Plato กล ่ าวว ่ า ผ ้ ู ปกครองกค ็ อ ื ราชาปราชญ ์ (Philosopher King) ฉลาดเลิศล ้าโดยก าเนิด ได้รับการ ฝึ กอบรมให ้ เป็ นผ ้ ู ปกครอง - ความย ุ ตธ ิ รรมเป็ นค ุ ณธรรมส ู งส ุ ด ร ั ฐทด ี ่ ท ี ส ี ่ ุ ด คอ ื ร ั ฐ ทใี ่ ห ้ ความย ุ ตธ ิ รรมแก ่ประชาชนอย ่ างเท ่ าเทย ี มกน ั - ไม่เห็นด้วยกับประชาธิปไตยแบบกรีก โดยเฉพาะ ประชาธิปไตยแบบเสียงข้างมากที่ได้ตัดสินประหาร ชีวิต Socrates
Aristotle (384 – 322 B.C) เป็ นล ู กศ ิ ษย ์ ของ Plato และได้รับการยกย่องว่าเป็ นบิดาแห่งรัฐศาสตร์ - เรียนที่ Academy 19 ปี กับ Plato - Plato ไปสอนหนังสือ Alexander the Great แห่ง Mecedonia ได ้ เอาร ั ฐธรรมน ูญกว ่ า158 ฉบับ จากเมืองที่ตีได้ให้ Aristotle ได้ศึกษา
- Aristotle ได้ศึกษาแบบเปรียบเทียบ และได้ จ าแนกร ู ปแบบการปกครองออกเป็ น 6ร ู ปแบบ โดยใช ้ เกณฑ ์ จ านวนผ ้ ู ปกครองกบ ั ความม ี จร ิ ยธรรมของผ ้ ู ปกครอง ดง ั น ี ้
รูปแบบการปกครอง อรสิโตเติล คา นง ึ ถง ึ รฐัท ี่ดท ีี่ส ุ หรอ ื รฐัท ี่เลวท ี่สด ุ อย ู่ท ี่รป ู แบบการปกครอง แต่คนในรฐันนั้อาจจะประพฤติดใี นรฐัท ี่เลวได้ จา นวนผ ้ ู ปกครอง เพื่อประชาชน เพ่ื อผ ้ ู ปกครอง คนเดียว คณะ ประชาชนทั้งหมด ราชาธิปไตย(Monarchy ) อภิชนาธิปไตย (Aristocracy ) มัชฌิมวิถีอธิปไตย ( Polity) ทุชนาธิปไตย (Tyranny ) คณาธิปไตย ( Oligarchy) ประชาธิปไตย ( Democracy)
*** ย ุ คกร ี กแนวคด ิ ทางการเม ื องไม ่ สน ั บสน ุ น ระบอบประชาธ ิปไตยแต ่ สน ั บสน ุ นผ ้ ู ม ี ความ ฉลาด มีความสามารถที่จะปกครองได้ คือระบบ สมบ ู รณาญาส ิ ทธ ิ ราช***
แนวคิดทางการเมืองของเพลโตและ อร ิ สโตเตล ิได ้ ถ ู กน า มากล ่ าวถ ึ งอย ่ ู เสมอและม ี อิทธิพลต่อแนวความคิดทางการเมืองของคนใน ย ุ คต ่ อๆ มาโดยตลอดเวลาแต ่ กระน ้ ั นกด ็ ใี นย ุ ค โรมน ั น ี ก ้ ม ็ น ีั กคด ิ อย ่ ู สองพวกทต ี ่ ่ อต ้ านระบบ นครรัฐแบบของเพลโตและอริสโตเติล
และกล ่ ุ มทไี ่ ม ่ ห ็ นด ้ วยกบ ัปร ั ชญาของท ้ ง ั สองคน คือ อพ ิ ค ิ ู เร ี ยน (Epicureans) และซินิค (Cynics) ส ่ วนกล ่ ุ มสโตอค ิ (Stoics) ซ ึ ่ งเป็ นกล ่ ุ ม ส ุ ดท ้ ายทจ ี ่ ะกล ่ าวถ ึ งน ้ ั น มอ ี ท ิ ธ ิ พลต ่ อการ ปกครองของโรมันมาก
กล ่ ุ มอพ ิ ค ิ ว ิ เร ี ยนแนวความคิดนี้เกิดจากนักคิด ชาวเอเธนส ์ ทช ี ่ ื ่ อเอม ็ พค ิ ู ร ั ส (Empicurus) มีแนวคิด พื้นฐานความคิดต่างกับเพลโตและอริสโตเติลอย่าง มาก ส ่ วนใหญ ่ เพราะพวกอพ ี ค ิ ู เร ี ยนเป็ นกล ่ ุ มท ี ่ ค ่ อนข ้ างร ่ ารวยวต ั ถ ุ น ิ ยม และม ี ทร ั พย ์ ส ิ นมากจง ึ ม ี แนวคด ิ ทส ี ่ า คญ ั คอ ื การแสวงหาความส ุ ขและการ รักษาความมั่นคงทางทรัพย์สิน
