บดั น้ไี ดถ้ า่ ยทอดสมยศลี แกเ่ ธอแลว้ สบื แต่นีไ้ ป เธอทัง้ หลาย เขา้ สูส่ ถานแห่ง
พระตถาคต เป็นทพ่ี ทุ ธบุตรโดยแท้ เปน็ ธรรมสมภพ เขา้ ถึงพุทธธรรม
ภาค384
384 得佛法分 “เข้าถึงพทุ ธธรรมภาค” คอื การได้รบั สว่ นแหง่ พระสทั ธรรม ซง่ึ ก็คือ
การประจกั ษ์ในพระสทั ธรรม ท่ีพระตถาคตทรงตรสั รู้ เป็นท่ีพทุ ธบตุ ร เป็นธรรม
ทายาท ดงั ท่ีใน สทั ธรรมปณุ ฑรีกสตู ร แสดงไว้วา่ 「今日乃知真是佛子,從
~ 301 ~
สรรพชีวติ ทัง้ ในปรโลกและอธิ โลก บดั น้เี ราใหอ้ มฤตเป็นทาน
ธรรมาภิเษกไปท้ังทศทศิ ยงั ใหเ้ ธอท้ังหลายล้วนอิ่มเปรม
ตอ่ มา กระทา พระโลกวสี ตีรณเตเชศวรประภาตถาคต มทุ รา
(หตั ถ์ขวา น้อมลง ศลี และธยาน ดดี กนั หตั ถ์ซ้าย หงายขนึ ้ เบญจดรรชนี
คลายออก แล้วกลา่ วมนตร์ ดงั น)ี ้
佛口生,從法化生,得佛法分。」 “วารนีแ้ จ้งพทุ ธบตุ รท่ีแท้ เกิดแตพ่ ทุ ธ
โอษฐ์ เป็นธรรมสมภพ เข้าถึงพทุ ธธรรมภาค” (ในพระไตรปิ ฏกเถรวาท พระ
สตุ ตนั ตปิ ฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค อคั คญั ญสตู ร ได้แสดงไว้วา่ “ดกู ร วาเสฏฐะและ
ภารทวาชะ กผ็ ้ใู ดแล มีศรทั ธาตงั้ มน่ั เกิดขนึ ้ แล้วแตร่ ากแก้ว คืออริยมรรค
ประดิษฐานมน่ั คง อนั สมณพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือผ้ใู ดผ้หู นึ่งในโลก ไม่
พรากไปได้ ควรเรียกผ้นู นั้ วา่ เป็นบตุ รเกิดแตพ่ ระอรุ ะ เกิดแตพ่ ระโอฐ ของพระผ้มู ี
พระภาค เป็นผ้เู กิดแตพ่ ระธรรม เป็นผ้ทู ่ีพระธรรมเนรมิตขนึ ้ เป็นผ้รู ับมรดกพระธรรม
ข้อนนั้ เพราะเหตไุ ร เพราะคาํ วา่ ธรรมกาย ก็ดี วา่ พรหมกาย กด็ ี วา่ ธรรมภตู กด็ ี วา่
พรหมภตู กด็ ี เป็นช่ือของตถาคต ฯ”)
~ 302 ~
๏ โอมฺ สะรวะ ตะถาคะตะ อวะโลกิเต ว ภาระ ภาระ สภาระ ส
ภาระ หมู ฺ ๚ะ๛385
385 唵。薩哩斡(二合)。答塔葛達。阿咓盧揭諦錽。婆囉婆
囉。三婆囉。三婆囉。吽。 (บางแห่งออกวา่ “โอมฺ สะรวะ ตะถาคะตะ
อวะโลกิเต สภํ าระ สํภาระ หมู ฺ”)
~ 303 ~
(เมื่อประธานสวดมนตร์ แลกระทํามทุ รา ผ้ชู ว่ ยพงึ ถวายถ้วยหรือชามทม่ี นี าํ ้
ประธานใช้มือขวากระทาํ อภยั มทุ รา แล้วดีดนาํ ้ ออกไป เพอ่ื ขบั มารในมอื
ซ้าย สวด “หูมฺ หูมฺ ผัฏ” (๓ จบ)
ปจุ ฉา : ในมือซ้าย มีมารใดหนอ ?
วิสชั นา : คอื ปวงหนอน386 ฉะนนั้
จากนนั้ เปลยี่ นเป็นความวา่ ง สวด “โอมฺ ข” (๓ จบ)
ปจุ ฉา : เปลย่ี นมือให้วา่ ง เพราะเหตใุ ดหนอ ?
วสิ ชั นา : เพราะหตั ถ์มีแดงขาวอนั ไมบ่ ริสทุ ธิ์387 จงึ ได้แปรเป็ นความวา่ ง
เพ่ือสาํ เร็จเป็ นกศุ ลอนั พเิ ศษ เพอื่ อลงั การหตั ถ์ ฉะนนั้
386 ในมหาปรัชญาปารมิตาสตู ร อวินิวรตนียวรรค แสดงไว้วา่ 「常人身中恒
為八萬戶蟲之所侵食」 “ปกติกาย (เช่น ร่างกายของมษุ ย์) มหี นอนจํานวน ๘
หม่ืน กดั กินอย”ู่ (บทวา่ “๘ หม่นื ” ในท่ีนี ้เป็นคําอปุ มา แปลวา่ มมี ากมาย นบั ไมถ่ ้วน
ไมใ่ ช่วา่ มจี ํานวนนบั ได้ ๘ หมืน่ , บทวา่ “หนอน” อาจหมายถงึ พยาธิ, จลุ ชวี ะ ฯลฯ
ไมไ่ ด้หมายความวา่ เป็นหนอนเสมอไป)
387 ในพทุ ธตนั ตระ ร่างกายของมนษุ ย์ ไมบ่ ริสทุ ธิ์ เพราะเหตุ ๒ สถาน ได้แก่ ๑.
อาโป (ขาว) คือ อสจุ ิ จากพอ่ ๒. เตโช (แดง) คอื โลหิต จากแม่ ทงั้ ๒ ประการนี ้
เรียกวา่ 明點 “พนิ ธุ” และแม้วา่ พินธุจะไมส่ ะอาด แตเ่ ป็นรากฐานที่สําคญั ของชีวติ
เป็นตวั แทนของชีพจร และจกั รทงั้ ๗ ในร่างกาย นอกจากนี ้คาํ วา่ พนิ ธุ ยงั หมายถึง
~ 304 ~
ปจุ ฉา : กอ่ นหน้านี ้มนสกิ ารวา่ ตนคอื พระโพธิสตั ว์ แล้วใยกาลนี ้มา
มนสกิ ารความวา่ ง เพอื่ ขบั มาร ?
วสิ ชั นา : ในสทั ธรรมปณุ ฑรีกสตู ร ได้แสดงไว้วา่ “พระตถาคตมนี ยั
อปั ระมาณ เข้าสศู่ มาธิ สาํ แดงประภาส เปิ ดรัตนสถปู แล้วเข้าศมาธิสาํ แดง
ประภาส (ซํา้ อกี )” ไมเ่ ป็ นการซํา้ ซากดอกฤๅ เพราะมี เหตุ ๑ จงึ ต้องมี ธรรม
๑ ดจุ ธรรมเนียมทางโลก การเข้าสศู่ าลบรรพชน มกี ารถือศลี ชําระร่างกาย
เป็ นต้น แลเมอ่ื จะเข้าไปนนั้ ก็ต้องล้างมืออีก นคี ้ อื การแสดงถงึ ความเคารพ
อนั การแปรเปลย่ี นเป็ น ความวา่ งแลขบั มารดงั นี ้คอื การแสดง ทสี่ ดุ แหง่
เมตตากรุณาแล
จากนนั้ ชวั่ พริบตาเดยี ว มนสกิ ารวา่ หตั ถ์นี ้คือหตั ถ์อนั วิเศษ ที่ฝ่ ามอื เกิด
เป็ นอกั ขระ ปํ สแี ดง แล้วแปลเปลยี่ นเป็ นดอกบวั แดง บนนนั้ มนสกิ ารวา่ มี
อกั ขระ วํ สขี าว ทพ่ี นิ ธุ มีอกั ษร วํ นบั ไมถ่ ้วน พร่ังพรูออกมา อาหารและ
เครื่องดมื่ นาํ ้ ในเบอื ้ งหน้า มมี ากเทา่ กบั ขนาดของแคว้นมคธ ประดบั ด้วย
บริเวณ อนุ าโลม อีกด้วย; พินธุ มีทงั้ สนิ ้ ๔ ประการ ได้แก่ ๑. อาโปพนิ ธุ สีขาว อยู่
ท่ีสหสรารจกั ร (กระหมอ่ ม) เป็นท่ีกําเนิดของอสจุ ิอนั บริสทุ ธ์ิในเพศชาย ๒. เตโชพินธุ
สีแดง อย่ทู ี่มลู าธารจกั ร (จกั รเพศ) เป็ นที่กําเนิดของโลหิตอนั บริสทุ ธ์ิในหญิง ๓.
