ศาสนา Brahmanism-Hinduism พราหมณ์-ฮินดู ภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สยาม ราชวัตร
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สยาม ราชวัตร ภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2566 ตำราเล่มนี้ได้รับทุนสนับสนุนการเขียนตำรา จากคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ผู้เขียน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สยาม ราชวัตร ISBN 978-616-398-899-7 พิมพ์ครั้งที่ 1 พฤศจิกายน 2566 จำนวนพิมพ์ 100 เล่ม ข้อมูลทางบรรณานุกรมของหอสมุดแห่งชาติ สยาม ราชวัตร. ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู. เชียงใหม่ : ภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2566. 320 หน้า. 1. ศาสนาพราหมณ์. 2. ศาสนาฮินดู. I. ชื่อเรื่อง. 294.5 ISBN 978-616-398-899-7 จัดพิมพ์โดย ภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 239 ถนนห้วยแก้ว ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ 50200 โทรศัพท์089-2260336 E-mail: [email protected] ออกแบบและ บริษัท ดีเซมเบอรี่ จำกัด พิมพ์ที่ 248/7 ซอยมิตตคาม ถนนสามเสน แขวงวชิรพยาบาล เขตดุสิต กรุงเทพ 10300 โทรศัพท์085-9977220 E-mail: [email protected]
ตำราเล่มนี้ใช้ชื่อว่า “ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู” (Brahmanism-Hinduism) เนื่องจาก ผู้เขียนต้องการเรียบเรียงเนื้อหาแสดงให้เห็นความเป็นมาและพัฒนาการทางศาสนาต่อเนื่อง ตั้งแต่ยุคเริ่มต้นที่เรียกว่า “ศาสนาพราหมณ์” (Brahmanism) และยุคที่ศาสนาพราหมณ์ได้ ปรับปรุงคำสอนและปฏิรูปศาสนาใหม่เรียกว่า “ศาสนาฮินดู” (Hinduism) เป็นการรวมชื่อ ทั้งสองเข้าด้วยกัน ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นศาสนาเก่าแก่มีอายุยาวนานหลายพันปีเมื่อเทียบกับศาสนา ทั้งหลายที่มีอยู่ในปัจจุบัน เป็นแหล่งภูมิปัญญาอินเดียและตะวันออก มีองค์ความรู้เชิงศาสนา มากมายสามารถนำมาปรับประยุกต์ใช้พัฒนาชีวิตประจำวันได้แต่ในแวดวงตำราและหนังสือที่ เป็นภาษาไทยเกี่ยวกับศาสนาพราหมณ์-ฮินดูค่อนข้างมีน้อยในประเทศไทย ผู้เขียนจึงมีความตั้งใจที่ จะเรียบเรียงองค์ความรู้เบื้องต้นเพื่อเป็นการปูพื้นฐานความเข้าใจศาสนาพราหมณ์-ฮินดูตาม องค์ประกอบต่างๆ ของความเป็นศาสนาหนึ่งและเป็นศาสนาเก่าแก่ที่มีอายุสืบทอดมายาวนาน ของโลก และเพื่อใช้เป็นสื่อประกอบการเรียนการสอนกลุ่มวิชาศาสนาที่ภาควิชาปรัชญาและ ศาสนา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่รับผิดชอบ และเปิดสอนให้กับนักศึกษาที่เลือก เป็นหมวดวิชาโทศาสนาและหมวดวิชาเลือกเสรีแก่คณะต่างๆ รวมถึงมหาวิทยาลัยต่างๆ ใน ประเทศไทยที่เปิดสอนเกี่ยวกับองค์ความรู้ด้านศาสนาในสังคมด้วย เนื้อหาของตำราเล่มนี้แบ่งเป็น 10 บท ครอบคลุมเนื้อหากระบวนวิชา 012273 ศาสนา ฮินดู ระดับปริญญาตรีประกอบด้วย (1) ความหมายและลักษณะเฉพาะทางศาสนา (2) กำเนิด และพัฒนาการทางศาสนา (3) คัมภีร์และวรรณกรรม (4) เทพเจ้าและการบูชา (5) หลักคำสอนที่สำคัญ (6) หลักปฏิบัติและวิถีชีวิต(7) นิกายสำคัญ (8) พิธีกรรมและเทศกาล สำคัญ (9) องค์กรและบุคคลสำคัญ (10) คุณค่าภูมิปัญญาต่อโลกปัจจุบัน ผู้เขียนขอขอบคุณแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่นำมาเรียบเรียบร้อยเรียงเป็นเนื้อหาแต่ละบท ขอขอบคุณหน่วยงานคณะมนุษยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ได้ให้ทุนการวิจัยประเภท การผลิตตำรา ขอขอบคุณภาควิชาปรัชญาและศาสนาในฐานะเป็นสถานที่ทำงานสนับสนุน อำนวยความสะดวกการค้นคว้าข้อมูล ขอขอบคุณ อ.ดร.อรชร เรือนคำ ที่ได้ช่วยตรวจทานความ ถูกต้องของอักษรภายในเล่ม ขอขอบพระคุณผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่านเป็นอย่างสูง ประกอบด้วย ศ.เกียรติคุณ ดร.สิทธิ์ บุตรอินทร์รศ.ดร.ปรุตม์ บุญศรีตัน รศ.ดร.อำนาจ ยอดทอง และ รศ.ดร.รัตนะ ปัญญาภา ที่ได้ ประเมินตำราเล่มนี้เป็นเบื้องต้นระดับคณะในการตรวจสอบความถูกต้องทางวิชาการ
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ตำราเล่มนี้จะเป็นเครื่องมือช่วยให้ท่านผู้อ่าน นักศึกษา และ ผู้สนใจทั่วไปได้เข้าใจมองเห็นภาพรวมเบื้องต้นเกี่ยวกับศาสนาพราหมณ์-ฮินดูในแง่มุมของ ศาสนาอีกทางหนึ่ง หากมีข้อบกพร่องเชิงเนื้อหาประการใด ผู้เขียนยินดีน้อมรับคำแนะนำทุก ประการเพื่อนำไปปรับปรุงให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นต่อไป ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สยาม ราชวัตร ภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 1 ตุลาคม 2566
อักษรย่อคัมภีร์พระไตรปิฎก ที. สี. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค (ภาษาไทย) ม. ม. (ไทย) = สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ (ภาษาไทย) อักษรย่อคัมภีร์ศาสนาพราหมณ์ฮินดู Rgveda = (คัมภีร์ฤคเวท) Atharvaveda = (คัมภีร์อาถรรพเวท) A.U. = Aitarey Upanishad B.U. = Brihadaranyaka Upanishad C.U. = Chandogya Upanishad Katha = Katha Upanishad K.U. = Kausitaki Upanishad M.U. = Mundaka Upanishad Prashna = Prashna Upanishad T.U. = Taittiriya Upanishad การระบุหมายเลขย่อ การอ้างอิงพระไตรปิฎกฉบับภาษาไทย ระบุชื่อคัมภีร์ และระบุ เล่ม/ ข้อ/ หน้า ตามลำดับ เช่น ที.ม. (ไทย) 10/402/335-337 หมายถึง คัมภีร์พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่มที่ 10 ข้อที่ 402 หน้า 335-337 การอ้างอิงคัมภีร์พระเวท ระบุชื่อคัมภีร์ และใช้อักษรโรมันระบุ มัณฑละที่/ศุกตะที่/ ฤจที่ เช่น Rgveda X.XIV.X-XII หมายถึง คัมภีร์พระเวท มัณฑละที่ 10/ศุกตะที่14/ฤจที่ 10-12 เป็นต้น การอ้างอิงคัมภีร์อุปนิษัท ระบุชื่ออุปนิษัท และใช้ตัวเลขระบุ อัธยายะหรือบทที่/ หัวข้อใหญ่/ ลำดับ โศลก หรือหัวข้อเล็ก เช่น B.U. 3.2.13 หมายถึง พฤหทารัณยกะอุปนิษัท อัธ ยายะที่ 3 หัวข้อใหญ่ที่ 2 โศลกที่ 13 แต่บางอุปนิษัท มีเฉพาะหัวข้อใหญ่และหัวข้อเล็ก จึงมี 2 ตัวเลข เช่น Prashna 3.7 หมายถึง ปรัศนะอุปนิษัท หัวข้อใหญ่ที่ 3 หัวข้อเล็กที่ 7 เป็นต้น
คำนำ............... ............................................................................................................(3) อักษรย่อคัมภีร์และคำอธิบายอักษรย่อ.........................................................................(5) สารบัญ........................................................................................................................(7) สารบัญภาพ.............................................................................................................. (13) บทที่ 1 ความหมายและลักษณะเฉพาะทางศาสนา........................................................3 1.1 ความหมายของคำว่าพราหมณ์-ฮินดู............................................................4 1.2 ชาวพราหมณ์-ฮินดูคือใคร...........................................................................5 1.3 อัตลักษณ์เฉพาะของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู..................................................7 1.3.1 เป็นศาสนาแห่งเทพเจ้าที่หลากหลาย..................................................7 1.3.2 เป็นศาสนาแห่งพิธีกรรมที่แนบแน่นกับวิถีชีวิต..................................10 1.3.3 เป็นศาสนาที่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด............11 บทสรุป ........................................................................................................... 22 คำถามท้ายบท................................................................................................. 23 บทที่ 2 กำเนิดและพัฒนาการทางศาสนา....................................................................27 2.1 อินเดียแหล่งกำเนิดศาสนาพราหมณ์-ฮินดู....................................................27 2.1.1 ความหมายของคำว่า “อินเดีย”.......................................................28 2.1.2 ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์.........................................................29 2.1.3 ประชากรและเผ่าพันธุ์......................................................................30 2.1.4 ลักษณะภูมิประเทศ..........................................................................30 2.1.5 ลักษณะภูมิอากาศ............................................................................31 2.1.6 การเมืองการปกครองและรัฐ............................................................31 2.1.7 เศรษฐกิจ..........................................................................................34 2.1.8 ภาษาการสื่อสาร..............................................................................36 2.1.9 ศาสนาและลัทธิความเชื่อ.................................................................36 2.2 อารยธรรมอินเดียกับศาสนาพราหมณ์-ฮินดู.................................................39 2.2.1 อารยธรรมสมัยสินธุและเผ่าดราวิเดียน.............................................40
2.2.2 อารยธรรมอารยันและการรุกรานของอารยัน...................................44 2.2.3 การผสมผสานระหว่างเผ่าดราวิเดียนกับเผ่าอารยัน .........................45 2.3 การแบ่งยุคพัฒนาการของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู.........................................48 2.3.1 ยุคพระเวท .....................................................................................48 2.3.2 ยุคมหากาพย์ .................................................................................49 2.3.3 ยุคสูตร ...........................................................................................50 2.3.4 ยุคปราชญ์ ......................................................................................50 บทสรุป................................................................................................................52 คำถามท้ายบท .....................................................................................................53 บทที่ 3 คัมภีร์และวรรณกรรม.....................................................................................57 3.1 การแบ่งกลุ่มคัมภีร์ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู................................................57 3.1.1 คัมภีร์ประเภท “ศรุติ” ...................................................................57 3.1.2 คัมภีร์ประเภท “สมฤติ” .................................................................58 3.2 คัมภีร์พระเวท ............................................................................................59 3.3 คัมภีร์อุปนิษัท ............................................................................................62 3.4 คัมภีร์อิติหาสะ หรือ มหากาพย์...................................................................65 3.5 คัมภีร์ปุราณะ .............................................................................................70 3.6 คัมภีร์อาคม ................................................................................................72 3.7 คัมภีร์ทัศนะ ...............................................................................................73 3.8 วรรณกรรม..................................................................................................78 บทสรุป................................................................................................................80 คำถามท้ายบท .....................................................................................................80 บทที่ 4 เทพเจ้าและการบูชา.......................................................................................83 4.1 ความหมายเทพเจ้า......................................................................................83 4.2 พัฒนาการเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู.................................................85 4.3 เทพเจ้าองค์สำคัญฝ่ายชาย (ตรีมูรติ)............................................................87 4.3.1 พระพรหม : เทพเจ้าแห่งการสร้าง ..................................................88 4.3.2 พระนารายณ์หรือพระวิษณุ : เทพเจ้าแห่งการรักษา .......................93 4.3.3 พระศิวะหรือพระอิศวร : เทพเจ้าแห่งการทำลาย...........................102 4.4 เทพเจ้าองค์สำคัญฝ่ายหญิง .......................................................................105 4.4.1 พระสรัสวดี: เทพเจ้าแห่งปัญญาความรู้ดนตรีและศิลปะ............105
