(เม่ือยามทส่ี วดมนตร์นี ้พงึ มนสกิ ารวา่ เบอื ้ งหน้าหา่ งจากตนไป ๗ องคลุ ี
สงู ขนึ ้ ไป ๘ องคลุ ี ปรากฏอกั ษร ภรูมฺ สที อง แปรเปลย่ี นเป็ นวิมานวเิ ศษ
ทงั้ สหสรโลกธาตุ กลายเป็ นโลกธาตเุ ดยี ว โลกธาตเุ ดียว ก็หลอมรวม
กลายเป็ นมหาวิมานเดยี ว ล้วนแล้วอลงั การ มคี วามบนั เทงิ ดงั เชน่ ท่ี อวตงั
สกสตู ร ได้แสดงไว้ ฉะนนั้
ปจุ ฉา : เพราะเหตใุ ด โลกธาตหุ นงึ่ ต้องรวมเป็ นวมิ านเดยี ว ?
~ 151 ~
วิสชั นา : อนั ปฐพีนนั้ แตเ่ ดิม ล้วนวา่ งเปลา่ วา่ ถ้ามีนคร แตไ่ มม่ บี ริชนแล้ว
นครทงั้ หลายนนั้ ยอ่ มเป็ นหนงึ่ เดยี ว ฉะนนั้
ปจุ ฉา : ก็แล นครแหง่ สรรพชีวิตนนั้ อยทู่ ี่หนใด ?
วิสชั นา : ปวงพระตถาคต ทา่ มกลางสรรพชีวติ ใช้งานร่วมกนั
ปจุ ฉา : แล้วแคม่ นสกิ าร จะเกิดเป็ นวิมานได้ฤๅ ?
วิสชั นา : อนั สหสรโลกธาตทุ งั้ หลาย ตลอดจนความพเิ ศษประดามี ล้วนเกิด
จากภตู ตถตา หากพ้นแล้ว สง่ิ ไรไรยอ่ มมิมี บดั นอี ้ าศยั มายาพละ ยงั ให้สหส
รโลกธาตุ กลายเป็ นวมิ านเดียว นคี ้ อื “สรรพสงิ่ เกิดแตจ่ ิตรเรา” ฉะนนั้ )
~ 152 ~
ขอนอ้ มเกศ ต่อพระสารถิยาจารย์ ทงั้ ทศทศิ
สาแดง พศิ ุทธิ สัทธรรม
ตรยี าน จตรุ (มรรค) ผล188โมกษะบรรพชติ
188 四果 จตรุ (มรรค) ผล ในเถรวาท ได้แก่ มรรค ๔ ผล ๔ คอื ๑. โสดาบนั ๒.
สกิทาคามี ๓ . อนาคามี ๔. อรหนั ต์; สว่ นในทางมหายานและวชั รยาน ได้แก่ ๑.
ประถมภมู โิ พธิสตั ว์ ๒. อษั ฎภมู ิโพธิสตั ว์ ๓. ทศภมู ิโพธิสตั ว์ ๔. พทุ ธภมู ิ
~ 153 ~
โปรดประทาน เมตตากรุณา สธู่ รรมสงั คตี ิ189
นอ้ มอญั เชิญ พระรัตนตรัย
(กลา่ วแล้ว ยกดอกไม้อญั เชิญ ทกุ คนขานรับ ประธานถือกระถางสคุ นธ์
น้อมอญั เชิญ)
ขอนมสั การ สรวมจติ รอญั เชิญ ทั่วทศทิศ ทง้ั ธรรมธาตุ อนั เกษตรนอ้ ย
ใหญ่ทั้งหลาย ปวงพระพุทธเจา้ พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า คหุ ยปาทะ190
ธรรมบาลเทวราช เทวนาคท้ังแปดจาพวก191 พราหมณ์ ฤๅษี แลท้ังปวง
อารยะ ขออย่าไดข้ ดั ต่อปรณธิ าน กรณุ าต่อสรรพชวี ติ ณ. เพลาน้ี ขอจงมา
สู่ธรรมสังคีติ
189 法會 ธรรมสงั คีติ คอื ที่ประชมุ ธรรม อนั ได้แก่ พธิ ีโยคเปรตพลนี ี ้
190 金剛密跡, 密跡金剛 คหุ ยปาทะ, คหุ ยบาท เป็นยกั ษ์ในกามาวจรภมู ิ (วชั ร
ปาณิ) ฐานะเป็นรองท้าวสกั กะและท้าวจตมุ หาราช หตั ถ์ทรงไว้ซงึ่ วชั ระ เดิมคอื พระ
โพธิสตั ว์นิรมาณกายมา มหี น้าท่ี อารักษ์พระศากยมนุ ีตถาคต และ บําราบเดียรถีย์
191 天龍八部 “เทวนาคทงั้ แปดจําพวก” ได้แก่ ๑. เทพ ๒. นาค ๓. ยกั ษ์ ๔.
คนธรรพ์ ๕. อสรู ๖. ครุฑ ๗. กินนร ๘. มโหราค
~ 154 ~
(ทกุ คน ถือเอาดอกไม้ขนึ ้ แลกลา่ วดงั นี)้
อาศยั โยคศาสน์ กาหนดสร้างมณฑล
ขอพระรตั นตรัย เมตตากรุณาทรงรบั
ปรากฏมณฑลพธิ ี
(ในสหสรภชุ เนตรโยควิธี แสดงไว้วา่ ๒ มอื กระทําวชั รมษุ ฎิ ทานและวรี ยะ
กบั ปรัชญาและพละ เกย่ี วกนั กระทําไว้ระดบั อก และวา่ ดงั น)ี ้
~ 155 ~
๏ โอมฺ วชั ระ จักระ หูมฺ ชะหฺ หมู ฺ ว โหหฺ ๚ะ๛192
192 唵。斡資囉 (二合) 拶裓囉 (二合) 吽。拶。吽。邦。斛。oṃ
vajra cakra hūṃ jaḥ hūṃ vaṃ hoḥ (บางแห่งออกวา่ “โอมฺ วชั ระ จกั ระ หมู ฺ
ชยา หมู ฺ วํ โหหฺ ๚ะ๛” oṃ vajra cakra hūṃ jyā hūṃ vaṃ hoḥ)
~ 156 ~
(พงึ มนสกิ ารวา่ พชี อกั ขระ ทอแสงตราบจนเทวโลก อญั เชิญพระปรัชญาอว
โลกิเตศวร มายงั มณฑลพธิ ี แลอนั พระปรัชญาอวโลกิเตศวรนี ้สาํ แดง
ประภาส อนั ประมาณมิได้ เชือ้ เชิญพระรัตนตรัย ทงั้ สมั ทรรศนะและคหุ ยะ
ตลอดจนธรรมบาล อนั ประมาณมิได้ มายงั มณฑลพธิ ี
ปจุ ฉา : พทุ ธศาสนานนั้ วา่ ด้วยเหตแุ ละผล แตไ่ รมาผลเป็ นหลกั แตเ่ หตุ
เพียงครึ่ง แล้วใยกาลนี ้จึงเหตเุ ป็นหลกั ผลเพยี งกึ่ง ?
