The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สยาม ราชวัตร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by คำนำ, 2023-11-20 23:52:49

ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สยาม ราชวัตร

ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | ช่วงรุ่งอรุณกับเที่ยงและพระอาทิตย์ตกดินนอกจากนี้อาจเพิ่มอีกสองครั้งคือระหว่างรุ่งอรุณ กับเที่ยง (พิริยะ ไกรฤกษ์, 2555, น. 100 อ้างใน นุสรา จิตตเกษม 2558, น. 56-57) 4.2 พัฒนาการเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู การนับถือเทพเจ้าในอินเดียมีพัฒนาการที่ยาวนาน พัฒนาการนี้ก่อให้เกิดความน่าสนใจ ประการหนึ่งคือ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูสามารถรักษาพิธีกรรมและสัญลักษณ์โบราณบางประการ ที่โอบอุ้มความเชื่อและศาสนาก่อนประวัติศาสตร์เอาไว้จนถึงปัจจุบัน ในขณะเดียวกันด้วย ระยะเวลาอันยาวนานนั้นเองก็ได้สร้างความหมายที่ทับซ้อนกันไว้หลายชั้นภายใต้สัญลักษณ์และ พิธีกรรมเดียวกัน ทั้งเพื่อปกปิดความหมายดั้งเดิมหรือเพื่อจะให้มีความเป็นเหตุผลหรือมีความ เป็นปรัชญา (philosophizing) มากขึ้น นอกจากนี้ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูของอินเดียไม่ได้เป็น ศาสนาที่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเพราะไม่ได้มีความเชื่อที่เป็นแกนกลางร่วมกันเช่น ศาสนาอื่นๆ ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมีทั้งความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้าทั้งแบบเอกเทวนิยม (Monotheism), พหุเทวนิยม (Polytheism), สรรพเทวนิยมหรือสัพพัตถเทวนิยม (Pantheism) ฯลฯ ความหลากหลายในความเชื่อและความคิดเหล่านี้ เกิดจากการปะทะสังสรรค์กันเองของ ความเชื่อภายในอินเดียและจากที่อื่น (คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง, 2561, น. 1584) พัฒนาการของเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูหากวิเคราะห์ในมุมมองทางสังคม วิทยาและมานุษยวิทยาแล้วจะเห็นว่ายุคเริ่มต้นของความเชื่อเรื่องเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์- ฮินดู เป็นแนวคิดแบบธรรมชาตินิยมและวิญญาณนิยม เป็นเรื่องของความคิดของมนุษย์ที่มี ต่อธรรมชาติโดยมีแรงขับคือความกลัวและความไม่รู้ต่อสิ่งที่มองไม่เห็น ไม่ว่าจะเป็นความ กลัวต่อความมืด ความกลัวตาย ความกลัวต่อปรากฏการณ์ธรรมชาติคือน้ำท่วม ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ไฟไหม้ เป็นต้น เกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัยในชีวิต ยากที่จะหาคำพูดมาอธิบายหรือเหตุผลมา รองรับคำอธิบายได้โดยเฉพาะปรากฏการณ์ของธาตุทั้ง 4 คือดิน น้ำ ไฟ ลม นอกจากนี้ยังมี การกำหนดอำนาจดวงดาวแต่ละดวงในท้องฟ้ามีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์และมีผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญประจำเผ่าหรือท้องถิ่นของตนเองสร้างคำอธิบายต่อสิ่งเหล่านั้น ส่งผลให้ความเชื่อ ต่อธาตุในธรรมชาติมีความหมายเชิงรูปธรรมมากขึ้นและมีความใกล้ชิดกับมนุษย์ด้วย เช่น ธาตุดิน จะปรากฏในรูปของเทพสตรี นามว่า “พระปฤถิวี” ในสังคมไทยเป็นที่รู้จักกันในนาม ว่า “พระภูมิ” เป็นเทพประจำพื้นดินและยังเป็นสัญลักษณ์ของโลกมนุษย์อีกด้วย ธาตุน้ำจะ ปรากฏในรูปของพระพิรุณ ทำหน้าที่ดลบันดาลทุกสิ่งเกี่ยวกับน้ำไม่ว่าเป็นการเกษตรและ บันดาลน้ำฝนในฤดูฝน ธาตุลมจะปรากฏในรูปของพระวายุหรือพระพาย เป็นเทพทำหน้าที่ดล บันดาลทุกสิ่งเกี่ยวกับลม ธาตุไฟจะปรากฏในรูปพระอัคนี ทำหน้าที่ดลบันดาล ทุกสิ่งเกี่ยวกับไฟ


| สยาม ราชวัตร นอกจากนี้ชาวฮินดูยังมีความเชื่อเรื่องดาวเคราะห์ในระบบสุริยจักรวาลว่ามีอิทธิพล ต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์บนโลก ถูกแสดงออกมาในรูปของเทพเจ้าเพื่อติดต่อกับมนุษย์ได้ ง่ายขึ้นและมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับวันเกิดของแต่ละคนซึ่งหลักโหราศาสตร์นิยมนำมา ทำนายนิสัยของมนุษย์แต่ละวันเกิด เทพเจ้าบนท้องฟ้าเกี่ยวกับดวงดาวในจักรวาลจะเรียกว่า “เทวดานพเคราะห์” (Navagraha) ประกอบด้วย (1) พระสุริยะ หรือพระอาทิตย์ตัวแทน ดวงอาทิตย์(2) พระจันทรา หรือพระจันทร์ตัวแทนดวงจันทร์ (3) พระมังคละหรือพระอังคาร ตัวแทนดาวอังคาร (4) พระพุธ ตัวแทนของดาวพุธ (5) พระพฤหัสบดี ตัวแทนของดาวพฤหัส (6) พระศุกร์ ตัวแทนของดาวศุกร์ (7) พระเสาร์ ตัวแทนของดาวเสาร์ (8) พระราหู ตัวแทน ปรากฏการณ์สุริยุปราคา (9) พระเกตุตัวแทนของดาวเกตุหรือดาวเนปจูน รายละเอียด ตำนานความเชื่อตามคติไทยจะกล่าวในหัวข้อต่อไป และในโลกสวรรค์ชาวฮินดูก็มีความเชื่อ ว่ามีพระอินทร์(Indra) เป็นเทพเจ้าที่เป็นใหญ่เหนือเหล่าเทพทั้งปวงบนสวรรค์มีร่างกายสีแดง ทรงช้างเอราวัณ พร้อมกันนั้นยังเป็นตัวแทนแห่งสงคราม ภายหลังจากยุคของเทพเจ้าที่กำเนิดมาจากธาตุพื้นฐานของธรรมชาติและดวงดาวใน จักรวาล ยังมีแรงผลักดันจากระบบความคิด ความเชื่อทางด้านปรัชญาจักรวาลวิทยา และ การพยายามจะตอบคำถามเกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิดหรือที่เรียกว่า “สังสารวัฏ” ทำให้ ยุคกลางได้มีการเพิ่มเทพเจ้าเข้าไปอีกมากมาย และมีการจัดลำดับชั้นของเหล่าเทพเจ้าใหม่ โดยแบ่งตามลักษณะของความเป็นใหญ่ในหน้าที่ เบื้องต้นแบ่งเทพชั้นสูงออกไปตามความ นิยมในการนับถือของกลุ่มสังคมในสมัยนั้น ได้แก่ไวศณพนิกายคือกลุ่มที่นับพระวิษณุเป็น ใหญ่เหนือบรรดาเทพทั้งปวง ไศวะนิกายคือกลุ่มที่นับถือพระศิวะเป็นใหญ่เหนือบรรดาเทพ ทั้งปวง และกลุ่มศักตินิกายที่เน้นพระแม่ทั้งสามและนับถือเทพเจ้าได้อย่างอิสระก่อให้เกิดการ จัดลำดับใหม่และลดระดับความสำคัญของเทพเจ้าบางองค์ลง โดยเทพเจ้าที่เป็นใหญ่คือพระ พรหม พระวิษณุ และพระศิวะ ถูกจัดให้อยู่ในระดับสูง ส่วนเทพเจ้าองค์อื่นนั้นก็เรียงลำดับ ตามลำดับความสำคัญลงมา (อรชุน กุรุนนท์, 2541) ดังนี้ (1) เทพชั้นสูง ประกอบด้วย พระ พรหม พระวิษณุ และพระศิวะ (2) เทพชั้นกลาง ประกอบด้วย พระอินทร์ หัวหน้าของเทพเจ้า ทั้งปวง พระพิฆเนศเหล่าเทพเจ้าที่เกิดจากธาตุทั้ง 4 คือ พระปฤถิวี พระพิรุณ พระวายุ พระอัคนี พระขันทกุมาร เทพแห่งสงคราม กามเทพ เทพแห่งความรัก พระว ิศวกรรม เทพแห่งการสร้าง พระยาทักษะ บิดาแห่งอิสตรีทั้งปวง พระแม่คงคา พระมนัสสะเทพีแห่งงู พระยมเทพแห่งความตาย พระกัษยปะ เทพนพเคราะห์ทั้ง 9 (3) เทพชั้นล่าง ประกอบด้วย พระนารธะหรือฤๅษีนารทมุนีพระคันธาระหรือคนธรรพ์มีหน้าที่คอยขับร้องปรุงน้ำโสมและ สร้างความรื่นเริงแก่เหล่าเทวดา นางอัปสร ทำหน้าที่เช่นเดียวกับคนธรรพ์เน้นที่ระบำฟ้อน เพื่อความสวยงาม กินนรและกินนรี เทพครึ่งคนครึ่งนก พญาครุฑ และนาค นาคมีลักษณะ เป็นครึ่งคนครึ่งงูอาศัยอยู่ในบาดาลหรือมหาสมุทร ทั้งนี้เนื่องด้วยเหล่าเทพเจ้าในศาสนา พราหมณ์-ฮินดูนั้นมีความนิยมแตกต่างกันไปตามเฉพาะของตนเองในแต่ละนิกาย ภายหลังจึง มีความพยายามที่จะรวมนิกายให้เป็นหนึ่งเดียวกัน


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | 4.3 เทพเจ้าองค์ส าคัญฝ่ายชาย (ตรีมูรติ) เทพเจ้ากลุ่มตรีมูรติ เป็นเทพเจ้าฝ่ายชายหรือมหาเทพสำคัญในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู คำว่า “ตรีมูรติ” (Trimūrti) เป็นคำเรียกรวมทั้งสามเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และเป็นเทพเจ้าที่มี อิทธิพลทางความเชื่อและการบูชาในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูยุคปัจจุบัน แปลตามรูปศัพท์ว่า “มีรูปสาม” หรืออาจแปลได้ว่า “ภาพปรากฏของเทพเจ้าทั้งสาม” โดยคำว่า “ตรี” หมายถึง สาม “มูรติ” หมายถึง ภาพปรากฏ หรือภาพที่แสดงให้เห็นด้วยตา แต่เดิมนั้นข้อความใน คัมภีร์พระเวทแสดงให้เห็นว่าศาสนาพราหมณ์เก่าเป็นศาสนาที่นับถือเทพเจ้าองค์เดียว หรือที่ เรียกว่า “ลัทธิเอกเทวนิยม” (Monotheism) ต่อมาภายหลังได้พัฒนาเป็นลัทธิสัพพัตถเทวนิ ยม “Pantheism” ซึ่งเชื่อว่ามีเทพเจ้ามีอยู่ทุกแห่งหน (สุชีพ ปุญญานุภาพ, 2534, น. 396 อ้างใน อรุณศักดิ์ กิ่งมณี,2551, น.27) ในยุคพระเวทตอนต้น การนับถือเทพล้วนผูกพันกับ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หรือถือว่าเทพเจ้าเหล่านั้นเป็นบุคลาธิษฐานจากธรรมชาติที่มี อำนาจเหนือมนุษย์ อย่างไรก็ดีในยุคนี้ก็ปรากฏร่องรอยการนับถือเทพเจ้าตามคติตรีมูรติบ้าง แล้ว โดยมีพื้นฐานเกี่ยวเนื่องกับการบูชากลุ่มอาทิตยเทพ มีหน้าที่ควบคุมดูแลแสงอาทิตย์ แสงจันทร์ ลม น้ำ และฤดูกาล แหล่งที่มาภาพ : https://dinsila.com/Legends_Trimurati.asp เทพเจ้าทั้งสามหรือตรีมูรติในยุคแรกนี้ได้แก่ เทพมิตระ เป็นเทพเจ้าผู้ดูแลโลกในเวลา กลางวัน เทพวรุณ เป็นเทพเจ้าดูแลโลกในเวลากลางคืน เทพอารยัน เป็นเทพเจ้าแห่งสวรรค์ผู้ มีจิตสูง ในยุคพระเวทตอนปลาย อำนาจของกลุ่มเทพเจ้าแห่งอาทิตย์เดิมลดบทบาทลง กลุ่ม เทพเจ้าชาวอารยันเริ่มได้รับการนับถือมากขึ้น กลุ่มเทพเจ้าที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพเจ้า


| สยาม ราชวัตร ตรีมูรติในระยะนี้ ประกอบด้วย (1) พระอัคนี(ไฟ) เทพเจ้าแห่งพื้นดิน (2) พระวายุ (ลม) หรือ พระอินทร์ เทพแห่งบรรยากาศ (2) พระสุริยะ (พระอาทิตย์) เทพแห่งท้องฟ้า อย่างไรก็ตาม คติตรีมูรติในยุคพระเวทยังไม่ค่อยชัดเจนนัก มาเริ่มปรากฏมากขึ้นในระยะเริ่มแรกของศาสนา พราหมณ์-ฮินดู อันมีพื้นฐานมาจากศาสนาพราหมณ์แนวความคิดเกี่ยวกับตรีมูรติในศาสนา พราหมณ์-ฮินดูนี้ นักปราชญ์ของอินเดียบางท่านสันนิษฐานว่าอาจนำมาจากหลักลัทธิสางขยะ ที่อธิบายเกี่ยวกับพระเป็นเจ้าว่าประกอบด้วยคุณ 3 ประการ คือ (1) รชะ (Rajas) หมายถึง ความเคลื่อนไหว หรือพฤติกรรม กลายเป็นพระพรหมในฐานะผู้สร้าง (2) สัตตวะ (Sattava) หมายถึงความดี ความสว่าง กลายเป็นพระวิษณุในฐานะผู้แทรกซึมอยู่ทั่วไป ผู้ดำรงไว้ ผู้ถนอม รักษาสากลโลกอันได้สร้างแล้ว (3) ตมะ (Tamas) หมายถึงความมืด กลายเป็นพระศิวะ ผู้ ทำลายสากลโลกที่ได้สร้างขึ้นแล้ว เมื่อถึงคราวถูกทำลาย นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดที่เชื่อว่าคติ ของตรีมูรติอาจมีความหมายไปทางธรรมชาติได้แก่ ดิน (Earth) น้ำ (Water) และ ไฟ (Fire) กล่าวคือดิน ให้กำเนิดและดำรงชีพสิ่งมีชีวิตทั้งปวง เมื่ออยู่ในลักษณะของเทพเจ้าผู้สร้าง จึง หมายถึงพระพรหม พระองค์ทรงปรารถนาอย่างแรงกล้าเพื่อสร้างโลกขึ้นมา สำหรับน้ำ เป็น สิ่งขาดไม่ได้สำหรับสิ่งมีชีวิต เป็นสิ่งหล่อเลี้ยงและดูแลรักษาชีวิต เมื่ออยู่ในลักษณะของเทพ เจ้าผู้รักษา จึงหมายถึงพระวิษณุ ที่ทรงมีความกรุณาอันมากมายสำหรับการดูแลรักษาโลกนี้ ส่วนไฟเป็นสิ่งทำลายสรรพชีวิต และทำลายล้างโลก เมื่ออยู่ในลักษณะของเทพเจ้าผู้ทำลาย ล้าง จึงหมายถึงพระศิวะ นอกจากนี้ยังหมายถึงความมืด ความโกรธและการลงโทษอันเป็น พื้นฐานของการทำลายล้าง (อรุณศักดิ์ กิ่งมณี, 2551, น. 29-30) สำหรับทัศนะของผู้เขียนมอง ว่าแนวคิดเรื่องตรีมูรติมีความใกล้เคียงกับสภาวะความเป็นจริงของธรรมชาติคือมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป กล่าวคือพระพรหมเป็นตัวแทนของการเกิดขึ้นของสรรพสิ่ง พระนารายณ์ เป็นตัวแทนของสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่ และพระศิวะเป็นตัวแทนของสรรพสิ่งที่แตกดับสลายไป ตามกาลเวลา การสร้างเทพเจ้าตรีมูรติในเชิงรูปธรรมจึงน่าจะเป็นเรื่องการมองความเป็นจริง ตามธรรมชาติของสรรพสิ่งที่เป็นนามธรรม 4.3.1 พระพรหม (Brahma) : เทพเจ้าแห่งการสร้าง (The Creator) ในคัมภีร์พระเวทและคัมภีร์อื่นๆของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่เชื่อว่าทางปรัชญาว่า “หนึ่งเดียว คือพรหมัน” พรหมันหรือพระพรหมจึงถือเป็นเทพสูงสุด ผู้สร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นบน โลก สร้างมนุษย์เป็น 4 วรรณะจากอวัยวะส่วนต่างๆ ของพระองค์ พรหมจึงได้รับการยกย่อง ว่าเป็น “พระผู้สร้าง” ช่วงในยุคตรีมูรติที่มีการนับถือเทพเจ้า 3 องค์พระพรหมจัดเป็นเทพ เจ้าองค์แรกได้รับการยกย่องเท่าเทียมกับเทพเจ้าอีก 2 องค์ คือ พระวิษณุและพระศิวะ ต่อมา ในยุคที่ฟื้นฟูความเชื่อเรื่องเทพเจ้าสูงสุดเพียงองค์เดียว จนกลายเป็นนิกายที่นับถือต่างกัน


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | กลุ่มที่นับถือพระวิษณุเป็นเทพเจ้าสูงสุดเพียงองค์เดียว เรียกกลุ่มตนเองว่า “วิษณุนิกาย” หรือ “ไวษณพนิกาย” กลุ่มที่นับถือพระศิวะเป็นเทพเจ้าสูงสุดเพียงองค์เดียว เรียกกลุ่มตนเองว่า “ศิวนิกาย” หรือ “ไศวะนิกาย” แต่ไม่มีนิกายที่นับถือพระพรหมเป็นเทพเจ้าสูงสุดในยุคนี้ พระพรหมจึงมีกลุ่มผู้บูชาน้อยลง แหล่งที่มาภาพ : https://dhamma.mthai.com/witchcraft/1388.html ในการศึกษาเรื่องของพระพรหมนี้ก่อนอื่นควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับนามต่างๆ ที่เป็นภาษาสันสกฤตที่มีรูปและเสียงของคำคล้ายๆ กันคือ พรหม พรหมัน พรหมา และ พราหมัน ให้เข้าใจถ่องแท้เสียก่อน คำว่า “พรหม” (Brahma) และ “พรหมัน” (Brahman) หมายถึง พรหมปรมาตมัน หรือสกลเทพสูงสุด ที่เป็นกลางและเป็นพลังจักรวาล ไม่มีตัวตน มี พลังอำนาจทุกอย่าง เป็นอนาทิมัธยานตะ กล่าวคืออยู่เหนือกาลเวลา เป็นผู้สร้างและปกครอง จักรวาล ในบางครั้งได้รับนามว่า “กาละหังสะ” (Kala hansa) คำว่า “พรหมา” (Brahmā) หมายถึง พรหมอาตมัน หรือพรหมรูปธรรม ที่เป็นพระผู้สร้าง ซึ่งเป็นหนึ่งในสามของมหาเทพ ตรีมูรติส่วนคำว่า “พราหมัน” (Brahman) นั้น สมัยเริ่มแรกหมายถึง พวกพระผู้ศึกษา ท่องจำ และปฏิบัติพิธีกรรมตามที่กำหนดไว้ในพระเวท เวลาต่อมารับยกย่องว่าเป็นเทพมนุษย์ แล้ว ในที่สุดก็ใช้เป็นคำเรียกชาวอารยันในนามของคนวรรณะสูงสุดของวรรณะทั้ง 4 ในศาสนา พราหมณ์(บุญเย็น วอทอง, 2550, น. 75)


| สยาม ราชวัตร ประวัติตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระพรหม มีหลายสำนวนจากคัมภีร์ต่างๆ กล่าว ว่าเมื่อโลกยังว่างเปล่า พระอาตมภู คือ ผู้ที่เกิดขึ้นเองได้สร้างน้ำขึ้นก่อน แล้วหว่านพืชลงไป บังเกิดเป็น “โลกิยะ” (Mandane egg) คือไข่ทองขึ้น จากนั้นพระองค์ทรงแบ่งภาคเข้าไปเกิด ในไข่ทอง พอไข่ทองแตก ไข่ซีกบนลอยขึ้นกลายเป็นท้องฟ้า ส่วนไข่ซีกล่างลอยลงต่ำกลายเป็น แผ่นดิน ปรากฏเป็นพระพรหมอยู่ข้างในกลายเป็นประชาบดีองค์แรก ซึ่งในพระเวทใช้นามว่า “หิรันยะคัพภะ” ต่อมาเรียก “พรหมปรมาตมัน” หรือเทพสูงสุด เป็นจุดเริ่มต้นของสากล จักรวาล พระพรหมทรงสร้างโลกและทุกสิ่งในโลกด้วยเวลาเพียง 1 วัน เป็นผู้สร้างเทพเจ้า ต่างๆ แล้วจัดไว้ให้สถิตในที่ตามฐานะของแต่ละองค์ เช่น ให้พระอัคนีลงมาอยู่ในโลก ให้พระ วายุอยู่ในชั้นบรรยากาศ ให้พระสุริยเทพอยู่ในท้องฟ้า พระพรหมนั้นมีอายุกว่าร้อยปีพรหม โลก เมื่อสิ้นอายุ พระพรหมจะถึงกาลวิบัติรวมทั้งโลกด้วย ในบางคัมภีร์กล่าวว่า เดิมมีเทพเจ้าเพียงองค์เดียวคือ พระนารายณ์ซึ่งเรียกกัน ว่า “ปรพรหม” เป็นผู้สร้างสิ่งต่างๆ ทั้งปวง เมื่อพระนารายณ์มีความประสงค์จะสร้างโลกขึ้น จึงทรงแบ่งภาคของพระองค์เป็นรูปกเทพ คือเทพที่มีรูปร่างเป็นตัวตนขึ้นมา นามว่า “วิษณุ” เป็นผู้สร้างสิ่งทั้งปวง เมื่อพระวิษณุทรงคำนึงถึงการที่ได้กำเนิดมา จึงบรรทมหลับไป ได้ทรง สุบินถึงการสร้างสิ่งต่างๆ นั้น ปรากฏมีดอกบัวหลวงเกิดผุดขึ้นจากพระนาภี ในใจกลาง ดอกบัวเกิดมีพระพรหมขึ้น เป็นผู้สร้างมนุษย์ อมนุษย์ และสัตว์ในโลกต่างๆ ส่วนในตำราบาง เล่มกลับเล่าว่า พระอิศวรได้แยกพระเพลาให้โลหิตหยดลงในน้ำกลายเป็นไข่แตกออกเป็น 2 ซีก เกิดเป็นพระพรหมและมนุษย์ขึ้น ในพรหมปุราณะเล่าว่า พระพรหมในที่นี้เรียกว่า “อาปวะ” ได้แบ่งพระองค์ออกเป็น 2 ภาค เป็นชายภาคหนึ่ง เป็นหญิงภาคหนึ่ง เพื่อเป็นต้นกำเนิดของ มนุษย์และในบางคัมภีร์กล่าวว่า พวกพราหมณ์เกิดจากพระโอษฐ์พระพรหมเพื่อจะได้มาสั่ง สอนคน ส่วนกษัตริย์เกิดจากพระกรเพื่อจะได้เป็นนักรบ แพศย์หรือพ่อค้าเกิดจากพระโสณี (ตะโพก) เพื่อจะได้ทำงานในการบำรุงต่างๆ ศูทรเกิดจากพระบาทก็เพื่อจะได้มาเป็นผู้รับใช้ งานทั่วไปเพราะเกิดจากส่วนที่ต่ำที่สุดนี่เองพวกศูทรจึงถูกเหยียดหยามมาก ตามประวัติยังกล่าวอีกว่า เมื่อพระพรหมสร้างโลกแล้วก็จะนอนหลับไปครั้งละกัลป์ (กัลป์ 1 เท่ากับ 12 ล้านปีสวรรค์และ 1 ปีสวรรค์ เท่ากับ 360 ปีโลกมนุษย์) มีการบรรยายถึง เหตุการณ์ตอนที่โลกถูกทำลายไว้ว่า พอตกเวลากลางคืน เมื่อพระองค์ทรงบรรทมหลับ จะบังเกิด ไฟบรรลัยกัลป์ไหม้ให้วินาศแตกสลายกลายเป็นมหาสมุทรอันมหึมา ไม่มีมนุษย์สรรพสัตว์หรือสิ่ง ใดๆ คงชีวิตอยู่ได้ นอกจากพระองค์ ทวยเทพ พระมหาฤๅษีและธาตุทั้ง 5 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ ในระหว่างนี้ทุกหนทุกแห่งจะมืดมน (สุรศักดิ์ ทอง, 2553, น. 21-22) พระพรหมมีมเหสีที่เป็นคู่บารมีพระนามว่า “สรัสวดี”ในตำนานเล่าว่า เมื่อพระพรหม สร้างจักรวาลนั้น ท่านได้สร้างเทพธิดาจากธาตุบริสุทธิ์ในกายของพระองค์เองขึ้นมาให้ชื่อว่า “ศตรูปา” (satarupa) แปลว่าผู้มี 100 รูปแห่งความงาม พระพรหมเกิดหลงใหลในตัวนางอย่าง มาก จนต้องการเห็นนางอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่านางจะไปทางไหน ก็จะเหลียวมองอยู่ตลอดเวลาจึง


