The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สยาม ราชวัตร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by คำนำ, 2023-11-20 23:52:49

ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สยาม ราชวัตร

ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | คือ Software Technology Parks of India (STPI) รัฐกรณาฏกะ (Karnataka) เป็นรัฐที่มี ศักยภาพด้านเทคโนโลยีสารสนเทศสูงที่สุดของประเทศ โดยเฉพาะที่เมืองบังกาลอร์ (เปลี่ยนชื่อ เป็นเบงกาลูลู) ซึ่งเป็นเมืองหลวง ได้ชื่อว่าเป็น Silicon Valley ของอินเดีย ซึ่งเป็นศูนย์รวม อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก โดยมีบริษัทชั้นนำกว่า 30 บริษัท และ เป็นเมืองที่ดีที่สุดสำหรับการเป็นศูนย์บริการลูกค้าทางโทรศัพท์ (call centers) เป็นศูนย์รวม สำนักงานสาขานอกประเทศ (offshore offices) และศูนย์วิจัยและพัฒนาของบริษัทใหญ่ๆ หลายบริษัท อาทิ General Electric Intel และ General Motors ในขณะเดียวกันการเติบโต ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) ได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วไปยังเมืองอื่นๆ ด้วย เช่น เจนไน ในรัฐ ทมิฬนาฑู และกัลกัตตาในรัฐเบงกอลตะวันตก รวมทั้ง ไฮเดอราบัดและปูเน เป็นต้น โดยรัฐเหล่านี้มี กำลังคนที่มีความสามารถในด้านเทคโนโลยีสูง กอรปกับรัฐบาลของรัฐต่างๆ ได้ทุ่มเทในการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานรองรับความเติบโตด้านนี้อย่างเอาจริงเอาจังด้วยนอกจากนั้น ความเจริญ ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่เรียกว่า ITes (IT enabled services) ยังเป็น ปัจจัยสำคัญให้เกิดการขยายตัวในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของอินเดีย (เนื่องจากบุคลากรใน สาขา IT มีกำลังซื้อสูง) ที่กำลังเติบโตในเมืองใหญ่ต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วอย่างมีนัยสำคัญ โดยในช่วง 6-8 ปีทีผ่านมา ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่โตเฉลี่ยร้อยละ 35ต่อปี พบว่าร้อยละ 70 ของการขยายตัวของอาคารสำนักงานเป็นการเช่า/ซื้อของบริษัท IT และ ITes ทั้งของอินเดีย และต่างชาติอาคารสำนักงานเป็นการเช่า/ซื้อของบริษัท IT และ ITes ทั้งของอินเดียและต่างชาติ นับตั้งแต่วิกฤตการเงินในสหรัฐอเมริกาส่งผลสู่เอเชียและอินเดีย รัฐบาลอินเดีย กลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอินเดียหลักในตลาดที่มีประชากรกว่า 1.1 พันล้านคนและเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจอินเดียชะลอตัวลงอย่างหนักโดยเฉพาะการลงทุน ในประเทศทั้งภาคบริการและภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากภาวะสินเชื่อตึงตัวจาก แหล่งเงินกู้ในต่างประเทศและตลาดหลักทรัพย์ของอินเดียเอง ทั้งนี้ในปี พ.ศ. 2550 ตลาด หลักทรัพย์อินเดียเป็นแหล่งระดมทุนของผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมของอินเดียถึง ร้อยละ 40 ของเงินทุนทั้งหมด ประกอบกับประชาชนอินเดียที่มีรายได้จากการขายผลผลิตทาง การเกษตรเป็นหลักได้รับผลกระทบจากภาวะสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกร่วงลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กำลังซื้อของคนชนบทในอินเดียลดลงซึ่งมีสัดส่วนถึงร้อยละ 60 ของประชากรทั้ง ประเทศ รัฐบาลอินเดียจึงออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 85 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งการสร้างการจ้างงานเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนในชนบท การก่อสร้างสาธารณูปโภค พื้นฐานที่ยังขาดแคลนอยู่มากในอินเดีย รวมถึงการลดภาษีในรูปแบบต่างๆ แม้ว่าเศรษฐกิจ อินเดียจะเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวอย่างช้าๆ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการใช้มาตรการกระตุ้น เศรษฐกิจของรัฐบาลที่ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในประเทศอินเดียปรับตัวสูงขึ้น เห็นได้ จากยอดขายสินค้าคงทนอย่างโทรทัศน์ในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 เพิ่มขึ้นร้อย ละ 153 ยอดขายรถยนต์ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2552 เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 4.5 เมื่อเทียบ


| สยาม ราชวัตร กับเดือนมีนาคมที่เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1 และคาดว่ารัฐบาลชุดใหม่จะออกมาตรการกระตุ้น เศรษฐกิจเพิ่มเติม คาดว่าน่าจะช่วยให้สัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของอินเดียเห็นผล ชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง แม้ว่าอินเดียจะพึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศไม่มากนักเมื่อเทียบกับ ประเทศอื่นๆ ในเอเชีย แต่แนวโน้มการพึ่งพาตลาดต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดย สัดส่วนการค้าระหว่างประเทศต่อ GDP เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 24.2 ในปี พ.ศ. 2545 เป็นร้อยละ 43.3 ในปีพ.ศ. 2551 ทำให้เศรษฐกิจของอินเดียชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลกจนอัตรา การว่างงานพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อคะแนนเสียงของรัฐบาลในช่วง ที่ผ่านมา โดยไตรมาสสุดท้ายของปี พ.ศ.2551 เศรษฐกิจอินเดียขยายตัวเพียงร้อยละ 5.3 ต่ำสุดในรอบ 6 ปี ขณะที่ผลผลิตอุตสาหกรรมในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2552 ร่วงลงต่ำสุดในรอบ 16 ปี ตามภาคการส่งออกที่หดตัวอย่างหนัก อย่างไรก็ตาม สัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของ หลายประเทศทั่วโลกนับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจอินเดียมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นแต่ การปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจอินเดียยังต้องอาศัยปัจจัยกระตุ้นจากมาตรการทางเศรษฐกิจ ของรัฐบาลต่อไป แม้ว่าเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาลที่มีแนวโน้มดีขึ้นหลังการเลือกตั้ง ครั้งนี้จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติก็ตาม เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจที่สำคัญ ของอินเดีย (กรมส่งเสริมการส่งออก, 2563) 2.1.8 ภาษาการสื่อสาร เนื่องจากประเทศอินเดียมีประชากรที่เป็นชนเผ่าต่างๆ มีอยู่มากมาย จึงมีภาษา ย่อยตามลักษณะของท้องถิ่นประมาณ 855 ภาษาพูด แต่มีภาษาพูดและเขียนเป็นภาษาใหญ่ ประมาณ 14-15 ภาษา เช่น ภาษาสันสกฤต ภาษาบาลีภาษาเปอร์เซีย ภาษาอูรดู ซึ่งใช้มาก ในราชวงศ์โมกุลปกครองประเทศ นอกจากนี้ก็มีภาษาที่ใช้ตามเมืองใหญ่ในภูมิภาคต่างๆ อีก เช่น ภาษาฮินดู ที่ใช้กันทั่วไป ภาษาประกฤติภาษาเตลุคุภาษาเบงกาลีใช้มากในแถบเบงกอล ภาษามราฐีของชาวมาราฐาทางแถบภาคตะวันตก ภาษาอูรดู ทางแถบภาคเหนือ และภาษา ทมิฬทางแถบภาคใต้ สำหรับภาษาที่ใช้ในทางราชการปัจจุบันคือภาษาฮินดีและภาษาอังกฤษ (กำจร สุนพงษ์ศรี, 2553, น. 4) 2.1.9 ศาสนาและลัทธิความเชื่อ ศาสนากระแสหลักที่ชาวอินเดียนับถือและเป็นหลักปฏิบัติในวิถีชีวิตได้แก่ 3 ศาสนาหลักกล่าวคือ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาเชน และศาสนาพุทธ ทั้งนี้เพราะ 3 ศาสนาหลักต่างเป็นพื้นฐานและเป็นแก่นหลักของสังคมอินเดียโบราณและมีอิทธิพลต่อ ความคิดความเชื่อของชาวอินเดียมาจนถึงปัจจุบันนี้ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเป็นศาสนาที่


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับคัมภีร์พระเวทเป็นศาสนายุคเริ่มต้นสังคมอินเดียโบราณและได้พัฒนา ปฏิรูปตนเองใหม่ภายหลังมีชื่อเรียกว่า “ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู” หรือ “ศาสนาฮินดู” เพื่อปรับปรุง หลักคำสอนให้ร่วมสมัยกับอีก 2 ศาสนา ซึ่งก็คือศาสนาพุทธและศาสนาเชน ซึ่งเป็นศาสนาที่ เกิดขึ้นภายหลังศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกันมีแนวคิดและหลักคำสอนที่ แตกต่างไปจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ทั้งสองศาสนานี้มีลักษณะแบบอเทวนิยม เน้นคำสอนที่ มุ่งตรงไปที่การพัฒนามนุษย์โดยเฉพาะการพัฒนาจิตให้พ้นทุกข์ไม่เน้นการบูชาเทพเจ้า เหมือนกับศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ชาวอินเดียส่วนใหญ่นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู บูชาเทพเจ้าหลายองค์ เรียก ความเชื่อและการนับถือเทพเจ้าลักษณะนี้ว่า “พหุเทวนิยม” (Polytheism) แต่ภายหลังได้ พัฒนาการความเชื่อเรื่องเทพเจ้ามาเป็นแบบ “เอกเทวนิยม” ที่เรียกว่า “ตรีมูรติ” แนวคิด เรื่องพรหมันแสดงออกเป็นสามภาคที่สำคัญคือ (1) พระพรหม (2) พระศิวะหรือพระอิศวร (3) พระวิษณุหรือพระนารายณ์กล่าวคือ พระพรหมเป็นเทพแห่งการสร้าง พระศิวะเป็นเทพ แห่งการทำลาย พระวิษณุเป็นเทพแห่งการรักษา จะมีคำศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้สวดสรรเสริญคือ “โอม” แสดงสัญลักษณ์หมายถึงเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสาม พระพรหมเป็นเทพเจ้าดั้งเดิมของพราหมณ์ตามความเชื่อของคนอินเดียสมัยนั้น เชื่อว่า พระพรหมเป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง รวมทั้งมนุษย์ สัตว์และพืชพันธุ์ธัญญาหารต่างๆ พระพรหม ไม่เพียงแต่สร้างมนุษย์เท่านั้น แต่ยังเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของมนุษย์ด้วย ใครจะได้สุขได้ทุกข์ ได้ดีได้ชั่วอย่างไร วาสนาชะตาชีวิต จะสูงต่ำอย่างไรก็สุดแล้วแต่พระพรหมจะบันดาล จึงมี คำพูดติดปากกันมาว่า “พรหมลิขิต”ภาพของพระพรหมมักทำเป็นรูปมี4 เศียร 4 กร ทรงถือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์คือคัมภีร์พระเวท ลูกประคำ คนโทบรรจุน้ำ และช้อนสำหรับหยอดไขเนยลงในไฟ ทรงสถิตอยู่ที่พรหมปุระในพรหมโลกบนยอดเขาพระสุเมรุ ล้อมรอบด้วยแม่น้ำคงคา มีหงส์ เป็นพาหนะ มีมเหสีชื่อพระสรัสวดี ต่อมาพวกอินเดียแถบภาคเหนือ ได้มีความเชื่อเรื่องเทพเจ้าอีกองค์หนึ่งคือพระศิวะ เรียกว่า พระอิศวรก็มี สีพระกายขาวท่าทางดุดันใช้อำนาจแบบเดียวกับพวกอริยกะ หรือ อารยัน มีโคนันทิ เป็นพาหนะ มีศิวลึงค์เป็นเครื่องหมายของพลัง มีมเหสีคือพระแม่อุมา หรือ พระแม่กาลีที่ดุร้ายก็เป็นปางหนึ่งของพระแม่อุมา ทั้งสองเทพเจ้าประทับอยู่บนยอดเขาไกรลาส ส่วนชาวอินเดียทางแถบภาคใต้ได้มีความเชื่อถือเทพอีกองค์หนึ่งต่างหากคือพระวิษณุ หรือ พระนารายณ์ผู้มีสีพระกายนิลหรือดำ มีมเหสีชื่อว่าพระลักษมีประทับอยู่ที่เกษียรสมุทร บนหลังอนันตนาคราช พระนารายณ์นี้เป็นเทพที่มีลักษณะสุภาพอ่อนโยน เมตตาปรานี ใน ฐานะที่เป็นเทพเจ้าผู้รักษาและคุ้มครองโลกให้เป็นสุข เมื่อใดเกิดยุคเข็ญในโลก พระนารายณ์ จะอวตารลงมาปราบยุคเข็ญ ซึ่งมีทั้งหมด 10 ปาง ภาพพระวิษณุมักทำเป็นรูปสีกายเขียวหรือ ดำ ทรงเครื่องแบบกษัตริย์สีเหลือง มี 4 กร ทรงถือตรี คทา จักรและสังข์ ทรงครุฑเป็น พาหนะ


| สยาม ราชวัตร ชาวอินเดียมีความเคารพบูชาเทพเจ้าเชื่อมั่นนับถือเทพเจ้าเป็นที่พึ่งของชีวิต มีการสวดมนต์อ้อนวอนขอสิ่งที่ตนต้องการกับเทพเจ้าที่ตนเองนับถือ นอกจากนี้ยังมีการพลีกรรม บูชายัญด้วยชีวิตสัตว์ทั้งหลายเช่น แพะ แกะ ม้า วัว ไก่ เป็นต้น ถ้าเป็นการบูชายัญใหญ่ถึงกับ ใช้ชีวิตมนุษย์ก็ยังเคยมีชาวอินเดียได้ฝากชีวิตของตนไว้กับเทพเจ้าสุดแล้วแต่เทพเจ้าจะโปรดปราน อีกเรื่องหนึ่งคือการล้างบาปด้วยแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ พวกพราหมณ์นิยมอาบน้ำล้างบาป โดย เชื่อถือว่าแม่น้ำคงคาโดยเฉพาะที่ท่าเมืองพาราณสีเป็นแม่น้ำที่ศักดิ์สิทธิ์สามารถล้างบาปได้ พวกพราหมณ์จึงพากันลงอาบน้ำล้างบาปอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง คือเช้าและเย็น ถือว่าบาปที่ ทำตอนกลางวัน ก็ล้างได้ด้วยการอาบน้ำในตอนเย็น ส่วนบาปที่ทำตอนกลางคืนก็ล้างได้ด้วย การลงอาบน้ำในตอนเช้า ที่เชื่อกันว่ากระแสน้ำในแม่น้ำคงคาศักดิ์สิทธิ์นั้น เพราะถือว่าแม่น้ำสายนี้ ได้ไหลผ่านภูเขาหิมาลัยอันเป็นสัญลักษณ์พระเศียรพระศิวะลงมา ท่าน้ำแห่งแม่น้ำคงคาตั้งอยู่ ที่เมืองพาราณสี จึงเป็นบุญสถานของชาวอินเดีย แม้ในปัจจุบันนี้ก็ยังเชื่อถือกันอยู่ ยังเชื่อ ต่อไปว่าใครก็ตามที่ตายลงและได้เผาที่ท่าน้ำเมืองพาราณสีแล้วกวาดกระดูกลงแม่น้ำคงคาก็ เป็นอันเชื่อได้ว่าต้องไปสวรรค์แน่นอน (สยาม ราชวัตร, 2560, น. 23-25) นอกจากนี้ยังมีทรรศนะเกี่ยวกับชีวิต โลก และจักรวาล กลายเป็นแนวคิด ทางปรัชญาอินเดียหลากหลายสำนักตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ได้มีการถกเถียงปัญหา ทางอภิปรัชญา (Metaphysics) กันอย่างเอาจริงเอาจัง เอาแพ้เอาชนะกัน ใครถือทิฏฐิอย่าง ใดก็ยึดมั่นในทิฏฐิอย่างนั้นและสั่งสอนชักชวนผู้อื่นให้มีความเห็นและปฏิบัติเช่นนั้นด้วย ตั้งเป็นสำนักเป็นคณะลัทธิขึ้นมา เช่นหลักฐานคัมภีร์พระไตรปิฎกของพระพุทธศาสนาปรากฏ ในพรหมชาลสูตร ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค บันทึกว่ามีทิฏฐิถึง 62 ประการ หลักฐานนี้แสดง ภาพรวมของแนวความคิดที่มีต่อโลกและชีวิตที่หลากหลาย (ที.สี.(ไทย) 9/28-39/11-104) จากหลักฐานนี้มองได้ว่าคนอินเดียมี2 กลุ่มความเชื่อใหญ่คือกลุ่มหนึ่งเชื่อว่ามนุษย์เรา หลังจากอัตตาจักขาดสูญไม่เกิดมาอีก อีกกลุ่มหนึ่งเชื่อว่ามนุษย์เรามีอัตตาเที่ยงแท้และเป็นอมตะ หลังจากตายแล้ว วิญญาณจะยังคงอยู่ในลักษณะเดิมจะเวียนว่ายตายเกิดอยู่สังสารวัฏจนกว่า จะได้บรรลุโมกษะหลุดพ้นการเกิดมาอีก หลักฐานในสามัญญผลสูตร (ที.สี (ไทย) 9/151-156/ 48-50) จะแสดงถึงแนวความคิดของลัทธิครูทั้ง 6 ประกอบด้วย (1) ปูรณะกัสสปะ (2) มักขลิ โคสาล (3) อชิตะเกสกัมพล (4) ปกุธะกัจจายนะ (5) นิครนถ์นาฏบุตร (6) สัญชัย เวลัฏฐบุตร แต่ละเจ้าลัทธิได้เสนอมุมมองเกี่ยวกับโลกและชีวิตคืออะไร และการดำเนินชีวิตควรเป็นไป อย่างไรในทัศนะของกลุ่มตนเอง หลักฐานในจูฬมาลุงกยสูตร (ม.ม.(ไทย)13/122-125/133-137) ได้บันทึกเกี่ยวกับอัพยากตปัญหาหรือปัญหาที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงพยากรณ์ตอบซึ่งเนื้อหา ในหลักฐานนี้แบ่งเป็น 4 กลุ่มคือ (1) ปัญหาที่เกี่ยวกับจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของโลกในระยะเวลา (time) (2) ปัญหาเกี่ยวกับขอบเขตของโลกในอวกาศ (space) (3) ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องชีวะ กับสรีระ (4) ปัญหาเกี่ยวกับภาวะหลังการตายของตถาคต


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | จากหลักฐานทั้งหลายกล่าวสรุปได้ว่า ศาสนาและลัทธิความเชื่อในสังคมอินเดีย มีความหลากหลายและบางลัทธิความเชื่อมักจะเอียงสุดไปในด้านใดด้านหนึ่ง แม้ว่าชาวอินเดีย ส่วนใหญ่จะได้รับอิทธิพลทางความคิดจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดูที่เชื่อว่าทุกคนมีอัตตาหรือ อาตมันที่เที่ยงแท้เป็นอมตะ มีการเวียนว่ายตายเกิดตามอำนาจกรรมเก่า แต่แนวคิดของ บางลัทธิเช่นลัทธิสสารนิยม ลัทธิจารวาก กลับมีความเห็นในทางตรงกันข้ามคือเชื่อว่าคนเรา หลังจากตายแล้ว อัตตาหรืออาตมันจักขาดสูญ ไม่เกิดมาอีก ชีวิตมีเพียงโลกนี้เท่านั้น ตายแล้วจบสิ้น นอกจากนี้ยังมีความเห็นแนวอื่นอีกหลายอย่าง เช่น แนวคิดของครูมักขลิโคสาลมี ความเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งโชคชะตาของมนุษย์ถูกกำหนดไว้แล้วไม่ต้องเพียรพยายาม เพื่อหวังผลอะไรหรอก แนวคิดของครูปกุธะกัจจายนะมีความเห็นว่าความดีความชั่ว บุญบาป ไม่มีอยู่จริง ศาสนาเชนมีความเห็นว่ามนุษย์จะหลุดพ้นจากกรรมเก่าได้ต้องบำเพ็ญตบะ ทรมานร่างกายเป็นต้น อินเดียในอดีตจึงเป็นแหล่งกำเนิดความคิดความเชื่อที่หลากหลาย เป็นเหตุให้แต่ ละลัทธิตีความความจริงเฉพาะในส่วนที่ตนยึดถืออยู่เท่านั้น ความจริงบางส่วนนี้ แม้ว่าจะมี ส่วนจริง แต่ไม่อาจถือได้ว่าเป็นความจริงทั้งหมด เปรียบเสมือนความเห็นของคนตาบอดแต่ละคน ในนิทานเรื่องตาบอดคลำช้างก็อธิบายความจริงของช้างในเฉพาะส่วนที่ตนเข้าถึงเท่านั้นไม่ อาจอธิบายภาพรวมทั้งหมดของช้างได้ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่อาจกล่าวได้ว่าความเห็นของสำนักใด สำนักหนึ่งเป็นจริง ส่วนความเห็นอื่นๆ ไม่จริงโดยสิ้นเชิง แล้วปฏิเสธความจริงของผู้อื่น แต่คน ส่วนใหญ่มักจะถือว่าความเห็นของตนเท่านั้นที่เป็นจริง ความเห็นของผู้อื่นไม่จริง จึงเกิดการ โต้แย้งถกเถียงกันระหว่างทิฏฐิหรือแนวคิดของสำนักต่างๆ เกิดความสับสนของผู้คนว่าคำตอบ ของสำนักใดเป็นความจริงและสามารถนำพาชีวิตให้หลุดพ้นจากทุกข์ได้หรือไม่ 2.2 อารยธรรมอินเดียกับศาสนาพราหมณ์-ฮินดู อารยธรรมอินเดียโบราณมีความสัมพันธ์กับศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมากในแง่เป็น แหล่งที่มาทางความคิดของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู การศึกษาศาสนาพราหมณ์-ฮินดูผ่านอารย ธรรมอินเดีย สามารถมองใน 3 ช่วงเวลาคือ (1) ช่วงอารยธรรมสมัยสินธุและเผ่าดราวิเดียน จะมีหลักฐานสำคัญคือเมืองโมเฮนโจดาโร (Mohenjo-Daro) และเมืองฮารัปปา (Harappa) (2) ช่วงอารยธรรมสมัยอารยันจะมีหลักฐานสำคัญคือการอพยพเข้ามาของเผ่าอารยันและ คัมภีร์พระเวท และ (3) ช่วงอารยธรรมใหม่เกิดการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมดราวิเดียน (Dravidian) กับอารยัน (Aryan)


| สยาม ราชวัตร 2.2.1 อารยธรรมสมัยสินธุและเผ่าดราวิเดียน อารยธรรมที่ขุดพบบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุและสาขาของแม่น้ำสินธุ ปัจจุบันบริเวณ นี้อยู่ในเขตประเทศปากีสถาน มีอายุระหว่าง 2,500-1,500 ปีก่อนคริสต์ศักราชหรืออาจเก่า กว่านี้ การศึกษาจากซากโบราณสถานและโบราณวัตถุบริเวณเมืองโมเฮนโจดาโร และฮารัป ปา แสดงให้เห็นว่า อินเดียมีอารยธรรมสูงมาตั้งแต่ 4,500 ปีมาแล้ว เช่นรู้จักสร้างบ้านด้วยอิฐ เผา มีถนนตัดตรง มีท่อระบายน้ำเสีย เป็นต้น นอกจากนี้ยังค้นพบตราประทับสี่เหลี่ยมซึ่งส่วน ใหญ่ทำจากหินสบู่ มีการแกะสลักที่งดงามเป็นภาพคน สัตว์ และต้นไม้ มีตัวอักษรสลักอยู่ด้วย แต่ยังไม่มีใครอ่านออก การขุดพบอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุเมื่อครั้งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 20 ก่อให้เกิดความภาคภูมิใจในชาติแก่ชาวอินเดีย (ศรีสุรางค์ พูลทรัพย์, 2545, น. 14-15) ประวัติศาสตร์ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เริ่มต้นในราว 1,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช ที่บริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุ ปัจจุบันคือเขตประเทศปากีสถาน มีกลุ่มชนที่อาศัยอยู่แถบนี้มาเป็น พันปีมาแล้ว มีความเจริญทางวัฒนธรรมการเกษตรและการพาณิชย์ซึ่งไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน นัก เป็นที่รู้จักกันว่า “อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ” ประชาชนในยุคนั้นใช้ตัวอักษรรูปภาพซึ่ง ปัจจุบันยังถอดรหัสไม่ได้ว่าหมายถึงอะไร อารยธรรมสมัยสินธุ คืออารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่ค้นพบในอินเดียปัจจุบัน วิธีการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับอารยธรรมสมัยสินธุตั้งแต่อดีตอาศัยการศึกษาทางโบราณคดีเป็น สำคัญ และเท่าที่มีการขุดค้นตั้งแต่เริ่มเชื่อกันว่ามีความเจริญอยู่ในระหว่าง 2,500 – 1,500 ปี ก่อนคริสตกาล ซึ่งมีระยะเวลาใกล้เคียงกับอารยธรรมเมโสโปเตเมีย แหล่งที่มาภาพ : https://sites.google.com/site/xarythrrmsmayboran/xary


