The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สยาม ราชวัตร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by คำนำ, 2023-11-20 23:52:49

ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สยาม ราชวัตร

ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | แต่ก็ยังมีความเชื่อและการปฏิบัตินับถือปรากฏอยู่ในประเทศอินเดียและประเทศอื่นที่นับถือ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูด้วย ในที่นี้จะกล่าวถึง 3 นิกายย่อยเท่านั้น คือ 7.5.1 นิกายคณพัทยะ (Ganabadya) นิกายนี้นับถือพระพิฆเณศเป็นเทพเจ้าสูงสุด ถือว่าพระพิฆเนศเป็นศูนย์กลาง แห่งเทพเจ้าทั้งหมดในศาสนา เชื่อว่าเมื่อได้บูชาพระพิฆเนศอย่างเคร่งครัด ก็เท่ากับได้บูชา เทพอื่นๆ ครบทุกพระองค์ นิกายนี้จะมีเทศกาลบูชาพระพิฆเณศที่ยิ่งใหญ่ในประเทศอินเดีย คือ “คเนศจตุรถี” (Gaṇēśa Chaturthī) เป็นเทศกาลที่เฉลิมฉลองการประสูติของพระพิฆเนศ ตรงกับช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน พิธีกรรมเด่นของคเนศจตุรถีคือการสร้างเทวรูปพระพิฆเนศ ด้วยดินเหนียวแล้วประดิษฐานในบ้านเรือน อาคาร องค์กร หรือในสถานที่สาธารณะ บนฐาน ฐานเวทีชั่วคราวที่สูงใหญ่ พิธีกรรมประกอบด้วยการสวดบทสวดในพระเวทหรือคัมภีร์ฮินดู อื่นๆ การแจกจ่ายประสาทะ (Prasāda) ซึ่งเชื่อว่าเป็นขนมทรงโปรดของพระพิฆเนศ เทศกาล สิ้นสุดในวันที่ 10 นับจากวันที่เริ่มเทศกาล ซึ่งศาสนิกชนจะนำเทวรูปพระพิฆเนศที่ปั้นจากดิน มาตั้งในสถานที่สาธารณะ โดยมีขบวนดนตรีและขับสวดกันไปยังแหล่งน้ำ เช่น แม่น้ำหรือ ทะเล ก่อนจะทำพิธีนำเทวรูปดินนั้นแช่หรือละลายกลับลงแม่น้ำ เทศกาลคเนศจตุรถีที่ยิ่งใหญ่ ที่สุดจัดในเมืองมุมไบ ซึ่งมีการนำเทวรูปแช่ละลายลงน้ำมากถึง 150,000 องค์ในมุมไบทุกๆ ปี เชื่อกันว่าเทวรูปดินและพระพิฆเนศที่ได้ละลายไปในสายน้ำนั้นจะกลับไปยังเขาไกรลาศ เคียงคู่ กับพระศิวะ และพระนางปารวตีผู้เป็นบิดามารดาของท่าน 7.5.2 นิกายสรภัทธะ (Sarabhadh) นิกายนี้เป็นนิกายขนาดเล็ก ในสมัยก่อนบูชาพระอาทิตย์ (สูรยะ) มีผู้นับถือมาก ในอดีต ปัจจุบันมีจำนวนน้อย นิกายนี้มีพิธีอย่างหนึ่งคือ กายตรี หรือ คายตรี (Gayatri) ถือ ว่ามีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ คือการกลับมาของพระอาทิตย์มาเป็นฤๅษีนามว่าวิศวามิตร 7.5.3 นิกายสมารธะ (Samardha) นิกายนี้เป็นนิกายที่ใหญ่พอสมควร ความเชื่อภาพรวมคือนับถือเทพเจ้าทุก พระองค์ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู บูชาเทพเจ้าฮินดูองค์หลักๆ ไปพร้อมๆ กัน ได้แก่ พระศิวะ, พระวิษณุ, องค์ศักติ, พระพิฆเนศ, พระสุริยะ และ พระการติเกยะ ความเชื่อแบบนี้เป็นที่นิยม อย่างแพร่หลาย เพราะสามารถบูชาเทพเจ้าได้ตามต้องการ ธรรมเนียมแบบสมารธะนั้น เกิดขึ้นราวหลังยุคคลาสสิกของฮินดูตอนต้น ราวเริ่มต้นคริสตกาล หลังศาสนาฮินดูเริ่มรวมเข้า กับการปฏิบัติแบบพราหมณ์และความเชื่อพื้นมือง


| สยาม ราชวัตร บทสรุป การที่ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมีหลายนิกายไม่ใช่เป็นการแตกแยกทางความคิดแต่เป็นการ รวมกลุ่มความเชื่อที่มีต่อเทพเจ้าของตนเอง ที่มีการปฏิบัติทางพิธีกรรมและการบูชาเป็นของ ตนเองรวมถึงการแต่งกายที่แตกต่างแต่ละนิกายด้วย นิกายใหญ่ๆ ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ประกอบด้วย นิกายไวษณพ มุ่งเน้นการบูชาต่อองค์เทพวิษณุนารายณ์นิกายไศวะ มุ่งเน้นการ บูชาต่อองค์เทพศิวะหรือพระอิศวร นิกายศักติ มุ่งเน้นการบูชาต่อเทพเจ้าฝ่ายหญิงเป็นการสร้าง พื้นที่แก่เพศหญิงในทางความเชื่อทางศาสนา ส่วนนิกายย่อยๆ มีมากมายแยกออกไปตามความ เชื่อและการบูชาองค์เทพเจ้าองค์อื่น เช่นเทพเจ้าระดับที่เป็นลูกของเทพเจ้าองค์ใหญ่ เช่นพระ พิฆเนศ และเทพเจ้าทั่วไปในธรรมชาติ เช่นพระสุริยะหรือพระอาทิตย์อันเป็นเทพเจ้าดั้งเดิมของ ชาวอารยัน แม้ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูจะมีหลายนิกายแต่การปฏิบัติก็มุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกันคือ การเข้าถึงความจริงอันสูงสุดคือพรหมันซึ่งเป็นเทพเจ้าในมิตินามธรรม ค าถามท้ายบท 1) ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มีพัฒนาการเกิดขึ้นของนิกายในศาสนาของตนเอง เป็นมาอย่างไร? 2) นิกายไวษณพ นับถือเทพเจ้าองค์ใด? มีแนวคิดและหลักปฏิบัติทางนิกายอย่างไร? 3) “นารายณ์ 10 ปาง” คือการอวตารของพระนารายณ์ เป็นการสะท้อนแนวคิด อะไรบ้าง? 4) นิกายไศวะ นับถือเทพเจ้าองค์ใด? มีพัฒนาการทางนิกายเป็นมาอย่างไร ? 5) นิกายกาษมีระไศวะ กับ นิกายลิงคายัต มีแนวคิดและการปฏิบัติต่อเทพเจ้าศิวะ แตกต่างกันอย่างไร ? 6) คำว่า “ศักติ” ในนิกายศักติ คืออะไร ? นับถือเทพเจ้าองค์ใดบ้าง? นิกายนี้มี แนวคิดและการปฏิบัติต่อเทพเจ้าอย่างไร? 7) คัมภีร์ตันตระ คือคัมภีร์อะไร ? มีแนวคิดและหลักคำสอนเกี่ยวเพศชายเพศหญิง อย่างไร ? 8) ลัทธิ 5 ม. หรือ “มการ” คืออะไร? ประกอบด้วยองค์ประกอบอะไรบ้าง ? อะไร คือแนวคิดหรือความเชื่อสำคัญของลัทธินี้ ? 9) นิกายคณพัทยะ นับถือเทพเจ้าองค์ใด? มีแนวคิดและหลักปฏิบัติต่อเทพเจ้าอย่างไร ? 10) นิกายสรภัทธะ และนิกายสมารธะ นับถือเทพเจ้าองค์ใด ? มีแนวคิดและหลัก ปฏิบัติต่อเทพเจ้าอย่างไร ?


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู |


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | 8 ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเป็นศาสนาที่มีความเชื่อต่อเทพเจ้าจำนวนมากมาย แต่ละ นิกายก็มีความเชื่อแตกต่างกันไป เมื่อมีความเชื่อหลากหลายก็มีพิธีกรรมและประเพณีหรือ เทศกาลประกอบหลากหลายเพื่อบูชาต่อเทพเจ้าของตนเอง จะพบว่าในประเทศอินเดีย แหล่งกำเนิดศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมีการสร้างพิธีกรรมและเทศกาลจำนวนมากมายมีความ เชื่อมโยงจากฐานความเชื่อสู่การเป็นพิธีกรรมและเทศกาล แสดงให้ทราบถึงความสัมพันธ์ ระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้าผ่านเครื่องมือคือพิธีกรรมและเทศกาล ในบทนี้ผู้เขียนจะนำเสนอ พิธีกรรมและเทศกาลที่สำคัญของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูว่ามีรายละเอียดความเป็นมาอย่างไร และสัมพันธ์กับวิถีชีวิตชาวฮินดูอย่างไร 8.1 ความหมายพิธีกรรม พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมาย “พิธีกรรม” ไว้ว่า “งานที่จัดขึ้นตามลัทธิเพื่อความขลัง” และ “การบูชา” (ราชบัณฑิตยสถาน, 2538, น. 596) ตามความหมายที่พจนานุกรมอธิบายบ่งบอกลักษณะของพิธีกรรมว่าเป็นเรื่องของลัทธิหรือ ศาสนาที่กำหนดขึ้นเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความขลังศักดิ์สิทธิ์ หรือเป็นขั้นตอนการบูชาสิ่งที่ เคารพบูชาในแต่ละลัทธิหรือศาสนาตามวันเวลาที่กำหนดไว้ พิธีกรรมเป็นองค์ประกอบหนึ่งของความเชื่อในแง่การปฏิบัติตามความเชื่อหรือเป็น ภาคแสดงออกของความเชื่อให้เป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ ซึ่งองค์ประกอบของความเชื่อจะ ประกอบด้วย (1) ความเชื่อ (Faith) (2) คุณค่าอันสูงส่งจำนวนหนึ่งหรือสิ่งที่ถูกเชื่อ (Sublime Values) (3) การปฏิบัติต่อคุณค่านั้นหรือตามความเชื่อ (Practice) (4) สถาบันของผู้มีความ


| สยาม ราชวัตร เชื่อถือและปฏิบัติแบบเดียวกัน (Institution) (แสง จันทร์งาม, 2534, น. 92) รวมถึงการ รักษาและส่งต่อสืบทอดความเชื่อด้วย ดังนั้นการทำพิธีกรรมจัดอยู่ในข้อการปฏิบัติตามความ เชื่อนั้น ศาสนาทุกศาสนาโดยเฉพาะศาสนากระแสหลักของสังคมจะมีพิธีกรรมมากมายที่ แสดงออกถึงความเชื่อของตนเอง การทำพิธีกรรมเป็นสิ่งที่สังเกตมองเห็นได้ว่าผู้เชื่อปฏิบัติ กิจกรรมอะไรอยู่ หากเราต้องการศึกษาเบื้องหลังพิธีกรรมก็ต้องไปดูตัวความเชื่อนั้นคืออะไรก็จะ ทราบว่าผู้เชื่อมีความเชื่ออย่างไร จึงเกิดพฤติกรรมความเชื่อที่แสดงผ่านพิธีกรรม ลักษณะพิเศษของพิธีกรรมโดยทั่วไป จะต้องมีบรรยากาศแห่งความศักดิ์สิทธิ์และน่า เกรงขามอยู่ด้วย ซึ่งแต่ละขั้นตอนที่กำหนดไว้ในพิธีกรรมจะมีบรรยากาศความศักดิ์สิทธิ์ ประกอบด้วยกิจกรรมเช่นการกล่าวคำพูดหรือบทสวดเป็นท่วงทำนอง การมีอุปกรณ์แห่ง พิธีกรรมไม่ว่าจะเป็นเทียนธูป ควันธูป ควันไฟ ดอกไม้ สายสิญจน์ น้ำมนต์ เสียงระฆัง เสียงกลอง เป็นต้น บรรยากาศในพิธีกรรมอาจเป็นไปด้วยความเงียบสงบที่ศักดิ์สิทธิ์ หรือเป็นไปด้วยเสียง ดังกังวานของการเปล่งคำหรือบทสวดที่น่าเกรงขามน่าเคารพยำเกรง พิธีกรรมมีความแตกต่างจากประเพณีในประเด็นที่พิธีกรรมจะมีบรรยากาศแห่ง ความศักดิ์สิทธิ์ ส่วนตัวประเพณีจะเป็นการปฏิบัติในบรรยากาศแห่งความสนุกสนาน รื่นเริง บันเทิงใจ เป็นเรื่องของส่วนรวมหรือการทำเป็นหมู่คณะ เป็นสิ่งที่ทำตามเทศกาลกำหนดเวลา แน่นอน กิจกรรมความเชื่อบางอย่างอาจมีทั้งประเพณีและพิธีกรรมอยู่ด้วย กล่าวคือเบื้องต้น เป็นการทำพิธีกรรมก่อน จากนั้นจึงมีประเพณีสนุกสนานตามมา เช่น ประเพณีสงกรานต์ของ ประเทศไทยมีพิธีกรรมสรงน้ำพระก่อน แล้วจึงมีประเพณีสาดน้ำเล่นน้ำกันลำดับถัดมาของ ประชาชนที่เข้าร่วม เป็นต้น อัตลักษณ์โดดเด่นของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู คือ “เป็นศาสนาแห่งพิธีกรรม” ที่มี การประกอบพิธีกรรมจำนวนมากมายต่อเทพเจ้าที่ตนเองศรัทธา จึงมีการสร้างพิธีกรรมและ ประเพณีเทศกาลมากมาย มีขั้นตอนประกอบการบูชามากมายเพื่อแสดงถึงความศรัทธาต่อ เทพเจ้าของตนเองตั้งแต่ยุคพระเวทของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู 8.2 พิธีกรรมกับความเป็นฮินดู ชาวฮินดูทั้งเป็นกลุ่มฆราวาสผู้อยู่บ้านและชาวฮินดูที่เป็นกลุ่มนักบวชอยู่ป่าหรืออยู่ อารามต้องทำพิธีกรรมที่แสดงออกถึงความเป็นฮินดูตามจารีต โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นฆราวาส ที่มีครอบครัวจะแสดงความเป็นฮินดูตามจารีตประกอบด้วยส่วนสำคัญอยู่ 2 ประการ คือ พิธีกรรมแสดงความเป็นชาวฮินดูตามต้นตระกูลชาติกำเนิด และการมีข้อปฏิบัติที่ไม่บกพร่อง ตามชาติตระกูลหรือวรรณะของตนเอง มีรายละเอียดดังนี้(เสฐียร พันธรังสี, 2527, น. 88-91)


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | 8.2.1 พิธีกรรมความเป็นฮินดูตามตระกูลก าเนิด พิธีกรรมที่เกิดขึ้นตามกำหนดตัวบุคคลในตระกูลวรรณะพราหมณ์วรรณะ กษัตริย์และวรรณะแพศย์ยกเว้นบุคคลที่เกิดในวรรณะต่ำกว่านี้ จึงจะเรียกว่าเกิดมาในชาติ ตระกูลที่ควรเป็นฮินดูได้ เป็นความเชื่อที่เหนียวแน่นด้านพิธีกรรมกับวรรณะในศาสนา พราหมณ์-ฮินดูกล่าวคือประชาชนทั้ง 3 วรรณะนี้เท่านั้นที่จะกระทำพิธีกรรมทางศาสนา พราหมณ์-ฮินดูที่กำหนดไว้ในคัมภีร์มนูธรรมศาสตร์ได้ 8.2.2 ข้อปฏิบัติของชาวฮินดู ข้อปฏิบัตินั้นตามคัมภีร์มนูธรรมศาสตร์กำหนดรายละเอียดการปฏิบัติไว้ต่างๆ เป็นพิธีกรรมที่ชาวฮินดูจะพึงปฏิบัติเป็นประจำขาดไม่ได้ ถ้าขาดเสียหรือบกพร่องอย่างใด อย่างหนึ่งก็ไม่ใช่ชาวฮินดูความเชื่อของชาวฮินดูคือเชื่อว่าโลกต้องมีพราหมณ์ ต้องมีคัมภีร์ พระเวท และต้องมีวรรณะ 4 เหล่า ต่อมาภายหลังความเชื่อเหล่านี้ไม่จำเป็น แต่ความจำเป็น มาอยู่ที่ข้อปฏิบัติซึ่งข้อปฏิบัติของชาวพราหมณ์-ฮินดูผู้อยู่ครองเรือน จะต้องประกอบด้วย องค์ประกอบ 4 ประการที่สำคัญ คือ 1) ข้อปฏิบัติด้านการแต่งงาน อาหารการกิน การอาชีพ และที่อยู่อาศัย ชาวฮินดู จะต้องแต่งงานให้ถูกต้องตามชาติตระกูลวรรณะของตนเอง จะสับสนลักลั่นกันไม่ได้ วรรณะสูง จะต้องแต่งงานในวรรณะสูงเท่านั้นห้ามแต่งงานกับวรรณะต่ำ เรื่องอาหารการกินคนในวรรณะต่ำ จะทำอาหารให้คนวรรณะสูงกินไม่ได้คนละวรรณะกินรวมกันไม่ได้แตะต้องอาหารกันไม่ได้ ด้านอาชีพก็เหมือนกันใครอยู่ในวรรณะใดต้องทำอาชีพอย่างนั้นที่สมควรแก่วรรณะของ ตนเอง วรรณะทั้ง 4 นี้จะเป็นตัวกำหนดให้ทำอาชีพแตกต่างกัน กล่าวคือ วรรณะพราหมณ์ จะรับผิดชอบเรื่องพิธีกรรมและศาสนกิจ วรรณะกษัตริย์มีหน้าที่ปกครองและปกป้อง บ้านเมือง เช่นข้าราชการ ทหาร และกษัตริย์รวมถึงเชื้อพระวงศ์ด้วย วรรณะแพศย์หรือไวศยะ จะ ทำการค้าและทำการเกษตร และวรรณะศูทรทำงานเป็นแรงงานรับใช้สามวรรณะข้างต้น ตลอดจนที่อยู่อาศัยห้ามใช้สิ่งของสระน้ำเป็นต้นร่วมกันระหว่างวรรณะสูงกับวรรณะต่ำ ใครปฏิบัติ ขาดตกพร่องจะถูกตัดขาดจากตระกูลวรรณะของตนเอง 2) ข้อปฏิบัติตามหลักสังสการ คือข้อปฏิบัติที่ชาวฮินดูที่มีชื่อเรียกว่า “ทวิชาติ” แปลว่า เกิดหนที่สอง ได้แก่กลุ่มวรรณะพราหมณ์ กลุ่มวรรณะกษัตริย์และกลุ่มวรรณะแพศย์ จะต้องปฏิบัติพิธีกรรมสังสการ เป็นพิธีกรรมกำหนดความเป็นไปของชีวิตชาวฮินดูตั้งแต่เกิด จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต คำว่า “สังสการ” (saṃskāra) แปลว่า “การนำมารวมกัน,การทำ ให้สมบูรณ์, การเตรียมพร้อม, การเตรียมตัว”เป็นพิธีกรรมเปลี่ยนผ่าน (rites of passage) ในชีวิต ของมนุษย์ ในสมัยอดีตของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูพิธีสังสการนี้คือพิธีที่ทำขึ้นเพื่อให้วัตถุที่ นำมาประกอบยัญพิธีบริสุทธิ์ต่อมาภายหลังหมายถึงพิธีกรรมทำให้ร่างกายจิตใจและ