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | ทำให้เกิดมี 5 เศียรเพื่อเหลียวมองได้ตลอดเวลา จนกระทั่งพระอิศวรต้องเข้าจัดการเนื่องจาก เป็นเรื่องผิดถ้าพระพรหมจะหลงรักลูกสาวตนเอง พระอิศวรจึงตัดเศียรที่อยู่ด้านบนสุดของพระ พรหมออก 1 เศียร สำหรับพระนางศตรูปาจึงถือเป็นธิดาของพระพรหมมีหลายนาม คือ สรัสวดี (Sarasvati) สาวิตรี(Savitri) คายะตริ (Gayatri) พราหมณี (Bhramani) พระพรหมก็ยังรักนาง จนรับเอานางมาเป็นชายา เพื่อให้ช่วยสร้างสรรพสิ่งให้เกิดขึ้น ลักษณะทางกายภาพ พระพรหมมีลักษณะทางกายภาพที่กำหนดเป็นลักษณะของพระองค์ สังเกตได้ จากรูปเคารพหรือรูปวาดที่สื่อถึงพระพรหม คือแต่เดิมมีเศียรถึง 5 เศียร มีหน้าที่ต่างกันโดย 4 เศียรใช้แสดงพระเวทต่างๆ ส่วนเศียรที่ 5 เป็นเศียรที่ทรงจำพระเวทเหล่านั้นไว้ทั้งหมด ทำ ให้เศียรที่ 5 มีรัศมีรุ่งโรจน์จนพวกเทวดาและอสูรทั้งหลายทนไม่ได้พากันไปทูลพระอิศวร ขอให้ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้ด้วย พระอิศวรเสด็จไปทอดพระเนตรเห็นเศียรที่ 5 ของ พระพรหมมีรัศมีรุ่งโรจน์ยิ่งกว่าพระอาทิตย์พันดวง ทำให้ชาวโลกเดือดร้อนจึงทรงตัดเศียรที่ 5 นี้ด้วยพระนขาแห่งพระองคุลี รูปพระพรหมในศาสนาพราหมณ์ทำเป็น 4 พระพักตร์ 4 กร มาตั้งแต่สมัยคุปตะ โดยทั่วไปจะพบเห็นในลักษณะมีกายสีแดง ซึ่งตรงกันข้ามกับของทิเบตที่ว่าสีกายขาว ถือดาบ หรือธง ส่วนเครื่องประดับกายพระพรหมนั้น คือ พระเศียรสวมชฎามงกุฎ (Jata makuta) และสวมมาลัยดอกไม้สีขาว กุณฑลเป็นทองหรือทับทิม ทรงอาภรณ์หนังกวางสีดำ พระเนตร ปิด มีหนวดเคราสีขาว พระเกศามุ่นเป็นขมวด มีประคำ (Akshamala) ประคล้องคอกับสาย ยัชโญปวีต (Yajnasutra) มี 4 กรไม่ถืออาวุธใดต่างจากเทพองค์อื่นๆ ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู แต่บางแห่งก็ว่าทรงศัตราเพียง 2 กร คือ คฑาอาญาสิทธิ์กับธนูชื่อปรวีตะ ดาบหรือธง ส่วนอีก 2 กรเก็บไว้ห้ามสรรพภัย หรือคอยต้อนรับปฏิสันถารผู้ที่เคารพพระองค์และประทานพร อีก กรหนึ่งถือธารพระกรคือช้อนสำหรับหยอดเนย หรือน้ำมันลงบนไฟสำหรับบูชาแสดงถึงความ เป็นเทพแห่งการเสียสละ อีกกรหนึ่งถือคนโทบรรจุน้ำ (Kamandalu) หรือเปลือกหอย กร หนึ่งถือคัมภีร์พระเวท บางครั้งก็ถือดอกบัว อาวุธประจำกาย ศาสตราวุธของพระพรหมที่ถือว่าเป็นศาสตราวุธหลักประจำของพระพรหม มีอยู่ 4 ประการ คือ (1) ลูกประคำ คือ การสวดมนต์ภาวนาต่อพระพรหมเพื่อแผ่เมตตาไปยัง สรรพชีวิต (2) ดอกบัวคือ ความสวยงามของธรรมะ ความดีงามพระองค์ทรงสอนให้มนุษย์ กระทำในสิ่งที่ดีงามและมีเมตตาต่อผู้อื่นเสมอ (3) คัมภีร์คือ การตั้งตนอยู่ในความดี ความชอบ การศึกษาบทสวดและโยคะเพื่อมุ่งตรงสู่พระผู้เป็นเจ้า (4) หม้อน้ำ คือ กมัณฑลุ หรือ หม้อกลัศ ที่นักพรตตวงน้ำจากแม่น้ำคงคา ไปใช้ในพิธีกรรมบูชาเทพต่างๆ (น้ำมนต์


| สยาม ราชวัตร บริสุทธิ์) แม้ทั้ง 4 อย่างจะเป็นอาวุธหลักของพระองค์แล้วก็ยังมีศาสตราวุธอีกมากมายที่ เพิ่มเติมเข้ามาแล้วแต่ช่างจะจินตนาการปั้นหรือวาด เพื่อเสริมความหมายขึ้นมา เช่น ธนู หอก กระจก สังข์ ดาบ มีด กริช ช้อนตักน้ำมันไฟ จักร คฑา ตลอดจนเครื่องดนตรีต่างๆ พาหนะของพระพรหม พระพรหมมี “สุวรรณหงส์” (Hamsa) บางทีจึงเรียกพระพรหมว่า “หงสวาหนะ” ผู้มีหงส์เป็นพาหนะ บางแห่งบอกว่ามีหงส์ถึง 7 ตัว มีความสามารถในการแยกน้ำกับนมได้ เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกความยุติธรรม ควรจะบังเกิดแก่สิ่งมีชีวิตทั้งปวง เปรียบกับคนเราที่ควร จะแยกแยะให้ออกถึงสิ่งที่ถูกกับผิด แยกความดีออกจากความชั่ว วิมานที่อยู่ของพระพรหม วิมานของพระพรหมคือ พรหมโลก อยู่เหนือเทวโลกขึ้นไปอีก เรียกว่า รูปโลก รูปธาตุ หรือรูปาวจรก็มีในคัมภีร์ไตรภูมิพระร่วงกล่าวว่า บนชั้นฟ้านั้นมีชื่อว่า ปรนิมมิตว สวัตดี ขึ้นไปถึงพรหมโลกนั้นไม่สามารถวัดขนาดได้เพราะไกลมาก ถึงพรหมชั้นต่ำทั้งหลาย อันมีชื่อว่า “พรหมปาริสัชชาภูมิ” ลงมาถึงแผ่นดินก็ไกลยิ่งนัก เปรียบระยะทางคือสมมุติเอา ศิลาก้อนหนึ่งโตเท่าโลหะปราสาท ที่มีในลังกาทวีปโดยทิ้งก้อนศิลานั้นลงมาจะต้องใช้ เวลานานถึง 4 เดือนกว่าจะถึงแผ่นดิน ความเชื่อและการบูชา พระพรหม เป็นเทพเจ้าแห่งการสร้างสรรค์ ทรงมีอานุภาพในการลิขิตชะตาชีวิต โดยควบคุมทุกอย่างให้เป็นไปตามเงื่อนไขของกฎแห่งกรรม เรียกว่า “พรหมลิขิต” พระพรหม จึงเป็นผู้คุ้มครองคนดี และลงโทษผู้กระทำบาป ผู้มีกิเลสตัณหา จะถูกพระพรหมลิขิตให้ชีวิต มีแต่ความลำบากยากเข็ญ ผู้มีจิตใจเอื้ออารีย์ต่อผู้อื่น พระพรหมจะบันดาลให้มีความสุขและ สมบูรณ์ในชีวิต การเสียสละต่อส่วนรวมคือการถวายความจงรักภักดีต่อพระพรหม พระพรหม จะบันดาลพรให้ผู้เสียสละนั้นมีแต่ความสุขตลอดกาล ผู้ศรัทธาในพระพรหม เมื่อสวดบูชาต่อพระองค์แล้ว พระองค์จะประทานปัญญา ในการประกอบอาชีพ ปกป้องให้ห่างจากศัตรู ประทานความแข็งแรง ความรู้แจ้ง ชี้แนะ แนวทางแก้ไขปัญหาต่างๆ และมอบความบริสุทธิ์ทางจิตวิญญาณแก่ผู้นั้น พระพรหมทรง โปรดความเงียบสงบ ไม่วุ่นวาย มีพระทัยอ่อนโยน รักสรรพชีวิตที่พระองค์สร้างมาเสมอ เมื่อ ผู้ศรัทธาต้องการสักการะ พระพรหมก็โปรดการจัดการอย่างเรียบง่าย มีความตั้งใจ แต่ไม่ ใหญ่โตวุ่นวาย พระองค์โปรดให้ลูกศิษย์สวดภาวนาว่า "สัก ชิต เอกัม พรหมมา" หรือ "โอม อาฮัม พรหมมา อัสมิ" เป็นร้อยๆ พันๆ หมื่นๆ แสนๆ รอบ และให้นั่งสมาธิตั้งจิตเพ่งไปที่ พระองค์ การที่ผู้ศรัทธาได้อยู่กับพระพรหมตามลำพัง นั่งสมาธิและสวดภาวนาให้นานที่สุด พระองค์จะโปรดมาก เพราะพระองค์ทรงสอนว่า การนั่งอยู่กับที่และระลึกถึงพระองค์ บริโภค


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | มังสวิรัติ ไม่ออกไปสร้างสิ่งเดือดร้อนให้ผู้อื่น คือการตอบแทนพระคุณพระพรหมได้ดีที่สุด 4.3.2 พระนารายณ์ หรือพระวิษณุ (Narayana) : เทพเจ้าแห่งการรักษา (The Preserver) พระนารายณ์ (Narayana) หรือพระวิษณุ (Vishnu ) เป็นเทพเก่าแก่ตั้งแต่ยุค พระเวท เดิมจัดอยู่ในกลุ่มพระอาทิตย์ พระองค์ถูกกล่าวถึงในคัมภีร์ฤคเวท ยชุรเวท สามเวท และอาถรรพเวท ว่าทรงเกี่ยวพันกับการก้าวสามก้าวของพระอาทิตย์ กล่าวคือการโคจรของ เทพแห่งแสงอาทิตย์ตอนเช้า กลางวัน เย็น นอกจากนี้ยังทรงเกี่ยวข้องกับไฟ แสงสว่างบนโลก และท้องฟ้า พระองค์จึงได้รับการเคารพบูชาจากผู้คน เพื่อให้ปกป้องดูแลมวลมนุษย์มาตั้งแต่ เริ่มแรก คัมภีร์บางเล่มยังกล่าวว่า พระองค์ทรงได้รับนับถือรวมกับพระอินทร์ พระรุทร และ ทรงมีความสัมพันธ์กับวีรบุรุษพื้นเมืองของอินเดีย เช่น อรชุน กฤษณะ รามะ ต่อมาวีรบุรุษ เหล่านี้ได้กลายมาเป็นอวตารของพระองค์ภายหลัง สำหรับคำว่า “นารายณะ” (Narayana) มาจากคำว่า “นร” แปลว่า “น้ำ” กับคำว่า “อยานะ” แปลว่า การเคลื่อนไหว รวมกันแล้ว หมายถึง ผู้เคลื่อนไหวในน้ำ นามว่านารายณะนี้ เดิมเป็นพระนามของพระพรหม สืบเนื่องจาก คัมภีร์บางเล่มกล่าวถึงรายละเอียดครั้งสร้างโลกว่า พระพรหมทรงถือกำเนิดจากหิรัณยครรภ์ (ไข่ทอง) ที่ลอยอยู่เหนือน้ำเป็นอันดับแรก หลังจากนั้น พระองค์ทรงออกจากไข่ทอง สร้างโลกตลอดจนสรรพสิ่งในลำดับต่อมา จากการที่พระพรหมทรงอยู่ในน้ำจึงได้รับพระนาม ว่า “นารายณะ” แต่ต่อมาเมื่อลัทธิไวษณพนิกายเจริญขึ้นเห็นว่าพระวิษณุประทับอยู่ที่ เกษียรสมุทร และยังเป็นเทพแห่งท้องทะเล จึงนำเอานาม “นารายณะ” มาเรียกพระวิษณุอีก พระนามหนึ่ง (อรุณศักดิ์ กิ่งมณี, 2551, น. 69-70)


| สยาม ราชวัตร แหล่งที่มาภาพ : https://www.siamganesh.com/lordvishnu.html ในปัทมาปุราณะได้เล่าตำนานว่า พระวิษณุ มาจากคำว่า วิษ หมายถึงการเข้าไป อยู่ในสรรพสิ่งของจักรวาล ในฐานะที่เป็นเทพเจ้าสูงสุดเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดทั้ง 3 ประการ คือ เป็นผู้สร้าง เป็นผู้บำรุงรักษา และเป็นผู้ทำลาย ต่อมาพระองค์ได้สร้างพระพรหมขึ้นจากส่วน ขวาของกายเพื่อให้เป็นพระผู้สร้าง สร้างพระนารายณ์ขึ้นจากส่วนซ้ายของกายเพื่อให้เป็น พระผู้บำรุงรักษา และสร้างพระอิศวรขึ้นจากกายเบื้องกลางเพื่อให้เป็นพระผู้ทำลายล้างสรรพสิ่ง ในมหาภารตะได้เล่าตำนานว่า แต่เดิมนั้นมีพระปรพรหมอยู่องค์เดียวในโลก แต่ พระ ปรพรหมนั้นเป็นอรูปกเทพ คือไม่มีตัวตน ครั้นเมื่อมีพระประสงค์จะสร้างโลกขึ้น จึงได้ แบ่งภาคของพระองค์เองขึ้นเป็นรูปกเทพคือพระนารายณ์ แล้วพระปรพรหมจึงประทานพร แก่พระนารายณ์ให้เป็นผู้สร้างสิ่งทั้งหลายและเป็นผู้บริหารดูแลโลกทั้งสาม ให้เป็นที่นับถือ แห่งชนทั้งหลาย ทั้งยังเป็นผู้ปฏิบัติตามความปรารถนาของพรหมและเทวดาด้วย แล้วพระปรพรหม ก็คืนสู่ความเป็นธรรมแห่งพระองค์ ส่วนในหนังสือนารายณ์สิบปางฉบับหอพระสมุด เล่าว่า เมื่อเพลิงบรรลัยกัลป์เผาผลาญโลกสิ้นแล้ว พระเวทพระธรรมก็มาประชุมกันเข้า จึงบังเกิด พระผู้เป็นเจ้าองค์หนึ่งมีนามว่า “พระปรเมศวร” (พระอิศวร) พระองค์มีพระประสงค์จะสร้าง แผ่นดินซึ่งเป็นงานใหญ่จำจะต้องมีผู้ช่วยพระองค์ จึงเอาพระหัตถ์ซ้ายลูบพระหัตถ์ขวาก็เกิด เป็นองค์พระนารายณ์ขึ้น แล้วโปรดให้เป็นผู้สอนศิลปศาสตร์แก่กษัตริย์และให้ไปอยู่ ณ เกษียรสมุทรคราวใดเกิดทุรยุคขึ้น ก็ให้พระนารายณ์มีหน้าที่ไปปราบ จะโดยศิวโองการบ้าง หรือโดยถูกอัญเชิญจากพวกเทวดาต่างๆ บ้าง (สุรศักดิ์ ทอง, 2553, น. 36)


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | ลักษณะทางกายภาพ พระนารายณ์เป็นเทพเจ้ามีกายเป็นสีนิลแก่ หมายถึงท้องฟ้าและมหาสมุทรซึ่งไม่ มีจุดสิ้นสุด เสื้อทรงอาภรณ์อย่างกษัตริย์สีเหลือง สวมมงกุฎ รอบคอสวมเพชรพลอยและ พวงมาลัยดอกไม้สวมต่างหู 2 คู่ เป็นเครื่องแสดงถึงความแตกต่างของสองสิ่ง เช่นความรู้และ ความไม่รู้ ความสุขและความเศร้า ความยินดีและความเจ็บปวด บนพระทรวงมีขนเรียกว่า ศรีวัตสะ (Srivatsa) อันเป็นสัญลักษณ์ของพระมเหสีคือพระลักษมี เป็นรูปคล้ายใบสะระแหน่ มีรูปคล้ายยันต์ตรีนิสิงสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่มุมขมวดเป็นวงกลมทั้ง 4 ด้าน ภายในเป็นรูปดอกไม้มี 8 กลีบ มีทับทรวงเป็นแก้วชื่อ “เกตุสุภะ” เป็นแก้วที่ได้จากการกวนเกษียรสมุทร และมีวลัย ฝังด้วยแก้วชื่อ “สัยมันตกะ” มี4 กร กรทั้ง 2 ด้านหน้าแสดงถึงความมีอยู่ทางธรรมชาติ ส่วน อีก 2 กร ด้านหลังแสดงถึงความมีอยู่ทางจิตวิญญาณ กรที่อยู่ด้านขวาบนถือหอยสังข์ชื่อว่า “ปัญจชันยะ” (Panchajanya) กรซ้ายบนถือกงจักร (Chakra) ชื่อว่า “สุทรรศนะ” (Sudarshana) กรด้านซ้ายล่างถือคทาชื่อว่า “เกาโมทกี” กรด้านขวาล่างถือดอกบัวธรณี เพราะพวกพราหมณ์ปักเปรียบเป็นเครื่องหมายแห่งของเกิดจากดิน หมายถึงพลังอันเกิดจาก จักรวาลและการปลดปล่อย ส่วนอีกลักษณะหนึ่งของพระนารายณ์ที่พบกันบ่อย คือ นารายณ์บรรทมสินธุ์ หรือ วิษณุอนันตศายิน (Vishnu Anantasayin) ตามคัมภีร์กล่าวไว้ว่า ถ้าเหตุการณ์ความ เป็นไปของสามโลกเป็นปรกติสุข พระนารายณ์จะบรรทมอยู่ในเกษียรสมุทร โดยมีนางอัปสร คอยรับใช้อยู่บนหลังของพญานาคราช และมีพระลักษมีคอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ ได้ปรากฏมี สายบัวผุดขึ้นมาจากสะดือ ในดอกบัวมีพระพรหมประทับอยู่เพื่อที่จะทำการสร้างโลกใหม่ เหตุการณ์นี้เรียกว่า “วิษณุอนันตศายินปัทมนาภะ” มาจากประโยคว่า พระวิษณุนอน (ศายิน) บนหลังพญาอนันตนาคราช มีดอกบัว (ปัทม) ผุดจากสายสะดือที่ท้อง (นาภะ) ซึ่งจะแตกต่าง จากการบรรทมทั่วไปที่ไม่มีดอกบัวผุดที่สะดือ ในประเทศอินเดียมักเขียนภาพพระนารายณ์เป็นชายหนุ่มส่วนสีกายนั้นตาม มหาภารตะว่าไม่เป็นสีดำอยู่เสมอแต่จะเปลี่ยนแปลงไปตามแต่ละยุค คือ ยุคที่ 1 กฤตยุคหรือสัตยยุค เป็นยุคที่มนุษย์ยังคงปฏิบัติแต่คุณงามความดีอยู่ตั้ง มั่นอยู่ในศีลธรรมอย่างสม่ำเสมอ กายพระนารายณ์จึงเป็นสีขาว เพราะความบริสุทธิ์จับ พระฉวีพระนารายณ์ กฤตยุคนี้คงอยู่ได้ 4,800 ปีสวรรค์ (1ปีมนุษย์เป็น 1วันสวรรค์คำนวณ ตามจันทรคติ นับ 360 วัน เป็น 1 ปี เท่ากับ 1,728,000 ปีมนุษย์) ยุคที่ 2 ไตรดายุค ความดีในโลกลดลงไปส่วน 1 ใน4 สีกายพระนารายณ์ก็ เปลี่ยนเป็นสีแดง มีกำหนด 3,600 ปี สวรรค์(1,269,000 ปีมนุษย์) ยุคที่ 3 ทวารปรยุค ความดีในโลกลดลงไป 2 ส่วนใน 4 สีกายพระนารายณ์ก็ เปลี่ยนไปเป็นสีเหลือง มีกำหนด 2,400 ปีสวรรค์(864,000 ปีมนุษย์)


| สยาม ราชวัตร ยุคที่ 4 กลียุค เหลือความดีอยู่ในโลกเพียงส่วน 1 ใน 4 เท่านั้น โลกมีแต่ยุคเข็ญ เต็มไปด้วยภัยอันตรายต่างๆ สีกายของพระนารายณ์ก็กลายเป็นสีดำให้เหมาะสมกับความมืด ของยุคนี้ กลียุคนี้มีกำหนด 1,200 ปีสวรรค์(432,000 ปีมนุษย์) (สุรศักดิ์ ทอง, 2553, น. 38-39) พระนารายณ์กับการ “อวตาร” (Avatar) เมื่อลัทธิไวษณพ ซึ่งนับถือว่าพระวิษณุ ทรงเป็นใหญ่เหนือมหาเทพทั้งหลายในตรีมูรติ มีความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นในสมัยราชวงศ์คุปตะ ประมาณพุทธศตวรรษที่ 3-6 และกษัตริย์อินเดียในราชวงศ์นี้ส่วนมากจะนับถือลัทธินี้ และ ทรงรับลัทธินี้ไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ และเอาถือว่าการอวตารขององค์พระวิษณุ เป็นหัวใจที่ สำคัญของลัทธิภควตา (Bhagavata) ซึ่งเกิดขึ้นมาในสมัยราชวงศ์คุปตะและเจริญรุ่งเรือง ขึ้นมาเป็นลำดับแม้ว่าราชวงศ์คุปตะจะเสื่อมลงแล้วก็ตามลัทธินี้ก็ยังคงอยู่ ชาวฮินดูยังเคารพ บูชาปางอวตารของพระวิษณุกันมาก แม้กระทั่งในปัจจุบันนี้ก็ยังมีการนับถืออยู่ “อวตาร” แปลว่า “การลงมา” คือการลงมาเกิดเป็นมนุษย์หรือ “การเข้าในร่างของมนุษย์” หมายถึง พระวิษณุเสด็จลงมาเกิดบนโลกมนุษย์เป็นภาคเป็นตอนต่างๆ กันเพื่อปราบยุคเข็ญในโลกให้ หมดสิ้นไป เพื่อเพิ่มพลังแห่งความดีความถูกต้อง (righteousness) และต่อสู้กับความชั่วร้าย ความไม่เป็นธรรม (unrighteousness) ถือเป็นปฏิบัติการอันสำคัญยิ่งของพระวิษณุ เมื่อมียุคเข็ญ หรือความทุกข์ยากเกิดบนโลกมนุษย์ พระวิษณุก็จะอวตารลงมาช่วยขจัดปัดเป่าความทุกข์ ยากเหล่านั้นเสีย คำว่า “อวตาร” คนไทยนิยมเรียกว่า “ปาง” บางตำราบอกว่าอวตารมี ทั้งหมด 10 ปาง บางตำราบอกว่ามี 24 ปาง และบางตำราบอกว่ามีปางจำนวนนับไม่ถ้วน ปัจจุบันที่นิยมกันมากที่สุด คือนารายณ์ 10 ปาง (Dashavatara) ดังนี้ 1) มัตสยาวตาร (Matsya) อวตารเป็นปลา เพื่อช่วยเหลือพระสัตพรตกับเหล่ามวล มนุษย์และสัตว์ให้พ้นจากน้ำท่วมโลกและปราบอสูรหัยครีพซึ่งลักเอาคัมภีร์พระเวทของพระพรหม 2) กูรมาวตาร (Kurma)อวตารเป็นเต่า เพื่อรองรับเขามันทระในพิธีกวน เกษียรสมุทรของเหล่าเทวดาและอสูร 3) วราหาวตาร (Varaha) อวตารเป็นหมูป่า มีสองตำนานหลักๆ คือ 1) เพื่อ ปราบอสูรนาม "หิรัณยากษะ" ซึ่งลักเอาแผ่นธรณีไปโดยการม้วนแล้วเหน็บไว้ที่ข้างกาย และ 2) เพื่อยุติการประลองพลังอำนาจกันระหว่างพระศิวะและพระพรหม 4) นรสิงหาวตาร (Narasimha) อวตารเป็นนรสิงห์ เพื่อปราบอสูรนาม "หิรัณยกศิปุ" ผู้เป็นน้องชายของ "หิรัณยากษะ" 5) วามนาวตาร (Vamana) อวตารเป็นพราหมณ์เตี้ย เพื่อปราบอสูรนาม "พาลี" ผู้เป็นเหลนของ "หิรัณยกศิปุ" 6) ปรศุรามาวตาร (Parashurama) อวตารเป็นพราหมณ์ผู้ใช้ขวานเป็นอาวุธ เพื่อปราบกษัตริย์ผู้เป็นมนุษย์นามว่า "อรชุน" หรือ "การตวีรยะอรชุน" ผู้มี 1 พันมือ ผู้ก่อยุค เข็ญและทำลายล้างศาสนา หรือบางแห่งบอกว่าเพื่อป้องกันไม่ให้กษัตริย์ครอบครอง อาณาจักรเหนือวรรณะพราหมณ์


