4. อ านาจอธิปไตยตามนิตินัย (De Jure Sovereignty) ได ้ แก ่ อา นาจอธ ิปไตยซ ึ ่ งร ั ฐบาลทช ี ่ อบด ้ วยกฎหมายเป็ นผ ้ ู ใช ้ใน การปกครองประเทศ ร ั ฐบาลทช ี ่ อบด ้ วยกฎหมายเป็ นผ ้ ู ใช ้ใน การปกครองประเทศ รัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมายได้แก่รัฐบาล ทจ ี ่ ด ั ต ้ ง ั ขน ึ ้ มาตามกระบวนการทางการเม ื องทถ ี ่ ู กต ้ องตาม กฎหมาย เป็ นรัฐบาลที่ได้รับการแต่งตั้งจากสภา ซึ่งประชาชน เลือกขึ้นมา หมายความว่า เป็ นรัฐบาลที่ได้รับการแต่งตั้งจาก ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ
5. อ านาจอธิปไตยภายนอก (External Sovereignty) หมายถึง ความเป็ นเอกราชของรัฐในการที่จะด ารงความ เป็ นอิสรภาพ ปราศจากการแทรกแซงของรัฐอื่น ทั้ง กิจการภายในประเทศและกิจการระหว่างประเทศ ไม่ว่า จะเป็ นการทา สนธ ิ ส ั ญญาการประกาศย ุ ตส ิ งคราม เพราะว่าการกระท าดังกล่าวเกี่ยวพันกับประโยชน์ของ รัฐ
ประเทศที่ใช้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยมีหลัก ส าคญ ั คอ ื ประชาชนเป็ นผ ้ ู ม ี อา นาจอธ ิปไตย หร ื อประชาชนเป็ น เจ้าของอ านาจอธิปไตย ฉะนั้นประชาชนจึงทรงไว้ในการ แสดงออกซึ่งการเป็ นเจ้าของอ านาจอธิปไตย
เป็ นวิธีการหนึ่งซึ่งให้ประชาชนมีสิทธิได้ใช้อ านาจอธิปไตยโดย ผ ่ านผ ้ ู แทน หมายถง ึ วธ ิี การทเ ี ่ ปิ ดโอกาสให ้ประชาชนได ้ ม ี ส ่ วน ในการเลือกสรรและก าหนดตัวเจ้าหน้าที่ที่จะมาบริหารงานด้าน สาธารณะ การออกเสียงเลือกตั้งนี้มักเป็ นการปกครองแบบ ประชาธิปไตย การเลือกตั้งจะต้องจัดให้มีขึ้นตามระยะเวลาอัน ควร ซ ึ ่ งระยะเวลาดง ั กล ่ าวจะกา หนดไว ้ในร ั ฐธรรมน ูญของแต ่ ละ ประเทศ อน ึ ่ งหลก ั ส าคญ ั ของการเลอ ื กต ้ ง ั คอ ื ย ุ ตธ ิ รรม เสมอภาค เปิ ดเผยและเสรี ซึ่งประเทศที่มีการปกครองประชาธิปไตยต้อง ยึดหลักเกณฑ์โดยเคร่งครัด
เป็ นวิธีการหนึ่งที่เปิ ดโอกาสให้ประชาชนได้มีสิทธิที่จะ แสดงซ ึ ่ งเจตนารมณ ์ ของตน ซ ึ ่ งในปั จจ ุ บ ั น ร ั ฐธรรมน ูญ แห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ.2550)ได้ก าหนดเรื่องการ ออกเสียงประชามติไว้ในมาตรา 214 อย่างไรก็ตามการ ออกเสียงประชามติจะใช้ได้ผลดีเฉพาะแต่ประเทศที่ ประชาชนมีการศึกษาดีและมีความสนใจทางการเมือง เพียงพอ
