The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สยาม ราชวัตร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by คำนำ, 2023-11-20 23:52:49

ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สยาม ราชวัตร

ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | บทสรุป การที่ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเป็นศาสนาแห่งเทพเจ้าหลากหลาย มีจำนวนเทพเจ้า มากมาย มีชื่อเรียกทางความเชื่อว่า “พหุเทวนิยม” และเทพเจ้าแต่ละองค์มีพัฒนาการ ลักษณะเป็นตัวบุคคลมากขึ้นและมีการพัฒนาการทางความคิดจากนามธรรมสู่ความเป็น รูปธรรม มีการสร้างรูปเคารพบูชาเป็นตัวเป็นตน เรียกว่า “เทวรูป” ตามความเชื่อของแต่ละ กลุ่มที่ศรัทธาในองค์เทพแต่ละองค์มีการสร้างขั้นตอนและพิธีกรรมในการบูชามากมายแต่ละ องค์เทพ นอกจากนี้ยังมีการสร้างตำนานองค์เทพเจ้าแต่ละองค์มากขึ้นเป็นตำนานเรื่องเล่า เช่นในคัมภีร์ปุราณะ หากศึกษาวิเคราะห์ประวัติเทพเจ้าแต่ละองค์มีวิถีความเป็นไปคล้ายคลึง กับวิถีชีวิตมนุษย์ มีความเป็นพ่อแม่และลูกเหมือนมนุษย์ แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ของเทพเจ้าเหล่านั้น คือมีอำนาจเหนือมนุษย์ เป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องสยบยอมให้ความเคารพบูชาไม่ดูหมิ่นก้าวล่วง พระองค์ชาวพราหมณ์-ฮินดูมีความเชื่อว่าถ้าเคารพศรัทธาภักดีด้วยจิตที่หนักแน่นแล้วจะทำ ให้เกิดผลตามความประสงค์ของผู้บูชา ทำให้องค์เทพแต่ละองค์มีคุณลักษณะเด่นแต่ละด้านที่ จะประทานพรให้กับผู้บูชา เกิดเป็นคติแบบอย่างในการบูชาเทพเจ้าแต่ละองค์ว่าจะต้องบูชา อย่างไร ในปัจจุบันเทพเจ้ามีหลายกลุ่มตามความเชื่อ แต่ที่นิยมมากจะมีกลุ่มเทพเจ้าที่เป็น สากลของชาวฮินดู เช่นกลุ่มเทพเจ้าตรีมูรติ เป็นเทพเจ้าสำคัญฝ่ายชาย กลุ่มศักติเป็นเทพเจ้า สำคัญฝ่ายหญิง กลุ่มเทพเจ้าที่เป็นลูกของเทพเจ้าองค์สำคัญ และกลุ่มเทพเจ้าองค์อื่นๆ เช่น เทพเจ้านพเคราะห์ เป็นต้น ส่วนเทพเจ้าอื่นๆนอกจากเทพเจ้ากลุ่มหลักแล้ว ผู้ศรัทธาจะมีการ สร้างตำนานและการเคารพบูชาเทพเจ้าตามความเชื่อเฉพาะกลุ่มประชาชนท้องถิ่นต่างๆ จึง เกิดเทพเจ้ามากมายในแต่ละท้องถิ่นของประเทศอินเดีย ค าถามท้ายบท 1) ความหมายของคำว่าเทพเจ้าเป็นอย่างไร ? แนวคิดทางศาสนาเกี่ยวกับเทพเจ้าหรือ เทวนิยม (theism) มีความเป็นมาอย่างไร ? 2) ความเชื่อเรื่องเทพเจ้าแบบ 1) พหุเทวนิยม (polytheism) 2) สัพพัตถเทวนิยม (pantheism) 3) อติเทวนิยม (henotheism) 4) เอกเทวนิยม (monotheism) 5) เอกนิยม (monism) เป็นอย่างไร ? แต่ละแนวความคิดมีความเกี่ยวข้องกับ พัฒนาการของเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูอย่างไร ? 3) คำว่า “ตรีมูรติ” คืออะไรในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู? มีพัฒนาการทางความคิด เกี่ยวกับเทพเจ้าเป็นมาอย่างไร ?


| สยาม ราชวัตร 4) พระพรหม มีประวัติและตำนานเป็นมาอย่างไร ? มีคติความเชื่อในการบูชาพระ พรหมอย่างไร? 5) พระวิษณุหรือพระนารายณ์ มีประวัติและตำนานเป็นมาอย่างไร ? มีคติความ เชื่อในการบูชาพระพระวิษณุอย่างไร ? 6) พระศิวะหรือพระอิศวร มีประวัติและตำนานเป็นมาอย่างไร ? มีคติความเชื่อใน การบูชาพระศิวะอย่างไร ? 7) พระสรัสวดี ชายาของพระพรหมมีประวัติและตำนานเป็นมาอย่างไร? มีคติ ความเชื่อในการบูชาพระสรัสวดีอย่างไร? 8) พระลักษมี ชายาของพระวิษณุมีประวัติและตำนานเป็นมาอย่างไร ? มีคติ ความเชื่อในการบูชาพระลักษมีอย่างไร? 9) พระปารวตี ชายาของพระศิวะ มีประวัติและตำนานเป็นมาอย่างไร ? มีคติความ เชื่อในการบูชาพระปารวตีอย่างไร? 10) พระพิฆเนศ พระขันทกุมาร และเทพเจ้านพเคราะห์ มีประวัติและตำนาน เป็นมาอย่างไร? มีคติความเชื่อในการบูชาเทพเจ้าเหล่านี้อย่างไร?


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู |


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | 5 หลักคำสอนสำคัญที่เป็นแก่นสาระสำคัญของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และที่สะท้อน ความจริงต่อชีวิต โลก และจักรวาลจะมีลักษณะเชิงอภิปรัชญา (philosophical teaching) ประกอบด้วยเรื่องอาตมัน พรหมัน กรรม สังสารวัฏ มายา อวิทยา และโมกษะ อธิบายความ จริงในทัศนะของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูว่าความจริงคืออะไรและเป็นอย่างไร คำสอนสำคัญ เหล่านี้เริ่มก่อตัวในช่วงยุคปรัชญาอุปนิษัท ประมาณ 100 ปี ก่อนพุทธกาลจนถึงราวประมาณ พ.ศ. 700 จัดเป็นระยะหัวเลี้ยวหัวต่อก่อนถึงยุคอุปนิษัท มีการเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญ ในความคิดทางศาสนาและปรัชญาอินเดีย แม้จะมีคัมภีร์อุปนิษัทอยู่มากมาย แต่ก็มีจุดความ สนใจร่วมกันในปัญหาเหล่านี้ คือ ปัญหาเรื่องความมีอยู่ของพรหมัน อาตมัน มายา อวิทยา การสร้างโลก โมกษะหรือความหลุดพ้น เป็นต้น ในบทนี้ผู้เขียนจะนำเสนอแนวคิดและ คำอธิบายเกี่ยวกับหลักคำสอนที่สำคัญดังกล่าวต่อไป 5.1 แนวคิดเรื่องอาตมันและพรหมัน แนวคิดหรือหลักคำสอนเรื่องอาตมันและพรหมัน เป็นคำสอนแนวอภิปรัชญาของ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู คำสอนประเภทอธิบายความจริงของสรรพสิ่งในจักรวาลว่าคืออะไร เป็นมาอย่างไร มีความสัมพันธ์กันอย่างไรในทัศนะของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นคำสอน ที่ถูกพัฒนาแล้วช่วงที่เป็นศาสนาพราหมณ์-ฮินดูที่มีการต่อสู้โต้แย้งทางความคิดกับศาสนาอื่น เช่นศาสนาพุทธและศาสนาเชน คำสอนจึงออกมาในลักษณะคำอธิบายที่เป็นลักษณะ ทางปรัชญามากและแตกต่างจากหลักคำสอนช่วงยุคต้นที่เรียกว่าศาสนาพราหมณ์ที่เป็น คำสอนทางเทวนิยมหรือเชิงศรัทธาต่อเทพเจ้า


| สยาม ราชวัตร 5.1.1 แนวคิดและค าสอนเรื่องอาตมัน ( Ātman) ความหมายตามรูปศัพท์ของคำว่า “อาตมัน” มาจากรากศัพท์ว่า “อนฺ” แปลว่า “ลมหายใจ” หรือจากรากศัพท์ว่า “อตฺ” แปลว่า “ไปเรื่อย, เดินไป” หรือจากรากศัพท์ว่า “อวฺ” แปลว่า “ขับเคลื่อน” แนวคิดเรื่องอาตมันเป็นเรื่องสำคัญที่อุปนิษัทสนใจสอบสวนหา ข้อเท็จจริง แรกทีเดียวหมายถึง “ลมหายใจ” (breath) ชีวิตจะยืนยาวอยู่ได้ตราบเท่าที่ลม หายใจยังมีอยู่หรือยังหายใจอยู่ แต่ภายหลังความหมายของคำว่าอาตมันได้เปลี่ยนไปหมายถึง ความรู้สึก (feeling) จิต (mind) วิญญาณ (soul) และเจตภูต (spirit) ในอรรถกถาแห่งกฐอุปนิษัท ท่านศังกราจารย์ได้อ้างคำประพันธ์เก่าซึ่งอธิบายอาตมันไว้ว่า “อาตมันหมายถึงสิ่งที่อนุสัย (inherent) อยู่ในสรรพสิ่ง อาตมันเป็นผู้รู้ (subject) ซึ่งรู้มีประสบการณ์และทำสิ่งที่ถูกรู้ (object) ให้ปรากฏ อาตมันเป็นอมตะและดำรงอยู่ในสถานะอย่างเดียวตลอดกาล” (สุนทร ณ รังษี, 2545, น. 31-32) คำอธิบายเกี่ยวกับอาตมันมีนักปราชญ์อธิบายไว้อีกหลายท่านเพื่อความเข้าใจ มากยิ่งขึ้น เช่น ราชบัณฑิตยสถาน อธิบายคำว่า อาตมันคือตัวตน (self) มีสภาวะเป็นจิตหรือ วิญญาณ มีลักษณะเที่ยงแท้ถาวร และมีสาระหรือเนื้อแท้ (essence) อย่างเดียวกับพรหมัน คือสัจจิทานันทะ(sat-cit-ānanda) กล่าวคือ สัต ความจริง (truth)+จิต ความรู้ (consciousness) +อานันทะ ความสุข (bliss) คำว่าอาตมันนี้มีปรากฏครั้งแรกในคัมภีร์ อุปนิษัท ซึ่งพรรณนาอาตมันไว้ 2 ลักษณะ ลักษณะหนึ่งได้แก่ปัจเจกชีพ (individual self) หรือปัจเจกวิญญาณ (individual soul) คือชีพหรือวิญญาณที่อยู่ในคนและสัตว์ เรียกว่า “ชีวาตมัน” อีกลักษณะหนึ่งได้แก่วิญญาณสากล (universal soul) คือวิญญาณสากลโลก เรียกว่า “ปรมาตมัน” ซึ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพรหมัน (Brahman) ชีวาตมันคือพรหมัน หรือส่วนหนึ่งของพรหมันที่มาเกี่ยวข้องกับวัตถุหรือสสาร(matter) จึงทำให้หลงผิดคิดว่า ตัวเองคือตัวตนที่เป็นร่างกายแต่แท้จริงแล้วก็คือพรหมัน” (ราชบัณฑิตยสถาน, 2540, น. 10) เปลื้อง ณ นคร (2554) อธิบายไว้ว่า “อาตมันคือจิตใจ วิญญาณ วิญญาณแห่งโลกคือ พระพรหม ผู้วิเศษ” พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) อธิบายไว้ว่า “อาตมัน คือ ตัวตน เป็นคำสันสกฤต ตรงกับคำบาลีคือ อัตตา” (พระพรหมคุณาภรณ์, 2558, น. 546) สุมาลี มหณรงค์ชัย ได้ศึกษารายละเอียดแนวคิดเกี่ยวกับศาสนาพราหมณ์-ฮินดู อธิบายอาตมันไว้ว่า อาจกล่าวได้ว่าอาตมันเป็นสัมปชัญญะบริสุทธิ์ที่ไร้ซึ่งอวิชชา เป็นปฐมเหตุ แห่งความมีความเป็นของสรรพสิ่ง อีกทั้งเป็นพื้นฐานของความรู้ทั้งปวง ตัวตนนี้ไม่อาจใช้ คำพูดอธิบายหรือพรรณนาให้เห็นลักษณะที่แท้จริงของมันได้ เพราะคำพูดใช้พรรณนาได้ เฉพาะสิ่งที่เป็นทางโลก จะรู้จักอาตมันได้ด้วยการประจักษ์หรือด้วยณาณทัศนะเท่านั้น คำกล่าวที่ว่า อาตมันเป็นปฐมเหตุแห่งความมีความเป็นของสิ่งทั้งหลาย หมายถึง จากจุดเริ่ม คืออาตมัน มันก่อให้เกิดอากาศ ลม ไฟ น้ำ ดิน พืชพันธุ์ และสิ่งมีชีวิตตามลำดับ วิวัฒนาการ


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | 5 ขั้นตอนของอาตมันดำเนินไปดังนี้ (1) อาตมัน(หรือพรหมัน) วิวัฒน์ไปสู่วัตถุ-สิ่งไม่มีชีวิต เป็นการพัฒนาไปสู่สิ่งที่ไม่มีความรู้สึก (2) อาตมันวิวัฒน์ไปสู่สิ่งมีชีวิตที่รู้สึกได้ แต่ยังไม่มีจิต ได้แก่พวกพืชและสัตว์ชั้นต่ำ (3) อาตมันวิวัฒน์ไปสู่สิ่งมีชีวิตที่มีจิต ได้แก่มนุษย์และสัตว์ต่างๆ (4) อาตมันวิวัฒน์ไปสู่สัมปชัญญะหรือเหตุผล ซึ่งมีอยู่ในตัวมนุษย์เท่านั้น (5) อาตมันวิวัฒน์ ไปสู่เอกภาพ เป็นขั้นตอนสุดท้าย บ่งถึงการดับสูญแห่งไตรภาวะคือผู้รู้ ความรู้ และสิ่งที่ถูกรู้ ไร้ความเป็นทวิภาพและพหุภาพใด (สุมาลี มหณรงค์ชัย, 2546, น.57-58) แนวความคิดและคำสอนเรื่องอาตมัน เป็นความคิดที่เสนอความสัมพันธ์ระหว่าง ชีวิตมนุษย์และสรรพสิ่งทั้งหลายกับความเป็นไปของจักรวาล ซึ่งชาวอินเดียโดยเฉพาะศาสนา พราหมณ์-ฮินดูเชื่อว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่ชีวิตมนุษย์จะอยู่อย่างแยกไปอย่างเด็ดขาดจากความ เป็นไปของจักรวาล มนุษย์คือชิ้นส่วนของความเป็นไปของจักรวาล ชีวิตทั้งหลายคือรูปแบบต่างๆ ของการของแบ่งตัวออกมาของพรหมันที่มาสู่จักรวาลนี้ ดังนั้นชีวิตทั้งหลายจึงมีสิ่งที่เป็นหนึ่ง เดียวอยู่ในทุกชีวิตนั้น ดังที่กล่าวไว้ในพฤหทารัณยกะว่า “แก่นชีวิตของคนที่เรียก อาตมัน นั้น ก็เหมือนๆ กันกับแก่นชีวิตที่มีในมด ในช้าง ในนาค และในทุกๆ ชีวิตในโลกทั้งสามนี้ แท้จริง ก็คือมีในทุกชีวิตแห่งจักรวาลนี้” (Juan Mascaro, 1965, p.127) ความเข้าใจความจริงนี้เป็น ฐานของความเข้าใจในการดำเนินชีวิตแบบฮินดูทำให้เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพรหมัน มนุษย์กับเทพเจ้า และมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกันเอง ตลอดจนมนุษย์กับสรรพสิ่งในจักรวาล แก่นสาระของคัมภีร์ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูทั้งหลายพยายามประกาศความจริง ของมนุษย์กับจักรวาล โดยเฉพาะคัมภีร์อุปนิษัททั้งหลายต่างมีคำอธิบายบอกว่ามนุษย์คือสิ่งมี ตัวตน มีความรู้สึก เป็นสิ่งประเสริฐสุดที่อยู่ใกล้พรหมันที่สุด ถึงแม้มนุษย์เองยังไม่ใช่พรหมัน มนุษย์หรือชีวิตเป็นผลปรากฏของความมีอยู่และความไม่มีอยู่ เป็นสิ่งผสมของความจริงและ ความไม่จริง เพราะเป็นสิ่งผลกำเนิดจากความไม่รู้ความจริงทั้งตัวมันเองก็มีความจริงสูงสุด เป็นแก่นแท้ของตัวมันอยู่ ซึ่งแก่นแท้ของชีวิตนั้นก็คือตัวรู้ที่บริสุทธิ์ และมีความเป็นหนึ่ง เดียวกับความเป็นหนึ่งเดียวของจักรวาล ส่วนองค์ประกอบต่างๆ ของชีวิต ได้แก่ความรู้สึก จิตวิญญาณ สติปัญญา อารมณ์ เจตนา และอวัยวะทุกส่วนทั้งภายนอกภายในนั้นเป็นผลจากที่ “อวิทยา” เป็นผู้สร้างขึ้น ซึ่งสิ่งทั้งหมดนี้จะคงความผูกพันกันอยู่เป็นชีวิตและดำเนินความยึด มั่นในความเป็นแบบของแต่ละตัวตนแต่ละชีวิตนั้นต่อไป ในคัมภีร์ไตตติริยะอุปนิษัท บรรยายถึงลักษณะของสิ่งที่ประกอบกันขึ้นเป็นชีวิต ตั้งแต่สิ่งที่เป็นหยาบไปจนถึงสิ่งที่เป็นความประณีตละเอียด สิ่งที่เป็นแก่นแท้ของชีวิตคือสิ่งที่ ประณีตที่สุด เช่นคำบรรยายว่า “ในร่างกายที่เป็นเนื้อหนังนี้ ยังมีอีกกายหนึ่งที่เป็น “กายลม” (pranamaya) และที่ละเอียดกว่าซึ่งอยู่ในกายลม ลมนั้นคือ “กายจิต” (manomaya) ภายในกายจิตยังมีกายที่ประณีตกว่านั้น นั่นคือ “กายปัญญา” และที่ละเอียดที่สุดภายในกาย ปัญญานั้นคือ “กายแห่งความสงบสุข” (ananadamaya) ซึ่งเป็นแก่นแท้ของชีวิต เป็นตัวจริง แท้ของชีวิตมากกว่าที่จะคิดว่ากายที่เป็นเนื้อหนังนั้นคือตัวจริงของชีวิต” (Juan Mascaro, 1965,


| สยาม ราชวัตร p.110 อ้างใน สมพร สุขเกษม, 2532, น. 49) ด้วยคำบรรยายข้อความลักษณะนี้ แสดงการ วิเคราะห์ชีวิตในลักษณะองค์ประกอบซ้อนตั้งแต่สิ่งที่ปรากฏภายนอกซึ่งเป็นวัตถุหยาบเป็นที่ อาศัยของความรู้สึกอันเป็นสิ่งละเอียดไม่มีรูปเป็นเพียงนามและลำดับความประณีตลงไป จนถึงองค์ประกอบที่ประณีตที่สุด และที่สภาวะประณีตที่สุดนี้ตามความเชื่อของพราหมณ์ถือ ว่าเป็นแก่นแท้ของชีวิตและเป็นแก่นแท้เดียวกันที่มีอยู่ในสรรพชีวิต ในมุณฑกะอุปนิษัท เปรียบความสัมพันธ์มนุษย์กับพระเจ้าว่า เหมือนนกสองตัว อาศัยที่ต้นไม้เดียวกัน ตัวหนึ่งเปรียบเหมือนชีวิตคน ดำเนินชีวิตไปตามผลของการกระทำ ส่วนนกอีกตัวหนึ่งเปรียบเป็นเทพเจ้าหรือพรหมันซึ่งไม่เคยพรากจากการกระทำใดๆ เป็นผู้รู้ เห็นในการกระทำทั้งมวล นกตัวที่เป็นจิตวิญญาณมนุษย์นั้นก็สร้างรูปกายมนุษย์ตามความไม่ รู้ข้อเท็จจริงทั้งหลาย ความไม่รู้เท่าทันในสิ่งทั้งหลายทำให้การสร้างรูปกายมนุษย์นั้นเกิด ข้อจำกัดขาดความสมบูรณ์ในตัวเอง ซึ่งในสภาวะเช่นนี้ทำให้มนุษย์ต้องทุกข์โศกเพราะความ ไม่สมบูรณ์นั่นเอง แต่เมื่อได้มีความรู้ขึ้นได้รู้ว่าการมาอยู่ในรูปกายมนุษย์เช่นนี้ก็มิได้ห่างไกล จากพระเจ้าหรือพรหมันเลย ยังสามารถเข้าถึงพระเจ้าสูงสุดได้ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เขาเพียร ปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงพ้นจากความหลงมัวเมาและความเศร้าโศกทั้งปวงกลับคืน สู่ความเป็นพรหมันอีก (Brain Brown, 1965, p. 36 อ้างใน สมพร สุขเกษม, 2532, น. 50) 5.1.2 แนวคิดและค าสอนเรื่องพรหมัน (Brahman) คำว่า “พรหมัน” ตามรูปศัพท์มาจาก “พฺฤห” ธาตุ หรือ “พฺรห” ธาตุแปลว่า “เพิ่มขึ้น(swell) ขยาย (expand) เติบโต (grow) ใหญ่ (enlarge)” เดิมคำนี้หมายถึงการ บูชายัญหรือยัญพิธีปัจจุบันใช้ในความหมายถึง ความจริงอันสูงสุด ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งวิวัฒน์มาเป็นโลกและสิ่งทั้งหลาย หรือเป็นอันติมสัจจ์ซึ่งเป็นมูลการณะของสิ่งทั้งหลาย เป็นที่เกิดที่อาศัยและที่กลับของสิ่งทั้งปวง มีลักษณะเป็นองค์รวมหรือที่มาของสรรพสิ่งเพียง หนึ่งเดียว ไม่อยู่ในรูปของบุคคลตัวตนใด เป็นความจริงทางปรัชญาที่เรียกว่า “เอกนิยม” (monism) เรียกความจริงนี้ในทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดูว่า “พรหมัน” มีความใกล้เคียงกับ ความเชื่อของศาสนาฝ่ายเทวนิยมทั้งหลายที่เรียกว่า “พระเจ้า” พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล ให้ความหมายพรหมัน ว่า พรหมันเป็นสัจภาวะ สูงสุด เป็นวิญญาณของโลก เป็นที่มาและจุดหมายปลายทางของสิ่งทั้งหลายรวมทั้งคนและ โลก คำนี้มีปรากฏครั้งแรกในคัมภีร์อุปนิษัท ซึ่งพรรณนาไว้เป็น 2 ลักษณะ คือ ลักษณะที่ เรียกว่า “นิรคุณพรหมัน” (indeterminate Brahman) และลักษณะที่เรียกว่า “สคุณพรหมัน” (determinate Brahman) สำหรับนิรคุณพรหมัน ได้แก่พรหมันที่กำหนดโดยคุณลักษณะ ใดๆ ไม่ได้ เป็นวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นอบุคลิกพรหมหรืออรูปพรหม (impersonal Brahman) คือมีเนื้อแท้ เป็นสัจจิทานันทะ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ปรพรหม” ส่วนสคุณพรหมัน ได้แก่