4.4.2 พระลักษมี: เทพเจ้าแห่งความเจริญรุ่งเรือง...................................109 4.4.3 พระปารวตี: เทพเจ้าแห่งความมีอำนาจ........................................113 4.5 เทพเจ้าองค์อื่นๆ........................................................................................120 4.5.1 พระขันทกุมาร : เทพเจ้าแห่งชัยชนะและสงคราม ........................120 4.5.2 พระพิฆเนศ : เทพเจ้าแห่งการเริ่มต้นใหม่,สติปัญญา,ความโชคดี และขจัดอุปสรรค..........................................................................125 4.5.3 เทพเจ้านพเคราะห์........................................................................129 บทสรุป..............................................................................................................135 คำถามท้ายบท...................................................................................................135 บทที่ 5 หลักคำสอนที่สำคัญ......................................................................................139 5.1 แนวคิดเรื่องอาตมันและพรหมัน................................................................139 5.1.1 แนวคิดและคำสอนเรื่องอาตมัน.....................................................140 5.1.2 แนวคิดและคำสอนเรื่องพรหมัน ...................................................142 5.1.3 ความสัมพันธ์ระหว่างอาตมันและพรหมัน......................................144 5.2 แนวคิดและคำสอนเรื่องสังสารวัฏและกรรม..............................................144 5.3 แนวคิดและคำสอนเรื่องมายาและอวิทยา .................................................146 5.4 แนวคิดและคำสอนเรื่องโมกษะ ................................................................148 บทสรุป..............................................................................................................149 คำถามท้ายบท...................................................................................................150 บทที่ 6 หลักปฏิบัติและวิถีชีวิต..................................................................................153 6.1 หลักวรรณะ 4 ..........................................................................................153 6.1.1 ความหมายและแหล่งที่มาของวรรณะ...........................................153 6.1.2 คุณสมบัติและหลักปฏิบัติแต่ละวรรณะ.........................................157 6.2 หลักอาศรม 4 . ......................................................................................... 160 6.2.1 วัยพรหมจรรย์...............................................................................161 6.2.2 วัยคฤหัสถ์.....................................................................................161 6.2.3 วัยวานปรัสถ์.................................................................................162 6.2.4 วัยสันยาสี......................................................................................163 6.3 หลักปุรุษารถะ 4 ......................................................................................163 6.3.1 ธรรมะ ..........................................................................................164 6.3.2 อัตถะ ...........................................................................................165
6.3.3 กามะ ...........................................................................................165 6.3.4 โมกษะ .........................................................................................166 6.4 หลักโยคะ 4 .............................................................................................167 6.4.1 กรรมโยคะ : วิถีแห่งการทำงานเพื่องาน.........................................167 6.4.2 ชญาณโยคะ : วิถีแห่งความรู้.........................................................168 6.4.3 ภักติโยคะ : วิถีแห่งความรัก..........................................................168 6.4.4 ราชาโยคะ : วิถีแห่งการผสานกายและจิตเป็นหนึ่งเดียว................169 บทสรุป..............................................................................................................169 คำถามท้ายบท ...................................................................................................170 บทที่ 7 นิกายสำคัญ..................................................................................................173 7.1 ความเป็นมาของนิกายในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู........................................173 7.2 นิกายไวษณพ ...........................................................................................174 7.3 นิกายไศวะ ...............................................................................................178 7.4 นิกายศักติ................................................................................................181 7.5 นิกายย่อยในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู...........................................................184 7.5.1 นิกายคณพัทยะ ............................................................................185 7.5.2 นิกายสรภัทธะ ..............................................................................185 7.5.3 นิกายสมารธะ ..............................................................................185 บทสรุป..............................................................................................................186 คำถามท้ายบท ...................................................................................................186 บทที่ 8 พิธีกรรมและเทศกาลสำคัญ..........................................................................189 8.1 ความหมายพิธีกรรม ..................................................................................189 8.2 พิธีกรรมกับความเป็นฮินดู.........................................................................190 8.2.1 พิธีกรรมความเป็นฮินดูตามตระกูลกำเนิด......................................191 8.2.2 ข้อปฏิบัติของชาวฮินดู...................................................................191 8.3 เทศกาลสำคัญของชาวฮินดูในประเทศอินเดีย...........................................193 8.3.1 เทศกาลคเณศจตุรถี .....................................................................193 8.3.2 เทศกาลนวราตรี ...........................................................................196 8.3.3 เทศกาลมหาศิวะราตรี..................................................................199 8.3.4 เทศกาลดิวาลี หรือ ทีปาวลี ..........................................................201 8.3.5 เทศกาลโฮลี ..................................................................................204
8.4 พิธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดูที่มาสู่ประเทศไทย...............................206 8.4.1 พระราชพิธีบรมราชาภิเษก............................................................206 8.4.2 พิธีมุรธาภิเษก................................................................................207 8.4.3 พระราชพิธีจองเปรียง (ลอยกระทง) ..............................................210 8.4.4 พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ.............................212 8.4.5 พระราชพิธีตรียัมปวายตรีปวาย (โล้ชิงช้า) .....................................214 บทสรุป..............................................................................................................216 คำถามท้ายบท...................................................................................................217 บทที่ 9 องค์กรและบุคคลสำคัญ................................................................................221 9.1 องค์กรสำคัญของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู....................................................221 9.1.1 องค์กรพรหมสมัชชา ....................................................................221 9.1.2 องค์กรอารยสมัชชา.......................................................................224 9.1.3 องค์กรเทวปรัชญา ........................................................................225 9.1.4 องค์กรรามกฤษณะมิชชั่น .............................................................227 9.1.5 องค์กรสรรโวทัย ...........................................................................230 9.1.6 องค์กรอุตตรสมาธิหรือทีเอ็ม ........................................................233 9.1.7 องค์กรหริกฤษณะ ........................................................................236 9.2 บุคคลสำคัญที่มีชื่อเสียง.............................................................................239 9.2.1 รพินทรนาถ ฐากูร ........................................................................239 9.2.2 มหาตมะ คานธี ............................................................................241 9.2.3 ราธกฤษณัน .................................................................................248 9.2.4 เจ กฤษณมูรติ...............................................................................250 9.3 องค์กรและเทวสถานศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ในประเทศไทย......................255 9.3.1 องค์กรศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ในประเทศไทย................................255 9.3.2 เทวสถานศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ในประเทศไทย...........................261 บทสรุป..............................................................................................................266 คำถามท้ายบท...................................................................................................266 บทที่ 10 คุณค่าภูมิปัญญาต่อโลกปัจจุบัน ..................................................................271 10.1 คุณค่าด้านความคิดความเชื่อทางศาสนา...................................................271 10.2 คุณค่าด้านศิลปะและการแสดง.................................................................273 10.3 คุณค่าด้านประเพณีและวัฒนธรรม ...........................................................274
10.4 คุณค่าด้านการเมืองการปกครอง...............................................................276 10.5 คุณค่าด้านภาษาและวรรณกรรม...............................................................278 10.6 ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูกับโลกร่วมสมัย......................................................281 บทสรุป..............................................................................................................286 คำถามท้ายบท ...................................................................................................286 บรรณานุกรม.............................................................................................................289 ดัชนี……………............................................................................................................297 ประวัติผู้เขียน............................................................................................................305
ภาพที่ 1.1 การเผาศพที่ริมแม่น้ำคงคา เมืองพาราณสี....................................................6 ภาพที่ 1.2 เหล่าเทพเจ้าของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู........................................................8 ภาพที่ 2.1 แผนที่ประเทศอินเดียในปัจจุบัน.................................................................28 ภาพที่ 2.2 โบราณสถานซากเมืองฮารัปปา...................................................................40 ภาพที่ 2.3 โบราณสถานซากเมืองโมเฮนโจดาโร...........................................................41 ภาพที่ 2.4 แผนที่ช่วงสมัยอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ......................................................42 ภาพที่ 4.1 พระตรีมูรติ.................................................................................................87 ภาพที่ 4.2 พระพรหม ..................................................................................................89 ภาพที่ 4.3 พระนารายณ์..............................................................................................94 ภาพที่ 4.4 พระนารายณ์สิบปาง...................................................................................98 ภาพที่ 4.5 พระอิศวร หรือพระศิวะ...........................................................................102 ภาพที่ 4.6 พระสรัสวดี..............................................................................................106 ภาพที่ 4.7 พระลักษมี...............................................................................................110 ภาพที่ 4.8 พระแม่ปารวตี.........................................................................................114 ภาพที่ 4.9 พระแม่อุมา .............................................................................................118 ภาพที่ 4.10 พระแม่ทุรคา...........................................................................................119 ภาพที่ 4.11 พระขันทกุมาร.........................................................................................121 ภาพที่ 4.12 พระพิฆเนศ.............................................................................................127 ภาพที่ 4.13 พระอาทิตย์.............................................................................................130 ภาพที่ 4.14 พระจันทร์................................................................................................131 ภาพที่ 4.15 พระอังคาร ..............................................................................................131 ภาพที่ 4.16 พระพุธ……………......................................................................................132 ภาพที่ 4.17 พระพฤหัสบดี..........................................................................................132 ภาพที่ 4.18 พระศุกร์..................................................................................................133 ภาพที่ 4.19 พระเสาร์.................................................................................................133 ภาพที่ 4.20 พระราหู..................................................................................................134 ภาพที่ 4.21 พระเกตุ ..................................................................................................134