เพื่อให้ประชาชนมีอ านาจในการริเริ่มหรือเสนอแนะการร่าง กฎหมายต่อสภานิติบัญญัติโดยตรง นับได้ว่าเป็ นพัฒนาการของ ระบอบประชาธ ิปไตยระดบ ั ส ุ ดยอดในทางปฏ ิ บ ั ต ิ(Ultrademocracy practice) ภายในขอบเขตของการปกครองระบอบ ร ั ฐธรรมน ูญและก ้ าวไปไกลกว ่ าออกเส ี ยงประชามต ิ ส าหร ั บ ร ั ฐธรรมน ูญไทย พ.ศ.2550 ได ้ กา หนดให ้ ผ ้ ู ม ี ส ิ ทธ ิ เลอ ื กต ้ ง ั ร่วมกันเข้าชื่อเสนอกฎหมายได้แต่ต้องรวบรวมรายชื่อให้ครบ 25,000 คน โดยมีการก าหนดรายละเอียดไว้ในพระราชบัญญัติว่า ด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ.2542
วิธีการนี้มักใช้ในกรณีที่มีปัญหาส าคัญและรัฐบาลไม่อาจจะ ตัดสินใจหรือไม่กล้าที่จะตัดสินใจ เช่น การออกเสียงลงคะแนน ของชาวแอลจเ ี ร ี ยว ่ าจะแยกจากฝร ั ่ งเศสหร ื อไม ่ ซ ึ ่ งผลทส ี ่ ุ ด ประชาชนส่วนใหญ่ลงคะแนนเสียงให้แยก ในสหรัฐอเมริกาได้ น าวิธีการนี้มาใช้กับการปกครองระดับท้องถิ่นเหมือนกัน คือให้ ประชาชนตัดสินใจว่าจะ “รับ” (yes) หรือ “ไม่รับ”(no) แต่ วิธีการนี้เหมาะสมที่จะใช้ในเขตการปกครองขนาดเล็ก เช่น ใน ระดับท้องถิ่น
เป็ นวิธีการในระบอบการปกครองประชาธิปไตยโดยตรง ซึ่ง แสดงให้เห็นถึงอ านาจอธิปไตยเป็ นของปวงชน โดยก าหนดให้ ข ้ าราชการตา แหน ่ งส ู งๆ ต ้ องร ั บผด ิ ชอบในงานของตนอย ่ าง เต็มที่ และประชาชนสามารถออกเสียงให้ออกจากต าแหน่ง โดย การที่ประชาชนออกเสียงนี้ เรียกว่า Recall อย่างไรก็ตาม ร ั ฐธรรมน ูญไทย พ.ศ.2550 ได ้ กา หนดกระบวนการถอดถอนผ ้ ู ด ารงต าแหน่งไว้ ในมาตรา 303 โดยให ้ เป็ นอา นาจของว ุ ฒส ิ ภา
เป็ นการแสดงออกในร ู ปทไี ่ ม ่ใช ่ เป็ นการออกเส ี ยงแต ่ เป็ นเพย ี ง ความร ้ ู ส ึ กหร ื อปฏ ิ กร ิิ ยาทแ ี ่ สดงความพอใจหร ื อไม ่ พอใจของ ประชาชนทั่วไปต่อการกระท าบางอย่างของรัฐบาล ซึ่งในการ ปกครองระบอบประชาธ ิปไตยน ้ ั น ส ิ ่ งทส ี ่ าคญ ั กค ็ อ ื ร ั ฐบาลผ ้ ู ทา หน้าที่ในการบริหารประเทศจะต้องรับฟังความคิดเห็นทั่วไป หร ื อมตม ิ หาชนน ี ้ ถ ้ าประชาชนโดยทว ั ่ ไปไม ่ สน ั บสน ุ นการ ปฏ ิ บ ั ตง ิ านของร ั ฐบาลร ั ฐบาลกต ็้ องเส ี ่ ยงต ่ อการส ูญเส ี ยอา นาจ มติมหาชนถือเป็ นปัจจัยส าคัญที่ท าให้มีการด าเนินการในแบบ ประชาธิปไตย เนื่องจากเป็ นการที่ประชาชนมีโอกาสที่จะ วพ ิ ากษ ์ วจ ิ ารณ ์ ตลอดจนสามารถควบค ุ มผ ้ ู ใช ้ อา นาจทางการเม ื อง
