barthel Index≥ 15 ร่ ว ม กับ Multiple Impairments 3) จัดรูปแบบบริการผู้ป่วยในจ านวน 14 วัน ได้รับการฟื้นฟูเฉลี่ยวันละ 3 ชั่วโมง ช่วงเช้า กายภาพบ าบัด 1.5 ชม. ช่วงบ่ายกิจกรรมบ าบัด 1.5 ชม. (ไม่รวมชั่วโมง Nursing care) กรณีผู้ป่วยที่ไม่ถึงคิวได้ เตียงให้บริการฟื้นฟูแบบผู้ป่วยนอก 45 นาที/ครั้งจ านวน 3 ครั้ง/สัปดาห์ (ภายใน 6 เดือน) โดยทีมสหวิชาชีพ และติดตามเยี่ยมบ้านจ านวน 2 ครั้ง/เดือน 4) จัดระบบส่งต่อโรงพยาบาลลูกข่ายทั้งรัฐและเอกชนจ านวน 5 แห่ง และรพ.สต. 12 แห่ง ให้บริการตามระบบที่พัฒนาในปีพ.ศ. 2564 -66 จ านวน 47, 96, 185 คนตามล าดับ อภิปรายผลการศึกษา ผลการดูแลผู้ป่วยระยะกลางหลังพัฒนาระบบ พบว่าผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์ได้รับการฟื้นฟู สมรรถภาพระยะกลาง ณ โรงพยาบาลบางละมุง ตั้งแต่ปี 2564-66 มีจ านวน Barthel Index (BI) ดีขึ้นอย่าง น้อย 1 ระดับหลังได้รับการฟื้นฟูและติดตามจนครบ 6 เดือน หรือค่า BI= 20 ร้อยละ 98.2 ผู้ป่วยพึงพอใจ บุคลากรทีมสหวิชาชีพมีความพึงพอใจร้อยละ 86.4, 85.7 ตามล าดับ สรุปและข้อเสนอแนะ การใช้เทคโนโลยีช่วยในการติดตามดูแลต่อเนื่องใน App line, โทรศัพท์, VDO call ของระบบบริการช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงทีมสหวิชาชีพช่วยให้ก าลังใจ ผู้ป่วยมีความมั่นใจในการดูแลตนเอง การน าผลงานไปใช้ประโยชน์มีระบบการดูแลฟื้นฟูสภาพผู้ป่วยระยะกลางที่มีคุณภาพโดยทีมสหวิชาชีพที่ ผู้ป่วยสามารถเข้าบริการที่ครอบคลุมทันเวลาและต่อเนื่องจนสามารถกลับไปด ารงชีวิตอิสระในสังคมได้ตาม ศักยภาพที่เหลืออยู่ 86
พัฒนาระบบการดูแลฟื้นฟูสภาพผู้ป่วยระยะกลางแบบองค์รวมโดยทีมสหวิชาชีพ โรงพยาบาลบางละมุง พว.เนตรนภา ศรีสุริยจันทร์ , พญ.กรองแก้ว โตชัยวัฒน์, พญ.ศศิวรรณ นิตินัย, กภ.ณชธรรม อ่อนน้อม, พท.ป. วรรณภรณ์ ศิริเลิศ, กนอ.วิภาดา พร้อมพูนสุข, พว.สีฟ้า เวหะชาติ ความส าคัญของปัญหา การดูแลผู้ป่วยระยะกลาง (Intermediate care: IMC) ที่ผ่านพ้นระยะวิกฤตอาการคงที่แต่มีความ ผิดปกติของร่างกายบางส่วนมีข้อจ ากัดในกิจวัตรในชีวิตประจ าวัน ต้องได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์ จากทีมสหวิชาชีพ ผู้ป่วยจะสามารถฟื้นฟูกลับมาด ารงชีวิตอิสระในสังคมได้ตามศักยภาพ โรงพยาบาลบางละมุง ไม่มีระบบในการดูแลป่วยที่ส่งกลับจากโรงพยาบาลศูนย์ที่เพิ่มขึ้นในปีพ.ศ. 2561-63 จ านวน 46, 53, 67 คน ตามล าดับ ผู้ป่วยไม่เข้าถึงบริการฟื้นฟูในระยะ 6 เดือนแรกส่งผลให้เป็นผู้ป่วย Long term care เกิดความ พิการและเสียชีวิต ทีมสหวิชาชีพโรงพยาบาลบางละมุงได้พัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยฟื้นฟูระยะกลางตาม แนวคิดการดูแลแบบองค์รวม (Holistic care) ให้มีศักยภาพตามมาตรฐานโรงพยาบาลทั่วไประดับ S วัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยฟื้นฟูสภาพระยะกลางแบบองค์รวมโดยทีมสหวิชาชีพ วิธีการศึกษา ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติ (Action research) โดยแบ่งเป็น 3 ระยะ การทบทวนปัญหา พัฒนาระบบบริการตามมาตรฐานจัดบริการฟื้นฟูสภาพผู้ป่วยระยะกลาง และประเมินผล ผลการศึกษา ระบบการดูแลฟื้นฟูสภาพผู้ป่วยระยะกลางจ านวน 6 เตียง 1) เลือกกลุ่มโรค ผู้ป่วยโรคหลอด เลือดสมอง (Stroke) ผู้ป่วยบาดเจ็บทางศีรษะทางสมอง(TBI) ผู้ป่วยบาดเจ็บทางไขสันหลัง (SCI) ผู้ป่วยกระดูก สะโพกหักที่มีอายุ≥ 50 ปี (Hip Fracture) 2) จัดตั้งทีมสหวิชาชีพ พัฒนาสมรรถนะการฟื้นฟูสภาพตาม ม า ต ร ฐ าน ก าห น ดเ กณฑ์คั ด เ ข้ าBarthel Index < 15 แ ล ะ Barthel Index≥ 15 ร่ ว ม กับ Multiple Impairments 3) จัดรูปแบบบริการผู้ป่วยในจ านวน 14 วัน ได้รับการฟื้นฟูเฉลี่ยวันละ 3 ชั่วโมง ช่วงเช้า กายภาพบ าบัด 1.5 ชม. ช่วงบ่ายกิจกรรมบ าบัด 1.5 ชม. (ไม่รวมชั่วโมง Nursing care) กรณีผู้ป่วยที่ไม่ถึงคิวได้ เตียงให้บริการฟื้นฟูแบบผู้ป่วยนอก 45 นาที/ครั้งจ านวน 3 ครั้ง/สัปดาห์ (ภายใน 6 เดือน) โดยทีมสหวิชาชีพ และติดตามเยี่ยมบ้านจ านวน 2 ครั้ง/เดือน 4) จัดระบบส่งต่อโรงพยาบาลลูกข่ายทั้งรัฐและเอกชนจ านวน 5 แห่ง และรพ.