ภาพที่ 6.1 การจัดแบ่งวรรณะในสังคมอินเดีย...........................................................154 ภาพที่ 7.1 นักบวชนิกายไวษณพ...............................................................................176 ภาพที่ 7.2 นักบวชนิกายไศวะ...................................................................................180 ภาพที่ 7.3 รูปปั้นเมถุนะตามแนวคิดกามสูตรและฮินดูตันตระที่ถ้ำขะชุรโห...............184 ภาพที่ 8.1 เทศกาลคเณศจตุรถี ในประเทศอินเดีย....................................................194 ภาพที่ 8.2 เทศกาลนวราตรี......................................................................................196 ภาพที่ 8.3 เทศกาลมหาศิวะราตรี.............................................................................199 ภาพที่ 8.4 เทศกาลดิวาลี..........................................................................................201 ภาพที่ 8.5 เทศกาลโฮลี.............................................................................................205 ภาพที่ 8.6 พิธีบรมราชาภิเษกรัชกาลที่ 9..................................................................207 ภาพที่ 8.7 พิธีสรงน้ำพระมุรธาภิเษก.........................................................................209 ภาพที่ 8.8 ประเพณีลอยกระทง................................................................................211 ภาพที่ 8.9 พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ .......................................214 ภาพที่ 8.10 พระราชพิธีตรียัมพวายตรีปวาย...............................................................216 ภาพที่ 9.1 รามโมหันรอย..........................................................................................223 ภาพที่ 9.2 ทยานันทะ สรัสวดี...................................................................................225 ภาพที่ 9.3 มาดาม เอ็ช.พี.บลาวาเตสกี้......................................................................226 ภาพที่ 9.4 นางแอนนี่ เบแซนต์.................................................................................227 ภาพที่ 9.5 ท่านศรีรามกฤษณะ.................................................................................228 ภาพที่ 9.6 สวามีวิเวกานันทะ....................................................................................229 ภาพที่ 9.7 มหาตมะ คานธี........................................................................................231 ภาพที่ 9.8 ท่านมหาฤๅษี มเหศ โยคี..........................................................................234 ภาพที่ 9.9 ท่านภักติเวทานตะ สวามี.........................................................................237 ภาพที่ 9.10 รพินทรนาถ ฐากูร....................................................................................240 ภาพที่ 9.11 มหาตมะ คานธี นำชาวอินเดียทำสัตยาเคราะห์เกลือ...............................245 ภาพที่ 9.12 ราธกฤษณัน.............................................................................................248 ภาพที่ 9.13 เจ กฤษณมูรติ..........................................................................................251
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู |
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | 1 ตามประวัติศาสตร์ยุคเริ่มต้นศาสนานี้มีชื่อเรียกว่า “ศาสนาพราหมณ์” (Brahmanism) ต่อมาในช่วงการปฏิรูปศาสนาถูกเรียกชื่อใหม่ว่า “ศาสนาฮินดู” (Hinduism) บางครั้งก็นิยม เรียกรวมว่า “ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู” (Brahmanism-Hinduism) สำหรับตำราเล่มนี้ผู้เขียน จะใช้คำว่า “ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู” มองตามประวัติศาสตร์จัดเป็นศาสนาที่มีอายุยืนยาว หรือเก่าแก่ที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับทุกศาสนาที่มีอยู่ในปัจจุบัน เกิดขึ้นมาแล้วเกือบ 4,000 ปี มีแหล่งกำเนิดที่ประเทศอินเดียซึ่งในอดีตเรียกดินแดนแห่งนี้ว่า “ชมพูทวีป” ปัจจุบันเป็นที่ตั้ง ของประเทศต่างๆ คือ อินเดีย ปากีสถาน อัฟกานิสถาน เนปาล ภูฏาน และบังคลาเทศ เป็น แหล่งอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เนื่องจากดินแดนแห่งนี้มีประวัติศาสตร์ความเป็นมา อันยาวนานและผ่านการเปลี่ยนแปลงมากมาย เริ่มต้นจากบทบาทของชนชาติอารยันที่อพยพ จากเขตเอเชียกลางเข้ามาตั้งรกรากอยู่ในชมพูทวีป ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูถือเป็นหลักฐาน ทางความคิดหรือภูมิปัญญาเก่าแก่และความเชื่อที่กลุ่มอารยันถ่ายทอดสืบต่อกันมาจน กลายเป็นศาสนากระแสหลักของประชาชนแถบนี้ การทำความเข้าใจและศึกษารายละเอียด ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ก็จะทำให้เข้าใจว่าประชาชนแถบบริเวณนี้ว่ามีความคิดและความเชื่อ อย่างไร ในบทนี้ผู้เขียนจะปูพื้นฐานข้อมูลให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจลักษณะเฉพาะของศาสนา พราหมณ์-ฮินดูว่ามีอัตลักษณ์เฉพาะทางศาสนาอย่างไร
| สยาม ราชวัตร 1.1 ความหมายของค าว่าพราหมณ์-ฮินดู คำว่า “พราหมณ์” เป็นคำที่บ่งถึงวรรณะพราหมณ์ผู้มีบทบาทสำคัญหรือเป็นผู้นำใน การประกอบพิธีทางศาสนาเพื่อให้พิธีกรรมถูกต้องเป็นไปตามลำดับการบูชาเทพเจ้า แต่ถ้า เรียก “ศาสนาพราหมณ์” (Brahmanism) จะเป็นการแสดงความเชื่อทางศาสนาของชาวอินเดีย โบราณหรือกลุ่มอารยันซึ่งใช้กลุ่มภาษาอินโด-อารยัน ยึดถือคัมภีร์พระเวทเป็นหลักความเชื่อ และหลักปฏิบัติ เน้นความสำคัญของผู้ประกอบพิธีที่เรียกว่า “พราหมณ์” เน้นความสำคัญ ของการประกอบพิธีกรรมที่ปรากฏในพระเวท และบูชาเทพเจ้าที่ปรากฏในพระเวท ด้วย ความที่เกี่ยวข้องกับพระเวทโดยตรงบางทีก็เรียกว่า “ศาสนาพระเวท” (Vedic religion) โดยมี สำนักพราหมณ์ต่างๆ เป็นผู้สืบทอดพระเวทจนมาถึงปัจจุบัน ส่วนคำว่า “ฮินดู” เป็นคำที่มีความหมายกว้างกว่าคำว่าพราหมณ์ เป็นคำที่ครอบคลุม ทั้งศาสนาพราหมณ์และศาสนาฮินดู เป็นคำหนึ่งที่ถูกตั้งคำถามในประวัติศาสตร์อินเดียว่าคำนี้ มีพัฒนาการมาอย่างไร? ผู้เขียนได้รวบรวมจากหนังสือหลายเล่ม เพื่ออธิบายความหมายของ คำว่าฮินดู คำว่าฮินดูนั้นมีที่มาอันยาวไกลแรกเริ่มและเก่าแก่ที่สุดปรากฏอยู่ในภาษาเปอร์เซีย โบราณใช้เรียกหมายถึงประชาชนที่อาศัยอยู่ทางฝั่งทิศตะวันออกของแม่น้ำสินธุ ต่อมาคำว่า ฮินดู มาปรากฏอยู่ในคัมภีร์ตันตระของอินเดียเองเพื่อหมายถึงประชาชนทั่วไปโดยมิได้ หมายถึงศาสนิกของศาสนาใดศาสนาหนึ่งโดยเฉพาะ มาถึงปัจจุบันคำว่าฮินดู ถูกใช้หมายถึง อารยธรรม ลัทธิความเชื่อ วัฒนธรรมจารีตประเพณีวิถีชีวิตที่ถูกรังสรรค์ขึ้นโดยประชาชนที่ อาศัยอยู่บนแผ่นดินอินเดีย คำว่า “ฮินดู” มาจากคำว่า “สินธู” (Sindhu) เป็นคำที่ชาวเปอร์เซียใช้เรียกกลุ่มชน ที่อาศัยอยู่ในที่ราบลุ่มแม่น้ำอินดัส (Indus) กำเนิดครั้งแรกของคำนี้น่าจะอยู่ในช่วง คริสต์ศักราช 700 ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ชาวมุสลิมเริ่มติดต่อกับอินเดีย ไม่ปรากฏคำนี้ใน ภาษาโบราณใดๆของอินเดีย ไม่ว่าจะเป็นภาษาสันสกฤต บาลี หรือปรากฤต ส่วนคำว่า “อินเดีย” เพี้ยนมาจากคำว่า “อินดัส” นั่นเอง จะเห็นว่า คำว่า “ฮินดู” มีรากฐานทาง ภูมิศาสตร์มากกว่าศาสนา ต่อมาจึงมีการเรียกศาสนาของกลุ่มชนที่มีหลักแหล่งบริเวณลุ่ม แม่น้ำอินดัสว่า “ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู” ทั้งนี้เพื่อให้แตกต่างจากศาสนาอื่นๆ ที่กำเนิดแล้ว ในสมัยนั้น (วิทยา ศักยาภินันท์, 2549, น. 1) คำว่า “อินเดีย” ที่สัมพันธ์กับคำว่า “ฮินดู” ว่า หากพิจารณาในเชิงภาษาก็มีข้อ สันนิษฐานว่า คำนี้มาจากภาษาสันสกฤตว่า “สินธุ” ซึ่งเป็นชื่อเรียกแม่น้ำสายสำคัญที่ไหล ผ่านหุบเขาและทะเลทรายจากทางตะวันตกเฉียงเหนือลงสู่ที่ราบลุ่มภาคเหนือ แต่ชนต่างเผ่า ชาวเปอร์เซียออกเสียงไม่ชัด คำนี้จึงเพี้ยนเป็น “ฮินด์” (Hind/Hidu/Hindu) ต่อมาชาวกรีกก็ ปรับเสียงเรียกตามที่ตนคุ้นเคย คำจึงค่อยๆเปลี่ยนจาก “ฮินด์” เป็น “อินดัส” (Indus) และ “อินเดีย” (India) ในที่สุด (ประยงค์ แสนบุราณ, 2547,บทนำ) ระยะแรกชื่อนี้ถูกเรียกใช้โดย
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | คนนอกพื้นที่ หมายเฉพาะดินแดนและผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุแต่ภายหลังชื่อ นี้ถูกใช้เพื่อเรียกผู้คนส่วนใหญ่ที่ตั้งรกรากแต่เดิมบนแผ่นดินนี้ทั้งหมด หากมองในเชิงภูมิ ประเทศ คำนี้เกี่ยวข้องกับทิศทางและดินแดนที่แม่น้ำสินธุไหลผ่านไป มองในเชิงมานุษยวิทยา คำ นี้ถูกใช้เพื่อเรียกอารยธรรมของกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ตามลุ่มแม่น้ำสินธุ ทั้งผู้อาศัยอยู่เดิมและผู้ที่ อพยพเข้ามาตั้งรกรากใหม่ ในทางชาติพันธุ์วิทยา คำนี้ชาวต่างถิ่นใช้เรียกผู้คนที่อาศัยอยู่ใน บริเวณนี้ โดยมีวิถีชีวิตและวัฒนธรรมเป็นของตนเองแตกต่างจากคนนอกพื้นที่ ในทาง ประวัติศาสตร์คำนี้มาจากบันทึกความเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงของชนในพื้นที่ และในทาง สังคมวิทยาคำนี้ถูกใช้เพื่อสร้างอัตลักษณ์ของตนเองขึ้นมาในความสัมพันธ์เชิงอำนาจต่อกัน ผู้เขียนขอสรุปความหมายของคำว่า “พราหมณ์-ฮินดู” เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพรวม การใช้คำว่า “พราหมณ์” เป็นคำที่สื่อถึงความเชื่อทางศาสนาต่อคัมภีร์พระเวทเน้นพิธีกรรม บูชาต่อเทพเจ้ามากมายใช้เรียกศาสนาระยะแรกว่า “ศาสนาพราหมณ์” และหมายถึงกลุ่มชน วรรณะพราหมณ์ซึ่งเป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและการบูชาเทพเจ้ามากมาย ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาพราหมณ์เน้นการศึกษาพระเวทโดยตรง ส่วนคำว่า “ฮินดู” ตาม ความหมายดั้งเดิมหมายถึงกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ลุ่มอาณาบริเวณแม่น้ำสินธุ มีวิถีวัฒนธรรมที่ มีอัตลักษณ์เป็นของตนเองทั้งในแง่ความเชื่อและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ไม่จำกัดศาสนาใด ศาสนาหนึ่ง ต่อมาภายหลังคำว่า “ฮินดู” ถูกใช้เรียกศาสนาหลังการปฏิรูปศาสนาพราหมณ์ แล้ว และโดยเฉพาะในปัจจุบันหมายถึงชาวอินเดียที่นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดูซึ่งแยก แตกต่างจากศาสนาอื่นเช่น ศาสนาพุทธ ศาสนาเชน เป็นต้น 1.2 ชาวพราหมณ์-ฮินดูคือใคร เราทราบที่มาและความหมายคำไปแล้ว คำถามต่อไปคือ ใครคือพราหมณ์-ฮินดู? คนพราหมณ์-ฮินดูเป็นคนอย่างไร ? มีคำอธิบายชาวพราหมณ์-ฮินดูในเชิงพฤติกรรมสังคม วิทยาและมานุษยวิทยา เช่น ประมวล เพ็งจันทร์ และคณะ (2547) ได้อธิบายว่า ใครมี ประเพณีเผาศพและยอมรับประเพณีนี้ ผู้นั้นย่อมเป็นฮินดูการกล่าวเช่นนี้เพื่อจะอธิบายว่า การเผาศพเป็นการแสดงออกที่ยิ่งใหญ่จากจิตวิญญาณของบุคคลผู้ไม่ยึดติดในสังขารร่างกาย ว่าเป็นตัวเป็นตน มีมโนสำนึกน้อมไปสู่การยอมรับความยิ่งใหญ่แห่งธรรมชาติที่โอบอุ้มสรรพสิ่ง มาจากธรรมชาติแล้วก็หวนคืนสู่ธรรมชาติ ปรากฏการณ์ทั้งหลายไม่ว่าจะปรากฏในสถานะใด ไม่ว่าจะงดงามหรือน่าชังล้วนแต่เป็นอนิจจังไม่ยั่งยืน การเผาศพคือการแสดงออกให้ปรากฏ ว่าธรรมชาติกล่าวคือไฟนี้ทรงไว้ซึ่งพลังอำนาจชั่วระยะกะพริบตา สิ่งหนึ่งซึ่งถูกเข้าใจว่าเป็น ตัวตนบุคคลก็ถูกย่อยสลายกลายเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ชาวฮินดูภูมิใจว่า การเผาศพคือ ภูมิปัญญาที่ถูกรังสรรค์ขึ้นมาโดยบรรพบุรุษของพวกเขา
| สยาม ราชวัตร แหล่งที่มาภาพ : https://album.sanook.com/files/2223667 บางคนกล่าวว่าใครยอมรับและเคารพในคัมภีร์พระเวท ผู้นั้นย่อมเป็นฮินดูคัมภีร์ พระเวทคือบทบันทึกแห่งการอ่อนน้อมถ่อมตนต่อธรรมชาติรอบตัว บทสวดในคัมภีร์พระเวท เป็นบทสวดเพื่อละลายสลายอหังการคือตัวกูและมมังการคือของกูของผู้สวด เพราะฉะนั้น ใครยอมรับคัมภีร์พระเวทก็เท่ากับยอมรับว่าธรรมชาตินั้นด้วยความเต็มใจและยินดี บางคนกล่าวว่าใครยอมรับวัฒนธรรมแบบอินเดีย ผู้นั้นก็เป็นฮินดู วัฒนธรรมแบบ อินเดียคือวัฒนธรรมแห่งการเอาชนะตนเอง แทนการเอาชนะผู้อื่นและเอาชนะธรรมชาติ คำว่า “แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร” น่าจะเป็นบทสรุปแห่งวัฒนธรรมแบบอินเดียนั่นเอง บางคนกล่าวว่าใครมีเป้าหมายสูงสุดแห่งชีวิตมุ่งตรงไปที่การหลุดพ้นจากเครื่องพันธนาการ ที่ตนเองสร้างขึ้นมา ที่มีชื่อเรียกว่า นิพพาน โมกษะหรือมุกติผู้นั้นก็ชื่อว่าเป็นฮินดู เป้าหมายสูงสุดของฮินดูคือการสลายละลายตัวตนที่ถูกสร้างขึ้นมาภายในห้วงอารมณ์ ของตนเอง ตัวตนที่ก่อให้เกิดแยกตัวเองออกมาจากธรรมชาติรอบตัว ตัวตนที่ก่อให้เกิดสิ่งอื่น อันเป็นเขาที่ไม่ใช่เรา บางคนกล่าวว่าชาวฮินดูคือบุคคลที่นับถือศาสนาที่มีบ่อเกิดในอินเดีย คำอธิบายทั้งหลายเหล่านี้เป็นการอธิบายความเป็นตัวตนของชาวพราหมณ์-ฮินดู ผู้เขียนขอกล่าวสรุปว่าชาวพราหมณ์-ฮินดูคือบุคคลที่ปฏิบัติตนตามหลักภูมิปัญญาอันเก่าแก่ ของอินเดีย ที่สอนให้มนุษย์อยู่ร่วมกับธรรมชาติ มองความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติที่ไม่ควรมี ใครจะพยายามเอาชนะธรรมชาติได้มนุษย์เราควรเพียรพยายามเอาชนะตนเองด้วย ความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อธรรมชาติสิ่งรอบตัวทั้งหลาย มองเป้าหมายสูงสุดแห่งชีวิตคือ การเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ หรือการเข้าถึงความความเป็นหนึ่งเดียวกับพรหมัน