สร ุ ป อา นาจอธ ิปไตยเป็ นอา นาจส ู งส ุ ดในการปกครองร ั ฐร ั ฐม ี อา นาจบง ั คบ ัให ้ ประชาชนภายในรัฐปฏิบัติตามกฎหมาย และด าเนินนโยบายต่างประเทศได้ อย ่ าอส ิ ระเน ื่องจากอา นาจอธ ิปไตยเป็ นอา นาจส ู งส ุ ดในการปกครองร ั ฐจ ึ งไม ่ ม ี อา นาจสดในร ั ฐอย ่ ู เหน ื ออา นาจอธ ิปไตย ณอง โบแดง เป็ นนักรัฐศาสตร์ชาวฝรั่งเศสได้คิดหลักปรัชญาเกี่ยวกับ อ านาจอธิปไตยว่าอ านาจอธิปไตยเป็ นของรัฐและต้องให้พระมหากษัตริย์เป็ น ผ ้ ู ใช ้ มองเตสกิเออร์ ซี่งเป็ นนักปรัชญาชาวฝรั่งเศสได้แบ่งการใช้อ านาจ อธิปไตยเป็ น 3 ประเภท คือ อ านาจนิติบัญญัติมีหน้าที่ในการตรากฎหมาย อา นาจบร ิ หารม ี หน ้ าทใี ่ นการบร ิ หารคอ ื ร ั ฐบาลและอา นาจต ุ ลาการม ี หน ้ าทใี ่ น การพิจารณาตัดสินคดีความ อ านาจอธิปไตยมีลักษณะส าคัญคือ ความเด็ดขาด เป็ นการทั่วไป ถาวร และแบ่งแยกไม่ได้
จ ุ มพล หน ิ มพาน ิ ช ได ้ให ้ ความหมายของสถาบ ั นทาง การเมืองไว้ว่า สถาบันทางการเมืองหมายถึง แบบแผนที่ รวบรวมสะสมพฤติกรรม หรือการกระท าทางการเมือง ซึ่งแบบ แผนดังกล่าวได้รับการสร้างขึ้นมา เพื่อพยายามคงไว้ซึ่ง กิจกรรมขององค์การทางการเมืองในสังคม เร ื องวท ิ ย ์ เกษส ุ วรรณ ได ้ให ้ ความหมายของสถาบ ั นทาง การเมืองไว้ว่า สถาบันทางการเมืองเป็ นแกนของระบบการเมือง เพราะเป็ นแหล่งรับปัจจัยน าเข้า (Inputs) เอามาแปรเปลี่ยนเป็ น ผลผลิต(Outputs) ในทางด้านการเมือง
Roy C. Macridis อ ้ างถ ึ งในส ุ พจน ์ บ ุญวเ ิ ศษ กล ่ าวว ่ า สถาบ ั นทางการเมอ ื งคอ ื องค ์ การของช ุ มชนทางการเมอ ื งท ี ่ ม ี ลักษณะเป็ นทางการหรือไม่เป็ นทางการก็ได้ โดยจะท าหน้าที่ใน การพิจารณาและตัดสินใจเกี่ยวกับกิจกรรมทางการเมือง ความหมายของสถาบ ั นทางการเม ื องทก ี ่ ล ่ าวมาอาจสร ุ ปได ้ ว ่ า สถาบันทางการเมือง หมายถึง แบบแผนที่สร้างขึ้นเพื่อด ารงไว้ซึ่ง พฤติกรรมทางการเมือง ซึ่งอาจเป็ นทางการหรือไม่เป็ นทางการก็ได้ โดยจะท าหน้าที่สร้างความเป็ นระเบียบเรียบร้อยและรักษาความ สงบภายในสังคม ซึ่งในบทนี้จะกล่าวถึงสถาบันทางการเมืองที่ส าคัญคือ สถาบัน กษ ั ตร ิ ย ์ ร ั ฐธรรมน ูญ สถาบ ั นฝ่ ายน ิ ตบ ิั ญญต ัิ สถาบ ั นฝ่ ายบร ิ หาร และสถาบ ั นฝ่ ายต ุ ลาการ
กษัตริย์ ,ร ั ฐธรรมน ูญ สถาบ ั นน ิ ตบ ิั ญญต ัิ บร ิ หารและต ุ ลาการ
1. พระมหากษัตริย์เทวสิทธิ์ (Diving Right Monarchy) 2. กษัตริย์ในระบบศักดินา(Feudal Monarchy) 3. กษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย(Constitutional Monarchy)
สถาบันกษัตริย์ของไทยอาจแบ่งออกได้เป็ น 3ย ุ ค คอ ื 1 สถาบ ั นกษต ั ร ิ ย ์ในลก ั ษณะพ ่ อข ุ น 2 สถาบันกษัตริย์ในลักษณะเทวราชา 3 สถาบันกษัตริย์ในลักษณะประชาธิปไตย