สต. 12 แห่ง ให้บริการตามระบบที่พัฒนาในปีพ.ศ. 2564 -66 จ านวน 47, 96, 185 คนตามล าดับ อภิปรายผลการศึกษา ผลการดูแลผู้ป่วยระยะกลางหลังพัฒนาระบบ พบว่าผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์ได้รับการฟื้นฟู สมรรถภาพระยะกลาง ณ โรงพยาบาลบางละมุง ตั้งแต่ปี 2564-66 มีจ านวน Barthel Index (BI) ดีขึ้นอย่าง น้อย 1 ระดับหลังได้รับการฟื้นฟูและติดตามจนครบ 6 เดือน หรือค่า BI= 20 ร้อยละ 98.2 ผู้ป่วยพึงพอใจ บุคลากรทีมสหวิชาชีพมีความพึงพอใจร้อยละ 86.4, 85.7 ตามล าดับ สรุปและข้อเสนอแนะ การใช้เทคโนโลยีช่วยในการติดตามดูแลต่อเนื่องใน App line, โทรศัพท์, VDO call ของระบบบริการช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงทีมสหวิชาชีพช่วยให้ก าลังใจ ผู้ป่วยมีความมั่นใจในการดูแลตนเอง การน าผลงานไปใช้ประโยชน์มีระบบการดูแลฟื้นฟูสภาพผู้ป่วยระยะกลางที่มีคุณภาพโดยทีมสหวิชาชีพที่ ผู้ป่วยสามารถเข้าบริการที่ครอบคลุมทันเวลาและต่อเนื่องจนสามารถกลับไปด ารงชีวิตอิสระในสังคมได้ตาม ศักยภาพที่เหลืออยู่ 87
การพยาบาลผู้ป่วยวัณโรคปอด ในทัณฑสถานหญิงชลบุรี สุพรรณี วิชกูล พว. บทคัดย่อ ความเป็นมาของปัญหา : วัณโรคปอดเป็นปัญหาด้านการสาธารณสุขของหลายประเทศทั่วโลก ประเทศไทย เป็น 1 ใน 14 ประเทศที่องค์การอนามัยโลกจัดเป็นกลุ่มประเทศที่มีภาระวัณโรคสูง จากข้อมูลองค์การอนามัย โลกได้คาดการณ์ปัญหาวัณโรคของประเทศไทย น่าจะมีผู้ป่วยวัณโรครายใหม่ทุกประเภท ปีละ 101,000 ราย (อุบัติการณ์ 143 ต่อแสนประชากร) วัณโรคเป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียสามารถติดต่อได้ด้วยระบบ ทางเดินหายใจและติดต่อจากคนสู่คน สถานการณ์วัณโรคประเทศไทยปี 2565 มีผู้ป่วยวัณโรครายใหม่ 103,000 รายต่อปี และมีการเสียชีวิตจากวัณโรคกว่า 12,000 รายต่อปี จังหวัดชลบุรีปี 2564-2565 พบผู้ป่วยวัณโรครายใหม่ขึ้นทะเบียนรายใหม่และกลับเป็นซ้้าทุกประเภทจ้านวน 1,919 และ 2,023 ราย อ้าเภอที่พบผู้ป่วยมากที่สุดคือ อ้าเภอเมืองชลบุรี จ้านวน 491 และ 536 ราย ตามล้าดับ ผู้ศึกษาในฐานะ พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบชุมชนทัณฑสถานหญิงชลบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่พิเศษ จึงมีความสนใจศึกษา การพยาบาลผู้ป่วยวัณโรคปอดในทัณฑสถานหญิงชลบุรี อ้าเภอเมืองชลบุรี เพื่อพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยวัณ โรคปอดตั้งแต่การคัดกรองก่อนรับเข้าเรือนจ้า การตรวจยืนยัน การขึ้นทะเบียนรักษา การจ้าหน่ายหลังรักษา หาย การส่งต่อหรือการติดตามเมื่อผู้ป่วยได้รับการอภัยโทษก่อนรักษาหาย การควบคุมป้องกันการแพร่กระจาย เชื้อในทัณฑสถานหญิงชลบุรี วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษากรณีคึกษาวัณโรคปอดในทัณฑสถานหญิงชลบุรี ตั้งแต่การคัดกรองการค้นหาผู้ป่วย วัณโรค การรักษา การพยาบาล การป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ การเฝ้าระวังวัณโรค ในทัณฑสถานหญิง ชลบุรี วิธีการศึกษา : ศึกษารายกรณีคัดเลือกผู้ป่วยแบบเจาะจง 1 ราย ติดตามเก็บข้อมูลย้อนหลังจากเอกสาร เวชระเบียนผู้ป่วย ผลการศึกษา : การศึกษานี้เป็นการพยาบาลรายกรณี (Case study) เป็นผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 30 ปี พื้นเพเดิม เป็นชาวจังหวัดสมุทรปราการ ถูกจับกุมด้วยคดี ยาเสพติด ศาลพิพากษาให้จ้าคุก 4 ปี หลังจ้าคุกที่เรือนจ้ากลาง สมุทรปราการได้ 7 เดือน ถูกส่งตัวมาจากเรือนจ้ากลางสมุทรปราการมาที่ทัณฑสถานหญิงชลบุรี เพื่อลดปัญหา ความแออัด แรกรับเข้าทัณฑสถานหญิงชลบุรี ได้รับการคัดกรองวัณโรคตามมาตรฐาน ผลเอกเรย์ปอดพบ เป็น วัณโรคปอด จึงส่ง consult แพทย์ คลินิกวัณโรค โรงพยาบาลชลบุรี เพื่อท้าการรักษา ได้รับยาสูตร 1 (2HRZE/4HR) หลังการรักษา 1 เดือนผลการตรวจเสมหะและเอกเรย์ปอดไม่พบเชื้อวัณโรค รวมระยะเวลา การรักษาต่อเนื่อง เสร็จสิ้น 26 สัปดาห์ ผลการตรวจเสมหะและเอกเรย์ปอดไม่พบเชื้อ สภาพร่างกายแข็งแรง ขึ้น น้้าหนักตัวเพิ่มขึ้นจาก 64.50 กิโลกรัม เพิ่มขึ้นเป็น 74.80 กิโลกรัม ไม่พบการแพร่กระจายเชื้อในกลุ่ม ผู้ต้องขังรายเก่าในทัณฑสถานหญิงชลบุรี แต่ยังพบผู้ป่วยวัณโรครายใหม่ ในการคัดกรองผู้ต้องขังรายใหม่ 1 ราย ค าส าคัญ : การพยาบาล, วัณโรคปอด, ทัณฑสถาน, กรณีศึกษา พยาบาลวิชาชีพช้านาญการ โรงพยาบาลชลบุรี 88