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | พรหมันที่กำหนดโดยคุณลักษณะและคุณสมบัติต่างๆ เป็นบุคลิกพรหมหรือรูปพรหม (personal Brahman) หรือเรียกชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า “อปรพรหม” (ราชบัณฑิตยสถาน, 2542, น. 60-61) บิลลิงตัน ได้อธิบายความหมายพรหมันว่า การขยายหรือเติบโต ในอุปนิษัทยุค แรกๆ หมายถึงแหล่งสร้างสรรค์เริ่มแรกของจักรวาล (the primal creative source of the cosmos) ที่ซึ่งโลกถูกแสดงออกมา นัยนี้พรหมันแทบไม่ต่างจากพระผู้สร้างของศาสนาคริสต์ ต่อมาเมื่อแนวคิดแบบสรรพเทวนิยมได้รับการยอมรับแพร่หลาย พรหมันจึงได้รับความหมาย ใหม่ โดยมีความหมายเท่ากับเป็นสากลจักรวาล พรหมันสถิตในทุกสิ่ง เป็นรากฐานที่สุดของ สรรพสิ่ง (the absolute ground of being) ความหมายต่อมาของพรหมันคือเป็น ฐานรองรับ “ตัวตน” ของทุกๆชีวิต พรหมันจึงมีความหมายเท่ากับอาตมัน (Billington, 1997, pp. 32-34 อ้างในสุมาลี มหณรงค์ชัย, 2546, น.56) ตัวอย่างคำอธิบายความหมายของพรหมัน มีปรากฏอยู่ในหลายอุปนิษัทที่แสดง ถึงความหมายและลักษณะของพรหมัน (สุมาลี มหณรงค์ชัย, 2546, น.61) เช่น พฤทารัณยก อุปนิษัท อธิบายว่า พรหมันเป็นสิ่งที่สมบูรณ์เกินภาษาใดที่จะอธิบายได้ เพราะสิ้นสุดแห่งตัว ผู้รู้ ความรู้ และสิ่งที่ถูกรู้แล้ว ทางเดียวที่จะอธิบายพรหมันได้คือต้องใช้วิธีปฏิเสธ เช่น ข้อความว่า “สิ่งที่ไม่มีการเสื่อมสลายที่ผู้ฉลาดเคารพบูชานี้ เป็นสิ่งไม่หยาบ ไม่ประณีต ไม่สั้น ไม่ยาว ไม่มีเงา ไม่มีความมืด ไม่มีอากาศ ไม่มีช่องว่าง ไม่มีอุปาทาน ไม่มีรส ไม่มีกลิ่น ไม่มีรูป ไม่มีคำพูด ไม่มีจิต ไม่มีแสงสว่าง ไม่มีลมหายใจ ไม่มีหู ไม่มีปาก ไม่มีข้างนอกข้างใน มันไม่กิน อะไรและไม่มีอะไรกินมัน....” (สุนทร ณ รังษี, 2545, น. 45) ในอีศอุปนิษัท อธิบายพรหมันด้วยวิธีการสร้างข้อความที่ขัดแย้งกันเอง แต่ ข้อความเหล่านี้ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยเหตุผล เช่น “สิ่งหนึ่งแม้ไม่เคลื่อนไหวแต่ก็เร็วกว่าจิต อำนาจแห่งประสาทสัมผัสไม่อาจหยั่ง ถึงได้...มันเคลื่อน มันไม่เคลื่อน มันอยู่ไกลและมันอยู่ใกล้มันอยู่ภายในทุกสิ่งนี้ และมันก็อยู่ ภายนอกทุกสิ่งนี้” ( Louis Renou, 1961, p. 88) นอกจากนี้ในมาณฑูกยอุปนิษัท ยังอธิบายภาวะที่เรียกพรหมันไว้ว่า “ไม่ใช่ประสบการณ์แบบอัตวิสัยหรือภววิสัย ไม่ใช่ความรู้ในเรื่องประสาทสัมผัส ไม่ใช่ความรู้แบบสัมพันธ์ไม่ใช่ความรู้ที่ได้รับมา มันบริสุทธิ์เป็นความตระหนักรู้ที่ผสานกลมกลืน เป็นสันติที่อธิบายไม่ได้ ไม่มีทวิภาวะ นี่คือธรรมชาติของอาตมัน”(Billington, 1997, p.35) จากคำอธิบายเกี่ยวกับพรหมันในคัมภีร์ทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดูถ้ามองตาม ตัวอักษรค่อนข้างเข้าใจยากต้องมีการถอดความตีความจากภาษาคัมภีร์สู่ความเข้าใจอีกครั้ง จึงจะเกิดความเข้าใจยิ่งขึ้น ขอสรุปความหมายของพรหมันเพื่อให้เข้าใจภาพรวมของพรหมัน คำว่า พรหมัน เป็นความหมายในคำสอนทางอภิปรัชญาที่ต้องการบอกว่าเป็นสิ่งที่เป็นที่มา


| สยาม ราชวัตร ของสรรพสิ่งทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ จะเรียกว่า “ปฐมเหตุ” หรือ “ปฐมการณ์” ก็ได้ เป็นสิ่งมี อยู่ชั่วนิรันดร เป็นภาวะสูงสุด ดำรงอยู่ได้ด้วยตัวเอง ในทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมุ่งอธิบาย ว่ามีสิ่งนี้อยู่จริง การจะหลุดพ้นจากสังสารวัฏ คือการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงสิ่งนี้และเพื่อไม่ต้อง กลับมาเกิดอีก เป็นหนึ่งเดียวกับความเป็นพรหมัน จากชีวาตมันสู่ความเป็นปรมาตมัน พรหมันจึงเป็นเป้าหมายสูงสุดของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู 5.1.3 ความสัมพันธ์ระหว่างอาตมันและพรหมัน อาตมันและพรหมัน เป็นคำเรียกที่คู่กันในฐานะเป็นความจริงในแง่ที่เป็นตัวรู้กับ สิ่งที่ถูกรู้เป็นสิ่งที่มีความเกี่ยวเนื่องและสัมพันธ์กัน อาตมันเป็นวิญญาณเล็ก ส่วนพรหมันเป็น วิญญาณใหญ่ อาตมันออกมาจากพรหมันซึ่งอาตมันมาอยู่ในสรรพสิ่งทั้งหลาย พรหมันเป็น แหล่งที่มาหรือเป็นการสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย นอกจากนี้เมื่อกล่าวถึงตัวตนสากลหรือตัวตนที่ ไม่ถูกจำกัด นิยมใช้คำเรียกว่า “ปรมาตมัน” แต่เมื่อกล่าวถึงตัวตนที่ถูกจำกัดอยู่กับร่างกาย หรือพรหมันที่แฝงอยู่ในร่างกายแต่ละบุคคล จะนิยมใช้คำเรียกว่า “ชีวาตมัน” ประมวล เพ็งจันทร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนาฮินดูในประเทศอินเดียให้ทัศนะเกี่ยวกับชีวาตมันและปรมาตมันว่า ชีวาตมัน เป็นแก่นแท้ของชีวิตของบุคคลแต่ละคน อาตมันไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีที่สิ้นสุด เพราะ อาตมันคือความเป็นจริงที่เป็นนิรันดร ไม่ใช่ชีวะ แต่มาปรากฏอยู่ในรูปชีวะ ชีวะนั้นมีการ เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปได้ แต่อาตมันนั้นไม่เคยดับ อาตมันที่มาปรากฏอยู่ในรูปของชีวะเช่นนี้ ถูกเรียกว่า “ชีวาตมัน” เมื่อใดที่อาตมันอันเป็นแก่นแท้บรรลุถึงโมกษะคือการหลุดพ้นจาก เครื่องพันธนาการแห่งชีวะทั้งหมดแล้ว ชีวาตมันก็จะเป็น “ปรมาตมัน” อันเป็นความจริง สากล ไม่มีตัวตนเราเขา (ประมวล เพ็งจันทร์ และคณะ, 2547, น. 63) 5.2 แนวคิดและค าสอนเรื่องสังสารวัฏและกรรม (Saṃsāra and karma) คำว่า “สังสารวัฏ” มาจากสองคำคือ “สังสาระ” แปลว่า “การท่องเที่ยวไป” กับ “วัฏฏะ” แปลว่า “การวนเป็นวงกลม” ความหมายเชิงเนื้อหา สังสารวัฏ หมายถึง ภพที่เวียนเกิดเวียน ตาย การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในโลก (พระเทพเวที(ป.อ.ปยุตโต), 2536, น. 317) และ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายว่า “การเวียนว่ายตายเกิด” (ราชบัณฑิตยสถาน, 2525, น. 819) เป็นวงจรของการตายและการเกิดใหม่ (cycle of death and rebirth) บางครั้งใช้คำว่า “วัฏสงสาร” ก็มีตามทัศนะของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูสิ่งมีชีวิต ไม่ได้มีเพียงชีวิตเดียว แต่ดำเนินอยู่ในวงจรชีวิต กล่าวคือการเกิด การตาย และการเกิดใหม่ หรือ การกลับมาเกิดใหม่ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เป็นวงจรที่เต็มไปด้วยความทุกข์และไร้แก่นสาร ซึ่ง ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูสอนชาวฮินดูว่าการหลุดพ้นออกไปจากวงจรวัฏสงสารนี้เป็นเป้าหมาย


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | สูงสุดของการเกิดมาในโลกนี้ ใช้โลกนี้เป็นเวทีแห่งการเรียนรู้ฝึกฝนตนเองที่จะออกจากโลกนี้ ไม่ต้องกลับมาเกิดซ้ำอีก ส่วนแนวคิดเรื่องกรรม (karma) กรรมเป็นพลังที่คอยขับเคลื่อนวัฏสงสาร ความหมายของคำว่า “กรรม” ตามตัวอักษรแปลว่า “การกระทำ” (action, intent and consequences) การกระทำของชีวิตในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่ ถ้าทำดีก็พาชีวิตนั้นไปสู่การเกิด ใหม่ในภพภูมิที่ดีกว่าเดิม ถ้าทำชั่วก็นำพาชีวิตนั้นไปสู่การเกิดใหม่ในภพภูมิที่ต่ำลง กรรมเป็น พลังที่ขับเคลื่อนให้เกิดเคลื่อนย้ายจากภพภูมิหนึ่งไปภพภูมิหนึ่ง มนุษย์ก็สามารถเกิดเป็นสัตว์ ได้สัตว์ก็สามารถเกิดเป็นมนุษย์ได้ถ้าเกิดเป็นสัตว์หรือต่ำกว่าสัตว์ก็ทำให้การเรียนรู้ที่จะหลุด พ้นจากสังสารวัฏนี้ยากยิ่งขึ้น ในคัมภีร์อุปนิษัทมีหลายอุปนิษัทที่กล่าวถึงกฎแห่งกรรมและการเกิดใหม่ แนวคิด เรื่องกฎแห่งกรรมและการเกิดใหม่ในปรัชญาอินเดียน่าจะมาจากแนวคิดเรื่องฤตะในคัมภีร์ พระเวท “ฤตะ” หมายถึง ความเป็นระเบียบแห่งสรรพสิ่งในจักรวาล หรืออีกนัยหนึ่งได้แก่ ความเป็นระเบียบในธรรมชาติตามแนวปรัชญาอินเดียกฎแห่งกรรมมีความหมายเป็น 2 นัย (1) หมายถึงกฎแห่งธรรมชาติหรือกฎแห่งเหตุผล (2) กฎแห่งศีลธรรม ในความหมายที่เป็น เป็นกฎธรรมชาตินี้ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเป็นไปตามอำนาจแห่งเหตุปัจจัย เมื่อเกิดขึ้นก็มาจาก เหตุที่ทำให้เกิดขึ้น เมื่อดำรงอยู่ก็มีเหตุให้ดำรงอยู่ เมื่อเสื่อมสลายไปก็มีเหตุให้เสื่อมสลาย ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดำรงอยู่หรือดับไปอย่างลอยๆ โดยไม่มีเหตุปัจจัย ส่วนในแง่ที่เป็นกฎแห่ง ศีลธรรมนั้น หมายถึงการกระทำของสิ่งที่มีชีวิต หรือกฎที่เกี่ยวกับกระทำของมนุษย์ หลักทั่วไปมีอยู่ว่า การทำดีย่อมได้รับผลดี การทำชั่วย่อมได้รับผลชั่ว การประกอบกรรมดี หรือกุศลกรรมอย่างหนึ่งตามคำสอนของอุปนิษัท นอกจากนี้ถือว่าเป็นกุศลกรรมเช่นการสร้าง หรือทำสิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์ งานสังคมสงเคราะห์ การบริจาคทานหรือการช่วยเหลือ ผู้อื่น ตัวอย่างกุศลกรรมเหล่านี้เป็นกุศลกรรมขั้นธรรมดา การบำเพ็ญตบะแบบนักบวชเพื่อ บรรลุโมกษะเป็นกุศลกรรมขั้นสูงสุด ปรัชญาอุปนิษัทมีความเชื่อในการเกิดใหม่หรือโลกหน้าภพหน้า เมื่อร่างกายนี้ แตกดับหรือตายไปชีวาตมันก็จะเคลื่อนออกจากร่างเก่าไปอาศัยอยู่ในร่างใหม่ เปรียบเหมือน คนเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดเก่าแล้วสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ กล่าวคือก่อนที่ชีวาตมันจะออกจากร่างเก่า มันจะต้องหาร่างใหม่สำหรับไปอาศัยให้ได้เสียก่อน เมื่อพบร่างใหม่แล้วมันจะทิ้งร่างเก่าไป แต่ร่างใหม่ที่มันจะไปอาศัยอยู่นี้จะดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับกรรมดีหรือกรรมชั่วที่ชีวาตมันได้เคย กระทำสะสมไว้พฤหทารัณยกอุปนิษัทกล่าวผลแห่งการศึกษาหรือการเรียนรู้และผลแห่งการ กระทำย่อมติดตามไปกับชีวาตมันด้วย ส่วนฉานโทคยอุปนิษัทกล่าวมีทางแห่งการไปเกิดใหม่ ของชีวาตมันอยู่ 2 ทาง คือ (1) ทางสว่างหรือทางแห่งเทพ (เทวยาน) (2) ทางมืดหรือทางแห่ง บิดร (ปิตฤยาน) ผู้ที่บำเพ็ญตบะหรือสมณธรรมเพื่อความรู้แจ้งในพรหมัน เมื่อตายแล้ว


| สยาม ราชวัตร ชีวาตมันจะดำเนินไปตามทางแห่งเทพซึ่งเป็นทางที่เกษมโดยผ่านอากาศ พระอาทิตย์ พระจันทร์แล้วเข้าสู่โลกแห่งความเป็นเอกภาพกับพรหมัน ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด อีก ส่วนผู้บำเพ็ญกุศลกรรมขั้นสามัญตายแล้วชีวาตมันจะดำเนินไปตามทางแห่งควันหรือทาง แห่งความมืด ไปอยู่ในโลกแห่งบิดรชั่วระยะเวลาหนึ่ง เมื่อครบกำหนดแล้วก็จะกลับมาเกิดใน โลกมนุษย์อีก โดยกลับตามทางเดิม ลงมาสิงสถิตอยู่ในพวกพืชพันธุ์ธัญญาหาร เมื่อมนุษย์ บริโภคพืชพันธุ์ธัญญาหารนั้นเข้าไปก็เข้าไปถือกำเนิดในร่างกายของมนุษย์ สำหรับผู้ที่ทำ กรรมดีไว้ก็จะเกิดในที่ดี เช่น เกิดเป็นพราหมณ์ กษัตริย์แพศย์ส่วนผู้ที่ทำกรรมชั่วไว้มากมาย ตายแล้วจะไปสู่ยมโลกเสวยความทุกข์ตามควรแก่กรรมของตน เมื่อพ้นจากยมโลกแล้วหาก เกิดมาเป็นมนุษย์ก็จะเกิดในตระกูลต่ำ เช่น ตระกูลศูทร จัณฑาล หรือไม่เกิดภพภูมิที่ต่ำว่ามนุษย์ เกิดเป็นสัตว์ เช่น เป็นสุนัข หมู แมว แพะ แกะ เป็นต้น (สุนทร ณ รังษี, 2545, น. 47-48) 5.3 แนวคิดและค าสอนเรื่องมายาและอวิทยา (māyā and avidyā) พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล อังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมาย ของมายาและอวิทยาว่า คำว่า “มายา” มาจากรากศัพท์มา แปลได้หลายอย่าง เช่น สร้าง แสดง หรือวัด เป็นคำที่มีความสำคัญมากคำหนึ่งในศาสนาและปรัชญาฮินดู โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งในด้านอภิปรัชญาและญาณวิทยา ในคัมภีร์ฤคเวท คำว่า “มายา” โดยทั่วไปหมายถึงทิพย อำนาจหรืออำนาจเหนือธรรมชาติ เทพเจ้าที่เกี่ยวข้องกับคำว่ามายามากที่สุดได้แก่พระอินทร์ และพระอัคนีโดยใช้หมายถึงทิพยอำนาจของเทพสององค์นี้ ในคัมภีร์อาถรรพเวทใช้ใน ความหมายว่า “มายาการ” หรือการแสดงกล หรือภาพลวงตา (illusion or magic) (ราชบัณฑิตยสถาน, 2542, น. 189) ส่วนคำว่า “อวิทยา” แปลความว่า ความไม่รู้จริง (ignorance, misconceptions, misunderstandings, incorrect knowledge) เป็นภาวะที่ไม่มีเบื้องต้น เพราะอยู่เหนือ กาลเวลา แต่เป็นต้นเหตุให้เกิดกาลเวลาและโลกหรือเอกภพขึ้น เพราะทั้งกาลเวลาและโลก เป็นเพียงภาพปรากฏที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจหน้าที่ของอวิทยา อวิทยานั้นมีหน้าที่ 2 ประการ คือ (1) อาวฺฤตฺติได้แก่ ปกปิดลักษณะแท้ของสิ่งทั้งหลาย (2) อเกษปะ ได้แก่ทำให้เห็นเป็น อย่างอื่น อย่างที่ท่านศังกราจารย์แห่งสำนักปรัชญาอไทวตะ เวทานตะ อธิบายไว้ว่า สิ่งที่มีอยู่ จริงคือพรหมัน โลกและสิ่งทั้งหลายมาจากพรหมัน คือเป็นภาพปรากฏของพรหมัน ดั้งนั้น ลักษณะแท้ของโลกและสิ่งทั้งหลายก็คือพรหมัน แต่ที่เรามองเห็นและสิ่งทั้งหลายว่าเป็นจริง นั้น เพราะอำนาจหน้าที่ของอวิทยาดังกล่าว และเพราะ อวิทยามีอำนาจหน้าที่เช่นนี้เองบาง ทัศนะจึงกล่าวว่า อวิทยาเป็นบ่อเกิดของมายาทั้งหลาย และอวิทยาจะหยุดสร้างมายาก็ ต่อเมื่อมีวิทยาเกิดขึ้น (ราชบัณฑิตยสถาน, 2542, น. 44-45)


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | แนวคิดเรื่องมายามีความสัมพันธ์กับความเชื่อเรื่องการเกิดขึ้นและดำเนินไปของ จักรวาล โลก และสรรพสิ่ง สืบเนื่องจากอุปนิษัทยอมรับสิ่งสมบูรณ์เพียงหนึ่งหรือเอกภาวะว่า มีอยู่ได้เอง ทั้งยังเป็นที่มาของสิ่งอื่นด้วย พรหมันในฐานะเป็นผู้ก่อให้เกิดเรียกว่า “อิศวร” อิศวรสร้างโลก แต่การสร้างของท่านไม่เหมือนกับพระผู้สร้างของศาสนาเทวนิยมทั่วไป ทั้งนี้ อิศวรไม่ได้สร้างโลกขึ้นมาตามประสงค์ของท่าน แต่สร้างโลกและสิ่งต่างๆ ตามสภาพแห่ง กรรมที่บุคคลสะสมไว้ เพราะมนุษย์ต้องรับผิดชอบผลกรรมของตนเอง อิศวรจึงประทานโลก หรือสังสารวัฏเพื่อรองรับกรรมที่ยังไม่หมดสิ้นของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ดังนั้นการสร้างโลกของ อิศวรซึ่งก็คือพรหมันในแง่บุคลาธิษฐานจึงมีข้อพิเศษตรงที่โลกไม่ได้เกิดจากเจตจำนง (will) ของพระเจ้า แต่โลกเป็นบางสิ่งหรือเป็นธรรมชาติที่ไหลออกมาจากพรหมัน เรียกว่าเป็น พัฒนาการต่อเนื่องอย่างเป็นไปเองของสิ่งสมบูรณ์การสร้างโลกของอิศวรเกี่ยวข้องกับมายา เพราะมายาทำให้เราเห็นโลกเป็นโลก แทนที่จะเห็นเป็นความจริงเดียวกัน มายาทำให้เราเห็น เขาเป็นเขาและเราเป็นเรา และนั่นนำไปสู่การมองเห็นสิ่งต่างๆ ตามมาอีกมากมาย ผู้คนจึง สงสัยกันว่า มายาคืออะไรและเกิดมาได้อย่างไร? มีคำอธิบายเรื่องนี้เช่นจากสำนักเวทานตะ ของฮินดูอธิบายว่ามายาเป็นอำนาจแฝงของพรหมัน ความจริงคือพรหมัน แต่เป็นส่วนที่ไร้ สัมปชัญญะ เพราะไม่รู้ในความจริงคือตัวเอง มายาจึงสะท้อนเอกภาวะออกมาเป็นโลกแห่ง พหุภาวะหรือความหลากหลาย ทำให้ตัวตนเล็กหรือชีวาตมันในตัวเรามองไม่เห็นความจริง เดียวกัน มายาทำให้เราเห็นว่ามีการเกิดตายเพิ่มลดงอกเงยเสื่อมสลาย มีความแปรเปลี่ยนและ ไม่เที่ยงอยู่ทุกหนแห่ง ทำให้เราเข้าใจว่าสภาพเหล่านี้คือความจริง ทั้งที่ความจริงคืออมตภาพที่ แผ่ซ่านเป็นอันหนึ่งอันเดียวเท่านั้น (สุมาลี มหณรงค์ชัย, 2546, น. 229-230) แนวคิดเรื่องอวิทยา มีความหมายถึงความไม่รู้เหมือนกับแนวคิดอวิชชาในทางพุทธ ศาสนา ทัศนะของสำนักอไทวตะเวทานตะอธิบายว่า อวิทยาคือตัวที่ทำให้ชีวะหรือชีวาตมัน หลงผิดคิดว่าตนต่างจากพรหมัน เพราะไม่รู้จึงเข้าใจผิดว่าพรหมันเป็นโลกที่หลากหลาย อวิทยาคือตัวซ่อนหรือปกปิดความจริง ทำให้มองไม่เห็นรากฐานตัวตนแท้ในมุณฑกอุปนิษัท อธิบายว่า สัจจะเริ่มต้นที่อมตภาวะ สิ่งทั้งหลายแตกออกมาและจะกลับไปสู่ภาวะเดียวกันนี้ จาก “ตัวตน” ที่ไม่เกิด บริสุทธิ์ และส่องสว่าง ซึ่งไม่ใช่จิตหรือลมหายใจสูงส่งที่สุด และอยู่ เหนือทุกอย่าง จากตัวตนนี้จึงเกิดมีลมหายใจแห่งชีวิตมีจิตและประสาทสัมผัส เกิดท้องฟ้า ลม แสง น้ำ ผืนดิน ภูเขา มหาสมุทร เรื่อยไปถึงแม่น้ำสายต่างๆ ตัวตนนี้มีไฟเป็นศีรษะ มีตะวันและ จันทราเป็นดวงตา มีขอบเขตแห่งเทศะเป็นหู มีศุรติในพระเวทเป็นเสียง มีลมเป็นลมหายใจ มี จักรวาลเป็นหัวใจ มีผืนดินอันเกิดจากเท้าและมีสัตว์ทั้งหลายเป็นเปลือกหุ้มตัวตนภายในนี้อยู่ จากตัวตนคือไฟอันมีดวงตะวันเป็นเชื้อเพลิง จากดวงจันทร์จึงก่อเกิดฝน พืชพันธุ์ และมนุษย์ สัตว์ทั้งหลายล้วนแต่มีรากเหง้ามาจากตรงนี้จากตัวตนจึงมีพระเวท มีการอุทิศบวงสรวง มี ยัญบูชา มีพิธีกรรม มีฤดูกาล มีสมณะ เทพเจ้า สัตว์ดิรัจฉาน ธัญญาหาร ศรัทธา สัจจะ กรรม กฎศักดิ์สิทธิ์ และการประพฤติพรหมจรรย์เพราะทั้งหมดนี้มี “ตัวตน” อยู่ภายใน มี “ตัวตน”