กล ่ ุ มซ ิ นน ิ ค แนวความคิดเกิดจาก การเป็ นคนต ่ างด ้ าวถ ู กกดดน ั ทางส ั งคมมาก จ ึ งต ่ อต ้ านพวกผ ้ ู ด ี ต ้ องการสร ้ างส ั งคมใหม ่ ที่ไม่มี ครอบครัว ไม่มีชาติและไม่ จ าเป็ นต้องมีกฎหมาย
กล ่ ม ุ พวกสโตอค ิ (Stoics)แนวคิดนี้มีอิทธิพลต่อ ความคิดทางการเมืองของชาวโรมันและต่อแนวความคิดใน สมัยหลังมากและเป็ นต้นก า เนิดแนวความคิดของรัฐบาล โลก (world-state) หรือเรียกว่าอาณาจักรแห่งภราดรภาพ (universal of brotherhood) ในปั จจ ุ บ ั นอก ี ด ้ วยเราสามารถ สร ุ ปแนวความคด ิ ของพวกสโตอค ิได ้ ดง ั น ี ้
1. รัฐบาลโลกและกฎของพระเจ้า พวกสโตอิค เชื่อมั่นในพระเจ้า 2. ความเสมอภาค เนื่องจากพวกสโตอิคเชื่อว่า มน ุ ษย ์ เกด ิ มาเป็ นพน ี ่ ้ องกน ั พวกสโตอค ิ จ ึ งเช ื ่ อในความ เท ่ าเทย ี มกน ั ของมน ุ ษย ์โดยไม ่ ตด ั ส ิ นจากฐานะทาง สังคม นอกจากนี้พวกสโตอิคยังต่อต้านระบบทาสอีก ด้วย
ดังนั้น วิชารัฐศาสตร์ในสมัยโรมัน ที่โรมันได้ถ่ายทอด ไว้คือ กฎหมาย ซึ่งมีรากฐานมาจากแนวคิดของลัทธิสโตอิกส์ (Stoicism) ซ ึ ่ งยอมร ั บความเสมอภาคของมน ุ ษย ์
ลก ั ษณะของแนวความคด ิ ทางการเม ื องย ุ คโรม ั น คอ ื การสร ้ างสถาบ ั นทางกฎหมายอย ่ างสมบ ู รณ ์ และด ี ทส ี ่ ุ ด พวกเขาพยายามด ั ดแปลงกฎหมายให ้ อย ่ ู ในร ู ปทส ี ่ ามารถน า ไปใช ้ได ้ จริง ๆ และยังมีอาณาจักรที่กว้างใหญ่เพื่อใช้ในการทดสอบระบบ กฎหมายและการปกครอง โรม ั นแสดงให ้ เห ็ นว ่ ามน ุ ษย ์ เป็ นผ ้ ู ม ี อ านาจทางการเมืองที่แท้จริงไม่ใช่พระเจ้า ด ั งน ้ ั นชาวโรม ั นจ ึ งถ ื อว ่ าผ ้ ู ปกครองคอ ื ผ ้ ท ู ร ี ่ ั บอา นาจไปจาก ประชาชนประชาชนจึงเปรียบเสมือนหน่วย ๆ หนึ่งในทางกฎหมายที่ จะถ ู กล ่ วงละเม ิ ดม ิได ้
แนวคด ิ ทางการเมอ ื งย ุ คกลาง เมอ ื ่ โรมน ั ถ ู กทา ลายโดยอานารยชน (คนเถื่อน) พวกนิวตัน (Neuton) เยอรมน ั กฎหมายกถ ็ ู กทา ลายไป พร ้ อมกบ ั อารยธรรมโรมน ัไปด ้ วย ส ิ ่ งทเ ี ่ หลอ ื อย ่ ู หลง ั การ ล่มสลายของโรมันก็คือความป่ าเถื่อน โหดร้าย ไร้ กฎระเบ ี ยบ ด ้ วยเหต ุ น ี ร ้ ะบบส ั งคมจ ึ งต ้ องมก ี ารจ ั ดใหม ่ ขึ้น การจัดระเบียบสังคมใหม่นี้มี 2 สิ่งที่มีความส า คัญคือ ศาสนาคริสต์และระบบฟิ วดัล(เป็ นระบบความสัมพันธ์ แบบอ ุ ปถ ั มภ ์ หร ื อระบบศ ั กดน ิ า)