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | แหล่งที่มาภาพ : https://th.wikipedia.org/wiki อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ บางครั้งเรียกว่า อารยธรรมฮารัปปาและอารยธรรม โมเฮนโจดาโร จัดเป็นอารยธรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เพราะไม่มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์ อักษร มีแต่เพียงลวดลายบนแผ่นดินที่ยังไม่มีใครอ่านได้มีหลักฐานบางอย่างเช่นลักษณะ เครื่องปั้นดินเผา ที่จะพอชี้ให้เห็นว่า อารยธรรมนี้อาจอยู่สมัยเดียวกันกับอารยธรรมเมโสโปเตเมีย และอียิปต์เรารู้จักอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุได้จากการขุดค้นทางโบราณคดี โดยเซอร์จอห์น มาร์แชล เป็นหัวหน้าในปี ค.ศ. 1921 พวกเขาได้ขุดพบซากเมืองฮารัปปา เมืองใหญ่ทางฝั่งซ้าย ของแม่น้ำสินธุในแคว้นปัญจาบ และในปีต่อมาก็ได้ขุดพบซากเมืองโมเฮนโจดาโรทางฝั่งขวา ของปากแม่น้ำ และจากค้นพบในสมัยต่อมา พบว่าอารยธรรมนี้ได้กระจัดกระจายอยู่ใน บริเวณที่กว้างไกลมาก เช่น เมืองโกตติจิในแคว้นซินด์ กลิบังคัน ในแคว้นราชฐาน รูปาร์ใน แคว้นปัญจาบ และโลธัลในแคว้นคุชราต การขุดค้นพบเมืองโบราณาเหล่านี้มีอุปสรรค มากมาย โดยเฉพาะที่เมืองโมเฮนโจดาโร ซึ่งอยู่ต่ำกว่าระดับแม่น้ำสินธุมาก ยิ่งขุดลึกลงไปน้ำ ก็เข้ามาท่วมมากขึ้น ทำให้การขุดค้นพบเป็นไปด้วยความยากลำบาก นอกจากนั้นในเวลาต่อมา แม้ขุดค้นขึ้นมาแล้วก็ไม่ได้รับการดูแลรักษาดีเท่าที่ควรทำให้ซากโบราณวัตถุเหล่านี้ถูกทำลาย โดยภาวะธรรมชาติ เช่นพายุทราย


| สยาม ราชวัตร แหล่งที่มาภาพ : https://th.wikipedia.org/wiki/อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ จากการขุดค้นพบซากเมืองฮารัปปาและโมเฮนโจดาโรนี้เองทำให้เราได้เห็นว่า อารยธรรมแม่น้ำสินธุนั้นเป็นระเบียบมาก เพราะแม้แต่อิฐที่ใช้ก่อสร้างก็มีขนาดและรูปร่าง เดียวกันตลอด ลักษณะเด่นคือความสามารถในการวางผังเมืองอย่างเป็นระเบียบ มีการแบ่ง เขตภายในเมืองออกเป็นสัดส่วน จัดที่ตั้งอาคารสำคัญไว้เป็นหมวดหมู่ เช่น อาคารทางศาสนา อาคารเพื่อสาธารณประโยชน์ และที่อยู่อาศัยของประชาชน มีถนนตัดตรง มีความกว้างวัดได้ถึง 33 ฟุต มีท่อระบายน้ำสร้างด้วยอิฐฝังลึกอยู่ในดิน มีสระน้ำขนาดใหญ่ก่อด้วยอิฐ มีซาก สิ่งก่อสร้างซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นยุ้งข้าวขนาดใหญ่ นอกจากนั้นยังมีที่อาบน้ำขนาดใหญ่อยู่ใน ป้อมปราการก่อด้วยอิฐ มีการระบายน้ำออก มีทางเดินที่มีหลังคาปิดรอบๆ อ่าง ล้อมรอบด้วย ห้องอาบน้ำขนาดเล็กๆ และระเบียง ลักษณะเมืองมีผังเป็นอย่างเดียวกัน เมื่อขุดลงไปจะพบซาก เมืองเล็กๆ สร้างซ้อนกันอยู่อาจเป็นเพราะว่าเมื่อเมืองหนึ่งพังลงก็สร้างเมืองใหม่ขึ้นบนฐาน ของเมืองเดิม สันนิษฐานว่าอาจถูกทำลายลงเพราะภัยธรรมชาติ เช่นน้ำท่วม เป็นต้น และเมื่อ สร้างใหม่ก็มิได้เปลี่ยนแปลงรูปร่างไปแต่อย่างใด ลักษณะที่อยู่อาศัยที่ค้นพบมีทั้งบ้านเล็กและ บ้านใหญ่มีประตู หน้าต่างและพื้น การก่อสร้างถนนและอาคารสถานที่แสดงให้เห็นถึง ความสามารถในด้านการสำรวจและความรู้เบื้องต้นในวิชาเรขาคณิต ลักษณะเด่นคือระบบผัง เมืองที่มีท่อระบายน้ำซึ่งไหลลงไปในท่อใต้ถนน มีฝาปิดมิดชิดไหลไปสู่ที่รับน้ำโสโครก แสดงให้เห็น ว่าต้องมีองค์การเทศบาลที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งมีแต่อาณาจักรโรมันเท่านั้นที่พอจะแข่งกันได้ ในสมัยหลัง มีข้อสังเกตว่าสิ่งก่อสร้างที่ขุดค้นพบนี้สร้างด้วยอิฐเกลี้ยง เช่นตึกก็มักแข็งแรง ใหญ่โต มีแบบก่อสร้างที่เรียบง่าย คำนึงถึงผลประโยชน์ใช้สอยเป็นสำคัญ ขาดความคิด ด้านความงามและศิลปะ สิ่งที่น่าสนใจที่สุดอย่างหนึ่งในการขุดค้นพบคือ ดวงตรา ซึ่งมีอยู่ มากมาย ทำด้วยหินที่แกะสลักได้ง่าย เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสบ้าง หรือผืนผ้าบ้าง ค้นพบ


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | มากกว่า 2,000 ดวงตรา บนดวงตรามีสัญลักษณ์ประมาณ 10-20 แบบ มีการแกะสลักจาก อักษรสุเมเรียนแต่ไม่คล้ายคลึงกับอักษรภาพที่พบในเมโสโปเตเมียหรือในอียิปต์ ทั้งสัญลักษณ์ และตัวอักษรยังไม่มีใครอ่านออก สันนิษฐานว่าดวงตราเหล่านี้ เป็นตราของบริษัทการค้าหรือ พ่อค้าแต่ละคน หรือของบุคคลสำคัญ หรืออาจใช้เป็นเครื่องหมายแสดงความเป็นเจ้าของ หรืออาจใช้เป็นเครื่องรางของขลัง ส่วนมากแกะสลักเป็นรูปสัตว์เช่น วัวตัวผู้ ควาย แพะ เสือ ช้าง หรือสัตว์อื่นที่อาจเกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนาเป็นต้น ทางด้านสังคม จากการขุดค้นพบเมืองฮารัปปาในระยะแรก ไม่ปรากฏหลักฐาน เกี่ยวกับการสร้างป้อมปราการและอาวุธ จึงสันนิษฐานว่า เป็นชุมชนค้าขายซึ่งเจริญขึ้นมา ตามแบบสังคมเมืองใหญ่ ในเวลาต่อมาได้ขุดพบป้อมปราการที่แข็งแรงที่เมืองโมเฮนโจดาโร ซึ่งอาจใช้ประโยชน์ทางด้านศาสนาและการเมือง จึงมีผู้สันนิษฐานต่อไปว่า การปกครองต้อง เป็นแบบรวมศูนย์อำนาจโดยอำนาจอยู่ที่ศูนย์กลางและน่าจะมีพวกพระเป็นผู้ปกครอง ชีวิต ความเป็นอยู่และการประกอบอาชีพ เชื่อกันว่ามีการเพาะปลูกเป็นอาชีพหลัก พืชผลก็คงจะ เป็นชนิดที่ปลูกในบริเวณแคว้นปัญจาบในปัจจุบัน มีการล่าสัตว์ การทำเครื่องปั้นดินเผา เครื่องมือเครื่องใช้ส่วนมากทำด้วยทองแดง โลหะผสม เงิน ยังไม่ปรากฏว่ารู้จักการใช้เหล็ก รู้จักการใช้ยารักษาโรคเป็นอย่างดี เป็นตำรับแพทย์แผนโบราณและอายุรเวชในเวลาต่อมา มีการทอผ้าด้วยฝ้าย ทั้งชายและหญิงใช้เครื่องประดับที่เป็นทอง เงิน ทองเหลือง งา และหิน มีค่าอื่นๆ สันนิษฐานว่าสตรีคงรู้จักเสริมความงาม เพราะพบว่ามีกล่องเครื่องแต่งตัวหลงเหลือ อยู่ มีเครื่องเจาะหู กล่องใส่ตุ้มหู และแท่งสีแดงสำหรับทาหน้า หลักฐานทางความเชื่อของคนในบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุมีน้อยมาก สันนิษฐานว่านับถือแม่ ธรณี ดังที่นับถือกันอยู่ทั่วไปในแถบเมโสโปเตเมียและอียิปต์ คนในสมัยโบราณเห็นความสำคัญ ของความอุดมสมบูรณ์ จึงต้องสร้างพระแม่ธรณีซึ่งเป็นผู้บันดาลความอุดมสมบูรณ์ให้แก่แผ่นดิน ไว้เป็นที่นับถือ สามัญชนทั่วไปจะนับถือพระแม่ธรณี ส่วนชนชั้นสูงจะนับถือเทพเจ้าต่างๆ บางองค์มีลักษณะคล้ายกับพระเจ้าในลัทธิฮินดูในเวลาต่อมา มีเทพเจ้าองค์หนึ่งบนดวงตรา นั่งขัดสมาธิ ล้อมรอบด้วยช้าง เสือ แรด ควาย สันนิษฐานว่าเป็นกำเนิดพระศิวะ ซึ่งเป็นเทพเจ้า แห่งสัตว์ทั้งหลายและเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์ที่เรียกว่า “ปศุบดี” ซึ่งเป็นภาคหนึ่งของ พระศิวะ ดวงตราบางอันเป็นรูปต้นโพธิ์ ดังนั้นพวกนี้อาจบูชาต้นโพธิ์ นอกจากนั้นยังมีรูปปั้น ต่างๆ รวมทั้งหินที่เป็นรูปกรวย รูปกระบอก และรูปวงแหวนเล็ก ซึ่งน่าจะเป็นรูปศิวลึงค์ โยนีหรืออุมาลึงค์ในเวลาต่อมานั่นเอง (วีระชัย โชคมุกดา, 2554, น. 25-28) จากหลักฐานทั้งหลาย เหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุหรือเผ่าดราวิเดียนหรือมิลักขะซึ่งเป็นเผ่าดั้งเดิม ของประชาชนอินเดีย มีภูมิปัญญาสูงโดดเด่นไม่น้อยกว่าเผ่าอื่นๆของอารยธรรมโลก ไม่ว่าจะเป็นภูมิปัญญาด้านการสร้างที่อยู่อาศัย ระบบการจัดการน้ำ ระบบคมนาคมของเมือง ความเชื่อทางศาสนา งานทางสถาปัตยกรรมและงานทางประติมากรรม จะเห็นได้จากหลักฐาน ที่ประจักษ์เด่นชัดต่อสายตาโลกคือซากเมืองโบราณที่ฮารัปปาและโมเฮนโจดาโร


| สยาม ราชวัตร 2.2.2 อารยธรรมอารยันและการรุกรานของอารยัน คำว่า “อารยัน” (Aryan) หรือเรียกอีกอย่างว่า “อริยกะ” เป็นชื่อของเผ่าหนึ่งที่ อพยพเข้ามาสู่ลุ่มแม่น้ำสินธุซึ่งเป็นแหล่งอารยธรรมของเผ่าดราวิเดียนซึ่งเป็นเผ่าดั้งเดิมของ ลุ่มแม่น้ำบริเวณนี้อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุได้ล่มสลายลงเพราะถูกรุกรานจากพวกอารยัน เป็นเผ่าเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์ที่อพยพจากตอนใต้ของรัสเซียเข้ามาในดินแดนยุโรป เมโสโปเตเมีย และอินเดียในที่สุด เผ่านี้แม้จะไม่เจริญเท่ากับเผ่าลุ่มแม่น้ำสินธุหรือพวกดราวิเดียน แต่พวกเขา ก็มีเครื่องใช้และอาวุธที่ก้าวหน้ากว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขารู้จักการใช้ม้าในการรบซึ่ง ชาวดราวิเดียนยังไม่รู้จักมาก่อน ทำให้พวกอารยันเคลื่อนทัพได้เร็วเพราะม้าเป็นพาหนะที่มี อานุภาพยิ่งในยุคนั้น ประมาณ 1,500 ปี ก่อนคริสตกาล พวกอารยันก็เข้ายึดครองดินแดนลุ่ม แม่น้ำสินธุจากเผ่าเดิมคือพวกดราวิเดียน ต่อมาก็ลดทอนพวกชนพื้นเมืองเหล่านี้ให้เป็นทาส ของพวกตนและเรียกพวกทาสเหล่านี้ว่า “ทัสยุ” หรือ “มิลักขะ” พวกอารยันเป็นกลุ่มคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่ ผิวขาว จมูกโด่ง ศีรษะยาว ผมสีอ่อน พวกที่ใช้ภาษาตระกูลอินโดยูโรเปียน ซึ่งเป็นที่มาของภาษาสันสกฤต และภาษาอื่นๆที่ใช้กัน อยู่ในอินเดียปัจจุบัน ในระยะแรกของการอพยพเข้าในอนุทวีป กล่าวกันว่าพวกอารยันยังไม่ รู้จักการตั้งเมืองเป็นหลักแหล่ง ยังคงดำเนินชีวิตเป็นแบบกึ่งเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์ ซึ่งระบบ เศรษฐกิจของพวกเขาให้ความสำคัญกับ “วัว” ซึ่งถือเป็นเครื่องวัดความ “มั่งมี” ไม่ว่าจะเป็น การทำสงคราม สวดอ้อนวอน หรือการตอบแทนผู้ทำหน้าที่ทางศาสนาก็คือวัวเป็นรางวัล วัว จึงเป็นสิ่งมีค่าอย่างสูงของชาวอารยัน ด้วยเหตุนี้เองที่อาจทำให้แม่วัวเป็นสัตว์ที่กลายมาเป็นที่ เคารพบูชา มีการห้ามบริโภคเนื้อสัตว์ ส่วนพาหนะที่พวกอารยันใช้ในเดินทางเป็นพวกม้าและ ใช้ในการออกรบด้วย สังคมแรกๆ ของชาวอารยันประกอบด้วยนักรบ สามัญชน และพระ ชาวอารยันนิยมงานเลี้ยง การดนตรีและติดการพนัน ช่างฝีมือ ชาวอารยันมีชื่อเสียงในการ ผลิตอาวุธที่ใช้ในสงคราม เช่น ขวาน หอก ดาบ ธนู และรถม้า ความสามารถพิเศษอีกอย่าง หนึ่งของชาวอารยันก็คือ ความสามารถผลิตรถม้าที่มีน้ำหนักเบา และสามารถเคลื่อนไหวได้ อย่างรวดเร็วกว่าชาวดราวิเดียนแห่งแม่น้ำสินธุ (วีระชัย โชคมุกดา, 2554, น. 38-39) การที่อารยธรรมสมัยสินธุล่มสลายไป ก็มีหลายทฤษฎีที่เสนอความคิดเห็น เกี่ยวกับประเด็นนี้ แต่ทฤษฎีหรือความคิดเห็นที่สอดคล้องกันส่วนมากจะเสนอว่าอารยันเป็น ผู้รุกรานที่เข้ามาจากภายนอกและสร้างสรรค์อารยธรรมอินเดียหลังสมัยสินธุถิ่นฐานเดิมของ อารยันอยู่ที่ใดนั้นยังไม่เป็นที่สรุปแน่ชัด เอ.แอล.บาชัม (A.L.Basham) นักวิชาการทางด้าน ประวัติศาสตร์และอารยธรรมอินเดียคนสำคัญได้อธิบายไว้ในหนังสือ The Wonder That Was India (อ้างในสุรางค์ศรี ตันเสียงสม, พิพาดา ยังเจริญ, สาวิตรีเจริญพงศ์, ดินาร์ บุญธรรม, 2551, น. 179) ซึ่งเป็นผลงานอันมีชื่อเสียงของเขาว่า ประมาณ 2,000 ปีก่อนคริสตกาลได้มี อนารยชนที่เป็นพวกกึ่งเร่ร่อน รูปร่างใหญ่ ผิวขาว ส่วนใหญ่มีรูปศีรษะยาว มีม้าเป็นสัตว์เลี้ยง


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | และมีความสามารถในการใช้รถเทียมม้าที่เคลื่อนที่ได้รวดเร็ว ดำรงชีวิตด้วยการเลี้ยงสัตว์และ เพาะปลูกบ้างเล็กน้อย มีถิ่นฐานเดิมอยู่ในบริเวณทุ่งหญ้า สเตปส์ที่กว้างใหญ่แผ่จากโปแลนด์ ไปจรดถึงภาคกลางของทวีปเอเชีย ในเวลาต่อมาจะเป็นแรงกดดันด้านประชากรหรือความแห้งแล้ง หรือทั้งสองประเด็นรวมกันก็ตามได้ทำให้คนเหล่านี้อพยพเคลื่อนย้ายออกจากถิ่นเดิมในส่วน ที่มาทางตะวันออกนั้นได้เข้ามาทางตะวันออกกลางบริเวณประเทศอิหร่านและต่อมายังอินเดีย ปัจจุบันซึ่งคนกลุ่มนี้ก็คือพวกอารยัน จากหลักฐานทั้งหลายเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า เผ่าอารยันที่อพยพเข้ามาสู่ อินเดียมีความแตกต่างไปจากเผ่าดราวิเดียนซึ่งเป็นเผ่าดั้งเดิมอย่างเห็นได้ชัดเจนก็คือรูปร่าง ทางกายภาพซึ่งสูงใหญ่กว่าเผ่าดั้งเดิม มีสีผิวขาว และมีความเหนือกว่าทางนวัตกรรมการสู้รบนั้น คือรู้จักการใช้ม้าและรถล้อทำให้เคลื่อนที่ได้เร็วกว่า การใช้อาวุธที่ทรงอานุภาพกว่า การ เพาะปลูกเพื่อผลิตอาหารที่ดีกว่า จึงทำให้เผ่าอารยันรุกรานและชนะเผ่าดั้งเดิมได้โดยง่าย เข้าครอบครองพื้นที่อินเดียในฐานะผู้ชนะสงครามและเป็นผู้มีอำนาจกลุ่มใหม่แทนกลุ่มดั้งเดิม 2.2.3 การผสมผสานระหว่างเผ่าดราวิเดียนกับเผ่าอารยัน เรื่องราวของพวกอารยันในระยะที่ยังเป็นเผ่าเร่ร่อนอยู่นั้น ยังไม่มีอะไรปรากฏ เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์เนื่องจากพวกอารยันยังไม่รู้จักระบบการเขียนตัวอักษร แต่เมื่อพวกอารยันได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในลุ่มแม่น้ำสินธุโดยขับไล่ชนพื้นเมืองดราวิเดียนให้ถอยร่น ลงไปทางตอนใต้ของอินเดียแล้วรู้จักการประดิษฐ์ตัวอักษร ในช่วงแรกๆ เรื่องราวของเผ่าอารยัน ถูกเล่าต่อๆกันในรูปแบบของนิทาน ตำนาน ต่อมาในช่วงหลังหลักการเล่าเรื่องราวเปลี่ยนเป็น การสวดสรรเสริญบรรพบุรุษและกลายเป็นพิธีกรรมทางศาสนาในที่สุด คำสวดต่างๆ ในพิธี ทางศาสนาของพวกอารยันในระยะแรกได้กลายเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์และเป็น วรรณคดีของพวกอารยัน บทโคลงทางศาสนานี้น่าจะเป็นของดั้งเดิมที่มาตั้งแต่อารยันยังไม่ได้ เข้ามาตั้งถิ่นฐานในอินเดีย อาจจะเรียกยุคนี้ว่า “ยุคพระเวท” สมัยพระเวทนี้แสดงถึง ความเจริญรุ่งเรืองของศาสนาพราหมณ์ หลักฐานที่ทำให้ทราบเรื่องราวของยุคสมัยนี้ คือ “คัมภีร์พระเวท” ซึ่งเป็นบทสวดของพวกพราหมณ์ เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ทำให้เราทราบเรื่องราวต่างๆ และการเข้าตั้งถิ่นฐานในลุ่มแม่น้ำสินธุ สังคมของกลุ่มอารยันในยุคพระเวท เป็นสังคมที่มีชีวิตชีวา หน่วยการปกครอง ที่เล็กที่สุดคือครอบครัว ผู้ชายเป็นหัวหน้าครอบครัว มีหน้าที่ในการทำพิธีทางศาสนาและ ควบคุมเศรษฐกิจของครอบครัว คัมภีร์ยังกำหนดให้ผู้ชายมีภรรยาเดียว การแต่งงานถือเป็น ข้อผูกพันที่ศักดิ์สิทธิ์ หญิงเมื่อแต่งงานแล้วจะย้ายไปอยู่ที่บ้านของฝ่ายชาย บ้านเรือนของ พวกอารยันในยุคพระเวทนี้สร้างด้วยไม้เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มุงด้วยหลังคาจากพื้นบ้าน ทำด้วยดินเหนียว มีเตาไฟไว้จุดบูชาเทพเจ้าที่ตนนับถือ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเทพแห่งธรรมชาติที่มี


| สยาม ราชวัตร ความเมตตากรุณาต่อมนุษย์ เทพเจ้าของพวกอารยันแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ (1) เทพเจ้า ภาคพื้นดิน เช่น ปฐพี อัคนีน้ำโสม (2) เทพเจ้าภาคพื้นอากาศ เช่น อินทราและพายุ (3) เทพเจ้า ภาคพื้นสวรรค์เช่นอรุณ สุริยะ อัศวิน สาวิตรีมิตรา วิษณุ เป็นต้น ภายหลังได้มีการเคารพ พลังธรรมชาติในรูปของเทพและเทพีซึ่งมีอยู่จำนวนมาก เทพที่มีผู้นิยมนับถือมากคือพระอินทร์ และชาวอารยันเชื่อว่าเทพเจ้ามีความรู้สึกและพฤติกรรมคล้ายกับมนุษย์ แต่มีอำนาจหรือ อภินิหารเหนือมนุษย์ ดังนั้นมนุษย์จึงต้องบวงสรวงให้ถูกต้อง เมื่อบวงสรวงถูกต้องเทพเจ้าจะ เมตตาประทานให้ตามที่ปรารถนา พิธีบวงสรวงหรือบูชายัญจะสำเร็จลงได้จะต้องมีพราหมณ์ เป็นผู้ประกอบพิธี ทำให้พราหมณ์กลายเป็นกลุ่มคนที่มีสถานะสำคัญในฐานะเป็นผู้รู้เวทมนตร์ คาถา เพราะเป็นผู้ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างเทพเจ้ากับมนุษย์ นอกจากนี้อารยันในยุคแรกๆ นิยมสร้างศาสนถานและรูปปั้นเทพเจ้าของตนเองเพื่อเคารพกราบไหว้บูชา พวกอารยันเมื่อเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่กันจำนวนมากได้พยายามยึดที่ดินจาก พวกดราวิเดียนซึ่งเป็นชาวพื้นเมืองเดิม ก่อให้เกิดสงครามระหว่างกัน ดังจะเห็นจากหลักฐาน ในคัมภีร์ฤคเวทที่กล่าวถึงการทำสงครามระหว่างพวกอารยันและพวกดราวิเดียน พวกอารยัน มีความชำนาญในการรบและมีนิสัยชอบต่อสู้ มีความชำนาญการในการใช้อาวุธต่างๆ เช่น การ ใช้ธนูไฟและการใช้ดาบ เมื่อสงครามระหว่าอารยันและดราวิเดียนสิ้นสุดลง พวกดราวิเดียน บางกลุ่มอพยพหนีการปกครองของพวกอารยันลงไปอยู่ทางภาคใต้ของอินเดีย บางพวก ถูกบังคับเป็นเชลย เชลยชาวดราวิเดียนส่วนใหญ่เป็นเชลยผู้หญิงซึ่งพวกอารยันนำไปเป็นคนรับใช้ ในบ้าน ต่อมาเกิดมีการแต่งงานระหว่างพวก ดราวิเดียนและพวกอารยัน ลูกที่เกิดมามักจะมี ความใกล้ชิดและอยู่ในความดูแลของแม่ซึ่งเป็น ดราวิเดียน ทำให้สถานภาพภายในของพวกอารยัน เริ่มเปลี่ยนแปลงไป คือเริ่มมีการผสมผสานประเพณีและความนึกคิดของดราวิเดียนเข้าไปด้วย ผู้ปกครองของพวกอารยันเห็นสภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้จึงเกิดความกลัวว่าจะถูก ดราวิเดียนกลืนเผ่าพันธุ์ จึงได้ออกกฎห้ามพวกอารยันแต่งงานกับพวกดราวิเดียนอย่าง เคร่งครัด เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของเชื้อชาติอารยันและความบริสุทธิ์ในการทำพิธีกรรม ต่างๆ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดระบบวรรณะในสังคมอินเดีย ระบบวรรณะเป็นการวางกฎ โครงสร้างของสังคมอารยันในทางทฤษฎีในระยะแรกเป็นการแยกระหว่างผู้ชนะคืออารยันกับ ผู้แพ้คือดราวิเดียน แต่ต่อมาเมื่อชาวอารยันแต่งงานกับชาวพื้นเมืองเพิ่มมากขึ้นทำให้อารยัน มีความคิดว่ากลุ่มตนมีอารยธรรมที่เหนือกว่ากลุ่มอื่น และเกรงว่ากลุ่มของตนที่มีอยู่จำนวนน้อย จะโดนกลืนเผ่าพันธุ์จึงต้องรักษาเผ่าพันธุ์ที่แท้จริงเอาไว้ ทำให้เกิดการแบ่งชั้นวรรณะในช่วง สมัยพระเวทตอนปลาย การเข้ามายังอินเดียของกลุ่มอารยันนั้นเชื่อว่าไม่ได้เป็นรุกรานเข้ามาในคราวเดียว หรือเป็นคนกลุ่มเดียว แต่เป็นการรุกรานในเวลาหลายศตวรรษและเป็นคนหลายกลุ่มซึ่ง อาจจะผ่านประสบการณ์และผ่านเส้นทางการอพยพที่แตกต่างกัน ดังนั้นถึงแม้ว่าเป็นคนเชื้อสาย อารยันด้วยกัน แต่คนเหล่านี้ก็มีความแตกต่างกันอีกในด้านภาษาและวัฒนธรรม ลักษณะ