| สยาม ราชวัตร ซึ่งเป็นอมตภาพสูงสุด ผู้ใดรู้ว่าศูนย์กลางอันนี้แฝงเร้นอยู่ในสิ่ง ผู้นั้นย่อมสามารถตัดเงื่อนปม ของอวิทยาได้ที่นี่และบัดนี้(Zaehner R.C., 1992, pp. 234-236 อ้างในสุมาลี มหณรงค์ชัย, 2546, น. 233) เพราะการที่แนวคิดอวิทยาในอุปนิษัทบ่งถึงการไม่รู้ใน “ตัวตน” ที่เป็น ศูนย์กลางซ่อนเร้นอยู่ในสรรพสิ่ง อวิทยาของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูจึงแตกต่างจาก “อวิชชา” ของศาสนาพุทธอย่างสิ้นเชิง ความหมายของอวิชชาในคำสอนของศาสนาพุทธทั่วไปหมายถึง ความไม่รู้ไม่เห็นตามสภาพที่เป็นจริง ไม่รู้เท่าทันสภาวะต่างๆ ซึ่งก็คือความไม่รู้ในอริยสัจ 4 มองไม่เห็นทุกข์ สาเหตุของทุกข์ ความดับทุกข์และหนทางที่จะนำไปสู่ความดับทุกข์ เพราะ ไม่รู้จึงหลงไปกับสมมติบัญญัติที่จิตสร้างขึ้น เพราะขาดปัญญาพิจารณาจึงตัดสินความโดยเอา ตัณหาเป็นที่ตัวตั้ง แทนที่จะปล่อยกลับมีความยึดมั่น มองเห็นความไม่เที่ยงเป็นของเที่ยง สรุปคือความไม่รู้ของศาสนาพุทธมุ่งหมายที่ความไม่รู้ธรรมชาติ ไม่รู้อริยสัจ 4 หรือ ไม่รู้ ในปฏิจจสมุปบาท มองไม่เห็นว่า สิ่งทั้งปวงอิงอาศัยกันมีอยู่เท่านั้น ไม่ได้มีศูนย์กลางเร้นลับ ซับซ้อนอะไรในแบบที่อุปนิษัทว่าไว้เพราะฉะนั้นแม้อวิทยาและอวิชชาจะแปลว่าไม่รู้ เหมือนกัน แต่สิ่งที่ไม่รู้หรือปิดกั้นความหลุดพ้นเป็นคนละเรื่อง (สุมาลี มหณรงค์ชัย, 2546, น. 233-234) 5.4 แนวคิดและค าสอนเรื่องโมกษะ (Moksha) หลักคำสอนเรื่อง “โมกษะ” (liberation/Salvation) เป็นเป้าหมายสูงสุดในศาสนา พราหมณ์-ฮินดูเป็นอุดมคติสูงสุดทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดูความหมายของคำว่า “โมกษะ” ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายว่า “ความหลุดพ้น” (ราชบัณฑิตยสถาน, 2525, น. 661) กล่าวคือการหลุดพ้นจากสังสารวัฏ การหลุดพ้นจาก กรรมและอวิทยา การหลุดพ้นจากความทุกข์ไม่ต้องกลับมาเกิดใหม่อีก การถึงภาวะที่เรียกว่า “โมกษะ” เป็นเงื่อนไขที่สำคัญของการไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก หรือไม่ต้องเป็นไป ในระบบสังสารวัฏอีก ความหมายอีกด้านหนึ่ง คือการถึงโมกษะคือการเป็นอันหนึ่งเดียวกับ พรหมันหรือเข้าสู่ภาวะแหล่งดั้งเดิมนั่นคือสู่ความเป็นพรหมันหรือปรมาตมัน ภาวะของการบรรลุโมกษะ คือความรู้เกี่ยวกับตนเอง หรือความรู้เกี่ยวกับอาตมัน พรหมัน เป็นเอกภาพในความหลากหลาย ภาวะเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ก็โดยการควบคุมตัวเอง จากอำนาจของตัณหาและความปรารถนาทางโลกทั้งหมด ด้วยการศึกษาพระเวทและ การบำเพ็ญตบะ ศาสนาพราหมณ์ฮินดูกล่าวถึงโมกษะไว้ 2 ประการ คือ (1) วิเทหมุกติ คือโมกษะหลังสิ้นชีวิตแล้ว (2) ชีวันมุกติคือโมกษะขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อบรรลุโมกษะแล้ว ถือว่าตัณหาและราคะทั้งหมดเป็นอันหมดสิ้น นี่คือภาวะความสมบูรณ์ที่สุดของอาตมัน ความสุขในภาวะเช่นนี้เป็นบรมสุขที่อยู่เหนือความเข้าใจและจินตนาการทั้งหมด ไม่สามารถ


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | อธิบายเปรียบเทียบได้กับความสุขใดๆ ที่มนุษย์คุ้นเคยกัน อาตมันที่หลุดพ้นแล้วจะปลอดจาก เครื่องผูกพันและความไม่รู้ทั้งปวง (วิทยา ศักยาภินันท์, 2549, น. 95-96) ชีวิตในทางโลกตามปกติเต็มไปด้วยความทุกข์ ซึ่งไม่มีใครปรารถนาจะทุกข์แต่เมื่อ ประสบทุกข์ไม่ว่าจะเป็นทุกข์ทางกายและทุกข์ทางใจ ก็ต้องดิ้นรนหาทางหมดทุกข์ มนุษย์ควรแสวงหาความหลุดพ้นทุกข์ที่ยั่งยืน ไม่ใช่ความหลุดพ้นจากทุกข์เพียงชั่วครั้งชั่วคราว ความหลุดพ้นจากทุกข์ที่ยั่งยืนก็คือการเข้าถึงโมกษะที่หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดตลอดกาล ไม่ต้องกลับมาเกิดใหม่อีก จิตในปัจจุบันเข้าถึงภาวะโมกษะ เมื่อกายนอกดับสลายไปจิตเข้าถึง ภาวะนิรันดร์เป็นหนึ่งเดียวกับความจริงสูงสุด ที่เรียกว่า “พรหมัน” บทสรุป แนวคิดและหลักคำสอนที่เป็นแก่นหลักของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นคำสอนที่ได้ พัฒนาการและปรับปรุงขึ้นในเชิงแนวคิดที่อธิบายความจริงทางอภิปรัชญา (metaphysics) ว่ามีทัศนะอย่างไรต่อการมีอยู่ของจักรวาล โลก และชีวิตมนุษย์? แนวคิดและคำสอนเกิดขึ้น และมีการตีความมากในช่วงที่มีพุทธศาสนาเป็นคู่ขนานทางความคิด ประกอบด้วยหลัก คำสอนสำคัญได้แก่ แนวคิดเรื่องอาตมัน พรหมัน กรรม สังสารวัฏ มายา อวิทยา และโมกษะ เพื่อเสนอคำตอบว่าความจริงของสรรพสิ่งคืออะไร? มนุษย์เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้อย่างไร? เป็นการอธิบายภาพใหญ่ว่าจักรวาลเกิดขึ้นได้อย่างไร สรรพชีวิตที่เป็นอยู่นี้ว่ามาจากไหน และ ควรจะพัฒนาไปสู่แหล่งที่มาอันสูงสุด นั่นคืออาตมันและพรหมัน หลักคำสอนเรื่องกรรมที่ สัมพันธ์กับการเวียนว่ายตายเกิดในระบบสังสารวัฏ เพราะยังมีอวิทยาคือความไม่รู้ความจริง ยังติดอยู่ในมายาสิ่งที่เปลือกนอก ทำให้ชีวิตเข้าไม่ถึงภาวะโมกษะคือทางหลุดพ้นจากระบบ สังสารวัฏ ถ้ามนุษย์ฝึกฝนชีวิตตนเองจนเข้าถึงโมกษะได้ก็พบภาวะดั้งเดิมแท้หรือที่มาอัน บริสุทธิ์คือพรหมัน จึงกล่าวได้ว่าแนวคิดและหลักคำสอนสำคัญเหล่านี้ในศาสนาพราหมณ์ ฮินดูเป็นการสอนให้มนุษย์เข้าใจถึงความเป็นจริงแท้ของชีวิตที่ต้องเรียนรู้และพัฒนาชีวิต ต่อไปเพื่อบรรลุเป้าหมายอันสูงสุดและไม่ต้องกลับมาเกิดใหม่อีกเป็นชีวิตที่นิรันดร์


| สยาม ราชวัตร ค าถามท้ายบท 1) คำสอนเรื่อง “อาตมัน” ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู อธิบายประเด็นอะไรเกี่ยวกับชีวิต มนุษย์ในจักรวาล ? 2) คำสอนเรื่อง “พรหมัน” ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นเป้าหมายสูงสุดของ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูอย่างไร? มีความสัมพันธ์กับอาตมันอย่างไร ? 3) ทำไมแนวคิดและความเชื่อเรื่องสังสารวัฏและกรรม จึงเป็นคำสอนร่วมของ ศาสนาทั้งหลายในประเทศอินเดีย ? 4) ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมีคำสอนเรื่องสังสารวัฏและกรรมอย่างไร? 5) ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมีคำอธิบายอย่างไรเกี่ยวกับการเกิดใหม่ของสรรพสัตว์ใน ระบบสังสารวัฏ ? 6) แนวคิดเรื่องมายากับอวิทยา มีความสัมพันธ์กันอย่างไร ? 7) แนวคิดเรื่องโมกษะ มีความสัมพันธ์อย่างไรกับคำว่าพรหมัน ? 8) ทำไมศาสนาพราหมณ์-ฮินดู จึงเสนอว่า “โมกษะ” เป็นทางอันประเสริฐหรือ ภาวะอันสูงสุดของชีวิตมนุษย์ ? 9) จงเปรียบเทียบคำสอน เรื่อง “โมกษะ” ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู กับ “นิพพาน” ในศาสนาพุทธ ว่ามีความเหมือนกันและแตกต่างกันอย่างไร ? 10) แนวคิดและคำสอนเรื่อง “กรรมเก่า” มีอิทธิพลอย่างไรต่อชีวิตปัจจุบันในทัศนะ ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและจะแก้ไขกรรมเก่าได้อย่างไร ?


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู |


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | 6 ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูถ่ายทอดหลักคำสอนไปสู่หลักปฏิบัติของศาสนิกจนกลายเป็น วิถีชีวิตของชาวฮินดูการศึกษาหลักปฏิบัติและวิถีชีวิตของชาวฮินดูจะต้องย้อนไปศึกษาถึง เบื้องหลังความเป็นมาว่าอะไรคือแนวคิด และอะไรคือหลักคำสอนที่อยู่เบื้องหลังของวิถีชีวิต ดังกล่าวนั้น ทำไมชาวฮินดูจึงมีวิถีปฏิบัติเช่นนั้น จะทำให้เราทราบความเป็นมาว่าทำไมชาว ฮินดูจึงปฏิบัติเช่นนั้น ในบทนี้ผู้เขียนจะนำเสนอ 4 หลักปฏิบัติสำคัญที่ชาวฮินดูได้ยึดถือเป็น หลักปฏิบัติและเป็นวิถีชีวิตของชาวฮินดู ประกอบด้วย (1) หลักวรรณะ (2) หลักอาศรม (3) หลักปุรุษารถะ และ (4) หลักโยคะ ซึ่งแต่ละหลักปฏิบัติมีรายละเอียดคำอธิบาย ดังนี้ 6.1 หลักวรรณะ 4 (the stations of Life) หลักวรรณะเป็นระบบทางสังคมในอินเดียที่ยึดถือเป็นหลักปฏิบัติในการดำเนินชีวิต ชาวอินเดียมายาวนานอย่างเหนียวแน่น เป็นหลักปฏิบัติที่แสดงว่าแต่ละคนเกิดมามีหน้าที่ อย่างไรในการปฏิบัติหน้าที่ให้เหมาะกับวรรณะของตนเอง มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาของ หลักปฏิบัติทั้ง 4 วรรณะเป็นมาอย่างไรที่กล่าวไว้ในคัมภีร์พระเวท องค์ประกอบของวรรณะมีอยู่ 4 ประการ ประกอบด้วย (1) พราหมณ์ (2) กษัตริย์(3) แพศย์(4) ศูทร มีรายละเอียดดังนี้ 6.1.1 ความหมายและแหล่งที่มาของวรรณะ คำว่า “วรรณะ” (Varna) ตามตัวอักษรหมายถึง “สี” หรือ “ผิวพรรณ” ความหมายในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูหมายถึงแหล่งกำเนิดแต่ละบุคคล ซึ่งมีศัพท์ใกล้ ความหมายนี้คือคำว่า “ชาติ” คือการเกิด ถามว่าระบบวรรณะเกิดขึ้นมาได้อย่างไรในสังคม


| สยาม ราชวัตร อินเดีย? การจะตอบเรื่องนี้ต้องย้อนไปศึกษาประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์อินเดียที่ได้กล่าวไว้ใน บทก่อนหน้านี้ ซึ่งจะกล่าวถึงความเป็นมาของ 2 เผ่าพันธุ์บรรพบุรุษอินเดีย ได้แก่เผ่าอารยัน ผู้รุกรานและเผ่าดราวิเดียนผู้อยู่ในพื้นที่เดิม และต้องศึกษาไปถึงคัมภีร์พระเวทซึ่งเป็นคัมภีร์ ทางประวัติศาสตร์เก่าแก่ของอินเดียได้บันทึกหลักฐานความเชื่อและหลักปฏิบัติเรื่องวรรณะ ไว้ในคัมภีร์พระเวทมีบันทึกว่า พวกอารยันซึ่งเป็นเผ่าเร่ร่อนมีอาชีพเลี้ยงสัตว์เข้ามารุกราน เผ่าดราวิเดียน โดยผู้นำของชาวอารยันมีนามว่าพระอินทร์ ได้ทำลายเมืองของชาวดราวิเดียน จนเผ่าพื้นเมืองพ่ายแพ้พากันหลบหนีเข้าไปในป่า พวกอารยันได้จับพวกดราวิเดียนเป็นทาส ตามอำเภอใจ เช่นปรากฏบทสวดในฤคเวทว่า “โอ พระอัคนีวีรบุรุษได้สังหารศัตรู ได้ยึดเอา ทรัพย์สมบัติของพวกปาณิสหรือทัศยุ และพระอินทร์ได้สังหารทาสและขยายอำนาจให้กับ อารยัน” (Rg Veda VI. 13.3) การแบ่งวรรณะในสังคมอินเดียโบราณออกเป็น 4 กลุ่ม (ภาพที่ 6.1 ) ประกอบด้วย (1) วรรณะพราหมณ์ (Brahmins) มีหน้าที่ด้านพิธีกรรมทางศาสนาและ สั่งสอนความรู้จากพระเวท บุคคลที่อยู่ในวรรณะนี้เช่น พราหมณ์ผู้ประกอบพิธีกรรม ครูอาจารย์ เป็นต้น (2) วรรณะกษัตริย์(Kshatriyas) มีหน้าที่ผู้ปกครอง ออกรบป้องกันประเทศ บุคคลที่อยู่ในวรรณะนี้เช่นกษัตริย์ ทหาร ตำรวจ เป็นต้น (3) วรรณะแพศย์(Vaishyas) มีหน้าที่เป็นพ่อค้า ค้าขาย ผลิตอาหาร ทำเกษตรกรรม บุคคลที่อยู่ในวรรณะนี้เช่น พ่อค้า เกษตรกร เป็นต้น (4) วรรณะศูทร (Shudras) มีหน้าที่รับจ้าง เป็นกรรมกร รับใช้ผู้อื่น บุคคลที่ อยู่ในวรรณะนี้เช่นกรรมกร คนรับใช้ ทาส เป็นต้น แหล่งที่มาภาพ :https://www.shutterstock.com/image-vector/indian-hindu-caste-system-social-600w-1882534078.jpg


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | ทำไมวรรณะจึงมี4 วรรณะ? มีคำอธิบายรองรับแหล่งที่มาของวรรณะ ปรากฏ ในคัมภีร์พระเวท ตอนปุรุษสุกตะได้ยืนยันว่าวรรณะทั้งหลายเกิดจากการที่ปุรุษะถูกทำพลี กรรมและก่อให้ผลตามมา คือ “พราหมณ์เกิดจากปาก กษัตริย์เกิดจากแขนทั้งสอง แพศย์เกิด จากแข้ง ส่วนศูทรเกิดจากเท้า” (Rg Veda X.90.11.12 quoted in L.A. Herman, 1991, p. 53) จากการที่คัมภีร์พระเวทได้อธิบายแหล่งที่มาและหน้าที่ของวรรณะทั้ง 4 นี้ มีการ ตีความอธิบายว่า วรรณะทั้ง 4 มีความเชื่อมโยงเชิงสัญลักษณ์กับส่วนร่างกายของปุรุษะ คือ พราหมณ์มีหน้าที่ติดต่อกับเทพเจ้าจึงอยู่สูงสุดจึงอยู่ที่ส่วนปาก กษัตริย์มีหน้าที่ในการกวัด แกว่งอาวุธจึงอยู่ที่ส่วนแขน พวกแพศย์หรือพ่อค้ามีหน้าที่ทำเกษตรกรรมและค้าขายจึงอยู่ที่ ส่วนแข้งหรือรวมถึงท้องด้วย ส่วนศูทรเกิดจากเท้ามีหน้าที่ต่ำสุดในสังคมคือรับใช้วรรณะทั้ง สามข้างต้น นอกจากนี้ยังคำอธิบายเชิงปรัชญาที่สนับสนุนการเกิดขึ้นและดำรงของวรรณะ เช่นในคำสอนปรัชญาสางขยะได้อธิบายว่า ก่อนการเกิดของสรรพสิ่ง มีธรรมชาติพื้นฐานอยู่ 2 อย่าง คือปุรุษะที่เป็นจิตกับประกฤติที่เป็นวัตถุ ทั้งสองได้มาผสมผสานเข้าด้วยกันด้วยอำนาจ ดึงดูดของประกฤติก่อให้เกิดไตรคุณหรือลักษณะ 3 ประการ คือ สัตวะ รชะ และ ตมะ ทั้ง สามประการนี้ได้พัฒนาออกไปเป็นผู้คนทั้งสามวรรณะ คือ สัตวะมีธรรมชาติเป็นสีขาวบริสุทธิ์ได้ กลายเป็นวรรณะพราหมณ์รชะมีธรรมชาติเป็นสีชมพูได้กลายเป็นวรรณะกษัตริย์ และตมะมี ธรรมชาติเป็นสีดำได้กลายเป็นวรรณะแพศย์ และแนวคิดที่สำคัญที่มีอิทธิพลต่อการจัดวาง ลำดับของวรรณะ คือแนวคิดความบริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์การที่พราหมณ์เกิดจากฐานปากซึ่ง สูงส่งกว่า สีประจำวรรณะจึงเป็นสีขาว เป็นสีแห่งความบริสุทธิ์ รองลงมาเป็นกษัตริย์มีสีแดง เป็นสีประจำวรรณะ สีแดงเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจ และท้ายสุดแพศย์ซึ่งแทนด้วยสีดำ จะเห็นได้ว่าแม้ในกลุ่มอารยันเหมือนกันก็มีการจัดลำดับชั้นและแพศย์อยู่ในขั้นต่ำสุดในหมู่ อารยันด้วยกัน ในภายหลังเรื่องระบบเริ่มมีการยอมรับมากขึ้นในสังคมอินเดีย เพราะการสู้กัน ระหว่างเผ่าอารยันกับดราวิเดียนไม่มีแล้ว เพราะศูทรที่เป็นพวกดราวิเดียนยอมรับความพ่าย แพ้อย่างราบคาบ พวกอารยันได้ขยายพื้นที่ออกไปอย่างกว้างขวางเพื่อรักษาสถานะอันสูงส่ง ของตนเองพร้อมกับกดขี่วรรณะศูทร พวกพราหมณ์ได้สร้างระบบ “อุปนยัน” ขึ้นมา กล่าวคือการทำพิธีกรรมเพื่อบอกว่าเป็นการเกิดครั้งที่สองของชีวิตเรียกว่า “ทิชชาติ” ของ สามวรรณะแรก ถือเป็นป้อมปราการที่จะปกป้องการเลื่อนไหลของวรรณะได้อย่างเห็นผล ฝ่ายวรรณะศูทรซึ่งเป็นเผ่าท้องถิ่นดั้งเดิมที่เป็นฝ่ายถูกกระทำมาตั้งแต่ต้นต้อง ประคับประคองสถานภาพของตนเองไปตามเงื่อนไขของสังคมอินเดียแต่ละช่วงสมัย แม้ในยุค พระเวทการแบ่งแยกวรรณะเป็นไปอย่างหลวมๆ ไม่มีกฎเกณฑ์ที่หยุมหยิมมากนัก แต่มาใน สมัยยุค พราหมณะเริ่มมีความเข้มงวดมากขึ้น เพราะพวกพราหมณ์เริ่มสร้างกำแพงกีดกัน ความสูงส่งบริสุทธิ์ของกลุ่มตนมากขึ้น ยิ่งกลุ่มพราหมณ์เชิดชูตนเองสูงส่งมากเท่าใดก็ยิ่งเป็น การกดขี่กดทับศูทรมากขึ้นเท่านั้น สถานการณ์เริ่มมาผ่อนคลายในช่วงอุปนิษัทอันเป็นยุคแห่ง เหตุผล ศูทรพอที่จะมีพื้นที่ยืนในสังคมสามารถแสดงเหตุผลโต้เถียงกับวรรณะอื่นได้ เป็นยุค