วสิ ชั นา : ความนมี ้ ีนยั ๒ ประการ คอื ๑. พระโยคาวจรมเี หตปุ ัจจยั เขต
ร่วมกบั พระอวโลกิเตศวร จงึ พงึ ใช้เขตนนี ้ าํ ทาง แล้วค่อยเข้าถงึ พทุ ธเขต โดย
อญั เชิญให้พระอวโลกิเตศวร สอ่ งแสงรัศมี ทลู เชิญพระรัตนตรัย เฉก
เดียวกบั ท่ี พระโยคาพจรทลู เชิญพระอวโลกิเตศวร ฉะนนั้ ก็การทอ่ี าศยั
พระอวโลกิเตศวรเชิญพระรัตนตรัย นไี ้ มใ่ ช่เหตหุ ลกั ๒. พระอวโลกิเตศวรผู้
นี ้คอื พระโลกวีสตรี ณเตเชศวรประภาตถาคต193 ในกาลก่อน ได้คืนสู่
โพธิสตั ว์ฐานะ เพอื่ โปรดสรรพชีวติ อนั ผลสถาน194นี ้ถ้าจะเป็ นหลกั ก็ไม่
ถือวา่ เกินไป)
193 威德自在光明王如來, 世間廣大威德自在光明如來 พระโลกวสี ตี
รณเตเชศวรประภาตถาคต
194 果位 ผลสถานะ, ผลสถาน
~ 157 ~
ทกุ คน สวดพระนาม ๓๕ พระตถาคต195
(ตรงนกี ้ ลา่ ววา่ “ทกุ คน สวดพระนาม ๓๕ พระตถาคต” แตไ่ มม่ รี ะบไุ ว้ เลย
เพมิ่ ไว้ ดงั ตอ่ ไปนี)้
195 นามพระตถาคตทงั้ นี ้มาแต่ 聖三聚經 “อารยตริสกณั ฑสตู ร”
~ 158 ~
นามแห่งพระตถาคตท้งั ๓๕ พระองค์
~ 159 ~
「นะโม ศากยะมุนะเย ตะถาคะตายะ196
นะโม วชั ระสาระประมะรทเิ น ตะถาคะตายะ197
นะโม รตั นารจิเษ ตะถาคะตายะ198
นะโม นาเคศวะระราชายะ ตะถาคะตายะ199
นะโม วรี ะเสนายะ ตะถาคะตายะ200
นะโม วีระนนั ทเิ น ตะถาคะตายะ201
นะโม รตั นาคนะเย ตะถาคะตายะ202
นะโม รัตนะจนั ทระประภายะ ตะถาคะตายะ203
196 1. 南無釋迦牟尼佛
197 2. 南無金剛堅固能摧佛
198 3. 南無寶焰佛
199 4. 南無龍自在王佛
200 5. 南無勤勇軍佛
201 6. 南無勤勇喜佛
202 7. 南無寶火佛
203 8. 南無寶月光佛
~ 160 ~
นะโม โมฆะทะรศเิ น ตะถาคะตายะ204
นะโม รัตนะจนั ทรายะ ตะถาคะตายะ205
นะโม นริ มะลายะ ตะถาคะตายะ206
นะโม วิมะลายะ ตะถาคะตายะ207
นะโม ศรู ะทัตตายะ ตะถาคะตายะ208
นะโม พราหมะเณ ตะถาคะตายะ209
นะโม พระหมะทตั ตายะ ตะถาคะตายะ210
นะโม วะรุณายะ ตะถาคะตายะ211
204 9. 南無不空見佛
205 10. 南無寶月佛
206 11. 南無無垢佛
207 12. 南無離垢佛
208 13. 南無勇施佛
209 14. 南無淨行佛, 南無清淨行佛
210 15. 南無梵施佛, 南無清淨施佛,
211 16. 南無水王佛
~ 161 ~
นะโม วะรณุ ะเทวายะ ตะถาคะตายะ212
นะโม ภทั ระศรเี ย ตะถาคะตายะ213
นะโม อนันเตาชะเส ตะถาคะตายะ214
นะโม จนั ทะนะศรีเย ตะถาคะตายะ215
นะโม ประภาสะศรีเย ตะถาคะตายะ216
นะโม อโศกะศรเี ย ตะถาคะตายะ217
นะโม นารายะณายะ ตะถาคะตายะ218
นะโม กสุ ุมะศรเี ย ตะถาคะตายะ219
212 17. 南無水天佛
213 18. 南無賢吉祥佛
214 19. 南無無量威德佛
215 20. 南無栴檀吉祥佛
216 21. 南無光吉祥佛
217 22. 南無無憂吉祥佛
218 23. 南無那羅延吉祥佛, 南無那羅延佛
219 24. 南無花吉祥佛, 南無華吉祥佛
~ 162 ~
นะโม ปทั มะชโยติรวกิ รีฑติ าภชิ ญายะ ตะถาคะตายะ220
นะโม ธะนะศรเี ย ตะถาคะตายะ221
นะโม สมฤติศรีเย ตะถาคะตายะ222
นะโม สปุ ะรกิ รี ติตะนามะเธยะศรีเย ตะถาคะตายะ223
นะโม อินทระเกตุธวะชะราชายะ ตะถาคะตายะ224
นะโม สวุ ิชติ ะสครามายะ ตะถาคะตายะ225
นะโม สุวิกรานตะศรเี ย ตะถาคะตายะ226
นะโม วกิ รานตะคามเิ น ตะถาคะตายะ227
220 25. 南無蓮花光遊戲神通佛, 南無蓮華光遊戲神通佛
221 26. 南無財吉祥佛
222 27. 南無念吉祥佛
223 28. 南無善稱名號吉祥佛
224 29. 南無帝幢幡王佛
225 30. 南無鬥戰勝佛
226 31. 南無勇健吉祥佛
227 32. 南無勇健進佛
~ 163 ~
นะโม สะมนั ตาวะภาสะวยหู ะศรีเย ตะถาคะตายะ228
นะโม รตั นะปทั มะวกิ รามเิ ณ ตะถาคะตายะ229
นะโม รัตนะปัทมะสปุ ระติษฐิตไศเลนธะราชายะ ตะถาคะตายะ230」231
พระไวโรจนตถาคต
แรงปรณิธาน ครอบคลุมทุกโลกธาตุ (ทม่ี ีจานวน ดุจ) เมลด็ ทราย (ในมหาคงคา
ธาร)
อนั ปวง เกษตร ท้ังหลาย
แปรเปน็ อนตุ ตรจกั ร
228 33. 南無普遍照曜莊嚴吉祥佛
229 34. 南無寶蓮花遊步佛, 南無寶蓮華遊步佛
230 35. 南無寶蓮花妙住山王佛, 南無寶蓮華善住山王佛
231 ใน 聖三聚經 “อารยตริสกณั ฑสตู ร” ไมม่ นี ามท่ี 12 คือ 離垢佛 วมิ ะลายะ
ตะถาคะตายะ (พระวมิ ลตถาคต) แตอ่ อกนาม ในลําดบั ที่ 24 แทน วา่ 清淨光遊
戲神通佛 พระหมะชโยติรวิกรีฑติ าภิชญายะ ตะถาคะตายะ (พระพรหมชโยตริ วิ
กรีฑิตาภิชญาตถาคต)
~ 164 ~
ทกุ คนสวด ปรัชญาปารมิตาหทยั สูตร ๑ จบ
(ในทีนกี ้ ลา่ ววา่ “ทกุ คนสวด ปรัชญาปารมติ าหทยั สตู ร ๑ จบ” แตต่ ้นฉบบั
ภาษาจีนไมไ่ ด้ลงไว้ จงึ นาํ มาเพ่มิ ไว้ ดงั น)ี ้