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | ความหลากหลายดังกล่าวนี้จึงยังคงปรากฏอยู่ในอินเดียในเวลาต่อมา พวกอารยันได้เริ่มเข้ามา อินเดียทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งเส้นทางนี่จะเป็นเส้นทางสำคัญที่อินเดียจะถูกรุกราน จากภายนอกอีกหลายระยะต่อมา ในระยะแรกๆที่เข้ามาอารยันเป็นสังคมเผ่านักรบซึ่งมีการรบ พุ่งกันเองระหว่างเผ่าและรบพุ่งกับคนพื้นเมือง คนพื้นเมืองเหล่านี้คือทาสหรือทัสยุ หรือดราวิเดียน ซึ่งเป็นกลุ่มตัวแทนอารยธรรมสมัยสินธุที่หลงเหลืออยู่ในทางตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย ปัจจุบัน คนเหล่านี้เป็นคนผิวดำ ริมฝีปากหนา จมูกแบน มีความแตกต่างกับพวกอารยันอย่าง เห็นได้ชัด เมื่ออารยันเข้ามาแล้วก็ได้เริ่มมีการผสมผสานกับคนเหล่านี้ด้วย ทั้งๆที่ ความสัมพันธ์หลักระหว่างอารยันและคนพื้นเมืองจะเป็นไปทางด้านความขัดแย้งกันมากกว่า ก็ตามทีถึงแม้ว่าอารยันเป็นสังคมเผ่าแต่ไม่ใช่เผ่าที่ป่าเถื่อน เรียกได้ว่าเริ่มเข้าสู่การมีอารยธรรมแล้ว มีเทคนิคก้าวหน้าในการทหาร พิธีกรรมบูชาเทพเจ้ามีความเป็นศิลปะอันประณีตบทโศลก ของพวกอารยันก็มีความเป็นระเบียบแบบแผน แต่ยังไม่ได้พัฒนาความเจริญถึงขั้นระดับเมือง เศรษฐกิจหลักเป็นแบบกึ่งเลี้ยงสัตว์และกึ่งเพาะปลูกโดยให้ความสำคัญกับปศุสัตว์อย่างมาก ปศุสัตว์เปรียบเสมือนเงินตราหรือใช้ประเมินถึงฐานะของผู้เป็นเจ้าของโดยเฉพาะอย่างยิ่งวัว ซึ่งใช้เป็นเครื่องมือของการแลกเปลี่ยน อารยันได้ขยายตัวจากทางตะวันตกเข้าไปทางตะวันออก และขณะเดียวนี้ความเจริญ และวิถีชีวิตของอารยันก็ได้มีการปรับเปลี่ยนไปอีกตามสภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปหลักฐาน สำคัญที่แสดงถึงประวัติศาสตร์และอารยธรรมอินเดียในระยะนี้ที่เพิ่มเติมเข้ามาคือ วรรณกรรมมหากาพย์และคัมภีร์ปุราณะ ถึงแม้วรรณกรรมดังกล่าวจะมีการแต่งเสริมเพิ่มเติม อีกมากมายในระยะหลัง ก็น่าจะอยู่บนพื้นฐานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงโดยแสดงถึงการ ขยายตัวของอายันไปทางตะวันออกและมีการรบพุ่งแย่งชิงดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ ระยะนี้เรียกได้ว่าอารยันมีสิ่งจำเป็นเกือบทุกอย่างสำหรับอารยธรรมสมัยโบราณ ในด้านการปกครอง ได้มีการรวมตัวกันเป็นหลายระดับ ตั้งแต่คณะหรือสาธารณรัฐที่ตั้งขึ้น ตามเผ่าตลอดจนถึงอาณาจักรต่างๆ อาณาจักรโบราณของอารยันซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี เช่น โกศล วิเทหะ มคธ เป็นต้น ในระยะนี้มีการตั้งราชธานีที่ถาวรและมีการจัดระบบบริหาร เบื้องต้น จากการขุดค้นทางโบราณคดีพบว่าอาณาจักรโบราณเหล่านี้มีความเจริญในระดับ เมืองอีกครั้ง จากที่ว่างเว้นไประยะหนึ่งหลังจากที่อารยธรรมสมัยสินธุเสื่อมลงไปแล้ว หลักฐานสำคัญ คือมีการพบกำแพงเมืองและป้อมปราการขนาดใหญ่ซึ่งสร้างด้วยอิฐตามเมือง ศูนย์กลางของอาณาจักรต่างๆ เหล่านี้ เช่น ราชคฤห์ โกสัมพีและอุชเชนี เป็นต้น นอกจากนี้ พิธีกรรมต่างๆ ที่นอกเหนือจากความเชื่อทางศาสนาก็ได้มีเพิ่มมากขึ้นด้วย ที่สำคัญมากคือพิธี อัศวเมธหรือการพลีกรรมด้วยม้า ในพิธีนี้กษัตริย์หรืออาณาจักรที่มีอำนาจจะปล่อยม้าที่ผ่าน การทำพิธีเพื่อให้ศักดิ์สิทธิ์เป็นพิเศษแล้วให้ท่องเที่ยวไปเป็นเวลา 1 ปี โดยมีนักรบกลุ่มหนึ่ง ติดตามไป หัวหน้าเผ่าหรือกษัตริย์ผู้ครองดินแดนทุกแห่งที่ม้าผ่านจำต้องแสดงความคารวะ เพื่อยอมรับอำนาจ หรือไม่ก็จับอาวุธขึ้นรบหรือจับม้าไว้ ถ้าต้องการแสดงการต่อต้านกษัตริย์


| สยาม ราชวัตร หรืออาณาจักรที่ปล่อยมานั้น กษัตริย์ที่สำคัญทุกองค์ในระยะนั้นใฝ่ฝันที่จะทำพิธีนี้ความ เจริญก้าวหน้าที่สุดของอารยันในระยะนี้คือเรื่องทางศาสนาและวัฒนธรรม (สุรางค์ศรี ตันเสียงสม, พิพาดา ยังเจริญ, สาวิตรีเจริญพงศ์, ดินาร์ บุญธรรม, 2551, น. 179-180) 2.3 การแบ่งยุคพัฒนาการของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู การแบ่งยุคที่แสดงถึงพัฒนาการสู่ความเป็นศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมีความเกี่ยวเนื่อง สัมพันธ์กับพัฒนาการทางปรัชญาอินเดีย เพราะแนวคิดทางปรัชญาอินเดียเป็นส่วนหนึ่งของ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูที่เป็นรากฐานทางความคิดของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูในแต่ละยุคสมัย หากจะถามว่าศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมีพัฒนาการยุคสมัยอย่างไรแบ่งเป็นกี่ยุคสมัย ? การจัด ยุคของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมักกำหนดเริ่มต้นที่การศึกษาคัมภีร์โบราณที่เรียกว่า “พระเวท” มีนักปราชญ์หลายท่านแบ่งยุคของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูที่แตกต่างกันออกไป เช่นแบ่งตาม ศาสตราจารย์ ดร. ราธกฤษณัน จะแบ่งเป็น 3 ยุคคือ ยุคพระเวท (Vedic Period) ยุคมหากาพย์ (Epic Period) และยุคระบบปรัชญาทั้ง 6 (Period of the six systems) สำหรับนายโฮเรซ เอ. โรส(Horace A. Rose) ได้แบ่งพัฒนาการศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเป็น 3 ยุคเช่นเดียวกับ ดร.ราธกฤษณัน แต่ยุคที่สามเรียกว่ายุคอุปนิษัท นอกจากนี้ยังมีนักปราชญ์ท่านอื่นแบ่งยุคของ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเป็นยุคพระเวท ยุคพราหมณะและยุคฮินดู เช่น สุนทร ณ รังษี ผู้เขียน หนังสือปรัชญาอินเดียประวัติและลัทธิได้แบ่งพัฒนาการความคิดของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ออกเป็น 3 ยุคเช่นเดียวกัน แต่ใช้ชื่อว่ายุคพระเวท ยุคอุปนิษัท และยุคระบบทั้งหก (สุนทร ณ รังษี, 2545, น.3-4) แต่ที่นิยมมีการแบ่งยุคพัฒนาการของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูออกเป็น 4 ยุค คือ ยุคพระเวท ยุคมหากาพย์ ยุคสูตร และยุคปราชญ์ (สุมาลี มหณรงค์ชัย, 2546, น. 26-33) แต่ละยุคมีรายละเอียด ดังนี้ 2.3.1 ยุคพระเวท ( Vedic Period) ประมาณเวลาอยู่ช่วงระหว่าง 1,500 ปี - 600 ปี ก่อนคริสตกาล คำว่า “เวท” หมายถึงความรู้แต่ไม่ใช่ความรู้ที่เกิดจากภูมิปัญญาของมนุษย์ แต่เป็น “ศรุติ” คือคำสั่งสอน ของพระผู้เป็นเจ้าที่ถ่ายทอดให้แก่เหล่าฤๅษีอินเดียสมัยโบราณ ไม่มีผู้เป็นปรมาจารย์ของ คัมภีร์พระเวท ในยุคพระเวทยังแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่ มันตระ พราหมณะ อารัณยกะ และอุปนิษัท มีคำอธิบายว่ามันตระคือส่วนที่เป็นบทร้อยกรองสำหรับสวดสรรเสริญคุณเทพ เจ้า พราหมณะคือส่วนที่เป็นคำอธิบายและระเบียบการประกอบพิธีกรรมสำหรับพราหมณ์ใช้ โดยเฉพาะเขียนเป็นร้อยแก้ว อารัณยะกะคือ บทเรียนในป่าเริ่มมีเนื้อหาความคิดในเชิง ปรัชญา และสุดท้ายอุปนิษัทคือส่วนที่เป็นการประมวลเอาแนวคิดทางปรัชญาในพระเวทไว้


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | ทั้งหมด ความสำคัญของยุคนี้อยู่ตรงที่มีความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้าหลายองค์ ที่เรียกความเชื่อ แบบนี้ว่า “พหุเทวนิยม” (polytheism) ต่อมาพัฒนาเป็นความเชื่อในลักษณะที่มีเทพเจ้า หลักเพียงหนึ่งองค์ที่มีอำนาจเหนือเทพเจ้าองค์อื่นจำนวนมากมายในพื้นที่หนึ่ง เรียกความเชื่อ แบบนี้ว่า “อติเทวนิยม” (henotheism) และพัฒนากลายมาเป็นการนับถือเทพเจ้าเพียงองค์ เดียวเท่านั้นที่สำคัญ เรียกความเชื่อแบบนี้ว่า “เอกเทวนิยม” (monotheism) ลักษณะเด่นของยุคนี้คือพวกพราหมณ์เป็นใหญ่ผูกขาดอำนาจทางศาสนานำไปสู่ คำสอนเรื่องวรรณะ 4 มีการแบ่งคนในสังคมเป็นวรรณะสูงและวรรณะต่ำ อธิบายที่มาของแต่ละ วรรณะให้ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ส่วนของคัมภีร์พระเวทที่เป็นมันตระและพราหมณะสะท้อนให้ เห็นอิทธิพลของแนวคิดพราหมณ์ได้เป็นอย่างดี พราหมณ์เป็นใหญ่มีอำนาจผูกขาดในพระเวท ผูกขาดความรู้ในการประกอบพิธีกรรมและเป็นชนชั้นเดียวที่สามารถติดต่อกับเทพเจ้าได้ ต่อมาเกิดค่านิยมในการประพฤติพรหมจรรย์ตามคติความเชื่อของพราหมณ์ อันนำไปสู่ส่วน ของพระเวทที่เรียกว่า “อารัณยกะ” บทเรียนในป่า และเกิดแนวคิดเรื่อง “อาศรม 4” ในยุคนี้ ยังนิยมการบูชายัญด้วยชีวิตสัตว์ แม้จะมีส่วนที่เป็นอุปนิษัทแฝงอยู่แต่ไม่มีข้อความในพระเวทที่ แสดงให้เห็นความสำคัญของการเวียนว่ายตายเกิด 2.3.2 ยุคมหากาพย์(Epic Period) ประมาณเวลาอยู่ในช่วงระหว่าง 600 ปี ก่อนคริสตกาล ถึง 200 ปีหลัง คริสตกาล ความสำคัญของยุคนี้อยู่ที่การสร้างมหากาพย์2 เรื่อง คือ มหากาพย์รามายณะ และ มหากาพย์มหาภารตะ โดยเฉพาะบางส่วนของมหากาพย์มหาภารตะได้กลายเป็นคัมภีร์ ทางศาสนาที่มีชื่อเสียงยิ่งของอินเดียจนถึงปัจจุบัน นั่นคือ “คัมภีร์ภควัทคีตา” แปลว่า “บทเพลงแห่งพระผู้เป็นเจ้า” ซึ่งอยู่ในมหาภารตะเล่มที่ 6 ความสำคัญของยุคนี้คือมีการ พัฒนาความเชื่อแบบ “เอกเทวนิยม” กล่าวคือการนับถือเทพเจ้าองค์เดียวในรูปตัวบุคคลไปสู่ ความเชื่อเทพเจ้าแบบไม่มีตัวตนหรือความเชื่อในเรื่องความจริงเชิงนามธรรมสูงสุดเพียงหนึ่ง เดียว เรียกความเชื่อแบบนี้ว่า “เอกนิยม” (monism) และมีชื่อเรียกความจริงสูงสุดในทาง ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ว่า “ปรมาตมัน” “ปรมพรหม” หรือ “พรหมัน” ความสำคัญของยุคมหากาพย์นี้ ถือว่ามีความสำคัญในประวัติศาสตร์อินเดียมาก เพราะเป็นช่วงที่ศาสนารวมทั้งลัทธิความเชื่อสำคัญหลายลัทธิเกิดขึ้น เช่น แนวคิดอุปนิษัท ศาสนาพุทธ และศาสนาเชน ในส่วนของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูบางท่านนิยมเรียกยุคนี้ว่า “ยุคอุปนิษัท” เป็นการพัฒนาแนวคิดแบบเอกเทวนิยมกลายเป็นแนวคิดเอกนิยมและสรรพ เทวนิยม ลักษณะเหล่านี้นักคิดฮินดูอ้างว่ามีแสดงอยู่แล้วในคัมภีร์พระเวท แต่อยู่ในลักษณะ แฝง ยุคนี้มองว่าความจริงอันสูงสุดไม่ได้อยู่ในรูปตัวตนบุคคลแต่อยู่ในรูปของสัจธรรมนิรันดร เรียกว่า “อาตมัน” วิญญาณเล็ก และ “ปรมาตมัน” วิญญาณอันยิ่งใหญ่ และมีแนวคิดเรื่อง


| สยาม ราชวัตร กรรมและการเวียนว่ายตายเกิดได้รับความสนใจศึกษาจากพราหมณ์มากขึ้น มุ่งเสนอ เป้าหมายของชีวิตที่เรียกว่า “โมกษะ” คือการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดกลับไปสู่ แหล่งบริสุทธิ์ดั้งเดิมหรือสู่ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพรหมัน 2.3.3 ยุคสูตร (Sutra Period) ประมาณเวลาอยู่ในช่วงตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 2 เป็นต้นมา ยุคนี้เป็นยุคที่ ศาสนาพราหมณ์ได้พัฒนาคำสอนจนกลายเป็นศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เหตุที่เรียกว่ายุคนี้ว่า “สูตร” เป็นเพราะมีการรวบรวมและเรียบเรียงแนวคิดทางปรัชญาที่แฝงอยู่ในคัมภีร์พระเวท และมหากาพย์ให้อยู่ในรูปของ “สูตร” คือบทย่อความหรือจับประเด็นให้เป็นเรื่องสั้นๆ อย่าง กระชับเพื่อให้จำง่าย ยุคสูตรนี้บางท่านก็เรียกว่า “ยุคระบบทั้งหก” (Period of the Six Systems) คือสำนักทางปรัชญาอินเดียฝ่ายที่ยอมรับนับถือพระเวทเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่ ถูกต้องและสมบูรณ์ เรียกว่า “อาสติกะ” (Orthodox) ได้แก่สำนักปรัชญาฮินดู 6 สำนัก คือ ปรัชญานยายะ ปรัชญาไวเศษิกะ ปรัชญาสางขยะ ปรัชญาโยคะ ปรัชญามีมางสาและปรัชญา เวทานตะ ทั้ง 6 สำนักนี้มีความเชื่อพื้นฐานเหมือนกันคือพระเวทเป็นคำสอนสูงสุดแต่ความต่างกัน อยู่ที่วิธีการอธิบายพระเวทให้มีความน่าเชื่อถือพยายามตีความอุปนิษัทเพื่อแสดงให้เห็น “โมกษะ” ตามแนวทางที่ไม่ต้องปฏิเสธพระเวท บางท่านก็เรียกยุคนี้ว่า “ยุคคลาสสิค” (Classic Period) เนื่องจากเป็นยุคที่คำสอนพระเวทและมหากาพย์ซึ่งเดิมคนทั่วไปเข้าใจยาก ได้รับการอธิบายและแสดงออกในรูปแบบง่ายๆ และเป็นที่นิยมของสังคม 2.3.4 ยุคปราชญ์(Scholastic Period) ประมาณเวลา เริ่มตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 2 เป็นต้นมาเช่นเดียวกับยุคที่ 3 ทั้ง สองยุคไม่ต่างกันในแง่ของเวลา แต่ต่างกันในแง่ของลักษณะหรือกระบวนการ ยุคปราชญ์นี้มี บุคคลชั้นนักปราชญ์เกิดขึ้นมากมายในอินเดีย ท่านเหล่านี้จะไม่สร้างผลงานชิ้นใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น แต่จะตีความคัมภีร์พระเวทและอุปนิษัทที่มีอยู่มากมาย กล่าวได้ว่าไม่มีงานสร้างสรรค์ใหม่แต่ เต็มไปด้วยอรรถกถาคือหนังสืออธิบายคัมภีร์และพระสูตร หนังสือประเภทอรรถกถาเหล่านี้ บางเล่มก็เป็นหนังสือที่ได้รับความนิยมอ่านมาก จนมีผู้นำไปเขียนอธิบายในลักษณะเป็นฎีกา และอนุฎีกาต่อไปอีก นอกจากนี้หลายท่านยังเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณที่สำคัญ เช่น ท่านศังกราจารย์ประมาณคริสต์ศักราชที่ 788-820 บางท่านเรียกยุคนี้ว่าเป็นยุคแห่งอรรถ กถาที่ยิ่งใหญ่ และแบ่งยุคนี้ออกเป็นยุคของการฟื้นฟูปรัชญาอินเดียด้วย โดยนับตั้งแต่ช่วงที่ อินเดียได้รับอิทธิพลทางความคิดจากชาติตะวันตก


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | ลักษณะเด่นของยุคนี้มีการแตกความคิดออกไปหลากหลายแม้แต่ในหมู่ชาวฮินดู ด้วยกัน ยิ่งกว่านั้น แนวคิดจากต่างชาติก็เข้ามามีอิทธิพลต่อความเชื่อหลักในอินเดียไม่น้อย ทำให้เกิดกระแสความคิดใหม่ๆ และบางแนวคิดก็ดูแปลกสำหรับปรัชญาฮินดูและพุทธศาสนา เช่นในทางพุทธศาสนามหายานได้พัฒนาแนวคิดเรื่อง “สุญญตา” “จิตเดียว” “อาลยะ และ “ตถาคตครรภ์” แนวคิดพระอรหันต์ถูกแทนที่อย่างสิ้นเชิงด้วยแนวคิดพระโพธิสัตว์ ในทาง ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเองก็เกิดแนวคิด “ตรีมูรติ” รวมทั้งมนต์ที่ว่า “โอม” กลายเป็นถ้อยคำ ศักดิ์สิทธิ์และเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูแนวคิดตรีมูรติก็คือการนับถือเทพเจ้า 3 พระองค์ ได้แก่ พระพรหม พระวิษณุ และพระศิวะ และมีการอธิบายคำว่า “โอม” ก็คือ เทพเจ้าทั้งสามพระองค์ กล่าวคือ อะ แทนพระวิษณุอุแทนพระศิวะ และ มะ แทนพระ พรหม การนับถือเทพเจ้าทั้งสามองค์นี้เพราะชาวฮินดูเชื่อว่าเทพทั้งสามรวมทั้งชายาด้วยเป็น สิ่งปรากฏหรือแสดงออกมาชั้นสูงสุดของพรหมัน นอกจากนี้ยังเกิดคำสอนเรื่อง “อวตาร” (incarnation) หมายถึงการกลับชาติมาเกิดใหม่ของเทพเจ้าองค์สำคัญโดยเฉพาะพระวิษณุ แต่การกลับชาติมาเกิดใหม่ไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปมนุษย์ อาจเป็นอะไรก็ได้แล้วแต่สถานการณ์ และความจำเป็น ตำนานที่มีชื่อเสียงของชาวฮินดู ที่เรียกว่า “นารายณ์ 10 ปาง” เล่าว่าพระ วิษณุอวตารลงมาเกิดเพื่อปราบยุคเข็ญในมนุษยโลกมีอยู่ 10 ปาง หนึ่งในนั้นคือปางที่ 9 เรียกว่า “พุทธาวตาร” คือวิษณุอวตารลงมาเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งปางนี้มีความขัดแย้งกับพุทธ ศาสนาเพราะตำนานนี้มีลักษณะเป็นการกลืนเอาพุทธศาสนาให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูซึ่งชาวพุทธเองไม่เห็นด้วยกับตำนานนี้ สำหรับชาวฮินดูก็นับถือ พระพุทธเจ้าด้วยในฐานะเป็นองค์อวตารของพระวิษณุ เราจึงพบเห็นพุทธรูปประดิษฐานอยู่ ในโบสถ์ชาวฮินดูด้วยก็เนื่องมาจากปางพุทธาวตารนี้เอง ในยุคนี้เมื่อเกิดแนวคิด “ตรีมูรติ” แล้ว ก็เกิดลัทธินับถือเทพองค์ใดองค์หนึ่งให้ เป็นใหญ่กว่าอีก 2 องค์ที่เหลือ จนกลายมาเป็นนิกายที่นับถือเทพเจ้ายิ่งใหญ่ที่แตกต่างกัน เช่น กลุ่มที่นับถือพระศิวะเป็นใหญ่กว่าพระพรหมและพระวิษณุ ก็จะเรียกนิกายนี้ว่า “ไศวะนิกาย” กลุ่มที่นับถือพระวิษณุเป็นใหญ่กว่าพระศิวะและพระพรหม ก็จะเรียกนิกายนี้ว่า “ไวษณพนิกาย” แต่สำหรับกลุ่มที่นับถือพระพรหมไม่ค่อยมีมากในอินเดียจึงไม่เกิดเป็นนิกายเหมือนนิกายทั้ง สอง ต่อมามีพัฒนาการการนับถือเทพเจ้าฝ่ายหญิงที่เป็นชายาของเทพเจ้าทั้งสามพระองค์จน เป็นนิกายอีกนิกายหนึ่งเรียกชื่อว่า “นิกายศักติ” แนวคิดของนิกายนี้แสดงออกมาในรูปของ ความยิ่งใหญ่ที่เป็นสตรีเพศ เพราะเชื่อว่าพลังสตรีเพศทำให้สิ่งทั้งหลายปรากฏขึ้นได้ สตรี ได้รับการยกย่องให้เป็นเทพเจ้าในฐานะเป็นมเหสีของเทพเจ้าองค์สำคัญ ส่วนใหญ่จะนับถือ พระนางปารวตีชายาของพระศิวะ ซึ่งมีหลายปาง ปางที่รู้จักนับถือกันทั่วไปได้แก่ พระนางอุมาเทวี เป็นปางพลังความเมตตา เจ้าแม่ทุรคาเป็นปางเทพีแห่งสงคราม และเจ้าแม่กาลีปางที่รูปร่าง น่ากลัวเป็นปางการปราบความชั่วร้ายทั้งหลาย นอกจากนิกายศักติยังเกิดระบบความคิด ความเชื่อที่เรียกว่า “ลัทธิภักดี” ลัทธินี้พัฒนามาจากคัมภีร์ปุราณะและตันตระ หลักการใหญ่


| สยาม ราชวัตร ก็คือ สร้างความจงรักภักดีให้เกิดขึ้นเป็นการนำเอานิกายที่ได้รับความนิยมเช่น นิกายไศวะ นิกายไวษณพ และนิกายศักติมารวมกันโดยไม่ต้องแข่งขันแย่งชิงความเป็นใหญ่ และต่อมายัง มีขบวนการที่เรียกว่า “ฮินดูตันตระ” จุดมุ่งหมายของลัทธินี้ต้องการยกย่องเชิดชูพระศิวะกับ พระนางอุมาเทวีให้เด่นขึ้นมา มีการประกอบพิธีกรรมเรื่อยไปถึงการเพ่งจิตเพื่อให้บรรลุสิ่งที่ มุ่งหมายทั้งปวงโดยเฉพาะการรวมเข้ากับพรหมันอย่างสมบูรณ์ รูปแบบของนิกายศักติ ภักดี และตันตระ ถูกแสดงออกมาในรูปของความจงรักภักดีอย่างที่สุด เป็นการยอมรับนับถือโดย ปราศจากเหตุผล และมีการแสดงความสัมพันธ์วิญญาณของมนุษย์กับเทพเจ้าออกมาเป็น นิยายหรือรูปปั้นของการร่วมกันเป็นคู่ มีเรื่องกามารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งบางแห่งมีเรื่องของ การมีเพศสัมพันธ์บูชาเทพเจ้าดังกล่าวให้เกิดความพึงพอใจหรือมีการปฏิบัติตามหลักการ 5 ม. ในบางกลุ่ม กล่าวคือส่งเสริมกิจกรรม 5 อย่างในการปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนา ได้แก่ (1) มัชชะ การดื่มน้ำเมา (2) มังสะ การกินเนื้อสัตว์(3) มัศยา การกินเนื้อปลา (4) มุทรา การยั่วหรือ ร่ายรำให้เกิดความกำหนัด (5) เมถุนะ การมีเพศสัมพันธ์เพื่อเข้าถึงโมกษะ มีการอธิบายทาง แนวความคิดของลัทธินี้ว่าการมีเพศสัมพันธ์ในทางพิธีกรรมไม่เป็นสิ่งต้องห้าม และยังอนุญาต ให้มีเพศสัมพันธ์กับสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน กินเนื้อสัตว์ และดื่มของมึนเมาได้ในการ ชุมนุมทางตันตระ แต่ยังอยู่ภายใต้กรอบการควบคุมที่เข้มงวด ผู้ที่จะปฏิบัติได้ต้องถือบวชเพื่อ ร่วมพิธีศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น คนที่เข้าร่วมในพิธีศักดิ์สิทธิ์ซึ่งสามารถมีเพศสัมพันธ์ กินเนื้อสัตว์ และดื่มของมึนเมา มักเชื่อว่าช่วยผ่อนคลายแรงผลักดันทางจิตในเชิงลบซึ่งจะส่งผลบวกต่อ การดำเนินชีวิต บทสรุป อินเดียเป็นแหล่งกำเนิดศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและศาสนาอื่นๆ เป็นแหล่งรวมลัทธิ มากมาย การศึกษาประวัติศาสตร์ประเทศอินเดียจะทำให้เกิดความเข้าใจความเป็นมาของ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูโดยเฉพาะการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมอารยันกับวัฒนธรรมดราวิ เดียนที่ลุ่มแม่น้ำสินธุ เรียกว่า “อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ” ทำให้เกิดเป็นศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะทางศาสนา ในปัจจุบันประเทศอินเดียมีศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่มีประชากรนับถือจำนวนมากที่สุดแสดงออกผ่านพิธีกรรมและประเพณีมากมาย ชาวอินเดีย ได้นำหลักคำสอนในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตไม่ว่าจะเป็นเรื่อง หลักปฏิบัติทางวรรณะ การประกอบพิธีบูชาเทพเจ้าจำนวนมากมาย พัฒนาการของศาสนา พราหมณ์-ฮินดูจึงเป็นพัฒนาการทางความคิดความเชื่อในแต่ละยุคแบ่งเป็น 4 ยุคใหญ่ๆ เริ่มต้นจาก (1) ยุคพระเวท ( Vedic Period) เป็นยุคเริ่มต้นของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเน้น ความเชื่อต่อเทพเจ้าจำนวนมากมายในพระเวท การสวดบูชาสรรเสริญต่อเทพเจ้าเหล่านั้น