| สยาม ราชวัตร สมัยที่คาบเกี่ยวและใกล้เคียงกับการเกิดขึ้นของพุทธศาสนา เลยจากยุคอุปนิษัทมาเล็กน้อย มาถึงยุคสูตร พวกพราหมณ์ได้สร้างกรอบการปกป้องส่งเสริมความบริสุทธิ์ของวรรณะ พราหมณ์ให้ชัดเจนขึ้นโดยสร้างพิธีแห่งชีวิตตั้งแต่เกิดจนถึงตาย มีชื่อเรียกพิธีนี้ว่า “สังสการ” ซึ่งพวกศูทรไม่สามารถผ่านพิธีกรรมนี้ได้ก็ทำให้ไม่มีพื้นที่ยืนในสังคมอีกครั้ง (สมหวัง แก้วสุฟอง, 2561, น. 120-121) ในมิติทางสังคมวิทยามีการตีความประเด็นเกี่ยวกับวรรณะว่า การแบ่งวรรณะใน สังคมอินเดียโบราณเป็นการแบ่งที่ตายตัวเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ผู้มีหน้าที่ใดจะต้องทำหน้าที่นั้น เปลี่ยนหน้าที่ไปทำอย่างอื่นไม่ได้ ลูกหลานเหลนสืบต่อมาก็ต้องทำหน้าที่เช่นเดียวกับบรรพ บุรุษของตน เช่น แพศย์จะมาทำหน้าที่พราหมณ์ไม่ได้เด็ดขาด ผู้ฝ่าฝืนกฎนี้จะกลายเป็นนอก วรรณะ (outcaste) ซึ่งถือว่าต่ำสุดต่ำยิ่งกว่าศูทรเสียอีก จากจุดเริ่มต้นดังกล่าวนี้ การแบ่งชั้น วรรณะก็ขยายตัว และมีความเข้มงวดมากยิ่งขึ้นเมื่อกาลเวลาผ่านไป ภายในกรอบของวรรณะ ทั้ง 4 คือพราหมณ์ กษัตริย์แพศย์ ศูทรนั้นมีการแบ่งย่อยออกไปอีกนับพัน “วรรณะ” ซึ่งชาว อินเดียเองเรียกว่า “ชาติ” แต่ละวรรณะหรือชาติก็มีกฎปลีกย่อยเฉพาะของชาตินั้นๆ พวก นอกวรรณะก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นมากมาย ปัจจุบันมีประมาณกว่าร้อยล้านคน พวกนอกวรรณะนี้ มีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น จัณฑาล ศัพท์เดิม หมายถึงลูกเกิดจากพ่อศูทรแม่พราหมณ์แต่ใน ภาษาไทยมักใช้เรียกกลุ่มชนที่มีฐานะต่ำที่สุดในอินเดียซึ่งไม่จำเป็นจะต้องเกิดจากพ่อศูทรแม่ พราหมณ์ในภาษาอังกฤษมีหลายศัพท์ที่ใช้เรียกพวกกลุ่มคนฐานะต่ำสุดนี้ เช่น “outcasts” แปลว่า “พวกนอกวรรณะ” พวก “scheduled tribes” หมายถึงพวกชาวป่าที่ยังล้าหลังซึ่ง ถือเป็นพว กนอกวรรณะเช่นกัน พวก “ untouchables” หมายถึงพวก ไม่พึงสัมผัส พวกชนน่ารังเกียจไม่มีใครอยากเข้าใกล้ได้แก่พวกนอกวรรณะทั้งหลายนี้สำหรับ ท่านมหาตมะคานธีพยายามยกฐานะพวกนอกวรรณะเหล่านี้ให้เท่าเทียมกับผู้อื่นจึงเรียกพวก นี้ว่า “หริชน” (Harijan) แปลว่า “บุตรของพระเจ้า” ตามความเชื่อก่อนที่ จะได้รับอิทธิพลจากตะวันตก พวกนอกวรรณะประกอบได้แต่อาชีพที่ถือว่าต่ำต้อย เช่น คนกวาดถนน สัปเหร่อ ช่างทำเครื่องหนัง เป็นต้น สาเหตุที่ทำให้เกิดการแบ่งวรรณะกันอย่าง เข้มงวดในสมัยหลังนี้ มิใช่เพียงเรื่องของสีผีว การแบ่งหน้าที่หรือการแบ่งวรรณะระหว่าง ผู้ชนะกับผู้แพ้เหมือนเมื่อครั้งพวกอารยันเริ่มเข้ามาตั้งถิ่นฐานใหม่ๆ เพราะการแบ่งวรรณะ ในสมัยต่อมามีความซับซ้อนมากโดยยึดถือหลัก 3 ประการ คือ วรรณะเดียวกันจึงจะแต่งงาน กันได้วรรณะเดียวกันจึงกินอยู่ร่วมกันได้ และวรรณะเดียวกันจึงจะถ่ายทอดวิชาและอาชีพ ให้แก่กันได้(ศรีสุรางค์ พูลทรัพย์ และคณะ, 2542, น. 9-10)


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | 6.1.2 คุณสมบัติและหลักปฏิบัติแต่ละวรรณะ จากหลักฐานทั้งหลายข้างต้น จะเห็นว่าระบบวรรณะมีประวัติศาสตร์เป็นมา ยาวนานแสดงให้เห็นการอ้างความชอบธรรมเรื่องวรรณะของเผ่าอารยัน มีกลุ่มที่เห็นด้วยและ ไม่เห็นด้วยในการแบ่งกลุ่มคนในสังคมอินเดียโบราณ ผู้พ่ายแพ้สงครามเช่นดราวิเดียนคง ต้านทานพลังอำนาจของผู้ชนะไม่ได้เมื่อกาลเวลาผ่านมาหลายยุคหลายสมัยผู้คนในสังคม อินเดียสืบทอดความเชื่อเรื่องวรรณะมาอย่างเหนียวแน่นกลายเป็นวัฒนธรรมประเพณีของแต่ ละกลุ่มวรรณะต้องยึดถือปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เป็นสัญลักษณ์ความเป็นสังคมประเทศ อินเดียที่ต่างสืบทอดวิถีปฏิบัติเป็นหน้าที่แต่ละวรรณะต้องปฏิบัติตาม วรรณะทั้ง 4 จึง กลายเป็นความเชื่อที่ศักดิ์สิทธิ์ว่าวรรณะเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายของพรหมัน หน้าที่เฉพาะ แต่ละวรรณะนั้นก็เป็นหน้าที่ศักดิ์สิทธิ์ กล่าวคือปากของพระพรหมซึ่งเป็นปากศักดิ์สิทธิ์ย่อม ใช้กล่าวถึงสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์คือคัมภีร์พระเวท และรับใช้เครื่องสังเวยต่างๆ ความรู้อันศักดิ์สิทธิ์นี้ ใช้ในการปกครองดูแลร่างกายทั้งหมด พราหมณ์จึงมีหน้าที่อบรมสั่งสอนคนทุกวรรณะและ รับทรัพย์สินเงินทองจากคนวรรณะอื่นในฐานะเป็นเครื่องบูชา แขนเป็นแหล่งรวมแห่งกำลังที่ จะปกป้องร่างกาย ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายกษัตริย์จึงมีหน้าที่ปกครองคน ทุกวรรณะวางระเบียบและรักษาระเบียบให้ทุกวรรณะอยู่ร่วมกันอย่างถูกต้องและสงบสุข สำหรับแข้งหรือรวมถึงท้องด้วยนั้นมีหน้าที่หาเครื่องอุปโภคบริโภคอันจำเป็นและสะสมไว้ สำหรับคนทุกวรรณะ หน้าที่แสวงหาและสะสมทรัพย์จึงเป็นหน้าที่ของแพศย์ซึ่งจะแบ่งให้ พราหมณ์โดยการทำบุญแบ่งให้กษัตริย์โดยการเสียภาษีแก่รัฐ และแบ่งให้ศูทรโดยการเลี้ยงดู ส่วนศูทรซึ่งเป็นเท้าของพระพรหมนั้นมีหน้าที่รองรับให้ร่างกายมั่นคง ไม่ว่าวรรณะใดจะทำ การอันใดศูทรเป็นฐานรองรับอยู่เบื้องล่างสุด เพราะทำงานให้กับแพศย์เพื่อจะมีเครื่องอุปโภค บริโภคเลี้ยงดูทุกวรรณะ รับใช้คนวรรณะอื่นๆเพื่อให้วรรณะเหล่านั้นทำหน้าที่ของตนได้เต็มที่ และโดยสะดวก หากไม่มีศูทรการงานของวรรณะอื่นๆ ก็จะไม่มั่นคง การรับใช้อย่างตั้งใจและ เต็มความสามารถจึงเป็นหน้าที่ของศูทร ด้วยเหตุดังกล่าววรรณะทั้ง 4 จึงเป็นส่วนสำคัญของ ชีวิตไม่ต่างจากอวัยวะทั้งหลายของร่างกายและยังจะสำคัญกว่าเพราะเป็นส่วนอันศักดิ์สิทธิ์ ของพรหมัน ซึ่งเท่ากับว่าการทำตามหน้าที่เป็นจุดหมายสำคัญของการมีชีวิตอยู่ (ปรีชา ช้างขวัญยืน, สมภาร พรมทา, 2556, น. 161-162) จึงได้มีคำสอนให้แต่ละวรรณะสร้างคุณสมบัติและ ยึดถือหลักปฏิบัติหน้าที่สำหรับวรรณะประจำของตนให้สมบูรณ์ดังนี้(เสฐียร พันธรังษี, 2527ก, น. 63-65 และ กรมการศาสนา, ม.ป.ป., 113-117) 6.1.2.1 วรรณะพราหมณ์ คำว่า “พราหมณ์” หมายถึงผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับพรหมัน พระเวท และ อาตมัน ในคัมภีร์ธรรมศาสตร์อธิบายไว้ว่า ผู้ใดผู้หนึ่งที่มีลักษณะ 11 ประการ ผู้นั้นย่อมเป็น พราหมณ์ ประกอบด้วย


| สยาม ราชวัตร (1) ศมะ มีความสุภาพภายในจิตใจ ไม่ปั่นป่วนด้วยกามความโลภ ความโกรธและความหลงขาดปัญญา (2) ทมะ รู้จักระงับจิตไว้ได้ รำลึกอยู่ในหลักความเมตตาอยู่เสมอ (3) ตปะ ผจญต่อความลำบาก บำเพ็ญเพื่อหาความรู้ความจริง (4) เศาจะ การทำตนเองให้เป็นผู้มีความบริสุทธิ์ทั้งร่างกายและจิตใจ (5) สันโดษ มีความพึงพอใจในความสุขที่มีอยู่ (6) กษมา มีความอดกลั้น อดทนถือเอาความเมตตากรุณาเป็นที่ตั้ง (7) สรลา มีความซื่อตรงทั้งภายในจิตและภายนอก พูดตรง ทำตรง (8) ชญาณ มีความรู้ความเห็นชอบประกอบด้วยธรรม (9) ทยา มีความเมตตากรุณาต่อสรรพชีวิตทั้งหลาย (10) อาสติกตา มีความจงรักภักดีต่อพระพรหม (11) สัตยะ มีความเห็นอันสุจริต มีความซื่อสัตย์ ยึดมั่นในความจริง นอกจากคุณสมบัติทั้ง 11 ประการของความเป็นพราหมณ์ที่ พึงประสงค์แล้ว ความเป็นวรรณะพราหมณ์จะมีสิทธิและหน้าที่ที่จะกระทำในนามความเป็น วรรณะพราหมณ์อีก 6 ประการ กล่าวคือ (1) ปฐนํได้แก่ การได้รับการศึกษาขั้นสูง (2) ปาฐนํได้แก่การให้การศึกษาแก่ผู้อื่นได้ (3) ยชนะ ได้แก่ การทำพิธีบูชาต่างๆ ของตนเองได้ (4) ยาชนํได้แก่การทำพิธีบูชาต่างๆ เพื่อคนอื่นได้ (5) ทานํได้แก่ การทำบุญให้ทานแก่ผู้อื่นตามกำลังเท่าที่จะสามารถทำได้ (6) ปรติครหะ ได้แก่ การรับทักษิณาหรือบุญทานจากผู้มีจิตศรัทธาได้ 6.1.2.2 วรรณะกษัตริย์ วรรณะ “กษัตริย์” หมายถึงนักรบหรือผู้ป้องกันภัยให้กับรัฐ ตามลำดับ การจัดเป็นวรรณะที่สองรองมาจากพราหมณ์ มีสิทธิปกครองประเทศชาติ ในคัมภีร์ ธรรมศาสตร์อธิบายไว้ว่า ผู้ใดผู้หนึ่งมีลักษณะหรือคุณสมบัติ11 ประการ ผู้นั้นย่อมเป็น กษัตริย์ได้ประกอบด้วย (1) ศูรตา มีความกล้าหาญไม่รู้จักความกลัว (2) วีรยะ มีความเพียรในการเผชิญภัยอันตราย (3) ไธรยะ มีความมั่นคงไม่ท้อถอย (4) เตชะ มียศมีเกียรติรู้จักใช้อำนาจในทางที่ถูกต้อง (5) ทานะ รู้จักการให้ รู้จักสังเคราะห์อุปการะแก่ผู้อื่น (6) ทมะ รู้จักระงับจิตใจได้ด้วยความเมตตาอยู่เสมอ


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | (7) กษมา มีความอดทนอดกลั้นต่ออารมณ์ภายนอกที่มากระทบ (8) พราหมณภักดี มีความภักดีต่อวรรณะพราหมณ์ (9) ปรสันนตา มีความร่าเริง ไม่รู้จักวิตก (10) รักษภาวะ มีความพร้อมที่จะรักษาประเทศชาติเพื่อผดุงความยุติธรรม (11) สัตยะ มีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่คิดทรยศใคร นอกจากคุณสมบัติทั้ง 11 ประการของความเป็นกษัตริย์ที่พึงประสงค์แล้ว ความเป็นวรรณะกษัตริย์จะมีสิทธิและหน้าที่หลักปฏิบัติที่จะกระทำในนามความเป็นวรรณะกษัตริย์ อีก3 ประการ กล่าวคือข้อปฐนํ ยชนํ และทานํ เหมือนสามข้อแรกของวรรณะพราหมณ์ 6.1.2.3 วรรณะแพศย์ วรรณะแพศย์ หมายถึง ผู้ที่ประกอบการค้าและพาณิชยการต่างๆ เป็นวรรณะที่สามตามลำดับการจัดวรรณะ ในคัมภีร์ธรรมศาสตร์อธิบายไว้ว่า ผู้ใดผู้หนึ่ง มีลักษณะ 4 ประการ ผู้นั้นชื่อว่า แพศย์ประกอบด้วย (1) มีความเฉลียวฉลาดในการแลกเปลี่ยนสินค้า (2) มีความรู้ดีในการคำนวณ (3) มีความจงรักภักดีพระพรหม (4) มีความนับถือวรรณะพราหมณ์และวรรณะกษัตริย์ 6.1.2.4 วรรณะศูทร วรรณะศูทรเป็นวรรณะที่ต่ำสุด ตามคัมภีร์พระเวทบอกแหล่งที่มาของ การสร้างศูทรคือเกิดจากเท้าของพระพรหม เพราะฉะนั้นศูทรเปรียบเหมือนเท้าของร่างกาย ที่ต้องรองรับอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย หน้าที่การปฏิบัติของศูทรในสังคมคือการรับใช้ วรรณะต่างๆที่สูงกว่า ทำกิจการงานทั้งหลายโดยทั่วไป ในคัมภีร์ธรรมศาสตร์กล่าวอธิบายไว้ ว่า ผู้ใดผู้หนึ่งมีลักษณะทั้ง 7 ต่อไปนี้ ผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นศูทร ประกอบด้วย (1) นมรตา มีความสงบเสงี่ยมเจียมตัว (2) นิษกปฏตา ไม่มีความเฉื่อยชา ปราศจากการโกง ซื่อสัตย์ต่อนาย เป็นผู้รับใช้ที่ดี (3) เศาจะ การทำตนเองให้เป็นผู้มีความบริสุทธิ์ทั้งร่างกายและจิตใจ (4) อาสติกตา มีความจงรักภักดีต่อพระพรหม (5) อสเตยย ไม่ลักขโมยสิ่งของ (6) สัตยะ มีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่คิดทรยศนาย (7) อาทรภาวะ เคารพนับถือวรรณะที่สูงกว่า


| สยาม ราชวัตร มองภาพรวมของวรรณะทั้งหมด หลักคำสอนเรื่องวรรณะเป็นจุดมุ่งหมายของการชีวิต อยู่ของแต่ละบุคคลว่าเกิดมาเพื่อทำหน้าที่อะไรจึงมีคำสอนหลักปฏิบัติของแต่ละวรรณะเพื่อทำ หน้าที่ในการมีชีวิตอยู่ของตนเองและทำให้สังคมสมบูรณ์ขับเคลื่อนทุกภาคส่วนให้เดินไปได้ นั่นเอง ส่วนจะกลายเป็นเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ในเชิงความเชื่อที่เปลี่ยนแปลงวรรณะไม่ได้นั้นก็เป็น เรื่องห่อหุ้มสาระสำคัญที่ซ่อนในหน้าที่ของมนุษย์ ในทางสังคมที่ปัจเจกบุคคลได้รับหรือถูก มอบหมายหน้าที่อะไรแล้วก็จงทำหน้าที่นั้นอย่างสมบูรณ์ 6.2 หลักอาศรม 4 (Āśramas : the Stages of Life) คำว่า “อาศรม” ในพจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล อังกฤษ-ไทย ให้ความหมายว่า “ขั้นตอนการดำเนินชีวิตของมนุษย์” (ราชบัณฑิตยสถาน,2542, น. 40) หลักอาศรมใน ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเป็นหลักคำสอนเชิงจริยศาสตร์หรือคำสอนเชิงการปฏิบัติแบบวิถีชีวิต ชาวฮินดู มีการแบ่งช่วงชีวิตมนุษย์ออกเป็น 4 ขั้นตอน แต่ละขั้นตอนเรียกว่า “อาศรม” โดย ถือว่ามนุษย์มีอายุเฉลี่ยคิดแล้วได้ประมาณ 100 ปี แบ่งปีออกเป็น 4 ช่วงๆ ละประมาณ 25 ปีจะ ครบ 100 ปีของชีวิต นอกจากนี้คำว่า “อาศรม” หมายถึง ที่อยู่อาศัย ถ้าจะค้นความหมาย จากรากศัพท์ทางภาษา จะเห็นว่าคำว่าอาศรมมาจากรากศัพท์ภาษาสันสกฤต คือ “ศรมะ” ซึ่งหมายถึงความเพียรพยายาม ดังนั้น คำว่าอาศรมจึงหมายถึงความเพียรพยายามในแต่ละ ขั้นตอนของชีวิต การดำเนินชีวิตเพื่อบรรลุเป้าหมายคือโมกษะ เปรียบได้กับการเดินทาง ในการเดินทางให้ถึงจุดหมายนั้น ย่อมจะมีการกำหนดเส้นทางเป็นระยะ แต่ทุกระยะย่อม หมายถึงการเข้าไปใกล้จุดหมาย หลักอาศรมก็เช่นเดียวกัน คือการกำหนดการดำเนินชีวิต ออกเป็นระยะหรือระดับขั้นของการดำเนินชีวิตเพื่อบรรลุถึงเป้าหมายแห่งชีวิต ศาสนา พราหมณ์-ฮินดูได้กำหนดขั้นตอนของการดำเนินชีวิตไว้4 ขั้นตอน คือ (1) วัยพรหมจรรย์(Brahmacharya) ระยะศึกษาเรียนรู้(student) (2) วัยคฤหัสถ์(Grihastha) ระยะครองเรือน (householder) (3) วัยวานปรัสถ์(Vanaprastha) ระยะอยู่ป่า (retirement) (4) วัยสันยาสี(Sannyasa) ระยะสละโลก (renunciation) ขั้นตอนแห่งชีวิตทั้ง 4 ระยะนี้แม้จะกำหนดความหมายแต่ละระยะแตกต่างกัน ออกไป แต่ทั้งหมดล้วนมุ่งไปสู่โมกษะเป้าหมายสูงสุดแห่งชีวิต เหมือนการขึ้นบันไดที่ต้องก้าว ขึ้นไปตามขั้นทีละขั้น เพื่อบรรลุถึงจุดที่เป็นเป้าหมาย แต่ละขั้นย่อมจะต้องเพียรพยายามเพื่อ ข้ามไปสู่ขั้นที่สูงขึ้นไปตามลำดับ แนวคิดและคำสอนเรื่องอาศรม 4 ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู แสดงให้เห็นลักษณะพิเศษคือความอิสระที่ให้แต่ละคนได้ปฏิบัติตามความเหมาะสมแก่อัตภาพ ของตนเองแต่ละช่วงวัย (ประมวล เพ็งจันทร์ และคณะ, 2547, น. 68 ) มีรายละเอียดดังนี้