65 เซนต์ออกัสติน ถ ื อว ่ า ผ ้ ู ม ี อ านาจส ู งส ุ ดทางการเม ื อง ค ื อ สถาบ ั น กษ ั ตร ิ ย ์ ผ ้ ู ม ี อา นาจส ู งส ุ ดทางศาสนา ได ้ แก ่ สถาบ ั นส ั นตะปาปา อย ่ างไรก ็ ตาม ในประเทศที่พลเมืองส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ อ านาจกษัตริย์ ได้รับช่วงจากสถาบันสันตะปาปา เซนต์อะไควนัส สนับสนุนอ านาจศาสนจักรน าการปกครอง เช่นเดียวกับ ออกุสติน ในยุคกลาง แต่ท่านได้คิดหาทางออกด้วยทฤษฎี 2 อ านาจอิสระ เพราะต่างก็มีเป้ าหมายของตนโดยเฉพาะ อ านาจทั้งสองนี้ แม้จะเป็ นอิสระจากกันทางที่มาก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติ จะแยกจากกัน โดยเด็ดขาดไม่ได้ จึงมีหน้าที่ส่งเสริมกันให้เกิดผลดีทั้ง 2 ฝ่ าย อ านาจที่ถ่วงดุลกันมี 2 ข ั ว ้ จะก ่ อให ้ เก ิ ดความข ั ดแย ้ ง น าไปส ่ ู การ จราจล ท าให ้ เก ิ ดสงครามทางการเม ื อง ด ั งน ั น ้ จ ึ งควรจะม ี ผ ้ ู ม ี อ านาจท่ี แท ้ จร ิ งแต ่ เพ ี ยงผ ้ ู เด ี ยว แต ่ แนวความค ิ ดน ี ก ้็ น าไปส ่ ู ระบบเผด ็ จการ ในที่สุด
การต ่ อส ้ ู กน ั ระหว ่ างแนวความคด ิ ทางโลก(รัฐ) และ แนวความคิดทางธรรม(ศาสนา) เป็ นการต ่ อส ้ ู ทม ี ่ ี มาตลอดย ุ ค กลาง จนกระทั่งประมาณศตวรรษที่ 14 ความเจร ิ ญทางวต ั ถ ุ ท ี ่ แพร ่ สะพด ั มาจากตะวน ั ออกส ่ ู ตะวน ั ตกอน ั เป็ นสาเหต ุ ทท ี ่ า ให ้ ศาสนาถง ึ คราวพ ่ ายแพ ้ ระบบฟิ วดล ั เส ื ่ อมสลายและในย ุ คน ี เ ้ อง แมคเคย ี เวลล ีได ้ ร ่ วมกบ ั ผ ้ ู น าทางศาสนาบางท ่ านพยายามทจ ี ่ ะ แยกศาสนาออกจากการปกครอง
แนวคด ิ ทางการเม ื องในย ุ คฟื ้ นฟ ู และสม ั ยใหม ่ ปร ั ชญาการเม ื องในย ุ คน ี ส ้ น ั บสน ุ นอา นาจเด ็ ดขาด(Absolutism) มีนักคิด 4 ท่านนี้ แต่มี3 ท ่ านทส ี ่ น ั บสน ุ นอา นาจเด ็ ดขาด คอ ื 1. Niccolo Machiavelli (1469-1527) 2. Jean Bodin (1530-1596) 3. Thomas Hobbes (1588-1679) 4. John Lock
เหต ุ ทน ี ่ ั กคด ิ ท ้ ง ั 3 สน ั บสน ุ นความคด ิ และบ ุ คคลคน เดียวปกครอง เพราะ - บ้านเมืองเต็มไปด้วยสงคราม - สมัยนั้นศาสนาคริสต์ครอบง าการเมือง การปกครอง ซึ่ง เน ้ นบ ุ คลก ิ ภาพอส ิ ระของมน ุ ษย ์ ทา ให ้ เป็ นอ ุ ปสรรคต ่ อการ ปกครองด้วยอ านาจเด็ดขาด - ระบบศ ั กด ิ นาสม ั ยกลาง ข ุ นนางม ี อา นาจมากกษ ั ตร ิ ย ์ไม ่ ม ี อา นาจเน ื ่ องจากถ ู กศาสนาครอบง า
ทั้ง 3 ท่าน แสวงหาความชอบธรรมให้ระบบกษัตริย์ โดยมี วิธีที่ต่างกัน คือ Machiavelli แยกศีลธรรมออกจากการเมือง หรือแยก ศาสนาออกจาการปกครอง (มาตน ิ ล ู เธอร ์ สน ั บสน ุ น) Bodin บ ุ กเบ ิ กแนวความคด ิ ร ั ฐาธ ิปไตย(รัฐ + อธิปไตย) Hobbes ใช ้ หลก ั เหต ุ ผลว ่ าด ้ วยธรรมชาตข ิ องมน ุ ษย ์
1. Niccolo Machiavelli (1469-1527) - คลั่งไคล้ในหนังสือ และอ านาจ - ชอบความสน ุ กสนาน และอาหารช ้ ั นด ี - ความคิดการเมืองของเขา เป็ นในเชิงขาดศีลธรรม - เขียนหนังสือ The Prince เพื่อให้ตัวเองได้รับการ สน ั บสน ุ น