วาโยพนิ ธุ ได้แก่ ลม ๔. ธารณีพนิ ธุ ได้แก่ ธารณีมนตร์ทงั้ หลาย อนั วาโยและ
ธารณีพนิ ธุ จดั อย่ใู น มหาและอนโุ ยคะ สว่ นอาโปและเตโชพินธุ จดั อยใู่ นขนั้ สงู สดุ
คือ อติโยคะ (อนตุ ตรโยคะ) เปลี่ยนความไมส่ ะอาด ให้กลายเป็นความบริสทุ ธ์ิ ตรัสรู้
อนตุ ตรสมั มาสมั โพธิญาณ
~ 305 ~
สปั ตรัตนะ เต็มไปทงั้ วิเศษโภชนะทงั้ หลาย แลมนสกิ ารวา่ พชี อกั ขระ เกิด
เป็ นอาหารและเคร่ืองดม่ื อนั ประมาณมไิ ด้ เตม็ ไปทงั้ ธรรมธาตุ แล้วสวด
“โอมฺ อา หรหี ฺ หูมฺ” (๑๐๘ หรือ ๔๙ จบ) แล้วสวดแปรโภชนมนตร์ ทกุ ครัง้
ที่สวด ให้มนสกิ ารวา่ ท่ีพินธุ เกิดเป็ นอาหารและเครื่องดม่ื หลงั่ ไหลออกมา
แผไ่ ปทงั้ ธรรมธาตุ
จากนนั้ ผ้ชู ว่ ยกลา่ วดงั น)ี ้
~ 306 ~
ที่กล่าววา่ “พทุ ธบตุ ร” กห็ มายถงึ เธอทัง้ หลาย เมอื่ กระทามุทราแลสาธยาย
ธารณีแลว้ เปลยี่ นโภชนะเปน็ อปั ระไมย ใหญด่ จุ สเิ นรรุ าช มีประมาณดจุ
ธรรมธาตุ ไร้ซง่ึ ที่สิ้นสดุ
ด้วยพลงั แหง่ มนตรน์ ี้ เปลยี่ นโภชนะเปน็ เกษยี รสมุทร
ให้ทานแกป่ วงเปรตโดยถ้วนทั่ว อิ่มกายบริบูรณ์ใจ
กระทามทุ รา ก่อนหนา้ น้ี และสวดกษีรสาคร388มนตร์
(มอื ขวา น้อมลง ศีลและธยาน ดดี กนั มือซ้าย คลายออก หงายขนึ ้ แล้ววา่
มนตร์ ดงั น)ี ้
๏ นะมะหฺ สะมนั ตะ พุทธาน ว ๚ะ๛389
388 乳海 กษีรสาคร เกษียรสมทุ ร ขีรสาคร ทะเลนํา้ นม
389 那麻三鬘哆。勃塔喃。錽。 (บางแหง่ แสดงวา่ “นะมะหฺ สะมนั ตะ
พทุ ธานํ วาร”)
~ 307 ~
(เมอ่ื สวดมนตร์ แลกระทํามทุ รา พงึ มนสกิ ารวา่ ที่พนิ ธุ มอี กั ขระ วํ สขี าว
ทอแสงสกาว มีนาํ ้ อมฤตไหลรินออกมา เอาหตั ถ์ขวาแตะ แล้วดีดออกไปใน
อากาศ แล้วโปรยปรายลงมา ดขุ โบกขรพรรษ ตกลงไปท่ีใด ก็เกดิ เป็ นขีร
สาคร
ปจุ ฉา : เพราะเหตใุ ดฤๅ อทุ กเพยี งน้อย จงึ สามารถแผไ่ ปได้ ทงั้ ธรรมธาตุ ?
~ 308 ~
วิสชั นา : เพราะเป็ นอจินตยะแล เพราะได้พลงั จากการมนสกิ ารพชี อกั ขระ
และยงั มีพลงั ธยานแหง่ พระตถาคตเจ้าทงั้ หลาย แล้วจะไมเ่ ปลยี่ นเป็ น
จํานวนมากได้เชน่ ไร ดจุ การสาดนาํ ้ โสม แล้วใช้มนตร์แปรให้เป็ นสาย
ฝน390 ยงั กระทําได้ แล้วจกั กลา่ วไปใย กบั แรงอนั อจินตยะนี ้จึงไมอ่ าจไม่
สาํ รวมจติ รให้ดี ฉะนนั้
ปจุ ฉา : แล้วเหตใุ ดฤๅ จึงให้ทานนาํ ้ แทนโภชนาหาร
วิสชั นา : เพราะเปรตทงั้ หลาย มเี พลงิ แหง่ บาปเผากาย จึงได้ให้นาํ ้ เป็ น
ทาน ก็เพ่ือระงบั เพลงิ นนั้ พระพทุ ธองค์ทรงตรัสวา่ อนั เปรตทงั้ นี ้ร้อยพนั
หมน่ื กลั ป์ แม้นามแหง่ อทุ ก กม็ ิอาจได้ยิน จกั กลา่ วไปใย กบั การบริโภค ทงั้
ยงั แสดงวา่ อนั เปรตทงั้ นี ้แม้อยู่ข้างคงคามหาธาร กม็ อี าจมองเห็นนาํ ้ แล
ถึงแม้จะมองเหน็ ก็เป็ นหนองเป็ นเลอื ด เม่อื ดมื่ เข้าไปท้องนนั้ ก็กลายเป็ น
เพลงิ พวยพงุ่ มาเผาผลาญ ได้รับทกุ ขเวทนาแสนสาหสั นา่ สงสารเป็ นทยี่ ิ่ง
ด้วยเหตดุ งั ฉะนี ้จงึ ได้ให้นาํ ้ เป็ นทาน เมื่อแจ้งดงั นแี ้ ล้ว ดงั ท่บี ทได้แสดงวา่
“สรุ ูปะ” คอื การให้ทานโภชนะ จําเดิมนนั้ คอื การให้อทุ กทานฉะนนั้ บดั นชี ้ น
ทงั้ หลายพากนั ไมแ่ จ้ง ให้ทานโภชนะ แตล่ ะเว้นซง่ึ อทุ ก บ้างก็จดั โภชนะ
โดยมบี ทวา่ “(ข้าว) ๗ เมลด็ แผก่ ําจรไปทศทศิ ” แตไ่ มม่ ีนาํ ้ จงึ ไมพ่ งึ สงสยั ดงั
ฉะนี ้
390 คือ การใช้เวทมนตร์ในทางโลก ใช้สรุ าสาดไปในอากาศ เพ่ือเรียกฝน
~ 309 ~
ตอ่ ไปผ้ชู ว่ ยกลา่ ววา่ )
ดกู รพทุ ธบตุ ร บดั น้ีได้กระทามุทรา และสาธยายมนตร์ แดเ่ ธอแลว้ ดว้ ยเดช
อธษิ ฐาน แหง่ มุทราและมนตรน์ ี้ ยงั ให้มอี มฤตไหลออกจากมุทรา สาเรจ็
เปน็ เกษยี รสมทุ ร ไปท่วั ทงั้ ธรรมธาตุ โปรดเธอและปวงสรรพชวี ิตท้ังหลาย
ให้เข้าถึงความอ่มิ พร้อมบรบิ รู ณ์
ปวงอาวรณทานเปรต391 เพลิงผลาญมิอาจบริโภค
บัดนีส้ าธยายรหัสยมนตร์ ธรรมโภชนะลว้ นบรบิ รู ณ์
ต่อมา สวด อาวรณทานเปรตมนตร์
๏ โอมฺ อา หูมฺ จะระเมต สะรวะ ประเต ภยะหฺ สวาหา ๚ะ๛392
391 障施鬼 อาวรณเปรต เป็นเปรตจําพวกหน่ึง ซง่ึ แรงแหง่ บาปกรรม จกั ขดั ขวาง
ไมใ่ ห้รบั ทานได้ การสาธยาย 障施鬼真言 อาวรณทานเปรตมนตร์นี ้จึงจกั
สามารถทําลายอปุ สรรคในการรบั ทานได้
~ 310 ~
(เมอ่ื สวดมนตร์ แลกระทํามทุ รา พงึ มนสกิ ารวา่ หตั ถ์ขวาน้อมลง ทีด่ ้าน
ในพนิ ธุ มีอกั ษร วํ มนี าํ ้ อมฤตออกมา ไหลไปทางมือซ้าย แล้วสวด “โอมฺ
อา หรีหฺ หูมฺ” (๑๐๘, ๗๗, ๓๗ จบ) ผ้ชู ว่ ยกระทาํ การอภิวาทประธาน แล้ว
นําคนโทนาํ ้ ออกไปนอกมณฑลพธิ ี ประกาศวา่ “วารีอนั พสิ ทุ ธ์ิ โปรยปราย
ลงมา” ประธานเมือ่ ประกาศนนั้ มนสกิ ารวา่ อาวรณทานเปรตตา่ งพากนั
392 唵啞吽。拶辢彌擔。薩哩斡(二合)不哩(二合)的毗牙(二合)莎訶。
~ 311 ~
คกุ เขา่ ประธานมนสกิ ารวา่ ตนคอื พระอวโลกิเตศวร ประธานอมฤตตอ่
เปรตท่ีอยใู่ นเบอื ้ งหน้า อมฤตรดลง ต้องกายเปรตทงั้ นนั้ ตงั้ แตก่ ระหมอ่ มลง
มา เพลงิ ทงั้ สนิ ้ ก็ปราศไป เกิดเป็นความสะอาดฉํา่ เยน็ แล้วสวดอาวรณทาน
เปรตมนตร์ ๓ จบ แตล่ ะจบ ดดี นวิ ้ หนง่ึ ครงั้ )
ดูกร พุทธบตุ รท้ังหลาย แมว้ ่าฝงู ชนมจี าแนก สรรพชวี ิตจกั ต่างกนั แต่ทาน