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | 1.3 อัตลักษณ์เฉพาะของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู 1.3.1 เป็นศาสนาแห่งเทพเจ้าที่หลากหลาย อัตลักษณ์ที่เด่นชัดอย่างหนึ่งของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู คือเป็นศาสนาแบบ พหุเทวนิยม (polytheism) ประกอบด้วยจำนวนเทพเจ้ามากมายตามความเชื่อของศาสนิก ตั้งแต่ยุคเริ่มต้นพระเวทซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ของอินเดียที่ประกอบชน 2 กลุ่มคือกลุ่มอารยัน กับกลุ่มมิลักขะหรือ ดราวิเดียน ประมาณตั้งแต่ 1500 – 600 ปีก่อนคริสตกาล พระเวทเป็น ชุดวรรณคดีที่ประกอบร้อยเรียงขึ้นจากผู้แต่งไม่ทราบว่าเป็นใคร แต่ไม่น่าจะมีเพียงคนเดียว และไม่ได้เขียนขึ้นในเวลาเดียว พระเวทชุดเก่าที่สุดมีชื่อเรียกว่า “ฤคเวท” คัมภีร์ฤคเวทนี้เป็น บทสวดแสดงรูปแบบการบูชาธรรมชาติผ่านรูปเคารพตั้งแต่ชาวอารยันเข้าสู่ชมพูทวีป รูป เคารพหรือเทพเป็นตัวแทนอำนาจที่ดำเนินไปตามระเบียบของจักรวาล มนุษย์มีหน้าที่ต้องทำ ให้เทพทั้งหลายพอใจ มีเทพประจำธรรมชาติต่างๆ คอยรับผิดชอบต่อความเป็นไปของ โลกเทพเจ้าองค์เด่นๆ ในยุคนี้ได้แก่อินทร์กับวรุณโดยอินทร์คือตัวแทนของความกล้าหาญ และอำนาจ เป็นรูปเคารพที่ชาวอารยันเชิดชู จึงมีลักษณะของมนุษย์ที่มีทั้งสองด้าน ด้านบวก คือรูปร่างกำยำ ผิวขาวสะอาดและแข็งแกร่ง ด้านลบคือหยิ่งยะโส มักคุยโวและชอบดื่มน้ำโสม หรือน้ำเมา ส่วนวรุณเป็นตัวแทนของความยุติธรรมและการรักษาความดี เป็นผู้พิทักษ์ “ฤตะ” อย่างเที่ยงตรง หลักฐานบางแห่งชี้ว่า อินทร์เป็นเทพที่ได้รับการสรรเสริญมากที่สุด ในคัมภีร์ฤคเวท รูปเคารพนี้มีภาพลักษณ์เป็นนักรบกำยำพร้อมอาวุธประจำตัว นอกจาก อินทร์แล้ว ยังมีอัคนีก็เป็นเทพอีกองค์หนึ่งที่มีความสำคัญในฤคเวท รูปเคารพนี้เกี่ยวข้อง กับไฟและการบูชาเป็นเสมือนสื่อกลางระหว่างเทพทั้งหลายกับมนุษย์ความสัมพันธ์ของมนุษย์ ต่อเหล่าเทพในยุคนี้ดำเนินไปผ่านยัญพิธีและตัวแทน หากพระอัคนีทำหน้าที่คอยช่วยเหลือ เทพอินทร์ให้พิชิตศัตรูได้ฉันใด นักปราชญ์ของอารยันก็สามารถช่วยให้กิจการงานทั้งหลาย สำเร็จลุล่วงด้วยการเป็นสื่อกลางทำพิธีบูชาฉันนั้น ในคัมภีร์ฤคเวทเล่มแรกๆ อินทร์ อัคนี และโสมะ เป็นเทพที่ได้รับการยกย่องมาก ซึ่งตรงนี้ทำให้นักวิชาการตะวันตกจำนวนมากมองว่า เพราะรูปเคารพทั้งสามสื่อถึงความยิ่งใหญ่ของชนเผ่าอารยันในฐานะผู้ปกครองที่เป็นนักรบ สื่อถึงความสำคัญของนักปราชญ์อารยันและพิธีกรรม สื่อถึงความจำเป็นของการครอบครอง ทั้งพื้นที่และปศุสัตว์ ทั้งสื่อถึงอำนาจแบบผู้ชายหรือพ่อเป็นใหญ่ในสังคม (สุมาลี มหณรงค์ชัย, 2562, น. 42-43)
| สยาม ราชวัตร แหล่งที่มาภาพ : https://www.matichonweekly.com/religion/article_472949 ชาวฮินดูตระหนักว่าการนับถือเทพเจ้าคือสัญลักษณ์ของความเป็นจริงที่เป็น อุตตรภาวะอันเดียวกัน เริ่มตั้งแต่ยุคแรกๆให้ความสำคัญกับเรื่องของพิธีกรรมการบูชาเทพเจ้า ที่มีลักษณะเป็นแบบพหุเทวนิยมต่างก็ให้ภาพของพระเจ้าที่หลากหลายในรูปแบบที่เหนือ ธรรมดา เป็นการแสดงตัวของพลังหรือหลักการที่ควบคุมสรรพสิ่งที่ไม่มีการเกิด เป็นหนึ่งเดียว ได้รับการยกย่องว่าเป็นสิ่งสูงสุดในธรรมชาติและสามารถที่จะอยู่ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ก็ได้ปัจจุบันชาวฮินดูมีอยู่หลายนิกาย ต่างบูชาเทพเจ้าที่มีอยู่จำนวนมากมายและมีพิธีปฏิบัติ เพื่อบูชาเทพเจ้าเหล่านั้น พัฒนาการความคิดเรื่องเทพเจ้าได้ถูกปรับเปลี่ยนจากความคิดแบบพหุเทวนิยม ที่เคยนับถือเทพเจ้าธรรมชาติจำนวนมากหรือการบูชาเทพเจ้าหลายองค์ มาสู่การบูชาเทพเจ้า อติเทวนิยมซึ่งใกล้เคียงกับแนวคิดพหุเทวนิยมที่มีลักษณะการบูชาเทพเจ้าหลายองค์แต่มีองค์ หนึ่งอยู่เหนือกว่าองค์อื่นในการประกอบพิธีกรรม ต่อมาพวกพราหมณ์ได้ปรับเปลี่ยนสู่ การบูชาเทพเจ้าแบบเอกเทวนิยม และสู่แนวคิดแบบเชิงปรัชญาเรียกว่าเอกนิยม ลักษณะการนับถือบูชาเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมีความสัมพันธ์กับ ธรรมชาติสิ่งแวดล้อมมนุษย์จึงเป็นข้อสังเกตได้ว่าจำนวนเทพเจ้าทั้งหลายสามารถจัด แบ่งเป็นกลุ่มตามลักษณะธรรมชาติได้ตามดังนี้ ( Clayton, A.C., 1980, p. 58) (1) เทวดาบนฟ้า(God of the Upper World) ได้แก่ ทเยา (Dyaus)วรุณ (Varuna) สูรยะ (Surya) สาวิตรี(Savitri) ปูศนะ (Pushan) วิษณุ (Vishnu) อุษา (Ushas) มิตร (Mitra) อารยมัน (Arayman) และ อัศวิน (Asvins)
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | (2) เทวดาในอากาศ (Gods of The Air) ได้แก่ วาตะ (Vata) อินทระ (Indra) รุทระ (Rudra) ประชันยะ (Prajanya) ภฤคุ (Bhrigus) และมารุต (Maruts) (3) เทวดาบนพื้นดิน (God of The Earth) ได้แก่ อัคนิ (Agni) โสมะ (Soma) ยมะ (Yama) และ ปฤถิวี (Prthivi) (4) เทพเจ้าที่เป็นนามธรรม (Abstract deities) ได้แก่ อทิติ (Aditi) ประชาปติ (Prajapati) ศรัทธา (Sraddha) วาจะ (Vacha) พฤหัสปติ(Brihaspati) กะ (Ka) กามะ (Kama) วิศเวเทวะ (Visvedevas) (5) เทพเจ้าผู้มีฐานะต่ำ (Inferior Deities) ได้แก่ตวัษตระ (Tvastar) ฤภู (Ribhus) คนธรรพ์ (Gandharvas) (6) เทพอสูร (Demon Deities) ได้แก่ รากษะ (Rakshasas) (7) เทพบิดร (Ancestral) ได้แก่ วิญญาณ หรือ ปิตริ(Spirits or Pitr) สำหรับสุมาลีมหณรงค์ชัย ให้ข้อสังเกตประเด็นเทพเจ้าว่านักปราชญ์อารยัน ได้จัดลำดับเทพออกเป็นระดับโดยแบ่งโลกออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้ ภาคสวรรค์ประกอบด้วย เทพจำนวนมากอาทิอาทิตย์ สาวิตรีวรุณ อุษา และราตรีภาคอากาศประกอบด้วยเทพอินทร์ รุทระเป็นต้น ภาคพื้นดินได้แก่ อัคนีโสมะ ยม เป็นต้น จะเห็นได้ว่ารูปเคารพที่เกี่ยวข้องกับ ธรรมชาติและจำเป็นต่อการมีอยู่ของมนุษย์โดยภาพรวมจะถูกจัดวางอยู่ในตำแหน่งสูงกว่า โลกนี้เทพที่อยู่ในอิตถีภาวะหรือภาวะกลางๆ หลายองค์ก็อยู่บนสวรรค์ รูปเคารพอันแสดงถึง อำนาจหรือเป้าหมายของชาวโลกจะสถิตอยู่ตามอากาศและมีลักษณะเป็นบุรุษแม้อยู่สูง แต่กลับดูไม่ไกลเกินเอื้อมถึง ส่วนรูปเคารพที่ถูกใช้ประโยชน์ในฐานะเป็นวิถีหรือสื่อกลาง จะกลายเป็นเทพภาคพื้นดินเหล่านี้จะมีลักษณะเข้มแข็ง ห้าวหาญแบบผู้ชาย (สุมาลี มหณรงค์ชัย, 2562, น. 48) ผู้เขียนมีความเห็นว่าการจัดเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู แม้จะจัดแบ่ง รายละเอียดเป็นหลายกลุ่ม หากมองโดยภาพรวมสามารถแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือเทพเจ้า บนภาคพื้นดินและเทพเจ้าบนท้องฟ้าโดยมีความสัมพันธ์กับมนุษย์เทพเจ้าที่อยู่ภาคพื้นดินแม้ จะอยู่ใกล้ชิดกับมนุษย์แต่ก็มีสถานะสูงกว่ามีอำนาจเหนือกว่ามนุษย์ เช่นพระแม่คงคาแม้อยู่ ในแม่น้ำที่มีตำแหน่งระนาบเดียวกับมนุษย์แต่ก็มีสถานะเป็นสิ่งที่มีอำนาจเหนือกว่ามนุษย์ มนุษย์จึงเคารพกราบไหว้บูชาขอพรจากพระแม่คงคา ส่วนเทพเจ้าที่อยู่ภาคท้องฟ้าอันนี้อยู่ ในระดับที่สูงกว่ามนุษย์จึงเป็นสิ่งที่มีอำนาจสูงกว่ามนุษย์เช่นพระสุริยะ เมื่อมนุษย์เชื่อว่าเทพเจ้า มีสถานะสูงกว่ามนุษย์จึงเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถต่อกรเทียบเท่าได้ ความสัมพันธ์จึงเป็นไป ลักษณะสยบยอม มนุษย์จึงมีพฤติกรรมอ่อนน้อมกราบไหว้บูชาเทพเจ้าเหล่านั้นเพื่อให้ เทพเจ้าทั้งหลายได้อำนวยประทานพรปกปักรักษามนุษย์ให้ตนเองและครอบครัวแคล้วคลาด ปลอดภัยมีชีวิตที่เป็นสุขไม่มีอุปสรรคอันตรายในการดำเนินชีวิตประจำวัน
| สยาม ราชวัตร 1.3.2 เป็นศาสนาแห่งพิธีกรรมที่แนบแน่นกับวิถีชีวิต อัตลักษณ์หนึ่งที่เด่นชัดของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู คือเป็นศาสนาแห่งพิธีกรรม กล่าวคือศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมีหลักการหรือกฎระเบียบอย่างเข้มงวดเกี่ยวกับพิธีกรรม ที่เป็นวงจรของชีวิตมนุษย์ที่เป็นชาวฮินดูจะต้องปฏิบัติโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับเรื่องวรรณะ ว่าแต่ละวรรณะมีพิธีกรรมที่ต้องปฏิบัติให้สอดคล้องกับวรรณะของตนเอง เช่นการแต่งงาน จะถูกกำหนดให้แต่งงานกับบุคคลนอกวรรณะไม่ได้ และในวรรณะเดียวกันก็จำกัดโคตรตระกูลด้วย อาหารการกิน คนในวรรณะต่ำจะปรุงอาหารให้คนวรรณะสูงกินไม่ได้การประกอบอาชีพ บุคคลในวรรณะใดก็ต้องประกอบอาชีพที่กำหนดไว้ สำหรับบุคคลในวรรณะนั้น รวมถึง การตั้งถิ่นฐานของชาวฮินดู ห้ามตั้งบ้านเรือนอยู่นอกเขตประเทศอินเดีย ห้ามเดินเรือไป ในทะเลหรือมหาสมุทร เป็นต้น พิธีกรรมที่เกี่ยวกับการบูชาเทพเจ้าที่ตนเองบูชาซึ่งก็แยก รายละเอียดไปตามเทพเจ้าแต่ละองค์หรือแยกรายละเอียดไปตามแต่ละนิกายซึ่งตัวพิธี กรรมการบูชาเทพเจ้าแต่ละองค์ก็รวมไปถึงเทศกาลและประเพณีที่จัดทำขึ้นตามช่วงเวลาที่ กำหนดขึ้นเป็นเชิงพิธีกรรมหมู่คณะโดยกระทำพิธีกรรมร่วมกันเพื่อเฉลิมฉลองในเทศกาลนั้นๆ เช่นเทศกาลมหาศิวราตรีว่าด้วยการเฉลิมฉลองพระศิวะมหาเทพ เทศกาลนวราตรีว่าด้วย การเฉลิมฉลองบูชาพระแม่อุมามหาเทวีในปางต่างๆ เทศกาลคเณศจตุรถี ว่าด้วยการ เฉลิมฉลองบูชาพระพิฆเนศ เป็นต้น พิธีกรรมเกี่ยวกับการทำบุญอุทิศให้กับบรรพบุรุษของครอบครัวที่ล่วงลับไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบิดามารดาปู่ย่าตายายที่ได้เสียไปแล้ว ลูกหลานญาติพี่น้องจะทำบุญอุทิศส่วน กุศลไปให้แก่ดวงวิญญาณที่ไปสถิตในปรโลก ซึ่งเรียกพิธีเหล่านี้ว่า “พิธีกรรมศราทธ์” แปลว่า พิธีกรรมของผู้มีศรัทธา ชาวฮินดูจะเคร่งครัดในการทำพิธีนี้มากอย่างน้อยทำพิธีกรรมนี้เดือน ละครั้งตลอดปีเป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษผู้ล่วงไปแล้ว อีกพิธีกรรมหนึ่งที่ชาวฮินดูยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดตามหลักคำสอนศาสนา พราหมณ์-ฮินดู คือพิธีกรรมสังสการซึ่งนิยมปฏิบัติกันอยู่ 16 สังสการ ถือเป็นพิธีกรรมที่เกี่ยวข้อง วงจรชีวิตของมนุษย์ทั้งในเชิงกายภาพและจิตภาพ ให้ความสำคัญพัฒนาการชีวิตแต่ละช่วงวัย และความรู้สึกทางจิตใจในมิติทางศาสนาของสมาชิกภายในครอบครัว ตั้งแต่การเกิดจนถึง การตาย ซึ่งเริ่มตั้งแต่ช่วงเวลาก่อนคลอด คือ (1) พิธีการตั้งครรภ์ (2) พิธีการกำหนดขอเพศ ให้ลูกโดยนิยมขอเป็นลูกชายคนแรกที่จะมาเกิด หรือบางตำราบอกว่าเป็นพิธีกรรมปฏิบัติที่รู้ ว่าลูกเป็นชาย ประเด็นตรงนี้หลายคนสงสัยว่าทำไมต้องเป็นลูกชายเท่านั้น สาเหตุมาจาก ความเชื่อของชาวฮินดูมีความเชื่อว่าถ้าครอบครัวใดได้ลูกชายจะถือว่าพ่อแม่ได้พ้นจากนรก ขุมปุตตะ (3) พิธีตัดผมหญิงผู้ตั้งครรภ์(4) พิธีคลอดลูก (5) พิธีตั้งชื่อให้ลูกที่เกิด (6) พิธีนำ ลูกไปสัมผัสแสงอาทิตย์(7) พิธีป้อนข้าวและน้ำแก่ลูกที่เริ่มมีฟันน้ำนมแล้ว (8) พิธีโกนผมไว้จุกซึ่ง พิธีกรรมนี้ไทยเรียกว่าโกนผมไฟ (9) พิธีกรรมเจาะหู(10) พิธีสู่ความเป็นพราหมณ์เรียกว่า
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | “ทวิชาติ” เป็นวัยที่ต้องเข้าศึกษาส่งลูกสู่สถานศึกษา (11) พิธีศึกษาพระเวทกับครู (12) พิธี จบการศึกษากลับสู่บ้านอีกครั้ง (13) พิธีแต่งงานมีคู่ครองชีวิตเป็นวัยมีครอบครัวสร้างฐานะ (14) พิธีบูชาเทวดาของสามีภรรยาและครอบครัว (15) พิธีเข้าสู่วัยเกษียณหรือวัยชราเรียกว่า “วนปรัสถ์” แปลว่าอยู่ป่า คือพิธีกรรมหลักศาสนาพราหมณ์-ฮินดูต้องการให้มนุษย์เรียนรู้ การปล่อยวางจากพันธนาการเข้าสู่ป่าปลีกวิเวกหรืออาจตีความได้ว่าเป็นวัยที่ครอบครัว ลูกหลานเลี้ยงตนเองได้แล้ว พ่อแม่ก็หมดภาระทางครอบครัวเป็นวัยที่มีเวลาบำเพ็ญกิจทางสังคม บางหลักคำสอนในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูบอกว่าทันใดที่มองเห็นผมหงอกบนศีรษะของ ตนเองแล้วแสดงให้เห็นชีวิตได้เข้าวัยวนปรัสถ์จากนั้นก็ถึง (16) พิธีกรรมการตายเป็นวัยสุดท้าย ของชีวิตที่จากโลกนี้ไป ญาติพี่น้องทำพิธีกรรมเกี่ยวกับศพและการทำบุญส่วนกุศลให้กับ ผู้ล่วงลับไปเป็นเสบียงบุญในโลกหลังความตาย ผู้เขียนมีความคิดเห็นว่า ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูได้กำหนดพิธีกรรมและรายละเอียด ที่ต้องปฏิบัติตามแต่ละพิธีกรรมไว้เป็นหลักปฏิบัติแก่ชาวฮินดูนั้นเป็นสิ่งแสดงให้ว่าพิธีกรรมมี ความสำคัญกับการดำเนินชีวิตแต่ละช่วงวัยให้เกิดความมั่นใจในการดำเนินชีวิตแต่ละย่างก้าว โดยเฉพาะพิธีกรรมสังสการมีความโดดเด่นมากที่พิธีกรรมมีความสัมพันธ์กับช่วงวัยของชีวิตที่ ต้องดำเนินไป การกำหนดพิธีกรรมให้สอดคล้องกับช่วงชีวิตแต่ละช่วงเป็นมิติภายในที่สร้าง ขวัญกำลังใจให้กับศาสนิก และเป็นกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับครอบครัวและ ความสัมพันธ์ในหมู่เครือญาติถือเป็นกิจกรรมทางสังคมด้วย 1.3.3 เป็นศาสนาที่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด ความเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมเป็นระบบที่เชื่อว่าเหตุและผลแห่งจักรวาล (Law of karma) มีกลไกด้วยตัวของมันเองและความเชื่อว่าการเวียนว่ายตายเกิดหรือการเกิดใหม่ (reincarnation) ของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายเป็นไปตามอำนาจกรรมโดยจำแนกให้แตกต่าง กันเรียกกระบวนการนี้ว่า “สังสารวัฏ” ถือเป็นระบบความเชื่อหลักของศาสนาทั้งหลาย ในอินเดีย ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมองว่าจักรวาลเป็นสิ่งที่หมุนเป็นวงจร เป็นลักษณะแบบ วงกลม ซึ่งแตกต่างจากจักรวาลของศาสนาฝ่ายเทวนิยมกลุ่มเซมิติกเช่นศาสนาคริสต์ที่มี ลักษณะเป็นเส้นตรงมีจุดเริ่มต้นและมีจุดสิ้นสุดกล่าวคือเกิดครั้งเดียวตายครั้งเดียวเป็นอัน สิ้นสุดกระบวนการ ส่วนศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมีความเชื่อว่าตราบใดที่มนุษย์ยังไม่บรรลุถึง สภาวะแห่งโมกษะ ก็จะยังอยู่ในระบบการเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่ำสูงแตกต่างกันไปด้วย พลังขับเคลื่อนแห่งกรรมที่สร้างสมไว้ผ่านกาลเวลาหลายภพหลายชาตินับครั้งไม่ถ้วนผ่านการเกิด เป็นสิ่งต่างๆมากมายตามแรงกรรม หลักฐานความเชื่อเหล่านี้มาจากหลักคำสอนที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระเวทและ คัมภีร์ชั้นรองทั้งหลายไม่ว่าอุปนิษัทและคัมภีร์อื่นๆ นำไปสู่ความเชื่อและการปฏิบัติของ