| สยาม ราชวัตร สติปัญญาบริสุทธิ์ก่อนจะเป็นสมาชิกของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูอย่างสมบูรณ์คัมภีร์มนู ธรรมศาสตร์กล่าวสอนว่าสมาชิกของครอบครัวฮินดูต้องเข้าพิธีสังสการ ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ มารดาจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต จำนวนพิธีกรรมสังสการนั้นแตกต่างกันไป บางแห่งบอกว่า มีจำนวน 13 สังสการ บางแห่งบอกว่ามีถึง 48 สังสการ แต่ในปัจจุบันมีการยอมรับเป็นที่นิยม อยู่ 16 สังสการ องค์ประกอบที่สำคัญของแต่ละสังสการคือ อัคนีหรือไฟ ซึ่งจะถูกจุดขึ้นใน แท่นบูชาไฟก่อนเริ่มทำสังสการถัดไปมีการสวดมันตระจากโศลกในคัมภีร์พระเวท การสวด อ้อนวอนเพื่อดลใจเทพเจ้าตามด้วยการบวงสรวงเทพเจ้าด้วยการประพรมน้ำไปที่คนและ สิ่งของ รายละเอียดการทำสังสการวิธีที่นิยมทำกันมีอยู่ 16 พิธีกรรมนั้นมีดังนี้(สุชีพ ปุญญานุภาพ, 2541, น. 277-278; วิทยา ศักยาภินันท์, 2549, น. 99-100) (1) ช่วงพิธีก่อนคลอด จะมีอยู่ 3 พิธี คือ (1) ครภาธานะสังสการ (Garbhādhāna) คือพิธีตั้งครรภ์ถัดจากวันวิวาห์ (2) ปุงสวนะ สังสการ( Puṃsavana ) พิธีที่ กระทำเพื่อขอให้เด็กในครรภ์เป็นเพศชาย (3) สีมันโตนนยนะ สังสการ (Sīmantonnayana) พิธีตัดผมหญิงมารดาผู้ตั้งครรภ์แล้วประมาณ 4 ถึง 8 เดือน (2) ช่วงพิธีหลังคลอดและตอนยังเป็นเด็ก มีอยู่ 6 พิธี คือ (4) ชาตกรมะ สังสการ (Jātakarman) คือพิธีคลอดบุตรหรือการเกิดของเด็ก (5) นามกรณะ สังสการ (Namakarana) คือพิธีการตั้งชื่อเด็กเมื่อคลอดแล้วประมาณ 12 ถึง 14 วัน (6) นิษกรมณะ สังสการ (Nishkramana) คือพิธีนำเด็กไปดูพระอาทิตย์ขึ้นครั้งแรกยามรุ่งอรุณเมื่อเด็กมีอายุ ได้ 4 เดือน (7) อันนปราศนะ สังสการ (Annaprashana) คือพิธีป้อนข้าวและน้ำแก่เด็กเมื่อ เด็กเริ่มมีฟันหรืออายุได้ประมาณเดือนที่ 5 หรือที่ 6 (8) จุฑากรณะ สังสการ (Chudakarana) คือพิธีโกนผมให้เหลือไว้เป็นจุก เมื่อเด็กมีอายุประมาณ 3 ปี(9) กัณณะเวธะ สังสการ (Karnavedha) คือพิธีเจาะหูให้เด็ก (3) ช่วงพิธีเกี่ยวกับการศึกษา มีอยู่ 3 พิธีคือ (10) อุปนยนะ สังสการ (Upanayana) คือ พิธีคล้องด้ายศักดิ์สิทธิ์ เรียกว่า “ยัชโญปวีต” ให้แก่เด็กชาย ถ้าเป็น วรรณะพราหมณ์กระทำเมื่ออายุ 5 ปี ถ้าเป็นวรรณะกษัตริย์กระทำเมื่ออายุ 8 ปี ถ้าเป็น วรรณะแพศย์กระทำเมื่ออายุ 16 ปี ถือเป็นการเกิดครั้งที่ 2 เด็กชายนั้นก็จะเป็นผู้เกิดครั้งที่ 2 ที่เรียกว่า “ทวิชาติ” โดยสมบูรณ์ ถือเป็นวัยเริ่มการศึกษาของเด็ก (11) เวทารัมภะ สังสการ (Vedarambha) คือพิธีเริ่มศึกษาพระเวทในอาศรมของอาจารย์(12) สมาวรตนะ สังสการ (Samavartana) คือพิธีต้อนรับกลับบ้านหลังสำเร็จการศึกษา (4) ช่วงพิธีหลังสำเร็จการศึกษา มีอยู่ 4 พิธีคือ (13) วิวาหะสังสการ (Vivāha ) คือพิธีการแต่งงาน (14) ปัญจมหายัญญะ สังสการ (Panchamahayagna) คือพิธีกรรมที่สามี ภรรยาและครอบครัวต้องบูชายัญ 5 ประการที่จะสื่อสารกับพระเจ้าได้ ได้แก่ พรหมยัญ เทวยัญ ปิตฤยัญ ภูตยัญ และมนุษยยัญ (15) วานปรัสถะ สังสการ (Vanaprastha) คือพิธีออกไปอยู่ป่า (16) อันตเยษฏิ สังสการ (Antyeshti) คือพิธีกรรมเกี่ยวกับศพให้กับผู้ตาย


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | 3) ข้อปฏิบัติพิธีศราทธ์คือพิธีของผู้มีศรัทธา กล่าวคือพิธีทำบุญพลีให้แก่ดวง วิญญาณของบรรพบุรุษ (Ancestor Worship) พิธีนี้ถือปฏิบัติเคร่งครัดมากถึงจะขาดพิธีอื่น ได้แต่ขาดพิธีนี้ไม่ได้ การบูชาบรรพบุรุษเป็นการสังเวยดวงวิญญาณของท่านด้วยก้อนข้าวสุก (ปิณฑะ) ผู้ทำพิธีศราทธ์นี้เป็นหน้าที่หลักของบุตรที่เป็นลูกชาย เพราะตามความเชื่อของชาว ฮินดูจะช่วยให้บรรพบุรุษมีบิดามารดาเป็นต้นพ้นจากนรกขุมปุตตะได้พิธีศราทธ์นี้ครั้งแรกจะ ทำก่อนเอาศพไปเผาทำอยู่ตลอด 10 วัน ตั้งแต่วันตายจนถึงวันที่ 11 เป็นการรวมญาติตั้งแต่ ฝ่ายแม่และฝ่ายพ่อขึ้นไป 3 ชั่วอายุคน และลงมาอีก 3 ชั่วอายุคน พิธีศราทธิ์จะต้องทำเดือน ละครั้งเป็นอย่างน้อยตลอดปี 4) ข้อปฏิบัติเกี่ยวกับการบูชาเทพเจ้า (Worship of Gods) ข้อปฏิบัตินี้น่าจะ เป็นมูลเหตุสัมพันธ์กับการบูชาบรรพบุรุษในลัทธิของชนชาติอื่นๆ ด้วยเหตุที่ชาวฮินดูมีเทพเจ้า มากมาย จำนวนเทวดาที่บูชาจึงมีมากมายสุดจะคณนาได้ยิ่งประชาชนฮินดูที่อยู่ในวรรณะต่ำ ถูกกีดกันไม่สามารถนับถือเทวดาของพวกวรรณะสูงได้ จึงต้องสร้างเทวดาของตนขึ้นเพื่อบูชา ไปตามลำพัง เกิดมีเทพประจำเทวาลัยและเทพประจำหมู่บ้าน ประจำครอบครัวจนถือเอา เป็นยุติไม่ได้ ความเชื่อของชาวฮินดูปัจจุบันเกี่ยวกับการบูชาเทวดาจะพรรณนาให้เห็นภาพก็ สุดหลากหลายมากมาย เช่นกลุ่มฮินดูที่อยู่ในวรรณะสูงจะพากันบูชาเทพรุ่นเก่า มีพระวิษณุ และพระศิวะเป็นต้น ต่อมาเมื่อมีลัทธิอวตารขึ้นก็มีการบูชาพระกฤษณะและพระรามขึ้นอีก ส่วนเทพเจ้าของกลุ่มฮินดูที่อยู่ในวรรณะต่ำ ก็มีเทพเจ้าแตกแขนงขยายออกไปตามวรรณะอีก มากมาย เช่น เจ้าแม่กาลีเทพเจ้าลิง เทพเจ้าเต่า เทพเจ้าต้นไม้ เทพเจ้าช้าง เทวดาเบ็ดเตล็ด ตามศาลเจ้าน้อยใหญ่และหมู่บ้านทั้งหลาย เป็นทั้งภาพน่าเกลียดน่ากลัว หรือน่ากราบไว้ และ บางทีก็มีความลามกอนาจารรวมอยู่ด้วย 8.3 เทศกาลส าคัญของชาวฮินดูในประเทศอินเดีย เทศกาลตามฤดูกาลของชาวฮินดูมีความสัมพันธ์กับความเชื่อต่อเทพเจ้ามีจำนวน มากมายปรากฏกระทำการเฉลิมฉลองบูชาอยู่ในท้องถิ่นต่างๆในประเทศอินเดีย ซึ่งแต่ละ เทศกาลนั้นจะเชื่อมโยงกับความเชื่อที่เป็นรากฐานความคิดและมีพิธีกรรมประกอบใน เทศกาลนั้นๆ ในที่นี้จะกล่าวถึงเทศกาลที่สำคัญของชาวฮินดู เช่น เทศกาลคเณศจตุรถี เทศกาลนวราตรีเทศกาลมหาศิวะราตรี และเทศกาลดิวาลี เป็นต้น 8.3.1 เทศกาลคเณศจตุรถี(Ganesh Chaturthi) คเณศจตุรถี หรือวิไนยกะจตุรถี เป็นเทศกาลในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูที่เฉลิม ฉลองการประสูติของพระพิฆเนศตรงกับช่วงปลายเดือนสิงหาคม-กันยายนของทุกปีมีความ


| สยาม ราชวัตร เชื่อกันว่าช่วงวันนี้คือวันประสูติของพระพิฆเนศโดยเป็นวันที่พระองค์จะเสด็จมาประทานพร ให้มวลมนุษย์พิธีกรรมเด่นของคเณศจตุรถีคือการสร้างเทวรูปพระพิฆเนศด้วยดินเหนียวแล้ว ประดิษฐานในบ้านเรือน อาคาร องค์กร หรือในสถานที่สาธารณะ บนฐานเวทีชั่วคราวที่สูง ใหญ่ พิธีกรรมประกอบด้วยการสวดบทสวดในพระเวทหรือคัมภีร์ฮินดูอื่นๆ และการอด อาหาร การแจกจ่ายประสาทะ (Prasāda) จากพิธีสวด รวมถึงขนมอย่างขนมโมทกะ ซึ่งเชื่อ ว่าเป็นขนมทรงโปรดของพระพิฆเนศเทศกาลสิ้นสุดในวันที่ 10 นับจากวันที่เริ่มเทศกาล ซึ่งศาสนิกชนจะนำเทวรูปพระพิฆเนศที่ปั้นจากดินมาตั้งในสถานที่สาธารณะ โดยมีขบวน ดนตรีและขับสวดกันไปยังแหล่งน้ำ เช่น แม่น้ำหรือทะเล ก่อนจะทำพิธีนำเทวรูปดินนั้นแช่ หรือละลายกลับลงแม่น้ำ เทศกาลคเณศจตุรถีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจัดในเมืองมุมไบ ซึ่งมีการนำเทวรูป แช่ละลายลงน้ำมากถึง 150,000 องค์ในมุมไบทุกๆ ปี เชื่อกันว่าเทวรูปดินและพระพิฆเนศที่ ได้ละลายไปในสายน้ำนั้นจะกลับไปยังเขาไกรลาศ เคียงคู่กับพระศิวะ และ พระปารวตี เทศกาลนี้ถือเป็นการเฉลิมฉลองพระพิฆเนศซึ่งชาวฮินดูเชื่อกันว่าเป็นเทพเจ้าแห่งการเริ่มต้น ใหม่ และการขจัดอุปสรรค รวมทั้งเป็นเทพเจ้าแห่งปัญญาและความฉลาดเฉลียว เทศกาลนี้มี การเฉลิมฉลองทั่วอินเดีย โดยเฉพาะในรัฐมหาราษฏร์, รัฐมัธยประเทศ, รัฐกรณาฏกะ, รัฐกัว, รัฐเตลังคานา, รัฐคุชราต และ รัฐฉัตตีสครห์ และพบฉลองกันภายในบ้านเรือนส่วนบุคคลใน รัฐทมิฬนาทู, รัฐอันธรประเทศ ส่วนในบรรดาชาวฮินดูโพ้นทะเลก็มีการจัดในประเทศต่างๆ แหล่งที่มาภาพ : https://kcindjija.com


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | พระพิฆเนศ (Ganesh) เทพเจ้าแห่งการขจัดอุปสรรคทั้งปวง ชาวฮินดูเชื่อกันว่า พระองค์จะช่วยบันดาลให้ความปรารถนาใดๆ สัมฤทธิ์ผลสมดังประสงค์ ดังนั้นก่อนที่จะเริ่ม กิจการงานสำคัญต่างๆ จึงต้องมีการสวดอ้อนวอนขอพรจากพระคเณศก่อนเสมอ โดยเฉพาะ ที่เมืองปูเณ่ พระคเณศได้รับการเคารพบูชาอย่างแพร่หลาย และในทุกๆ ปีจะจัดให้มีเทศกาล บูชาพระองค์ขึ้น ที่เรียกว่า คเณศจตุรถี (Ganesh Chaturthi) หรือเทศกาลกันปาตี (Ganpati Festival) ตามที่นิยมเรียกกันในเมืองปูเณ่ เทศกาลคเณศจตุรถีนี้ยังเป็นที่นิยมเฉลิมฉลองกันทั่วไปในรัฐมหาราษฎร์ (Maharashtra) รัฐทมิฬนาดู (Tamil Nadu) รัฐคาร์นาตะกา (Karnataka) รัฐอานธรประเทศ (Andhra Pradesh) และที่ต่างๆ ในอินเดีย ในอินเดีย เมือง “มหาราษฏร์” เป็นเมืองแรกเริ่ม ของเทศกาลนี้ จัดต่อเนื่องมาถึง 125 ปี และที่เมือง “มุมไบ” จะมี ‘วัดสิทธิวินายัก’ สร้างขึ้น เพื่อสักการะพระพิฆเนศมีการแห่รูปปั้น 150,000 องค์ ช่างฝีมือใช้เวลาร่วมเดือนปั้นพระ พิฆเนศจากดินเหนียวแต่งแต้มวิจิตรบรรจง มีพิธีอัญเชิญดวงจิตขององค์พระพิฆเนศให้มาสถิตย์ อยู่ในรูปปั้นนั้นตั้งแต่วันเริ่มเทศกาล ผู้คนจะสักการะ พระพิฆเนศ ในบ้าน ด้วยการสวดมนต์ และเซ่นไหว้ด้วย ข้าว ขนม น้ำตาลโตนด มะพร้าว ดอกไม้ เหรียญบูชาเทพเจ้า เจิมผงจันทน์ หอมสีแดงบนหน้าผากของรูปปั้นพระคเณศ เป็นอันจบพิธีไหว้เมื่อถึงวันสุดท้ายของเทศกาล ในเมืองคึกคักไปด้วยเสียงกลองและดนตรี ขบวนแห่เคลื่อนไปยังแม่น้ำสายหลัก เพื่อปล่อยรูป ปั้นพระพิฆเนศที่ปั้นมาให้ลอยไปกับสายน้ำ ตามประวัติผู้ที่ริเริ่มจัดเทศกาลนี้ขึ้นก็คือ ฉัตรปาตี ชีวจี มหาราช (Chatrapati Shivaji Maharaja) กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรมาราธะ (Maratha) เพื่อส่งเสริมทางด้าน วัฒนธรรมและความเป็นชาตินิยมในอินเดียสมัยนั้น และเทศกาลนี้ก็ได้รับการฟื้นฟูต่อมาโดย โลกมันยา ติลัก (Lokmanya Tilak) นักสู้เพื่อเสรีภาพของอินเดีย เพื่อส่งข่าวสารเสรีภาพและ ท้าทายอำนาจจักรวรรดิอังกฤษในยุคนั้น เทศกาลนี้ทำให้คนอินเดียรู้สึกถึงความเป็นเอกภาพ ความรักชาติ และความศรัทธา ในงานนี้ชาวฮินดูจะสร้างซุ้มหลากหลายขนาดตามขนาดของชุมชนและความเลื่อมใส ตามหัวมุมถนน เพื่อประดิษฐานเทวรูปพระพิฆเนศขนาดใหญ่ ที่มีความสูงตั้งแต่ 10 เมตร จนถึง 30 เมตรเลยทีเดียว รวมทั้งในบ้านเรือนด้วยแต่จะใช้รูปขนาดเล็กลง ประชาชนพากันตกแต่งประดับประดาซุ้มเหล่านั้นด้วยแสงไฟ กระจก และ ดอกไม้นานาชนิด และมีพิธีบูชาเทวรูปพระพิฆเนศในแต่ละวัน ตลอดระยะเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง เมื่อถึงวันสุดท้าย ผู้ศรัทธาจะนำรูปบูชาของพระพิฆเนศมาแห่แหน แล้วนำไปยังแม่น้ำลำธาร หรือทะเล ตลอดทางที่ขบวนผ่านจะมีการร้องเพลง เต้นรำ และเล่นสีกัน เมื่อไปถึงริมฝั่งแม่น้ำ หรือทะเลแล้วก็จะทำการบูชา ก่อนจะนำรูปพระคเณศไปจมลงในน้ำเป็นอันเสร็จสิ้นพิธีกรรม ซึ่งเทศกาลนี้จะดำเนินไปเป็นเวลา 5 วัน 7 วัน หรือ 10 วัน


| สยาม ราชวัตร 8.3.2 เทศกาลนวราตรี(Navaratri) คำว่า “นวราตรี” มาจากคำสองคำคือ นว (nava) หมายถึง เก้า และราตรี (ratri) หมายถึง กลางคืน จึงมีความหมายตามตัวอักษรว่า “เก้าคืน” นวราตรีเป็นเทศกาล แห่งการบูชาและการเต้นรำ ซึ่งในช่วง “เก้าคืน” นี้จะมีการบูชาพระแม่ทุรคา (Durga) หรือ ศักติ (Shakti) ซึ่งหมายถึง พลังหรืออำนาจ ใน 9 รูปแบบโดยเทศกาลนี้จะจัดขึ้นสองครั้งต่อปี คือในช่วงต้นฤดูร้อนและต้นฤดูหนาว ในช่วงฤดูหนาวนี้ตรงกับเดือนอัศวิน (Ashwin) ตาม ปฏิทินฮินดูเทศกาล นวราตรีจึงหมายถึง วันบูชาประจำปีพระศรีมหาอุมาเทวีในภาคอวตารต่างๆ 9 ปาง ตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำเดือน 11 ถึงวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 11 รวมทั้งสิ้น 9 วัน 9 คืน แหล่งที่มาภาพ : https://learningpune.org/2014/09/17/navratri-festival/ นวราตรีจัดเป็นเทศกาลที่อุทิศตนเพื่อการสักการะบูชาประจำปีแด่พระแม่ทุรคา ในช่วง 9 คืนนี้จะมีการบูชา พระแม่ทุรคาและพระแม่ปารวตีในภาคปางต่างๆ 9 ปางด้วยกัน และในวันสุดท้าย คือวันที่ 10 มักจะเรียกว่าเป็น วันวิชยาทศมี (Vijayadashami) หรือ "วันดุเซร่า" (Dussehra) ซึ่งเป็นวันที่สำคัญสุดของเทศกาลนี้ และมีการเฉลิมฉลองทั่วไปทั้งประเทศอินเดีย ในประเทศอินเดียชาวฮินดูกระทำพิธีบูชาพระศรีมหาอุมาในภาคอวตารต่างๆ วันละ 1 ปาง เรียงตามลำดับคือ มหากาลี, ทุรคา หรือมหิษาสุรมรรทินี, จามุณฑา, กาลี, นันทา, รักธาฮันตี, สัคคมพารี, ทุรคา และลัคภรมารี เพื่อระลึกถึงการประหารอสูรที่สำคัญต่างๆ ระหว่างนี้ผู้บูชาต้องถือพรตรับประทานเฉพาะอาหารมังสวิรัติ บางท้องที่ถือศีลอด วันที่ 9 จะ มีการอัญเชิญเทวรูปสำคัญออกจากเทวาลัยไปแห่แหนให้ประชาชนได้สักการะบูชา พิธีนวราตรีบูชาพระแม่ทุรคาเทวี หรือพระศรีมหาอุมาเทวี ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ ถึง 9 ค่ำ เดือน 11 รวม 9 วัน 9 คืน พิธีฉลองวันวิชัยทัศมิหรือดูเซร่าตรงกับวันขึ้น 10 ค่ำ เดือน 11 จากงานนวราตรี พิธีดูเซร่าเป็นพิธีเก่าแก่สืบเนื่องมาแต่โบราณสมัยพระเวท