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | ความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด กลุ่มพราหมณ์มีอำนาจมากในเชิงพิธีกรรม (2) ยุคมหา กาพย์ (Epic Period) เป็นยุคที่มีแนวคิดเชิงนามธรรมได้พัฒนาแนวคิดแบบเอกเทวนิยมสู่ ความเป็นเอกนิยม เน้นความเป็นหนึ่งเดียวของสิ่งสูงสุด มีแนวคิดเรื่องพรหมันหรือปรมาตมัน เป็นสิ่งสูงสุด (3) ยุคสูตร (Sutra Period) เป็นยุคพัฒนาคำสอนในพระเวทและมหากาพย์ที่ ซับซ้อนลึกซึ้งให้เข้าใจง่ายเป็นลักษณะสูตรเฉพาะเรื่อง (4) ยุคปราชญ์ (Scholastic Period) ยุคนี้เกิดนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูได้เสนอแนวคิดและตีความหลักคำ สอนในพระเวทและอุปนิษัทเกิดเป็นแนวคิดใหม่ๆ ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูกลายเป็นหลัก ปฏิบัติในแต่ละกลุ่มของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ค าถามท้ายบท 1) ประเทศอินเดียมีชื่อเรียกในอดีตอย่างไร? และมีพื้นที่อาณาบริเวณของประเทศ เป็นอย่างไร? 2) ลักษณะภูมิประเทศและลักษณะภูมิอากาศของประเทศอินเดียเป็นอย่างไร? 3) ประเทศอินเดียในปัจจุบันมีระบบการเมืองการปกครองและรัฐเป็นอย่างไร? 4) ลักษณะร่วมทางศาสนาและความเชื่อในประเทศอินเดียเป็นอย่างไร? 5) อารยธรรมแม่น้ำสินธุ เป็นอารยธรรมที่สำคัญของโลกอย่างไร? มีความเกี่ยวข้อง กับประวัติศาสตร์ประเทศอินเดียอย่างไร? 6) โบราณสถานเมืองโมเฮนโจดาโร (Mohenjo-Daro) และฮารัปปา (Harappa) ที่ประเทศอินเดีย มีความเจริญรุ่งเรืองทางอารยธรรมในอดีตอย่างไร ? 7) เผ่าดราวิเดียน (Dravidian) คือใครในประวัติศาสตร์อินเดีย? มีลักษณะเผ่า อย่างไร? 8) เผ่าอารยัน (Aryan) คือใครในประวัติศาสตร์อินเดีย ? มีลักษณะเผ่าอย่างไร? 9) การผสมผสานวัฒนธรรมระหว่างเผ่าดราวิเดียนและเผ่าอารยันก่อให้เกิด ปรากฏการณ์อะไรบ้าง ? 10) การแบ่งยุคพัฒนาการของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูสามารถจัดแบ่งยุคได้อย่างไร ? แต่ละยุคนั้นมีลักษณะเด่นทางความคิดและความเชื่ออย่างไร ?


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู |


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | 3 การสืบค้นความเชื่อหลักคำสอนและภูมิปัญญาของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูจะต้อง ค้นหาจากหลักฐานที่สำคัญนั่นคือคัมภีร์และวรรณกรรมต่างๆของศาสนาศาสนาพราหมณ์-ฮินดู สำหรับในช่วงสมัยที่เรียกว่า “ศาสนาพราหมณ์” (Brahmanism) หลักฐานที่สำคัญของ ความรู้คือคัมภีร์พระเวทและคัมภีร์อุปนิษัท ส่วนช่วงสมัยหลังศาสนาพราหมณ์ที่ปฏิรูปตนเอง ใหม่เรียกชื่อใหม่ว่า “ศาสนาฮินดู” (Hinduism) คือกลุ่มคัมภีร์ที่นอกเหนือจากพระเวทและ อุปนิษัท เช่นประเภทมหากาพย์ กลุ่มวรรณกรรมต่างๆ ซึ่งแต่งขึ้นภายหลัง ในบทนี้ผู้เขียนจะ นำเสนอคัมภีร์และวรรณกรรมที่สำคัญของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู 3.1 การแบ่งกลุ่มคัมภีร์ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู 3.1.1 คัมภีร์ประเภท “ศรุติ” (Shruti texts) คำว่า “ศรุติ” แปลว่า “การได้ยิน” (hearing) สำหรับการได้ยินนี้ตีความได้สอง นัยยะคือ (1) สาระที่ปรากฏในคัมภีร์เป็นแก่นสารที่อมตะนิรันดร์ (2) เป็นการได้ยินเสียงโดยตรง จากพระเจ้า (V.P. Hermant Kanitkar and W. Owen Cole, 2003, p. 106) ชาวฮินดูเชื่อว่า คัมภีร์ประเภทศรุติ เป็นคัมภีร์ที่บรรจุข้อความที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยแก่เหล่าฤๅษีผู้เห็น ความเป็นจริงแล้วนำเอาความจริงเหล่านั้นมาบอกกล่าวแก่เหล่ามนุษย์ความศักดิ์สิทธิ์แห่ง ธรรมชาติได้เปิดเผยแก่มวลมนุษยชาติตลอดมาและบรรพบุรุษของชาวฮินดูได้ประสบกับ ความศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น เห็นความศักดิ์สิทธิ์นั้นจนได้รับนามว่า “ฤๅษี” แปลว่าผู้เห็นความจริง แล้วบันทึกประสบการณ์ของตนเองไว้ในรูปของตัวคัมภีร์ คัมภีร์ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูในยุคนี้ จึงถือว่าได้รับเรื่องราวมาจากพระผู้เป็นเจ้ามิใช่มนุษย์แต่งขึ้นเอง (สุชีพ ปุญญานุภาพ, 2541,


| สยาม ราชวัตร น. 258) แม้ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูไม่มีองค์ศาสดาผู้ก่อตั้งที่ชัดเจน แต่ชาวฮินดูก็มีคัมภีร์ที่ บันทึกความจริงแห่งธรรมชาติที่เหล่าฤๅษีทั้งหลายได้บันทึกไว้เสมือนเป็นศาสดาผู้เผยแพร่หลักคำ สอนศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและมาเป็นกรอบวิถีชีวิตความเป็นชาวฮินดูคัมภีร์ที่ถูกจัดอยู่ใน ประเภทศรุตินี้ ได้แก่คัมภีร์พระเวทและคัมภีร์อุปนิษัท 3.1.2 คัมภีร์ประเภท “สมฤติ” (Smriti texts) คำว่า “สมฤติ” แปลว่า “การทรงจำ” (remembering) เป็นคัมภีร์ลำดับถัดมา จากศรุติ(Dominic Goodall, 2005, p.xx) และคัมภีร์อื่นๆที่แต่งเพิ่มเติมจากกลุ่มศรุติ สำหรับคัมภีร์ประภทสมฤตินี้มีเนื้อหาสาระว่าด้วยกฎระเบียบ จารีตประเพณีอันศักดิ์สิทธิ์ของ ชาวฮินดูต้องยึดถือปฏิบัติ ที่ได้ชื่อว่าสมฤติเพราะเป็นสิ่งที่ได้จดจำสืบทอดต่อกันมา เมื่อคัมภีร์ ประเภทศรุติว่าด้วยความจริงแล้วคัมภีร์ประเภทสมฤติจึงต้องแสดงถึงข้อระเบียบที่มนุษย์แต่ ละคนจะต้องยึดถือปฏิบัติให้เหมาะสมกับเพศ วัยและวรรณะของตนเอง หัวใจสำคัญของ คัมภีร์สมฤติอยู่ที่การให้คำอธิบายในรายละเอียดของการปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายแห่งชีวิต เช่นเพื่อให้ชีวิตบรรลุถึงธรรมอันความรู้หลักการหน้าที่ทั้งหลายจึงมีสมฤติที่เรียกว่า “ธรรมศาสตร์” เพื่อให้ชีวิตบรรลุถึงอรรถะ กล่าวถึงประโยชน์ทั้งหลายในการดำเนินชีวิตทาง โลกให้สะดวกสบายทางวัตถุ จึงมีสมฤติที่เรียกว่า “อรรถศาสตร์” เพื่อให้ชีวิตบรรลุถึงกาม กล่าวคือความสุขการใช้ชีวิตคู่ครอง การแต่งงาน การมีบุตรไว้สืบสกุล จึงมีสมฤติที่เรียกว่า “กามศาสตร์” สำหรับโมกษะเป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิตในทัศนะของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู จะมีทั้งธรรมะ อรรถะ และกามะ ทั้งสามอย่างนี้ต่างเป็นเป้าหมายรองที่จะส่งเสริมหนุนส่งให้ ชีวิตเข้าถึงโมกษะ การปฏิบัติเพื่อบรรลุโมกษะจึงถูกบูรณาการไว้แล้วทุกส่วนแห่งชีวิตของชาว ฮินดูในส่วนของสมฤติจึงไม่มีคำอธิบายที่ว่าด้วยการเข้าถึงโมกษะโดยเฉพาะ บรรดาคัมภีร์ประเภทสมฤติของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูที่แสดงหนทางการเข้าถึง เป้าหมายของชีวิตนั้นคัมภีร์ธรรมศาสตร์ของพระมนูนับเป็นยอดของสมฤติที่ว่าด้วยธรรมะ คัมภีร์อรรถศาสตร์ของท่านเกาฎิลยะเป็นยอดของสมฤติที่ว่าด้วยอรรถะ คัมภีร์กามศาสตร์ ของท่านวาตสยายันเป็นยอดของสมฤติที่ว่าด้วยกามะ บางครั้งก็เรียกชื่อคัมภีร์เหล่านั้นโดยใช้ ชื่อของผู้แต่งคัมภีร์ว่า มนูสมฤติ เกาฎิลยสมฤติ และวาตสยายสมฤติ ในบรรดาสมฤติทั้งสามนี้ มนูสมฤติเป็นคัมภีร์ที่มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของชาวฮินดูมากที่สุดกล่าวคือคัมภีร์ธรรมศาสตร์ ของมนูได้กลายมาเป็นแม่แบบแห่งกฎหมายจารีตประเพณีต่างๆ ของชาวฮินดูที่ปรากฏอยู่ใน ปัจจุบัน (ประมวล เพ็งจันทร์ และคณะ, 2547, น.59)


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | 3.2 คัมภีร์พระเวท (The Vedas) ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น คัมภีร์พระเวทเป็นคัมภีร์ประเภทศรุติเป็นคัมภีร์สำคัญอันดับ แรกที่สำคัญยิ่งเป็นหลักฐานทางปฐมภูมิทางองค์ความรู้ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ทุกคัมภีร์ ที่เกิดขึ้นภายหลังจะเชื่อมโยงกับคัมภีร์พระเวท จึงกล่าวได้ว่าคัมภีร์พระเวทเป็นองค์ความรู้ เกี่ยวกับความเชื่อหลักคำสอนการปฏิบัติความเป็นฮินดูมีทั้งองค์ความรู้เชิงศาสนาและปรัชญา คำว่า “เวท” (Veda) ที่ปรากฏในการเรียกว่าพระเวท เป็นคำสันสกฤต แปลว่า “ความรู้” (knowledge) หมายถึงชุดความรู้ของคัมภีร์ชาวฮินดูในยุคต้น คัมภีร์พระเวทได้สรุปหลักการ ทางจิตวิญญาณที่ยอมรับกันโดยชาวฮินดูว่าเป็นพื้นฐานของศาสนาตนเอง คำสอนพระเวทเน้นย้ำเรื่องเรื่องความเป็นจริงที่เป็นฐานรองรับสรรพสิ่ง แสดงตัวออกมาในรูปของ พรหมันอันเป็นนิจนิรันดร์ ชาวฮินดูยอมรับอำนาจความศักดิ์สิทธิ์ของพระเวท (Brandon Toropov and Father Luke Buckles, 2002, p. 331 ) อายุการเกิดขึ้นของคัมภีร์พระเวทน่าจะอยู่ระหว่าง 1500ปี ถึง 900ปี ก่อนคริสตกาล (V.P. Hermant Kanitkar and W. Owen Cole 2003, p. 106) บางตำราก็ว่า 1200 ปี ถึง 1000 ปี ก่อนคริสตกาล (Richard Osborne and Borin Van Loon, 1996, p. 20) เป็นผลงานสร้างสรรค์และรวบรวมความเชื่อของเผ่าอารยันตามประวัติศาสตร์เมื่อชาว อารยันซึ่งเชื่อกันว่าเป็นชนเผ่าอินโดยุโรเปียนเช่นเดียวกับชาวกรีกและชาวอิหร่าน ได้ทยอย อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในอินเดียตอนเหนือตั้งแต่ราว 2000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช พวกนี้นำ ความเชื่อในเทพเจ้าแห่งท้องฟ้าตามปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น พระอาทิตย์ พระจันทร์ ลม ฝน ติดตัวมาด้วย นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าคัมภีร์พระเวทคงแต่งขึ้นเมื่อชาวอารยันเข้ามา อยู่ในอินเดียแล้ว พระเวทประกอบด้วยคัมภีร์ 4 ชุด คือ (1) ฤคเวท (2)สามเวท (3) ยชุรเวท (4) อาถรรพเวท (Dominic Goodall, 2005, pp. x-xi) พระเวท 3 คัมภีร์เบื้องต้นมีชื่อเรียกว่า “ไตรเวท” ต่อมามีการเพิ่มคัมภีร์ที่ 4 คืออาถรรพเวทเข้ามา จึงเรียกชื่อใหม่ว่า “จตุรเวท” รายละเอียดแต่ละคัมภีร์ ดังนี้ (ศรีสุรางค์ พูลทรัพย์, 2545, น. 50-51) 1) ฤคเวท (Rig Veda) เป็นคัมภีร์ที่ประกอบด้วยบทร้อยกรองหรือมันตระ (mantra) จำนวนหนึ่งพันกว่าบท ส่วนใหญ่เป็นการสรรเสริญเทพเจ้าต่างๆ แต่ละองค์ ชาวอารยันเชื่อในเทพเจ้าหลายองค์ที่เรียกว่า “พหุเทวนิยม” (polytheism) แต่ใน ขณะเดียวกันก็มีความเชื่อในองค์ใดองค์หนึ่งเป็นพิเศษเหนือเทพองค์อื่นในพื้นที่หนึ่งที่เรียกว่า “อติเทวนิยม” (henotheism) ปรากฏอยู่ด้วย ความเชื่อว่ามีเทพองค์หนึ่งยิ่งใหญ่สูงสุดได้ พัฒนาการไปสู่ความเชื่อในเทพเจ้าองค์เดียวหรือเรียกว่า “เอกเทวนิยม” (monotheism) ซึ่ง ปรากฏในบทท้ายๆ ของคัมภีร์ฤคเวท คัมภีร์ฤคเวทเป็นคัมภีร์ส่วนที่เก่าที่สุดของพระเวท ในมันตระซึ่งเรียกว่า “ปุรุษสูกตะ” (Purssha Sukta) มีการกล่าวถึงการแบ่งคนออกเป็น 4 วรรณะโดยเล่าว่า


| สยาม ราชวัตร เมื่อเหล่าเทพเจ้านำ “บุรุษ” ซึ่งอาจเป็นพระประชาบดี (Prajapati) ไปเป็นเครื่องบูชาเพื่อ สร้างโลก พราหมณ์จึงเกิดจากปาก กษัตริย์จึงเกิดจากแขน ไวศยะจึงเกิดจากขา และศูทรเกิด จากเท้าของบุรุษ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเริ่มมีความเชื่อในเรื่องวรรณะมาตั้งแต่สมัยพระเวทแล้ว 2) สามเวท (Sama Veda) คือคัมภีร์ที่มีการรวบรวมมันตระบางบทของฤคเวทมา เรียบเรียงใหม่เพื่อให้เหมาะแก่การสวดเป็นทำนอง คำว่า “สามะ” แปลว่า “เพลง” (melody) ในแง่ของประวัติศาสตร์ภูมิปัญญา สามเวทจึงไม่มีอะไรแปลกใหม่ไปจากคัมภีร์ฤคเวท 3) ยชุรเวท (Yajur Veda) คือบทสวดในการประกอบพิธียัญบูชา มีทั้งที่เป็นร้อย แก้วและร้อยกรอง แต่งหลังคัมภีร์ฤคเวทประมาณ 100-200 ปียชุรเวทสังหิตาหรือส่วนที่เป็น มันตระและคาถา มี 2 ชุด คือยชุรเวทดำ มีตัวเข้มให้คำอธิบาย และยชุรเวทขาว มีคำอธิบายให้รายละเอียดประกอบ ซึ่งเรียกว่า พราหมณะ (Brahmana) 4) อาถรรพเวท (Atharva Veda) มีเพิ่มขึ้นภายหลัง 3 เวทแรกเป็นส่วนที่ปรากฏ ความเชื่อพื้นเมืองในสมัยที่ชาวอารยันเข้ามาตั้งถิ่นฐาน คัมภีร์นี้ได้รวบรวมความรู้ทางไสย ศาสตร์พื้นเมือง ซึ่งรวมทั้งวิธีการรักษาโรคและคำสาปแช่งไว้ด้วย พระเวททั้ง 4 นี้ แต่ละพระเวทนั้น จะประกอบด้วยโครงสร้างเนื้อหาภายใน 4 ส่วน (Dominic Goodall, 2005, p. x) คือ (1) สังหิตา (Samhita) ว่าด้วยบทร้อยกรองหรือมันตระ รวบรวมบทสวดที่กล่าวถึง เทพเจ้าแห่งปัญญา สุขภาพ ความมั่งคั่งและความมีอายุยืน หรือเป็นบทสวดอ้อนวอน เพื่อขอ ข้าทาสบริวาร สัตว์เลี้ยง บุตรธิดา ชัยชนะในสงคราม หรือขอให้ยกโทษในบาปกรรมที่กระทำ ลงไป เป็นบทสวดหรือมนตร์ที่ใช้ในการทำพิธีบูชานั่นเอง เป็นบทสวดสรรเสริญเทพเจ้าต่างๆ เพื่อความเจริญรุ่งเรือง มันตระในฤคเวทเป็นบทสดุดีเทพเจ้า มันตระในยชุรเวทเป็นกฎเกณฑ์ ว่าด้วยพิธีบูชายัญ มันตระในสามเวทเป็นบทสวดหรือขับร้องในพิธีบูชายัญ มันตระในอาถรรพเวท เป็นคาถาอาคมในใช้โอกาสต่างๆ ลักษณะของมันตระทั้งหลายนี้จะเป็นบทร้อยกรอง (2) พราหมณะ (Brahmanas) ว่าด้วยตำราเกี่ยวกับยัญพิธีที่พราหมณ์เป็นผู้ประกอบ อธิบายถึงวิธีและรายละเอียดในการจัดศาสนพิธีที่ต้องสวดมันตระ และอธิบายถึงเรื่องราว ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับมันตระ (3) อารัณยกะ (Aranyaka) ว่าด้วยตำราว่าด้วยการดำรงชีวิตในป่า (4) อุปนิษัท (Upanishad) ว่าด้วยปรัชญาและความหมายของพิธีกรรมและความเชื่อ ความจริงเกี่ยวกับจักรวาล เป็นร้อยกรองที่มีความลึกซึ้งทางความคิด อธิบายเนื้อหาทาง ศาสนาและปรัชญา เป็นรากฐานให้กับระบบศาสนาและปรัชญาของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู บทสวดในคัมภีร์ฤคเวทเป็นเรื่องราวที่ชาวอารยันได้นำมาสู่ประเทศอินเดียในสมัย อพยพเข้ามาเนื่องจากชาวอารยันได้เริ่มรู้จักและคุ้นเคยกับชนพื้นเมืองเดิม รู้จักตำนานและ การปฏิบัติทางศาสนา จึงมีการพัฒนาประเพณีการท่องจำโดยปากเปล่าเพื่อรักษาสมบัติอันมี