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | 6.2.1 วัยพรหมจรรย์ วัยพรหมจรรย์เป็นระยะแรกแห่งชีวิตแต่ละคน ประมาณช่วงเวลาอยู่ใน 25 ปี แรกของชีวิตคือประมาณช่วงอายุตั้งแต่ 1-25 ปี เป็นระยะแห่งการเรียนรู้และฝึกฝนอบรม ระเบียบวินัย เป็นช่วงแห่งการทดสอบความอดทนอดกลั้น โดยการกำกับดูแลของครูอาจารย์ ผู้หยั่งถึงความหมายแห่งชีวิตและรู้แจ้งชีวิตในแง่มุมต่างๆมาแล้ว ในระยะแห่งความเป็น นักศึกษานี้ จึงมีข้อห้ามเพื่อให้นักศึกษาสร้างระเบียบวินัยขึ้นในตนเอง การฝึกฝนอบรม จะต้องปรากฏเป็นผลคือความเป็นคนที่มีชีวิตเรียบง่าย ซื่อสัตย์ อ่อนน้อม ถ่อมตน มีระเบียบ วินัยในการควบคุมตนเอง ในไตติริยอุปนิษัทได้กล่าวถึงคำสอนของครูที่สั่งสอนศิษย์ก่อนจะลา กลับบ้านไว้ดังนี้“จงพูดแต่คำสัตย์ จงปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อตรง ไม่ละทิ้งการศึกษาพระเวท ไม่เพิกเฉยต่อหน้าที่ที่พึงปฏิบัติต่อเทพเจ้าและบรรพบุรุษ ให้ความเคารพต่อมารดาบิดาครูบา อาจารย์และแขกผู้มาเยือนประดุจเทพเจ้า จงกระทำแต่กรรมที่ไม่มีมีมลทิน จงมุ่งกระทำแต่ กรรมดีโดยไม่เพิกเฉยละเลย” (ประมวล เพ็งจันทร์ และคณะ, 2547, น. 69) คำสอนอันเป็น ตัวอย่างนี้มิได้เป็นเพียงการบอกเล่าแต่เป็นการย้ำเตือนในทุกๆสิ่งที่ครูได้ฝึกฝนอบรมให้ เกิดขึ้นแล้วในอุปนิสัยของศิษย์ ผู้ที่ผ่านระยะชีวิตแห่งพรหมจรรย์แล้วเป็นผู้ที่มีความพร้อมใน การปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ด้วยความรับผิดชอบ วัยพรหมจรรย์เป็นระยะแห่งการวางรากฐาน ของชีวิตให้มีความหนักแน่นและมั่นคงทั้งทางร่างกายและจิตวิญญาณ ดังนั้นจึงต้องศึกษา หลักการและรายละเอียดหลักการของธรรมะคือความรู้ที่แท้จริงและเข้าให้ถึงปุรุษารถะข้อธรรมะ 6.2.2 วัยคฤหัสถ์ วัยคฤหัสถ์เป็นระยะที่ 2 ของชีวิต เป็นช่วงอายุ 25 ปีที่สองของชีวิตประมาณ ช่วงอายุตั้งแต่ 26-50 ปีคำว่า “คฤหัสถ์” หมายถึงการครองเรือน ระยะการครองเรือนเริ่มต้น ที่การแต่งงาน เป็นการเริ่มต้นชีวิตคู่ที่จะต้องมีภาระในการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ร่วมกันกับ คู่ชีวิตของตนเอง ชาวฮินดูถือว่าการแต่งงาน คือการสร้างพันธสัญญาร่วมกัน ไม่ใช่เพียงแต่ พันธสัญญาทางสังคมเท่านั้นแต่เป็นพันธสัญญาทางจิตวิญญาณด้วย การแต่งงานจึงเป็น พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ที่ชีวิตสองชีวิตจะผสานให้เป็นชีวิตเดียวกัน การกระทำยัญพิธีต่างๆ สามีจะ ไม่สามารถประกอบพิธีได้ ถ้าปราศจากภรรยา ชาวฮินดูเชื่อว่าระยะแห่งการครองเรือนเป็น ระยะที่มีความสำคัญเพราะเป็นระยะที่ต้องมีความรับผิดชอบในการที่จะเกื้อหนุนการปฏิบัติ หน้าที่ของผู้อื่นในระยะต่างๆ ด้วย นั้นคือ คฤหัสถ์ จะต้องอนุเคราะห์ สงเคราะห์คนที่อยู่ใน กลุ่มพรหมจรรย์ วานปรัสถ์และสันยาสี ทั้งทางตรงและทางอ้อม คฤหัสถ์ต้องมีภารกิจในการ แสวงหาโภคทรัพย์อย่างสุจริตเพื่อนำโภคทรัพย์ไปใช้สอยให้เกิดประโยชน์ในกิจกรรมที่ รับผิดชอบ


| สยาม ราชวัตร คฤหัสถ์ต้องทำยัญพิธีในลักษณะต่างๆ ซึ่งในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมีอยู่เป็น จำนวนมาก แต่ถึงจะไม่สามารถประกอบยัญพิธีได้ทั้งหมด แต่คฤหัสถ์ต้องประกอบ “ปัญจมหายัญ” หรือข้อปฏิบัติบูชา 5 ประเภท กล่าวคือ (1) เทวยัญ ได้แก่การปฏิบัติบูชาต่อเทพเจ้าพร้อม ทั้งสาธยายมนต์ในคัมภีร์พระเวท (2) ฤๅษียัญ ได้แก่การปฏิบัติบูชาต่อบรรดาฤๅษีด้วย การศึกษาพระเวทและแนะนำสั่งสอนพระเวทแก่ผู้อื่นตามโอกาสอันควร รวมทั้งการน้อม ถวายปัจจัยอันจำเป็นแด่ฤๅษี (3) เปรตยัญ ได้แก่การทำบุญเพื่ออุทิศส่วนแห่งบุญไปให้ดวง วิญญาณที่ล่วงลับไปแล้ว (4) ภูตยัญ ได้แก่การให้อาหาร เลี้ยงดูสัตว์ต่างๆ เช่น โค ม้า อีกา และบำรุงพืชพันธุ์ธัญญาหารต่างๆ ให้งอกงาม (5) มนุษยยัญ ได้แก่การปฏิบัติหน้าที่อันดีงาม ต่อเพื่อนมนุษย์ เช่น การรับแขกด้วยความจริงใจและให้เกียรติจะเห็นว่าการปฏิบัติบูชาใน ยัญพิธีเหล่านี้เป็นภาระหน้าที่ของคฤหัสถ์ที่จะต้องปฏิบัติไม่ให้บกพร่อง คฤหัสถ์พึงตระหนักใน ภาระหน้าที่ต่างๆ โดยมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่อรรถะ จวบจนเขาเห็นบุตรธิดาของเขาเติบโตและ ปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างไม่บกพร่องเมื่อนั้นเขาควรจะรู้ว่าเวลาแห่งการออกไปอยู่ป่าได้ มาถึงแล้ว 6.2.3 วัยวานปรัสถ์ วัยวานปรัสถ์หรือวนปรัสถ์ เป็นวัยแห่งชีวิตช่วงที่ 3 เป็นช่วงอายุ 25 ปีที่สาม ของชีวิตประมาณช่วงอายุตั้งแต่ 51-75 ปีคำว่า “วานปรัสถ์” มาจากคำว่า “วน” แปลว่า ป่า กับคำว่า “ปรัสถ์” แปลว่าที่อยู่อาศัย รวมความหมายว่าที่อยู่ในป่าหรือการออกไปอยู่ป่า แต่ความหมายในเชิงการปฏิบัติ หมายถึง การปลดเปลื้องภาระของคฤหัสถ์เพื่อเตรียมตัวสู่ ระยะสุดท้ายของชีวิต ในคัมภีร์ธรรมศาสตร์ของพระมนูให้คำสอนไว้ว่า “เมื่อคฤหัสถ์ สังเกตเห็นรอยตีนกาบนใบหน้าและมีเส้นผมสีดอกเลาหรือได้หลานไว้เชยชมแล้ว ควรมอบ ภาระให้บุตรดูแลส่วนตัวเองควรออกไปอยู่ป่า” และในกรณีที่ไม่สามารถจะออกไปอยู่ป่าได้ เขาควรใช้เวลาให้ผ่านไปด้วยการศึกษาพระเวท แท้จริงแล้วระยะที่ 3 แห่งชีวิตนี้เป็นระยะ แห่งการเกษียณอายุการทำงานอย่างคฤหัสถ์ เขาไม่จำเป็นต้องทอดทิ้งครอบครัว แต่รู้จักวาง ตนในฐานะผู้อาศัยที่ไม่มีอะไรเป็นของตนเอง โดยเฉพาะการทำสิ่งต่างๆไม่ใช่เพื่อตนเองอีก แล้วแต่เพื่อผู้อื่น ละความทะเยอทะยานส่วนตนไปสู่การกระทำเพื่อปลดปล่อยตนเองให้พ้น จากบ่วงแห่งคฤหัสถ์วิสัย วัยวนปรัสถ์จึงเป็นบุคคลผู้บรรลุแล้วซึ่งกามและพร้อมจะสลัดออก จากกามเพื่อโมกษะต่อไป


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | 6.2.4 วัยสันยาสี วัยสันยาสีเป็นวัยระยะสุดท้ายแห่งช่วงชีวิต เป็นช่วงอายุ 25 ปีสุดท้ายของชีวิต ประมาณช่วงอายุตั้งแต่ 76-100 ปีเป็นช่วงแห่งการสละความมีอยู่ทั้งปวงออกไปจากตน ความมีอยู่ต่างๆ นั้นเกิดขึ้นจากการยึดถือ ไม่ว่าจะเป็นชาติ โคตร สกุล หรือทรัพย์สิน เป็นวัย ของบุคคลผู้สละแล้วซึ่งความมีความเป็นที่ติดตัวมาทั้งหมด วัยสันยาสีย่อมเป็นอิสระจากสิ่ง ทั้งปวงไม่ว่าจะเป็นวัตถุธรรมหรือนามธรรม ไม่มีความชอบหรือไม่ชอบ ไม่มีความรักหรือ ความชัง จิตใจของสันยาสีมีความเสมอกันทั้งในสิ่งที่ชอบหรือไม่ชอบ ไม่มีวรรณะ ไม่มีโคตร ไม่มีสกุล ไม่มีเชื้อชาติจินตภาพของสันยาสีคือภาพแห่งเป้าหมายของชีวิต เป็นภาพของ บุคคลในอุดมคติที่ชาวฮินดูทุกคนจะต้องวางไว้เพื่อไปให้ถึง วิถีแห่งฮินดูมุ่งไปสู่ความเป็นแบบ สันยาสี ชีวิตของชาวฮินดูทุกระยะแม้จะมีภารกิจที่ต่างกันตามข้อกำหนดอันเหมาะสมแก่ อัตภาพของแต่ละขั้นตอน แต่ทุกขั้นตอนล้วนแต่มุ่งสู่ภาวะที่เรียกว่า “โมกษะ” อันเป็นสภาวะ ที่สูงสุดแห่งชีวิต 6.3 หลักปุรุษารถะ 4 (Purusharthas: the objectives of Life/ goals of Life/ duties of life) คำสอนที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ทั้งหลายของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูต่างสะท้อนให้เห็น ภาพชีวิตมีคำถามที่สำคัญว่า อะไรคือแก่นแท้ของชีวิต ? และมนุษย์จะเข้าให้ถึงแก่นแท้นั้นได้ อย่างไร ? คัมภีร์ฤคเวทอันเป็นคัมภีร์ที่เก่าแก่ที่สุดของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูได้แสดงให้เห็น ว่าชีวิตเราอยู่ได้ด้วยลม เพราะชีวิตสิ้นสุดยุติลงเมื่อหมดลม แต่การสิ้นสุดยุติลงด้วย หมดลมปราณ หาใช่จุดสุดท้ายแห่งชีวิตไม่ หากแต่ว่าแก่นแท้แห่งตัวตนแต่ละบุคคลคือ “ชีวาตมัน” เป็นแก่นแท้แห่งชีวิตของแต่ละบุคคล สิ่งนี้ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีที่สิ้นสุด เพราะ อาตมันคือเป็นจริงที่เป็นนิรันดร์ ไม่ใช่ชีวะ แต่มาปรากฏอยู่ในรูปชีวะ ชีวะนี้มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วดับไป แต่อาตมันไม่เคยดับมาปรากฏอยู่ในรูปของชีวะ จึงถูกเรียกชื่อว่า “ชีวาตมัน” เมื่อใดที่อาตมันในชีวะบรรลุถึงโมกษะ คือการหลุดจากเครื่องพันธนาการแห่งชีวะทั้งปวงแล้ว ชีวาตมันก็จะเป็น “ปรมาตมัน” ด้วยปรมาตมันนั้นเป็นความจริงสากลไม่มีตัวตนเราเขา แม้ชาวฮินดูได้ให้ภาพแห่งชีวิตที่มีแก่นแท้อยู่ที่อาตมัน แต่ชาวฮินดูก็ไม่ได้ละเลยเพิกเฉยต่อ ข้อเท็จจริงที่ชีวิตแต่ละชีวิตต้องเผชิญอยู่ ชาวฮินดูที่แท้จริงแม้สายตาเขาจะจ้องมองอยู่ที่ เป้าหมายคือ อาตมันที่เป็นปรมาตมัน แต่มือและเท้าของเขาไม่ได้หดงอวางเฉย กลับเต็ม เปี่ยมไปด้วยความขวนขวายเพียรพยายามเพื่อทำหน้าที่ของแต่ละคนให้สมบูรณ์เพราะ อาตมันจะเป็นปรมาตมันไม่ได้หากหน้าที่แห่งตนถูกละเลยเพิกเฉย ดังนั้นโดยกรอบแห่งชีวิต ดังกล่าวนี้จึงเกิดข้อกำหนดต่างๆ ที่เป็นรูปแบบแห่งปฏิบัติทางชีวิตของชาวฮินดู รูปแบบแห่ง


| สยาม ราชวัตร การปฏิบัติล้วนเป็นไปเพื่อเป้าหมายสูงสุดคือโมกษะ แต่ไม่ได้หมายความว่าชาวฮินดูจะต้อง สละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อโมกษะ แต่การจะบรรลุถึงเป้าหมายสูงสุดนั้นได้ต้องมีระยะเวลา ขั้นตอนและการดำเนินไปในจังหวะที่เหมาะสม หากจะเปรียบเทียบการดำเนินชีวิตไป เพื่อเป้าหมายคือโมกษะกับการเดินทางในชีวิตปกติเปรียบได้ว่าโมกษะคือเป้าหมายปลายทาง แต่การจะเดินทางให้ถึงจุดหมายปลายทางได้นั้น ต้องมีเป้าหมายระหว่างทางทุกจุดของ เป้าหมายระหว่างทางต่างมีจุดหมายของแต่ละระยะ เช่น จุดพักเพื่อรับประทานอาหาร เพื่อหยุดพักผ่อนชมความงามของทิวทัศน์หรือเพื่อจุดหมายอื่นๆ ตามสมควรแก่เวลาและ ระยะในการเดินทาง ข้อเปรียบเทียบในการเดินทางนี้ฉันใด การดำเนินชีวิตไปเพื่อโมกษะ ก็ฉันนั้น ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูได้กำหนดหลักคำสอนเกี่ยวกับการปฏิบัติเช่นนี้ เรียกว่า “ปุรุษารถะ” (Purusharthas)แปลว่า จุดหมายของชีวิต มีองค์ประกอบอยู่ 4 ประการ คือธรรม อัตถะกามะ และโมกษะ ซึ่งแต่ละข้อมีคำอธิบายดังนี้ (ประมวล เพ็งจันทร์ และคณะ, 2547, น. 64-67) 6.3.1 ธรรมะ (Dharma: righteousness, ethics) ความหมายของ “ธรรม” หมายถึงสภาพที่ธำรงรักษาไว้ กล่าวคือสิ่งต่างๆจะ ธำรงอยู่ได้ต้องสภาวะที่ดำรงและรักษาสิ่งนั้นไว้ สภาวะที่ธำรงรักษาสิ่งต่างๆไว้ เรียกว่า “ธรรม” บางครั้งใช้คำว่าธรรมเพื่อหมายถึงเนื้อหาสาระของสิ่งทั้งหลาย เช่น ธรรมของไฟก็คือ ความร้อน ธรรมของมีดก็คือความคม ถ้าไฟไม่ร้อนก็แสดงว่าความเป็นไฟหมดไป ความร้อน จึงเป็นสภาวะที่ธำรงรักษาความเป็นไฟไว้ความคมเป็นธรรมชาติของมีดเพราะความคมทำให้ มีดเป็นมีดไม่ใช่ท่อนเหล็ก ความคมจึงธำรงความเป็นมีดไว้ ไม่ว่าจะใช้ในความหมายใด ธรรม ย่อมมีความหมายรวมกันว่าสภาวะที่ธำรงไว้ ในวัฒนธรรมอินเดีย คำว่า “ธรรม” จึงใช้แทน คำว่า “ศาสนา” เพราะคำว่าธรรมมีนัยยะที่ลุ่มลึกครอบคลุมแง่มุมต่างๆ ของศาสนา ไม่ว่าจะ เป็นศาสนสถาน ศาสนบุคคล ศาสนธรรม ศาสนพิธี เพราะส่วนต่างๆ เหล่านั้นย่อมธำรงไว้ซึ่ง ความเป็นศาสนานั้นๆ ธรรมในคัมภีร์พระเวทมีความหมายถึงการปฏิบัติตามข้อกำหนดที่เป็น คำสอนในคัมภีร์ เมื่อมีคัมภีร์ประเภทสมฤติจึงมีการอธิบายขยายความ ดังคำอธิบายของ พระมนูในคัมภีร์มนูธรรมศาสตร์ที่ได้แสดงลักษณะของธรรมไว้10 ข้อ คือ 1) ความซื่อสัตย์ 2) การให้อภัย 3) การควบคุมตนเอง 4) การละเว้นความชั่วทุกชนิด 5) ความบริสุทธิ์6) การสังวร ระวังในอินทรีย์7) การมีทัศนะที่ถูกต้อง 8) การมีความรู้ 9) ความซื่อตรง 10) การไม่โกรธ ธรรมทั้ง 10 ประการนี้ บางครั้งเรียกว่า “มานวธรรม” อันมีความหมายว่าเป็นสภาวธรรมที่ ธำรงความเป็นมนุษย์ไว้ เมื่อใดที่บุคคลขาดคุณลักษณะดังกล่าวนั้นแล้ว ผู้นั้นย่อมไม่มีความ เป็นมนุษย์อยู่อีกต่อไป เปรียบเหมือนไฟที่ขาดความร้อน มีดที่ขาดความคม ย่อมเป็นไฟและ เป็นมีดที่ไม่สมบูรณ์ มนุษย์เมื่อขาดธรรมทั้ง 10 ประการนั้นย่อมเป็นมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | คัมภีร์ภควัทคีตา ใช้คำว่า “ธรรม” เพื่อหมายถึง “หน้าที่” อันบุคคลพึงกระทำ ให้ถูกต้อง การทำงานตามหน้าที่คือการปฏิบัติธรรม ความเป็นมนุษย์จะเป็นไปได้ก็ด้วยบุคคล แต่ละคนทำงานตามหน้าที่ของตน ดังเช่นพระกฤษณะได้ตรัสบอกพระอรชุนว่า ขอท่านจง กระทำกรรมให้เป็นนิจ การกระทำนั้นดีกว่าการไม่กระทำ ถึงร่างกายของท่านเมื่อเว้น การกระทำเสียแล้วก็ย่อมเคลื่อนไหวไม่ได้” (ศรีมัทภควัทคีตา 3.8) ธรรมเป็นรากฐานของ ชีวิต ชีวิตในวัยพรหมจรรย์จึงต้องฝึกฝนอบรมตนเองเพื่อให้เข้าใจหลักการของธรรม ทั้งนี้ เพราะธรรมคือรากฐานของชีวิต ชีวิตจะมั่นคงและก้าวหน้าไม่ได้หากรากฐานไม่มั่นคง บุคคล ที่เข้าถึงธรรมแล้วเท่านั้นจึงจะดำเนินไปสู่เป้าหมายอื่นๆ ได้ ธรรมจึงเป็นเป้าหมายแรกที่ชาว ฮินดูทุกคนต้องดำเนินไปให้ถึง สำหรับวัยพรหมจรรย์มีความสัมพันธ์กับ “ธรรมะ” ต้องเรียนรู้ หลักการ “ธรรมะ” หรือความรู้ในหลัก “ธรรมะ” นี้จากสำนักของอาจารย์ให้เกิดความเข้าใจ อย่างถ่องแท้เพื่อนำหลักธรรมะไปปฏิบัติในช่วงชีวิตอื่นๆ ลำดับถัดไปอย่างถูกต้อง 6.3.2 อัตถะ (Artha: livelihood, wealth) คำว่า “อรรถ” หมายถึง ความรู้ ความมั่งคั่งด้วยโภคทรัพย์ และอำนาจที่อยากมี อยากเป็น ชาวฮินดูถือว่า ความมั่งคั่งนั้นถ้าได้มาอย่างถูกวิธีและสุจริตธรรมแล้ว เรียกว่า “อรรถ” แต่ถ้าได้มาด้วยผิดวิธีและทุจริต เรียกว่า “อนรรถ” ผู้ครองเรือนต้องดำรงชีวิตอย่าง ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ต้องไม่เบียดเบียนผู้อื่นเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ทรัพย์สมบัติ ทั้งหลายที่หามาได้ต้องใช้ไปอย่างถูกต้องไม่ทอดทิ้งหน้าที่ประกอบยัญพิธีที่กล่าวไว้ในคฤหัสถ์ อาศรม 5 อย่าง กล่าวโดยย่อ อรรถ คือความรู้ โภคทรัพย์ และอำนาจ ทั้ง 3 ประการนี้ได้ชื่อว่า “อรรถ” เพราะก่อให้ประโยชน์เกื้อกูลต่อการทำหน้าที่ต่างๆ ของบุคคลผู้ครองเรือน ถ้าขาด อย่างใดอย่างหนึ่งเสียแล้ว ความสามารถในการทำหน้าที่ให้สำเร็จประโยชน์ตามที่คาดหวังจะ เป็นไปได้ยาก ท่านเกาฏิลยะ ผู้แต่งคัมภีร์อรรถศาสตร์วิชาว่าด้วยการแสวงหาประโยชน์ จึงได้ แสดงวิธีการแสวงหาประโยชน์ที่กลายมาเป็นคัมภีร์ทางการเมืองและการปกครองที่มีชื่อเสียง ของอินเดีย กล่าวคือ การแสวงหาความรู้ (วิชาชีพ) โภคทรัพย์ และอำนาจ จะต้องไม่ผิดธรรม สำหรับวัยคฤหัสถ์มีความสัมพันธ์กับหลักอรรถะ กล่าวคือชีวิตวัยครองเรือนคือบุคคลที่ต้องมี เป้าหมายอยู่ที่อรรถะ ด้วยการแสวงหาความมั่งคั่งร่ำรวยหรือการมีทรัพย์สินเงินทองให้กับครอบครัว เพื่อทำให้ชีวิตคู่และครอบครัวประกอบด้วยพ่อแม่และลูกมีความสุขทางสังคมและกายภาพ 6.3.3 กามะ (Kāma: sensual pleasure) คำว่า “กาม” คือความปรารถนาหรือความต้องการครอบครองซึ่งเป็นความโน้ม เอียงทางจิตอันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ มนุษย์จะแสดงอารมณ์เพื่อครอบครองบางอย่างหรือ เพื่อบรรลุสิ่งที่ตนปรารถนาบางอย่าง เช่น ความภาคภูมิใจ อำนาจหรือ ความมีความเป็นอื่นๆ