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | ยุคพราหมณ์ สืบทอดมาสู่เมืองไทยโดยชาวอินเดียโบราณได้นำมาเผยแพร่ ตามคัมภีร์ปุราณะ กล่าวว่า งานดูเซร่า เป็นเทศกาลฉลองชัยที่ความดีชนะความชั่วตามเรื่องเล่าในรามายณะที่ ความชั่วพ่ายแพ้ต่อความดีด้วยพระบารมีของเจ้าแม่วิชยาเทวี งานนี้ชาวเมืองจึงฉลองอย่าง เอิกเกริก ด้วยการประดับประทีปโคมไฟ มีการแสดงนาฏลีลา การประกอบพิธีกรรมการบูชาเพลิง และมีการอ่านคัมภีร์พระเวท ประชาชนจะถือศีลกินเจ บำเพ็ญกุศล บนบานขอโชคลาภ เพราะถือว่าเป็นช่วงที่พระศรีมหาอุมาเทวี และเทพเจ้าต่างๆ เสด็จมารับการคารวะบูชาจาก บรรดาศิษย์ทั่วทุกทิศ ในวันวิชัยทศมิ เจ้าแม่จะมาในร่างของคนทรง และแสดงนาฏลีลา นำหน้าขบวนแห่ไปประสาทพรแก่บรรดาศิษย์ตามเคหะสถาน ในประเทศไทยพิธีนี้กลายเป็น งานประเพณีประจำปีของวัดพระศรีมหาอุมาเทวีที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาจนถึงทุกวันนี้ เทวีทุรคาหรือที่นิยมเรียกว่าพระแม่ทุรคา เป็นเทวีแห่งความมั่งคั่ง ความเจริญรุ่งเรือง และสุขภาพดี พระนางเป็นอวตารภาคหนึ่งของพระแม่ปารวตี มเหสีของพระศิวะ ตามตำนานเทพ เจ้าฮินดู กล่าวถึงการปราบมหิงสาสูร ซึ่งเป็นอสูรที่ทรงอำนาจมากจนไม่มีเทพเจ้าองค์ใด ทำลายลงได้ ดังนั้นบรรดาทวยเทพต่างๆ จึงได้ไปเข้าเฝ้าพระนางทุรคาขอให้ทรงช่วย และเทพเจ้า ต่างๆ เหล่านั้นก็มอบอาวุธที่ทรงอำนาจให้กับพระนาง เมื่อมีอาวุธครบครันพระนางก็สามารถ ปราบอสูรร้ายลงได้ และสถานที่ที่มหิงสาสูรสิ้นชีพนั้น เดิมคือเมือง มหิศปุระ (Mahishpur) ปัจจุบันคือเมืองไมซอร์ (Mysore) ชาวไมซอร์จึงมีการเฉลิมฉลองเทศกาลนี้อย่างยิ่งใหญ่ สนุกสนาน การบูชาศักตินี้ จะแบ่งออกเป็น 3ช่วง ในช่วง 3 วันแรกจะเป็นพิธีปลุกพระแม่ทุรคา เทวีแห่งพลังอำนาจขึ้นมาเพื่อมากำจัดสิ่งเลวร้ายไม่บริสุทธิ์ต่างๆ จากนั้นเทวีที่ได้รับการบูชา ต่อมาคือพระแม่ลักษมี (Lakshmi) ผู้ที่จะมอบความมั่งคั่งให้กับผู้ที่บูชา และในช่วง 3 วัน สุดท้ายเป็นการบูชาพระแม่สรัสวตี (Saraswati) เทวีแห่งสติปัญญา ชาวฮินดูเชื่อว่า เพื่อที่จะได้รับพร ครบในทุกด้านจำเป็นที่จะต้องบูชาพระแม่ทั้งสามพระองค์ต่อเนื่องกัน 9 วัน รูปเคารพบูชาของพระแม่จะถูกนำมาวางไว้ที่บ้านและที่วัดตลอดทั้ง 9 วันที่ เฉลิมฉลอง มีการถวายผลไม้ ดอกไม้ ขนมหวาน แด่รูปเทวี และร้องเพลงสวดบาจันหรือภชัน (bhajans) เพื่อสรรเสริญพระนาง ในวันสุดท้ายของเทศกาลนี้จะมีขบวนแห่นำรูปเคารพไป จมลงในแม่น้ำใกล้เคียง ในประเทศอินเดียมีการเฉลิมฉลองเทศกาลนวราตรีทั่วทั้งอินเดีย แต่อาจมี รายละเอียดแตกต่างกันไปตามแต่ละภูมิภาค นอกจากการบูชาเทวีแล้วชาวฮินดูยังฉลองด้วย การเต้นดันดิยาราส (Dandiya-raas) หรือรำกระทบไม้ โดยถือไม้สั้นๆ คนละคู่ ตีกระทบกัน เป็นวง วนไปวนมา แม้ดูแล้วไม่มีท่าเต้นอะไร แต่คนเล่นเขาก็สนุกสนานกันมาก ซึ่งการเต้นนี้ ก็อาจแตกต่างกันไปตามความนิยมในแต่ละที่ เทศกาลนี้ยังถือเป็นโอกาสที่ดีและเป็นมงคล สำหรับครอบครัวและเพื่อนๆ ที่จะมาพบปะอวยพร และสังสรรค์กัน ทั้งยังเป็นช่วงเวลาที่เป็น มงคลและดีที่สุดที่จะเริ่มการลงทุนด้านธุรกิจใหม่ๆ อีกด้วย


| สยาม ราชวัตร สำหรับโบสถ์ฮินดู ที่นับถือลัทธิศักติ จะทำการบูชาพระแม่ทุรคาทั้ง 9 ปาง ใน 9 วัน แห่งพิธีกรรมโดยแบ่งทำพิธีกรรมดังนี้ วันแรก - ทำการบูชาพระแม่ทุรคาในปางที่ เรียกว่า ปางไศลปุตรี (Shailaputri) อวตารเป็นธิดาของหิมพานต์ ราชาแห่งภูเขา ซึ่งเป็นรูปแบบของศักติที่เป็น สหายของพระอิศวร วันที่สอง - จะทำการบูชาพระแม่ทุรคาในปางที่ เรียกว่า ปางพรหมจาริณี (Brahmacharini) ชื่อเป็นที่มาของคำว่า 'พระพรหม' ซึ่งหมายถึง 'ทาปะ' หรือ การลงทัณฑ์ (มาตา ศักติ) วันที่สาม - ทำการบูชาพระแม่ทุรคาในปางที่ เรียกว่า ปางจันทรฆัณฏา (Chandraghanta) ทรงปราบอสูรด้วยเสียงระฆัง สัญลักษณ์ของความงามและความกล้าหาญ วันที่สี่ - ทำการบูชาพระแม่ทุรคาในปางที่ เรียกว่า ปางกูษามาณฑา (Kushmanda ) ผู้สร้างของจักรวาลทั้งหมด วันที่ห้า - ทำการบูชาพระแม่ทุรคาในปางที่ เรียกว่า ปางสกันทมาตา (Skandamata) แม่ของพระขันทกุมารนักรบผู้กล้าหาญ โอรสผู้เกิดจากพระศิวะ วันที่หก - ทำการบูชาพระแม่ทุรคาในปางที่ เรียกว่า ปางกาตยานี ( Katyayani ) ทรงปราบอสูร ด้วยปางที่มีสามเนตรและสี่กร วันที่เจ็ด - ทำการบูชาพระแม่ทุรคาในปางที่ เรียกว่า ปางกาลราตรี(Kalaratri) หรือกาลีทรงเสวยเลือดอสูร หมายถึงการทำให้ผู้ที่ชื่นชอบความกล้าหาญ วันที่แปด - ทำการบูชาพระแม่ทุรคาในปางที่ เรียกว่า ปางมหาเคารี (Mahagauri) ทรงเป็นเจ้าแม่แห่งธัญชาติ ทำให้พืชพันธุ์อุดมสมบูรณ์ วันที่เก้า - ทำการบูชาพระแม่ทุรคาในปางที่ เรียกว่า ปางสิทธิธาตรี (Sidhidatri) ทรงเป็นเจ้าแม่แห่งความสำเร็จ ผู้เขียนมีความเห็นว่าเทศกาลนวราตรีเป็นการสะท้อนบทบาทของผู้หญิงใน ครอบครัวและสังคมผ่านแนวคิดของเทศกาล การมีเทพเจ้าฝ่ายหญิงหรือกลุ่มศักติ เป็นการ สร้างพื้นที่ทางศาสนาให้ผู้หญิงในสังคมอินเดียซึ่งแต่ก่อนเป็นศาสนาเฉพาะพื้นที่ของชาย เท่านั้น ปางต่างๆ ของพระแม่ปารวตีที่แสดงออกผ่านเรื่องราวต่างๆ แสดงให้เห็นถึง ความสามารถของผู้หญิงในการทำงานเคียงคู่กับชายผู้เป็นสามี มีทั้งบทบาทอ่อนโยนและ บางครั้งก็มีบทบาทแข็งกร้าวดุดันเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ของครอบครัวให้ผ่านไปด้วยความ ยากลำบาก


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | 8.3.3 เทศกาลมหาศิวะราตรี(Maha Shivaratri) มหาศิวราตรี(Mahā Shivarātri) แปลว่า ค่ำคืนอันยิ่งใหญ่ของพระศิวะ เป็น เทศกาลในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูที่เฉลิมฉลองบูชาพระศิวะ ที่พระองค์ได้ทรงสมรสกับพระนาง ปารวตีถือเป็นเทศกาลสำคัญหนึ่งในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู แสดงให้เห็นถึงนัยยะว่าความสว่าง เอาชนะความมืดมิดและความไม่รู้ มีกิจกรรมหลากหลาย เช่น การร้องบทสวด, การอดอาหาร, ทำสมาธิ ผู้ที่เคร่งพิธีกรรมจะไม่หลับนอนทั้งคืน บางคนเดินทางไปยังสถานที่แสวงบุญของพระ ศิวะโดยเฉพาะที่ชโยติรลึงค์ แหล่งที่มาภาพ : http://www.oknation.net มหาศิวะราตรีหมายถึง "ราตรีแห่งพระศิวะ" มีการเฉลิมฉลองใน ในเดือนมากกะ (Māgha) ตามปฏิทินจันทรคติฮินดูมหาศิวะราตรี หรือ "ราตรีแห่งพระศิวะ" เป็นงานเทศกาล ของชาวฮินดูที่มีชื่อเสียงในอินเดียและเนปาล เทศกาลนี้มีการเฉลิมฉลองในเดือนของมากกะ (Māgha) ตามปฏิทินจันทรคติฮินดู วันนี้มีการเฉลิมฉลองการบูชาพระศิวะซึ่งเป็นเทพ ที่สำคัญในศาสนาพราหมณ์ฮินดู ตำนานการเฉลิมฉลองของวันนี้มีที่มาหลายตำนาน ตามตำนานที่ได้รับความ นิยมเล่าว่า เมื่อนายพราน ไม่สามารถหาสัตว์ในป่า มาฆ่าเป็นอาหารได้ เขาจึงคิดกลอุบาย โดยการขึ้นไปแอบบนต้นไม้ นายพรานโยนใบไม้ลงบนพื้น เพื่อล่อกวางให้มากิน โดยไม่ทราบ ว่ามีพระศิวะอยู่ใต้ต้นไม้ ด้วยความพยายามโยนใบไม้ลงมาข้างล่าง และการอดทนรอคอย ของนายพราน พระศิวะจึงปรากฏตัวต่อหน้านายพราน และได้อวยพรเขา ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา นายพรานก็หยุดกินเนื้อสัตว์


| สยาม ราชวัตร อีกตำนานเล่าว่าหลังจากที่โลกกำลังเผชิญกับการทำลายล้าง เทพธิดานามว่าปาราวตี ได้ขอให้พระศิวะช่วยโลก ด้วยคำอธิษฐานของเธอ พระศิวะตกลงที่จะช่วยโลกให้พ้นจากการ ทำลายล้าง โดยมีข้อแม้ว่า ผู้คนในโลกจะต้องบูชาเขาด้วยความทุ่มเท นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา การบูชาคืนมหาศิวะราตรีได้เริ่มขึ้น ประชาชนเริ่มนมัสการและบูชาองค์พระศิวะ บางตำนานเชื่อว่า ที่วันนี้เป็นวันมหาศิวะราตรี เพราะเป็นคำตอบ ที่พระศิวะ ตอบแก่เทพธิดาปาราวตี จากคำถาม ที่ว่า "ท่านชอบวันไหนมากที่สุด" สามเหตุผลหลักในการเฉลิมฉลองเทศกาลมหาศิวะราตรีจุดประสงค์หลักของ งานเทศกาล คือการเอาชนะความมืดและความโง่เขลาในชีวิต โดยการระลึกถึงพระอิศวร การ สวดมนต์ การฝึกโยคะ การถือศีลอด การไตร่ตรองจริยธรรมและคุณธรรมของความซื่อสัตย์ ความยับยั้งชั่งใจและการให้อภัย การเฉลิมฉลองสามเหตุการณ์สำคัญในชีวิตของพระศิวะในวันนี้ ประกอบด้วย 1) ศิวะราตรีเป็นวันที่อยู่ในปฏิทินฮินดูเมื่อพระเจ้า Sadashiv ที่ไร้รูปร่าง ปรากฏตัวในรูปแบบของ "Lingodbhav Moorti" ในเวลาเที่ยงคืน พระเจ้าปรากฏตัว เป็นกฤษณะที่ Gokul เวลาเที่ยงคืน หลังจากนั้นอีก 180 วัน เรียกกันทั่วไปว่า Janmashtami ดังนั้นในหนึ่งปีจึงถูกแบ่งออกเป็นช่วง โดยนับจากวันศิวะราตรี อันเป็นมงคล ของปฏิทินฮินดู 2) ศิวะราตรีเป็นวันครบรอบพิธีกรรมแต่งงานของ พระศิวะแต่งงานกับ เทพธิดาปาราวตี เทพธิดาปาราวตี มีเชื้อสายอันบริสุทธิ์ของ 'Nirgun Brahman'หลังจาก แต่งงานแล้ว พระศิวะจึงกลายเป็น "Sagun Brahman" 3) ศิวะราตรีเป็นวันแห่งการขอบพระคุณพระเจ้าที่ได้ปกป้องพวกเราจากการ ทำลายล้าง ในวันนี้มีความเชื่อกันว่าพระศิวะกลายเป็น 'Neelkantham' หรือร่างที่เป็นสีฟ้า โดยการกลืนพิษร้ายแรงที่เกิดขึ้นระหว่างการกวนเกษียรสมุทร ให้เกิดน้ำอมฤต "Kshir Sagar" และเกิดพิษของพญานาค ที่ทำลายล้างโลกได้ พระศิวะทรงดื่มยาพิษทั้งหมด เพื่อให้โลกมี สันติสุข ตั้งแต่นั้นมาพระศอของพระศิวะจึงมีสีฟ้า ในวันนี้ชาวฮินดูหลายร้อยหลายพันคนมาเยี่ยมชมวัด ปศุปตินาท ในเมือง กาฐมาณฑุ ซึ่งเป็นวัดอันศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งของชาวฮินดู วัดปศุปตินาท ถือเป็นผู้พิทักษ์แห่ง หุบเขากาฐมาณฑุและเนปาล ผู้ศรัทธาสวดมนต์ "Om Namah Shivay" และ "Mahamritunjaya" ตลอดทั้งคืนอธิษฐานขอความสว่างเหนือความมืด นักท่องเที่ยวจะเพลิดเพลินกับบรรยากาศ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเนื่องจากมีการนั่งสมาธินักบวชที่มีสีสันและเปลือยกายวางตัว เพื่อถ่ายรูปและมีปฏิสัมพันธ์กับสาวก รวมทั้งการเปลือยกายของโยคีที่มีขี้เถ้าขาวทาเอาไว้ ทั้งตัว วันนี้ในตอนค่ำชาวฮินดูจะก่อไฟ บูชาพระศิวะ ในทุกๆบ้าน และประชาชนเชื่อกันว่า ในวันมหาศิวะราตรีจะมีฝนตกลงมาเหมือนเป็นสัญญาณการสิ้นสุดฤดูหนาวของปี (https://www.thainepaltravels.net/post/maha-shivaratri)


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | การบูชาต่อพระศิวเทพในวันศิวะราตรีผู้บูชาต้องตื่นแต่เช้าตรู่ อาบน้ำชำระร่างกาย อย่างพิถีพิถัน แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่สะอาด เมื่อได้ปฏิบัติซึ่งกิจวัตรตอนเช้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้บูชาจะต้องเดินทางมุ่งสู่วัดแห่งพระศิวเทพ เพื่อประกอบพิธีการกราบไหว้บูชา ภายหลังที่ได้ กราบไหว้อุทิศบวงสรวงบูชาต่อพระศิวเทพแล้ว ผู้บูชาจะต้องปฏิบัติตนตามประเพณี โดย กล่าวว่า“ข้าแต่เทพเจ้าแห่งเทพ ข้าแต่พระตรีเนตรเทพ ขอน้อมกราบไหว้บูชาต่อพระองค์ ข้า แต่พระมหาเทวะ ข้าพเจ้าปรารถนาประกอบพิธีกรรมในวันศิวราตรี อันเป็นพิธีบูชาที่ ศักดิ์สิทธิ์เพื่อพระองค์ ข้าแต่พระมหาเทวะ ขอสำนึกต่อพระอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่ นำผลให้พิธีกรรมนี้สำเร็จลงด้วยดี ขอทรงมอบความอุดมสมบูรณ์ และความผาสุกต่อข้าพเจ้า และบริวารด้วยเถิด” เมื่อกล่าวดังนี้แล้ว ผู้บูชาจะนำเอาพระศิวลึงค์มาบูชาต่อในตอน กลางคืน ถวายเครื่องสังเวยต่อพระศิวเทพ เมื่อถวายเสร็จแล้วผู้บูชาจะอาบน้ำชำระร่างกาย ใหม่ สวมใส่เสื้อผ้าใหม่สะอาด บำเพ็ญพรตบูชาต่อไป ด้วยการท่องสวดมนต์ถึงพระศิวเทพ ด้วยบทสวดว่า “โอม นมัช ศิวายะ” 8.3.4 เทศกาลดิวาลี(Diwali) หรือ ทีปาวลี (Deepavali) เทศกาลดิวาลีเป็นเทศกาลสำคัญที่สุดเทศกาลหนึ่งสำหรับผู้ที่นับถือศาสนา พราหมณ์-ฮินดู เชน และซิกข์ มีตำนานความเชื่อแตกต่างกันไป มีการเฉลิมฉลองเรียกว่าแทบ จะทั่วโลกที่มีผู้นับถือศาสนาทั้งสามไปอาศัยอยู่ ไล่ไปตั้งแต่ในอินเดียเองซึ่งในแต่ละรัฐก็ฉลอง ตามความเชื่อที่ต่างกัน เนปาล ศรีลังกา พม่า สิงคโปร์ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อเมริกา ประเทศหมู่เกาะในทะเลแคริบเบียน อเมริกาใต้บางประเทศ รวมทั้งในยุโรป โดยเฉพาะ อังกฤษซึ่งมีชาวฮินดูอาศัยอยู่จำนวนมาก แหล่งที่มาภาพ : https://www.blockdit.com/


| สยาม ราชวัตร ดิวาลีเป็นเทศกาลแห่งแสงไฟของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาซิกข์ ศาสนา เชน ที่เฉลิมฉลองในช่วงฤดูกาลใบไม้ร่วงของซีกโลกเหนือ ดิวาลีถือเป็นหนึ่งในเทศกาลที่เป็น ที่รู้จักมากที่สุดของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู การใช้แสงสว่างในเทศกาลแห่งแสงนี้เป็นสัญลักษณ์ หมายถึงชัยชนะของแสงเหนือความมืดมิด ความดีเหนือความชั่ว อาคาร บ้านเรือน ร้านค้า ถนน หนทาง และศาสนสถาน (โบสถ์พราหมณ์ของฮินดู, คุรุทวาราของซิกข์ และเชนสถานของเชน) จะ ตกแต่งด้วยสีสดใสและประดับแสงไฟสว่างไสวโดยทั่วไปเทศกาลดิวาลีเฉลิมฉลองกัน 5 วัน โดยจะถึงจุดสูงสุดในวันที่ 3 ของเทศกาล ซึ่งถือว่าเป็นคืนที่มืดมิดที่สุดของเดือนตามปฏิทิน ฮินดู เมื่อเทียบกับปฏิทินเกรโกเรียนจะตรงกับช่วงกลางเดือนตุลาคมและกลางเดือนพฤศจิกายน ช่วงก่อนเข้าสู่เทศกาล ผู้คนจะเตรียมตัวโดยการทำความสะอาด ซ่อมแซม และตกแต่งบ้าน หรือที่ทำงานและแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ดีที่สุด ประดับไฟและประทีป ทั่วทั้งในและนอกบ้านให้ สว่างที่สุด ทำพิธีบูชาต่อพระลักษมี เทวีแห่งความเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง มีการจุดพลุ รับประทาน อาหารกับครอบครัวและเพื่อนฝูง แลกของขวัญและแบ่งปันขนม โดยเฉพาะขนมหวานอินเดีย ใต้ชนิดหนึ่ง เทศกาลดิวาลีถือเป็นเทศกาลเชิงวัฒนธรรมที่สำคัญมากต่อชาวอนุทวีปอินเดีย โพ้นทะเลที่นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ดิวาลียังถือเป็นขึ้นวันขึ้นปีใหม่ของประเทศอินเดียโดยในวันนี้จะมีการบูชา พระพิฆเนศเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งร่ำรวยและปัญญาด้วยขนมโมทกะขนมที่ท่านโปรดปราน รวมถึงจะมีการบูชาพระแม่ลักษมีเทวี เทพเจ้าแห่งทรัพย์และความร่ำรวย โดยสถานที่ทุกแห่ง จะมี การจุดตะเกียงไฟน้ำมันรูปถ้วยขนาดเล็กที่ทำจากดินเผาหรือถ้าไม่มีตะเกียงดิน ก็จะใช้ ตะเกียงทองเหลือง จุดไฟเพื่อให้เกิดความสว่างไสวไปทั้งบ้านและที่อยู่อาศัยของตนเอง รวมถึงจะมีการชำระปัดกวาดสถานที่ให้สะอาด เพื่อให้รับแต่สิ่งดีๆ เข้ามาในบ้านนั้นๆ ในวันนี้ คนใส่เสื้อผ้าที่ดีที่สุดของพวกเขาและแลกเปลี่ยนคำอวยพร ของขวัญและขนมกับเพื่อนและ ครอบครัวของพวกเขา เทศกาลนี้จะมีขึ้นประมาณเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายนของทุกๆ ปี โดยส่วนมาก จะตรงกับช่วงหลังออกพรรษาของประเทศไทยจึงเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้ที่นับถือ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและเป็นพิธีที่ชาวฮินดูให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก คำว่า ดิวาลี (Diwali หรือ Divali) กร่อนมาจากคำว่า “ทีปาวลี” (Deepavali หรือ Dipavali) ในภาษาสันสกฤต แปลว่า “แถวของตะเกียง” ซึ่งมาจากการจุดตะเกียงดินเล็กๆ จำนวนมากข้ามคืนยามราตรีเพื่อแสดงถึงความดีที่ชนะความชั่ว ผู้คนจะทำความสะอาด บ้านเรือนครั้งใหญ่ในรอบปีเพื่อรอรับพระนางลักษมี พระชายาของพระศิวะ ที่เชื่อกันว่าจะมา เยี่ยมบ้านฮินดูชนในวันนี้ มีการจุดประทัดเพื่อขับไล่ความชั่วร้าย ผู้คนจะสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ แจกขนมหวาน ของรับประทานเล่น ในหมู่สมาชิกครอบครัวและเพื่อนฝูงญาติสนิทมิตรสหาย เพื่อเป็นสิริมงคล ในส่วนของดิวาลีก็คล้ายๆ กันคือมีจริงๆ รวม 5 วัน โดยในวันแรกเริ่มของเทศกาล เรียกว่า “ธันธีระ” (Dhanteras) อันเป็นวันที่พ่อค้าแม่ค้าธุรกิจอินเดียส่วนใหญ่ถือว่าเป็นวันแรก