ร ั ฐธรรมน ูญ (Constitution) เป็ นกฎหมายส ู งส ุ ดของ ร ั ฐและเป็ นกฎหมายม ู ลฐาน supreme law และ fundamental law ถือได้ว่าเป็ นกฎหมายแม่บทของ กฎหมายทั้งหลายในรัฐซึ่งกฎหมายทั้งหมดในรัฐ จ าเป็ นต้องเป็ นไปตามแนวทางของกฎหมาย ร ั ฐธรรมน ูญ
ร ั ฐธรรมน ูญหมายถ ึ งกฎหมายส ู งส ุ ดในการปกครอง ประเทศการใช้อ านาจอธิปไตย รวมทั้งก าหนดสิทธิ เสรีภาพและหน้าที่ของประชาชนไว้ด้วย กฎหมายใด ขด ั หร ื อแย ้ งกบ ั ร ั ฐธรรมน ูญ กฎหมายน ้ ั นใช ้ บ ั งคบ ั ไม่ได้
ลก ั ษณะส าคญ ั ของร ั ฐธรรมน ูญ 1 เป็ นกฎหมายแม ่ บทส ู งส ุ ดในการปกครองประเทศ 2. เป็ นกฎหมายแม ่ บททก ี ่ า หนดร ู ปแบบและโครงเป็ น 3.กฎหมายทใี ่ ห ้ หลก ัประกน ั และการให ้ การค ้ ุ มครอง สิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนในรัฐ สร้างการปกครองของประเทศ
ประเภทของร ั ฐธรรมน ูญ ร ั ฐธรรมน ูญแบ ่ งออกได ้ เป็ น 2 ประเภท 1 ร ั ฐธรรมน ูญลายลก ั ษณ ์ อก ั ษร (Writtern Constitution) 2 ร ั ฐธรรมน ูญจาร ี ตประเพณ(ีUnueritten Constitntion)
ร ั ฐธรรมน ูญประเภทน ี ม ้ ีใช ้ในสหร ั ฐอเมร ิ กาเป็ นประเทศแรกเป็ นทน ี ่ ิ ยม แพร ่ หลายมากทส ี ่ ุ ดในบรรดาประเทศต ่ างๆ ทว ั ่ โลก ท ้ ง ั น ี เ ้ ป็ นผล เนื่องมาจากความแน่ชัดในบทบัญญัติที่เป็ นลายลักษณ์อักษรซึ่งตรงกัน ข ้ ามกบ ั ร ั ฐธรรมน ูญจาร ี ตประเพณท ีไี ่ ม ่ ม ี ความแน ่ ช ั ด เน ื อ ้ หาส าคญ ั ของร ั ฐธรรมน ูญลายลก ั ษณ ์ อก ั ษร 1. ข ้ อความเกย ี ่ วกบ ั อ ุ ดมการณ ์ 2. โครงร่างของรัฐบาล 3. การแบ่งอ านาจ 4. ส ิ ทธ ิ ส ่ วนบ ุ คคล 5. การแก้ไขเปลี่ยนแปลง
ร ั ฐธรรมน ูญประเภทน ี ส ้ ามารถเร ี ยกได ้ อ ี กอย ่ างหน่ึ งว ่ า ร ั ฐธรรมน ูญท่ไี ม ่ เป็ นลายล ั กษณ ์ อ ั กษร ต ั วอย ่ างท่ม ีั กจะอ ้ างถง ึ ร ั ฐธรรมน ูญจาร ี ตประเพณ ี กค ็ื อ ร ั ฐธรรมน ูญของอ ั งกฤษ (สหราชอาณาจักร) ล ั กษณะสา ค ั ญของร ั ฐธรรมน ูญประเภทน ี ้ คือ ไม่มีการร่างขึ้นอย่างเป็ นทางการ ข้อบังคับหรือระเบียบ ต ่ างๆ ม ิได ้ปรากฏอย ่ ู ในเอกสารฉบ ั บใดฉบ ั บหน่ึ ง แต ่ได ้ ม ี การ บันทึกไว้ ณ ที่ต่างๆ กัน รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีใน การปฏิบัติต่างๆ ด้วย