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | ค่าทางศาสนาไว้ แม้ว่าเนื้อหาเหล่านี้จะสูญหายไปบ้าง แต่ในส่วนที่รวบรวมได้เป็นส่วนที่พบ ในคัมภีร์ฤคเวท คัมภีร์ฤคเวทนี้มีบทสวดทั้งหมด 1,017 บท ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่าเป็นบทที่ เก่าแก่จริง และมีความสำคัญต่อคัมภีร์พระเวทมาก โดยทั่วไปแล้วมักแบ่งบทสวดเป็น 10 มณฑล บทสวดที่เกี่ยวกับเทพเจ้าอัคนีมาก่อนบทอื่นๆ ตามมาด้วยพระอินทร์และเทพที่เหลือ บทสวดในฤคเวทนี้ยากที่จะตอบให้แน่นอนตายตัวว่าเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง แต่อาจประมาณ ได้ว่า แสดงถึงความคิดทางศาสนาแบบธรรมชาตินิยม ซึ่งค่อนข้างจะดึกดำบรรพ์ แต่ทำให้ ประณีตขึ้นในการประกอบพิธีกรรมและการสวด นอกจากนี้ยังแสดงถึงลักษณะความเชื่อใน รูปแบบเอกเทวนิยมอีกด้วย สิ่งที่น่าสนใจคือลักษณะของเทพเจ้าต่างๆ มีความคล้ายคลึงกับธรรมชาติมาก ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะชาวอารยันมีชีวิตอยู่กับธรรมชาติได้รับรู้เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นเพราะอำนาจ แห่งธรรมชาติ จึงเกิดความเคารพบูชาพลังอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติในรูปแบบต่างๆ ซึ่งมี อิทธิพลต่อความนึกคิดของพวกเขาอยู่มาก พลังแห่งธรรมชาติเหล่านี้ชาวอารยันจินตนาการ ออกมาเป็นบุคลาธิษฐานแนวโน้มของคนสมัยก่อนที่จะเข้าใจสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติตาม คุณลักษณะของมนุษย์ เช่น ความตั้งใจ ความรู้ ความโกรธนั้นเป็นลักษณะพื้นฐานของศาสนา ปฐมบรรพ์ทั้งหลาย โดยจินตนาการเช่นนี้ลักษณะแห่งธรรมชาติที่ไม่แน่นอนจึงอาจเกี่ยวข้อง กับมนุษย์ ความยุ่งเหยิงอาจทำให้เรียบร้อยได้โดยสร้างความสงบให้เกิดขึ้นในตัวเอง ลักษณะ เด่นของบรรดาเทพเจ้าของพระเวทคือ เป็นพหุเทวนิยมมากกว่าวิญญาณนิยม ศาสนาที่เป็น วิญญาณนิยมจะมองธรรมชาติว่าเป็นสิ่งที่มีวิญญาณครอบครองและควบคุม แต่เทพเจ้าของ พระเวทจัดระบบได้เรียบร้อยกว่า และเลือกสรรสัญลักษณ์ที่แทนตัวได้ดีกว่า เห็นได้ชัดว่ามี การแบ่งเทพเจ้าเป็น 3 กลุ่ม มีเทพเจ้าแห่งฟากฟ้า เช่น มิตรา และวรุณ เทพเจ้าที่อยู่กึ่งกลาง เป็นเทพเจ้าแห่งพายุ เช่น มรุต และพระอินทร์เทพเจ้าประจำภาคพื้นดิน เช่น โสม และอัคนี ในคัมภีร์พระเวทไม่มีการยกย่องเทพเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งว่าเป็นเทพเจ้าสูงสุด ในบทสวดต่างๆ จะมีการยกย่องเทพเจ้าเฉพาะพระองค์ แต่มิได้หมายความว่าเทพเจ้าองค์นั้นจะสูงกว่าองค์อื่นๆ ลักษณะเด่นอีกประการหนึ่งของเทพเจ้าสมัยพระเวท คือการแสดงความสำคัญที่ ซ้อนทับกันอยู่ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะความไม่สมบูรณ์ในรูปแบบของบุคลาธิษฐานของอำนาจใน ธรรมชาติ ยกตัวอย่างเช่น พระอัคนีเป็นเทพเจ้าที่มีความสัมพันธ์อันชัดเจนเกี่ยวกับไฟ แต่ ขณะเดียวกันก็เกี่ยวข้องกับพระอาทิตย์ด้วย หลายตอนที่กล่าวถึงโดยใช้ชื่อพระสุริยะ แทบจะ กลายเป็นเทพเจ้าอีกองค์หนึ่งทีเดียว ลักษณะที่ซ้ำซ้อนกันนี้น่าจะอธิบายได้ว่า สืบเนื่องจาก ลักษณะความเป็นจริงในธรรมชาตินั้นมีลักษณะบางอย่างใกล้ชิดกันมาก เช่น ลม ฝน พายุ เมฆ ฯลฯ บรรดาเทพเจ้าในสมัยพระเวทจึงมีลักษณะเฉพาะและลักษณะรองด้วย นอกจากนั้น บทสวดสรรเสริญอัคนี วรุณ อินทร์ หรือโสม บางครั้งอ่านดูแล้วราวกับว่าเป็นบทสวดถึงเทพ เจ้าสูงสุด ผู้ซึ่งมีอำนาจธรรมชาติทั้งหลายประกอบอยู่ แนวโน้มในการรวมเทพเจ้าทั้งหลาย เข้าเป็นองค์เดียวกันนี้ อาจอธิบายได้ว่าเป็นการกรุยทางให้กับแนวความคิดแบบเอกเทวนิยม


| สยาม ราชวัตร และแบบเอกนิยมซึ่งเป็นรูปแบบศาสนาสมัยต่อมา ซึ่งในสมัยต่อมาจึงเกิดความคาดหวังว่า การรวมบรรดาเทพเจ้าทั้งหลายเข้าเป็นเทพเจ้าสูงสุดองค์เดียวนี้น่าจะก่อให้เกิดแนวคิดแบบ เอกเทวนิยมขึ้นแปลว่าองค์ใดองค์หนึ่งจะถูกยกย่องให้อยู่ในตำแหน่งสูงสุดเช่น พระอินทร์ หรือวรุณ แต่ความคาดหมายดังกล่าวนี้มิได้เกิดขึ้นในสมัยพระเวท อาจเป็นเพราะเทพเจ้าใน สมัยพระเวทยังไม่มีลักษณะเป็นปัจเจกโดยชัดเจน ในทางตรงกันข้ามดูเหมือนว่าการพัฒนา นั้นจะเป็นไปในรูปของการค้นพบรากฐานของความเหมือนกันในด้านอำนาจและ ความสัมพันธ์ในเทพองค์ต่างๆ ดังนั้นจึงพบว่ามีการกล่างถึงวิศวเทพ (เทพทั้งหมด) ประชาบดี (บิดาแห่งเทพ) วิศวกรมัน (เทพแห่งสัตว์ทั้งหลาย) ปราณและกาล (ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ อ้างในศรีสุรางค์ พูลทรัพย์และคณะ, 2542, น. 28-29) มองภาพรวมการนำเสนอเนื้อหาในคัมภีร์ พระเวท เป็นการอธิบายความเชื่อต่ออำนาจของธรรมชาติที่อยู่รอบตัวมนุษย์ว่ามีอำนาจเหนือ มนุษย์เป็นลักษณะตัวบุคคล เป็นไปในลักษณะความเชื่อทางศาสนาที่เรียกว่า ธรรมชาตินิยม และวิญญาณนิยมแล้วพัฒนาสู่ความเป็นเทวนิยมในที่สุด 3.3 คัมภีร์อุปนิษัท ( The Upanishads) คัมภีร์อุปนิษัทเป็นอีกหนึ่งคัมภีร์ที่จัดอยู่ในกลุ่มศรุติเช่นเดียวกับคัมภีร์พระเวท ก่อน อื่นควรเรียนรู้ความหมายของ “อุปนิษัท” ก่อน ศัพท์นี้มาจาก 3 คำ คือ “อุป+นิ + ษัท” อุป แปลว่า ใกล้นิ แปลว่า ตั้งใจ ษัท แปลว่า นั่งลง ซึ่งในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Upa (near) + ni (below) + shad (sit) หรือ “sitting down near” (v.p. Hemant kanitkar and w. owen cole, 2003, p.107) รวมความหมายของอุปนิษัท จึงหมายถึง การที่ศิษย์เข้าไปนั่ง ใกล้อาจารย์เพื่อตั้งใจเรียนบทเรียน จะทำให้ศิษย์เป็นอิสระจากพันธนาการของมายาช่วยทำ ให้รู้แจ้งในอาตมันหรือตัวตนสามารถทำลายอวิทยาที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดภาพลวงทั้งหลาย ด้วยศาสนาพราหมณ์-ฮินดูถือว่าความรู้ที่แท้จริงไม่สามารถเรียนรู้ผ่านตัวอักษรหรือหนังสือ แต่ต้องเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรงของชีวิตที่มีอาจารย์คอยแนะนำช่วยเหลือเพื่อให้เข้าถึง ความจริงแท้การเรียนรู้ลักษณะนี้เรียกว่าเป็นการเรียนรู้แบบวัฒนธรรมอินเดียที่สืบทอดมา ยาวนาน เช่นเดียวกับพระพุทธศาสนาเรียกว่าระบบศิษย์อาจารย์และอุปัชฌาย์ที่เรียกว่า “อันเตวาสิก” หรือ “สัทธิวิหาริก” เพื่อศึกษาเรียนรู้อยู่กับครูบาอาจารย์อุปัชฌาย์คอยแนะสั่ง สอนช่วยเหลือให้เกิดความรู้ที่แท้จริง ในสมัยที่ชาวอารยันเข้ามาตั้งถิ่นฐานในอินเดีย ผู้ที่มีเวลาศึกษาคิดค้นคัมภีร์ได้แก่ พวกพราหมณ์ ซึ่งมีความรู้เหนือชนชั้นอื่นเพราะรู้คัมภีร์ สามารถประกอบพิธีบวงสรวงเทพเจ้าให้ ประทานความสำเร็จความสุขและความอุดมสมบูรณ์ได้ ดังนั้นพราหมณ์จึงมีคุณสมบัติเป็น บุคคลชั้นนำซึ่งสืบทอดคัมภีร์พระเวทกันต่อมาด้วยการท่องจำมิได้ขาดตกบกพร่องผิดพลาด


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | แม้แต่การออกเสียง การศึกษาพระเวทเป็นการศึกษากับครู โดยศิษย์จะไปกินอยู่รับใช้อยู่ที่ บ้านพราหมณ์ผู้เป็นครู ผู้มีสิทธิ์ศึกษาพระเวทได้แก่เด็กชายจากวรรณะพราหมณ์ กษัตริย์และ ไวศยะหรือแพศย์ซึ่งต้องผ่านพิธีอุปนัยน์ (Upanayna) ตามอายุที่กำหนดแล้วจึงสามารถ ศึกษาพระเวทได้การศึกษาเป็นการท่องจำทีละบท (ศรีสุรางค์ พูลทรัพย์, 2545, น. 54) คัมภีร์อุปนิษัทจัดเป็นส่วนสุดท้ายของคัมภีร์พระเวท จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “เวทานตะ” (the end of veda) แปลว่าส่วนสุดท้ายของพระเวท เพราะเป็นส่วนที่ว่าด้วย สารัตถะและความรู้อันสูงสุด เป็นคัมภีร์ที่บรรจุคำสอนว่าด้วยความนึกคิดทางปรัชญาคือเรื่อง ความจริงทั้งที่เป็นอัตวิสัยกล่าวคืออาตมัน และภววิสัยกล่าวคือพรหมัน คัมภีร์อุปนิษัทถือได้ ว่าเป็นคัมภีร์ที่มีความสำคัญยิ่งเพราะเป็นคัมภีร์ที่แสดงให้เห็นถึงกรอบแนวคิดความเชื่อของ ชาวฮินดูเป็นคัมภีร์ที่สะท้อนให้เห็นโลกทัศน์และชีวทัศน์ที่ลุ่มลึกและกว้างไกลของชาวฮินดู ปรัชญาและศาสนาในอินเดียมีส่วนมาจากแนวคิดอันลุ่มลึกจากคัมภีร์อุปนิษัทแทบทั้งสิ้น คัมภีร์อุปนิษัทมีจำนวนมากถึง 200 กว่าบท แต่ส่วนมากเป็นคัมภีร์ที่รจนาขึ้นภายหลัง คัมภีร์ ดั้งเดิมถือกันว่ามี 108 บท ในจำนวนนี้มีคัมภีร์ที่เป็นหลักและยอมรับกันว่าเก่าจริงๆ อยู่ 14 บท (principal Upanishads) คือ ไอตเรยะ (Aitareya) เกาษีตกิ (Kauśītāki) ฉานโทคยะ (Chāndogya) เกนะ (Kena) ไตตติรียะ (Taittirīya) มหานารายณะ (Mahanarayana) กฐะ (Kaṭha) เศวตาศวตะ (Śvetāśvatara) ไมตรายนิ (Maitrāyaṇi) อีศะ(Īṣa) พฤหัทารันยกะ (Bṛhadāraṇyaka) มุณฑกะ (Muṇḍaka) ปรัศนะ (Praśna) มาณฑูกยะ (Māṇḍūkya) รจนาขึ้นประมาณศตวรรษที่ 9-4 ก่อนคริสต์ศักราช คัมภีร์เหล่านี้มีความแตกต่างกันในเชิง ประวัติศาสตร์อยู่บ้างแต่แสดงให้เห็นถึงภาษาและแนวคิดร่วมกัน เขียนเป็นภาษาร้อยแก้วใน ลักษณะบทสนทนา เต็มไปด้วยการอธิบายเชิงเปรียบเทียบ การใช้สัญลักษณ์ในรูปแบบกึ่งกวี และกึ่งปรัชญาอันมีความหมายซับซ้อน คัมภีร์อุปนิษัทมีผู้รจนาหลายท่านและต่างวาระกัน จึงมีแนวความคิดและวิธีการ เขียนแตกต่างกันไป ความแตกต่างกันนี้ปรากฏแม้ในอุปนิษัทบทเดียวกัน เมื่อพิจารณาอย่าง ผิวเผินอาจเห็นว่า ความแตกต่างนี้น่าจะเป็นอุปสรรคในการถ่ายทอดเนื้อหาของอุปนิษัท แต่ เมื่อพิจารณาความแตกต่างนี้อย่างละเอียดจะเข้าใจได้ว่า เพราะความแตกต่างและความ ขัดแย้งนี้ทำให้อุปนิษัทสามารถกระตุ้นให้เกิดแนวความคิดที่ลึกซึ้งได้ ลักษณะอันลึกลับของ อุปนิษัทเป็นแนวจูงใจในการพัฒนาแนวความคิดทางศาสนามากขึ้น ระบบปรัชญาของฮินดูที่ สำคัญทั้งหลายพัฒนาแนวความคิดไปจากอุปนิษัททั้งสิ้น และต่างอ้างว่าอุปนิษัทเป็นที่มาแห่ง แนวความคิดของตน จุดที่น่าสนใจคืออรรถกถาจารย์ทั้งหลายเห็นพ้องกันว่า อุปนิษัทสอนถึง สัจธรรมซึ่งเป็นเอกภาพ แต่วิจารณ์และให้อรรถาธิบายต่างกันไปเมื่ออธิบายถึงลักษณะแห่ง สัจธรรมนั้น หากจะวัดความยิ่งใหญ่ของหลักคำสอนในแง่ที่เป็นพลังทำให้เกิดแนวความคิด อื่นๆ ขึ้นแล้วอุปนิษัทมีคุณลักษณะนี้มากว่าสองพันปีแล้ว ในขณะที่บทสวดในคัมภีร์พระเวท มุ่งสนใจในอำนาจและธรรมชาติแห่งเทพเจ้า คัมภีร์อุปนิษัทกลับมีลักษณะตรงกันข้าม คือหันมา


| สยาม ราชวัตร สนใจในจิตวิญญาณซึ่งเป็นเรื่องภายในตัวมนุษย์เอง นอกจากนี้ลักษณะแนวความคิดที่เป็น เอกนิยม (monism) ที่ปรากฏในบทสวดของพระเวทยังได้รับการขยายความและพัฒนาไป อย่างมากในคัมภีร์อุปนิษัท แนวโน้มในบทสวดของพระเวทที่จะรวมเทพเจ้าทั้งหลายเข้าเป็น เอกภาพเดียวกัน ได้กลายเป็นประเด็นสำคัญในคัมภีร์อุปนิษัท ลักษณะความเชื่อแบบพหุเทวนิยม ซึ่งฝังรากลึกในความรู้สึกและความเข้าใจของชาวอินเดียนั้น เมื่อเทียบกันแล้วยังเป็นรอง แนวความคิดเรื่องเอกภาพในคัมภีร์อุปนิษัท เทพเจ้าทั้งหลายในคัมภีร์พระเวทนั้นเป็นเพียง ปรากฏการณ์จากพระเจ้าสูงสุดผู้ทรงมหิทธานุภาพเหนือธรรมชาติทั้งปวง และเป็นสิ่ง เดียวกับอาตมัน คำว่า “พรหมัน” หรือ “ปรมาตมัน” และ “อาตมัน” ในคัมภีร์อุปนิษัทใช้ใน ความหมายเฉพาะและต่อมาใช้ในความหมายเดียวกัน หมายถึงบ่อเกิดสรรพสิ่งซึ่งรวมทั้ง ธรรมชาติมนุษย์ด้วย ในคัมภีร์ฤคเวทมีบทสวดถึง “บุรุษ” ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น “บุรุษผู้ ยิ่งใหญ่” และได้รับการเปลี่ยนแปลงยกฐานะเป็นหลักแห่งจักรวาลในคัมภีร์อุปนิษัท สิ่งที่ได้ จากการคิดคำนึงอย่างลึกซึ้งพบว่า อาตมันหรือตัวตนนั้นเป็นหลักสำคัญที่จะทำให้มนุษย์ เข้าใจถึงความจริงแห่งจักรวาลทั้งปวงได้ ความจริงภายในและภายนอกนั้นแท้จริงแล้วเป็น อันหนึ่งอันเดียวกัน พรหมันซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งวัตถุทั้งปวงนั้นที่จริงแล้วคือ “อาตมัน” ซึ่งเป็น หลักจริงแท้แห่งวิญญาณอันจะค้นพบได้จากภายในตัวของเราเอง แนวคิดทางศาสนาใน อุปนิษัทแสดงถึงความตื่นตัวทางจิตวิญญาณอย่างชัดเจนเมื่อเปรียบกับศาสนาในรูปแบบที่ เต็มไปด้วยพิธีกรรมในสมัยพระเวท อุปนิษัทไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรงกับแนวคิดที่ว่ามนุษย์ สามารถบรรลุความหลุดพ้นโดยการประกอบพิธีบูชายัญต่างๆ ความรู้แจ้งทางศาสนาเป็นสิ่งที่ จะเข้าถึงได้โดยการรู้แจ้งในวิญญาณภาพของสรรพสิ่งทั้งปวง โดยรู้แจ้งในเอกภาพของพรหมัน และอาตมัน ในสมัยแรกการประกอบพิธีบูชายัญเป็นแนวทางที่จะนำอำนาจจากพระเจ้ามาใช้ ตามความต้องการของมนุษย์แต่ความคิดนี้เปลี่ยนไปในอุปนิษัท การบูชายัญถูกยกขึ้นอยู่ใน ระดับที่สูงกว่าและละเอียดอ่อนขึ้น โดยอธิบายว่าในการประกอบพิธีนั้น พรหมันและอาตมัน ได้ทำให้ทุกสิ่งเกิดขึ้น พิธีบูชามีความสัมพันธ์กับความประพฤติของมนุษย์ และถือว่าการ ปฏิบัติทั้งมวลของมนุษย์เป็นการถวายความจงรักภักดีต่อองค์พระเจ้าสูงสุด การประกอบ พิธีกรรมแบบพระเวทถือว่าเป็นแนวทางขั้นต่ำในการแสวงหาความหลุดพ้นและด้อยกว่า ความรู้ที่ได้รับโดยการถือพรตรักษาศีลและถวายการกระทำทั้งปวงเพื่อการรู้แจ้งในพรหมัน หากมนุษย์ตั้งมั่นอยู่ในพรหมันมากเท่าใด เขาก็ย่อมได้รับอิสรภาพมากเท่านั้น กรรมที่มนุษย์ ก่อย่อมมีผลแก่โลกและแก่ตนเองด้วย ความรู้และการฝึกฝนทางจิตอาจจะอยู่ในรูปแบบของ การสละความเห็นแก่ตัว มีการสำรวมระวังตน ด้วยการปฏิบัติดังกล่าวมนุษย์อาจสามารถ บังคับตัวตนขั้นต่ำให้อยู่ในกรอบและจะสามารถผลักดันให้รู้แจ้งในตัวตนที่สูงกว่าซึ่งเป็น ตัวตนที่แท้จริงเรียกว่าพรหมัน หากมนุษย์ยังไม่สามารถเข้าถึงตัวตนที่สูงกว่าได้ ก็ต้องกลับมา เกิดอีกตราบเท่าที่มนุษย์ยังไม่สามารถก้าวข้ามวงจรแห่งสังสารวัฏ มนุษย์ยังอยู่ในอำนาจแห่งเวลา


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | จึงต้องมีการเกิดและตายเรื่อยไปไม่สิ้นสุด อิสรภาพขั้นสมบูรณ์เท่านั้นที่จะทำให้เข้าถึงความ นิรันดรไม่ต้องกลับมาเกิดอีก การเกิดใหม่เป็นผลแห่งการเปลี่ยนแปลงสภาวะแห่งกรรมใน ชีวิตมนุษย์ที่ยังไม่รู้แจ้งในพรหมัน ความขัดแย้งประการสำคัญของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่จะต้องทำความเข้าใจคือเอกภาพอันพึงรู้แจ้งนี้เป็นสิ่งมีอยู่แล้ว หากเพียงแต่อวิทยาครอบงำ และปิดบังมนุษย์ด้วยม่านแห่งสังสารวัฏ (ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ อ้างใน ศรีสุรางค์ พูลทรัพย์ และคณะ, 2542, น. 31-32) 3.4 คัมภีร์อิติหาสะ (Itihasa) หรือ มหากาพย์ คัมภีร์อิติหาสะ เป็นคัมภีร์มีลักษณะเป็นมหากาพย์ คำว่า “อิติหาสะ” มีคำแปลว่า ตามตัวอักษรว่า (อิติ+หา + อาส) เป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่ความหมายปัจจุบันหมายถึงเรื่องราว ทางประวัติศาสตร์คำว่า “มหากาพย์” แผลงมาจากคำสันสกฤตว่า “มหากาวยะ” (Mahakavya) แต่มีความหมายต่างไปศัพท์เดิม ตามความหมายของศัพท์เดิม หมายถึง ร้อยกรอง ที่มีคุณค่าสูง มีความไพเราะด้วยศิลปะของร้อยกรองที่เรียกว่า “อลังการ” เช่นผลงานของกวี สมัยคุปตะชื่อว่ากาลิทาส สำหรับคัมภีร์ประเภทอิติหาสะหรือมหากาพย์ที่มีอิทธิพลและ ความสำคัญต่อชาวฮินดู(Great Epic Literature) มีอยู่ 2 เรื่อง คือ 1) มหากาพย์มหาภารตะ (Mahābhārata) 2) มหากาพย์รามายณะหรือรามเกียรติ์(Rāmāyaṇa) ทั้งสองวรรณกรรมนี้ ไม่มีคุณสมบัติเป็นมหากาวยะตามความหมายเดิม แต่เป็นมหากาพย์ตามมาตรฐานศัพท์ ภาษาอังกฤษว่า “epic” ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า “มหากาพย์” มหากาพย์มหาภารตะและรามายณะเป็นทั้งวรรณกรรมและคัมภีร์ทางศาสนา พราหมณ์-ฮินดูประเภท “สมฤติ” มีลักษณะเป็นสิ่งที่จดจำสืบทอดกันมา แรกทีเดียวอาจเป็น วรรณกรรมมุขปาฐะ ต่อมาได้รับการบันทึกลงเป็นลายลักษณ์อักษร หากดูตามเนื้อเรื่องส่วน ใหญ่ มหาภารตะอาจจะเก่ากว่ารามายณะ เพราะเป็นเรื่องสงครามในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ของอินเดีย เป็นบริเวณที่ชาวอารยันเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ส่วนเรื่องรามายณะมีการรบกันทางตอน ใต้ของอินเดียจึงเป็นช่วงเวลาที่ชาวอารยันเข้ามาตั้งถิ่นฐานนานแล้วพอสมควร จนขยาย อำนาจลงไปทางภาคใต้ของอินเดีย อย่างไรก็ตามมีการเล่าเรื่องรามายณะเป็นเรื่องย่อยใน มหาภารตะ ทำให้เชื่อกันว่า รามายณะเขียนลงเป็นลายลักษณ์อักษรก่อนมหาภารตะ อาจเป็นไปได้ว่าบางส่วนของมหาภารตะเก่ากว่ารามายณะ แต่มหาภารตะทั้งเรื่องนั้นเขียนลง เป็นลายลักษณ์อักษรหลังรามายณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนที่เป็นบทเสริมเช่นภควัทคีตาอาจ แต่งภายหลัง (ศรีสุรางค์ พูลทรัพย์, 2545, น. 59-60)


| สยาม ราชวัตร สำหรับประวัติความเป็นมาของมหากาพย์ทั้งสองนี้มีรายละเอียดดังนี้ มหากาพย์มหาภารตะ บางครั้งเรียกสั้นๆ ว่า ภารตะ ประพันธ์เป็นโศลกภาษา สันสกฤต ได้ชื่อว่าเป็นมหากาพย์ที่ยาวที่สุดในโลกจารึกในสมัยคุปตะ ระบุว่าเนื้อหายาวถึง 100,000 โศลก ผู้แต่งมหากาพย์เรื่องนี้คือ ฤๅษีวยาส (Vyasa) เชื่อกันว่าแต่งไว้ราว 800 ปี ก่อนคริสต์ศักราช เหตุที่มหากาพย์เรื่องนี้มีความยาวมากเช่นนี้ เพราะมีการเล่าเรื่องอันยืด ยาวที่เกี่ยวข้องกับเทพปกรณัม การสงคราม และหลักปรัชญาของอินเดีย ทั้งนี้ยังมีเรื่องย่อยๆ แทรกอยู่มากมาย ซี่งหลายเรื่องก็เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในเมืองไทย เช่น ภควัทคีตา ศกุนตลา สาวิตรีพระนล กฤษณาสอนน้อง อนิรุทธ์ เป็นต้น ทั้งนี้ ยังถือว่าเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ที่สำคัญของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูด้วย นอกจากนี้ มหาภารตะนี้ยังสอดแทรกความรู้เกี่ยวกับ ขนบธรรมเนียมประเพณี วิถีชีวิต ศาสนา การเมือง ศิลปะหลายแขนง ประวัติความเป็นมา ของวงศ์ตระกูลต่างๆ ในเรื่อง และธรรมเนียมประเพณีการรบการสงครามของอินเดียยุค โบราณด้วย มหาภารตะ เป็นเรื่องราวความขัดแย้งของพี่น้องสองตระกูล ระหว่าง ตระกูลเการพ และตระกูลปาณฑพ ซึ่งทั้งสองตระกูลต่างก็สืบเชื้อสายมาจากท้าวภรต แห่ง กรุงหัสตินาปุระ จนบานปลายไปสู่มหาสงครามที่ทุ่งกุรุเกษตร ซึ่งมีพันธมิตรของแต่ละฝ่ายเข้าร่วมรบด้วยเป็น จำนวนมาก กล่าวกันว่านี่คือการต่อสู้ระหว่าง ฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรม ความดีและความ ชั่ว ซึ่งในที่สุดแล้ว ฝ่ายปาณฑพก็เป็นผู้ชนะในสงครามครั้งนี้ ส่วนหนึ่งของมหากาพย์มหาภารตะ คือ “ภควัทคีตา” คำนี้แปลว่าบทเพลงแห่ง พระผู้เป็นเจ้า (song of God) นำเรื่องราวส่วนหนึ่งมาจากมหากาพย์มหาภารตะ ประกอบด้วยบทกวี 700 บท เป็นคัมภีร์ทางศาสนาที่มีผู้อ่านมากที่สุดเล่มหนึ่ง ถูกเขียนขึ้น น่าจะตั้งแต่ 500 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ เฉพาะในประเทศอินเดีย มีจำนวนพิมพ์มากถึงกว่า 6 ล้านฉบับ ทั้งนี้เป็นเพราะคัมภีร์ภควัทคีตาเป็นคัมภีร์ประเภท สมฤติไม่ใช่ศรุติจึงไม่มีการจำกัดผู้อ่านว่าจะต้องเป็นวรรณะพราหมณ์ วรรณะกษัตริย์และ วรรณะแพศย์ผู้ผ่านพิธีอุปนัยแล้วเท่านั้น ดังนั้นผู้หญิงและชนชั้นในวรรณะอื่นสามารถอ่าน ได้และเป็นที่แพร่หลายทั้งในและนอกประเทศอินเดีย คัมภีร์นี้มิได้มีลักษณะเป็นเอกเทศ คือมิได้แต่งขึ้นมาอย่างโดดเดี่ยวเป็นเล่มเฉพาะ เหมือนดังคัมภีร์พระเวทแต่ละเล่ม แท้ที่จริงเป็นเพียงบทสนทนาโต้ตอบระหว่างบุคคล 2 คน เป็นข้อความที่แทรกเข้ามาในบรรพที่ 6 (ภีษมบรรพ) แห่งมหากาพย์มหาภารตะ ในบท สนทนาโต้ตอบดังกล่าวนี้ ฝ่ายที่ถามปัญหาคือพระอรชุน เจ้าชายฝ่ายปาณฑพแห่งจันทรวงศ์ ซึ่งเป็นผู้นำกองทัพใหญ่มาทำสงครามแย่งชิงเมืองหัสตินาปุระจากฝ่ายเการพแห่งจันทรวงศ์ เช่นเดียวกัน ซึ่งมีเจ้าชายทุรโยธน์และกองทัพพันธมิตรมากมายเป็นศัตรูคู่สงครามด้วย ฝ่ายที่ ตอบปัญหาทั้งหมดและเป็นผู้อธิบายตลอดทั้งเรื่องก็คือ พระกฤษณะ ซึ่งเป็นพระญาติฝ่ายราช สกุลจันทรวงศ์ ในขณะที่ตอบปัญหาอันล้ำลึกดังกล่าวนั้น พระกฤษณะกำลังทำหน้าที่เป็น