แหง่ เรานี้ ไร้ซ่ึงอุปสรรคใด ไม่แบ่งแยกสูงต่า เสมอภาคโดยถ้วนทั่ว ไม่
เลอื กท่ีรกั ไม่มักท่ีชงั บดั นีอ้ ยา่ ได้ ใหค้ วามสาคัญแกส่ ูงศักดิ์ แล้วดถู ูกตอ้ ย
ตา่ ใหค้ วามสาคญั แกเ่ ขม้ แขง็ แล้วรงั แกชนท่ีอ่อนแอ ฤๅยังให้ผู้เยาวอนาถา
ไมไ่ ดร้ ับโภชนะ เกดิ ความอยตุ ิธรรม ดว้ ยพระพุทธกรุณา โปรดสรรพชีวติ
ต้องเมตตาตอ่ กันและกนั ดุจบดิ รมารดา มนสิการถึงบตุ ร ฉะนั้น
ดูกร บุตรแห่งพระชินเจา้ เธอทั้งน้ัน ต่างมีบิดามารดร พ่นี อ้ งชายและหญิง
ภริยาบุตรและบริวาร กลั ยาณมติ รและปวงญาติ มาตรวา่ มีเหตุใด ยงั ให้
มา (ทม่ี ณฑลพธิ ีน)ี้ ไม่ได้ ดกู ร ปวงพุทธบุตรทั้งหลาย พึงมีจติ รรฤก
เมตตากรณุ า อันโภชนะทัง้ หลายนี้ สง่ ตอ่ ทานกนั ไป ให้พรอ้ มเพรียง
บริบรู ณ์ อยา่ ไดข้ าดตก ยงั ใหเ้ กดิ มรรคจิตร พ้นจากไตรอบายโดยสมจุ เฉท
~ 312 ~
ขา้ มพน้ จตุโรฆะ393 พงึ สละกายน้ี เข้าสู่มรรคผล ท้ังยังไดแ้ บ่งพิสุทธิ์
โภชนะแด่เธอ เป็นไตรภาค คอื ๑. ใหท้ านแด่อัมพชุ าติ394 ยังให้เขา้ ถึงศ
ราวกานาตมนั 395 ๒. ใหท้ านแดโ่ ลมชาติ396 ยังใหเ้ ขา้ ถงึ ธรรม
ศานติ397 ๓. ให้ทานแด่พรหมลกู ฟกั 398 ยังให้บรบิ ูรณ์ เข้าถึงอนตุ ปัตติก
ธรรมกษานติ399
393 四流 จตโุ รฆะ คอื โอฆะ ทงั้ ๔ ได้แก่ ห้วงนํา้ ที่เวยี นเกิดตาย ทงั้ ๔ ได้แก่ กาม,
ภวะ (ภพ), ทรรศนะ (ทิฐิ), อวทิ ยา (อวชิ ชา)
394 水族 อมั พชุ าติ สตั ว์นํา้
395 人空 ศราวกานาตมนั คอื อนาตมนั (อนตั ตา) ของสาวกยาน
396 毛羣 โลมชาติ สตั ว์ที่มขี น
397 法寂 ธรรมศานติ คือ ความสงบแห่งธรรม อนั ได้แกน่ ิรวาณ
398 稟識陶形 พรหมลกู ฟัก ไดแก่ อสญั ชญิกสตั ว์ หรือ อวฤหสตั ว์ (อสญั ญสตั ต
พรหม) คือ ชนท่ีบาํ เพญ็ ศมถะ พอถึงเบญจมธยาน เกิดจิตรเบ่อื หน่ายในนาม จงึ
บําเพญ็ สญั ชญาวริ าคภาวนา เมอื่ ถงึ กาลกิริยา จึงไปบงั เกิดเป็นพรหม ที่มีแตร่ ูป แต่
ไมม่ ีนาม มอี ายขุ ยั ได้ ๕๐๐ กลั ป์
399 無生法忍 อนตุ ปัตติกธรรมกษานติ คอื กษานติ (ขนั ติ) บารมีในพระโพธิสตั ว์
เป็นความอดทน ท่ีพ้นจากรูปลกั ษณ์ทงั้ ปวง ชนที่เข้าถงึ ได้ ต้องเป็นพระโพธิสตั ว์ภมู ิที่
๗ คือ ทรู งั คมาภมู ิ ขนึ ้ ไป เข้าถงึ อววิ รตยะ คือ การไมว่ วิ ตั (นิวตั ) คอื ไมถ่ อยกลบั
ออกจากโพธิญาณ เป็นที่นิยตโพธิสตั ว์
~ 313 ~
ธารณี อธิษฐาน พิศุทธธิ รรมโภชนะ
ให้ทานแก่เปรตและเทพ ดจุ เมล็ดทรายในคงคาธาร อยา่ งถ้วนทว่ั
ขอท้ังหลาย จงอิ่มพี พน้ จากมตั สรจติ ร
พน้ จากปรโลก สวู่ ิสทุ ธิธาตุ โดยพลนั
ตอ่ มา กระทา สมนั ตปชู ามทุ รา
(สองหตั ถ์ประนม กษานติและปรณิธานงอข้อทีส่ องลง แล้ววา่ ดงั นี)้
๏ โอมฺ คะคะนะ สภะวะ วัชระ โหหฺ ๚ะ๛400
400 唵。葛葛納。三婆斡。斡資囉(二合)。斛
~ 314 ~
(เมื่อสวดมนตร์ แลกระทํามทุ รา พงึ มนสกิ ารวา่ นวิ ้ กลางทง่ี อนนั้ มีอกั ขระ
โอมฺ สขี าว และทพี่ นิ ธมุ อี กั ษร โอมฺ ไหลออกมา กระทาํ การบชู า มขิ าดสาย
พร้อมด้วยความอลงั การ เป็ นสมตาปชู า401 แล้วสวดสมนั ตบชู า โดย
พร้อมเพรียงกนั (๕, ๗ จบ)
401 平等供養 สมตาปชู า คือ การบชู าโดยเสมอภาค โดยถ้วนทว่ั กนั
~ 315 ~
ปจุ ฉา : ในบทต้นมกี ารบชู าพระรัตนตรัย และให้โภชนะทานเรียบร้อยแล้ว
แล้วใยหนอ จงึ กลบั มา กระทําการบชู าอกี เลา่ ?
วิสชั นา : ในบทต้น คอื การจาํ แนกพระอารยะและปถุ ชุ น จงึ ได้บชู า (อารยะ)
พระรัตนตรัยกอ่ น แล้วตามด้วย ให้ทาน (ปถุ ชุ น) เปรต ฯลฯ ทวา่ บดั นคี ้ ือ
สมตาบชู า คอื พระอารยะและปถุ ชุ น ตา่ งร่วมกนั จงึ ได้แสดงวา่ “สมนั ต
บชู า” ฉะนนั้
กรมทานกลา่ วรับนาํ ้ และโภชนะ จากนนั้ ประธานพงึ กระทาํ เบญจบชู าและ
ปวงรัตนะ สวด “สะมะระ ฯลฯ”402 จากนนั้ ผ้ชู ว่ ยกลา่ ววา่ “ตอ่ ไปจัก
สาธยายวาทยธรรมแด่เธอ” ทกุ คนสวดพร้อมกนั ดงั น)ี ้
402 คอื รัตนมนตร์ ในหน้า 127 – 128
~ 316 ~
ดกู รปวงพุทธบุตร อันโภชนะทบ่ี รโิ ภคแตไ่ รมา คือการคา้ ขายชวี ติ ค้าขาย
สุรา โลหติ และมังสะ กลน่ิ คาวคละคลงุ้ แม้นได้รบั โภชนะดงั น้อี ีก อุปมา
ดังยาพษิ ทาร้ายร่างกาย โทษทุกข์ทับทวี จมอยูท่ กุ ขสาคร บดั นเ้ี รา อาศัย
อนศุ าสนแี หง่ พระตถาคต ด้วยประสนั นจติ ร กระทาอัประมาณวิปลุ ยมหา
ธรรมสังคตี ิ เธอท้ังหลาย ได้ประสบสถานะอันร่มเย็นนี้ องค์แห่งศีลประดับ
กาย กเ็ พราะในอดตี กาล ได้ยังพทุ ธกจิ ให้ไพบูลย์ ชกั ชวนญาตมิ ติ ร บูชา
พระรตั นตรัย ปัจจยั ท้ังน้ี ควรแล้วทเี่ ธอ จกั ตัง้ ปรณธิ าน ปรารถนาพระ
~ 317 ~
โพธญิ าณ ไม่พึงหวังไนผลอ่นื 403 ผเู้ ข้าถึงมรรคกอ่ น พงึ โปรดทีเ่ หลือ
ต่อไป ท้ังยังขอใหเ้ ธอทั้งหลาย มปี กติบรริ กั ษ์เรา ท้ังทวิ าและราตรี ยังปวง
ปรารถนาแห่งเรา ใหส้ มดังมโนรถ แลกุศลในการให้โภชนทานในกาลน้ี
ขอแผอ่ ุทศิ ใหก้ บั สรรพสตั ว์ ท้งั ธรรมธาตุ ขอให้สรรพชีวติ ทง้ั หลาย ต่าง
ได้รบั บญุ รว่ มกัน แลนอ้ มบญุ ท้งั สน้ิ น้ี เพอ่ื สรวชญาชญาน อนตุ ตรสมั ยัก
อภิสัมโพธิ อย่าไดใ้ นผลอืน่ ขอให้ตรัสรู้สัมมาสมั โพธิญาณโดยเร็ว