| สยาม ราชวัตร ชาวฮินดูที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดูกลายเป็นอัตลักษณ์ของศาสนาพราหมณ์- ฮินดูผ่านการความเชื่อและการปฏิบัติทางพิธีกรรมของชาวฮินดูในวิถีชีวิตประจำวัน รวมถึง วรรณกรรมทั้งหลายที่มีการอธิบายเชื่อมโยงกับแนวคิดเรื่องกฎแห่งกรรมและการเวียนว่าย ตายเกิด การกลับชาติมาเกิดใหม่สะท้อนความเป็นอัตลักษณ์ทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ในด้านความเชื่อและการปฏิบัติในรูปแบบวิถีชีวิตวัฒนธรรมประเพณีเทศกาลมากมายใน ประเทศอินเดีย หลักฐานเกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิดสามารถค้นหาหลักฐานในคัมภีร์ดั้งเดิม ของศาสนาเช่นคัมภีร์พระเวทและคัมภีร์อุปนิษัทซึ่งถือเป็นคัมภีร์หลักที่แสดงหลักฐาน ทางความคิดของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู สำหรับหลักฐานในคัมภีร์พระเวทยังไม่มีความเชื่อ และคำสอนเรื่องการเกิดใหม่ที่เป็นระบบ แต่ก็มีความเชื่อและคำสอนเรื่องชีวิตหลังความตาย อมตภาพของวิญญาณ หรืออาตมัน กล่าวคือความตายมิได้หมายถึงการสิ้นสุดชีวิต แต่มีชีวิต หลังความตายที่สืบต่อไป โดยการกล่าวถึงไว้ในคัมภีร์ฤคเวทในหลายลักษณะ เช่น เมื่อมนุษย์ ตายร่างกายส่วนต่างๆ และวิญญาณจะมีการกลับคืนสู่จักรวาล วิญญาณจะเข้าสู่โลกแห่งบิดร หรือเข้าสู่บ้านดินเหนียว วิญญาณจะเข้าสู่นรกสวรรค์ดังมีรายละเอียด คือ (1) ส่วนต่างๆ ของร่างกายผู้ตายและวิญญาณได้กลับคืนสู่จักรวาล ในคัมภีร์ ฤคเวท ได้กล่าวว่าเมื่อมนุษย์สิ้นสุดชีวิตในทางร่างกายลง ส่วนต่างๆ ของร่างกายรวมทั้ง วิญญาณนั้น จะถูกแยกกระจายออกไปสู่ส่วนต่างๆ ของจักรวาล กล่าวคือดวงตาจะไปสู่พระอาทิตย์ ลมหายใจไปสู่สายลม คำพูดไปสู่เปลวไฟ แขนขาไปสู่ส่วนต่างๆ แห่งห้วงจักรวาล (Deussen, Paul, 1966, p. 329) (2) โลกแห่งบิดรและบ้านดิน ในคัมภีร์ฤคเวท ได้กล่าวถึงชีวิตหลังความตาย เอาว่า ภายหลังจากที่วิญญาณถูกตัดสินแล้ว ก็จะถูกส่งไป “โลกแห่งบิดร” (World of the Farther) เข้าสู่ “บ้านดินเหนียว” (House of Clay) (A.L. Basham, 1959, p. 242) (3) นรก-สวรรค์ในคัมภีร์ฤคเวท ได้กล่าวถึงชีวิตหลังความตาย ที่สืบต่อไปนั้น จะสุขหรือทุกข์ในสวรรค์หรือนรกเนื่องมาจากผลกรรมของผู้นั้นทั้งสิ้น ความว่า “ดูก่อนพระยม ขอจงยินยอมให้ผู้ที่บำเพ็ญตบะเคร่งครัด ไม่หวั่นไหว ไปสู่เทวโลกเถิด ผู้ใดทำสงครามอันเป็นธรรม ผู้ใดเป็นวีรบุรุษ พลีชีวิตในการสงคราม ผู้ใดประกอบยัญกรรม นับพันอย่าง ขอจงอนุญาตให้ผู้นั้นไปสู่เทวโลกเถิด” “ขุมนรกที่ลึกล้ำ มีไว้สำหรับผู้กระทำบาป ใช้เล่ห์เพทุบาย ขาดความสัตย์ผู้ใด ประกอบยัญกรรม ผู้นั้นเจริญรุ่งเรือง ไม่มีที่สิ้นสุด และจะบรรลุมรรคผล” (สมัคร บุราวาศ, 2516, น. 152-154) เมื่อมาถึงยุคพราหมณะ ความเชื่อในเรื่องชีวิตหลังความตาย และอมตภาพแห่ง วิญญาณในยุคฤคเวทนั้น ได้รับการสืบทอดความเชื่อเหล่านี้ให้มามีความสัมพันธ์กับการกระทำ
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | ของพราหมณ์ ความถูกต้องครบถ้วนในการประกอบพิธีกรรม หรือความบกพร่องละเลยใน การประกอบพิธีกรรม จะได้รับการตอบแทนในชีวิตหลังความตาย ในรูปของความเชื่อเรื่อง การให้รางวัลและการลงโทษ รวมตลอดไปถึงความเชื่อในเรื่องการตายซ้ำๆ กัน ซึ่งจะเกิดขึ้น ในโลกอื่น โดยเราจะเห็นได้จากบทสวดในคัมภีร์พราหมณะ คำว่า พราหมณะ มีรากศัพท์มา จากพรหมัน หมายถึงการสวดอ้อนวอนหรือความจงรักภักดี ได้แก่การที่นักพรตเปล่งวาจา ตามบทสวดในคัมภีร์โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการบูชายัญ และที่เรียกกันว่า คัมภีร์พราหมณะ เพราะคัมภีร์เหล่านี้บรรจุบทสวดเช่นกัน จะขอยกตัวอย่างความเชื่อเหล่านี้จากคัมภีร์นี้ เช่น “บุคคลผู้รู้ในพิธีกรรมนี้หรือได้กระทำพิธีกรรมนี้แล้ว เมื่อบุคคลนั้นได้กลับฟื้น ขึ้นอีก ครั้นภายหลังจากการตาย บุคคลนั้นจะได้สู่ความเป็นอมตะนิรันดร แต่สำหรับบุคคล ผู้ไม่รู้หรือบกพร่องในพิธีกรรม ย่อมจะต้องเป็นเหยื่อของการตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า” (Deussen, Paul, 1966, p.327) อนึ่ง การประกอบพิธีบูชายัญเพื่อบูชาเทพเจ้าในโอกาสต่างๆ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ ทำให้เกิดแนวความคิดเรื่องนรกสวรรค์ขึ้นมา เพราะชาวอารยันเชื่อกันว่า ปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ เช่นไฟไหม้ ฟ้าผ่า หรือแม้แต่การเจ็บป่วย เป็นต้น เกิดขึ้นจากเทพเจ้า ผู้มีฤทธิ์บนสวรรค์บันดาลให้เป็นไป นอกจากนั้นยังความเชื่อว่า คนที่ทำกรรมดีกรรมชั่วหลังตาย จากโลกนี้ไปแล้ว บรรพบุรุษที่ตายไปจะมารับผลบุญที่ญาติในโลกนี้อุทิศให้ ร่วมกับเทพเจ้าอื่นๆ สถานที่สำหรับรองรับคนตายไปแล้วตามแนวความคิดในสมัยพระเวทก็คือ สวรรค์เมื่อคนตายแล้ววิญญาณออกจากร่างดำเนินไปตามทางของเทพบิดร เข้าไปสู่สถานที่ ที่มีแสงสว่างตลอดกาล เหมือนแสงสว่างแห่งเทพเจ้าทั้งหลาย ในอาถรรพเวท (Atarvaveda) กล่าวว่า คนที่ตายไปแล้วจะไปอยู่กับมารุตเทพเจ้ามีลมพัดเบาๆ ไปบนตัวเขา และถูกทำให้ เย็นด้วยฝน จนกระทั่งหาร่างกายใหม่ได้แล้วก็จะไปพบเทพบิดรในสวรรค์ชั้นสูงสุด อาศัยอยู่ กับพระยม ณ ที่นั้น (Keith, Arthur berriedale, 1970, p. 406) สวรรค์ในยุคพระเวทถูก เรียกว่า เป็นเหมือนกับบ้านเรือนที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ของคนที่ตายไปแล้ว (Atharvaveda X.XIV.VIII) ในคัมภีร์ฤคเวทกล่าวว่า ธรรมชาติของสวรรค์จะเข้าถึงได้ด้วยวิญญาณเป็นสถานที่ ที่เต็มไปด้วยแสงสว่าง มีแต่ความสุข ความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์ในสมัยโบราณ ไม่ใช่เป็นเรื่องเกี่ยวกับระบบรางวัลและ การลงโทษหลังตายไป คนที่ทำกรรมดีกรรมชั่ว มีความเชื่อว่าจะไปเกิดในโลกอื่น อยู่ภายใต้ การควบคุมของพระยม ซึ่งเป็นผู้ปกครองสวรรค์ มิใช่ผู้ปกครองนรกภูมิ (เอ็ม หิริยันนะ, 2520, น. 25-26) นอกจากนั้นพระเวทมีความเชื่อว่า ในตัวมนุษย์มีสิ่งหนึ่งที่เป็นอมตะภายใน อยู่ กับร่างกายที่ผ่านมรณะและชาตะมาหลายภพหลายชาติ ดีบ้างเลวบ้าง เมื่อคนตายไปก็ไปสู่ ยมโลก ดังนั้นพิธีกรรมบางอย่างจึงมุ่งเน้นไปที่การทำพลีกรรมบวงสรวงพระยม ซึ่งถือว่าเป็น เทพเจ้าผู้ปกครองวิญญาณทั้งหลายทั้งปวง พระยมเป็นมนุษย์คนแรกผู้มรณะและค้นพบ หนทางไปสู่โลกอื่น ท่านมีหน้าที่นำวิญญาณของมนุษย์ไปเก็บไว้ในเคหะและอาศัยอยู่ ณ ที่นั้น
| สยาม ราชวัตร ตลอดไป ดังข้อความที่กล่าวไว้ในฤคเวทว่า “จงเซ่นไหว้พระยม ผู้เป็นบุตรแห่งวิวาสวัต ผู้รวบรวมวิญญาณของมนุษย์แล้ว พาไปสู่แม่น้ำอันมหาศาล และชี้ทางแก่คนเป็นอันมาก พระยมเทพเจ้า เป็นปฐมบุรุษผู้ชี้ทาง ให้เราเดิน เคหะ (ที่เราจะไปสู่นี้) อย่าเอาของเราไป ผู้มีชีวิตอยู่ในขณะนี้ ย่อมไปตามยถากรรม ของตนสู่แดนที่บรรพบุรุษของเราได้ไปก่อนแล้ว” “ดูก่อนพระยม ขอจงยินยอมให้ผู้ที่บำเพ็ญตบะอย่างเคร่งครัด ไม่หวั่นไหวไปสู่ เทวโลกเถิด ผู้ใดทำสงครามอันเป็นธรรม ผู้ใดเป็นวีรบุรุษพลีชีวิตในสงคราม ผู้ใดประกอบยัญกรรม นับพันอย่างขอจงอนุญาตให้ผู้นั้นไปสู่เทวโลกเถิด ดูก่อนพระยม ผู้ใดทำสงครามอันเป็นธรรม ผู้ใดเป็นวีรบุรุษพลีชีวิตในสงคราม ผู้ใดประกอบยัญกรรมนับพันอย่าง ขอจงอนุญาตให้ผู้นั้น ไปสู่เทวโลกเถิด ดูก่อนพระยม ผู้ใดเป็นสมณะผู้เคร่งครัดศีลธรรม รอบรู้ศาสตร์นับพันอย่าง ขอจงยินยอมให้ผู้นั้นไปสู่ เทวโลกเถิด (สมัคร บุราวาศ, 2516, น.152-153) ทัศนะเรื่องนรกในสมัยพระเวทยังไม่ชัดเจนนัก แต่ก็มีบางตอนในพระเวทที่ กล่าวถึง เช่น ในคัมภีร์อาถรรพเวทและพราหมณะ มีการกล่าวถึงค่อนข้างจะชัดเจน คือมี การบรรยายว่า นรกเป็นสถานที่เบื้องต่ำ มีแต่ความมืดมนชั่วนิรันดร ผู้ที่ไปสู่นรกไม่สามารถ หนีออกมาได้ (เอ็ม.หิริยันนะ, 2520, น. 26) คัมภีร์พระเวทบางตอนกล่าวถึงการลงโทษคนชั่ว หรือคนบาปทั้งหลาย (Rg-veda IV.V.V) ในสถานที่อันตรงกันข้ามกับสวรรค์ เหมือนกับ สถานที่อยู่อาศัยของพวกปีศาจ หรือพวกพ่อมดหมอผี พวกฆาตกรฆ่าคนตาย มีสภาพ เป็นสีดำมืดสนิทไม่มีแสงสว่างเลย (Keith, Arthur beriedale, 1970, pp. 409-410) เป็นสถานที่ ลงโทษผู้เคยทำบาปกรรมไว้ในโลกนี้ คำว่า “นรก” เพิ่งมีปรากฏขึ้นมาในสมัยอาถรรพเวท หมายถึง เขตแดนซึ่งถูกบรรยายไว้ว่าเป็นเสมือนสถานที่อยู่อาศัยที่ไม่มีความอิสระในอนาคต ในคัมภีร์ฤคเวท (Rg-veda) ได้กล่าวถึงพระยม (Yama) หมายถึง ผู้ปกครองคน ผู้ตายไปแล้ว พระยมเป็นผู้อนุญาตให้ผู้ละจากโลกนี้ไปแล้วอาศัยอยู่ในสถานที่ที่มีแต่ความสุข ตลอดไป ดังนั้น ท่านจึงเป็นเหมือนเขตแดนแห่งความน่ากลัว และสยดสยองในนรกขุมหนึ่ง นั้นมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ตลอดเวลา ในอีกขุมหนึ่งเต็มไปด้วยงูร้าย แมงป่อง และจระเข้ ต่อจากนั้นก็มีบึงใหญ่กว้างหลายไมล์ ซึ่งเต็มไปด้วยหนองและเลือด ส่งกลิ่นเน่าเหม็นคละคลุ้ง มีหมู่หนอน และแมลงที่น่าขยะแขยงไต่ยั้วเยี้ยเต็มไปหมด นอกจากนั้นยังมีขุมนรกอื่นๆ อีก หลายร้อยขุมซึ่งมีสภาพน่าเกลียดน่ากลัว ทำนองเดียวกันนี้ แต่ละขุมก็มีการทรมานและ การลงโทษต่างๆ กัน กำลังรอคอยคนบาปอยู่ (สุเมธ เมธาวิทยกุล, 2525, น. 202) ในคัมภีร์อาถรรพเวท ความตายถูกกล่าวว่าเป็นทูตของพระยม ผู้สำรวจวิญญาณ ของมนุษย์ทั้งหลายกับสถานที่อยู่ของบรรพบุรุษของพวกเขาเอง พระยมถือว่าเป็นตัวแทนของ คนที่ตายไปแล้ว มีสุนัข 2 ตัว ที่ไม่รู้จักอิ่ม มีตา 4 ตา รูจมูกกว้าง รักษาประตูทางเข้าไปยังที่อยู่ อาศัย ( Rg-veda X.XIV.X-XII) คัมภีร์พระเวทเชื่อว่า คนเราหลังจากตายไปแล้ว เขาจะเดิน
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | ทางผ่านสุนัขตัวใหญ่น่ากลัวมี 4 ตา มีรูจมูกกว้าง ก่อนจะถึงที่อยู่ของพระยม ในขณะเดียวกันเขาก็ ค้นพบชีวิตที่สมบูรณ์ มองหาชีวิตเบื้องหน้าในสวรรค์ซึ่งถือว่าเป็นสถานที่ที่มีความสุขตลอด กาล ในยุคพระเวทเมื่อบุคคลตายไปแล้วจะไปเกิดในนรกหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับกรรม ซึ่งแต่ละคนได้เคยทำเอาไว้การทำกรรมดีในสมัยพระเวทก็คือการทำพิธีกรรมบูชายัญ หรือ การบำเพ็ญตบะ โดยไม่ขัดกับหลักคำสอนในคัมภีร์พระเวท เมื่อทำได้โดยไม่บกพร่องก็จะไป เกิดในสวรรค์สวรรค์ถือเป็นดินแดนที่น่าปรารถนา มีพระอาทิตย์เป็นเขตแดน มีแต่อาหาร และความสำราญรวมทั้งความสุขสนุกสนานรื่นเริงต่างๆ ก็มีอยู่ในสวรรค์ทั้งสิ้น ส่วนผู้ทำความ ชั่ว ย่อมประสบความทุกข์เดือดร้อนทั้งในโลกนี้และโลกหน้า มีสถานที่ลงโทษผู้กระทำ ความผิด มีสภาพเป็นถ้ำหรืออุโมงค์ ไม่มีขอบเขต เมื่อคนชั่วตายไปแล้วก็เดินทางเข้าไปสู่ สถานที่อันมืดสนิท ไม่มีใครหนีออกมาได้ เป็นสถานที่ปราศจากความสุข ความชั่วทั้งหลายถือ ว่าเป็นสิ่งที่เพิ่มพูนมาจากภายนอก มนุษย์จะขจัดออกไปได้ โดยการสวดมันตระหรือทำ พิธีกรรมบูชายัญ ในยุคพระเวทนี้ สรรพสิ่งทั้งหลายอยู่ภายใต้อิทธิพลของลัทธิพิธีกรรมและการบูชายัญ (ritualism) กล่าวคือ ทุกสรรพสิ่งต้องขึ้นอยู่กับพิธีกรรมทั้งหมด การบูชายัญในยุคนี้ถือว่าเป็น “ฤณ”คือเป็นหน้าที่ทุกคนต้องทำ การประกอบพิธีกรรมถือว่าเป็นการให้ความสำคัญแก่เทพเจ้า มาก ถือว่าเทพเจ้าทั้งปวงเป็นผู้รับผิดชอบ ทั้งในด้านการค้ำจุนระเบียบสังคมและระเบียบ จักรวาล ส่วนทัศนะเรื่องกรรมและการเกิดใหม่ในยุคพระเวท มีต้นเค้ามาจากฤคเวทโดยเรียก กฎแห่งกรรมที่ไม่มีใครสามารถล่วงละเมิดได้ว่า “ฤตะ” ความหมายเดิมของคำนี้ก็คือความ สอดคล้องกลมกลืนของธรรมชาติ หรือกฎระเบียบของสิ่งต่างๆ ทั้งหลาย รวมทั้งระเบียบแห่ง ศีลธรรมด้วย (จีรวรรณ ชินะโชติ, 2533, น. 35) ดังนั้นการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ในสมัย พระเวทถือว่าเป็นกรรมดีหรือเป็นหน้าที่อย่างหนึ่งที่พึงกระทำ เป็นการสรรเสริญและให้ เกียรติต่อเทพเจ้า ซึ่งเชื่อว่าเป็นผู้ปกครองโลกสวรรค์ ปกครองธรรมชาติสามารถอำนวยทั้ง ความสุขแก่ผู้ทำกรรมดีคือบูชายัญ และความทุกข์แก่คนผู้ไม่ประกอบพิธีกรรม พิธีกรรมจึง กลายเป็นเกณฑ์การตัดสินความดีในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู (สยาม ราชวัตร, 2553, น. 33-38) ในคัมภีร์อุปนิษัท มองการเวียนว่ายตายเกิดว่า การเกิดใหม่ในโลกหน้าเป็นเหตุ ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กัน เป็นหลักเหตุผลที่ต่อเนื่องถึงกัน กรรมคือการกระทำหน้าที่อย่างใด อย่างหนึ่ง หรือการปฏิบัติตนตามหลักธรรมของศาสนา กรรมมีทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว การให้ ผลของกรรมแต่ละครั้งก็ตรงกับเหตุเสมอ ใครทำกรรมอย่างใดก็ต้องได้รับผลอย่างนั้น เป็นสิ่งตอบแทน กรรมนี่เองเป็นเหตุให้คนต้องไปเกิดใหม่ในภพภูมิต่างๆ แต่ละคนจะไปเกิด เป็นอะไรขึ้นอยู่กับกรรมของตนเองเป็นหลัก เมื่อร่างกายแตกดับไปแล้ว ชีวาตมันหรือ วิญญาณจะเคลื่อนออกจากร่างเก่าไปอาศัยอยู่ในร่างใหม่ เปรียบเสมือนคนเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดเก่า
| สยาม ราชวัตร แล้วสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ กรรมที่แต่ละคนได้ทำเอาไว้ในปัจจุบัน จะกลายเป็นสมบัติภายในที่ ติดตามตัวบุคคลไปตลอดเวลาเหมือนกับเงาตามตัว ผลกรรมแต่ละอย่างไม่มีใครสามารถ แก้ไขได้ เพราะกรรมของมนุษย์ต้องขึ้นอยู่กับพระผู้เป็นเจ้า พระองค์เป็นผู้วางระเบียบกฎ แห่งกรรมไว้การเวียนว่ายตายเกิดเป็นกฎเกณฑ์อย่างหนึ่งที่พระองค์วางไว้ เพื่อเปิดโอกาสให้ มนุษย์ได้พัฒนาตนเอง จากประสบการณ์จริงแห่งชีวิตซึ่งมีทั้งความสุขและความทุกข์ ความดี ใจและความเสียใจ ความสมหวังและผิดหวัง ความดีและความชั่วเป็นต้น ผู้ที่มีวิทยาใน การดำเนินชีวิต ย่อมสามารถลิขิตทางเดินของตนเองด้วยหลักธรรม จนนำไปสู่ความหลุดพ้น กลายเป็นหนึ่งเดียวกับพระผู้เป็นเจ้าหรือพรหมันในที่สุด (พระมหาธนกร สุขเสริม, 2541, น. 175) ตามแนวความคิดของคัมภีร์อุปนิษัท มีความเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนเกิดมานับชาติ ไม่ถ้วน บางชาติเกิดเป็นเทวดา บางชาติเกิดเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ หรือเป็นพืช วนเวียนกันอยู่ อย่างนี้ เพราะอำนาจของกรรมดีกรรมชั่วที่แต่ละคนเคยได้ทำมาในอดีตชาติ จนกว่าวิญญาณ หรือชีวาตมัน จะพบกับโมกษะ คือความหลุดพ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นการกลับ ไปสู่แหล่งกำเนิดดั้งเดิมของสรรพสิ่งคือพรหมัน อันเป็นสิ่งสมบูรณ์สูงสุด การเกิดใหม่ของ มนุษย์ทั้งหลาย เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นต่อเนื่องอย่างไม่สิ้นสุด ตราบใดที่มนุษย์ยังไม่บรรลุ ถึงโมกษะ เขาก็ต้องเวียนอยู่ในสังสารวัฏต่อไป เพื่อเสวยผลแห่งกรรมที่ตนเองได้เคยทำมา ใน ชาติที่เกิดเป็นมนุษย์ของแต่ละคนนั้น ถือว่าเป็นศูนย์รวมแห่งการทำกรรมดีและกรรมชั่ว และ กรรมดีสูงสุดที่เป็นไปเพื่อทำลายกรรมและกิเลส ตามความปรารถนาหรือความตั้งใจของ ตนเองตั้งแต่เกิดจนถึงตาย เมื่อตายแล้วอวัยวะต่างๆ ก็กลับคืนเข้าสู่ธรรมชาติของมันเอง คนที่ยังไม่หมดกรรม ชีวาตมันหรือวิญญาณของเขาก็จะกลับมาเกิดใหม่ ลักษณะของการเกิด ใหม่นั้นเปรียบเหมือนกับผลไม้ที่หล่นจากต้น ถึงแม้ต้นของมันจะตายไปตามอายุกาล แต่เมล็ดพันธุ์ ของมันยังสามารถแผ่กิ่งก้านสาขาต่อไปได้อีกตราบนานเท่านาน จนกว่าเมล็ดพันธุ์ของมันจะ ถูกทำลายหรือหมดเชื้อไป อีกอย่างหนึ่ง ท่านเปรียบการเกิดใหม่เหมือนกับตัวหนอนหรือ ตั๊กแตน หรือตัวบุ้ง เมื่อมันกินหญ้าต้นเก่าหมดแล้วก็ไปกินหญ้าต้นใหม่ต่อไป หรือเปรียบ เหมือนกับช่างทองทำเครื่องประดับต่างๆ ให้มีลักษณะที่สวยกว่าหรือดีกว่าเดิม แต่เนื้อแท้ ของทองไม่ได้สูญหายไปไหน อัตภาพร่างกายของมนุษย์ก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน เมื่อเกิดมาแล้วก็ดำรงอยู่ตามกาล เพื่อทำหน้าที่และรับใช้กรรมของตน เมื่อร่างกายแตกดับไปแล้ว อวัยวะต่างๆ ของร่างกายก็ เดินทางไปสู่ธรรมชาติของมันเอง คงเหลืออยู่แต่สิ่งถาวร คืออาตมันหรือชีวาตมันเท่านั้นที่ ไม่แตกดับเหมือนกับร่างกายหยาบหรือภายนอก ชีวาตมันนี้มีสภาพเป็นกายละเอียดที่ไม่ เปลี่ยนแปลง เมื่อกายดับไปแล้วมันก็เดินทางไปหาร่างกายใหม่ เปรียบเหมือนกับงูลอกคราบเก่า ของมันทิ้งไป แต่ตัวของมันยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไป ดังข้อความหลักฐานในคัมภีร์อุปนิษัทต่อไปนี้ คำพูดของบุรุษผู้ตายแล้ว ย่อมเข้าไปสู่ไฟ ปราณเข้าไปสู่ลม ดวงตาเข้าไปสู่ พระอาทิตย์มนัสเข้าไปสู่พระจันทร์หูเข้าไปสู่ทิศทั้งหลาย ร่างกายเข้าไปสู่ดิน อาตมันเข้า