เอกสารต ่ างๆสา ค ั ญท ่ จ ีั ดว ่ าเป็ นร ั ฐธรรมน ูญของอ ั งกฤษ 1. แม็กนา คาร์ตา (Magna Carta) ซ่ง ึ ถ ื อเป็ นปฐมร ั ฐธรรมน ูญของอ ั งกฤษ เข ี ยน เป็ นภาษาลาติน แปลว่า มหาเอกสาร หรือ กระดาษแผ่นใหญ่ 2. บทบัญญัติแห่งสิทธิ (Bill of Rights) 3. พ.ร.บ. ปฏร ิ ู ป (Reform Act) 4. พ.ร.บ. รัฐสภา (Parliament Act) ร ั ฐธรรมน ูญประเภทจาร ี ตประเพณ ี น ี ้ การแก ้ไข เปล ่ ี ยนแปลงโดยท ่ ว ัไปม ั กจะง ่ ายกว ่ าร ั ฐธรรมน ูญ ประเภทลายลักษณ์อักษร เพราะนิติบัญญัติสามารถออก กฎหมายแก้ไขให้เหมาะสมตามกาลเวลาได้ โดยไม่ต้อง ผ ่ านการออกเส ี ยงประชามต ิ ดง ั เช ่ น ร ั ฐธรรมน ูญ ประเภทลายลักษณ์อักษรส่วนใหญ่ก าหนดไว้
1. ร ั ฐธรรมน ูญท่ปี ระม ุ ขแห ่ งร ั ฐประทานให ้ เอง 2. ร ั ฐธรรมน ูญท่บ ีั ญญ ั ตข ิ น ึ ้ โดยความตกลงระหว ่ างประม ุ ขแห ่ ง รัฐกับราษฎร 3. ร ั ฐธรรมน ูญท่บ ีั ญญ ั ตข ิ น ึ ้ โดยราษฎรตามวถ ิี ทางประชาธ ิปไตย - โดยสภาร ่ างร ั ฐธรรมน ูญ - โดยประชามตบ ิั ญญ ั ตร ิั ฐธรรมน ูญ 4. ร ั ฐธรรมน ูญท่ปี ระเทศซ่ง ึ เคยเป็ นเม ื องขน ึ ้ได ้ ร ั บจากประเทศผ ้ ู เคยปกครองมาก่อน
1. การจัดระเบียบอ านาจรัฐ 2. การกา หนดจ ุ ดม ่ ุ งหมายหร ื อแนวทางการใช ้ อา นาจ รัฐ
1. ต้องมีข้อความที่ชัดเจนแน่นอน 2. ต้องมีบทบัญญัติครบถ้วน 3. ต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของ ประชาชน 4. จะต้องสั้น 5. จะต้องมีบทบัญญัติว่าด้วยวิธีการแก้ไข ตัดตอน หรือ เพ ่ ม ิ เตม ิ ร ั ฐธรรมน ูญท ่ ชี อบด ้ วยกฎหมาย
ล ั กษณะสา ค ั ญของกฎหมายร ั ฐธรรมน ูญ 1.ร ั ฐธรรมน ูญเป็ นกฎหมายทก ี ่ า หนดระบอบการปกครองและกต ิ กาทางการเม ื อง ของรัฐ เป็ นระบอบประชาธิปไตย สังคมนิยม หรือคอมมิวนิสต์ 2.ร ั ฐธรรมน ูญเป็ นกฎหมายทก ี ่ า หนดให ้ องค ์ กรของร ั ฐเป็ นผ ้ ู ใช ้ อา นาจ หลักการแบ่งแยกอ านาจเป็ น 3 ฝ่ าย คือ ฝ่ ายนิติบัญญัติ ฝ่ ายบริหาร และ ฝ่ าย ต ุ ลาการเพอ ื ่ ไม ่ให ้ องค ์ กรใดองค ์ กรหน ึ ่ งใช ้ อา นาจตามอา เภอใจโดยปราศจาก ตรวจสอบและถ ่ วงด ุ ลคานอา นาจซ ึ ่ งกน ั และกน ั 3. ร ั ฐธรรมน ูญเป็ นกฎหมายทก ี ่ า หนดหลก ั เกณฑ ์ การเข ้ าส ่ ู ต าแหน ่ งการส ิ ้ นส ุ ด ตลอดจนความสัมพันธ์ของการใช้อ านาจขององค์กรต่างๆ ร ั ฐธรรมน ูญเป็ นต ั วกา หนดหลก ั เกณฑ ์ ข ้ ั นตอนการได ้ ต าแหน ่ งการด ารง ต าแหน ่ งต ่ างๆ ซ ึ ่ งอาจได ้ มาโดยการเลอ ื กต ้ ั งการแต ่ งต ้ ั ง หร ื อการส ิ ้ นส ุ ด ต าแหน ่ ง ต ่ างๆโดยการตายลาออก ต ้ องคา พพ ิ ากษาให ้ จ าค ุ ก หร ื อการถ ู กถอด ถอน เป็ นต้น
4. ร ั ฐธรรมน ูญเป็ นกฎหมายส ู งส ุ ด ถ ื อเป็ น “สถานะพิเศษ” ของ ร ั ฐธรรมน ูญ