403 ผลอน่ื ได้แก่ มนษุ ยสมบตั ,ิ สวรรคสมบตั ิ, สาวกผล, ปัจเจกผล
~ 318 ~
~ 319 ~
ทกุ คนสวด อุษณีษวชิ ยธารณี404โดยพร้อมกนั
๏ นะโม ภะคะวะเต ไตรโลกยะ ประติวศิ ษิ ฏายะ พทุ ธายะ ภะคะวะ
เต ตทั ยะถา โอมฺ วศิ ทุ ธะยะ วศิ ทุ ธะยะ อสะมะ-สะมะ สะมนั ตาวะ
ภาสะ-สะผะระณะ คติ คะหะนะ สวะภาวะ วิศทุ เธ อภษิ ญิ จะตุ มาม
สคุ ะตะ วะระ วะจะนะ อมฤตะ อภเิ ษไก มะหา มันตรา-ปะไท อา
หะระ อาหะระ อายุหฺ ส-ธารณี โศธะยะ โศธะยะ คะคะนะ วศิ ุทเธ
อุษณษี ะ วชิ ะยะ วิศทุ เธ สะหะสระ-รัศมี ส-โจทิเต สะรวะ ตะถาคะ
ตะ อวะโลกะนิ ษัฑ-ปารมิตา-ปะริปูราณิ สะรวะ ตะถาคะตะ มะติ
ทะศะ-ภูมิ ประติ-ษฐเิ ต สะรวะ ตะถาคะตะ หฤทะยะ
อธษิ ฐานาธิษฐติ ะ มะหา-มุทเร วชั ระ กายะ ส-หะตะนะ วิศทุ เธ สะ
รวาวะระณะ อปายะ-ทรุ คติ ปะร-ิ วิศทุ เธ ประติ-นวิ ะรตะยะ อา
ยหุ ฺ-ศทุ เธ สะมะยะ อธิษฐิเต มะณิ มะณิ มะหา มะณิ ตะถะตา ภู
ตะ-โกฏิ ปะริศทุ เธ วิศผุฏะ พุทธิ ศทุ เธ ชะยะ ชะยะ วิชะยะ วชิ ะยะ
สะมะระ สะมะระ สะรวะ พทุ ธะ อธษิ ฐิตะ ศุทเธ วัชริ วชั ระคะรเภ
วัชรัม ภาวะตุ มะมะ ศะรรี สะรวะ สัตตวานมั จะ กายะ ปะริ วิศทุ
เธ สะรวะ คะติ ปะรศิ ุทเธ สะรวะ ตะถาคะตะ สิญจะ เม สะมาศวา
404 尊勝呪, 佛頂尊勝陀羅尼 อษุ ณีษวชิ ยธารณี, สรวทรุ คติปริโศธนอษุ ณีษวิ
ชยธารณี
~ 320 ~
สะยนั ตุ สะรวะ ตะถาคะตะ สะมาศวาสะ อธษิ ฐิเต พุทธยะ พทุ ธยะ
วพิ ุทธยะ วพิ ทุ ธยะ โพธะยะ โพธะยะ วิโพธะยะ วิโพธะยะ สะมนั
ตะ ปะรศิ ทุ เธ สะรวะ ตะถาคะตะ หฤทะยะ อธิษฐานาธิษฐิตะ มะ
หา-มทุ เร สวาหา ๚ะ๛405
405 南無薄伽伐帝。咥哩盧枳也。鉢喇底毗失瑟吒(引)也。
勃陀(引)也。薄伽伐帝。怛姪他。 唵。毗輸駄(唐左反)也。颯
麼三曼多。阿婆婆(引)娑。颯癹囉拏揭底[口*((尸-口+(占-口
+田))@巳)]喝娜。瑣婆(引)婆毗戌(商聿反下同)睇。阿毗詵者覩
漫(引)。蘇揭多䟦囉跋者 那。阿蜜栗多鞞師計。痾(引)(下同)
喝囉。痾喝囉。痾愈珊陀(引)喇你。輸駄也輸駄也。伽 伽
那毗戌睇。烏瑟膩沙。毗逝也戌睇(引)。索訶薩囉曷赖溼弭
珊珠地帝。薩婆(上)怛他揭 多。阿地瑟佗(引)娜。阿地瑟恥
䫂(丁可反下同)。沒姪囇。䟦折囉(引)迦也。僧喝旦娜戌 睇。
薩婆痾伐喇拏毗戌睇。鉢喇底你䟦戴也。阿愈戌睇。三麼
耶阿地瑟恥帝。末你末你麼末你。呾闥多步多孤㨖。鉢唎
戌睇。鼻窣怖吒勃地戌睇。逝也逝也。鼻逝也鼻逝 也。三
末囉三末囉。薩婆勃陀。阿地瑟恥多戌睇。䟦折囇跋折囉
(引)揭鞞(引)跋折藍婆跋 覩麼麼阿目羯寫。薩婆薩埵難(引)者
迦也毗戌睇。薩婆揭底鉢唎戌睇。薩婆怛他揭哆。 三摩戌
和娑阿地瑟恥帝。勃陀勃陀(停也反)菩駄也菩駄也。三曼䫂
鉢唎戌睇。薩婆怛他揭 䫂。阿地瑟侘(引)娜阿地瑟恥帝。
莎訶。
~ 321 ~
(สวด “สขุ าวตีวยหู ธารณี”406 (๑ จบ) เพอ่ื ความบริบรู ณ์ แหง่ อธิษฐาน ๒
สถาน ได้แก่ ๑. ความบริบรู ณ์แหง่ ธารณี ๒. ความบริบรู ณ์แหง่ กศุ ลมลู
ผ้ชู ว่ ยชขู ้าวและดอกไม้ แสดงแกท่ กุ คน จากนนั้ จากนนั้ ประธานสวด
อษุ ณีษธารณีพร้อมกนั มนสกิ ารวา่ ข้าวแลดอกไม้ ทอแสงประภาส จากนนั้
ผ้ชู ่วยโปรยข้าวและดอกไม้ ออกไปจํานวนหนง่ึ ประธานมนสกิ ารวา่ เปรต
ทงั้ นนั้ สมั ผสั ดอกไม้ ด้วยรศั มี ยงั ให้อบุ ตั สิ ขุ าวดีพศิ ทุ ธิเกษตร ชนั้ เอกกําเนดิ
เอก ผ้ชู ่วยกระทําประทานนาํ ้ ประธานและทกุ คน สวดษัฑอกั ษรวทิ ยา
ธารณี407 (๑๐๘ จบ) แล้วทอ่ งวาทยธรรม ๖ บท ดงั นี)้
(ในท่นี ไี ้ มไ่ ด้แสดง “สขุ าวตวี ยหู ธารณี” ไว้ จงึ ได้นาํ มาลงไว้ ดงั นี)้
406 徃生呪, 拔一切業障根本得生淨土陀羅尼 สขุ าวตวี ยหู ธารณี
407 六字大明呪 ษฑั อกั ษรวทิ ยาธารณี 唵嘛呢叭咪吽 ༀམཎཔི དེྨཧ།ཱུྃ “๏ โอมฺ
มะณิ ปัทเม หมู ฺ ๚ะ๛”
~ 322 ~
~ 323 ~
สุขาวตีวยหู ธารณี408
๏ นะโม อมิตาภายะ ตะถาคะตายะ ตัทยะถา อมฤโตทภะเว อมฤ
ตะ-สิทธภะเว อมฤตะ-วิกรานเต อมฤตะ-วกิ รานตะ คามิเน คะคะ
นะ กรี ตะ-กะเร สวาหา ๚ะ๛409
ดว้ ยอนศุ งั ศะน้ี สัตว์ท่ีเสวยทุกข์ ในนรกภูมิ ภูเขาดาบ ต้นไม้กระบี่
กลายเป็นตน้ กัลปพฤกษ์ จักรเพลิง ลูกไฟ กลายเป็นปัทมแก้ว มงคลโดยแท้
พ้นจากนริ ยะ จักสามารถตรสั รู้อนตุ ตรสมั มาสัมโพธิญาณ
ด้วยอนศุ ังศะน้ี สตั ว์ทเี่ สวยทกุ ข์ ในเปรตภมู ิ เปลวไฟที่เผา ในปากและ
ลาตัว กลบั สะอาดเยน็ อมฤตภายในหตั ถพ์ ระอวโลกิเตศวร ยังใหบ้ ริบรู ณ์
408 “สขุ าวตวี ยหู ธารณี” นี ้มาแต่ “สขุ าวตวี ยหู สตู ร” ฉบบั ที่แปลโดยพระคณุ ภทั ร
(ค.ศ. ๓๙๔ – ๔๖๘) ปัจจบุ นั ได้หายสาบสญู ไปแล้ว คงเหลอื ไว้แต่ตวั ธารณี และ
อนศุ งั ศะ (ในตอนท้ายแหง่ พระสตู ร) ดงั ที่ปรากฏเป็นท่ีแพร่หลายในปัจบุ นั
409 南無阿彌多婆夜哆(多曷切) 。他伽哆(都餓切) 。夜哆地(途賣切) 。
夜他阿彌利(上聲) 。都婆毘。阿彌利哆。悉眈婆毘。阿彌利哆。
毘迦蘭諦。阿彌利哆。毘迦蘭哆。伽彌膩。伽伽那。枳多迦隸。
莎婆訶。
~ 324 ~
โดยพลัน มงคลโดยแท้ พ้นจากเปรต จักสามารถตรสั รู้อนุตตรสัมมา
สัมโพธญิ าณ
ดว้ ยอนศุ งั ศะนี้ สตั วท์ ี่เสวยทกุ ข์ ในเดรัจฉานภูมิ ย่อมพ้นจากทกุ ข์ ทถ่ี ูกฆ่า
ทารา้ ย เพลงิ พลาญ โดนยาพิษ หา่ งไกลจากอวิทยา เข้าถงึ มหาปรัชญา
โดยพลนั มงคลโดยแท้ พน้ จากเดรัจฉาน จกั สามารถตรสั รู้อนุตตรสมั มา
สมั โพธิญาณ
ดว้ ยอนศุ งั ศะนี้ สตั ว์ทเ่ี สวยทกุ ข์ ในมนุษยภูมิ เม่ือยามจะเกดิ ด่ังออกจาก
พระกจั ฉะแห่งพระนางมายา ขอใหม้ อี นิ ทรียบ์ ริบูรณ์ พ้นจากอัษฏากษณะ
บาเพ็ญปรชั ญา มงคลโดยแท้ พน้ จากมนษุ ยภมู ิ จักสามารถตรัสรู้อนตุ ตร
สมั มาสัมโพธญิ าณ
ดว้ ยอนศุ งั ศะนี้ สัตวท์ ่เี สวยทกุ ข์ ในอสุรภมู ิ ขจัดมานะ กักขฬะ ใหเ้ กดิ ความ