“The Prince” (1531) - แสวงหาและรักษาไว้ซึ่งอ านาจทางการปกครอง โดยไม่ค านึงถึงศีลธรรม - ความคด ิ ทางการเม ื องอย ่ ู บนสมมตฐ ิ านในการมอง มน ุ ษย ์ ว ่ าม ี ธรรมชาตอ ิ ย ่ างไร ซ ึ ่ งตามม ุ มมองใน หน ั งส ื อเล ่ มน ี ม ้ องว ่ า มน ุ ษย ์ อกตญ ั ญ ู โลเล ซ ่ อนเร ้ น โลภโมโทสัน กลัวความตาย ฯลฯ
ผ ้ ู ปกครองควรมค ี ุ ณสมบ ั ต ิ ด ั งน ี ้ 1)มองโลกตามความเป็ นจริง 2)ค ุ ณสมบ ั ต ิ ผสมกน ั ระหว ่ างส ิ งโตกบ ั ส ุ น ั ขจ ิ ง ้ จอก คอ ื เป็ น หลก ัในท ุ กส ิ ่ ง เป็ นศ ู นย ์ กลางของอา นาจเข ้ มแข ็ ง เห ็ นแก ่ ต ั ว อย ่ ู เหน ื อคนอน ื ่ ท ้ ง ั ความคด ิ และจ ิ ตใจไม ่ใช ้ ความกร ุ ณา ในทางที่ผิด ต้องพร้อมที่ใช้ความโหดร้าย กล่าวคือ ใช้ อ านาจเด็ดขาด เพื่อที่จะรักษาความสงบเรียบร้อย ความ โหดร้ายเด็ดขาดท าร้ายเพียงคนบางคน แต่การปกป้ อง สังคมถือเป็ นสิ่งส าคัญ
3) ต ้ องทา ให ้ ผ ้ ู อน ื ่ ท ้ ง ั ร ั กท ้ ง ั กลว ั แต ่ ถ ้ าทา ใดเพย ี ง อย่างใดอย่างหนึ่ง ต้องท าให้กลัว เพราะ 3.1)ธรรมชาตข ิ องมน ุ ษย ์ “...เขาจะอย ่ ู กบ ั ท ่ าน ประกาศว ่ าจะสละช ี วต ิ ทร ั พย ์ ส ิ น ล ู กเต ้ าให ้ แก ่ ท ่ าน ตราบเท ่ าทท ี ่ ่ านยง ั เป็ น ประโยชน ์ และอน ั ตรายยง ั อย ่ ู ไกลแต ่ เม ื ่ ออน ั ตรายเข ้ า มาใกล้ เขาจะไม่เป็ นพวกท่านอีกต่อไป...”
3.2) มน ุ ษย ์โดยธรรมชาตก ิ ล ้ าล ่ วงเกน ิ คนทต ี ่ นร ั กได ้ มากกว ่ า คนที่ตนกลัว “สายใยแห ่ งความร ั กมน ุ ษย ์ ตด ั ม ั นได ้ ถ ้ าม ี ผลประโยชน ์ สายใยแห ่ งความกลว ั จะม ี อย ่ ู ยากทจ ี ่ ะลม ื เลอ ื น” 3.3)การทา ให ้ คนร ั กขน ึ ้ อย ่ ู กบ ั จต ิใจของคนผ ้ ู น ้ ั น การทา ให ้ กลว ั ขน ึ ้ อย ่ ู กบ ั ตว ั บ ุ คคลเอง
แต่การสร้างความกลัวต้องไม่ท าให้เกิดความ เกล ี ยดช ั ง โกรธแค ้ น เพราะจะน าไปส ่ ู การส ่ องส ุ ม คด ิ ร ้ ายต ่ อผ ้ ู ปกครอง ดง ั น ั น ้ จง ึ ม ี วธ ิี การป้ องก ั น ไม่ให้คนอื่นโกรธ คือ การละเมิดทรัพย์สินของ ราษฎรและคนอื่น และการไม่ล่วงเกินเกียรติยศ และล ู กเม ี ยของคนอ ่ ื น “คนเราพ่อตายไม่นานก็ลืม แต่ใครมาละเมิด ล่วงเกินเรา ไม่มีวันที่จะลืม”
สรุปความคิด การเมือง ของ แม็คเคียเวลลี คือศิลปะของการรักษาอ านาจ สร้างเอกภาพทาง การเมือง สร้างความมั่นคงในการปกครอง มีความ สงบเรียบเรียบ ต้องแยกศีลธรรมออกจาก การเมือง เพราะอ านาจแสดงถึงความชอบธรรม ของวิธีการ จะใช้วิธีไหนๆ ก็ได้ ไม่ต้องค านึงถึง ศีลธรรม สามารถอ่านเพิ่มเติมได้จาก “เจ้าผู้ปกครอง” (The Prince) สมบัติ จันทรวงศ์ (แปล) กรุงเทพ: ส านักพิมพ์คบไฟ, 2542
2. Jean Bodin (1530-1596) - เป็ นอาจารย ์ สอนกฎหมายและเป็ นต ุ ลาการ - มีความคิดเห็นว่า การเมือง คือ การปกครองด้วย ความย ุ ตธ ิ รรมและศ ี ลธรรม “6 บรรพว่าด้วยสาธารณรัฐ” (The Six Books of the Commonwealth) (1576)