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | 7) รามาวตาร หรือ รามจันทราวตาร (Rama) อวตารเป็นพระราม กษัตริย์ แห่ง อโยธยา เพื่อปราบรากษสนาม "ราวณะ" หรือ "ราพณ์" หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในนาม "ทศกัณฐ์" กษัตริย์แห่งกรุงลงกา ปางนี้เป็นหลักในการจัดจารีต และขนบธรรมเนียมประเพณี ของสังคมอินเดีย 8) กฤษณาวตาร (Krishna) อวตารเป็นพระกฤษณะ เพื่อปราบท้าวกังสะ กษัตริย์ผู้ชั่วร้ายแห่งนครมธุราและอสูรอีกมากมายเช่น อสูรศักตาสูร อสูรตรีนะวัตร อสูรบา กาสูร ฯลฯ เป็นต้น รวมถึงการสนับสนุนให้ยุธิษฐิระเป็นจักรพรรดิโดยการเป็นสารถีให้แก่ อรชุนในสงครามทุ่งคุรุเกษตร 9) พุทธาวตาร ( Gautama Buddha) อวตารเป็นพระโคตมพุทธเจ้า ปางนี้ให้ คำอธิบายว่าอวตารเป็นพระพุทธเจ้าเพื่อชักนำชนที่ชั่วร้าย ทั้งอสูรและทั้งปีศาจให้หลงเชื่อใน สิ่งที่ผิดและจะได้รับผลร้ายแห่งมิจฉาทิฐิ ประเด็นปางนี้มีการวิเคราะห์ในเชิงว่า เนื่องจากพวก พราหมณ์ไม่สามารถเอาชนะพุทธศาสนาได้ ก็เลยโจมตีพุทธศาสนาในเชิงว่าหลงผิดไปจาก ความถูกต้องจนเป็นกลียุค ได้ยกเอาพระพุทธเจ้าเป็นปางที่ 9 ของพระนารายณ์เพื่อเป็นการ ทำลายความศรัทธาพุทธศาสนาในอินเดียและเป็นการกลืนรวมเอาพุทธศาสนามาไว้ในปางนี้ เพื่อเป็นศาสนาฮินดูด้วยกัน 10) กัลกยาวตาร หรือ กัลกิยาวตาร (Kalki) อวตารเป็นมนุษย์ผู้ขี่ม้าขาว หรือ กัลกี เป็นอวตารที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่เป็นการทำนายอนาคตไว้ว่า ในยามที่เป็นปลายแห่งกลียุค ที่ที่เมื่อผู้คนไม่รู้จักธรรมะ ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีอีกต่อไป โลกทั้งโลกต้องเผชิญกับยุคเข็ญไปทุก หย่อมหญ้า จะมีบุรุษขี่ม้าขาวปรากฏตัวขึ้นเพื่อปัดเป่าความทุกข์ยาก และนำธรรมะกลับมาสู่ มวลมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง


| สยาม ราชวัตร แหล่งที่มาภาพ : https://curadio.chula.ac.th/Program-Detail.php?id=11929 อาวุธประจำกาย พระนารายณ์มีอาวุธประจำกาย 5 อย่าง ดังนี้ 1) สังข์ปัญจชันยะ เป็นเปลือกหอยสังข์หุ้มกายอสูร เสียงที่ออกมาจากสังข์นั้น เปรียบเป็นเสียงแห่งการก่อกำเนิด แสดงถึงความสร้างสรรค์ คือธาตุทั้ง 5 ได้น้ำ ไฟ ลม ดิน ท้องฟ้าหรืออากาศ สังข์นี้เรียกตามนามอสูรตนหนึ่งชื่อว่า “ปัญจชนะ” อสูรนี้ได้ลักเอาตัว บุตรของพราหมณ์สานทีปนี อาจารย์แห่งพระกฤษณะไป พระกฤษณะตามลงไปพบใน มหาสมุทร ปัญจชนะหลบเข้าไปในเปลือกหอยสังข์ พระกฤษณะจึงฆ่าอสูรตนนั้นแล้วก็เอา เปลือกหอยสังข์นั้นมาใช้เป่าตามธรรมเนียมกษัตริย์โบราณ 2) จักรสุทรรศนะ หรือ วัชรนาถ คำว่า “สุทรรศนะ” มาจากคำว่า สุ หมายถึง ดีทรรศนะ หมายถึง การมอง มี6 แฉก แทนค่าของกลีบดอกไม้ทั้ง 6 เป็นตัวแทนการ ควบคุมฤดูกาล เป็นสัญลักษณ์ของจิตใจ ส่วน วัชรนาถ เปรียบเป็นสัญลักษณ์ของการทำลาย อัตตาของคน นำไปสู่การเรียนรู้และยอมรับในความเป็นจริงที่เป็นอยู่ ในมหาภารตะเล่าว่า พระกฤษณะไปเยี่ยมท้าวยุธิษเฐียรและปาณฑพกุมารในนครอินทรปรัสถ์ พระอรชุนได้ชวน พระกฤษณะไปเที่ยวไล่สัตว์ในป่า ขาณฑพซึ่งอยู่ริมนคร เผอิญในเวลานั้น พระอัคนีกำลัง ปรารถนาจะกินป่าขาณฑพ แต่พระอินทร์ไม่ยอมจึงเกิดวิวาทกัน พระกฤษณะและพระอรชุน เข้าข้างพระอัคนี เมื่อพระอัคนีได้กินป่าตามปรารถนา พระอัคนีจึงมอบจักรวัชรนาถกับคทา เกาโมทกี แก่พระกฤษณะเป็นรางวัล


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | 3) คทาเกาโมทกีเป็นคทาที่พระอัคนีให้พร้อมกับจักรวัชรนาถ มีปลายเป็นรูป บัวตูม แสดงถึงกำลังที่เกิดมาจากทั้งทางกายและทางจิต 4) ธนูศารนคะ แปลว่า ทำด้วยเขาสัตว์ แต่ในที่บางแห่งเรียกว่า ชสารัน เป็น ธนูของพระกฤษณะ 5) พระขรรค์ชื่อว่า นนทกะ แปลว่า ชื่นใจ นอกจากอาวุธทั้ง 5 นี้แล้ว ส่วนของที่ใช้ประดับกายที่มีคุณวิเศษด้วย คือ แก้ว สำคัญ 2 อย่าง ได้ทับทรวงชื่อ เกตุสุภะ เป็นแก้วที่เกิดจากทะเลในคราวกวนน้ำอมฤต และมี กำไลมือฝังด้วยแก้วสัยมันตกะ เป็นของพระอาทิตย์ประทานแด่สัตราชิต แก้วสัยมันตกะนี้ กล่าวกันว่ามีคุณวิเศษสามารถบันดาลให้เจ้าของได้ทองวันละ 8 ชั่ง ในบางแห่งว่า 8 หาบ และป้องกันภัยอันเกิดจากคนและสัตว์หรืออัคคีและน้ำ รวมทั้งป้องกันลางร้ายต่างๆ ได้อีก ด้วย แต่ผู้ที่เป็นเจ้าของจะต้องเป็นคนสุจริตจึงจะได้ ถ้าไม่แล้ว แก้วนี้จะกลายเป็นเครื่อง ประหารเจ้าของเสียเอง (สุรศักดิ์ ทอง, 2553, น.41-42) พาหนะของพระนารายณ์ พญาครุฑ เป็นพาหนะของพระนารายณ์ครุฑเป็นสัตว์กึ่งเทพในปกรณัมอินเดีย และปรากฏในวรรณคดีสำคัญหลายเรื่อง เช่น มหากาพย์ มหาภารตะ เล่าว่า ครุฑเป็นพี่น้อง กับนาคและทะเลาะกันจนเป็นศัตรู นอกจากนี้ ยังมีคัมภีร์ปุราณะที่ชื่อว่า ครุฑปุราณะ เป็นเรื่องเล่าพญาครุฑ ตามคติไทยโบราณ เชื่อว่าครุฑเป็นพญาแห่งนกทั้งมวล และ เป็นพาหนะของพระนารายณ์ ปกติอาศัยอยู่ที่วิมานฉิมพลี มีรูปเป็นครึ่งคนครึ่งนกอินทรี ได้รับพรให้เป็นอมตะ ไม่มีอาวุธใดทำลายลงได้ แม้กระทั่งสายฟ้าของพระอินทร์ก็ได้แต่เพียง ทำให้ขนของครุฑหลุดร่วงลงมาเพียงเส้นหนึ่งเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ครุฑจึงมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า "สุบรรณ" ซึ่งหมายถึง "ขนวิเศษ" ครุฑเป็นสัตว์ใหญ่ มีอานุภาพและพละกำลังมหาศาล แข็งแรง บินได้รวดเร็ว มีสติปัญญาเฉียบแหลม อ่อนน้อมถ่อมตน และมีสัมมาคารวะ เทพปกรณัมของครุฑในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เล่าว่าครุฑเป็นบุตรของ พระกัศยปมุนีเทพบิดร และนางวินตา พระกัศยปมุนีองค์นี้เป็นฤๅษีที่มีฤทธิ์เดชมากองค์หนึ่ง และเป็นผู้ให้กำเนิดเทพอีกหลายองค์ในศาสนาพราหมณ์ พระองค์มีชายาหลายองค์ แต่องค์ที่ เกี่ยวข้องกับครุฑนั้น นอกจากนางวินตาแล้ว ยังมีอีกองค์หนึ่งคือ นางกัทรุ ซึ่งเป็นพี่น้องกับ นางวินตาและเป็นมารดาของนาคทั้งปวง ทั้งสองนางได้ขอพรให้กำเนิดบุตรจากพระกัศยป โดยนางกัทรุได้ขอพรว่าขอให้มี บุตรจำนวนมาก ซึ่งต่อมาก็ได้ให้กำเนิดนาคหนึ่งพันตัว อาศัยอยู่ในแดนบาดาล ส่วนนางวิน ตาขอบุตรเพียงสององค์และขอให้ลูกมีอำนาจวาสนา เมื่อนางคลอดบุตรปรากฏว่าออกมา เป็นไข่สองฟอง นางรออยู่เป็นเวลา 500 ปี ไข่ก็ยังไม่ฟัก นางทนรอไม่ไหวว่าบุตรของตนจะมี หน้าตาอย่างไร จึงทุบไข่ออกมาฟองหนึ่ง ปรากฏว่าเป็นเทพบุตรที่มีกายแค่ครึ่งท่อนบนชื่อ อรุณ


| สยาม ราชวัตร อรุณเทพบุตรโกรธมารดาของตนที่ทำให้ตนออกจากไข่ก่อนกำหนด จึงสาปให้มารดาของตน เป็นทาสนางกัทรุ และให้บุตรคนที่สองของนางเป็นผู้ช่วยนางให้พ้นจากความเป็นทาส จากนั้นจึงขึ้นไปเป็นสารถีให้กับพระอาทิตย์หรือสุริยเทพ นางวินตาจึงไม่กล้าทุบไข่ฟองที่สอง ออกมาดู นางรอต่อไปอีก 1,000 ปี รอให้ถึงกำหนดที่บุตรคนที่สองซึ่งก็คือพญาครุฑออกมา จากไข่เอง อนึ่ง เมื่อพญาครุฑแรกเกิดว่ากันว่า มีร่างกายขยายตัวออกใหญ่โตจนจรดฟ้า ดวงตาเมื่อกะพริบเหมือนฟ้าแลบ เวลาขยับปีกทีไร ขุนเขาก็จะตกใจหนีหายไปพร้อมพระพาย รัศมีที่พวยพุ่งออกจากกายมีลักษณะดั่งไฟไหม้ทั่วสี่ทิศ ซึ่งทำให้บรรดาเทวดาทั้งหลาย เดือดร้อนอย่างมาก บรรดาเทวดาจึงพากันไปขอร้อง ให้ลดขนาดลงมา ในกาลต่อมา นางกัทรุและนางวินตาได้พนันกันถึงสีของม้าอุไฉศรพที่เกิดคราว กวนเกษียรสมุทรและเป็นสมบัติของพระอินทร์ โดยพนันว่าใครแพ้ต้องเป็นทาสอีกฝ่ายห้าร้อย ปี นางวินตาทายว่าม้าสีขาวส่วนนางกัทรุทายว่าสีดำ ความจริงม้าเป็นสีขาวดังที่นางวินตาทาย แต่ นางกัทรุใช้อุบายให้นาคลูกของตนแปลงเป็นขนสีดำไปแซมอยู่เต็มตัวม้า (บางตำนานว่าให้ นาคพ่นพิษใส่ม้าจนเป็นสีดำ) นางวินตาไม่ทราบในอุบายเลยยอมแพ้ ต้องเป็นทาสของนางกัทรุ ถึง 500 ปี ภายหลังเมื่อครุฑได้ทราบสาเหตุที่มารดาต้องตกเป็นทาสและได้ทราบเงื่อนไข จากพวกนาคว่า ต้องไปเอาน้ำอมฤตให้นาคเสียก่อนจึงจะให้นางวินตาเป็นไท ครุฑจึงบินไป สวรรค์ไปเอาน้ำอมฤตซึ่งอยู่กับพระจันทร์แล้วคว้าพระจันทร์มาซ่อนไว้ใต้ปีก แต่ถูกพระอินทร์ และทวยเทพติดตามมา และเกิดต่อสู้กันขึ้น ฝ่ายเทวดานั้นไม่อาจเอาชนะได้ โดยเมื่อพระอินทร์ ใช้วัชระโจมตีครุฑนั้น ครุฑไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย แต่ครุฑก็จำได้ว่าวัชระเป็นอาวุธที่ พระอิศวรประทานให้แก่พระอินทร์ จึงสลัดขนของตนให้หล่นลงไปเส้นหนึ่งเพื่อแสดงความ เคารพต่อวัชระและรักษาเกียรติของพระอินทร์ผู้เป็นหัวหน้าของเหล่าเทพ ด้านพระวิษณุหรือ พระนารายณ์ก็ได้ออกมาขวางครุฑไว้และสู้รบพญาครุฑด้วยเช่นกัน แต่ต่างฝ่ายต่างไม่อาจ เอาชนะกันได้ ทั้งสองจึงทำความตกลงยุติศึกต่อกัน โดยพระวิษณุให้พรแก่ครุฑว่าจะให้ครุฑ เป็นอมตะและให้อยู่ตำแหน่งสูงกว่าพระองค์ ส่วนครุฑก็ถวายสัญญาว่าจะเป็นพาหนะของ พระวิษณุ และเป็นธงครุฑสำหรับปักอยู่บนรถศึกของพระวิษณุอันเป็นที่สูงกว่า เมื่อครุฑได้หม้อน้ำอมฤตนั้น พระอินทร์ได้ตามมาขอคืน ครุฑก็บอกว่าตนต้อง รักษาสัตย์ที่จะนำไปให้นาคเพื่อไถ่มารดาให้พ้นจากการเป็นทาส และให้พระอินทร์ตามไปเอา คืนเอง ครุฑจึงเอาน้ำอมฤตไปให้นาคโดยวางไว้บนหญ้าคา (และว่าได้ทำน้ำอมฤตหยดบน หญ้าคา 2-3 หยด ด้วยเหตุนี้ หญ้าคาจึงถือเป็นสิ่งมงคลในทางศาสนาพราหมณ์) ส่วนนาคเมื่อ เห็นน้ำอมฤตก็ยินดี จึงยอมปล่อยนางวินตาแม่ครุฑให้เป็นอิสระ ขณะพากันไปสรงน้ำชำระ กายเพื่อจะมากินน้ำอมฤตนั่นเอง พระอินทร์ก็นำหม้อน้ำอมฤตกลับไป ทำให้นาคไม่ได้กิน พวกนาคจึงเลียที่ใบหญ้าคาด้วยเชื่อว่าอาจมีหยดน้ำอมฤตหลงเหลืออยู่ ทำให้ใบหญ้าคาบาด กลางลิ้นเป็นทางยาว เรื่องนี้กลายเป็นที่มาว่าทำไมงูจึงมีลิ้นเป็นสองแฉกสืบมาจนทุกวันนี้ แต่


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | นั้นครุฑกับนาคจึงเป็นศัตรูกันมาโดยตลอด และครุฑนั้นก็จะจับนาคกินเป็นอาหารเสมอ ครุฑ มีชายาชื่ออุนนติหรือวินายกา โอรสชื่อ สัมปาติหรือสัมพาที และชฎายุหรือสดายุ ตาม วรรณคดีพุทธศาสนากล่าวว่าครุฑมีขนาดใหญ่มาก วัดจากปีกข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่งได้ 150 โยชน์ เวลากระพือปีกสามารถทำให้เกิดพายุใหญ่ เกิดมืดมนและทำลายบ้านเมืองให้ หมดสิ้นไปได้ ที่อยู่ของครุฑเรียกว่า สุบรรณพิภพเป็นวิมานอยู่บนต้นสิมพลีหรือต้นงิ้ว อยู่เชิง เขาพระสุเมรุ วิมานที่อยู่ของพระนารายณ์ พระนารายณ์สถิตอยู่บนหลังพญาอนันตนาคราชเป็นบัลลังก์มีดอกบัวจงกลนี สีขาวเป็นที่ประทับในเกษียรสมุทร มีวิมานเป็นแก้วมณีเรียกว่า “ไวกูณฐ์” เป็นทองทั้งแท่ง เต็มไปด้วยรัตนะ เสาและช่อฟ้าใบระกาเป็นเพชรพลอยมีความกว้าง 8 หมื่นโยชน์ มีน้ำ พระคงคาไหลลงมาจากสวรรค์ทางทิศเหนือ ลงมายังสระโบกขรณีทั้ง 5 เต็มไปด้วยบัวสีน้ำ เงิน แดง และขาว มีรัศมีสว่างเหมือนแสงฟ้าและมีกลิ่นบัวหลวง ลอยไปไกลถึง 800 โยชน์ ความเชื่อและการบูชา ความเชื่อเรื่องพระวิษณุปรากฏมีพัฒนาการมายาวนาน ชาวดราวิเดียนเริ่มนับ ถือพระวิษณุก่อนในฐานะเป็นเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์ทางการเกษตร พอถึงสมัย พระเวท ชาวอารยันถือว่าพระวิษณุเป็นเทพชั้นรอง มีสถานะเป็นตัวแทนของพลังดวงอาทิตย์ เมื่อถึงสมัยพราหมณะพระวิษณุถูกยกย่องสูงขึ้นอีกในฐานะเทพผู้นำโชค แต่ยังไม่ถือเป็น มหาเทพ จนกระทั่งถึงสมัยปุราณะพระวิษณุจึงได้รับการยกย่องเป็นมหาเทพผู้รักษาคุ้มครอง โลก และเชื่อว่าเป็นองค์เดียวกับพระนารายณ์ คัมภีร์วิษณุปุราณะและภาควตปุราณะซึ่งแต่ง ขึ้นราวคริสต์ศตวรรษที่ 9 ได้พัฒนาบทบาทของพระวิษณุโดยการเชื่อมโยงวีรบุรุษในตำนาน ของชาวอินเดียหลายคน เช่น พระราม พระกฤษณะ พระโคตมพุทธเจ้า ว่าล้วนแต่เป็นปาง อวตารของพระวิษณุเพื่อผดุงความเป็นธรรมและความถูกต้องบนโลก ในยุคนี้เองที่เกิดลัทธิ ไวษณพซึ่งถือว่าพระวิษณุคือพระเป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กว่ามหาเทพอื่นๆ การบูชาพระวิษณุหรือ พระนารายณ์ สำหรับในประเทศไทยคำบูชาโดยย่อสำหรับผู้บูชาพระองค์ คือ โอม นะโม นารายะณายะ นะมะ หรือ โอม นะโม นารายณะ นามะ ภะวันตุ เม ทุติยัมปิ นะโม นารายณะ นามะ ภะวันตุ เม ตะติยัมปิ นะโม นารายณะ นามะ ภะวันตุ เม ฯ


| สยาม ราชวัตร 4.3.3 พระศิวะหรือพระอิศวร ( Shiva) : เทพเจ้าแห่งการท าลาย (The Destroyer) พระศิวะ หรือ พระอิศวร (สันสกฤต: शिव; อังกฤษ: Shiva) หนึ่งในตรีมูรติ หรือ เทพเจ้าสูงสุดสามองค์ตามความเชื่อในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู พระศิวะ ทรงมีพระลักษณะมี รูปกายเป็นชายหนุ่มร่างกำยำ วรรณะขาว (สีผิวขาว) นุ่งห่มหนังเสือเหมือนฤๅษี มีสังวาลย์ เป็นลูกประคำหรือกะโหลกมนุษย์ มีงูเห่าคล้องพระศอ ไว้พระเกศายาว ซึ่งจะม้วนเป็นจุฑา (มวยผม) มีพระจันทร์เป็นปิ่นและแม่คงคาอยู่บนยอดจุฑา ซึ่งพ่นน้ำมาตลอด และมีตาที่สาม กลางพระนลาฏ (หน้าผาก) ซึ่งโดยปกติจะปิดอยู่เสมอ เชื่อว่าหากเปิดขึ้นเมื่อไหร่จะบันดาล ให้ไฟบรรลัยกัลป์จะเผาผลาญล้างโลก ถือว่าเป็นการสิ้นสุดกัลป์หนึ่ง ก่อนที่พระพรหมจะ สร้างโลกขึ้นมาใหม่ แหล่งที่มาภาพ : https://www.silpathai.net คำว่า “อิศวร” แปลว่า ผู้ซึ่งสิ่งทั้งปวงรวมอยู่ ส่วนชื่อ “ศิวะ” นั้นได้มาจากการ ที่พระองค์มีกายสีแดง คำว่า “ศิวะ” มาจากคำว่า “ศิวัน” ของชาวทมิฬที่แปลว่าแดง พระอิศวรไม่มีปรากฏในคัมภีร์พระเวทเก่า แต่เริ่มมีขึ้นในคัมภีร์พระเวทใหม่นั่นคือคัมภีร์ อุปนิษัท แล้วได้รับการขยายความต่อในคัมภีร์ต่างๆ เช่น รามายณะ มหาภารตะ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งคือ คัมภีร์ศิวปุราณะ ในเทวปางของไทยเล่าว่า เมื่อไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลกพินาศแล้ว