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | ของ “ปีงบประมาณ” เพราะคำว่า “ธัน” หรือ “ธนะ” แปลว่าความร่ำรวยรุ่งเรืองมั่งคั่ง ดังนั้น จึงถือเอาวันฤกษ์ดีเป็นวันเริ่มปีงบประมาณ เงินทองจะได้ไหลมาเทมา วันที่ 2 เรียกว่า “นรกจตุรทศ” (Naraka Chaturdasi) เป็นวันฉลองชัยชนะของ พระกฤษณะกับพระนางสัตยภามาเหนือปีศาจที่ชื่อว่านรกาสูร อีกตำนานเชื่อว่าเป็นวันที่ พระนางกาลีปราบนรกาสูรลงได้ วันนี้เป็นวันที่ผู้คนจะขจัดความขี้เกียจที่ทำให้ชีวิตเราตกต่ำ ย่ำแย่ โดยการอาบน้ำสระผมให้สะอาดสะอ้าน คนที่ไม่ค่อยได้อาบก็จะอาบอย่างนี้วันนี้ แล้วเอาคาชัล (kajal) ป้ายรอบขอบตาเพื่อป้องกันดวงตาปีศาจจะมาจ้องส่งโชคร้ายมาให้ บางรายก็ไหว้บรรพบุรุษด้วย วันที่ 3 เรียกว่า “อมาวาสย์” (Amavasya) ผู้คนจะบูชาพระนางลักษมี เทพี แห่งโชคลาภและความร่ำรวย เพราะเชื่อกันว่าในวันนี้พระนางจะอยู่ในบุคลิกผู้มีความเมตตา กรุณาใจบุญสุนทาน ดลบันดาลให้คำอธิษฐานของผู้ที่กราบไหว้บูชาพระนางเป็นไปตามที่ขอ อีกตำนานบอกว่าเป็นวันที่พราหมณ์แคระชื่อวามนา ซึ่งเป็นปางพระวิษณุอวตารปางที่ 5 ปราบพญายักษ์พาลี ส่งไปอยู่ใต้โลกมนุษย์ ท่านยักษ์พาลีผู้หลานของยักษ์หิรัญยกศิปุคิดการ ใหญ่จะครองทั้งสามโลกหลังจากยึดทั้งสวรรค์และใต้บาดาลได้จากพระอินทร์และเหล่าเทพ ทั้งหลาย เรื่องเดือดร้อนถึงพระวิษณุต้องอวตารเป็นพราหมณ์แคระวามนา มาขัดคอ ท้าพนัน กันใครจะก้าว 3 ก้าว เหยียบโลกทั้งสามได้พาลีเห็นว่า โถ แค่นั้นเอง จึงยอมรับการพนัน แข่งขัน พราหมณ์แคระวามนาก็แปลงร่างใหญ่โตโอฬาร ก้าวแรกเหยียบย่างทั้งโลกมนุษย์และ โลกบาดาล ก้าวที่สองก้าวไปถึงสวรรค์ พาลีเห็นดังนั้นก็คิดว่าตัวเองแพ้แล้ว ว่าแล้วก็ยอมยก ถวายหัวตัวเองให้เป็นรางวัล ก้าวที่สามของพราหมณ์จำแลงคือจะต้องเหยียบศีรษะของพาลี เพื่อให้ครบตามสัญญา แต่ด้วยความเมตตา เห็นว่าพาลียอมรับความพ่ายแพ้ สำนึกผิดและ เคารพต่อพระวิษณุ พระองค์จึงส่งให้พาลีไปอยู่บนสวรรค์เป็นการตอบแทน วันที่ 4 เรียกว่า “กรฑิกสุทปัตยมี” (Kartika Shudda Padyami) เป็นวันที่ พญาพาลีพ้นจากนรกขึ้นไปปกครองสวรรค์ชั้นฟ้าตามที่พระวิษณุประทานพรให้ และวัน สุดท้ายวันที่ห้า เรียกว่า “ยมาทวิติยะ” (Yama Dvitiya) บ้าง “ไภฑุช” (Bhai Dooj) บ้าง อัน เป็นวันที่พวกพระรามกลับถึงกรุง อโยธยา วันสุดท้ายนี้ เป็นวันที่ฝ่ายพี่สาวน้องสาวจะแสดงความรักให้พี่ชายน้องชายของ ตนได้ซาบซึ้ง ตำนานบอกว่าพญายม เจ้าแห่งขุมนรก ได้ไปเยี่ยมพระนางยมีผู้เป็นน้องสาว (คือแม่น้ำยมุนาที่ไหลผ่านกรุงนิวเดลี) ซึ่งได้ต้อนรับพี่ชายด้วยการสวดบูชาแบบอาร์ติ (Aarti) คือการจุดไฟด้วยใช้เนยเหลวเป็นเชื้อเพลิง รับประทานอาหารร่วมกันฉันพี่น้อง พญายมได้ให้ ของขวัญตอบแทนเพื่อเป็นการขอบคุณน้องสาว จึงถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของชาวฮินดูจน ปัจจุบัน แต่ละเทศกาลของฮินดูจะมีความผูกพันกับวิถีชีวิตของเกษตรกร เทศกาลดิวาลีก็ เช่นกัน เป็นสัญญาณบอกว่าหมดฤดูกาลแห่งการเก็บเกี่ยวผลิตผลแล้ว ชาวไร่ชาวนาทั้งหลาย


| สยาม ราชวัตร จะพากันสวดมนต์ขอบคุณเทพยดาฟ้าดินสำหรับปีที่ผ่านมาและสวดขอพรให้ได้ผลผลิตที่ดีใน ปีต่อไป ด้วยเหตุนี้ ผู้คนจำนวนไม่น้อยจึงพากันบูชาพระลักษมีควบคู่ไปด้วยในวันนี้เพราะ ท่านเป็นสัญลักษณ์แห่งโชคลาภและความมั่งคั่งร่ำรวย เราคงคุ้นเคยกับเรื่องเล่าการกวน เกษียรสมุทร (ทะเลน้ำนม) แล้วมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นจากการกวนครั้งนี้พระนางลักษมีเป็นอย่าง หนึ่งที่ถือกำเนิดในวันนี้จากการกวนเกษียรสมุทร อีกตำนานบอกว่าเมื่อพระวิษณุกลับจากไป กำราบพญาพาลีมาถึงเขาไวกูณฐ์อันเป็นที่ประทับ พระนางลักษมีความดีใจยิ่งนัก จึงอยู่ใน ลักษณะอารมณ์ดีจะเมตตากรุณาประทานพรอย่างไม่จำกัด จึงกลายเป็นความเชื่อว่าต้องรีบ บูชาขอพรพระนาง 8.3.5 เทศกาลโฮลี(Holi) คำว่า "โฮลี" หมายถึง "การส่งท้ายปีเก่า" เป็นเทศกาลเฉลิมฉลองรื่นเริงประจำปี เพื่อต้อนรับการมาถึงฤดูใบไม้ผลิและสิ้นสุดฤดูหนาว (festival of spring) โดยชาวฮินดูจะ ออกมาเล่นสาดสีใส่กัน เทศกาลโฮลีจัดขึ้น 2 วันในช่วงเดือนมีนาคม (แรม 1 ค่ำ เดือน 4) เทศกาลนี้มีความเชื่อกันว่าเป็นการขจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย เป็นเวลาที่จะเผาไหม้ความชั่วร้ายให้ หายไป นั่นจึงเป็นเหตุผลที่วันแรกของเทศกาลนี้อุทิศให้กับพิธีกรรมที่ชื่อว่า “โฮลีกาดาฮัน” (Holika Dahan) ชาวบ้านรวมตัวกันรอบกองไฟหลังจากพระอาทิตย์ตกดิน พวกเขาจุดไฟให้ ลุกขึ้นและถวายบูชาต่อเทพเจ้าของพวกเขา กองไฟเป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่และ การเริ่มต้นใหม่ เป็นเวลาที่จะเผาผลาญสิ่งชั่วร้ายและสิ่งสกปรก ส่วนวันที่สองเป็นเทศกาล แห่งสีสัน จึงเรียกอีกอย่างว่า “เทศกาลแห่งสีสัน” (festival of colours) เทศกาลนี้ ให้ความสำคัญกับชุมชนและความสนุกสนานเป็นอย่างยิ่ง ผู้คนมารวมตัวกันที่ถนนหนทาง อย่างคลาคล่ำและโยนสีให้กันและกัน เด็กวัยรุ่นและผู้ใหญ่พากันร้องเพลงหรือเต้นรำเล่น เครื่องดนตรี ผู้คนจะออกมาเฉลิมฉลองด้วยการสาดสีหรือป้ายสี ซึ่งเป็นฝุ่นผงใส่กัน ด้วยสีสัน ต่างๆ อย่างสนุกสนาน ซึ่งการสาดสีใส่กันนี้สันนิษฐานว่าเป็นพื้นเพที่ประเทศต่างๆ ในภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้รับมา และปรับเปลี่ยนเป็นการสาดน้ำใส่กันแทน คือ สงกรานต์ ฝุ่นผงสีที่ใช้สาดกันนั้นจะทำมาจากธรรมชาติ เช่น ดอกทองกวาว, บีทรูท, ขมิ้น อันเป็นนัยที่ บ่งบอกถึงการสิ้นสุดของฤดูหนาวและเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ มีขนมที่ทำเพื่อรับประทานโดยเฉพาะ ในเทศกาลนี้ ซึ่งทำมาจากนมและนมเปรี้ยวเป็นหลัก เชื่อกันว่าหากได้รับประทานขนมด้วย จิตใจเบิกบานจะเป็นนิมิตหมายที่ดีของการเริ่มต้นปีใหม่ การสาดสีจะเล่นกันเฉพาะช่วงเช้า จนถึงเที่ยงวันเท่านั้น จากนั้น ผู้คนก็จะแยกย้ายไปพักผ่อน เมื่อถึงตอนเย็นจะออกมาพบปะ สังสรรค์กัน แจกขนมหวานและสวมกอดกัน เทศกาลโฮลีจึงถือเป็นเทศกาลแห่งมิตรภาพ มิตรสหายได้แสดงไมตรีเข้าสวมกอดกัน ผู้ที่เคยขัดแย้งกันก็จะใช้โอกาสนี้ได้ปรับความเข้าใจ กันให้เป็นมิตรกันเหมือนเดิม


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | แหล่งที่มาภาพ : https://www.winnews.tv/news/22642 เทศกาลโฮลีจัดขึ้นเมื่อหลายร้อยปีก่อนและมีต้นกำเนิดมาจากคำสอนของชาวฮินดู และชาวบ้าน มี 2 ตำนานที่รู้จักมากที่สุดเกี่ยวกับเทศกาลโฮลี คือ (1) ตำนานแรกคือการเฉลิมฉลองที่พระวิษณุหนึ่งในตรีมูรติเอาชนะนางมารโฮลิกา (Holika) ซึ่งเป็นน้องสาวของหิรัณยกศิปุ (Hiranyakashipu ) ที่ดูหมิ่นผู้ที่นับถือพระองค์ทำให้ นางถูกไฟแผดเผาจนมอดไหม้ ตำนานกล่าวถึงท่านพราลาดา (Prahlāda) และนางโฮลีกา ท่านพราลาดาเป็นบุตรชายของหิรัณยกศิปุ ถูกขนานนามว่าราชาปีศาจที่ทรงพลัง ลูกชายของเขา คือพราลาดาปฏิเสธที่จะเคารพสักการะบิดาในฐานะพระเจ้า แต่อุทิศตนให้กับพระเจ้ากฤษณะ หรือองค์อวตารของพระวิษณุเทพเจ้าแทน ทำให้เขาต้องพยายามมากมายในชีวิตของเขา ความพยายามครั้งสุดท้ายทำโดยโฮลีกาซึ่งเป็นน้องสาวที่ชั่วร้ายของหิรัณยกศิปุ ซึ่งหลอก ให้พราลาดานั่งกับเธอบนกองหิน แผนการล้มเหลวเนื่องจากความทุ่มเทของพราลาดาทำให้ เขาปลอดภัย แต่โฮลีกาเสียชีวิตหลังจากสูญเสียผ้าคลุมไหล่ซึ่งควรจะปกป้องเธอจากไฟไหม้ เรื่องราวของพราลาดาถูกจดจำว่าเป็นชัยชนะที่ดีเหนือความชั่วร้ายและชาวบ้านเฉลิมฉลอง ผ่านพิธีกรรมโฮลีกาดาฮันด้วยการเผาหุ่นจำลองของพราลาดาและโฮลีกาที่ด้านบนของเมรุ (2) ตำนานที่สอง คือตำนานของกฤษณะและราธา ในบางพื้นที่เทศกาลโฮลีจัด ขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองความรักของกฤษณะและราธา ตามตำนานเล่าว่าคราวหนึ่งพระกฤษณะ ทรงปวดพระนาภีอย่างรุนแรงไม่ว่าจะรักษาด้วยวิธีไหนก็ไม่หาย ฤๅษีนารทะแนะนำว่า หาก พระกฤษณะได้เสวยน้ำที่ใส่เม็ดทรายที่เอามาจากใต้ฝ่าเท้าของบุคคลที่เป็นที่รัก พระกฤษณะ จะหายจากอาการป่วยนี้ แต่ต้องแลกมาด้วยการที่บุคคลอันเป็นที่รักนั้นต้องตกนรกอย่างน้อย 1 กัปป์ ไม่มีใครกล้าทำมีเพียงแต่พระนางราธาเท่านั้นที่ทำด้วยความยินดีด้วยความกล้าหาญ ของพระนางราธานี้ พระกฤษณะจึงได้รักพระนางราธายิ่งกว่าผู้ใด และปรากฏรูปบูชาคู่ พระกฤษณะและพระนางราธาคู่กันอยู่เสมอ และว่ากันว่า หากได้เห็นรูปบูชาคู่ของ พระกฤษณะและพระนางธาราแล้ว ความรักจะมั่นคง ด้วยพระกฤษณะมีจิตใจรักที่มั่นคงต่อ


| สยาม ราชวัตร พระนางราธาเทวี ซึ่งเป็นรักแรกของพระกฤษณะ ทำให้เป็นความรักที่ฝังแน่นอยู่ภายในจิตใจ ของพระองค์จนชั่วอายุขัย ใครที่มากราบไหว้ขอพรด้านความรักก็มักประสบผลสำเร็จ ไม่ว่า จะเป็นความรักในครอบครัว หรือความรักหนุ่มสาว นี่จึงกลายเป็นเทศกาลสีสันที่เป็นที่นิยม ของโฮลี(โซเชียลนิวส์, 2566) 8.4 พิธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดูที่มาสู่ประเทศไทย พิธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดูที่มาเข้ามีอิทธิพลต่อประเทศไทยส่วนมากจะเป็น พระราชพิธี เนื่องจากสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทยมีคตินิยมแบบศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่เชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็นสมมติเทพหรือเป็นองค์อวตารแห่งพระนารายณ์ จึงต้องมี พิธีกรรมพราหมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อความสมบูรณ์แห่งความเป็นพระมหากษัตริย์ในหัวข้อ นี้จะนำมากล่าวบางพิธีกรรมเท่านั้น เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พิธีมุรธาภิเษก พระราชพิธี จองเปรียง พระราชพิธีตรียัมปวายตรีปวาย พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นต้น แต่ละพิธีกรรมมีรายละเอียดความเป็นมาดังนี้ 8.4.1 พระราชพิธีบรมราชาภิเษก คำว่า “บรมราชาภิเษก” มาจากคำว่า “บรม” หรือ “ปะระมะ” แปลว่า ยิ่งใหญ่ สมาสกับคำว่า “ราชะ” แปลว่า พระมหากษัตริย์และสนธิกับคำว่า “อภิเษก” แปลว่า รดน้ำ เมื่อรวมกันก็คือ การรดน้ำถวายพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งในสมัยอยุธยาไม่เรียกว่า “บรมราชาภิเษก” เรียกว่า “ราชาภิเษก” เท่านั้น แล้วภายหลังมีการเพิ่มคำว่า “บรม” เข้ามา ความสำคัญของพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ข้อที่หนึ่งเป็นการดำเนินการตาม โบราณราชประเพณี หรือพิธีกรรมของศาสนาพราหมณ์ที่เข้ามามีอิทธิพลในทวีปเอเชีย ผ่าน ทางลังกาเข้าพม่า ลาว ไทย กัมพูชา พิธีบรมราชาภิเษก หรือที่ฝรั่งเรียกว่า Coronation นั้น เป็นพิธีที่มีในทุกประเทศที่มีพระเจ้าแผ่นดินแม้แต่ประเทศในฝั่งยุโรปที่ได้รับอิทธิพลมาจาก ศาสนาคริสต์ ทั้งในอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี ในอดีต หรือสเปนในปัจจุบันจะมีสังฆราช บาทหลวงมาทำพิธี และบางประเทศเป็นผู้สวมมงกุฎให้พระเจ้าแผ่นดิน ความสำคัญข้อที่สอง เป็นการแสดงให้เห็นถึงการเข้ารับตำแหน่งพระมหากษัตริย์อย่างสมบูรณ์ตามโบราณราช ประเพณี ไม่ใช่สมบูรณ์ตามกฎหมาย การขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินของประเทศไทยที่ผ่านมาจะมีขั้นตอน 2 ขั้นตอน ขั้นตอนที่หนึ่งเป็นขั้นตอนรับพระราชสมบัติ การที่พระองค์ทรงยอมรับพระราชสมบัติและขึ้น ครองราชย์ เพียงเท่านี้ก็สมบูรณ์ตามรัฐธรรมนูญ สมบูรณ์ทั้งพฤตินัยและนิตินัย สามารถลง พระนามในเอกสารทุกอย่าง มีพระราชสิทธิและพระราชอำนาจเต็ม ไม่มีลดหย่อนผ่อนอะไร