| สยาม ราชวัตร แล้วเก็บเกี่ยวความสุขจากสิ่งนั้น ฤๅษีวาตสยายนะ ผู้แต่งคัมภีร์กามศาสตร์ เชื่อว่า กามคือ ส่วนเสริมให้บุคคลเข้าใจและเข้าถึงธรรมะ อรรถะ และโมกษะได้อย่างสมบูรณ์ และท่านกล่าวถึง คัมภีร์อาถรรพเวทที่มีบทสวดถึงชีวิตความรักว่าเป็นชีวิตครอบครัวอันประกอบด้วยสามีที่ เข้มแข็ง ภรรยาที่มีความสุข บุตรธิดาที่สมบูรณ์ ครอบครัวเช่นนี้เป็นครอบครัวที่มีความสุข ท่านแต่งคัมภีร์กามศาสตร์นี้ขึ้นมาก็เพื่อเป็นหนทางให้เกิดครอบครัวที่ว่านี้ชาวฮินดูเชื่อว่า บุคคลผู้จะเข้าถึงโมกษะได้นั้น ต้องได้สัมผัสกับกามรสแล้วมองเห็นโทษของกามที่เรียกว่า “กามาทีนพ” จึงจะสลัดออกจากกามได้ผู้มุ่งสู่โมกษะนั้นไม่ได้มองข้ามข้อเท็จจริงอันเป็น ธรรมชาติของมนุษย์แต่ละคน การจะบรรลุเป้าหมายสูงสุดนั้นต้องผ่านขั้นตอนทุกขั้นตอน อย่างถ่องแท้เป้าหมายข้อกามนี้เป็นสิ่งยืนยันให้เห็นถึงวิถีชีวิตที่แยบยลของชาวฮินดู บุคคลจะเข้าถึงโมกษะได้นั้นต้องเป็นบุคคลที่มีธรรมะทำหน้าที่ของตนได้อย่างสมบูรณ์และมี ชีวิตครอบครัวที่สุขสมบูรณ์ ใครขาดธรรมบกพร่องในหน้าที่มีครอบครัวแตกสลาย ย่อมห่างไกล จากเป้าหมายคือโมกษะ หลักกามะนี้จะมีความสัมพันธ์กับ 2 วัย แต่มีแง่มุมในความเกี่ยวข้อง ไม่เหมือนกัน กล่าวคือ วัยคฤหัสถ์จะสัมพันธ์กับหลักกามะในแง่ของชีวิตคู่ที่ต้องแต่งงาน มีความสุขของชีวิตคู่จนสามารถให้กำเนิดลูกได้และวัยวานปรัสถ์ก็มีความสัมพันธ์กับหลัก กามะในแง่ที่ตนเองได้ผ่านวัยคฤหัสถ์มาแล้ว ผ่านชีวิตการแต่งงานมาแล้ว มีความอิ่มในกามะแล้ว เป็นวัยที่ต้องสลัดออกจากกามะเพื่อบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมอย่างเต็มที่ ไม่ต้องไปแสวงกามะ เป็นวัยที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับกามะอีกแล้ว 6.3.4 โมกษะ (Mokṣa: liberation, freedom from samsara) คำว่า “โมกษะ” เป็นเป้าหมายสูงสุดของชาวฮินดู เป็นสภาวะที่อาตมันคือตัวตน ที่แท้จริงหลุดพ้นจากเครื่องร้อยรัดทั้งปวงแล้วผสานเป็นหนึ่งเดียวกับพรหมันประดุจแม่น้ำที่ไหล ไปสู่มหาสมุทรแล้วผสานเป็นหนึ่งเดียวกับมหาสมุทร เมื่อบุคคลได้บรรลุโมกษะแล้วถือว่าได้ เข้าถึงภาวะความสมบูรณ์ของวิญญาณ ความสุขในภาวะเช่นนี้เป็นบรมสุขที่อยู่เหนือความเข้าใจและ จินตนาการทั้งหมด ไม่สามารถจะอธิบายเปรียบเทียบได้กับความสุขใดๆที่มนุษย์คุ้นเคยอยู่ ความหมายของโมกษะในฐานะเป็นเป้าหมายของชีวิต สามารถอรรถาธิบายได้หลายแนวทาง ถ้ามองชีวิตในความหมายของมายาที่หลงติดยึดอยู่กับสิ่งต่างๆ เพราะความไม่รู้ การบรรลุ โมกษะหมายถึงการรู้แจ้งในตนเอง และการรู้แจ้งโลก การบรรลุโมกษะจึงหมายถึงการออก จากความมืดกล่าวคือความไม่รู้ไปสู่ความสว่างกล่าวคือความรู้ ดังข้อความในพฤหทารัณยกะ อุปนิษัทที่ว่า “จงนำข้าจากความมืดไปสู่ความสว่างเถิด” ถ้ามองชีวิตในความหมายของ การเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ โมกษะมีความหมายถึงการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตาย เกิดไปสู่ความอมตะนิรันดร ถ้ามองชีวิตในความหมายของการแสวงหาความเป็นจริง การบรรลุโมกษะย่อมหมายถึงการประจักษ์แจ้งในความเป็นจริงที่เป็นอัตวิสัย (อาตมสัตย์)


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | อันเป็นหนึ่งเดียวกับความเป็นจริงที่เป็นภววิสัย (พรหมสัตย์) กล่าวคือการประจักษ์แจ้งความ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างอาตมันกับพรหมัน ไม่ว่าจะกล่าวในความหมายใด โมกษะ ย่อมมีความหมายเป็นหนึ่งเดียวกับพรหมัน สำหรับชาวฮินดูคือเป้าหมายที่ทุกคนต้องไปให้ถึง เพราะทุกชีวิตมีอยู่และเป็นไปเพื่อโมกษะเท่านั้น หลักโมกษะมีความสัมพันธ์กับวัยสันยาสี กล่าวคือวัยสันยาสีนี้เป็นวัยที่มีอายุมากแล้วเป็นวัยชราภาพมากหรือพูดอีกอย่างเป็นวัยระยะ สุดท้ายของชีวิตต้องพยายามฝึกปฏิบัติให้ถึงโมกษะให้ได้ ถ้าสามารถปฏิบัติเรียนรู้จนเข้าใจ เข้าถึงบรรลุโมกษะได้ ถือว่าได้ใช้ชีวิตบนโลกนี้อย่างคุ้มค่าเป็นชีวิตที่ประเสริฐตามแนวศาสนา พราหมณ์ฮินดู เมื่อตายไปก็จะเข้าสู่ภาวะแห่งพรหมันเป็นภาวะนิรันดร์ต่อไป 6.4 หลักโยคะ 4 (Yoga : the Spiritual practices of Hinduism) คำว่า “โยคะ” แปลว่า การรวม การประกอบ ในทัศนะของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู หมายถึงการรวมหรือการประกอบกายกับจิตให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อให้เกิดสมาธิเป็นฐานสู่ การพัฒนาจิตและปัญญาให้อาตมันหรือตัวตนถึงเข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับพรหมันอันเป็น เป้าหมายสูงสุงของชีวิต เป็นหลักการในการพัฒนาจิตวิญญาณของตนเองหรือเป็นเป้าหมายที่ ชัดเจนในการดำเนินชีวิตว่าชีวิตจะมีเป้าหมายอย่างไร ? โยคะประกอบด้วย (1) กรรมโยคะ (2) ชญาณโยคะ (3) ภักติโยคะ (4) ราชาโยคะ แต่ละโยคะมีรายละเอียด ดังนี้ 6.4.1 กรรมโยคะ (Karma yoga): วิถีแห่งการท างานเพื่องาน กรรมโยคะเป็นวิถีทางแห่งการทำงานหรือการทำหน้าที่อย่างแท้จริง (the path of action) ตามปกติทั่วไปคนเรามักทำงานเพื่อผลตอบแทนคือค่าจ้าง จนมีคำคุ้นเคยกันว่า “งานคือเงิน เงินคืองาน” การทำงานในลักษณะเช่นนี้เป็นการทำงานตามเงื่อนไขของสังคม สมมุติเพราะอยากได้เงินจึงต้องทำงานเพื่อแลกกับเงินที่ต้องการ ใจของผู้ทำงานไม่ได้อยู่ที่ งานแต่อยู่ที่เงิน บุคคลเช่นนี้เขาจะเลือกงานด้วยหลักเกณฑ์ว่า ทำงานน้อยแต่ได้เงินมาก หรือ ถ้าเป็นไปได้คือไม่ต้องทำงานแต่ได้เงิน การทำงานน้อยหรือไม่ทำงานเลยแต่ได้เงิน จึงกลายเป็นความดีสำหรับบุคคลเช่นนี้ แต่สำหรับบุคคลผู้ดำเนินไปบนวิธีการทำงาน ตามหลักกรรมโยคะแล้ว ค่าของงานอยู่ตัวงาน การทำงานเป็นงานปฏิบัติธรรม เพราะการทำงาน คือการกำจัดความเห็นแก่ตัว ความอ่อนแอ ยิ่งทำงานไปมากเท่าใดคุณธรรมยิ่งเจริญงอกงาม ในตัวผู้ทำงานมากขึ้นเท่านั้น ความอดทน ความอดกลั้น ความรัก ความเมตตา ความสงบ ความบริสุทธิ์ เหล่านี้เป็นคุณธรรมที่งอกงามไปพร้อมในจิตใจของผู้ทำงานเพื่องาน วิถีแห่ง กรรมโยคะ เป็นวิถีแห่งความหลุดพ้นจากการยึดติดและพัวพันอยู่ในมายาภาพแห่งโลก ด้วยการทอดตัวของตนเองลงรับใช้เพื่อนมนุษย์


| สยาม ราชวัตร 6.4.2 ชญาณโยคะ (Jñana yoga): วิถีแห่งความรู้ ความรู้เป็นเป้าหมายของชีวิต การปฏิบัติตามชญาณโยคะจึงเป็นวิถีสร้างความรู้ (the path of knowledge) บนวิถีแห่งความรู้บุคคลจะบรรลุเป้าหมายสูงสุดทางศาสนาได้ ก็ต้องด้วยความรู้ตรงกันข้ามความไม่รู้เป็นที่มาของปัญหาทั้งปวง ความไม่รู้เปรียบประดุจ ความมืดที่ทำให้เราต้องลองผิดลองถูก วนเวียนอยู่ในวังวนไม่รู้ว่าจะออกจากปัญหาได้อย่างไร ชีวิตเต็มไปด้วยความทุกข์เพราะความไม่รู้นั่นเอง แต่เมื่อใดความรู้เกิดขึ้นก็เหมือนแสงสว่างที่ ทำลายความมืดลง ทุกอย่างรอบตัวเราก็กระจ่างชัด เราจะไม่หลงทางอีกต่อไป เมื่อความรู้นี้ ถึงขั้นสูงสุด คือมองเห็นสรรพสิ่งโยงใยสัมพันธ์กันเป็นหนึ่งเดียวนั้นคือการบรรลุเป้าหมาย สูงสุดแห่งชีวิตแล้ว ท่านศังกราจารย์นักปรัชญาเวทานตะอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ของศาสนา พราหมณ์-ฮินดูได้กล่าวไว้ว่า “พรหมัน เท่านั้นที่เป็นจริง โลกนี้เป็นเพียงมายาภาพ ชีวิตไม่ใช่ อะไรอื่นนอกไปจากพรหมัน” ตามทัศนะของท่านศังกราจารย์ โลกนี้เป็นเพียงมายาภาพ บุคคล ผู้ไม่มีความรู้ย่อมมองเห็นมายาว่าเป็นจริง เหมือนคนไม่รู้ดูนักมายากลแสดงกลอยู่ย่อมคิดว่า สิ่งที่มายากลแสดงความเป็นจริง แต่ถ้าเมื่อใดเขารู้ว่าสิ่งที่มายากลแสดงนั้นเป็นเพียงมายากล แล้ว เขาย่อมไม่ยึดติดอยู่กับภาพมายา บุคคลไม่มีความรู้มองดูปรากฏการณ์ต่างๆ ของโลก ด้วยความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นความจริง แต่เมื่อใดเขาเกิดความรู้ เขาย่อมมองเห็นสรรพสิ่งเป็น ความจริงในความหมายเดียวกันว่า ไม่มีอะไรอื่นนอกไปจากตัวเราและตัวเราก็ไม่เป็นอื่นไป จากธรรมชาติ 6.4.3 ภักติโยคะ (Bhakti yoga): วิถีแห่งความรัก ภักติโยคะ เป็นวิถีแห่งความรักและการสละตนเองเพื่อพระผู้เป็นเจ้า (the path of loving devotion to god) ในความรู้สึกของบุคคลผู้ดำเนินชีวิตบนเส้นทางแห่งภักติโยคะ นี้ความรักคือพระเจ้าและพระเจ้าคือความรัก เราจะเข้าถึงและประจักษ์ในพระเจ้าได้ก็ด้วย การปลูกฝังความรักให้เกิดขึ้นในจิตใจเรา ความรักในพระเจ้าเป็นความรักที่ไม่หวัง ผลตอบแทนคืน เป็นความรักเพื่อความรัก ตรงกันข้ามความอิจฉาริษยาเป็นศัตรูสำคัญของ ความรัก ผู้ใดที่มีจิตใจเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาจะไม่มีทางได้สัมผัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้า อย่างแน่นอน ผู้ที่มีความรักภักดีในจิตใจจะไม่มีความชิงชังรังเกียจผู้อื่น ทั้งนี้เพราะพระผู้เป็นเจ้า คือความรักที่แผ่ไปและปรากฏอยู่ในสรรพสิ่ง เมื่อเรามีความรักในพระองค์แล้วย่อมไม่มีสิ่งใด ให้เราเกลียดชังอีกต่อไป ความรักในพระเจ้าถือเป็นความรักที่สูงสุด ผู้ดำเนินชีวิตไปบนวิถี แห่งความรักต้องตระหนักให้ได้ว่า พระผู้เป็นเจ้ามีอยู่ทุกหนแห่ง และทรงเป็นผู้ควบคุมความ เป็นไปทั้งหมดในสากลจักรวาล เมื่อความภักดีเป็นไปอย่างถูกต้องและสมบูรณ์แล้ว ก็จะเกิด ความเป็นเอกภาพระหว่างตัวเราและสรรพสิ่ง ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างตัวเราและสิ่งอื่นอีก ต่อไป จะมีก็แต่เพียงภาวะหนึ่งเดียวแห่งธรรมชาติที่เรียกโดยชื่อว่า “พรหมัน” ซึ่งเป็นอุดมคติ


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | สูงสุดที่ชาวฮินดูต้องการจะเข้าถึง บุคคลผู้ดำเนินไปบนวิถีแห่งความรักจะต้องหนักแน่นในความ รักอย่างจริงจังจนผลิดอกออกผลเป็นคุณธรรมข้ออื่นๆ ตามมาเช่น ความจริงใจ ความอ่อนโยน ความเมตตา การไม่เบียดเบียนทำลายผู้อื่น การไม่ถือเอาและไม่คิดจะเอาจากผู้อื่น เป็นต้น 6.4.4 ราชาโยคะ (Rāja yoga): วิถีแห่งการผสานกายและจติเป็นหนึ่งเดียว “ราชาโยคะ” แปลว่า ยอดแห่งโยคะหรือโยคะที่ดีสุด (chief, best of yoga) กล่าวคือหลักการผสานหรือรวมกายและจิตให้เป็นหนึ่งเดียว การปฏิบัติราชาโยคะเป็นวิถีแห่งสมาธิ (the path of meditation) เพื่อเข้าถึงเป้าหมายสูงสุดทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดูด้วย การควบคุมตนเองทั้งในส่วนร่างกายและจิตใจ หลักการของราชาโยคะสัมพันธ์กับปรัชญาสาง ขยะของท่านฤๅษีกบิลและปรัชญาโยคะของท่านฤๅษีปตัญชลี ที่มีทัศนะว่าคนเราประกอบขึ้นด้วย 2 ส่วนสำคัญ คือ ร่างกายกล่าวคือประกฤต และจิตใจกล่าวคือปุรุษะ หลักการในการควบคุม ร่างกายและจิตใจของราชาโยคะ ประมวลรวมมีอยู่ 8 ประการ (eight limbs of yoga) คือ 1) ยมะ (yama) การควบคุมร่างกาย วาจา และใจ 2) นิยมะ (niyama) การฝึกกาย วาจา ใจ ให้น้อมไปในทิศทางที่ต้องการ 3) อาสนะ (asana) การกำหนดท่วงท่าของร่างกาย 4) ปราณายมะ (pranayama) การควบคุมลมปราณ 5) ปรัตยาหาระ (pratyahara) การควบคุมอินทรีย์ไม่ให้ติดข้องในโลกียวิสัย 6) ธารนา (dharana) การกำหนดจิตใจให้แน่ว แน่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง 7) ธยานะ dhyana การมีจิตใจแน่วแน่สงบนิ่ง 8) สมาธิ (samadhi)การมีจิตใจไม่หวั่นไหวตามกระแสอารมณ์ทั้งหลาย ราชาโยคะเป็นวิถีแห่งการควบคุมจิต ของตนเองให้สงบเพราะถ้าปราศจากจิตที่สงบโลกทั้งโลกก็คือกองเพลิงที่เร่าร้อน จิตใจที่สงบ เป็นจิตใจที่เต็มเปี่ยมด้วยพลังในการสร้างสรรค์อย่างไม่สิ้นสุด บทสรุป หลักคำสอนในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ประกอบด้วย (1) หลักวรรณะ (2) หลักอาศรม (3) หลักปุรุษารถะ และ (4) หลักโยคะ จัดเป็นหลักการสำคัญที่ใช้เป็นแนวทางการปฏิบัติแก่ ชาวฮินดูได้ยึดถือปฏิบัติตามจนกลายเป็นวิถีชีวิตแบบฮินดูหลักคำสอนเหล่านี้เป็นมิติ ทางสังคมที่เป็นแนวทางให้ชาวฮินดูได้พัฒนาชีวิตตนเองทั้งเชิงปัจเจกบุคคลและสอนการ อยู่ร่วมกันกับคนอื่นหรือปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นในสังคม หลักวรรณะเป็นหลักทางสังคมหรือ เป็นโครงสร้างทางสังคมในการแบ่งงานกันทำตามหน้าที่เพื่อขับเคลื่อนกิจกรรมทางสังคมและ เป็นระบบพึ่งพากันและกันแม้จะถูกมองเชิงลบในประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำทางสังคมและ การแบ่งแยกชนชั้นก็ตาม หลักอาศรมเป็นหลักการพัฒนาชีวิตตามช่วงวัยในการกำหนด มนุษย์ว่าประมาณ 100 ปี ควรทำอะไรบ้าง แบ่งเป็น 4 ช่วง แต่ละช่วงจะต้องพัฒนาชีวิต


| สยาม ราชวัตร อย่างไร หลักปุรุษารถะเป็นหลักเป้าหมายที่สัมพันธ์กับหลักอาศรมว่าแต่ละช่วงวัยควร มีเป้าหมายอย่างไรควรไปให้ถึงเป้าหมายนั้นตามช่วงชีวิตอย่างไร การปฏิบัติตามหลักอาศรม และหลักปุรุษารถะ ให้สมบูรณ์แต่ละช่วงวัยถือว่าได้ใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่ได้มีโอกาสเป็นมนุษย์ แต่ละภพชาติ ส่วนหลักโยคะเป็นหลักปฏิบัติกายกับจิตในมิติมนุษย์กับความเชื่ออันสูงสุดคือ พระเจ้าหรือพรหมัน ให้เข้าใจว่ามนุษย์เป็นเพียงอาตมันอันเล็กน้อยที่อวิชชาหรืออวิทยา ครอบงำอยู่ ต้องพัฒนาฝึกฝนตนเองอยู่ตลอดเวลาตามหลักแต่ละโยคะเพื่อให้เข้าถึงโมกษะ หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดไม่ต้องกลับมาเกิดอีกเป็นหนึ่งเดียวกับพรหมันอันเป็นสิ่งสูงสุด ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ค าถามท้ายบท 1) แนวคิดเรื่อง “วรรณะ” มีหลักฐานที่มาของคำสอนอย่างไร ทำไมจึงเป็นหลัก ความเชื่อและหลักปฏิบัติของชาวพราหมณ์-ฮินดู ? 2) มีคัมภีร์อะไรบ้างที่อธิบายที่มาของแต่ละวรรณะ ? และแต่ละคัมภีร์นั้นอธิบาย รายละเอียดแต่ละวรรณะไว้อย่างไรบ้าง ? 3) ในมิติทางสังคมวิทยาและมานุษยวิทยามีคำอธิบายและการตีความเรื่องวรรณะ ในสังคมอินเดียไว้อย่างไรบ้าง ? 4) แต่ละวรรณะมีหลักปฏิบัติของตนเองเพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ของวรรณะ อย่างไร ? 5) หลักอาศรม 4 คืออะไร ? ประกอบด้วยอะไรบ้าง? เป็นคำสอนเชิงการดำเนิน ชีวิตของศาสนิกศาสนาพราหมณ์-ฮินดูอย่างไร ? 6) หลักปุรุษารถะ 4 คืออะไร ? ประกอบด้วยอะไรบ้าง? เป็นเป้าหมายของชีวิตใน ทัศนะของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูอย่างไร ? 7) หลักอาศรมกับหลักปุรุษารถะ ทั้งสองหลักคำสอนนี้มีความสัมพันธ์กันอย่างไรใน การดำเนินชีวิตของศาสนิกในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ? 8) โยคะ 4 คืออะไร ? ประกอบด้วยอะไรบ้าง ? เป็นหลักปฏิบัติทางจิตวิญญาณ ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูอย่างไร? 9) เนื้อหาในคัมภีร์ภควัทคีตา เป็นต้นแบบการดำเนินชีวิตตามหลักกรรมโยคะ อย่างไรบ้าง? 10) ปัญญากับศรัทธา สอดคล้องกับโยคะใดบ้าง และมีบทบาทอย่างไรในการดำเนิน ชีวิตตามทัศนะของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ?