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | พระเวทและพระธรรมก็มาประชุมกันขึ้น กลายเป็นพระสยมภูวญาณ คือองค์พระอิศวร หมายถึงการเกิดขึ้นเองและมอบอิทธิฤทธิ์และอำนาจบารมีให้แก่พระอิศวรในการสร้างโลก แต่ในบางแห่งเล่าว่าเกิดจากพระพรหมบำเพ็ญตบะจนเหงื่อไหล จึงเอาไม้ขูดที่ขนง แต่ไม้มีคม จึงได้บาดเอาจนโลหิตหยดลงไปในไฟ ก็บังเกิดเป็นเทพบุตรขึ้น เมื่อเกิดนั้นร้องไห้ขอชื่อต่อ พระพรหมอยู่ถึง 8 ครั้งถึงพอใจ พระอิศวรมักจะมีเรื่องขัดแย้งกับเทพองค์อื่นๆ อยู่เสมอ เช่น เป็นศัตรูกับเทพทักษะผู้เป็นบิดาของอุมาเทวีชายาของพระองค์จนถูกเทพทักษะสาปแช่ง และเคยตัดเศียรที่ 5 ของพระพรหมจนขาดไปเหลือเพียง 4 พักตร์ หรือเคยใช้ตาที่ 3 บน หน้าผากเผาทำลายพระกามเทพ ขณะที่พระองค์ถูกรบกวนในขณะที่กำลังบำเพ็ญตบะ (สุรศักดิ์ ทอง, 2553, น.3) พระอิศวรทรงมีพระนามมากมาย เช่น นิลกัณฐ์ หมายถึง ผู้มีพระศอสีดำ เนื่องจากทรงกลืนยาพิษที่เกิดจากการกวนเกษียรสมุทร แต่พระนางอุมาทรงเกรงว่าพระองค์ จะได้รับอันตรายจึงทรงจับพระศอไว้ ทำให้พระศอดำ ตรีเนตร คือมีพระเนตรที่สามอยู่ ระหว่างที่พระขนง จันทรเศขร คือมีพระจันทร์ประดับอยู่พระเกศา วิศวนาถ คือเจ้าแห่งจักรวาล ผู้ทรงเป็นที่พึ่งแห่งโลก มหาเทวะ คือผู้ยิ่งใหญ่เหนือเหล่าเทวดา คีรีศะ คือผู้เป็นใหญ่แห่ง ขุนเขาหิมาลัย คงคาธร คือผู้ทรงไว้ซึ่งพระคงคา สัมภู คือผู้เกิดเอง มเหศวร คือผู้เป็นใหญ่ ภูเตศวร คือผู้เจ้าแห่งภูตผีปีศาจ มหาโยคีคือผู้ทรงเป็นโยคีที่ยิ่งใหญ่ เป็นต้น พระอิศวรอาจจะเป็นเทพองค์เดียวกับ “พระรุทร” ในยุคพระเวทคัมภีร์ พรหมานัสกล่าวว่า เมื่อแรกกำเนิดนั้น พระรุทรได้ทรงกรรแสงทูลขอพระนามจากพระปชาบ ดี ซึ่งพระปชาบดีก็ทรงตั้งนามให้ว่า “รุทร” แต่พระองค์เองไม่ทรงพอพระทัย เรียกร้องขอ พระนามอื่นๆ อีก นอกจากนี้คัมภีร์ในยุคพระเวทกล่าวว่า พระรุทรทรงเป็นเทพดุร้าย มีฤทธิ์ อำนาจมาก ชอบอยู่ในป่าเขา ทรงเป็นที่พึ่งของพวกคนเลี้ยงโค โจรและคนป่า ลักษณะทางกายภาพ พระอิศวรเป็นมหาเทพ เป็นชายรูปงาม มีสีกายที่มีวรรณะสีขาวบางตำราว่ามีสี แดง มี1 เศียร มีตา 3 ดวง ตาข้างขวาเป็นดวงอาทิตย์ ตาข้างซ้ายเป็นดวงจันทร์ตาที่ หน้าผากเป็นไฟ มีรูปทรงตั้งขึ้นแบบลายพุ่มทรงข้าวบิณฑ์ ที่มีตา 3 ดวงนั้นก็เพื่อจะได้มองดู อดีต ปัจจุบัน และอนาคต เมื่อใดที่ตาที่ 3 ของพระอิศวรเปิดขึ้นจะเกิดเป็นไฟบรรลัยกัลป์ มีพระจันทร์ครึ่งซีกอยู่เหนือหรือล้อมตาที่ 3 มีผมเจือแดงที่หยาบกระด้างมุ่นเป็นชฎาคล้าย ฤๅษี ให้พระคงคาไหลผ่านไปตามผมที่ยาวเป็นแผงคลุมร่าง มีคอสีนิล สวมประคำหัวกะโหลก (มุณฑมาลา) คล้องคอ และมีงูนามว่า “นาคกุณฑละ” พันรอบพระศอเป็นสังวาล และสายธุรำ 1 สาย นุ่งห่มหนังเสือ หนังช้าง หรือหนังกวาง มีอาสนะเป็นหนังเสือ ประทับนั่งในท่าใช้ความคิด


| สยาม ราชวัตร อาวุธประจำกาย อาวุธที่ถือมีหลายอย่าง เช่น ตรีศูล (Trishula)ชื่อ ปินากะ บัณเฑาะว์หรือฑะมารุ (Damaru) คือกลองเล็ก มี 2 หน้า ตรงกลางคอด คาดไว้ที่ตรีศูล ธนูชื่ออัชคพ บางทีก็ถือ บ่วงบาศปาศะ มฤคะ สังข์ โล่ เขตะกะหรือเปลวไฟ พระขรรค์ กระบอกบรรจุลูกศรนับพัน คันศรนาคเจ็ดเศียร ขวานสงคราม แล้วแต่ละปางที่แตกต่างกันไป เช่นพระศิวะปางนาฏราชก็ ถือบัณเฑาะว์กับเปลวไฟ ในปางที่ชื่อศรีกัณฐะ จะมี 4 กร คือ 2 กร ถือพระขรรค์ ธนู ส่วนอีก 2 กรจะถือลูกศรพาณะและเขตกะเปลวไฟ ในวรรณกรรมเรื่องรามเกียรติ์ของประเทศไทยเล่าว่า พระศิวะใช้อาวุธอีก 3 อย่าง คือ (1) ตรีเพชรสุรกานต์ ทรงประทานให้พระพายนำไปพัดเข้าปากนางสวาหะ เพื่อที่จะได้ กำเนิดขึ้นเป็นส่วนลำตัว มือ และเท้าของหนุมาน (2) ส่วนจักรให้เป็นหัว สังเกตได้จากรูปวาด จะพบว่าบนหัวของหนุมานจะมีลอนคล้ายกับขอบจักร (3) ส่วนคทายอดหัวกะโหลกชื่อชัฏวางค์ เป็นสันหลังตลอดไปถึงหาง พาหนะของพระศิวะ พระศิวะจะใช้โคอุสุภราชเผือกตัวผู้เป็นพาหนะ ซึ่งมีนามว่า “นนทิ” หรือ “ศังกายน” เป็นเทพเจ้าแห่งสัตว์จตุบาท มีลักษณะสีดำด่างขาว 7 แห่ง คือที่บริเวณปลายเท้า ทั้ง 4 ปลายหางหนอก และที่หน้าเป็นรูปใบโพธิ์ จากลักษณะถือเป็นตัวต้นแบบให้กับการดู ลักษณะของวัวที่ดีในปัจจุบัน วัวนนทิถือเป็นหัวหน้าภูตผีอาศัยอยู่ที่ถ้ำอินทกาล มีประวัติ ตำนานว่าเกิดจากกัศยปะและสุรภีวัวที่ได้จากการกวนเกษียรสมุทร ถือเป็นเทวดาอีกองค์หนึ่ง ปรกติมีรูปเป็นภูติหรือมนุษย์ กายสีขาว มีไม้เท้าประจำตำแหน่ง เมื่อพระศิวะทรงระบำ ตาณฑพ พระนนทิจะเป็นผู้ให้จังหวะตีตะโพน จึงได้นามอีกว่า “ตาณฑพตาลิก” (ผู้ให้จังหวะ) อีกทั้งทำหน้าที่เป็นมณเฑียรบาลและเป็นอธิบดีแห่งเทพบริวารของพระศิวะโดยมีกุมภัณฑ์ ยักษ์ และภูตผีปีศาจร้ายนานาชนิดเป็นบริวารติดตามรับใช้ วิมานที่อยู่ของพระศิวะ เขาไกลาส (Kailasa) ในป่าหิมพานต์ เป็นวิมานที่อยู่ของพระศิวะ ซึ่งตั้งอยู่ทาง ทิศตะวันตกของเทือกเขาหิมาลัย มีโสมนาถเป็นเทวสถาน ความเชื่อและการบูชา พระศิวะมีหน้าที่ประทานพรวิเศษให้แก่ผู้ที่ยึดมั่นในความดี และอยู่ในศีลธรรม หากผู้ใดที่ประพฤติตนเพื่ออุทิศถวายแก่พระองค์ ไม่ว่าจะปรารถนาสิ่งใด พระองค์ก็จะทรง ประทานให้ตามที่ขอ แต่หากได้พรสมปรารถนาไปแล้ว กลับกระทำตนผิดไปจากเดิม ผู้นั้นก็ จะบังเกิดความวิบัติในชีวิต โดยมีพระศิวะเทพเป็นผู้ทำลาย มีความเชื่อเล่าขานกันว่า ใครก็ ตามที่เจ็บไข้ได้ป่วย หากได้พระศิวะมาช่วยปัดเป่ารักษาเยียวยา อาการต่างๆ ก็จะหายไป


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | อย่างมหัศจรรย์นัก ดังนั้น หากผู้ใดที่ต้องการขอพรให้ตนหรือคนในครอบครัวหายจากอาการ เจ็บไข้ได้ป่วย ก็ควรกระทำการบวงสรวงบูชาและขอพรจากพระศิวะ ความเจ็บไข้ที่เคย ปรากฏก็จะถูกปัดเป่าให้หายไปได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ พระศิวะยังเป็นเทพที่คอยขับไล่สิ่ง ชั่วร้าย และบันดาลให้เกิดสิ่งดีงามอันเป็นสิริมงคล ดังนั้น ผู้ใดที่มีความทุกข์ หากได้บวงสรวง บูชาพระศิวะ และขอพรให้พ้นทุกข์แล้ว พระศิวะก็จะประทานพรให้ผู้นั้นพ้นจากห้วงแห่ง ความทุกข์ได้สำหรับผู้ที่มีอาชีพที่เกี่ยวกับการเกษตรทั้งปวง ทั้งอาชีพเลี้ยงวัว เลี้ยงม้า หรือเลี้ยงแกะ พระศิวะก็สามารถเป็นเทพที่อำนวยพร และประทานความอุดม สมบูรณ์ให้แก่เกษตรกรทั้งสิ้น ผู้บูชาพระศิวะจะประสบความสำเร็จ และมีความสมบูรณ์พูนสุข ในชีวิต นอกจากบทบาทความสำคัญในการเป็นผู้ทรงพระมหากรุณา ประทานพรแก่มวล มนุษย์ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว อีกบทบาทหนึ่งที่เด่นชัด ก็คือ บทบาทการเป็นมหาเทพแห่งคีตา พระศิวะเป็นเทพเจ้าแห่งการดนตรี และการร่ายรำ ระบำฟ้อนอีกด้วย พระศิวะเป็นพระผู้เป็น เจ้าแห่งการทำลายล้าง พระองค์เปี่ยมล้นไปด้วยอำนาจ พระพักตร์ของพระองค์สามารถแสดง ให้เห็นว่าเป็นได้ทั้งชายและหญิง เป็นทั้งผู้ใจดีและดุร้าย จากชิ้นฝุ่นธุลีหรือใหญ่โตจนถึงภูเขา หิมาลัย จากมดตัวเล็กๆ หรือช้างตัวใหญ่ จากมนุษย์หรือพระผู้เป็นเจ้า อะไรก็ตามที่เรา สามารถเห็นได้นั้น เป็นรูปแบบของพระศิวะทั้งหมด 4.4 เทพเจ้าองค์ส าคัญฝ่ายหญิง เทพเจ้าที่สำคัญฝ่ายหญิง คือกลุ่มเทพเจ้าที่เป็นชายาของเทพเจ้าองค์สำคัญฝ่ายชาย ซึ่งประกอบด้วย พระสรัสวดีผู้เป็นชายาของพระพรหม พระลักษมีผู้เป็นชายาของพระนารายณ์ และพระปารวตีผู้เป็นชายาของพระศิวะ แต่ละองค์มีรายละเอียดประวัติและตำนานดังนี้ 4.4.1 พระสรัสวดี(Saraswati): เทพเจ้าแห่งปัญญาความรู้ดนตรี และศิลปะ (Goddess of Knowledge, Music and the Arts) พระสรัสวดี (Saraswati) เป็นชายาของพระพรหม เป็นเทพเจ้าแห่งปัญญา ความรู้ ดนตรี ศิลปะ และการพูด คำว่า “สรัสวดี” นี้ ปรากฏตั้งแต่ยุคพระเวท กล่าวกันว่า เป็นชื่อของแม่น้ำสายสำคัญที่สุดอันดับหนึ่งในแม่น้ำใหญ่ทั้ง 7 สาย เชื่อกันว่าแม่น้ำสายนี้แห้ง เหือดไปในยุคหลังพระเวท นักวิชาการบางท่านให้ความเห็นว่า ชื่อ “สรัสวดี” คล้ายกับ “ทฤษวติ” ซึ่งเป็นแม่น้ำสายเล็กๆ ในเขตทะเลทรายพรหมาวตะ ปัจจุบันแห้งไปแล้ว ในยุค พระเวทพระสรัสวดีถือเป็นธิดาของสายฟ้า เป็นชายาของไววัสวัต พระนางทรงมีลักษณะเป็นทิพย์ จะเสด็จมาร่วมพิธีสังเวยทุกครั้งที่ถูกกล่าวอัญเชิญ นอกจากนี้พระนางยังทรงเป็นผู้ชำระ


| สยาม ราชวัตร มลทินและเมื่อรวมกับกลุ่มเทพเกี่ยวกับแม่น้ำแล้ว อาจบันดาลให้เกิดลาภ ทายาท และความ เป็นอมตะได้ แหล่งที่มาภาพ : https://kanlapana102 คัมภีร์ฤคเวทกล่าวถึงพระสรัสวดีว่าทรงใกล้ชิดกับเทพแฝดอัศวิน ส่วนใน ยชุรเวทถือว่าพระนางทรงเป็นชายาของเทพที่มีเศียรเป็นม้า และยังจัดให้พระนางอยู่ในกลุ่ม ตรีเทวี อันเป็นเทพสูงสุดฝ่ายหญิง ซึ่งประกอบด้วยภารตี อิฑา และสรัสวดีในยุคต่อมามีการ รวมหน้าที่ของเทพภารตี (เทพีแห่งการพูดและการประพันธ์) อิฑา (เทพีแห่งพิธีกรรม) ตลอดจนเทวีวาจ (คำพูด) มาเป็นภาระอุปถัมภ์ของพระสรัสวดี ถือว่าพระนางทรงเป็นองค์ อุปถัมภ์แห่งปัญญาและศิลปะวิทยาการทั้งปวง พระสรัสวดียังทรงมีพระนามอื่นๆ อีก เช่น ภควดี แปลว่า หญิงที่มีความงาม พร้อม วีณาปาณี แปลว่า ผู้ถือวีณา ภารตี แปลว่า ผู้ชำนาญในการฟ้อนรำและละคร พรหมมี แปลว่า ชายาของพระพรหม ปุตการี แปลว่า มารดาแห่งโลก ศารทา แปลว่า สาระสำคัญแห่ง วิชาการ วาศีศวรี แปลว่า ผู้เป็นใหญ่ในด้านคำพูด วาจะ แปลว่า เจ้าแห่งการพูดและการเจรจา วาณี แปลว่า เป็นใหญ่ในการใช้ถ้อยคำและภาษา มนัสกัญญา แปลว่า เป็นหญิงที่เกิดจากใจ คัมภีร์ปุราณะหลายเล่มกล่าวถึงกำเนิดของพระสรัสวดีไว้หลายสำนวนทั้งที่ สอดคล้องกันและแตกต่างกัน เช่น คัมภีร์มัสตยะปุราณะกล่าวถึงพระสรัสวดีในหลายพระนาม เช่น ศตรูปา สาวิตรีรายตรี และพรามหณี โดยกล่าวถึงกำเนิดว่าเกิดจากพระพรหมทรงแบ่ง พระวรกายของพระองค์เพื่อทรงให้กำเนิดเทวสตรีองค์นี้ และพระนางก็มีลักษณะงดงามจน


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | พระพรหมทรงโปรดถึงกับทอดพระเนตรอย่างไม่วางตาจนกระทั่งบังเกิดเศียรห้าเศียร จากนั้น ก็ได้ประทับอยู่ร่วมกันสร้างสรรค์เหล่าเทวดาและมนุษย์ขึ้น ส่วนคัมภีร์พรหมาไววัทตะ ซึ่งเป็น ปุราณะที่ให้ความสำคัญต่อพระกฤษณะโดยนับถือเป็นเจ้าแห่งจักรวาลเล่าว่า ครั้งหนึ่ง พระกฤษณะได้ทรงสร้างนางราธาอันเป็นภาคฝ่ายหญิงของพระองค์ออกมาจากพระวรกาย เพื่อทรงให้กำเนิดสิ่งต่างๆ ในครั้งนั้นปรากฏร่างเทวีออกมาจากพระโอษฐ์ของนางราธามี วรรณะสีขาว สวมอาภรณ์สีเหลือง ประดับประดาด้วยอัญมณี ทรงถือวีณาและหนังสือในพระหัตถ์ และทรงได้รับยกย่องให้เป็นเทวีแห่งคัมภีร์ จากนั้น นางราธาได้แบ่งพระวรกายออกเป็นสอง ส่วน ด้านครึ่งซ้ายบังเกิดเป็นนางกมลา หรือลักษมี เช่นเดียวกันพระกฤษณะซึ่งทรงแบ่งพระวรกาย เป็นสองส่วนโดยด้านครึ่งซ้ายบังเกิดเป็นพระวิษณุสี่กร จากนั้นพระกฤษณะจึงทรงถวายพระสรัสวดี และพระลักษมีให้เป็นชายาของพระวิษณุคัมภีร์เล่าว่า ต่อมาพระวิษณุได้ทรงพระนางคงคา มาเป็นชายาอีกพระองค์หนึ่ง วันหนึ่งพระนางคงคาได้ทอดพระเนตรพระวิษณุด้วยความรัก ใคร่ และพระวิษณุก็ได้ทอดพระเนตรกลับมาซึ่งทำให้พระสรัสวดีทรงพิโรธ รับสั่งว่าพระวิษณุ ทรงลำเอียง ให้ความรักไม่เสมอกัน พระวิษณุจึงหลบออกไปจากสถานที่นั้น เพื่อให้พระนาง ทรงคลายพิโรธ แต่พระนางกลับเสด็จเข้าไปคุกคามพระนางคงคา พระลักษมีทรงเข้าขัดขวาง พระสรัสวดีจึงสาปพระลักษมีเป็นต้นไม้และแม่น้ำ พระนางคงคาทรงพิโรธแทนพระลักษมี จึงสาปพระสรัสวดีเป็นแม่น้ำด้วย ท้ายที่สุด พระสรัสวดีก็สาปพระนางคงคาเป็นแม่น้ำเช่นกัน เมื่อพระวิษณุทรงทราบเรื่อง จึงทรงตัดขาดจากพระสรัสวดีและพระนางคงคา คงเหลือชายา เพียงพระลักษมีอย่างไรก็ตามผลจากคำสาปของพระสรัสวดีทำให้พระลักษมีต้องไปจุติเป็น ธิดากษัตริย์โดยมีพระวิษณุทรงเป็นสวามี และต่อมาได้กลายเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์คือ “ตุลสี” ในส่วนที่เป็นสายน้ำ พระนางได้กลายเป็นแม่น้ำปัทมาวตีหรือปัทมา ซึ่งเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ เช่นเดียวกันกับแม่น้ำคงคา จากนั้นพระวิษณุได้ถวายพระสรัสวดีแด่พระพรหม และ ถวายพระนางคงคาแด่พระศิวะ ลักษณะทางกายภาพ รูปลักษณะทางกายภาพของพระสรัสวดีตามที่บรรยายไว้ในคัมภีร์ปุราณะ ตลอดจนคัมภีร์ศิลปศาสตร์และอาคมต่างๆ นั้นแตกต่างกันไป เช่น คัมภีร์มารกัณเฑยะ ปุราณะ กล่าวถึงพระสรัสวดีว่าทรงถืออังกุศ (ขอช้าง)ในพระหัตถ์ข้างหนึ่ง คัมภีร์มัสตย ปุราณะ กล่าวถึงพระสรัสวดีหรือพระนางคายตรีว่ามีสี่กร ทรงถือวีณา ลูกประคำ หม้อน้ำมนต์ และคัมภีร์ส่วนคัมภีร์ภควัตปุราณะอธิบายว่า พระนางประทับบนหลังสิงโตทรงมีสี่กร พระเนตรสีแดง พระเกศาเหยียดตรง พระถันแหลมไม่สวมอาภรณ์ มักแสดงพระองค์ใน ลักษณะดุร้าย ส่วนพระนางคายตรีชายาอีกองค์หนึ่งของพระพรหม อีกอย่างตามที่ปรากฏใน คัมภีร์สกันทะปุราณะและคัมภีร์ศรีฑัตวนิธิกล่าวว่าพระนางอยู่ในวรรณะสีแดง อาภรณ์แดง


| สยาม ราชวัตร ทรงมีสี่กร สี่พักตร์ แปดเนตรพระหัตถ์ขวาทรงถือดอกบัวและลูกประคำ ส่วนพระหัตถ์ซ้าย ทรงถือหม้อน้ำมนต์และช้อนตักเนยเหลว (Balram Srivastava,1978, p. 99 ; Bhagwant Sahai,1975, pp. 142-143 อ้างใน อรุณศักดิ์ กิ่งมณี, 2551, น. 59-63) แต่ลักษณะที่สังเกต ง่ายที่สุดเพื่อให้แตกต่างจากมหาเทวีองค์อื่นคือ พระนางจะทรงเครื่องดนตรีที่เรียกว่า “วีณา” อยู่เสมออันเป็นสัญลักษณ์แห่งดนตรี พระหัตถ์อีกข้างหนึ่งจะถือคัมภีร์อันเป็นสัญลักษณ์แห่ง ความรู้ ปัญญา การเขียน การอ่าน การศึกษา และอีกพระหัตถ์หนึ่งทรงถือลูกประคำอันเป็น สัญลักษณ์แห่งการสวดมนต์ การภาวนา การทำสมาธิ และการประกอบพิธีกรรม พาหนะของพระสรัสวดี พระนางสรัสวดีประทับนั่งบนบัลลังก์ดอกบัว และทรงหงส์สีขาว รูปเคารพของ พระนางมักประทับบนหงส์ แต่ในศิลปะอินเดียมักทำภาพพระนางประทับบนหลังนกยูง หรือ บางครั้งทรงมีพาหนะเป็นแกะหรือสิงห์ วิมานที่อยู่ของพระสรัสวดี พระสรัสวดีประทับอยู่ในวิมาน ณ สวรรค์ชั้นพรหม หรือพรหมโลก ร่วมอยู่กับ พระพรหมในฐานะเป็นชายาของพระพรหม ความเชื่อและการบูชา ผู้ที่บูชาพระสรัสวดี มีความเชื่อว่า พระองค์เปรียบเหมือนครูอาจารย์ เป็นเทวี แห่งสรรพความรู้ วิชาการอันล้ำลึก วิทยาการอันก้าวหน้า เป็นตัวแทนแห่งปัญญาความรู้ พระองค์คือสัญลักษณ์แห่งงานศิลปะทุกแขนง ทั้งการวาดเขียน การดนตรี อักษรศาสตร์ การแต่ง ตำรา การเขียนหนังสือ เป็นเทวีแห่งปรีชาญาณอันชัดเจนแจ่มแจ้ง การเล่าเรียน ศึกษาหา ความรู้ การวิจัย การวิเคราะห์ การพูดจา การเจรจาต่อรอง ตลอดจนเป็นผู้ให้กำเนิดอักขระ ของอินเดีย คืออักษรเทวนาครีชาวฮินดูมีความนับถือพระสรัสวดีเป็นเทวีแห่งเวทมนตร์คาถา และการประกอบพิธีกรรม หากมีการประกอบพิธีบูชาเทพหรือเทศกาลใดๆ แล้ว ถ้าอัญเชิญ พระแม่สรัสวดีร่วมด้วย ก็ย่อมบันดาลให้การสวดมนต์และการประกอบพิธีกรรมทุกขั้นตอน ดำเนินไปอย่างศักดิ์สิทธิ์มีพลังเข้มข้นและมีประสิทธิผลสูงสุด พระสรัสวดีทรงโปรดการแสดงดนตรี การบรรเลงเพลง ดังนั้นการร้องเพลงถวาย การอ่านบทกวีถวาย ผู้บูชานิยมเปิดเพลงหรือบรรเลงดนตรีที่มีท่วงทำนองประณีตงดงาม ถวายแด่พระองค์ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดนตรีประเภทใดก็โปรดทั้งสิ้น เช่น พิณ จะเข้ ขิม ไวโอลิน กีตาร์ เปียโน เป็นต้น ในประเทศไทยประชาชนที่นับถือพระสรัสวดีนิยมประดิษฐานเทวรูปพระสรัสวดี ไว้ในสถานศึกษา เช่นที่โรงเรียนภารตวิทยาลัย ก็ประดิษฐานพระแม่สรัสวดีไว้ข้างหน้าทางเข้า โรงเรียน ผู้ที่จะเดินเข้าโรงเรียนก็จะสักการะเทวรูปพระแม่สรัสวดีก่อนเสมอ จึงกล่าวได้ว่า