สาธารณร ั ฐ คอ ื ประชาคมมน ุ ษย ์ ทม ี ่ ี การปกครองอย ่ างม ี ศีลธรรม มิใช่ทาสหรือคนรับใช้ แต่เป็ นราษฎร ซึ่งจะไม่มีสิทธิ ต ่ อต ้ านอา นาจร ั ฐ ต ้ องเคารพกฎหมายในประชาคมมน ุ ษย ์ ม ี อา นาจเดด ็ ขาดส ู งส ุ ดถาวร คอ ื อา นาจทเ ี ่ กด ิ มาพร ้ อมกบ ั การม ี ร ั ฐ สนองเพอ ื ่ ให ้ ม ี ร ั ฐอา นาจน ีไ ้ ม ่ ถ ู กจา กด ัโดยระยะเวลา หร ื อ กฎหมาย ท ้ ง ั น ี ม ้ ิใช ่ เพราะไม ่ ม ี กฎหมายแต ่ เพราะอา นาจน ี เ ้ ป็ นผ ้ ู ออกกฎหมาย ซ ึ ่ งในปั จจ ุ บ ั น กค ็ อ ื อา นาจน ิ ตบ ิั ญญต ัิBodin ได้ เรียกอ านาจนี้ว่า อ านาจอธิปไตย ที่สามารถที่จะออกกฎ และ ยกเลิกกฎได้
ร ั ฐกบ ั อา นาจอธ ิปไตยเป็ นของค ่ ู กน ั ทา ให ้ เกด ิ เป็ น พน ื ้ ฐานในการจ ั ดร ู ปแบบการปกครอง3ร ู ปแบบ ใช ้ เกณฑ ์ ของอ านาจอธิปไตยเป็ นตัวแบ่ง คือ 1) ระบอบกษ ั ตร ิ ย ์ อา นาจอธ ิปไตยอย ่ ู ทค ี ่ นเพย ี งคนเด ี ยว 2) อภ ิ ชนาธ ิปไตยอา นาจอธ ิปไตยอย ่ ู ทค ี ่ นกล ่ ุ มน ้ อย 3) ประชาธิปไตย ประชาชนมีส่วนรวมในการใช้อ านาจ อธิปไตย
ในทัศนะของ Bodin เห็นว่า ระบอบกษัตริย์ เป็ น การปกครองทด ี ่ ท ี ส ี ่ ุ ด เพราะ 1) สอดคล้องกับธรรมชาติ เช่น ครอบครัวมีหัวหน้า ครอบครัว คือ พ่อ โลกมีพระเจ้าเพียง 1องค์ 2) ระบอบกษัตริย์ หรือการปกครองเพียง 1 คน จะมี หลักประกันเอกภาพแห่งอ านาจที่มั่นคง 3) ระบอบกษัตริย์จะสามารถเลือกคนฉลาด เข้าใจ กิจกรรมบ้านเมืองได้ดีกว่า
Bodinกล่าวว่า อภิชนาธิปไตยและประชาธิปไตย เป็ นระบอบการเมืองที่ต้องมีสภา ซึ่งประกอบด้วยคนดี และคนบ้า ส่วนระบอบกษัตริย์ในทัศนะของจะไม่เป็ น ทรราช เพราะระบอบทรราชย์จะปกครองราษฎรเยี่ยงทาส แต่ระบอบกษัตริย์นี้ ราษฎรเคารพกฎหมาย ส่วนกษัตริย์ เคารพกฎธรรมชาติสอดคล้องกับหลักศีลธรรม เสรีภาพ และกรรมส ิ ทธ ิ ของพลเม ื องจง ึ ยง ั ม ี อย ่ ู อา นาจอธ ิปไตย แม ้ ว ่ าจะส ู งส ุ ดเดด ็ ขาด กแ ็ บ ่ งแยกไม ่ได ้ และม ี ขอบเขตการ ใช ้ ซ ึ ่ งถ ู กจา กด ั ด ้ วยศ ี ลธรรม
3. Thomas Hobbes (1588-1679) -อย ่ ู ในย ุ คทก ี ่ ษต ั ร ิ ย ์ ม ี อา นาจเดด ็ ขาดในย ุ โรป ถ ู กค ุ กคามอย ่ างหน ั ก ม ี การส ้ ู รบฆ ่ าฟั น เขาจง ึ หน ีไปอย ่ ู ท ี ่ Paris เป็ นอาจารย์สอน คณต ิ ศาสตร ์ แก ่ ผ ้ ู ทจ ี ่ ะเป็ นกษต ั ร ิ ย ์ในอนาคตขององ ั กฤษ - ในปี 1642 พระเจ้า Charles เกิดความขัดแย้งกับรัฐสภา ภายใต้ การน าของ Oliver Cromwell เหต ุ การณ ์ จบลงด ้ วยช ั ยชนะของ Cromwell ในปี 1651และได้ปกครองประเทศอังกฤษในช่วงนั้น