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | สารถีขับรถศึกให้พระอรชุน บทสนทนาโต้ตอบนี้ถ่ายทอดออกมาโดยสญชัย ผู้เป็น เสวกามาตย์ของพระเจ้าธฤตราษฏร์ พระราชาพระเนตรบอดแห่งเมืองหัสตินาปุระ โดยมหา ฤๅษีวยาสหรือพระฤๅษีกฤษณไทวปายนะเป็นผู้ให้ตาทิพย์แก่สญชัย เพื่อแลเห็นเหตุการณ์รบ พุ่งในมหาสงครามครั้งนั้นอย่างแจ่มแจ้งทั้งๆ ที่นั่งอยู่ในพระราชวัง และคอยกราบทูล พระเจ้าธฤตราษฎร์ให้ทราบการเคลื่อนไหวทุกขณะในสมรภูมิ การที่คัมภีร์ภควัทคีตาเป็นที่รู้จักอย่างกว้าง เพราะเป็นคำสอนที่ง่ายและสะดวกแก่ การปฏิบัติตาม เนื้อหาและวิธีการเขียนเข้าใจได้ง่าย ซึ่งตรงข้ามกับเนื้อหาของอุปนิษัทที่มี ความลึกซึ้งเข้าใจได้ยาก ภควัทคีตากล่าวถึงปัญหาหลักคือ เรื่องความศรัทธาทางศาสนาและ การใช้ชีวิตอย่างมีศีลธรรม แนวความคิดลึกซึ้งทางปรัชญามีความสำคัญเป็นรองจากความ สนใจในการปฏิบัติธรรม สนใจในปัญหาว่ามนุษย์เราจะเข้าถึงและรักษาธรรมไว้ได้อย่างไร คัมภีร์ถูกเขียนขึ้นในรูปแบบบทสนทนา บรรยายถึงหน้าที่ทางศาสนาและจริยธรรมอย่าง ละเอียดและชัดเจน แม้ว่าบทสนทนานั้นจะเป็นบทสนทนาระหว่างพระกฤษณะ องค์อวตาร ของพระวิษณุ กับ พระอรชุน เจ้าชายผู้มีปัญหาขัดแย้งทางจริยธรรม คัมภีร์นี้ได้บรรยายถึง การทำงานให้บริสุทธิ์ และการรักษาหน้าที่ต่อพระเจ้า ด้วยวิธีดังกล่าวภควัทคีตาจึงมีวิธีการที่ จะบรรยายถึงสิ่งต่างๆ อย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด ประเด็นทางจริยธรรมที่ปรากฏในคัมภีร์ภควัทคีตา คือความขัดแย้งทางศีลธรรม ภายในจิตใจของพระอรชุนกษัตริย์ฝ่ายปาณฑพที่จำเป็นต้องทำสงครามกับญาติพี่น้องเพื่อ เรียกร้องสิทธิอันชอบธรรมในการครองเมืองซึ่งถูกพวกเการพแย่งชิงไป เมื่อต้องเผชิญหน้ากับ ญาติและสหายในกองทัพของฝ่ายตรงกันข้ามเช่นนั้น การตัดสินพระทัยของพระองค์ในการ ทำสงครามก็ลดถอยลงและในพระทัยของพระองค์เต็มไปด้วยความลังเล พระกฤษณะซึ่งทำ หน้าที่เป็นสารถีได้รับคำสั่งให้ขับรถศึกถอยออกไปจากสนามรบเพื่อให้พระอรชุนได้ตัดสิน พระทัย จากนั้นก็เกิดฉากสนทนาระหว่างพระอรชุนกับพระกฤษณะ โดยพระกฤษณะเตือนให้ พระอรชุนระลึกถึงธรรมคือหน้าที่ของกษัตริย์กล่าวคือต้องทำหน้าที่รบและอธิบายถึงความ จำเป็นอื่นๆ ประกอบ ในการสนทนานั้น พระกฤษณะมิได้ทรงกล่าวถึงเฉพาะเหตุการณ์ในสนามรบเท่านั้น แต่ยังได้ทรงขยายความถึงหลักแห่งการปฏิบัติโดยส่วนรวม ทรงกล่าวถึงวิธีการเข้าถึงเอกภาพ ในพระเจ้าและทรงสำแดงให้ประจักษ์แก่พระอรชุนถึงธรรมชาติที่แท้จริงอาตมันและพรหมัน ซึ่งเป็นพื้นฐานแห่งสรรพสิ่ง ทรงอธิบายโดยละเอียดในเรื่องจุดหมายในศรัทธาทางศาสนาและ จุดมุ่งหมายในชีวิตมนุษย์ในขณะที่บทสนทนาดำเนินไปนี้ พระกฤษณะได้ทรงอธิบายแก่พระอรชุน ถึงโยคะแบบต่างๆ ที่จะนำไปสู่การรวมตัวกับพระเจ้า วิธีแรกเรียกว่า “ญาณโยคะ” เป็นวิธีการใช้ความรู้ วิธีที่สองเรียกว่า “ภักติโยคะ” เป็นวิธีการอาศัยศรัทธา และวิธีที่สามคือ “กรรมโยคะ” เป็นวิธีการต้องอาศัยการกระทำ วิธีการเหล่านี้นำไปสู่จุดมุ่งหมายเดียวกันนั่นคือ การเข้าถึงสัจธรรมที่แท้จริงเรียกว่า “โมกษะ” (Moksha) หรือ “ความหลุดพ้น (liberation)


| สยาม ราชวัตร หลักแห่งการปฏิบัติที่ภควัทคีตาสอนนั้น เป็นการสร้างทางสายกลางระหว่างการละเว้น กระทำโดยสิ้นเชิง ซึ่งเป็นวิธีที่ปรากฏในคำสอนบางตอนของคัมภีร์อุปนิษัทและวิธีที่ยังฝักใฝ่ อยู่ในสังคมอันเป็นแนวทางของพวกประโยชน์นิยมซึ่งบ่อยครั้งมีความเห็นแก่ตัวเข้ามาเจือปน ในตอนแรกพระอรชุนมีแนวโน้มที่จะปฏิเสธการกระทำโดยสิ้นเชิง ละเว้นการใช้ชีวิตในโลก เพื่อหลีกหนีผลแห่งกรรมชั่ว เช่นการที่ต้องทำลายประหัตหารชีวิตเพื่อนญาติพี่น้องแม้กระทั่ง ครูอาจารย์ในสนามรบ คัมภีร์ภควัทคีตากล่าวถึงการกระทำที่มนุษย์เราต้องทำ เพราะเป็น หน้าที่เฉพาะของฐานะในสังคม การละทิ้งหน้าที่ถือว่าเป็นบาป คำว่า “ธรรม” จึงใช้ใน ความหมายของการกระทำตามหน้าที่ซึ่งผูกพันกับฐานะในสังคมตามหลักกรรมโยคะแล้ว มนุษย์ต้องมีความผูกพันกับฐานะในสังคมและปฏิบัติตามหน้าที่เฉพาะนั้นๆ โดยปราศจาก เจตนาที่มุ่งหวังผลประโยชน์เฉพาะตน ดังนั้นคัมภีร์ภควัทคีตาจึงมิได้สอนให้ปฏิเสธการ กระทำ แต่ให้รู้จักปฏิเสธการยึดมั่นในการกระทำ กรรมโยคะจึงเป็นวิธีที่จะช่วยให้มนุษย์ ยกระดับจิตขึ้นสู่การกระทำที่สูงกว่าดีกว่า สละผลที่จะได้จากการกระทำเพื่อประโยชน์สุข ทางจิตวิญญาณที่ให้ผลเป็นเลิศกว่า ในการกระทำดังกล่าว มนุษย์เราจึงจะสามารถเข้าถึงพรหมัน อันเป็นบ่อเกิดแห่งธรรมชาติทั้งปวง กรรมโยคะจึงเป็นวิธีการสนับสนุนให้มีการกระทำและ ขณะเดียวกันให้รู้จักและการยึดติดในตัวตน ทำให้อุดมคติทั้ง 2 แบบอยู่ร่วมกันได้โดยตัด ความเห็นแก่ตัวออกไป มนุษย์จึงมีการกระทำและรู้จักทำตนให้บริสุทธิ์โดยทุ่มเทความศรัทธา ให้แก่พระเจ้า (ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ อ้างใน ศรีสุรางค์ พูลทรัพย์และคณะ, 2542, น. 34-35) มหากาพย์รามายณะ เป็นวรรณคดีประเภทมหากาพย์ของอินเดีย มีคุณค่าไม่ยิ่ง หย่อนไปกว่ามหาภารตะ มีหลายสำนวนแต่ฉบับสันสกฤตซึ่งถือว่าแต่งโดย “ฤๅษีวาลมีกิ” (Valamiki) ถือเป็นฉบับที่สำคัญที่สุด โดยประพันธ์ไว้เป็นบทร้อยกรองประเภทฉันท์ภาษา สันสกฤต เรียกว่า โศลก ฉบับของวาลมีกิมีความยาวประมาณ 25,000 โศลก ต้นฉบับอาจมี อายุประมาณ 400 ปี ก่อนคริสต์ศักราช แต่ผู้เชี่ยวชาญบางท่านสรุปว่าอาจแต่งขึ้นราวปลาย พุทธกาล ต้นฉบับรามายณะของวาลมีกิมีถึง 3 สำนวน เพราะของเดิมเป็นเรื่องเล่าหรือสวดขับ สืบต่อกันมาแบบมุขปาฐะ เนื้อของมหากาพย์รามายณะแบ่งเป็น 7 ภาคหรือเรียกว่ากัณฑ์ ประกอบด้วย(1) พาลกัณฑ์(2) อโยธยากัณฑ์(3) อรัณยกัณฑ์(4) กีษกินธกัณฑ์(5) สุนทรกัณฑ์(6) ยุทธกัณฑ์(7) อุตตรกัณฑ์ รามายณะเป็นวรรณคดีที่มีการดัดแปลง เล่าใหม่ และแพร่หลายไปในหลายภูมิภาค ของเอเชีย โดยมีเนื้อหาแตกต่างกันไป และอาจเรียกชื่อแตกต่างกันไปด้วย จึงเป็นวรรณกรรม ที่มีหลายฉบับหลายสำนวน นอกจากฉบับของวาลมีกิแล้ว ยังมีรามายณะที่ปรากฏอยู่ใน วรรณกรรมพุทธศาสนา เรียกว่า ทศรถชาดก ซึ่งอาจเก่ากว่าฉบับวาลมีกิในมหาภารตะก็มี เรื่องย่อยเรียกว่า “ราโมปาขยาน” แทรกอยู่ ในคัมภีร์ปุราณะหลายคัมภีร์ก็มีเรื่องพระราม แทรกอยู่ เช่นในวิษณุปุราณะ และปัทมปุราณะ เป็นต้น ชาวอินเดียที่นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมีความเชื่อว่าพระรามเคยมีชีวิตอยู่จริงใน


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | อินเดีย เมืองอโยธยาซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของพระรามยังมีอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย ในรัฐอุตตรประเทศ เป็นไปได้ว่าพระรามอาจเป็นราชาซึ่งมีชีวิตอยู่ราว 800 – 700 ปี ก่อน คริสต์ศักราช ต่อมาจึงได้รับการยกย่องเป็นพระวิษณุอวตาร กวีอินเดียแต่งเรื่องพระรามทั้งใน ภาษาสันสกฤตและภาษาอื่นๆ ที่ใช้กันในอินเดีย กาลิทาส กวีสมัยคุปตะแต่งเรื่องของพระราม โดยให้ชื่อว่า “รฆุวงศ์” ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น “มหากาวยะ” กวีภวภูติแห่งต้น คริสต์ศตวรรษที่ 8 และยังแต่งเรื่องพระรามไว้อีก 2 เรื่อง คือ มหาวีรจรติ และ อุตตรรามจริต ในรูปของบทละคร ผลงานทั้ง 3 เรื่องกาลิทาสนี้เป็นภาษสันสกฤต นอกจากนี้ยังมีกวีที่แต่ง เรื่องรามายณะเป็นภาษาอื่นๆ เช่น ภาษากัษมีรี ในแคว้นกัษมีระหรือแคชเมียร์ (Kashmir) ภาษาทมิฬในอินเดียใต้ เรียกว่า “รามายณะของกัมพัน” (kamban) และภาษาอัสสัมใน แคว้นอัสสัม เป็นต้น ในบรรดารามายณะภาษาต่างๆ ในอินเดีย มีฉบับหนึ่งที่สำคัญและมี อิทธิพลต่อชาวอินเดียมากคือ “รามจริตมานัส” ของตุลสีทาส (Talsidas) กวีสมัยราชวงศ์โม กุล ซึ่งแต่งเป็นภาษาฮินดี อันเป็นภาษาที่ใช้กันแพร่หลายในอินเดียเหนือ คนฟังเข้าใจได้ง่าย กว่าภาษาสันสกฤต ดังนั้นผู้คนในอินเดียจึงรู้จักรามจริตมานัสกันยิ่งกว่าฉบับของวาลมีกิ (ศรีสุรางค์ พูลทรัพย์, 2545, น. 64) เนื้อหาในมหากาพย์รามายณะ เป็นคัมภีร์ที่เล่าเรื่องของพระราม เกี่ยวกับการทำศึก สงครามระหว่างฝ่ายพระรามกับฝ่ายทศกัณฐ์ (อสูร) โดยพระรามจะมาชิงตัวนางสีดา (มเหสีของพระราม) ซึ่งถูกทศกัณฑ์ลักพาตัวมา ทางฝ่ายพระรามมีน้องชาย ชื่อพระลักษณ์ และหนุมาน (ลิงเผือก) เป็นทหารเอกช่วยในการทำศึก รบกันอยู่นานท้ายที่สุดฝ่ายอสูรก็ ปราชัย เรื่องราวของพระรามทำให้วิถีแห่งฮินดูที่เป็นนามธรรมได้ปรากฏต่อจิตสำนึกของชาว ฮินดูอย่างเป็นรูปธรรม ชีวิตของพระรามเป็นชีวิตตัวอย่างของชาวฮินดู ทุกบททุกตอนของ คัมภีร์รามายณะได้ก่อให้เกิดพลังในการสร้างสรรค์สังคมชาวฮินดูอย่างยิ่งใหญ่ รวมถึง ประเทศไทยเราด้วยได้รับอิทธิพลของคัมภีร์รามายณะมาสร้างแนวคิดเชิงการปกครอง ประเทศเช่นให้มีศูนย์กลางอยู่กรุงศรีอยุธยาและมีพระมหากษัตริย์ทรงพระนามว่า รามาธิบดี ทุกพระองค์นับจากกรุงศรีอยุธยาเก่าจนกระทั่งมาถึงกรุงศรีอยุธยาใหม่คือกรุงเทพมหานครใน ปัจจุบันนี้รามายณะเมื่อแพร่หลายในหมู่คนไทยได้นำมาแต่งใหม่ในชื่อเรื่องว่า “รามเกียรติ์” แปลว่า การยกย่องพระราม การศึกษารามายณะจะรู้ถึงวิธีที่พึงปฏิบัติต่อบุคคลทุกระดับชั้น ระดับวัยที่แวดล้อม ตน รู้ถึงวิธีการปกครองคน วิธีการดำเนินชีวิตในสังคมและแม้การปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้นเพื่อ ชีวิตที่สมบูรณ์ก็เรียนรู้ได้จากคัมภีร์รามายณะ นับเป็นความสามารถอันสูงส่งของฤๅษีวาลมีกิที่ สามารถนำหลักปรัชญาในคัมภีร์พระเวทมาเรียบเรียงเป็นหลักการดำเนินชีวิตอย่างเป็น รูปธรรมทั้งทางโลกและทางธรรมด้วยลีลาแห่งศิลปะชั้นสูงทั้งด้านการกำหนดตัวละครและ ลีลาการดำเนินเรื่อง ประกอบกับคุณภาพภาษาทางวรรณกรรมของผู้ประพันธ์ จึงทำให้ผู้ ศึกษาเรื่องรามายณะนี้สามารถเข้าใจได้ง่ายชัดเจนและประทับใจในหลักคำสอนและแนว


| สยาม ราชวัตร ปฏิบัติในแง่มุมขั้นตอนต่างๆที่จะเกิดขึ้นในชีวิต กับแบบอย่างชีวิตของพระรามความประทับใจ ทำให้เกิดการซึมซับไว้โดยไม่ต้องท่องจำและเกิดพลังการบอกและถ่ายทอดต่อ จึงเป็น ความสำเร็จของฤๅษีวาลมีกิที่เผยแพร่คำสอนโดยอาศัยวรรณกรรมเชิงตำนาน ทำให้หลัก ปรัชญาและหลักธรรมที่เป็นเรื่องนามธรรมเข้าใจยากออกมาเป็นรูปธรรมที่เข้าใจง่ายและ แพร่หลายได้รวดเร็ว (สมพร สุขเกษม, 2532, น. 20) 3.5 คัมภีร์ปุราณะ (The Purāṇa) คัมภีร์ปุราณะ จัดเป็นคัมภีร์อยู่ในระดับเดียวกับคัมภีร์ประเภทอิติหาสะ คำว่า “ปุราณะ” มีความหมายว่า “เก่าแก่” (ancient, old) เพราะถือเป็นคัมภีร์ที่มีแต่โบราณกาล ตำนานปุราณะหรือนิทานโบราณเกิดขึ้นเพราะฤๅษีวยาสมุนีเห็นว่า มีคนจำนวนมากที่ไม่ สามารถเข้าใจความหมายในคัมภีร์พระเวท จึงได้เขียนตำราปุราณะ 18 เล่ม และตำราอุปปุราณะ อีก 18 เล่ม เพื่อบรรยายและอธิบายข้อความของคัมภีร์พระเวทโดยยกเอาเรื่องจริงขึ้นกล่าวและ ใช้นิทานเรื่องต่างๆ เข้าประกอบเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ตำนานปุราณะทุกเรื่องมุ่งเน้นการ จำแนกลักษณะเฉพาะและหน้าที่ของแต่ละเทพที่มีต่อมนุษย์ตำนานเหล่านี้ล้วนมีสาระสำคัญ มาจากคัมภีร์พระเวททั้งสิ้น เพียงแต่แยกออกเป็นตำนานย่อๆ เพื่อจำแนกและเน้นความ เฉพาะส่วนจากพระเวท เพื่อมุ่งปลูกฝังสร้างความประทับใจในสาระสำคัญจากพระเวทและ เพื่อสร้างศรัทธาและเผยแพร่การกระทำบูชาต่อเทพเจ้าต่างๆ โดยการเล่าเป็นเรื่องราวเชิง ประวัติศาสตร์โบราณแสดงความยิ่งใหญ่ของบุคคสำคัญหรือกษัตริย์โบราณเล่าสืบต่อกันมา บ้างก็เล่าเป็นเรื่องลี้ลับและเป็นเทพนิยาย ตำนานเหล่านี้เป็นสื่อกลางเพื่อการเผยแพร่ความรู้ ในพระเวทแก่บุคคลระดับชาวบ้านสามัญทั่วไปซึ่งเป็นประชากรมากกว่าระดับอื่นในสังคม อินเดีย ชาวบ้านเหล่านี้ไม่ใช่นักวิชาการจึงไม่สามารถเข้าใจประเด็นปรัชญาระดับสูงที่มีอยู่ใน คัมภีร์พระเวทและคัมภีร์อุปนิษัทในรูปแบบของภาษาตำราเช่นนั้นได้ดังนั้นวิธีการของตำนาน นี้ทำให้สาระสำคัญในคัมภีร์พระเวทถูกถ่ายทอดและปลูกฝังเข้าสู่การรับรู้และศรัทธาของผู้คน ได้โดยง่าย เพราะเกิดความประทับใจในเรื่องราวขณะเดียวกันก็ได้รับความบันเทิงไปด้วย นับเป็นวิธีการเผยแพร่ความเชื่อทางศาสนาที่มีผลสัมฤทธิ์สูง (สมพร สุขเกษม, 2532, น.22- 23) นักวิชาการทางศาสนา เช่น สุชีพ ปุญญานุภาพ ให้ทัศนะเกี่ยวกับคัมภีร์ปุราณะว่า ความมุ่งหมายของคัมภีร์ปุราณะคือเพื่อจะเชิดชูพระวิษณุให้เด่นกว่าเทพองค์อื่นๆ คัมภีร์ ปุราณะมี 18 ปุราณะ เป็นปุราณะว่าด้วยเรื่องราวของพระพรหม 6 ปุราณะ ว่าด้วยเรื่องราว ของพระวิษณุ6 ปุราณะ ว่าด้วยเรื่องราวของพระศิวะอีก 6 ปุราณะ แม้เรื่องราวจะดูกระจาย ไปยังเทพองค์อื่นๆ แต่ความเด่นของพระวิษณุก็ยังมีปรากฏอยู่ทั่วไป นอกจากนั้นยังมีคัมภีร์