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | พระแม่สรัสวดีเป็นเทพเจ้าด้านการศึกษาและศิลปวิทยา เหมาะสำหรับผู้ที่อาชีพทางการ ศึกษาโดยเฉพาะผู้ที่มีอาชีพครู นักวิจัย นักวิชาการ รวมถึงวิชาชีพศิลปะ การวาดเขียน การแต่งเพลง การแสดง การดนตรีทุกแขนง เทศกาลสำคัญเกี่ยวกับพระแม่สรัสวดี คือ เทศกาลวสันตะ ปัญจมีตรงกับ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปี จะมีการประกอบพิธีบูชาพระสรัสวดีทั้งวันทั้งคืน พร้อมทั้งแห่ เทวรูปไปทั่วเมือง และทำการสรงน้ำ หรืออัญเชิญลงสรงน้ำในแม่น้ำ เช่นเดียวกับวันคเณศจตุรถี มีการตกแต่งบ้านเรือนและเทวาลัยของพระองค์ด้วยดอกดาวเรือง การประกอบพิธีนี้ยัง ตอบสนองการต้อนรับการมาของฤดูกาลใบไม้ผลิหรือวสันตฤดูด้วย การบูชาในวันนี้ผู้บูชา จะต้องหาหม้อทองเหลืองมาวางไว้หน้าประตูทางเข้า ถวายของบวงสรวง “พิธีโศทโศปจร” (Shodashopachar) ด้วยการถวาย 16 อย่างต่อเทวรูป หลังจากการกล่าวสวดมนต์ถวายต่อ พระสรัสวดีเป็นการ “ประสทัม” (Prasadam) ผู้บูชาจะต้องถวายน้ำมันเนย นมเปรี้ยว เนย สด นม งา ขนมหวานที่ทำจากแป้ง น้ำตาลอ้อย มะพร้าว ลูกเกด กล้วย การจัดถวายนี้ต้อง แจกจ่ายแก่ผู้มาร่วมพิธีโดยทั่วกัน และที่สำคัญผู้บูชาจะต้องสวดมนต์บทว่า “นโม เทวเย สรัสวัตเย” ข้าพเจ้าขอน้อมกราบต่อพระแม่สรัสวดีผู้บูชาเชื่อว่าบทนี้จะสามารถให้ความสำเร็จดั่งความ ต้องการของผู้สวด 4.4.2 พระลักษมี(Lakshmi) : เทพเจ้าแห่งความเจริญรุ่งเรือง (Goddess of Prosperity) พระลักษมี(Lakshmi) เป็นชายาของพระวิษณุ เป็นเทพเจ้าแห่งความ เจริญรุ่งเรืองรวมถึงโชคลาภ ความมั่งคั่ง อำนาจ ความรัก ความอุดมสมบูรณ์ และความงาม ปรากฏร่องรอยหลักฐานการนับถือว่า กำเนิดตั้งแต่สมัยพระเวท ในพระนามว่า “ศรี” คัมภีร์ พระเวทให้รายละเอียดว่าเป็นเทพที่กำเนิดมาจากความรู้สึก ได้รับการบูชาว่า เป็นเทวีแห่ง ความงามและความมั่งคั่ง ในสมัยยุคหลังพระเวทพระลักษมีในชื่อว่าพระศรีมีความสำคัญมาก ยิ่งขึ้นในฐานะเป็นชายาของพระวิษณุ นับถือกันว่าพระลักษมีทรงเป็นเทวีแห่งความงาม มักประทับบนบัลลังก์ดอกบัว หรือทรงถือดอกบัวอยู่เสมอ บางครั้งอาจประทับบนหลังช้าง มีสองหรือสี่กร บางครั้งทรงถือเทพศาสตราวุธของพระวิษณุด้วย


| สยาม ราชวัตร แหล่งที่มาภาพ : https://www.siamganesh.com/laksmi.html พระลักษมีมีพระนามอื่นๆ อีกมากมาย เช่น ศรี แปลว่า ศิริมงคล หริปรียา แปลว่าเป็นที่รักของพระหริคือพระวิษณุ ปัทมา แปลว่าเกิดในดอกบัวหลวง ปัทมาลัย แปลว่า พำนักอยู่ในดอกบัว ชลธิชา แปลว่าธิดาของสายน้ำ โลกมาตา แปลว่า มารดาของโลก กษิราธิ กัญญา แปลว่า ผู้เป็นใหญ่ในทะเลน้ำนม ภควดีแปลว่า หญิงสาวที่งามพร้อม อินทิรา แปลว่า ผู้มีความงดงาม อมฤตวาณี แปลว่า เทวีแห่งน้ำอมฤต นอกจากในหลายคัมภีร์ได้อธิบายกำเนิดของพระลักษมีอีกหลายเรื่องมีเนื้อหา แตกต่างกันออกไปบ้าง เช่น คัมภีร์วิษณุปุราณะ ให้รายละเอียดพระลักษมีไว้สองประการ คือ ทรงเป็นธิดาของฤๅษีคุกับนางคยาติทั้งทรงเป็นมารดาของพระกามเทพด้วย และยังว่าพระ นางทรงถือกำเนิดจากดอกบัวกลางเกษียรสมุทร ภายหลังได้เข้าเฝ้าพระวิษณุโดยทรงนำ ดอกบัวอันเป็นสัญลักษณ์ของพระนางไปด้วย พระวิษณุก็ทรงรับพระนางเป็นชายา คัมภีร์ ศตปถะพรหมณะ กล่าวว่า พระนางทรงถือกำเนิดโดยแบ่งภาคมาจากพระนางปชาบดี ส่วน คัมภีร์มหารามายณะให้รายละเอียดว่า พระนางทรงถือกำเนิดมาจากการกวนเกษียรสมุทร


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | ของเหล่าเทวดาและอสูร มูลเหตุของการกวนเกษียรสมุทรมากจากพระอินทร์ถูกฤๅษีทุรวาส สาปให้เสื่อมฤทธิ์ เนื่องจากครั้งหนึ่งฤๅษีทุรวาสนำพวงมาลัยมาถวายพระอินทร์ เมื่อพระอินทร์ ทรงรับมาก็วางบนเศียรช้างไอราวตะ แต่กลิ่นของพวงมาลัยทำให้ช้างฉุนเฉียว เอางวงจบ เหวี่ยงลงมาที่พื้นแล้วใช้เท้าขยี้ฤๅษีทุรวาสโกรธเพราะคิดว่าพระอินทร์ทรงดูหมิ่นจึงสาปให้ เสื่อมฤทธิ์เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เหล่าอสูรเกิดอหังการเข้ารุกรานเทวโลกเนื่องจากพระอินทร์ เสื่อมฤทธิ์ไม่สามารถต่อสู้กับเหล่าอสูรได้แล้ว เหล่าเทวดาจึงพากันไปทูลอ้อนวอนให้พระวิษณุ ทรงช่วยเหลือ พระวิษณุทรงแนะนำให้ทำพิธีกวนเกษียรสมุทรเพื่อจะได้น้ำอมฤตโดยผู้ที่ดื่ม แล้วจะมีความเป็นอมตะ และรับสั่งให้เหล่าเทวดาไปชักชวนอสูรให้มาช่วยกวน และตกลงกัน ว่าจะแบ่งน้ำอมฤตให้ระหว่างการกวนเกษียรสมุทรบังเกิดสิ่งสำคัญขึ้นมา 8 ประการ ซึ่งหนึ่ง ในนั้นก็คือพระลักษมี เมื่อพระลักษมีปรากฏพระวรกายขึ้น เหล่าเทวดา อสูรและมนุษย์ต่าง ลุ่มหลงในความงาม และปรารถนาจะได้พระนางว่าเป็นชายาทั้งสิ้น ครั้งนั้นพระอินทร์ได้ทูล อัญเชิญให้พระนางประทับบนแท่นอาสนะ เทพแห่งน้ำได้นำน้ำในถ้วยทองมาให้พระนางทรง ชำระพระวรกายโดยมีเหล่านางเทพอัปสรและคนธรรพ์บรรเลงดนตรีขับกล่อม นอกจากนี้ เหล่าช้างประจำทิศยังช่วยกันรดน้ำศักดิ์สิทธิ์จากหม้อน้ำทองให้พระลักษมีซึ่งถือดอกบัวอยู่ จากนั้นพระมหาสมุทรทรงถวายผ้าเหลืองสองผืน พระวรุณทรงถวายมาลัยไวชยันตีพระวิศวกรรม ทรงถวายเครื่องประดับต่างๆ พระสรัสวดีทรงถวายสร้อยมุก พระพรหมทรงถวายดอกบัวและ กุณฑล เมื่อเสร็จพิธี พระลักษมีก็ทรงเลือกพระวิษณุเป็นพระสวามี ลักษณะทางกายภาพ ลักษณะทางกายภาพของพระลักษมีมีทั้งที่พบเป็นเอกเทศและปรากฏคู่กับพระวิษณุ ในคัมภีร์ศิลปรัตนาให้รายละเอียดว่า รูปเคารพของพระนางอยู่ในวรรณะขาว พระหัตถ์ซ้าย ทรงถือดอกบัว ส่วนพระหัตถ์ขวาทรงถือผลบิลวา ประดับพระองค์ด้วยสร้อยไข่มุก มีบริวาร เป็นเทพธิดาสององค์โบกแส้จามรี ด้านข้างมีช้างกำลังสรงน้ำให้ โดยหากพระลักษมีประทับ อยู่ร่วมกับพระวิษณุมักมีสองกร แต่หากประทับอยู่เป็นเอกเทศจะมีสี่กร มักประทับบน บัลลังก์ดอกบัว พระหัตถ์ขวาทรงถือดอกบัวก้านยาวและผลบิลวา พระหัตถ์ซ้ายทรงถือหม้อ น้ำทิพย์และสังข์ด้านข้างมีช้างสองเชือกกำลังสรงน้ำให้ (T.A. Gopinatha Rao, 1968, p. 374 อ้างในอรุณศักดิ์ กิ่งมณี, 2551, น. 126-127) รูปเคารพอีกแบบหนึ่งของพระลักษมีที่เกษตรกรอินเดียนิยมเคารพบูชา มีนาม ว่า “พระธัญญลักษมี” มีประวัติเล่าว่า ครั้งหนึ่งโลกเกิดความแห้งแล้ง เกษตรกรจึงสวดบูชา ขอพรจากองค์พระวิษณุ แต่เนื่องจากขณะนั้นพระวิษณุกำลังบรรทมอยู่ ไม่ได้ยินเสียงคำสวด บูชาขอความช่วยเหลือ พระลักษมีจึงทรงแบ่งภาคลงมาช่วยเหลือโลกมนุษย์ โดยนำมหาสังข์ ใส่น้ำมาโปรยเป็นสายฝน พร้อมทั้งเนรมิตให้ข้าวเจริญงอกงาม เมื่อพระวิษณุตื่นบรรทมและ


| สยาม ราชวัตร ทรงทราบเรื่องที่เกิดขึ้น จึงประทานพรให้แก่พระชายาและทรงมีเทวโองการให้ถือเอานกแสก และนกฮูกเป็นเครื่องหมายแสดงถึงเหตุการณ์สำคัญนี้ โดยหากมนุษย์จะสร้างเทวรูป พระธัญญลักษมีให้ครบสมบูรณ์ ต้องมีรูปนกฮูกและนกแสกด้วย (กิตติ วัฒนะมหาตม์, 2542, น. 133-114) พาหนะของพระลักษมี นกฮูกเป็นพาหนะของพระแม่ลักษมี ชาวฮินดูมีความเชื่อว่า นกฮูก หมายถึง สติปัญญา นกฮูก เป็นพาหนะของพระแม่ลักษมี มเหสีของพระนารายณ์ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในตรี มูรติเป็นเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์และพันธุ์ข้าว ด้วยเชื่อว่าพระนางจะขี่นกฮูกออกไปตรวจ นาข้าวในเวลากลางคืน วิมานที่อยู่ของพระลักษมี พระลักษมีประทับอยู่ร่วมพระนารายณ์หรือพระวิษณุในฐานะเป็นชายาของ พระนารายณ์คือวิมานแก้วมณี ที่เรียกว่า “ไวกูณฐ์” ประทับบนหลังอนันตนาคราชร่วมกับ พระนารายณ์ผู้เป็นสวามี ในเกษียรสมุทร ความเชื่อและการบูชา ผู้ที่นับถือบูชาพระแม่ลักษมีมีความเชื่อว่าพระลักษมีเป็นเทวีแห่งความงดงาม ความร่ำรวย ความมั่งคั่ง และความอุดมสมบูรณ์ พระองค์มักประทานความสำเร็จในการ ประกอบกิจการ การเจรจาต่อรอง การทำมาค้าขาย การประกอบธุรกิจทุกสาขา ตลอดจน ประทานโภคทรัพย์ เงินทอง สมบัติ แก่ผู้หมั่นบูชาพระองค์และประกอบความดีอยู่เป็นนิจ ผู้ศรัทธาพระแม่ลักษมีจะถือกันว่าเป็นเทพนารีผู้อำนวยโชค มีน้ำพระทัยเมตตา ปรานีอยู่เป็นนิจ เป็นตัวอย่างแห่งนางที่งามตลอดทั้งรูปและกิริยามารยาท มีวาจาเปี่ยมด้วย เสน่ห์และไพเราะ ทั้งถือกันว่าเป็นผู้นำมาซึ่งความเจริญทุกประการ นับกันว่าเป็นผู้อุปถัมภ์ บรรดาสตรีทุกชั้น นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่าพระแม่ลักษมีสามารถช่วยประทานพรเรื่อง ความรักได้ เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นมารดาของพระกามเทพ อีกทั้งพระองค์ทรงมีความรัก ภักดีต่อพระสวามี นั่นคือ พระนารายณ์ โดยไม่ว่าพระนารายณ์จะอวตารไปจุติในภพใด พระแม่ลักษมีก็จะอวตารตามไปด้วยทุกภพ สำหรับในประเทศไทย ผู้ที่ต้องการบูชาและไหว้ขอพรพระแม่ลักษมี สามารถไป สักการะได้ตามสถานที่ต่างๆ ดังนี้พระแม่ลักษมี ที่ตึกเกษรวิลเลจ หรือเกษร พลาซ่า แยกราชประสงค์ ชั้น 4 พระแม่ลักษมี วัดแขก สีลม พระแม่ลักษมีที่โบสถ์เทพมณเฑียร ย่านเสาชิงช้า พระแม่ลักษมีที่วัดวิษณุ ยานนาวา พระแม่ลักษมีที่มูลนิธิวัดลักษมีนารายัน อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรีพระแม่ลักษมี ที่เทวสถานพระแม่ลักษมี โรงเจสะพานใหม่ เป็นต้น


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | หากต้องการสักการะพระแม่ลักษมี ควรเตรียมตัวและของไหว้อะไรบ้าง คนที่ ศรัทธาต่อพระแม่ลักษมีจะนิยมไหว้พระแม่ลักษมีทุกวันศุกร์ และควรใส่เสื้อสีชมพู เพราะ พระแม่ลักษมีชอบสีชมพูส่วนของไหว้ให้เตรียมของไหว้ ได้แก่ ดอกบัวสีชมพู หรือดอกไม้ โทนแดงหรือชมพู, น้ำเปล่า, นม, ผลไม้ 5 อย่าง และกำยาน ห้ามถวายสิ่งที่ทำมาจากเนื้อสัตว์ หรือขนมที่มีไข่เป็นส่วนประกอบเด็ดขาด ให้ถวายน้ำอ้อย น้ำมะพร้าว น้ำตาลสด เพิ่มได้และ ใช้ธูป 9 ดอกในการจุดไฟบูชา คาถาบูชาพระแม่ลักษมี โดยก่อนการสวดบูชาต่อพระแม่ลักษมีต้องสวดมนต์ต่อ พระพิฆเนศก่อนเสมอ โดยต้องสวดคาถา โอม ศรี คเณศายะ นะมะฮา จากนั้นจึงสวดคาถา บูชาพระแม่ลักษมี บทสวดมนต์พระแม่ลักษมีนั้นมีหลายบท แต่ที่นิยมมักสวดบทสั้นๆ ว่า โอม ศรี มหาลักษมี เจ นะมะฮา 4.4.3 พระปารวตี(Parvati) : เทพเจ้าแห่งความมีอ านาจ (Goddess of Power) พระปารวตีเป็นชายาของพระศิวะ เป็นเทพเจ้าแห่งความมีอำนาจ รวมถึงความ จงรักภักดี ความเป็นแม่ ความอุดมสมบูรณ์ และความปรองดอง แต่เดิมนั้นพระศิวะมีชายา อยู่แล้วหนึ่งองค์คือพระนางสตีซึ่งเป็นธิดาองค์โตของพระทักษะปชาบดี แต่พระทักษะนั้นไม่ พอใจพระศิวะ ครั้งหนึ่งพระทักษะได้กล่าวประณามพระศิวะต่อหน้าเหล่าทวยเทพในระหว่าง การประกอบพิธียัญกรรม พระนางสตีทรงอับอาย จึงกระโดดเข้ากองไฟฆ่าตัวตาย เมื่อพระศิวะ ทรงทราบก็พิโรธส่งวีรภัทรเข้าไปทำลายพิธีและตัดเศียรพระทักษะ จากนั้นพระศิวะก็เสด็จ ออกบำเพ็ญเพียรไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครอีกเลย เมื่อพระนางสตีกลับชาติมาเกิดเป็นธิดาท้าวหิมวัต มีนามว่า “ปารวตี” พระนางเป็นสตรีที่งดงามและเฝ้าบูชาพระศิวะเพียงพระองค์เดียว โดยได้ บำเพ็ญเพียรอย่างแรงกล้าไม่ยอมรับประทานอาหารใดๆ แม้แต่ใบไม้ จึงมีอีกพระนามว่า “อปรรณา” จนกระทั่งพระนางเมนกาผู้เป็นมารดาเกรงว่าพระนางจะเสียชีวิต จึงมาอ้อนวอน ให้เลิกการบำเพ็ญเพียรโดยกล่าวว่า “อุ-มา” แปลว่า อย่ากระทำเลย พระนางปารวตีจึงมีอีก พระนามว่า “พระนางอุมา” ภายหลังบำเพ็ญเพียรอย่างหนักพระศิวะก็ทรงยอมรับ พระนางเป็นชายา พระนางปารวตีมีพระนามมากมายทั้งในภาคสวยงามและภาคดุร้าย พระนามที่ สำคัญเช่น เฮมาวตี (Hemavati) ปารวตี อารยา ทักษาณาณีสตีพระนามเหล่านี้ล้วนแสดง ถึงกำเนิดของพระนาง ส่วนพระนามอื่น เช่น ภวนีรุทราณีมฤทาณีแสดงถึงสถานภาพที่เป็น ชายาของพระศิวะ ยังมีพระนามที่แสดงถึงการปราบอสูรทั้งหลาย เช่น กาตยานีทุรคา จันทิกา อัมพิกา เป็นต้น นอกจากนี้ พระนางยังมีอีกพระนามหนึ่งคือ “เคารี” (Gauri) เนื่องจากครั้ง


| สยาม ราชวัตร หนึ่งพระศิวะตรัสเย้าว่าพระนางทรงมีวรรณะสีดำ พระนางจึงเข้าไปบำเพ็ญเพียรทุกกรกิริยา ในป่า จนพระพรหมต้องเสด็จมาประทานพรให้ทรงมีวรรณะสีทอง จึงมีอีกพระนามหนึ่งว่า พระนางเคารี แปลว่า สีทอง แหล่งที่มาภาพ : https://www.hindutsav.com/goddess-parvati/ และ https://scion-origin.fandom.com/wiki/Parvati?file=Parvati.jpg ลักษณะทางกายภาพ ลักษณะทางกายภาพในภาคปกติของพระนางปารวตีหรือพระนางอุมามักพบคู่ กับพระศิวะ หากกรณีที่เป็นรูปเอกเทศ มักเป็นรูปหญิงงาม มีสองกร คือทรงถือหลาวหรือ ทวนและกระจก แต่หากเป็นภาคที่มีสี่กรมักแสดงท่าประทานอภัยและประทานพร นอกจากนี้ก็อาจทรงถือหลาวและสิ่วในพระหัตถ์ที่เหลือ ตามโบสถ์หรือศาสนสถานของ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมีสัญลักษณ์ประจำพระองค์คือโยนีอันเป็นฐานรองศิวลึงก์ นอกจาก ภาคปกติแล้ว ยังพบรูปเคารพของพระนาง อุมาในภาคดุร้ายด้วยโดยเฉพาะภาคสำคัญ 2 ภาค ได้แก่ ภาคนามว่า “ทุรคา” (Durga) และภาคนามว่า “กาลี” (Kali) มีรายละเอียดดังนี้ 1) ภาคทุรคา เป็นที่นิยมบูชากันมากในหมู่นักรบและกษัตริย์มีตำนานเรื่องเล่า จากคัมภีร์สกันทะปุราณะว่า มีอสูรตนหนึ่งนามว่า “ทุรคะ” เป็นบุตรของรุรุ บำเพ็ญเพียรจน ได้รับพรจากพระพรหมให้มีฤทธิ์อำนาจเหนือเทวดา ทุรคะสู้รบกับเหล่าทวยเทพจนสามารถ ยึดครองโลกทั้งสามไว้ได้และใช้อำนาจเปลี่ยนแปลงธรรมชาติตามใจชอบ จนเกิดความ