4. ร ั ฐธรรมน ูญเป็ นกฎหมายส ู งส ุ ด ถ ื อเป็ น “สถานะพิเศษ” ของ ร ั ฐธรรมน ูญ “ร ั ฐธรรมน ูญเป็ นกฎหมายส ู งส ุ ดของประเทศ บทบ ั ญญต ัิใดของ กฎหมายกฎ ข ้ อบ ั งคบ ั ข ั ด หร ื อแย ้ งกบ ั ร ั ฐธรรมน ูญน ี ้ บทบ ั ญญต ัิ น ้ ั น เป็ นอันใช้บังคับมิได้” 5. ร ั ฐธรรมน ูญ พ ู ดถ ึ งเร ื ่ องประเพณก ี ารปกครองในระบอบ ประชาธ ิปไตยอน ั ม ี พระมหากษ ั ตร ิ ย ์ ทรงเป็ นประม ุ ข 6. ความค ้ ุ มครองพเ ิ ศษส าหร ั บกฎหมายร ั ฐธรรมน ูญว ่ าด ้ วยเร ื ่ องการ แก ้ไขเพม ิ ่ เต ิ มร ั ฐธรรมน ูญ การแก ้ไขม ี กรอบในการแก ้ไขตามทก ี ่ ฎหมาย ร ั ฐธรรมน ูญกา หนดซ ึ ่ งทา ได ้ ยากกว ่ าการแก ้ไขกฎหมายธรรมดา
180 ค าปรารภ (ที่มา/ความจ าเป็ น/ จุดประสงค์/ประวัติ) ร ู ปของร ั ฐ (รัฐเดี่ยว/รัฐรวม) ร ู ปการปกครอง นโยบายแห่งรัฐ ประมุขของรัฐ สิทธิและเสรีภาพของประชาชน หน้าที่ของประชาชน
181 อ านาจอธิปไตย (อ านาจนิติบัญญัติ บริหาร และ ตุลาการ) การตรวจสอบการใช้อ านาจรัฐ การแก ้ไขเพ ่ ม ิ เตม ิ ร ั ฐธรรมน ูญ บทเฉพาะกาล
สถาบันนิติบัญญัติมีหน้าที่หลักที่ส าคัญคือการออก กฎหมาย ส่วนหน้าที่รองได้แก่ หน้าที่เป็ นตัวแทนของ ประชาชน ทา หน ้ าทค ี ่ ้ ุ มครองส ิ ทธ ิ เสร ี ภาพของประชาชน อนึ่งสถาบันนิติบัญญัติในระบบรัฐสภา (Parliamentary Government) ฝ่ ายนิติบัญญัติหรือรัฐสภาท าหน้าที่ ควบค ุ มการปฏ ิ บ ั ตห ิ น ้ าทห ี ่ ร ื อการบร ิ หารของสถาบ ั นฝ่ าย บริหารด้วย
1. ระบบสภาเดียว 2. ระบบสองสภา
เป็ นระบบที่ได้รับควำมนิยมน้อยกว่ำระบบ สองสภำ มัก ปรำกฏระบบในกำรปกครอง ท้องถิ่นมำกกว่ำ เช่น ในกำรปกครองท้องถิ่น ของไทย กำรปกครองระดับแขวงของ สหรัฐอเมริกำ เป็ นต้น ประเทศในยุโรปที่ใช้สภำ เดียวคือ นอร์เวย์ สวีเดน เป็ นต้น
1. ท ำให้กำรด ำเนินงำนเป็ นไปอย่ำงรวดเร็ว 2. ไม่สิ ้นเปลืองงบประมำณ 3. ไม่มีกำรขัดแย้งระหว่ำงสองสภำเหมือนกับที่เกิดใน ประเทศที่มีสองสภำ 4. ท ำให้เกิดควำมรับผิดชอบชัดเจนในกำรปฏิบัติหน้ำที่ว่ำ อยู่ที่สภำเพียงแห่งเดียว 5. ผู้แทนสภำเดียวมีควำมภูมิใจว่ำตนเองเป็ นตัวแทนของ ประชำชนเพียงองค์กรเดียวเท่ำนั ้น
1. ระบบสภำเดียวอำจท ำให้เกิดกำรปฏิบัติหน้ำที่ บกพร่อง ขำดควำมรอบคอบเพรำะไม่มีสภำที่สอง กลั่นกรอง 2. ระบบสภำเดียวอำจน ำไปสู่ระบบเผด็จกำรใน รัฐสภำ เพรำะไม่มีสภำที่สองเป็ นดุลถ่วงอ ำนำจไว้
รูปแบบสภำคู่หรือทวิสภำ หมำยถึง มี 2 สภำ มี สภำสูง upper house(วุฒิสภำ) และ สภำล่ำง lower house (สภำผู้แทนรำษฎร) ซึ่งระบบนี ้เกิดขึ ้นครั ้งแรกในประเทศอังกฤษ และต่อมำ ก็ได้แพร่หลำยไปในที่ต่ำงๆ