“Leviathan” (1651) หนังสือของ ฮ็อบ Leviathan คอ ื ส ิ ่ งม ี ช ี วต ิ ทม ี ่ ี พลาน ุ ภาพส ู งส ุ ดหน ั งส ื อ เล่มนี้สะท้อนแก่นปรัชญาการเมืองของ Hobbes ซึ่งเขา เขียนขึ้นด้วยความกลัวสภาพที่ไม่สงบเรียบร้อยและ ความกระหายที่จะเห็นสันติภาพ ปรัชญาความคิดใน หนังสือเล่มนี้ มีดังนี้
1) ฐานคติการมองมนุษย์ : มนุษย์ใน ธรรมชาติมีความเห็นแก่ตัว กระหายและรักตัว กลัวตาย มีเหตุผลเหนือสัตว์ สามารถค านึงถึง ผลประโยชน์ที่จะได้รับ และมีความเท่าเทียม กันในการมีความหวัง เพื่อบรรลุสิ่งที่ต้องการ ทั้งยังมีความเท่าเทียมกันในปัญญาความคิด หรือเล่ห์กลที่จะเข้าถึงเป้ าหมายได้
2) มนุษย์ในสภาวะธรรมชาติ : มน ุ ษย ์ ท ุ กคนเป็ นศ ั ตร ู หร ื อค ่ แ ู ข ่ งก ั น มน ุ ษย ์ เป็ นส ุ น ั ขป่ าสา หร ั บมน ุ ษย ์ ด ้ วยก ั น แต ่ จะ เข้าร่วมกันเพื่อป้ องกันอันตรายอย่างเดียวกัน สังคมมนุษย์จึง ไม ่ ม ี ความสงบส ุ ข ม ี แต ่ การต ่ อส ้ ู แก ่ งแย ่ ง จนกลายเป็ น สงคราม มน ุ ษย ์ จะอย ่ใ ู นสภาวะหวาดกล ั ว ต ้ องเผชิ ญอ ั นตราย ตลอดเวลา ในสภาวะธรรมชาติ มนุษย์ไม่มีกรรมสิทธิใน ทรัพย์สิน แต่ละคนเป็ นเจ้าของในสิ่งที่สามารถแย่งมาได้ และ เป็ นเจ้าของตราบเท่าที่ยังแข็งแรงพอและรักษาไว้ได้ มนุษย์ จะต ้ องออกจากสภาวะน ี ้ ม ิ เช ่ นน ั น ้ จะถ ู กทา ลายก ั นทง ั ้ หมด
3) ทางออกส ่ ู ส ั นต ิ : คือ การมีรัฐที่มี อ านาจเด็ดขาด และในความรักตัวกลัวตาย ท าให้มนุษย์ยินยอมละทิ้งสภาวะธรรมชาติ ความมีเหตุมีผลท าให้มนุษย์คิดถึงบทบัญญัติ แห่งสันติภาพ (กฎธรรมชาติ)
สร ุ ปแนวคด ิ ของ Hobb ผ ้ ู จด ั ต ้ ง ั ร ั ฐ: ประชาชนทา ส ั ญญาจด ั ต ้ ง ั ร ั ฐเพอ ื ่ ค ้ ุ มครอง ส่วนรวม และยอมสละสิทธิที่จะติดว่าอะไรดี อะไรชั่ว หรือสิ่ง ใดเป็ นความย ุ ตธ ิ รรม แต ่ จะผ ู กม ั ดตนเองกบ ั ส ิ ่ งทด ี ่ ี หร ื อ ย ุ ตธ ิ รรม ตามทอ ี ่ งค ์ อธ ิปั ตย ์ บ ั ญชา องค ์ อธ ิปั ตย ์ ม ี อา นาจส ู งส ุ ด ประชาชนต ้ องปฏ ิ บ ั ตต ิ าม จะเร ี ยกร ้ อง ฟ้ องร ้ องไม ่ได ้ องค ์ อธ ิปั ตย ์ จะม ี อา นาจส ู งส ุ ด เดด ็ ขาด และม ี หน ้ าทใี ่ ห ้ ความสงบส ุ ขและส ั นตภ ิ าพแก ่ ราษฎร ตามเจตจา นงทจ ี ่ ะม ่ ุ งให ้ เกด ิ ส ั นตภ ิ าพ
สร ุ ปแนวคด ิ ของ Hobb อ านาจที่ให้แก่องค์อธิปัตย์นี้จะเรียกคืนจากรัฐ ไม ่ได ้ ยกเว ้ นว ่ าองค ์ อธ ิปั ตย ์ อ ่ อนแอลงจนค ้ ุ มครองราษฎร ไม่ได้ ประชาชนก็จะรอดพ้นจากพันธะ และสามารถ ปกครองตนเอง แล้วจึงจะเลือกองค์อธิปัตย์องค์ใหม่
จอนห์ ล็อค (JohnLocke) เป็ นนักคิดที่ สน ั บสน ุ นเสร ี ภาพของประชาชน เมอ ื ่ พ ู ดถ ึ งลท ั ธ ิ ประชาธ ิปไตยเรามก ั จะอ ้ างแนวคด ิ ของลอ ็ คอย ่ ู เสมอ ลอ ็ คได ้ เขย ี นหน ั งส ื อหลายเล ่ มทส ี ่ น ั บสน ุ นเสร ี ภาพ ทางศาสนา ส่วนเสรีภาพในทางการเมืองล็อคเขียน หนังสือเรื่อง Two Treaties of Government ซึ่ง เป็ นหนังสือเกี่ยวกับแนวคิดทางการเมืองเกี่ยวกับ เสรีภาพ