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | เสียหายใหญ่หลวง บรรดาฤๅษีและเทวดาได้ไปทูลอ้อนวอนขอให้พระศิวะทรงช่วยเหลือ พระ ศิวะจึงทรงขอให้พระนางอุมาเสด็จไปปราบอสูรแทนพระองค์ครั้งแรกพระนางอุมาทรงส่ง นางกาลราตรีทหารเอกไปต่อสู้ แต่สู้ไม่ได้ พระนางอุมาจึงต้องออกไปปราบเองโดยทรงจับ ยักษ์ทุรคะฟาดกับพื้นจนสิ้นชีพ ด้วยเหตุนี้พระนางอุมาจึงทรงได้สมญาใหม่ว่า “ทุรคา” หรือ ผู้ปราบยักษ์ทุรคะมาตั้งแต่ครั้งนั้น คัมภีร์วราหปุราณะเล่าว่า ครั้งหนึ่งพระนางไวษณวีผู้ทรงเป็นศักติของพระวิษณุ ได้บำเพ็ญสมาธิบนเขามันทระ ระหว่างนั้นบังเกิดสตรีรูปงามนามว่า “ทุรคา” ออกจากร่าง ของพระนางเข้าไปอยู่ในมณฑลพิธีเดียวกัน พระฤๅษีนารทะเห็นความงามของพระเทวีจึงนำ ความไปบอกมหิษาสูรผู้เป็นเจ้าแห่งอสูร มหิษาสูรได้ฟังก็หลงรักจึงส่งทูตไปสู่ขอแต่บริวารของ พระนางทุรคาปฏิเสธ ต่อพระฤๅษีนารทะได้เข้าเฝ้าพระนางทุรคาอีกครั้ง และแจ้งว่ามหิษาสูร เป็นผู้มีฤทธิ์อำนาจเหนือเหล่าทวยเทพกำลังจะมาจับตัวพระนาง พระนางทุรคาจึงออกไปสู้รบ กับกองทัพมหิษาสูร ทำลายกองทัพอสูรย่อยยับ นอกจากนี้ในคัมภีร์เล่มนี้ยังให้รายละเอียด เหตุการณ์ตอนประหารมหิษาสูรว่า หลังจากเหล่าเทวดาพ่ายแพ้แก่มหิษาสูร ก็ไปทูลขอความ ช่วยเหลือจากพระวิษณุ พระวิษณุได้ทรงขอให้เทพทั้งหลายเปล่งแสดงแห่งความโกรธออก จากเนตร จนทำให้เกิดภูเขาที่มีรัศมีเจิดจ้า ปรากฏร่างของนางกาตยานี มีสามเนตร สิบแปด กร มีแสงสว่างประดุจพระอาทิตย์นับพันดวง บรรดาเทพต่างมอบศาสตราวุธให้แก่พระนาง เช่น พระศิวะทรงประทานตรีศูล พระวิษณุทรงประทานจักร พระวรุณทรงประทานสังข์ พระอัคนีทรงประทานลูกศร พระอินทร์ทรงประทานวัชระ พระกุเวรทรงประทานกระบอง พระพรหมทรงประทานลูกประคำและหม้อน้ำ พระกาลทรงประทานดาบและโล่ พระวิศวกรรมทรงประทานขวาน พระหิมวัตทรงประทานสิงโต เป็นต้น จากนั้นพระนางกาตยานีก็เสด็จไปยังเขาวินธัย เมื่อพบบริวารของมหิษาสูร เหล่า บริวารได้กลับไปบรรยายความงามของพระนางให้มหิษาสูรฟัง มหิษาสูรจึงยกทัพมาหวังจับ ตัวพระนางเป็นชายา เมื่อไปถึงเขาวินธัย ก็ได้ส่งอสูรฑุนฑุพิ บุตรชายของมายาไปสู่ขอ แต่ พระนางกาตยานีรับสั่งว่า จะยอมแต่งงานกับผู้ที่เอาชนะพระนางได้เท่านั้น มหิษาสูรจึงยกทัพ เข้าสู้รบ การครั้งนี้ พระวิษณุได้ทรงมอบเสื้อเกราะสำหรับใช้ในสงครามแก่พระนางกาตยานี ด้วย เนื่องจากมหิษาสูรได้รับพรจากพระศิวะว่าไม่มีผู้ใดทำอันตรายได้พระนางกาตยานีทรงขี่ สิงห์ ถือวีณาและกลองสองหน้าเพื่อให้จังหวะ ทรงใช้ลูกศรยิงทำลายกองทัพอสูรจนย่อยยับ มหิษาสูรเข้าสู้รบกับพระนาง การรบครั้งนี้ได้ทำให้ยอดภูเขาแตกทลาย เกิดมีฝุ่นควันปกคลุม ไปทั่ว อย่างไรก็ดีอาวุธต่างๆ เหล่านี้มิอาจทำร้ายมหิษาสูรได้ พระนางจึงเสด็จลงจากหลังสิงห์ กระโดดขึ้นไปบนหลังมหิษาสูร แล้วกระทืบลงบนศีรษะจนมหิษาสูรสลบไป จากนั้นพระนางก็ ใช้ดาบตัดศีรษะมหิษาสูรจนสิ้นชีพ (พรหมศักดิ์ เจิมสวัสดิ์, 2523, น. 225-226 อ้างในอรุณ ศักดิ์ กิ่งมณี, 2551, น.193-194)


| สยาม ราชวัตร ส่วนคัมภีร์มารกัพเฑยะปุราณะ กล่างถึงกำเนิดพระนางทุรคาว่า ครั้งหนึ่งมีราชา อสูรนามว่า “มหิษะได้ยกทัพมาสู้กับเหล่าเทวดา เทพทั้งหลายสู้ไม่ได้ จึงไปทูลขอความ ช่วยเหลือจากพระพรหมและพระศิวะ แต่ถูกปฏิเสธ จึงไปเฝ้าพระวิษณุ เมื่อพระวิษณุทรง ทราบเรื่องก็พิโรธ เปล่งแสงแห่งความพิโรธนั้นออกมาเป็นเทวสตรีนามว่า “มหามายา” จากนั้นเหล่าเทวดาก็เปล่งแสงแห่งความพิโรธไปยังร่างของพระนาง จนทำให้ร่างนั้นสว่างไสว เหมือนภูเขาแห่งไฟ จากนั้น พระวิษณุและเทพอื่นๆ ก็ทรงประทานเทพศาสตราวุธต่างๆ ให้ เมื่อพระนางทรงได้เทพศาสตราวุธก็แผดสุรเสียงอันน่าสะพรึงกลัว แล้วเหาะสู่ท้องฟ้าไป ประหารมหิษาสูรในที่สุด รูปเคารพของเทพีทุรคามีวรรณะสีดำ สวมอาภรณ์สีเหลือง ตกแต่งเครื่องประดับ ต่างๆ รวมทั้งกรัณฑมกุฎ พระนางทรงมีสี่หรือแปดกร มีสามเนตร ในภาคที่ทรงมีสี่กร พระหัตถ์ ขวาหน้าทำท่าประทานอภัย พระหัตถ์ขวาหลังทรงถือจักร พระหัตถ์ซ้ายหน้าทำเป็นท่ามุทรา ถือก้านดอกไม้ ส่วนพระหัตถ์ซ้ายหลังทรงถือสังข์พระนางทุรคามักยืนบนแท่นดอกบัว หรือ บนศีรษะอสูรรูปควายหรืออาจประทับบนหลังสิงห์ หากอยู่ในภาคแปดกร อาจทรงถือสังข์ จักร ศูล ธนู ลูกศร ดาบ โล่ และเชือกบาศก์ 2) ภาคกาลี(Kali) เป็นภาคดุร้ายอีกภาคหนึ่งของพระนางปารวตีรูปเคารพที่ ปรากฏมีลักษณะน่าสะพรึงกลัว ทำเป็นรูปเทวสตรีอ้วนล่ำ วรรณะดำ พระพักตร์ดุร้าย พระเกศายาวประบ่า มีสิบกร ทรงถืออาวุธครบทุกพระหัตถ์ มีโลหิตหยดตามพระโอษฐ์และ พระวรกาย มีงูเป็นสร้อยสังวาล รูปเคารพบางรูปยังแลบลิ้น และยืนเหยียบอยู่บนพระอุระ ของพระศิวะซึ่งนอนอยู่บนพื้น กำเนิดพระนางกาลีปรากฏในคัมภีร์ว่า ครั้งหนึ่งมีอสูรชื่อมธุ มีฤทธิ์มาก ได้เบียดเบียนโลกทั้งสาม เหล่าเทวดาไปสู้รบก็พ่ายแพ้กลับมา จึงพากันไปทูลอ้อน วอนพระศิวะให้ทรงช่วยเหลือ พระศิวะทรงขอให้พระนางอุมาเสด็จไปปราบอสูรตนนี้แทน พระองค์พระนางอุมาทรงเนรมิตพระวรกายสูงใหญ่น่าสะพรึงกลัว เสด็จไปสู้รบกับอสูรมธุ แต่เนื่องจากอสูรมธุได้รับพรจากพระพรหมให้เป็นอมตะ และหากมีโลหิตถึงพื้นก็จะเกิดเป็น ร่างใหม่เพิ่มขึ้น พระนางกาลีสู้รบกับอสูรมธุอย่างดุเดือด แต่ไม่สามารถปราบอสูรมธุได้ ทั้งยัง มีร่างใหม่เพิ่มขึ้นมากมาย พระนางจึงทรงอ้าพระโอษฐ์รองรับโลหิตมิให้ตกถึงพื้น ด้วยเหตุ ดังกล่าว อสูรมธุจึงสิ้นฤทธิ์ และถูกพระนางสังหารในที่สุด เมื่อพระนางกาลีประหารอสูรมธุ สำเร็จก็ทรงดีพระทัย กระโดดกระทืบพื้นโลกจนเหล่าเทวดาเกรงว่าโลกจะแตกสลาย จึงทูล อ้อนวอนขอให้พระศิวะทรงช่วย พระศิวะจึงนอนลงบนพื้นโลก เพื่อให้พระนางกาลีกระทืบ บนพระอุระของพระองค์แทน เมื่อพระนางกาลีทรงทอดพระเนตรเห็นพระสวามีนอนอยู่เบื้อง ล่าง จึงยุติการกระทืบพระบาท (พรหมศักดิ์ เจิมสวัสดิ์, 2523, น. 269-270 อ้างในอรุณศักดิ์ กิ่งมณี, 2551, น. 196) เทวตำนานบางเล่มเล่าถึงเทวนารีในภาคดุร้ายของพระนางปารวตีว่า ครั้งหนึ่งอสูรสองตนคือ ศุมภะและนิศุมภะ ได้เข้ารุกรานโลกสวรรค์เหล่าเทวดาพากันไปทูล


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | ขอให้พระหิมวัตทรงช่วยเหลือ ขณะนั้นพระนางปารวตีกำลังทรงสรงน้ำจากแม่น้ำคงคา เมื่อได้ยินเสียงสวดอ้อนวอนจากเหล่าเทวดา ก็บังเกิดเป็นเทวนารีนามว่า “เกาสีขี” ออกมา จากพระวรกายของพระนาง เมื่อจันทะและมุนทะผู้เป็นบริวารของศุมภะและนิศุมภะเห็นเข้า ก็นำความงามของพระนางไปพรรณนาให้อสูรทั้งสองฟัง เมื่อได้ฟังก็คลั่งไคล้ จึงสั่งให้ทูตนามว่า “สุครีวะ” ไปแจ้งแก่พระนางว่าอสูรทั้งสองเป็นเจ้าแห่งโลกทั้งสามปรารถนาจะได้พระนางมา เป็นชายา พระนางเกาสิขีตอบว่า จะยอมเข้าพิธีสยุมพรกับผู้ที่เอาชนะพระนางได้เท่านั้น ศุมภะจึงส่งแม่ทัพไปต่อสู้ แต่ก็ถูกลูกศรของพระนางจนกลายเป็นเถ้าถ่าน ขณะที่สิงห์พาหนะ ของพระนางก็กระโดดเข้าขย้ำกองทัพอสูรจนแตกย่อยยับ อสูรศุมภะเมื่อทราบดังนั้น จึงส่งให้จันทะและมุนทะไปจับตัวพระนางเกาสิขี มาให้ได้ อสูรบริวารทั้งสองพยายามจับตัวพระนางขณะประทับบนหลังสิงห์ ณ ยอดเขา หิมาลัย ทว่าเมื่อพระนางทอดพระเนตรเห็นอสูรทั้งสอง ก็เปล่งเสียงร้องดังกึกก้อง พระวรกาย เปลี่ยนเป็นสีดำเหมือนหมึก มีพระพักตร์ดุร้ายนามว่า “กาลี” พระนางกาลีซึ่งทรงมีพระวรกาย ผอมบาง พระโอษฐ์กว้าง มีพระชิวหาแลบออกมา ดวงพระเนตรแดงฉานน่าสะพรึงกลัว ได้ทะยานตรงเข้าใช้พระทนต์กัดทำลายรถม้า และบรรดาศาตราวุธของกองทัพอสูรจนย่อยยับ ในที่สุดอสูรจัณฑะและมุณฑะก็ถูกพระนางกาลีตัดศีรษะ อย่างไรก็ตามอสูรศุมภะก็ยังไม่ยอม แพ้ ส่งกองทัพอสูรและกุมภัณฑ์จำนวนมากเข้าสู้รบอีกครั้ง ทางฝ่ายพระนางกาลีก็ทรงได้ กำลังพลจากบรรดาศักติของเหล่าทวยเทพมาร่วมรบ ในระหว่างการสู้รบ “รักตะบิชา” หัวหน้าอสูรซึ่งได้รับพรว่า หากมีโลหิตตกถึงพื้นดินก็จะกำเนิดร่างใหม่ขึ้นมาอีกได้เข้ามาเป็น ผู้นำทัพอสูร พระนางกาลีจึงใช้พระโอษฐ์รองรับโลหิตของรักตะบิชาไม่ให้ตกถึงพื้น ในที่สุด อสูรรักตะบิชาก็สิ้นชีพ เมื่อการณ์เป็นเช่นนั้น อสูรศุมภะและนิศุมภะจึงยกทัพมาด้วยตนเอง การสู้รบครั้งนี้ดำเนินไปอย่างดุเดือดในที่สุดเจ้าแห่งอสูรทั้งสองก็ถูกพระนางกาลีสังหาร (Shakti M. Gupta, 1979, pp. 106-114 อ้างในอรุณศักดิ์ กิ่งมณี, 2551, น. 198-199)


| สยาม ราชวัตร แหล่งที่มาภาพ : http://kaliaarti.blogspot.com พาหนะของพระปารวตี พาหนะประจำของพระองค์ คือเสือและสิงโต ในงานเขียนรูปบูชาของอินเดีย มักจะวาดภาพปางพระแม่อุมาให้ทรงพาหนะเป็นเสือและวาดภาพปางพระแม่ทุรคาให้ทรงพาหนะ เป็นสิงโต ถ้าหากรูปภาพนั้นไม่ได้ทรงพาหนะใดๆ ให้สังเกตภาพวาดที่พระกร และพระหัตถ์ จะทรงศาสตราวุธที่แตกต่างกัน พระแม่อุมามักจะมีพระกร 4-8 พระกร หากปรากฏคู่กับพระศิวะ มักจะวาดภาพเป็นปางพระแม่ปารวตีไม่ค่อยมีศาสตราวุธ และจะเป็นลักษณะประทานพร หรืออุ้มพระพิฆเนศและพระขันทกุมารไว้ส่วนพระแม่ทุรคามักจะมีพระกรมากกว่า 8-16 ขั้น ไป และทรงศาสตราวุธครบถ้วน นอกจากนี้มักจะมีอสูรชื่อว่า “มหิษาสูร” อยู่ในรูปวาดด้วย โดยมหิษาสูรจะถูกพระแม่ทุรคาใช้ตรีศูลหรือดาบแทงอีกทั้งจิตรกรจะไม่นิยมวาดให้พระแม่ทุรคา คู่กับพระศิวะในปางนี้


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | แหล่งที่มาภาพ : https://pantip.com/topic/35163137 วิมานที่อยู่ของพระปารวตี พระนางปารวตี ประทับอยู่วิมานร่วมกับพระศิวะในฐานะเป็นชายาของพระศิวะ ณ เขาไกรลาส ป่าหิมพานต์ซึ่งชาวฮินดูมีความเชื่อกันว่า ตั้งอยู่บนยอดเทือกเขาหิมาลัย ซึ่ง บริเวณแถบนี้เป็นพื้นที่ปกคลุมด้วยหิมะมีความหนาวเย็น ความเชื่อและการบูชา ผู้ที่บูชาพระแม่ปารวตีหรือพระแม่อุมาเทวีหรือพระแม่กาลีหรือพระแม่ทุรคา มีความเชื่อว่า พระองค์ในภาคพระแม่ปารวตีและพระแม่อุมาเทวีเป็นตัวแทนแห่งความ มีอำนาจบารมีและวาสนาอันสูงสุด พระองค์ในภาคพระแม่กาลีจะเป็นตัวแทนแห่งการทำลาย อุปสรรคขจัดศัตรูส่วนพระองค์ในภาคพระแม่ทุรคาเป็นตัวแทนแห่งพละกำลังและการสู้รบ ไม่ว่าจะบูชาในภาคหรือปางใดของพระองค์หากผู้บูชาหมั่นบูชาพระองค์อย่างสม่ำเสมอ พระองค์จะประทานพรคือยศถาบรรดาศักดิ์และความเป็นใหญ่ให้แก่ผู้นั้น พระองค์ประทาน กำลังวังชาแห่งความเป็นหญิง ประทานชัยชนะเหนือผู้ร้าย ทำลายสิ่งชั่วร้ายเลวทราม อีกทั้ง ช่วยประทานบริวารมากมายและอำนาจในการปกครอง สำหรับผู้ครองเรือนพระองค์


| สยาม ราชวัตร ทรงประทานพรด้านความสมบูรณ์หรือความผาสุกในการครองเรือน ทำให้ครอบครัวเปี่ยมสุข และปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง แท่นบูชาสำหรับพระแม่ปารวตีหรือพระแม่อุมาเทวี ควรปูด้วย ผ้าสีขาว สีทอง สีแดง สีเงิน ดอกไม้ที่พระองค์โปรด คือ ดอกไม้ที่มี สีเหลือง และ สีแดง โดยเฉพาะ ดอก ดาวเรือง ดอกกล้วยไม้ ดอกกุหลาบ ควรมี ธูปหอม หรือ กำยาน ไว้จุดเพื่อถวายกลิ่นหอมด้วย และสามารถใช้ เตาน้ำมันหอม เติมน้ำมันหอมระเหยแล้วจุดเพื่อถวายกลิ่นหอมได้เช่นกัน เทศกาลสำคัญแห่งการบูชาพระแม่อุมาเทวี คือ เทศกาลนวราตรี ตรงกับวันขึ้น 1-9 ค่ำ เดือน 11 จะมีการประกอบพิธีกรรมบูชาพระแม่อุมาเทวีในอวตารต่างๆ โดยเฉพาะ ในประเทศอินเดียจะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ไม่แพ้เทศกาลคเณศจตุรถี มีการถวายเครื่องสังเวย อย่างอลังการ สรงน้ำองค์เทวรูป สวดมนต์บูชาตลอดวันตลอดคืน มีการแห่องค์เทวรูป พระแม่อุมาไปรอบโบสถ์และรอบเมือง ผู้บูชาจะต้องรับประทานอาหารมังสวิรัติ ผู้เคร่งครัด การบำเพ็ญจะถือศีลอดตลอดระยะเวลา 9 วัน อาหารที่ถวาย ควรเป็นขนมที่มีรสชาติมัน ปราศจากเนื้อสัตว์ และไม่มีกลิ่นหอม แรงเกินไป สามารถนำขนมโมทกะ หรือขนมลาดู มาถวายก็ได้เช่นกัน ตลอดจนผลไม้ และ ธัญพืชทุกชนิด คาถาบูชาพระองค์มีหลายบท ให้เลือกสวดบทใดบทหนึ่ง เช่น โอม ไจ มาตา ดี (สามจบ) โอม ชยะ ศรี ปารวตี มาตา (สามจบ) โอม ศรี มหา อุมาเทวะไย นะมะห์ (สามจบ) เป็นต้น 4.5 เทพเจ้าองค์อื่นๆ สำหรับเทพเจ้าองค์อื่นๆ ในศาสนาพราหมณ์ฮินดูมีจำนวนมาก ที่นอกเหนือไปจาก มหาเทพและมหาเทวีในเล่มนี้ผู้เขียนจะขอนำเทพเจ้า 2 องค์เท่านั้นที่มีความสัมพันธ์กับ มหาเทพและมหาเทวี มาแสดงให้ทราบประวัติตำนาน กล่าวคือ พระขันทกุมาร และพระพิฆเนศ โดยมีรายละเอียดดังนี้ 4.5.1 พระขันทกุมาร (kandakumara) : เทพเจ้าแห่งชัยชนะและสงคราม (God of Victory and War) พระสกันทกุมาร (Skandakumara) หรือพระขันทกุมาร หรือพระขันธกุมาร ในงานเขียนนี้จะใช้คำว่าพระขันทกุมาร พระองค์เป็นมหาเทพที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพระพิฆเนศ กล่าวคือเป็นพี่ชายของพระพิฆเนศ มีชายานามว่า นางเทวเสนา หรือ นางเกามารี และนาง วัลลี ตามรูปทั่วไปมักจะปรากฏว่ามีชายาทั้งสองนางยืนเคียงข้าง ในประเทศอินเดียจะเรียก