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | ไปสู่อากาศ ขนตามร่างกายเข้าไปสู่พืชล้มลุก เส้นผมบนศีรษะเข้าไปสู่ต้นไม้ เลือดและน้ำอสุจิ เข้าไปในน้ำ... (B.U. 3.2.13) เมื่อร่างกายนี้ เข้าถึงความเป็นสภาพเบาบาง ถูกทำให้ซูบผอมลงเพราะความแก่ และความมีโรค เปรียบเหมือนกับผลมะเดื่อ หรือผลของต้นโพธิ์ร่วงหล่นลงมาจากขั้วของมัน บุรุษนี้ก็เช่นเดียวกัน เมื่อหลุดพ้นจากร่างกายแล้ว ย่อมเดินทางกลับไปตามเส้นทางที่เขามา เข้าสู่ร่างใหม่เพื่อการมีชีวิตใหม่อีกครั้งหนึ่ง เพราะการเปิดเผยของปราณ (B.U. 4.3.36) เมื่อพิจารณาบรรพบุรุษเป็นอย่างไร และพิจารณาดูว่าผู้ที่เกิดมาภายหลังก็เป็น อย่างนั้น ผู้ที่จะต้องตายย่อมแก่เหมือนกับข้าวโพด และจะเกิดมาอีกเหมือนข้าวโพด (Katha 1.1.6) เหมือนตัวบุ้งที่ไปถึงปลายยอดหญ้า และเมื่อเกาะยอดหญ้าใหม่ได้ มันก็จะดึงตัว ท่อนหลังของมันไป ฉันใดก็ฉันนั้น อาตมันนี้ก็เช่นเดียวกัน เมื่อละทิ้งร่างกายหนึ่งก็จะไปเกาะ ร่างกายใหม่ ขับไล่ อวิทยาไป แล้วจึงเกาะร่างใหม่ไว้ แล้วจึงดึงตัวของมันเองเข้าไป (B.U. 4.4.3) เหมือนกับนายช่างทอง ถือเอาชิ้นแห่งทองไปแล้ว จึงเปลี่ยนชิ้นแห่งทองนั้นให้ เป็นอย่างอื่น ให้มีรูปที่ใหม่กว่าเดิม สวยกว่าเดิม อาตมันนี้ก็เช่นเดียวกัน เมื่อละทิ้งสรีระนี้แล้ว ขับไล่อวิทยาไปเสีย ย่อมทำรูปกายของตนให้เป็นรูปที่ใหม่กว่าและสวยกว่าเดิม เหมือนกับ ร่างกายของปิตฤเทพ คนธรรพ์ เทวดา เทพประชาบดี พรหม หรือร่างกายของสรรพสัตว์ ทั้งหลายเหล่าอื่น (B.U. 4.4.4) เปรียบเสมือนการลอกคราบของงูที่วางไว้บนจอมปลวก ไร้ชีวิต ถูกลอกทิ้งไว้ ร่างกายนี้ก็เช่นเดียวกัน คือ นอนอยู่อย่างนี้ แต่ผู้ไม่มีสรีระผู้นี้ย่อมไม่ตาย (B.U. 4.4.7) จากหลักฐานเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า แนวความคิดในคัมภีร์อุปนิษัทมองมนุษย์ และสรรพสัตว์ทั้งหลายมีการเกิดใหม่ตลอดเวลา โดยอาศัยชีวาตมันหรือวิญญาณของแต่ละคน เป็นตัวนำไปสู่ภพภูมิใหม่ ในกฐะอุปนิษัท เรียกวิญญาณที่ไปเกิดใหม่นี้ว่า “เทหินะ” หมายถึง ร่างกายที่ประกอบด้วยอาตมันหรือวิญญาณ อาตมันหรือวิญญาณนี้อาศัยอยู่ในดวงหฤทัยของ ทุกคน เมื่อร่างกายแตกดับไปตามสภาพของอายุและสังขาร แต่อาตมันหรือชีวาตมันยังคงอยู่ สภาพเดิมไม่เปลี่ยนแปลง อาตมันเป็นตัวสั่งสมประสบการณ์ต่างๆ ของชีวิตที่มีทั้งกรรมดีและ กรรมชั่ว ในขณะเดียวกันเมื่อได้ร่างกายใหม่ที่เหมาะสมแล้ว อาตมันหรือชีวาตมันนี้ก็จะไป เกิดใหม่ตามกรรมของแต่ละคน ชีวาตมันที่เดินทางไปเกิดใหม่นี้ อยู่ภายใต้การปกครองของ วิญญาณสากล เป็นผู้ควบคุมกฎแห่งกรรม และกำหนดทิศทางการไปเกิดใหม่ของมนุษย์ว่า เขาควรจะไปเกิดเป็นอะไร วิญญาณสากลนี้มีอยู่ทั่วไปทั้งในมนุษย์ พืช และสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย พระองค์คือผู้ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในสากลจักรวาล เป็นผู้ปกครองสิ่งทั้งปวง การเดินทางกลับมาเกิดใหม่ของอาตมันหรือชีวาตมันหลังจากเสวยผลกรรมในภพนั้นๆ
| สยาม ราชวัตร จะเดินทางผ่านทางอากาศ ลม เมฆ พืช เป็นต้น เมื่อคนกินพืชนั้นเข้าไป ชีวาตมันหรือ วิญญาณก็จะได้โอกาสเพื่อปฏิสนธิคือเกิดใหม่ทันที ดังข้อความหลักฐานในคัมภีร์อุปนิษัทว่า อาตมันประกอบด้วยวิชญาณคือความรู้ ย่อมก้าวเข้าสู่ร่างกาย อันเป็นไปด้วย ความรู้ อาตมันนั้น ถูกติดตามไปด้วยวิทยา กรรมและประสบการณ์ในอดีตที่ผ่านมา (B.U. 4.42) บุรุษนี้ประกอบด้วยมนัส เป็นแสงสว่าง เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง อาศัยอยู่ในดวงหฤทัย เหมือนกับเมล็ดข้าวเปลือกหรือข้าวบาร์เลย์ เขาเป็นเจ้าของสิ่งทั้งปวง และคุ้มครองทุกสิ่งที่มีอยู่ (B.U. 5.6.1) อาตมันบางอาตมันไปสู่ครรภ์เพื่อที่จะมีร่างกาย อาตมันบางอาตมันเข้าไปสู่วัตถุ ที่ไม่เคลื่อนที่ตามสถานะ ตามกรรม และตามความคิด (Katha 2.2.7) อาตมันนี้ประกอบด้วยกรรมทั้งปวง ประกอบด้วยความต้องการทั้งปวง ประกอบด้วยกลิ่นทั้งปวง ประกอบด้วยรสทั้งปวง แวดล้อมโลกนี้ไว้ ไม่มีคำพูด ไม่มีความกังวลใจ นี่แหละคืออาตมันของข้าพเจ้า (C. U. 3.14.4) พวกเขาที่ตายไปแล้ว ย่อมกลับมาอีกโดยทางเดียวกันนั้น คือสู่อากาศ จาก อากาศสู่วายุ เมื่อกลายเป็นวายุแล้วก็กลายเป็นควัน เมื่อกลายเป็นควันแล้วก็กลายเป็นเมฆบาง เมื่อกลายเป็นเมฆบางแล้วก็กลายเป็นเมฆฝน เมื่อกลายเป็นเมฆฝนแล้ว ฝนก็ตกลงมา พวกเขา ก็จะเกิดในโลกนี้ เป็นเหมือนกับเมล็ดข้าวเปลือกและข้าวบาร์เลย์ พืชล้มลุก ผลไม้ทั้งหลาย งาและถั่วทั้งหลาย แต่ว่า ความหลุดพ้นจากที่นั้นยากอย่างยิ่ง เพราะว่าใครก็ตามกินอาหาร และรดเมล็ดเชื้อลงไปก็จะกลายเป็นเหมือนกับสิ่งนั้น (C.U. 5.10.5-6) คัมภีร์อุปนิษัทเชื่อว่าการเกิดใหม่ของคนนั้นมีอยู่จริง กายหยาบภายนอกเท่านั้น ที่ตายไป แต่กายละเอียดคือชีวาตมันของทุกคนยังคงเหลืออยู่และเป็นตัวนำไปสู่การเกิดใหม่ กายละเอียดนี้มีชื่อเรียกหลายอย่าง เช่น อาตมัน ชีวาตมัน หรือชีวะ มีลักษณะคล้ายคลึง กับจิตหรือวิญญาณในพระพุทธศาสนา สำหรับชีวะหรือชีวาตมันนี้มีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิต ทั้งหลาย แม้แต่ต้นไม้ก็ถือว่ามีชีวะเช่นกัน ดังนั้น ชีวะหรือชีวาตมันจึงเป็นศูนย์กลางแห่ง การรวบรวม รับรู้ และถ่ายทอดอารมณ์ ประสบการณ์ต่างๆ ของชีวิต ซึ่งมีทั้งความสุขและ ความทุกข์ ความดีและความชั่ว เป็นต้น ชีวาตมันนี้มีสภาพเป็นอมตะ ไม่เสื่อมคลาย ไม่ถูก ทำลายไปเหมือนกับร่างกาย บางครั้งก็เรียกว่า “มนัส” ซึ่งเป็นที่เกิดมาของสัตว์ทั้งหลาย ขั้นตอนการเกิดใหม่ของมนุษย์นั้น เริ่มจากน้ำเชื้อที่ผสมแล้วในครรภ์ของสตรีเป็นเบื้องแรก และได้พัฒนาตนเองเป็นอัตภาพร่างกายในที่สุด ดังข้อความว่า สรีระนี้เป็นสิ่งที่จะต้องตาย ถูกความตายจับไว้ แต่สรีระนี้ก็เป็นที่รองรับที่เป็น อมตะที่ปราศจากร่าง อาตมันมีร่างนี้แลถูกความสุขและความทุกข์จับไว้(C.U. 8.12.1) มนัสคือพรหมัน เพราะว่าสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้นั่นแล เกิดมาจากมนัส เมื่อเกิด มาแล้ว ก็ดำรงอยู่ด้วยมนัส (T.U. 3.4.1)
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | ในบุรุษนั่นแล เบื้องแรกกลายเป็นครรภ์ สิ่งที่เป็นน้ำอสุจิก่อให้เกิดอวัยวะทั้งปวง ที่แข็งแรง นี่คือการเกิดครั้งที่หนึ่ง สิ่งนั้นเข้าถึงความเป็นตัวตนเพราะสตรี จึงมีอวัยวะเป็นของ ตนเอง เธอเป็นผู้ทะนุถนอมครรภ์ จึงเป็นผู้สมควรแก่การดูแล สตรีย่อมทรงไว้ซึ่งครรภ์นั้น เขา (สามี) ปกครองลูกไว้ในตอนเริ่มแรก ไม่นานก็เกิดมา...นั้นเป็นการเกิดครั้งที่สองของเขา อาตมัน (ร่างกาย) ของมนุษย์ถูกสร้างมาเพราะกรรมดีทั้งหลาย ล่วงวัยแล้วก็จากไปต่อมาไม่ นานเขาก็จากไป แล้วกลับมาเกิดใหม่อีก นี่คือการเกิดขึ้นครั้งที่สาม (A.U. 2.1.1-4) จากเนื้อความในคัมภีร์อุปนิษัทข้างต้นเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นว่า กรรมดีกรรมชั่ว มีอิทธิพลต่อการเกิดใหม่ทุกครั้ง เป็นสิ่งกำหนดอนาคต และสถานที่เกิดของแต่ละคน กรรมดี เป็นเหตุให้คนไปเกิดในสวรรค์กรรมชั่วเป็นเหตุให้คนไปเกิดในนรก ผู้ทำกรรมดีบ้างกรรมชั่ว บ้างปะปนกันเป็นสาเหตุให้เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานต่างๆ เช่น เสือ สุนัข สุกร เป็นต้น นอกจากนั้นคัมภีร์อุปนิษัทได้กล่าวถึงการเกิดใหม่ของสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ว่า มีแหล่งกำเนิด อยู่ 4 ประการ คือ (1) เกิดจากไข่ เช่น นก ไก่ เป็ด จระเข้ เป็นต้น (2) เกิดจากครรภ์ เช่น คน สุกร สุนัข ช้าง ม้า วัว ควาย เป็นต้น (3) เกิดจากเถ้าไคล เช่น เหา หมัด ไร เป็นต้น (4) เกิด จากพืช เช่น เถาวัลย์ ต้นไม้ หรือพืชต่างๆ เป็นต้น (Swami Gambhirananda, 1973, p.72) สรรพสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ล้วนมีอาตมันเป็นองค์ประกอบภายในทั้งสิ้น ชีวะแต่ละอย่างดำเนิน ไปตามวัตถุประสงค์ของอาตมันสูงสุด ตราบใดที่คนยังไม่บรรลุถึงโมกษะ สภาพของคนที่ แท้จริงที่เป็นชีวะหรือชีวาตมันก็ยังกลับมาเกิดใหม่ ตราบนั้น เพื่อเสวยผลกรรมของตนเอง ชีวาตมันหรือวิญญาณนี้มีลักษณะคล้ายกับสายใยของแมงมุมหรือพืชบนแผ่นดินที่งอกขึ้นมา อย่างไม่จบสิ้น ดังข้อความว่า เมล็ดพันธุ์ของสิ่งนี้และสิ่งอื่นคือ สิ่งเหล่านั้นเกิดมาจากไข่ เกิดจากครรภ์ เกิดจาก เถ้าไคล เกิดจากแผ่นดิน คือ ม้า โค บุรุษ ช้าง และสัตว์ทั้งหมดที่มีอยู่ที่เดินได้หรือบินได้และ สัตว์ที่เคลื่อนจากที่ไม่ได้(A.U. 3.1.3) อาตมันผู้รู้ ไม่เกิด ไม่ตาย ในกาลไหนๆ อาตมันไม่ได้อุบัติขึ้นมาจากสิ่งใดและ ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นจากอาตมัน (Katha 1.2.18) อาตมันนี้เล็กยิ่งกว่าสิ่งที่เล็ก ใหญ่ยิ่งกว่าสิ่งที่ใหญ่ อาตมันอาศัยอยู่ในดวงหฤทัย ของสิ่งมีชีวิต (Katha 1.2.20) เปรียบเหมือนกับแมงมุม ลากสายใยของมันออกไปและดึงสายใยนั้นกลับคืน เปรียบเหมือนธัญพืชที่เกิดบนแผ่นดิน เปรียบเหมือนเส้นผมที่อยู่บนศีรษะและขนตามร่างกาย ของผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ย่อมงอกขึ้นมาฉะนั้น (M.U. 1.1.17) การสิ้นสุดการเกิดใหม่ขึ้นอยู่กับวิทยาคือความรู้พรหมันอย่างแจ่มแจ้ง จนถึงขั้น ทำลายกิเลสได้ปราศจากตัณหาทั้งหลายทั้งปวง ส่วนผู้ที่ยังมีตัณหาหรืออวิทยาอยู่ถือว่ายังมี เมล็ดพันธุ์ที่เปรียบเสมือนเชื้อที่นำไปสู่การเกิดใหม่ ทำให้คนหรือสัตว์ต้องตกอยู่ในวังวนของ
| สยาม ราชวัตร วัฏฏะ เกิดเป็นสัตว์ต่างๆ ตามกรรมที่ทำมา ในไมตรีอุปนิษัทเรียกสิ่งที่นำไปสู่การเกิดใหม่นี้ว่า “ภูตาตมะ”เป็นตัวรวบรวมกรรมทั้งหลาย มีสภาพเป็นกายละเอียดที่ประกอบด้วยปราณ อินทรีย์ มนัส อาตมัน ส่วนกายหยาบภายนอกและอวัยวะต่างๆ นั้นเกิดขึ้นมาเพราะการอยู่ร่วมกัน ของหญิงและชาย ส่วนราธกฤษณันเรียกเมล็ดพันธุ์ซึ่งทำหน้าที่รับผลกรรมและนำไปสู่ การเกิดใหม่นี้ว่า “ศุกรมะ” ดังข้อความต่อไปนี้ ต่อจากเขา เทวดาทั้งหลายจึงเกิดขึ้นมาหลายประเภท คือเป็นเทพเจ้าชื่อว่า สาธยะ มนุษย์ สัตว์เลี้ยง นก สัตว์มีปราณ ข้าวเปลือกหรือข้าวบาร์เลย์ ตบะ ศรัทธา สัตยะ พรหมจรรย์ และการปฏิบัติหน้าที่ (M.U. 2.1.7) นักปราชญ์ผู้ฉลาด ปราศจากตัณหาบูชาบุรุษนี้ ย่อมข้ามเมล็ดพันธุ์ของมนุษย์ไปได้ (M.U. 3.2.1) ไม่ว่าเขาจะเป็นอะไรในโลกนี้ กล่าวคือ เป็นพวกหนอน แมลง ปลา นก..เป็นคน หรือเป็นอย่างอื่น เขาย่อมเกิดอีกในสถานะเหล่านั้นๆ อีก ตามกรรมและตามความรู้เขา (M.U. 1.2) แท้ที่จริงวิญญาณนี้ ถูกครอบงำด้วยผลแห่งกรรมทั้งหลาย บุคคลจึงเข้าถึงกำเนิด ที่ดีและชั่ว ดังนั้นหนทางของเขาจึงมีทั้งเบื้องต่ำและเบื้องสูง เขาถูกครอบงำเพราะสิ่งที่เป็นคู่ กัน ย่อมเดินทางไป (Maitri 3.2) สิ่งที่ทำกรรมนั่นแลคือ “ภูตาตมะ” เขาเป็นสาเหตุให้คนทำกรรมตามวิธีการของ ปุรุษะผู้อยู่ภายใน เปรียบเสมือนลูกเหล็กอันถูกหล่อหลอมด้วยไฟ และถูกตีด้วยคนทำงาน ทั้งหลาย ย่อมเข้าถึงความเป็นรูปต่างๆ ภูตาตมะก็เช่นเดียวกัน ถูกครอบงำด้วยปุรุษะผู้อยู่ ภายใน แต่ถูกประหารเพราะคุณทั้งหลาย จึงเข้าถึงความเป็นรูปต่างๆ กัน (Maitri 3.3) ผู้เขียนมีความคิดเห็นว่า แนวความคิดเรื่องการเกิดใหม่ในคัมภีร์อุปนิษัท สะท้อนความเชื่อว่าโลกนี้กับโลกหน้าเป็นสิ่งมีอยู่จริง การเกิดใหม่มีอยู่จริง โดยมีกรรมเป็น ส่วนประกอบในการกำหนดภพภูมิที่ตนจะไปเกิดใหม่ มีพระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้คอยอำนวยการอยู่ เบื้องหลัง คอยอำนวยให้ชีวิตของมนุษย์ดำเนินไปตามกรรมของตนเอง มีอาตมันหรือชีวาตมัน ทำหน้าที่สั่งสมประสบการณ์กรรมและผลแห่งกรรม เพื่อเป็นเสบียงแห่งการเดินทางไปสู่ภพ ใหม่ ผลกรรมทุกอย่างในอดีตทำให้ชีวาตมันหรือวิญญาณต้องเกี่ยวข้องกับสังสารวัฏคือเกิด มาแล้วก็ทำกรรม ดำรงอยู่และตายไปไม่มีวันสิ้นสุด เมื่อคนตายไปแล้ว ชีวะหรือชีวาตมันจะ ไปอาศัยอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าหรือพรหมัน การดำรงอยู่ของชีวาตมัน และความสมบูรณ์ของ ชีวาตมันนี้ ขึ้นอยู่กับความประสงค์ของพระองค์ พระองค์เป็นผู้กำหนดชะตากรรมแห่งชีวิต ของมนุษย์อยู่เบื้องหลัง และดำเนินการให้ชีวิตเป็นไปตามกรรมของคนนั้นๆ อย่างเหมาะสม ผู้มีความรู้ถูกต้องประกอบกรรมทำความดีเพื่อทำลายกิเลสอยู่เสมอ มีศรัทธาที่มั่นคงต่อพรหมัน ไม่ทำกรรมเพราะอยากได้สิ่งตอบแทนจากพระผู้เป็นเจ้า เมื่อตายไปย่อมกลายเป็นอมตะอยู่
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | กับพรหมัน ส่วนผู้มีอวิทยา มีความรู้ไม่แจ่มแจ้งในพรหมัน ปฏิเสธหลักธรรม ไม่เคยทำความดี หรือทำกรรมดีบ้าง ทำกรรมชั่วบ้าง เมื่อตายไปจะไปถือกำเนิดในสัตว์ดิรัจฉานประเภทต่างๆ หรือเกิดในตระกูลที่ต่ำทราม ขัดสน เป็นอยู่ด้วยความลำบาก ทุกข์ยากลำเข็ญ การตายแล้วเกิดใหม่เป็นกฎระเบียบอย่างหนึ่งของธรรมชาติ เช่นเดียวกับพืช หรือต้นไม้ทั้งหลาย ถึงแม้ต้นของมันจะตายไปตามกาลเวลา แต่เมล็ดพันธุ์ของมันยังสามารถ แตกหน่อออกผลงอกขึ้นมาใหม่ได้ มนุษย์ก็มีลักษณะไม่แตกต่างกัน แม้ร่างกายจะตายไปแล้ว แต่ก็ยังมีเมล็ดพันธุ์คือชีวะหรือ ชีวาตมัน ของแต่ละคนยังคงดำรงอยู่ เป็นสภาพที่เป็นตัวตน นิรันดร ไม่เสื่อมสลายไปเหมือนกับร่างกายภายนอก ชีวาตมันหรือวิญญาณนี้ถ้ายังเข้าไปถึง โมกษะ ก็ยังไม่มีความอิสระ ยังอยู่ในอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า เพราะว่าพระองค์เป็นผู้ยิ่งใหญ่ เหนือสรรพสิ่งทั้งหลายในสากลจักรวาล ทุกสิ่งทุกอย่างจึงเป็นไปตามความต้องการของพระองค์ การเวียนว่ายตายเกิดของมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน ต้องขึ้นอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าที่จะดำเนินการ หรือบัญชาการให้แต่ละคนเกิดมาเพื่อรับใช้กรรมที่ตนเองได้เคยทำมา ตามทัศนะของคัมภีร์อุปนิษัทมีความเชื่อว่า กรรมทุกอย่างมีผลต่อเจ้าของกรรม ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า เช่นการบูชายัญ ทำพลีกรรมเซ่นสรวงบูชา การปฏิบัติตนเคร่งครัด ในหลักธรรม ทำหน้าที่บริการช่วยเหลือสังคมในด้านต่างๆ เมื่อตายไปแล้ว ย่อมไปเกิดในสวรรค์ เมื่อใช้กรรมในที่นั้นหมดแล้วก็กลับมาเกิดอีก ส่วนผู้ทำความดีด้วยการบำเพ็ญตบะ ประพฤติ พรหมจรรย์ มีศรัทธา มีความเข้าใจพรหมันอย่างแท้จริง เมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว ย่อมเข้าไป อาศัย ณ สถานที่อันเป็นนิรันดร์ กลายเป็นหนึ่งเดียวกับพรหมัน เส้นทางที่นำไปสู่การเกิดใหม่ ในโลกหน้ามีความแตกต่างกันตามกรรมดีกรรมชั่วของแต่ละคน เปรียบเหมือนการเดินทางซึ่ง แต่ละคนมีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน ผู้ทำกรรมดีย่อมเข้าถึงโลกของเทพเจ้าเบื้องบน ส่วนผู้ทำ กรรมชั่วย่อมเข้าถึงโลกเบื้องต่ำคือนรก ที่เต็มไปด้วยคนบาป มีความทุกข์ทรมาน เมื่อมาเกิด ในโลกนี้ ผลแห่งกรรมชั่วทำให้เขาเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานประเภทต่างๆ ผู้ทำกรรมดีและกรรมชั่ว ปะปนกันย่อมมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ส่วนผู้มีวิทยารู้แจ้งตนเองและพรหมันว่าเป็นสิ่งเดียวกัน ขจัดความเห็นแก่ตัว ทำลายกิเลสได้ย่อมกลายเป็นสิ่งสมบูรณ์สูงสุด ดังข้อความที่กล่าวไว้ว่า หนทางของเขามีอยู่ 2 สาย คือ หนทางทางทิศใต้ และหนทางทางทิศเหนือ บรรดาหนทางเหล่านั้น ใครบูชายัญแล้วคิดว่า การทำพิธีกรรมบูชายัญ และปฏิบัติตน เคร่งครัดในทางศาสนาอันเป็นหน้าที่ของตนเอง พวกเขาย่อมชนะโลกแห่งพระจันทร์ได้ แต่ก็ ยังกลับมาเกิดอีกอยู่นั่นเอง (Prashna 1.9) แต่คนทั้งหลาย ที่แสวงหาอาตมัน ด้วยการบำเพ็ญตบะ ประพฤติพรหมจรรย์ มีศรัทธา มีความรู้ เขาย่อมเข้าถึงพระอาทิตย์ด้วยหนทางด้านทิศเหนือ ที่นั่นแลเป็นที่รองรับปราณ ทั้งหลาย เป็นสถานที่ที่นิรันดร ปราศจากความกลัว เป็นเป้าหมายอันสูงสุด พวกเขาย่อมไม่ กลับมาอีก.. (Prashna 1.10)