นอบนอ้ ม ระงบั อกุศลจติ ร ริษยา โกรธะ ไฝ่สงคราม มงคลโดยแท้ พ้น
จากอสรุ ภมู ิ จักสามารถตรสั รู้อนุตตรสัมมาสมั โพธิญาณ
~ 325 ~
ด้วยอนุศังศะน้ี สตั ว์ท่ีเสวยสุข ในเทวภมู ิ จงละกาม ปรารถนาในโพธิจติ ร
อันไพบูลย์ เม่ือส้นิ บุญจากสวรรค์ ยอ่ มเกิดความยนิ ดี มงคลโดยแท้ พน้
จากเทวภมู ิ จักสามารถตรัสรู้อนุตตรสัมมาสมั โพธิญาณ
ด้วยอนุศังศะน้ี ศราวกะและปรตั เยกะ ทัง้ ทศทศิ จงละท้ิงศราวก จัตวาริ
อารยสตั ยานิ410 ปรตีตยสมุตปาท411 เขา้ ไปบาเพ็ญมหายาน จตุหสังครห
วัสต4ุ 12 ษัฑปารมิตา ประพฤติธรรมนานาประการ มงคลโดยแท้ พน้ จาก
ทวิยาน จักสามารถตรสั รู้อนุตตรสมั มาสัมโพธญิ าณ
410 四諦 จตั วาริอารยสตั ยานิ คือ อริยสจั ๔ ได้แก่ ทกุ ข์ สมทุ ยั นิโรธ มรรค
411 十二因緣行 ปรตตี ยสมตุ ปาท ปฏิจจสมปุ บาท คอื ปัจจยาการ ๑๒ ได้แก่
อวชิ ชา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผสั สะ เวทนา ตณั หา อปุ าทาน
ภพ ชาติ ชรามรณะ ความโศก ความคร่ําครวญ ทกุ ข์ โทมนสั และ ความคบั แค้นใจ
412 四攝 จตหุ สงั ครหวสั ตุ คอื สงั คหวตั ถุ ๔ ได้แก่ ทาน ปิ ยวาจา อตั ถจริยา
สมานตั ตา
~ 326 ~
ดว้ ยอนศุ ังศะน้ี ขอประถมโพธิสัตว์ จงบรบิ ูรณด์ ว้ ยศตปญุ ญาลงั การ
ทะยานขา้ มไปสทู่ ศภูมิ จรมภวิกโพธิสัตว์ 413 มงคลโดยแท้ มหายาน จัก
สามารถตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปรณิธานปรีนามคาถา
ปจั จุบัน และอนาคต เม่อื ยังไมต่ รัสรู้
ขอใหอ้ าวรณะ ทั้งนอกใน อกศุ ลปัจจยั ทั้งหลาย อยา่ ได้มี
มีปกติ ได้พานพบ กัลยาณมิตรอนั วเิ ศษ อยู่เปน็ นจิ
ขอธรรมทง้ั หลาย ท่ีบาเพ็ญ จงสาเรจ็ โดยเร็วพลัน
อตุ ตรรัตนตรัย
เม่อื ยามถงึ กาลกริ ยิ า ขอวชิ ญา อย่าไดไ้ หลหลง
413 補處位 จรมภวกิ โพธิสตั ว์ หรือ เอกชาติปรติพทุ ธะ คอื พระโพธิสตั ว์ ที่จะเกิด
อีกเพยี งชาตเิ ดยี ว ก็จะตรัสรู้อนตุ ตรสมั มาสมั พทุ ธเจ้า
~ 327 ~
ขอใหไ้ ปอบุ ตั ิ ณ. สขุ าวดี พุทธเกษตร เบือ้ งหนา้ พระตถาคต
อาศัยทนิ ปรัชญาธรรมประภาส สุตมยปญั ญา จินตามยปัญญา ภาวนามยปญั ญา414
ประหารกเลศ415 เขา้ ถึงอนุกมั ปาจิตร416ทแ่ี ท้ 417 ต่อสรรพชวี ิต
อตุ ตรรัตนตรัย
มาตรวา่ ก่อนทีจ่ ะได้ไปอบุ ัติ ณ. สขุ าวตีพทุ ธเกษตร
แล้วไม่มี กศุ ลมูล ไดไ้ ปอบุ ตั ิ ณ. พระชินสงั คตี ิ
ต้องไปเกดิ ตามสถาน ตามกรรมทีส่ ร้างไว้
414 聞思修 สตุ มยปัญญา จินตามยปัญญา ภาวนามยปัญญา
415 惑 กเลศ กิเลส
416 愍念 อนกุ มั ปาจิตร อนกุ มั ปายจิตร กรุณาจิตร จิตรอนั สงสาร จิตรอนั
อนเุ คราะห์
417 การจะเกิดจิตร ที่สงสารสรรพชีวิต ที่แท้จริง ได้นนั้ ต้องทําลายกิเลส แจ้งใน
ปรชั ญาปารมิตา คือ ประจกั ษ์ในสวภาวะท่ีแท้ คือภตู ตถตา จึงสามารถเกิดอนกุ มั
ปายจิตรท่ีแท้จริงได้ ความสงสารทางโลกทงั้ หลาย เช่น เจ็บป่ วย, ยากจน, หิว
กระหาย ฯลฯ ไมใ่ ช่ความเมตตากรุณาที่แท้จริง เป็นเพยี งความหลงไปแหง่ อวิทยา
~ 328 ~
ขอให้มีปกติ อบรมบาเพ็ญกุศลมลู ไม่ขาดตอน
อตุ ตรรัตนตรัย
ขอบงั เกิดในมชั ฌิมประเทศ บาเพญ็ พระสทั ธรรม ด้วยสามารถ
ไร้โรคาพาธ อายุวัฒนา อุปโภชนะบริบรู ณ์
มลี ักษณะงดงาม ปฏิภาณ ปรชั ญา ฯลฯ
ถึงพรอ้ มด้วย สัปปุรสิ ธรรม เปน็ ทส่ี ัตบุรษุ
อุตตรรัตนตรัย
ออกบวชแตอ่ ายนุ อ้ ย ไดพ้ บอารยปคุ คลาจารย์ แตก่ าลตน้
ไดร้ บั ถ่ายทอด และบาเพญ็ ตรศี ึกษา418
มสี มั ยักสมฤต4ิ 19ตอ่ พระสัทธรรม ในทกุ เวลา
418 三種修學 ตรีศกึ ษา ไตรสกิ ขา ได้แก่ ศลี ศมาธิ และ ปรชั ญา
~ 329 ~
อปุ ฏั ฐาก พระวัชราจารย์ ดว้ ยจิตรอนั ยนิ ดี
อุตตรรัตนตรัย
พระกลั ยาณมติ ร ผู้ถึงพรอ้ มดว้ ย อรยิ ทรพั ย์ทั้งเจ็ด420
ดุจดวงตะวนั ทคี่ กู่ ับแสงสว่าง ในทกุ ขณะ
ทั้งปราศใน มานะ วจิ กิ ิจฉา แลถงึ พร้อมดว้ ยปรชั ญา
ขอใหพ้ น้ จากอกศุ ลปัจจัย ทเ่ี ปรียบเสมือน ดงั หนอนพษิ
อุตตรรัตนตรัย
มลู แห่งกุศล คอื พระอตุ ตรรัตนตรัย
419 正念 สมั ยกั สมฤติ สมั มาสติ คอื การระลกึ ชอบ เป็น ๑ ใน ๘ ของ อษั ฏารย
มารค (อริยมรรค มอี งค์ ๘)
420 七種勝財 อริยทรัพย์ทงั้ ๗ ได้แก่ ศรทั ธา ศีล หิริ (ความละอายตอ่ บาป),
โอตตปั ปะ (ความเกรงกลวั ตอ่ บาป) พาหสุ จั จะ (เรียนรู้มามาก) จาคะ (ความ
เสียสละ) และ ปัญญา
~ 330 ~
ขอมปี กติ ถอื เปน็ ศรณะและบูชา อยู่เป็นนจิ
โลภะ โทสะ และโมหะ
จงสงบ ดจุ มหาปฐพี อย่าได้กาเริบข้นึ มา
อตุ ตรรัตนตรัย
มนสกิ าร สฬายตนธรรม มีรปู เป็นต้น
แจง้ ประจักษ์วา่ ดจุ พยบั แดด
สวภาวะแตไ่ ร ไมเ่ คยแปดเปือ้ น ดว้ ยกามคณุ
ขอให้ข้า ฯ ไมค่ ลาย จากโพธิจติ ร
อุตตรรัตนตรัย
สรรพธรรม อนั คมั ภรี ภาพ แหง่ มหายาน
ดจุ จุดเพลงิ ผลาญเศียร วรี ยะบาเพ็ญเพียร
~ 331 ~
เมอ่ื กาลที่ ตรัสรู้ อนุตตรสมั มาอภสิ ัมโพธิน้ัน
อาศยั จตุหสงั ครหวสั ตุ สามารถโปรดสรรพชีวติ
อุตตรรัตนตรัย
พระมหากรุณาวโลกิเตศวร ผโู้ ปรดปญั จกสายะ421
ในปศั จิมกลั ป์ เผยแผป่ รณธิ าณ พระกษิตคิ รรภราช
421 五濁 ปัญจกสายะ หมายเอาโลกนี ้และสตั ว์ในโลกนี;้ 濁 กสายะ คือ ความไม่