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | เลย อย่างไรก็ดีประเทศไทยรับคตินิยมมาจากศาสนาพราหมณ์ เราจึงมีพิธีในขั้นตอนที่สอง คือ การบรมราชาภิเษก เป็นขั้นตอนตามโบราณราชประเพณี ซึ่งจะมีหรือไม่ ก็ไม่กระทบกับการ เป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์เพราะสมบูรณ์ในขั้นตอนที่หนึ่งอยู่แล้ว แหล่งที่มาภาพ : https://www.silpa-mag.com/this-day-in-history/article_1018 8.4.2 พิธีมุรธาภิเษก คำว่า “มุรธาภิเษก” แปลว่า การรดน้ำที่พระเศียร น้ำที่รดเรียกว่า “น้ำมุรธาภิเษก” ที่ผ่านการทำพิธีกรรมมาแล้ว ดังนั้นการสรงน้ำมุรธาภิเษกจึงเป็นการชำระล้างให้สะอาดและ ศักดิ์สิทธิ์ ในแง่พระราชพิธีบรมราชาภิเษกจึงหมายถึงการยกให้หรือการแต่งตั้งโดยการทำพิธี รดน้ำ ซึ่งตามคติความเชื่อของพราหมณ์ ถือว่าการยกให้ผู้ใดเป็นใหญ่ทรงสิทธิ์อำนาจนั้น จะต้องทำด้วยพิธีรดน้ำศักดิ์สิทธิ์ ธรรมเนียมการมุรธาภิเษกเพื่อสถาปนาอำนาจหรือยกให้บุคคลที่ได้รับการมุรธา ภิเษกให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ของทางศาสนาพราหมณ์ที่มีอายุเก่ากว่าพุทธศาสนา เพราะฉะนั้นแนวคิดเรื่องมุรธาภิเษกเกิดมาอย่างน้อย 3,000 ปีเป็นขั้นต่ำ การมุรธาภิเษกเป็น การรดน้ำเพื่อให้เทวดารดน้ำพระอินทร์เพื่อให้พระอินทร์เป็นเทวดาที่ยิ่งใหญ่บนสวรรค์พิธีกรรมนี้ จึงถูกจำลองในพิภพมนุษย์ กล่าวคือเปลี่ยนจากพระอินทร์เป็นพระราชา และเปลี่ยนจากเทวดา เป็นขุนนางอำมาตย์แทน แนวคิดเรื่องมุรธาภิเษกเกิดในศาสนาพราหมณ์นั้น พุทธศาสนาก็ยอมรับแนวคิด นี้ มีหลักฐานปรากฏว่าคำว่าอภิเษกในวรรณกรรมฝ่ายบาลีหมายถึง The Coronation คือ สถาปนาหรือบรมราชาภิเษกเช่นเดียวกัน มีฉากจิตรกรรมปรากฏที่ถ้ำอชันตา ตอนสรงมุรธา ภิเษกพระมหาชนก ซึ่งคือเรื่องหนึ่งในชาดกที่รู้จักกันดี


| สยาม ราชวัตร แนวคิดเรื่องมุรธาภิเษกในหลักฐานการบรมราชาภิเษกปรากฏในไทยโดย หลักฐานที่เห็นชัดสุดจากศิลาจารึกปากน้ำมูล และจารึกถ้ำภูหมาไนซึ่งเป็นของพระเจ้า มเหนทรวรมัน ก็กล่าวถึงคำว่าอภิเษก อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนการทำอภิเษกครั้งนั้นมีลักษณะ อย่างไรนั้น ยังไม่สามารถระบุได้ เพราะไม่มีรายละเอียดจารึกไว้ ในจารึกสุโขทัยก็มีพูดถึงการอภิเษกเหมือนกันแต่ก็ไม่ได้ให้รายละเอียดมากนัก หลักฐานถัดมาคือปรากฏอยู่ในกฎมณเฑียรบาล ในที่นี้คือกฎหมายว่าด้วยขนบธรรมเนียม ข้อปฏิบัติ ของข้าราชการสมัยกรุงศรีอยุธยาตราขึ้นในแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทำให้ได้ข้อมูล เพิ่มเติมว่าในสมัยอยุธยา การอภิเษกเกิดขึ้นหลายครั้ง ในแต่ละครั้งมีความหมายไม่เหมือนกัน โบราณราชประเพณีในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ต้องเตรียมทำน้ำอภิเษก โดยทำพิธีพลีกรรมตักน้ำจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ จัดที่ตั้งสำหรับถวายเป็นน้ำอภิเษก และน้ำสรง พระมุรธาภิเษก และเพื่อทำน้ำอภิเษกก่อนที่จะนำไปประกอบในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ตามตำราโบราณของพราหมณ์น้ำอภิเษกจะต้องเป็นน้ำจาก “ปัญจมหานที” คือ แม่น้ำใหญ่ ทั้ง 5 สายในชมพูทวีปหรือในประเทศอินเดีย ได้แก่ แม่น้ำคงคา แม่น้ำมหิ แม่น้ำยมุนา แม่น้ำอจิรวดี และแม่น้ำสรภู ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เชื่อว่าแม่น้ำทั้ง 5 สายนี้ไหลมาจาก เขาไกรลาสซึ่งเป็นที่สถิตของพระอิศวร จึงถือว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ นำมาใช้ในการพระราชพิธี ต่างๆ เช่น น้ำสรงพระมุรธาภิเษก น้ำอภิเษก และน้ำพระพุทธมนต์ ในสมัยสุโขทัยและสมัยอยุธยาไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีการนำน้ำปัญจมหานทีมา ใช้ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก แต่ปรากฏหลักฐานว่า น้ำสรงพระมุรธาภิเษกในสมัย อยุธยาใช้น้ำจากสระเกษ สระแก้ว สระคงคา สระยมนา แขวงเมืองสุพรรณบุรี ในสมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 จนถึงรัชกาลที่ 4 ในการพระราชพิธีบรม ราชาภิเษก ยังใช้น้ำในแม่น้ำสำคัญของประเทศเพิ่มเติมอีก 5 สาย เรียกว่า “เบญจสุทธคง คา” โดยอนุโลมตามปัญจมหานทีในชมพูทวีป คือ แม่น้ำบางปะกง ตักที่บึงพระอาจารย์ แขวงเมืองนครนายก แม่น้ำป่าสัก ตักที่ตำบลท่าราบแขวงเมืองสระบุรี แม่น้ำเจ้าพระยา ตักที่ ตำบลบางแก้ว แขวงเมืองอ่างทอง แม่น้ำราชบุรี ตักที่ตำบลดาวดึงส์ แขวงเมืองสมุทรสงคราม และแม่น้ำเพชรบุรี ตักที่ตำบลท่าไชย แขวงเมืองเพชรบุรี ในสมัยรัชกาลที่ 5 น้ำสรงพระมุรธาภิเษกในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2411 ได้ใช้น้ำเบญจสุทธคงคาและน้ำจากสระ 4 สระ แขวงเมืองสุพรรณบุรี และ พ.ศ. 2415 ได้เสด็จฯ ประเทศอินเดีย ทรงนำน้ำจากปัญจมหานทีตามตำราพราหมณ์กลับมา ดังนั้นน้ำสรงพระมุรธาภิเษกในการพระราชพิธีฯ ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2416 จึงมีน้ำปัญจมหานทีเจือลง ในน้ำเบญจสุทธคงคาและน้ำจากสระ 4 สระ แขวงเมืองสุพรรณบุรี ในสมัยรัชกาลที่ 6 ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เฉลิมพระราชมณเฑียร เมื่อ พ.ศ. 2453 ใช้น้ำเช่นเดียวกับครั้งสมัยรัชกาลที่ 5ครั้งที่ 2 ครั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีฯ สมโภช เมื่อ พ.ศ. 2454 โปรดให้พลีกรรมตักน้ำจากแม่น้ำและ


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | แหล่งน้ำต่างๆ ที่ถือว่าสำคัญ และเป็นสิริมงคลมาตั้งพิธีเสกทำน้ำพระพุทธมนต์ ณ พระมหาเจดียสถานที่เป็นหลักของมหานครโบราณ 7 แห่ง และมณฑลต่างๆ 10 มณฑล ในสมัยรัชกาลที่ 7 น้ำสรงพระมุรธาภิเษกในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อ พ.ศ. 2468 ได้ตั้งพิธีทำน้ำอภิเษกที่หัวเมืองมณฑลต่างๆ 18 แห่งในราชอาณาจักร ในสมัยรัชกาลที่ 8 เสด็จสวรรคตก่อนการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในสมัยรัชกาลที่ 9 พิธีพลีกรรมตักน้ำ ณ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในพระราชอาณาจักร แล้วนำมาตั้งประกอบพิธีเป็นน้ำสรงพระมุรธาภิเษกในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อ พ.ศ. 2493 ทำพิธีเสกน้ำ ณ มหาเจดียสถาน และพระอารามต่างๆ 18 แห่ง ในรัชกาลที่ 10 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร การพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พิธีพลีกรรมตักน้ำ ณ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในพระราชอาณาจักร จำนวน 107 แห่ง ตามโบราณราชประเพณี โดยทำพิธีพร้อมกันในวันที่ 6 เมษายน พุทธศักราช 2562 ตั้งพิธีทำน้ำอภิเษก ณ พระอารามสำคัญประจำจังหวัดของแต่ละจังหวัด 76 แห่งในวันที่ 8 เมษายน 2562 และเวียนเทียนสมโภชน้ำอภิเษกในวันที่ 9 เมษายน จากนั้นทุกจังหวัดเชิญน้ำศักดิ์สิทธิ์มาตั้งไว้ในพระอุโบสถวัดสุทัศนเทพวราราม เพื่อเสกน้ำ อภิเษก รวมกับน้ำอภิเษกของกรุงเทพมหานคร จากหอศาสตราคม พระบรมมหาราชวัง แหล่งที่มาภาพ : https://www.silpa-mag.com/history/article_31945


| สยาม ราชวัตร 8.4.3 พระราชพิธีจองเปรียง (ลอยกระทง) การลอยพระประทีปหรือที่คนทั่วไปเรียกว่า “ลอยกระทง” นั้นเป็นเทศกาลรื่น เริงเก่าแก่ที่เป็นที่รู้จักของคนโดยทั่วไป หลายคนเข้าใจว่าเทศกาลรื่นเริงนี้มีมาแต่ครั้ง กรุงสุโขทัยเป็นราชธานี โดยมีนางนพมาศหรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์พระสนมเอกในพระร่วงเจ้า เป็นผู้คิดประดิษฐ์กระทงดอกไม้สำหรับลอยเพื่อสักการะพระพุทธบาทและขอขมาพระแม่คงคา หลายคนยังเข้าใจอีกว่าเทศกาลรื่นเริงนี้มีที่มาจากการลอยโคมหรือที่โบราณเรียกว่า “พิธีจองเปรียง” หลายคนเข้าใจผิดไปอีกว่า “พิธีจองเปรียง” หรือการลอยโคมก็คือพิธีเดียวกับ “เทศกาลยี่เป็ง” ของทางภาคเหนือ เพราะคิดว่าพิธีจองเปรียงหรือลอยโคมก็คือการปล่อย โคมไฟลอยขึ้นฟ้า แต่มีน้อยคนนักที่จะทราบที่มาของเทศกาลลอยกระทงอย่างแท้จริง ปัจจุบันคนโดยทั่วไปมักเข้าใจว่าการพระราชพิธีจองเปรียง หรือ ลอยโคม นั้น เป็นที่มาหรือต้นเค้าแห่งพระราชพิธีลอยพระประทีป หรือลอยกระทงในปัจจุบัน อาจเป็น เพราะระยะเวลาของการจัดพิธีทั้งสองดังกล่าวที่คาบเกี่ยวกัน คือ พระราชพิธีจองเปรียงนั้นปี ใดมีอธิกมาสคือมีเดือน 8 สองหน จะยกโคมในวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 12 จนถึง วันแรม 2 ค่ำ จึง ลดโคมลง ถ้าปีใดไม่มีอธิกมาสยกโคมในวันแรม 14 ค่ำเดือน 12 จนถึงวันขึ้น 2 ค่ำเดือนอ้าย และการลอยกระทงนั้นปัจจุบันนิยมจัดกันในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 หรืออาจจะเป็นด้วยเหตุ ที่ว่าชื่อลำลองของพระราชพิธีจองเปรียงซึ่งก็คือ “ลอยโคม” นั้นมีความใกล้เคียงหรือคล้าย กับชื่อ “ลอยกระทง” จึงทำให้คิดกันไปว่าลอยโคมก็คือการเอาโคมมาลอยลงน้ำ และโคมนั้น ต่อมาก็พัฒนามาอยู่ในรูปของกระทงในที่สุด หรืออาจจะมาจากเนื้อความในหนังสือเรื่อง นางนพมาศ ซึ่งเป็นหนังสือที่บันทึกเรื่องราวของนางนพมาศ หรือ ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ พระสนมเอกในพระร่วงเจ้า แห่งราชอาณาจักรสุโขทัย ซึ่งความเข้าใจดังกล่าวนี้อาจเป็นความ เข้าใจที่ไม่ถูกต้องนัก พระราชพิธีจองเปรียงในเดือน 12 ถูกยกเลิกไม่นำกลับมาปฏิบัติเป็นพระราชพิธี อีกเนื่องจากพระราชพิธีจองเปรียงยกโคม นับเป็นพระราชพิธีพราหมณ์ การยกโคมกล่าวว่า เป็นการบูชาพระเจ้าทั้ง 3 คือ พระอิศวร พระนารายณ์ พระพรหม เมื่อพระเจ้าแผ่นดินนับถือ พุทธศาสนาก็กล่าวว่าเป็นการบูชาพระบรมสารีริกธาตุ พระจุฬามณี พระพุทธบาท แต่พิธีก็ยัง เป็นพิธีพราหมณ์ มีการถวายน้ำพระมหาสังข์ เทียนที่จุดในโคมนั้นก็ทา เปรียง คือไขข้อ พระโค จนสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดฯ ให้สวดมนต์เย็นฉันเช้า ก่อนที่ยกเสาโคมเพื่อให้เป็นพิธีทางพุทธศาสนามากขึ้น การลอยพระประทีปหรือลอยกระทง เป็นนักขัตฤกษ์ของชาวบ้านทั่วไป เป็น เวลาที่แม่น้ำใสสะอาดและเต็มฝั่งและสิ้นฤดูฝน เป็นพิธีใหญ่กว่าเดือน 11 และลอยที่ท่ารา ชวรดิฐ มีการประดิษฐ์ กระทงหลวง คือ เรือรูปต่างๆ ที่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการชั้น ผู้ใหญ่ทำประกวดกันรวม 500 ลำ ชาวบ้านจะเบียดเสียดมาดูกันมาก แต่ก็ให้เลิกเสียใน


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพราะเป็นการสิ้นเปลืองมาก ภายหลังรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การพระราชพิธีบาง ประการได้ถูกเพิ่มเติมทั้งระเบียบปฏิบัติและการพระราชพิธีบางส่วนในสมัยพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เกิดการ เปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคมวัฒนธรรมอย่างมาก คือเปลี่ยนแปลงการปกครองจาก ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยภายใต้พระมหากษัตริย์เป็นประมุข ทำให้การพระราชพิธีทั้งสิบสองเดือนต้องหยุดชะงักและบางส่วนก็ถูกยกเลิกไป ในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช มหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) การพระราชพิธีหลวงได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่หลาย พระราชพิธี เช่น พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พระราชพิธีถวายผ้า พระกฐินเสด็จพยุหยาตราทางชลมารค พระราชพิธีสังเวยพระป้าย และการพระราชพิธี บางอย่าง เช่น พระราชพิธีตรียัมปวายซึ่งเป็นพิธีพราหมณ์ การพระราชพิธีออกสนามต่างๆ พระราชพิธีจองเปรียงถูกยกเลิกไม่นำกลับมาปฏิบัติเป็นพระราชพิธีอีก แต่มีพระราชพิธีลอย พระประทีปการเสด็จพระราชดำเนินเปลี่ยนเครื่องพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรถวายเครื่อง ทรงฤดูหนาว แหล่งที่มาภาพ : https://lifestyle.campus-star.com/scoop/143478.html


| สยาม ราชวัตร 8.4.4 พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ" เป็นพระราชพิธี 2 พิธีรวมกัน คือ "พระราชพิธีพืชมงคล" อันเป็นพิธีสงฆ์อย่างหนึ่ง ซึ่งจะประกอบพระราชพิธีวันแรกใน พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ส่วนพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ อันเป็นพิธี พราหมณ์อย่างหนึ่ง ซึ่งจะประกอบพระราชพิธีในวันรุ่งขึ้น ณ มณฑลพิธีสนามหลวง จุดมุ่งหมายของพิธีกรรมเพื่อสร้างความเป็นสิริมงคล บำรุงขวัญเกษตรกร ให้เกิดความมั่นใจ ในการทำนาจะได้ผลผลิตดี มีความอุดมสมบูรณ์เพียงพอต่อความต้องการ พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญเป็นพระราชพิธีที่มีมาแต่โบราณตั้งแต่ครั้ง กรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ซึ่งในสมัยกรุงสุโขทัยนั้น พระมหากษัตริย์ไม่ได้ลงมือไถนาเอง เป็นแต่ เพียงเสด็จไปเป็นองค์ประธานในพระราชพิธีเท่านั้น ครั้งถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา พระมหากษัตริย์ ไม่ได้เสด็จไปเป็นองค์ประธาน เหมือนกับสมัยกรุงสุโขทัย และจะทรงจำศีลเงียบ 3 วัน แต่จะ มอบอาญาสิทธิ์ให้เจ้าพระยาจันทกุมารเป็นผู้แทนพระองค์ โดยทรงทำเหมือนอย่างออก อำนาจจากกษัตริย์ซึ่งวิธีนี้ได้ใช้ตลอดมาถึงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา มาถึงสมัยกรุง รัตนโกสินทร์ ได้มีการประกอบพระราชพิธีนี้มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 แต่ผู้ทำการแรกนา เปลี่ยนเป็นเจ้าพระยาพลเทพ คู่กันกับการยืนชิงช้า แต่พอถึงรัชกาลที่ 3 ให้ถือว่าผู้ใดยืนชิงช้า ผู้นั้นเป็นผู้แรกนา ในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้ทรงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดมีพิธีสงฆ์เพิ่มขึ้น ในพระราชพิธีต่างๆ ทุกพิธี ดังนั้นพระราชพิธีพืชมงคล จึงได้เริ่มมีขึ้นแต่บัดนั้นมาโดยได้จัด รวมกับพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ และมีชื่อเรียกรวมกันว่า พระราชพิธีพืชมงคลจรด พระนังคัลแรกนาขวัญ การจัดงานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ได้กระทำเต็ม รูปแบบครั้งสุดท้ายในปี พ.ศ.2479 แล้วว่างเว้นไป ต่อมาในปี พ.ศ. 2503 คณะรัฐมนตรีได้มี มติให้ฟื้นฟูพระราชพิธีนี้ขึ้น โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ได้ ทรงมีกระแสรับสั่งให้ปรับปรุงพิธีการบางอย่างให้เหมาะสมกับยุคสมัย ในการประกอบพระราชพิธีพืชมงคล พระมหากษัตริย์จะทรงบำเพ็ญพระราช กุศลทำขวัญพืชพันธุ์ต่างๆ เช่น ข้าวเปลือก เป็นต้น ส่วนพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นพระราชพิธีเริ่มการเพาะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร โดยจะโปรดเกล้าแต่งตั้งนางเทพีหาบ พันธุ์พืช เช่น พันธุ์ข้าว ตามหลังพระยาแรกนา โดยมีพระโคเทียมแอกและไถพร้อมอยู่ ณ บริเวณนาจำลองที่ท้องสนามหลวง พระยาแรกนาจะไถหว่านพันธุ์พืช โดยใช้พันธุ์พืชที่นาง เทพีหาบตามหลังหว่านลงบนนาจำลองเสมือนเป็นการประกาศแก่เกษตรกรว่าฤดูกาลทำนา เริ่มแล้ว โดยสมมุติว่าพระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาเริ่มการหว่านไถเป็นแบบอย่างและเป็น มงคลเพื่อให้เกษตรกรดำเนินตาม