การพยาบาลผู้ป่วยวัณโรคปอด ในทัณฑสถานหญิงชลบุรี สุพรรณี วิชกูล พว. ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา วัณโรคปอดเป็นปัญหาด้านการสาธารณสุขของหลายประเทศทั่วโลก ประเทศไทยเป็น 1 ใน 14 ประเทศที่องค์การอนามัยโลกจัดเป็นกลุ่มประเทศที่มีภาระวัณโรคสูง 1 จากข้อมูลองค์การอนามัยโลกได้ คาดการณ์ปัญหาวัณโรคของประเทศไทย น่าจะมีผู้ป่วยวัณโรครายใหม่ทุกประเภท ปีละ 101,000 ราย (อุบัติการณ์ 143 ต่อแสนประชากร) พบผู้ป่วยวัณโรคที่มีการติดเชื้อเอชไอวีร่วมด้วย 15,000 ราย เสียชีวิตปี ละ 7,400 ราย และคาดประมาณปัญหาวัณโรคดื้อยาหลายขนานปีละ 1,100 ราย2 วัณโรคเป็นโรคติดต่อที่ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียสามารถติดต่อได้ด้วยระบบทางเดินหายใจและติดต่อจากคนสู่คน พบได้ทั่วไปแต่จะพบ มากที่สุดในกลุ่มเสี่ยงที่อยู่บ้านเดียวกับผู้ป่วย ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้สูงอายุที่อายุมากกว่า 65 ปีที่สูบบุหรี่ หรือโรค ปอดอุดกั้นเรื้อรังร่วมกับโรคเบาหวาน ผู้ป่วยเบาหวาน โรคไตเรื้อรังที่รับยากดภูมิคุ้มกัน โรคปอดฝุ่นหิน ประชากรกลุ่มเสี่ยงและด้อยโอกาส เช่น ชุมชนแออัด นักโทษในเรือนจ า สถานสงเคราะห์ บ้านพักคนพิการ คน ไร้ที่พึ่ง ผู้ใช้สารเสพติด แรงงานต่างด้าว และบุคลากรสาธารณสุข3 ส าหรับสถานการณ์วัณโรคประเทศไทยปี 25654 มีผู้ป่วยวัณโรครายใหม่ 103,000 ราย และมีการ เสียชีวิตจากวัณโรคกว่า 12,000 ราย จังหวัดชลบุรีปี 2564-2565 พบผู้ป่วยวัณโรครายใหม่ขึ้นทะเบียน รายใหม่และกลับเป็นซ้ าทุกประเภทจ านวน 1,919 และ 2,023 ราย อ าเภอที่พบผู้ป่วยมากที่สุดคือ อ าเภอ เมืองชลบุรี จ านวน 491 และ 536 ราย ตามล าดับ และจากสถิติของโรงพยาบาลชลบุรี ที่เป็นโรงพยาบาลแม่ ข่ายของทัณฑสถานหญิงชลบุรี พบว่ามีผู้ต้องขังเข้ารับรักษาและขึ้นทะเบียนเป็นผู้ป่วยวัณโรคทุกปี จากสถิติการ ขึ้นทะเบียน ปี 2563-2565 พบว่าผู้ต้องขังติดเชื้อวัณโรค 2, 2 และ 2 คน ตามล าดับ อุบัติการณ์ประมาณ 133.33 ต่อแสนประชากร การมีข้อจ ากัดของที่พักอาศัย สิ่งแวดล้อม การดูแลด้านสุขอนามัยและระบบการ ดูแลรักษาวัณโรค ผู้ศึกษาในฐานะพยาบาลวิชาชีพปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบชุมชนทัณฑสถานหญิงชลบุรี ซึ่งเป็น พื้นที่พิเศษเนื่องจากถือเป็นกลุ่มเปราะบาง ภายใต้การดูแลของโรงพยาบาลแม่ข่าย คือ โรงพยาบาลศูนย์ชลบุรี มีความสนใจศึกษาการพยาบาลผู้ป่วยวัณโรคปอด ในทัณฑสถานหญิงชลบุรี อ าเภอเมืองชลบุรี เพื่อพัฒนาระบบ การดูแลผู้ป่วยวัณโรคปอดตั้งแต่การคัดกรองก่อนรับเข้าเรือนจ า การตรวจยืนยัน การขึ้นทะเบียนรักษา การ จ าหน่ายหลังรักษาหาย การส่งต่อหรือการติดตามเมื่อผู้ป่วยได้รับการอภัยโทษก่อนรักษาหาย การควบคุม ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อในทัณฑสถานหญิงชลบุรี วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษากรณีคึกษาวัณโรคปอดในทัณฑสถานหญิงชลบุรี ตั้งแต่การคัดกรองการค้นหาผู้ป่วยวัณโรค การรักษา การพยาบาล การป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ เฝ้าระวังวัณโรค ในทัณฑสถานหญิงชลบุรี วิธีการศึกษา 1. คัดเลือกกรณีศึกษา อธิบายวัตถุประสงค์การศึกษา วิธีการ ขั้นตอน การศึกษา ชี้แจงแนวทางการ ปกป้องข้อมูลกับผู้ป่วย ในประเด็น การไม่ระบุชื่อผู้ป่วย ผู้ป่วยมีสิทธิปฏิเสธหรือขอถอนตัวจากการศึกษาได้ ตลอดเวลา โดยไม่มีผลต่อการรักษาพยาบาล 2. ขออนุญาตทัณฑสถานหญิง จังหวัดชลบุรี เพื่อท าการศึกษากรณีศึกษา 3. ทบทวนวรรณกรรม งานวิจัย ที่เกี่ยวข้อง 4. ศึกษากรณีศึกษาผู้ป่วยวัณโรค เทียบกับมาตรฐานการพยาบาลชุมชน 5. สรุปและอภิปรายผล พยาบาลวิชาชีพช านาญการ โรงพยาบาลชลบุรี 89