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู |


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | 7 นิกายในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเป็นพัฒนาการของกลุ่มความเชื่อต่อเทพเจ้า ที่แตกต่างกันของแต่ละกลุ่ม กล่าวคือพัฒนามาจากแนวคิดความเชื่อแบบอติเทวนิยม คือความเชื่อ เทพเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งที่พิเศษกว่าองค์อื่น จากความเชื่อนี้มีการพัฒนาเป็นกลุ่มความเชื่อ ที่ใหญ่ขึ้นมีคณาจารย์ที่เป็นนักปราชญ์ได้เขียนคัมภีร์มากมายในนิกายของตนเองเพื่อแสดง ความเป็นเอกภาพทางความเชื่อของนิกาย ในบทนี้จะนำประวัติความเป็นมาของนิกาย ทั้งหลายของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูที่มีชาวฮินดูนับถือจำนวนมาก จำนวน 3 นิกายสำคัญ คือ นิกายไวษณพ นิกายไศวะ และนิกายศักติ (Nirad C. Chaudhuri,1979, p. 172) และนิกาย ย่อยอื่นๆ ที่นอกเหนือไปจากนิกายหลักเหล่านั้น โดยมีรายละเอียดแต่ละนิกายดังนี้ 7.1 ความเป็นมาของนิกายในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู การแยกเป็นนิกายในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูไม่ว่าจะเป็นนิกายไวษณพ นิกายไศวะ นิกายศักติ หรือนิกายย่อยทั้งหลาย ไม่ได้แยกกันเพราะเหตุผลทางด้านความคิดหรือหลักคำสอน แต่แยกกันเพราะประเด็นการนับถือเทพเจ้าที่แตกต่างกันแต่ละนิกายเป็นการเชิดชูเทพเจ้า ที่ตนนับถือให้ยิ่งใหญ่ นิกายไวษณพต้องการเชิดชูพระวิษณุให้ยิ่งใหญ่ นิกายไศวะ ต้องการ เชิดชูบูชาพระศิวะให้ยิ่งใหญ่ นิกายศักติต้องการเชิดชูเทพเจ้าฝ่ายหญิงให้ยิ่งใหญ่ และนิกาย ย่อยทั้งหลายต้องการเชิดชูบูชาเทพเจ้าองค์อื่นๆ ให้ยิ่งใหญ่ เช่นนิกายคณพัทยะ ต้องการเชิด ชูบูชาพระพิฆเนศให้ยิ่งใหญ่ นิกายสรภัทธะต้องการเชิดชูพระสุริยะหรือพระอาทิตย์ให้ยิ่งใหญ่ และนิกายสมารธะ ต้องการเชิดชูบูชาเทพเจ้าทุกพระองค์ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูปัจจุบัน นิกายที่มีชื่อเสียงและมีผู้คนชาวฮินดูจำนวนมากนับถือมีอยู่ 3 นิกายหลัก คือนิกายไวษณพ


| สยาม ราชวัตร นิกายไศวะ และนิกายศักติส่วนนิกายย่อยอื่นๆ ก็มีคนนับถืออยู่จำนวนหนึ่งแต่ไม่มากเท่า นิกายหลักทั้งสาม พัฒนาการสู่การเป็นนิกายในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู น่าจะเริ่มจากแนวคิดพหุเทวนิยม คือชาวอินเดียมีความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้าจำนวนมากมาย ซึ่งเรียกแนวคิดนี้ว่า “พหุเทวนิยม” (polytheism) ต่อมาพัฒนาเป็นความเชื่อต่อเทพเจ้าหลักเพียงองค์หนึ่งที่เหนือกว่าเทพเจ้า องค์อื่นในพื้นที่หนึ่ง ซึ่งเรียกแนวคิดนี้ว่า “อติเทวนิยม” (henotheism) ต้องการยกย่องบูชา เทพเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งให้พิเศษยิ่งใหญ่กว่าเทพองค์อื่น จึงมีการสร้างคัมภีร์ “ปุราณะ” เป็น คัมภีร์ประเภทตำราตำนานหรือนิยายเก่าแก่ เกิดขึ้นมากมายบอกเล่าประวัติความเป็นมาของ เทพเจ้าของกลุ่มตนเอง และใช้เล่าเรื่องเพื่อช่วยให้ผู้มีสติปัญญาน้อยสามารถเข้าใจหลักธรรม ได้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างศรัทธาในเทพเจ้าของผู้แต่งให้โดดเด่นกว่าเทพองค์อื่น ในบรรดาคัมภีร์ปุราณะที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมอ่านมากที่สุด คือคัมภีร์ของนิกาย ไวษณพที่นับถือพระวิษณุเป็นใหญ่ ที่ชื่อว่า “วิษณุปุราณะ” และนิกายอื่นก็มีคัมภีร์บอกเล่า ตำนานของเทพเจ้าของตนเองแตกต่างกันไป 7.2 นิกายไวษณพ (the Vaishnavas Sect/ Vaishnavism) คำว่า “ไวษณวะ” หรือ “ไวษณพ” มาจากคำว่า “วิษณุ” นิกายไวษณพ จึงหมายถึง นิกายหรือลัทธิของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูที่นับถือบูชาและจงรักภักดีต่อพระวิษณุหรือพระนารายณ์ ตามหลักการของนิกายนี้ พระวิษณุหรือพระนารายณ์มิใช่เป็นเพียงพระผู้รักษาเท่านั้น แต่ยัง เป็นพระผู้สร้างและพระผู้ทำลายสากลโลกนี้อีกด้วย ด้วยเหตุนี้นิกายนี้จึงเป็น “เอกเทวนิยม” คือนิยมเทพเจ้าองค์เดียวโดยยุบรวมคุณลักษณะและความเชื่อถือในพระผู้เป็นเจ้าทั้งสาม พระองค์มารวมไว้ในพระวิษณุหรือพระนารายณ์เพียงองค์เดียว บางท่านเรียกนิกายนี้ว่าเป็น นิกายมีน้ำใจกว้างขวาง เมื่อมีชัยชนะเหนือศาสนาไหนแล้ว ก็พร้อมที่จะปรับตัวเองให้เข้ากับ ศาสนานั้น ไม่มีองค์กรโดยเฉพาะ ไม่มีผู้นำทางศาสนาที่คัดเลือกไว้สืบต่อแทนกัน ตามประวัติ ผู้นำคนแรกนิกายนี้คือ ท่านฤๅษีนาถมุนี ประมาณ ค.ศ. 824-924 เป็นผู้ได้รับการเจิมเป็น ทางการที่โบสถ์ศรีรังคัมในอินเดียตอนใต้ท่านนาถมุนีนับว่าเป็นผู้เริ่มศักราชใหม่แห่งนิกาย ไวษณพ ในสมัยต่อมาก็มีอาจารย์ท่านอื่นอีก เช่น ยามุนาจารย์รามานุชาจารย์ เป็นต้น โดยเฉพาะท่านรามานุชาจารย์ ประมาณ ค.ศ. 1027-1137 ได้วางรากฐานปรัชญาวิศิษฏาทไว ตะ (เอกนิยมแบบพิเศษ) (สุชีพ ปุญญานุภาพ, 2541, น.287) หลักธรรมของนิกายนี้มีรากฐาน เกี่ยวเนื่องกับคัมภีร์พระเวท คัมภีร์อาคม คัมภีร์ปุราณะ โดยเฉพาะคัมภีร์ปุราณะมีเรื่องราว ของพระวิษณุในอวตารปางต่างๆ พระวิษณุมีชื่อเรียกต่างกันไปในวรรณคดีต่างๆ เช่นชื่อว่า ภควัท (Bhagavad) หมายถึงพระผู้เป็นที่รักใคร่ชื่นชม ชื่อว่า “ปุรุษสัตตมะ” แปลว่า พระผู้


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | เป็นเลิศประเสริฐสุด ชื่อว่า “อชะ” (Aja) หมายถึงพระผู้ไม่ทรงจุติอีก ชื่อว่า “สัสวัต” (Sasvata) คือพระผู้ทรงความนิรันดร ชื่อว่า “ธาตา” (Dhata) แปลว่า ผู้ทรงกำหนด และชื่อ ว่า “อมฤตะ” (Amatam) แปลว่าพระผู้ทรงความอมตะไม่มีวันตาย แต่ละอวตารของพระวิษณุ นั้นล้วนมีประวัติรายละเอียดแตกต่างกันไป ตามประวัติศาสตร์เชื่อกันว่า การบูชาพระวิษณุมีมานานพอกับอายุของคัมภีร์พระเวท โดยถือกันว่าพระวิษณุเป็นปรากฏการณ์หนึ่งของพระอาทิตย์ ดังคำกล่าวในคัมภีร์พระเวทว่า “พระวิษณุห่อหุ้มโลกไปทั่วทุกทิศด้วยลำแสงของพระองค์” (H.H. Wilson, 1977, p. 289 อ้างใน สมพร สุขเกษม, 2532, น.7) และในคัมภีร์พราหมณะก็กล่าวถึงพระวิษณุว่า “พระวิษณุ เป็นตัวแทนพระอาทิตย์ซึ่งเกี่ยวข้องกับโลกเป็นประจำวันและประจำปี” (Martin Haug, 1863, p.124 อ้างในสมพร สุขเกษม,2532, น.7) จากความเชื่อว่าพระวิษณุคือพระอาทิตย์และ ควบคุมกฎสูงสุดของจักรวาล หมายความว่าพระวิษณุเป็นเทพเจ้าสูงสุดผู้สร้างสรรพสิ่งและ ควบคุมสรรพสิ่งให้เป็นไปตามกฎแห่งจักรวาล การที่กล่าวว่าพระวิษณุคือดวงอาทิตย์ ผู้ให้ กำเนิดความร้อนและพลังงาน ความร้อนหรืออุณหภูมิเป็นเหตุของการกำเนิดการดำเนินไป และการเปลี่ยนแปลงไปของสรรพสิ่ง การกล่าวว่าพระวิษณุเป็นผู้ให้กำเนิดสรรพสิ่งและสรรพสิ่ง ดำเนินไปเพราะอำนาจพระวิษณุนั้นจึงเป็นความจริงของธรรมชาติ เป็นความจริงของจักรวาล จากความเชื่อนี้ในเวลาต่อมาก็ได้พัฒนาดัดแปลงความเชื่อที่มีต่อพระวิษณุในฐานะของผู้ทรงอำนาจ ทรงพลังและทรงอิทธิฤทธิ์ในรูปแบบต่างๆ เช่น ในคัมภีร์พระเวทกล่าวถึงพระวิษณุในฐานะ ผู้นำทางสงครามที่ทรงความสามารถได้รับการยกย่องเป็นพิเศษจากพระอินทร์ซึ่งเป็นเทพเจ้า แห่งนักรบ ตามปรัชญาพระเวทความยิ่งใหญ่ของพระวิษณุจึงอยู่เป็นแกนของสัจธรรมของ จักรวาล พระวิษณุจึงได้รับการสรรเสริญบูชาสูงสุดเท่าที่มนุษย์จะกระทำกัน และขานพระนาม พระองค์ว่า “ศิปิวิสตะ” (sipivistha) หมายถึง พระผู้ปกป้องคุ้มครองโลกด้วยรัศมีของพระองค์ จึงเห็นได้ว่าพระวิษณุโดยต้นกำเนิดตามคัมภีร์นั้นก็หมายถึงกฎธรรมชาติที่ควบคุมสรรพสิ่งใน จักรวาลนี้


| สยาม ราชวัตร แหล่งที่มาภาพ : https://www.travelaroundtheworld-mag.com/travel/kathmandu/ ในยุคของคัมภีร์รามายณะและคัมภีร์มหาภารตะ ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่เกิดหลังคัมภีร์พระเวท เป็นพันปี เรื่องราวทั้งสองคัมภีร์ก็เป็นการสืบทอดความเชื่อในการบูชาพระวิษณุว่าเป็นเทพสูงสุด โดยกล่าวว่า พระรามในคัมภีร์รามายณะเป็นองค์อวตารของพระวิษณุ และพระกฤษณะ ในคัมภีร์มหาภารตะก็เป็นองค์อวตารของพระวิษณุเช่นกัน สำหรับในคัมภีร์มหาภารตะ มีหลายตอนที่กล่าวถึงพระกฤษณะกับพระวิษณุ เช่นในตอนสันติปารวัณ ยุธิษฐิระกล่าว สรรเสริญการบูชาพระกฤษณะก็คือการบูชาพระวิษณุ และในตอนอัศวเมธติกะปารวัณ กล่าวถึงพระกฤษณะผู้สามารถอธิบายรูปแบบแห่งจักรวาลให้ฤๅษีอุตตังคะทราบได้ แต่ พระกฤษณะกล่าวยกย่องรูปแบบแห่งจักรวาลนั้นว่าเป็นรูปแบบแห่งองค์วิษณุ จากข้อความ เหล่านี้น่าจะตีความได้ว่า การกล่าวยกย่องสรรเสริญความยิ่งใหญ่ของพระวิษณุก็คือความ ต้องการจะสื่อความให้เข้าใจถึงความยิ่งใหญ่ของพลังธรรมชาติที่ดำเนินไปและเป็นเหตุแห่ง การดำเนินไปในระบบจักรวาล การที่ความเชื่อและการบูชาพระวิษณุยังคงสืบทอดต่อกันมานับพันปี แสดงให้เห็นว่า มนุษย์มีความเชื่อในธรรมชาติที่อยู่รอบตัวว่าเป็นจริงเช่นนั้น โดยผ่านความเชื่อในเทพเจ้าที่สื่อ ถึงความจริงนั้น การที่ฤๅษีผู้ศึกษาคัมภีร์พระเวทเข้าใจลึกซึ้งในเนื้อหาของคัมภีร์ จนสามารถประพันธ์วรรณกรรมขึ้นในลักษณะการอวตารเป็นปางทั้งหลายของพระวิษณุนั้น


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | ก็สื่อความว่าพระวิษณุคือผู้ทรงอำนาจสูงสุดเกี่ยวกับสรรพสิ่ง แนวคิดเรื่องอวตารจึงเป็นการ สื่อความโดยนัยให้เห็นขั้นตอนกระบวนการของธรรมชาติที่ว่าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ที่ เกี่ยวเนื่องกับสรรพสิ่งด้วยรูปแบบสถานะหลากหลาย เช่น พลังงานแสงอาทิตย์เปลี่ยนเป็น พลังงานไฟฟ้าและพลังงานอื่นได้ ดังนั้นความคิดในเรื่องอวตารจึงเป็นความคิดที่มีฐานแห่ง ความจริง และน่าจะเป็นฐานของการสื่อความเรื่องกระบวนการของสิ่งต่างๆ ตามระบบ ธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นการแยกตัวหรือการรวมตัวของจำนวนประจุไฟฟ้าของจำนวนอะตอม และของบรรดาสารหรือธาตุต่างๆ แล้วเกิดผลเป็นสิ่งปรากฏในแต่ละขั้นตอนของการรวมตัว หรือการแยกตัวนั้นๆ การอวตารจึงเป็นการสื่อความจริงที่สมัยปัจจุบันในทางวิทยาศาสตร์ เรียกว่า การเปลี่ยนแปลงทางเคมีหรือการเปลี่ยนแปลงทางฟิสิกส์ จากการศึกษาประวัติการบูชาพระวิษณุดังกล่าว เห็นได้ว่าไวษณพนิกายมีประวัติ ความเป็นมายาวนาน และเป็นลัทธิเก่าแก่มากในอินเดีย ซึ่งหากศึกษาเพียงผิวเผินก็ดูเหมือน จะเป็นลัทธิทางศาสนาที่ปฏิรูปขึ้นมาใหม่ แต่โดยความจริงแล้วไวษณพนิกายมีลำดับความ เป็นมาที่ยาวนาน กล่าวคือ แต่เดิมเป็นลัทธิความเชื่อที่อ้างอิงเทพเจ้าในความเชื่อสมัยก่อนนั้น เรียกกันว่า “เอกธรรม” คือลัทธิที่เชื่อในความเป็นหนึ่งเดียวของจิตวิญญาณในจักรวาล อัน เป็นความเชื่อที่ระบุอยู่ในคัมภีร์พระเวท ต่อมาก็ผสมผสานกับลัทธิปัญจรตระ (Pancharatra) ซึ่งเป็นลัทธิบูชาพระอาทิตย์ในลัทธิภควัท (Bhagavata Religion) คือการบูชาพระนารายณ์ เมื่อกษัตริย์ของชนเผ่าสัตวัตเลื่อมใสศรัทธาในลัทธิภควัท ยอมรับในองค์วิษณุ ได้นำเอาความ เชื่อในองค์พระวิษณุมาผสมผสานกับความเชื่อในองค์พระนารายณ์ส่วนฤๅษีอภิรัสยกย่องบูชา พระวิษณุในนามพระกฤษณะหนุ่ม ต่อมาในคริสต์ศักราชเกิดการดัดแปลงลัทธิขึ้นใหม่โดยการ รวมนับถือเทพเจ้า 3 องค์ที่เรียกว่า “ตรีมูรติ” ได้แก่พระพรหมหรือพรหมันเทพสูงสุดใน คัมภีร์พระเวท พระวิษณุ และพระศิวะ สำหรับในยุคนี้พระวิษณุก็ยังคงได้รับการยกย่องเป็น เทพสูงสุดร่วมในตรีมูรติด้วย จวบจนมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 8 ซึ่งเป็นยุคสมัยที่พระศังกรา จารย์นักปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่ของฮินดูประกาศลัทธิความเชื่อในพระเจ้าเพียงองค์ที่เรียกว่า “ลัทธิภักดี” พระวิษณุก็ยังคงเป็นตัวแทนแห่งเทพเจ้าองค์เดียวนั้น ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 11 ท่านรามานุชาจารย์ นักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงของฮินดูเช่นกันพยายามเผยแพร่ความเชื่อและ การอุทิศตนต่อพระวิษณุในรูปแบบใหม่ซึ่งมีพรรคพวกของนิมบารกดินแดนแถบตอนเหนือ ร่วมศรัทธาด้วย โดยบูชาพระวิษณุในนามของพระกฤษณะหนุ่มคู่กับเจ้าแม่ราธา มาจน คริสต์ศตวรรษที่ 13 แม้จะเกิดมีบางลัทธิที่ให้เหตุผลเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของความเชื่อใน บางส่วน เช่น ลัทธิมัทวะซึ่งเป็นลัทธิที่เชื่อว่าจิตวิญญาณของมนุษย์กับจิตวิญญาณเทพเจ้า สูงสุดนั้นต่างกันมิใช่หนึ่งเดียวดังเช่นความเชื่อดั้งเดิม แต่ลัทธินี้ก็ยังคงบูชาพระวิษณุเป็นเทพ สูงสุดเช่นเดิม ในดินแดนรามันดาตอนเหนือของอินเดีย มีการนับถือพระวิษณุในนามของพระรามและ ดัดแปลงคำสอนให้เป็นภาษาสนทนาธรรมดาเพื่อง่ายต่อการเข้าใจคำสอนนั้น มีฤๅษีกปิระ


| สยาม ราชวัตร (Kabira) และฤๅษีตุลสีทาส (Tulasidasa) เป็นสาวกสำคัญในลัทธินี้ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่16 ฤๅษีวัลลภะ (Vallabha) กลับมาฟื้นฟูยกย่องพระวิษณุในนามพระกฤษณะหนุ่มกับพระนางราธา ขึ้นอีก ในขณะเดียวกันฤๅษีไจตันยะ (Chitanya) ก็ยกย่องพระกฤษณะว่าคู่กับพระนางราธา ตลอดกาล เป็นสัญลักษณ์ของความรักอันบริสุทธิ์ พระนางราธาจึงหมายถึงสิ่งบูชาสูงสุดเด่นกว่า ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องและได้รับการยกย่องในไวษณพนิกาย(สมพร สุขเกษม,2532, น. 8-10) ความเชื่อต่อพระวิษณุได้ถูกดัดแปลงเสริมแต่งให้แตกต่างกันออกไปตามความเชื่อแต่ละ ลัทธิล้วนมาจากรากฐานความเชื่อในลัทธิภควัทที่ฟื้นฟูพระวิษณุขึ้นมาบูชาเป็นเทพเจ้าสูงสุดใน ภาคอวตารในนามของพระกฤษณะวาสุเทพ นั้นแสดงถึงแนวคิดที่ว่าพระวิษณุเกี่ยวข้องกับสรรพสิ่ง โดยมาในรูปแบบต่างๆ จึงเห็นได้ว่าพระวิษณุได้รับการยกย่องเป็นเทพสูงสุดมาตั้งแต่ดั้งเดิมและ เป็นเทพเจ้าสูงสุดในคัมภีร์พระเวทด้วย ความเชื่อนี้กระจายอยู่ในหลายกลุ่มและสืบทอดความเชื่อ กันมาหลายยุคสมัย ตำนานพระวิษณุจึงถูกดัดแปลงไปตามเหตุการณ์ของแต่ละกลุ่มความเชื่อ และแต่ละยุค แต่ก็ยังอยู่บนหลักปรัชญาเดิมซึ่งเป็นหลักสัจธรรม พระวิษณุจึงยังคงได้รับการยกย่อง เป็นเทพเจ้าสูงสุดของคนหลายกลุ่มมาตั้งแต่ยุคพระเวท ความเชื่อทั้งหลายที่ยกย่องบูชาพระวิษณุ จึงรวมเป็นนิกายไวษณพที่มีเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ของกลุ่มตนเองในปัจจุบัน 7.3 นิกายไศวะ (The Saivas Sect/ Shaivism) คำว่า “ไศวะ” มาจากคำว่า “ศิวะ” นิกายไศวะ จึงหมายถึงนิกายหรือลัทธิของ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูที่นับถือบูชาและจงรักภักดีต่อพระศิวะหรือพระอิศวร ตามหลักของ นิกายนี้ถือกันว่าพระศิวะเป็นผู้สร้างและเป็นแก่นสารแห่งสรรพสิ่ง สัญลักษณ์ที่โดดเด่นและ เป็นที่ให้รู้ว่าเป็นของนิกายนี้ คือ ศิวลึงค์ โคนันทิ และตรีศูล โบสถ์ที่สร้างอุทิศให้แก่พระศิวะมี สิ่งสำคัญประดิษฐานอยู่คือ “ศิวลึงค์” ซึ่งสร้างเป็นเครื่องหมายอวัยวะเพศชาย นิกายไศวะ เกิดขึ้นระหว่างคริสต์ศักราชที่ 5 -6 มีแนวคิดทางปรัชญาที่แตกต่างออกไปเป็นของตนเอง ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 11 มีชื่อนิกายว่า “ไศวสิทธานตะ” (Shaiva Siddhanta) มี รากฐานเนื่องด้วยคัมภีร์พระเวทและคัมภีร์อาคมะ สำหรับคัมภีร์อื่นๆที่มีส่วนช่วยให้นิกายนี้ เจริญเติบโตและพัฒนายิ่งขึ้นที่เป็นภาษาทมิฬ คือ “คัมภีร์โตลกาปปิอัม” และที่เป็นภาษา สันสกฤต คือ “คัมภีร์มหาภารตะ” และ “คัมภีร์เศวตัศวตารอุปนิษัท” (Shvetashvatara Upanishad) นอกจากนี้ยังมีคัมภีร์ “ไศวอาคมะ” ซึ่งเป็นบทกวีที่นักบวชของนิกายไศวะและ นักเทวศาสตร์ได้ประพันธ์ไว้