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | พระขันทกุมารว่า “สกันทะ” หรือแปลว่า ผู้ทำลาย หรือผู้โลดเต้น บางครั้ง อาจเรียกว่า “กรรติเกยะ” (Kartikeya) บางแห่งเขียนว่า “การัตติเกยะ” ส่วนทางอินเดียตอนใต้ จะเรียก กันว่า “สุพราหมัณเย” ตามหมู่บ้านต่างๆในประเทศอินเดีย พระขันทกุมารจะเป็นที่เคารพ นับถือมาก โดยมักจะเห็นได้ว่า แทบทุกหมู่บ้านจะนิยมตั้งศาลเพื่อสักการะบูชาพระขันทกุมาร แหล่งที่มาภาพ : https://www.pinterest.com ตามตำนานเล่าไว้ว่า พระขันทกุมาร เป็นโอรสระหว่าง พระศิวะเทพ และ พระนางปาราวตี (พระแม่อุมา) พระองค์ประสูติจากน้ำเชื้อของพระศิวะมหาเทพที่ร่วงหล่นลง มาสู่พื้นธรณี ทำให้ยากที่จะพิสูจน์ว่า ระหว่างพระพิฆเนศและพระขันธกุมาร ใครเป็นพี่หรือ ใครเป็นน้อง แต่โดยทั่วไปรับรู้กันว่า พระขันทกุมารเป็นพี่ชายของพระพิฆเนศ สำหรับประวัติเทวกำเนิดของ พระขันทกุมาร นั้น ไม่ซับซ้อนเหมือนเทพเจ้าองค์อื่นๆ


| สยาม ราชวัตร กล่าวกันไว้ว่า พระขันทกุมารเป็นหนุ่มรูปงามที่มี 6 พักตร์ (แม้ว่าบางแห่งวาดเป็นพระพักตร์เดียว) และมี 12 กร ส่วนผิวพรรณนั้นงดงามราวกับดวงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ แต่รูปร่างสง่างามดุจ พระสุริยะเทพ พระขันทกุมารเกิดมาเพื่อปราบอสูรที่ชื่อ ตาระกาสูร ซึ่งเป็นกษัตริย์แห่งแคว้น ตรีปุระ อสูรตนนี้มีความร้ายกาจเนื่องจากมีตบะที่แรงกล้า เพราะได้ทำสมาธิอย่างเข้มงวดมา เป็นเวลายาวนานกว่า 100 ปีสวรรค์และสามารถบำเพ็ญฌานบารมีจนร้อนไปถึงพรหมโลก อีกทั้งยังไม่เกรงกลัวพระบารมีของพระพรหม เพราะคิดว่าตนเองก็เป็นหนึ่งเช่นกัน ซึ่งเป็น เหตุให้จักรวาลโกลาหลอลหม่านไปทั่ว การบำเพ็ญฌานบารมีของตาระกาสูรนั้น ทำให้พระพรหมอดทนไม่ได้ จึงต้องรีบ เสด็จมาหาอสูรเพื่อประทานพรตามขอ พรที่อสูรตนนี้ขอแก่พระพรหม ก็คือ ขอให้ตนมีชีวิต เป็นอมตะ แข็งแกร่งจนไม่มีผู้ใดในตรีภพต้านทานได้ อีกทั้งต้องไม่มีใครสามารถสังหารเขาได้ นอกเสียจากโอรสของพระศิวะเทพ ซึ่งเหตุผลที่ขอพรไปเช่นนี้ก็เพราะล่วงรู้ความลับมาว่า พระศิวะกับพระแม่อุมาเทวียังไม่มีโอรสด้วยกัน หลังจากที่ตาระกาสูรได้รับพรจากพระพรหมแล้ว ก็เริ่มทำตัวอันธพาลโดยการ ออกอาละวาดไปทั่วจักรวาลทันทีเริ่มต้นจากการยึดวิมาน และกวาดทรัพย์สินของพระอินทร์ ไปเสียจนหมด อีกทั้งยังบังคับให้พระฤๅษีมอบโคกามเกนุ ซึ่งเป็นโคที่สามารถบันดาลทุกสิ่งทุก อย่างแก่เจ้าของได้ทั้งหมด รวมไปถึงการเปลี่ยนกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติเช่น บังคับให้ พระอาทิตย์ไร้แสงและไร้ความร้อน บังคับให้พระจันทร์ไม่มีวันหายไป หรือบังคับให้เกิดพายุ พัดโหมกระหน่ำและเปลี่ยนทิศตามคำสั่งของตน ซึ่งทุกๆการกระทำยังผลให้โลกเกิดความ วุ่นวายเดือดร้อนเป็นอย่างมาก กล่าวถึงฝ่ายเทวดาทั้งหลายอันมี พระวิษณุเทพและเหล่าเทวดาได้เสด็จไปเข้า เฝ้าพระศิวะเทพที่พระทวารประทับชั้นใน และพร้อมกันเปล่งเสียงเพื่อสรรเสริญในพระบารมี แห่งมหาเทวะ คราวนั้นถึงกับทำให้พระศิวะต้องทรงผละพระวรกายปรากฏกายต่อเบื้องหน้า เทพทั้งหลาย เมื่อพระองค์ทรงเห็นใบหน้าอันแสนเศร้าหมองของเทวดา จึงได้ไต่ถามว่ามี เหตุการณ์ใดเกิดขึ้น ฝ่ายวิษณุเทพผู้เป็นใหญ่ที่สุดจึงได้เล่าเรื่องราวของอสูรตาระกาที่ได้รับพรจาก พระพรหมให้มีชีวิตอมตะ และมีอำนาจเหนือใคร มีเพียงโอรสของพระศิวะเท่านั้นที่จะ สามารถสังหารอสูรตัวนี้ได้ฝ่ายเทพทั้งหลายจึงตั้งหน้าตั้งตารอการประสูติของโอรสแห่ง พระศิวะอยู่นานนับพันปี และได้มาเข้าเฝ้าเพื่อขอพึ่งบารมีของพระศิวะเทพ เมื่อได้ฟังดังนั้น พระศิวะมหาเทพ ก็ได้ทรงแบ่งน้ำเชื้อที่มีความร้อนเหมือนไฟแห่ง การทำลายล้างออกมาหนึ่งหยด และปล่อยร่วงลงสู่พื้นดิน แต่ด้วยความรีบร้อน พระอัคนีจึงได้ รีบแปลงกายเป็นนกเขา แล้วกลืนเอาน้ำเชื้อนั้นเข้าไป ด้วยความร้อนแรงแห่งน้ำเชื้อจนแทบทน ไม่ได้ ทำให้พระอัคนีเกิดอาการร้อนรน พระศิวะจึงบอกให้ปล่อยน้ำเชื้อไปฝากไว้ในครรภ์ของ


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | ผู้หญิง แต่ต้องใส่ในครรภ์ของผู้หญิงที่ได้อาบน้ำในวันแรกของเช้าตรู่เดือนมาฆะเท่านั้น ในวันนั้น ได้มีภริยาของฤๅษีทั้ง 7 ตนมาอาบน้ำพอดี ปรากฏว่าภริยาทั้ง 6 คน ของฤๅษีที่ลงอาบน้ำ ได้ถูกน้ำเชื้อที่นกเขาคายไว้ แทรกซึมเข้าสู่ร่างกายไปตามรูขุมขน จนทำ ให้นางทั้งหกรู้สึกร้อนรนและทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก และได้ถูกเหล่าฤๅษีขับไล่ออกไปจาก อาศรม จากนั้นจึงทำลายน้ำเชื้อตัวอ่อนทิ้ง แต่ด้วยอิทธิฤทธิ์แห่งโยคะที่เทือกเขาหิมาลัย เพื่อ จะได้หลุดพ้นจากความทรมาน โดยการเหวี่ยงตัวอ่อนลงไปที่แม่น้ำคงคา เช่นเดียวกันพระแม่คงคา ได้เหวี่ยงเอาตัวอ่อนนี้ขึ้นไปที่พงหญ้า การกระทำเช่นนี้เปรียบเสมือนการชุบตัวจากแม่น้ำ ศักดิ์สิทธิ์ จึงได้ปรากฏเป็นเด็กทารกน้อยขึ้นมาที่พงหญ้านั้น เมื่อโอรสแห่งพระศิวะเทพได้ถือกำเนิด พระพรหมก็ทรงรับรู้ได้ด้วยญาณ และ ให้พระฤๅษีวิศวามิตรเดินทางไปประกอบพิธีให้แก่โอรสน้อยแห่งศิวะเทพ ทารกคนนี้มีความ พิเศษ สามารถพูดได้ตั้งแต่ยังแบเบาะว่า “ด้วยประสงค์ของพระศิวะเทพที่ส่งท่านมายังที่นี้ ขอให้ท่านฤๅษีจงประกอบพิธีทางศาสนาเพื่อชำระร่างกายของข้า ให้บริสุทธิ์ตามกฎแห่ง พระเวทที่วางไว้เถิด” กล่าวถึงฝ่ายพระอัคนีที่สมัยเคยจำแลงกายเป็นนกเขาและอุ้มน้ำเชื้อไว้ ก็ได้ เดินทางตามมาด้วย และได้ถวายคฑาศักดิ์สิทธิ์ให้กับพระองค์ เมื่อทารกได้รับอาวุธ พระขันทกุมาร ก็เหาะขึ้นไปบนยอดเขาแห่งหนึ่งทันที เพื่อเป็นการพิสูจน์ถึงพลังอำนาจแห่งตน จากนั้นก็ใช้ คฑาฟาดฟันจนภูเขาถล่มทลายลงในทันตา และเมื่อยอดเขาแยกออก ก็ได้ปรากฏกายปีศาจ 10 โกฏิตนออกจำนวนมาก แต่พระองค์ก็สังหารจนหมดสิ้น เมื่อนางกฤตติกา (กลุ่มดาวทั้ง 6 ดวง) ได้ลงมาอาบน้ำ แล้วแลเห็นกอหญ้ามี กุมารน้อยนอนอยู่ จึงนำเอากุมารไปเลี้ยงดูด้วยความรักใคร่ และเมื่อกลับมาถึงดินแดนของ นางทั้งหก กุมารจึงได้แยกร่างออกเป็น 6 พระองค์ เพื่อไม่ให้แม่นมทั้ง 6 เกิดความน้อยเนื้อ ต่ำใจ ซึ่งบางตำนานอาจบอกว่ามีถึง 6 พระพักตร์ในร่างเดียว แต่ด้วยเหตุที่เป็นลูกที่รักยิ่งของ นางการัตตี พระองค์จึงได้รับนามว่า พระการัตตีเกยะ (Kaitikeya) ในขณะเดียวกันนั้นเอง ได้เกิดเหตุแปลกประหลาดขึ้นกับพระนางปารวตี (พระแม่อุมาเทวี) กล่าวคือเต้านมทั้งสองข้างมีน้ำนมไหลออกมา นางจึงได้ถามความกับ พระศิวะ และทราบเรื่องน้ำเชื้อที่หล่นบนผืนดิน ซึ่งส่งผลให้นางมีน้ำนมไหลอยู่เช่นนี้ เมื่อรับรู้ แล้วว่าโอรสถือกำเนิดแล้ว แต่กลับไม่รู้ว่าอยู่แห่งหนใด พระศิวะจึงมีคำสั่งให้ผู้ใดที่ครอบครอง กุมารอยู่ รีบเอามาคืนโดยด่วน มิฉะนั้นจะได้รับโทษอย่างหนัก พระศิวะเทพและพระอุมาเทวี เริ่มไต่ถามความจริงจากหมู่เทพ โดยเริ่มถามจาก พระพรหม และไล่เรียงไปจนมาถึงกลุ่มดาวทั้งหก ซึ่งในที่สุดก็ได้รู้ความจริง พระศิวะเทพยินดี เป็นอย่างมาก ที่นางทั้งหกได้รับโอรสของพระองค์ไปดูแลเป็นอย่างดี จึงได้ส่งคณะเทพบริวาร ไปทูลเชิญกุมารให้กลับยังเขาไกรลาส ในวันเสด็จกลับนั้น พระนางปาราวตีได้จัดส่งราชรถที่สร้างโดยพระวิศวกรรมไป


| สยาม ราชวัตร รับ พระโอรสจึงเสด็จกลับมาพร้อมกับพระแม่กฤตติกาและ นนทิเกศวร และเมื่อราชรถมาถึง เขา ณ เขาไกรลาส เทพเทวดาทุกชั้นฟ้าก็เสด็จมาอำนวยชัย ต้อนรับกันอย่างเอิกเกริก ด้วยการประโคมดนตรีเป่าสังข์ และมีการนำเอาหม้อน้ำหลายร้อยใบที่บรรจุแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ มาชำระล้างร่างกายให้แก่กุมาร ลักษณะทางกายภาพ ลักษณะทางกายภาพของพระขันทกุมาร พระองค์ทรงมีลักษณะเป็นบุรุษหนุ่ม หรือกุมาร ทรงมี 6 เศียร 12 กร วรรณะสีทอง ทรงถือหอกเป็นอาวุธ และทรงนกยูงเป็น เทพพาหนะ นักวิชาการเชื่อกันว่า พระขันทกุมารน่าจะมีต้นเค้ามาจากคตินับถือพระสุริยะใน สมัยดั้งเดิม และเปลี่ยนแปลงเป็นเทพชั้นรองในภายหลัง ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าลักษณะของ พระองค์จึงมีความเกี่ยวพันกับสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์ โดยอาจแปลความได้ว่า เศียรทั้ง 6 หมายถึงฤดูกาลทั้ง 6 ของอินเดีย กรทั้ง 12 หมายถึงเดือนทั้ง 12 เดือน หอก หมายถึง รัศมี หรือความรุ่งโรจน์ พาหนะของพระขันทกุมาร พระขันทกุมารมีพาหนะเป็นนกยูงที่เคยเป็นยักษ์ปัทมอสูร นามว่า “ปรวาณี” ประวัตินกยูงมีเรื่องเล่าว่า เมื่อครั้งเทวดาและอสูรทำสงครามกัน ปัทมอสูรชนะพวกเทวดา จับพระอินทร์ พระวรุณ พระอัคนี พระวายุ และเทวดาองค์อื่นๆ ได้ พวกเทวดาจึงพากันไป ขอให้พระพรหมช่วย พระพรหมก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร จึงพากันไปเฝ้าพระนารายณ์ พระนารายณ์จึงแนะนำว่าพระอิศวรคงจะช่วยได้พวกเทวดาจึงไปเฝ้าพระอิศวรขอให้ช่วย ปราบปัทมอสูรให้ พระอิศวรส่งกรรติเกยะโอรสของพระองค์ไปช่วย เพราะมีหอกวิเศษที่ พระวิศวกรรมมอบให้ไว้ เมื่อพระกรรติเกยะได้รับบัญชาแล้วก็ตรงไปเมืองลังกา พระกรรติเกยะ พุ่งหอกเข้าใส่ปัทมอสูรจนสิ้นฤทธิ์ ร้องขอชีวิต พระกรรติเกยะก็ทรงเมตตา แต่จะไม่ให้เป็น อสูรเหมือนอย่างเดิม พระกรรติเกยะจึงเปลี่ยนร่างอสูรให้กลายเป็นนกยูงเอาไว้ใช้เป็นพาหนะ ของพระองค์ หลังจากปราบปัทมอสูรแล้ว พระกรรติเกยะได้พบกับเจ้าหญิงวัลลีซึ่งเป็นชาว ลังกา และได้แต่งงานกันในที่สุด ได้อาศัยอยู่ตรงที่พบกัน ณ ริมฝั่งแม่น้ำมานิก ซึ่งต่อมาได้ชื่อ ว่ากรรติเกยะคาม (สุรศักดิ์ ทอง, 2553, น. 116-117) อาวุธของพระขันทกุมาร พระขันทกุมาร มีอาวุธประจำคือ หอกที่พระวิศวกรรมสร้างจากผิวกายของพระอาทิตย์ มอบให้พระหัตถ์ซ้ายถือธนูพระหัตถ์ขวาถือศร นอกจากนี้ยังมี วชิระขรรค์ และตรีศูล


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | ความเชื่อและการบูชา พระขันทกุมารเป็นที่นิยมบูชามากในชาวฮินดูในแถบอินเดียใต้, ศรีลังกา, มาเลเซีย และสิงคโปร์ผู้ที่บูชาพระขันทกุมารมีความเชื่อว่า พระองค์เป็นมหาเทพนักรบแห่ง สวรรค์เป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม เป็นหัวหน้าภูตผีปีศาจ พระองค์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น แม่ทัพแห่งกองทัพสวรรค์ เพื่อปกป้องสวรรค์จากการรังควาญของเหล่าอสูรร้าย เนื่องจากพระองค์คือเทพแห่งสงครามและการต่อสู้ ผู้บูชาพระขันทกุมารทุกคน จึงได้รับความคุ้มครองจากพระองค์พระองค์จะประทานความกล้าหาญชาญชัย ความเป็น ผู้นำผู้อื่น ความมีศักดิ์ศรีในสังคม นอกจากพระขันทกุมารจะประทาน ความคุ้มครอง แล้ว ยัง ประทาน กำลังกาย กำลังใจ ในการกระทำการต่างๆให้ลุล่วงพระองค์ไม่โปรดความอ่อนแอ ขี้ขลาด ลังเลใจ รวมถึงความอิจฉาริษยา พระขันทกุมารคือตัวแทนแห่งความองอาจ คล่องแคล่วว่องไว ความยุติธรรม และการเรียกร้องความถูกต้องการจะได้มาซึ่งชัยชนะของพระขันทกุมารคือการโหมพละกำลัง เข้าต่อสู้กับอสูร มีความกล้าได้กล้าเสียพระขันทกุมารมีอิทธิฤทธิ์มหาศาล พละกำลังที่ พระองค์ใช้ปราบอสูรนั้นเปรียบดั่งพละกำลังของพระศิวะและพระแม่ทุรคารวมกัน ผู้บูชาพระขันทกุมารจะได้รับกำลังใจในการต่อกรกับปัญหาต่างๆ รวมถึงการ ได้รับความยุติธรรม พ้นจากการถูกเอาเปรียบกลั่นแกล้ง พระองค์ยึดมั่นในเกียรติยศศักดิ์ศรี ยิ่งกว่าสิ่งใด ทำให้กษัตริย์ มหาราชา ผู้ครองแคว้นต่างๆ ตลอดจนนักการเมือง นิยมบูชา พระขันทกุมาร พระองค์ ปรากฏทิพยรูปในลักษณะของเด็กหนุ่มรูปงาม พระพักตร์ผ่องใส สดชื่น แสดงถึงพลังแห่งชายหนุ่มผู้ไม่หวาดหวั่นกับสิ่งใด ฉลองพระองค์ในชุดขุนศึกสมัยโบราณ ภาพวาดบางภาพมีเสื้อเกราะ หอกศักติหอกรูปดอกบัวตูม เป็นหอกแห่งขุนศึก ประคำหลากสี คาถาบูชาพระขันทกุมารมีหลายบทผู้บูชาสามารถเลือกสวดบทใดบทหนึ่ง หรือ สวดทั้งหมดก็ได้ เช่น โอม สกัณทายะ นะมะห์ (สามจบ) โอม การติเกยะ นะมะห์ (สามจบ) โอม สุพรหมมัณยะ นะมะห์ (สามจบ) หรือโอม ตัตตะปุรุษายะ วิทมะเห มหาเสนายะ ธีมะหิ ตันโน สะกันทะ ประโจทะยาต (หนึ่งจบ) 4.5.2 พระพิฆเนศ (Ganesha) : เทพเจ้าแห่งการเริ่มต้นใหม่, สติปัญญา, ความโชคดี และขจัดอุปสรรค (God of New Beginnings, Wisdom, Luck, Remover of Obstacles) พระคเณศ (Ganesha) หรือพระพิฆเนศ เป็นเทพเจ้าแห่งการเริ่มต้นใหม่, สติปัญญา, ความโชคดี และขจัดอุปสรรค ชาวไทยนิยมเรียกว่า “พระพิฆเนศ” ในงานเขียนนี้ ผู้เขียนจะใช้คำว่า “พระพิฆเนศ” นี้พระองค์มีพระนามอื่นอีกมากมายที่นิยมเรียกขานกัน


| สยาม ราชวัตร เช่น “พระคณปติ” (Ganapati, Ganpati) และ “พระวิฆเนศวร” หรือ “พระวิฆเนศ” (Vighneshwara) โดยทั่วไปแล้วมักพบการนำคำว่า “ศรี” ไว้นำหน้าพระนามด้วย เช่น “พระศรีฆเนศวร” (Sri Ganeshwara) ทรงเป็นหนึ่งในเทพเจ้าฮินดูที่ได้รับการเคารพบูชา อย่างแพร่หลายที่สุด มีการเคารพบูชาอย่างแพร่หลายทั้งในอินเดีย, เนปาล, ศรีลังกา, ฟิจิ, ไทย, อินโดนีเซีย, บังคลาเทศ นิกายในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูทุกนิกายล้วนเคารพบูชาพระพิฆเนศ เป็นเบื้องต้นของพิธีกรรม ตามประวัติและตำนานพระพิฆเนศน่าจะปรากฏขึ้นเป็นเทพเจ้าครั้งแรกในราว คริสต์ศตวรรษที่ 2 ส่วนหลักฐานยืนยันว่ามีการบูชากันต้องย้อนกลับไปเมื่อราวคริสต์ศตวรรษ ที่ 4-5 สมัยอาณาจักรคุปตะ ถึงแม้พระลักษณะจะพัฒนามาจากเทพเจ้าในสมัยพระเวทและ ยุคก่อนพระเวท เทพปกรณัมฮินดูระบุว่าพระพิฆเนศทรงเป็นพระบุตรของพระศิวะ และ พระนางปารวตี พระองค์ได้รับการบูชากันอย่างแพร่หลายในทุกนิกายและวัฒนธรรมท้องถิ่น ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูพระพิฆเนศทรงเป็นเทพเจ้าสูงสุดในนิกายคาณปัตยะ คัมภีร์หลักของ พระพิฆเนศเช่น คเณศปุราณะ, มุทคลปุราณะ และ คณปติอฐารวศีรสะ นอกจากนี้ยังมีสารานุกรม ปุราณะอีกสองเล่มที่กล่าวเกี่ยวกับพระคเณศ คือ พรหมปุราณะ และ พรหมันทปุราณะ เรื่องเล่าเกี่ยวกับพระพิฆเนศ มีตำนานเล่ากันว่าพระศิวะเสด็จไปบำเพ็ญสมาธิ เป็นระยะเวลานานอยู่นั้น พระปารวตีต้องประทับอยู่พระองค์เดียวเลยเกิดความเหงา และมี พระประสงค์จะมีผู้มาคอยดูแลพระองค์ยามอยู่คนเดียว และป้องกันคนภายนอกที่จะเข้ามา ก่อความวุ่นวายในพระตำหนัก จึงทรงเสกเด็กคนหนึ่งขึ้นมาเพื่อเป็นพระโอรสที่จะเป็นเพื่อน ในยามที่พระศิวะเสด็จออกไปตามพระกิจต่างๆ มีอยู่คราวหนึ่ง เมื่อพระนางทรงเข้าไปสรงน้ำ ในพระตำหนักด้านในนั้น พระศิวะเสด็จกลับมาและเมื่อจะเสด็จเข้าไปด้านใน ก็ทรงถูกเด็ก หนุ่มห้ามไม่ให้เข้า เนื่องจากมิทรงทราบว่าเป็นใครและในลักษณะเดียวกัน พระศิวะก็มิทรง ทราบว่าเด็กน้อยนั้นเป็นพระโอรสที่พระปารวตีทรงเสกขึ้นมา เมื่อพระองค์ทรงถูกขัดพระทัย ก็ทรงพิโรธและทรงตวาดให้เด็กน้อยนั้นหลีกทางให้ พลางถามว่ารู้ไหมว่ากำลังห้ามใครอยู่ ฝ่ายเด็กน้อยนั้นก็ตอบกลับว่าไม่จำเป็นที่จะต้องรู้ว่าเป็นใคร เพราะตนกำลังทำตาม พระบัญชาของพระปารวตี และทั้งสองก็ได้ทำการต่อสู้กันอย่างรุนแรงจนเทพทั่วทั้งสวรรค์ เกิดความวิตกในความหายนะที่จะตามมา และในที่สุดเด็กหนุ่มนั้นก็ถูกตรีศูลของพระศิวะ จนสิ้นใจ และศีรษะก็ถูกตัดหายไป ในขณะนั้นเอง พระปารวตีเมื่อทรงได้ยินเสียงดังกึกก้องไปทั่วจักรวาลก็เสด็จ ออกมาด้านนอก และถึงกับทรงสิ้นพระสติเมื่อทอดพระเนตรร่างพระโอรสที่ปราศจากศีรษะ และเมื่อทรงได้พระสติก็ทรงมีความโศกาอาดูรและตัดพ้อพระสวามีที่มีใจโหดเหี้ยมทำร้ายเด็ก ได้ลงคอ โดยเฉพาะเมื่อเด็กนั้นเป็นพระโอรสของพระนางเอง เมื่อทรงได้ยินพระนางตัดพ้อต่อ ว่าเช่นนั้น พระศิวะก็ตรัสว่าจะทำให้เด็กนั้นกลับฟื้นชีวิตขึ้นมาใหม่ แต่ก็เกิดปัญหาเนื่องจาก หาศีรษะที่หายไปไม่ได้ และยิ่งใกล้เวลาเช้าแล้วต่างก็ยิ่งทรงกระวนกระวายพระทัย เนื่องจาก