ปรัชญาปารมิตาหฤทยั สูตร
「พระอวโลกเิ ตศวรโพธิสัตว์ เมอ่ื กาลท่ีมนสกิ าร ปรชั ญาปารมติ า
อนั คมั ภรี ภาพนั้น แจ้งชดั วา่ เบญจขันธ์คือศูนยตสภาวะ ขา้ มพน้ จากทกุ ข์ท้ัง
ปวง ดูกรศารบี ุตร รปู ไมต่ า่ งจากศนู ยตา ศูนยตาไมต่ า่ งจากรูป รปู คือศนู ย
ตา ศูนยตาก็คือรปู เวทนา สชญา สการะ วชิ ญา กเ็ ฉกกนั ดกู รศารบี ตุ ร
สรรพธรรมเป็นศูนยตลักษณ์ ไม่เพ่ิม ไม่ลด ไม่เกดิ ไม่ดับ ไมส่ กปรก ไม่
สะอาด ไม่บกพร่อง ไมบ่ ริบรู ณ์ ไม่มีจักษ,ุ ศโรตะ, ฆรานะ, ชิหวา, กาย,
มนะ ไม่มรี ูป, ศพั ทะ, คนั ธะ, รสะ, สปะรศะ232, ธรรมารมณ์ ไมม่ ี
รูปธรรม, ศพั ทธรรม, คันธธรรม, รสธรรม, สปะรศธรรม ไม่มรี ปู ธาตุ
ตลอดจน ไม่มีศัพทธาตุ, คนั ธธาต,ุ รสธาต,ุ มโนชญาธาตุ233 ไมม่ อี วิทยา
232 觸 สปะรศะ ผสั สะ การสมั ผสั
233 意識界 มโนชญาธาตุ มโนวิญญาณธาตุ ความรับรู้ทางใจ
~ 165 ~
และย่งิ ไมค่ วามส้ินไปแหง่ อวทิ ยา ตลอดจนไม่มีชราและมรณะ และย่งิ ไม่มี
ความส้นิ ไปแหง่ ชราและมรณะ ไมม่ ที ุหขฺ ะ สมทุ ยะ นโิ รธ มารค ไมม่ ี
ปรัชญาและปรปติ234 เม่ือไม่มีปรปติ พระโพธสิ ตั ว์ มปี รัชญาปารมติ าเป็น
เครอื่ งอยู่ จิตรย่อมพน้ แล้วจากอาวรณ์235 เมอ่ื พ้นแลว้ จากอาวรณ์ ยอ่ มพน้
จากการไมม่ สี ติ พ้นแล้วจากวิปรยาย236 เข้าถึงนิษฐา237แห่งนริ วาณ
พระตถาคตในไตรยอวธวะ238 อาศยั ปรชั ญาปารมติ า เขา้ ถึงอนตุ ตรสมั ยัก
สัมโพธิ อภิสมั พทุ ธะ อันปรชั ญาปารมติ านี้ คอื มหามนตร์ คอื มหาวิทยา
มนตร์ คือ อนตุ ตรมนตร์ คอื อสมสมมนตร์ สามารถระงับสรรพทุกข์ เป็น
ความสตั ย์แท้ ไม่มผี ดิ พระปรัชญาปารมิตา ดงั น้ี ตทั ยะถา คะเต คะเต ปา
ระคะเต ปาระสคะเต โพธิ สวาหา」239
234 得 ปรปติ ความเข้าถงึ เช่น การเข้าถงึ ธรรม ทงั้ ยงั หมายถงึ การถือเอา ฯลฯ
235 罣礙 อาวรณะ อาวรณ์ คอื เคร่ืองกนั้ เครื่องกําบงั อปุ สรรค
236 顚倒 วิปรยาย คือ ปรยายอนั ผดิ
237 นิษฐา ฐานะ
238 三世 ไตรยอวธวะ หรือ ไตรโลก คอื กาลทงั้ ๓ ได้แก่ อดตี ปัจจบุ นั อนาคต
239 觀自在菩薩,行深般若波羅蜜多時。照見五蘊皆空,渡一
切苦厄。舍利子,色不異空,空不異色,色即是空,空即是色,
受想行識,亦復如是。舍利子,是諸法空相,不生不滅,不垢
不淨,不增不減。是故空中無色,無受想行識,無眼耳鼻舌身
意,無色聲香味觸法,無眼界,乃至無意識界。無無明,亦無
~ 166 ~
(ปรัชญาปารมติ าหฤทยั สตู ร อวสานลง แตเ่ พยี งน)ี ้
บังคมทลู ปวงพระตถาคตเจา้ ทัง้ ทศทิศ ปรัชญาโพธิสตั ว์ วัชรเทวะ
ทั้งหลาย ตลอดจนปวงกรรมเทวา240 และปวงอารยาธกิ เทวดา241 บัดนี้
ข้าพเจา้ (ออกนามตนเอง) อาศยั มหาเมตตากรณุ า แหง่ พุทธานุภาพ ขอ
อญั เชิญปวงทุรคติ ไตรอบาย242 นรก ท่ัวทศทิศ ทั้งอากาศธาตุ อดตี กัลป์
ล่วงกาลนานไกล ปวงเปรตที่อดอยาก ปวงพระยม บนฟ้าและใต้ดนิ เทพผู้
สอดสอ่ งดกู รรมของมนษุ ย์ พราหมณ์ ฤๅษี ท่ีตายนานแลว้ อาตวิก
無明盡,乃至無老死,亦無老死盡。無苦集滅道,無智亦無得。
以無所得故,菩提薩埵,依般若波羅蜜多故,心無罣礙,無罣
礙故,無有恐怖,遠離顚倒夢想,究竟涅槃。三世諸佛,依般
若波羅蜜多故,得阿耨多羅三藐三菩提。故知般若波羅蜜多,
是大神呪,是大明呪,是無上呪,是無等等呪,能除一切苦,
眞實不虛。故說般若波羅蜜多呪,卽說呪曰:揭諦揭諦,波羅
揭諦,波羅僧揭諦,菩提薩婆訶。 ปรชั ญาปารมิตาหฤทยั สตู ร ฉบบั
ภาษาจีนมหี ลายฉบบั และบางฉบบั กส็ าบสญู ไปแล้ว ที่ลงในหนงั สือเลม่ นี ้เป็นฉบบั
ที่แปลสภู่ าษาจีน ใน ปี ค.ศ. ๖๔๙ โดย 玄奘法師 พระอาจารย์เสวยี นจ้าง (ค.ศ.
๖๐๒ – ๖๖๔) และถือเป็นฉบบั ท่ีแพร่หลายมากท่ีสดุ
240 業道, 業道神 กรรมเทวา คอื เทวดาท่ีคอยสอดสอ่ งดกู ารกระทําของมนษุ ย์
241 聖賢 อารยาธิกเทวดา คอื เทพผ้ปู ระเสริฐ
242 三途, 三涂 ไตรปักษะ ไตรอบาย คือ ทรุ คติทงั้ ๓ ได้แก่ ๑. 火途 นรก ๒. 刀
途 เปรต ๓. 血途 เดรจั ฉาน
~ 167 ~
เปรต243 ปวงอากาศเทวดา และญาตทิ ง้ั หลาย เทพผีประเภทต่าง ๆ ขอ
ปวงพระตถาคตเจ้า ปรัชญาโพธิสตั ว์ วชั รเทวดา ฯลฯ อารยาธกิ เทพ อนั มี
จานวนประมาณมิได้ ปวงกรรมเทวตา โปรดประทาน แสงโอภาส เมตตา
รฤกรักษา แผไ่ ปในอากาศธาตุ ทัง้ ทศทิศ ผนื ดนิ แผน่ ฟา้ กรรมเทวตา
เปรตอดอยากอัประมาณ บิดรมารดาในทกุ ภพชาติ บูรพชนในกาลกอ่ น