1. เป็ นกำรเปิ ดโอกำสให้มีตัวแทนจำกกลุ่มอำชีพเข้ำไปมี เสียงในสภำ 2. ท ำให้มีสภำที่ท ำหน้ำที่ถ่วงดุลกำรท ำงำนของรัฐสภำ 3. ควำมผิดพลำดในกำรปฏิบัติงำนน้อยลง ข้อเสียของระบบสองสภำ คือ 1. สิ ้นเปลืองงบประมำณในกำรจ่ำยกับสมำชิก 2. เกิดควำมขัดแย้งของสองสภำ 3. กำรปฏิบัติงำนอำจเกิดควำมล่ำช้ำ
1. ว ุ ฒ ิ สภาทา หน ้ าทเ ี ่ ป็ นสภาทา หน ้ าทเ ี ่ ป็ นสภาพเ ี ่ ลย ี ้ งของ รัฐสภา 2. สภาผ ้ ู แทนราษฎรมอ ี า นาจมากกว ่ าว ุ ฒ ิ สภา 3. รัฐสภามีอ านาจในการตรวจสอบหาข้อเท็จจริงด้วย โดยการ แต่งตั้งคณะกรรมาธิการด้านต่างๆ เพื่อท าการสืบสวน ข้อเท็จจริงเรื่องที่รับผิดชอบ แล้วน าเสนอต่อสภาและคณะ ร ั บมนตร ี เพอ ื ่ เข ้ าส ่ ู กระบวนการข ้ น ั ต ่ อๆ ไป
คณะร ั ฐมนตร ี เป็ นผ ้ ู ร ่ างพระราชบญ ั ญ ั ตเ ิป็ นส ่ วน ใหญ่ รัฐสภาสามารถร่างพระราชบัญญัติได้เช่นเดียวกัน
วาระที่หนึ่ง อ่ำนชื่อพระรำชบัญญัติให้สภำรับทรำบ วาระที่สอง เปิ ดโอกำสให้มีกำรอภิปรำย แสดงควำมคิดเห็น ซึ่งเป็ นรำกฐำนของกำรพิจำรณำร่ำงพระรำชบัญญัติ หำกผ่ำน วำระนี ้จะน ำเข้ำสู่คณะกรรมำธิกำร เพื่อแก้ไขข้อควำมต่ำงๆ ให้ รัดกุม โดยไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขหลักการได้ ต่อจำกนั ้นคณะกรรมำธิกำรจะ รำยงำนสู่รัฐสภำซึ่งในขั ้นตอนนี ้ สมำชิกสภำมีสิทธิในกำรแก้ไขข้อควำมในร่ำงพระรำชบัญญัติ อีกครั ้ง หำกไม่มีกำรทักท้วงก็จะเข้ำสู่วำระที่สำม
วาระที่สาม เปิ ดโอกำสให้มีกำรอภิปรำยในรัฐสภำ เช่นเดียวกัน แต่ไม่สำมำรถแก้ไขร่ำงฉบับนั ้น หำกสภำลงมติ ผ่ำนร่ำงพระรำชบัญญัติฉบับนั ้นก็จะน ำเข้ำสู่กำรลงนำมโดย ประมุขของประเทศ วาระที่ 1 อ่ำนชื่อพระรำชบัญญัติ วาระที่ 2 คณะกรรมาธิการ อภิปรำย แก้ไขข้อความ วาระที่ 3 อภิปรายแต่แก้ไขร่างไม่ได้ กใ็ ห ้ ตกไป หร ื อ กลับสู่ วงจรวาระท่ี1ใหม่ ไม่ผ่าน ผ่านร่าง ลงนาม
ว ุ ฒ ิ สภาและสภาผ ้ ู แทนราษฎรมอ ี า นาจเท ่ าเทย ี มกน ั เพราะได้รับการเลือกตั้งมาจากประชาชนเหมือนกัน การดา รงตา แหน ่ งของว ุ ฒ ิ สภาว ุ ฒ ิ สภาในสหร ั ฐอเมร ิ กา มี 100 คนประกอบด้วยตัวแทนจากรัฐต่างๆ รัฐละ 2 คน โดยไม่ค านึงถึงฐานะหรือจ านวนประชากรในแต่ละรัฐ
1. ท ้ ง ั ว ุ ฒ ิ สภาและสภาผ ้ ู แทนราษฎรมอ ี า นาจในการออก กฎหมายและแก ้ไขร ั ฐธรรมน ูญ 2. ว ุ ฒ ิ สภามอ ี า นาจในการให ้ การร ั บรองการแต ่ งต ้ ั ง ข้าราชการฝ่ ายบริหารของประธานาธิบดี 3. ว ุ ฒ ิ สภาให ้ ความยน ิ ยอมในการให ้ ส ั ตยาบ ั นในสนธ ิ ส ั ญญา ต่างๆ ของสหรัฐอเมริกาที่ท ากับประเทศอื่นๆ 4. สภาผ ้ ู แทนราษฎร มอ ี า นาจกล ่ าวโทษ (impeach) ข ้ าราชการฝ่ ายพลเร ื อนหร ื อต ุ ลาการให ้ พ ้ นจากตา แหน ่ ง