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | พระราชพิธีพืชมงคลเป็นพิธีทำขวัญพืชพันธุ์ธัญญาหาร ที่พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวทรงอธิษฐาน เพื่อความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหารแห่งราชอาณาจักรไทย ข้าวนั้นถือเป็นอาหารหลักของประชาชน ในภาษาบาลีเรียกว่า ปุพพัณณะ หรือบุพพัณณะ หรือ บุพพัณณชาติ ส่วนพืชอื่นๆ ที่เป็นอาหารเรียกว่า อปรัณณ หรืออปรัณชาติ หมายถึง พืชจำพวกถั่ว งา เป็นต้น ถ้าเรียกควบทั้งสองอย่างก็เรียกว่า บุพพัณณปรัณณชาติ ที่หมายถึง พืชที่เป็นอาหารทุกชนิด บุพพัณณปรัณณชาติที่นำเข้าพิธีพืชมงคลนั้น เป็นข้าวเปลือก มีทั้งข้าวเจ้า และข้าวเหนียว นอกจากนี้มีเมล็ดพืชต่างๆ รวม 40 อย่าง แต่ละอย่างบรรจุถุงผ้าขาว กับ เผือกมันต่างๆ พันธุ์พืชเหล่านี้เป็นของปลูกงอกได้ทั้งสิ้น เมล็ดพืชที่หว่านแล้วนั้น เกษตรกร และราษฎรจะนำไปผสมกับพันธุ์พืชของตนหรือเก็บในถุงเงินเพื่อเป็นสิริมงคลให้การประกอบ เกษตรกรรมของตนได้ผลดี สำหรับการพยากรณ์ในการเสี่ยงทายในพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ฝ่ายพระยาแรกนาขวัญจะเสี่ยงเลือกผ้า เป็นผ้านุ่งแต่งกาย ผ้านุ่ง ซึ่งพระยาแรกนาขวัญตั้งสัต ยาอธิฐานหยิบนั้นเป็นผ้าลายมีด้วยกัน 3 ผืน คือหกคืบ ห้าคืบ และสี่คืบ ผ้านุ่งนี้จะวางเรียง บนโตก มีผ้าคลุมให้พระยาแรกนาขวัญหยิบ ถ้าหยิบได้ผืนใดก็จะมีคำทำนายไปตามนั้น คือถ้า หยิบได้ผ้า 4 คืบ พยากรณ์ว่า น้ำจะมากสักหน่อย นาในที่ดอนจะได้ผลบริบูรณ์ดี นาในที่ลุ่ม อาจจะเสียหายบ้างได้ผลไม่เต็มที่ ถ้าหยิบได้ผ้า 5 คืบ พยากรณ์ว่าน้ำในปีนี้จะมีปริมาณพอดี ข้าวกล้าในนาจะได้ผลบริบูรณ์และผลาหาร มังสาหารจะอุดมสมบูรณ์ดีถ้าหยิบได้ผ้า 6 คืบ พยากรณ์ว่า น้ำจะน้อย นาในที่ลุ่มจะได้ผลบริบูรณ์ดี แต่นาในที่ดอนจะเสียหายบ้างไม่ได้ผลเต็มที่ ส่วนการเสี่ยงทายของพระโค จะมีของกิน 7 สิ่ง ที่ตั้งเลี้ยงพระโคนั้นมีข้าวเปลือก ข้าวโพด ถั่วเขียว งา เหล้า น้ำ และหญ้า ถ้าพระโคกินสิ่งใดก็จะมีคำทำนายไปตามนั้น คือถ้า พระโคกินข้าวหรือข้าวโพด พยากรณ์ว่า ธัญญาหาร ผลาหารจะบริบูรณ์ดีถ้าพระโคกินถั่วหรือ งา พยากรณ์ว่า ผลาหาร ภักษาหาร จะอุดมสมบูรณ์ดี ถ้าพระโคกินน้ำหรือหญ้า พยากรณ์ว่า น้ำท่าจะบริบูรณ์พอสมควร ธัญญาหาร ผลาหาร ภักษาหาร มังสาหารจะอุดมสมบูรณ์ดีถ้าพระโค กินเหล้า พยากรณ์ว่า การคมนาคมสะดวกขึ้น การค้าขายกับต่างประเทศดีขึ้น ทำให้ เศรษฐกิจรุ่งเรือง พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญปัจจุบันกำหนดจัดขึ้นในเดือนหก ของทุกปี เนื่องจากระยะนี้เป็นระยะที่เหมาะสมที่จะเริ่มต้นการทำนาอันเป็นอาชีพหลักของ คนไทย แต่มิได้กำหนดวันที่แน่นอน เพียงแต่พิจารณาว่าวันใดในเดือนหกหรือเดือน พฤษภาคมที่มีฤกษ์ยามเหมาะสมก็ให้จัดในวันนั้นซึ่งจะอยู่ราวต้นเดือนพฤษภาคมของทุกปี


| สยาม ราชวัตร แหล่งที่มาภาพ : https://www.painaidii.com 8.4.5 พระราชพิธีตรียัมปวายตรีปวาย (โล้ชิงช้า) พระราชพิธีตรียัมปวายตรีปวาย ถือเป็นวันปีใหม่ของพราหมณ์ เป็นพิธี 2 พิธี ต่อกัน คือ (1) พิธีตรียัมปวาย เป็นพิธีฝ่ายพระอิศวร (2) พิธีตรีปวาย เป็นพิธีฝ่ายพระนารายณ์ แบ่งการพระราชพิธีออกเป็น 3 ขั้นตอน ตอนแรกเป็นพิธี “เปิดประตูศิวาลัยไกรลาส” อัญเชิญเทพเจ้าลงสู่โลกมนุษย์ เพื่อทรงประทานพร จากนั้นเป็นพิธีโล้ชิงช้าของนาลิวัน (ผู้ทําหน้าที่โล้ชิงช้า) เพื่อหยั่งความมั่นคงของโลกว่าจะมีความแข็งแรงทนทานดีอยู่หรือไม่ ตอนที่สองเป็นพิธีกล่าวสรรเสริญเทพเจ้าถวายข้าวตอกดอกไม้ เครื่องกระยาบวช โภชนาหาร แด่เทพเจ้า เมื่อถวายแด่องค์เทพเจ้าแล้ว จะได้นำไปแจกแก่ มวลมนุษย์ เพื่อความสวัสดิมงคล แก่ผู้บริโภคเรียกว่า “ประสาท” ตอนที่สามเป็นพิธีสรงน้ำเทพเจ้า เสร็จแล้วอัญเชิญเทพเจ้า ขึ้นสู่หงส์ ซึ่งเป็นพาหนะที่นำองค์เทพเจ้ากลับสู่วิมาน เรียกว่า “กล่อมหงส์” หรือ “ช้าหงส์” (ประพิศ พงศ์มาศ, 2555, น. 103) สำหรับในประเทศไทยประกอบการพระราช พิธีในเทวสถานสำหรับพระนคร 2 หลัง ได้แก่ สถานพระอิศวร (สถานใหญ่ หรือโบสถ์ใหญ่) สถานพระมหาวิฆเนศวร (สถานกลาง หรือโบสถ์กลาง) โดยมีกำหนดพิธีเริ่มตั้งแต่ คณะพราหมณ์ผู้ประกอบ พระราชพิธี เข้าเฝ้าฯ รับพระราชทานเทวรูปหลวง ประกอบด้วย พระอิศวร พระอุมา และมหาวิฆเนศ ระหว่างนั้น คณะพราหมณ์ผูกพรต กระทำการสวดบูชา สรรเสริญ และยกอุลุบคือการถวายเครื่องบูชาใส่โตกสวดคำถวายเป็นการพิเศษทุกคืน โดยมี เครื่องถวายสักการะ ประกอบด้วย ข้าวตอก กล้วย ส้ม เป็นต้น จากนั้น จึงเชิญกระดาน แกะสลักรูปพระอาทิตย์ พระจันทร์พระธรณี ลงวางในหลุม หมายถึงการเชิญเทวดาเหล่านั้น


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | มารับเสด็จ เดิมมีกำหนดวันสำหรับโลกบาลทั้ง 4 กระทำการโล้ชิงช้าถวาย และมีการรำเสนง สาดน้ำเทพมนต์ ปัจจุบันวันสุดท้ายของพระราชพิธี มีการเชิญเทวรูปขึ้นภัทรบิฐบูชากลศ สังข์ เบญจคัพย์หรือเต้าน้ำ แล้วจึงเชิญขึ้นหงษ์ ทำชิงช้าหงษ์ส่งพระผู้เป็นเจ้า รุ่งขึ้นเชิญเครื่อง บูชาพวกข้าวตอก กล้วย ส้ม เข้าไปถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยการยกอุลุบ สวดถวายพระมหากษัตริย์ เช่นเดียวกันหน้าเทวรูป เป็นเสร็จการพระราชพิธี ในรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีตรียัมปวายใน พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยตั้งเครื่องบูชา ข้าวตอก กล้วย ส้ม เช่นตั้งหน้า เทวรูปในเทวสถาน และให้ราชบัณฑิตสวดสรรเสริญพระพุทธคุณ และยกอุลุบถวายเช่น ในเทวสถาน แต่เปลี่ยนคำเป็นการถวายบูชาพระพุทธเจ้า แต่เดิมนั้นพระราชพิธีตรียัมปวายตรีปวายจะจัดในเดือนอ้ายประมาณเดือน ธันวาคม ครั้นล่วงเข้าสู่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์จึงได้เปลี่ยนมาจัดในเดือนยี่ช่วงเดือนมกราคม พิธีนี้ถือเป็นพิธีขึ้นปีใหม่ของพราหมณ์ พิธีโล้ชิงช้ามีที่มาจากคัมภีร์เฉลิมไตรภพกล่าวไว้ว่า พระอุมาเทวีทรงมีความปริวิตกว่าโลกจะถึงกาลวิบัติ พระนางจึงทรงพนันกับพระอิศวร โดย ให้พญานาคขึงตนระหว่างต้นพุทราที่แม่น้ำ แล้วให้พญานาคแกว่งไกวตัวโดยพระอิศวรทรง ยืนขาเดียวในลักษณะไขว่ห้าง เมื่อพญานาคไกวตัว เท้าพระอิศวรไม่ตกแสดงว่าโลกที่ทรง สร้างนั้นมั่นคงแข็งแรง พระอิศวรจึงทรงชนะพนัน ดังนั้นพิธีโล้ชิงช้าจึงเปรียบเสาชิงช้าเป็น “ต้นพุทรา” ช่วงระหว่างเสาคือ “แม่น้ำ” นาลีวัน ผู้โล้ชิงช้าคือ “พญานาค” โดยมีพระยายืน ชิงช้านั่งไขว่ห้างอยู่บนไม้เบญจมาศ อีกตำนานหนึ่งเล่าว่า พระพรหมเมื่อสร้างโลกแล้วได้เชิญ ให้พระอิศวรทดสอบความแข็งแรงของโลก พระอิศวรจึงใช้วิธีการเช่นเดียวกันกับข้างต้นใน การทดสอบ คตินี้สอนเรื่องการไม่ประมาท พิธีโล้ชิงช้าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีได้ ยกเลิกไปในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ปัจจุบันการประกอบ พระราชพิธีนี้จะกระทำภายในเทวสถานเท่านั้น พระราชพิธีตรียัมปวาย ตรีปวายเป็นหนึ่งในพิธีที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและคติความเชื่อที่มีต่อความมั่นคงและความอุดมสมบูรณ์ของ บ้านเมือง แต่ครั้งโบราณพระราชพิธีนี้เป็นพระราชพิธีในเดือนอ้ายอันถือเป็นนักขัตฤกษ์ขึ้นปี ใหม่ตามคติพราหมณ์โดยถือเอาต้นฤดูหนาวเป็นการเริ่มต้นตามการนับเวลาแบบสุริยคติ เป็น ฤดูแห่งการเก็บเกี่ยว เตรียมเข้าฤดูเพาะปลูก อีกทั้งยังเป็นพิธีกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับ พระมหาเทพสูงสุดของศาสนาพราหมณ์ 3 พระองค์คือ พระพรหม มหาเทพผู้สร้าง พระนารายณ์ มหาเทพผู้ปกปักรักษา และพระอิศวร มหาเทพผู้ทำลายเพื่อสร้างใหม่ขึ้นมาอีก ถือกันว่าเทพเจ้าจะเสด็จลงมาเยี่ยมโลกทุกปีเพื่อดูแลทุกข์สุขของประชาชน มีการประกอบ พิธีสวดอัญเชิญเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์จากสรวงสวรรค์ลงมาสู่โลกมนุษย์เพื่อที่จะได้ กระทำการสักการะบูชา พราหมณ์จะจัดงานพิธีต้อนรับอย่างใหญ่โต มีการโล้ชิงช้าถวายให้


| สยาม ราชวัตร เทพเจ้าทอดพระเนตรเพื่อให้เป็นที่โปรดปรานของเทพเจ้าเหล่านั้น นับว่าเป็นการระลึกถึง พระเมตตาและความสำคัญของเทพที่ได้ช่วยอำนวยพรให้มีพืชพันธุ์ธัญญาหารแก่มนุษย์ อาจจะถือได้ว่าเป็นพิธีที่ต่อเนื่องมาจากพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ซึ่งก่อนที่จะมี การเพาะปลูกได้นั้นต้องมีการขอพรจากเทพเจ้าเสียก่อน ให้เทพเจ้าบันดาลฝนให้ตกถูกต้อง ตามฤดูกาล ดินดี น้ำชุ่ม อุดมสมบูรณ์ ผลผลิตเป็นได้ตามที่ต้องการ อีกทั้งยังเป็นการขอพรให้ บ้านเมืองมีความมั่นคง เหล่าพราหมณ์ได้ทำการถือพรตสวดบูชาตลอดระยะเวลาของ พิธีกรรมด้วย แหล่งที่มาภาพ : https://www.tnews.co.th/variety/347506 บทสรุป พิธีกรรมและเทศกาลทางศาสนาเป็นองค์ประกอบหนึ่งของศาสนา สำหรับศาสนา พราหมณ์-ฮินดูเหล่าศาสนิกฮินดูได้ประกอบพิธีกรรมเชิงศรัทธาต่อเทพเจ้าของตนเองและมี กิจกรรมเชิงบันเทิงสนุกสนานที่สัมพันธ์กับความเชื่อทางศาสนาในเทศกาลทางศาสนา เป็นกิจกรรมที่แสดงออกเชิงพฤติกรรมทางกายและวาจาของเหล่าศาสนิกชาวฮินดูโดยได้ ยึดถือปฏิบัติประกอบพิธีกรรมสัมพันธ์กับวรรณะของตนเองสืบทอดกันมาทางสายโลหิต แต่ละวรรณะก็มีพิธีกรรมของตนเอง รวมทั้งพิธีกรรมที่สัมพันธ์กับเทพเจ้าที่ตนเองนับถืออยู่ สำหรับพิธีกรรมที่ชาวฮินดูยึดถือปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัดคือการประกอบพิธีกรรมตามหลัก สังสการซึ่งเป็นพิธีกรรมสัมพันธ์กับชีวิตแต่ละช่วงวัยเพื่อให้เกิดความมั่นใจในการดำเนินชีวิต แต่ละช่วงวัยสอดคล้องกับแนวคิดทางจิตวิทยากับการพัฒนาชีวิตมนุษย์


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | สำหรับเทศกาลทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเป็นกิจกรรมสนุกสนานเพื่อเฉลิมฉลองใน วันสำคัญทางศาสนาของตนเอง ซึ่งแต่ละเทศกาลก็มีฐานความเชื่อหรือเรื่องเล่าที่สืบทอดกัน มา การได้ทำกิจกรรมทางศาสนาถือเป็นการสร้างความเป็นสิริมงคลให้เกิดขึ้นแก่ตนเองและ ครอบครัว เทศกาลที่สำคัญในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเช่น เทศกาลคเณศจตุรถีเพื่อบูชาเฉลิม ฉลองพระพิฆเนศ เทศกาลนวราตรีเพื่อบูชาเฉลิมฉลองพระแม่ทุรคาจำนวน 9 วัน 9 คืน เทศกาลมหาศิวะราตรี เพื่อบูชาเฉลิมฉลองพระศิวะและพระแม่ปารตีเทศกาลดิวาลีเพื่อเฉลิม ฉลองวันปีใหม่ของชาวฮินดูเทศกาลโฮลีเพื่อเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าที่สนุกสนาน พิธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดูได้มีอิทธิพลต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลายประเทศ เช่นประเทศไทยได้รับอิทธิพลทางพิธีกรรมหลายอย่างที่ไทยยังสืบทอดปฏิบัติ อยู่จนถึงปัจจุบัน เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีมุรธาภิเษก พระราชพิธีพืช มงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นต้น ค าถามท้ายบท 1) ทำไมพิธีกรรมจึงมีบทบาทมากในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ? 2) อะไรคือพิธีกรรมสังสการ ? มีองค์ประกอบอะไรบ้าง? รายละเอียดแต่ละ องค์ประกอบย่อยของพิธีกรรมนี้เป็นอย่างไร ? 3) การปฏิบัติตามพิธีกรรมสังสการทั้งหมด ถือเป็นหลักคำสอนเพื่อการพัฒนาชีวิต ตามช่วงวัยได้หรือไม่ อย่างไร? 4) แนวคิดเรื่อง “ทวิชาติ” คืออะไร ? มีความเกี่ยวข้องกับการศึกษาของเยาวชน ตามหลักศาสนาพราหมณ์-ฮินดูอย่างไร? 5) เทศกาลคเณศจตุรถี จัดในช่วงเดือนไหนตามปฏิทินของอินเดีย? เป็นเทศกาลที่ เฉลิมฉลองเกี่ยวกับเทพเจ้าอย่างไร? 6) เทศกาลนวราตรีจัดในช่วงเดือนไหนตามปฏิทินของอินเดีย? เป็นการบูชา เทพเจ้าอะไรบ้าง? มีการเฉลิมฉลองกันอย่างไร? 7) เทศกาลมหาศิวะราตรีเป็นเทศกาลอะไร ? จัดในช่วงเดือนไหนตามปฏิทินของ อินเดีย ? มีการเฉลิมฉลองกันอย่างไร? 8) เทศกาลดิวาลี เป็นเทศกาลอะไร ? จัดในช่วงเดือนไหนตามปฏิทินของอินเดีย ? มีการเฉลิมฉลองกันอย่างไร? 9) เทศกาลโฮลี เป็นเทศกาลอะไร ? จัดในช่วงเดือนไหนตามปฏิทินของอินเดีย ? มีการเฉลิมฉลองกันอย่างไร?


| สยาม ราชวัตร 10) พิธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดูที่มาสู่ประเทศไทยมีพิธีกรรมสำคัญ อะไรบ้าง? แต่ละพิธีกรรมนั้นมีประวัติความเป็นมาอย่างไร?