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลผู้ป่วยจากเวชระเบียนผู้ป่วย การซักประวัติผู้ป่วย และญาติ การสังเกต การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบ แบบแผนสุขภาพพยาธิสภาพ อาการและอาการแสดงของ ผู้ป่วยวัณโรคปอด ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล ระยะเวลา ช่วงเดือน มีนาคม พ.ศ. 2565 ถึงเดือน ตุลาคม พ.ศ. 2565 จ านวน 1 ราย ดังรายละเอียดต่อไปนี้ ผลการศึกษา : กรณีศึกษาผู้ป่วยรายนี้ หญิงไทย อายุ 30 ปี พื้นเพเดิมเป็นชาวจังหวัดสมุทรปราการ ถูกจับกุมด้วยคดี ยาเสพติด ศาลพิพากษาให้จ าคุก 4 ปี หลังจ าคุกที่เรือนจ ากลางสมุทรปราการได้ 7 เดือน ถูกส่งตัวมาจาก เรือนจ ากลางสมุทรปราการมาที่ทัณฑสถานหญิงชลบุรี เพื่อลดปัญหาความแออัด แรกรับเข้าทัณฑสถานหญิง ชลบุรี ได้รับการคัดกรองวัณโรคตามมาตรฐาน ผลเอกเรย์ปอดพบ เป็นวัณโรคปอด จึงส่ง consult แพทย์ คลินิกวัณโรค โรงพยาบาลชลบุรี เพื่อท าการรักษา ได้รับยาสูตร 1 (2HRZE/4HR) ระยะเวลา 6 เดือน ผู้ศึกษา ได้ให้การพยาบาลผู้ป่วย จากการประเมินภาวะสุขภาพและวิเคราะห์ปัญหาสุขภาพของผู้ป่วย สามารถสรุป วินิจฉัยทางการพยาบาลของผู้ป่วยรายนี้ได้แก่สามารถสรุปวินิจฉัยทางการพยาบาลของผู้ป่วยรายนี้ทั้งหมด 5 ขอ ได้แก่ 1) เสี่ยงตอการแพรกระจายเชื้อวัณโรคปอดเนื่องจากอยูในระยะแพรกระจายเชื้อ (Active TB) 2) การแลกเปลี่ยนก๊าซในปอดลดลงเนื่องจากการหายใจไม่มีประสิทธิภาพสัมพันธ์กับพยาธิสภาพของวัณโรคปอด 3) มีภาวะไม่สมดุลของสารอาหาร สารน้ า และเกลือแรในร่างกาย : ไม่เพียงพอกับความตองการของร่างกาย 4) เสี่ยงต่อภาวะน้ าตาลในเลือดสูง-ต่ า 5) ความสามารถในการท ากิจวัตรประจ าวันลดลงเนื่องจากเหนื่อยออน เพลียและ 6) ไม่สุขสบาย : ไอ เหนื่อย อภิปรายผลการศึกษา ผลลัพธ์ที่ได้ภายหลังให้การพยาบาลผู้ป่วยวัณโรคหลังจ าหน่ายออกจากโรงพยาบาลรายนี้โดย ประยุกต์ใช้ทฤษฎีการพยาบาลของ โอเร็ม ซึ่งสามารถใช้ทฤษฎีการพยาบาลทั้งในระดับบุคคลและในระดับ ชุมชน ในระดับบุคคล พบว่า ผู้ป่วยรับรู้ว่าตนเองมีความพร่องในการดูแลตนเอง จ าเป็นต้องได้รับความ ช่วยเหลือ จากพยาบาลวิชาชีพและอาสาสมัครสาธารณสุขเรือนจ า ทั้งนี้เมื่อผู้ป่วยได้พยายามปรับตัว การ รับประทานยาต่อเนื่อง เรียนรู้ผลข้างเคียงของยา การรับรู้อาการผิดปกติที่เกิดขึ้น การพักผ่อน และการดูแล สุขภาพจิตของตนเองให้ถูกต้องเหมาะสม หลังได้รับการดูแลในระยะ 1 เดือนแรก ผลตรวจเสมหะ ไม่พบเชื้อ เอกเรย์ปอด ปกติ แต่น้ าหนักตัวยังลดลง 2.5 กก เมื่อครบสองเดือน ผลตรวจเสมหะ ไม่พบเชื้อ เอกเรย์ปอด ปกติ น้ าหนักเพิ่มขึ้น 7 กิโลกรัม ผลการรักษาวัณโรคปอดเสร็จสิ้น รวมระยะเวลาการรักษาเสร็จสิ้น 26 สัปดาห์ (26 มีนาคม – 26 กันยายน 2565) ในระดับชุมชน พบว่า ทัณฑสถานหญิงชลบุรี มีอัตราป่วยของ ประชากร ด้วยวัณโรคปอด ซึ่งเป็นโรคติดต่อระบบทางเดินหายใจ ประกอบกับ สภาพแวดล้อมที่พักอาศัย การ นอนมีความแออัด มีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อ ประยุกต์ใช้ระบบสนับสนุนและให้ ความรู้ ด้วยการ ชี้แนะให้แนวทางการจัดห้องแยกส าหรับผู้ป่วยวัณโรค การจัดการขยะติดเชื้อ การดูแลสิ่งแวดล้อมที่นอน ผู้ต้องขังทั่วไป การจัดระบบคัดกรองด้วยวาจาและการเอกเรย์ปอดผู้ต้องขังแรกรับและทุก 6 เดือน ผู้ป่วย และทัณฑสถานหญิงชลบุรี จึงต้องได้รับความช่วยเหลือจากพยาบาลเพื่อแก้ไข ข้อบกพร่อง ด้วยวิธีกระท าให้ การชี้แนะ การสอน การสนับสนุน และส่งเสริมผู้ป่วย ผู้ต้องขังอื่น ๆ กลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขเรือนจ าในการ เฝ้าระวัง เพื่อรักษาไว้ซึ่งภาวะสุขภาพ ความผาสุกและคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ต้องขัง สรุปและข้อเสนอแนะ โรงพยาบาลชลบุรี เป็นโรงพยาบาลศูนย์ที่เป็นแม่ข่ายในการดูแลหน่วยบริการปฐมภูมิในเขตอ าเภอ เมือง รวมถึงทัณฑสถานหญิงชลบุรี ซึ่งเป็นหน่วยบริการกลุ่มพิเศษเฉพาะ (กลุ่มเปราะบาง) ซึ่งมีความเสี่ยงต่อ การติดเชื้อวัณโรคที่ต้องให้การดูแล โดยกลุ่มงานเวชกรรมสังคมได้จัดบริการตามแนวคิดแพทย์เวชศาสตร์ 90