สะอาด มี ๕ ประการ ได้แก่ ๑. 劫濁 กลั ปกสายะ คือ กลั ป์ อนั เป็นมลทิน ได้แก่
ช่วงเวลาท่ียากจะศกึ ษาและประพฤติธรรม ได้แก่ ยามที่มนษุ ย์มีอายขุ ยั เหลอื ๓๐ ปี
จะเกิดทพุ ภิกขภยั เม่อื มนษุ ย์มอี ายขุ ยั เหลอื ๒๐ ปี จะเกิดโรคระบาด และเมื่อมนษุ ย์
มอี ายขุ ยั เหลือแค่ ๑๐ ปี เป็นมิคสญั ญี เม่ือพบกนั กส็ ําคญั วา่ ชนอน่ื เป็นดงั่ เนือ้ ทราย
เข้าเขน่ ฆ่า ประหารกนั และกนั ๒. 見濁 ทฤษฏีกสายะ คอื ทรรศนะอนั เป็นมลทิน
ได้แก่ ยามที่พระศาสนาสนิ ้ แล้ว มิถยาทรรศนะเป็นท่ีแพร่หลาย ชนทงั้ ปวงมี
ความเหน็ ผดิ มีปกตกิ อ่ กรรมทําชว่ั ๓. 煩惱濁 กเลศกสายะ คือ กิเลสอนั เป็นมลทิน
ได้แก่ อวิทยา กามราคะ มตั สระ ฯลฯ ยงั ให้ไมส่ ามารถประพฤติธรรม ๔. 眾生濁
สตั ตวกสายะ คือ สตั ว์อนั เป็นมลทิน กอ่ กรรมชวั่ ทรุ ลกั ษณ์อกตญั ํู ไมเ่ กรงกลวั
บาป ไมร่ ักษาศีล และไมป่ ระพฤติธรรม ๕. 命濁 อายกุ สายะ คอื อายอุ นั เป็นมลทิน
เมอื่ มนษุ ย์ตา่ งก่อกรรม กระทําบาป อายขุ ยั ก็มแี ตจ่ ะสนั้ ลง คนที่มีอายยุ ืน (แล้ว
แขง็ แรง) มีแตจ่ ะย่ิงน้อยลง เป็นอปุ สรรคในการประพฤติธรรม
~ 332 ~
ปวงอารยาธิกธรรมปาลเทพ
เปน็ ประจกั ษ์ อารกั ษธ์ รรม อนั ชชั วาล
อุตตรรัตนตรัย
รกั ษป์ ระเทศ รักษ์พระศาสนา ปวงธรรมบาล
เดชานุภาพ อปั ระมาณ ท่ัวเขตขนั ฑ์
มารร้าย เดียรถยี ์ พนิ าศพลัน
นาค เปรต ดารา422 ยาพษิ นั้น ตา่ งครา้ มกลัว
อตุ ตรรัตนตรัย
ขอใหไ้ ตรวิบตั ิ423เบญจกสายะ424 จงปราศไปโดยเรว็
422 ดารา คอื ภยั จากการโคจรของดวงดาว อนั ยงั ให้ชนทงั้ หลายเป็นทกุ ข์ ตามคติ
แหง่ โหราศาสตร์
~ 333 ~
สัปตภยั 425 อษั ฏันตราย จงพนิ าศไป ภายในชั่วขณะจิตร
พืชพรรณ ธญั ญาหาร จงอดุ มสมบรู ณ์
สปั ตรตั น์ เบญจรส426 ล้วนบรบิ ูรณ์
อตุ ตรรัตนตรัย
จตุรปูชากจิ 427อุปโภค มิได้ขาดตก
423 三災 สวํ ะรตนั ยะหฺ คอื ความวบิ ตั ิ ๓ ประการ ทงั้ นีม้ ี ๒ นยั คอื ๑. หมายเอา
กลั ป์ กสายะ (ดเู ชิงอรรรถข้อ 421) ได้แก่ ทรุ ภิกษะ (ทพุ ภิกขภยั ), โรคะ (โรคระบาด),
ศาสตรฆาตะ (การฆ่าฟันทําร้ายกนั ) สว่ นนยั ท่ี ๒. หมายเอา ภยั เม่อื สนิ ้ กลั ป์ ซงึ่ เกิด
จาก ไฟ, นํา้ , ลม
424 五濁 เบญจกสายะ, ปัญจกสายะ ดเู ชิงอรรรถข้อ 421
425 七難 สปั ตภยั คอื ภยั ทงั้ ๗ ประการ ได้แก่ ๑. อคั นิภยั (ภยั จากไฟ) ๒. วารีภยั
(ภยั จากนํา้ ) ๓. อสรุ ภยั (ภยั จากอสรุ กาย) ๔. ศาสตรภยั (ภยั จากอาวธุ ) ๕. เปรตภยั
(ภยั จากเปรตผ)ี ๖. พนั ธภยั (ภยั จากการพนั ธนาการ ถกู มดั จองจํา กกั ขงั ) ๗. เวรภยั
(ภยั จากการตามจองเวรของเจ้าเวร)
426 五味 เบญจรส มีนยั ๒ ประการ คือ ๑. หมายเอาผลติ ภณั ฑ์ ที่ได้จากนํา้ นมโค
ทงั้ ๕ (ดเู ชิงอรรถข้อ 254) ๒. หมายเอารสชาตทิ งั้ ๕ ได้แก่ เปรีย้ ว, ขม, หวาน, เผด็ ,
เคม็
~ 334 ~
บญุ เกษตรท้ังแปด428งดงาม ยงั ให้เกดิ เกษมศานต์
พุทธิกิจ ทว่ั เขตคาม ประกาศพระสัทธรรม
เพิม่ บญุ ปรชั ญา แก่สรรพชวี ติ ให้บริบูรณ์
อตุ ตรรัตนตรัย
ขา้ ฯ ทั้งหลาย ด้วยเดชแห่งกุศลมลู ปัจยยการธรรมสภาวะ
ดว้ ยแรงสงเคราะห์จาก พระวชั ราจารย์ สัตยเทวตา429 ฑากณิ ี430
427 四事供養 จตรุ ปชู ากิจ คอื การบชู าด้วยปัจจยั ทงั้ ๔ ประการ ได้แก่ โภชนะ
(อาหาร), จีวร (เครื่องน่งุ ห่ม), อาสนะ (เครื่องนง่ั นอน, ที่อย่อู าศยั ), ไภษชั ยะ (ยา
รักษาโรค) ในพระบาลเี ภรวาท ได้แสดงไว้วา่ จิปิ เสคิ ดงั นี ้๑. จิ (จิวร จีวร เคร่ืองนมุ่
หม่ ) ๒. ปิ (ปิ ณฑปาต บิณฑบาต อาหาร) ๓. เส (เสนาสนะ เครื่องนงั่ นอน, ที่อยู่
อาศยั ) ๔. คิ (คลิ านเภสชั ยารกั ษาโรค)
428 八福田 บญุ เกษตร หรือ นาบญุ ทงั้ ๘ ประการ ปรากฏมาในพรหมชาลสตู ร
(มหายาน) แตม่ กี ารอธิบาย ที่ตา่ งกนั ไป ใน อธิบายศีลของนิกายเทียนไถ ได้แสดงถงึ
บญุ เกษตรทงั้ ๘ ไว้ ดงั นี ้๑. พระพทุ ธเจ้า ๒. พระอารยบคุ ล ๓. พระอปุ าธยายะ
(อปุ ัชฌายะ คอื พระผ้บู วชให้ ถือเป็นบดิ ามารดา คือเป็นผ้ใู ห้กําเนิด ในทางธรรม)
๔. พระอาจารยะ (คือ อาจารย์อนื่ ท่ีถ่ายทอดพระธรรมให้ โดยที่ไมใ่ ชพ่ ระอปุ าธยา
ยะ) ๕. พระภิกษุโดยทว่ั ไป ๖. บิดร ๗. มารดา ๘. อาพาธชน
~ 335 ~
เดชะ พระรัตนตรัย 431 สตั ยปรมารถธารณี นี้
ปรณธิ าณทีต่ ั้งไว้ ขอใหป้ ระสิทธิ โดยเรว็ พลัน
อุตตรรัตนตรัย
ขอปัตติทาน กุศล แด่ชนทัง้ หลาย
จงได้รบั ปวงกศุ ล โดยถ้วนท่วั
อันมายา ทง้ั หลาย ดุจสบุ ิน
ตรกี าย ศูนยตะ432 พิสุทธิ์สิ้น
429 本尊 สตั ยเทวตา, อิษตเทวตา สจั เทวดา คือ เทพธรรมบาลในพทุ ธศาสนา
โดยมากคอื นิรมาณกายของ พระพทุ ธเจ้าและพระโพธิสตั ว์
430 空行, 空行母, 荼吉尼, 明妃 ฑากิณี วทิ ยเทวี (เป็ นชายาของพระวิทย
ราช) มจี ํานวนมากมาย จดั อยใู่ นเทวภมู ิ โดยมากคอื นิรมาณกายของ พระพทุ ธเจ้า
และพระโพธิสตั ว์
431 พระวชั รจารย์, สตั ยเทวตา, ฑากิณี ทงั้ ๓ นี ้คอื 內三寶 “พระรตั นตรยั
ภายใน” ในพทุ ธศาสนาวชั รยาน
~ 336 ~
อตุ ตรรัตนตรัย
มงคลคาถา
ขอความสวสั ดี จงมใี น ทกุ ทิวาและราตรี
ษฑั ฤตุ433ล้วนแต่ มีความสวสั ดี