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | อุปปุราณะคือปุราณะชั้นรองลงมาอีก 18 คัมภีร์ (สุชีพ ปุญญานุภาพ, 2541, น. 297) ลักษณะการยกย่องพระวิษณุที่โดดเด่นกว่าเทพองค์อื่นๆ ดังตัวอย่างข้อความในคัมภีร์ ภาควตปุราณะที่แปลเป็นภาษาอังกฤษไว้เพื่อแสดงให้เห็นวิธีเทิดทูนพระวิษณุของคัมภีร์ ปุราณะว่ามีอยู่อย่างไร เช่น “การโต้เถียงกันถึงข้อที่ว่า บรรดาพระผู้เป็นเจ้าทั้ง 3 องค์ กล่าวคือพระพรหม พระวิษณุและพระศิวะ องค์ไหนจะยิ่งใหญ่ที่สุด ได้เกิดขึ้นในระหว่างพระฤๅษี ทั้งหลาย ท่านเหล่านั้นจึงพากันไปให้พระภฤคุ มหาฤๅษีตนหนึ่งในมหาฤๅษีทั้ง 10 ซึ่งพระมนุ พระองค์องค์แรกได้สร้างขึ้น ให้ช่วยตัดสินให้ พระภฤคุจึงดำเนินการทดสอบอย่างสำคัญแก่ พระผู้เป็นเจ้าทั้ง 3 องค์ทันที เบื้องต้นได้ไปหาพระพรหมและได้แกล้งทำเป็นไม่แสดงความเคารพ ในการนี้พระพรหมทรงโกรธเคืองอย่างยิ่ง แต่ก็ทรงอดกลั้นไว้กว่าจะสงบก็กินเวลานาน จากนั้นพระฤๅษีได้ไปยังที่อยู่ของพระศิวะ ณ เขาไกรลาศ พระศิวะแสดงความเคารพก่อน แต่ พระฤๅษีไม่แสดงความเคารพตอบ พระศิวะทรงพระพิโรธอย่างยิ่ง พระเนตรลุกเป็นไฟและ ทรงยกตรีศูลขึ้นเงื้อง่าจะประหารพระฤๅษี แต่พระนางปารวตีผู้เป็นมเหสีได้หมอบแทบเท้า ของพระองค์ ทรงขอร้องให้คลายพิโรธ จากนั้นพระภฤคุฤๅษีก็ได้ไปยังวิมานไวกูณฐ์ คือสวรรค์ ที่ประทับของพระวิษณุ ได้พบว่าพระวิษณุบรรทมหลับ พระเศียรหนุนตักพระนางลักษมีผู้เป็นมเหสี ของพระองค์ เพื่อที่จะทดลองขันติธรรมของพระวิษณุ พระฤๅษีก็กระทืบลงไปที่พระอุระของ พระวิษณุอย่างไม่เกรงกลัว พระวิษณุทรงตื่นขึ้น แทนที่จะแสดงพระอาการโกรธเกรี้ยวกลับ ทรงลุกขึ้นและเมื่อเห็นพระฤๅษีภฤคุแล้ว ก็ทรงขอโทษที่มิได้ทรงต้อนรับเมื่อมาถึงครั้งแรก ต่อจากนั้นพระวิษณุทรงแสดงพระองค์ว่าได้รับเกียรติอย่างสูงโดยการกระทืบของพระฤๅษี ทรงประกาศว่าได้ประทับรอยอันถาวรแห่งสวัสดิมงคลไว้ ณ พระอุระของพระองค์ แล้วตรัสถาม อย่างอ่อนโยนว่า เท้าของพระฤๅษีเจ็บปวดบ้างหรือไม่ ต่อจากนั้นก็ทรงค่อยๆ นวดเท้าให้ พระฤๅษีจึงกล่าวว่า พระวิษณุนี้แหละคือเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด ทรงมีพระอภิเดชโดยอานุภาพ อันยิ่งใหญ่กว่าอาวุธทั้งปวง คือความสุภาพอ่อนโยนและความโอบเอื้ออารี (สุชีพ ปุญญานุภาพ, 2541, น. 298-299) ลักษณะสำคัญของคัมภีร์ปุราณะแต่ละคัมภีร์ จะมีลักษณะเนื้อหา 5 ประการ เรียกว่า “ปัญจลักษณะ” ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของคัมภีร์ปุราณะ ประกอบด้วย(1) เรื่องประวัติความ เป็นมาของเอกภพ (2) เรื่องความพินาศและการสร้างเอกภพใหม่อีก (3) เรื่องการกำเนิดแห่ง เทพเจ้าและมหาฤๅษีทั้งหลาย (4) เรื่องการอวตารของเทพเจ้า (5) ประวัติศาสตร์สุริยวงศ์และ จันทรวงศ์แห่งกษัตริย์ทั้งหลายแต่อย่างไรก็ตามในคัมภีร์ปุราณะบางฉบับ เช่นภควตะปุราณะ ได้เพิ่มลักษณะของคัมภีร์ปุราณะอีก 5 ประการ ได้แก่ (1) อุทยะ ผลของกรรมที่เกี่ยวเนื่องกัน ระหว่างเทพ ฤๅษี กษัตริย์ และสรรพสิ่งต่างๆ (2) อิศนุกถา นิทานต่างๆเกี่ยวกับเทพ (3) นิโรธะ บทสรุป การจบสิ้น (4)มุกติโมกษะ การหลุดพ้นทางจิตวิญญาณ (5) อศรยะ การพำนัก มองภาพรวมคัมภีร์ปุราณะเปรียบเสมือนสารานุกรม เนื่องจากได้รวบรวมองค์ความรู้ ต่างๆไว้อาทิ ทฤษฎีการกำเนิดจักรวาล จักรวาลวิทยา วงศาวิทยาของเทพเจ้าต่าง รวมทั้ง


| สยาม ราชวัตร กษัตริย์และวีรบุรุษต่างๆ ฤๅษีและมหาฤๅษี สัตว์ในเทวตำนาน นิทานปรัมปรา การจาริกแสวงบุญ วิหารต่างๆ การแพทย์ ดาราศาสตร์ ไวยากรณ์ แร่วิทยา เทววิทยา และปรัชญา ซึ่งเนื้อหาใน คัมภีร์ปุราณะไม่ได้เรียบเรียงอย่างเป็นหมวดหมู่ หากแต่รวบรวมหลากหลายเรื่องราวเข้าไว้ใน คัมภีร์ปุราณะหนึ่งๆ สำหรับหลักฐานของผู้ประพันธ์คัมภีร์ปุราณะนั้นไม่สามารถระบุได้อย่าง ชัดเจน เพราะสันนิษฐานว่าเกิดจากการประพันธ์ของผู้แต่งหลายๆคนในช่วงหลายศตวรรษที่ ผ่านมา จึงถือได้ว่าคัมภีร์ปุราณะเป็นวรรณกรรมที่ทรงคุณค่าต่อการศึกษาค้นคว้าเรื่องราวใน สมัยโบราณของอินเดีย 3.6 คัมภีร์อาคม (The Āgamas) คำว่า “อาคม” เรามักจะคุ้นเคยว่าเป็นลักษณะของศาสนาแบบไสยศาสตร์ที่ เกี่ยวข้องกับพลังอำนาจลึกลับภายนอก ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายว่า “เวทมนตร์ บางทีใช้คู่กับ คาถา เป็นคาถาอาคม” (2538, น. 938) สำหรับ คัมภีร์ประเภทอาคม หรือเรียกอีกชื่อว่าคัมภีร์ตันตระหรือลัทธิภักดีในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นคัมภีร์ที่แพร่หลายและมีอิทธิพลต่อชาวฮินดูมากที่สุดอีกคัมภีร์หนึ่ง ทั้งนี้เพราะว่าอาคม เป็นคัมภีร์ที่แสดงเรื่องราวของเทพเจ้าองค์ต่างๆ และเป็นทฤษฎีเชิงปฏิบัติเพื่อการบูชาเทพเจ้า องค์ประกอบที่สำคัญของคัมภีร์อาคมจะมี 3 ประการคือ 1) ตันตระ (tantras) เป็นส่วนที่ว่า ด้วยเทพเจ้าและพลังอันลี้ลับของพระองค์2) มันตระ (mantras) เป็นส่วนที่ว่าด้วยบทมนต์ คาถาอันเป็นวิธีเข้าถึงพลังลึกลับของเทพเจ้า 3) ยันตระ (yantra) คือรูปแบบสัญลักษณ์ของ มันตระ หรือรูปทรงเรขาคณิตแบบต่างๆ รวมทั้งอาจร่วมกับอักขระภาษาสันสกฤตที่มีตาม ความเชื่อลึกลับในคัมภีร์พระเวท ทั้ง 3 ส่วนนี้จะประกอบกันเข้าเพื่อเป้าหมายคือพลังอำนาจ ที่ก่อให้เกิดความรุ่งเรืองและความสำเร็จในกิจการทั้งหลาย นอกจากนี้เนื้อหาสาระของคัมภีร์ จะประกอบด้วย (1) ญาณ ภาคความรู้(2) โยคะ ภาคการทำสมาธิ(3) กริยา ภาคการบูชา (4) จรรยา ภาคความประพฤติ อีกประการในคัมภีร์อาคมยังประกอบด้วยความรู้และรายละเอียดของวิชาเกี่ยวกับ ความจริงของสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในจักรวาล (ontology) และความรู้เกี่ยวกับจักรวาล (cosmology) ตลอดจนวิธีการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น (liberation) การบำเพ็ญสมาธิและ การบูชาพระเจ้าด้วยการอุทิศและการสละตัวตน คัมภีร์อาคมจำแนกออกเป็น 3 อาคม ตามลัทธิใหญ่ๆ 3 ลัทธิ คือ (1) ไวษณวอาคม (2) ไศวอาคม และ (3) ศักตอาคม ซึ่งเป็นฐานให้เกิดนิกายใหญ่ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู คือ วิษณุนิกาย (Vaishnavism) ไศวนิกาย (Shaivism) และศักตินิกาย (Shaktism) แต่ละอาคม มีรายละเอียดดังนี้(ประมวล เพ็งจันทร์ และคณะ, 2547, น. 61)


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | 1) ไวษณวอาคม (Vaishnava Agamas) เป็นคัมภีร์ว่าด้วยพระวิษณุ ชาวฮินดูที่ เป็นกลุ่มไวษณพนิกายเชื่อว่า ไวษณวอาคม เป็นสิ่งที่พระวิษณุได้แสดงและเปิดเผยแก่บุคคลที่ เคารพศรัทธาในพระองค์ อาคมนี้จึงเป็นคัมภีร์สำคัญของไวษณพนิกาย 2) ไศวอาคม (Shaiva Agamas) เป็นคัมภีร์ว่าด้วยเรื่องราวของพระศิวะและพลัง อำนาจของพระองค์อาคมนี้จึงเป็นคัมภีร์ที่สำคัญของไศวนิกาย 3) ศักตอาคม (Shakta Agamas) เป็นคัมภีร์ว่าด้วยรหัสนัยแห่งพลังลึกลับที่ เรียกว่า “ศักติ” เนื้อหาของคัมภีร์นี้ส่วนมากเป็นการแสดงในรูปของบทสนทนาถามตอบ ระหว่างพระศิวะและพระนางปารวตีในบทสนทนานั้นจะสอนวิธีปฏิบัติเพื่อการเสริมพลัง อำนาจ เพื่อความรู้และเพื่อความหลุดพ้น ถือกันว่าศักติคือพลังที่เกิดขึ้นโดยพระศิวะ ลัทธินี้ จึงเป็นลัทธิที่เสริมเข้ากับไศวนิกาย อาคมนี้จึงเป็นคัมภีร์ที่สำคัญของศักตินิกาย 3.7 คัมภีร์ทัศนะ (The Darshanas) คัมภีร์ทัศนะ เป็นคัมภีร์ว่าด้วยแนวคิดทางปรัชญาที่มุ่งอธิบายเกี่ยวกับความจริง ความรู้ และข้อปฏิบัติให้สอดคล้องกับความจริงที่ได้รู้มา ถือว่าเป็นภาคแห่งปัญญาของ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูคัมภีร์ทัศนะแบ่งตามระบบปรัชญาอินเดียสาย “อาสติกะ” (orthodox) ปรัชญาอินเดียระบบนี้มีความเชื่อเรื่องพระเจ้า หรือบางสำนักไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าแต่ ก็เชื่อเรื่องความขลังความศักดิ์สิทธิ์ของคัมภีร์พระเวทก็ถูกจัดอยู่ในระบบอาสติกะ มีทั้งหมด 6 สำนัก (six schools) ด้วยกัน คือ นยายะ ไวเศษิกะ สางขยะ โยคะ มีมางสา และเวทานตะ ทั้ง 6 สำนักนี้ถือว่าได้รับอิทธิพลจากคัมภีร์พระเวทโดยตรง คัมภีร์ทัศนะทั้ง 6 นี้ เป็นสื่อกลาง ในการถ่ายทอดความเชื่อที่มีในพระเวทให้แก่กลุ่มบุคคลที่มีการศึกษา มีวิจารณญาณ มีเหตุผล และมีสติปัญญาในการไตร่ตรอง แต่ละสำนักต้องการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง หลักธรรมและข้อปฏิบัติในศาสนาพราหมณ์รูปแบบเดิมมาสู่ความเป็นศาสนาพราหมณ์-ฮินดู รูปแบบใหม่ที่มีลักษณะเชิงปรัชญามากขึ้น 1) นยายะทัศนะ หรือปรัชญานยายะ (Nyaya) ว่าด้วยกระบวนวิธีในการสืบ ค้นหาความรู้ท่านฤๅษีโคตมะ ผู้เขียนนยายสูตร เป็นผู้ก่อตั้งปรัชญานี้สำนักปรัชญานี้ เน้นหนักความคิดแบบตรรกะ และวิธีการหาความรู้ วิธีการหาความรู้นั้นคือใช้ความคิด วิพากษ์วิจารณ์วิเคราะห์ความจริงในรูปแบบต่างๆ ถ้ามองในแง่นี้นักปรัชญานยายะจึงเป็นสัจนิยม เชิงตรรกะ (Logical Realism) เพราะมีหลักการว่าความจริงที่ยอมรับได้ต้องมีเหตุผล สามารถอธิบายได้ด้วยหลักของเหตุผล ความจริงทั้งหมดจึงต้องอยู่บนพื้นฐานของหลัก ตรรกศาสตร์และผลลัพธ์ทางการวิเคราะห์ (S. Chatterjee and Dh. Datta.,1968, p. 170 อ้างในประยงค์ แสนบุราณ, 2547, น.121) คัมภีร์ที่สำคัญของปรัชญาสำนักนี้คือ “คัมภีร์


| สยาม ราชวัตร นยายสูตร” (Nyāya Sūtras) เป็นหนังสือ 5 เล่ม แต่ละเล่มแบ่งเป็น 5 ภาค ต่อมาท่านวาต สยายนะได้แต่งนยายภาษยะ ขยายความในนยายสูตร ท่านวุทโทยตกรแต่งวารติกะขยาย ความในนยายภาษยะ และท่านวาจัสปติได้แต่งตาตปรยฎีกาขยายความในวารติกะอีกต่อหนึ่ง วรรณกรรมทั้งหมดเหล่านี้ทำให้ปรัชญานยายะสมบูรณ์และเจริญแพร่หลาย แต่ผู้ที่ทำให้นยายะ กลายเป็นตรรกศาสตร์ที่ทันสมัยนั้นได้แก่ท่านคังเคศ ผู้แต่งตัตวะจินตามณี นอกจากนี้ยังมีนัก ตรรกศาสตร์ที่สำคัญช่วยให้ปรัชญาสำนักนี้เจริญรุ่งเรืองตลอดมา คือท่านวาสุเทวะ ท่านรฆุนาถ ท่านมธุรานาถ ท่านชคทิศ และท่านคทาธร (อดิศักดิ์ ทองบุญ, 2532, น.144) 2) ไวเศษิกะทัศนะ หรือปรัชญาไวเศษิกะ (Vaisheshika) ว่าด้วยลักษณะแห่ง ความเป็นจริง ท่านฤๅษีกนาทะ เป็นผู้ก่อตั้งปรัชญานี้ได้เขียนไวเศษิกะสูตรขึ้น สูตรนี้ถือเป็น หลักฐานทางปรัชญาของสำนักนี้แนวความคิดของสำนักนี้ให้ความสำคัญในสสารอมตะ สสาร เหล่านั้น คืออากาศธาตุอวกาศ เวลา ชีวาตมัน อวัยวะภายใน และปรมาณูของธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมว่าเป็นสิ่งอมตะ และถือว่าสสารอันติมะเหล่านี้ไม่มีใครสร้าง มีเองเป็นเอง ใครทำลายไม่ได้ แต่ละอย่างมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ไม่มีสสารอันใดเหมือนกัน และ ทั้งหมดเหล่านี้คือ “มูลการณะ” ของโลก สรรพสิ่งในโลกและจักรวาลมีลักษณะพิเศษอย่างนี้ จึงเรียกว่า “ไวเศษิกะ” บางครั้งปรัชญาสำนักนี้ถูกเรียกว่า “สัจนิยมเชิงพหุ” (Pluralistic Realism) เพราะยืนยันว่าสิ่งแท้จริงที่เป็นมูลการณะของจักรวาลนั้นมีจำนวนมากมายและสิ่ง เหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะอำนาจการสร้างของพระเจ้า ปรัชญาสำนักนี้เน้นที่พหุภาพเภท ภาพของสสารและปัจเจกวิญญาณ และลักษณะพิเศษอีกอย่างหนึ่งคือคำสอนเรื่อง “อะตอม” (Jadunath Sinha,1992, p.160 อ้างในประยงค์ แสนบุราณ, 2547, น. 153) 3) สางขยะทัศนะ หรือปรัชญาสางขยะ (Samkhya) ว่าด้วยการอธิบายให้เข้า ใจความเป็นจริง ท่านกบิลมหามุนี ผู้เขียนสางขยะสูตร เป็นผู้ก่อตั้งปรัชญานี้คำว่า “สางขยะ” แปลว่า “จำนวนหรือการนับ” ที่ใช้คำว่าสางขยะเรียกสำนักปรัชญานี้ก็เพราะเป็นปรัชญาที่มุ่ง แสวงความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับความเป็นจริงโดยจำแนกการรับรู้ออกเป็นจำนวนมากมายถึง 25 ชนิด อีกความหมายหนึ่ง คำว่า “สางขยะ” หมายถึงความรู้ที่ถูกต้อง คำนี้ได้จากศัพท์ สันสกฤตว่า สมฺยคฺ ขยาติ แปลว่า ความรู้ที่ถูกต้อง เพราะหมายถึงความรู้ที่รู้จักแยกปุรุษะ ออกจากประกฤติเมื่อใดปุรุษะเป็นอิสระ ไม่ถูกประกฤติครอบงำ ปุรุษะก็จะเข้าสู่ภาวะดั้งเดิม ของตน พ้นจากเครื่องพันธนาการทั้งหลายคือเป้าหมายของชีวิต (ประยงค์ แสนบุราณ, 2547,น.85) ปรัชญาสางขยะอธิบายว่า ประกฤติ คือสสารดั้งเดิม เป็นมูลการณะของสรรพสิ่ง ทางวัตถุ เป็นความจริงแท้ทางวัตถุ ส่วนปุรุษะคือความจริงแท้ทางวิญญาณ เป็นตัวอาตมัน ซึ่งหมายถึงจิต เป็นธาตุรู้ที่มีความรู้สึกนึกคิดได้เป็นฐานความรู้ทุกอย่าง ประกฤติและปุรุษะมี ลักษณะต่างกันอย่างตรงกันข้าม แต่ก็สัมพันธ์กันอย่างขาดไม่ได้ เมื่อประกฤติและปุรุษะ สัมพันธ์กันจึงเกิดวิวัฒนาการของโลกและจักรวาล คัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับปรัชญาสางขยะก็มี บรรดานักปราชญ์ที่สำคัญของสำนักนี้แต่งคัมภีร์ขยายความต่อมา เช่น ท่านอิศวรกฤษณะ


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | ประมาณ พ.ศ. 700 ได้แต่งคัมภีร์สางขยการิกา ซึ่งเป็นคัมภีร์เก่าแก่ของสางขยะที่เหลือมาจน ทุกวันนี้ท่านเคาฑปาทะ ประมาณ พ.ศ. 1300 ซึ่งเป็นอาจารย์ของท่านศังกราจารย์ ได้แต่ง อรรถกถาขึ้นเล่มหนึ่งขยายความคัมภีร์สางขยการิกา โดยให้ชื่อว่า “สางขยะการิกาภาษยะ” ท่านวาจัสปติมิสรา ประมาณ พ.ศ. 1500 ได้แต่งอรรถกถาอีกเล่มหนึ่งเพื่อขยายความคัมภีร์ สางขยการิกา โดยให้ชื่อว่า “สางขยตัตตวเกามุที” ท่านอนิรุทธะ ประมาณ พ.ศ. 2000 ได้ แต่งคัมภีร์อรรถกถาขยายความในสางขยะประวจนสูตร โดยให้ชื่อว่า “สางขยะ-ประวจนสูตรวรรตติ”ต่อมาท่านวิชญาณ ประมาณ พ.ศ. 2100 ได้แต่งคัมภีร์อรรถกถาเพื่ออธิบาย ความต่ออีก โดยให้ชื่อว่า “สางขยะ-ประวจน-ภาษยะ” โดยบรรจุข้อความทำนองเทวนิยมเข้า มาเพื่อให้ปรัชญาสางขยะมีสาระสำคัญดังสมัยแรกๆ (อดิศักดิ์ ทองบุญ, 2532, น.187) 4) โยคทัศนะ หรือปรัชญาโยคะ (Yoga) ว่าด้วยการปฏิบัติเพื่อให้บรรลุถึงความ เป็นจริง ท่านมหาฤๅษีปตัญชลี เป็นผู้ก่อตั้งปรัชญานี้ปรัชญาโยคะมีความสัมพันธ์กับปรัชญา สางขยะ กล่าวคือปรัชญาสางยะถือเป็นภาคทฤษฎีว่าด้วยแนวความคิด ส่วนปรัชญาโยคะเป็น ภาคการปฏิบัติว่าด้วยหลักการปฏิบัติความมุ่งหมายของการปฏิบัติโยคะ คือการควบคุมจิต ได้อย่างสมบูรณ์และบรรลุถึงความหลุดพ้น ปรัชญาโยคะจึงเน้นเรื่องความรู้และการปฏิบัติ บริกรรมว่าเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์ถึงอิสรภาพโดยสมบูรณ์แนวความคิดอธิบายว่าปุรุษะ (จิต) และประกฤติ(สสาร) เหมือนที่ปรัชญาสางขยะได้กล่าวไว้และเน้นว่าพระผู้เป็นเจ้ามี ความสัมพันธ์กับปุรุษะและประกฤติ ถ้าไม่มีพระผู้เป็นเจ้าประกฤติก็วิวัฒนาการไม่ได้ ปุรุษะก็ บรรลุความหลุดพ้นไม่ได้ท่านปตัญชลีให้ความหมายคำว่า “โยคะ” หมายถึง วิริยะ หรือ ความพากเพียร นั่นคือความพากเพียรเพื่อแยกปุรุษะออกอย่างเด็ดขาดจากประกฤติเพื่อให้ ปุรุษะซึ่งเป็นวิญญาณบริสุทธิ์เข้าถึงสถานะแห่งโมกษะ มุ่งเน้นที่ความพากเพียรพยายาม บำเพ็ญเพียรเพื่อทำลายอวิชชาให้หมดไป เมื่ออวิชชาหมดไป วิชชาก็เกิดขึ้น เมื่อวิชชาเกิดขึ้น แล้ว ปุรุษะก็จะรู้แจ้งด้วย เมื่อปุรุษะรู้แจ้งตน ประกฤติก็จะครอบงำมันไม่ได้ ปุรุษะก็จะหยุด การเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ (ประยงค์ แสนบุราณ, 2547, น. 106) คัมภีร์ที่สำคัญของ สำนักปรัชญานี้คือ “คัมภีร์โยคสูตร” เป็นคัมภีร์แม่บทของปรัชญาโยคะ บางที่เรียกว่า “ปรัชญาปตัญชลี” แบ่งเนื้อหาเป็น 4 ภาคด้วยกัน คือ ภาคที่ 1 เรียกว่า “สมาธิปาทะ” ว่า ด้วยลักษณะและประโยชน์ของสมาธิภาคที่ 2 เรียกว่า “สาธนาปาทะ” ว่าด้วยวิธีที่จะดำเนิน ไปสู่สมาธิ ภาคที่ 3 เรียกว่า “วิภูติปาทะ” ว่าด้วยอำนาจพิเศษเหนือธรรมชาติซึ่งสามารถจะ ได้มาโดยวิธี และภาคที่ 4 เรียกว่า “ไกวัลยปาทะ” ว่าด้วยลักษณะแห่งโมกษะ และความจริง เกี่ยวกับปุรุษะสูงสุดหรืออุตตมะ ปุรุษะ (อดิศักดิ์ ทองบุญ, 2532, น. 212)


| สยาม ราชวัตร 5) มีมางสาทัศนะ หรือปรัชญามีมางสา (Mimamsa) ว่าด้วยความเป็นจริงและ ชีวิต ปรัชญานี้มีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า “ปูรวมีมางสา” แปลว่า “มีมางสาก่อน” เป็นปรัชญาคู่กับ “อุตรมีมางสา” ซึ่งก็คือปรัชญาเวทานตะ ท่านไชมินิผู้เป็นศิษย์ของท่านวยาสะ เกิดประมาณ พ.ศ. 100 กล่าวกันว่าท่านได้รับคัมภีร์สามเวทจากครูของท่านและได้เป็นผู้ประกาศเผยแพร่ และสอนคัมภีร์นั้นด้วย เป็นผู้ก่อตั้งปรัชญามีมางสานี้ ได้แต่งคัมภีร์ “มีมางสาสูตร” (Mīmāṃsā Sutras) เพื่อประกาศแนวความคิดของตน คัมภีร์นี้ถือว่าเป็นคัมภีร์แรกของ สำนักนี้ ต่อมามีนักปรัชญารุ่นหลังหลายท่านได้เขียนคัมภีร์เพื่ออธิบายแนวคิดของสำนักนี้เช่น ท่านศพรสวามี ประมาณ พ.ศ. 800 แต่งคัมภีร์ “ศพรภาษยะ” (Śabara Bhāṣya) เพื่อขยาย ความในคัมภีร์มีมางสาสูตร ท่านกุมาริล ภัฏฏะ (Kumārila Bhaṭṭa)ประมาณ พ.ศ.1200 ผู้ก่อตั้งสำนักภัฏฏะได้แต่งโศลกวารติกะ (Shlokavartika) ตันตรวาติกะ(Tantravartika) และฏัปติกะ(Tuptika) เพื่อขยายความในคัมภีร์มีมางสาสูตรเช่นเดียวกัน สำหรับโศลกวาร ติกะมีความสำคัญทางปรัชญามากที่สุด คัมภีร์ที่ท่านกุมาริลได้แต่งไว้นี้ศิษยานุศิษย์ของท่าน ได้แต่งอรรถกถาธิบายความอีกมากมายจนมีคนมาศรัทธาเลื่อมใสเป็นจำนวนมาก อีกนิกาย หนึ่งคือท่านประภากร (Prabhākara) ประมาณ พ.ศ. 1200 ผู้ก่อตั้งสำนักประภากรขึ้นได้ แต่งคำอธิบายมีชื่อว่า “พฤหติ”(Bṛhatī ) เพื่อขยายความในคัมภีร์ศพรภาษยะของท่านศพรสวามี (อดิศักดิ์ ทองบุญ, 2532, น. 230) แนวคิดภาพรวมของสำนักปรัชญานี้ มีความเชื่อว่า ความจริงมี 2 ชนิด คือ ความจริงทางวัตถุวิสัยและความจริงทางจิตวิสัย วัตถุภายนอกที่เราเห็นได้รู้ได้นี้มี อยู่จริง และยอมรับว่าจิตหรืออาตมันซึ่งเป็นผู้นึกคิดและเป็นตัวการในการกระทำกรรม ทั้งหลายมีอยู่จริง ความจริงทางวัตถุวิสัยมีสภาพไม่เที่ยงแท้เป็นอนิจจังและทุกขัง ส่วนอาตมัน เป็นสภาพที่เที่ยงแท้เป็นอมตะไม่ตาย เมื่อร่างกายแตกดับไปอาตมันในร่างกายจะออกไปสู่ ร่างใหม่ อาตมันจะที่ทำกรรมดีไม่ว่าจะเป็นการสวดมนต์และการบูชายัญที่ถูกต้องจะไปสู่สุคติ โลกสวรรค์ 6) เวทานตะทัศนะ หรือปรัชญาเวทานตะ (Vedanta) ว่าด้วยความเป็นจริงและ เป้าหมายสูงสุดของชีวิต คำว่า “เวทานตะ” แปลว่า “ที่สุดแห่งพระเวท” เป็นชื่อเรียกของ คัมภีร์อุปนิษัท ซึ่งถือเป็นที่สุดของคัมภีร์พระเวท หรือเป็นพัฒนาการขั้นสุดท้ายของคัมภีร์ พระเวท ปรัชญาสำนักนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า “อุตรมีมางสา” คู่กับปรัชญามีมางสาข้างต้นซึ่ง ก็มีชื่อเรียกว่า “ปูรวมีมางสา” คัมภีร์ที่สำคัญของสำนักปรัชญานี้ คือ “พรหมสูตร” (Brahma sūtras) ผู้แต่งคือท่านพาทรายณะ (Bādarāyaṇa) ด้วยเห็นว่าอุปนิษัทเหล่านี้มีเนื้อหา แตกต่างกันมากมาย จึงย่อใจความสำคัญของคำสอนอุปนิษัทไว้ในคัมภีร์พรหมสูตร ท่านแบ่ง เนื้อหาของคัมภีร์นี้ออกเป็น 4 บท คือ (1) บทที่หนึ่งว่าด้วยสมวายะ (Samanvaya : harmony) คือการเชื่อมนัยกัน ของหลักธรรมในคัมภีร์อุปนิษัท (2) บทที่สองว่าด้วยวิโรธะ (Avirodha : non-conflict, non-contradiction)