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | หากดวงอาทิตย์ขึ้นแล้วก็จะไม่สามารถชุบชีวิตให้เด็กหนุ่มฟื้นขึ้นมาได้ เมื่อเห็นเช่นนั้น พระศิวะจึงทรงโยนตรีศูลอาวุธของพระองค์ออกไปหาศีรษะสิ่งที่มีชีวิตแรกที่พบมา และ ปรากฏว่าเหล่าเทพได้นำเอาศีรษะช้างมาให้ ซึ่งพระศิวะทรงนำศีรษะช้างมาต่อให้และชุบชีวิต ให้ใหม่ พร้อมยกย่องให้เป็นเทพที่สูงที่สุด และขนานนามว่า "พระพิฆเนศ" ซึ่งแปลว่าเทพผู้ ขจัดปัดเป่าอุปสรรค และยังประทานพรว่าในการประกอบพิธีการต่างๆ ทั้งหมดนั้นจะต้องทำ พิธีบูชาพระพิฆเนศก่อนเพื่อความสำเร็จของพิธีนั้น แหล่งที่มาภาพ : https://dhamma.mthai.com ลักษณะทางกายภาพ ลักษณะทางกายภาพที่โดดเด่นจากเทพองค์อื่นๆ คือ พระพิฆเนศมีพระวรกายเป็น มนุษย์เพศชาย อ้วนเตี้ย ท้องพลุ้ย มีพระเศียรเป็นช้าง มีงาข้างเดียว พระวรกายสีแดง บางแห่งว่า ผิวเหลือง นุ่งห่มแดง มี 4 พระกร พระหัตถ์ขวาบนทรงตรีศูล พระหัตถ์ขวาล่างทรงงาช้าง พระหัตถ์ซ้ายบนทรงปาศะ (เชือก) พระหัตถ์ซ้ายล่างทรงขันน้ำมนต์เป็นกะโหลกศีรษะมนุษย์ ลักษณะโดดเด่นต่างๆที่เป็นเอกลักษณ์ของพระพิฆเนศ มีการตีความให้ ความหมาย กล่าวคือ มีเศียรเป็นช้าง แสดงถึงความซื่อสัตย์สติปัญญา มีงาเดียวอยู่ด้านซ้าย แสดงถึงความสามารถในการชนะทวินิยมคือทฤษฎีที่เชื่อว่าทุกอย่างในโลกประกอบด้วยสองด้าน มีหูยานแสดงถึงความเฉลียวฉลาดมีความสามารถในการรับฟังและพิจารณาต่อผู้คนที่ต้องการ ความช่วยเหลือ ลำตัวเป็น 2 ลอน มีท้องใหญ่ หมายถึงจักรวาลอันไม่มีที่สิ้นสุด พระองค์จะ รับความโศกเศร้าพร้อมไปกับการปกป้องโลก รูปกายเป็นมนุษย์พระกายเป็นสีแดง คาดสาย


| สยาม ราชวัตร ยัชโญปวีตหรือสายธุรำเป็นงูแผ่พังพาน นุ่งห่มอาภรณ์แดงขลิบขาว โดยมากจะพบในลักษณะ ทรงนั่งไขว้เท้า ข้างหนึ่งอยู่เหนือพื้นอีกข้างหนึ่งอยู่บนพื้น แสดงถึงความสำคัญของการมีชีวิต อยู่และการมีส่วนร่วมทั้งด้านจิตวิญญาณและความสามารถในการดำรงชีวิตอยู่ มี 4 กร แสดง ถึงจิตใจ สติ ความมั่นใจในตนเอง และรู้สึกผิดชอบชั่วดีขวานที่กรเป็นสัญลักษณ์ของการตัด ความปรารถนาทั้งมวลอันเป็นบ่อเกิดแห่งความเจ็บปวดและความทุกข์ กรที่ถือแส้คือ สัญลักษณ์แห่งพลังซึ่งผูกมัดผู้มีศรัทธาไปสู่ความเป็นนิรันดร์แห่งพระเจ้า กรที่หันไปทาง ผู้ศรัทธา เป็นการให้พรช่วยเหลือและปกป้อง กรที่ถือดอกบัว เป็นสัญลักษณ์ของเป้าหมาย สูงสุดแห่งการเจริญเติบโตของมนุษยชาติ (สุรศักดิ์ ทอง, 2553, น. 111) พาหนะของพระพิฆเนศ พระพิฆเนศทรงมีหนูมุสิกะเป็นพาหนะ สำหรับตำนานที่ทรงมีหนูเป็นพาหนะมี เรื่องเล่าหลายตำนาน ในงานเขียนขอนำตำนานเรื่องเล่านี้ประกอบความเป็นมาของพาหนะ ของพระพิฆเนศแต่เดิม หนูมุสิกะคือ คชมุขาสูร บางแหล่งก็ว่าชื่อ “กาจามุกะ” ปีศาจคชสาร (ช้าง) ที่มีรูปร่างอันใหญ่โตมโหฬาร คชมุขาสูรได้ก่อความวุ่นวายไปทั่วสามโลก ได้แก่ สวรรค์ โลกมนุษย์ และโลกบาดาล เพราะทระนงว่าตนได้รับพรจากพระศิวะ ซึ่งเป็นพรที่คุ้มครองตนจาก ภยันตรายที่มาจากเทพและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ด้วยความที่พระพิฆเนศอยู่เหนือสิ่งมีชีวิตทั้งปวง อีกทั้งยังมีสถานะเป็นกึ่งเทพกึ่งคชสาร ดังนั้นเหล่าเทพจึงมอบหมายให้พระพิฆเนศลงไปทำ สงครามปราบปรามคชมุขาสูร ในระหว่างที่ทำสงครามนั้น พระพิฆเนศได้หักงาข้างขวาขว้าง เป็นหอกเข้าใส่และกระทืบร่างของคชมุขาสูรจนมันบาดเจ็บ และแปลงกายเป็นหนูยักษ์เพื่อหลบหนี แต่พระพิฆเนศก็ขึ้นขี่หลังและปราบปรามจนสิ้นฤทธิ์ คชมุขาสูรจึงขอขมาที่ล่วงเกินเหล่าเทพต่างๆ และกลายเป็นสัตว์พาหนะของพระพิฆเนศในเวลาต่อมา (เมธาวี จรรยานนท์วิทย์,2563) จากตำนานที่ยกมานี้แสดงให้เห็นว่า แม้ว่าหนูในภาพจำของพวกเราจะเป็น สิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ที่น่ารังเกียจสกปรกก่อความรำคาญและชอบกัดแทะ ขุดคุ้ยอาหารสกปรก แต่ในความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู หนูก็มีหน้าที่อันยิ่งใหญ่ด้วยการเป็นสัตว์พาหนะ และบริวารของเทพเจ้าได้เหมือนกัน อีกทั้งตำนานเหล่านี้ยังเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงความ เมตตาและจิตใจที่กว้างขวางของชาวฮินดูโดยแสดงผ่านตำนานพระพิฆเนศที่ให้โอกาส สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กนี้ได้ทำหน้าที่สำคัญอีกด้วย ความเชื่อและการบูชา พระพิฆเนศทรงเป็นที่เคารพบูชากันโดยทั่วไปในฐานะของเทพเจ้าผู้ขจัด อุปสรรค เทพเจ้าผู้อุปถัมภ์แห่งศิลปวิทยาการ วิทยาศาสตร์ และศาสตร์ทั้งปวง และเป็น เทพเจ้าแห่งความฉลาดเฉลียวและปัญญา และในฐานะที่พระองค์ยังทรงเป็นเทพเจ้าแห่งการ เริ่มต้น ดังนั้นในบทสวดบูชาต่างๆ ก่อนเริ่มพิธีกรรมหรือกิจกรรมใดๆ ก็มักจะเปล่งพระนาม พระองค์ก่อนเสมอ นอกจากนี้คนที่บูชาเวลาที่เริ่มต้นทำสิ่งใหม่ๆ แม้กระทั่งการเริ่มต้นวันใหม่


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | เพื่อจะได้มีกำลังในการเริ่มต้นที่จะทำงานต่างๆ ให้ประสบความสำเร็จ เพราะพระองค์เป็น ตัวแทนแห่งการฝ่าฟันอุปสรรค โดยการเปรียบเทียบกับช้างที่อยู่ในป่าหรือหนูที่อยู่ในไร่นา และบ้าน มีความสามารถที่จะเดินทางไปได้ทุกที่โดยไม่สิ่งใดจะมากีดขวางได้ เทศกาลคเณศจตุรถีนับเป็นเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการบูชาพระพิฆเนศ จะกระทำในวันแรม 4 ค่ำ เดือน 9 และวันแรม 4 ค่ำ เดือน 10 ซึ่งถือว่าเป็นวันที่พระองค์ทรง ชนะอสูร เชื่อกันว่าพระองค์จะเสด็จลงมาสู่โลกมนุษย์เพื่อประทานพรอันประเสริฐสูงสุดแก่ผู้ ศรัทธาพระองค์ท่าน เทศกาลนี้มีการจัดพิธีกรรมบูชาและการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ทั่ว ประเทศอินเดียและทั่วโลก มีการจัดสร้างเทวรูปพระพิฆเนศขนาดใหญ่โตมโหฬารเพื่อเข้าพิธี บูชา จากนั้นจะแห่เทวรูปไปทั่วเมืองและมุ่งหน้าไปสู่แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์สายต่างๆ ถนนหนทางทั่ว ทุกหนแห่งจะมีแต่ผู้คนออกมาชมการแห่เทวรูปนับร้อยนับพันองค์ ผู้ศรัทธาทุกคนแต่งชุด ส่าหรีสีสันสวยงาม ขบวนแห่จะไปสิ้นสุดที่แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ เช่น แม่น้ำคงคา แม่น้ำสรัสวดี เป็น ต้น แล้วทำพิธีลอยเทวรูปลงสู่แม่น้ำหรือทะเล ในประเทศไทยพระพิฆเนศได้รับกระแสนิยมจากคนมีชื่อเสียง ดารา นักร้อง แห่กันมาเคารพบูชา กลายเป็นการกราบไหว้บูชาเพื่อที่จะได้มีชื่อเสียงและประสบ ความสำเร็จ ซึ่งตามนิสัยของคนไทยส่วนใหญ่ที่ชอบทำตาม หวังจะมีชื่อเสียงและมีเงินทอง อาจจะเป็นเพราะเข้าใจจากลักษณะของพระองค์ที่มีลักษณะอ้วนท้วนสมบูรณ์ ในมือถือขนม อยู่ตลอดเวลา เปรียบเสมือนจะได้มีของกินอยู่เสมอ ทั้งๆ ที่สิ่งที่พระองค์ถือต่างๆ นี้ ไม่ได้ หมายถึงความร่ำรวย จึงทำให้คนไทยทั่วไปที่ไม่รู้ความหมายแห่กันมาเคารพบูชา ไหว้ขอพร ให้ร่ำรวย กลายเป็นของเล่นของนักการตลาดที่หากินกับความศรัทธาต่อพระองค์ มีทั้งสำนัก วัด และหนังสือออกมาเต็มท้องตลาด โดยเฉพาะวัดที่อาศัยเรื่องการหารายได้จากการให้เช่า รูปเคารพบูชา อีกทั้งมีการแข่งขันสร้างพระพิฆเนศขนาดใหญ่อยู่หลายวัด เพื่อเชิญชวนให้ผู้ ศรัทธามากราบไหว้ จนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว กลายเป็นแฟชั่นตามกระแสที่ทำกันโดยไม่มี ความรู้ที่ถูกต้อง ถึงกับมีการสร้างเป็นองค์สีเขียว ทั้งๆ ที่หาในตำราก็ไม่มีปรากฏ (สุรศักดิ์ ทอง, 2553, น. 113) 4.5.3 เทพเจ้านพเคราะห์ เทพนพเคราะห์คือ เทพทั้ง 9 องค์เป็นเทพเจ้าที่ผู้บูชามีความเชื่อว่าเป็นผู้ กำหนดชะตาและพฤติกรรมของมนุษย์ของแต่ละคนที่เกิดต่างวันกัน มีต้นกำเนิดมาจาก โหราศาสตร์ฮินดูที่นับถือพระสุริยเทพ (พระอาทิตย์) ซึ่งมีเทพบริวารอีก 8 องค์ รวมเป็น 9 องค์ ซึ่งจะให้โทษหรือสร้างอุปสรรคให้กับมนุษย์มากกว่าจะให้คุณ ต่อมาจึงต้องมีเทพเจ้าผู้ควบคุม เทพนพเคราะห์อีกชั้นหนึ่ง นั่นคือ พระพิฆเนศ เป็นเทพเจ้าผู้เป็นใหญ่เหนืออุปสรรคทั้งมวล รายชื่อเทพนพเคราะห์ทั้ง 9 องค์ ประกอบด้วย พระอาทิตย์ พระจันทร์พระอังคาร พระพุธ


| สยาม ราชวัตร พระพฤหัสบดี พระศุกร์พระเสาร์ พระราหู และพระเกตุ ในส่วนของประวัติของเทพเจ้านพ เคราะห์ผู้เขียนจะขอกล่าวประวัติโดยย่อ ซึ่งมีรายละเอียดโดยย่อแต่ละองค์ (กองบรรณาธิการสาร คดี, 2564) ดังนี้ 1) พระอาทิตย์(Surya) เป็นเทพผู้ให้แสงสว่างและความอบอุ่นแก่โลกมนุษย์ เป็นเทพนพเคราะห์ที่มีอำนาจเหนือกว่าเทพนพเคราะห์ทั้งปวง มีตำนานว่าพระอิศวรทรงใช้ ราชสีห์ 6 ตัว ป่นเป็นผง ห่อด้วยผ้าสีแดง พรมด้วยน้ำอมฤต ลักษณะเป็นบุรุษมีผิวกาย สีแดง ทรงราชสีห์เป็นพาหนะ ประจำอยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ผู้บูชามีความเชื่อว่าพระองค์เป็น เทพนพเคราะห์ประเภทบาปเคราะห์ให้ผลในทางก้าวร้าวรุนแรง ผู้ใดเกิดวันอาทิตย์หรือมีพระ อาทิตย์สถิตร่วมลัคนามักมีอารมณ์รุนแรง ตัดสินใจไว เฉียบขาด รักอิสระ แต่ก็มีความซื่อสัตย์ พระอาทิตย์เป็นมิตรกับพระพฤหัสบดี และเป็นศัตรูกับพระอังคาร แหล่งที่มาภาพ : https://finearts.go.th/uploads/tinymce/source/1/km/museum/9/1son.jpg 2) พระจันทร์หรือพระจันทรา (Chandra) เป็นเทพผู้นำมาซึ่งความสงบเย็นใน เวลากลางคืน ตามตำนานกล่าวว่า พระอิศวรทรงสร้างจากเทพธิดา 15 นาง บดป่นเป็นผง ห่อผ้าสีขาวนวล พรมด้วยน้ำอมฤตได้บุรุษรูปงาม มีสีผิวกายขาวนวล ทรงอาชา (ม้า) เป็น พาหนะ ประจำอยู่ทิศตะวันออก ผู้บูชามีความเชื่อว่าพระองค์เป็นเทพนพเคราะห์ประเภท ศุภเคราะห์ให้ผลในทางนุ่มนวลอ่อนโยน นั่นคือผู้ใดเกิดวันจันทร์หรือมีพระจันทร์สถิตร่วม ลัคนามักมีอารมณ์อ่อนโยน เพ้อฝัน รวนเร และอาจมีเล่ห์เหลี่ยมมาก พระจันทร์เป็นมิตรกับ พระพุธ และเป็นศัตรูกับพระพฤหัสบดี


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | แหล่งที่มาภาพ : https://finearts.go.th/uploads/tinymce/source/1/km/museum/9/2mon.jpg 3) พระอังคาร หรือพระมังคละ (Mangala) เป็นตัวแทนของดาวอังคาร จุดเด่นมีความอารมณ์ร้อนดุจดาวอังคารมีส้มอมแดง ตามตำนานกล่าวว่า พระอิศวรทรงสร้าง พระอังคารจากกระบือ 8 ตัว บดป่นเป็นผง ห่อด้วยผ้าสีชมพูหม่น พรมด้วยน้ำอมฤตได้บุรุษ ผิวสีทองแดง ทรงกระบือเป็นพาหนะ ประจำอยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ผู้บูชามีความเชื่อว่า พระองค์เป็นเทพนพเคราะห์ประเภทบาปเคราะห์ให้ผลในทางรุนแรงเร่าร้อน นั่นคือผู้ใดเกิด วันอังคารหรือมีพระอังคารสถิตร่วมลัคนา มักมีอารมณ์มุทะลุ ตึงตัง ชอบใช้กำลัง ใจร้อน เป็น มิตรกับพระศุกร์ และเป็นศัตรูกับพระอาทิตย์ แหล่งที่มาภาพ : https://finearts.go.th/uploads/tinymce/source/1/km/museum/9/3tue.jpg 4) พระพุธ (Budha) เป็นตัวแทนของดาวพุธ แสดงออกถึงความรอบรู้และ ความรอบคอบในการกระทำ ตามตำนานกล่าวว่า พระอิศวรทรงสร้างพระพุธจากช้าง 17 เชือก บดป่นเป็นผง ห่อผ้าสีเขียวใบไม้ พรมด้วยน้ำอมฤตได้บุรุษมีผิวกายสีเขียว ทรงช้างเป็น พาหนะ ประจำอยู่ทิศใต้ผู้บูชามีความเชื่อว่าพระองค์เป็นเทพนพเคราะห์ประเภทศุภเคราะห์ ให้ผลในทางอ่อนโยนไพเราะ นั่นคือผู้ใดเกิดวันพุธหรือมีพระพุธร่วมสถิตลัคนามักชอบพูดชอบ เจรจา สุขุม รอบคอบ แต่ตื่นกลัวง่าย พระพุธเป็นมิตรกับพระจันทร์และเป็นศัตรูกับพระราหู


| สยาม ราชวัตร แหล่งที่มาภาพ : https://finearts.go.th/uploads/tinymce/source/1/km/museum/9/4wed.jpg 5) พระพฤหัสบดี(Bṛhaspati) เป็นตัวแทนของดาวพฤหัสบดี เป็นเทพที่เป็น ครูของเหล่าเทพ ตามตำนานกล่าวว่า พระอิศวรสร้างพระพฤหัสบดีจากฤๅษี 19 ตน บดป่น เป็นผง ห่อผ้าสีส้มแดง พรมน้ำอมฤตได้เป็นพระพฤหัสบดี มีผิวกายสีส้มแดง ทรงกวางเป็น พาหนะ ประจำอยู่ทิศตะวันตก ผู้บูชามีความเชื่อว่าพระองค์ เป็นเทพนพเคราะห์ประเภท ศุภเคราะห์ให้ผลดังเช่นนิสัยของฤๅษีนั่นคือผู้ใดเกิดวันพฤหัสบดีหรือมีพระพฤหัสบดีสถิตร่วม ลัคนา มักทำอะไรด้วยความระมัดระวัง สุขุม รอบคอบ เมตตาปรานีต่อผู้อื่น เป็นครูของ เทพทั้งหลายจึงนิยมทำพิธีไหว้ครูในวันพฤหัสบดีพระพฤหัสบดีเป็นมิตรกับพระอาทิตย์ และ เป็นศัตรูกับพระจันทร์ แหล่งที่มาภาพ : https://finearts.go.th/uploads/tinymce/source/1/km/museum/9/5thu.jpg 6) พระศุกร์(Shukra) เป็นตัวแทนของดาวศุกร์ มีลักษณะเย็นแฝงด้วยอำนาจ ความสิเน่หา ตามตำนานกล่าวว่า พระอิศวรทรงสร้างพระศุกร์จากโค 21 ตัว บดป่นเป็นผง ห่อด้วยผ้าสีฟ้าอ่อน พรมด้วยน้ำอมฤตเป็นพระศุกร์ มีผิวกายสีฟ้า ทรงโคเป็นพาหนะ ประจำ อยู่ทิศเหนือ ผู้บูชามีความเชื่อว่าพระองค์เป็นเทพนพเคราะห์ประเภทศุภเคราะห์ ให้ผล ในทางอ่อนหวาน แต่ค่อนข้างไปทางราคจริต นั่นคือผู้ใดเกิดวันศุกร์หรือมีพระศุกร์สถิตร่วม ลัคนา มักมีกิริยาน่ารัก อ่อนหวาน ชอบงานศิลปะทุกประเภท พระศุกร์เป็นมิตรกับ พระอังคารและเป็นศัตรูกับพระเสาร์


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | แหล่งที่มาภาพ : https://finearts.go.th/uploads/tinymce/source/1/km/museum/9/6friday.jpg 7) พระเสาร์(Shani) เป็นตัวแทนของดาวเสาร์ เป็นสัญลักษณ์ของความ รุนแรง ตามตำนานกล่าวว่า พระอิศวรทรงสร้างพระเสาร์จากเสือ 10 ตัว บดป่นเป็นผง ห่อผ้า สีดำ พรมด้วยน้ำอมฤตได้พระเสาร์มีสีกายดำคล้ำ ทรงเสือเป็นพาหนะ ประจำอยู่ทิศตะวันตก เฉียงใต้ ผู้บูชามีความเชื่อว่าพระองค์เป็นเทพนพเคราะห์ประเภทบาปเคราะห์ให้ผลในทาง รุนแรง นั่นคือผู้ใดเกิดวันเสาร์หรือมีพระเสาร์สถิตร่วมลัคนา มักมีกิริยาดุดัน แข็งแรง กล้าได้ กล้าเสีย บุคลิกเคร่งขรึม เป็นมิตรกับพระราหูและเป็นศัตรูกับพระศุกร์ แหล่งที่มาภาพ : https://finearts.go.th/uploads/tinymce/source/1/km/museum/9/7sat.jpg 8) พระราหู(Rahu) เป็นตัวแทนของสุริยุปราคา กล่าวคือพระราหูได้แปลงกาย ไปอมพระอาทิตย์ไว้ทำให้ดวงอาทิตย์มืดลงชั่วขณะ นอกจากนี้เป็นเทพที่มีร่างกายเพียงครึ่งท่อน ตามตำนานกล่าวว่า พระอิศวรทรงสร้างพระราหูจากหัวกะโหลก 12 หัว (บางตำราว่าผีโขมด 12 ตัว) บดป่นเป็นผง ห่อผ้าสีทอง พรมน้ำอมฤตได้เป็นพระราหู มีกายสีนิลออกไปทางทองแดง ทรงครุฑเป็นพาหนะ มีวิมาน สีนิลอยู่ในอากาศ ประจำอยู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ อีกตำนาน กล่าวว่าพระราหูเป็นโอรสของท้าววิประจิตติกับนางสิงหิกาหรือนางสิงหะรา เมื่อเกิดมามีกาย เป็นยักษ์มีหางเป็นนาค พระราหู ผู้บูชามีความเชื่อว่าพระองค์เป็นเทพนพเคราะห์ประเภทบาป เคราะห์ ให้ผลในทางลุ่มหลงมัวเมา เป็นมิตรกับพระเสาร์และเป็นศัตรูกับพระพุธ


| สยาม ราชวัตร แหล่งที่มาภาพ : https://finearts.go.th/uploads/tinymce/source/1/km/museum/9/4rahu.jpg 9) พระเกตุ (Ketu) เป็นเทพที่กำเนิดจากท่อนล่างของพระราหู มีลักษณะครึ่ง เทพครึ่งงู มีลักษณะเป็นกลางไม่เข้าข้างเทพฝ่ายใด ตามตำนานกล่าวว่า พระอิศวรทรงสร้าง พระเกตุจากพญานาค 9 ตัว กายสีทองคำ ทรงนาคเป็นพาหนะ มีวิมานสีดอกบุษบา (เปลวไฟ) ประจำอยู่ในทิศท่ามกลาง บางตำนานกล่าวว่า พระเกตุเกิดจากหางของพระราหู ซึ่งขโมยดื่ม น้ำอมฤต พระอินทร์โกรธจึงขว้างจักรตัดเอวขาด ด้วยอำนาจแห่งน้ำอมฤตทำให้พระราหูไม่ ตาย หางที่ขาดนั้นกลายเป็นพระเกตุ ซึ่งจะไม่เสวยอายุโดยตรง ผู้บูชามีความเชื่อว่าพระองค์ จะเข้าแทรกชะตาชีวิตเพื่อบรรเทาเรื่องร้ายและส่งเสริมเรื่องดีในการดำเนินชีวิตประจำวัน แหล่งที่มาภาพ : https://finearts.go.th/uploads/tinymce/source/1/km/museum/9/8neptune.jpg


Click to View FlipBook Version