| สยาม ราชวัตร เพราะกรรมดี ลมอุทาน จึงนำบุคคลไปสู่โลกที่ดี เพราะกรรมชั่ว จึงนำบุคคลไปสู่ โลกที่ชั่วเพราะกรรมทั้ง 2 อย่าง จึงนำบุคคลไปสู่โลกมนุษย์(Prashna 3.7) นักพรตทั้งหลาย ผู้รู้แน่เกี่ยวกับความหมายของเวทานตวิชญาณ ผู้ชำระ ธรรมชาติของตนให้บริสุทธิ์ ด้วยหนทางแห่งการสละทุกอย่างทิ้งไป พวกเขาอาศัยอยู่ในโลก ของพรหมัน เมื่อสิ้นสุดกาลเวลา พวกเขาทั้งปวงกลายเป็นอมตะและหลุดพ้น (M.U. 3.2.6) เขาผู้ทำกรรมดี เมื่อเข้าไปสู่หนทางแห่งเทวยานแล้วก็เข้ามาสู่โลกแห่งอัคนีเทพ วายุเทพ วรุณเทพ อินทรเทพ ปชาบดี และโลกแห่งพรหมัน (K.U. 1.3) บุคคลผู้รู้จักสิ่งนั้น ย่อมไม่ตาย ส่วนคนเหล่าอื่นย่อมไปสู่ความทุกข์เท่านั้น...โลก เหล่านั้น มีแต่ความทุกข์ ถูกปกคลุมด้วยความมืดบอด (อวิทยา) หลังจากตายไปแล้ว คนทั้งหลายเหล่านั้น ผู้โง่เขลา ไม่ฉลาด ย่อมเข้าไปสู่โลกเหล่านั้น (โลกที่มีแต่ความทุกข์) (B.U. 4.4.14) หากมองภาพรวมของคัมภีร์อุปนิษัทแล้ว ผู้เขียนมีความคิดเห็นว่าเป็นการยืนยัน ความมีอยู่ของโลกหน้าว่าเป็นสถานที่มีอยู่จริง เป็นสถานที่รองรับของเหล่าสัตว์เมื่อหลังตาย จากโลกนี้ไปแล้ว และยืนยันว่ากรรมดีกรรมชั่วมีผลต่อการกำหนดสถานที่รองรับการเกิดใหม่ ของเหล่าสัตว์ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ผู้ทำกรรมชั่ว เช่นทำร้ายคนหรือเบียดเบียนคนอื่นเป็น ขโมย ดื่มน้ำเมา ไม่เคารพพ่อแม่ เป็นต้น ผลแห่งกรรมชั่วเหล่านี้ ย่อมก่อให้เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อนใจเป็นเบื้องต้น ต่อจากนั้น เขาก็ถูกลงโทษในสถานที่รองรับที่มีแต่ความมืดมน คือนรก ตามความผิดหรือความชั่วที่ตนเองได้เคยกระทำไว้ในโลกนี้ หรืออดีตชาติส่วนผู้กระทำ ความดี มีสัจจะไม่สร้างกรรมชั่วอันใด เมื่อตายไปแล้วย่อมเข้าสู่โลกสวรรค์ซึ่งเป็นสถานที่ รองรับคนดี เต็มไปด้วยความสุข มีแต่สิ่งที่น่าปรารถนา บทสรุป การเรียกชื่อหรือการใช้คำว่า “ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู” หรือ “ชาวฮินดู” เป็นสิ่ง สะท้อนความเชื่อมโยงสัมพันธ์อันยาวนานทางประวัติศาสตร์ของประเทศอินเดียโดยเริ่มจาก ความเป็นมาของอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ ทั้งคำว่า “ฮินดู” และ “อินเดีย” ล้วนมาจาก จุดเริ่มต้นของอารยธรรมแม่น้ำสินธุ การใช้คำทั้งสองในปัจจุบันเป็นการเพี้ยนเสียงเรื่อยมา จากคำว่า “สินธุ” การเรียกชื่อศาสนาว่า “ศาสนาพราหมณ์” แสดงถึงช่วงเวลายุคแรกของ ศาสนาสะท้อนความเชื่อเก่าแก่ของผู้คนลุ่มแม่น้ำสินธุ เน้นประเด็นหลักคือการประกอบ พิธีกรรมบูชาเทพเจ้าโดยมีพราหมณ์เป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรม ปฏิบัติตามหลักการ ดั้งเดิมที่ปรากฏในคัมภีร์พระเวทเป็นสำคัญ ให้ความสำคัญกับชีวิตครองเรือน ต่อมาได้มีการปฏิรูป คำสอนทางศาสนาและเรียกศาสนานี้เสียใหม่ว่า “ศาสนาฮินดู” ได้เพิ่มเติมแนวคิดทางปรัชญา
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | มากขึ้นและเริ่มมีกลุ่มนักบวชหรือให้ความสำคัญกับนักบวชที่มุ่งการหลุดพ้นจากทุกข์เหมือน ศาสนาทั้งหลายของอินเดียจนถึงยุคปัจจุบัน ชาวฮินดูเป็นกลุ่มคนที่นับถือในวัฒนธรรม พระเวทมีความเชื่อเรื่องกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด ชีวิตได้ผ่านการเปลี่ยนหลากหลาย ภพภูมิในระบบสังสารวัฏ การตายและการเกิดใหม่เปรียบเหมือนการเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ของอาตมันเรื่อยไปตราบเท่าที่ยังไม่บรรลุโมกษะอันเป็นเป้าหมายสูงสุดหรือการรวมเป็น หนึ่งเดียวกับพรหมัน อัตลักษณ์เฉพาะของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเป็นศาสนาที่เชื่อในเทพเจ้า หลากหลายในจักรวาลนี้ เป็นศาสนาแห่งพิธีกรรมที่มีคำสอนเชิงพิธีกรรมแนบแน่นเป็นวิถีชีวิต เป็นศาสนาที่สอนให้เชื่อในเรื่องกรรมและการเวียนว่ายตายเกิดเป็นลักษณะวงกลมที่เรียกว่า สังสารวัฏ สรรพชีวิตทั้งหลายจะผ่านเปลี่ยนแปลงมากมายตามอำนาจกรรมเก่ามีโอกาส ได้แก้ไขตนเองและพัฒนาตนเองอีกหลายรอบ ค าถามท้ายบท 1) คำว่า “อินเดีย” มีพัฒนาการทางคำและความหมายเป็นมาอย่างไร ? 2) คำว่า “พราหมณ์” และคำว่า “ฮินดู” มีความหมายและพัฒนาการของคำเป็นมา อย่างไร ? 3) ทำไมศาสนาพราหมณ์-ฮินดูจึงมีลักษณะเป็นศาสนาแห่งเทพเจ้าที่มากมาย จงอธิบาย? 4) ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมีการจัดแบ่งกลุ่มเทพเจ้าเป็นอย่างไร ? 5) ทำไมศาสนาพราหมณ์-ฮินดูจึงได้รับการขนานนามว่า เป็นศาสนาแห่งพิธีกรรม ? 6) ชาวพราหมณ์-ฮินดู มีความเชื่อเกี่ยวกับประเพณีเผาศพอย่างไร ? 7) ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมีความเชื่อในกฎแห่งกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด อย่างไร? 8) ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมีความเชื่อเกี่ยวกับโลกหน้าอย่างไร ? 9) ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมีความเชื่อเกี่ยวกับความตายและการเกิดใหม่อย่างไร? 10) ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมีความเชื่อเกี่ยวกับนรกและสวรรค์เป็นอย่างไร?
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู |
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | 2 การจะเข้าใจความเป็นศาสนาพราหมณ์-ฮินดูจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องศึกษาถึงกำเนิด และพัฒนาการทางศาสนาที่สัมพันธ์เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์อินเดียโดยเฉพาะความเป็นมา ของเผ่าพันธุ์ 2 กลุ่มคือ กลุ่มอารยัน และกลุ่มดราวิเดียนหรือมิลักขะในลุ่มแม่น้ำสินธุ ที่เกิด การปะทะกันระหว่างวัฒนธรรมอารยันและวัฒนธรรมดราวิเดียน และการผสมผสานระหว่าง วัฒนธรรมทั้งสอง จะทำให้เราเข้าใจความเป็นมาศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมากยิ่งขึ้น ในบทนี้ ผู้เขียนจะนำเสนอแหล่งกำเนิดศาสนาพราหมณ์-ฮินดูทั้งทางประวัติศาสตร์ เผ่าพันธุ์และ ความเชื่อของเผ่าพันธุ์ ความเป็นมาอารยธรรมอินเดียที่สัมพันธ์กับศาสนาพราหมณ์-ฮินดู การแบ่งยุคพัฒนาการศาสนาพราหมณ์-ฮินดูแต่ละยุคมีความคิดความเชื่ออย่างไร โดยมี รายละเอียดดังนี้ 2.1 อินเดียแหล่งก าเนิดศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เมื่อกล่าวถึงประเทศ “อินเดีย” ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของมนุษยชาติ กล่าวได้ว่า อินเดียคือประเทศที่เป็นแหล่งอารยธรรมและแหล่งกำเนิดของศาสนาใหญ่ทั้งหลายทาง ฝั่งตะวันออกของโลกไม่ว่าจะเป็นศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาพุทธ ศาสนาเชน ศาสนาซิกซ์ โดยเฉพาะเป็นแหล่งกำเนิดของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูที่เป็นอยู่ปัจจุบันในประเทศอินเดีย ในหัวข้อนี้ผู้เขียนจะนำเสนอให้เห็นภาพทั้งอดีตและปัจจุบันของอินเดียซึ่งกลายเป็นผลลัพธ์ ภาพรวมของประเทศอินเดียที่สัมพันธ์กับศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
| สยาม ราชวัตร 2.1.1 ความหมายของค าว่า “อินเดีย” ความหมายของชื่อประเทศอินเดีย (India) ในสมัยพุทธกาล เรียกกันว่า “ชมพูทวีป” แปลว่า “ทวีปแห่งไม้หว้า” เพราะมีต้นหว้าขึ้นมากในดินแดนแห่งนี้ ส่วนคำว่า “อินเดีย” เป็น คำในภาษาเปอร์เซีย ซึ่งเรียกแม่น้ำสินธุว่า “ฮินดู” เนื่องจากชาวเปอร์เซียรู้จักอินเดีย โดยเข้า มาทางลุ่มน้ำนี้เมื่อ 3,000 กว่าปีมาแล้ว ต่อมาเมื่อชาวกรีกเริ่มเข้ามาได้ออกเสียงคำว่าฮินดู เพี้ยนไปเป็น “อินโดส” และเพี้ยนออกไปเป็น “อินดุส” (Indus) และ “อินเดีย” ตามลำดับ หรือบางคำอธิบายบอกว่าคำว่า “อินเดีย” มาจากคำว่า “อินดัส” ซึ่งเป็นชื่อเรียกลุ่มแม่น้ำ อินดัส (Indus) (วิทยา ศักยาภินันท์, 2549, น. 1) แต่สำหรับชาวอินเดียแล้วนิยมเรียก ประเทศตนเองว่า “ภารตะ” หรือ “ภารตวรรษ” ซึ่งแปลว่า “ประเทศภารตะ” และเรียก ตนเองว่าเป็น “ชาวภารตะ” ทั้งนี้สืบเนื่องจากความเชื่อที่ว่า ชาวอินเดียสืบเชื้อสายมาจากท้าว ภรต (อ่านว่า พะ-รต) ซึ่งเป็นต้นวงศ์ของเรื่องราวในมหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่ของชาวอินเดีย คือ “มหาภารตยุทธ์” ซึ่งมีชื่อเสียงคู่กันกับ “มหากาพย์รามายณะ” หรือที่เรารู้จักกันดีใน ประเทศไทยชื่อ “รามเกียรติ์” นักประวัติศาสตร์เรียกดินแดนอนุทวีปอินเดียนี้ว่าอินเดีย ตราบจนกระทั่งมีการแบ่งประเทศหลังจากอินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษใน ค.ศ. 1947 ปัจจุบันนิยมเรียกดินแดนอนุทวีปอินเดียนี้ว่า “ภูมิภาคเอเชียใต้” ซึ่งประกอบด้วย 7 ประเทศ คือประเทศที่อยู่บนภาคพื้นอนุทวีป 5 ประเทศ ได้แก่ อินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ เนปาล ภูฏาน และอยู่บนเกาะอีก 2 ประเทศ คือศรีลังกาและสาธารณรัฐมัลดีฟส์ แหล่งที่มาภาพ : http://campus.sanook.com/gallery/gallery/911842/209674/undefined/
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | 2.1.2 ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ ลุ่มแม่น้ำสินธุเป็นแหล่งอารยธรรมแรกของอินเดียที่รุ่งเรืองมาแล้วในอดีต ต่อมา เมื่อประมาณ 2,000 -1,500 ปี ก่อนคริสตกาล ชาวอินโด-อารยันจากเอเชียกลางอพยพ เข้ามา ในอินเดีย และพบกับอารยธรรมสินธุ ทั้งสองอารยธรรมได้ผสมผสานรวมกันเป็นอารยธรรม พระเวทโดยหลักฐานที่สำคัญที่สุดของอารยธรรมนี้คือ คัมภีร์พระเวท ซึ่งเป็นวรรณกรรมทาง ศาสนาในภาษาสันสกฤต และเป็นรากฐานของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ระบบกฎหมายและ การปกครอง ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวอินเดีย อันเป็นที่มาของชื่อยุค พระเวท คัมภีร์ฤคเวทเป็นพระเวทที่เก่าแก่ที่สุด ต่อมาจึงมีคัมภีร์ยชุรเวท สามเวท อาถรรพเวท และมหากาพย์ทั้งหลายซึ่งได้แก่ รามายณะและมหาภารตะ ซึ่งถือกำเนิดในช่วงประมาณ พุทธกาลตอนปลายสมัยพระเวท ชาวอารยันในอินเดียอยู่กันเป็นเผ่า เลี้ยงสัตว์เร่ร่อน แต่ ต่อมาเริ่มตั้งรกรากรู้จักเพาะปลูก มีการค้าขายทำให้บางเผ่ารวบรวมตั้งตนเป็นอาณาจักรใหญ่ ได้และเริ่มมีระบบวรรณะชัดเจน ต่อมา อารยธรรมอิสลามได้เริ่มขยายอิทธิพลเข้ามาในอินเดียตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 8 โดยพ่อค้ามุสลิมจากตะวันออกกลางและจักรวรรดิอาหรับได้ส่งกองทัพมาโจมตีแคว้นซินด์ (ปัจจุบันอยู่ในปากีสถาน) จักรวรรดิที่มีความยิ่งใหญ่ในสมัยนั้น คือ จักรวรรดิโมกุล (คริสต์ศตวรรษที่ 16-18) เป็นสมัยที่มีการแพร่ขยายอิทธิพลวัฒนธรรมโมกุลอย่างกว้างขวาง ทั้งในด้านการปกครอง ภาษา ศิลปะ สถาปัตยกรรม และศาสนาอิสลาม อย่างไรก็ดี ในสมัยของอาบุล มูซัฟฟาร์ มูฮี-อุด-ดิน โมฮัมมัด ออรังเซพ หรือ นิยมเรียกพระนามว่าจักรพรรดิออรังเซพ (Aurangzeb) ทรงเสด็จขึ้นครองราชย์ เป็นผู้เคร่ง ศาสนาอิสลามได้ออกกฎหมายที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างชาวฮินดูและมุสลิมและเป็นเหตุ ให้ชาวอินเดียต่อต้านอำนาจของจักรวรรดิเมื่อสิ้นอำนาจของพระเจ้าออรังเซพ ทำให้ จักรวรรดิโมกุลก็ค่อยๆ แตกแยกและเสื่อมลง เป็นโอกาสให้ประเทศอังกฤษเข้ามามีอำนาจ แทนที่ อังกฤษเริ่มเข้าไปมีอิทธิพลในอนุทวีปตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 โดยเข้าไปการค้าขาย พร้อมๆ กับการเข้าไปครอบครองดินแดนและแทรกแซงการเมืองท้องถิ่น จนกระทั่งอินเดียตกอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2420โดยมีสมเด็จ พระราชินีวิคตอเรียแห่งอังกฤษทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดินีแห่งอินเดีย หลังจาก การรณรงค์ต่อสู้กับการปกครองของอังกฤษมาเป็นเวลานาน ภายใต้การนำของมหาตมะ คานธี และ เยาวหราล เนห์รู อินเดียจึงได้รับเอกราชและร่วมเป็นสมาชิกอยู่ภายใต้เครือจักรภพเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2490 โดยยังมีพระมหากษัตริย์ของอังกฤษเป็นประมุข และทรงแต่งตั้งข้าหลวงใหญ่เป็น ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนพระองค์ ต่อมาในวันที่ 26 มกราคม 2493 ได้มีการสถาปนา สาธารณรัฐอินเดียโดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุขของรัฐ และได้นายเยาวหราล เนห์รู ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดีย(สถานเอกอัครราชทูตไทย กรุงนิวเดลี, 2563)