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | คือความไม่ขัดแย้งกันทางทฤษฎีและกฎที่ได้ตั้งไว้แล้ว (3) บทที่สามว่าด้วยสาธนะ (Sādhana: the means) คือวิธีการที่จะศึกษาให้รู้ แจ้งสัจธรรม (4) บทที่สี่ว่าด้วยผล (Phala: the result) คือสิ่งที่จะพึงได้จากการศึกษาตาม วิธีการดังกล่าว จะเห็นว่าพรหมสูตรที่ท่านพาทรายณะกล่าวไว้ทั้ง 4 บทนี้เป็นการยกย่องอุปนิษัทถึง 108 อุปนิษัทหรือ 200 อุปนิษัท ไว้ในหนังสือเล่มเดียว จึงเป็นการย่อมากเกินไปจนทำให้ไม่ เข้าใจความหมายของอุปนิษัทได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีปราชญ์พยายามตีความพรหมสูตรโดยแต่ง คัมภีร์ภาษยะหรืออรรถกถาขึ้น ปราชญ์แต่ละท่านก็คิดว่าอรรถกถาของตัวเองถูกของคนอื่น ผิด ต่างคนต่างก็ไม่ยอมรับความคิดของกันและกัน และแต่ละท่านก็มีลูกศิษย์มากมายคอย สนับสนุนคอยขยายเนื้อความช่วย นี่แหละคือบ่อเกิดปรัชญาเวทานตะ นักปราชญ์ที่แต่ง คัมภีร์ภาษยะมีจำนวนมาก เช่น ท่านศังกราจารย์(Shankaracharya) ตีความสัจภาพว่า ชีวาตมันกับพรหมันเป็น สิ่งเดียวกัน ไม่มีความเป็นสองในสัจภาวะอันนี้ ทัศนะอย่างนี้เรียกว่า “อไทวตะเวทานตะ” (Advaita Vedanta: non-dualistic) หรือ “เอกนิยม” (monism) ท่านรามานุชาจารย์(Ramanujacharya) ตีความสัจภาพว่า ชีวาตมันกับพรหมัน เป็นสิ่งเดียวกัน ต่างกันแต่เพียงว่า ชีวาตมันมีลักษณะไม่สมบูรณ์ เพราะเป็นภาคหรือส่วนของ พรหมัน ส่วนพรหมันเป็นสิ่งสมบูรณ์ เพราะเป็นมวลรวม ทั้งสองมีความสัมพันธ์กันในฐานะ ภาคกับมวลรวมของภาคทั้งหมด ทัศนะอย่างนี้เรียกว่า “วิศิษฏาไทวตะ เวทานตะ” ( the theistic Vishishtadvaita Vedanta) หรือ “วิเสสเอกนิยม” (Qualitified Monism) ท่านมัธวาจารย์(Madhvacharya) ตีความสัจภาพว่า ชีวาตมันและพรหมันเป็น องคภาวะคนละอย่างกันไม่อาจนำมาร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ทัศนะอย่างนี้ เรียกว่า “ไทวตะ เวทานตะ” (Dvaita Vedanta) หรือ “ทวินิยม” (Dualism) ทั้ง 3 สำนักนี้ เป็นตัวชี้ให้เห็นว่านักปราชญ์ทั้ง 3 ท่านนี้มองสัจภาวะแตกต่างกันไป และมิใช่เพียง 3 สำนักนี้เท่านั้น ยังมีนักปราชญ์อีกมากมายที่ตีความสัจภาวะในคัมภีร์พรหม สูตรของท่านพาทรายณะต่างกัน (ประยงค์ แสนบุราณ, 2547, น. 209-210)


| สยาม ราชวัตร 3.8 วรรณกรรม วรรณกรรมศาสนาพราหมณ์-ฮินดู แบ่งออกได้เป็นหลายประเภท ประกอบด้วย ประเภทสุภาษิต ประเภทกาพย์ และประเภทนาฏกะ (ประมวล เพ็งจันทร์ และคณะ, 2547, น. 62-63) แต่ละประเภทมีรายละเอียด ดังนี้ 1) ประเภทสุภาษิต เป็นวรรณกรรมที่รวบรวมคำกล่าวอันมีคุณค่าของบรรดา นักปราชญ์ทั้งในรูปแบบของร้อยแก้วและร้อยกรอง วรรณกรรมประเภทสุภาษิตนี้มี ความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตของชาวฮินดูในแง่ของการให้แนวทางการมองชีวิตและแนวทางการ ตัดสินใจทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน วรรณกรรมสุภาษิตนี้มีจำนวนมากและไม่มี ข้อจำกัดว่าจะต้องกล่าวถึงเรื่องใดบ้าง ในบรรดาจำนวนวรรณกรรมสุภาษิตจำนวนมากนั้นมี หลายวรรณกรรมที่คนไทยรู้จักและได้ลิ้มรสฮินดูธรรมที่แฝงในเนื้อหา เช่น ปัญจตันตระ และหิโตปเทศ ปัญจตันตระ (Pancatantra) เป็นวรรณกรรมประเภทนิทานสุภาษิตที่บรรยาย ด้วยภาษาร้อยแก้วเรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยฮินดูธรรมเป็นหลักในการครองชีวิต การแต่ง วรรณกรรมปัญจตันตระนี้คาดกันว่าแต่งขึ้นประมาณพุทธศตวรรษที่ 8 กับ 9 มีต้นกำเนิดที่ แคชเมียร์เขียนด้วยภาษาสันสกฤต หลังจากนั้นอีกราว 400 ปี จึงได้รวบรวมเป็นชุด มีผู้นิยม เล่าสู่กันฟังแพร่หลาย ลักษณะโครงสร้างเนื้อหาเป็นการประชุมนิทานโบราณในภาษา สันสกฤตมี5 เล่ม หรือ 5 ภาค ประกอบด้วย 1) มิตตเภท (Mitra-bheda) การเสียมิตร เนื้อเรื่อง หลักคือการแตกมิตรระหว่างสิงโตกับโค โดยมีสุนัขจิ้งจอกเป็นผู้ยุยง 2) มิตตลาภ (Mitrasamprāpti) การผูกมิตร เนื้อเรื่องหลักคือการคบหาเป็นมิตรระหว่างหนู กา เต่า กวาง 3) สงคราม (Kākolūkīyam) เนื้อเรื่องหลักคือการทำสงครามระหว่างกากับนกเค้าแมว (4) ลาภหาย (Labdhapraṇāśam) เนื้อเรื่องหลักเป็นเรื่องระหว่างลิงกับจระเข้ (5) การขาดความรอบคอบ (Aparīkṣitakārakaṃ) ภาพรวมของปัญจตันตระแสดงถึง วิธีการสอนคนอินเดียสมัยโบราณให้เด็กรู้วิชาความรู้ต่างๆ ตามนิติประเพณี และให้มีความ ฉลาดเท่าทันกลวิธีเล่ห์เหลี่ยม นิทานเรื่องหนึ่งๆ ย่อมมีเรื่องอื่นๆ เกี่ยวโยงกันเป็นแบบนิทาน ซ้อนนิทาน โดยส่วนใหญ่ยกอุทาหรณ์ของสัตว์ต่างชนิดต่างนิสัยขึ้นมาประกอบเป็นเรื่อง มีการเจรจาโต้ตอบ หรือคิดต่อสัมพันธ์กันจนในที่สุดสรุปเป็นสิ่งสอนให้จดจำไว้ วิธีนี้มีทำนอง คล้ายคลึงกันกับนิทานอีสป หิโตปเทศ (Hitopadesa) เป็นวรรณกรรมสุภาษิตอีกเล่มหนึ่ง แต่งเป็นร้อย แก้ว มีตัวละครเป็นสัตว์แสดงพฤติกรรมของมนุษย์ การดำเนินเนื้อเรื่องจึงเป็นการเล่าเรื่อง เพื่อให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินแทรกคติธรรมคำสอนไว้ทุกเรื่อง ต้นฉบับหิโตปเทศที่ แท้จริงนั้นแต่งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.ใดยังไม่เป็นที่ทราบกันแน่นอน นักปราชญ์ทางวรรณคดีสันสกฤต สันนิษฐานว่าหิโตปเทศน่าจะมีนานไม่ต่ำกว่า 500 ปีมาแล้ว เอ็ม.วิน.เทอร์นิตช์


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | (M. Winternitz) กล่าวว่า ผู้แต่งหิโตปเทศคือนารายณะ กวีผู้มีชีวิตอยู่ในรัชสมัยของกษัตริย์ ธวลจันทร์ ได้แต่งหิโตปเทศขึ้นในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 9 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 14 ในราว ค.ศ. 800 ถึง ค.ศ. 1373 (M. Winternitz,1977, p. 359) นอกจากนี้ ชาร์ลส์ รอคเวล แลน แมน (Charles Rockwell Lanman) ก็ได้กล่าวถึงความแพร่หลายของหิโตปเทศไว้อย่างสั้นๆ ว่า “หิโตปเทศเป็นวรรณคดีสันสกฤตเล่มแรกที่ตีพิมพ์เป็นตัวอักษรเทวนาครีซึ่งคาเรย์ (Carey) เป็นผู้รวบรวมในเบงกอลและจัดพิมพ์ที่เซรัมพอร์ (Serampere) ในปี ค.ศ. 1803 (Charles Rockwell Lanman, 1884, p. 310 อ้างใน พรกฤษณ์ ช่วงแสงอุทัย, 2527, น. 3) อิทธิพล ของหิโตปเทศได้กำหนดกรอบแห่งวิถีฮินดูในรูปแบบสุภาษิตง่ายๆ แต่มีพลังในการชี้นำ แนวทางในการดำเนินชีวิตของชาวฮินดูดังตัวอย่างสุภาษิต เช่น ศีรษะที่ไม่โค้งคารวะต่อคนดี จิตใจที่ไร้เมตตา บ้านที่ไม่มีที่ว่างให้อยู่อาศัย หมู่บ้านที่ไม่มีวัด สังคมที่ไร้ผู้นำ โภคทรัพย์ที่ไม่ ใช้ให้เกิดประโยชน์ ครูที่ไม่มีศิษย์ ประเทศที่ไร้ความยุติธรรม พระราชาที่ขาดเสนาบดีผู้มี ความสามารถ บ่อน้ำที่ไม่มีน้ำ ศิษย์ที่ไม่เคารพครูร่างกายที่ไร้สุขภาพพลานามัย จารีต ประเพณีที่ไม่ทำให้เกิดความบริสุทธิ์คำพูดที่ปราศจากความจริง นักบวชที่ไม่มีการเสียสละ มีดที่ไร้คม ทั้งหมดนี้ควรแก่การตำหนิ เพราะมีเพียงชื่อแต่หามีความหมายใดไม่ 2) ประเภทกาพย์(kāvya) เป็นงานกวีนิพนธ์ที่บอกเรื่องราวต่างๆ ในรูปแบบกวีที่ สร้างจินตนาการให้ผู้อ่านได้สัมผัสกับความจริง ความดี ความงามในแง่มุมอันหลากหลายใน บรรดาวรรณกรรมประเภทกาพย์นี้ งานนิพนธ์ของกาลิทาส (Kālidāsa)ได้ก่อให้เกิด จินตนาการที่งดงามของชาวฮินดู งานสำคัญด้านกาพย์ของกาลิทาส เช่น รฆุวงศ์เป็นกาพย์ สดุดีเกียรติคุณของพระราม เมฆทูต เป็นงานพรรณนาถึงอานุภาพของความรักและความ วิปโยคโศกเศร้าเมื่อคราวต้องจากคนรัก นอกจากกาลิทาสแล้วยังมีผู้สร้างวรรณกรรมประเภท กาพย์นี้อีกมาก 3) ประเภทนาฏกะ (Nāṭka) เป็นงานนิพนธ์ที่อาจจะเป็นนวนิยาย หรือบทละครที่ สะท้อนความหมายนัยต่างๆ คำว่า “นาฏะ” ตามตัวอักษรแล้ว หมายถึง การเต้น หรือการรำ ชาวฮินดูนั้นได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มชนที่มีความร่ำรวยด้วยศิลปะแห่งการร่ายรำจนเป็นที่รู้จักกัน ทั่วไป งานนิพนธ์ในประเภทนาฏกะนี้มีเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกับกาพย์ ตัวอย่างเช่น ศกุนตลา ของกาลิทาส มหาวีรจริต ของภวภูติพาลรามายณะ ของราชเสขร เป็นต้น


| สยาม ราชวัตร บทสรุป คัมภีร์เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญของศาสนาเป็นหลักฐานทางลายลักษณ์อักษรที่ บันทึกบรรจุรวบรวมประมวลหลักคำสอนต่างๆ ในแต่ละศาสนาให้ศาสนิกชนได้ศึกษาหลักคำ สอนทั้งหลายในศาสนาของตนเอง สำหรับศาสนาพราหมณ์-ฮินดูได้แบ่งกลุ่มคัมภีร์เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ (1) คัมภีร์ประเภทศรุติเป็นคัมภีร์กลุ่มดั้งเดิมคือคัมภีร์พระเวทและคัมภีร์ อุปนิษัท (2) คัมภีร์ประเภทสมฤติเป็นคัมภีร์ที่อธิบายคัมภีร์หลักต่อมา ปัจจุบันได้แบ่งคัมภีร์ และวรรณกรรมในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูให้มีรายละเอียดออกเป็น 7 ประเภท ประกอบด้วย (1) คัมภีร์พระเวท (2) คัมภีร์อุปนิษัท (3) คัมภีร์อิติหาสะหรือมหากาพย์(4) คัมภีร์ปุราณะ (5) คัมภีร์อาคม (6) คัมภีร์ทัศนะ (7) วรรณกรรม การศึกษาศาสนาพราหมณ์-ฮินดูผ่านตัวคัมภีร์เป็น การเรียนรู้ที่มีระดับลดหลั่นลงมาให้เหมาะสมกับบุคคลในแต่ละสถานะ แต่ไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์ ประเภทใดเนื้อหาอันเป็นหัวใจสำคัญเป็นอย่างเดียวกันคือ การกล่อมเกลาทัศนคติและท่าที ของผู้ศึกษาให้เป็นไปตามวิถีแห่งฮินดู ค าถามท้ายบท 1) คัมภีร์ประเภทศรุติเป็นอย่างไร ? ประกอบด้วยคัมภีร์อะไรบ้าง ? 2) คัมภีร์ประเภทสมฤติเป็นอย่างไร ? ประกอบด้วยคัมภีร์อะไรบ้าง ? 3) คัมภีร์พระเวทเป็นคัมภีร์ที่สำคัญในการศึกษาศาสนาพราหมณ์-ฮินดูอย่างไร ? มี องค์ประกอบและรายละเอียดทางคัมภีร์อย่างไร ? 4) ทำไมคัมภีร์อุปนิษัทได้รับการยกย่องว่าเป็นคัมภีร์ที่นำเสนอเนื้อหาความคิดเชิง นามธรรมที่ลึกซึ้ง ? มีรายละเอียดทางคัมภีร์อย่างไร ? 5) คัมภีร์อิติหาสะหรือมหากาพย์ คือคัมภีร์อะไร? มีรายละเอียดทางคัมภีร์อย่างไร ? 6) คัมภีร์ปุราณะคือคัมภีร์อะไร ? มีรายละเอียดทางคัมภีร์อย่างไร ? 7) คัมภีร์อาคมคือคัมภีร์อะไร ? มีรายละเอียดทางคัมภีร์อย่างไร ? 8) วรรณกรรมในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู แบ่งออกเป็นกี่ประเภท ? แต่ละประเภทมี รายละเอียดอย่างไร ? 9) เนื้อหาในคัมภีร์ภควัทคีตาเสนอแนวคิดทางจริยธรรมฮินดูอย่างไร ? 10) เนื้อหาในคัมภีร์รามายณะเสนอแนวคิดทางจริยธรรมฮินดูอย่างไร ?


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู |


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู | 4 ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นอย่างหนึ่งคือ เป็นศาสนาที่มีเทพเจ้า จำนวนมากมาย การที่ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมีลักษณะเฉพาะเช่นนี้ ก็เพราะศาสนาพราหมณ์- ฮินดูมีความเชื่อว่ามีเทพเจ้าจำนวนมากมายอยู่ในธรรมชาติมีอำนาจเหนือมนุษย์คอยทำหน้าที่ ทางธรรมชาติให้เป็นไปตามระบบของจักรวาล ในบทนี้ผู้เขียนจะนำเสนอรายละเอียดเนื้อหา เกี่ยวกับเทพเจ้าและการบูชาเทพเจ้าตามความเชื่อศรัทธาของชาวฮินดูที่เชื่อต่อเทพเจ้าของ ตนเองแตกต่างกันไป โดยกำหนดขอบเขตเนื้อหาประกอบด้วยความหมายเทพเจ้า พัฒนาการ เทพเจ้า เทพเจ้าองค์สำคัญฝ่ายชายที่เรียกว่า “ตรีมูรติ” เทพเจ้าองค์สำคัญฝ่ายหญิงที่เป็นชายา ของเทพเจ้าฝ่ายชายที่เรียกว่า “ศักติ” เทพเจ้าองค์อื่นๆ จะนำเสนอเพียง 2 องค์คือ พระขันทกุมาร และพระพิฆเนศ และท้ายสุดเป็นเทพเจ้ากลุ่มดาวนพเคราะห์ 4.1 ความหมายเทพเจ้า คำว่า “เทพเจ้า” ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถานให้ความหมายว่า “เทวดาผู้ เป็นใหญ่” (ราชบัณฑิตยสถาน, 2525, น. 407) ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า “god, divinity, deity” ความเป็นเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูในยุคเริ่มต้นมีลักษณะเป็นนามธรรมไม่ใช่ รูปธรรมที่เป็น “ตัวบุคคล” อย่างที่เป็นอยู่ปัจจุบัน แต่มีพัฒนาการสู่ความเป็นตัวตนบุคคล มากขึ้นโดยสร้างเป็นรูปเคารพ เรียกว่า “เทวรูป” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายของคำว่าเทวรูป หมายถึง รูปเทพเจ้าหรือเทวดาที่เคารพนับถือ คือรูปแทนองค์ ของเทพเจ้า (ราชบัณฑิตยสถาน, 2525, น. 408) มีการสร้างประวัติตำนานเรื่องราวของเทพเจ้าให้ มีชีวิตและพฤติกรรรมคล้ายมนุษย์ เช่นมีการแต่งงานระหว่างเทพชายหรือเทพ


| สยาม ราชวัตร หญิงเกิดเทพองค์ใหม่ที่เป็นบุตรธิดา เป็นเทพสืบเนื่องอีกหลากหลายชื่อ การที่เทพเจ้ามี ลักษณะความเป็นรูปธรรมและมีชีวิตครอบครัวคล้ายมนุษย์ นักทฤษฎีทางศาสนาและทาง สังคมวิทยาให้การวิเคราะห์ว่าเทพเจ้าเป็นสิ่งลึกลับที่มนุษย์ไม่เคยพบเคยเห็น แต่ในส่วนลึก ทางจิตใจมนุษย์ต้องการใกล้ชิดต้องการติดต่อกับเทพเจ้า จึงสร้างสัญลักษณ์สมมติเป็นรูปเทพเจ้า ขึ้นมา เนื่องจากมนุษย์ไม่เคยมีใครเห็นเทพเจ้ามาก่อน ทั้งไม่ทราบว่าจะสร้างเทพเจ้าออกมา ในรูปแบบใด มนุษย์จึงคิดว่าเทพเจ้าต้องมีร่างกายเหมือนมนุษย์ เพราะคัมภีร์ทางศาสนาเช่น คัมภีร์ทางศาสนาคริสต์บอกว่า “พระเจ้าสร้างมนุษย์จากฉายาของพระองค์” การออกแบบ เทพเจ้าให้เป็นรูปมนุษย์ จึงเรียกแนวคิดว่า “แนวมนุษยนิยม” (Anthropomorphism)คือทำให้ เทพเจ้ามีรูปร่างคล้ายมนุษย์ แต่ต่อมาคิดว่า เทพเจ้าต้องมีความเก่งกว่าและวิเศษกว่ามนุษย์ จึงสร้างสัญลักษณ์ให้แปลกกว่าจากรูปมนุษย์ธรรมดาให้มีความพิสดารออกไป (พิสิฏฐ์ โคตรสุโพธิ์, 2550, น. 158) ตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เทพเจ้าทรงมีที่ประทับอยู่บนสรวงสวรรค์ที่สูง กว่ามนุษย์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลอันกว้างใหญ่โดยมีโลกมนุษย์และนรกเป็นส่วนหนึ่งอยู่ใน จักรวาลเดียวกันดังนั้นเพื่อให้เหล่าผู้ศรัทธาบนโลกมนุษย์สามารถถวายความเคารพ และบวงสรวง บูชาเทพเจ้าได้จึงมีความจำเป็นต้องประดิษฐ์รูปเคารพขึ้นแทนองค์เทพซึ่งชาวฮินดูมีคำเรียก เทวรูปที่สร้างนี้ว่ามูรติ(murti) แปลว่ารูปทรงคือรูปที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อแสดงหรือเป็นตัวแทนของ เทพเจ้าเทวรูปส่วนใหญ่อยู่ในรูปมนุษย์และทรงสัญลักษณ์ต่างๆที่สมมุติให้เป็นเครื่องหมายแทน พลานุภาพฤทธิ์เดชและคุณสมบัติของเทพเจ้าองค์นั้นๆซึ่งมีทั้งที่เป็นศาสตราวุธเครื่องมือเครื่องใช้ พรรณพฤกษา (ผลไม้ดอกไม้) และสัตว์ต่างๆ (เอกสุดา สิงห์ลำพอง, 2553, น. 35) อารยธรรมอินเดียเชื่อกันว่าเทพเจ้าเสด็จลงมาประทับบนโลกมนุษย์ในรูปแบบของ เทวรูปดังนั้นเทวรูปจึงเป็นเทพเจ้าบนโลกมนุษย์ ในกฎหมายของประเทศอินเดีย เทวรูปมี ฐานะเป็นนิติบุคคลที่มีสิทธิในทางกฎหมายเช่นเดียวกับนิติบุคคลทั่วไปการถวายบูชาแด่เทวรูป ในเทวาลัยในปัจจุบันไม่แตกต่างไปจากในอดีตเพราะพิธีกรรมดำเนินตามกฎระเบียบที่ระบุไว้ ในคัมภีร์เช่นคัมภีร์กามิกาคมใช้ในรัฐทมิฬนาฑู พิธีบูชาประกอบด้วยการสรงน้ำและขัดพระวรกาย ด้วยน้ำมันงาและนมข้นหลังจากนั้นจึงถวายสายธุรา (ยัชโญปวีต) ซึ่งเป็นเครื่องหมายของ วรรณะพราหมณ์และฉลองพระองค์ชุดใหม่แต่งพระองค์ด้วยเครื่องประดับน้ำหอมและแต้ม ด้วยขมิ้นสีแดงที่พระนลาฏและสันพระนาสิก เมื่อฉลองพระองค์แล้วจึงถวายข้าวสวยและ ขนม เมื่อเสวยเสร็จจึงเปิดพระวิสูตรให้ผู้ที่เข้าเฝ้าได้เห็นเทวรูปและช่วงสุดท้ายของพิธีคือทีปา ราธนะเมื่อพราหมณ์แกว่งประทีปเผาการบูรเป็นรูปวงกลมหน้าเทวรูปหลังจากนั้นจึงนำเอา ประทีปนั้นไปให้ผู้ที่เข้าเฝ้าได้เอามือครอบเปลวไฟแล้วแตะที่หน้าเพื่อที่จะได้รับแสงสว่างและ ความอบอุ่นจากเทพเจ้าซึ่งในเวลาเดียวกันพราหมณ์ก็จะเป่าสังข์เป่าปี่และลั่นกลอง ต่อจากนั้นพราหมณ์จึงแต้มหน้าผากของผู้ที่เข้าร่วมพิธีด้วยผงขมิ้นหรือขี้เถ้าขาวเป็นเสร็จพิธี บูชาพระกระยาหารที่ถวายเทวรูปนั้นผู้ที่เข้าร่วมพิธีนำไปรับประทานทีหลังพิธีบูชามักจะทำ


Click to View FlipBook Version