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | นิกายไศวะแบ่งออกเป็นนิกายย่อยอีก 2 นิกาย คือ (1) นิกายไศวะฝ่ายเหนือ มีชื่อ เรียกว่า “กาษมีรไศวะ” (2) นิกายไศวะฝ่ายใต้ มีชื่อเรียกว่า “ลิงคายัต” (1) นิกายไศวะฝ่ายเหนือ หรือ “กาษมีรไศวะ” (Kashmir Saivism) ลัทธิกาษมีระไศวนี้ เป็นลัทธิที่อยู่แถวภาคเหนือของประเทศอินเดีย บริเวณ แคว้นกาษมีระหรือแคชเมียร์ เป็นลัทธิที่วิเคราะห์ธรรมชาติอย่างถี่ถ้วนยิ่งกว่าสำนักปรัชญา อินเดียทั้งหก ดังนั้นเมื่อจะกล่าวถึงระบบปรัชญาอินเดียถ้าไม่กล่าวถึงลัทธิกาษมีรไศวะก็ถือว่า ขาดความสมบูรณ์แห่งปรัชญาอินเดีย ลัทธินี้จัดเป็นแนวคิดแบบ “เอกนิยม” (Monism) นับถือ พระเจ้าองค์เดียวคือพระศิวะ ซึ่งผู้นำทางด้านความคิดในนิกายนี้คือท่านวสุคุปตะ เป็นผู้ก่อตั้งขึ้น ในคริสต์ศตวรรษที่9 หรือบางแห่งเรียกลัทธินิกายนี้ว่าเป็นแนวคิดแบบ “เอกนิยมแบบอุดมคติ” (Ideal Monism) คือหลักการขั้นสุดท้ายอย่างเดียวคือพระศิวะ หรือหนึ่งเดียวมองเป็น 2 ด้าน คือความเป็นโลกุตตระอยู่เหนือโลกแง่หนึ่ง และเป็นสิ่งที่แทรกซึมอยู่อย่างถาวรในโลกอีกแง่หนึ่ง นอกจากนี้ในประเด็นการวิเคราะห์หรือแยกแยะถึงวิวัฒนาการแห่งจักรวาล นิกายนี้ถือว่า “ตัตตวะ” คือความจริงมีอยู่ถึง 36 อย่าง แสดงถึงต้นกำเนิดแห่งวิญญาณและวัตถุ อภิปราย ถึงธรรมชาติหรือสภาพแห่งหลักการขั้นสุดท้าย อธิบายสาเหตุแห่งความผลักดันเบื้องต้น ในธรรมชาติ (สุชีพ ปุญญานุภาพ, 2541, น. 294) (2) นิกายไศวะฝ่ายใต้หรือ “ลิงคายัต” (Lingayatism) ลักษณะพิเศษของนิกายนี้คือมีรูปศิวลึงค์หรือสัญลักษณ์อวัยเพศของชายห้อยคอ คล้ายกับเมืองไทยที่ทำปลัดขิกห้อยรอบเอว นักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงของนิกายนี้ คือท่านลกีศะ สาวกนิกายนี้เชื่อว่าท่านเป็นศิวะที่อวตารลงมาเป็นครั้งสุดท้าย และเป็นผู้ก่อตั้งนิกายปาศุปตะ อิทธิพลของนิกายไศวะเพิ่มขึ้นเมื่อเกิดการแข่งขันกับพระพุทธศาสนาและศาสนาเชน ในสมัย แห่งกษัตริย์ปัลลวะมีข้อพิสูจน์ที่ว่านิกายไศวะรุ่งเรืองขึ้นในสมัยคุปตะก็คือศิลาจารึกที่เมืองมถุรา ของพระเจ้าจันทรคุปตะที่ 2 นอกจากนั้นกษัตริย์โจละหลายพระองค์ที่มีชื่อเสียงก็ทรงนับถือ นิกายไศวะและทรงทำทุกอย่างเพื่อความรุ่งเรืองของนิกายนี้ (สุชีพ ปุญญานุภาพ, 2541, น. 293) ศรีศิวานันทะกล่าวไว้ในตำนานชื่อว่า สิทธานตะมารยา (Siddhanta marya) ว่าตำนานสายพระศิวะนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิถีของชีวิต ที่เรียกว่า “ชีวญาณ” (Shiva Jnana) ตำนานนั้นบ่งไว้ชัดเจนว่าการสละอุทิศเพื่อการบูชา (Devotion or Bhakti) ที่เรียกว่าการภักดี เท่านั้นที่สามารถทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จได้ในด้านจิตวิญญาณ นอกเหนือไปจากการบำเพ็ญ เพื่อสำนึกบาปและการสำรวมในศีล ความศรัทธาในเรื่องของการสละอุทิศนี้จะเกิดขึ้นก็ ต่อเมื่อได้ปฏิบัติตามหน้าที่ของธรรมชาติที่กำหนดไว้แล้ว นั่นก็คือหน้าที่ทั้งหลายที่กำหนดไว้ ในแต่ละวรรณะและหน้าที่ตามแต่ละอาศรมกล่าวคือหน้าที่ตามช่วงวัยของชีวิตนั้นเอง ทุกชีวิตอยู่ ภายใต้การควบคุมของตนเอง และตนเองเท่านั้นที่จะอุทิศสละตนให้ถึงเป้าหมายสูงสุดนั้นได้


| สยาม ราชวัตร ด้วยตนเอง นอกจากนี้ศรีศิวานันทะ กล่าวถึงตำนานศิวลึงค์ว่า ในตำนานศิวลึงค์เน้นถึงการทำ ความดีเพื่อให้ถึงความหลุดพ้น แต่ก็มีคำสอนที่มุ่งให้ชีวิตเกิดความสมบูรณ์พร้อมทั้งในด้านธรรมะ และด้านทรัพย์สมบัติ มีคำสอนเกี่ยวกับการหาความสุขความพึงพอใจที่สอดคล้องสมดุล กลมกลืนกับลักษณะของธรรมชาติ ผู้ดำเนินชีวิตอยู่ในครรลองของคำสอนนี้จะมีชีวิตที่เป็นสุข อย่างยาวนาน (Sri Sivananda, 1961, pp. 92, 108 อ้างในสมพร สุขเกษม, 2532, น. 11) ทั้งในตำนานพระศิวะและตำนานศิวลึงค์ ได้กำหนดขั้นตอนสำหรับโยคีเพื่อการ ปฏิบัติโดยยึดหลักเดียวกับหลักของฤๅษีปตัญชลี ที่กำหนดไว้8 ประการคือ 1) ยมะ (Yama) การละเว้นงดเว้น 2) นิยมะ (Niyama) การกระทำตามกฎเกณฑ์ข้อบังคับ 3) อาสนะ (Asana) การฝึกท่าดัดร่างกาย 4) ปราณยมะ (Paranayama) การควบคุมลมปราณ 5) ปรัตยาหาร (Pratyahara) การถอนอารมณ์และความรู้สึกทั้งหลาย 6) ธารณะ (Dharana) ความเพียรพยายาม 7) ธยานะ (Dhayana) การพิจารณาไตร่ตรอง 8) สมาธิ (Samadhi) การทำสมาธิ แหล่งที่มาภาพ : https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/1/1b/India-7579_-_Flickr_archer10_% 28Dennis%29.jpg


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | ลัทธิบูชาพระศิวะต่อมาภายหลังพัฒนาเป็นสัมภูเทวา ท่านศรีกัณฑศิวาจารย์ กล่าวไว้ในตำราวยาวิยาสัมหิตา (Vayaviya Samhita) ว่า “ชีวะ” หรือ “ชีวิต” มีการดำเนิน ไปพลัง (Sakti) ของตัวมันเอง พลังนั้นได้แก่พลังตั้งแต่ชั้นเริ่มแรกของแต่ละชีวิตที่เกิดขึ้นและ ประกอบอยู่กับสภาวะของโลก และจากพลังนี้เองที่โลกได้รับการพัฒนา ลักษณะความเชื่อนี้ เป็นการจัดคุณภาพให้แก่แต่ละจิตวิญญาณ มีลักษระคล้ายความเชื่อของท่านรามานุชาจารย์ ซึ่งกล่าวว่า ชีวะมีความเป็นไปในลักษณะของมันตามลักษณะของพลังแห่งตัวมันเอง ความเชื่อ เดียวกันนี้ก็เป็นหลักการของลัทธิลึงคยัต (Lingayata) ด้วย ซึ่งเป็นลัทธิหนึ่งในไศวนิกายมีศูนย์กลาง อยู่ในแถบอินเดียใต้ส่วนในอินเดียตอนเหนือที่แคว้นกัศมีร์หรือแคชเมียร์ ก็เป็นศูนย์กลาง ของไศวนิกายเช่นกัน เรียกลัทธินี้ว่า “กัศมีรไศวะ” ลัทธิบูชาพระศิวะเป็นลัทธิที่เก่าแก่มาก เชื่อกันว่าเป็นลัทธิที่มีมาก่อนวัฒนธรรม ของชาวอารยันที่นับถือคัมภีร์พระเวท จนเมื่อวัฒนธรรมของชาวพื้นเมืองที่บูชาพระศิวะได้มา ผสมผสานกับวัฒนธรรมของชาวอารยันที่บูชาคัมภีร์พระเวท จึงมีการเปรียบเทียบพระศิวะว่า คือเทพเจ้าองค์เดียวกันกับพระรุทระ (Rudra) ที่เป็นเทพเจ้าในคัมภีร์พระเวท ซึ่งความเชื่อนี้ ก่อวิวัฒนาการเป็นลัทธิใหม่ขึ้นอีก เรียกว่า “ลัทธิรุทรไศวะ” (Rudra Shiva) และในยุคที่เกิด การรวมนับถือเทพเจ้า 3 องค์ที่เรียกว่า “ตรีมูรติ” พระศิวะก็ได้รับการยกย่องเป็นเทพเจ้า สูงสุดร่วมกับพระพรหมและพระวิษณุส่วนไศวนิกายนั้นเกิดในยุคภักดีที่ฟื้นฟูความเชื่อในการ บูชาเทพเจ้าสูงสุดเพียงองค์เดียวก็มีกลุ่มผู้แยกตัวมายกย่องบูชาพระศิวะเป็นเทพเจ้าสูงสุด เพียงองค์เดียวถือเป็นไศวนิกาย และตั้งแต่ศตวรรษที่ 7 เป็นต้นมาลัทธิบูชาพระศิวะในสายอื่นๆ ก็เป็นที่ยอมรับและเป็นความเชื่ออันสำคัญของชาวฮินดูและเป็นที่เกิดของลัทธิย่อยสาขาอื่นๆ อีกมาก ลักษณะพิเศษของไศวนิกายคือการบูชารูปศิวลึงค์ และบูชาชายาของพระศิวะคือ พระนางอุมาเทวี สำหรับพระนางอุมาเทวีก็เป็นที่เคารพบูชาในหมู่สาวกของไศวนิกายเช่นกัน นอกจากนี้โอรสของพระศิวะและพระนางอุมาเทวีคือ พระพิฆเณศ เทพเจ้าแห่งศิลปะและ ความสำเร็จ และพระขันธกุมาร เทพเจ้าแห่งสงคราม ก็ได้รับการยกย่องบูชาด้วย อาวุธของ พระศิวะคือตรีศูล และพาหนะของพระศิวะคือวัวนันทิหรือโคนนทิ ก็ได้รับการนับถือ ร่วมในหมู่สาวกของไศวนิกายด้วยเช่นกัน 7.4 นิกายศักติ(The Shakti Sect/ Shaktism) นิกายศักติมีความเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของชาวอินเดียและแพร่หลายไม่แพ้ นิกายไศวะและนิกายไวษณพที่เกิดขึ้นก่อน คำว่า “ศักติ” ตรงกับคำว่า “ศักดิ์” ที่ภาษาไทย ใช้อยู่ แปลว่า “ความสามารถ” หรือ “ความสูงส่ง” หรือ “อำนาจ” หรือ “เครื่องส่งเสริมให้มีศรี” ในเชิงความหมายเป็นพลังที่สนับสนุนชีวิตทั้งปวงให้คงอยู่ร่วมกัน ทั้งประคับประคองสรรพสิ่ง


| สยาม ราชวัตร ทั้งหลายไว้ด้วยกัน หลักการขั้นสุดท้ายหรืออุดมคติสูงสุดเกี่ยวกับลัทธินี้ แสดงออกเป็น ภาพของสตรีเพราะพลังส่วนนี้ทำให้สิ่งทั้งหลายปรากฏ พลังส่วนนี้ได้รับการยกย่องให้เป็น เทพเจ้าในฐานะเป็นมเหสีของพระศิวะเทพสูงสุดของนิกายไศวะเทวีเหล่านี้เกิดมาเพื่อเสริมอำนาจ แก่เทพเจ้าผู้เป็นสามี ในธรรมชาติจะสิ่งที่เป็นของคู่กัน เมื่อมีเพศชายก็จะมีเพศหญิงเป็นคู่ โลกจึง จะสมดุลชาวฮินดูจึงสร้างศักติหรือเทวีขึ้นคู่กับเทพชายเพื่อให้เป็นอำนาจและเครื่องประดับ ซึ่งกันและกัน คัมภีร์ของนิกายศักตินี้คือ “คัมภีร์ตันตระ” (Tantra) สำหรับนิกายไศวะจะนับ ถือพระนางอุมาเทวีเป็นศักติของพระศิวะ ในนิกายไวษณพนับถือบูชาพระลักษมีเป็นศักติของ พระนารายณ์และจัดพระนางสุรัสวดีเป็นศักติของพระพรหม (สมพร สุขเกษม, 2532, น.14) แนวคิดหลักของนิกายศักติจะเน้นเรื่องพลังแห่งการต่อสู้และปราบสิ่งชั่วร้ายซึ่งก็คือ พลังที่ต่อสู่กับกิเลส มีคำอธิบายเชิงนามธรรมว่า “ศักติ” หรือ “เทพี” เป็นเครื่องหมายสำแดง ให้เห็นพลังกิเลสส่วนชั่ว และปัญญาอันเป็นสิ่งดีที่อยู่ในสตรีเพศ แนวคิดเหล่านี้เริ่มขึ้นจาก นิกายไศวะก่อนมหาเทวีผู้สูงศักดิ์กว่าเทวีใดเป็นศักติคือชายาของพระศิวะ ทรงพระนามว่าอุ มา และภายหลังมีพระนามมากมายออกไปตามความนับถือซึ่งมุ่งให้มีความหมายตามพลัง กิเลสที่เป็นไป เช่นนามว่าอัมพิกา บารพตี มหาวิทยา มหามาตา นายิกา โยคินี จัณฑี จัณฑิกา ไภวรี เหมวตี ภาวา ทุรคา และกาลีเป็นต้น ที่ทรงมีพระนามมากมายความจริงก็มีพระนาม เดียวคืออุมา แต่เมื่อพระศิวะอวตารเป็นปางต่างๆ เทวีจึงต้องมีพระนามต่างกัน มีพระรูปต่างกัน มีการบูชามีเทวาลัยที่สถิตอาศัยมากมายขึ้น (เสฐียร พันธรังษี, 2527, น.85) ด้วยการแปลเนื้อความในคัมภีร์ตันตระประกอบการเสริมแต่งทางความคิด ทำให้ยุค หนึ่งของนิกายศักติมีพิธีกรรมที่ไม่น่าจะเป็นรูปแบบของผู้ปฏิบัติทางศาสนา จะออกไป ทางการทารุณและอนาจาร ที่ใดมีเรื่องต้องการกินจะมีการกินอาหารคาวสดอ้างว่าเจ้าแม่ ต้องการเสวย สถานที่นั่นก็จะมีเลือดของสิ่งบูชา มีการประหารและทารุณสัตว์ เช่น มีพิธีบูชายัญ ด้วยชีวิตคนและชีวิตสัตว์ที่ใดมีเรื่องของเพศคู่หรือมีเรื่องของความปรารถนาใหญ่ในกามที่นั่น ก็มีอนาจารและทุราจารที่เทวาลัยของเจ้าแม่มีการบูชาด้วยการประกอบกิจกรรมทางการร่วม เพศต่อหน้าเทพเจ้า บางเมืองมีเทพทาสีคอยรับจ้างทำเมถุนธรรมเพื่อสังเวยเจ้าแม่พอใจก็มีให้ เห็นอยู่ การนับถือลัทธิศักติหรือนิกายศักติ แบ่งออกเป็น 2 พวก คือ (1) พวกทักษาจาริน หรือพวกฝ่ายขวา เป็นพวกที่ทำพิธีกรรมอย่างเปิดเผย สุภาพ ไม่ลามก ไม่อนาจาร ไม่มีลับลมคมใน เกี่ยวกับการประกอบพิธีกรรม (2) พวกวามาจาริน ได้แก่พวกซ้าย เป็นพวกที่ทำพิธีกรรมในที่ลับ มีความเป็นอนาจารและลามก เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ พวกที่สองนี้เป็นกลุ่มที่มีแนวคิดแบบตันตระ นักปราชญ์ฝ่ายฮินดูรับว่า นิกายตันตระ เกิดจากการนับถือศักติ เรื่องเทวดาผู้หญิงเมียเทวดา ผู้ชายซึ่งกลายเป็นแบบแผนในภายหลัง คำว่า “ตันตระ” หมายถึงพิธีหรือแบบแผน กฎเกณฑ์ ในพิธีกรรมตามฐานะ และสภาพของมนุษย์ที่แสดงออกด้วยอำนาจของกิเลส 3 ประการ คือ สภาพแห่งความเป็นสัตว์ สภาพแห่งความเป็นผู้กล้าหาญ และสภาพแห่งความเป็นผู้ประเสริฐ การบูชาศักติตามแบบของตันตระ จะต้องทำพิธีไปตามสภาพอย่างหนึ่งและทำพิธีกรรมอย่าง


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | ใดอย่างหนึ่ง ให้ศักติและเทพผู้เป็นสวามีพอใจ การที่เทพคู่พอใจก็คงไม่พ้นการพรรณนาคุณ แห่งความสิเน่หาระหว่างกัน พรรณนาคุณแห่งความใคร่คุณแห่งความรักระหว่างเทพและเทพี ทั้งสอนนั่นเองจบลงสุดท้ายด้วยการประกอบเมถุนมีเพศสัมพันธ์กัน นักปราชญ์นิกายตันตระ อธิบายว่า การกระทำตามกฎเกณฑ์พิธีกรรมนี้ เป็นจุดสุดยอดของลัทธิตันตระ ผู้กระทำ พิธีกรรมจะต้องทำตามกฎ 5 อย่าง เรียกว่า “มการ” หรือ “5 ม.” ( Panjamakara) ประกอบด้วย (1) มัชชะการดื่มน้ำเมา (2) มังสะการบริโภคเนื้อสดหรือเนื้อปลาผสมกับน้ำเมา (3) มันตระ การสาธยายมนต์บทใดบทหนึ่งเร่งเร้าให้เกิดความกำหนัดทางเพศ (4) มุทระ การเต้นรำลีลาด้วยท่ายั่วยวนหรือดูการเต้นรำยั่วยวนอีกฝ่าย เพื่อเร่งเร้าให้เกิดความกำหนัด อีกทาง (5) เมถุน สุดท้ายก็ประกอบกิจทางเพศสัมพันธ์กันเพื่อบรรลุความสุขทางเพศ พิธีกรรมลักษณะนี้เป็นของกลุ่มวามาจาริน หรือพวกศักติฝ่ายซ้าย เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “กาฬ จักร” (จักรดำ) มักกระทำกิจกรรมกันในเวลากลางคืน ผู้เลื่อมใสลัทธินิกายนี้ทั้งหญิงชายมา ประชุมรวมตัวกันต่อหน้าศักติหรือเทพเจ้าฝ่ายหญิงโดยเฉพาะต่อหน้าพระแม่อุมาแล้วปฏิบัติ กิจกรรมตามหลัก 5 ม. ที่กำหนดไว้อะไรเป็นเหตุผลให้มีการกระทำลักษณะซึ่งดูเหมือนกัน ขัดแย้งภาพลักษณ์ของศาสนาที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางเพศ เหตุผลที่มีกิจกรรมตามลักษณะนี้ น่าจะเป็นความเหลวแหลกของการนับถือในยามที่ศาสนาเกิดความเสื่อมลงในอินเดียไม่ สามารถกำหนดว่าอะไรเป็นพุทธศาสนาอะไรเป็นฮินดู เหลือแต่ความคิดเชิงลามกอนาจาร พุทธศาสนิกชนบางพวกในสมัยนั้นยอมรับเอาบางส่วนของตันตระเข้ามาผสมผสานถึงกับมี “พุทธตันตระ” เกิดขึ้นในพุทธศาสนา และแพร่หลายเข้าไปอยู่ในนิกายลามะของธิเบตเป็น ส่วนใหญ่ และเพราะแห่งการปฏิบัตินี้ได้ทำให้พุทธศาสนาเสื่อมโทรมไปจากประเทศอินเดีย หรืออาจเป็นเพราะการตีความว่า มนุษย์คนเรามีราคะ โทสะ และโมหะเป็นมูลเบื้องลึกอยู่ในจิต อยู่แล้ว ถ้าต้องการจะดับกิเลสเหล่านั้น จะต้องอยู่กับสิ่งเหล่านี้หรือประพฤติสิ่งเหล่านี้เสียให้ เต็มที่เต็มความพอใจ อยากทำสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้นให้เต็มที่จนถึงที่สุดของความอยาก ทำนอง เหมือนสุภาษิตไทยที่ว่า หนามยอกก็เอาหนามบ่ง หรือเป็นลักษณะใช้ตัณหาตัดตัณหา อยู่กับ กิเลสเหล่านี้ มีความสุขทางเพศจนถึงที่สุดของมันจนไปสู่ความเบื่อหน่ายเพศ นั่นคือทางแห่ง ความหลุดกิเลสที่ยั่งยืนในทัศนะของตันตระ


| สยาม ราชวัตร แหล่งที่มาภาพ : https://www.hindutsav.com/wp-content/uploads/2021/07/khajuraho-temple.jpg เมื่อรัฐบาลอังกฤษที่เข้ามาปกครองอินเดียได้ออกกฎหมายห้ามอย่างเด็ดขาด เกี่ยวกับพิธีกรรมของตันตระที่เป็นไปในทางลามกอนาจาร คงเหลือแต่พิธีการบูชาเจ้าแม่มหา อุมาเทวีหรือเจ้าแม่กาลีในเทศกาลดูเซร่า (Dussehra) ที่เกี่ยวต่อเนื่องจากเทศกาล “นวราตรี” ยังเป็นประเพณีแพร่หลายอยู่ในประเทศอินเดียปัจจุบันโดยเทศกาลดังกล่าวเป็นที่ชื่นชอบ ของชาวฮินดู และมีผู้คนเป็นจำนวนมากแต่งหน้าแต่งตัวเข้ามามีส่วนร่วมในขบวนแห่ทาง ศาสนาที่เรียกว่า คาเรน โกลดา (Karan Ghoda) เช่นเมืองเก่าอย่างอัลลาฮาบาด ประเทศอินเดีย ส่วนของประเทศไทยจะจัดแห่ประเพณีที่วัดพระศรีมหาอุมาเทวี (วัดแขก สีลม) ซึ่งเป็นวัน ฉลองชัยชนะขององค์พระแม่ศรีมหาอุมาเทวี ในภาคพระแม่มหาทุรคา ที่ทรงต่อสู้กับอสูรควาย (มหิงสาสูร) เป็นเวลา 9 วัน 9 คืน จนกระทั่งสามารถเอาชนะเหนืออสูรร้ายได้ในวันที่ 10 7.5 นิกายย่อยในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู นอกเหนือจากนิกายใหญ่ทั้ง 3 นิกายของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูกล่าวคือ นิกายไศวะ นิกายไวษณพ และนิกายศักติ ที่ชาวฮินดูจำนวนมากนับถือตามความเชื่อของกลุ่มตนเองแล้ว ยังมีนิกายเล็กหรือนิกายย่อยอื่นที่ยังมีชาวฮินดูนับถือไม่ถึงเป็นจำนวนเท่านิกายใหญ่ทั้ง 3 นั้น


Click to View FlipBook Version