432 三輪體空 ตรีกายศนู ยตะ คือ กายทงั้ ๓ ล้วนวา่ งเปลา่ ได้แก่ ๑. ไมม่ ีผ้ใู ห้
ทาน ๒. ไมม่ ีผ้รู ับทาน ๓. ไมม่ วี ตั ถทุ าน (แม้ในกศุ ลและอกศุ ลอนื่ ก็มนี ยั เฉก
เดยี วกนั ) ด้วยสรรพธรรมทงั้ หลาย เป็นอนาตมนั ส่ิงทงั้ หลายล้วนไมม่ ี, ไมเ่ คยมี และ
จะไมม่ ี แตด่ ้วย สรรพชีวติ มวี ิปรยาย สาํ คญั ผิดวา่ มี สตั ว์, บคุ คล, วสั ต,ุ ตวั ตน ฯลฯ
จึงกระทํากรรม ต้องเวยี นเกิดตาย ยดึ วา่ มตี วั ตนแล้วทําดี ก็ไปเสวยสขุ ในสคุ ตภิ มู ิ ยึด
วา่ มีตวั ตนแล้วทําบาป ก็ไปเสวยทกุ ข์ในทรุ คติภมู ิ แท้จริงแล้ว ไมม่ ีทงั้ บญุ และบาป
ไมม่ สี ขุ และทกุ ข์ ไมม่ ีสคุ ติและทรุ คติ ไมม่ ีพทุ ธะและมาร ไมม่ กี เสศและนิรวาณ แจ้ง
ในอนาตมนั แล้วกระทําทาน นนั่ คือ ทานปารมติ า ยอ่ มเข้าสวู โิ มกษ์ แตถ่ ้ายึดตวั ตน
แล้วกระทําทาน นน่ั คือโลกียกศุ ล ซงึ่ ต้องมคี วามเกิดตายเป็นวิบาก อนั พระโพธิสตั ว์
ทงั้ หลาย พงึ อาศยั ปรัชญาปารมิตา แจ้งในอรรถดงั ฉะนี ้ย้อมพ้นแล้วจากอนยั ทงั้ ปวง
433 六時 ษฑั ฤตุ ได้แก่ ฤดู หรือ อตุ ุ ทงั้ ๖ คือ ใน ๑ วนั (๒๔ ชว่ั โมง) ออกเป็น ๖
ฤดู หรือ ๖ ยาม ยามละ ๔ ชวั่ โมง กลางวนั และกลางคืน อย่างละ ๓ ยาม โดย
~ 337 ~
แลสงิ่ ท้งั หลาย ลว้ นเขา้ ถึง ความสวสั ดี
ขอพระรัตนตรยั โปรดเมตตา สงเคราะห์
ขอความสวสั ดี จงมีใน ทุกทิวาและราตรี
ษฑั ฤตุ ลว้ นแต่ มคี วามสวสั ดี
แลสิง่ ท้งั หลาย ล้วนเข้าถึง ความสวสั ดี
ขอพระวชั ราจารย์ โปรดเมตตา สงเคราะห์
ขอความสวสั ดี จงมใี น ทกุ ทวิ าและราตรี
ษัฑฤตุ ล้วนแต่ มคี วามสวสั ดี
แลสง่ิ ทัง้ หลาย ลว้ นเข้าถงึ ความสวสั ดี
ขอเทพธรรมบาล มีปกติ บริรักษ์
แบง่ เป็น ๑. ประถมยาม (ยามเบอื ้ งต้น), ๒. มาธยมยาม (คอื ยามทา่ มกลาง) และ ๓
ปัศจิมยาม (ยามที่สดุ )
~ 338 ~
พระอวโลกิเตศวร วเิ ศษ หาใดปาน
บาเพญ็ ชั่วกลั ป์กาล เขา้ ถึงอลงั การ อนั วสิ ุทธิ์
ปัทมะ สแี ดง อยเู่ บอ้ื งบาท
จันทระ ฤดูศารท อยู่ทพี่ ระขนง
มีปกติ ประพรมนา้ อมฤต ในคนโท
กมลมาลย์ ในพระหตั ถ์ ไรโ้ รยรา
สหสรสถาน ขอพร ล้วนสมหวัง
เป็นธรรมนาวา ท่ามกลาง โอฆะสงสาร
มีปกติ เข้าธยาน อยู่ท่ีโปตลกะ434
ตามปจั จยะ โปรดสัตว์ โดนถว้ นทั่ว
434 แท้จริงแล้ว “โปตลกธรรมสถาน” ไมไ่ ด้อยทู่ ี่ไหน หากแต่อยใู่ นใจ ของสรรพชีวิต
ทงั้ หลาย
~ 339 ~
เสาะเสยี ง แสวงหา ช่วยสตั วท์ ่เี มามวั
จึงได้นาม “อวโลกิเตศวร” ผูเ้ มตตา
ขอนอบนอ้ มแด่ พระอมติ ายุสตถาคตเจา้ ปวงพระปัทมินีโพธสิ ัตว์
แลพระอารยาธกิ เทพทัง้ หลาย ขอบาปกรรม อันคูก่ ับธรรมธาตทุ ่ีเกดิ
ดับทงั้ นั้น จงส้ินสลาย บังเกิดในสขุ าวดพี ิศทุ ธเิ กษตร เขา้ ส่อู นตุ ตร
สัมมาอภิสัมโพธิ
(ทกุ คนกลา่ วสนิ ้ แล้ว ให้ตา่ งขอพร แล้วกระทําปัตตทิ านกศุ ล ดงั นี)้
บทประกาศ
สิ่งทง้ั หลาย คือมายา ตรโี ลก ดจุ บุปผา กลางนภา
แจง้ มายา อายตนะส้ินแลว้ อาสวะสิ้นแล้ว พุทธบิ รบิ ูรณ์
~ 340 ~
อันภตู ตถตา วสิ ุทธส์ิ นั ต์ และบาปสภาวะน้นั กล็ ว้ นวา่ งเปล่า ทะเลโอฆะลกึ
เป็นทยี่ ิ่ง คล่ืนแห่งมถิ ยามริ ้ดู บั ด้วยแรงกรรมแห่งสรรพสัตว์ จึงลอยคอนบั
กปั กัลป์ เสวยทุกข์ในนรก รบั ทุกข์เป็นอนันต์ สบื มาเกิดเปน็ เปรต ทนหิว
อยา่ งยาวนาน มิไดผ้ ่อนพกั อนั ทางจะหลดุ พน้ ก็ด้วยพระเมตตาปรณิธาน
แห่งพระตถาคต ดว้ ยเดชแห่งธารณี ยอ่ มจกั ระงบั ทางแหง่ ทรุคตินั้น
ประทานอมฤตธรรม ตามรตั นประทปี เปดิ ทางให้ปรโลก ยงั ใหช้ นผเู้ มา
มัว ไปสพู่ ิศทุ ธิเกษตร มณฑลพิธีในวารนี้ ยังกศุ ลให้เป็นสมนั ตทาน อุทิศ
ใหพ้ ระมขุ าคนีวาลเปรต ในขอบขัณฑจ์ ักรวาล ปกครองปวงเปรต
อปั ระมาณ ดุจเมล็ดทรายในคงคาธาร ทงั้ ๓๖ จาพวก แลนบั แตอ่ นนั ตร
กัลป์ จวบจนปรัตยบุ นั ชาติ ปาปกรรมท่ีเคยกระทามา จงปลาสนาการไปสิน้
หมิ าลัยแหง่ บาป ละลายสิ้น เขา้ ถึงความวิสทุ ธ์ิ เพลิงผลาญอนั ดาลเดอื ด
กลายเปน็ สระโบกขรณี อนั กอปรดว้ ยคณุ ทงั้ ๘ อนั ฉา่ เยน็ เตาเพลงิ อนั โชติ
ชว่ ง กลายเป็นกระถางสัปตรัตนสุคนธ์ บรรดาตน้ ไมก้ ระบ่ี กลายเปน็ ต้นไม้
หยก ภูเขาดาบทั้งนน้ั กลายเปน็ รัตนบรรพต บรรดาแท่นเหลก็ ทองแดง
กลายเปน็ ธรรมาสน์ นา้ ทองแดงกลายเป็นน้าอมฤต อนั อ่อนหวาน ปวงเจา้
เวร เมอื่ ได้มาประสบ ตา่ งพากนั พน้ ทกุ ข์ แลนายกรรมทงั้ หลายแต่ในอดีต
เมือ่ ไดม้ าพานพบ ตา่ งพากนั อิสระบนั เทิง นิรยบดีเกิดจิตรเมตตา ปวงนริ ยา
~ 341 ~
มาตย์ต่างเกดิ กุศลจติ ร บดิ รมารดาทง้ั หลาย435 แต่นี้ พน้ จากปถุ ุชนเป็นที่
อารยะ ญาตมิ ิตรทั้งปวง ตา่ งได้รบั บุญญา เบญจบุพพนิมิต436 ในเทวภมู ิ
ไมป่ รากฏ จตุลกั ษณะ437 ในมนษุ ยภมู ิ ลว้ นวา่ งเปลา่ อสูรสละสิน้ โกรธ
จติ ร สัตว์นรกดับแลว้ ซง่ึ ปวงทุกข์ ทุกขร์ อ้ นแหง่ เปรตทงั้ หลาย อนั มี
มากมาย ดุจเมลด็ ทรายในทอ้ งธารา เปลย่ี นเปน็ ความพิศทุ ธ์เิ ยน็ (เปรต)
ทั้ง ๑๐ จาพวก สละหนทางอันล่มุ หลง ขึน้ สู่ฝ่ังแหง่ การตรสั รู้ ขอ