1. ใช้คะแนน 2 ใน 3 ของสมาชิกสภาในการกล่าวโทษ ประธานาธิบดี 2. ว ุ ฒ ิ สภาเป็ นผ ้ ู ส ื บสวนข ้ อเทจ ็ จร ิ งหร ื อเป็ นล ู กข ุ นใน การพิจารณาคดี การปลด (removal) ต้องใช้คะแนน 2 ใน 3 ของสมาช ิ กว ุ ฒ ิ สภา ในกรณข ี อง ประธานาธ ิ บดจ ี ะต ้ องให ้ประธานศาลส ู ง (supreme court) เป็ นประธานของคณะล ู กข ุ นพจ ิ ารณา
ฝ่ ายบริหารมีหน้าที่บังคับใช้กฎหมายและรับผิดชอบ ในการปกครองทว ั ่ ไปท ้ ง ั หมด ซ ึ ่ งหมายถง ึ เป็ นผ ้ ู ทท ี ่ า หน้าที่น ากฎหมายไปใช้นั้นเอง ในระบบรัฐสภาและ ระบบประธานาธิบดี ฝ่ ายบริหารมีอ านาจหน้าที่ แตกต่างกัน
1. อ านาจของประธานาธิบดีได้มีก าหนดไว้อย่างชัดเจนใน ร ั ฐธรรมน ูญว ่ า ฝ่ ายบร ิ หารมอ ี า นาจประการใดบ ้ างและ ฝ่ ายนิติบัญญัติมีอ านาจประการใดบ้าง
2. ในระบบร ั ฐสภา คณะร ั ฐมนตร ี อย ่ ู ในตา แหน ่ งตราบเท ่ าทย ี ่ ง ั ได้รับความไว้วางใจจากสภาล่าง หากฝ่ ายค้านในรัฐสภา สามารถลงมติไม่ไว้วางใจในนโยบายหรือกฎหมายส าคัญได้ เป็ นผลส าเร็จ(มีคะแนนเสียงมากกว่าฝ่ ายรัฐบาล) คณะรัฐมนตรีต้องลาออกหรือมิฉะนั้นนายกรัฐมนตรีต้อง แนะน าประม ุ ขของร ั ฐให ้ ย ุ บสภา เพอ ื ่ ให ้ ม ี การเลอ ื กต ้ ง ัใหม ่ให ้ ประชาชนเป็ นผ ้ ู ตด ั ส ิ น ส ่ วนประธานาธ ิ บดจ ี ะอย ่ ู ในตา แหน ่ งใน ระยะเวลาทแ ี ่ น ่ นอนตามทก ี ่ า หนดไว ้ในร ั ฐธรรมน ูญ
3. คณะร ั ฐมนตร ีในร ู ปแบบการปกครองของคณะร ั ฐมนตร ี นายกร ั ฐมนตร ี เป็ นเพย ี งบ ุ คคลแรกในคณะผ ้ ู บร ิ หารเท ่ าน ้ ั น (the first among equals) ฉะนั้นการบริหารงานของ คณะรัฐมนตรีจึงมีลักษณะเป็ นการรับผิดชอบร่วมกัน (collective responsibility) ของคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ แต่ ประธานาธ ิ บดใี นร ู ปแบบการปกครองระบอบประธานาธ ิ บด ี ฝ่ ายบร ิ หารทร ี ่ ั บผด ิ ชอบ ในการบร ิ หารคอ ืประธานาธ ิ บดแ ี ต ่ ผ ้ ู เดียวอย่างแท้จริง
4. ในระบอบการปกครองแบบร ั ฐสภา ประม ุ ขของร ั ฐจะ เป็ นแค ่ เพย ี งแต ่ประม ุ ขและส ั ญลก ั ษณ ์ ของร ั ฐเท ่ าน ้ ั น แต ่ ไม ่ มอ ี า นาจในการบร ิ หารเพราะอา นาจดง ั กล ่ าวอย ่ ู ท ี ่ คณะรัฐมนตรี ส่วนประธานาธิบดีในระบอบการ ปกครองแบบประธานาธิบดีนั้น ประธานาธิบดีมีสอง สถานภาพกล ่ าวคอ ื สถานภาพแรกเป็ นประม ุ ขของร ั ฐ และสถานภาพที่สองเป็ นหัวหน้าของฝ่ ายบริหารพร้อม ไปด้วย