| สยาม ราชวัตร 2.1.3 ประชากรและเผ่าพันธุ์ อินเดียมีประชากรมากเป็นอันดับสองของโลกรองจากประเทศจีน คือปัจจุบันมี ประชากรประมาณ 1,358,570,000 คนหรือประมาณ 17.5 % ของประชากรโลก ข้อมูลจาก ประชากรโลกเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 (ประชากรโลก, 2563) ส่วนใหญ่ร้อยละ 72 เป็น ชนเผ่าอินโด-อารยัน ประชากรกลุ่มนี้มีผิวขาว จมูกโด่ง ผมสีอ่อน รูปร่างสูงใหญ่ ชนพื้นเมือง เดิมคือเผ่า ดราวิเดียน หรือทมิฬ เป็นชาวพื้นเมืองกระจายอยู่ทั่วประเทศโดยเฉพาะแถบ ภาคใต้มีผิวสีคล้ำ จมูกไม่โด่ง ผมดำ รูปร่างค่อนข้างสันทัด มีประมาณร้อยละ 25 นอกนั้นเป็น เผ่ามองโกล ทิเบตและ เตอร์ก ประชากรกลุ่มนี้มีผิวสีเหลืองกระจายอยู่ทางพรมแดน ภาคเหนือและตะวันออก และแบ่งประชากรตามการนับถือศาสนา มีประชากรนับถือศาสนา พราหมณ์-ฮินดู ประมาณร้อยละ 80.5 นับถือศาสนาอิสลามประมาณร้อยละ 13.4 นับถือ ศาสนาศาสนาคริสต์ ศาสนาซิกซ์ ศาสนาพุทธ และอื่นๆ ประมาณร้อยละ 6.1 2.1.4 ลักษณะภูมิประเทศ ลักษณะภูมิประเทศประเทศอินเดียมีเทือกเขาหิมาลัยเป็นพรมแดนในทาง ภาคเหนือเป็นพื้นที่กว้างใหญ่ ค่อยเรียวเล็กลงมาเรื่อยจนถึงภาคใต้จนดูคล้ายสามเหลี่ยม ลักษณะที่ตั้งของประเทศอยู่ในระหว่างละติจูดที่ 8 กับ 36 องศาเหนือ และลองจิจูด 89 กับ 97 องศาตะวันออก ดังนั้นจึงมีบางส่วนของภูมิภาคอยู่ในระดับละติจูดเดียวกันกับทะเลทราย อันแห้งแล้งของทะเลทรายเม็กซิกัน ทะเลทรายซาฮารา และทะเลทรายอาระเบีย จึงทำให้ ประเทศอินเดียมีทะเลทรายที่แห้งแล้งและกันดาร คือทะเลทรายถาร์ นอกจากนี้พื้นที่ส่วนต่างๆ ยังมีความแตกต่างกันออกไปตามลักษณะบังคับทางภูมิศาสตร์คือธารน้ำแข็งแถบภาคเหนือ ทุ่งหญ้าแถบภาคกลาง ป่าฝนป่าดงดิบแถบภาคใต้ เป็นต้น ขนาดพื้นที่ของประเทศอินเดียปัจจุบันประมาณ 3,287,590 ตารางกิโลเมตร ใหญ่เป็นอันดับ 7 ของโลก มีชื่อเรียกว่า “สาธารณรัฐอินเดีย” เมืองหลวงชื่อกรุงเดลี (Delhi) ตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียใต้ ทางทิศเหนือติดกับจีน เนปาล และภูฏาน ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ติดกับปากีสถานซึ่งอดีตเคยเป็นส่วนหนึ่งของอินเดียแต่ได้รับเอกราชจากการเป็นอาณานิคม ของอังกฤษเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2490 หรือ ค.ศ. 1947 ก็เกิดความแตกแยกแบ่งออกเป็น 3 ประเทศโดยมีศาสนาเป็นต้นเหตุกล่าวคือประชาชนที่นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดูก็แยกเป็น ประเทศอินเดีย ส่วนผู้นับถือศาสนาอิสลามก็แยกตัวไปเป็นประเทศปากีสถานทางภาคเหนือสุด และเป็นประเทศบังกลาเทศทางภาคตะวันออกสุด พื้นที่ของประเทศอินเดียทางทิศตะวันตก เฉียงใต้และตะวันออกเฉียงใต้ติดกับมหาสมุทรอินเดีย ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดกับ ประเทศเมียนมาร์และทางทิศตะวันออกติดกับประเทศบังกลาเทศ
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | 2.1.5 ลักษณะภูมิอากาศ เนื่องจากประเทศอินเดียเป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล จึงมีสภาพ ภูมิอากาศหลากหลาย ในฤดูหนาวแถบเทือกเขาหิมาลัยทางภาคเหนือมีอากาศหนาวจัดมาก ประมาณลบ 5 องศาเซลเซียส ช่วงประมาณตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์ เขตพื้นที่ราบภาคกลางมีอากาศหนาวเย็นประมาณ 15-20 องศาเซลเซียส เขตพื้นที่ภาคใต้ จะมีอากาศอบอุ่นและเย็นสบาย ช่วงฤดูร้อนของประเทศอินเดียจะเริ่มขึ้นในราวเดือนมีนาคม จนถึงเดือนพฤษภาคม สภาพอากาศโดยทั่วไปของประเทศร้อนถึงร้อนจัดทั่วทั้งประเทศ ครั้นถึงฤดูฝนจะเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายนจะมีลมมรสุมนำฝนมาจากมหาสมุทรอินเดียจาก ทิศใต้สู่ทิศเหนือ จากนั้นต่อมาก็มีลมมรสุมจากด้านทะเลอาระเบียในระหว่างเดือนตุลาคม จนถึงเดือนพฤศจิกายน 2.1.6 การเมืองการปกครองและรัฐ การปกครองของอินเดียปัจจุบันเป็นระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา แยก ศาสนาออกจากการเมือง แบ่งอำนาจการปกครองเป็นสาธารณรัฐ (Secular Democratic Republic with a parliamentary system)ได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับแรก ตั้งปี คริสต์ศักราช 1950 และเป็นฉบับเดียวที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน มีการปกครองแบบระบบรัฐสภา แยกอำนาจอธิปไตยเป็น 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ฝ่ายนิติบัญญัติกล่าวคือรัฐสภา (Parliament) อินเดีย เป็นระบบสภาคู่ (Bicameral) ประกอบด้วย (1) ราชยสภา (Rajya Sabha) หรือวุฒิสภา รัฐธรรมนูญบัญญัติให้ราชยสภา มีสมาชิกไม่เกิน 250 คน ปัจจุบันมีสมาชิก 245 คน โดย 12 คน เป็นผู้ทรงคุณวุฒิในสาขา ต่างๆ ที่ได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีทุกๆ 2 ปี และอีก 233 คน มาจากการเลือกตั้ง ทางอ้อม คือ โดยสภานิติบัญญัติแห่งรัฐต่างๆ (Legislative Assembly) หรือวิธานสภา เป็นผู้ เลือก ถือเป็นผู้แทนของรัฐและดินแดนสหภาพ สมาชิกราชยสภามีวาระการทำงาน 6 ปี โดย ทุกสองปีจะมีการเลือกตั้งและแต่งตั้งสมาชิกราชสภาจำนวน 1 ใน 3 ใหม่อำนาจอยู่ที่รัฐสภา (2) โลกสภา (Lok Sabha) หรือสภาผู้แทนราษฎร โลกสภามีสมาชิกได้ไม่เกิน 550 คน โดย 543 คนมาจากการเลือกตั้งโดยตรง (530 คนมาจากแต่ละรัฐ 13 คนมาจาก ดินแดนสหภาพ) และอีกไม่เกิน 2 คนมาจากการคัดเลือกของประธานาธิบดีจากชุมชนอินเดีย เชื้อสายอังกฤษ (Anglo-Community) ในประเทศ สมาชิกโลกสภามีวาระคราวละ 5 ปี เว้นเสียแต่จะมีการยุบสภา สมาชิกโลกสภามีวาระการทำงาน 5 ปี ระบบการเลือกตั้ง การเลือกตั้งสมาชิกราชสภามีทั้งแบบมีผู้แทนได้หลายคน และแบบที่เขตเลือกตั้งมีผู้แทนได้คนเดียวเป็นการเลือกตั้งทางอ้อมโดยสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ
| สยาม ราชวัตร และดินแดนสหภาพ โดยใช้หลักการตัวแทนตามสัดส่วนหรือคะแนนสูงสุดหนึ่งเดียวแล้วแต่กรณี อินเดียมีการเลือกตั้งสมาชิกโลกสภาครั้งแรกภายหลังได้รับเอกราช เมื่อปี 2495 และมีการ ประชุมโลกสภาครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2495 การเลือกตั้งสมาชิกโลกสภาเป็นการ เลือกตั้งทางตรงโดยใช้เกณฑ์เสียงข้างมากปกติ มีการแบ่งเขตเลือกตั้งทั้งหมด 543 เขตโดยมี คณะกรรมการการเลือกตั้งของอินเดียเป็นหน่วยงานที่ดูแลเรื่องการจัดการเลือกตั้งทั่วประเทศซึ่ง เป็นหน่วยงานที่ได้รับการยอมรับนับถือว่าเป็นองค์กรอิสระที่ดำเนินงานด้วยความเป็นกลาง และสามารถปฏิบัติหน้าที่โดยปราศจากการแทรกแซงของรัฐบาล อำนาจหน้าที่ของรัฐสภา มีอำนาจหน้าที่ในการบัญญัติกฎหมาย กำกับดูแล การบริหารประเทศของฝ่ายบริหาร ผ่านร่างงบประมาณ อภิปรายประเด็นปัญหาต่างๆ ที่เป็น ผลประโยชน์แห่งชาติ หรือมีผลกระทบต่อประชาชน อาทิ แผนการพัฒนา นโยบายแห่งชาติ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อำนาจหน้าที่ที่แตกต่างระหว่างโลกสภาและราชสภา คือ โลกสภา กำกับดูแลการบริหารประเทศของคณะรัฐมนตรี และมีอำนาจในการบัญญัติกฎหมายเกี่ยวกับ การเงินและงบประมาณ ในขณะที่ราชสภาไม่มีอำนาจในการบัญญัติกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องการเงิน แต่มีอำนาจในการพิจารณากฎหมายอื่นๆ โลกสภาและราชยสภามีคณะกรรมาธิการต่างๆ อยู่ภายใต้ โดยแบ่ง คณะกรรมาธิการเป็นสองประเภท คือ Standing Committee และ ad hoc Committee คณะกรรมาธิการที่ถือว่ามีความสำคัญ คือ Committee on Public Accounts มีหน้าที่ ตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลให้เป็นไปตามข้อตกลงของรัฐสภา (เป็นคณะกรรมาธิการ ของราชสภา) Committee on Public Undertakings มีหน้าที่ตรวจสอบรายงานของผู้ตรวจ งบประมาณแผ่นดิน (เป็นคณะกรรมาธิการของราชยสภา) Committee on Estimates มีหน้าที่ตรวจสอบการบริหารงานให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล (เป็นคณะกรรมาธิการ ของโลกสภา) อนึ่ง ประธานาธิบดีเป็นผู้มีอำนาจเรียกประชุมสภา เลื่อนการประชุม กล่าวอภิปราย ต่อสภา ยุบโลกสภา และประกาศกฎหมายได้ทุกเวลา ยกเว้นในระหว่างสมัยการประชุมของ รัฐสภา และตามรัฐธรรมนูญ ผู้ที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีสามารถเป็นสมาชิกของโลกสภาหรือ ราชสภาก็ได้ ฝ่ายบริหาร ประธานาธิบดี เป็นประมุขของรัฐ และเป็นหัวหน้าคณะผู้บริหาร (Head of Executives of the Union) ซึ่งประกอบด้วยรองประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐบาล (Council of Ministers) ประธานาธิบดีได้รับการเลือกตั้งทางอ้อมจาก ผู้แทนของทั้งสองสภา รวมทั้งสภานิติบัญญัติของแต่ละรัฐ ดำรงตำแหน่งคราวละ 5 ปี และ สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นวาระที่สองได้ คุณสมบัติของผู้ที่จะดำรงตำแหน่ง ประธานาธิบดีได้ คือ ต้องมีสัญชาติอินเดีย มีอายุไม่ต่ำกว่า 35 ปี และต้องไม่เป็นสมาชิกโลก สภาหรือวุฒิสภาหรือสภานิติบัญญัติแห่งรัฐใดๆ รองประธานาธิบดี ได้รับการเลือกตั้งทางอ้อม จากผู้แทนของทั้งสองสภา ดำรงตำแหน่งคราวละ 5 ปี และเป็นประธานราชสภาโดยตำแหน่ง
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ที่มีอำนาจในการบริหารอย่างแท้จริง ดำรงตำแหน่งคราว ละ 5 ปี ได้รับการแต่งตั้งโดยตรงจากประธานาธิบดี เป็นหัวหน้าคณะรัฐมนตรี (Council of Ministers) ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี โดยการเสนอแนะของนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการ (Cabinet Ministers) รัฐมนตรีที่ขึ้นตรงต่อ นายกรัฐมนตรี (Ministers of State – Independent Charge) และรัฐมนตรีช่วยว่าการ (Ministers of State) คณะรัฐมนตรีรายงานโดยตรงต่อโลกสภา ฝ่ายตุลาการ อำนาจตุลาการเป็นอำนาจอิสระ ไม่ขึ้นกับฝ่ายบริหาร มีหน้าที่ ปกป้องและตีความรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกา (Supreme Court) เป็นศาลสูงสุดของประเทศ ผู้พิพากษาประจำศาลฎีกา มีจำนวนไม่เกิน 25 คน แต่งตั้งโดยประธานาธิบดี ในระดับรัฐ มีศาลสูง (High Court) ของตนเองเป็นศาลสูงสุดของแต่ละรัฐ รองลงมาเป็นศาลย่อย (Subordinate Courts) ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ อย่างไรก็ตาม อำนาจตุลาการของรัฐ อยู่ภายใต้ศาลฎีกาซึ่งมีอำนาจสูงสุด การปกครองระดับรัฐ ประเทศอินเดียปัจจุบันแบ่งเป็น สาธารณรัฐ (Federal Republic) อำนาจการปกครองแบ่งเป็น 29 รัฐ และดินแดนสหภาพ (Union Territories) อีก 7 เขต รัฐธรรมนูญอินเดียแบ่งแยกอำนาจระหว่างรัฐบาลกลาง (Government of India) และรัฐบาลรัฐท้องถิ่น (State Government) อย่างชัดเจน รัฐบาลรัฐท้องถิ่นมีอำนาจในการรักษา ความสงบเรียบร้อยและรักษากฎหมาย การพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของรัฐ โครงสร้างของฝ่ายบริหารในแต่ละรัฐ ประกอบด้วย(1) ผู้ว่าการรัฐ (Governor) เป็นประมุขของรัฐ ได้รับการแต่งตั้งโดยตรงจากประธานาธิบดี (ตามข้อเสนอแนะของพรรคการเมืองที่เป็นพรรค รัฐบาล) มีอำนาจหน้าที่ในการแต่งตั้งถอดถอนมุขมนตรีและคณะรัฐมนตรีประจำรัฐ แต่งตั้ง อัยการประจำรัฐ เรียกประชุมและยุบสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ ให้ความเห็นชอบและยับยั้งร่าง กฎหมายของรัฐ มีอำนาจลดโทษและให้อภัยโทษ (2) รัฐบาลแห่งรัฐ (State Government) ประกอบด้วยมุขมนตรี (Chief Minister) เป็นหัวหน้าและเป็นผู้ใช้อำนาจ บริหารภายในรัฐ และคณะรัฐมนตรีประจำรัฐ (State Ministers) ทั้งนี้ รัฐบาลแห่งรัฐจะมา จากพรรคการเมืองที่สามารถจัดตั้งรัฐบาลภายหลังการเลือกตั้งภายในรัฐ หรือได้รับการ แต่งตั้งจากสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ (3) สภานิติบัญญัติแห่งรัฐในรัฐพิหาร รัฐชัมมูและแคชเมียร์ รัฐกรณาฏกะ รัฐมหาราษฏระ และรัฐอุตตรประเทศ มีสองสภา คือ Legislative Council และ Legislative Assembly ในรัฐอื่นๆ ที่เหลือ มีเพียงสภาเดียว คือ Legislative Assembly ความแตกต่างแต่ละสภา กล่าวคือLegislative Council ทำหน้าที่คล้ายราชสภา มีสมาชิกไม่มากกว่าหนึ่งในสามของจำนวนสมาชิก Legislative Assembly และไม่น้อยกว่า 40 คน สมาชิกหนึ่งในสามได้รับเลือกตั้งโดยสมาชิก Legislative Assembly หนึ่งในสามมาจาก ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น หนึ่งในสิบสองเป็นอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิใน สถานศึกษาของรัฐ ที่เหลือเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในด้านต่างๆ ที่ได้รับการแต่งตั้งจากผู้ว่าการรัฐ
| สยาม ราชวัตร ส่วน Legislative Assembly ทำหน้าที่คล้ายโลกสภา มีสมาชิกได้ไม่เกิน 500 คน และไม่ น้อยกว่า 60 คน ได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนตามการแบ่งเขตการเลือกตั้ง (สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงนิวเดลี, 2563) 2.1.7 เศรษฐกิจ อินเดียในปัจจุบันเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางเศรษฐกิจ นับตั้งแต่ การเลี้ยงปศุสัตว์ การทำเกษตรแบบยุคอินเดียสมัยโบราณ มาสู่การเกษตรสมัยใหม่ การหัตถกรรม อุตสาหกรรมยุคใหม่ ไปจนถึงธุรกิจบริการเช่นการผลิตซอฟแวร์และการเงินการธนาคาร ธุรกิจบริการเป็นแหล่งสร้างรายได้หลักให้กับประเทศอินเดีย โดยมีสัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่งของ ผลผลิตของประเทศ สำหรับในด้านแรงงาน พบว่าประมาณ 1ใน 3 อยู่ในภาคบริการ ในขณะ ที่กว่าครึ่งหนึ่งของแรงงานของประเทศอยู่ในภาคการเกษตร เป็นผลให้พรรคร่วมรัฐบาลเน้น นโยบายส่งเสริมการพัฒนาชนบทในด้านต่างๆ อาทิเช่น โครงสร้างพื้นฐาน เพื่อพัฒนาคุณภาพ ชีวิตชาวชนบทที่ยากจนและกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ห่างไกล ปัจจุบันรัฐบาลได้ผ่อนคลาย กฎระเบียบด้านการค้าการลงทุนของต่างชาติลง พร้อมทั้งเพิ่มสัดส่วนการเข้าไปลงทุนโดยตรง ของต่างชาติในสาขาต่างๆ เช่น ในสาขาโทรคมนาคม เป็นต้น เพื่อเป็นเครื่องมือกระตุ้น เศรษฐกิจอย่างหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การปกป้องในสาขาเกษตรยังคงมีอยู่สูงก่อให้เกิดอุปสรรค ในการเข้าสู่ตลาดของสินค้าจากต่างประเทศ แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะพบกับการชะลอตัว แต่อินเดียในปี พ.ศ. 2551 ก็ยังมีการ ขยายตัวกว่าร้อยละ 7 เหตุผลสำคัญเบื้องหลังคืออินเดียมีตลาดภายในขนาดใหญ่ที่ช่วยพยุง ให้เศรษฐกิจยังคงเดินหน้าต่อไปได้ นอกจากนั้นจุดแข็งประการสำคัญของอินเดียคือการมี ประชาชนที่มีการศึกษาดีและพูดภาษาอังกฤษได้เป็นจำนวนมาก เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ อินเดียเป็นประเทศผู้ส่งออกซอฟแวร์ชั้นนำรวมถึงแรงงานด้านซอฟแวร์ด้วย อินเดียมีความเจริญก้าวหน้าในด้านอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นอย่างยิ่ง โดยเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา สร้างรายได้จาก 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี พ.ศ. 2534 เป็น 17.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี พ.ศ. 2545 และในปี พ.ศ. 2549-2550 การส่งออกซอฟต์แวร์และบริการมีมูลค่า 33.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ เพราะอินเดียมี ประชากรร้อยละ 6 ที่มีความเป็นอยู่และการศึกษาดีในระดับนานาชาติ และมี สถาบันการศึกษาคุณภาพสูงที่เน้นการผลิตบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นอกจากนี้ อินเดียยังเห็นว่าอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เป็นอุตสาหกรรมสะอาดปราศจากมลพิษ เป็นการสร้างทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งมีการลงทุนต่ำและมีมูลค่าเพิ่มในการส่งออกสูงมาก ประกอบกับการสนับสนุนอย่างจริงจังของภาครัฐ ทั้งในระดับรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น มีการจัดตั้งองค์กรเฉพาะของภาครัฐ ที่ทำหน้าที่สนับสนุนการพัฒนาการส่งออกซอฟต์แวร์