*** สร ุ ปแนวความคด ิ ของลอ ็ ค เป็ นแนวความคด ิ มค ี วามส าคญ ั มากในปั จจ ุ บ ั นแนวความน ีไ ้ ด ้ ร ั บการ สน ั บสน ุ นจนกระทง ั ่ ได ้ ร ั บการสร ้ างเป็ นสถาบ ั นกฎหมาย คอ ื มก ี ารร ั บรองถง ึ ส ิ ทธ ิ เสร ี ภาพส ่ วนบ ุ คคลไว ้ในกฎหมาย หลายฉบับ และเป็ นรากฐานของระบอบประชาธิปไตยที่ใช้ กน ั อย ่ ู ในปั จจ ุ บ ั น***
ปรัชญาการเมืองแบบเสรีนิยม (Liberalism) สังคมในศตวรรษที่ 18 การปฏิวัติอุตสาหกรรม เริ่มต้นที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งก็คือ อุตสาหกรรมทอผ้า การค้าและเศรษฐกิจ เกิดขึ้นมากมาย การเติบโตของชน ช ั น ้ กลางหร ื อชนช ั น ้ กฎ ุ มพ ี(Bourgeois) ความ ต้องการใน เสรีภาพ ความสุข ความก้าวหน้า คุณธรรม หลักเหตุผล การแสวงหาอ านาจทางเศรษฐกิจ / แสวงหาอ านาจทางการเมือง
บทสรุป แนวคิดทางการเมืองหรือรัฐศาสตร์มี ความเป็ นมาอันยาวนาน ได้มีการพัฒนา แนวคิดเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ซึ่ง เริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยกรีก เพลโตเป็ นบุคคล ส าคัญที่ได้รับการยกย่องว่า เป็ นบิดาของวิชา ทฤษฎีการเมือง ซึ่งมีแนวคิดว่ารัฐในอุดมคติ คือจะต้องปกครองโดยคนที่เรียกว่าราชา ปราชญ์ อริสโตเติลได้รับการยกย่องว่า เป็ น บิดาของวิชารัฐศาสตร์
บทสรุป (ต่อ) สมัยต่อมาได้แก่สมัยโรมันซึ่งเน้นกฎหมาย เป็ นหลักส าคัญ และกฎหมายเป็ นมรดกสืบต่อมา รวมถึงสมัยปัจจุบัน สมัยต่อมาได้แก่ สมัยกลาง เป็ นสมัยที่ให้ความส าคัญแก่ศาสนา วิชารัฐศาสตร์ ได ้ ถ ู กจด ัให ้ เป็ นแขนงหน ่ ึ งของวชิ าเทววท ิ ยา ต ่ อมา เป็ นสม ั ยใหม ่ ซ ่ ึ งมาเค ี ยเวลล ี เป็ นผ ้ ู น าปร ั ชญา การเมืองสมัยใหม่มาใช้ มีแนวคิดให้ความสนใจใน ส ่ ิ งท ่ ม ีี อย ่ ู จร ิ ง ไม ่ให ้ เช ่ ื อในส ่ ิ งท ่ ม ี องไม ่ เหน ็ อย่างไรก็ตามแนวคิดทางการเมืองใน สมัยปัจจุบันได้เป็ นไปตามกระแสโลกาภิวัตน์ เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในทางการเมือง อย่างเห็นได้ชัด
ความหมายของรัฐ นักรัฐศาสตร์ได้ให้ความหมายของค าว่ารัฐไว้อย่าง หลากหลาย อาจสรุปได้ดังนี้ จร ูญ ส ุ ภาพ(2520:14) ได้ให้ความหมายของรัฐ ไว้ว่า รัฐ หมายถง ึช ุ มชนทางการเม ื องท่ปี ระชาชนอาศ ั ยอย ่ ู รวมก ั น โกวิทย์ พวงงาม (2534:30) ได้ให้ความหมายของรัฐไว้ว่า รัฐ หมายถึง ชุมชนของมนุษย์จ านวนหนึ่งซึ่งครอบครองดินแดน ท่ม ีี อาณาเขตแน ่ นอน รวมก ั นอย ่ ู ภายใต ้ ร ั ฐบาลเดย ี วก ั น