ครอบครัว จัดแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว พยาบาลชุมชน และทีมสหสาขาในการร่วมจัดบริการ เช่นเดียวกับ หน่วยบริการปฐมภูมิในเครือข่าย และพบว่า ทัณฑสถานหญิงชลบุรี แม้จะมีความจุผู้ต้องขังได้ไม่เกิน 1,500 ราย แต่ก็สามารถค้นหาผู้ป่วยวัณโรครายใหม่ได้ทุกปี และเข้าสู่ระบบการรักษาของคลินิกวัณโรคของ โรงพยาบาลชลบุรี ร้อยละ 100 อัตราการรักษาส าเร็จของการรักษา ร้อยละ 100 เช่นกัน เนื่องจาก สถานพยาบาลของทัณฑสถานหญิงชลบุรี ได้จัดให้มีห้องแยกระหว่างที่มีการแพร่เชื้อ การกินยาด้วยระบบ DOTS (Directly Observed Therapy-Short Course) การสนับสนุนด้านอาหารและส่งเสริมสิ่งแวดล้อม สุขอนามัยที่ดี ผู้ป่วยจึงสามารถดูแลตนเองได้มีสภาพร่างกายแข็งแรง ส่งผลให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้นการที่พยาบาลสามารถประเมินเพื่อค้นหาความบกพร่องและให้การพยาบาลเพื่อให้ผู้ป่วยมีความสามารถ ดูแลสุขภาพที่บกพร่องได้ด้วยตนเอง ร่วมกับการประสานทีมสุขภาพ การพัฒนาความสามารถกลุ่มอาสาสมัคร สาธารณสุขเรือนจ า เจ้าหน้าที่ ในการดูแลรักษาและการส่งต่อเพื่อการดูแลต่อเนื่องจะท าให้ผู้ป่วยหายขาดจาก โรคได้ตามเป้าหมายป้องกันการเกิดวัณโรคดื้อยาหลายขนานได้การเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ในทัณฑสถานหญิงชลบุรี เป็นการลดอัตราการติดเชื้อรายใหม่และ ท าให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยวัณโรค และ กลุ่มผู้ต้องขังมีและประเทศดีขึ้น การน าไปใช้ประโยชน์ 1. น าเสนอทีมผู้บริหารทัณฑสถานหญิงชลบุรีและผู้บริหารโรงพยาบาลชลบุรี กลุ่มงานอายุกรรม กลุ่มงานเวชกรรมสังคม กลุ่มงานการพยาบาล ในการวางแผนออกแบบระบบการคัดกรองค้นหาผู้ป่วยวัณโรค รายใหม่ ระบบการรักษาตามมาตรฐานและการส่งต่อ การควบคุมป้องกันวัณโรคปอดในทัณฑสถานหญิงชลบุรี 2. ควรมีการจัดอบรมให้ความรู้ ให้แก่เจ้าหน้าที่ อาสาสมัครสาธารณสุขเรือนจ าและผู้ต้องขังภายใน เรือนจ า เรื่อง วัณโรคปอด อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สังเกตอาการตนเองหรือผู้ต้องขังใกล้ชิดที่มีอาการหรือกลุ่ม เสี่ยงได้ นอกจากนี้อาสาสมัครสาธารณสุขเรือนจ าที่ดูแลผู้ป่วยใกล้ชิด ต้องได้รับการส่งเสริมความรู้ในการให้ยา แบบ DOT การใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเอง 3. ควรมีการดูแลความสะอาดเรือนนอน อย่างสม่ าเสมอ และเว้นระยะห่างที่นอนตามมาตรฐาน 4. เมื่อพบผู้ต้องขังที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคติดต่อ ให้ท าความเข้าใจกับผู้ต้องขังและขอแยกกัก และประสานงานเพื่อท าการตรวจยืนยันอย่างรวดเร็ว สนับสนุนการใช้อุปกรณ์ป้องกัน เช่น หน้ากากอนามัย ถุงมือ เจลล้างมือ ในการดูแลตนเองและการป้องกันในเจ้าที่ อาสาสมัครสาธารณสุขเรือนจ า 5. ไม่เคลื่อนย้ายผู้ต้องขังข้ามแดนไป-มา ผู้ต้องขังที่ต้องท างานการประสานงานหลายแห่ง ต้องปฏิบัติ ตนเองในการป้องกันการแพร่กระจายเชื้ออย่างเคร่งครัด เอกสารอ้างอิง 1. World Health Organization [WHO]. Global Tuberculosis Control 2022 [online] 2022. [cited 2023 Jan 25]. Available form: http://www.who.int/tb/publications/global_report/. 2. ส านักวัณโรค กรมควบคุมโรค. แนวทางการควบคุมวัณโรคประเทศไทย พ.ศ.2564. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพมหานคร: อักษรกราฟฟิคแอนด์ดีไซน์; 2564. 3. กองวัณโรค กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. (2563). คู่มือการประเมินคุณภาพการป้องกันและ รักษาวัณโรคในเรือนจ า (Assessment for Quality of Tuberculosis Prevention and Care in Prison: QTBP). พิมพ์ครั้งที่ . กรุงเทพมหานคร: อักษรกราฟฟิคแอนด์ดีไซน์. 2563. 4. ส านักงานสาธารณสุขจังหวัดชลบุรี. (2565). รายงานสถานการณ์โรคติดต่อในจังหวัดชลบุรี 2565 [ออนไลน์] 2565. [cited 2023 Jan 25]. Available form: http://www.cbo.moph.go.th/cbo/ index.php/post-formats/2017-12-21-03-52-19/2565-2/65?download=1310:5. 91
ประสิทธิภาพและความปลอดภัยของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านสุขภาพในระบบกระจายยาผู้ป่วยใน โรงพยาบาลชลบุรี จิตชานันทน์ อภิญชญาภัฏฐ์, ภบ. กลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลชลบุรี บทนำ: ปัจจุบันได้มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศทางสุขภาพ รวมถึงระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้แทนมนุษย์ที่มีความ เหนื่อยล้า หลงลืม โดยคาดหวังความสามารถในการเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัย โดยเฉพาะในระบบ สาธารณสุขที่ต้องการความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นสำคัญ สำหรับโรงพยาบาลชลบุรีได้มีการนำเทคโนโลยี สารสนเทศด้านสุขภาพมาใช้เพื่อแก้ปัญหาความคลาดเคลื่อนทางยาและพัฒนาความปลอดภัยด้านยาของ โรงพยาบาลในทุกขั้นตอนของกระบวนการกระจายยาได้แก่ ตั้งแต่ สั่งยาผ่านคอมพิวเตอร์โดยตรง หรือ Computerized Physician Order Entry; CPOE การใช้เครื่องจัดยาอัตโนมัติในการจัดยาสำหรับผู้ป่วยใน การ บริหารยาโดยใช้เทคโนโลยีบาร์โค้ด หรือ Bar Code Medication Administration (BCMA) ซึ่งผู้วิจัยจึงมีแนวคิดที่ จะทำการศึกษาเพื่อประเมินประสิทธิภาพของการนำเทคโนโลยีสารสนเทศด้านสุขภาพมาใช้ในกระบวนการใช้ยา ดังกล่าว วัตถุประสงค์: เพื่อประเมินประสิทธิภาพและความปลอดภัยของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านสุขภาพในระบบ กระจายยาสำหรับผู้ป่วยใน โรงพยาบาลชลบุรี วิธีการศึกษา: การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบย้อนหลัง (Retrospective Analytic Studies Design) แบบ 2 กลุ่มเปรียบเทียบ โดยเก็บข้อมูลเปรียบเทียบระหว่างก่อน-หลัง การนำเทคโนโลยีสารสนเทศด้านสุขภาพมา ใช้เพื่อแก้ปัญหาในระบบกระจายยาผู้ป่วยใน ได้แก่ การใช้ระบบสั่งยาผ่านระบบ CPOE การจัดยาโดยระบบ อัตโนมัติ และการบริหารยาผ่านบาร์โค้ด วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณาได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย เกณฑ์มาตรฐาน และสถิติอนุมาน Wilcoxon match-pairs Signed-rank test ผลการศึกษา: การสั่งยาผ่านระบบ CPOE สามารถลดเวลาเฉลี่ยลงได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p< 0.05)ในทุก ขั้นตอน ดังนี้ เวลาตั้งแต่แพทย์สั่งใช้ยาจนถึงผู้ป่วยได้รับยาเร่งด่วนลดลงจาก 105 นาที เหลือ 20 นาที และ จำนวนผู้ป่วยได้รับยาภายในเวลามาตรฐานที่กำหนดคือ 30 นาที เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p< 0.05)จาก ร้อยละ 10.36 เป็นร้อยละ 85.76 และสามารถลดความคลาดเคลื่อนทางยาประเภท Transcribing error ได้ 100% การจัดและจ่ายยาโดยระบบการจัดยาอัตโนมัติ พบว่าเพิ่มขั้นตอนและเวลาในกระบวนการจัดยา 12.4 % ลดขั้นตอนและเวลาในกระบวนการบริหารยาชนิดเม็ดลดลง 15.1% สำหรับการบริหารยาโดยใช้ระบบ EMAR และ 55.4% สำหรับการบริหารยาผ่าน EMAR และ BCMA ลดPre-dispensing error 93.0% Administration error ลดลง 36.3% การบริหารยา โดยใช้ระบบ BCMA สามารถลดเวลาในกระบวนการบริหารยาได้ 40.3% และไม่พบ Administration error ประเภท ให้ยาผิดคนและผิดชนิด พบ Administration error ประเภทให้ยาไม่ ตรงเวลาเพิ่มขึ้น 15.6% สรุปผล: การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านสุขภาพในระบบกระจายยาสำหรับผู้ป่วยในโรงพยาบาลชลบุรีสามารถ เพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยให้กับผู้ป่วย โดยลดความคลาดเคลื่อนทางยาและลดระยะเวลาโดยรวม รวมทั้งดักจับและรายงานความคลาดเคลื่อนได้มากขึ้น คำสำคัญ เทคโนโลยีสารสนเทศด้านสุขภาพ ความปลอดภัยด้านยา ระบบกระจายยาผู้ป่วยใน 92
ประสิทธิภาพและความปลอดภัยของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านสุขภาพในระบบกระจายยาผู้ป่วยใน โรงพยาบาลชลบุรี จิตชานันทน์ อภิญชญาภัฏฐ์, ภบ. กลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลชลบุรี บทนำ: ปัจจุบันได้มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศทางสุขภาพ รวมถึงระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้แทนมนุษย์ที่มีความ เหนื่อยล้า หลงลืม โดยคาดหวังความสามารถในการเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัย โดยเฉพาะในระบบ สาธารณสุขที่ต้องการความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นสำคัญ สำหรับโรงพยาบาลชลบุรีได้มีการนำเทคโนโลยี สารสนเทศด้านสุขภาพมาใช้เพื่อแก้ปัญหาความคลาดเคลื่อนทางยาและพัฒนาความปลอดภัยด้านยาของ โรงพยาบาลในทุกขั้นตอนของกระบวนการกระจายยาได้แก่ ตั้งแต่ สั่งยาผ่านคอมพิวเตอร์โดยตรง หรือ Computerized Physician Order Entry; CPOE การใช้เครื่องจัดยาอัตโนมัติในการจัดยาสำหรับผู้ป่วยใน การ บริหารยาโดยใช้เทคโนโลยีบาร์โค้ด หรือ Bar Code Medication Administration (BCMA) ซึ่งผู้วิจัยจึงมีแนวคิดที่ จะทำการศึกษาเพื่อประเมินประสิทธิภาพของการนำเทคโนโลยีสารสนเทศด้านสุขภาพมาใช้ในกระบวนการใช้ยา ดังกล่าว วัตถุประสงค์: เพื่อประเมินประสิทธิภาพและความปลอดภัยของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านสุขภาพในระบบ กระจายยาสำหรับผู้ป่วยใน โรงพยาบาลชลบุรี วิธีการศึกษา: การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบย้อนหลัง (Retrospective Analytic Studies Design) แบบ 2 กลุ่มเปรียบเทียบ โดยเก็บข้อมูลเปรียบเทียบระหว่างก่อน-หลัง การนำเทคโนโลยีสารสนเทศด้านสุขภาพมา ใช้เพื่อแก้ปัญหาในระบบกระจายยาผู้ป่วยใน ได้แก่ การใช้ระบบสั่งยาผ่านระบบ CPOE การจัดยาโดยระบบ อัตโนมัติ และการบริหารยาผ่านบาร์โค้ด วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณาได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย เกณฑ์มาตรฐาน และสถิติอนุมาน Wilcoxon match-pairs Signed-rank test ผลการศึกษา: การสั่งยาผ่านระบบ CPOE สามารถลดเวลาเฉลี่ยลงได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p< 0.05)ในทุก ขั้นตอน ดังนี้ เวลาตั้งแต่แพทย์สั่งใช้ยาจนถึงผู้ป่วยได้รับยาเร่งด่วนลดลงจาก 105 นาที เหลือ 20 นาที และ จำนวนผู้ป่วยได้รับยาภายในเวลามาตรฐานที่กำหนดคือ 30 นาที เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p< 0.05)จาก ร้อยละ 10.36 เป็นร้อยละ 85.76 และสามารถลดความคลาดเคลื่อนทางยาประเภท Transcribing error ได้ 100% การจัดและจ่ายยาโดยระบบการจัดยาอัตโนมัติ พบว่าเพิ่มขั้นตอนและเวลาในกระบวนการจัดยา 12.4 % ลดขั้นตอนและเวลาในกระบวนการบริหารยาชนิดเม็ดลดลง 15.1% สำหรับการบริหารยาโดยใช้ระบบ EMAR และ 55.4% สำหรับการบริหารยาผ่าน EMAR และ BCMA ลดPre-dispensing error 93.0% Administration error ลดลง 36.3% การบริหารยา โดยใช้ระบบ BCMA สามารถลดเวลาในกระบวนการบริหารยาได้ 40.3% และไม่พบ Administration error ประเภท ให้ยาผิดคนและผิดชนิด พบ Administration error ประเภทให้ยาไม่ ตรงเวลาเพิ่มขึ้น 15.6% สรุปผล: การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านสุขภาพในระบบกระจายยาสำหรับผู้ป่วยในโรงพยาบาลชลบุรีสามารถ เพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยให้กับผู้ป่วย โดยลดความคลาดเคลื่อนทางยาและลดระยะเวลาโดยรวม รวมทั้งดักจับและรายงานความคลาดเคลื่อนได้มากขึ้น คำสำคัญ เทคโนโลยีสารสนเทศด้านสุขภาพ ความปลอดภัยด้านยา ระบบกระจายยาผู้ป่วยใน 93