พราหมณ์ ฤๅษี หน้ีเวรทั้งหลาย ทงั้ (หนี้) ทรพั ย์ และ (หน้ี) ชีวิต ใน
โคตรตระกูลท้ังหลาย เทพผปี ระเภทต่าง ๆ ปวงญาติท้ังหลาย ขอพระ
พุทธานุภาพ มาปรากฏ ในกาลบัดนี้ ได้รับอตุ ตรธรรมอมฤตรสแหง่ พระ
ตถาคตเจ้า ยังใหโ้ ภชนะบริบูรณ์ ชมุ่ กาย ฉา่ ใจ บุญกศุ ลและปรัชญา
บริบูรณ์ ต้ังโพธจิ ิตร พน้ จากมิถยาจาร ถือพระรตั นตรัยว่าเป็นศรณะ
ประพฤตมิ หาเมตตาจิตร อุปการสรรพชีวติ ปรารถนาในอนุตตรมรรค ไม่
ลว่ งลงสู่ปวงอกุศลวิบากแห่งสังสารจักร มปี กตเิ กดิ ในตระกูลอนั ดี พ้นแล้ว
จากภยั มกี ายอันปกติพิสุทธิ์ บรรลอุ นุตตรสมั มาอภิสัมโพธิ (๓ จบ)
243 曠野冥靈 อาตวกิ เปรต เปรตที่อย่ใู นสถานที่รกร้าง
~ 168 ~
ถวายเบญจบชู า
ปวงเกษตร ทั้งทศทิศ
พระตถาคต และพระโพธิสตั ว์ ท้งั หลาย
อนันตารยาธกิ เทพ
แลปวงกรรมเทวตา
ขอพระเมตตากรุณา
มายังธรรมสังคีติ
กรุณารบั บปุ ผา ธปู ประทปี สุคนธ์ ผล วาทยะ
เครือ่ งบูชาทง้ั นี้
~ 169 ~
อกั ขระ โอมฺ ผดุ ขนึ้ (อา244 บปุ ผา ธปู ประทีบ อา สุคนธ์ ผล วาทยะ)
เทวมาตา ๑ พักตร์ ๔ กร ทอแสงประภาส (อา อา)
๒ กรบน กระทามุทราอนั วิเศษ (บุปผา ธปู ประทปี อา สคุ นธ์ ผล วาท
ยะ อา)
244 อกั ขระ อา มคี วามหมายถงึ ความพิสทุ ธ์ิแห่งวจีกรรม และการยงั สิ่งทงั้ หลายให้
บริสทุ ธิ์
~ 170 ~
๒ กรล่าง กระทามทุ ราจกั ร ประสานกัน หูมฺ โอมฺอาหมู ฺ โอมอฺ า
หูมฺ หรีหฺ อา วเิ ศษ (บุปผา ธปู ประทปี สคุ นธ์ ผล วาทยะ)
เทวมาตาบูชาพระตถาคต ขอพระพุทธองคเ์ มตตาทรงรบั
ปจั จยสวภาวะทีเ่ กิดข้นึ
เกดิ ความวิเศษนานาประการ (บุปผา ธูป ประทปี สคุ นธ์ ผล วาทยะ)
ถวายพระวชั ราจารยแ์ ละพระรัตนตรยั (อา อา)
ขอพระเมตตากรุณาทรงรับ
๏ ฮ.ู ..245 โอมฺ สะรวะ ตะถาคะตะ (ปษุ ปะ ธปู ะ อาโลกะ คนั ธะ ไนเวทยะ วาท
ยะ) ปูชามิ โฆษะมันตระ สะวะ มณั ฑะละ สะมะยะ หูมฺ ๚ะ๛246
245 “ฮ.ู ..”, “อฮู ”ู เป็นการสง่ เสยี งแสดงอารมณ์ คล้ายกบั คาํ วา่ “โอ้โห”, “อ้หู ”ู ใน
ภาษาไทย
246戶唵薩哩縛怛他誐多 (布思必 度必 啞盧吉 干的 你尾的 沙布答)
布佐銘遏三謨怛囉薩嚩蘭拏三麻曳吽
~ 171 ~
(เมื่อยามท่สี วด และกระทาํ มทุ รานี ้มนสกิ ารวา่ บงั เกิดอกั ขระ หมู ฺ ทงั้ ๖ สี
ที่ดวงหฤทยั เป็ นตวั แทนของษัฑปารมติ า247 แลอกั ษรทงั้ ๖ นนั้ กลายเป็ น
เทวมาตา ทงั้ ๖ กระทาํ การ ฟ้ อนรํา บชู าถวายแดพ่ ระตถาคต
ปจุ ฉา : สที งั้ ๖ มอี ะไรบ้าง ?
247 六度, 六波羅蜜, 六波羅蜜多 ษฑั ปารมิตา คอื บารมที งั ้ ๖ ได้แก่ ทาน
ศีล กษานติ (ขนั ต)ิ วรี ยะ ธยาน (ฌาน) ปรชั ญา (ปัญญา)
~ 172 ~
วิสชั นา : ดอกไม้สแี ดง ธูปสเี หลอื ง ประทีปสแี ดงสด สคุ นธ์สขี าว ผลสแี ดง
เหลอื ง วาทยะสเี ขยี ว
ปจุ ฉา : ความแหง่ สที งั้ ๖ นี ้เป็ นไฉน ?
วสิ ชั นา : ดอกไม้คือทาน การให้ทาน ยอ่ มยงั ให้ชนทงั้ หลายยนิ ดี, ธูปคือศีล
การรักษาศีล ยอ่ มทําให้มีกลนิ่ หอม, ประทีปคอื กษานติ (ขนั ต)ิ ความอดทน
ยอ่ มยงั ให้เปลวเพลงิ แหง่ โทษะ กลายเป็ นตบะอยา่ งยงิ่ , คนั ธะคือวรี ยะ คือ
การยงั ให้ธรรมกายชมุ่ ชืน้ , ผลคอื ธยาน อนั จกั ยงั ให้ถงึ พทุ ธผล, วาทยะคือ
ปรัชญา อนั จกั ยงั ให้เกิดธรรมนานาประการ
ปจุ ฉา : เทวมาตาทงั้ นี ้อาศยั สง่ิ ไร มนสกิ ารให้เกิดขนึ ้ ?
วสิ ชั นา : อนั เทวมาตาทงั้ ๖ นี ้คอื เทวมาตาทงั้ ๖ ในสาํ นกั ของเหวชั ระ
ล้วนคือพทุ ธมาตา ดจุ พระสมนั ตภทั รและพระมญั ชศุ รี ฉะนนั้ )
~ 173 ~
【เหวชั ระ】
~ 174 ~
บัดนข้ี ้า ฯ อาศัย พลงั จรรยาปรณิธาน แห่งพระสมนั ตภทั ร ฯ
บาเพ็ญ บปุ ผา ธปู ประทีป คันธะ โภชนะ
ปวงอารยาธกิ ะ ในเกษตรนอ้ ยใหญ่ ทง้ั หลาย
ขอสกั การ แลถวาย เครือ่ งบชู า
ตอ่ มา กระทา มนสิการปูชามุทรา248
(สวด ๗ จบ มทุ รานี ้สองมอื ประสานกนั มอื ขวาทบั มือซ้าย การบชู าใด ๆ ก็
ตาม พงึ กระทํามทุ รานี ้แม้การกระทําโยคะ ก็พงึ กระทํามทุ รานี ้จงึ จกั ถือวา่
การบชู าทงั้ นนั้ บริบรู ณ์)
๏ นะมะหฺ สะรวะ ตะถาคะเตภยะหฺ วศิ วะ มุเขภยะหฺ โอมฺ สะรวะ
ถา ข อุคเต สประนะ เหม คะคะนะ ข สวาหา ๚ะ๛249