ความหมายของรัฐ ฮาโรลดี ลาสเวลล์ และอับราฮัม เคปแลน (Harold Lasswell and Abraham Kaplan) อ ้ างถง ึในส ุ พจน ์ บ ุญวเ ิ ศษ (2537:34) ได้ให้ความหมายของรัฐไว้ว่า รัฐหมายถึง กล ่ ุ มคนทร ี ่ วมกน ั เป็ นระเบ ี ยบ และอาศ ั ยอย ่ ู ในอาณาเขตร ่ วมกน ั และม ี อา นาจอธ ิปไตยส ู งส ุ ดในอาณาเขตน ้ ั น
สรุปได้ว่า รัฐ (State) หมำยถึง ชุมชนทำงกำรเมือง (The political community)ที่อยู่ในดินแดนที่มี อำณำเขตแน่นอน และมีรัฐบำลที่เป็ นอิสระจำกกำรควบคุมภำยนอก ซึ่งค าว่า “รัฐ” มีควำมหมำยคล้ำยกับประเทศ และชำติ จะ ต่ำงกันตรงที่มีควำมหมำยเน้นบำงที่ไม่เหมือนกัน กล่ำวคือ รัฐ มักจะ เน้นถึงควำมผูกพันทำงกำรเมือง อันหมำยถึงกำรที่ประชำชนอยู่ ภำยใต้ระบบกำรเมืองอย่ำงเดียวกัน มีอธิปไตยอันเดียวกัน(จรูญ สุภำพ 2514: 25) ส่วนค ำว่ำ ประเทศ มักจะเน้นเกี่ยวกับสภำพ ภูมิศำสตร์ ทั้งนี้ ค าว่ารัฐ ประเทศ และชาติ บางครั้งสามารถใช้ แทนกันได้
องค์ประกอบของรัฐ ร ั ฐเป็ นช ุ มชนทางการเม ื อง ท ี ่ อยใ่ ู นด ิ นแดน ท ี ่ ม ี อาณาเขต แน ่ นอน และม ี ร ั ฐบาลท ี ่ เป็ นอ ิ สระปราศจากการควบค ุ มจาก ภายนอก ดง ั น ้ น ั ร ั ฐจ ึ งควรม ี องคป์ ระกอบ4 ประการ ดง ั น ้ ี ค ื อ 1. ประชากร ร ั ฐท ุ กร ั ฐตอ ้ งม ีประชากรอาศย ั อยจ ่ ู ึ งจะเป็ น ร ั ฐได ้ จา นวนประชากรจะม ี มากหร ื อนอ ้ ยไม ่ใช ่ สาระสา คญ ั แต ่ ควรจะม ี จา นวนเพ ี ยงพอท ี ่ จะสามารถแบ ่ งหนา ้ ท ี ่ กน ัไดอ ้ ยา ่ ง เพียงพอ
องค์ประกอบของรัฐ ลก ั ษณะของประชากรไม ่ จา เป็ นตอ ้ งม ี เช ้ ื อชาต ิ เด ี ยวกน ั หมด อาจม ี เช ้ ื อชาต ิ ศาสนาขนบธรรมเน ี ยมประเพณ ี ภาษาและวฒ ั นธรรมท ี ่ แตกต ่ างกน ัได ้ ขอ ้สา คญ ั ตอ ้ งม ี สญ ั ชาต ิ เด ี ยวกน ั สญ ั ชาต ิ เป็ นตว ั กา หนดฐานะความเป็ นพลเม ื องของร ั ฐ ค ุ ณภาพประชากรเป็ นส ่ วนส าคญ ั ทส ี ่ ุ ดในการพฒ ั นาร ั ฐ ให ้ เจร ิ ญร ่ ุ งเร ื อง ปั จจ ุ บ ั นถอ ื ว ่ าสหร ั ฐอเมร ิ กาเป็ นประเทศทม ี ่ ี ความม ั ่ งคง ั ่ ทส ี ่ ุ ด และเป็ นประเทศมหาอา นาจ ท ้ ง ั ๆ ทปี ่ ระชากร ส ่ วนหน ึ ่ งอพยพจากทอ ี ่ น ื ่ แต ่ ผ ้ ู ทอ ี ่ พยพมาส ่ วนใหญ ่ เป็ นผ ้ ู ม ี การศ ึ กษาด ี ม ี ความร ้ ู ทางเทคโนโลย ี บ ุ คคลเหล ่ าน ีไ ้ ด ้ไปสร ้ าง ความเจริญให้แก่สหรัฐอเมริกาอย่างใหญ่หลวง
องค์ประกอบของรัฐ 2. ดินแดน ร ั ฐท ุ กร ั ฐตอ ้ งม ี ด ิ นแดน ดว ้ ยเหต ุ น ้ ี ด ิ นแดนท ี ่ พวกเร ่ ร ่ อนไปตามถ ิ ่ นต ่ างๆ โดยยด ึ ถ ื อครอง ชว ั ่ คราวน ้ น ั ไม ่ เป็ นร ั ฐกรณ ี ด ิ นแดนกเ ็ ช ่ นเด ี ยวกน ั กบ ั ประชากรกล ่ าวค ื อไม ่ ม ี กฎเกณฑท ์ ี ่ แน ่ นอนวา ่ จะตอ ้ งม ี ขนาดกวา ้ งใหญ ่ เพ ี ยงใด