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู |


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | 9 ทุกศาสนาจะมีศาสนบุคคลเป็นตัวขับเคลื่อนศาสนาให้ดำเนินต่อไปและดำรงอยู่ ในสังคม ซึ่งในองค์ประกอบศาสนบุคคลนี้จะมีหน่วยงานที่เป็นองค์กรหรือบุคคลสำคัญที่มี ชื่อเสียงทางสังคม เป็นผู้นำในการชี้นำหรือการตีความหลักคำสอนทางศาสนาของตนเองทั้ง เชิงการอนุรักษ์และเชิงการปฏิรูปศาสนาโดยมีจุดประสงค์เพื่อดำรงศาสนานั้นให้คงอยู่และ เป็นประโยชน์ต่อสังคม ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ก็มีลักษณะดังกล่าวเช่นเดียวกัน เกิดการ เคลื่อนไหวทางศาสนาที่ได้ขับเคลื่อนศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ในสังคมร่วมสมัยทั้งในนามตัว องค์กรและบุคคลของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู สำหรับในบทนี้ ผู้เขียนจะได้นำเสนอองค์กรและ บุคคลสำคัญในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ดังนี้ 9.1 องค์กรส าคัญของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู 9.1.1 องค์กรพรหมสมัชชา (Brahmo Smaj) องค์กรพรหมสมัชชา ผู้ก่อตั้งคือท่าน “ราชา ราม โมหัน รอย” (Raja Ram Mohan Roy) เป็นคนวรรณะพราหมณ์ เกิดเมื่อ ค.ศ.1772 ถึงแก่กรรมในปี ค.ศ. 1833 เริ่มก่อตั้งขึ้นที่ เมืองกัลกัตตา นครหลวงของรัฐเบงกอล ประเทศอินเดีย ในปี ค.ศ. 1828 เทียบกับเหตุการณ์ใน ประเทศไทยคืออยู่ในช่วงของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อบูชาและคารวะต่อพระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นนิรันดร ผู้อยู่เหนือการค้นหา ผู้ไม่ เปลี่ยนแปลง ผู้รักษาและถนอมรักษาสากลโลก สมาคมนี้จะมีการประชุมนมัสการประจำ สัปดาห์ ในการประชุมนั้นจะมีการอ่านคัมภีร์พระเวท คัมภีร์อุปนิษัท บทสวดและมีการเทศนา และในปี ค.ศ.1830 มหาราชาแห่งกรุงเดลีได้ประทานตำแหน่งราชาแก่ท่านโมหันรอย และส่งไป


| สยาม ราชวัตร เป็นทูตประจำประเทศอังกฤษ ซึ่งได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ ท่านถึงแก่กรรม ณ เมืองบริสตอล เมื่อปี ค.ศ. 1833 จึงเป็นเหตุให้ขบวนการนี้อ่อนแอลง รามโมหันรอยสนใจปัญหาศาสนามาตั้งแต่เยาว์วัยและเป็นนักศึกษาที่กระหาย ใฝ่รู้ เขารอบรู้ภาษาเปอร์เซีย ซึ่งขณะนั้นอังกฤษยังใช้เป็นภาษาราชการ เขาอ่านยูคลิก อริสโตเติลและคัมภีร์อัลกุรอานในภาษาอาหรับ เขาศึกษาวิทยาการสันสกฤตตามความ ปรารถนาของมารดา เขาท่องเที่ยวไปทั่วอินเดียระหว่างอายุ 15-20 ปี เพื่อแสวงหาความรู้ เขาไปจนถึงประเทศธิเบตและได้ใช้เวลาหลายปีศึกษาพระพุทธศาสนา นอกจากนี้ยังช่ำชอง ภาษาอังกฤษ กรีกและละติน รอยได้เข้ารับราชการกับอังกฤษในอินเดียจนอายุ 42 ปี จึงลาออก ความสำเร็จในชีวิตราชการและรายได้จากที่ดินส่วนตัวทำให้เขาสามารถอุทิศเวลา 16 ปีหลังจากลาออกจากราชการ เขาทุ่มเทพลังไปในโครงการต่างๆ เพื่อปฏิรูปสังคมและให้ ความรู้แก่เพื่อนร่วมชาติ รอยพำนักที่เมืองกัลกัตตาซึ่งขณะนั้นเป็นศูนย์การเมืองและภูมิ ปัญญา เขาได้ออกหนังสือพิมพ์ฉบับแรกของอินเดียซึ่งเขาเป็นบรรณาธิการเองออกหนังสือพิมพ์ ทั้งในภาษาอังกฤษ เปอร์เซีย และเบงกาลี เขาจัดตั้งโรงเรียนชั้นมัธยมหลายแห่ง ทำการ รณรงค์ต่อต้านการเผาหญิงหม้ายให้ตายตามสามี รอยไม่ยึดติดกับพิธีกรรม ข้อปฏิบัติและธรรมเนียมต่างๆ ที่ได้รับการอบรม สั่งสอนจากครอบครัวและจากนักบวชฮินดูในสมัยนั้นอย่างปราศจากเหตุผลประกอบ ตรงกัน ข้ามเขากลับเห็นว่า ข้อปฏิบัติต่างๆ ในศาสนาฮินดูที่ประพฤติปฏิบัติสืบต่อกันมาควรส่งเสริม คุณค่าด้านจิตใจและคุณค่าทางสังคม เขาจึงสมัครใจที่จะนับถือศาสนาฮินดูอย่างมีเหตุผล พร้อมกับให้มีการจัดสิ่งเน่าเสียและกาฝากที่เกาะกินศาสนาฮินดูออกไป เขาศึกษาคำสอน ศาสนาฮินดูอย่างลึกซึ้งและกว้างขวางพร้อมๆ กับศึกษาพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ และคัมภีร์อัลกุรอาน จนเข้าใจคำสอนศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลามได้เป็นอย่างดี และเห็นว่าโดยพื้นฐานแล้วทั้ง 3 ศาสนา คือฮินดู คริสต์ และอิสลาม ต่างมีบางอย่างที่เป็นหัวใจของศาสนาร่วมกัน นั้นคือ ความเชื่อและศรัทธาในพระเจ้า แม้จะปรากฏว่าชาวฮินดูนับถือพระเจ้าหลายองค์ แต่จริงๆ แล้ว พระเจ้าในศาสนาฮินดูมีองค์เดียวคือ “พรหมัน” ซึ่งมีลักษณะเป็นเอกเทวนิยม เช่นเดียวกับพระเจ้าของศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม เมื่อมีการตั้งสำนักงานสมัชชาขึ้นมา กิจกรรมหนึ่งของสมัชชาคือ การเคารพพระเจ้าองค์เดียวหรือพรหมันที่ปราศจากตัวตน จึงกล่าวได้ว่ารอยเป็นผู้บุกเบิกการศึกษาศาสนาเปรียบเทียบในอินเดียอีกทางหนึ่ง (วิทยา ศักยาภินันท์, 2549, น. 141) ต่อมาท่านเทเพนทรนาถ ตะกอร์ (ค.ศ.1818-1905) ได้รื้อฟื้นขบวนการนี้ขึ้นใหม่ เมื่อปี ค.ศ. 1842 หลักการใหญ่ของขบวนการนี้ คือ (1) เชื่อในพระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียว เป็นลักษณะความเชื่อพระเจ้าแบบ เอกเทวนิยม เป็นพระเจ้าที่มีตัวตนและไม่เคยอวตารลงมาเป็นอะไรเลย (2) เชื่อว่าอาตมันของมนุษย์ไม่ตาย


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | (3) เชื่อว่าการสำนึกผิดและทำความดีเป็นทางหลุดพ้นได้ (4) เชื่อว่าการบูชาของชุมชน ปฏิเสธการจาริกแสวงบุญ การทำพิธีกรรมและ การฆ่าสัตว์บูชายัญ แหล่งที่มาภาพ : https://hmong.in.th/wiki/Ram_Mohan_Roy องค์กรนี้จะสอนไม่ให้มีการแบ่งชั้นวรรณะ ยกเลิกพิธีกรรมเนื่องด้วยการบูชา รูปเคารพ ในปี ค.ศ. 1865 ได้แตกออกเป็น 2 สาขา คือ (1) สาขาของท่านเทเพนทรนาถ ตะกอร์ พยายามรักษาแนวคิดดั้งเดิม มีชื่อเรียกสาขาว่า “อาทิพรหมสมาช” (2) สาขาของ ท่านเกษับจันทรเสน มีแนวคิดแบบก้าวหน้า มีชื่อเรียกสาขาว่า “สาธารณสมาช” สำหรับ องค์กรนี้สามารถทำให้ชาวอินเดียรุ่นใหม่ที่มีการศึกษาเข้ามาเป็นสมาชิกจำนวนมาก ต่อมา ท่านเกษับจันทรเสนถูกโจมตีว่าดำเนินคำสอนใกล้เคียงไปทางศาสนาคริสต์และต่อมามีการ ประดิษฐ์สัญลักษณ์ของสาขาขึ้นใหม่เป็นรูปที่สื่อถึงตรีศูล ไม้กางเขน และพระจันทร์เสี้ยว เป็นเชิงสัญลักษณ์ที่พยายามรวมเอาทั้ง 3 ศาสนา คือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลามเข้าด้วยกัน แสดงให้เห็นความคิดของท่านเกษับจันทรเสนมีลักษณะเชิง การประนีประนอมและมีลักษณะเป็นพหุนิยมที่รวมความดีความจริงของทุกศาสนาหลักใน อินเดียให้มาเป็นหนึ่งเดียวกันไม่ขัดแย้งกันสามารถอยู่ร่วมกันได้ ทุกศาสนามีวิธีการทาง คำสอนแตกต่างกันแต่ก็มีเป้าหมายเดียวกันคือสร้างสรรค์สังคมมนุษย์ให้เกิดสันติสุข


| สยาม ราชวัตร 9.1.2 องค์กรอารยสมัชชา (Arya Smaj) องค์กรอารยสมัชชานี้ ก่อตั้งโดยท่านทยานันทะ สรัสวดี (Dayanand Saraswati) ประมาณ ค.ศ. 1875 ที่เมืองบอมเบย์ รัฐมหาราษฏร์หลักการขององค์กรหรือขบวนการนี้ เน้นเรื่อง “การกลับไปสู่พระเวท” โดยถือว่าคัมภีร์พระเวทเป็นโองการที่แท้จริงของพระผู้เป็น เจ้า มีความเชื่อเกี่ยวกับลักษณะพระเจ้าว่า เป็นสัจจะแท้ เป็นอภิภูผู้ยิ่งใหญ่ เป็นผู้มีความ ยุติธรรม เป็นผู้มีพระมหากรุณา เป็นผู้ไม่มีใครให้กำเนิด เป็นผู้ไม่มีกิเลส เป็นผู้แทรกซึมอยู่ใน ที่ทั้งปวง เป็นผู้รู้สิ่งทั้งปวง เป็นผู้ไม่ตาย และเป็นผู้ควรแก่การบูชาพระองค์เดียว และมีความ เชื่อว่าพระเวทเป็นคัมภีร์แห่งความรู้ที่แท้จริง เป็นหน้าที่สำคัญของชาวอารยะผู้เป็นสมาชิก ขององค์กรนี้ที่จะต้องอ่านและฟังคำอธิบาย และสั่งสอนหรือแสดงแก่ผู้อื่นให้เข้าใจในเนื้อหา ของพระเวท วัตถุประสงค์เบื้องต้นขององค์กรนี้ คือการปรับปรุงพัฒนาชีวิตมนุษย์ให้ดีขึ้น ควรพัฒนาตนเองขับไล่อวิทยาหรือความไม่รู้ให้หมดไป และช่วยเหลือให้ผู้อื่นได้พัฒนาชีวิตไป พร้อมกัน สำหรับวิถีชีวิตของสมาชิกในองค์กรนี้ มีแนวคิดไม่รังเกียจหญิงหม้าย สามารถ แต่งงานกันได้ ซึ่งถือว่าเป็นการปฏิวัติความเชื่อเก่าอดีตที่รังเกียจหญิงหม้ายซึ่งยึดถือกันมา นาน นอกจากนี้ยังมีแนวความคิดต่อต้านการแต่งงานในวัยเด็ก ไม่เห็นด้วยกับการถือชั้น วรรณะและการบูชารูปเคารพแบบพิธีกรรม อีกทั้งองค์กรนี้ยังมีการประชุมทุกเช้าวันอาทิตย์ เพื่อประกอบพิธีบูชา มีการเผาเครื่องหอมที่แท่นบูชาไฟต่อคัมภีร์พระเวท สวดมนต์อ้อนวอน ท่องคำสอน และไม่มีนักบวชอย่างเป็นทางการ องค์กรนี้เป็นปฏิปักษ์ต่อศาสนาคริสต์และ ศาสนาอิสลามอย่างรุนแรง ศูนย์กลางขององค์กรนี้อยู่ที่เมืองละฮอร์และอัชเมอร์ การดำเนินงานที่เข้มแข็งมีอยู่ในแคว้นปัญจาบและแคว้นอุตตรประเทศของประเทศอินเดีย


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | แหล่งที่มาภาพ : https://en.wikipedia.org/wiki/Dayananda_Saraswati 9.1.3 องค์กรเทวปรัชญา (The Theosophical Society) องค์กรนี้มีลักษณะแนวคิดแบบศาสนาสากล เริ่มต้นด้วยกลุ่มต่างชาติตะวันตกที่ ศึกษาศาสนาในประเทศอินเดีย คือสุภาพสตรีชาวรัสเซีย คือ มาดาม เอ็ช.พี.บลาวาเตสกี้ (H.P. Balvatsky, 1831-1891) และพันเอก เอ็ช.เอส.โอลคอตต์ (Col. H.S. Olcott, 1832-1907) ได้ร่วมกันก่อตั้งองค์กรนี้ขึ้นมาที่นครนิวยอร์ค เมื่อปี ค.ศ. 1875 หลังจากนี้อีก 2 ปี คือปี ค.ศ. 1877 ได้ย้ายไปตั้งเป็นสำนักงานถาวรที่อัทยาร์ รัฐมัทราส ประเทศอินเดีย ได้ประกาศแนวคิด ศาสนาสากลซึ่งมีรากฐานอยู่ที่ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และพุทธศาสนา มีการตีพิมพ์คัมภีร์ ภควัทคีตา คัมภีร์อุปนิษัท และคัมภีร์ธรรมบท ออกเผยแพร่จนทำให้ชาวตะวันตกรู้จัก ความคิดของคนอินเดียมากขึ้น องค์กรเทวปรัชญาเห็นว่าสิ่งที่ผูกมัดมนุษย์ทุกหมู่เหล่าเข้าด้วยกันคือความเป็น มนุษย์ (human religiousness) มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของภาวะทิพย์ ภาวะทิพย์นี้เปิดเผย ออกมาผ่านกระบวนการของสากลจักรวาล เอกภพเป็นที่ปรากฏของภาวะทิพย์ส่วนศาสนา แสดงถึงความต้องการดื่มด่ำภาวะทิพย์ของจิต แต่ละศาสนาจึงได้เสนอวิธีการแตกต่างกันไป เพื่อเข้าถึงภาวะทิพย์ดังกล่าวนี้ แม้แต่ละศาสนาจะมีชื่อแตกต่างกันไป แต่โดยสาระสำคัญแล้ว ทุกศาสนาเหมือนกันที่เป้าหมาย ศาสดาทุกพระองค์มีค่าเท่ากับ “ผู้ดัดแปลงทางจิตวิญญาณ” (adaptor of spirituality) ให้เหมาะสมกับมนุษย์ในแต่ละสิ่งแวดล้อมเท่านั้น เทวปรัชญา


| สยาม ราชวัตร ไม่ได้ประกาศหลักการตายตัวของตน ไม่ต้องการให้สมาชิกจำนนต่อคำสอนใดคำสอนหนึ่ง และไม่พยายามให้มีการเปลี่ยนศาสนาที่คนนับถืออยู่ แต่แสดงให้เห็นว่าสัจธรรมมีในทุก ศาสนา เทวปรัชญาจึงเป็นผลการสังเคราะห์คำสอนทุกศาสนาเข้าด้วยกัน ที่ไปไกลกว่านั้นคือ แสดงให้เห็นอีกว่าเป็นผลสังเคราะห์ของทุกศาสตร์และทุกระบบปรัชญาเข้าด้วยกัน แหล่งที่มาภาพ : https://en.wikipedia.org/wiki/Helena_Blavatsky เทวปรัชญาได้กลายเป็นองค์กรทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดู อย่างเต็มตัว ภายใต้ การนำของนางแอนนี่ เบแซนต์ (Annie Besant, 1847-1933) เป็นสตรีชาวอังกฤษ เบแซนต์ มีความเชื่อว่า ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู จัดเป็นแหล่งบันดาลใจ การชุบชีวิต และศูนย์รวมจิตใจ ของชาวฮินดูประเทศอินเดียและศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นสิ่งแยกออกจากกันไม่ได้ การฟื้นฟูศาสนาพราหมณ์-ฮินดู จึงเป็นสิ่งจำเป็นหากอินเดียต้องการเป็นเอกราชจากอังกฤษ ขณะเดียวกันก็ยังได้วิพากษ์รูปแบบพิธีกรรมที่ประพฤติผิดปฏิบัติผิดของชาวฮินดูหลายอย่าง และเรียกร้องให้มีการปฏิรูปศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ด้วยการผสมผสานและการเรียนรู้จากกัน ระหว่างตะวันออกและตะวันตก เบแซนต์ได้เพียรพยายามยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวฮินดู นอกจากประเด็นระบบวรรณะแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เธอมองเห็นและสมควรได้รับการแก้ไข คือ บทบาทของสตรีฮินดูที่ต่ำต้อยกว่าบุรุษ เธอได้ย้ำว่าสตรีชาวฮินดูควรมีการศึกษาเท่าเทียมกับบุรุษ ดังนั้นในปี ค.ศ.1898เธอได้ก่อตั้งสถานศึกษา Central Hindu College ที่เมืองพาราณสี เพื่อใช้เป็น


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | แหล่งการศึกษาของเยาวชนอินเดียทั้งสองเพศ และต่อมาได้รับเลือกให้เป็นประธานพรรคคองเกรส อินเดีย 1 สมัย ในปี ค.ศ.1917 (วิทยา ศักยาภินันท์, 2549,น.146-147) แหล่งที่มาภาพ : https://en.wikipedia.org/wiki/Annie_Besant กล่าวได้ว่าองค์กรเทวปรัชญาเป็นองค์กรหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นจิตวิญญาณแบบฮินดู ให้หวนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ได้ให้ความหวังและความภาคภูมิใจในศักดิ์ศรีของตนเองแก่ชาว ฮินดู ช่วยเปลี่ยนทัศนคติเยาวชนอินเดีย ซึ่งสำเร็จการศึกษาจากประเทศอังกฤษที่เคยดูถูก และสงสัยคุณค่าในศาสนาของตน ให้หันมาศรัทธาและเชื่อมั่นในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู อีกครั้ง ความรู้สึกดังกล่าวได้แผ่ขยายไปทั่วประเทศอินเดีย จนกลายเป็นความสำนึกร่วมชาวฮินดูเพื่อ ฟื้นฟูและปกป้องวัฒนธรรมของตนเอง 9.1.4 องค์กรรามกฤษณะมิชช่ัน (Ramakrishna Mission) องค์กรนี้ มีท่านศรีรามกฤษณะ (Sri Ramkrishna,1836-1886) ท่านเป็น นักบวชศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่มีชื่อเสียงตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นผู้นำทาง ความคิดและเป็นอาจารย์ใหญ่ขององค์กรนี้ท่านไม่ได้รับการศึกษาแบบตะวันตกเหมือน หัวหน้าองค์กรศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ท่านอื่นๆ จึงถือว่าท่านเป็นผลิตผลของวัฒนธรรม ดั้งเดิมของอินเดีย ด้วยบุคลิกภาพท่านไม่ใช่นักปรัชญาจึงไม่นิยมอธิบายศาสนาพราหมณ์-ฮินดู


| สยาม ราชวัตร แบบนักวิชาการ เป็นผู้ที่เห็นว่าความลังเลสงสัยในคำสอนของศาสนาจะเป็นอุปสรรคต่อการ เข้าถึงสัจธรรมของศาสนา คำสอนของท่านโดยมากจึงเป็นลักษณะสะท้อนศรัทธาและ ประสบการณ์ทางจิตที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้า เช่นครั้งหนึ่งท่านสวามีวิเวกานันทะเคยถามท่านว่า “เคยเห็นพระเจ้าหรือไม่” ท่านตอบว่า “เคยเห็นเหมือนกับที่กำลังเห็นคุณอยู่ขณะนี้ เป็นประสบการณ์ภายในจิตใจ พระเจ้าเป็นสิ่งเข้าถึงได้ เราสามารถเห็นและสนทนากับ พระองค์อย่างที่กำลังคุยกับคุณ” (rao,1969, p.98 อ้างใน วิทยา ศักยาภินันท์, 2549, น.148) แหล่งที่มาภาพ : https://www.rkvc.org.nz/sramakrishna.html ประสบการณ์ทางศาสนาของท่านศรีรามกฤษณะ มิได้จำกัดอยู่เฉพาะศาสนา พราหมณ์-ฮินดู แต่ยังขยายไปสู่ศาสนาอื่นๆ ด้วย โดยมีท่าทีประนีประนอมกับทุกศาสนา และเห็นว่าทุกศาสนาต่างมีเป้าหมายเดียวกัน คือการเป็นเอกภาพกับพระเจ้า แต่ละศาสนิก ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนศาสนาที่ตนนับถือ การบรรลุเป้าหมายสามารถมีได้ในศาสนาที่ตนนับถือ อยู่แล้ว สานุศิษย์คนสำคัญของท่านรามกฤษณะคือท่านวิเวกานันทะ ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “รามกฤษณะปรากฏขึ้นมาเพื่อประนีประนอมทุกศาสนาและทำความเข้าใจลูกหลานอารยัน ในคุณค่าของเวทานตะและอุปนิษัท” (Mohapatra,1985, pp. 128-129 อ้างในวิทยา ศักยาภินันท์, 2549, น. 149)