ชื่อ แนวทางการส่งต่อผู้ป่วยบ่อไร่- สำรูด ผู้คิดค้น : นางสุรีย์พร โตสติ ตำแหน่ง พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ หน่วยงาน แผนกอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลบ่อไร่ ตำบลบ่อพลอย อำเภอบ่อไร่ จังหวัดตราด บทคัดย่อ จากปัญหาระบบการส่งต่อชายแดนบ่อไร่ - สำรูด ตั้งแต่ปี 2565-2566 ที่เกิดขึ้นพบปัจจัยส่วนหนึ่ง เกิดจากวัฒนธรรม ภาษา และการศึกษาและพื้นที่ที่ต่างกัน ทำให้ยังพบปัญหาเรื่องของการสื่อสาร การใช้ เทคโนโลยี ที่ต้องใช้ช่องทางในการสื่อสารที่ต่างกัน ทำให้ พบผู้ป่วย 2 ราย เป็นผู้ป่วยอุบัติเหตุไม่ได้รับการ แก้ไขภาวะคุกคามชีวิตเบื้องต้น ทำให้ผู้ป่วยมีอาการทรุดลง เกิดภาวะพิการได้ จึงต้องมีการประชุมชี้แจง วัตถุประสงค์ของการให้บริการส่งต่อผู้ป่วยชายแดนบ่อไร่-สำรูดให้เกิดกระบวนการส่งต่อที่มีคุณภาพทางด้าน ความปลอดภัยของผู้ป่วย หรือลดภาวะแทรกซ้อนและพิการให้มากที่สุด โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1.เพื่อให้มี ระบบการส่งต่อตามมาตรฐาน และแนวทางเดียวกันทั้งอำเภอบ่อไร่-สำรูด 2. ผู้ป่วยได้รับความปลอดภัย และ แก้ไขภาวะฉุกเฉินเบื้องต้นตามมาตรฐาน 3.โรงพยาบาลปลายทาง มีการเตรียมพร้อมรับผู้ป่วยฉุกเฉินที่เกิน ความสามารถของโรงพยาบาลชุมชน โดยเกิดกระบวนการทำงานดังนี้ นำเรียนผู้บริหารทุกหน่วยงานของ อำเภอบ่อไร่ที่เกี่ยวข้อง ในกันประชุมชี้แจ้งและหาแนวทางแก้ไข เริ่มมีกระบวนการตั้งแต่ ไปร่วมประชุมชี้แจง ข้อดี ข้อเสียของการทำระบบการส่งต่อบ่อไร่-สำรูด ในพื้นที่ของ สำรูด ให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องของสำรูด รับทราบ พบช่องทางการสื่อสารเดิม เป็นกรุ๊ปไลน์ แต่พบทีมบุคลากรของสำรูดส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้ช่องทางนี้ จึงเปลี่ยนมาใช้ SMS ใน Fb ในกรณีแจ้งชื่อ อาการผู้ป่วยให้ผู้ปฏิบัติงานรับทราบและผู้บริหารรับทราบข้อมูล ที่จะส่งต่อมาโรงพยาบาลบ่อไร่ ซี่งกลุ่มที่ใช้ช่องทางนี้จะเป็นกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการไม่คงที่ หลังจากมีการดำเนินการใช้ระบบการส่งต่อของ Flow นี้ พบปัญหาผู้ป่วย ที่ walk In แต่ผ่านด่าน ทหารเนิน 400 เป็นผู้ป่วยอุบัติเหตุ 1 วัน ได้รับการรักษา ที่โรงพยาบาลสำรูด มีความประสงค์ จะมาผ่าตัด สมองที่โรงพยาบาลตราด ซึ่งผ่านทางบุคลากรเนิน 400 ประเมินผู้ป่วยว่าสามารถเดินทางไปโรงพยาบาล ตราดได้โดยไม่ต้องผ่านโรงพยาบาลบ่อไร่ จึงนำส่งโดยรถกองร้อยของทหาร เมื่อไปถึงโรงพยาบาลตราดพบ ผู้ป่วย ไม่มีชีพจร และได้ทำการ ช่วยฟื้นคืนชีพ พบผู้ป่วยกลับมามีชีพจร แต่หลังจากผู้ป่วยกลับมามีชีพจร และได้ทำการรักษาพบผู้ป่วย เป็นผู้ป่วย Bed Ridden c Hopeless ดังนั้นจึงได้มีการกลับมาทบทวนกันอีกครั้งในประเด็นการ Walk In เดิมสามารถเดินทางไปโรงพยาบาล ตราด โรงพยาบาลกรุงเทพตราด โรงพยาบาลบ่อไร่ และ รพใสตทุกแห่งได้ ให้เหลือเฉพาะผ่าน รพ.สต บ้าน ม่วง โดย รพ.สต บ้านมะม่วงจะเป็นผู้ประเมินผู้ป่วย โดยผ่านการโทรประสานของทหาร จุดเนิน 400 และเมื่อ พบผู้ป่วยอาการไม่คงที่ หรือมีภาวะฉุกเฉิน ให้โทรConsult โรงพยาบาลบ่อไร่ ออกรับผู้ป่วยโดยใช้การทำ เนินการแบบ EMS 94
สรุปสาระสำคัญ แนวทางการส่งต่อผู้ป่วยบ่อไร่- สำรูด ผู้คิดค้น : นางสุรีย์พร โตสติ ตำแหน่ง พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ หน่วยงาน แผนกอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลบ่อไร่ ตำบลบ่อพลอย อำเภอบ่อไร่ จังหวัดตราด ความสำคัญของปัญหา ในปี พ.ศ 2560 โรงพยาบาล บ่อไร่ ร่วมกับ คป.สอ บ่อไร่ มีนโนบายที่จะพัฒนาพื้นที่ รอยต่อชายแดนให้มี แนวทางการส่งต่อผู้ป่วย ที่ทำให้ผู้ป่วยปลอดภัย และรวดเร็วในกลุ่มผู้ป่วยโรคสำคัญ เช่น STEMI , Stroke ,Head Injury, Trauma จากการเก็บข้อมูล ผู้ป่วยที่เข้ามาจากชายแดนรักษาตัวใน โรงพยาบาลบ่อไร่ ทั้งที่ ซื้อบัตรประกันสุขภาพ และที่ไม่ได้ซื้อบัตรประกันสุขภาพ ซึ่งพบว่าระยะเวลา 3 ปี ที่ผ่านมา มีผู้ป่วย Trauma 2 ราย และผู้ป่วย Stroke 1 ราย จึงมีแนวทางเพื่อที่จะรองรับผู้ป่วยที่มีภาวะฉุกเฉิน และมุ่งที่จะดูแลผู้ป่วย ชายแดนระดับประเทศตามวิสัยทัศน์ที่ตั้งกันไว้ โดย มีการ ไปสร้างสัมพันธภาพไว้ และและมีขั้นตอนการ 95