แผ่ปรณธิ านนี้ โดยถว้ นทว่ั ทั้งในอธิ โลก ทั้งในปรโลก และในอนนั ตร
โลก ขอสรรพชีวติ ทั้งหลาย ต่างประจกั ษ์ในภูตตถตา ท้ังในอิธโลก ทง้ั ใน
ปรโลก และในอนันตรโลก ปวงผู้มวี ชิ ญา ตา่ งเข้าถึงพุทธมรรค ตอบแทน
435 บทวา่ 多生父母 “บดิ รมารดาทงั้ หลาย” มนี ยั ๒ ประการ ๑. หมายเอาสรรพ
ชีวิตทงั้ หลาย เพราะการเวียนเกิดตาย อนั นบั ประมาณมไิ ด้ ไม่มีสรรพชีวิตใด ไมเ่ คย
เป็บบิดรมารดาแหง่ เรา ๒. หมายเอา บิดรมารดาในทกุ ชาติ ที่เคยเกิดร่วมกนั มา
436 五衰, 天上五衰 เบญจบพุ พนิมิต คือ ลางบอกเหตลุ ว่ งหน้า๕ ประการ แก่
เทวดาผ้จู ะต้องจตุ ิ ได้แก่ ๑. ทิพยมาลาท่ีประดบั วิมานเหี่ยวแห้ง ๒. เครื่องทรงเศร้า
หมอง ๓. ผิวพรรณหมน่ หมอง ไมผ่ อ่ งใส ๔. เสโท (เหงื่อ) ไหลออกจากรักแร้ ๕. เบอ่ื
หน่ายในทิพยอาสน์
437 四相 จตลุ กั ษณะ คือ ลกั ษณะทงั้ ๔ ในมนุ ษย์ ได้แก่ ๑. 生相 อตุ ปาท
ลกั ษณะ คือ การเกิดขนึ ้ แหง่ ลกั ษณะ ๒. 住相 สถิติลกั ษณะ คือ การสถิต หรือ
ตงั้ อยู่ แห่งลกั ษณะ ๓. 異相 วลิ กั ษณะ คอื การแตกตา่ งกนั แห่งลกั ษณะ ๔. 滅相
นิรุทธลกั ษณะ คือ การดบั ไป แหง่ ลกั ษณะ
~ 342 ~
พระคณุ ทงั้ ส่ี438 โดยถว้ นท่วั ทง้ั ไตรภพ ตา่ งได้รับผลกศุ ล สรรพสัตว์ท้ัง
ธรรมธาตุ ตา่ งเข้าถึงสรวถาชญาน โดยทวั่ กัน
ปวง พระตถาคต พระสัทธรรม พระโพธิสตั ว์ พระภิกษุสงฆ์
ตลอดจน โพธิ ขา้ ฯ ขอเขา้ ถึงเป็นศรณะ
ขา้ ฯ บาเพ็ญปวงกศุ ลมลู
เพ่ืออุปการะสรรพชีวิต ขอตัง้ ปรณธิ าน ตรัสรูอ้ นตุ ตรสมั มาสมั โพธิญาณ
ทง้ั โลกยิ ะ และโลกุตตระ
ขอปรณธิ านจงสาเร็จ ขอปรณิธานจงสาเรจ็
อาศัยโยคานศุ าสนี กระทาธรรมไพที
บาเพ็ญสมนั ตทานแด่สรรพชีวติ ตา่ งสาเร็จพทุ ธมรรค
438 四恩 พระคณุ ทงั้ ๔ ทา่ นได้แสดงไว้ ๒ นยั คือ นยั ท่ี ๑. ได้แก่ บดิ รมารดา,
สรรพชีวิต, ผ้ปู กครองและประเทศชาต,ิ พระรัตนตรัย และ นยั ท่ี ๒. ได้แก่ บิดร,
มารดา, พระตถาคต, ครูอาจารย์
~ 343 ~
ตอ่ มา กระทา ปริปรู ณปเรษติ 439มทุ รา
(สองหตั ถ์ กระทาํ วชั รมษุ ฏิ วีรยะและพละ เกี่ยวกนั แล้ววา่ ดงั น)ี ้
๏ โอมฺ วัชระ โมกษะ มุหฺ ๚ะ๛440
439 圓滿奉送 ปริปรู ณปเรษิตะ การน้อมสง่ โดยสมบรู ณ์
440 นีค้ อื วชั รโมกษมนตร์ 《金剛解脫真言》唵。斡資囉(二合)穆吃吒
(二合)穆。oṃ vajra mokṣa muh
~ 344 ~
(เมอ่ื สวดมนตร์ แลกระทํามทุ รา พงึ มนสกิ ารวา่ ปวงพระตถาคต โพธิสตั ว์
และสรรพชีวติ ตา่ งปลาสนาการไป กศุ ลมลู ทงั้ สอง441บริบรู ณ์ เทวะ อสรุ ะ
ยกั ษะ ล้วนเฉกกนั
ปจุ ฉา : ก็ถ้า พระพทุ ธเจ้าและพระโพธิสตั ว์ ไมป่ รากฏแล้ว ก็ใครเลา่ จกั เป็ น
สกั ขี ?
441 二善根 กศุ ลมลู ทงั้ ๒ ได้แก่ โลกิยกศุ ลมลู และ โลกตุ ตรกศุ ลมลู
~ 345 ~
วสิ ชั นา : ท่ีมาปรากฏนี ้มา คอื ไมไ่ ด้มาจริง ไป ก็ ไมไ่ ด้ไปจริง พระ
รัตนตรัยมีปกติสถิตอยเู่ ป็ นนจิ ดงั ทีส่ ทั ธรรมปณุ ฑกี สตู รแสดงไว้วา่ พระ
สถปู ยงั ปรากฏอยู่ และพระโพธิสตั ว์มา อนั พระสถปู และพระตถาคตนนั้ ไม่
มีทไ่ี มป่ รากฏ เมอ่ื เชิญ กม็ าจริง เม่อื สง่ ก็ไปจริง แลจกั กลา่ วไปใย กบั เปรต
หรือเทพทงั้ หลาย ศกึ ษาชนพงึ แจ้ง ดงั ฉะนี ้
ตอ่ ไปสวด วชั รสตั วศตกั ษรธารณี (๓ จบ) ดงั น)ี ้
~ 346 ~
~ 347 ~
วชั รสัตวศตกั ษรธารณี
๏ โอมฺ วัชร-สตั ตวะ สะมะยะ มะนปุ าละยะ วัชระ สตั ตะ-ตเวโนปะตษิ ฐะ
ทฤโฒ เม ภะวะ สโุ ตษโย เม ภะวะ อนรุ ักโต เม ภะวะ สโุ ปษโย เม ภะ
วะ สะรวะ สทิ ธิมฺ เม ประยจั ฉะ สะรวะ กะรมะสุ จะ เม จติ ตะ-ศรยิ ะหฺ กรุ ุ
หูมฺ หะ หะ หะ หะ โหหฺ ภะคะว สะรวะ ตะถาคะตะ วชั ระ มา เม มญุ จะ
วัชริ ภะวะ มะหา-สะมะยะ สัตตวะ อาหฺ ๚ะ๛442
(อนั มนตร์ทงั้ นี ้ก็เพ่ือยงั การทผ่ี ้บู าํ เพญ็ โยคะ กระทาํ มทุ ราผดิ หรือ
มนสกิ ารซดั สา่ ย ตลอดจน ข้อผดิ พลาดใด ๆ ล้วนให้ เข้าถงึ ความวศิ ทุ ธิ์
แล้วสวดคาํ วา่ “อา”443 (๒๑ จบ) แล้วมนสกิ ารวา่ การกระทําหลายก่อน
หน้านี ้มิอาจยดึ ถือ มาตรไมเ่ ป็ นทงั้ นี ้ยอ่ มลว่ งลงสู่ ความมี (โทษ) ฉะนนั้
อนั วา่ โยคเปรตพลี จกั กลา่ วโดยงา่ ยได้ไฉน
442 唵。斡資囉(二合)薩埵蘇。薩麻耶。麻納巴辢耶。斡資囉(二合)
薩埵諦。奴鉢諦瑟劄(二合) 得哩(二合)鋤。彌癹咓。蘇度束。彌癹
咓。阿奴囉屹都(二合)。彌癹咓。蘇布蘇。彌癹 咓。薩哩斡(二合)。
戌提彌。不囉(二合)耶茶。薩哩斡(二合)。葛哩麻(二合)。蘇拶彌。
稷 達。釋哩(二合)揚。骨嚕。吽。訶。訶。訶訶斛。癹葛灣。薩
哩斡(二合)。答塔葛達斡資 囉(二合)。麻彌們拶。斡資囉(二合)癹咓。
麻訶薩摩耶。薩埵阿。
443 ควรจะเป็น “อาหฺ”
~ 348 ~
จากนนั้ ทกุ คนกลา่ วดงั น)ี ้
กุศล แห่งโภชนทาน แสนพิเศษ
ขออุทิศ กศุ ลอปั ระไมย นี้
แก่สรรพชวี ิต ผจู้ มอยู่ โดยถ้วนทวั่
ไปอุบตั ิ ณ. พทุ ธเกษตร แหง่ พระอมติ าภะ
ปวงพระตถาคต ทั้งทศทิศ ในไตรยอวธวะ
พระมัญชศุ รี สมันตภทั ระ อวโลกเิ ตศวร
พระโพธิสตั ว์ มหาสตั ว์ ทงั้ หลาย
มหา ปรัชญา ปารมติ า
เข้าถงึ พระรตั นตรัย ว่าเป็นศรณะ อันโยคเปรตพลีสมตาอมฤตธรรมสงั คตี ิ
ทงั้ น้ี กุศลบริบูรณ์ กศุ ลปัจจัย เปน็ อัประไมย แผ่ไปทว่ั ทง้ั ธรรมธาตุ อัน
คณาได้ดุจเมล็ดทราย (ทกุ คนกลา่ วพร้อมกนั ) ขออภวิ าทตอ่ หมสู่ งฆ์
~ 349 ~
ཨོཾ ཨཾོโยคสงั ครหเปรตพลวี ิธี อวสานลงแตเ่ พยี งน้ี
~ 350 ~