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | พระเจ้าในทัศนะของรามกฤษณะมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ มีรูปร่างและปราศจาก รูปร่าง พระเจ้าที่มีรูปร่างจะปรากฏในฐานะ พ่อ แม่ พี่ น้องและสหายของศาสนิก เงื่อนไขข้อ แรกที่จะสามารถเข้าใกล้พระเจ้าชนิดนี้คือความภักดี ท่านเรียกพระเจ้าดังกล่าวนี้ว่า “ศักติ” หรือ พระแม่ผู้คุ้มครองจักรวาล (mother of the Universe) ส่วนพระเจ้าที่ปราศจากรูปร่าง นั้นหมายถึงพรหมัน การที่ปรากฏเป็น 2 ลักษณะก็เพื่อสนองความต้องการของศาสนิก ทั้งๆ ในความเป็นจริงแล้วพระเจ้าทั้ง 2 ลักษณะเป็นสิ่งเดียวกันนั้นเอง ส่วนวิธีการเข้าถึงพระเจ้า ท่านรามกฤษณะได้เน้นความปรารถนาอย่างแรงกล้าของศาสนิกที่จะแสวงหาพระองค์และ ความภักดีต่อพระองค์อย่างสุดตัว นอกเหนือจากการเข้าถึงพระเจ้าแล้ว ท่านยังได้สอนให้สละ โลกหรือการเป็นสันยาสีที่สมบูรณ์ตามอุดมคติของวิถีชีวิตแบบฮินดู แหล่งที่มาภาพ : https://www.rkvc.org.nz/SVivekananada.html หลังจากท่านศรี รามกฤษณะได้เสียชีวิตแล้ว ต่อมามีศิษย์ของท่านนามว่า “สวามีวิเวกานันทะ” (Swami Vivekanand, 1963-1902) เป็นผู้จัดตั้งองค์กรรามกฤษณะ มิชชั่นอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1897 สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เบลูร์ ริมฝั่งแม่น้ำคงคา ตรงกันข้ามกับเมืองกัลกัตตา หลักการของขบวนการนี้ ถือว่า ปรัชญาเวทานตะ เป็นปรัชญาที่ ดีสุดสำหรับศาสนาพราหมณ์-ฮินดูดังนั้นคำสอนของขบวนการนี้จึงมีรากฐานอยู่ปรัชญา เวทานตะ การที่องค์กรนี้นับถือปรัชญาเวทานตะ เพราะนับถือคัมภีร์อุปนิษัทที่เรียกว่า


| สยาม ราชวัตร “เวทานตะ” แปลว่า “สุดท้ายแห่งคัมภีร์พระเวท” จึงมีการตีพิมพ์คัมภีร์อุปนิษัทแพร่หลาย จำนวนมากเพื่อให้ชาวฮินดูเข้าใจเนื้อหาในคัมภีร์อุปนิษัท ท่านสวามีวิเวกานันทะ ได้ประกาศ หลักการขององค์กรนี้ มีดังนี้ (1) ปฏิบัติและส่งเสริมการศึกษาปรัชญาเวทานตะที่รามกฤษณะได้เคยสอนไว้ เผยแพร่ประวัติชีวิตของท่าน และศึกษาเปรียบเทียบกับคำสอนในศาสนาต่างๆ (2) การศึกษาและการนำความรู้ในด้านศิลปะ วิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมมาใช้ (3) ฝึกหัดครูในทุกสาขาให้สามารถนำความรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชน (4) จัดการศึกษาอย่างเป็นระบบ (5) จัดตั้งสถานศึกษาและอุดหนุนการศึกษาระดับโรงเรียน วิทยาลัย ให้การ ช่วยเหลือเด็กกำพร้า จัดตั้งโรงงาน สถานีทดลอง โรงพยาบาล สถานีอนามัย บ้านพักสำหรับคน ทุพพลภาพ และจัดตั้งหน่วยบรรเทาสาธารณภัย ตลอดจนช่วยเหลืองานสาธารณกุศลอื่นๆ (6) พิมพ์วารสารและหนังสือออกเผยแพร่ (7) ริเริ่มงานอื่นๆ ส่งเสริมวัตถุประสงค์ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น องค์กรรามกฤษณะมิชชั่นมีลักษณะความคิดแบบก้าวหน้ากว่าอารยสมัชชา จึงได้รับการต้อนรับจากศาสนาอื่นๆ เป็นอย่างดีและยังดำเนินกิจกรรมทางศาสนาตาม วัตถุประสงค์ของตนอย่างต่อเนื่องในประเทศอินเดียจนถึงปัจจุบัน 9.1.5 องค์กรสรรโวทัย (Sarvodaya movement) องค์กรนี้ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อรณรงค์เรื่องสันติภาพ การพึ่งพาตนเอง การปกครอง และความเสมอภาคในสังคมตามอุดมคติของมหาตมะ คานธีคำว่า “สรรโวทัย” มาจากคำว่า “สรว” แปลว่า ทั้งหมด และคำว่า “อุทย” แปลว่า การเกิดขึ้น รวมสองคำจึงมีความหมายว่า การเกิดขึ้นทั้งหมด กล่าวคือการพัฒนาแบบบูรณาการที่ให้ความสำคัญทั้งทางร่างกายและ จิตใจไปพร้อมกัน อุดมการณ์ขององค์กรสรรโวทัยจะเกิดขึ้นเป็นจริงได้ ต้องมีเงื่อนไขดังนี้ (1) ต้องเชื่อมั่นในสัจธรรมซึ่งมหาตมะ คานธีหมายถึงพระเจ้า ผู้ที่มีจิตบริสุทธิ์ ปราศจากการเสแสร้งเท่านั้นจะก้าวผ่านจากโลกิยสัจจะไปสู่อันติมสัจจะหรือพระเจ้าได้ ความ เข้าใจในสัจธรรมตามความหมายนี้ทำให้มหาตมะ คานธีสนใจศึกษาคำสอนในศาสนาอื่นด้วย และพบว่าศาสนาอื่นก็มีส่วนดีหลายอย่างที่สามารถนำมาเสริมและเพิ่มเติมให้ศาสนา พราหมณ์-ฮินดู ได้ ต้องมีวิธีการที่ถูกต้อง จึงจะเข้าถึงเป้าหมายหรือสัจธรรมได้ วิธีการนั้น คือ “หลัก อหิงสา” (non-violence) เป้าหมายที่บริสุทธิ์ต้องมาจากวิธีการที่บริสุทธิ์เท่านั้น มหาตมะ คานธี อธิบายสงครามมหาภารตยุทธว่า ไม่ใช่การประหัตประหารกันทางร่างกาย แต่สิ่งที่พระกฤษณะได้ สอนอรชุนเป็นมิติทางจิตใจ โดยสาระสำคัญแล้วคำสอนของภควัทคีตาเกี่ยวข้องกับหลักอหิงสา


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | แหล่งที่มาภาพ : https://thestandard.co/onthisday30011948/ มหาตมะ คานธี เห็นว่า สังคมฮินดูมีความเข้าใจผิดซึ่งนำไปสู่การปฏิบัติที่ผิดใน นามศาสนาพราหมณ์-ฮินดู อยู่ 2 ประการ คือ หลักกรรม และการบำเพ็ญโยคะ อย่างแรก ได้แก่ความเข้าใจว่าชีวิตเป็นผลของกรรมเก่า ทำให้ไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองและสังคม ในทางที่ดีขึ้น ประการที่สองคือการเข้าใจว่าการใช้ชีวิตส่วนใหญ่กับการบำเพ็ญตบะประเสริฐ กว่าการทำงาน ความเข้าใจผิดทั้ง 2 ประการนี้ทำให้ประเทศอินเดียยากจนและช่วยเหลือ ตนเองไม่ได้คานธีได้เน้นความสำคัญของกรรมโยคะด้วยการทำงานให้ดูเป็นตัวอย่าง เช่นเดียวกับที่พระกฤษณะเคยตรัสสอนว่า พระองค์ไม่เคยหยุดนิ่งในการทำงาน เพราะงาน เป็นหน้าที่ของพระองค์ การให้ความสำคัญกับงานเท่ากับว่าให้ความสำคัญกับชีวิตปัจจุบัน ไม่ใช่แขวนโชคชะตาไว้กับกรรมเก่าอย่างเดียว และแสดงให้เห็นว่าสวัสดิภาพทางกายสำคัญ เช่นเดียวกับสวัสดิภาพทางจิตใจ คานธีทำเป็นตัวอย่าง เขานั่งกรอด้าย ทอผ้า และทำความ สะอาดปัดกวาดซึ่งเป็นงานของคนที่เป็นวรรณะสูงไม่นิยมทำกัน การที่เขาทำเช่นนี้เพื่อสร้าง ขวัญและกำลังใจแก่ผู้ใช้แรงงาน และเป็นการให้ความสำคัญแก่งาน ฉะนั้นศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ในความเข้าใจของคานธีจึงแตกต่างจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ระดับชาวบ้านที่ต่อต้านการ เปลี่ยนแปลง แต่เป็นศาสนาที่มีพลวัตทางสังคมสูงทำให้ประเทศอินเดียอยู่รอดมาได้นานนับพันปี สำหรับประเด็นระบบวรรณะ มหาตมะ คานธีเห็นว่าเป็นอุบายของซาตานที่ ปลอมปนเข้ามาในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และจัดเป็นรอยด่างในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่ต้อง ขจัดออกไป และได้ตั้งชื่อคนนอกวรรณะ (untouchable) เสียใหม่ว่า “หริชน” (harijan)


| สยาม ราชวัตร แปลว่า คนของพระเจ้า และมองว่าศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ก็เช่นเดียวกันกับสิ่งมีชีวิตทั่วไป มีทั้งรุ่งเรืองและเสื่อมทรุด ระบบวรรณะแบบที่ปฏิบัติกันอยู่แสดงถึงจุดเสื่อมโทรมซึ่งปรากฏ ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นความไม่ยุติธรรมอย่างยิ่งที่มีการเหยียดหยามดูถูกกันระหว่าง มนุษย์ การแสวงหาสัจธรรมของคานธีทำให้ทราบถึงความเหลวไหลของระบบวรรณะ เพราะ ตรงกันข้ามกับความรักขั้นพื้นฐานที่มนุษย์ควรมีต่อกัน ฉะนั้นคานธีจึงประกาศว่า เว้นเสียแต่ ว่าได้ขจัดรอยด่างที่แสดงถึงความแตกต่างระหว่างคนวรรณะสูงและวรรณะต่ำออกไปแล้ว เท่านั้นศาสนาพราหมณ์-ฮินดู จึงจะอยู่รอดได้ด้วยทัศนะที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนา พราหมณ์-ฮินดู คานธีเห็นว่า ศาสนาสำคัญของโลกทุกศาสนาต่างมีส่วนสำคัญและจำเป็นต่อ การพัฒนาจิตใจของมนุษย์ แต่สำหรับปัจเจกชนแล้วมักจะพึงพอใจในศาสนาที่ตนนับถืออยู่ แล้ว เพราะเป็นรากฐานทางวัฒนธรรมดั้งเดิมของพวกเขาโดยตรง (วิทยา ศักยาภินันท์, 2549, น.153-154) องค์กรสรรโวทัย เป็นองค์กรที่เผยแพร่ความคิดของคานธี ภายหลังที่คานธีได้ เสียชีวิตแล้ว สานุศิษย์ของคานธีหลายคนได้สืบทอดอุดมการณ์ของท่านต่อมา เช่น วิโนพา ภเว (Vinoba Bhave, 1896-1984) และ ชัยประกาศ นารยัณ (Jayaprakash Narayan,1901-1976) สำหรับศิษย์รายแรกใช้ชีวิตเหมือนฤๅษีโบราณ ริเริ่มขบวนการภูทาน เดินเท้าไปทั่วประเทศอินเดีย เพื่อขอบริจาคที่ดินจากคนรวยไปแจกจ่ายแก่คนจน จนได้รับ รางวัลแมกไซไซสาขาบริการชุมชน ในปี พ.ศ. 2512 ปัจจุบันความคิดแบบสรรโวทัยของคานธี เป็นแรงกดดันทางสังคม (social pressure) อย่างหนึ่ง พรรคการเมืองต่างๆ ในอินเดียมักจะ อ้างเสมอว่าเป็นผู้สืบทอดเจตนารมณ์ของคานธีและอุดมการณ์สรรโวทัยของท่านได้มีอิทธิพล ต่อองค์กรพัฒนาชนบทในหลายประเทศ เช่นในประเทศศรีลังกา ท่านอริยารัตนะ (Ariyaratne) เป็นอนาคาริกชาวศรีลังกาที่ถือว่ามีบทบาทโดดเด่นในการเสนอแนวคิด เกี่ยวกับมิติทางสังคมของพระพุทธศาสนา นอกจากนั้น เขายังเป็นแกนนำในการตั้งขบวนการ สรรโวทัย (Sarvodaya Movement) ขึ้นเมื่อ ค.ศ.1958 โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะฟื้นฟูบทบาท ทางสังคมของพระพุทธศาสนาในศรีลังกา บุคคลสำคัญ 2 ท่าน ที่ถือว่ามีอิทธิพลต่ออริยรัตนะ และขบวนการสรรโวทัย คือ 1) มหาตมะ คานธีและ 2) อนาคาริก ธรรมปาละ ท่านอริย รัตนะได้ศึกษาทั้งแนวคิดของคานธีและเคยทำงานร่วมกับผู้สืบทอดอุดมการณ์ของคานธี คือ วิโนพะ ภาเว (Vinoba Bhave) คำว่า “สรรโวทัย” มาจากคำว่า “สรรพ” (ทั้งปวง) และ คำว่า “อุทัย” (เกิดขึ้น) แปลรวมความว่า ตื่นขึ้นพร้อมกันทั้งหมด การที่อริยรัตนะนำมาตั้งเป็นชื่อ ของขบวนการ เดิมทีเป็นศัพท์บัญญัติที่คานธีคิดขึ้นเพื่อเป็นชื่องานแปลหนังสือเรื่อง “Unto this Last” แต่งโดยจอห์น รัสกิน (John Ruskin) สำหรับแนวคิดของ อนาคาริก ธรรมปาละ ที่ถือว่ามีอิทธิพลต่ออริยรัตนะ คือ แนวคิดในการครองตนเป็น “อนาคาริก” (ผู้ไม่ครองเรือน) การครองตนแบบนี้ทำให้ธรรมปาละสามารถทำงานฟื้นฟูพระพุทธศาสนาใน ศรีลังกาและอินเดียได้อย่างคล่องตัว


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | ขบวนการสรรโวทัยได้แบ่งความตื่นหรือความหลุดพ้นอันเป็นเป้าหมายของ ขบวนการออกเป็น 6 ระดับ คือ (1) ความตื่นระดับบุคคล (personality awakening) (2) ความตื่นระดับครอบครัว (family awakening) (3) ความตื่นระดับหมู่บ้าน/ชุมชน (village/community awakening) (4) ความตื่นระดับชุมชนเมือง (urban awakening) (5)ความตื่นระดับชาติ(national awakening) และ (6) ความตื่นระดับโลก (global awakening) โดยรวมแล้วก็คือความตื่นหรือความหลุดพ้นแบบคู่ขนาน (dual liberation) กล่าวคือทั้งความตื่นของปัจเจกบุคคลและความตื่นของสังคมต้องดำเนินไปควบคู่กัน ความ ตื่นของปัจเจกบุคคลก็ขึ้นอยู่กับความตื่นของสังคม ในขณะเดียวกัน ความตื่นของสังคมก็ ขึ้นอยู่กับความตื่นของปัจเจกบุคคลเช่นเดียวกัน ดังคำกล่าวของอริยารัตนะที่ว่า “ฉันไม่ สามารถปลุกตัวเองให้ตื่นได้ถ้าไม่ได้ช่วยปลุกให้คนอื่นๆ ตื่น ขณะเดียวกัน คนอื่นๆ ก็ไม่ สามารถตื่นได้ ถ้าไม่ได้ช่วยปลุกให้ฉันตื่น” (พระมหาสมบูรณ์ วุฑฺฒิกโร, 2548) 9.1.6 องค์กรอุตตรสมาธิหรือทีเอ็ม (Transcendental Meditation) องค์กรนี้มีชื่อเรียกทางภาษาอังกฤษว่า “Transcendental Meditation” โดยคำว่าTranscendental หมายถึง เกิน พ้น เหลือความเข้าใจ นอกเหนือธรรมชาติส่วนคำ ว่า Meditation หมายถึง คิด เข้าฌาน และมีชื่อเรียกย่อๆ ว่า “TM” (ทีเอ็ม) ในเชิงการ ปฏิบัติหมายถึงการปฏิบัติกัมมัฏฐานที่จิตอยู่ล่วงพ้นจากภาวะ 3 ระดับ คือ ตื่น ฝัน และหลับ ซึ่งลุถึงภาวะที่เป็นอาตมันอย่างสมบูรณ์ หรือหมายถึง วิธีการเจริญสติด้วยสมาธิวิธีหนึ่งที่ช่วย ให้สติปัญญาแจ่มใส สะอาดและรุ่งเรือง ผู้ก่อตั้งองค์กรนี้คือท่านมหาฤๅษีมเหศโยคี (Maharishi Mahesh Yogi) กลุ่มทีเอ็มนี้ถูกมองว่าเป็นกลุ่ม “นอกจารีต” (heterodox) ของศาสนา พราหมณ์-ฮินดู เป็นชื่อที่ท่านวิศัลมังคลวาที ตั้งให้แก่ท่านมหาฤๅษีมเหศโยคี (Maharishi Mahesh Yogi) และท่านภควันศรีราชนีช (Bhagwan Shree Rajneesh) ทั้งนี้ไม่ได้ หมายความว่าทั้งสองท่านเป็นปฏิปักษ์ต่อศาสนาพราหมณ์-ฮินดู แต่เป็นเพราะวิธีการเผยแพร่ คำสอนของสำนักนี้แหวกแนวจากแนวจารีตเดิมของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู พยายามจะ ผสมผสานศาสนาพราหมณ์-ฮินดู กับวิทยาการสมัยใหม่ ท่านมเหศโยคีเห็นว่าอุตตรสมาธิที่ ตนค้นพบนั่นไม่ใช่เรื่องศาสนาแต่เป็นการค้นพบวิทยาศาสตร์ทางจิต ส่วนท่านภควันศรีรา ชนีชต้องการนำเสนอการผสมผสานศาสนาพราหมณ์-ฮินดู กับคำสอนของลัทธิตันตระ ศาสนาเชน พุทธศาสนานิกายเซ็น จิตวิทยาของฟรอยด์ และวิทยาการสมัยใหม่แขนงต่างๆ ให้ มีลักษณะบูรณาการกันซึ่งต่อมารู้จักกันในนามองค์กรว่า “โอโช” (Osho)


| สยาม ราชวัตร แหล่งที่มาภาพ : https://en.wikipedia.org ท่านมหาฤๅษี มเหศ โยคี เกิดในปี ค.ศ. 1911 ที่เมืองชบาลปูร์ ประเทศอินเดีย ชื่อเดิมคือ มเหศ ประสาท สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาด้านฟิสิกส์ จากมหาวิทยาลัยอัลลา ฮาบาด เมื่ออายุได้ 31 ปี ทางสำนัก TM ถือว่ากัมมัฏฐานแบบ TM มิใช่คำสอนทางศาสนา และ TM ก็มิใช่เป็นศาสนา เป็นเพียงแค่เทคนิคหรือวิธีที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในโลก ให้ดีขึ้น ดังนั้นวิธีการนี้จึงไม่ใช่ข้อห้ามสำหรับใคร หรือศาสนิกใด ทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการ ฝึกและประสบผลสำเร็จที่จะเกิดขึ้นจาการฝึกได้เท่าเทียมกัน แต่จะมีข้อแม้อยู่ที่ว่า การฝึกฝนนั้น จะต้องได้รับการอภิเษกจากผู้เป็นครูบาอาจารย์ ซึ่งในเบื้องต้นนั้น ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้อภิเษก ให้ก็คือท่านมหาฤๅษีเอง ต่อมาเพื่อให้การฝึก TM ได้แผ่ขยายออกไปกว้างขวางมากยิ่งขึ้น จึงได้มีการจัดฝึกอาจารย์ของ TM มากยิ่งขึ้น ทำให้ TM นั้นสามารถแผ่ขยายออกไปในวง กว้างได้อย่างรวดเร็ว ความเป็นที่นิยมของ TM นั้น ทำให้รัฐบางรัฐของอเมริกา มีความดำริที่ จะให้ใช้หลักสูตร TM นี้ฝึกคนทั้งรัฐ เพราะจากการทดลองปรากฏว่า หลังการฝึกปฏิบัติ TM ผู้คนมีสุขภาพชีวิตที่ดีขึ้น คือ นักเรียนมีประสิทธิภาพการเรียนดีขึ้น คนงานทำงานมี ประสิทธิภาพดีขึ้น แต่เรื่องนี้ แทนที่จะเป็นเรื่องที่ช่วยส่งเสริมกลับเป็นสิ่งที่บั่นทอน TM ลง อย่างแรง เพราะมีการส่งเรื่องราวของ TM ไปให้ทางสำนักกฎหมายตีความ และการตีความก็ ได้ชี้ชัดลงมาว่า TM นั้น สำหรับอเมริกาแล้วจัดอยู่ในข่ายศาสนาๆหนึ่ง ดังนั้นตามรัฐธรรมนูญ ของอเมริกาซึ่งเป็นประเทศที่ Secularism คือแยกศาสนาออกจากการเมืองโดยเด็ดขาด


Click to View FlipBook Version