248 四運供養心 การมนสิการบชู า แบง่ ออกเป็น ๔ ประการ ดงั นี ้๑. 未供養
ยงั ไมบ่ ชู า ๒. 欲供養 ปรารถนาจะบชู า ๓. 正供養 กําลงั บชู า ๔. 供養巳 ได้
บชู าแล้ว โดยทงั้ ๔ กาลนี ้ล้วนมีความยินดี อ่ิมเอบิ ใจ
~ 175 ~
(เม่อื ยามท่กี ระทาํ มทุ รา และสาธยายมนตร์นี ้พงึ มนสกิ ารวา่ ทวั่ ทงั้ อากาศ
ธรรมธาตุ บงั เกิดมีเครื่องบชู าอนั วิเศษ ของมนษุ ยแ์ ละเทวดา อนั ได้แก่
คนั ธะ บปุ ผา ธปู ประทีป ฯลฯ ธวชั ฉตั ร ธง สงั คีต นกั ฟ้ อน ตาขา่ ยมกุ มณี
249 那麻薩哩斡(二合)。答塔葛的毗牙(二合)。月說穆契毗牙
(二合)。唵(引)。薩哩斡(二合)哩塔。烏忒葛(二合)的。斯癹(二合)
囉納兮慢。葛葛捺龕莎訶。
~ 176 ~
ปวงรัตนะทงั้ หลาย ทงั้ มาลาและจามร สง่ สาํ เนียงอนั พิเศษ แลแหดอก
กรรณิการ์ ต้นกลั ปพฤกษ์ เมฆาภรณ์ ปวงเทวโภชนะ วเิ ศษงดงาม สง่ กลนิ่
หอม ประภาคาร นานาประการ ปวงเทวาลงั การ มงกฎุ เกยรู มากมายดจุ
เมฆ อนั พระโยคะ พงึ มนสกิ าร ให้แผเ่ ตม็ ไปในอากาศธาตุ แลน้อมบชู าไป
ด้วยประสนั นจติ ร250)
ด้วยประสันนจติ รแห่งข้า ฯ ขอถวายอมฤตโภชนะ
ขอพระรตั นตรยั ขบั มารและทรงรับ
ต่อมา กระทา ขบั มารมทุ รา
(ถวายโภชนะแดพ่ ระรัตนตรัย พงึ กระทําเมาลมี ทุ ราก่อน แล้วให้นวิ ้ ธยาน
กดนวิ ้ ทาน สว่ น นวิ ้ ศีล กษานติ วรี ยะ ย่นื ออกมา แล้ววา่ ดงั น)ี ้
250 至誠心, 志誠心 ประสนั นจิตร ปสนั นจิต จิตรจงภกั ดอ์ิ นั ย่ิง จิตอนั เลอื่ มใส
ยิ่ง
~ 177 ~
๏ โอมฺ วัชระ ยักษะ หมู ฺ ๚ะ๛251
(เมื่อยามทกี่ ระทาํ มทุ รา และสาธยายมนตร์นี ้พงึ มนสกิ ารวา่ ทว่ั ทงั้ อากาศ
ธรรมธาตุ บงั เกิดมเี คร่ืองบชู าอนั วิเศษ ของมนษุ ยแ์ ละเทวดา อนั ได้แก่
คนั ธะ บปุ ผา ธปู ประทปี ฯลฯ ธวชั ฉตั ร ธง สงั คีต นกั ฟ้ อน ตาขา่ ยมกุ มณี
251 唵(引)。斡資囉(二合)。拽屹徹(二合)吽。
~ 178 ~
ปวงรัตนะทงั้ หลาย ทงั้ มาลาและจามร สง่ สาํ เนียงอนั พเิ ศษ แลแหดอก
กรรณิการ์ ต้นกลั ปพฤกษ์ เมฆาภรณ์ ปวงเทวโภชนะ วเิ ศษงดงาม สง่ กลนิ่
หอม ประภาคาร นานาประการ ปวงเทวาลงั การ มงกฎุ เกยรู มากมายดจุ
เมฆ อนั พระโยคะ พงึ มนสกิ าร ให้แผเ่ ต็มไปในอากาศธาตุ แลน้อมบชู าไป
ด้วยประสนั นจิตร)
ขา้ ฯ อาศัยพทุ ธานุภาพ แลอนศุ าสน์คหุ ยมนตร์
อธิษฐานอมฤตโภชนะ แผไ่ ปทว่ั ทั้งอากาศธาตุ
ตอ่ มา กระทา วิปริณามศูนยต252มทุ รา
(ขนานหตั ถ์ทงั้ ๒ ข้าง ดจุ ดอกบวั ไว้ทร่ี ะดบั อก แลวา่ มนตร์ดงั น)ี ้
๏ โอมฺ สวภาวะ ศุทธะ สะรวะ ธะรมะ สวภาวะ ศุทโธ ข โอมฺ
อา หูมฺ ๚ะ๛253
252 變空 วิปริณามศนู ยตะ คอื การแปรเปลีย่ นให้เกิดความวิสทุ ธิ์ (ความวา่ ง)
~ 179 ~
(เมื่อยามทก่ี ระทาํ มทุ รา และสาธยายมนตร์นี ้พงึ มนสกิ ารวา่ โภชนะและ
ภาชนะ เตม็ ไปในอากาศธาตุ ด้วยมกี ารสมั ผสั มาก จงึ ต้องมกี ารชาํ ระให้
สะอาด จงึ พงึ มนสกิ ารวา่ บนท้องฟ้ า มอี กั ษร ภรูมฺ สที อง ๓ ตวั กลายเป็ น
253 唵。莎癹斡秫塔。薩哩斡(二合)塔哩麻(二合)。莎癹斡秫徒㰠。
唵(引)啞吽。นีค้ ือ 淨三業真言 สภาวศทุ ธิธารณี บางแหง่ แสดงไว้ดงั นี ้“โอมฺ
สวภาวะ ศทุ ธะ สะรวะ ธะรมะ สวภาวะ ศทุ โธ หํ”
~ 180 ~
ภาชนะ แลอกั ษร โอมฺ สขี าว กลายเป็ นโภชนะอนั วิเศษ ล้วนคอื เปรียง นม
สด นมส้ม254 ข้าวตอก นาํ ้ ผงึ ้ เพื่อให้เกิดความวศิ ทุ ธ์ิ จึงสวด “โอมฺ อา
หูมฺ” ๒๑ จบ และเพือ่ ให้ไพบลู ย์ จึงต้องสวด “ชะหฺ หมู ฺ ว โหหฺ”255 แล
กระทาํ มทุ รา มนสกิ ารวา่ พระรัตนตรัยสาคร มาปรกฏชดั เจน แล้วจึงทาํ การ
ถวายเบญจบชู าและปวงรัตนะ แล้วมนสกิ ารสวด “สะมะระ”256 ฯลฯ
มนสกิ ารวา่ พระตถาคตทรงรับ เบอื ้ งต้นถวายแดพ่ ระพทุ ธเจ้า ถดั มาคอื
ถวายแดพ่ ระโพธิสตั ว์และพระภกิ ษุสงฆ์ แล้วคอ่ ยถวายแกเ่ ทพธรรมบาล
เมอ่ื ครบแล้ว ทาํ การถวายนาํ ้ วา่ ดงั นี)้
254 五味 เบญจโครส ในมหาปรินิรวาณสตู ร ได้แสดงผลติ ภณั ฑ์จากนมววั ไว้ ๕
ประการดงั นี ้๑. 乳 กษีระ (ขีระ) นํา้ นมสด ๒. 酪 ทะธิ นมส้ม ๓. 生酥 นวนีตะ
(นวนีตงั ) เนยดิบ (เนยข้น) ๔. 熟酥 สะรปิ (สปั ปิ , คหรตะ) เนยสกุ (เนยใส) ๕. 醍
醐 มณั ฑะ, สะรปิ มณั ฑะ เปรียง; ในมหาปรินิรวาณสตู ร แสดงไว้วา่ 「善男子!
譬如從牛出乳,從乳出酪,從酪出生酥,從生酥出熟酥,從熟
酥出醍醐。醍醐最上。。。」“ดกู รกลุ บตุ ร ! อปุ มาดงั จากววั ได้นํา้ นมสด
จากนมสดได้นมส้ม จากนมส้มได้เนยดิบ จากเนยดิบได้เนยสกุ จากเนยสกุ ได้เปรียง
เปรียงเป็ นยอด”
255 บางแหง่ ออกวา่ “ชยา หมู ฺ วํ โหหฺ”
256 คือ รัตนมนตร์ ในหน้า 127 – 128
~ 181 ~
ขออมฤตโภชนะนี้ ถวายแดอ่ ารยาธิกเทพ
เมตตาข้า ฯ ท้ังหลาย กรณุ าโปรดรบั
~ 182 ~
ต่อมา กระทา ไนเวทย257มุทรา
(ขนานมือทงั้ สอง ดจุ การประคองนาํ ้ สวดไนเวทยมนตร์ ๓ จบ แล้ว
ดีดนวิ ้ ๑ ครัง้ )
๏ โอมฺ อา คะ รุ มุ ข สะรวะ ธะรมะน อ ธยะ นตะ ปะตะ นตะ
โอมฺ อา หูมฺ ผัฏ สวาหา ๚ะ๛258
257 奉食 naivedya ไนเวทย การถวายโภชนะ
258 唵(引)。啞葛嚕穆看。薩哩斡(二合)。塔哩麻(二合)喃。啞牒耶
(二合)(引)奴忒。班答奴忒。唵啞吽。癹吒莎曷。
~ 183 ~
(มนสกิ ารวา่ ปวงพทุ ธบตุ รทงั้ หลาย ตา่ งถวายเคร่ืองบชู า แดพ่ ระรตั นตรัย
บงั เกดิ ปรมทุ ติ าจิตร แลในสงิ่ ท่ีปรารถนา ตา่ งประสทิ ธิผล แลเชิญปวง
อารยะทงั้ หลาย เข้าสมู่ ณฑลพธิ ี แล้วบชู าด้วย ธปู บปุ ผา ประทีป คนั ธะ
นานาประการ เสร็จแล้ว กลา่ วไนเวทยคาถา ดงั น)ี ้
~ 184 ~
ส่ันระฆงั สวดไนเวทยคาถา
บดั น้ี ขา้ ฯ ถวาย อมฤตโภชนะ
มีคณา ดจุ อนตุ ตร สเิ นรุ
รปู กล่นิ งาม รส ท่ัวนภา
ขอพระวัชราจารย์ พระรตั นตรยั โปรดทรงรับ
จากนนั้ ถวาย สมั ทรรศน์คุหยธรรมบาล
บาราบมาร ยงั ให้เกิด ความศานติ
ขอปวงทายก ทั้งหลายเลา่
อายุวัฒน์ พน้ ภยั เพม่ิ บญุ ญา
ความประสงค์ ในกิจท้ังหลาย จงสาเร็จ
สรรพกาล ท้ังหลาย ล้วนสวสั ดี
~ 185 ~
สรรเสริญพระรัตนตรัย
พระโลกเชษฐ์ มหาเมตตา อลงั การ
โมกษะวทิ ยา บริบรู ณ์ เขา้ ถึงสรวชญาชญาน259
สามารถประทาน บญุ และปรชั ญา ดุจมหาสาคร
ข้า ฯ ขอสรรเสรญิ อภิวาท พระตถาคตเจา้ ท้ังหลาย
สภาวะด้ังเดมิ ปราศจากกาม
สามารถอาศัย จรรยาน้ี พ้นจากทุรคติ
นี้คือ วเิ ศษนยั อันคมั ภรี ภาพ
ขา้ ฯ ขออภวิ าท พระสัทธรรมทั้งหลาย
259一切智, 一切智智 สรวชญาชญาน สรวถาชญาน สพั พญั ํตุ ญาณ ความรู้
อนั แจ้งในทกุ ส่ิง
~ 186 ~
เปน็ เอก ในทา่ มกลาง วิมุตตมิ รรค
รักษา ปาริศทุ ธศิ ลี ควรแก่การเคารพ
เป็นนาบญุ วเิ ศษ ท่ใี ห้กาเนิด พระอารยะ
ขา้ ฯ ขออภิวาท พระสงั ฆะ ท้ังหลาย
มีปกติ เขา้ ธยาน ที่โปตลกะ260
ตามเหตุปัจจยั เขา้ ไปสัมผัส ไม่มที ่ีใดที่ไม่ถงึ 261
คอยสดับเสียง ฉุดชว่ ย ปวงหลงใหล
260 普陀落伽, 補怛洛伽 โปตลกะ เป็นที่ประทบั ของพระอวโลกิเตศวร
(นกั วชิ าการชาวญ่ีป่ นุ ช่ือ ชู ฮิโกซะกะ ได้อาศยั เอกสารโบราณ สนั นิษฐานวา่ อาจจะ
ตงั้ อย่ใู นเขต Papanasam รฐั ทมฬิ นาฑู ประเทศอินเดีย มีพิกดั ที่ประมาณ ละติจูด
๘ องศา ๔๓ ลปิ ดาเหนือ ลองจิจดู ๗๗ องศา ๒๒ ลปิ ดาตะวนั ออก)
261 บทวา่ 隨緣赴感靡不周 “ตามเหตปุ ัจจยั เข้าไปสมั ผสั ไมม่ ที ่ีใดท่ีไมถ่ ึง” มา
แตอ่ วตงั สกสตู ร ดงั นี ้「佛身充滿於法界,普現一切眾生前,隨緣赴
感靡不周,而恒處此菩提座。」 “พทุ ธกายแผไ่ ปทว่ั ธรรมธาตุ ปรากฏตอ่
เบอื ้ งหน้าสรรพชีวติ ทงั้ หลาย ตามเหตปุ ัจจยั เข้าไปสมั ผสั ไมม่ ที ี่ใดที่ไมถ่ ึง ทวา่ ธํารง
อยโู่ พธิอาสน์นี ้นิรนั ดร์กาล”
~ 187 ~
จงึ ไดม้ นี ามวา่ “อวโลกเิ ตศวร”
~ 188 ~
จากน้นั เขา้ สู่ อวโลกิเตศวร ธยานปารมิตา
(ในเบอื ้ งต้น ได้กระทาํ การ บชู าพระรัตนตรัยแล้ว คือบญุ ปรยาย มีกศุ ล
ทวา่ ไมม่ ีปรชั ญา การทมี่ ีบญุ แตไ่ ร้ปรัชญานนั้ ยอ่ มลว่ งลงสมู่ นษุ ย์สมบตั ิ
และสวรรค์สมบตั ิ บดั นี ้มาตรฝึกฝนบําเพ็ญ อวโลกิเตศวรธยานปารมิตา
ยอ่ มจกั มพี ร้อมทงั้ กศุ ลและปรัชญา ดจุ ดงั พระตถาคตเจ้า ฉะนนั้ จากนนั้
คอ่ ยอปุ การะสรรพชีวิตทงั้ หลาย ทว่ั ทงั้ ธรรมธาตุ
กรมทาน262กลา่ วดงั นี ้“ต่อไปเข้าอวโลกิเตศวรธยานปารมติ า” อาจารย์ผู้
เป็ นประธาน กระทาํ ธยานปารมติ า (ศมาธิ) คสู่ วดประกาศคาถา เสยี งต้อง
ออ่ นโยนสดใส อยา่ ได้ดรุ ้ายแขง็ กระด้าง จนกระทบตอ่ การทําเข้าธยาน แต่
ก็อยา่ ให้เสียงไปใกล้เคยี งกบั หนมุ่ สาว ในทางโลกียวิสยั
เมอ่ื เข้าธยานนนั้ ปิ ดตา ทําใจให้สงบ มนสกิ ารวา่ กายตน สะอาดสวา่ ง ดจุ
ปรู ณจนั ทร์ ใจท่ีสะอาดดจุ พระจนั ทร์ มนสกิ ารอกั ขระ หรีหฺ ทอแสงสกาว
แปรเปลย่ี นเป็ นอบุ ล ๘ กลบี มพี ระอวโลกิเตศวร ลกั ษณะงดงามประทบั อยู่
262 維那 กรมทาน คอื ผ้ทู ี่ทําหน้าที่รองจากประธาน
~ 189 ~
พระหตั ถ์ซ้ายถือดอกบวั พระหตั ถ์ขวาแย้มกลบี บวั ออก มนสกิ ารวา่ สรรพ
ชีวติ ทงั้ หลาย ตา่ งมพี ทุ ธิดงั ปณุ ฑรีกนี ้เป็ นธรรมธาตอุ นั พิศทุ ธ์ิ ไมเ่ กลอื ก
กลวั้ ด้วยกเิ ลส กลบี บวั ทงั้ ๘ ตา่ งมพี ระตถาคตเจ้า เข้าธยานอยู่ ประทบั นงั่
ค้บู ลั ลงั ก์ สอ่ งแสงสกาว ร่วมกบั พระอวโลกิเตศวร สวา่ งไสว พระวรกายมีสี
ทอง แสงนนั้ โชตชิ ว่ ง แลมนสกิ ารวา่ ปัทมะนนั้ คอ่ ย ๆ ใหญ่ขนึ ้ ใหญ่จน
ประดจุ ท้องนภา แลมนสกิ ารวา่ ดอกอบุ ลนนั้ ได้บชู าพระตถาคตเจ้า ที่มี
จํานวนมากมาย ดจุ มหาสาคร สาํ เร็จเป็ นไวปลุ ยปชู า และขอให้ชนผ้สู มั ผสั
ดอกกมลนี ้ตา่ งพ้นกเิ ลสทกุ ข์โดยทวั่ กนั มีกายมหาลกั ษณะ ดจุ พระ
โพธิสตั ว์ แลมนสกิ ารอบุ ลนนั้ คอ่ ย ๆ เลก็ ลง มีประมาณเทา่ กบั กาย แล
กระทํามทุ รา สวดธารณี อธิษฐานทงั้ ๔ สถาน)
ขอนอบน้อม พระรัตนตรัย อนั ประมาณมไิ ด้
บัดนี้ขา้ ฯ ต้ังปรณธิ าน โพธิจติ ร
ขอพระโพธิสตั ว์ สงเคราะห์รบั
ประจักษ์ อวโลกเิ ตศวรวรลกั ษ์ ในเรว็ พลนั
จากนั้น เขา้ สอู่ วโลกิเตศวรศมาธิ
~ 190 ~
(จากหลงั ไปข้างหน้า)
หลบั ตา สารวมจิตร พจิ ารณา มนสิการใจตน
~ 191 ~
(การสาํ รวมจิตร คือ เวลาแหง่ การชําระให้วสิ ทุ ธิ์ ไมป่ ลอ่ ยไปภายนอก การ
ปิ ดตา กค็ ือเวลาแหง่ การมนสกิ าร ปัจจยั ภายนอกไมอ่ าจเข้ามาได้ ฉะนี ้
ปจุ ฉา : จิตรไมม่ อี ยู่ แล้วจะมีสถานที่อยู่ ได้อยา่ งไร ?
วิสชั นา : หมายเอาหวั ใจเนอื ้ อาศยั ใจที่รับรู้ กําหนดทใ่ี จเนอื ้ (หฤทยั วสั ด)ุ
ฉะนนั้ )
พศิ ุทธ์ิ สดใส ดุจปูรณะจันทร์
(ความสมบรู ณ์และสะอาด คือ หลกั และการนาํ ไปใช้แหง่ จิตร สมบรู ณ์ มมิ ี
คณุ ธรรมใดบกพร่อง นคี ้ อื หลกั สวา่ งสะอาด ไมม่ ีสง่ิ ใด สอ่ งไปไมถ่ งึ คือการ
นาํ ไปใช้ ฉะนนั้ )
พชี อักขระ ทอแสง กลายเปน็ ดอกบัว
~ 192 ~
(พชี อกั ษร หรีหฺ นี ้คอื นยั แหง่ การบรรลธุ รรม ของพระอวโลกิเตศวร คอื การ
โปรดสตั ว์วิเศษปรยาย ทอแสงกลายเป็ นดอกบวั นีค้ อื การสร้างดอกบวั
ฉะนนั้ )
ใจกลางดอกบวั มีพระอวโลกเิ ตศวร
(พีชอกั ษร หรีหฺ กลายเป็ นพระอวโลกิเตศวร อนโุ ลมปฏโิ ลมล้วนไมม่ ี
อปุ สรรค อนั ดอกบวั นี ้คอื ปัทมอาสน์ ฉะนนั้ )
วรลักษณ์ งดงาม หาใดปาน
(นเี ้ป็นคาถา โดยสรุป ถ้ากลา่ วให้ครบ พงึ ดงั นี ้“๑ พักตร์ ๒ กร กายทอ
แสงทอง บปุ ผา มงกฎุ เกยรู อลังการ เศยี รเทดิ ไวซ้ ่ึง พระอมติ าภะ ไร้ท่จี ะ
หาใด มาเปรียบปานได้” ฉะนี)้
พระหัตถซ์ ้าย ทรงไว้ซึ่ง ปทั มา
~ 193 ~
(นยั ยงั ให้เกิดกิจ263 ดอกไม้เป็ นตวั แทนของ ทงั้ เหตแุ ละผล ในเวลา
เดียวกนั ฉะนนั้ )
พระหัตถ์ขวา เปดิ แยม้ กลบี บุปผา
(กิจยงั ให้นยั ปรากฎ264 จึงได้แย้มกลบี บวั ออก เป็ นสวพทุ ธิ265)
พระโพธสิ ตั ว์ มนสกิ าร ถึงสรรพชีวติ
ตา่ งมี พุทธิ ดจุ กมลา
263 理 นยั คือ ทฤษฏีปริยตั ิประการหนึ่ง การแจ้งในนยั ย่อมนําไปสู่ 事 กิจ คือ
ปฏิบตั ิ ฉะนนั้
264 นยั สามารถยงั ให้เกิดกิจ กิจก็สามารถยงั ให้เกิดนยั นยั ไมใ่ ชก่ ิจ กจิ ไมใ่ ชน่ ยั นยั
ก็คอื กิจ กิจก็คอื นยั ฉะนนั้
265 自覺 สวพทุ ธิ คอื สภาวะพทุ ธะ (ความต่นื รู้) อนั มีอยใู่ นทกุ สรรพชีวติ
~ 194 ~
(คาภา ๒ บาทนี ้คือการรู้แจ้งในผ้อู ่นื ประพฤติโพธิสตั วจรรยา นยั แหง่
คาถานคี ้ อื สรรพชีวติ นนั้ ตา่ งมสี ภาวะ เชน่ เดยี วกบั พระโพธิสตั ว์ ล้วนคอื
พทุ ธิปัทมะ แตเ่ พราะวิปรยาย จงึ ไม่อาจประจกั ษ์ได้ จงึ เป็ นเหตใุ ห้พระ
โพธิสตั ว์ เกิดจิตรคดิ ชว่ ยเหลอื ในจดุ นีน้ นั้ อนั ผ้ปู ระพฤติโยคะ ไมค่ วรแยก
ระหวา่ งพระโพธิสตั ว์กบั ตนเอง ทก่ี ลา่ ววา่ พชี อกั ษร กลายเป็ นพระโพธิสตั ว์
อวโลกิเตศวร การมนสกิ ารทงั้ นี ้กห็ มายเอาตนผ้บู ําเพ็ญโยคะเอง วา่ ถ้าไม่
สามารถมนสกิ ารได้ การทจ่ี ะบาํ เพ็ญ (โยคเปรตพล)ี ตอ่ ไป ยอ่ มจกั เหนอ่ื ย
เปลา่ ฉะนนั้ )
ธรรมธาตุ พศิ ทุ ธิ์ ไรม้ ลทนิ
(การมนสกิ ารนนั้ ดงั เชน่ คาถา ๒ บาทบน จะแยกเป็ น ๒ สว่ นไมไ่ ด้ พิศทุ ธิ
ธรรม ไร้มลทนิ ฉะนนั้ )
อษั ฏฑละ266 ตา่ งมี พระตถาคต
266 八葉 อษั ฏฑละ (อษั ฏมณั ฑละ อษั ฏมณฑล) กลบี บวั ทงั้ ๘ นยั หนึ่ง นี่เป็นอกี
นามของเขาพระสเุ มรุ สว่ นอีกนยั หนงึ่ นนั้ ก็คอื นยั แหง่ 胎藏界 ครรภธาตมุ ณฑล
~ 195 ~
(อษั ฏฑละ หรือ กลบี บวั ทงั้ ๘ แตล่ ะกลบี ตา่ งก็มพี ระตถาคตนี ้คอื นยั แหง่
วชิ ญาทงั้ ๘ ที่มาแตจ่ ติ รเดยี ว ก็ในเมอื่ มจี ิตร เพียงหนงึ่ เดยี ว ก็ยอ่ มต้อง
เป็ นหนง่ึ เดยี ว ร่วมกบั อภิสมั โพธิ ฉะนนั้ จึงได้แสดงวา่ “(แต่ละกลีบ) ตา่ งก็มี
พระตถาคต” แลทงั้ ยงั หมายเอา พระอวโลกิเตศวรด้วย ที่แสดงถึงพระ
ตถาคต แตไ่ มก่ ลา่ วถงึ พระโพธิสตั ว์นนั้ นคี ้ ือการกลา่ วโดยรวม ทงั้ ตนและ
ชนอน่ื เมือ่ กลา่ วถงึ ชนอนื่ คือ สรรพชีวิตล้วนพศิ ทุ ธ์ิไร้มลทิน และเม่อื
กลา่ วถงึ ตนเอง ก็คือผ้บู าํ เพ็ญโยคะกบั พระตถาคต ตา่ งเข้าสธู่ ยานปารมิตา
ในเวลาเดยี วกนั ฉะนนั้ )
พระตถาคต เข้าส่ศู มาธิ ประทับคู้บัลลงั ก์
ตา่ งผินพระพักตร์ สู่พระอวโลกเิ ตศวร
(ปจุ ฉา : ศมาธิมหี ลากประการ บดั นเี ้ข้าสตู่ ถาคตศมาธิ อนั ศมาธินเี ้ป็ น
ไฉนฤๅ ?
วิสชั นา : คอื ศมาธิ ท่ีผ้บู าํ เพ็ญโยคะเข้าแล อนั ศมาธินี ้มนี ามวา่ “กษณกิ ม
หากรุณาธยานศมาธิ” แล
~ 196 ~
ปจุ ฉา : บทวา่ “ตา่ งผนิ พระพกั ตร์” อนั ๔ ทิศตา่ งผินพระพกั ต์นนั้ สามารถ
กระทําได้ แลอนทุ ิศทงั้ ๔ ตา่ งผนิ พระพกั ตร์ จะไมเ่ ป็ นการหนั พระ
ปฤษฎางค์ (และพระปรัศว์) ให้กนั ฤๅ ?
วสิ ชั นา : มาตรวา่ หนั พระปฤษฎางค์ให้กนั แล้ว จะได้นามวา่ “ตถาคต” ได้
เชน่ ไร นคี ้ อื การเคลอื่ นไหวโดยวิเศษฉะนนั้ วา่ ถ้ากลา่ วตามนยั แหง่ กิจ
ลกั ษณ์นนั้ ปวงพระตถาคตและพระโพธิสตั ว์ มไิ ด้จําแนกกายดงั เชน่ สรรพ
ชีวติ คือ (อนั สรรพชีวติ นนั้ เมื่อ) ผินหนบรู พา ปฤษฎางค์ยอ่ มบา่ ยไปหน
ประจิม ผินหนทกั ษิณ ปฤษฎางคย์ อ่ มบา่ ยไปหนอดุ ร ทวา่ พระโพธิสตั ว์มี
นิรมาณกาย คือกายอนั เกิดแตม่ นสั แผไ่ ปทกุ หนแหง่ แตล่ ะพระพกั ตร์นนั้
ยอ่ มตรง ดงั นีแ้ ล้ว พระตถาคตทงั้ ๘ ตลอดจนพระตถาคตเจ้าทงั้ หลาย จกั
หนั พระพกั ตร์ไมต่ รงได้ไฉน ศกึ ษาชนพงึ มนสกิ ารดงั นี ้อยา่ ได้มองด้านพระ
ปฤษฎางค์ (และพระปรัศว์) ฉะนนั้ )
พระกณั ฑ์ ประดับ ทอแสงสุพรรณประภาส
(ปรากฏวรกายอนั พเิ ศษ)
สกาวแสง สอ่ งสุกศรี
~ 197 ~
(ปรากฏเขตอนั วเิ ศษ)
จากนน้ั บณุ ฑรีกค่อย ๆ ขยายไป
ขนาดใหญ่ เทา่ กับ นภากาศ
(อนั ๑๔ บาทคาถา ในบดั ต้น ล้วนสาํ แดง นยั และกิจ แหง่ ธรรมธาตุ และใน
๒ บาทคาถานี ้ยงั ให้เข้าถึงความปราศ ของนยั และกิจแหง่ ธรรมธาตุ พงึ
มนสกิ ารให้แจ้งในกาลนี ้เพ่ือยงั ให้กิจและนยั นนั้ สาํ เร็จ ยงั ให้ (ดอกอบุ ล)
คอ่ ย ๆ ใหญ่ขนึ ้ นยั แปรไปตามกิจ จึงได้แผไ่ ปทว่ั ธรรมธาตุ ไมม่ อี ะไร
นอกเหนือไปกวา่ ล้วนเป็ นเพยี งขอบเขตแหง่ จิตร267 ไมแ่ ยกออกไป ฉะนนั้ )
มนสกิ ารว่า ดอกบวั นน้ั สอ่ งธรรมธาตุ
พระตถาคต มคี ณามากมาย ดจุ สาคร
267 心境界 จิตรโคจร ขอบเขตแห่งจิตร
~ 198 ~
(๒ บาทคาถานี ้คือการประจกั ษ์ ในความไร้อปุ สรรค แหง่ กจิ ทงั้ หลาย พทุ ธิ
ปัทมะคอื กจิ สาครคณาก็คือกิจ ดอกอบุ ลบานทวั่ ทงั้ อากาศธาตุ ในเวลา
เดยื วกนั พระตถาคตก็มคี ณาดจุ มหาสาคร โดยไร้อปุ สรรค ดจุ สหสรประทปี
ในเอกคหู า (ทวา่ ) แสงกลบั เป็ นหนงึ่ เดยี ว มสิ บั สน อนั ธรรมธาตนุ นั้ ก็คือ
ทศธรรมธาตุ ซง่ึ ก็คอื จตรุ ารยะ ษัฑปถุ ชุ นะ268 ด้วยดอกปณุ ฑรีกนี ้เมื่อ
ใหญ่แล้ว สามารถสอ่ งทศธรรมธาตุ มคี วามจริงเพียงหนงึ่ เดียว269 ไมม่ ีที่
ยิง่ กวา่ ฉะน)ี ้
จิตรไมค่ ลอนคลาย จากศมาธนิ ี้
กรณุ าต่อ สรรพชีวิต ท้งั หลาย
(คาถา ๒ บาทนี ้บาทแรกคือ สวพทุ ธิ270 คอื การแจ้งในตน คาถาบาทลา่ ง
คือ ปรพทุ ธิ271 คอื การแจ้งในสตั ว์ (หรือสง่ิ ) อื่น การมนสกิ ารถึงสรรพชีวติ
268 十法界 ทศธรรมธาตุ คอื ภมู ิทงั้ ๑๐ คือ จตุ รารยะ หรือ อารยะ ๔ ได้แก่ พทุ ธ,
โพธิสตั ว์, ปรัตเยกะ (พระปัจเจกพทุ ธเจ้า), ศราวก (พระสาวก) และ ษัฑปถุ ชุ นะ หรือ
ปถุ ชุ น ๖ ได้แก่ เทพ, มนษุ ย์, อสรู ,เดรจั ฉาน, เปรต, นรก
269 一真 ภตู ตถตา ความจริงเพยี งหน่งึ เดยี ว
270 自覺 สวพทุ ธิ คอื การรู้แจ้งในตน
~ 199 ~
จึงจะยงั ให้เกิดการประพฤตโิ ยคะ คอื ความกรุณาตอ่ ทกุ สรรพสง่ิ คือ การ
ประจกั ษ์ในอนาวฤติไวปลุ ยเกษตร272 จงึ จกั สามารถ บาํ เพ็ญโยคะ โปรด
สรรพชีวติ ได้ ฉะนี)้
ด้วยพุทธปิ ัทมะน้ี ส่องสกาว ยงั ให้พน้ กเิ ลสทุกข์
(คอื คณุ แหง่ การอปุ การสรรพชวี ติ แล)
ยอ่ มดจุ พระโพธสิ ัตว์อวโลกเิ ตศวร
(คือ การรักษาผล ฉะนนั้ เมอ่ื ตงั้ ปรณิธาน ก็ดจุ เข้าถงึ อนตุ ตรสมั มาสมั โพธิ
ญาณ ฉะนนั้ )
271 他覺 ปรพทุ ธิ คือ การรู้แจ้งในสตั ว์ (หรือสง่ิ ) อื่น ได้แก่ การรู้แจ้งในสรรพสิง่
ทงั้ หลาย
272 無礙廣大境界 อนาวฤติไวปลุ ยเกษตร คอื เขตอนั ไพบลู ย์และไร้อปุ สรรค,
ความไพบลู ย์อนั ไร้ขอบเขต
~ 200 ~